รายวิชาท ี่ 2 พหุวัฒ นธรรมและ สงั คมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 1
2
2 รายวิชาท่ี 2 พหุวัฒนธรรมและสังคมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
รายวิชาที่ 2
พหวุ ัฒนธรรมและสงั คมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
Multicultural society of the Southern Border
Provinces of Thailand
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สชุ าติ เศรษฐมาลินี
โครงการน้ไี ดร้ ับทุนสนับสนนุ จาก ศนู ยอ์ ำ�นวยการบริหารจงั หวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.)
และศูนยม์ านุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน)
รายวชิ าท ่ี 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สังคมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 3
สชุ าติ เศรษฐมาลนิ ี: พหุวัฒนธรรมและสงั คมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1 ศนู ยอ์ ำ�นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
กนั ยายน 2565
เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ 978-974-458-747-3
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
Nationnal Library of Thailand Cataloging in Publication data
สุชาติ เศรษฐมาลนิ .ี พหุวัฒนธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต.้ ----- ยะลา
: ศนู ย์อำ�นวยการบริหารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ , 2565. 93 หนา้ .
1. พหุนิยมทางวฒั นธรรม. 2. ความขดั แย้งทางสงั คม--ไทย (ภาคใต้) I. ชอ่ื เร่ือง.
305.8
ISBN 978-974-458-747-3
บรรณาธกิ ารเล่ม : ฮาฟสี สาและ
หนา้ ปก : Subper Graphic
รปู เล่ม : ชวลติ เหมหมัน
พิสูจน์อกั ษร : บไู รดะห์ เจะหลง
จัดพมิ พ์โดย : ศนู ยอ์ ำ�นวยการบริหารจงั หวัดชายแดนภาคใต้
ถนนสุขยางค์ ตำ�บลสะเตง อ�ำ เภอเมอื ง จังหวัดยะลา 95000 โทร.073-203872
พิมพท์ ่ี : หจก.1000 ทางการพมิ พ์ 87/22 ถนนสามัคคี สาย ก. ต�ำ บลสะบารงั อำ�เภอเมอื ง
จังหวัดปัตตานี 94000 โทร.073-332578
ควบคุมการผลิต : มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปตั ตานี 181 ถนนเจรญิ ประดษิ ฐ์
ตำ�บลรสู ะมแิ ล อ�ำ เภอเมือง จังหวัดปตั ตานี 94000
4
ก4 รายวิชาท่ี 2 พหุวฒั นธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ค�ำ น�ำ
จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหนึ่งในพ้ืนที่ท่ีมีลักษณะเฉพาะทางสังคมศาสนาและ
วัฒนธรรม ซ่ึงส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเมืองการปกครองและความขัดแย้งที่แตกต่างจาก
พน้ื ทีอ่ นื่ ๆ การแก้ปัญหาและพฒั นาในพื้นทีโ่ ดยเฉพาะในบริบททม่ี สี ถานการณ์ความไม่สงบจึง
จำ�เป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ลึกซ้ึงในระดับที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานท่ีสอดคล้องกับ
ความตอ้ งการและสภาพเงอื่ นไขต่าง ๆ ของพืน้ ที่ ซึ่งจากแนวทางต่าง ๆ ท่ที างรัฐบาลพยายาม
ด�ำ เนนิ การเพอื่ แกไ้ ขปญั หาความไมส่ งบตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มานน้ั หนง่ึ ในตวั แปรทสี่ �ำ คญั
ต่อการแก้ปัญหาและลดเงื่อนไขความขัดแยง้ กค็ ือ การปฏบิ ัติงานของเจา้ หนา้ ทร่ี ัฐ ซึง่ เปน็ กลไก
ด่านหน้าของภาครัฐในการมีปฏิสัมพันธ์หรือการสร้างความประทับใจที่เป็นบวกและลบต่อ
ประชาชนได้โดยตรง ความรู้และทักษะที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติงานในพื้นท่ีของเจ้าหน้าที่จึงมี
ความสำ�คญั อยา่ งยิง่ ยวด
แม้ว่าทผ่ี ่านมาจะมโี ครงการอบรมต่าง ๆ เกิดขึน้ มากมายและสามารถลดเงือ่ นไขความ
ขัดแย้งและสร้างความเช่ือมั่นท่ีเพิ่มข้ึนในหมู่ประชาชน แต่การดำ�รงอยู่ของปัญหาความรุนแรง
และกรณีตัวอย่างของความไม่พอใจของประชาชนท่ีมีต่อเจ้าหน้าท่ียังคงไม่หมดไป ดังนั้นจึง
จ�ำ เปน็ ต้องมีเคร่ืองมอื ใหม่ ๆ เพื่อเตมิ เต็มการพฒั นาเจา้ หน้าท่ีรฐั ในพื้นท่ีใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจ
และการปฏิบัติงานที่สมบูรณ์ยิ่งข้ึน โดยเฉพาะการปรับเปล่ียนรูปแบบการนำ�เสนอองค์ความรู้
ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่าย เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีเคร่ืองมือในการ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของ
เจา้ หนา้ ทีใ่ นบรบิ ทท่ีสอดรบั การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมยุคดิจติ ัล
จากความสำ�คัญข้างต้น โครงวิจัยเพ่ือการผลิตชุดความรู้เก่ียวกับจังหวัดชายแดน
ภาคใตแ้ ละการพฒั นาสอ่ื การเรยี นรแู้ ละแบบทดสอบอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ พอ่ื เปน็ เครอื่ งมอื ในการแกไ้ ข
ปญั หาและพฒั นาพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ เกดิ ขน้ึ ภายใตก้ ารท�ำ งานรว่ มกนั ระหวา่ งสถาบนั
พัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำ�นวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี โดยอาศัยบุคลากรจากคณะรัฐศาสตร์
คณะศกึ ษาศาสตร์ ฝา่ ยเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมการเรยี นรู้ ส�ำ นกั วทิ ยบรกิ าร และศนู ยส์ มทุ รรฐั
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำ�งานระหว่างหน่วยงานราชการและ
หนว่ ยงานวชิ าการในรปู แบบสหวทิ ยาการทเี่ นน้ การใชอ้ งคค์ วามรู้ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมหนนุ
เสริมการพฒั นาเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ให้มีประสทิ ธิภาพและทว่ั ถึงย่งิ ขน้ึ
การจดั ท�ำ สอื่ การเรียนร้มู ีท้ังสอ่ื สงิ่ พิมพ์และส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ สอื่ ส่ิงพมิ พป์ ระกอบด้วย
หนังสือชุดความรู้จำ�นวน 6 รายวิชา พร้อมหนังสือฉบับพกพาที่รวมเน้ือหาของรายวิชาทั้งหก
รายวชิ าท ี่ 2 พหุวฒั นธรรมและ สังคมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 5ข
ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ แนว
ปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ภาษามลายถู นิ่ เบอ้ื งตน้ สทิ ธปิ ระโยชน์
ส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ และกฎหมายทใ่ี ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซง่ึ
ไดร้ บั ความอนเุ คราะหใ์ นการเรยี บเรยี งเนอ้ื หาโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ เ่ี ปน็ นกั วชิ าการจากมหาวทิ ยาลยั
ผบู้ รหิ ารปจั จบุ นั และอดตี ขา้ ราชการทมี่ ปี ระสบการณด์ า้ นการปกครอง กฎหมาย และกฎระเบยี บ
ตลอดจนผ้นู �ำ ศาสนา โดยมีการวิพากษช์ ุดความรู้และข้อสอบจากทั้งภาคราชการ ภาควิชาการ
และภาคประชาสงั คม
ส่วนส่ืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยชุดความรู้ในรูปแบบ E-Book ส่ือการเรียนรู้ใน
รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) จำ�นวน 6 รายวิชา และแบบทดสอบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Testing) จ�ำ นวน 3 รายวชิ า ทมี่ เี นอื้ หาเชอื่ มโยงและอา้ งองิ มาจากชดุ ความรขู้ า้ งตน้ ซง่ึ ทง้ั หมด
มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมรองรับการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนา
เจ้าหน้าท่ีของรัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งน้ีโดยมุ่งผลลัพธ์ในการพัฒนาเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ให้
เป็นที่ยอมรับของประชาชน ลดการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงในพื้นที่ และเป็นกลไกสำ�คัญใน
การขับเคลื่อนภารกิจเพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัด
ชายแดนภาคใตอ้ ย่างยัง่ ยนื
คณะผ้จู ดั ทำ�
15 กนั ยายน พ.ศ. 2565
6
ค6 รายวชิ าที่ 2 พหวุ ฒั นธรรมและสังคมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
สารบัญ
หนา้
สารบญั ......................................................................................................................................ง
สารบญั ภาพ..............................................................................................................................ฉ
บทน�ำ ........................................................................................................................................1
ทม่ี าของเนอื้ หาหลกั สตู ร...........................................................................................................3
บทท่ี 1 แนวคดิ วัฒนธรรม ความขดั แย้ง และการสร้างสันติภาพ..............................................5
1.1 วัฒนธรรม ความขดั แย้ง และความรุนแรง............................................................5
1.2 ความคิดที่ยงั ไม่เพยี งพอในการมองวัฒนธรรม.....................................................8
1.2.1วฒั นธรรมเปน็ เนอื้ เดยี วกนั ทงั้ หมด(Cultureishomogeneous)............10
1.2.2 วัฒนธรรมเป็นเหมือนส่ิงของ (Culture is a thing)..........................10
1.2.3 วฒั นธรรมถกู ถา่ ยทอดไปยงั สมาชกิ ของกลมุ่ อยา่ งเปน็ แบบแผนเดยี วกนั
(Culture is uniformly distributed among members of
a group)...........................................................................................10
1.2.4 ความเปน็ ปจั เจกบคุ คลภายใตว้ ฒั นธรรมทเี่ ปน็ หนง่ึ เดยี ว (An individual
processes but single culture)....................................................10
1.2.5 วฒั นธรรมคอื ประเพณี (อันดงี าม) (Culture is a custom)............11
1.2.6 วฒั นธรรมเป็นสิง่ เหนอื กาลเวลา (Culture is timeless)..................11
1.3 การเชือ่ มโยงวัฒนธรรมกับการแกไ้ ขความขดั แย้ง..............................................11
1.4 การพฒั นาทกั ษะทางวัฒนธรรม........................................................................13
1.4.1 การสร้างความสามารถทพ่ี งึ มีเปน็ เบ้อื งต้น.......................................13
1.4.2 การทำ�ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การฝังตัวทางวัฒนธรรม..........................14
1.4.3 การพัฒนาขดี ความสามารถในการแสดงออก...................................14
1.4.4 การเพมิ่ พนู ทศิ ทางความสามารถ.......................................................14
1.4.5 พลวตั รของความขดั แยง้ ...................................................................16
1.4.6 วฒั นธรรมมสี ่วนกำ�หนดความขัดแยง้ ................................................16
1.4.7 ความขัดแยง้ มีส่วนกำ�หนดวฒั นธรรม................................................16
1.5 กา้ วขา้ มความรุนแรงสู่การสร้างสันตภิ าพจากมุมองทางวัฒนธรรม....................16
1.5.1 ชว่ งการปอ้ งกนั ความขัดแย้ง.............................................................16
1.5.2 ช่วงกำ�ลังมคี วามขดั แย้ง.....................................................................18
1.5.3 ชว่ งภายหลงั ความขัดแย้ง..................................................................19
รายวชิ าท ี่ 2 พหุวัฒ นธรรมและ สงั คมจงั หว ดั ชายแดนภาคใต้ 7ง
1.6 ขอ้ จ�ำ กัดของกจิ กรรมทางวฒั นธรรม..................................................................21
1.7 แนวคิดพหวุ ฒั นธรรม และตัวอยา่ งนโยบายพหุวัฒนธรรมในต่างประเทศ..........22
บทที่ 2 แนวคดิ การดำ�รงอยู่ร่วมกันและความยดึ เหน่ยี วในสงั คมพหวุ ฒั นธรรม......................24
2.1 การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั และความยดึ เหนย่ี วทางสงั คมสวู่ ฒั นธรรมการสรา้ งสนั ตภิ าพ..26
2.2 บทเรยี นการอยรู่ ่วมกันในสังคมพหวุ ัฒนธรรมของชมุ ชนมุสลิมในภาคเหนือ......29
2.3 บทเรียนการส่ือสารเพื่อเป็นแนวทางสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดน
ใต.้ ......................................................................................................................31
2.3.1 ความสำ�คญั ของกระบวนการสื่อสารพดู คยุ กนั ..................................31
2.3.2 การสื่อสารอยา่ งสร้างสรรค.์ .............................................................32
2.3.3 การสื่อสารท่ดี ีตอ้ งตอ่ ยอดไปสูก่ ารปฏบิ ตั ิให้เกดิ ผลลพั ธ์ที่ด.ี .............33
2.3.4 การสอ่ื สารทด่ี ตี อ้ งอยบู่ นฐานความเขา้ ใจถงึ วฒั นธรรมของกนั และกนั ...33
บทที่ 3 บทเรียนการทำ�งานสังคมพหุวัฒนธรรมในชายแดนภาคใต้........................................36
3.1 จุดเปล่ียนชีวิตและความคิดเร่ืองอิสลามกับความรุนแรง............................36
3.2 เด็กมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้: ทำ�ความเข้าใจอิสลามกับสังคม
พหวุ ัฒนธรรม....................................................................................................40
3.3 การสรา้ งความเขา้ ใจเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมพหวุ ฒั นธรรมในชายแดนภาคใต.้ .53
3.4 บริบทความขัดแย้งระหว่างศาสนาในสงั คมไทย.................................................54
3.5 คณุ คา่ ในการอยูร่ ว่ มกนั อย่างสันตสิ ขุ ในสงั คมพหุวัฒนธรรม...............................64
3.5.1 ตอ้ งมองเห็นค่าของชีวิตมนษุ ย์ทกุ ผคู้ น.............................................64
3.5.2 การใหอ้ ภยั และไม่อาฆาตมาดร้าย.....................................................66
3.5.3 ความเป็นพี่น้องทมี่ าจากครอบครวั เดยี วกัน......................................69
3.5.4 การยอมรบั ความหลากหลายทางวฒั นธรรมของมนุษย์.....................70
3.5.5 หลกั ความรักความเมตตา (ทีไ่ มม่ ีเส้นแบ่ง).......................................76
3.5.6 หลกั การเสวนาพดู คุยกนั อยา่ งสันติ และการมมี ารยาททีด่ ี................82
3.5.7 หลักการปกปอ้ งกันซึ่งและกนั ..........................................................83
3.5.8 มคี วามใส่ใจไร้พรมแดน.....................................................................84
บทสง่ ทา้ ย...............................................................................................................................86
บรรณานกุ รม..........................................................................................................................90
8
จ8 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ัฒนธรรมและสงั คมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
สารบญั ภาพ
หนา้
ภาพที่ 1 มสั ยดิ บา้ นฮ่อ จังหวัดเชยี งใหม่.................................................................................42
ภาพท่ี 2 อักษรจีน 3 ค�ำ ชิน-เจนิ -ส้อื (สถานทีบ่ ริสทุ ธ์แิ ละแทจ้ รงิ = มัสยดิ )...........................42
ภาพที่ 3 ประตเู ขา้ มสั ยดิ แหง่ หนง่ึ มแี ผน่ ปา้ ยอกั ษรจนี 3 ค�ำ คอื ชงิ -เจนิ -สอื้ (หมายถงึ มสั ยดิ )..43
ภาพท่ี 4 มัสยิดแห่งหนึง่ ในเขตปกครองตนเองหนิงเซย่ี ...........................................................44
ภาพที่ 5 มัสยดิ กเู้ ฉ่งิ ทรงเก๋งจนี ในมณฑลยนู นาน..................................................................44
ภาพที่ 6 เมี๊ยะฮห์ รับ (ชีท้ ิศการละหมาด) มสั ยดิ ทค่ี นุ หมงิ มณฑลยูนนาน..............................45
ภาพที่ 7 เม๊ยี ะฮห์ รบั บนท่ลี ะหมาดของมสั ยิดอิสลามบา้ นฮ่อ เชยี งใหม่.................................45
ภาพท่ี 8 รปู เปรยี บเทยี บหลมุ ฝงั ศพของชาวฮน่ั กบั หลมุ ฝงั ศพของชาวหยุ มสุ ลมิ ........................46
ภาพที่ 9 เจิง้ ชงหลิ่ง (ผกู้ อ่ ตั้งชุมชนอิสลามบา้ นฮอ่ เชียงใหม)่ .................................................48
ภาพท่ี 10 แผ่นป้ายมสั ยดิ ท่ีเชยี งใหม.่ .....................................................................................50
ภาพท่ี 11 ภาพจากส่ือโซเชียล................................................................................................54
ภาพท่ี 12 หออาซานทรงวหิ ารฮินดู มสั ยดิ ชุมชนสุนันกดุ ดสุ ประเทศอนิ โดนเี ซีย...................75
ภาพที่ 13 ชาวบ้าน อ.แม่สะเรยี ง จ.แม่ฮอ่ งสอน.....................................................................80
ภาพท่ี 14 ชาวบ้าน อ.ฝาง จ.เชียงใหม.่ ..................................................................................80
ภาพท ่ี 15 คณะสงฆท์ ม่ี าใหก้ �ำ ลงั ใจและชว่ ยเหลอื พน่ี อ้ งมสุ ลมิ ทเ่ี ปน็ เหยอ่ื อบุ ตั เิ หตเุ รอื ลม่ จ.อยธุ ยา..81
ภาพที่ 16 ป้ายในหมูบ่ า้ นมุสลิมแห่งหน่ึง................................................................................82
ภาพที่ 17 พระสงฆ์มาเสวนาและเรียนรศู้ าสนาอสิ ลามท่ีมัสยิดอิสลามบ้านฮ่อ เชยี งใหม.่ ......83
รายวชิ าท ่ี 2 พหุวฒั นธรรมและ สงั คมจงั หว ดั ชายแดนภาคใต้ 9ฉ
10
10 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ัฒนธรรมและสงั คมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
ชดุ ความรู้รายวชิ า “พหวุ ัฒนธรรมและสงั คมจังหวัดชายแดนภาคใต้”
กรอบเนือ้ หา
อตั ลกั ษณส์ งั คมพหวุ ฒั นธรรมของจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ขอ้ ควรปฏบิ ตั แิ ละขอ้ ควรระวงั
ในการปฏบิ ัตงิ านในสงั คมพหวุ ัฒนธรรม
=========================================
บทน�ำ
ในชว่ งระยะเกอื บยส่ี บิ ปที ผี่ า่ นมาทผี่ เู้ ขยี นไดม้ โี อกาสโลดแลน่ อยบู่ นเสน้ ทางการท�ำ งาน
ด้านการทำ�ความเข้าใจเร่ืองความขัดแย้ง ความรุนแรง และการสร้างสันติภาพ ท้ังในรูปแบบ
ของการบรรยายใหค้ วามรู้ การจัดประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร การทำ�งานวิจัย และการเป็นทีป่ รึกษา
ใหก้ บั กลุ่มเป้าหมายตา่ ง ๆ มากมาย ไมว่ ่าจะเปน็ เด็กนักเรียน- นักศึกษา กลมุ่ ผู้น�ำ ศาสนา ผู้นำ�
ชมุ ชน ผนู้ �ำ ชาวบา้ น ผนู้ �ำ สตรี ผนู้ �ำ เยาวชน ไปจนถงึ กลมุ่ ภาคประชาสงั คม และบรรดาขา้ ราชการ
กระทรวง ทบวง กรมตา่ งๆ ทต่ี อ้ งลงไปทำ�งานในพ้ืนท่ีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซงึ่ เป็นพน้ื ท่ี
ทม่ี คี วามขดั แยง้ รนุ แรงถงึ ตายอยา่ งยดื เยอื้ ตอ่ เนอ่ื งมาเปน็ เวลายาวนาน รวมถงึ การเปน็ วทิ ยากร
ประจำ�ให้กับหลักสูตรเสริมสรา้ งสังคมสันตสิ ขุ (4 ส.) ของสถาบันพระปกเกลา้ ส�ำ หรับผูบ้ รหิ าร
ระดับสูงท่ัวประเทศ ตลอดเส้นทางอันยาวนานน้ี ผู้เขียนได้พบปะและวิสาสะกับผู้คนมากมาย
หลากหลาย ได้รบั ค�ำ ถามและรว่ มแลกเปล่ยี นเรยี นรู้กนั ในสง่ิ ทเ่ี ป็นวิถีชวี ติ ประจำ�วันของผ้คู นใน
การทีจ่ ะอยู่ร่วมกันในท่ามกลางความแตกตา่ งหลากหลาย
ปจั จุบันถึงแม้วา่ ประเด็นการอยู่รว่ มกันในสงั คมพหวุ ัฒนธรรมท่ีมีความแตกตา่ งหลาก
หลายนัน้ เปน็ ท่ียอมรบั กันว่ามีความสำ�คัญเป็นอยา่ งมากดังจะเหน็ จากไมว่ ่านโยบายของภาครัฐ
เองโดยเฉพาะความพยายามแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในจงั หวดั ชายแดนภาคใตก้ ไ็ ดใ้ หค้ วามส�ำ คญั
ในเรอ่ื งนี้ และบรบิ ทความขดั แยง้ รนุ แรงดงั กลา่ วยงั ถกู บคุ คลบางกลมุ่ น�ำ ไปผกู โยงเพอื่ สรา้ งความ
แตกแยกของคนในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเข้าใจใน “สังคมพหุวัฒนธรรม”
ยังคงมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน และมีการนิยามความหมายที่หลากหลายด้วยเช่นกัน ดังน้ัน
ชดุ รายวชิ าน้ีจงึ มีความสำ�คัญท่จี ะท�ำ การส�ำ รวจตรวจสอบความเข้าใจดงั กลา่ ว โดยเฉพาะอยา่ ง
ย่ิง จากประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริงในวิถีชีวิตประจำ�วันของผู้คนในสังคม ซึ่งเป็นประเด็นสำ�คัญ
ท่ีมีการถกเถียงในแวดวงสันติศึกษาและการจัดการความขัดแย้งเนื่องจากความล้มเหลวของ
นโยบายการสรา้ งสนั ตภิ าพในพนื้ ทค่ี วามขดั แยง้ รนุ แรงทจี่ ดั การโดยรฐั บาลกลาง ดว้ ยงบประมาณ
มหาศาล และมกั ละเลยกระบวนการสรา้ งสนั ตภิ าพจากฐานราก (Richmond 2009) ในขณะ
รายวชิ าท ี่ 2 พหุวฒั นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 1
เดียวกัน ความขัดแย้งท่ีเป็นเร่ืองราวในชีวิตประจำ�วันซ่ึงมีความสำ�คัญในฐานยึดโยงกับวิถีชีวิต
ความเช่ือ นิสยั ประเพณีและวฒั นธรรมของความเป็นไปของชีวติ ประจ�ำ วันทางสงั คม แต่ก็มกั
ถกู มองข้ามและผา่ นเลยไป ทั้ง ๆ ทีเ่ รือ่ งราวในชวี ติ ประจ�ำ วนั น้นั มีคุณลักษณะเป็นท้ังเชงิ พืน้ ท่ี
กายภาพทผ่ี คู้ นตอ้ งพบเจอกนั และเปน็ กระบวนการของความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลในการสมั พนั ธต์ อ่
กนั (Brewer 2018)
ดังนัน้ การมองวา่ กระบวนการสรา้ งสันติภาพควรเปน็ เรอื่ งปกตใิ นวิถีชวี ติ ประจ�ำ วนั จึง
เป็นเรื่องใหม่และริเร่ิมจริงจังโดยนักวิชาการสันติศึกษาของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (The
Manchester School of Peace Studies) (Brewer 2018) และ Roger Mac Ginty (2014)
มองวา่ การสรา้ งสนั ตภิ าพในชวี ติ ประจ�ำ วนั เปน็ เรอื่ งราวของการรเิ รม่ิ จากฐานลา่ งโดยตวั กระท�ำ
การจากทอ้ งถิน่ มากกว่าที่จะมาจากการสั่งการโดยผู้มีอ�ำ นาจจากเบ้ืองบน Roger Mac Ginty
and Oliver Richmond (2013) จึงมองว่าน้ีคอื “การยอ้ นกลับสู่ท้องถน่ิ ” (the local turn) ใน
การสรา้ งสนั ติภาพ มนั เปน็ เร่อื งประจ�ำ วนั จนเหมอื นกลายเป็นความเฉยชินไปกับความขัดแยง้ ท่ี
ผคู้ นประสบพบอยทู่ กุ เมอ่ื เชอื่ วนั ในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ การสรา้ งสนั ตภิ าพในชวี ติ ประจ�ำ วนั จงึ มาจาก
ผู้กระทำ�การจากฐานล่างโดยเป็นคนธรรมดาท่ัวไปในพ้ืนที่ความขัดแย้งโดยผู้คนจะได้มีการถก
เถียงพูดคยุ ต่อรองในเมฆหมอกของความขดั แย้งเพอ่ื ท่จี ะกา้ วขา้ มหรอื ปรบั ตัวในการทจี่ ะอยู่กับ
มนั ต่อไป (ดู Watson 2012)
ดังนั้น ในชุดรายวิชาน้ี ผู้เขียนอยากจะร้อยเรียงและถอดบทเรียนจากการได้มีโอกาส
ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตลอดชีวิตท่ีผ่านมา มันเป็นเร่ืองราวชีวิตของคนธรรมดาท่ัวไปเพื่อดูว่าวิถี
ชีวิต นิสัย ความคิดความเชื่อ และพฤติกรรมการปฏิบัติที่เราต้องอยู่ด้วยกันน้ัน มันมีส่ิงใดท่ี
เป็นอุปสรรคขัดขวางในการท่ีเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในท่ามกลางความหลากหลาย โดย
เฉพาะอยา่ งย่งิ จากตวั ตนของผู้เขียนในฐานะที่เป็นนกั วชิ าการมสุ ลิมทีไ่ ดเ้ ฝา้ ติดตามและไดเ้ หน็
พฒั นาการของโรคเกลยี ดกลวั อสิ ลามในสงั คมไทย (ดู ดอน ปาทาน 2561 และ เอกรนิ ทร์ ตว่ นศริ ิ
2562) และในระหว่างทางการทำ�งานอันยาวนาน ผู้เขียนได้เห็นและสัมผัสดีถึงอคติของ
พี่น้องมุสลิมที่มีต่อพี่น้องต่างศาสนิก เฉกเช่นเดียวกับได้สัมผัสถึงอคติของพี่น้องต่างศาสนิกท่ีมี
ตอ่ เราชาวมุสลมิ ในสงั คมไทย แต่ขณะเดียวกัน กม็ เี รอ่ื งราวมากมายทไี่ ดเ้ หน็ ถงึ ความเอือ้ อาทร
ความพยายามในการปรับตัว ความร่วมไม้ร่วมมือกันเพ่ือก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ท่ีคนทุกศาสนา
ตา่ งเผชญิ ร่วมกันในชุมชน ชีวติ ประจ�ำ วันของผู้คนทัง้ หมดท่ีเปน็ ตัวละครในโครงการนจ้ี งึ เต็มไป
ดว้ ยสสี นั และหากจะได้มีการกลน่ั กรองและสกัดมันออกมาเปน็ บทเรยี นของการสรา้ งสันติภาพ
ในชวี ติ ประจ�ำ วนั คงจะยงั ประโยชนไ์ ด้ ไมม่ ากกน็ อ้ ยใหก้ บั คนท�ำ งานทางดา้ นนที้ ยี่ งั คงตอ้ งเดนิ ตอ่
ไปและให้ครอบคลุมมากขึน้ ตอ่ ไป
2
2 รายวชิ าท่ี 2 พหุวฒั นธรรมและสังคมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
ที่มาของเนื้อหาหลักสูตร
ในชุดรายวิชานี้ผู้เขียนได้ถอดบทเรียนจากการรวบรวมจากเรื่องราวของตัวผู้เขียนเอง
ในการเลือกท่ีจะเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ความขัดแย้ง
และสรา้ งสันตภิ าพในชวี ติ ประจำ�วันตลอดระยะเวลาเกอื บ 20 ปีที่ผ่านมา เปน็ เรอื่ งราวทง้ั หมด
มาจากแหลง่ ต่างๆ ได้แก่ การรับรรู้ ับฟังจากบคุ คลตา่ งๆ จากหลากหลายพน้ื ทคี่ วามขัดแยง้ ท้งั
ในระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน และสังคม และเป็นบทเรียนที่เกิดข้ึนท้ังสังคมไทย และในต่าง
ประเทศ ซงึ่ ผเู้ ขยี นไดป้ ระสบดว้ ยตนเอง หรอื เรยี นรเู้ รอ่ื งราวเหลา่ นน้ั ผา่ นเนอื้ หาจากการสอนใน
มหาวทิ ยาลยั โดยเรอ่ื งราวทงั้ หมดทเี่ ลอื กมานนั้ ผเู้ ขยี นตอ้ งการสรปุ เปน็ บทเรยี นจากการสนทนา
ตคี วาม และท�ำ ความเขา้ ใจเรอ่ื งราวเหลา่ นนั้ โดยสะทอ้ นผา่ นความเปน็ ตวั ตนของผเู้ ขยี นในฐานะ
นกั สงั คมศาสตรม์ ุสลมิ
การแสวงหาความรู้ผ่านเร่ืองเล่าเป็นวิธีการศึกษาหน่ึงทางการวิจัยทางมนุษยศาสตร์
และสงั คมศาสตรท์ ใ่ี ชป้ ระโยชนจ์ ากเรอื่ งราวทมี่ าจากประสบการณส์ ว่ นตวั ของบคุ คล เมอื่ เราเลา่
เรอ่ื งราวนน่ั หมายถงึ เราก�ำ ลงั สอ่ งไปยงั ความหมายของประสบการณใ์ นชวี ติ ของเรา ดงั นน้ั การเลา่
เรอ่ื งจงึ เปน็ การพรรณนาถงึ รปู แบบพน้ื ฐานเบอ้ื งตน้ ของการใหค้ วามหมายในประสบการณม์ นษุ ย์
เรอื่ งเลา่ จงึ เปน็ เครอื่ งมอื ของบคุ คลทจ่ี ะสอื่ ความเขา้ ใจในตนของบคุ คลในบรบิ ทพลวตั ของสงั คม
ทีเ่ คลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอด (Benson 2018)
Clandinin & Connelly (อ้างใน Benson 2018: 598) ใช้คำ�ว่า “การเล่าใหม่”
(restorying) หมายถึงวิธีการซ่ึงข้อมูลจากเร่ืองเล่าถูกนำ�มาวิเคราะห์และจัดโครงสร้างใหม่โดย
ใช้การเลา่ เรอ่ื งในฐานะเป็นเครือ่ งมือในการวเิ คราะห ์ ในขณะที่ Barkhuizen (อา้ งใน Benson
2018: 599) ใช้คำ�ว่า “ความรู้จากการเล่า” (narrative knowledging) เพอ่ื แสดงถึงแนวทาง
ระดบั ตา่ งๆ ของการแสวงหาความรจู้ ากเรอื่ งเลา่ ซงึ่ เกยี่ วโยงกบั การท�ำ ความเขา้ ใจประสบการณ์
ผา่ นการเลา่ เรอ่ื ง ผา่ นการวเิ คราะหเ์ รอ่ื งแหลา่ นน้ั ผา่ นการรายงานวจิ ยั เชงิ การเลา่ เรอ่ื ง และผา่ น
ขอ้ คน้ พบการวจิ ยั
การศึกษาวิเคราะห์ผ่านเร่ืองเล่ามักเป็นเร่ืองประวัติส่วนตัวของใครบางคน หรือเป็น
ความรู้จากประสบการณ์ตรงของคนคนนั้น ซ่ึงไม่ใช่เรื่องท่ีเป็นนิยายแบบเพ้อฝันแต่เป็นการ
ตคี วามหมายเพอ่ื ท�ำ ความเขา้ ใจประสบการณ์ในชีวติ ดังนนั้ ผลผลติ ของเรอ่ื งเล่าอาจจะออกมา
ในลกั ษณะ ขอ้ มลู ทางประวัตศิ าสตร์ กรณีศึกษา ประวตั ิชีวติ หรอื บทเรยี นแบบเปน็ ตอนๆ จาก
ประสบการณ์ของชีวิต ดังนั้น จุดแข็งหนึ่งของการวิจัยเชิงเล่าเร่ืองจึงเป็นเร่ืองความสามารถใน
การเข้าถึงประสบการณ์อันยาวนานของคน และสื่อสารผ่านการเขียนเรื่องเล่าในฐานะเป็น
เครื่องมือ เพ่ือเปน็ ตัวแทนประสบการณ์ชีวติ อันต่อเน่อื งยาวนาน ถึงแมว้ า่ อาจมกี ารโต้แย้งไดว้ า่
รายวชิ าท ี่ 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สังคมจงั หว ัดชายแดนภาคใต้ 3
ภาษาท่ีใช้ถ่ายทอดจากความทรงจำ�นั้นเป็นการเขียนแบบไม่เป็นทางการจากการทบทวนรำ�ลึก
และการสะทอ้ นมมุ มองตอ่ ประสบการณช์ วี ติ ในหว้ งนน้ั ๆ ท�ำ ใหก้ ารวเิ คราะหเ์ รอื่ งเลา่ จงึ เปน็ อะไร
ทไี่ มใ่ ชก่ ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ทางการหรอื การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทม่ี อี ยา่ งเขม้ ขน้ ตามหลกั
วชิ าการ อย่างไรก็ตาม เราอาจทำ�การโตแ้ ยง้ กลับในประเด็นนี้ได้วา่ การศกึ ษาเกย่ี วกับเร่อื งเลา่
ผา่ นความทรงจ�ำ นนั้ สามารถนบั เปน็ การเขยี นงานวจิ ยั ไดห้ ากมกี ารใหค้ วามรใู้ นประเดน็ ทมี่ คี วาม
ส�ำ คัญเชิงประยุกต์ในชมุ ชนวิชาการอนื่ ๆ
ดงั นน้ั เนอื้ หาหลกั ของรายวชิ านจ้ี งึ เปน็ การถา่ ยทอดเรอ่ื งราวจากประสบการณต์ รงของผู้
เขยี นและไดเ้ ขยี นเปน็ รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณเ์ รอื่ ง “ถอดบทเรยี นความขดั แยง้ และการสรา้ ง
สันติภาพในชวี ิตประจำ�วนั ” (2563) โดย “โครงการน้ี ได้รบั ทนุ สนบั สนนุ จากศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยา
สริ ินธร (องค์การมหาชน)”
นอกจากนนั้ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ยงั มงี านศกึ ษาวจิ ยั ของผเู้ ขยี นเองอกี 2 เรอ่ื งทม่ี คี วามเกยี่ วขอ้ ง
และนา่ จะเปน็ ประโยชนใ์ นการท�ำ ความเขา้ ใจแนวคดิ “สงั คมพหวุ ฒั นธรรม” โดยภาพรวม ไดแ้ ก่
รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณเ์ รอื่ ง “มติ ทิ างวฒั นธรรมของการสรา้ งสนั ตภิ าพ” (2555) และเรอ่ื ง
“การสรา้ งสนั ตภิ าพในสงั คมพหลุ กั ษณท์ างศาสนาชาตพิ นั ธ:์ุ กรณศี กึ ษาชมุ ชนมสุ ลมิ ในภาคเหนอื
ของประเทศไทย” (2558) ซึ่ง สนบั สนนุ โดย สำ�นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว./สกสว.)
ผเู้ ขยี นจงึ ไดน้ �ำ เนอ้ื หาบางสว่ นของรายงาน การวจิ ยั ดงั กลา่ วมาประกอบในเนอื้ หาของชดุ รายวชิ านี้
ผูเ้ ขียนจงึ ขอขอบคุณเป็นอยา่ งสูงตอ่ หนว่ ยงานท้งั สององค์กรดงั กล่าว ไดแ้ ก่ ศนู ยม์ านุษยวทิ ยา
สริ นิ ธร (องค์การมหาชน) และส�ำ นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว. /สกสว.) มา ณ ท่ีนี้
4
4 รายวชิ าที่ 2 พหวุ ฒั นธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
บทท่ี 1
แนวคิดวัฒนธรรม ความขัดแยง้ และการสรา้ งสันตภิ าพ
1.1 วฒั นธรรม ความขดั แยง้ และความรนุ แรง
ก่อนท่ีเราจะเร่ิมเข้าสู่เน้ือหาการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมน้ันเราควรทำ�ความ
เข้าใจความซับซ้อนของมิติทางวัฒนธรรมท่ีสัมพันธ์กับความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพเป็น
เบื้องต้น
ภายหลงั การจบลงของสงครามโลกครงั้ ทส่ี องไดไ้ มน่ าน องคก์ ารการศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์
และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ (UNESCO) ไดส้ ถาปนารฐั ธรรมนญู ขององคก์ ารฯ ขน้ึ มา โดย
ในค�ำ นำ�ตอนหนง่ึ กลา่ วไว้ว่า
นบั ตง้ั แตส่ งครามไดเ้ ร่ิมข้นึ ในความคิดของมนษุ ย์ซึง่
เกิดจากความคดิ ท่ีวา่ มนษุ ย์จะต้องท�ำ การปกป้อง
สนั ตภิ าพด้วยวิธีการในทกุ รูปแบบ ดงั นน้ั จากการใช้
วิธกี ารทโ่ี ง่เขลาเบาปญั ญาไดน้ �ำ มาซึ่งการสูญเสยี ชีวิต
มนุษย์เป็นจำ�นวนมากมายมหาศาลตลอดประวตั ศิ าสตร์
ของมนษุ ยชาตทิ ่ีผา่ นมา บ่อยครั้งเหลอื เกินสงครามเกิด
ขึน้ เพียงเพราะความหวาดระแวงและการไมไ่ ว้วางใจซ่ึง
กนั และกนั ระหวา่ งผคู้ นที่มีความแตกต่างกัน
ดังนัน้ องคก์ าร UNESCO จึงไดป้ า่ วประกาศและสนับสนนุ โครงการตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ผู้คน
ไดต้ ระหนกั และใหค้ วามส�ำ คญั กบั มติ ทิ างวฒั นธรรมและการศกึ ษาในการจรรโลงและสรา้ งสรรค์
สันตภิ าพ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามิติทางวัฒนธรรมมีส่วนในการสร้างสันติภาพหรือเป็นตัวนำ�
มาซง่ึ ความขดั แย้งและความรนุ แรงกนั แน่ ยงั คงเป็นท่ถี กเถียงในลกั ษณะสดุ โตง่ สองแนว
กลา่ วคือ ในดา้ นหน่งึ มีนักวิชาการผมู้ ีชอ่ื เสียงอยา่ ง Samuel P. Huntington ได้เขยี น
บทความเรอื่ ง “การปะทะทางอารยธรรม” (The Clash of Civilizations) ซงึ่ เสนอวา่ ความแตก
ต่างทางวัฒนธรรมเปน็ สาเหตุของความขัดแย้งและอาจน�ำ สูส่ ภาวะสงคราม และตอ่ มา แนวคดิ
นีไ้ ด้ถกู ขยายต่อเพือ่ อธบิ ายถึงสาเหตคุ วามขัดแยง้ ท่ีเกดิ ข้ึนภายในสงั คมหนึง่ ๆ อันเนอ่ื งมาจาก
ความแตกตา่ งทางประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมและศาสนาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ต่ี า่ งกนั อยา่ งไรกต็ าม
ในด้านหน่ึง มีผู้ท่ีเห็นแย้งว่า วัฒนธรรมโดยตัวของมันเองไม่ใช่สาเหตุที่จะนำ�สู่สงคราม ดังจะ
รายวชิ าท ่ี 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 5
เห็นได้จากตัวอย่างกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ได้แก่ งานศิลปะ ภาพวาด งานปั้น เซรามิก
ดนตรี วรรณกรรม การละคร หรอื การกฬี า ฯลฯ ไมเ่ คยเปน็ สาเหตขุ องการท�ำ สงครามเลย เพราะ
สงครามความรนุ แรงทงั้ หลายนนั้ ลว้ นเกดิ จากประเดน็ ทางการเมอื งเพอ่ื ตกั ตวงและฉกฉวยการใช้
ประโยชน์จากการสรา้ งความแตกต่าง
ดงั นนั้ จงึ ควรทจี่ ะส�ำ รวจตรวจสอบเพอื่ เขา้ ใจถงึ มติ ทิ างวฒั นธรรมในการสรา้ งสนั ตภิ าพ
เพ่ือก้าวข้ามแนวคิดสุดโต่งทั้งสองข้ัว ทั้งนี้การทำ�ความเข้าใจถึงกระบวนการความขัดแย้งและ
การจัดการความขัดแยง้ น้นั หากนยิ ามความหมาย “วัฒนธรรม” โดยขาดความซบั ซ้อนและลมุ่
ลกึ แล้ว อาจท�ำ ใหก้ ารอธิบายวฒั นธรรมของเราไมม่ ีพลังเพียงพอและเปน็ ไปอยา่ งผิวเผินเกนิ ไป
ดงั นน้ั การส�ำ รวจเปน็ เบอ้ื งตน้ ถงึ ความคดิ ทยี่ งั ไมเ่ พยี งพอตอ่ การท�ำ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมจงึ เปน็
ส่ิงสำ�คัญเพื่อจะได้ตระหนักคิดให้รอบคอบในการมองวัฒนธรรมในท่ามกลางสถานการณ์ความ
ขัดแย้ง ตลอดจนการทำ�ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับวัฒนธรรมซึ่งเป็น
ไปในลักษณะส่งผลซง่ึ กันและกัน ความสับสนระหว่างความขดั แยง้ กับความรุนแรง และวิธีก้าว
ข้ามความรุนแรงและความขัดแยง้ จากมมุ มองทางวฒั นธรรม
Richard Solomon ประธานสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (United States
Institute of Peace) ได้กล่าวไว้ในคำ�นำ�ของหนังสือ วัฒนธรรมและการแก้ไขความขัดแย้ง
(Culture and Conflict Resolution) ไว้ว่า “นักวิชาการและผู้ทำ�งานทางด้านการจัดการ
ความขัดแย้งในการเจรจาต่อรองระดับนานาชาติส่วนใหญ่ในปัจจุบันต่างเห็นพ้องต้องกันแล้ว
วา่ วัฒนธรรม เปน็ ส่วนสำ�คัญของความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ”
นบั ตง้ั แตย่ คุ หลงั สงครามเยน็ เปน็ ตน้ มา ดเู หมอื นวา่ ความสนใจในมติ ทิ างวฒั นธรรมของ
การสร้างสันติภาพและจัดการความขัดแย้งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้
จากงานเขียน งานวิจัย และการเรียนการสอนทางด้านสันติศึกษาท่ีเพ่ิมขึ้นเป็นอันมาก ควบคู่
กับสถานการณ์ความขัดแย้งในเชิงทำ�ลายในส่วนต่าง ๆ ของโลกมักเก่ียวข้องกับความขัดแย้ง
ทางดา้ นอตั ลกั ษณท์ างชาติพันธ์ุ
ความขดั แยง้ มกั เกยี่ วขอ้ งกบั วฒั นธรรมอยเู่ สมอ ดงั ตวั อยา่ งเชน่ ชาวเซริ บ์ คนหนงึ่ ทอ่ี าศยั
อยใู่ นท่ีพักแห่งหนง่ึ ในกรุงซาราเจโว เธอไมเ่ คยรบั รหู้ รือสนใจเลยวา่ ใครคือชาวบอสเนยี ใครคอื
ชาวโครเอเชีย หรอื ชาวเซิรบ์ ถึงแมว้ า่ คนเหลา่ นีจ้ ะมีความแตกตา่ งทางด้านศาสนา ภาษา และ
พ้ืนฐานทางวัฒนธรรม แต่ความแตกต่างเหล่านี้ก็ไม่ได้สลักสำ�คัญแต่อย่างไรในชีวิตประจำ�วัน
ของพวกเขา แต่ครั้นเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ความโกรธเกลียดในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน
กลับปรากฏข้ึน และพื้นฐานความแตกต่างทางวัฒนธรรมท้ังหลายกลับกลายเป็นตัวนำ�สู่ความ
ขัดแยง้ ทส่ี ่งผลเชงิ ทำ�ลายล้างซง่ึ กันและกันอยา่ งน่าสะพรึงกลัว
วัฒนธรรมฝังอยู่ในทุกๆความขัดแย้งเน่ืองจากความขัดแย้งเกิดข้ึนบนพื้นฐานความ
6
6 รายวชิ าท่ี 2 พหุวัฒนธรรมและสงั คมจังหวัดชายแดนภาคใต้
สัมพนั ธ์ของมนษุ ย์ วิธีทีเ่ ราเรียกขาน ขดี กรอบ ต�ำ หนิตเิ ตยี น และความพยายามท่จี ะลดความ
ขัดแยง้ ล้วนได้รบั อิทธิพลจากวฒั นธรรม หรือกลา่ วอีกนยั หน่งึ วฒั นธรรมคือ แกนกลางในทกุ ๆ
ความสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์ เก่ียวข้องกบั ทัง้ ความขัดแย้ง และการแก้ไขความขัดแย้ง
หากจะถามว่า วัฒนธรรมเป็นปัจจัยของความขัดแย้งเสมอใช่หรือไม่ คำ�ตอบคือ ใช่
วฒั นธรรมอาจมบี ทบาทหลกั ในความขดั แยง้ หรอื อาจเพยี งมสี ว่ นในความขดั แยง้ แตส่ �ำ หรบั ความ
ขัดแย้งใดๆ ที่เรากำ�ลังเผชิญนั้นย่อมมีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอยู่เสมอ เพราะจะเก่ียวข้อง
กบั ธ�ำ รงคณุ คา่ และการสรา้ งอัตลักษณ์ ดังตัวอย่างเช่น ความขัดแยง้ ระหวา่ งชาวปาเลสไตนแ์ ละ
อสิ ราเอล หรอื ความขดั แยง้ ของชาวอนิ เดยี -ปากสี ถานทมี่ ตี อ่ ชาวแคชเมยี รน์ นั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งขดั
แยง้ เกยี่ วกบั ประเดน็ เรอ่ื งเขตแดน และอ�ำ นาจอธปิ ไตยเทา่ นนั้ หากยงั เปน็ ประเดน็ เรอ่ื งการไดร้ บั
การยอมรบั ความเปน็ ตวั แทน และความชอบธรรมของการมอี ตั ลกั ษณแ์ ละวถิ ชี วี ติ ทแ่ี ตกตา่ งกนั
ซึ่งความขอ้ นสี้ ามารถรวมถงึ ตวั อย่างความขัดแย้งกรณีสามจังหวัดภาคใตข้ องไทยไดเ้ ป็นอย่างดี
ถึงแมว้ ่าวฒั นธรรมมีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกบั ความขัดแยง้ เสมอ แต่การวเิ คราะหค์ วามขัดแย้ง
จ�ำ นวนมากกลบั ละเลยมติ ทิ างวฒั นธรรมซงึ่ เปรยี บเหมอื นภเู ขาน�้ำ แขง็ ทอ่ี ยใู่ ตพ้ นื้ ผวิ น�ำ้ การละเลย
มิติดังกล่าวอาจจะนำ�สู่อันตราย ดังน้ัน เพื่อช่วยให้เกิดการปรับตัวในการแสวงหาทางเลือกท่ีดี
จึงจำ�เป็นต้องใส่ใจในมิติทางวัฒนธรรม และมีความเจนจัดทางวัฒนธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับความ
ขัดแย้งกับผู้คนกลุ่มต่างๆท่ีมีความแตกต่างทางอัตลักษณ์ดังน้ัน การตระหนักถึงระดับชั้นต่างๆ
ทางวัฒนธรรมในความขัดแย้ง อาจทำ�ให้เราหยุดท่ีจะมองอะไรอย่างผิวเผินหรือเข้าใจว่าเป็นท่ี
รๆู้ กันอยู่แล้วด้วยสามญั สำ�นกึ แตต่ ้องหนั มาเรยี นรู้ใส่ใจความสัมพันธร์ ะหว่างความขัดแยง้ กบั
วัฒนธรรมมากยิ่งขน้ึ
Johan Galtung นักทฤษฎีสันติวิธีคนสำ�คัญของโลกได้ให้ข้อคิดไว้ว่า ความขัดแย้ง
เป็นปรากฏการณ์ท่ีซับซ้อนของมนุษย์ และไม่ควรสับสนกับความรุนแรง เพราะความรุนแรง
เป็นอันตราย และท�ำ รา้ ยร่างกาย จิตใจ หรอื จิตวญิ ญาณของบคุ คล ท้ังโดยทางวาจา หรือทาง
ร่างกาย รวมถึงด้วยทา่ ทางต่างๆ ความรนุ แรงนำ�สบู่ าดแผลท่ยี ากจะลบเลือนท้งั ในร่างกายและ
จติ ใจ ความรนุ แรงเปน็ การแสดงออกถงึ ความเกลยี ดชงั ในหลายๆ วฒั นธรรมบาดแผลของความ
รุนแรงเปน็ ไปในสองลักษณะค่กู ันคือ การเชดิ ชูชยั ชนะ (ของชาต)ิ และ บาดแผลในฐานะความ
พ่ายแพ้
แม้วา่ ความขดั แยง้ อาจนำ�สู่ความรนุ แรง แตท่ ้งั สองก็แตกตา่ งกันโดยสิน้ เชงิ แกน่ ของ
ความขดั แยง้ มกั มสี าเหตจุ ากความไมล่ งรอยกนั ในเปา้ หมายบางอยา่ ง อยา่ งไรกต็ าม ความขดั แยง้
กเ็ หมอื นกบั อากาศทอี่ ยรู่ อบๆ ตวั เรา ดงั นนั้ การพดู ถงึ การปอ้ งกนั ความขดั แยง้ จงึ เปน็ เรอื่ งไรส้ าระ
ความรุนแรงตา่ งหากเป็นเรือ่ งทเี่ ราตอ้ งปอ้ งกนั และสามารถปอ้ งกนั ไดเ้ หมอื นกบั เราปอ้ งกนั เชอ้ื
โรค แต่ความสามารถในการป้องกนั ความรุนแรงของมนุษยย์ ังคงเหมอื นอยใู่ นยคุ โบราณ
รายวชิ าท ี่ 2 พหุวัฒ นธรรมและ สังคมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 7
ส�ำ หรบั John Paul Lederach นกั สงั คมวทิ ยาผคู้ ร�ำ่ หวอดกบั การท�ำ วจิ ยั เกยี่ วกบั ความ
ขัดแย้งในทตี่ า่ งๆทั่วโลก ไดส้ รุปประสบการณข์ องตวั เองเกยี่ วกับความขัดแยง้ และวฒั นธรรมไว้
วา่ ความขดั แยง้ ทางสงั คมเปน็ เรอ่ื งธรรมชาติ และเปน็ ประสบการณท์ พ่ี บเหน็ ไดใ้ นทกุ สงั คมและ
วัฒนธรรม ความขดั แยง้ เป็นเร่อื งของการทสี่ ังคมสรา้ งเหตุการณ์ทางวฒั นธรรมขึ้นมา ความขดั
แยง้ ไมใ่ ช่เกดิ ขน้ึ มาโดยลอยๆ ในสญุ ญากาศ หากเกิดจากการท่ีผ้คู นมปี ฏิสัมพนั ธ์กนั และสร้าง
สถานการณเ์ ปน็ ความขดั แยง้ ขนึ้ มา ความขดั แยง้ ปรากฏขนึ้ โดยผา่ นกระบวนการปฏสิ มั พนั ธท์ มี่ ี
พ้ืนฐานจากการสรา้ งความหมายรว่ มกนั และวฒั นธรรมมรี ากฐานมาจากการตีความหมาย การ
แสดงออก และการตอบสนองตอ่ สภาพความเปน็ จรงิ ทางสงั คมทรี่ ายลอ้ ม ดงั นนั้ การเขา้ ใจความ
เช่ือมโยงระหว่างความขัดแย้งทางสังคมกับวัฒนธรรมไม่ใช่เพียงแค่ต้องมีการตระหนัก หรือมี
ความรู้สึกไวทางวัฒนธรรมเท่านั้น หากแต่ยังต้องขุดไปถึงส่วนฝังลึกท่ีสะสมเป็นความรู้ร่วมกัน
ของคนในสงั คม อยา่ งไรกต็ าม ในเน้อื หาของบทความที่จะกลา่ วถงึ ตอ่ ไปน้จี ะใช้ความขัดแยง้ ใน
ความหมายท่ีนำ�สู่ความรุนแรง
1.2 ความคดิ ท่ียงั ไม่เพยี งพอในการมองวฒั นธรรม
กรอบคิดเพื่อนำ�สู่ความเข้าใจถึงกระบวนการและวิธีการในการแก้ไขความขัดแย้งจาก
มติ ทิ างวฒั นธรรมนนั้ อาจยงั ไมเ่ พียงพอหาก
1. ละเลยความล่มุ ลึกซับซ้อนของปรากฏการณ์ความขดั แยง้ นนั้ ๆ
2. ถกู น�ำ ไปเชอ่ื มโยงกบั วาระหรืออุดมการณท์ างการเมอื งท้ังในรปู แบบทซ่ี ่อน
เร้นหรอื เปิดเผยก็ตาม
จากพัฒนาการความเป็นศาสตร์ของมานุษยวิทยาพบว่ามีปัญหาพ้ืนฐาน 2 ประการ
ที่เกีย่ วขอ้ งกบั การท�ำ ความเข้าใจวฒั นธรรม คือ ประการแรก ทง้ั Edward Tylor และ Franz
Boas กับบรรดาสานุศิษย์ของท่าน โดยมีสมมุติฐานเก่ียวกับความเก่ียวเน่ืองสัมพันธ์กันทาง
วัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ และแนวคิดมีอิทธิพลอย่างมากในช่วงนั้น โดยเฉพาะอย่างย่ิง เม่ือ
Ruth Benedict (1934) เขียนงานช่ือ แบบแผนทางวฒั นธรรม (Patterns of Culture) ออก
มาว่าเราสามารถอธิบายวัฒนธรรมของสังคมหน่ึงๆ ได้จากลักษณะที่โดดเด่นของสังคมน้ันๆ
เช่น เปน็ สังคมท่ชี อบหวาดกลัว เป็นสงั คมทอี่ ยกู่ นั อยา่ งกลมเกลยี ว หรอื เปน็ สังคมที่ไรร้ ะเบยี บ
เปน็ ตน้ การอธบิ ายวฒั นธรรมในลกั ษณะทเี่ กย่ี วขอ้ งเชอื่ มโยงกนั เปน็ กอ้ นเดยี วกนั นนั้ มขี อ้ จ�ำ กดั
หลายประการคือ วัฒนธรรมแต่ละวัฒนธรรมมีความแตกต่างกันไปและไม่ได้หยุดนิ่งแต่เปลี่ยน
ไปตามกาลเวลา ความเกยี่ วขอ้ งเชอื่ มโยงกนั นน้ั อาจมหี ลากหลายไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งหลอ่ หลอมกลาย
เปน็ วฒั นธรรมทโ่ี ดดเดน่ เพยี งประการเดยี วของสงั คมนนั้ ๆ และการทว่ี ฒั นธรรมมคี วามเกย่ี วเนอื่ ง
เชือ่ มโยงกนั กไ็ มไ่ ด้แปลวา่ สังคมน้ันๆ กลมกลนื เป็นหนงึ่ เดยี วจนไม่มขี ้อขัดแยง้
8
8 รายวชิ าท่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประการที่สอง คำ�ถามที่ถกเถียงกันมากในแวดวงสังคมศาสตร์คือ ตำ�แหน่งแห่งท่ีของ
วัฒนธรรมอยู่ตรงไหน อยู่ “ภายใน” ของแต่ละปัจเจกบุคคล (กลายเป็นปัญหาของจิตวิทยา)
หรือวา่ อยู่ “ภายนอก” ทค่ี รอบโดยโครงสร้างที่มองไม่เหน็ และอยู่เหนือความเปน็ ปจั เจกบุคคล
สานศุ ษิ ยข์ อง Boas เกดิ การแตกออกเปน็ สองกลมุ่ ความคดิ ในมานษุ ยวทิ ยาอเมรกิ นั คอื บา้ งเหน็
ว่าเปน็ เรือ่ งปัจเจกบคุ คล บา้ งเหน็ ว่าเป็นเรือ่ งโครงสรา้ ง สว่ นนักมานษุ ยวทิ ยาชาวอังกฤษ ส่วน
ใหญไ่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลของ Emile Durkheim โดยไมใ่ สใ่ จกบั ปจั จยั สว่ นบคุ คล (จติ วทิ ยา) Tylor ตอบ
คำ�ถามน้ีในปี ค.ศ.1871 โดยกล่าววา่ เปน็ ทัง้ เรอื่ งปัจเจกบุคคลและโครงสร้าง เพราะวฒั นธรรม
เปน็ ท้งั กฎหมาย ศิลปะ ศลี ธรรม และ อื่นๆ อีกมากมาย ที่เป็นอะไรทม่ี ีอยู่แลว้ (เช่น ในหนงั สอื
ศาล พิพิธภัณฑ์ คัมภีร์ หรือ ศาสนสถาน เป็นต้น) และแต่บุคคลก็ได้ซึมซับสิ่งเหล่าน้ีเข้าไป
ภายในเชน่ เดยี วกนั อยา่ งไรกต็ าม ถงึ แม้ว่าเราจะยอมรบั ว่า ตำ�แหน่งแหง่ ท่ขี องวฒั นธรรมนั้นมี
อยูใ่ นภายนอก แต่ยงั มีคำ�ถามทีต่ ามมาคอื มันอยู่ตรงไหน โครงสร้างหรอื สถาบันแบบใดทบี่ รรจุ
วัฒนธรรมเอาไว้ ซงึ่ ในทศั นะของ Tylor มองวา่ “สงั คม” คอื ทีอ่ ยูข่ องโครงสร้างของวัฒนธรรม
และ Boas พรอ้ มสานุศิษยใ์ ห้การยอมรับอยา่ งกลาย ๆ ในแนวคดิ นี้ ปญั หาท่ีตามมาคือ แนวคดิ
นี้อาจพอฟังมีเหตุผลหากสังคมนั้นเป็นเพียงสังคมเล็ก ๆ ท่ีผู้คนต่างรู้จักและติดต่อสัมพันธ์กัน
ได้โดยตรง ดังที่นักมานุษยวิทยาทั้งหลายเข้าไปทำ�การศึกษา แต่แนวคิดน้ีกำ�ลังมองวัฒนธรรม
และสังคมว่าคือส่ิง ๆ เดียวกันและคำ�ท้ังสองคำ�น้ีสามารถใช้แทนกันได้ เช่น สังคมโซมาลี ก็
คือ วัฒนธรรมโซมาลี (วฒั นธรรมโซมาลกี ค็ อื สงั คมโซมาลี) หรอื สังคมไทยก็คอื วัฒนธรรมไทย
(วัฒนธรรมไทยก็คือสังคมไทย) เป็นต้น แนวคิดนี้ได้ส่งอิทธิพลไปยังสังคมวิทยาอเมริกันสำ�นัก
พารส์ ัน (Parsonian Sociology) ซง่ึ แม้วา่ จะแบง่ สังคมออกเป็นระบบยอ่ ย ๆ แต่กย็ ังคงอยู่ภาย
ใต้กรอบคิดท่ีมีอคติแนวหน้าที่นิยม (Functionalism) ท่ีมองระบบย่อยของสังคมเป็นไปอย่าง
เกื้อกูลซ่ึงกนั และกนั ภายใตเ้ สถียรภาพของระบบสงั คมโดยรวม
จากปัญหาจุดอ่อนทั้งสองประการดังกล่าว จึงดูประหนึ่งว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง
วัฒนธรรมและสังคมเป็นไปอย่างชัดเจนและไม่มีปัญหาแต่ประการใด แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังคงมี
ปัญหาอีกหลายประการท่ียังไม่มีคำ�ตอบเช่น สังคมและวัฒนธรรมโซมาลี (หรือญี่ปุ่น อเมริกัน
หรือไทย) มีเพียงหน่ึงเดียวจริงหรือ หรือว่าสังคมและวัฒนธรรมโซมาลี (หรืออื่นๆ) มีความ
หลากหลายมากมาย ในสงั คมหนง่ึ ๆ ประกอบด้วยกลุ่มคนตา่ งๆ หรอื โครงสรา้ ง หรือสถาบนั ใด
บา้ ง และทุกกลุ่มสามารถมารวมเข้าด้วยกนั บนพ้ืนฐานทางวฒั นธรรมของตัวเองไดห้ รอื ไม่ และ
ค�ำ ถามสดุ ทา้ ยคอื เราทัง้ หลาย (ไม่วา่ จะเปน็ นกั ...อะไรกต็ าม) ให้ความส�ำ คญั กับการบรู ณาการ
และความเกยี่ วขอ้ งเช่ือมโยงกนั และความเป็นระบบมากเกินไปหรือไม่
จากปญั หาพ้ืนฐานสองประการเก่ียวกับต�ำ แหนง่ แหง่ ที่ของวฒั นธรรม ทำ�ใหเ้ ราเห็นจดุ
ออ่ นของแนวคดิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งวฒั นธรรม 6 ประการ ทพี่ งึ ตอ้ งระมดั ระวงั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ จดุ ออ่ น
รายวชิ าท ี่ 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สังคมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 9
เหลา่ นย้ี งั คงพบเหน็ อยเู่ สมอทงั้ ในงานเขยี นและผปู้ ฏบิ ตั ใิ นการสรา้ งสนั ตภิ าพและแกไ้ ขความขดั
แยง้ ทีม่ กั จะมองวัฒนธรรมในงานของเขาในลกั ษณะต่างๆ ดังนี้
1.2.1 วฒั นธรรมเป็นเนือ้ เดยี วกนั ทงั้ หมด (Culture is homogeneous)
ความเข้าใจในลักษณะน้ี ดูประหน่ึงว่าวัฒนธรรมในสังคมใดๆ นั้น ปลอดจากความ
ขดั แยง้ ภายในระหว่างกนั ทง้ั นเี้ พราะวฒั นธรรมเปน็ เหมือนแนวทางปฏบิ ตั ใิ ห้กับบุคคลไดแ้ สดง
พฤติกรรมที่เหมาะสมในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม และคร้ันเมื่อผู้คนจากภายนอกได้เรียนรู้
วฒั นธรรมหนึ่ง ๆ กจ็ ะสามารถบอกลักษณะของคนในวัฒนธรรมนั้น ๆ ไดเ้ ลย เช่น คนไทยรัก
สงบ หรอื คนอเมรกิ ันใฝเ่ สรี เป็นต้น ความคดิ มองวัฒนธรรมแบบเหมารวมเป็นเนอ้ื เดยี วกันน้ียัง
สง่ ผลต่อปญั หาประการต่อมาคือ
1.2.2 วฒั นธรรมเป็นเหมือนส่ิงของ (Culture is a thing)
การมองวฒั นธรรมเปน็ เหมือนสง่ิ ทีป่ รากฏได้ชดั เจน (The Reification of Culture)
ท�ำ ใหว้ ฒั นธรรมกลายเปน็ สง่ิ ของทเ่ี ปน็ อสิ ระไปจากการพฤตกิ รรมและความเปน็ ตวั ตนของมนษุ ย์
ตัวอย่างของวิธีคิดแบบนี้ท่ีมีอิทธิพลต่อการกำ�หนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาโดย
เฉพาะอยา่ งยง่ิ ในช่วงสมยั ของประธานาธิบดี จอร์จ บุช โดยมองวฒั นธรรมเปน็ แทง่ ๆ เปรียบ
เหมอื นสง่ิ ของจงึ มักละเลยความแตกต่างหลากหลายภายในวัฒนธรรม
1.2.3 วัฒนธรรมถูกถ่ายทอดไปยังสมาชิกของกลุ่มอย่างเป็นแบบแผนเดียวกัน
(Culture is uniformly distributed among members of a group)
แนวคดิ นม้ี องวา่ สมาชกิ ทกุ กลมุ่ ของสงั คมตา่ งรบั รู้ ดม่ื ด�ำ่ และแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งเปน็
ไปในลักษณะเดียวกัน ใครท่ีมีวัฒนธรรมที่ผิดแผกแตกต่างออกไป ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคล
หรือระดับกลมุ่ กต็ ามจะถูกละเลย หรือตีตราว่าเปน็ พวกที่ “เบี่ยงเบน” หรือ “ทรยศตอ่ ชาติ”
เปน็ ตน้
1.2.4 ความเป็นปัจเจกบุคคลภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นหน่ึงเดียว (An individual
processes but single culture)
การที่ใครบางคนอาจเป็นชาวอะไรก็ตามได้อย่างง่ายดายภายใต้วัฒนธรรมใหญ่กระแส
หลกั เชน่ ชาวโซมาลี ชาวเมก็ ซกิ นั ชาวอเมรกิ นั หรอื ชาวไทย วฒั นธรรมจงึ มคี วามหมายเดยี วกนั
กบั อัตลักษณข์ องกลมุ่ คน รากเหงา้ ของความผดิ พลาดในแนวคิดนีอ้ าจเกดิ จากการครอบง�ำ โดย
วัฒนธรรมชนเผา่ วฒั นธรรมกลมุ่ ชาติพันธุ์ หรอื วฒั นธรรมแหง่ ชาติ ที่มีตอ่ กลมุ่ โครงสรา้ ง หรือ
10
10 รายวิชาที่ 2 พหุวัฒนธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
สถาบนั อื่นๆ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากตนในขณะท่ีแท้ทจ่ี รงิ แลว้ ปจั เจกบุคคลใดกต็ ามลว้ นมีวฒั นธรรม
ท่มี ีลักษณะหลากหลายอย่ใู นตวั เอง ดังท่ีนกั ภาษาศาสตรท์ างสงั คมไดค้ น้ พบว่า แมแ้ ต่ในสังคม
ที่ภาษาเพียงหนึง่ เดียวนน้ั ก็ยงั มสี ำ�เนียงท่ีแตกต่างหลากหลายมากมายหลายส�ำ เนียง
1.2.5 วัฒนธรรมคอื ประเพณี (อนั ดีงาม) (Culture is a custom)
วฒั นธรรมมกั ถกู มองวา่ คอื สง่ิ เดยี วกบั ประเพณี (อนั ดงี าม) ทป่ี ฏบิ ตั สิ บื ทอดตดิ ตอ่ กนั มา
ส่ิงทีเ่ ราเหน็ จากวฒั นธรรมก็คือสิง่ ทเ่ี ราไดร้ บั มันมาน่ันเอง ดังนนั้ สงิ่ ส�ำ คญั ถา้ หากเราเปน็ บุคคล
จากภายนอกคือ ต้องรู้จักถึงกฎประเพณีปฏิบัติเพ่ือจะประพฤติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
วฒั นธรรมจงึ ถกู ลดทอนใหก้ ลายเปน็ เพยี งระดบั ของพนื้ ผวิ ของความมมี ารยาทอนั ดงี าม ในขณะ
ท่ี ความหลากหลายทางวฒั นธรรมนนั้ อาจน�ำ มาซงึ่ มารยาททแี่ ตกตา่ งกนั ได้ ดงั นนั้ ความเปน็ ตวั
ตนของบคุ คลจงึ ถกู ลดทอนความส�ำ คญั ลงไป แนวคดิ แบบนจ้ี งึ ไมต่ อ้ งหยบิ ยกพดู ถงึ ประเดน็ การ
ตอ่ สู้ของผู้ทไ่ี มย่ อมปฏบิ ัตติ ามประเพณีของสงั คม
1.2.6 วฒั นธรรมเปน็ ส่งิ เหนือกาลเวลา (Culture is timeless)
แนวคิดท่ีว่าวัฒนธรรมเป็นส่ิงเหนือกาลเวลาน้ัน ใกล้เคียงกับกับแนวคิดวัฒนธรรมคือ
ประเพณีอันดีงามในข้อข้างต้น แนวคิดแบบนี้บ่งว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ีหยุดนิ่งไม่เปล่ียนแปลง
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ เปน็ ประเพณปี ฏบิ ตั มิ าชา้ นาน ตวั อยา่ งของการน�ำ แนวคดิ นไ้ี ป
ใชไ้ ด้แก่ “ความคดิ จติ ใจของชนชาวอาหรับ” (The Arab mind) ท่ีสบื ทอดมาตั้งแต่สมยั ศาสดา
มฮู ัมหมดั เมอื่ 1,400 ปีมาแล้ว เปน็ ตน้
จุดอ่อนของการมองวฒั นธรรมใน 6 ลักษณะดงั กลา่ วมคี วามเกีย่ วข้องกนั และกนั และ
ยงั คงไดร้ บั การอธบิ ายและปฏบิ ตั กิ นั อยา่ งกวา้ งขวาง และไมเ่ ปน็ ทน่ี า่ สงสยั เลยวา่ ไดส้ ง่ ผลตอ่ การ
วเิ คราะหเ์ พอ่ื ท�ำ ความเขา้ ใจมติ ทิ างวฒั นธรรมของความสมั พนั ธท์ างสงั คม ความขดั แยง้ การแกไ้ ข
ความขดั แยง้ และการสร้างสนั ตภิ าพในสังคม โดยเฉพาะอย่างยง่ิ จากปีกของพวกชนื่ ชมในลทั ธิ
นักชาตนิ ิยม และพวกเหยยี ดเชือ้ ชาติและสผี ิว เปน็ ต้น ดังตัวอย่างรูปธรรมท่ีเกดิ ขนึ้ ในประเทศ
รวันดา บรุ ุนดี บอสเนีย และนาซีเยอรมนั เปน็ ต้น และความขัดแยง้ ในสังคมไทยปจั จบุ ัน ไมว่ า่
กรณีความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดอย่าง
รุนแรงระหวา่ งกลมุ่ คนเสอื้ สตี า่ งๆ ในสังคมไทย
1.3 การเชอื่ มโยงวฒั นธรรมกบั การแกไ้ ขความขัดแย้ง
การท�ำ ความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความขดั แย้งน้นั อาจท�ำ ได้งา่ ย
ขน้ึ หากเราพิจารณาความขัดแย้งออกเปน็ มติ ทิ ีแ่ ตกตา่ ง 3 ระดับ ได้แก่
รายวิชาท ี่ 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สงั คมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 11
ระดบั ทางวตั ถุ (material level) หรือ ความขัดแยง้ เกีย่ วกับ “อะไร”
ระดบั เชงิ สัญลกั ษณ์ (symbolic level) เกย่ี วกบั ความหมายในประเดน็ ต่างๆ ท่บี ุคคล
เขา้ มาเกยี่ วข้องสมั พนั ธ์ เช่น อตั ลกั ษณ์ คณุ ค่า และโลกทัศน์ เปน็ ตน้
ระดับเชิงความสัมพันธ์ (relational level) หรือวิถีทางที่ความขัดแย้งดำ�รงอยู่ใน
ท่ามกลางกลุ่มตา่ งๆ
การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะต้อง
แจกแจงมิติต่างๆ ทัง้ สามมติ ิ วฒั นธรรมจะอยใู่ นบริบทและมสี ่วนกำ�หนดมิตทิ ้งั สาม ดงั น้ัน การ
แกไ้ ขความขัดแยง้ จึงต้องอาศยั ความคลอ่ งแคล่วจดั เจนทางวฒั นธรรม (cultural fluency)
จากประสบการณก์ ารแกไ้ ขความขดั แยง้ ในสงั คมหลายๆ แหง่ สว่ นใหญป่ รากฏชดั ในมติ ิ
ทางวตั ถุทเี่ ห็นแง่มมุ ความขดั แยง้ ทีช่ ัดเจนที่ต้องการการแกไ้ ขเปลยี่ นแปลงเกี่ยวกับประเด็นทาง
นโยบาย โครงสร้าง ระบบ กฎระเบียบ หรอื ข้อตกลงตา่ งๆ ความขดั แยง้ ในมิตนิ ้จี ะจบลงได้หาก
มกี ารเปลยี่ นแปลงในระดบั ทเี่ ปน็ รปู ธรรมทง้ั หลายเหลา่ นี้ และประเดน็ รปู ธรรมดงั กลา่ วมกั ไดร้ บั
อทิ ธพิ ลจากมติ เิ ชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละเชงิ ความสมั พนั ธเ์ ชน่ กนั วา่ จะสรา้ งการรบั รตู้ อ่ มติ ทิ างรปู ธรรม
เหล่านั้นอยา่ งไร
วัฒนธรรมมักมีชีวิตชีวาและปรากฏในมิติเชิงสัญลักษณ์และเชิงความสัมพันธ์ ทั้งนี้
เนื่องจากมันมีพลังอย่างมากในการกำ�หนดการรับรู้และกระบวนการสร้างความหมาย มิติเชิง
สัญลักษณ์จะเน้นว่าอัตลักษณ์ และวิธีการมองโลกกำ�หนดการรับรู้และการกระทำ�ของเราใน
มิติทางวัตถุ ทั้งนี้เน่ืองจากความขัดแย้งอาจเป็นการท้าทายอัตลักษณ์และการให้นิยามความ
หมายอย่างลึกซ้ึง ดังตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งในเร่ืองเขตแดนอาจไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องการแย่ง
ชงิ ทรัพยากร หรอื ความมั่งค่ัง ทีเ่ ป็นมิติทางวตั ถุ หากแตย่ งั เปน็ เรือ่ งของอตั ลักษณข์ องชาตหิ รือ
ของกลุ่ม ความรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของ ความภาคภูมิใจ หรือความมัน่ คง เปน็ ต้น ดังนั้น ความขัดแยง้
ประเภทนจ้ี ะแกไ้ ขใหล้ ลุ ว่ งไปไดก้ ด็ ว้ ยการทพ่ี จิ ารณาถงึ ความหมายทผี่ คู้ นผกู โยงกบั ประเดน็ ทาง
วตั ถนุ ั้นๆ ดว้ ยเชน่ กนั
มติ เิ ชงิ ความสมั พนั ธม์ คี วามเชอ่ื มโยงกนั อยา่ งใกลช้ ดิ กบั มติ ทิ างสญั ลกั ษณ์ มติ ทิ เ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั การสรา้ งความสามารถในการสอื่ สาร และเพอื่ รบั รถู้ งึ ประเดน็ รว่ มระหวา่ งกลมุ่ ตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ น
ความขัดแย้งท่ีอาจชว่ ยเหลือพ่ึงพาซ่งึ กนั และกันได้
มติ เิ ชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละเชงิ ความสมั พนั ธจ์ ะเนน้ ถงึ ความจ�ำ เปน็ ในการสรา้ งความสมั พนั ธ์ ที่
อาจเปน็ เงอื่ นไขเรมิ่ ตน้ ทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ หรอื ทเี่ ปน็ ผลผลติ ของความขดั แยง้ ในขณะท่ี
มติ ทิ างวตั ถบุ ง่ บอกถงึ ความขดั แยง้ ทป่ี รากฏขนึ้ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม และสามารถมองเหน็ ได ้ และ
เมือ่ ผคู้ นยังคงอยใู่ นความสมั พันธแ์ บบขดั แย้งกันอย่างมาก การเปลย่ี นแปลงในมิติทางวัตถุอาจ
ชว่ ยไดเ้ พยี งชวั่ คราวเทา่ นนั้ การแกไ้ ขความขดั แยง้ ในระดบั วตั ถตุ อ้ งการการลงทนุ อยา่ งมากทงั้ ใน
12
12 รายวชิ าท่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและสังคมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
แงเ่ วลา ความพยายาม และการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ดี่ ี เพื่อเขา้ ถงึ มติ เิ ชิงสญั ลกั ษณแ์ ละเชงิ ความ
สมั พนั ธท์ ลี่ กึ ซงึ้ ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป และหากการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ดี่ ไี ดร้ บั การใสใ่ จเปน็ เบอื้ งตน้ เมอ่ื เกดิ
ความขดั แยง้ แลว้ ความพยายามในการแกไ้ ขปญั หาในระดบั วตั ถยุ อ่ มเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
ดงั ตวั อยา่ งประสบการณก์ ารแกไ้ ขปัญหาความขัดแยง้ ในประเทศแอฟริกาใต้
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศแอฟริกาใต้ได้เร่ิมเข้าสู่จุดเปล่ียนจากสังคมท่ีเต็มไป
ด้วยการเหยียดผิว หากการแก้ไขความขัดแย้งเพียงแต่มุ่งเน้นการยุติการเหยียดเชื้อชาติและ
โครงสร้างท่ีเลือกปฏิบัติทางสีผิว นโยบาย รวมถึงกฎหมายต่างๆ การแก้ไขคงจะเป็นไปอย่าง
ไม่มีประสทิ ธิภาพ ความส�ำ เรจ็ ทีเ่ กิดข้นึ เปน็ ผลจากการสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างเชื้อชาติ การ
เนน้ ถงึ มติ เิ ชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละเชงิ ความสมั พนั ธไ์ ดช้ ว่ ยท�ำ ให้ “สง่ิ ทน่ี า่ เหลอื เชอื่ ” ไดบ้ งั เกดิ เปน็ จรงิ
ขึ้นในการแก้ไขปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในประเทศแอฟริกา เกิดความพยายามในระดับชาติ
ในการจดั ต้งั คณะกรรมการความจรงิ และความสมานฉันท์ (The Truth and Reconciliation
Commission) มกี ารจดั ตงั้ ผแู้ ทนทางเชอ้ื ชาตใิ นรฐั บาลปรองดองแหง่ ชาตขิ นึ้ (National Unity)
และความพยายามของกลมุ่ องคก์ รในระดบั รากหญา้ มากมายทใี่ หก้ ารสนบั สนนุ ใหผ้ คู้ นทแี่ บง่ แยก
มามคี วามสมั พนั ธแ์ ละนง่ั จบั เขา่ พดู คยุ กนั ท�ำ ใหก้ ารเปลย่ี นแปลงในระดบั โครงสรา้ งกลายเปน็ สง่ิ
ท่ีมีความหมาย ในขณะที่สังคมอย่างประเทศแอฟริกาน้ันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยท่ีจะพูดกันถึง
เรอ่ื งความปรองดองกนั ในเร่ืองเชื้อชาติ แตก่ ลับมสี ญั ญาณทส่ี ำ�คญั ถึงความก้าวหน้าในทิศทางที่
ดอี นั เนื่องมากจากความพยายามในการแกไ้ ขความขัดแยง้ ในมติ ทิ างวตั ถไุ ดร้ บั การกระทำ�ควบคู่
ไปกบั ความพยายามสรรสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั มติ เิ ชงิ สญั ลกั ษณแ์ ละอตั ลกั ษณข์ องผคู้ นในสงั คม
จึงนับเป็นเร่ืองท่ีน่าเสียดายไม่น้อยท่ีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย โดย
เฉพาะอยา่ งยิ่งในเร่อื งการแบง่ ฝักฝา่ ยทางการเมอื งทนี่ ับวันดจู ะรา้ วลึกไปมากยง่ิ ขึ้น และปญั หา
ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยท่ีรัฐบาลได้ทุ่มเทงบประมาณไปเป็นจำ�นวน
มหาศาลแตป่ ระสิทธผิ ลของการแก้ไขความขัดแยง้ กลับไม่คุม้ ค่ากับงบประมาณท่ลี งไป
1.4 การพฒั นาทกั ษะทางวัฒนธรรม
Michelle Lebaron และ Pillay, Venashri ได้เสนอแนวคิดเพอ่ื นำ�สูก่ ารพัฒนาทกั ษะ
ทางวัฒนธรรม (cultural fluency) ว่าตอ้ งค�ำ นึงมิตติ ่างๆที่สำ�คัญ 4 มติ ิ ได้แก่
1.4.1 การสร้างความสามารถท่พี ึงมีเป็นเบ้อื งต้น
1. รูจ้ กั สงั เกตแบบแผนวัฒนธรรมของผู้อ่นื ว่าพวกเขาใหค้ วามหมายกบั ตวั เอง
อยา่ งไร (พวกเขาคือใคร) และมอี ะไรบา้ งที่พวกเขาใส่ใจและให้ความสำ�คญั
2. ท�ำ ความเขา้ ใจวา่ อะไรคือแบบแผนในการสรา้ งความหมายของพวกเขา ใน
รายวิชาท ่ี 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สงั คมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 13
ขณะเดียวกันพึงระมัดระวงั การตคี วามหมายของเราที่มตี ่อพวกเขาใหเ้ ป็นไปอย่างยืดหยนุ่ และ
พร้อมทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นไดเ้ สมอ ไม่ใช่ตัดสินผู้อืน่ อยา่ งแขง็ กระดา้ งตายตวั และเหมารวม
3. ทำ�ความเข้าใจว่าแบบแผนการสร้างความหมายของตัวเราเองถูกกำ�หนด
อย่างไร โดยการพินิจพิเคราะหอ์ ย่างระมัดระวังว่าเรารบั รอู้ ย่างไรว่า เราคอื ใครอยา่ งไร และเรา
ใสใ่ จและให้ความสำ�คญั กับอะไรบา้ ง
4. พิจารณาว่าแบบแผนของการสร้างความหมายของวัฒนธรรมผู้อื่นที่มีต่อ
เราน้ันเป็นอย่างไร และเราต้องตระหนักว่าความเข้าใจทางวัฒนธรรมมักเป็นการสร้างร่วมกัน
ระหวา่ งตวั เรากับผู้อืน่ เสมอ
5. รู้จักเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งจากการวิเคราะห์ตนเอง และจากการสังเกต
วัฒนธรรมของผอู้ นื่
1.4.2 การท�ำ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการฝังตวั ทางวัฒนธรรม
1. ตระหนักเสมอวา่ มสี ิ่งเบอื้ งลกึ ในระดบั จติ ใตส้ �ำ นกึ และจติ ไร้ส�ำ นึกท่ีมผี ลตอ่
การสร้างความหมายว่าให้เราเปน็ อยา่ งใดอย่างหนึง่
2. ถามตวั เราเองวา่ ทำ�ไมเราจงึ ไมค่ นุ้ เคยกบั วัฒนธรรมของผู้อื่น ท�ำ ไมรสู้ ึกถงึ
ความแตกตา่ ง และเราจะตอ้ งตระหนกั วา่ วฒั นธรรมของเรานนั้ ไดช้ ว่ ยใหเ้ ราเหน็ ถงึ ความแตกตา่ ง
3. ลองส�ำ รวจดวู า่ ในการสรา้ งความหมายใหก้ บั ตวั เรานนั้ เราไดร้ บั เอาสมมตุ ฐิ าน
ทางวัฒนธรรมอะไรบ้าง จากการวเิ คราะห์ตวั เราเองและการเสวนากบั วัฒนธรรมของผู้อื่น
4. จากประสบการณ์ชีวิตของเราต้ังแตใ่ นวยั เดก็ และในวยั เติบใหญ่ตอ่ มานัน้
มีการเปล่ียนแปลงมมุ มองหรือไม่อย่างไรเก่ียวกบั เราเป็นใคร และมอี ะไรบา้ งท่ีเราใส่ใจ
5. จากการท่ีเราได้มีการเสวนากับผู้อ่ืนทำ�ให้พวกเขามีการปรับเปลี่ยนในการ
สร้างความหมายใหก้ บั ชีวติ พวกเขาหรอื ไม่ อย่างไร
1.4.3 การพัฒนาขีดความสามารถในการแสดงออก
1. อะไรทเ่ี ราใสใ่ จ ท�ำ ไมเราจงึ ใส่ใจ
2. ใสใ่ จกบั การสร้างความหมายของวัฒนธรรมของผู้อ่ืนเชน่ เดียวกบั เรา
3. ไมด่ ว่ นตัดสนิ ผ้อู น่ื และใช้ภาษาอยา่ งเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพ่ือทจี่ ะช่วยให้เรา
เช่อื มกับผ้อู ่ืน
1.4.4 การเพ่มิ พนู ทิศทางความสามารถ
1. ตระหนกั วา่ อะไรคอื ความคาดหวังทางวฒั นธรรมทจ่ี ะสง่ ผลกระทบตอ่ ตวั
14
14 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
เรา และอะไรคอื แบบแผนของการสร้างความหมายทีเ่ ราจะน�ำ มาใชใ้ นบริบทหนงึ่ ๆ
2. ตดั สินใจว่าเราจะร่วมสรา้ งอนาคตกับวัฒนธรรมผ้อู ่ืนอย่างไร ทง้ั จากความ
แตกต่างและจุดรว่ มระหว่างเราและผู้อ่นื
3. จะตอ้ งเรม่ิ กา้ วแรกดว้ ยความกลา้ หาญ และรจู้ กั ปรบั ตวั อยา่ งยดื หยนุ่ ในการ
เปดิ เผยความจรงิ
มติ ทิ ง้ั หลายของการพฒั นาทกั ษะทางวฒั นธรรมนน้ั ตา่ งอาจสง่ ผลตอ่ กนั และกนั และจะ
เปน็ เครอื่ งมอื ในการเดนิ ทางส�ำ หรบั เราทจี่ ะทอ่ งไปในสงั คมตา่ งวฒั นธรรม เชน่ เราจะพดู กบั ชาว
ชาวไทยมลายทู ่ี อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อย่างไร ทีพ่ วกเขายดึ ถือความจรงิ บางอย่างท่แี ตกต่างไป
จากเราโดยส้นิ เชิง เราจะปฏิบัติตอ่ แรงงานชาวพม่าอพยพอย่างไรที่มักจะถกู สอ่ื นำ�เสนอวา่ ชอบ
สงั หารนายจา้ งอย่างเหย้ี มโหด คำ�ถามเหล่านีอ้ าจเปน็ เพยี งค�ำ ถามสมมตุ ิเท่าน้นั ซึ่งสำ�หรับเส้น
ทางที่ท่านจะต้องพบเจอจริงๆ น้ัน ท่านอาจจะต้องออกแบบทักษะทางวัฒนธรรมด้วยตัวของ
ท่านเอง ดังน้ัน แนวทางข้างต้นจึงอาจไม่ใช่สูตรสำ�เร็จเพียงสูตรเดียวที่จะช่วยพัฒนาให้เรามี
ทกั ษะทางวฒั นธรรมเพอื่ การสร้างสันติภาพ
1.4.5 พลวัตของความขัดแยง้
ความขัดแย้งไม่ใช่เป็นส่ิงเชิงสร้างสรรค์ทั้งหมด หรือเป็นส่ิงเชิงทำ�ลายท้ังหมด แต่เป็น
กระบวนการท่ีมีพลวัตและมักค่อยๆ เข้มแข็งข้ึนเป็นลำ�ดับเมื่อมีจำ�นวนสมาชิกเข้าร่วมมากข้ึน
หรือมีประเดน็ ท่ีต้องเกยี่ วขอ้ งมากขึ้น ในขณะทคี่ นเรม่ิ รสู้ กึ ถึงวา่ เกิดความแตกตา่ งขนึ้ นั้น ความ
ขัดแยง้ อาจยงั ไมป่ รากฏกไ็ ด้ ความแตกต่างจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นความขดั แย้งกต็ อ่ เมอื่ เผชญิ
กับสภาวะทรัพยากรท่ีมีจำ�กัด หรือคนเริ่มเกิดความรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคามจากผู้อื่น และใน
สถานการณ์เมื่อผู้คนที่เก่ียวข้องกับความขัดแย้งต่างต้องพ่ึงพากันและกันจะทำ�ให้ความขัดแย้ง
เร่ิมตึงเครียดข้ึนได้อันเนื่องมาจากต่างได้เรียนรู้ความต้องการท่ีมีอยู่ร่วมกัน และพยายามที่จะ
ให้ไดม้ าซ่ึงเป้าหมายนน้ั ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ทรพั ยากรหรอื การถูกคกุ คาม
ความขดั แยง้ มกั แบง่ แยกมนษุ ยอ์ อกเปน็ ขว้ั ๆ ท�ำ ใหค้ นทอี่ ยทู่ า่ มกลางความขดั แยง้ เลอื กท่ี
จะกระโดดไปอยขู่ ว้ั ทต่ี นเองคดิ วา่ ด-ี เลว ถกู -ผดิ ยตุ ธิ รรม-ไรค้ วามยตุ ธิ รรม หรอื จงรกั ภกั ด-ี ทรยศ
ต่อชาติ เม่อื การแบ่งแยกได้เร่มิ ขึ้น ความไมไ่ ว้วางใจ โกรธเกลียดเรม่ิ ตามมา เกิดความร้สู ึกเปน็
พวกเรา-พวกเขา หรือสีนั้น-สีน้ี และตอ่ มาหากความขัดแยง้ เป็นไปในเชิงท�ำ ลาย จึงเรม่ิ มกี ารลด
ทอนความเป็นมนุษย์ และย่ิงมีคนเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้น ยิ่งเหมือนตอกยำ้�ว่ากลุ่มตนเองมีความ
ชอบธรรมและถกู ต้องดงี าม มองอกี กลุ่มกลายเป็นปศี าจ
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจทำ�ให้ความขัดแย้งยากท่ีจะแก้ไข เพราะเป็นตัวช่วย
รายวชิ าท ่ี 2 พหุวัฒ นธรรมและ สงั คมจงั หว ัดชายแดนภาคใต้ 15
ขยายความเข้าใจและการรบั ร้ทู ผ่ี ิดพลาดยิ่ง ๆ ขึน้ ไป และขณะเดยี วกัน ความขดั แยง้ ก็ มสี ว่ น
ตอ่ การก�ำ หนดวฒั นธรรมด้วยเชน่ กัน
1.4.6 วฒั นธรรมมสี ว่ นก�ำ หนดความขดั แย้ง
- วฒั นธรรม ก�ำ หนดความหมายของความขดั แยง้ และบอกเราวา่ ความขดั แยง้ เปน็ เรอ่ื ง
เกยี่ วกบั อะไร
- วัฒนธรรม บอกเราว่า เราคอื ใคร และพวกเขา คอื ใคร ในความขดั แย้ง
- วฒั นธรรม เชอ่ื มโยงเราสู่อดตี ปัจจุบนั และอนาคตของพลวัตความขัดแยง้
- วฒั นธรรมชว่ ยขยายความขดั แยง้ ไปทวั่ บรบิ ททางสงั คม โดยผา่ นการใชส้ ญั ลกั ษณร์ ว่ ม
กัน
1.4.7 ความขัดแยง้ มีส่วนกำ�หนดวัฒนธรรม
- ความขัดแย้งกระตุ้นให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม และกำ�หนดมุมมองทาง
วัฒนธรรมที่ใหค้ วามหมายวา่ อะไรคอื ความขดั แย้ง
- ความรนุ แรงทแี่ พรก่ ระจายออกไปอยา่ งกวา้ งขวางนนั้ สง่ ผลตอ่ วฒั นธรรมโดยการสรา้ ง
บาดแผลและการเชิดชู
1.5 กา้ วขา้ มความรนุ แรงสกู่ ารสร้างสันตภิ าพจากมุมองทางวฒั นธรรม
จากงานศึกษาของ JRIPEC โดยพิจารณาจากประสบการณ์ของกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั่ว
โลก พบว่า สามารถจัดแบ่งประเภทของการสร้างสันติภาพจากมุมองทางวัฒนธรรมได้เป็น 3
ช่วงระยะเวลา ไดแ้ ก่ ช่วงการป้องกันความขัดแยง้ ชว่ งก�ำ ลังมคี วามขดั แยง้ เกิดขึ้น และชว่ งภาย
หลงั ความขัดแย้งและความรุนแรง
1.5.1 ชว่ งการป้องกนั ความขัดแย้ง
เปน็ ชว่ งการปอ้ งกนั ความขดั แยง้ ขณะมเี พยี งการเผชญิ หนา้ กนั ธรรมดาโดยทย่ี งั ไมม่ กี าร
ใชก้ ำ�ลังอาวธุ การริเริม่ กิจกรรมทางวฒั นธรรมบางอย่างสามารถท่จี ะชว่ ยเสริมสร้างความเขา้ ใจ
อันดีระหว่างคู่ตรงข้ามได้ โดยให้ทุกฝ่ายได้มีความอดกลั้น ใจกว้างและยอมรับในเง่ือนไขของ
แตล่ ะฝ่ายทจี่ ะทำ�ให้กา้ วสคู่ วามไว้วางใจซึ่งกนั และกนั
มตี วั อยา่ งไดแ้ ก่ กลมุ่ นกั ดนตรไี รพ้ รมแดน (Musicians Without Borders) พยายามใช้
ดนตรใี นการบ�ำ รงุ จติ ใจผคู้ นใหม้ องไปขา้ งหนา้ ถงึ อนาคตอนั สดใส และสรา้ งคณุ คา่ ของสนั ตภิ าพ
ผา่ นบทเพลงทข่ี บั ขาน ดงั ตวั อยา่ ง มลู นธิ ญิ ปี่ นุ่ (Japan Foundation) เปน็ ตวั กลางสนบั สนนุ การ
แสดงดนตรีในคาบสมุทรบอลขา่ น เชน่ โคโซโว ยโู กสลาเวีย มาซโิ ดเนยี โดยใช้นกั แสดงดนตรี
จากหลากหลายชาติพันธ์ุเข้าร่วมเป็นวงแสดงออเคสตร้า กลุ่มสร้างกิจกรรมกับเด็กๆ ไม่ว่าจะ
16
16 รายวิชาท่ี 2 พหุวัฒนธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
เปน็ ด้านการใหก้ ารศึกษา สขุ ภาพและสขุ อนามยั การสร้างโอกาสใหส้ ตรี รวมถงึ การสรา้ งความ
ตระหนักในด้านสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ (กลุม่ ACTION ในฟิลิปปนิ ส์ กลมุ่ ADRA ในญี่ปุ่น
เป็นต้น)
กิจกรรมของหลายๆ องค์กรเป็นการเปิดสู่โลกภายนอกให้กับเด็กๆ ให้กว้างไกลยิ่ง
ข้ึนเพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ในด้านการรักการอ่าน โดยการบริจาคหนังสือและทำ�เป็นห้องสมุด
เคลอ่ื นที่ ซงึ่ ขอ้ มลู จากการท�ำ ส�ำ รวจพบประเดน็ ทนี่ า่ สนใจวา่ ในพนื้ ทท่ี มี่ กี ารท�ำ หอ้ งสมดุ เคลอื่ นท่ี
และกิจกรรมการบริจาคหนังสือนั้นผู้คนจะไม่มีความขัดแย้งท่ีนำ�สู่ความรุนแรง มีตัวอย่างใน
ประเทศญ่ีปุ่น สร้างกิจกรรมเพ่ือแนะนำ�วัฒนธรรมท้องถิ่นและการสอนภาษาท้องถ่ิน ทำ�ให้
วฒั นธรรมมบี ทบาทเปน็ ตวั กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การสรา้ งสนั ตภิ าพ ดงั เชน่ มลู นธิ ญิ ปี่ นุ่ รว่ มกบั องคก์ าร
สหประชาชาติเพื่อกองทุนเด็ก (UNICEF) ได้สนับสนุนโครงการจัดทำ�หนังสือเป็นภาพสีท่ีดูน่า
สนใจเก่ียวกับสันติภาพในแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ท่ียังคงมีการเผชิญหน้ากัน โดยนำ�นัก
เขียนทง้ั จากประเทศอนิ เดียและปากสี ถานรว่ มมือกันเพ่ือ สรรสร้างความเข้าใจระหว่างกนั ผา่ น
ภาพงานเขยี นบนหนงั สอื และในปี ค.ศ.2004 เหลา่ บรรดานกั เขยี น นกั วาดภาพ และผเู้ ชยี่ วชาญ
ดา้ นการศกึ ษาในวยั เดก็ จากประเทศอนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล และญป่ี นุ่ ไดม้ ารวมตวั กนั ทเ่ี มอื ง
กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เพอื่ รว่ มกันท�ำ หนังสือภาพ และผลพวงจากการพบปะกันในครงั้ นัน้
ได้หนังสอื ภาพจำ�นวน 7 เลม่ โดยสือ่ สารเปน็ ภาษาฮนิ ดแี ละอรู ดู ทผี่ คู้ นทวั่ ภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ต่าง
เข้าใจร่วมกัน โดยเรื่องราวในหนังสือภาพน้ันเป็นเร่ืองราวเกี่ยวกับจิตวิทยาเพ่ือปลูกเมล็ดพันธ์ุ
แหง่ สนั ตภิ าพเพอื่ ใหผ้ คู้ นไดเ้ คารพซง่ึ กนั และกนั และตระหนกั ในคณุ คา่ ของความเปน็ มนษุ ยร์ ว่ ม
กนั ตลอดจนรอ้ื ถอนวธิ คี ดิ การใชก้ �ำ ลงั ความรนุ แรงและการท�ำ สงครามในการแกไ้ ขความขดั แยง้
กจิ กรรมดังกลา่ วนบั เปน็ ความพยายามในการใช้วฒั นธรรมเปน็ เครื่องมือในการเสริมสรา้ งความ
อดกลน้ั และสรา้ งความเขา้ ใจใหก้ บั จติ ใจของเดก็ ๆ และผคู้ นโดยทว่ั ไปในอนิ เดยี และปากสี ถานท่ี
มีความขดั แย้งมายาวนานในพ้ืนทแี่ ถบแคว้นแคชเมียร์
ภายหลงั การประชมุ ทเี่ นปาล ทกุ ฝา่ ยทเี่ กยี่ วขอ้ งไดร้ บั เชญิ ไปกรงุ โตเกยี ว ประเทศญปี่ นุ่
เพ่อื พดู คุยถกเถยี งถงึ เรื่องราวทน่ี ำ�เสนอในหนงั สอื ภาพดังกล่าว วา่ ในแตล่ ะเร่ืองราวจะสามารถ
เปน็ แรงบนั ดาลใจใหก้ บั เดก็ ๆไดอ้ ยา่ งไรในการสรา้ งสรรคส์ นั ตภิ าพในพนื้ ทที่ า่ มกลางความขดั แยง้
ตวั อย่างเร่อื งราวที่ตพี มิ พ์ในหนังสือภาพ
1. สญู เสียและคน้ พบ
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กท่ีอาศัยอยู่บริเวณชายแดนของแต่ละชาติ ซึ่งตอนแรกต่าง
มองอีกฝ่ายหน่ึงเป็นศัตรู แต่เม่ือท้ังสองมีโอกาสได้รู้จักกันและกันมากขึ้นทำ�ให้เด็กทั้งสองฝ่าย
ได้ตระหนักว่าแท้ท่ีจริงแล้วพวกเขาต่างมีความมนุษย์เหมือนๆกัน ผู้ปกครองของพวกเขาจึงได้
เห็นเด็กๆเหลา่ นน้ั กลายเปน็ เพอ่ื นรกั กนั แม้ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างทางชนชาติ
รายวชิ าท ่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สงั คมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 17
2. โปรดฟงั ฉัน
สันติภาพในแคชเมียร์หายไปไหน? ในท่ามกลางเสียงปืนและความตายในทุกว่ีทุกวัน
เดก็ ๆ ร้องไห้และเรยี กรอ้ งว่า “ได้โปรดฟงั ฉนั บ้าง!”
3. วา่ ว
เด็กๆ ผู้ชาย กำ�ลังแย่งชิงว่าวที่ลอยล่องมาจากท้องฟ้าลงสู่ดินจนว่าวฉีกขาดไม่มีช้ินดี
เดก็ หญงิ ตวั นอ้ ยๆ ผหู้ นงึ่ ชอ่ื มตี า้ ซง่ึ มองดอู ยหู่ า่ งๆ เหน็ เขา้ จงึ อาสาเปน็ ผสู้ อนการท�ำ วา่ วใหพ้ วก
เดก็ ผชู้ ายเหลา่ นนั้ พวกเด็กๆ จงึ หยุดทะเลาะกัน และน�ำ อปุ กรณ์มาลงมอื ทำ�วา่ วดว้ ยกนั และ
กลับมาเปน็ เพ่ือนทด่ี ตี ่อกนั
4. หน่งึ บวกหนึ่งเป็นสาม
แดง เหลือง และนำ้�เงินเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสามสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขา
แต่ละคนมารวมกัน ปรากฎว่า พวกเขาไดเ้ พือ่ นใหมอ่ ีกสามคนข้ึนมาคอื สม้ ม่วง และเขยี ว ต่อ
มา เมื่อ แดง เหลือง และน�ำ้ เงินทะเลาะและแตกแยกกนั ส่งผลให้ สม้ ม่วง และเขียว ได้รับบาด
เจบ็ และบนิ หายไปจากโลกนี้ หนทางเดยี วทจ่ี ะรกั ษาการบาดเจบ็ และน�ำ พวกเขากลบั คนื มากค็ อื
การที่ แดง เหลอื ง และน�้ำ เงิน ไดก้ ลบั มาเป็นเพอื่ นกันอีกคร้งั หนงึ่
1.5.2 ชว่ งก�ำ ลงั มคี วามขัดแยง้
ถงึ แมว้ า่ บทบาทของวฒั นธรรมอาจมขี ้อจำ�กดั และเปน็ เร่ืองท่ยี ากมากในช่วงท่มี คี วาม
ขดั แยง้ เกดิ ขน้ึ และผคู้ นถกู กดขโี่ ดยรฐั บาล แตก่ ม็ กี ลมุ่ คนพยายามใชก้ จิ กรรมทางวฒั นธรรมเพอ่ื
การสรา้ งสนั ตภิ าพใหเ้ กดิ ขน้ึ หรอื บางกลมุ่ ใชก้ จิ กรรมทางวฒั นธรรมเพอ่ื สอ่ื สารใหป้ ระชาคมโลก
กดดนั รัฐบาลท่ีไรม้ นุษยธรรมในการใช้ความรนุ แรงต่อประชาชน ตัวอย่างเช่น โครงการ Peace
Kids Soccer ในประเทศญป่ี นุ่ ไดเ้ ชญิ เดก็ ชาวปาเลสไตนแ์ ละชาวอสิ ราเอล มาประเทศญปี่ นุ่ ตง้ั แต่
ปี 2004 เพอ่ื ให้เด็กท้งั สองกลมุ่ ข้ัวความขัดแยง้ ไดม้ าใชช้ ีวติ รว่ มกนั มกี ารเล่นฟตุ บอล และแบง่
ปนั ประสบการณร์ ว่ มกนั กฬี าฟตุ บอลนบั เปน็ ภาษาสากลทถี่ กู น�ำ ไปใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ประสานผคู้ น
ในภมู ิภาคท่ีมคี วามขดั แยง้ เพราะบางสถานการณค์ ำ�พดู อาจไม่ใช่สิ่งจ�ำ เปน็
นอกจากน้ัน ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ เพ่ือช่วยลดความร้อนแรงในพ้ืนท่ีขัด
แย้ง ได้แก่ การสนับสนุนให้มีการทำ�หนัง(สั้น) การแสดงนิทรรศการงานศิลปะ และการจัดต้ัง
พพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอื่ สันติภาพ เป็นตน้
พิพิธภัณฑ์เพื่อสันติภาพ เป็นตัวอย่างท่ีดีสะท้อนให้เห็นถึงอำ�นาจของงานศิลปะและ
วัฒนธรรมในการสร้างคุณค่าเพ่ือนำ�สู่สันติภาพ ดังที่ Carol Rank ได้กล่าวว่า “ศิลปะเป็น
ผลผลติ ของจติ ส�ำ นกึ ภายในของมนษุ ย์ และขณะเดยี วกนั ศลิ ปะยงั สามารถก�ำ หนดจติ ส�ำ นกึ และ
วฒั นธรรมของเราดว้ ย วฒั นธรรมเกย่ี วขอ้ งกบั วธิ คี ดิ และการมองโลก และงานศลิ ปะไดส้ รรสรา้ ง
จนิ ตนาการท�ำ ใหเ้ รามองโลกแตกตา่ งออกไปจากทเ่ี คยมอง พพิ ธิ ภณั ฑแ์ ละงานศลิ ปะจงึ สามารถ
18
18 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ัฒนธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ช่วยเราในการมองโลกและสร้างคนรุ่นใหม่”
สภาพิพิธภัณฑร์ ะหวา่ งประเทศ [International Council of Museums (ICOM)] ได้
แถลงถึงนโยบายเก่ียวกับพิพิธภัณฑ์กับมิติทางวัฒนธรรมซ่ึงเป็นหน่ึงในสิบประเด็นสำ�คัญ โดย
กล่าวไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์ได้รับการยอมรับมากข้ึนเป็นลำ�ดับว่าช่วยเสริมสร้างให้เกิดสันติภาพ
และความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างชุมชน” และยังกล่าวต่อมาว่า “ปัญหาของโลกที่เกิดขึ้นเน่ืองมา
จากการขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมท่ีต่างออกไป ความหวาดกลัวประวัติศาสตร์ และความ
ตึงเครยี ดระหว่างชาตพิ นั ธ์ุ พพิ ธิ ภัณฑ์มบี ทบาทสำ�คญั ที่จะสามารถสนับสนนุ ให้เกดิ ความเขา้ ใจ
ทางวฒั นธรรมโดยผ่านกจิ กรรมที่ขบั เคลอ่ื นโดยชมุ ชนทอ้ งถิน่ ”
ในพื้นที่ที่กำ�ลังอยู่ในระหว่างความขัดแย้งบริเวณชายแดนท่ีมีความล่อแหลมในการใช้
ความรุนแรงระหวา่ งกนั นนั้ การมพี พิ ธิ ภณั ฑเ์ พอ่ื สันติภาพนบั เปน็ เรือ่ งทจี่ ำ�เป็น ซัยยดิ สกานเด
อร์ มะฮด์ ี นกั วชิ าการจากมหาวิทยาลยั การาจี ประเทศปากีสถาน เสนอว่า “ความเกลยี ดชงั มุ่ง
รา้ ย บรเิ วณชายแดนดงั เชน่ ประเทศอนิ เดยี กบั ปากสี ถาน หรอื ประเทศปากสี ถานกบั อฟั กานสิ ถาน
เปน็ จดุ ส�ำ คญั ในแถบภมู ภิ าคเอเชยี ใตท้ ค่ี วรสรา้ งพพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอ่ื สนั ตภิ าพขน้ึ มาเพอ่ื เปดิ การแสดง
ให้การเรียนรู้ สร้างเสริมสันติภาพ ป้องกนั สงคราม และสนบั สนนุ วัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกนั
และแบง่ ปันกัน”
ในชว่ ง 25 ปที ผ่ี า่ นมาพพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอ่ื สนั ตภิ าพคอ่ ยเพมิ่ จ�ำ นวนขน้ึ ทว่ั โลก และมแี นวโนม้
ของการเตบิ โตขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง พพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอื่ สนั ตภิ าพไดก้ ลายเปน็ แหลง่ ศนู ยก์ ลางการเรยี นรู้
และมบี ทบาทส�ำ คญั ในการพฒั นาและสง่ เสรมิ วฒั นธรรมแหง่ สนั ตภิ าพและการไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง
พพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอื่ สนั ตภิ าพจงึ ไดร้ บั การยอมรบั ใหเ้ ปน็ ตวั แทนของกระบวนการสรา้ ง “โครงสรา้ งพน้ื
ฐาน” ของขบวนการสร้างสนั ตภิ าพในฐานะเปน็ เครอื่ งมอื ทจี่ ะตอ่ ต้านสงครามและการใช้ความ
รุนแรง
1.5.3 ช่วงภายหลงั ความขดั แยง้
ถงึ แมว้ า่ ความรนุ แรงจะยตุ ลิ งในพนื้ ทค่ี วามขดั แยง้ แตไ่ มอ่ าจทจ่ี ะยนื ยนั ไดว้ า่ จะไมม่ คี วาม
รุนแรงเกดิ ข้ึนอีกตามมา ดงั นั้น การใชก้ ิจกรรมทางวฒั นธรรมในการสร้างสนั ตภิ าพภายหลงั จงึ
เปน็ สงิ่ ทจี่ ะตอ้ งกระท�ำ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ได้แก่
ก) ชว่ งการเยียวยาใหค้ วามชว่ ยเหลือดา้ นมนุษยธรรมอยา่ งเรง่ ดว่ น
เปน็ ชว่ งทผี่ คู้ นยงั คงตกอยใู่ นภาวะความกลวั ดงั นน้ั กจิ กรรมทางวฒั นธรรมจงึ มบี ทบาท
ส�ำ คญั ในระยะเปล่ียนผ่านทจ่ี ะน�ำ สกู่ ารสรา้ งสันติภาพ
เมื่อพิจารณาถึงประเด็นการสร้างสันติภาพ คนท่ัวไปมักจะมองจากมุมของการสร้าง
ระเบียบให้คงอยู่ในสังคมโดยขาดการใส่ใจและให้ความสำ�คัญกับมุมมองของผู้ที่ตกเป็นเหย่ือ
หรือผถู้ ูกกระท�ำ ดงั นนั้ จึงเปน็ สิ่งจ�ำ เป็นทีจ่ ะตอ้ งเขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ท่เี กิดข้นึ จากหลายๆแงม่ ุม
รายวิชาท ่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สังคมจงั หว ัดชายแดนภาคใต้ 19
ปัญหาการมองในมิติทางวัฒนธรรมท่ีสำ�คัญคือ มักมองว่าวัฒนธรรมเป็นเร่ืองของ
รสนยิ ม และอารมณค์ วามรสู้ กึ ในขณะท่ี แทท้ จี่ รงิ แลว้ วฒั นธรรมสามารถเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ทจ่ี ะน�ำ
สู่สันติภาพ เพราะในสถานการณ์ความขัดแย้งและเต็มไปด้วยความรุนแรงน้ันมักเกิดข้ึนภายใต้
ปรมิ ณฑลทางการเมอื ง ดังนนั้ จงึ ไมค่ อ่ ยมที ที่ างส�ำ หรบั การสรา้ งความเปน็ มติ รจากมติ ิทางการ
เมอื ง ในขณะทกี่ จิ กรรมทางวฒั นธรรมมกั ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากผคู้ นรวมทงั้ จากองคก์ รภายนอก
ในระหว่างกระบวนการสู่ความขัดแย้งและมีความรุนแรงมักส่ันคลอนคุณค่าและ
บรรทัดฐานของสังคมทเี่ คยยดึ ถือในการอยูร่ ่วมกันอยา่ งสันติ ดังมีคำ�กล่าวท่ีวา่ “หากคณุ ฆ่าคน
หนึ่งคน คุณจะกลายเป็นฆาตกร แต่ถ้าหากคุณฆ่าคนร้อยคนในช่วงสงคราม คุณจะกลายเป็น
วีรบุรษุ ” ดงั น้ัน บทบาททางวฒั นธรรมจงึ มคี วามสำ�คัญทีจ่ ะท�ำ ลายมายาคติดงั กลา่ วท่ตี ง้ั อยู่บน
พ้ืนฐานทางการเมือง
ถงึ แมว้ า่ เปน็ การยากทจี่ ะชช้ี ดั ถงึ บทบาทของมติ ทิ างวฒั นธรรมวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพแคไ่ หน
ในการสรา้ งสนั ตภิ าพในระยะสนั้ หรอื เฉพาะหนา้ อยา่ งไรกต็ าม การรเิ รมิ่ กจิ กรรมทางวฒั นธรรม
มกั สง่ ผลในระยะยาวในการสรา้ งสนั ตภิ าพ เพราะหากผคู้ นไดเ้ ปลย่ี นวธิ คี ดิ แลว้ ยอ่ มน�ำ สสู่ นั ตภิ าพ
อนั เปน็ องคป์ ระกอบอนั หนง่ึ ของเปา้ หมายของวฒั นธรรม ภาพวาด ศลิ ปะ งานเขยี น ดนตรี และ
การแสดงละคร สามารถเยียวยารักษาบาดแผลในจิตใจและสามารถเปิดใจกว้างสู่การยอมรับผู้
อืน่ และสรา้ งฝนั สู่อนาคตทดี่ งี ามร่วมกนั
โดยสรปุ จะเหน็ วา่ กจิ กรรมทางวฒั นธรรมมศี กั ยภาพในการสรา้ งสนั ตภิ าพใน 3 ลกั ษณะ
ไดแ้ ก่
1. เป็นตัวกระตุน้ สกู่ ารสรา้ งสันติภาพ
การใชก้ จิ กรรมทางวฒั นธรรมสามารถน�ำ สกู่ ารเปดิ พน้ื ทรี่ ว่ มทจี่ ะสอ่ื สารกนั ได้ เมอ่ื กลมุ่
ต่างๆ กำ�ลังมีการเผชิญหน้ากันและไม่มีช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน กิจกรรมเหล่าน้ีได้แก่
ดนตรี กฬี า ละคร วาดเขียน หรือการออกไปใชช้ วี ติ ในวฒั นธรรมอื่นท่ตี ่างออกไป
เม่ือสถานที่การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอยู่นอกไปจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทำ�ให้คู่
ตรงขา้ มตา่ งฝ่ายไมร่ ู้สึกเกิดการได้เปรียบหรือเสยี เปรยี บอกี ฝ่ายหนึง่ กจิ กรรมทางวัฒนธรรมจงึ
จะเป็นตัวกลางท่ีช่วยกระตุ้นใหเ้ กดิ การสอื่ สารและความมัน่ ใจต่อกัน
ดงั นนั้ วฒั นธรรมมศี กั ยภาพมากมายในการเปน็ สอ่ื กลาง ตวั กระตนุ้ และประสานใหเ้ กดิ
สนั ตภิ าพ เพราะกิจกรรมทางวัฒนธรรมเปรียบเสมือนภาษากลางท่ีผคู้ นใชส้ อ่ื สารร่วมกัน ทำ�ให้
เปิดพน้ื ทใี่ หค้ ตู่ รงขา้ มสอื่ สารถงึ กนั ได้ เช่น การแสดงดนตรีจากหลากหลายกลุ่มชาติพนั ธุ์ แมว้ า่
การรวมตวั ในชว่ งแรกนักดนตรอี าจยงั ยึดติดกับความเป็นชาตพิ นั ธขุ์ องตนเอง แต่ในทสี่ ุด ผเู้ ล่น
จะคอ่ ยๆ เกดิ การเปลย่ี นแปลงรบั เอาอตั ลกั ษณข์ องความเปน็ นกั ดนตรใี นอปุ กรณน์ นั้ แทนท่ี เชน่
คนตกี ลองเผา่ ฮตู กู บั เผา่ ทสุ ซเ่ี มอ่ื มาเลน่ ดว้ ยกนั ในทสี่ ดุ ตา่ งมองวา่ ตวั เองเปน็ มอื กลองมากกวา่ จะ
20
20 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ัฒนธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
เปน็ ชนเผ่าใด
2. ช่วยให้ความอบอุ่นใจแก่ผู้คนในพื้นท่ีขัดแย้งว่ายังได้รับการเหลียวแลจากภายนอก
และยงั มคี นคอยหว่ งใยเอาใจใส่ และประการส�ำ คญั พวกเขาจะไดเ้ รยี นรแู้ ละเหน็ โลกใบใหมจ่ าก
กจิ กรรมทางวฒั นธรรมทง้ั หลายและตระหนกั ในคณุ คา่ ของวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ จงึ น�ำ สคู่ วามหวงั ใน
อนาคต
3. เปน็ ส่อื กลางในการสรา้ งสนั ติภาพในความคดิ และจติ ใจของคนทอ้ งถิ่น แม้วา่ ความ
ขดั แยง้ ที่รุนแรงอาจสกู่ ารบาดเจ็บทางร่างกาย แตส่ ่ิงที่ยากกว่าในรกั ษาคือบาดแผลทีอ่ ย่ภู ายใน
จิตใจ ดงั นน้ั ถงึ แม้รฐั บาลอาจใหก้ ารเยยี วยาบาดแผลทางร่างกาย แต่บาดแผลทางจติ ใจอาจยงั
คงอยู่ ดังนั้น การสอื่ สารระหว่างคู่ขัดแย้งเพอ่ื น�ำ สู่การสรา้ งความเชื่อม่นั และความอดกลัน้ จึง
เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั และจ�ำ เปน็ ซง่ึ กจิ กรรมทางวฒั นธรรมสามารถมบี ทบาทในการชว่ ยประสานใหเ้ กดิ
ความเขา้ ใจซึ่งกันและกัน
1.6 ขอ้ จ�ำ กดั ของกิจกรรมทางวัฒนธรรม
• กิจกรรมทางวัฒนธรรม อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองจนทำ�ให้
อาจหยดุ ชะงักไป
• กิจกรรมทางวัฒนธรรมจากภายนอกประเทศ มักมลี กั ษณะชั่วคราวและไม่อาจส่งผล
กระทบในระยะยาว
• เป็นการยากที่จะวัดผลลัพธ์รูปธรรมจากกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพราะมันมักส่งผลใน
ระยะยาวมากกวา่
• ภายหลงั จากเกดิ ความขดั แยง้ และความรนุ แรงผคู้ นจะมคี วามตอ้ งการเรง่ ดว่ นอยา่ งอน่ื
มากกวา่ กจิ กรรมทางวฒั นธรรม
• การสร้างสันติภาพเป็นความพยายามที่จะบรรเทาบาดแผลและความเจ็บปวดภายใน
จติ ใจ ดังนัน้ ผู้ปฏบิ ัติควรมคี วามออ่ นไหวในประเดน็ ทางจติ วิทยา เชน่ เร่ืองเกี่ยวกับ
อตั ลักษณ์ เปน็ ต้น เพราะถา้ หากมีการด�ำ เนินการทไี่ ม่เหมาะสมแล้วก็อาจถูกต่อตา้ น
จากคนในท้องถ่ิน
ดงั นน้ั การใชม้ ติ ทิ างวฒั นธรรมเพอ่ื สรา้ งสนั ตภิ าพจงึ เปน็ ความทา้ ทายทมี่ คี วามละเอยี ด
ออ่ นและซบั ซอ้ น อยา่ งไรกต็ าม ไมม่ ใี ครทจ่ี ะปฏเิ สธศกั ยภาพของวฒั นธรรมและบางครงั้ นบั เปน็
มิติท่ีสำ�คัญอย่างมากในท่ามกลางความขัดแย้งของโลกในศตวรรษท่ี 21 ที่สงครามและความ
รุนแรงส่วนมากเกิดข้ึนภายในรัฐเดียวกัน ในท่ีผู้คนอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน เคยเป็น
เพ่ือนบา้ นกนั แต่ต้องมากลายเป็นศัตรูกัน มิตทิ างวฒั นธรรมของชมุ ชนทอ้ งถนิ่ จงึ เป็นเรื่องที่ไม่
อาจละเลย มติ ทิ างวฒั นธรรมไมใ่ ชเ่ รอ่ื งของความโกห้ รู ความเจรญิ งอกงาม หากแตต่ อ้ งท�ำ ความ
รายวิชาท ่ี 2 พหุวฒั นธรรมและ สงั คมจงั หว ัดชายแดนภาคใต้ 21
เข้าใจและเอาใจใสอ่ ยา่ งจรงิ จังเพ่ือสนั ติภาพทย่ี าวไกล
1.7 แนวคิดพหวุ ฒั นธรรม และตวั อย่างนโยบายพหวุ ัฒนธรรมในต่างประเทศ
แนวคดิ พหุวฒั นธรรม ในทางสงั คมและการเมอื ง เปน็ แนวคดิ ท่ีมีความเช่ือ พื้นฐานตอ่
ความเท่าเทียมกันของประชาชน ประชาชนสามารถธำ�รงรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง มีความ
ภาคภมู ใิ จในความเปน็ มาและบรรพบรุ ษุ ของตนเอง และมคี วามรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของวฒั นธรรม
สรา้ งความรสู้ กึ มน่ั คง มน่ั ใจและปลอดภยั ในการด�ำ รงอยขู่ องผคู้ นทม่ี คี วามแตกตา่ งทางวฒั นธรรม
ตลอดจน สนับสนุนให้สมาชิกของสังคมยอมรับและเคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย
นอกจากน้ีแนวคิดพหุวัฒนธรรมยังเป็นแนวคิดที่เก่ียวกับการสร้างความผูกพันร่วมกันและค่า
นิยมท่ีทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกัน เช่น สิทธิมนุษยชน กฎหมาย และความเท่าเทียมทางเพศ
(โครงการพัฒนาแหง่ สหประชาชาติ, 2547 ; 137)
งานศึกษาของ แพร ศิรศิ กั ดดิ์ �ำ เกิง (2549) พบวา่ แนวคดิ พหุวฒั นธรรมมีแนวคิดพ้นื
ฐานเกย่ี วกบั ความแตกต่างและหลากหลายทางวฒั นธรรม 3 มิติ คอื
1. ยืนยันอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มตนเอง และเรียนรู้คุณค่าของมรดกทาง
วัฒนธรรมของกล่มุ ตน
2. เคารพและมคี วามปรารถนาท่ีจะเรยี นรู้เพื่อท�ำ ความเขา้ ใจและเรียนรู้วัฒนธรรมของ
คนอ่นื
3. ใหค้ ณุ คา่ ความหลากหลายทางวฒั นธรรม เอาใจใสต่ อ่ การด�ำ รงอยขู่ องกลมุ่ วฒั นธรรม
ท่ีแตกต่าง โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้คนมีความเคารพวัฒนธรรมท่ีแตกต่างในพ้ืนท่ีต่างๆ ท้ังท่ี
โรงเรยี น ในเมือง และในสงั คมซึง่ กลุ่มวฒั นธรรมต่างๆ ดำ�รงอย่รู ่วมกัน
ตัวอย่างในต่างประเทศ ได้แก่ รัฐสภาแคนาดาได้ผ่านกฎหมาย พระราชบัญญัติพหุ
วฒั นธรรมแคนาดา (Canadian Multiculturalism Act) ในปี ค.ศ. 1988 นโยบายพหวุ ฒั นธรรม
ร่างขนึ้ มาโดยมีพ้ืนฐานในการให้คุณคา่ กับชาวแคนาดา ด้วยการให้การเคารพในสทิ ธิ มนษุ ยชน
ความเสมอภาค และยอมรบั ความแตกต่างหลากหลาย โดยมงุ่ ให้เน้นใน 4 ประเดน็ คือ
1. การตอ่ ตา้ นการกดี กนั เชอ้ื ชาตแิ ละการแบง่ แยกและกดี กนั สนบั สนนุ ใหช้ าวแคนาดา
ชว่ ยกนั หาแนวทางทดี่ ีเพือ่ หยุดย้ังการแบง่ แยกและกีดกันเช้ือชาติ
2. สถาบันต่างๆ สะท้อนภาพความหลากหลาย สร้างความม่ันใจว่ารัฐบาลแคนาดา
เสนอและยอมรบั ความแตกตา่ งหลากหลายของประชากร
3. การประชาสมั พนั ธใ์ หป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ ม สรา้ งความมนั่ ใจวา่ ชาวแคนาดาทกุ คนเปน็
สว่ นหน่ึงของประเทศแคนาดา และเปน็ สว่ นหนึ่งของชีวติ ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสงั คม
4. ความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม สร้างความเข้าใจความแตกต่างและหลากหลายท้ังใน
22
22 รายวชิ าที่ 2 พหวุ ัฒนธรรมและสงั คมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
ชุมชนเมืองและชนบท
จากการสำ�รวจเม่ือไม่นานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าชาวแคนาดามีความตระหนักถึง
นโยบายความหลากหลายทางวฒั นธรรมของประเทศแคนาดามากขนึ้ ผลส�ำ รวจแสดงใหเ้ หน็ วา่
แนวคดิ พหวุ ฒั นธรรมมีผลในทางบวกตอ่ สังคมเนอื่ งจากช่วยสรา้ งความเขา้ ใจระหว่างกลุ่มต่างๆ
ชาวแคนาดารู้สึกว่าแนวคิดพหุวัฒนธรรมช่วยพัฒนาความรู้สึกร่วมและสร้างความภาคภูมิใจให้
แก่ประชาชนท่ีแตกต่างทางวัฒนธรรม และไม่รู้สึกว่าแนวคิดพหุวัฒนธรรม แบ่งแยกหรือเน้น
ย้�ำ ความแตกต่างระหว่างชาวแคนาดา
ส�ำ หรบั ประเทศออสเตรเลยี ซงึ่ เปน็ อกี ประเทศหนงึ่ ทพ่ี ฒั นาแนวคดิ พหวุ ฒั นธรรมแลว้ น�ำ
มาปรับใชเ้ ป็นส่วนหนงึ่ ของ นโยบายของรฐั ทง้ั นเ้ี นอ่ื งจากประเทศออสเตรเลียเป็นอีกประเทศ
หนึ่งในโลกทมี่ ีผอู้ พยพจากประเทศต่างๆ ท่ัวโลกไปตงั้ หลักปกั ฐาน
ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศท่ีมีผู้คนอพยพไปตั้งถ่ินฐานอยู่มากท่ีสุดประเทศหน่ึงใน
โลก ประชากรมากกว่ารอ้ ยละ 40 เกิดในดนิ แดนอ่นื หรืออาจมพี ่อหรือแม่เกดิ นอกออสเตรเลยี
ภายหลังสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 มจี �ำ นวนผ้อู พยพในออสเตรเลียมากกวา่ 6,000,000 คน ผู้คนจาก
200 ประเทศท่ัวโลกเดินทางมายังออสเตรเลีย และตงั้ รกรากอยู่อยา่ งถาวร ดังนนั้ ออสเตรเลีย
จึงเป็นสงั คมทมี่ คี วามหลากหลายของเช้อื ชาติ วฒั นธรรม และความเชื่อ พบวา่ ผูค้ นรอ้ ยละ 70
นบั ถอื ศาสนาครสิ ต์ นอกเหนอื จากนเ้ี ปน็ ผทู้ น่ี บั ถอื ศาสนาพทุ ธ อสิ ลาม ฮนิ ดู ยดู าย และไมน่ บั ถอื
ศาสนา อกี ทง้ั ยงั มวี ฒั นธรรมลกู ผสมทเ่ี กดิ จากการแตง่ งานขา้ มชาตพิ นั ธอุ์ กี ดว้ ย ชว่ งแรกรฐั บาล
ออสเตรเลยี ใชน้ โยบายชาตนิ ยิ มและการผสมกลมกลนื ทางวฒั นธรรมโดยตอ้ งการใหผ้ อู้ พยพปรบั
วถิ ชี วี ิตประจำ�วันใหเ้ ปน็ แบบวฒั นธรรมออสเตรเลีย แตก่ ล่มุ ผู้อพยพผิวขาว เชน่ ชาวอิตาลี หรอื
กรกี กไ็ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ กลมุ่ เหลา่ นไ้ี มเ่ คยละทง้ิ วฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของตวั เอง เชน่ ยงั คงดมื่ กาแฟ ไม่
ยอมดื่มชาตามแบบอังกฤษ ด่มื ไวน์ไม่ยอมด่มื เบยี ร์ และยงั คงพดู ภาษาเดิมของตน เมื่อนโยบาย
ผสมกลมกลืนและชาตินิยมล้มเหลว รัฐบาลออสเตรเลียได้นำ�นโยบายพหุวัฒนธรรมมาใช้ใน
การบรู ณาการความหลากหลายแทนนโยบายเดมิ ซง่ึ นบั วา่ ออสเตรเลยี เปน็ ประเทศแรกๆ ในโลก
ที่ นำ�แนวคดิ ดงั กลา่ วน้ีมาใช้ตง้ั แต่ทศวรรษที่ 1970
ปี 1982 Australia Council on Population and Ethnic Affairs ได้ออกหนังสอื เล่ม
เลก็ ช่ือวา่ แนวคดิ พหุวัฒนธรรม ส�ำ หรบั คนออสเตรเลยี ทุกคน อธบิ ายวา่ แนวคดิ พหวุ ัฒนธรรม
คอื อะไรทมี่ ากกวา่ การใหบ้ รกิ ารพเิ ศษแกช่ าตพิ นั ธชุ์ นกลมุ่ นอ้ ยแตเ่ ปน็ แนวทางในการมองสงั คม
ออสเตรเลยี และการตระหนกั ถงึ การอยรู่ ว่ มกนั เรายอมรบั ความแตกตา่ งและประทบั ใจกบั วถิ ชี วี ติ
ทีห่ ลากหลายมากกวา่ ท่ีจะคาดหวังให้ทกุ คนปรบั ตวั ให้เข้ากบั รปู แบบท่เี ป็นมาตรฐาน ย่ิงไปกวา่
น้นั แนวคดิ พหวุ ฒั นธรรมเราแตล่ ะคนสามารถเปน็ ชาวออสเตรเลยี ได้อยา่ งแท้จริงโดยไมจ่ ำ�เปน็
ต้องเปน็ ชาวออสเตรเลยี ด้งั เดิมมาก่อน
รายวิชาท ่ี 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สงั คมจงั หว ดั ชายแดนภาคใต้ 23
บทที่ 2
แนวคดิ การดำ�รงอยรู่ ว่ มกันและความยดึ เหน่ยี วในสังคมพหวุ ัฒนธรรม
รายวิชานี้มุ่งสะท้อนถึงปฏิบัติการการสร้างสันติภาพในชีวิตประจำ�วันของผู้คนใน
ทา่ มกลางความหลากหลายทางศาสนา ชาตพิ นั ธ์ุ เพอ่ื มองเหน็ รอ่ งรอยของแนวการอยรู่ ว่ มกนั ได้
อยา่ งสนั ตใิ นทา่ มกลางความหลากหลายซง่ึ นบั วนั จะถกู บดบงั ดว้ ยมายาคตแิ ละความหวาดระแวง
ตอ่ กันและกนั มากย่ิงขึน้ อนั อาจนำ�สูค่ วามขดั แยง้ ทร่ี นุ แรงไดใ้ นอนาคต
การศึกษาปฏิบัติเก่ียวกับการดำ�รงอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมน้ัน แม้ว่าจะเป็น
เรือ่ งท่ียากและมคี วามหลากหลาย เพราะว่าการอยรู่ ่วมกัน เป็นค�ำ กวา้ ง ๆ ที่ใช้ในการอธิบายถงึ
แนวคิดหนึ่งแต่อาจมีความแตกต่างในความเข้มข้นของมันต้ังแต่ ความหวังสูงสุดคือ เป็นความ
พยายามให้สังคมที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือศาสนา ได้อาศัยอยู่ร่วมกันด้วย
ความสมานฉนั ท์ หรือในความหมายท่ีมพี ้ืนท่ีแห่งความหวังเพื่ออยา่ งน้อยใหค้ นอยู่ร่วมกันโดยท่ี
ไมท่ �ำ รา้ ยหรอื ฆา่ ฟนั กนั ในปจั จบุ นั ดงั นน้ั แนวคดิ การอยรู่ ว่ มกนั จงึ ยงั คงเปน็ ทถ่ี กเถยี งและยงั ไมม่ ี
การสรา้ งเปน็ ทฤษฎแี ตก่ ม็ คี วามพยายามน�ำ ไปปฏบิ ตั กิ นั อยา่ งกวา้ งขวาง (Afzali, Aneelah and
L. Colleton 2003)
แนวคดิ การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งใหม่ โดยแนวคดิ นไ้ี ดม้ กี ารน�ำ มาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย
ในช่วงหลงั สงครามเยน็ นโยบาย “การด�ำ รงอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสันติ” ถูกใชใ้ นบรบิ ทความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศสองมหาอำ�นาจได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตรัสเซีย และต่อมาใน
ปลายทศวรรษ 1980 ในแนวนโยบายการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตไิ ดม้ หี ลกั การรวมถงึ การไมก่ า้ วรา้ ว
การเคารพในอธปิ ไตย อสิ รภาพแห่งชาติ และการไมแ่ ทรกแซงกิจการภายในกันและกนั
อยา่ งไรกต็ าม ในการใหค้ �ำ นยิ ามเกย่ี วกบั แนวคดิ “การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั ” แบบเดมิ ๆ ยงั คง
มปี ญั หาอยเู่ พราะมกั เนน้ มติ ทิ รี่ ฐั เปน็ ศนู ยก์ ลางโดยดคู วามสมั พนั ธข์ องการอยรู่ ว่ มกนั ระหวา่ งรฐั
ทำ�ใหข้ าดการมองความสมั พันธ์ระหวา่ งกลมุ่ คน ดังนน้ั สถานการณ์ในปัจจุบนั การนิยาม “การ
ด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั ” โดยเนน้ สภาวะทกี่ ลมุ่ คนสองกลมุ่ หรอื มากกวา่ ทอ่ี าศยั อยภู่ ายในรฐั มกี ารอาศยั
อยู่รว่ มกนั อย่างเคารพในความแตกต่างและพยายามแกไ้ ขปญั หาระหวา่ งกันอย่างสนั ตใิ นชมุ ชน
ต่างๆ ทัว่ โลก นบั เปน็ ความท้าทายและมคี วามสำ�คัญเป็นอย่างยงิ่ ดังเช่นใน คาบสมทุ รบอลข่าน
เอลซัลวาดอร์ อนิ เดยี อินโดนีเซีย ตะวันออกกลาง ไนจีเรยี และศรีลังกา เปน็ ตน้
ความหลากหลายภายในรฐั ในศตวรรษที่ 21 นับเปน็ ปรากฏการณโ์ ดยท่วั ไปแลว้ และ
รัฐส่วนใหญ่กำ�ลังเผชิญกับความยุ่งยากในการจัดการความขัดแย้งระหว่างความแตกต่างทาง
วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา และการเมืองภายในสังคมของตน และความแตกต่างทั้ง
หลายเหล่านีก้ �ำ ลังขยายวงและเพ่มิ ความหวาดกลัวไปในระดับโลก
24
24 รายวิชาท่ี 2 พหุวัฒนธรรมและสงั คมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
การดำ�รงอยู่ร่วมกันเป็นสภาวะท่ีกลุ่มคนตั้งแต่สองกลุ่มหรือมากกว่าอาศัยอยู่ร่วมกัน
ดว้ ยความเคารพในความแตกต่างและแกไ้ ขความขัดแย้งด้วยการไม่ใชค้ วามรุนแรง
การดำ�รงอยรู่ ่วมกนั ได้รบั การนิยามไดห้ ลายความหมายได้แก่
• การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั ในสถานทแี่ ละเวลาหนง่ึ ดว้ ยความอดกลน้ั อดทนตอ่ กนั และกนั
• การเรียนรู้ที่จะยอมรบั และใช้ชวี ิตอยรู่ ่วมกับผู้คนทแ่ี ตกตา่ งจากตน
• การมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนท่ีแต่ละฝ่ายต่างพยายามไม่ทำ�ร้าย
กนั และกัน
• การปฏสิ ัมพนั ธก์ นั ดว้ ยความเคารพตอ่ กันและกัน และการยอมรบั แนวทางในการ
จัดการความขดั แย้งโดยไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง
แก่นของการดำ�รงอยู่ร่วมกันคือการตระหนักรู้ว่าบุคคลหรือกลุ่มคนย่อมมีความต่าง
กนั มากมาย ไมว่ ่าในเร่ืองชนชั้น ชาตพิ นั ธุ์ ศาสนา เพศ หรอื ความนยิ มในกลมุ่ การเมอื ง เปน็ ต้น
อย่างไรก็ตาม การใชช้ ีวิตแบบมีการอย่รู ว่ มกนั แม้อาจจะมคี วามขัดแย้งอนั เน่อื งจากอัตลกั ษณ์ท่ี
แตกตา่ งกันไดเ้ ป็นเรือ่ งธรรมดาแต่ก็จะช่วยลดการขยายสูค่ วามขัดแย้งท่รี นุ แรง
การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั เกดิ ขน้ึ ไดท้ ง้ั ในชว่ งกอ่ นหรอื หลงั ความขดั แยง้ ทรี่ นุ แรง และมพี ลวตั
เปลย่ี นแปลงไดเ้ สมอโดยขนึ้ อยกู่ บั ระดบั ของการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั การอยรู่ ว่ มกนั จะเกดิ ขนึ้
ไดใ้ นสถานการณท์ บี่ คุ คลและชมุ ชนใหก้ ารยอมรบั ความแตกตา่ งอยา่ งเตม็ ใจและตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ นั
อยเู่ สมอบนพื้นฐานของความยตุ ธิ รรม ความเท่าเทยี ม และการยอมรบั เป็นสมาชกิ กลมุ่ เดียวกนั
องคก์ รสหประชาชาติ (United Nation 1999) มองวา่ ประเดน็ ความอดทนอดกลนั้ การ
สรา้ งความเขา้ ใจ และสรา้ งความยดึ เหนยี่ วทางสงั คมส�ำ หรบั คนตา่ งกลมุ่ ศาสนาและชาตพิ นั ธท์ุ อี่ ยู่
ร่วมกันนน้ั นับเปน็ พืน้ ฐานสำ�คญั ของการสรา้ งวัฒนธรรมของการอยรู่ ่วมกนั อย่างสันติ เพราะ
ความอดทนอดกลั้นและความเข้าใจเป็นการประกันสู่การยอมรับการมีอยู่ของสมาชิกในสังคม
ในทา่ มกลางความแตกต่างหลากหลาย ดังนัน้ คุณค่า หรอื วิถปี ฏบิ ตั ใิ นชวี ิตประจำ�วันของคนใน
สังคมน้นั จงึ ไม่มีการเลือกปฏิบัตแิ ละใช้ความรนุ แรงต่อกัน ในขณะท่ี ความยึดเหน่ยี วทางสงั คม
สามารถช่วยทำ�ให้การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในสังคมเป็นไปอย่างสันติและมี
เอกภาพ (Vollhardt, Johanna K., K. Migacheva, and L.R. Tropp 2009)
อย่างไรก็ตาม มักเกิดคำ�ถามข้อถกเถียงได้ว่า ความยึดเหนี่ยวทางสังคมอาจส่งผล ใน
ทางตรงขา้ ม คอื การมองคนทอ่ี ยภู่ ายนอกกลมุ่ หรอื ชมุ ชนตวั เองกลายเปน็ ฝา่ ยตรงขา้ มหรอื ศตั รู
ดงั นน้ั จงึ เกิดค�ำ ถามว่า ความยึดเหนย่ี วทางสังคมจะสามารถเปน็ หนทางที่ไมใ่ ช่เชิงท�ำ ลาย หาก
เปน็ ไปในเชงิ สรา้ งสรรค์เพอ่ื นำ�สูว่ ฒั นธรรมแหง่ สันติภาพได้อย่างไร
ในสังคมที่เคยผ่านความขัดแย้งท่ีรุนแรงมักเผชิญกับความยากลำ�บากทางเศรษฐกิจ
ความห่วงใยในเรื่องความม่ันคงปลอดภัย และการแย่งชิงอำ�นาจของกลุ่มต่างๆ (Winter and
รายวิชาท ่ี 2 พหุวฒั นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 25
Cava 2006) ดงั นนั้ ความไมม่ น่ั คงทง้ั หลายดงั กลา่ วในชมุ ชนจะตอ้ งไดร้ บั การแกไ้ ขเพอื่ น�ำ สคู่ วาม
ยึดเหนี่ยวทางสงั คม
2.1 การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกันและความยดึ เหน่ยี วทางสงั คมส่วู ฒั นธรรมการสรา้ งสันตภิ าพ
ในการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ ไดแ้ ก่ จติ วทิ ยา สงั คมวทิ ยา และเศรษฐศาสตร์ มกั ใหค้ วาม
สนใจประเดน็ ความยดึ เหนย่ี วทางสงั คมในมติ ติ า่ งๆ ทหี่ ลากหลาย และมคี วามหมายใกลเ้ คยี งกบั
ความสามัคคกี ลมเกลยี ว ทนุ ทางสงั คม ถึงแมว้ ่าค�ำ วา่ ความยดึ เหน่ียวทางสังคม ยังไม่สามารถ
หาคำ�นิยามทลี่ งตวั แตก่ ็เป็นทยี่ อมรบั รว่ มกันโดยทวั่ ไปวา่ หมายถึง “การเช่อื มโยงกนั และกนั ”
ของคนในชุมชนหรอื สังคม (White 2003, p. 55) หรือความหมายโดยพืน้ ๆ ที่วา่ “เปน็ การยึด
โยงคนเขา้ ด้วยกัน” (Lavis and Stoddart 2003, p. 122).
ดังน้ัน ความยึดเหน่ียวทางสังคม จึงเก่ียวข้องกับการวิเคราะห์ในหลายระดับ ตั้งแต่
ปรากฏการณ์ในระดับจิตวิทยาบุคคลไปจนถึงระดับชุมชนและสังคม โดยความยึดเหนี่ยวทาง
สงั คม ในระดบั บคุ คลอาจเกยี่ วขอ้ งกบั การทบี่ คุ คลไดร้ บั การขดั เกลาเพอื่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม
ไดแ้ ก่ ความเปน็ เจา้ ของ ความเขม้ ขน้ ของการระบอุ ตั ลกั ษณห์ รอื ความเปน็ ตวั ตน และการรบั รใู้ น
ความภาคภมู ใิ จในกลมุ่ ของตน ( Friedkin 2004) ในขณะทมี่ ติ เิ ชงิ โครงสรา้ งของความยดึ เหนย่ี ว
ทางสังคมมักเกี่ยวข้องกับประเด็นความร่วมมือกันของกลุ่มต่างๆ ในลักษณะเป็นเครือข่ายทาง
สงั คม (Moody and White 2003)
ดงั นั้น Friedkin (2004) เหน็ ว่า ในการวเิ คราะห์ความยึดเหนยี่ วทางสังคมให้มพี ลงั นนั้
ควรสำ�รวจทั้งสองระดับคือท้ังระดับปัจเจกได้แก่ การปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคล และระดับ
โครงสรา้ งได้แก่ เงือ่ นไขเชงิ โครงสรา้ งตา่ งๆ ทรี่ ายรอบประสบการณ์ของผคู้ น
จากงานการศึกษาพบว่า ความยดึ เหน่ียวทางสงั คมได้ก่อให้เกดิ ความร่วมมอื และการ
แบ่งปนั ซง่ึ กนั และกนั ในชมุ ชน จงึ ชว่ ยลดความขดั แย้งในด้านการจดั สรรทรัพยากร ความไมเ่ ทา่
เทยี มในสังคม จงึ ชว่ ยลดความกดดนั ความขัดแยง้ ท่ีรนุ แรงและนำ�สู่การสร้างสันติภาพในชุมชน
(Osberg 2003; Lavis and Stoddart 2003; Stanley 2003) ดังน้ัน ความยึดเหนย่ี วทางสังคม
สามารถชว่ ยใหเ้ กดิ สนั ตภิ าพในเชงิ บวกและเชงิ ลบ ตามความหมายของ Johan Galtung (1969)
นอกจากน้นั ความยดึ เหนีย่ วทางสงั คมยังชว่ ยใหส้ มาชิกในกลุม่ ต่างๆ ลดความเปน็ ตัว
ตนของตนลงไป และมีความรู้สึกร่วมเป็นชนกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มอ่ืนๆ มากกว่าที่จะมองแบบ
เป็นอ่ืนหรือแยกตนออกไป โดยสรุป ความยึดเหนี่ยวทางสังคมมักถูกมองว่าเป็นพ้ืนฐานสำ�คัญ
ของการสังคมแห่งสันติสุข ดังนั้น เพื่อที่จะเล่ียงนำ�สู่ความขัดแย้งใหม่ๆ และให้เกิดความยึด
เหนี่ยวทางสังคมข้นึ ในชุมชน จงึ จ�ำ เป็นตอ้ งมกี ารหลอมรวมใหก้ ล่มุ ต่างๆ ในชุมชนเข้ามามสี ว่ น
รว่ มและเปน็ สว่ นหนงึ่ ของอตั ลกั ษณท์ ใี่ หญข่ นึ้ ทเ่ี ปน็ ของสว่ นรวมทงั้ หมดบนพน้ื ฐานของกระจาย
26
26 รายวชิ าท่ี 2 พหุวฒั นธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
ความเท่าเทียมของทรพั ยากรและอ�ำ นาจอย่างเปน็ ธรรม
Mary B. Anderson and Marshall Wallace (2013) ได้วเิ คราะห์ประสบการณ์กรณี
ตวั อยา่ ง 13 ชมุ ชนทไี่ มม่ กี ารท�ำ สงครามและความขดั แยง้ ทรี่ นุ แรง เพอ่ื เปน็ บทเรยี นในการปอ้ งกนั
ความขดั แยง้ ทรี่ นุ แรงทงั้ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ และระดบั นานาชาติ จากการศกึ ษาพบวา่ ชมุ ชนทไี่ มเ่ กดิ
สงคราม หรือความขัดแย้งรุนแรงและด�ำ รงอยู่ร่วมกันเปน็ อย่างดีน้ัน จะมคี ณุ ลกั ษณะท่เี ปน็ ต้น
ทนุ และเก้ือหนุนกันและกัน 6 ประการ ได้แก่
1. มีการตัดสินใจในระดับชุมชนร่วมกันที่จะไม่ใช้ความรุนแรงหรือสงครามในการ
แก้ไขปัญหา
2. เลือกอัตลักษณ์บางอย่างท่ีเป็นท่ีรู้จักท่ีมีร่วมกันมานานท่ีโดยไม่ใช้ความรุนแรง
หรือสงคราม
3. ธ�ำ รงรกั ษาวถิ ชี วี ติ ประจ�ำ วนั ใหเ้ ปน็ ปรกตใิ หม้ ากทสี่ ดุ โดยผา่ นการใหบ้ รกิ ารและ
สนบั สนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
4. สนับสนุนความยึดเหน่ียวและการดำ�รงอยู่ร่วมกันภายในชุมชนโดยผ่านจรรยา
บรรณบางอยา่ งในการแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน
5. การบรรลคุ วามมนั่ คงปลอดภัยโดยผา่ นการพดู คยุ กบั พวกนักสทู้ ง้ั หลาย
6. มกี ารเฉลมิ ฉลองรว่ มกนั ในงานเทศกาล วนั หยดุ และการเลน่ กฬี า ฯลฯ เปน็ ตน้
จากการศกึ ษาวจิ ยั ของขา้ หลวงใหญ่ผูล้ ภ้ี ยั แหง่ สหประชาชาติ (UNHCR) ในพืน้ ท่ีความ
ขัดแยง้ ประเทศรวันดา และบอสเนยี ได้มีแนวทางการท�ำ งานโดยใช้แนวคดิ “การด�ำ รงอย่รู ่วม
กัน” ดงั นี้ (Babbitt, Eileen et.al. 2002)
1. เน้นการทำ�งานในชุมชนระดับรากหญ้าด้วยตระหนักว่าการที่จะเปล่ียนแปลง
ความสมั พนั ธข์ องผคู้ นจ�ำ เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งเปน็ การรเิ รมิ่ จากผคู้ นในชมุ ชนระดบั ราก
หญา้ ไม่ใช่เปล่ียนแปลงจากข้างบน
2. ตอ้ งพยายามหาทางสรา้ งเงอ่ื นไขใหผ้ คู้ นทแ่ี ตกตา่ งหลากหลายในชมุ ชนนน้ั ไดม้ ี
โอกาสมาพบปะกนั โดยผา่ นการท�ำ กจิ กรรมบางอยา่ งรว่ มกนั จะชว่ ยเปน็ จดุ เรมิ่
ตน้ ในการสรา้ งความสมั พันธ์ทด่ี ตี ่อกนั
3. กจิ กรรมทมี่ พี ลงั ในการชว่ ยดงึ ผคู้ นในชมุ ชนมารวมกนั คอื กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ
ทช่ี ว่ ยเสรมิ สรา้ งรายได้ โดยจะชว่ ยใหผ้ คู้ นในชมุ ชนทมี่ อี ตั ลกั ษณแ์ ตกตา่ งมารว่ ม
มือกนั ถงึ แม้วา่ ในขว่ งแรกพวกเขาอาจไม่อยากร่วมกัน แตพ่ วกเขาก็อยากจะมี
รายไดท้ เี่ พม่ิ ขน้ึ และหากพวกเขาไดเ้ รมิ่ ท�ำ งานดว้ ยกนั แลว้ กจ็ ะคอ่ ยเรมิ่ เกดิ ความ
สัมพันธท์ ่ีดีต่อกนั บนพ้ืนฐานของผลประโยชนร์ ่วมกนั
4. การดำ�รงอยู่ร่วมกันต้องมีการผสมรวมกันโดยกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ท่ีหลากหลาย
รายวิชาท ่ี 2 พหุวัฒ นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 27
มากกวา่ ทจ่ี ะอยเู่ พยี งคนทเี่ ปน็ กลมุ่ พวกเดยี ว ดงั นน้ั หากเราตอ้ งการสรา้ งความ
สัมพนั ธร์ ะหว่างกลมุ่ ท่แี ตกแยกกนั กต็ ้องสรา้ งกจิ กรรมทจี่ ะครอบคลุมทกุ กลมุ่
ในชมุ ชนซงึ่ จะชว่ ยใหค้ นตา่ งอตั ลกั ษณแ์ ละพน้ื ฐานกนั ไดม้ โี อกาสรว่ มปฏสิ มั พนั ธ์
กนั นอกเหนอื จากกจิ กรรมทส่ี �ำ คญั คอื เรอื่ งรายไดแ้ ลว้ ยงั มกี จิ กรรมส�ำ คญั อนื่ ๆ
ท่จี ะรวมคนเข้าด้วยกนั ไดแ้ ก่ การกีฬา หรอื วิถวี ัฒนธรรมพนื้ บา้ นอน่ื ๆ เพือ่ ให้
คนได้มคี วามสุขร่วมกัน
ปจั จยั ความส�ำ เรจ็ ในการสรา้ งสนั ตภิ าพในระดบั ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ประการแรก เปน็ กระบวน
การสรา้ งสนั ตภิ าพโดยรวมคนทกุ ฝา่ ยในชมุ ชนเขา้ มสี ว่ นรว่ ม ไมว่ า่ ผหู้ ญงิ เยาวชน หรอื นกั ธรุ กจิ
ทอ้ งถน่ิ ตลอดจนผเู้ ฒา่ ผแู้ กใ่ นชมุ ชน ประการทส่ี อง เปน็ กระบวนการทที่ อ้ งถนิ่ เปน็ เจา้ ของ ใชว้ ธิ ี
การอนั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของทอ้ งถน่ิ ระดมทรพั ยากรดว้ ยความรว่ มมอื ของคนในชมุ ชนอนั กอ่ ใหเ้ กดิ
ความภาคภูมใิ จในตนเอง ประการท่ีสาม ความซับซอ้ นของความขดั แยง้ และการมผี เู้ ก่ยี วขอ้ งท่ี
หลากหลายบนผลประโยชนท์ ห่ี ลากหลายตา่ งไดร้ บั การพดู ถงึ และกระบวนการจดั การความขดั
แย้งจึงค่อยเป็นค่อยไปแบบไม่ต้องรีบเร่งเพื่อจัดการกับความซับซ้อนของปัญหา และประการ
สดุ ทา้ ย เกดิ ความรว่ มมอื เชงิ สรา้ งสรรคร์ ะหวา่ งเจา้ หนา้ ทกี่ บั ชาวบา้ นในชมุ ชนทอ้ งถน่ิ เพอื่ รบั ผดิ
ชอบรว่ มกันในการช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยในชมุ ชน
เมื่อคนท่ัวไปได้ยินคำ�ว่า สังคมพหุลักษณ์ มักเข้าใจไปในมิติความสัมพัทธ์เชิงศีลธรรม
(moral relativism) ในความหมายทว่ี า่ เปน็ การหลอมรวมคนทกุ ศาสนาทกุ ความเชอ่ื ใหเ้ ขา้ เปน็
หนึง่ เดยี วกนั อยา่ งไรก็ตาม Diana Eck (2001) ได้จดุ ประกายให้คิดอย่างลมุ่ ลึกมากขน้ึ เก่ียวกบั
พหนุ ยิ มทางศาสนา (religious pluralism) โดยเธอเหน็ วา่ ความเปน็ พหนุ ยิ มนนั้ จะตอ้ งประกอบ
ดว้ ยลกั ษณะส�ำ คัญ 3 ประการได้แก่
1. ความเปน็ พหนุ ยิ ม (pluralism) ไม่ได้มีความหมายเชน่ เดยี วกนั กับความหลาก
หลาย (diversity) คอื ในชมุ ชนหนง่ึ ๆ อาจประกอบดว้ ยผคู้ นหลากหลายศาสนา
และหลากหลายชาตพิ นั ธม์ุ ารวมอยู่ในชุมชนเดยี วกนั แตห่ ากความสมั พนั ธ์ของ
ผู้คนเหล่าน้ันเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างอยู่ไม่มีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน
ความเปน็ สงั คมพหนุ ยิ มยอ่ มไมเ่ กดิ ข้ึน หรอื กลา่ วอกี นัยหนง่ึ ความเปน็ สงั คมพหุ
นิยมไมใ่ ช่และไมส่ ามารถเกดิ ขึ้นไดโ้ ดยปราศจากการมสี ่วนร่วมต่อกันและกัน
2. เปา้ หมายของความเปน็ พหนุ ยิ มไมใ่ ชเ่ พยี งการรจู้ กั อดทนอดกลน้ั ตอ่ ผทู้ ต่ี า่ งจาก
เรา แตต่ า่ งมีความพยายามท่จี ะเข้าใจผู้อน่ื ทมี่ คี วามแตกต่างจากตน เพราะการ
ทเี่ รายอมอดทนอดกลน้ั ตอ่ ผอู้ นื่ อาจเปน็ ไปในลกั ษณะการไมใ่ สใ่ จใยดแี ละยงั คง
รักษาความไม่รู้จกั ผอู้ ่นื อยูต่ ลอดไป ถงึ แมว้ ่าการอยู่แบบตา่ งคนตา่ งอยนู่ ี้อาจไม่
เกิดความขัดแย้งใดๆ ขึ้นในชุมชน แต่ก็ถือว่าชุมชนสังคมน้ันๆ ไม่มีความเป็น
28
28 รายวชิ าท่ี 2 พหุวัฒนธรรมและสงั คมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
พหุนยิ มอยา่ งแท้จรงิ
3. พหนุ ยิ มไมไ่ ดม้ คี วามหมายเชน่ เดยี วกนั กบั สมั พทั ธน์ ยิ ม (relativism) ทเี่ นน้ การ
ละเลยความแตกต่างทุกอย่างที่มีต่อกันแล้วยอมรับความเป็นอ่ืนทั้งหมด หาก
ความเป็นพหุนิยมที่แท้จริงน้ัน คือ การยืนหยัดในอัตลักษณ์ความเป็นตัวตน
ของตนเองและในขณะเดียวกันก็เคารพในความแตกต่างของอัตลักษณ์ผู้อื่นท่ี
แตกต่างจากตน
2.2 บทเรยี นการอยูร่ ่วมกันในสังคมพหวุ ฒั นธรรมของชมุ ชนมสุ ลมิ ในภาคเหนอื
ผเู้ ขียน (ดู สุชาติ เศรษฐมาลินี 2558) ไดส้ รุปผลการศึกษาการสรา้ งสนั ตภิ าพในสังคม
พหลุ กั ษณท์ างศาสนาชาตพิ นั ธข์ุ องชมุ ชนมสุ ลมิ ในภาคเหนอื พบวา่ แนวทางการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ ง
สนั ตสิ ขุ ของชุมชนพหุวฒั นธรรมมีปจั จยั ดังน้ี
1. มีการปฏสิ มั พันธเ์ กยี่ วขอ้ งกันอย่างเขม้ ข้นภายใต้การเคารพในความแตกต่าง
คือการไม่มองศาสนาอื่นอย่างตำ่�ต้อยกว่าศาสนาของตน หากแต่รู้จักเคารพให้เกียรติ
และเขา้ มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมของศาสนกิ อน่ื ภายใตข้ อบเขตทยี่ งั คงรกั ษาหลกั การในศาสนาของ
เราเอง เพราะความคิดที่มองวา่ ตนเองเหนือกวา่ ผู้อนื่ นัน้ มกั นำ�สูก่ ารกดข่ี ความก้าวร้าวรุนแรง
และไม่รจู้ กั อดกลัน้ ตอ่ ผอู้ ่ืน ชุมชนมสุ ลิมในชายแดนทั้งสองแหง่ จงึ ได้สะท้อนผา่ นกจิ กรรมต่างๆ
มากมายในชีวิตประจำ�วัน ท่ีเปรียบเสมือนเกมส์ที่สมาชิกของแต่ละกลุ่มได้แบ่งปันคุณลักษณะ
บางอยา่ งของตนให้กับกลุ่มอื่นที่จะอยู่ร่วมกันฉันท์พี่นอ้ งในครอบครวั เดียวกัน
2. การสรา้ งอัตลกั ษณร์ ่วมบางอยา่ งเพือ่ ความรู้สึกเปน็ พวกเดยี วกนั
ทั้งนี้ เนื่องจากศาสนาต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะหล่อหลอมลักษณ์ให้กับสมาชิกของตน
อยา่ งเข้มแข็ง (กระดา้ ง) และตดิ แนน่ ตายตวั โดยแบ่งแยกมนษุ ย์ออกเป็น พวกเขา-พวกเรา ดัง
ที่ Martin Marty (2000: 25-26) ได้กล่าวว่า
“การตอบสนองการเรียกร้องจากพระเจ้าด้วยความศรัทธาน้ัน ทำ�ให้ผู้ศรัทธารู้สึกตัว
เองมีเกียรติภูมิอันศักด์ิสิทธิ์ และความรู้สึกว่าตัวเองเป็นชนท่ีถูกเลือกสรร จึงเกิดการยกระดับ
ตนเองอยเู่ หนอื ผอู้ นื่ การรบั รตู้ นเองแบบนนี้ �ำ สกู่ ารวาดเสน้ แบง่ รอบตวั เราและกลา่ วหา “ผอู้ นื่ ”
ในเชงิ ลบ เชน่ การต�ำ หนผิ อู้ นื่ วา่ ผดิ เพยี้ น และแมก้ ระทง่ั สามารถกระท�ำ ความรนุ แรงตอ่ ผคู้ นทไี่ ม่
ศรทั ธาเหมอื นตน”
กจิ กรรมตา่ งๆ ในชุมชนมสุ ลิมท้ังสอง ได้สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ภาพการก้าวขา้ มเสน้ แบง่ ดงั
รายวิชาท ่ี 2 พหุวัฒ นธรรมและ สงั คมจงั หว ดั ชายแดนภาคใต้ 29
กล่าวโดยผู้คนต่างแสดงนำ้�ใจให้กันบนพ้ืนฐานของความเป็นมนุษย์ซ่ึงถือว่าเป็นอัตลักษณ์ท่ีชน
ทกุ คนตา่ งมีร่วมกนั หรืออาจยดึ โยงกบั อัตลกั ษณข์ องผู้อน่ื ที่นอกเหนือจากอตั ลกั ษณ์ของตนเอง
จงึ ท�ำ ให้เกิดความเอ้อื อาทรชว่ ยเหลือกันในทกุ ๆ กิจกรรมโดยไมเ่ ลือกศาสนา
1. การมสี ว่ นรว่ มในการตัดสนิ ใจปญั หาของชมุ ชนรว่ มกนั
มีตัวอย่างมากมายในสังคมท่ีมนุษย์ผู้มีความศรัทธาเลื่อมในศาสนาท่ีได้รับแรงบันดาล
ใจจากความเคร่งครัดในศาสนาทำ�ให้ร่วมมอื กนั ในการตอ่ ต้านกับความไมย่ ตุ ิธรรมในสังคม การ
เหยียดผวิ การเลือกปฏบิ ัตติ ่อศาสนาหรือชาติพนั ธุ ์ ตลอดจนช่วยรักษาเยยี วยาผู้คนท่ีเจบ็ ป่วย
งานศกึ ษานไ้ี ดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ รอ่ งรอยความส�ำ คญั ของการมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจของคนในชมุ ชน
เพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ หรอื แกไ้ ขปญั หาของชมุ ชนรว่ มกนั จนท�ำ ใหก้ ารด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั เปน็ ไปอยา่ ง
สนั ตสิ ุขและไมเ่ กดิ ความขัดแย้งท่รี นุ แรงข้นึ มา
2. ความพยายามท่ีจะความเข้าใจผู้อื่น
ในโลกสมยั ใหมท่ ส่ี อื่ ตา่ งๆ มีความเจรญิ อยา่ งมากและการเผยแพรเ่ ป็นไปอย่างรวดเรว็
กวา้ งขวางในชวั่ พรบิ ตาเดยี วนน้ั บอ่ ยครงั้ กอ่ ใหเ้ กดิ การระบาดทางอารมณข์ องผคู้ นจนสรา้ งความ
โกรธเกลยี ดระหวา่ งศาสนาขนึ้ มาบนพนื้ ฐานของขอ้ มลู ทเี่ ทจ็ เทยี ม ในฐานะมสุ ลมิ ผวู้ จิ ยั สมั ผสั ได้
ถงึ ประสบการณส์ ว่ นตวั ของมสุ ลมิ มากมายทเ่ี ปน็ คนรอบขา้ ง โดยพวกเขาและเธอถกู โกรธเกลยี ด
จากผูค้ นโดยท่ไี ม่จำ�เปน็ ตอ้ งรูจ้ ักกันมากอ่ น ดว้ ยเหตผุ ลเพียงเพราะรู้ว่าเราคอื มสุ ลิม
และงานวจิ ยั ดังกล่าวไดใ้ หข้ ้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยสรปุ ไวว้ ่า ผลการศึกษาเร่อื ง
การสรา้ งสนั ตภิ าพในสงั คมพหลุ กั ษณท์ างศาสนาชาตพิ นั ธไ์ุ ดพ้ บวา่ การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั และความ
ยดึ เหนย่ี วทางสงั คม เปน็ เงอื่ นไขส�ำ คญั ในการสรา้ งสนั ตภิ าพของชมุ ชนในระดบั รากหญา้ อนั เปน็
พื้นฐานท่จี ะน�ำ สู่สันติภาพโดยภาพรวมของสงั คม ดังน้นั หุน้ สว่ นทกุ ฝา่ ยทีท่ ำ�งานด้านการสรา้ ง
สนั ตภิ าพในสงั คมจะตอ้ งหาแนวทางในการสรา้ งเงอ่ื นไขเพอื่ เปน็ ภมู คิ มุ้ กนั ใหก้ ารด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั
ของผู้คนในชมุ ชนและสงั คมเป็นไปอยา่ งสนั ติ ดังนี้
1. รัฐควรมีนโยบายสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างศาสนาชาติพันธ์ุเพื่อการดำ�รง
อยู่รว่ มกันอยา่ งสันติในสงั คม
- สนับสนุนให้ผู้นำ�แต่ละศาสนามีการพบปะพูดคุยกันอย่างสม่ำ�เสมอเพ่ือหา
แนวทางสร้างความเข้าใจและอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติ
2. พฒั นาและสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ ศนู ยแ์ ลกเปลย่ี นเรยี นรดู้ า้ นศาสนาและชาตพิ นั ธเุ์ พอื่ สรา้ ง
ความเข้าใจระหวา่ งศาสนา
- พฒั นาและเพ่มิ ศักยภาพของศูนยเ์ รียนรู้ดา้ น อืน่ ๆ ในชมุ ชนทมี่ อี ยู่แลว้ ให้
ครอบคลุมมติ กิ ารสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ศาสนาและชาติพนั ธ์ุ
- สง่ เสรมิ การศกึ ษาดงู านและแลกเปลยี่ นเรยี นรดู้ า้ นการด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั ระหวา่ ง
30
30 รายวิชาที่ 2 พหวุ ัฒนธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
ศาสนาและชาติพนั ธ์ุ
3. สนับสนนุ กิจกรรมต่างๆ ในระดบั ชมุ ชน เพื่อให้คนท่ีมีพนื้ ฐานทตี่ า่ งกนั ด้านศาสนา
และชาตพิ นั ธจุ์ ะไดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั อยา่ งเขม้ ขน้ และเรยี นรกู้ ารเคารพในความแตกตา่ งของผอู้ นื่
- ให้ชุมชนมีการจัดทำ�แผนงานอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำ�ให้คนทุกกลุ่มทุกพวก
มาร่วมกิจกรรมกนั ในชมุ ชน เช่น การแขง่ ขันกีฬา การแสดงพ้ืนบา้ น การละคร หรือศลิ ปะต่างๆ
เป็นตน้
- สง่ เสรมิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทช่ี ว่ ยสรา้ งรายไดเ้ พอ่ื เปน็ แรงจงู ใจในการรวม
ตวั และปฏิสงั สรรคข์ องคน
4. พัฒนาศักยภาพของผู้นำ�ศาสนาและผู้นำ�ในระดับชุมชนเพ่ือสร้างความเข้าใจใน
แนวคดิ การด�ำ รงอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตใิ นสงั คมพหลุ ักษณท์ างศาสนาและชาติพนั ธุ์
- เพ่ิมหัวข้อการดำ�รงอยู่ร่วมกันอย่างสันติในท่ามกลางความแตกต่างหลาก
หลายเมอ่ื มกี ารสัมมนาผนู้ �ำ ชมุ ชนและผนู้ �ำ ศาสนา
5. เสรมิ สร้างความรู้ความเขา้ ใจระหวา่ งศาสนาผ่านช่องทางตา่ ง ๆ ให้มากย่งิ ขึ้น
- จัดเสวนาหาทางออกจากปญั หาต่าง ๆ ของชุมชนท้องถ่นิ หรอื สังคมจากมมุ
มองทางศาสนา เพ่อื เปน็ การสร้างความเข้าใจระหว่างกัน และแก้ไขปัญหาชุมชนร่วมกัน
- มีมาตรการการเฝ้าระวังและป้องปรามการทำ�งานขององค์กรศาสนาที่อาจ
สร้างเง่ือนไขทน่ี ำ�สู่ความเกลยี ดชงั ระหวา่ งกัน
2.3 บทเรียนการสอื่ สารเพื่อเปน็ แนวทางสร้างสังคมพหุวฒั นธรรมในจังหวดั ชายแดนใต้
มงี านศกึ ษาวจิ ยั สรปุ แนวทางการสอ่ื สารเพอ่ื สรา้ งสงั คมพหวุ ฒั นธรรมในจงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ โดย จารกึ ศริ นิ พุ งศ์ และคณะ (2560) ไดพ้ บขอ้ สรปุ ส�ำ คญั ของการสอ่ื สารเพอ่ื สรา้ งสงั คม
สนั ตสิ ุขในชายแดนใต้ ไดแ้ ก่
2.3.1 ความส�ำ คัญของกระบวนการส่ือสารพดู คยุ กัน
พระสริ จิ ริยาลังการ (เจ้าคณะจังหวัดปตั ตาน)ี “ความขัดแยง้ ไมส่ ามารถที่จะทำ�ใหห้ ยดุ
ได้ด้วยการใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพราะเหมือนกับเอาน้ำ�มันไปราดในกองไฟเข้า แต่ความขัด
แย้งสามารถยุตลิ งไดด้ ว้ ย การเจรจาพดู คุย สรา้ งความเข้าใจอนั ดีตอ่ กนั การพดู คยุ นอกจากจะ
เป็นเหตุนำ�มาซึ่งความเข้าใจที่ตรงกันแล้วยังเป็นเหตุนำ�มาซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วยเพราะได้
ทำ�ความเข้าใจกันด้วยวาจา มีตัวอย่างมากมายท่ีแสดงให้เห็นว่าการใช้ความรุนแรงตอบโต้ไม่
สามารถนำ�ไปสู่การยุติปัญหาได้ แม้ว่าความรุนแรงยังคงดำ�เนินไปอยู่ แต่แนวทางของการแก้
ปัญหาทด่ี ีทส่ี ุดก็ยงั คงอยูท่ พี่ ยายามพดู คุยกัน การไดเ้ จรจาพูดคุยกนั จงึ มคี วามส�ำ คัญมาก”
นายอบั ดลุ การมิ การี (กอจ.นราธวิ าส) ไดก้ ลา่ วเชน่ เดยี วกนั วา่ “การพดู คยุ กนั คอื แนวทาง
รายวชิ าท ่ี 2 พหุวฒั นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 31
ที่ดีท่ีสุดในการยุติความขัดแย้งทุกชนิดทุกประเภท แม้ว่าในการยุติความขัดแย้งจะสามารถใช้
กระบวนการทางกฎหมายกไ็ ดแ้ ต่กไ็ ม่ย่ังยืนเหมือนกนั การพูดคุยไกลเ่ กลี่ย อยา่ งปัญหาท่เี กดิ ขน้ึ
ในพืน้ ที่ ๓ จังหวดั ชายแดนภาคใต้ แมว้ ่ายังคงเกดิ ความรุนแรงอย่างต่อเน่อื ง แต่ผมกค็ ดิ วา่ เรา
ตอ้ งคยุ กนั ให้เยอะ ๆ ในลักษณะการหารือกนั เรอ่ื งการหาทางออกหรือแกไ้ ขปัญหาท่เี กดิ ขึ้น เรา
จำ�เป็นท่ีจะต้องร่วมมือกัน ซึ่งการร่วมมือกันที่ดีคือ การพูดคุยท่ีจะสามารถนำ�ไปสู่ การปฏิบัติ
รว่ มกนั ได้ ถา้ ดจู ากตรงนกี้ จ็ ะเหน็ ไดว้ า่ การพดู คยุ หรอื เจรจากนั มคี วามส�ำ คญั มากในการแสวงหา
แนวทางร่วมกันเพอ่ื แกไ้ ขปัญหา”
นายอะสะแม ลาเตะ ผูใ้ หญ่บ้านหมูท่ ่ี ๒ ต.ตะโละ อ.ยะหร่งิ จ.ปตั ตานี ทวี่ า่ “ผมเป็น
เพือ่ นกับผใู้ หญ่ สุกิจ นลิ จนั ทร์ เราไดใ้ ชก้ ารพูดคุยเป็นหลกั การพดู คุยกันของชาวชุมชนเราจะ
มีตามโอกาสต่าง ๆ เช่น ร่วมกิจกรรมของหมู่บ้านซ่ึงแต่ละปีชาวพุทธกับมุสลิมก็จะได้ร่วมกัน
บอ่ ย ๆ กจิ กรรมของชุมชนเปน็ เสมือนสะพานเช่อื มความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง พนี่ อ้ งชาวพุทธและ
มุสลิม ซ่ึงในการร่วมกิจกรรมดังกล่าวมันทำ�ให้เราท้ังสองฝ่ายได้พูดคุยกันตามประสาคนชุมชน
เดียวกันอยู่บ่อย และผมคิดว่ามันเป็นเร่ืองท่ีดีที่เราได้ทำ�กิจกรรมร่วมกันอย่างน้ี เพราะจะได้มี
ความกลมเกลียวกัน สมคั รสมานสามคั คกี ัน”
2.3.2 การสอ่ื สารอย่างสรา้ งสรรค์
พระราชปัญญามนุ ี (เจ้าคณะจังหวดั ยะลา) “การพูดคยุ เจรจากนั เปน็ สิ่งทด่ี สี �ำ หรับการ
อย่รู ว่ มกนั ในสงั คม แตก่ ารพดู คุยกันท่ีวา่ ต้องเปน็ การพดู คุยกันอยา่ งสร้างสรรค์ ไม่ใชค่ ุยกันบน
พื้นฐานของอคติ มีความลำ�เอียงเป็นที่ต้ังก็ไม่ถูกต้อง หากจะพูดคุยเจรจากันก็ต้องกำ�จัดอคติ
ไปให้หมดจากจิตใจก่อนแล้วมาคุยกัน คนส่วนใหญ่เวลาคุยกันก็มักจะลำ�เอียงเข้าข้างตนเอง
เป็นอันดับแรก พอคุยกับคนอ่ืนก็คุยกันไม่รู้เร่ืองเพราะเอาตัวเองเป็นใหญ่ อย่างนี้ก็ไม่ต้องหวัง
ความสำ�เร็จท่ีจะพึงบังเกิดจากการคุยกัน หากจะคุยเพื่อให้บรรลุถึงประโยชน์ร่วมกันก็ต้องคุย
กันอยา่ งไม่มอี คติ อาตมาเหน็ ดว้ ยวา่ หากจะให้เหตุการณค์ วามไม่สงบในพื้นทยี่ ุตลิ งก็ต้องคยุ กัน
อยา่ งสร้างสรรค”์
นายอารฟี นิ เจะ๊ แม (กอจ. ยะลา) “การพดู คยุ อยา่ งสรา้ งสรรคค์ อื ทางออกทด่ี ขี องปญั หา
หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะปญั หาทางสังคม ในปัจจบุ นั สังคมหนั มาใหค้ วามสำ�คญั กับการเจรจา
ไกล่เกลี่ยกันมากเพราะมีประโยชน์มาก แต่ในการสื่อสารเพ่ือความเข้าใจนั้นจะต้องพูดอย่าง
สร้างสรรค์ การพูดอยา่ งสรา้ งสรรค์คอื การพูดดีมีเจตนาดแี ละอยูบ่ นพื้นฐานของความรักความ
เขา้ ใจ เพราะความรักความเข้าใจเป็นพ้ืนท่ีสำ�คัญของการแสดงออกมา ทางค�ำ พูด ความรักยอ่ ม
มาจากจติ ใจ เมื่อจิตใจมคี วามรักเป็นฐานการแสดงออกทางวาจาก็ออกมาอย่างสร้างสรรค์ได”้
นายชนาธปิ พรหมช่ืน (กำ�นนั ตำ�บลสไุ หงปาดี จ.นราธิวาส) “เหตกุ ารณค์ วามไมส่ งบใน
พนื้ ที่ ๓ จังหวดั ภาคใต้ถอื ว่าน่ากลัวแล้ว คำ�พูดของคนทไ่ี มส่ ร้างสรรคถ์ ือว่าน่ากลวั กว่า เพราะ
32
32 รายวชิ าท่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
นอกจากจะไมท่ �ำ ใหค้ นรกั กนั แลว้ ยงั ท�ำ ใหค้ นในพน้ื ทแ่ี ตกแยกกนั ดว้ ย ผมจงึ เหน็ วา่ การใชค้ �ำ พดู
อย่างสร้างสรรค์ถือเป็นเหตุนำ�มาซ่ึงความดีทั้งหลาย อย่างที่ผ่านมาเหตุการณ์ความไม่สงบเกิด
ขึ้นอย่างต่อเน่ืองแต่ท่ีคนไทยพุทธและมุสลิมยังอยู่ร่วมกันได้เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจ พยายาม
รักษาน้�ำ ใจกันสำ�หรับคนท่ีรู้จักคนุ้ เคยกัน พยายามพดู ในทางทีดตี ่อกัน ใหก้ ำ�ลังใจกนั ตามฐานะ
ผมกม็ องวา่ เปน็ สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ ง แตก่ ต็ อ้ งยอมรบั วา่ มคี นบางสว่ นทพ่ี ยายามพดู ในทางทไี่ มส่ รา้ งสรรค์
พยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดข้นึ ”
2.3.3 การสื่อสารทดี่ ีต้องต่อยอดไปสู่การปฏบิ ตั ิใหเ้ กดิ ผลลัพธท์ ่ดี ี
พระเทพศีลวิสุทธิ์ (เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส) “การส่ือสารท่ีดีต้องเป็นเหตุนำ�ให้เกิด
ประโยชน์สุขแก่ผู้พูด การสื่อสารเป็นเบ้ืองต้นท่ีสุดของการแสวงหาทางออกร่วมกันของปัญหา
ต่างๆ แต่การพูดคุยเจรจากันที่ดีเลิศ คือการพูดคุยกันแล้วสามารถนำ�ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล
เปน็ รูปธรรมออกมา โดยเฉพาะผลลัพธท์ ด่ี ีของการปฏิบตั ิร่วมกนั นน่ั คือ การเจรจาพูดคุยกนั จะ
ตอ้ งไปจบที่การร่วมมอื ร่วมแรงรว่ มใจกันด�ำ เนินการ ปฏิบัตริ ่วมกัน ท�ำ รว่ มกนั ใน เชิงสร้างสรรค์
เพือ่ ประโยชนส์ งู สุดคือความสขุ ของสงั คมโดยรวม”
พระครูอดุ มธรรมาทร (เจา้ คณะอ�ำ เภอยะหริง่ ) “อาตมามคี วามค้นุ เคยกบั ผ้นู ำ�ศาสนา
ในชุมชนเป็นอย่างดี การได้มีความสัมพันธ์กับผู้นำ�ทางศาสนาอิสลามในพ้ืนท่ีใกล้เคียงอยู่อย่าง
สม่ำ�เสมอทำ�ให้เกิดความคุ้นเคยสนทนาพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง อาตมาจึงมีความคิดว่าบาง
ครงั้ การพดู คยุ กนั อยา่ งเดยี วกไ็ มเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไรมาก แตห่ ากไดน้ �ำ เอาสงิ่ ทพ่ี ดู ทค่ี ยุ กนั ไปปฏบิ ตั ิ
ใหเ้ กดิ ผลเปน็ รปู ธรรมกเ็ ปน็ การดี ทผี่ า่ นมาผลการทต่ี า่ งฝา่ ยตา่ งมปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั เปน็ อยา่ งดกี เ็ กดิ
เปน็ อานสิ งสแ์ กท่ ง้ั สองฝา่ ย คอื ผนู้ �ำ อสิ ลามทม่ี คี วามคนุ้ เคยกบั เรา เขากไ็ ปบอกไปกลา่ วกบั คนใน
ชมุ ชนของเขาถงึ ความสมั พนั ธท์ ดี่ รี ะหวา่ งเรากบั เขา กเ็ ปน็ เหตนุ �ำ ความเขา้ อกเขา้ ใจกนั ชาวพทุ ธ
กบั มสุ ลมิ ในชมุ ชนกอ็ ย่ดู ว้ ยกันอย่างไม่มปี ญั หาแตอ่ ย่างใด”
นายดลฮาฟ สาหล�ำ สหุ รี (โตะ๊ อหิ มา่ มประจ�ำ มสั ยดิ ) “หากกลา่ วถงึ สถานการณค์ วามไม่
สงบในชายแดนภาคใตท้ เ่ี กดิ ขนึ้ ทกุ คนกร็ วู้ า่ มผี ลกระทบตอ่ คนในพนื้ ทท่ี งั้ ไทยพทุ ธและมสุ ลมิ อยา่ ง
หลกี เลีย่ งไม่ได้ แต่เหตกุ ารณ์ ทเี่ กิดขนึ้ หลาย ๆ ครัง้ ก็ได้รับการแกไ้ ขดว้ ยการพูดคยุ กนั ระหว่าง
ผูน้ �ำ ก็ถือเปน็ เรื่องที่ดีทีม่ ีการพูดคุยกัน ทำ�ความเข้าใจกนั สิ่งนจี้ ะเป็นสิ่งทีจ่ ะประคบั ประคองให้
สังคมใน พนื้ ท่ี ๓ จงั หวดั ภาคใตด้ �ำ รงอยู่ได้ แตก่ ารพดู คยุ กนั ในบางเรือ่ งจะเกดิ ผลดีกต็ อ่ เมอ่ื ต้อง
น�ำ ไปปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ประโยชนแ์ กค่ นใน ๓ จงั หวดั อยา่ งแทจ้ รงิ ถงึ จะเรยี กวา่ บรรลุ หรอื การสอ่ื สาร
จะเรยี กว่าดไี ดก้ ค็ วรน�ำ ไปปฏบิ ตั ิให้เกดิ ประโยชนร์ ะหวา่ งชาวพุทธและมุสลมิ ”
2.3.4 การสอื่ สารที่ดีตอ้ งอย่บู นฐานความเข้าใจถงึ วฒั นธรรมของกนั และกัน
พระเทพศีลวิสุทธ์ิ ได้กล่าวว่า “ไทยพุทธกับมุสลิมอยู่ด้วยกันมานานในพื้นที่ชายแดน
ใต้ บางคนบางกลุ่มนับถือศาสนาคนละศาสนาแต่รักใคร่สนิทสนมกันเหมือนญาติ เพราะต่าง
รายวิชาท ี่ 2 พหวุ ัฒ นธรรมและ สังคมจังหว ัดชายแดนภาคใต้ 33
ฝา่ ยตา่ งเขา้ ใจกนั และ ชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู กนั บางคนบางกลมุ่ กม็ ญี าตติ ามสายโลหติ เดยี วกนั แตม่ า
เปล่ยี นศาสนาทีหลัง แต่ก็ยงั มีความผกู พนั กนั เหมอื นเดมิ ความเข้าใจกันและกนั กไ็ ม่มีปญั หาแต่
อยา่ งใด ทงั้ ๆ ทถ่ี อื ศาสนาตา่ งกนั การทไี่ ทยพทุ ธกบั มสุ ลมิ ยงั สามารถอยรู่ ว่ มกนั พบปะพดู คยุ กนั
เป็นเพื่อนกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างให้เกียรติกันเพราะเข้าใจในวัฒนธรรมของอีกฝ่ายอาตมาได้
เขา้ รว่ มกิจกรรมกับผนู้ ำ�อสิ ลามนบั ไม่ถ้วน เวลาเจอกันเราก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะทางศาสนา
กันอยู่เปน็ ประจำ� กไ็ มไ่ ด้มปี ญั หาอะไร เพราะตา่ งฝ่ายตา่ งเขา้ ใจ สามารถแยกแยะในสิง่ ที่เราพดู
คุยกันได้”
เชน่ เดยี วกบั นายอภชิ าติ บนิ มามะ ทไ่ี ดก้ ลา่ วในท�ำ นองเดยี วกนั วา่ “ชาวพทุ ธกบั มสุ ลมิ
เราอยรู่ ว่ มกนั ไดเ้ พราะความเขา้ ใจกนั และกนั เราพดู คยุ กนั รเู้ รอื่ ง เพราะตา่ งฝา่ ยตา่ งใหเ้ กยี รตกิ นั
ไม่กา้ วกา่ ยสิทธแิ ละเรอ่ื งความเชอื่ ของกนั และกัน เราคบหาสมาคมกนั ไดโ้ ดยไมเ่ ก่ยี วกับศาสนา
ตา่ งฝา่ ยต่างมวี ัฒนธรรมทีเ่ ปน็ ของตน พุทธกบั มุสลมิ สามารถทำ�งานหรอื ด�ำ เนนิ ชวี ิตรว่ มกนั ได้
อยา่ งไมม่ ปี ญั หาเพราะเราตา่ งเขา้ ใจกนั และกนั ทเ่ี ราสามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดม้ าเปน็ เวลานานนบั แต่
อดตี เพราะเราตา่ งอยดู่ ว้ ยกนั บนพนื้ ฐานความเขา้ ใจ ยงิ่ ในระดบั ผนู้ �ำ ของทง้ั สองฝา่ ยดว้ ยแลว้ เรา
ตา่ งกเ็ ปน็ ผนู้ �ำ ทตี่ อ้ งมหี นา้ ทชี่ กั น�ำ ผตู้ ามให้ มคี วามเขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งในเรอื่ งการทจ่ี ะพดู คยุ กบั พ่ี
น้องตา่ งศาสนกิ ”
นายนายประทีป จลุ กจิ ไดก้ ลา่ วเช่นเดยี วกนั วา่ “ถ้าจะกล่าวถงึ การอยรู่ ว่ มกนั ระหว่าง
พุทธกับมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส ก็พูดได้ว่าที่เราทั้งไทยพุทธและมุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันได้
เพราะเราตา่ งรจู้ กั กนั รจู้ กั ในทน่ี ค้ี อื รวู้ ฒั นธรรมของกนั และกนั เปน็ อยา่ งดี ความเขา้ ใจกนั และกนั
นม้ี ใี นคนทกุ ระดบั ตงั้ แตร่ ะดบั ชาวบา้ น จนถงึ ระดบั ผนู้ �ำ โดยเฉพากลมุ่ ผนู้ �ำ ทต่ี า่ งฝา่ ยตา่ งมคี วาม
เขา้ ใจถงึ วฒั นธรรมของกนั และกนั จงึ สามารถแจง้ ผตู้ ามใหเ้ ขา้ ใจในความแตกตา่ งของกนั และกนั
นคี่ อื บทบาทของผู้น�ำ ทเ่ี มอื่ ตนเองมคี วามเขา้ ใจแล้วกถ็ ่ายทอดใหผ้ ตู้ ามให้เหน็ ตามตนดว้ ย”
นายประทีป จลุ กจิ ท่ีได้กลา่ วว่า “เม่อื กอ่ นไทยพทุ ธกับมุสลิมมีความสัมพันธท์ ีด่ ีต่อกนั
มาก เวลามงี านในชมุ ชนของฝา่ ยใด อกี ฝ่ายหน่งึ กจ็ ะไปชว่ ยเหลอื กนั สามารถไปนอนคา้ งคืนใน
ชุมชนของอีกฝ่ายได้เลยโดยไม่ต้องกังวลเร่ืองความปลอดภัย แต่พอเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ
ข้ึนต่างฝ่ายต่างห่างเหินออกจากกัน ไม่กล้าที่จะไปมาหาสู่กัน ประเพณีลาซังที่เคยทำ�ร่วมกันก็
แยกกนั ทำ� เพราะตา่ งฝ่ายต่างระแวง”
นายสทุ ธมิ าตร มาหามดั (โตะ๊ อหิ มา่ มประจ�ำ มสั ยดิ กลางอ�ำ เภอยะหา) ไดก้ ลา่ วถงึ ปญั หา
และอปุ สรรคในกระบวนการสอื่ สารเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตริ ะหวา่ งชาวไทยพทุ ธและมสุ ลมิ
ว่า “ตงั้ แตป่ ี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา อนั เป็นช่วงเวลาแหง่ การเรม่ิ เกดิ ข้ึนของ เหตกุ ารณ์ความไมส่ งบ
ก็ต้องยอมรับว่าสังคมชาวไทยพุทธกับสังคมชาวมุสลิมเร่ิมมี ความสัมพันธ์ที่ส่ันคลอนไปบ้าง
เพราะต่างฝ่ายต่างหวาดระแวงต่อกัน ย่ิงคนที่ได้ประสบเหตุหรือได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย
34
34 รายวิชาท่ี 2 พหุวฒั นธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
แล้วย่ิงมองมุสลิมด้วยท่าทีอคติ สิ่งน้ีผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ หากจะมองไปถึงเร่ืองการสร้าง
สนั ตสิ ขุ ให้เกดิ ข้ึนในพ้นื ท่ี เราในฐานะเป็นผู้น�ำ ชุมชนกพ็ ยายามทำ�เท่าที่จะท�ำ ได้ แต่ก็บางทกี ไ็ ม่
อาจทำ�ให้สำ�เร็จได้ เพราะมขี ้อจ�ำ กัดและปจั จัยหลาย ๆ อยา่ งมาขดั ขวาง ความไม่ไวใ้ จกันแม้จะ
อยรู่ ่วมสงั คมเดียวกันถอื เปน็ ส่งิ ท่ีนา่ กงั วล เพราะผูไ้ ม่หวงั ดีอาจจะน�ำ ไปเป็นเครือ่ งมือต่อยอดไป
เปน็ การสรา้ งความแตกแยกไดเ้ หมือนกัน”
ในขณะที่นายสมาน สีปูเต๊ะ (กำ�นันตำ�บลทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี) ได้กล่าว
ถึง ปัญหาและอุปสรรคในกระบวนการสื่อสารระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิมในท่ามกลาง
สถานการณ์ความรุนแรงในพ้ืนที่ว่า “จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นท่ี ได้ส่งผล
กระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิมเป็นอย่างมากอย่างไม่เคยเกิดข้ึนมา
ก่อน แม้ว่าในพ้ืนท่ีบ้านทรายขาวจะเป็นไม่ค่อยมีเหตุรุนแรงเพราะชาวชุมชนบ้านทรายขาวท้ัง
พุทธและมุสลิมมอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ แต่ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาเดิน
ทางออกนอกพน้ื ทที่ รายขาว นา่ เปน็ หว่ งกแ็ ตใ่ นพนื้ ทอี่ นื่ ใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตเ้ พราะตงั้ แต่
เกดิ เหตกุ ารณค์ วามรนุ แรงกเ็ หน็ ไดช้ ดั วา่ ไทยพทุ ธกบั มสุ ลมิ มปี ญั หาดา้ นความสมั พนั ธก์ นั ปญั หาน้ี
ถอื เปน็ อปุ สรรคในการทจี่ ะน�ำ ไปสกู่ ารพดู คยุ กนั เพราะเมอื่ ตา่ งฝา่ ยตา่ งหวาดระแวง กไ็ มอ่ ยากเขา้
ใกลก้ นั ท�ำ ใหห้ า่ งเหนิ กนั แมแ้ ตใ่ นกลมุ่ คนทเี่ คยรจู้ กั มกั คนุ้ กนั มากอ่ นกเ็ รม่ิ ทจี่ ะไมไ่ วใ้ จกนั ซงึ่ เปน็
สิง่ ทน่ี า่ เปน็ หว่ งเป็นอย่างมากหากจะหวังให้ความสงบกลับมายงั พื้นที่ภาคใต้อยา่ งเชน่ แต่กอ่ น”
เชน่ เดยี วกบั นายภราดร เพชรศรี (ผใู้ หญบ่ า้ น ม.3 ต.ทรายขาว อ.โคกโพธ ิ์ จ.ปตั ตาน)ี
“ในพื้นท่ีทรายขาวยังไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงเพราะฉะนั้นก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเร่ืองความสัมพันธ์
ระหว่างชาวพุทธกับมุสลิม เพราะเราได้ช่ือว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งทางพหุวัฒนธรรม คือ เป็น
หมู่บ้านที่มีภาพลักษณ์ท่ีดีด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยพุทธกับมุสลิม แต่ในพื้นที่นอกทราย
ขาวก็มสี ถานการณท์ ี่นา่ เป็นห่วงไมน่ ้อย เพราะเกดิ เหตรุ ุนแรงบอ่ ยครง้ั จนท�ำ ใหส้ งั คมชาวพุทธ
กับมุสลิมมีปัญหา ซึ่งหากจะใช้วิธีการพูดคุยเพ่ือสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสถานการณ์
ปัจจบุ นั ก็ถือวา่ ลำ�บาก เพราะต่างฝ่ายตา่ งอยดู่ ้วยกันอยา่ งหวาดระแวง ไมไ่ ว้ใจกนั ส่ิงนีถ้ อื เปน็
ปญั หาใหญ่และเปน็ อุปสรรคขัดขวางในการพูดคุยเพอื่ สร้างสนั ติภาพ เพราะต่างฝา่ ยต่างมอี คติ
ต่อกนั อคติคือความล�ำ เอียงนแี้ หละจะเปน็ ก�ำ แพง”
รายวิชาท ่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สงั คมจงั หว ดั ชายแดนภาคใต้ 35
บทท่ี 3
บทเรียนการท�ำ งานสังคมพหุวฒั นธรรมในชายแดนภาคใต้
3.1 จดุ เปลี่ยนชีวิตและความคิดเรื่องอิสลามกบั ความรุนแรง
ผ้เู ขยี นเรมิ่ ต้นชวี ิตการท�ำ งานวิชาการที่มหาวทิ ยาลัยพายัพ ในปี พ.ศ. 2537 จนกระท่ัง
ในปี 2544 ผู้เขียนได้รับทุนเต็มจำ�นวนจากมหาวิทยาลัยพายัพให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญา
เอก ณ มหาวิทยาลัยฮาวาย สหรฐั อเมริกา ในสาขาวชิ าสังคมวทิ ยา ซึ่งโอกาสครง้ั นไ้ี ด้กลายเป็น
จดุ เปลยี่ นครง้ั ส�ำ คญั ในชวี ติ ของผเู้ ขยี นตอ่ มมุ มองเรอื่ งการอยรู่ ว่ มกนั ทา่ มกลางความหลากหลาย
ในสงั คมพหุวฒั นธรรม
ผเู้ ขยี นเดนิ ทางถึงเมืองโฮโนลูลู รฐั ฮาวาย สหรฐั อเมริกา ในเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2544
และต่อมาเพยี งเดอื นเศษ เกดิ เหตกุ ารณ์ถลม่ ตกึ เวลิ ดเ์ ทรดเซ็นเตอร์ ณ มหานครนวิ ยอรค์ ซ่งึ ถอื
เป็นโศกนาฏสำ�คญั อีกคร้งั หนึง่ ของโลก และผู้เขียนจะไม่มีวันลมื เหตุการณ์ในเช้าวันนั้นไดเ้ ลย
ผเู้ ขยี นตนื่ ขน้ึ มาละหมาดตอนเชา้ เหมอื นดงั เชน่ ทกุ วนั หลงั จากเสรจ็ จากการละหมาด มี
เพอื่ นนกั เรยี นไทยจากอกี ตกึ หนงึ่ โทรมาทห่ี อ้ งผเู้ ขยี นบอกวา่ “ใหร้ บี เปดิ ดทู วี เี ดยี๋ วน”ี้ จากน�้ำ เสยี ง
ผเู้ ขยี นไดแ้ ตเ่ ดาวา่ ตอ้ งเปน็ เหตกุ ารณใ์ หญข่ องโลกอยา่ งแนน่ อน แตน่ กึ ไมถ่ งึ เลยวา่ ภาพทผ่ี เู้ ขยี น
เห็นหลังจากการเปิดดูทวี ีคือ เคร่อื งบนิ ก�ำ ลังพุ่งเขา้ ชนตึกแฝดท้ังสอง ควันไฟพวยพ่งุ ตึกค่อยๆ
ถลม่ ลง และทวี กี ต็ ดั ภาพไปยงั กลมุ่ คนมากมาย ซง่ึ ไมต่ อ้ งบอกกร็ ไู้ ดว้ า่ คอื คนมสุ ลมิ เพราะสว่ นใหญ่
เปน็ ผหู้ ญงิ ทส่ี วมผา้ คลมุ (ฮญิ าบ, ผเู้ ขยี น) ซงึ่ ตา่ งโหร่ อ้ งดใี จอยา่ งมคี วามสขุ ภาพดงั กลา่ วท�ำ ใหผ้ ู้
เขยี นเกดิ ค�ำ ถามมากมายวา่ ในขณะทคี่ นบนเครอื่ งบนิ นบั รอ้ ย คนบนตกึ นบั พนั เขาตอ้ งตายโดยที่
ไมร่ วู้ า่ เขาผดิ อะไร ญาตมิ ติ รพน่ี อ้ งนบั หมนื่ ของเหยอื่ ความรนุ แรงเหลา่ นน้ั ทคี่ งก�ำ ลงั โศกเศรา้ อยา่ ง
มากกับความสญู เสีย แตท่ �ำ ไมมุสลมิ จึงโหร่ ้องดใี จอยา่ งมีความสขุ ? ท�ำ ไมมุสลิมจึงไม่ร้สู ึกรู้สากับ
ความสญู เสยี ความเจบ็ ปวดของเพอ่ื นมนษุ ยด์ ว้ ยกนั เลย? อสิ ลามไมม่ คี �ำ สอนถงึ ความเหน็ ใจ ความ
มีเมตตาต่อเพ่ือนมนุษย์ร่วมโลก
เลยหรือ? มีคำ�สอนอิสลามตรง
ไหนหรือที่ให้เราดีใจกับความสูญ
เสยี เชน่ นี?้ ขณะเดียวกัน ผู้เขียน
รีบเข้าไปดูข่าวในอินเตอร์เน็ตใน
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของผู้เขียน
ผู้เขียนได้เห็นความเห็นผู้คนจาก
ท่ัวโลกต่างรุมก่นด่ามุสลิมอย่าง
เหมารวมด้วยถ้อยคำ�หยาบคาย
36
36 รายวชิ าท่ี 2 พหุวฒั นธรรมและสังคมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
อยา่ งทีเ่ กินจะบรรยาย ทงั้ สามเหตุการณ์ท่เี กิดขึ้นในขณะเดียวกันในตอนนน้ั คือ เครอื่ งบินชน
ตึกคนตายเป็นจำ�นวนมากมาย มุสลิมโห่ร้องอย่างดีใจมีความสุข และผู้คนทั่วโลกรุมด่ามุสลิม
อย่างหยาบคาย ผู้เขียนยังจำ�ได้ถึงความคับข้องใจและทนทุกข์ทรมานของตัวเองในขณะนั้นจน
ไมอ่ าจกลนั้ น�้ำ ตาไวไ้ ดห้ นา้ จอทวี แี ละจอคอมพวิ เตอรข์ องผเู้ ขยี น และนน้ั คอื จดุ เรม่ิ ตน้ ของผเู้ ขยี น
ในการมุ่งม่ันที่จะต้องหาคำ�ตอบถึงแก่นคำ�สอนของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในประเด็นการ
อธิบายความรุนแรง สงคราม และความสมั พันธใ์ นการอยู่รว่ มกับผอู้ ืน่ อย่างสันตสิ ขุ และที่นา่
เสียใจอยา่ งมากก็คือ ผเู้ ขยี นมาทราบภายหลงั ว่า ภาพผหู้ ญิงมุสลมิ ทโ่ี ห่ร้องดีใจอย่างมคี วามสุข
ภายหลังเครือ่ งบนิ ชนตกึ เวิลด์เทรด เซน็ เตอร์น้ัน เป็นภาพคนละเหตุการณ์กัน เพราะเปน็ ภาพ
ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1992 ที่ทหารอิรักเข้าบุกยึดเมืองในประเทศคูเวต และต่อมาหลายประเทศช่วย
กนั ขับไลท่ หารอิรกั ออกไป ชาวคเู วตจึงโห่รอ้ งดใี จอย่างมีความสุข
การสร้างความจริงจากภาพลวงทำ�ให้ผู้เขียนนึกถึง Jean Braudrillad (1994) นัก
สงั คมวิทยาผูม้ ชี ่อื เสียงชาวฝรงั่ เศส ท่ีพดู ว่า ปัจจบุ ันเรากำ�ลงั อยูใ่ นสังคมในยุคท่เี รียกวา่ hyper-
reality ที่ “ภาพลวงถูกท�ำ ให้เปน็ จรงิ เสียยง่ิ กว่าความเป็นจริง” (image is more real than
reality itself)
ดงั นน้ั การถกู กระทบกระเทอื นทางจติ ใจอยา่ ง
รนุ แรงจากเหตกุ ารณ์ 911 ท�ำ ใหก้ ารใชช้ วี ติ ของผเู้ ขยี น
ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย นอกจากต้องเรียนหนังสือเพื่อ
ใหจ้ บปรญิ ญาเอกตามสาขาสงั คมวทิ ยาทไ่ี ดร้ บั ทนุ จาก
มหาวิทยาลัยแล้ว ผู้เขียนยังได้พยายามศึกษาค้นคว้า
อย่างมากมายเกี่ยวกับคำ�สอนของอิสลามที่ว่าด้วย
สันติภาพและความรุนแรง และงานเขียนช้ินแรกของ
ผู้เขียนเก่ียวกับการต่อต้านการใช้ความรุนแรง และโต้
แยง้ วา่ อสิ ลามมเี มลด็ พนั ธม์ุ ากมายทจี่ ะน�ำ สคู่ วามมสี นั ติ เปน็ บทความในการวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์
ความรุนแรงในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ทีม่ สั ยิดกรอื เซะ จ.ปัตตานี ในปี พ.ศ. 2547 อันมสี าเหตุ
จากการทว่ี ยั รนุ่ ไดล้ า่ ฆา่ ท�ำ รา้ ยเจา้ หนา้ ทตี่ �ำ รวจ จนในทส่ี ดุ เจา้ หนา้ ทไี่ ดย้ งิ วยั รนุ่ ทก่ี อ่ เหตตุ ายนบั
ร้อยคนในเหตุการณค์ รั้งนน้ั
โดยผเู้ ขยี น (ดู สชุ าติ เศรษฐมาลนิ ี 2550) ไดน้ �ำ เสนอค�ำ สอนอสิ ลามทสี่ �ำ คญั ในบทความ
คร้ังน้ันว่า มักมีความเข้าใจผิดอย่างมากมายท้ังในหมู่มวลมุสลิมบางกลุ่มและเพื่อนต่างศาสนิก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต�ำ ราโลกตะวันตกท่ีมักใหค้ ำ�นิยามความหมายของ “ญฮิ าด” (Jihad) วา่
คอื “สงครามศกั ดิ์สิทธิ์” (Holy War) ซงึ่ Khaled Abou EL Fadl นกั นิติศาสตร์อิสลามผู้มชี ่ือ
รายวชิ าท ่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สงั คมจังหว ดั ชายแดนภาคใต้ 37
เสยี งได้กลา่ ววา่ ในเทววทิ ยาอิสลามน้ันสงครามไม่ใช่ความศักด์ิสทิ ธิ์ ไม่วา่ สงครามนนั้ จะเป็นไป
โดยชอบ (เพอ่ื การปอ้ งกนั ตวั ) หรอื ไมก่ ต็ าม ถงึ แมว้ า่ ศาสนาอสิ ลามจะมกี ารอนมุ ตั ใิ หส้ ามารถท�ำ
สงครามเพ่ือการปกป้องตัวเองอันเน่ืองมาจากการถูกรุกรานทำ�ร้ายแต่การทำ�สงครามในทัศนะ
อิสลามก็ต้องถูกกำ�กับด้วยจริยธรรมอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ การห้ามทำ�ร้ายเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ
ประชาชนผบู้ รสิ ทุ ธท์ิ ไ่ี มใ่ ชค่ สู่ งคราม นกั พรตนกั บวชในทกุ ศาสนา และยงั หา้ มท�ำ ลายศาสนสถาน
ของศาสนาอน่ื ๆ รวมทง้ั การหา้ มซอ้ มทรมานเชลยสงครามถงึ แมว้ า่ ฝา่ ยมสุ ลมิ ทตี่ กเปน็ เชลยของ
ฝา่ ยตรงขา้ มจะถกู ซอ้ มทรมานกต็ าม และหากขา้ ศกึ ยอมยตุ กิ ารตอ่ สแู้ ลว้ มสุ ลมิ จะตอ้ งยตุ กิ ารใช้
ความรุนแรงอยา่ งเดด็ ขาด
ดงั นนั้ การใช้ความรนุ แรงในทศั นะอิสลามจงึ เปน็ สภาวะยกเว้นเพอ่ื ความจำ�เป็นในการ
ปกปอ้ งตวั เองทถี่ กู จ�ำ กดั ดว้ ยขอ้ ก�ำ หนดและจรยิ ธรรมก�ำ กบั มากมาย และไมใ่ ชเ่ ปน็ เรอื่ งของการ
ใช้อารมณ์ด้วยความโกรธเกลียดดังมีตัวอย่าง กรณีท่านอาลี อิบนิ อะบีตอลิบ ขณะกำ�ลังต่อสู้
กับคู่ต่อสู้ที่มาทำ�ร้ายและท่านได้เปรียบจนเกือบจะฆ่าคู่ต่อสู้ แต่คู่ต่อสู้ได้ถ่มนำ้�ลายรดใบหน้า
ของท่าน สักครู่หนง่ึ ทา่ นจึงลดดาบลงไมย่ อมฆา่ ค่ตู ่อส้คู นนัน้ คู่ตอ่ สจู้ งึ ถามว่า “ท�ำ ไมท่านไมฆ่ า่
ฉนั ในเมอ่ื ทา่ นไดเ้ ปรยี บเหนอื ฉนั แลว้ ” ทา่ นอาลจี งึ ตอบไปวา่ “ดาบแรกทฉ่ี นั จะฆา่ ทา่ นนน้ั เปน็
เพราะฉนั ตอ้ งการปกปอ้ งศาสนาของฉนั แตท่ นั ทที ท่ี า่ นถม่ น�ำ้ ลายรดหนา้ ฉนั นน้ั ฉนั รสู้ กึ โกรธขนึ้
มาทนั ที แตก่ ็พอมีสตนิ ึกข้ึนไดว้ ่า หากฉันฆา่ ท่านในขณะนน้ั ฉนั เกรงวา่ จะเปน็ การฆา่ ท่านเพือ่
ตอบสนองอารมณ์โกรธของฉนั ไมใ่ ช่เพื่อการปกป้องศาสนาของฉัน ดังนน้ั ฉนั จงึ ขอวางดาบลง”
ชายคนนนั้ จงึ ถามทา่ นอาลวี า่ “สง่ิ ทที่ า่ นกลา่ วมานนั้ เปน็ ค�ำ สอนของศาสนาอสิ ลามเชน่ นน้ั จรงิ ๆ
หรอื ” ทา่ นอาลีจงึ ตอบไปวา่ “ใช่แลว้ ”
ในบทความน้ี ผเู้ ขยี นยงั ไดอ้ า้ งองิ ขอ้ คดิ ของ Chaiwat Satha-Anand (1993; 2017) ใน
บทความชนิ้ ส�ำ คญั ชอ่ื “The Nonviolent Crescent: Eight Theses on Muslim Nonviolent
Actions” ในหนงั สือชอ่ื Islam and Nonviolence ตอ่ มาได้ถูกอ้างอิงมากมายและได้รับการ
แปลเป็นหลายภาษาท้งั ภาษาอาหรบั บาฮาซา ฯลฯ เพือ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ศาสนาอิสลามมพี ้ืนท่ี
มากมายสำ�หรบั แนวทางสันติวิธี โดย ชยั วัฒน์ สถาอานนั ท์ ไดเ้ สนอบทความสัน้ ๆ แตน่ ับเปน็
แนวคดิ ทท่ี ้าทายสงั คมมสุ ลิมอยา่ งล่มุ ลึก ด้วยการส�ำ รวจองคค์ วามรทู้ างศาสนาอิสลามกบั ความ
รนุ แรงและการไมใ่ ชค้ วามรนุ แรงทม่ี าจากฐานของอลั -กรุ อาน และฮะดษี (ค�ำ พดู สง่ั สอนและวตั ร
ปฏิบัติของทา่ นนบี มฮู ัมหมดั )
ในบทความดงั กลา่ ว ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ ไดอ้ ้างถึงแนวคิดของ Inamullah Khan นัก
วชิ าการคนสำ�คัญของโลกมุสลิมซ่งึ ได้โต้แยง้ วา่ ถงึ แม้อิสลามจะอนญุ าตใหม้ ีการตอ่ สู้ (เพือ่ การ
ป้องกันตัว) แต่ก็ยืนกรานว่าการใช้กำ�ลังจะต้องเป็นไปอย่างน้อยท่ีสุดเท่าที่จำ�เป็นเท่านั้น และ
ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างการทำ�สงครามของชาวมุสลิมจะต้องคำ�นึงถึงหลักจริยธรรมเคารพใน
38
38 รายวิชาท่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและสังคมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ความเป็นมนุษย์กำ�กับเสมอ ดังน้ัน การใช้อาวุธทำ�ลายชีวิตคนทั่วไปอย่างไม่สามารถแยกแยะ
เป้าหมายทไ่ี ม่ได้เก่ยี วข้องกบั การทำ�สงครามจงึ เปน็ ส่ิงตอ้ งห้ามในอสิ ลาม ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์
เห็นว่าเน่ืองจากเรายังมีทางเลือกในการต่อสู้ได้โดยการไม่ใช้ความรุนแรง ดังน้ัน สำ�หรับมุสลิม
ที่เป็นผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง จึงไม่มีทางเลือกอ่ืนท่ีจะต้องยืนหยัดในการต่อสู้ด้วยการไม่ใช้ความ
รนุ แรง คำ�ถามกค็ ือว่า ศาสนาอิสลามได้ให้เง่อื นไขทีส่ ่งเสริมปฏิบตั ิการไม่ใช้ความรุนแรงอย่างมี
ประสิทธภิ าพเพียงใด ทา่ นจงึ ได้เสนอขอ้ คดิ 8 ประการเพ่อื เปน็ การท้าทายมสุ ลมิ ใหข้ บคิดถึงจุด
ก�ำ เนดิ ของวิสยั ทัศน์อิสลามเก่ียวกบั ความหมายทีแ่ ทจ้ ริงของค�ำ ว่า “สนั ตสิ ขุ ” ซง่ึ จะต้องปลอด
จากทง้ั ความรุนแรงในเชิงโครงสรา้ งและความรุนแรงต่อบคุ คล คือ
1. สำ�หรับมุสลิมแล้ว ปัญหาความรุนแรงเป็นปัญหาสำ�คัญของปริมณฑลทางศีลธรรม
ของอิสลาม
2. หากจะมกี ารใช้ความรุนแรงโดยมุสลมิ แล้ว ตอ้ งอยภู่ ายใต้กฎเกณฑ์ซ่งึ ถูกกำ�หนดใน
คมั ภีรอ์ ัล-กุรอาน และฮะดษี
3.การใชค้ วามรนุ แรงแบบเหวยี่ งแหโดยไมแ่ ยกแยะวา่ ใครทเ่ี กยี่ วขอ้ งหรอื ไมเ่ กยี่ วขอ้ งใน
การตอ่ สู้นั้น เปน็ ส่งิ ตอ้ งห้ามในทศั นะอสิ ลาม
4. การใช้เทคโนโลยีการทำ�ลายล้างสมัยใหมย่ อ่ มเปน็ สงิ่ ท่ีไมส่ ามารถจะกระทำ�ได้
5. ในโลกปจั จบุ นั มสุ ลิมไมส่ ามารถทจี่ ะใช้ความรุนแรงได้
6. อสิ ลามสอนให้มุสลมิ ต่อสเู้ พอ่ื ความยตุ ิธรรมด้วยความเขา้ ใจทว่ี า่ มนษุ ยเ์ ป็นสิง่ สรร
สรา้ งจากพระผูเ้ ปน็ เจา้ ดังนนั้ ชีวติ มนุษย์จึงศกั ด์ิสิทธ์แิ ละถกู สร้างมาอย่างมีเปา้ หมาย
7. เพอ่ื ทจี่ ะบรรลสุ คู่ วามเปน็ อสิ ลามทแี่ ทจ้ รงิ มสุ ลมิ ตอ้ งปฏบิ ตั กิ ารโดยไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง
เป็นยทุ ธวธิ ีในการต่อสู้
8. แท้ที่จริงแล้ว ศาสนาอิสลามอุดมด้วยเมล็ดพันธุ์มากมายแห่งปฏิบัติการไม่ใช้ความ
รนุ แรง ได้แก่ การดอ้ื แพ่ง การมรี ะเบยี บวินยั ท่ีเขม้ แขง็ การแบ่งปันและการมีความรับผิดชอบ
ตอ่ สงั คม ความเพยี รพยายามและความเสยี สละ ตลอดจน ความเชอื่ ในเอกภาพของชมุ ชนมสุ ลมิ
และความเป็นหนงึ่ เดยี วของมวลมนุษย์
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ข้อเสนอประการที่สองของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เห็นว่าอิสลาม
อนญุ าตใหม้ กี ารใชค้ วามรนุ แรงภายใตข้ อ้ จ�ำ กดั บางประการ แตใ่ นขอ้ เสนอประการทห่ี า้ ทา่ นเหน็
วา่ ในสงั คมปจั จบุ นั ทพ่ี ลานภุ าพของอาวธุ ไมส่ ามารถจ�ำ กดั ขอบเขตการท�ำ ลายลา้ ง ดงั นนั้ มสุ ลมิ ไม่
สามารถท่จี ะใชค้ วามรุนแรงได้ตอ่ ไป (Mohammed Abu-Nimer 2003) ขอ้ เสนอส�ำ หรับมสุ ลมิ
ในปฏบิ ตั กิ ารไมใ่ ชค้ วามรนุ แรงทง้ั 8 ประการดงั กลา่ ว จงึ มคี วามส�ำ คญั ตอ่ สนั ตภิ าพบนโลกนแ้ี ละ
เป็นความหมายของอิสลามโดยแทจ้ รงิ
รายวิชาท ่ี 2 พหวุ ฒั นธรรมและ สงั คมจงั หว ัดชายแดนภาคใต้ 39
3.2 เดก็ มลายมู สุ ลมิ ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต:้ ท�ำ ความเขา้ ใจอสิ ลามกบั สงั คมพหวุ ฒั นธรรม
ในปี พ.ศ. 2549 ภายหลงั จากทผ่ี ้เู ขยี นไดผ้ ่านการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ และกลับ
ตอ้ งมายงั เมอื งไทย ในชว่ งนน้ี อกเหนอื จากงานทผี่ เู้ ขยี นตอ้ งเกบ็ ขอ้ มลู ท�ำ วทิ ยานพิ นธท์ เี่ ชยี งใหม่
และกลับเข้าทำ�งานสอนทีต่ น้ สังกดั มหาวิทยาลยั พายัพ จนในปี พ.ศ. 2552 ผู้เขียนได้มีโอกาส
ร่วมงานกับเพ่ือนนักวิชาการจากต่างสถาบันในภาคใต้เพ่ือจัดการอบรมเกี่ยวกับสันติวิธีให้กับ
เยาวชนมลายูมุสลิมในภาคใต้ในท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงท่ียังดำ�เนินไปอย่างต่อเน่ือง
เดก็ เยาวชนเหลา่ นเ้ี ปน็ เหยอื่ ของความรนุ แรงโดยตรงเพราะมคี นในครอบครวั อยา่ งนอ้ ยหนง่ึ คนท่ี
ถกู สงั หารจากเหตกุ ารณ์ความรนุ แรง ในการอบรมครงั้ นเี้ ราไดใ้ ช้วธิ ีการอย่างหลากหลายทง้ั การ
บรรยายเก่ียวกับแนวคิดสันติวิธี การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม การแบ่งกลุ่ม
ยอ่ ยเพ่ือระดมความคิด การเล่นบทบาทสมมตุ ิ ศิลปะการวาดภาพ และการน�ำ เยาวชนมุสลมิ ไป
ศกึ ษาเรียนรใู้ นวัดของชาวพทุ ธ เป็นต้น
• การอบรมคร้งั นัน้ ไดใ้ ห้ความรแู้ กเ่ ด็กนักเรียนทเ่ี ขา้ รับการอบรมได้แก่
• แนวคดิ สนั ติวธิ ใี นฐานะทางเลือกส่คู วามยตุ ธิ รรม
• สันติภาพ ความรนุ แรง และความหวงั
• สนั ตวิ ิธีในวถิ อี ิสลาม
• สนั ตภิ าพ สันตวิ ธิ กี ับการเปลีย่ นแปลงสงั คม: บทเรียนจากศาสนาตา่ งๆ
• ศึกษาดูงานชุมชนพทุ ธ-มุสลิมท่ที ำ�งานดว้ ยกนั
• เยาวชนเพอื่ สันติวิธ:ี ความคดิ ความรับผดิ ชอบ และการจัดองค์กร
เนื้อหาท่ีผู้เขียนนำ�เสนอให้เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นเหย่ือของความรุนแรง
กลมุ่ นี้ คอื ฉายใหพ้ วกเขาเหน็ ภาพความหลากหลายในโลกอสิ ลาม (ทไ่ี มไ่ ดม้ แี ตเ่ พยี งมลายมู สุ ลมิ )
ผา่ นตวั ตนของผเู้ ขยี นเองทมี่ พี น้ื เพเปน็ คนมสุ ลมิ เชอ้ื สายจนี ซง่ึ เปน็ ทป่ี ระหลาดใจแกเ่ ดก็ นกั เรยี น
มลายเู หลา่ นเี้ ปน็ อยา่ งมากวา่ มคี นจนี ทเี่ ปน็ มสุ ลมิ ดว้ ยหรอื ? “อาจารยเ์ ปน็ คนจนี มสุ ลมิ อาจารย์
ไหว้เจ้าไหม? ไหว้พระจันทร์ไหม? เช็งเม้งไหม? ไหว้ผีบรรพบุรุษไหม? และอาจารย์กินข้าวกับ
ตะเกียบนีบ่ าปไหม? จึงต้องคุยกับเดก็ กล่มุ นไ้ี ดย้ าวเลย
ประเดน็ สำ�คัญที่ผู้เขียนตอ้ งการชใี้ หเ้ ดก็ ๆ มลายูมสุ ลิมได้เหน็ ในการอบรมคือ
1. ศาสนาอสิ ลามไมไ่ ดเ้ ป็นศาสนาของคนอาหรับ หรอื มลายูเทา่ น้นั แต่เปน็ ศาสนา
ทม่ี ีคนนับถือในท่ีต่าง ๆ ทว่ั โลก และเมอื่ อิสลามออกไปจากโลกอาหรับทเ่ี ปน็ ตน้
ก�ำ เนดิ อสิ ลาม ยอ่ มมกี ารปรบั ตวั เขา้ กบั บรบิ ทของพน้ื ทแ่ี ละวฒั นธรรมตา่ ง ๆ กนั
2. ชาวจีนมุสลิมยูนนานในภาคเหนือมีการสร้างชุมชนจากการเป็นผู้อพยพสู่ภาค
เหนือของไทยเม่ือร้อยกว่าปีก่อนจนกลายเป็นชนช้ันกลางในสังคมไทยผ่าน
40
40 รายวิชาที่ 2 พหุวฒั นธรรมและสงั คมจังหวดั ชายแดนภาคใต้