1
“
“
History of the Southern Border รายวชิ า ที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั ห วัดชายแดนภาคใต้ 1
Provinces of Thailand
รายวิชาที่ 1
ประวตั ศิ าสตร์จังหวดั ชายแดนภาคใต้
History of the Southern Border Provinces of Thailand
ศาสตราจารย์ ดร.ครองชยั หตั ถา
2
2 รายวชิ าที่ 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
ครองชยั หตั ถา: ประวตั ศิ าสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
พมิ พ์คร้ังที่ 1 ศูนย์อำ�นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
กนั ยายน 2565
เลขมาตรฐานสากลประจ�ำ หนังสือ 978-974-458-746-6
ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
Nationnal Library of Thailand Cataloging in Publication data
ครองชัย หตั ถา. ประวัติศาสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต.้ ----- ยะลา
: ศูนย์อำ�นวยการบริหารจงั หวัดชายแดนภาคใต้, 2565. 103 หนา้ .
1. ไทย(ภาคใต)้ -- ประวตั ิศาสตร.์ I. ชือ่ เร่อื ง.
959.39
ISBN 978-974-458-746-6
บรรณาธกิ ารเลม่ : ฮาฟสี สาและ
หน้าปก : Subper Graphic
รปู เลม่ : ชวลิต เหมหมนั
พสิ ูจน์อักษร : บูไรดะห์ เจะหลง
จัดพมิ พ์โดย : ศูนย์อำ�นวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ถนนสุขยางค์ ต�ำ บลสะเตง อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั ยะลา 95000 โทร.073-203872
พิมพท์ ่ี : หจก.1000 ทางการพิมพ์ 87/22 ถนนสามัคคี สาย ก. ตำ�บลสะบารงั อ�ำ เภอเมอื ง
จงั หวดั ปัตตานี 94000 โทร.073-332578
ควบคุมการผลติ : มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี 181 ถนนเจริญประดษิ ฐ์
ตำ�บลรูสะมิแล อำ�เภอเมือง จงั หวัดปัตตานี 94000
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วัดชายแดนภาคใต้ 3ก
ค�ำ นำ�
จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหนึ่งในพื้นท่ีท่ีมีลักษณะเฉพาะทางสังคมศาสนาและ
วัฒนธรรม ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเมืองการปกครองและความขัดแย้งที่แตกต่างจาก
พน้ื ทอี่ ืน่ ๆ การแก้ปญั หาและพัฒนาในพ้นื ท่ีโดยเฉพาะในบรบิ ททมี่ สี ถานการณค์ วามไมส่ งบจงึ
จำ�เป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในระดับที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับ
ความตอ้ งการและสภาพเงอื่ นไขตา่ ง ๆ ของพนื้ ที่ ซึง่ จากแนวทางตา่ ง ๆ ท่ีทางรฐั บาลพยายาม
ด�ำ เนนิ การเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาความไมส่ งบตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มานน้ั หนงึ่ ในตวั แปรทสี่ �ำ คญั
ต่อการแก้ปญั หาและลดเงือ่ นไขความขดั แยง้ ก็คอื การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่รี ฐั ซง่ึ เป็นกลไก
ด่านหน้าของภาครัฐในการมีปฏิสัมพันธ์หรือการสร้างความประทับใจท่ีเป็นบวกและลบต่อ
ประชาชนได้โดยตรง ความรู้และทักษะที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีของเจ้าหน้าที่จึงมี
ความสำ�คญั อยา่ งย่ิงยวด
แม้ว่าท่ีผ่านมาจะมีโครงการอบรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและสามารถลดเงื่อนไขความ
ขัดแย้งและสร้างความเชื่อม่ันท่ีเพิ่มข้ึนในหมู่ประชาชน แต่การดำ�รงอยู่ของปัญหาความรุนแรง
และกรณีตัวอย่างของความไม่พอใจของประชาชนท่ีมีต่อเจ้าหน้าที่ยังคงไม่หมดไป ดังนั้นจึง
จำ�เป็นต้องมีเครื่องมือใหม่ ๆ เพอื่ เตมิ เตม็ การพัฒนาเจา้ หน้าท่รี ัฐในพ้ืนทีใ่ หม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจ
และการปฏิบัติงานที่สมบูรณ์ย่ิงข้ึน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำ�เสนอองค์ความรู้
ให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่าย เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีเครื่องมือในการ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของ
เจ้าหน้าทีใ่ นบรบิ ททีส่ อดรับการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมยุคดจิ ติ ัล
จากความสำ�คัญข้างต้น โครงวิจัยเพ่ือการผลิตชุดความรู้เก่ียวกับจังหวัดชายแดน
ภาคใตแ้ ละการพฒั นาสอ่ื การเรยี นรแู้ ละแบบทดสอบอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ พอ่ื เปน็ เครอ่ื งมอื ในการแกไ้ ข
ปญั หาและพฒั นาพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ เกดิ ขนึ้ ภายใตก้ ารท�ำ งานรว่ มกนั ระหวา่ งสถาบนั
พัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำ�นวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี โดยอาศัยบุคลากรจากคณะรัฐศาสตร์
คณะศกึ ษาศาสตร์ ฝา่ ยเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมการเรยี นรู้ ส�ำ นกั วทิ ยบรกิ าร และศนู ยส์ มทุ รรฐั
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำ�งานระหว่างหน่วยงานราชการและ
หนว่ ยงานวชิ าการในรปู แบบสหวทิ ยาการทเี่ นน้ การใชอ้ งคค์ วามรู้ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมหนนุ
เสรมิ การพัฒนาเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพและท่วั ถึงยง่ิ ข้นึ
การจัดท�ำ ส่ือการเรียนรมู้ ีทงั้ ส่อื ส่งิ พมิ พแ์ ละส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ สื่อสง่ิ พมิ พ์ประกอบดว้ ย
หนังสือชุดความรู้จำ�นวน 6 รายวิชา พร้อมหนังสือฉบับพกพาที่รวมเน้ือหาของรายวิชาทั้งหก
4
ข 4 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ แนว
ปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ภาษามลายถู นิ่ เบอื้ งตน้ สทิ ธปิ ระโยชน์
ส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ และกฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซง่ึ
ไดร้ บั ความอนเุ คราะหใ์ นการเรยี บเรยี งเนอ้ื หาโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ เี่ ปน็ นกั วชิ าการจากมหาวทิ ยาลยั
ผบู้ รหิ ารปจั จบุ นั และอดตี ขา้ ราชการทม่ี ปี ระสบการณด์ า้ นการปกครอง กฎหมาย และกฎระเบยี บ
ตลอดจนผนู้ ำ�ศาสนา โดยมกี ารวพิ ากษช์ ดุ ความรูแ้ ละขอ้ สอบจากทงั้ ภาคราชการ ภาควชิ าการ
และภาคประชาสงั คม
ส่วนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยชุดความรู้ในรูปแบบ E-Book สื่อการเรียนรู้ใน
รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) จำ�นวน 6 รายวิชา และแบบทดสอบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Testing) จ�ำ นวน 3 รายวชิ า ทมี่ เี นอื้ หาเชอ่ื มโยงและอา้ งองิ มาจากชดุ ความรขู้ า้ งตน้ ซง่ึ ทง้ั หมด
มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมรองรับการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนา
เจ้าหน้าที่ของรัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งน้ีโดยมุ่งผลลัพธ์ในการพัฒนาเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ให้
เป็นท่ียอมรับของประชาชน ลดการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงในพื้นที่ และเป็นกลไกสำ�คัญใน
การขับเคลื่อนภารกิจเพ่ือตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัด
ชายแดนภาคใตอ้ ยา่ งยง่ั ยนื
คณะผู้จดั ทำ�
15 กันยายน พ.ศ. 2565
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตร์จงั ห วัดชายแดนภาคใต้ 5ค
สารบัญ
หนา้
บทที่ 1 พฒั นาการทางภมู ริ ฐั ศาสตร.์ .........................................................................................1
บทน�ำ : ภมู ิหลงั ทางภูมศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี..............................................................1
ชาวมลายแู ละภมู ภิ าคมลาย.ู ........................................................................................8
กล่มุ ชาติพันธแุ์ ละรัฐโบราณบนคาบสมทุ รมลาย.ู ......................................................13
รฐั โบราณกบั ศูนย์อ�ำ นาจในบรบิ ทภมู ริ ฐั ศาสตร.์ .......................................................19
การเปลย่ี นแปลงของภมู ภิ าคและผลกระทบจากยุคลา่ อาณานคิ ม............................26
บทท่ี 2 ประวตั ศิ าสตร์สามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้.................................................................31
บทน�ำ .........................................................................................................................31
ความสมั พันธ์ระหว่างอยุธยากบั ปตานใี นชว่ งตน้ .......................................................36
ปตานใี นรัชสมัย 4 กษตั รยิ า......................................................................................41
ปตานภี ายใตก้ ารปกครองของราชวงศก์ ลนั ตัน..........................................................45
การจดั การปกครองปตานหี ลงั สมยั ราชวงศก์ ลนั ตนั ...................................................49
สงครามต่อต้านสยามบนคาบสมทุ รมลายใู นสมัยรัชกาลท่ี 3.....................................54
การก�ำ เนดิ และสน้ิ สดุ ของมณฑลปตั ตาน.ี ..................................................................56
บทที่ 3 การจัดการปกครองจงั หวัดชายแดนภาคใตใ้ นสมัยรัตนโกสนิ ทร.์ ...............................60
บทน�ำ ........................................................................................................................60
ปฏกิ ริ ยิ าและความเคลื่อนไหวหลังการปฏิรูปการปกครอง ปี 1932..........................62
ผลกระทบจากนโยบายรฐั นยิ มของรฐั บาลไทยกบั กระแสการเมอื งชาตพิ นั ธช์ุ าตนิ ยิ ม...64
บทบาทของผนู้ ำ�ศาสนาและผนู้ �ำ ทางการเมอื ง..........................................................67
ปฏกิ ริ ยิ าของสงั คมมสุ ลมิ และการเคลอื่ นไหวตอ่ ตา้ นรฐั บาล......................................71
ความเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งสมยั รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ปี 1948-1957 .....72
บทบาทของตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี กบั การตอ่ สเู้ พอื่ ปตานแี ละดนิ แดนมลาย.ู ............78
บรรณานกุ รม.............................................................................................................90
6
ง 6 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวัดชายแดนภาคใต้
สารบญั ภาพ
หนา้
ภาพที่ 1 ภาพโลกปจั จบุ นั จากภาพถา่ ยดาวทยี ม NOAA (NOAA/ESRL2/2022).....................2
ภาพที่2 ภาพแผนทโ่ี ลกของปโตเลมฉี บบั ปรบั ปรงุ ในศตวรรษท่ี15แสดงทวปี ตา่ งๆและคาบสมทุ ร
มลายทู างตะวนั ออกของแผนท.่ี ...................................................................................2
ภาพที่ 3 แผนที่แสดงเส้นทางอพยพของมนษุ ย์ในยุคเรม่ิ แรก....................................................3
ภาพที่ 4 แผนท่แี ผน่ ดินซนุ ดา (Sundaland) เม่ือราว 17,000 ปีทีผ่ า่ นมา ที่มา : Paul Michel
Munoz (2006).........................................................................................................4
ภาพท่ี 5 แผนที่เขตวัฒนธรรมหวั บินเหียนและแหล่งโบราณคดบี รเิ วณแผ่นดนิ ซนุ ดา...............5
ภาพที่ 6 ชนพื้นเมืองกลุม่ ชาตพิ ันธนุ์ กิ รโี ต ทีอ่ ำ�เภอธารโต จังหวัดยะลา...................................6
ภาพที่ 7 ภาพเขยี นสสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ ถี่ �ำ้ ศลิ ป์ จงั หวดั ยะลา อายรุ าว 3,000 ปี (ภาพโดย
ครองชยั หตั ถา ถา่ ยเม่อื ปี 1989)................................................................................7
ภาพท่ี 8 แผนทแี่ สดงการเคลอ่ื นยา้ ยของเผา่ ซนี อยกลมุ่ มองโกลอยดใ์ ต้ ลงมาอยอู่ าศยั แถบเอเชยี
อาคเนย์เม่ือราว 6,000-3,000 ปีทผี่ า่ นมา...................................................................7
ภาพที่ 9 แผนที่นูซนั ตาราแสดงภูมิภาคท่มี ีความสมั พนั ธก์ ับวัฒนธรรมและภาษามลายู.........12
ภาพที่ 10 ภาพถ่ายชนพ้ืนเมืองบนคาบสมทุ รมลายู เม่อื ราว 100 ปีที่แล้ว.............................13
ภาพท่ี 11 แผนท่ีกลมุ่ ชาติพันธ์ุบนแผน่ ดนิ ซุนดาทเี่ ชื่อมตอ่ กับคาบสมุทรมลายู เมือ่ 40,000 ปี
กอ่ นครสิ ตกาล.......................................................................................................14
ภาพท่ี 12 แผนที่กลุ่มชาติพันธ์ุบนคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา เมื่อ 11,000 ปีก่อน
ครสิ ตกาล............................................................................................................15
ภาพที่ 13 แผนทกี่ ลมุ่ ชาตพิ นั ธนุ์ กิ รโิ ตบนคาบสมทุ รมลายแู ละเกาะสมุ าตรา เมอื่ 10,000 ปกี อ่ น
คริสตกาล...............................................................................................................15
ภาพที่ 14 ภาพถ่ายชาวนีกรโิ ต กลมุ่ ชาตพิ นั ธดุ์ งั้ เดิมบนคาบสมทุ รมลายทู ่อี ำ�เภอเบตง จังหวดั
ยะลา ปี 1954.......................................................................................................16
ภาพที่ 15 ภาพถา่ ยชาวนีกรโิ ต กลุ่มชาตพิ ันธดุ์ ้งั เดมิ บนคาบสมุทรมลายทู เี่ บตง ยะลา...........16
ภาพที่ 16 แผนที่กลุ่มชาติพันธ์ุบริเวณเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมลายู เมื่อ 300 ปีก่อน
คริสตกาล............................................................................................................18
ภาพที่ 17 แผนท่กี ลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์และรฐั บนคาบสมทุ รมลายูและเกาะสมุ าตรา เม่อื 100 ปกี ่อน
ครสิ ตกาล..............................................................................................................19
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วัดชายแดนภาคใต้ 7จ
ภาพท่ี 18 แผนที่รัฐและกลุ่มชาติพันธุ์บนคาบสมุทรมลายูและบริเวณใกล้เคียงในช่วงศตวรรษ
แรก (ค.ศ.100/พ.ศ. 643)....................................................................................19
ภาพที่ 19 แผนทรี่ ฐั และกลมุ่ ชาตพิ นั ธบุ์ นคาบสมทุ รมลายแู ละบรเิ วณใกลเ้ คยี งเมอื่ ชว่ งตน้ ศตวรรษ
ที่ 3 (ค.ศ. 224/พ.ศ. 767).....................................................................................20
ภาพท่ี 20 แผนทรี่ ฐั มลายบู นเกาะสุมาตราและรฐั ต่างๆบนคาบสมทุ รมลายใู นกลางศตวรรษที่ 7
(ค.ศ. 652/พ.ศ. 1195)...........................................................................................20
ภาพท่ี 21 แผนทรี่ ัฐศรวี ิชยั บนเกาะสุมาตราในปลายศตวรรษที่ 7 (ค.ศ. 689/พ.ศ. 1232) ก่อน
การขยายอำ�นาจมายังคาบสมุทรมลาย.ู .................................................................21
ภาพที่ 22 แผนทก่ี ารขยายอำ�นาจของอาณาจักรศรวี ิชยั บนคาบสมุทร...................................21
ภาพท่ี 23 แผนทก่ี ารขยายอ�ำ นาจของตามพรลงิ คบ์ นคาบสมทุ รมลายใู นกลางศตวรรษท่ี 13 หลงั
การเสื่อมอ�ำ นาจของศรวี ิชยั ที่มา : Muhammad Lazuardi (2020)....................22
ภาพที่ 24 แผนที่การขยายอำ�นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายูสมัยอยุธยาในกลาง ศตวรรษ
ที่ 14 ....................................................................................................................23
ภาพที่ 25 แผนที่การขยายอำ�นาจของมะละกาบนคาบสมุทรมลายูในตน้ ศตวรรษที่ 16 ก่อนถกู
โปรตเุ กสเข้ายึดครองเม่อื ค.ศ.1511 (พ.ศ. 2054)..................................................24
ภาพที่ 26 แผนที่แสดงเขตอำ�นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายูสมัยอยุธยาในกลางศตวรรษ
ที่ 16 และการสูญเสียอ�ำ นาจของมะละกาหลงั โปรตุเกสเข้ายึดครอง ...................24
ภาพท่ี 27 แผนที่แสดงเขตอำ�นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายูในสมัยกรุงธนบุรีหลังเสีย
กรุงศรีอยุธยาแกพ่ ม่าคร้ังทสี่ อง...........................................................................25
ภาพท่ี 28 ป้อมปราการ เอ ฟาโมซา (A’Famosa) ของโปรตุเกสหลังเข้ายึดครองมะละกา
(ภาพโดย ชมุ ศักด์ิ นรารัตน์วงศ)์ ..........................................................................26
ภาพท่ี 29 แผนที่เขตแดนของไทยกับรฐั มลายูกอ่ นการทำ�สนธสิ ญั ญา Anglo-Siamese Treaty
1909......................................................................................................................27
ภาพที่ 30 แผนที่เขตแดนของไทยกับรัฐมลายูหลงั การท�ำ สนธสิ ญั ญา Anglo-Siamese Treaty
1909......................................................................................................................27
ภาพที่ 31 แผนที่เขตแดนประเทศไทยกับมาเลเซียและประเทศเพ่ือนบ้านท่ีสืบเน่ืองจากยุค
อาณานิคมมาถึงปัจจุบนั ......................................................................................28
ภาพท่ี 32 แผนทแี่ สดงการขยายอ�ำ นาจของไทยบนคาบสมทุ รมลายใู นสมัยสโุ ขทัย...............32
ภาพที่ 33 แผนท่แี สดงเขตอ�ำ นาจของไทยบนคาบสมทุ รมลายตู น้ สมยั อยธุ ยา........................34
ภาพที่ 34 ภาพสเุ หรา่ อาวห์ หรอื มสั ยดิ อาโห ศาสนสถานในอสิ ลามสมยั ลงั กาสกุ ะ ตอนปลาย.....35
ภาพที่ 35 หนังสือประวตั ิศาสตรป์ ตานีต้นฉบบั ภาษามลายูอักขระยาว.ี .................................36
8
ฉ 8 รายวชิ าท่ี 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ภาพที่36 ภาพผเู้ ขยี นกบั ผนู้ �ำ ชมุ ชนทส่ี สุ านพญาอนิ ทริ า ต�ำ บลบาราโหมอ�ำ เภอเมอื งจงั หวดั ปตั ตานี
(ภาพจาก ครองชยั หตั ถา ถา่ ยเม่ือปี 1996)............................................................36
ภาพที่ 37 เอกสารฮอลนั ดาบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับปตานีและสยาม......................................40
ภาพที่ 38 แผนที่อาณาจักรสยาม ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ พ.ศ. 2230 ................................44
ภาพท่ี 39 แผนท่แี สดงเส้นทางทีก่ องทัพพม่าเข้าปดิ ล้อมโจมตเี มอื งต่างๆของไทย.................49
ภาพท่ี 40 วังพระยาภผู าภักดี ศรีสวุ รรณประเทศ วเิ ศษวงั ษา หรอื วงั ระแงะ.........................53
ภาพท่ี 41 การเสด็จประพาสหัวเมืองมลายูของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รชั กาลท่ี 5 กอ่ นการท�ำ สนธสิ ัญญาอังกฤษ-สยามปี 1909 (พ.ศ. 2452)..............57
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 9ช
ชุดความรู้รายวชิ า “ประวตั ิศาสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต”้
กรอบเนื้อหา
พฒั นาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองการปกครองของพน้ื ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
==================================
บทที่ 1
พฒั นาการทางภมู ริ ัฐศาสตร์
บทนำ�:
ภูมิหลงั ทางภมู ิศาสตร์และโบราณคดี
ภาคใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนหน่ึงของคาบสมุทรมลายู ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีป
เอเชียส่วนแคบสุดคือบริเวณคอคอดกระ ตอนล่างของภาคใต้เป็นประเทศมาเลเซีย (มาเลเซีย
ตะวนั ตก) เกาะใตส้ ดุ บรเิ วณปลายคาบสมทุ รเปน็ ประเทศสงิ คโปร์ สว่ นชายฝงั่ ดา้ นตะวนั ตกเฉยี ง
ใต้แยกจากเกาะสมุ าตราด้วยชอ่ งแคบมะละกา มีเกาะบอร์เนียวอยูท่ างตะวันออกในทะเลจีนใต้
คลอดอิ สุ ปโตเลมี (Claudius Ptolemaeus: Ptolemy) (ค.ศ. 90-168 / พ.ศ. 633-711) นกั
ภูมิศาสตร์และนักดาราศาสตรช์ าวกรกี เปน็ คนแรกที่แสดงต�ำ แหน่งทีต่ งั้ ของแผ่นดนิ คาบสมทุ ร
มลายูลงบนแผนที่และแสดงพิกัดภูมิศาสตร์ค่อนข้างละเอียด ในหนังสือช่ือ Geographike
Huphegesis เรียกคาบสมุทรนี้ว่า “คาบสมุทรทองคำ�” (Golden Chersonese) ขณะท่ี
ชาวอนิ เดยี สมยั โบราณเรยี กคาบสมทุ รมลายแู ละภมู ภิ าคใกลเ้ คยี งแถบนซ้ี ง่ึ ตง้ั อยบู่ นเสน้ ทางการ
คา้ ขายระหวา่ ง จนี อนิ เดยี เปอรเ์ ซยี อาหรบั วา่ “สวุ รรณทวปี /สวุ รรณภมู ”ิ (Suvarnadvipa)
หมายถึง แผ่นดินทองคำ� (Golden Land) หรอื คาบสมทุ รทองค�ำ (Golden Peninsula) เช่น
เดยี วกนั อยา่ งไรกต็ ามการใชค้ �ำ วา่ “สวุ รรณทวปี /สวุ รรณภมู ”ิ กบั หมเู่ กาะใต ้ ชอ่ งแคบมะละกา
ไมช่ ดั เจนนกั เพราะในมหากาพยร์ ามายณะของอนิ เดีย (ไม่น้อยกว่าพุทธศตวรรษที่ 5-6) มกี าร
ใชค้ �ำ วา่ “ยวาทวปี ” (Yavadvipa) โดยกลา่ ววา่ ยวาทวปี เปน็ ทวปี /เกาะทม่ี ที องและเงนิ และ
มเี หมืองทอง ซงึ่ เป็นคุณสมบตั เิ ดียวกนั กบั สุวรรณทวปี ซ่ึงหมายถึงเกาะทอง/ทวปี ทองเชน่ กนั
(อมรา ศรีสุชาติ, 2557: 41) จึงกลา่ วได้วา่ ยวาทวีป หมายถึง ดนิ แดนแถบเกาะชวา ประเทศ
อินโดนีเซีย โดยเปน็ คำ�ใชเ้ รียกรวม ๆ ทงั้ เกาะต่าง ๆ ท่ีอยใู่ ตช้ อ่ งแคบมะละกา โดยเฉพาะ
เกาะสมุ าตรา และดนิ แดนบนคาบสมทุ รมลายทู ีเ่ ปน็ แหล่งทองคำ�และโภคทรัพย์ตา่ ง ๆ อยู่
มาก เปน็ การให้ความหมายเช่นเดียวกบั คำ�ว่า สุวรรณทวีป/สวุ รรณภมู ิ
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังห วัดชายแดนภาคใต้ 1
ภาพท่ี 1 ภาพโลกปจั จุบันจากภาพถา่ ยดาวทียม NOAA (NOAA/ESRL2/2022)
แสดงตำ�แหนง่ ท่ตี ้งั และลกั ษณะทางกายภาพของทวปี เอเชยี และออสเตรเลีย
ภาพที่ 2 ภาพแผนทีโ่ ลกของปโตเลมฉี บับปรับปรงุ ในศตวรรษที่ 15 แสดงทวปี ต่าง ๆ และ
คาบสมุทรมลายทู างตะวนั ออกของแผนที่
ทม่ี า : http://who-in-the-world-piyarith.blogspot.com/2014/05/ptolemy-100-178.html
สบื คน้ เม่ือ 13 เมษายน 2563
เรอื่ งราวเกยี่ วกบั คาบสมทุ รมลายเู ปน็ พน้ื ทท่ี ไี่ ดร้ บั การกลา่ วถงึ ตลอดมา ทงั้ ดว้ ยฐานะจดุ
บรรจบส�ำ คญั ของศาสนา วฒั นธรรม และอารยธรรมของโลก ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
เปน็ บรเิ วณคาบสมทุ รซงึ่ ทอดยาวอยทู่ างดา้ นตะวนั ออกของชอ่ งแคบมะละกา บรเิ วณดงั กลา่ วนี้
คือรอยต่อของโลกพ้ืนทะเลอันกว้างใหญ่และภาคพ้ืนทวีปแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือที่ซึ่ง
“โลกมลาย”ู บรรจบกบั โลกแหง่ วฒั นธรรมอนิ โดจนี ศาสนาอสิ ลามบรรจบกบั พทุ ธศาสนา และ
คอื พน้ื ทซี่ ง่ึ นบั แตย่ คุ โบราณเปน็ ดนิ แดนทม่ี พี ลวตั ทางสงั คมและเศรษฐกจิ การคา้ สงู ทสี่ ดุ แหง่ หนงึ่
ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (ไมเคลิ เจ. มอนเตซาโน และ แพทรคิ โจร,ี 2560 : 1) มกี าร
เรียกขานแผ่นดนิ แหง่ น้ีวา่ “คาบสมทุ รแห่งความหลากหลาย” ดว้ ยความตระหนักในลักษณะ
อนั เป็น “พหลุ ักษณท์ างชาติพันธแุ์ ละวฒั นธรรม” ของดนิ แดนดังกลา่ วนบั ต้ังแต่ชว่ งเวลาแรก
ที่มีการบนั ทกึ ถงึ จวบจนกระท่งั ปจั จบุ นั
2
2 รายวชิ าที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
หากย้อนไปตามรอยประวัติศาสตร์มนุษย์ในทุกทวีป ต้ังแต่ยุคก่อกำ�เนิดบรรพบุรุษ
มนุษย์เม่อื กว่า 7 ล้านปีกอ่ น ล้วนเกดิ ขึ้นใน ทวีปแอฟริกา (Afrocentric Human Origin)
นบั วา่ ไดใ้ ชเ้ วลาทยี่ าวนานมากกอ่ นทบ่ี รรพบรุ ษุ มนษุ ยก์ ลมุ่ แรกทเี่ รยี กวา่ โฮโมอเี รคตสั (Homo
erectus) วิวัฒนาการข้ึนเมื่อ 1.9 ล้านปีก่อน จากน้ันจึงได้กำ�เนิดมนุษย์ปัจจุบัน (Modern
human) คอื โฮโมซาเปียน (Homo sapiens) เมอื่ ราว 250,000-300,000 ปีท่ีผ่านมา มนษุ ย์
ทงั้ สองกลมุ่ ไดย้ า้ ยถนิ่ จากแอฟรกิ า กระจายออกไปทวั่ โลก (Out of Africa) ได้แก่ ทวปี เอเชยี
ทวปี ยโุ รป ทวปี ออสเตรเลยี ทวปี อเมรกิ าเหนอื ทวปี อเมรกิ าใต้ โดยในพน้ื ทขี่ องเอเชยี ตะวนั ออก
เฉยี งใต้และออสเตรเลีย ซงึ่ เรียกว่า เส้นทางสายใต้ (Southern Route) โดยมีการเคลื่อนยา้ ย
หลายระลอก การขดุ ค้นทางโบราณคดีพบหลกั ฐานรอ่ งรอยมนุษยย์ คุ โบราณในหลายพื้นที่ เช่น
มนษุ ย์ชวา (Java man) พบที่แหลง่ โบราณคดีซังงรี ัน (Sangiran Early Man Site) บนเกาะ
ชวา ประเทศ อนิ โดนเี ชยี อายุ 0.7 ลา้ นป ี มนษุ ยเ์ ปรัก (Perak man) ในแหล่งโบราณคดี
หบุ เขาเลง็ กอง (Lenggong Valley) รฐั เปรกั ประเทศมาเลเซีย อายุ 30,000 ปี มนุษยเ์ กาะคา
(Ko-Kha-man) ท่เี พงิ่ พบลา่ สดุ ทอี่ ำ�เภอเกาะคา จังหวดั ล�ำ ปาง ประเทศไทย อายุ 1.4 ล้านปี
เปน็ ตน้ งานวิจยั mtDNA (mitochondrial DNA) ในมนุษย์ของนกั พันธศุ าสตร์ทผี่ ่านมา พบ
วา่ การก�ำ หนดอายุของมนุษย์ปัจจุบันแตกตา่ งกันมาก เน่อื งจากมีการเคลอ่ื นยา้ ยและมีการผสม
(moved and mixed) ระหวา่ งกนั ในชว่ งเวลาทผ่ี า่ นมา แตก่ ท็ �ำ ใหไ้ ดข้ อ้ สนั นษิ ฐานยนื ยนั วา่ มนษุ ย์
ปจั จบุ นั เคลอ่ื นยา้ ยออกจากแอฟรกิ าในชว่ งเวลา 200,000-70,000 ปที ผี่ า่ นมา (Ann Gibbons,
2019) ซงึ่ เปน็ ชว่ งเวลาของยคุ น�้ำ แขง็ (Ice Age) อณุ หภมู ขิ องโลกลดต�่ำ ระดบั น�ำ้ ทะเลทวั่ โลกต�่ำ
กว่าปัจจบุ นั มาก ทวปี และหมเู่ กาะต่าง ๆ เช่อื มตอ่ เป็นแผ่นดนิ ถึงกนั ท�ำ ใหง้ ่ายตอ่ การเดินทาง
ทางบกในเวลานน้ั
ภาพที่ 3 แผนทแ่ี สดงเสน้ ทางอพยพของมนษุ ยใ์ นยคุ เรมิ่ แรก
ที่มา : จาเร็ด ไดมอนด์ (2547)
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 3
สำ�หรับบริเวณคาบสมุทรมลายู (Malay Peninsula) น้ัน พบว่าเป็นแผ่นดินเก่าแก่
ของโลกทั้งในทางธรณีวิทยาและในทางโบราณคดี ในทางธรณีวิทยานั้น แผ่นดินคาบสมุทร
มลายูปรากฏขึ้นต้ังแต่ยุคพรี-แคมเบรียน (Pre-Cambrian) หรือกว่า 570 ล้านปี โดยเป็น
ส่วนหนึ่งของ “แผ่นดินซุนดา” (Sundaland) แผ่นดินคาบสมุทรมลายูในอดีตเคยเช่ือม
ต่อกับหมู่เกาะต่าง ๆ หลายแห่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวคือในสมัย ไพลส์
โตซนี (Pleistocene Epoch ) (2.6 ลา้ นป-ี 11,700 ป)ี อณุ หภมู ขิ องโลกลดลง ธารน�ำ้ แขง็ ปกคลมุ
โลกเปน็ อาณาบรเิ วณกวา้ งใหญก่ ว่าปัจจบุ นั มาก ในระยะนำ้�แข็งสุดทา้ ย (the last glaciation)
หรอื ราว 17,000 ปผี า่ นมา ผลจากภูมิอากาศเปล่ยี นแปลง ทำ�ให้น�้ำ ในวัฏจักรหมุนเวยี นกลาย
เป็นน้ำ�แข็งจำ�นวนมาก เป็นผลให้นำ้�ทะเลลดระดับลงมากกว่า 150 เมตร จากระดับนำ้�ทะเล
ปจั จบุ นั (Paul Michel Munoz, 2006: 17) สว่ นทเ่ี ปน็ แผน่ ดนิ ใหญแ่ ละหมเู่ กาะตา่ ง ๆ เชอื่ มตอ่
ถงึ กนั หมด นักธรณีวทิ ยาเรยี กแผน่ ดินที่เชือ่ มต่อกันนว้ี ่า “Southeast Asian Landbridge”
หรอื “สะพานแผน่ ดนิ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต”้ ในขณะนนั้ ชนพน้ื เมอื งทอี่ ยตู่ ามหมเู่ กาะตา่ ง ๆ
สามารถเดินทางติดต่อถึงกันได้โดยทางบก จึงมีการเคลื่อนย้ายเผ่าพันธุ์ มีการผสมผสานทาง
ชาติพนั ธ์ุ และเรยี นรูแ้ ลกเปล่ียนวัฒนธรรมกนั อยา่ งกว้างขวาง
ภาพท่ี 4 แผนท่ีแผ่นดินซุนดา (Sundaland) เมอ่ื ราว 17,000 ปที ผ่ี า่ นมา
ที่มา : Paul Michel Munoz (2006)
ต่อมาราว 11,700 ปีท่ีผ่านมา อุณหภูมิของโลกเริ่มสูงขึ้น ระดับนำ้�ทะเลเพ่ิมขึ้นมาที่
ระดับต่�ำ กวา่ ปัจจบุ นั ราว 60 เมตร แผ่นดนิ หมู่เกาะส่วนใหญ่ยงั คงเช่อื มตอ่ ถงึ กัน จนกระท่งั เมอ่ื
5,700 ปที ผ่ี า่ นมา น�้ำ ทะเลเพม่ิ ขนึ้ ถงึ ระดบั สงู สดุ ทปี่ ระมาณ 4-5 เมตรเหนอื ระดบั น�้ำ ทะเลปจั จบุ นั
หลังจากน้ันระดับน้�ำ ทะเลคอ่ ย ๆ ลดลงจนเข้าส่รู ะดบั ปัจจุบันเมอ่ื ประมาณ 1,500 ปที ผี่ า่ นมา
(Pramojanee and Others, 1986: 564) ในชว่ งเวลาทร่ี ะดบั นำ้�ทะเลสงู ขน้ึ แผน่ ดนิ หลายแห่ง
กลายเปน็ เกาะ แหลง่ โบราณคดหี ลายแหง่ และโบราณวตั ถจุ �ำ นวนหนงึ่ จมอยใู่ ตน้ �ำ้ ทะเล ผคู้ นบน
4
4 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จังหวดั ชายแดนภาคใต้
เกาะตา่ ง ๆ เรม่ิ แยกกันอยู่ และเรยี กชือ่ เผา่ พันธุข์ องตวั เองแตกต่างกัน รายงานเรื่อง Coastal
Landforms of the Asian Humid Tropics (Bird, 1982) ระบวุ า่ แผน่ ดินบริเวณเอเชียตะวนั
ออกเฉยี งใตม้ คี วามสงู จากระดบั น�้ำ ทะเลไมเ่ กนิ 4-5 เมตร ในปจั จบุ นั เคยไดร้ บั อทิ ธพิ ลของทะเล
มากอ่ น ตอ่ มาเมอ่ื มตี ะกอนทบั ถมบรเิ วณชายฝง่ั และน�้ำ ทะเลลดระดบั ลง จงึ เกดิ พนื้ ทร่ี าบชายฝง่ั
กวา้ งขวาง การตงั้ ถน่ิ ฐานบา้ นเมอื งเกดิ ขน้ึ บรเิ วณทรี่ าบชายฝงั่ และปากแมน่ �้ำ ส�ำ คญั ๆ โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงบนคาบสมุทรมลายูน้ัน แม่นำ้�สายสำ�คัญ ๆ ได้ทำ�หน้าที่เช่ือมต่อการเดินทางสองฝ่ัง
คาบสมุทร ในระยะท่รี ะดบั น้ำ�ทะเลสงู ถึง 4-5 เมตรจากระดบั น้ำ�ทะเลปจั จุบันนนั้ การเดินทาง
ผ่านแม่น้ำ�ข้ามคาบสมุทรเป็นเร่ืองท่ีกระทำ�โดยสะดวก เนื่องจากปากแมน่ ำ้�กว้างและลึกเข้าไป
ในแผ่นดินมากกว่าปัจจุบัน
คาบสมทุ รมลายเู ข้าสู่วฒั นธรรมหวั บินเหยี น (Hoabinhian) หรือ วฒั นธรรมเครือ่ ง
มอื หนิ (Stone Tools Culture) ตง้ั แตก่ อ่ น 10,000 ปที ผ่ี า่ นมา โดยพบหลกั ฐานการตงั้ ถน่ิ ฐาน
ของมนษุ ย์ทโ่ี กตา ตมั ปนั (Kota Tampan) ในเปรกั อายุกว่า 30,000 ปี พบเครอ่ื งมือหนิ ท่ีถ้ำ�
หลังโรงเรียน จังหวดั กระบ่ี อายุระหวา่ ง 38,000-28,000 ปี ต่อมาหลัง 11,700 ปี เปน็ ต้นมา
สภาพแวดลอ้ มของโลกเข้าสู่ยคุ โฮโลซีน (Holocene) ภมู ิอากาศอบอุ่นขึน้ กวา่ เดมิ อารยธรรม
ของมนุษย์เขา้ สยู่ ุคเกษตรกรรมเรม่ิ แรก มกี ารเพาะปลกู และเล้ียงสัตวม์ ากขึ้น จงึ พบวัฒนธรรม
เกษตรกรรมยุคหินใหม่ (Neolithic) กระจายอยู่ท่ัวไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อาทิ แหล่ง
โบราณคดบี ้านแก้ว จังหวดั กาญจนบรุ ี อายุ 4,500-3,700 ปี แหลง่ โบราณคดบี า้ นเก่า จงั หวัด
กาญจนบรุ ี แหลง่ ถ�้ำ เบอื้ งแบบ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี แหลง่ โบราณคดบี า้ นปา่ ลาม จงั หวดั ปตั ตานี
แหลง่ โบราณคดถี �ำ้ ศลิ ป์ แหลง่ โบราณคดเี ขายะลา แหลง่ โบราณคดเี ขาก�ำ ปนั่ จงั หวดั ยะลา แหลง่
โบราณคดกี วั ชา รฐั กลนั ตนั แหลง่ โบราณคดกี วั บกู ติ ตา ในรฐั ตรงั กานู ประเทศมาเลเซยี เปน็ ตน้
แหลง่ โบราณคดเี หล่าน้ีพบโบราณวตั ถุหลายชนดิ เช่น ขวานหินขดั (Polished Stone Axes)
หม้อสามขา (Tripods) ลูกปัด (Beads) ซ่ึงสว่ นใหญ่มีอายุราว 3,500-2,500 ปี บางแหล่งยงั พบ
ภาพเขยี นสีบนผนงั ถ้�ำ และเพิงผาอายุร่วมสมยั เดยี วกันอกี ดว้ ย
ภาพท่ี 5 แผนทเ่ี ขตวฒั นธรรมหวั บินเหยี นและแหล่งโบราณคดบี รเิ วณแผ่นดนิ ซุนดา
ท่มี า : Paul Michel Munoz (2006)
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 5
หลักฐานทางโบราณคดีท่ีสำ�คัญยุคต่อมาได้แก่ แหล่งโบราณคดีกัมปงสุไหงมัส
(Kampong Sungai Mas) และกัมปงบงั กาลนั บจู ัง (Kampong Penkalan Bujang ) รฐั เคดาห์
ประเทศมาเลเซีย และ แหล่งโบราณคดเี มอื งโบราณยะรัง ซึ่งตง้ั อย่รู มิ ฝัง่ ของชวาทะเลโบราณ
(Ancient Estuary) ของแม่นำ้�ปัตตานี ประเทศไทย ซง่ึ ปจั จุบนั สภาพดังกลา่ วได้เปล่ียนแปลง
ไปเนอื่ งจากชายฝงั่ ทะเลตน้ื เขนิ แมน่ �้ำ ปตั ตานเี ปลย่ี นทางเดนิ และเมอื งถกู ทงิ้ รา้ งไปตงั้ แตป่ ลาย
พทุ ธศตวรรษที่ 20 หรอื กวา่ 500 ปผี า่ นมา ดงั ทป่ี รากฏในรายงานโครงการศนู ยศ์ กึ ษาและพฒั นา
อ่าวปัตตานี ของศูนย์อำ�นวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลา
นครนิ ทร์ ในงานวิจัยเรื่อง ภมู ลิ ักษณ์อ่าวปัตตานี ทศ่ี กึ ษาวจิ ัยและพิมพเ์ ผยแพร่แล้วโดย ครอง
ชัย หตั ถา (2546)
ในดา้ นโบราณคดจี งึ กลา่ วไดว้ า่ คาบสมทุ รมลายแู ละดนิ แดนหมเู่ กาะสว่ นใหญข่ องเอเชยี
อาคเนย์ เปน็ ถิ่นที่อย่ขู องมนษุ ย์มาไมต่ ่�ำ กว่า 40,000 ปี โดยประกอบด้วย 2 ชาตพิ ันธุห์ ลกั คือ
มองโกลอยด์และออสตราลอยด์ (Bellwood, 1997:69-92) โดยกลุ่มชาติพันธ์ุมองโกลอยด์
ในเอเชียอาคเนย์นั้น จัดเป็นมองโกลอยด์ใต้ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบัน รวมท้ัง
ชนพื้นเมืองในหม่เู กาะต่าง ๆ เชน่ ชาวมินังกาเบา (Minangkabau) ในสุมาตรา ชาวโตรายา
(Toraja) ในชวา และชาวปือนนั (Penan) ในซาราวัค เปน็ ต้น สว่ นกลุ่มชาตพิ นั ธ์อุ อสตราลอยด์
จดั เปน็ พวกออสตราโล-เมลานีเซียนไดแ้ ก่ ชนพื้นเมืองเผา่ นกิ รีโต ได้แก่ ชาวมานิ ซึง่ มถี ่นิ ฐาน
เดมิ แถบแอฟรกิ า ได้อพยพมายงั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ อยา่ งนอ้ ยเมอ่ื ราว 60,000 ปี ที่ผา่ น
มา ซ่ึงถือว่าเป็นชนพื้นเมืองด้ังเดิมบนคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ อยู่อาศัยมาก่อนที่เผ่าซีนอยกลุ่มมองโกลอยด์ใต้ได้อพยพลงมาแถบเอเชียอาคเนย์เมื่อ
ราว 6,000 ปที ่ีผา่ นมา
ภาพที่ 6 ชนพ้นื เมอื งกลมุ่ ชาติพนั ธนุ์ กิ รโี ต ทอ่ี �ำ เภอธารโต จงั หวดั ยะลา
(ภาพโดย ครองชัย หตั ถา ถา่ ยเมอื่ ปี 1989)
6
6 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
ภาพที่ 7 ภาพเขียนสีสมยั กอ่ นประวัติศาสตรท์ ถี่ �ำ้ ศิลป์ จงั หวัดยะลา อายรุ าว 3,000 ปี (ภาพ
โดย ครองชยั หัตถา ถ่ายเม่ือปี 1989)
ส�ำ หรบั เผา่ ซนี อยกลมุ่ มองโกลอยดใ์ ตน้ นั้ อพยพเคลอ่ื นยา้ ยจากเอเชยี แผน่ ดนิ ใหญผ่ า่ น
ไต้หวันลงมาอยอู่ าศยั แถบหมู่เกาะฟิลิปปนิ ส์ เมอ่ื ราว 5,500-5,000 ปี หมู่เกาะบอร์เนียว หมู่
เกาะชวา หมเู่ กาะสุมาตรา เมอื่ ราว 4,500 ปี และแถบคาบสมุทรมลายแู ละภาคใตข้ องไทยเมอื่
ราว 3,000 ปที ี่ผ่านมา รายงานของนักมานุษยวทิ ยายงั ระบวุ า่ ชนเผ่า ซนี อยกลุม่ มองโกลอยด์
ใตก้ ลมุ่ นี้ แทบไมม่ ขี อ้ แตกตา่ งกนั เลยกบั ประชากรสว่ นใหญข่ องประเทศตา่ ง ๆ ในเอเชยี อาคเนย์
ในปจั จบุ นั (Bellwood, 1993) เผ่าซีนอยกลมุ่ มองโกลอยด์ใตเ้ ป็นบรรพบุษของประชากรสว่ น
ใหญ่ในฟิลิปปินส์ ไทย ลาว กมั พชู า และเวยี ดนาม และเป็นบรรพบรุ ุษของหลายกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ย่อยในอนิ โดนีเซีย มาเลเซยี และบรไู น อาท ิ ชาวมินังกาเบา ชาวโตรายา ชาวปือนนั ชาวบีซา
ยา และชาวบาจาว เปน็ ต้น
ภาพที่ 8 แผนทีแ่ สดงการเคลื่อนยา้ ยของเผา่ ซีนอยกลุ่มมองโกลอยดใ์ ต้
ลงมาอยอู่ าศัยแถบเอเชยี อาคเนย์เมื่อราว 6,000-3,000 ปีทผ่ี ่านมา
ท่มี า : Bellwood (1993)
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 7
ชาวมลายแู ละภมู ภิ าคมลายู
คาบสมุทรมลายูเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคมลายูท่ีมีประชากรเช้ือสายมลายูต้ังถิ่นฐาน
มานานและหนาแน่นมากแถบจงั หวัดชายแดนภาคใต้ คำ�วา่ “มลาย”ู มีความหมายถงึ เชื้อชาติ
(Race) ในกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ (Ethnic Group) “มลาย-ู โปลนี เี ซยี น” (Malayo-Polynesian) หรอื
“ออสโตรนีเซียน”(Austronesian) ซง่ึ ในกล่มุ นป้ี ระกอบด้วย ชาวมลายู ชวา บกู สิ ซนุ ดา
เมารี ฮาวาย ฟิจิ และอีกหลายกลุ่มในภมู ภิ าคมลายู มลายูเป็นช่อื โดยรวมของกลมุ่ เชือ้ ชาติที่
อยูใ่ นกลมุ่ “มลายู-โปลนี เี ซียน” และเป็นชอ่ื เฉพาะของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ (ethnic) ทอ่ี าศยั อยใู่ น
ดนิ แดนคาบสมุทรมลายู สิงคโปร์ ภาคใต้ของประเทศไทย ชายฝ่งั ตะวันออกของเกาะสมุ าตรา
ชายฝงั่ ของเกาะบอรเ์ นียว และดนิ แดนอนื่ ๆ ในหมูเ่ กาะมลายู (Ensiklopedia Sejarah dan
Kebudayaan Melayu, 1998: 1503)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาท่ีผ่านมาได้มีการให้ความหมายของคำ�ว่ามลายูแตกต่างกัน
ไป จนทำ�ใหเ้ กดิ ความสับสนทางวิชาการ และอาจทำ�ให้เกิดความเข้าใจทีค่ ลาดเคล่ือนได้ ความ
หมายของมลายูพจิ ารณาไดเ้ ป็น 2 มิติ คอื ความหมายทางวงศ์วานวทิ ยา และความหมายทาง
ชาตพิ ันธุว์ ทิ ยา
1) ความหมายทางวงศว์ านวิทยา (Phylogeny)
เป็นความหมายอย่างกว้างที่อธิบายทางสังคมศาสตร์ มีความหมายที่ส่ือถึง
“วงศ์วานย่านเครือ” ไปจนถึง “วงศาคณาญาติ” ซึ่งแตกต่างจากความหมายเดิมทาง
พันธศุ าสตร์ทเ่ี ป็นความหมายเฉพาะ เนน้ ถงึ ววิ ฒั นาการชาติพนั ธ์ทุ างชวี วทิ ยาเทา่ นนั้ วงศ์
วานวิทยาในทางสังคมศาสตร์ใช้หลักการเชื้อชาติ (Race) ร่วมกับความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีผูก
โยงดว้ ยวถิ วี ฒั นธรรม หรอื กฎหมาย/กฏระเบยี บของกลมุ่ ชนนน้ั ๆ การใหค้ วามหมายในลกั ษณะ
นี้ ข้นึ อยกู่ บั การกำ�หนดนยิ ามและการตคี วามของแตล่ ะประเทศ แต่ละภูมิภาค หรอื แต่ละกลุ่ม
ชน ซง่ึ อาจแตกตา่ งกนั ไปตามภมู หิ ลงั ทางประวตั ศิ าสตร์ ขอ้ ตกลงทางสงั คม หรอื บทบญั ญตั ติ าม
กฎหมาย เชน่ ในมาเลเซยี บรไู น สงิ คโปร์ จงั หวดั ชายแดนภาคใตข้ องไทย และรวมถงึ การตคี วาม
ของประเทศฟลิ ปิ ปนิ สด์ ว้ ย ในการตคี วามของกลมุ่ ขา้ งตน้ นนั้ เมอื่ กลา่ วถงึ มลายู กจ็ ะมคี วามหมาย
รวมถึง กลุ่มคนทุกชาตพิ นั ธุ์ (Ethnics) ทีอ่ ยู่รวมกนั ในเช้อื ชาติมลายู (Malay Race) ไม่วา่
กลุ่มคนเหลา่ น้นั จะมชี าตพิ นั ธ์ใุ ดกจ็ ะนับรวมกันเปน็ ส่วนหน่ึงของเช้ือชาตมิ ลายู เช่น ชาวมลายู
ชาวชวา ชาวบูกิส ชาวมีนงั กาเบา ชาวบาตัก ชาวบนั จาร์ และกลุ่มชาติพันธุ์อ่นื ๆ อกี นับรอ้ ย
ชาติพันธ์ุ เช่นเดียวกับในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ไม่ว่าประชากรจะมีเชื้อสาย
อนื่ ใด (อาหรับ เปอร์เซีย จีน อินเดีย ชวา สยาม มานิ ฯลฯ) หากมีวถิ วี ฒั นธรรมแบบมลายู พูด
8
8 รายวชิ าที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวัดชายแดนภาคใต้
ภาษามลายแู ละนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามกจ็ ะเรยี กวา่ ชาวมลายู ซงึ่ แตกตา่ งไปจากการตคี วาม “ชาว
มลายู” ในภมู ิภาคอ่ืนของประเทศไทย
สำ�หรับประเทศเพ่ือนบ้านของไทยอย่างมาเลเซียก็ด้วยอีกเหตุผลหน่ึง เม่ือทางรัฐบาล
ต้องการให้ชาวมลายูและชาวพ้ืนเมืองดั้งเดิม (Orang Asli) มสี ถานะเปน็ ภมู ิบตุ ร (ภูมีปตุ รา,
Bumiputera) ดงั นัน้ กลมุ่ ชาตพิ ันธตุ์ า่ ง ๆ ทอ่ี ยูใ่ นกลมุ่ เชอ้ื ชาติมลายู โดยเฉพาะในแหลมมลายู
ไมว่ า่ จะเปน็ เผา่ มลายู เผา่ ชวา เผา่ บูกสิ เผา่ กมั ปาร ์ เผา่ มนี งั กาเบา เผ่าบาตกั ฯลฯ เรยี กรวม
กันว่าเป็น ชาวมลายู นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีนโยบายเปิดรับผู้ที่ต้องการ “ปรับเปลี่ยน” มา
นบั ถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู และมวี ิถีชีวิตแบบมลายู ไม่ว่าจะชาตพิ ันธ์ุใดกต็ ามท่ีเป็น
พลเมอื งของมาเลเซีย (เชน่ ชาวสยาม ชาวจนี ชาวอาหรับ ฯลฯ) กถ็ ูกนบั รวมเปน็ ชาวมลายู ตาม
กฎหมายรฐั ธรรมนญู มาตรา 160 (2) ของรฐั ธรรมนูญมาเลเซยี ซง่ึ ให้ค�ำ จ�ำ กัดความ “คนมลายู
หมายถงึ คนทนี่ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม พดู ภาษามลายแู ละปฏบิ ตั ติ ามประเพณมี ลาย”ู (Federal
Constitution, 2010)
2) ความหมายทางชาตพิ นั ธ์วุ ทิ ยา (Ethnology)
เป็นความหมายอย่างแคบหรือความหมายจำ�เพาะโดยใช้หลักการ Ethnic (ชาติพันธ์ุ)
เป็นหลัก โดยคำ�ว่า “มลายู” หมายถึงกลุ่มชาติพันธ์ุหนึ่งท่ีมีถ่ินฐานอยู่บริเวณหมู่เกาะมลายู
(Malay Archipelago) เปน็ หนงึ่ ในกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ร่ี วมอยใู่ นกลมุ่ “มลาย-ู โปลนี เี ซยี น”(Malayo-
Polynesian) ซง่ึ เปน็ ชอ่ื เฉพาะของกลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ อ่ี าศยั อยใู่ นอาณาบรเิ วณกวา้ งขวาง นอกจาก
ดินแดนแหลมมลายู สิงคโปร์ ภาคใต้ของประเทศไทย ชายฝ่ังตะวันออกของเกาะสุมาตรา
ชายฝั่งของเกาะบอร์เบียว และหมู่เกาะมลายูแล้ว ยังรวมถึงเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันตก
ของทวปี แอฟรกิ า ไปจนถึงเกาะอสี เตอร์ หรอื เกาะปัสกะห์ (Pulau Paskah) ทางตะวนั ตกของ
ทวปี อเมริกาใต้ รวมทงั้ เกาะไตห้ วัน ฮาวาย ทางเหนอื และหมเู่ กาะอนิ โดนีเชีย และนวิ ซแี ลนด์
ทางใต้และตะวนั ออกเฉียงใต้ (Ensiklopedia Sejarah dan Kebudayaan Melayu, 1998)
ในความหมายทางวิชาการชาติพันธุ์วิทยา “มลายู” มีได้เพียง 2 กลุ่มเท่านั้น คือ
มลายูบริสุทธิ์หรือมลายูแท้ กับมลายูลูกผสม น่ันคือพิจารณาจากพันธุกรรมหรือสาย
เลือดเท่าน้ัน มลายูในความหมายนี้ จะนับถือศาสนา หรือพูดภาษาอะไรก็ได้ ตัวอย่างเช่น
ชาวเมรินา (Merina) ในประเทศมาดากัสการ์ ทวีปแอฟริกา เป็นชาวมลายูที่อพยพไปจาก
เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ้ นราวศตวรรษที่ 8 (พทุ ธศตวรรษท1่ี 3) ในระยะทอ่ี าณาจกั รศรวี ชิ ยั ขยาย
อ�ำ นาจ แมว้ า่ มาถงึ ปจั จบุ นั มกี ารผสมผสานกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธอุ์ นื่ ๆ ในมาดากสั การไ์ ปมากแลว้ แต่
ผลการศกึ ษา DNA เมอ่ื ปี 2010 พบว่าชาวเมรนิ ายังมี DNA ทตี่ รงกบั ชาวมลายูในเอเชียตะวัน
ออกเฉยี งใต้ถงึ รอ้ ยละ 50 (Lim L.S.et al. 2010) ชาวเมรินาในมาดากสั การ์ ปัจจุบนั มปี ระมาณ
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 9
5 ลา้ นคน ชาวเมรนิ าถกู นบั รวมกับเผ่าต่าง ๆ อกี 17 เผา่ รวมเปน็ 16 ล้านคน และเรยี ก
วา่ ชาวมาลากาซี (Malagasy) ท้งั นด้ี ้วยเหตุผลทางการเมอื งและสังคม ชาวเมรนิ าส่วนใหญ่
นับถอื ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ และใช้ภาษามาลากาซีในชวี ิตประจ�ำ วัน (Nusantara
Studies Center, 2017)
การให้ความหมายของคำ�ว่ามลายูในทางชาติพันธุ์วิทยา สอดคล้องกับการกำ�หนด
ชาตพิ นั ธมุ์ ลายูออกเป็น 2 กลมุ่ คอื โปรโตมาเลย์ และ ดิวเทอโรมาเลย์ ซง่ึ มคี วามหมายและคำ�
อธบิ ายดังนี้
1) โปรโตมาเลย์ (Proto Malays)
เป็นชาติพันธุ์มลายูดั้งเดิมท่ีปรากฏข้ึนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ราว 74,000
BC หรือกวา่ 76,000 ปที ่ีผ่านมา (Abdul Mutalip Embong et al, 2015 ชาวมลายูเปน็ ชน
พน้ื เมืองกลุ่มภาษาออสโตรนเี ชยี น (Austronesian Origin) กลมุ่ ยอ่ ยมลายู- โปลีนีเชยี น
(Malayo-Polynesian) มีช่ือเรียกหลายช่ือ เช่น Aboriginal Malays, Ancient Malays,
Malayu Asli ฯลฯ ประกอบด้วยชาวมลายดู งั้ เดิมกล่มุ ต่าง ๆ ได้แก่ Moken, Jakun, Temuan,
Kanaq, Kuala/Laut, Seletar, Semelai, Dayak ฯลฯ ชาวมลายเู หลา่ นสี้ ว่ นใหญย่ งั คงธ�ำ รงอตั
ลกั ษณด์ งั้ เดมิ ปฏเิ สธความทนั สมยั ไมร่ บั อารยธรรมจากภายนอก หรอื เลอื กรบั แตเ่ พยี งบางสว่ น
ทำ�ให้อิทธิพลของศาสนาและศิลปะวิทยาท่ีหล่ังไหลเข้ามายังภูมิภาคมลายูในยุคเร่ิมแรกทั้งจาก
อินเดยี จนี อาหรบั และในยุคตอ่ มาจากชาวยโุ รปในสมัยอาณานคิ มไมม่ ีผลต่อการเปล่ียนแปลง
วถิ ชี วี ติ ของชาวโปรโตมาเลย์ ตวั อยา่ งเชน่ ชาวมอแกน แถบทะเลอนั ดามนั ในภาคใตข้ องไทยและ
พม่า ชาวดายักที่อาศัยอยู่ในเขตป่าลึกบนภูเขาและตามริมแม่นำ้�บนเกาะบอร์เนียว ท้ังในเขต
ประเทศอินโดนเี ซีย มาเลเซยี และบรูไน ซึง่ ส่วนใหญ่พวกเขายงั ยึดถอื ประเพณแี ละวฒั นธรรม
ดง้ั เดมิ นบั ถอื ผแี ละวญิ ญาณบรรพบรุ ษุ (Animism) แตก่ ม็ ชี าวดายกั จ�ำ นวนหนง่ึ ทต่ี ดิ ตอ่ กบั สงั คม
ภายนอกเปลยี่ นมานบั ถอื ศาสนาอสิ ลามตามประชากรสว่ นใหญข่ องประเทศ และบางสว่ นนบั ถอื
ครสิ ตศ์ าสนาจากอทิ ธพิ ลของชาวดตั ชใ์ นสมยั อาณานคิ ม ถงึ กระนน้ั กต็ ามชาวดายกั สว่ นใหญย่ งั คง
ยดึ ถอื ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละกฎหมายบรรพบรุ ษุ แบบเดมิ ส�ำ หรบั ชาวมลายรู นุ่ แรกหรอื
โปรโตมาเลย์ในภาคใต้ของประเทศไทยและคาบสมุทรมลายูน้ัน เช่ือว่ามีถ่ินกำ�เนิดด้ังเดิมท่ี
เกาะบอรเ์ นยี ว จากนน้ั จงึ อพยพมายงั เกาะสมุ าตรา และคาบสมทุ รมลายตู ามล�ำ ดบั (Abdul
Mutalip Embong et al, 2015)
10
10 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
2) ดวิ เทอโรมาเลย์ (Deutero Malays)
เป็นชาติพันธุ์มลายูสมัยใหม่ (Modern ethnic Malays) ท่ีมีความก้าวหน้าและ
มอี ารยธรรมสงู กว่าโปรโต-มาเลย์ (Advance Proto-Malay) (Abdul Mutalip Embong et
al, 2015) ดวิ เทอโรมาเลยอ์ กี สว่ นหน่ึงเป็น ชาตพิ นั ธุ์ลกู ผสม (Admixture of Races) เชน่
มลายูผสมกับอินเดยี อาหรับ จีน ไทย นิกริโต ฯลฯ (Zilfalil Bin Alwi, 2011) ดิวเทอโรมาเลย์
ที่มีพัฒนาการจากโปรโตมาเลยม์ กี ารเดินทางไปตง้ั ถ่นิ ฐานยังท่ตี า่ ง ๆ ทง้ั ในแถบ หมเู่ กาะมลายู
และดนิ แดนอนื่ ๆ นอกหมเู่ กาะมลายู และอกี กลมุ่ ทมี่ พี ฒั นาการจากโปรโตมาเลยใ์ นถน่ิ ฐานเดมิ
ตามชายฝง่ั ทะเลและปากแมน่ �ำ้ ส�ำ คญั ๆ ทเ่ี ปดิ รบั การตดิ ตอ่ กบั ผคู้ นภายนอก โดยเฉพาะเมอื งทา่
โบราณทมี่ กี ารพบกนั ของผคู้ นจากตา่ งถน่ิ มกี ารคา้ ขายสนิ คา้ เผยแพรศ่ าสนา ชมุ ชนชายฝง่ั หลาย
แห่งจงึ เป็นที่รวมของสินคา้ จากหลายภูมิภาค เป็นทีร่ วมของคนจากหลายวฒั นธรรม ทำ�ให้เร่ิม
มีการจัดระเบียบของสังคมในรูปแบบใหม่มีผู้ปกครอง เร่ิมต้นความเป็นเมือง เป็นรัฐ และเป็น
อาณาจักรในเวลาต่อมา ตวั อยา่ งกลมุ่ ยอ่ ยของดวิ เทอโรมาเลย์ (Malay sub-ethnic groups)
ไดแ้ ก่ Malay Bugis, Malay Jawa, Malay Minang, Malay Kedah, Malay Kalantan, Malay
Patani ฯลฯ (Zilfalil Bin Alwi, 2011) ส�ำ หรับภาคใตข้ องประเทศไทยและคาบสมุทรมลายู
นน้ั เช่ือว่ากลุ่มดิวเทอโรมาเลยเ์ คลื่อนย้ายเข้ามายังคาบสมุทรมลายเู มอื่ ราว 2,000 ปที ่ผี า่ นมา
(Merriam-Webster.com Dictionary, 2021)
การใหค้ วามหมายของมลายทู เ่ี นน้ ชาตพิ นั ธเุ์ ปน็ หลกั ในการตคี วามอยา่ งแคบหรอื จ�ำ เพาะ
น้ี “ไมน่ บั รวมชาตพิ ันธุ์อื่น ยกเว้นชาตพิ นั ธ์ลุ กู ผสมกบั มลายเู ทา่ นั้น สว่ นภาษา ศาสนา และ
วฒั นธรรมประเพณอี าจแตกตา่ งกนั ออกไปอยา่ งไรกไ็ ด้ ไมน่ �ำ มาพจิ ารณาความเปน็ ชาตพิ นั ธ”ุ์
การตีความทถ่ี อื เอาชาตพิ นั ธเ์ุ ปน็ หลัก ไดแ้ กป่ ระเทศอินโดนเี ซีย โดยประเทศอินโดนีเซยี ถือเปน็
ประเทศหนึ่งของชนเช้ือชาติมลายู แต่ด้วยอินโดนีเซียประกอบด้วยกลุ่มชนเผ่านับหลายร้อย
ชนเผ่า และในบรรดากลุ่มชนเผ่าเหล่านั้น มีชนเผ่ามลายูอยู่ด้วย ดังนั้นความหมายของคำ�ว่า
มลายู จึงเปน็ ความหมายอย่างแคบ โดยมกี ารใช้คำ�นยิ ามว่าชาวมลายูเปน็ กล่มุ ชนเผ่าชาตพิ ันธุ์
มลายูท่อี าศัยอยใู่ นเกาะสุมาตรา หมเู่ กาะเรยี ว และบางส่วนของเกาะบอร์เนยี ว สว่ นในทอ่ี นื่ ๆ
ของประเทศอนิ โดนีเซียทมี่ กี ลุม่ ชาตพิ นั ธุม์ ลายูอาศัยอยู่ กใ็ ช้สถานที่นน้ั ๆ ก�ำ กับชาติพนั ธ์ุมลายู
เพ่ิมลงไป เชน่ มลายจู ัมบ ี เปน็ กลุ่มชาวมลายูทีม่ ถี นิ่ ฐานอยใู่ นจงั หวดั จัมบี มลายปู าเลม็ บงั เปน็
กลุ่มชาวมลายูท่ีมีถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดสุมาตราใต้ มลายูชวา เป็นชาวชวาที่ผสมผสานกับ
ชาวมลายู มถี ิน่ ฐานอยูใ่ นเมอื งปาเล็มบัง จังหวัดสุมาตราใต้ เป็นต้น
สว่ นค�ำ วา่ ภูมิภาคมลายู หรือ Nusantara เปน็ ค�ำ ผสมระหว่างคำ�วา่ Nusa หมาย
ถึง แผ่นดิน กับคำ�ว่า Antara มีความหมายว่า ระหว่าง เมื่อสองคำ�มารวมกัน กลายเป็น
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จงั ห วัดชายแดนภาคใต้ 11
Nusantara จึงหมายถึง ระหว่างแผ่นดิน ซ่ึงได้แก่อาณาบริเวณหมู่เกาะมลายู (Malay
Archipelago) ในประเทศต่าง ๆ ของภมู ิภาคมลายู หรือ Malay region อยา่ งไรกต็ าม การให้
ค�ำ นยิ ามของคำ�วา่ “นซู นั ตารา” ก็มีการให้คำ�นิยามท่ีแตกต่างกัน โดยประเทศมาเลเซีย บรูไน
สงิ คโปร์ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้จะให้ค�ำ นิยามของคำ�ว่านูซนั ตาราในความหมายท่ีกว้าง น่นั คือ
หมายถงึ ทกุ พนื้ ทข่ี องกลมุ่ ประเทศภมู ภิ าคมลายู ซง่ึ รวมถงึ ประเทศอนิ โดนเี ซยี และฟลิ ปิ ปนิ สด์ ว้ ย
สว่ นการใหค้ �ำ นิยามของประเทศอนิ โดนเี ซยี น้นั เมือ่ กล่าวถงึ “นูซนั ตารา” จะหมายถึง เฉพาะ
ประเทศอินโดนีเซียเทา่ นัน้ โดยอ้างองิ จากภาษาชวาโบราณ คำ�ว่า “Nusantara” หมายถึง
“Outer Islands” ในความหมายของอินโดนเี ซยี ที่เขา้ ใจกนั ท่ัวไปหมายถงึ หมู่เกาะอนิ โดนี
เชีย (Indonesian Archipelago) ซงึ่ จะไม่รวมถึงหมูเ่ กาะมลายู (Malay Archipelago)
ช่อื Nusantara มีความหมายมากสำ�หรบั ชาวอนิ โดนเี ซยี และก�ำ ลงั จะเป็นช่ือเมืองหลวง
แห่งใหม่ของอินโดนเี ซยี แทนกรงุ จาการต์ าเมืองหลวงปจั จบุ ัน
อย่างไรก็ตาม ในความหมายของภูมิภาคศึกษาท่ีเข้าใจกันทั่วไป นูซันตารา หมายถึง
“ดินแดนที่มีความสมั พนั ธก์ ับวัฒนธรรมและภาษามลาย”ู (Malay-related Cultural and
linguistic lands) โดยครอบคลมุ ประเทศอนิ โดนเี ซยี มาเลเซีย บรไู น สงิ คโปร์ ฟลิ ิปปินส์ ภาค
ใต้ตอนล่างของประเทศไทย ไต้หวัน ติมอร์ตะวันออก (แต่ไม่รวมปาปัวนิวกินี) รวมถึงพ้ืนที่
ทั้งหมดของกล่มุ ภาษามลายู-โปลีนเี ซียน หรือ ออสโตรนเี ซีย ไดแ้ ก่ ฮาวาย ฟิจิ นวิ ซีแลนด์ และ
ครอบคลมุ ไปถงึ ประเทศมาดากัสการ์ในทวีปแอฟริกาและเกาะอีสเตอร์ (ชือ่ เดิมคอื Paques,
Pascua, Rapa Nui) ประเทศชิล ี (Evers Harns-Dieter, 2016) ภมู ิภาคมลายจู งึ เป็นชือ่ เรยี ก
ดินแดนหรืออาณาบรเิ วณท่ีอยู่ในการปกครองของหลายประเทศ ส�ำ หรบั พนื้ ที่ภาคใตต้ อนลา่ ง
โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้น้ันเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคมลายูท่ีอยู่ในการปกครอง
ของประเทศไทย โดยพน้ื ทนี่ ป้ี รากฏหลกั ฐานรอ่ งรอยของมนษุ ยอ์ ยอู่ าศยั มาเปน็ เวลานาน มกี าร
เปลย่ี นผา่ นการเมอื งการปกครองมาหลายยคุ หลายสมยั จนกระทงั่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของประเทศไทย
ในปัจจุบนั
ภาพท่ี 9 แผนทีน่ ูซันตาราแสดงภูมิภาคที่มคี วามสมั พันธก์ บั วฒั นธรรมและภาษามลายู
ทม่ี า : http://www.lemurdolls.com/manusa.htm สบื ค้นเม่ือ 27 ตุลาคม 2563
12
12 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาพท่ี 10 ภาพถ่ายชนพนื้ เมืองบนคาบสมุทรมลายู เมือ่ ราว 100 ปที แ่ี ลว้
ทมี่ า : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ (2542)
กลมุ่ ชาติพันธแ์ุ ละรฐั โบราณบนคาบสมทุ รมลายู
ชว่ ง 40,000 ปกี อ่ นครสิ ตกาล (40,000 BCE) เปน็ ยคุ ทช่ี าตพิ นั ธม์ุ นษุ ยป์ รากฏขน้ึ บนสว่ น
ตา่ ง ๆ ของโลกมากมาย ซงึ่ สามารถจดั ตามกลมุ่ สผี วิ ไดเ้ ปน็ 4 กลมุ่ หลกั ประกอบดว้ ย (1) พวกผวิ
ด�ำ หรอื เรยี กว่า “นกี รอยด์” (Negroid) (2) พวกผวิ ขาวเรียกว่า “คอเคซอยด์” (Caucasoid)
(3) พวกผิวเหลอื งเรียกว่า “มองโกลอยด”์ (Mongoloid) และ (4) พวกผิวคล้ำ�/สเี ปลอื กละมุด
หรอื ทเี่ รยี กวา่ “ออสตราลอยด”์ (Australoid) โดยชาตพิ นั ธยุ์ คุ เรม่ิ แรกทอ่ี าศยั แถบคาบสมทุ ร
มลายู คือ “นีกรอยด์” และ “ออสตราลอยด์” และต่อมาเกดิ ชาติพนั ธผ์ุ สมระหว่างมองโกลอยด์
กับออสตราลอยด์ เกิดเป็นตระกูล “โพลีนเี ชยี น” (Polinesean) ขนึ้ (สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย์.
2547: 193) กลุ่มชาติพนั ธุ์นีกรอยด์ ในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตแ้ ละโอเชยี เนีย แบ่งเป็น 3 กล่มุ
ย่อย คือ
(1) กล่มุ โอเชยี นนีกรอยด์ อยูท่ เี่ กาะปาปวั นวิ กนี ี และหมเู่ กาะน้อยใหญท่ างตะวนั ออก
ไปจนถึงเกาะฟจิ ิ
(2) กลมุ่ เมลานเี ซยี น ไดแ้ กห่ มเู่ กาะเมลานเี ซยี ทางตะวนั ออกเฉยี งใตข้ องเอเชยี รวมทง้ั
ชายฝง่ั และเกาะแถบอนั ดามนั ในอา่ วเบงกอล มาเลเซยี สมุ าตรา และฟลิ ปิ ปนิ ส์ เชน่ กลมุ่ ยอ่ ย
อนั ดามันนีส ที่หมเู่ กาะอนั ดามนั เซมงั แถบคาบสมทุ รมลายแู ละเกาะสมุ าตราตะวันออก ฯลฯ
และ (3) กลมุ่ ฟลิ ปิ ปนิ สน์ กิ รโิ ต ทห่ี มเู่ กาะฟลิ ปิ ปนิ ส์ สว่ น กลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ อสตราลอยด์
หรือโปรโตออสตราลอยด์ แบ่งเปน็ 3 กลุ่มย่อย คือ (1) กลุ่มออสตราลอยด์ ไดแ้ ก่ ออสเตรเลยี -
อะบอริจินในประเทศออสเตรเลีย เวดดาห์ในศรีลังกา พรี-ดราวิเดียนในอินเดีย ไอนุในเกาะ
ฮอกไกโด ทางตอนเหนอื ของญป่ี นุ่ และหมเู่ กาะแซดาลนิ (2) กลมุ่ อนิ โด-มาเลย์ ไดแ้ ก่ อนิ โดนเี ซยี
ตอนใต้ของประเทศจีน อนิ โดจนี พมา่ ไทย มาเลเซีย ฟลิ ิปปนิ ส์ โอกินาวา และหมู่เกาะใกลเ้ คยี ง
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 13
และ (3) กลุ่มอเมริกนั อนิ เดียน หรอื อนิ เดยี แดงทางภาคเหนอื และภาคกลางของอเมริกาเหนือ
อเมริกากลาง และอเมรกิ าใต้
คาบสมุทรมลายู เม่ือ 40,000 ปีก่อนคริสตกาล ปรากฏกลุ่ม Australoid-
Melanesians ในยุคที่ผืนแผ่นดินยังเชื่อมต่อกันได้หมดเป็นแผ่นดินซุนดา กลุ่ม
ออสตราลอยด์ (Australoid) หากจ�ำ แนกเชอื้ ชาตติ า่ ง ๆ ของมนษุ ยท์ ว่ั โลกตามหลกั เกณฑท์ าง
กายภาพของมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะทางรปู รา่ งหนา้ ตา สดั สว่ นของรา่ งกาย รปู รา่ งศรี ษะ ลกั ษณะ
เส้นผม จมกู สขี องผิวกาย และกลมุ่ ของเลอื ด พวกออสตราลอยด์ หรือ โปรโตออสตราลอยด์
(Proto Australoid) จะเป็นพวกผิวคลำ้� เช่นเดียวกับกลุ่ม เมลานีเซียน (Melanesians)
ได้แก่ ชาวหมู่เกาะทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ต่อมาเมื่อผืนนำ้�ทะเลค่อย ๆ ท่วมท้น
จนแผ่นดินออกห่างจากกัน กลายเป็นส่วนปลายคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ กลุ่มคน
Australoid-Melanesians ปรากฏข้ึนบริเวณพื้นท่ีปลายคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา
และเกาะบอรเ์ นียว กระทงั่ ถึง 10,000 ปกี อ่ นครสิ ตกาล ชาติพันธ์ุนกิ รโิ ต (Negritos) ยงั คง
เปน็ กลุ่มเด่นตอนกลางของภูมภิ าคตลอดไปถงึ พ้ืนท่ปี ลายแหลมปรากฎกล่มุ ยอ่ ย มานิ (Maniq)
ซีนอย (Senoi) เซมงั (Semang) เมือ่ ถงึ 4,500 ปีกอ่ นครสิ ตกาล บริเวณคาบสมทุ รมลายตู อน
บนปรากฏกลุม่ ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatics) ได้แก่กลมุ่ ภาษามอญ-เขมร และกล่มุ
ภาษาไท-กะได (Tai-Kadai หรอื Kradai) และจดั เปน็ ภาษากลมุ่ ใหญท่ ใ่ี ชก้ นั ในเอเชยี ตะวนั
ออกเฉยี งใต้ ตอนใตข้ องประเทศจีนรวมถึงบางส่วนในอินเดยี และบงั กลาเทศ
ภาพที่ 11 แผนที่กลุม่ ชาติพันธุ์บนแผ่นดนิ ซุนดาที่เช่ือมตอ่ กับคาบสมุทรมลายู เมือ่ 40,000 ปี
กอ่ นคริสตกาล
ท่มี า : Muhammad Lazuardi (2020)
14
14 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
ภาพท่ี 12 แผนทกี่ ลุม่ ชาตพิ นั ธบุ์ นคาบสมทุ รมลายแู ละเกาะสุมาตรา เม่อื 11,000 ปีกอ่ น
ครสิ ตกาล
ทมี่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
ภาพที่ 13 แผนท่กี ลุ่มชาตพิ นั ธน์ุ กิ ริโตบนคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา เมื่อ 10,000 ปี
ก่อนครสิ ตกาล
ทม่ี า : Muhammad Lazuardi (2020)
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 15
ภาพท่ี 14 ภาพถ่ายชาวนิกรโิ ต กลุ่มชาติพนั ธ์ุดงั้ เดิมบนคาบสมทุ รมลายทู ่อี �ำ เภอเบตง
จงั หวดั ยะลา ปี 1954
(ภาพจาก ชุมศักด์ิ นรารตั น์วงศ์)
ภาพที่ 15 ภาพถา่ ยชาวนิกริโต กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ดั้งเดิมบนคาบสมุทรมลายูท่ีเบตง ยะลา
ในปี 2013
(ภาพจาก ชุมศักดิ์ นรารตั นว์ งศ์)
16
16 รายวชิ าที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
จากวถิ ขี องคนพนื้ เมอื งดงั้ เดมิ ประกอบกบั ผคู้ นทอ่ี พยพมาจากหลากหลายทเี่ ปน็ ระลอก
ๆ ตามยคุ สมัยในอดีต หากพจิ ารณาตามกลมุ่ ภาษาของผู้คนทต่ี งั้ หลกั แหล่งในเอเชียตะวนั ออก
เฉยี งใตห้ รอื อษุ าคเนย์ มกี ารจ�ำ แนกตามตระกลู ภาษาเปน็ 5 กลมุ่ ประกอบดว้ ย 1.ตระกลู มอญ-
เขมร หรือ ออสโตรเอเชียตกิ เชน่ พวกมอญ เขมร ลวั ะ ละวา้ ฯลฯ
2.ตระกลู ชวา-มลายู หรือ ออสโตรนเี ซยี น หรือมาลาโย-โพลินีเซยี น เช่น พวกมลายู ชวา และ
หมู่เกาะอินโดนีเซีย รวมทั้งพวกจาม ฯลฯ มีหลักแหล่งตามชายฝั่งและหมู่เกาะทางตอนใต้ขอ
งอษุ าคเนย์ รวมทั้งมอเกน็ หรือ “ชาวเล” หรอื พวก “มอแกน”
3.ตระกลู ไทย-ลาว เชน่ พวกไทย ลาว จว้ ง อาหม ฯลฯ
4.ตระกูลจีน-ทิเบต เช่น กะเหรี่ยง อะข่า (อีกอ้ ) ปะดอง ฯลฯ รวมถงึ พม่า-ทิเบต ฯลฯ
5.ตระกูลม้ง-เม่ียน หรือ แมว้ -เย้า เชน่ ม้ง (แมว้ ) เมย่ี น (เย้า) โดยคนท้งั 5 พวกน้ลี ้วนเป็น
“เครอื ญาติ” กัน ไมท่ างใดก็ทางหนึง่ เชน่ เครอื ญาตชิ าตพิ ันธุ์ เครอื ญาตทิ างภาษา ฯลฯ (สุจติ ต์
วงษเ์ ทศ, 2554: 42-44)
เมอื่ ถงึ 2,500 ปกี อ่ นครสิ ตกาล (ราว 4,500 ปี ทผ่ี า่ นมา) พน้ื ทบ่ี รเิ วณปลายแหลมมลายู
บนเกาะสุมาตรา รวมถึงเกาะบอร์เนียว ปรากฏช่ือ “ออสโตรนีเซียน” (Austronesians)
หรือผู้คนในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนกระจายไปทั่วหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ
มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ในกลมุ่ ภาษาออสโตรนเี ซยี นประกอบดว้ ย 15 ภาษาหลกั โดย“ภาษามาเลย”์
(Malay) เปน็ กลมุ่ ใหญ่ในกลุ่มภาษาออสโตรนเี ซยี น มผี พู้ ูดเปน็ จำ�นวนมากกระจายครอบคลุม
อาณาบรเิ วณกวา้ งขวางในซีกโลกตะวันออก ตงั้ แต่มาดากสั การ์ไปจนจรดเกาะอสี เตอร์ (จาเร็ด
ไดมอนด,์ 2553: 443) และเมอื่ 1,000 ปตี อ่ มาหรือช่วง 1,500 ปีกอ่ นคริสตกาล (ราว 3,500
ปีท่ีผ่านมา) จึงปรากฏ “โปรโต-มาเลย์” (Proto-Malays) หรือ “กลุ่มมลายูผู้เคล่ือนย้าย
ระลอกแรก” ทเี่ กาะสมุ าตราและฝงั่ ตะวนั ตกของคาบสมทุ รมลายบู างครง้ั ถกู เรยี กวา่ “ชาวมลายู
ดั้งเดมิ ” (Melayu Asli) หรือ “ชาวมลายูโบราณ” (Melayu Purba) ได้แกช่ าวมอแกน
(Mogan) จากนุ (Jakun) คะนกั (Kanuq) ฯลฯ กลมุ่ ผูพ้ ดู ภาษาตระกลู ออสโตรนเี ซียนไดช้ อื่ วา่
เปน็ นกั เดนิ เรอื ทเี่ กง่ กาจและมคี วามรดู้ า้ นสมทุ รศาสตรม์ าแตโ่ บราณกาล เคยมกี ารสนั นษิ ฐานวา่
พวกเขาอพยพมาจากเอเชยี แผน่ ดนิ ใหญ่ เปน็ การอพยพโยกยา้ ยถน่ิ ของผพู้ ดู ภาษามลายรู นุ่ แรกมา
ถึงเกาะบอรเ์ นียว เกาะชวา เกาะสุมาตรา และคาบสมทุ รมลายตู อนลา่ งในราว 2,500-1,500 ปี
กอ่ นครสิ ตกาล (4,500-3,500 ปี ทผี่ า่ นมา) (Bellwood, 1993) โปรโต-มาเลยก์ ลมุ่ นเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่
ของชาวมลายูในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียในเวลาต่อมา ซ่ึงพวกเขาบางส่วนได้แต่งงาน
กบั ผูค้ นที่อาศยั อยูเ่ ดิม (Orang Asli) เช่น เซมงั (Semang) ซนี อย(Senoi) มันนิ (Maniq) ฯลฯ
ขณะท่ีคาบสมุทรมลายูตอนบนไปจนถึงที่ราบภาคกลาง ในช่วงเวลาเดียวกันน้ัน เป็นพ้ืนที่
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 17
อยอู่ าศยั ของกลมุ่ ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatics) ซึง่ ไดแ้ กก่ ล่มุ ผูพ้ ูดภาษามอญ-เขมร
ไทย-ลาว ทำ�ให้พืน้ ทแี่ ถบเกดาห์-ปตั ตานกี ลายเปน็ รอยตอ่ ของกลุ่มภาษาท้งั สอง
ภาพที่ 16 แผนทก่ี ลุ่มชาติพันธ์ุบรเิ วณเกาะสมุ าตราและคาบสมุทรมลายู เมอ่ื 300 ปีกอ่ น
ครสิ ตกาล
ที่มา : Muhammad Lazuardi (2020)
กระทง่ั ถงึ ชว่ ง 300 ปกี อ่ นครสิ ตกาล จงึ ปรากฏ “ดวิ เทอโร-มาเลย”์ (Deutero-Malays)
หรอื “กลมุ่ มลายผู เู้ คลอ่ื นยา้ ยระลอกสอง” ในกลมุ่ ผพู้ ดู ภาษาตระกลู ออสโตรนเี ซยี น ปรากฏตวั
แถบฝัง่ ตะวนั ออกของเกาะสมุ าตราและปลายคาบสมุทรมลายู เปน็ กลุ่มคนท่ีมีทักษะในการกสิ
กรรมและโลหะกรรมขน้ั สงู กวา่ ยคุ กอ่ นหนา้ มกั ตงั้ หลกั แหลง่ ถาวรแถบทรี่ าบรมิ ฝง่ั แมน่ �ำ้ หรอื ทะเล
เรม่ิ มกี ารตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ �ำ การคา้ กบั กลมุ่ อนื่ ๆ ในงานเขยี นเรอื่ ง “คนมลายู คอื ใคร?” เผยแพรโ่ ดย
โครงการศึกษาวิจัยเพ่ือจัดการความรู้เร่ืองอัตลักษณ์และภูมิปัญญาด้านท่ีอยู่อาศัยของท้องถ่ิน
กรณศี กึ ษาพน้ื ทภี่ าคใตต้ อนลา่ งฝงั่ อา่ วไทย มขี อ้ เสนอวา่ “กลมุ่ คนกลมุ่ นเี้ ปน็ บรรพบรุ ษุ ของชาว
มลายใู นปจั จบุ นั ” ขณะทคี่ าบสมทุ รมลายตู อนบนเหนอื เคดาหแ์ ละปตั ตานขี น้ึ ไป เมอื่ 100 ปกี อ่ น
ครสิ ตกาล หรือราว 2,100 ปีทผ่ี ่านมา เป็นถ่นิ ท่ีอย่ขู อง ชาวมอญ (Mon) ซ่ึงมวี ฒั นธรรมแบบ
กา้ วหนา้ (Advanced Culture) ยกเวน้ แถบหมเู่ กาะและชายฝ่ังอนั ดามันเป็นถนิ่ ทอ่ี ยขู่ องชาว
โปรโตมาเลย์ (Proto-Malays) ตอนใต้ของปตั ตานลี งมาแถบกลนั ตนั และเปรกั เร่มิ ก่อตัวเปน็
รัฐเลก็ ๆ ช่อื “ชิตู” (Chi Tu) สว่ น เกดาห์ (Kedah) นั้น เร่ิมเปน็ แหลง่ อารยธรรมยุคแรก
(Early Civilization) ในแถบถิ่นคาบสมทุ รมลายู
18
18 รายวชิ าท่ี 1 ประวัตศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ภาพที่ 17 แผนท่กี ลมุ่ ชาติพันธแุ์ ละรัฐบนคาบสมทุ รมลายแู ละเกาะสมุ าตรา เมอื่ 100 ปกี ่อน
คริสตกาล
ท่ีมา : Muhammad Lazuardi (2020)
รฐั โบราณกบั ศนู ย์อำ�นาจในบริบทภูมริ ฐั ศาสตร์
วัฒนธรรมยคุ แรกเร่มิ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ เรมิ่ ข้ึนเม่ือ 20,000 ปกี ่อน
คริสตกาล แถบพื้นท่ีตอนเหนือบริเวณท่ีตั้งประเทศเวียดนามและกัมพูชาในปัจจุบัน ปรากฏ
“วัฒนธรรมซอนวี” (Son Vi) เกิดข้ึนก่อน กระทั่ง 12,000 ปีก่อนคริสตกาล จึงปรากฏ
“วัฒนธรรมหัวบินเหียน” (Hoabinhian) ในระหว่างยุควัฒนธรรมหัวบินเหียนได้ปรากฏ
วฒั นธรรมย่อยอีกหลายชอื่ ได้แก่ Bac Son (10,000 BCE), Da But (4,500 BCE), Dong
Dua (1,500 BCE), Sa Huynh (535 BCE), Oc Eo (1 CE) กอ่ นจะเขา้ สู่การมรี ฐั ทม่ี ีศนู ย์กลาง
อำ�นาจชัดเจนแห่งแรก คือ “ฟูนัน” (Funan) บริเวณปากแม่นำ้�โขง และรัฐ “ลังกาสุกะ”
(Langkasuka) บรเิ วณคา บสมทุ รมลายูในชว่ งต้นคริสตศตวรรษท่ี 1
ภาพท่ี 18 แผนทีร่ ฐั และกลุ่มชาตพิ นั ธ์บุ นคาบสมทุ รมลายูและบริเวณใกล้เคียงในชว่ งศตวรรษ
แรก (ค.ศ.100/พ.ศ. 643)
ท่มี า : Muhammad Lazuardi (2020)
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 19
ภาพที่ 19 แผนทร่ี ัฐและกลุ่มชาติพันธ์ุบนคาบสมทุ รมลายูและบรเิ วณใกลเ้ คยี งเมื่อช่วงตน้
ศตวรรษ ท่ี 3 (ค.ศ. 224/พ.ศ. 767)
ที่มา : Muhammad Lazuardi (2020)
ภาพท่ี 20 แผนทร่ี ฐั มลายูบนเกาะสุมาตราและรฐั ตา่ งๆบนคาบสมทุ รมลายูในกลางศตวรรษท่ี
7 (ค.ศ. 652/พ.ศ. 1195)
ท่มี า : Muhammad Lazuardi (2020)
ในสว่ นของคาบสมทุ รมลายไู ดป้ รากฏรฐั หลายแหง่ เรม่ิ จากเมอ่ื 100 ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช
ปรากฏชอ่ื Chitu และราวปี 100 (พ.ศ. 643) ไดป้ รากฏชอ่ื “ลงั กาสกุ ะ” (Langkasuka) และ
แถบ Perak ปรากฏชอื่ Gangganegara หลงั จากนน้ั เรม่ิ มรี ฐั นอ้ ยใหญเ่ กดิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เชน่
พัน-พัน (Pan Pan) ตามพรลงิ ค์ (Tambraling) ตักโกลา(Takola) ฯลฯ ความเปลีย่ นแปลง
หนงึ่ ทนี่ ่าสนใจยิ่งคือการที่ Chitu เปลี่ยนเป็น Kalathana ในปี 381 (พ.ศ. 924) หลงั จากนัน้
20
20 รายวชิ าท่ี 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
ในปี 434 (พ.ศ. 977) ก็สามารถแผ่อิทธิพลข้นึ ไปตอนบนจนถงึ Takola (Takua Pa ในปัจจบุ นั )
สว่ นตอนลา่ งครอบคลมุ พนื้ ทไี่ ปจนเกือบสุดปลายแหลมมลายู ปี 519 (พ.ศ. 1062) เมอ่ื ปรากฏ
ช่อื ละโว้ (Lavo) ตอนบนของคาบสมทุ รน้นั Kalathana ยังคงมีอทิ ธิพลอยู่ กอ่ นทฟี่ ูนันแผ่
อิทธิพลมาครอบคลุมอีกคร้ังในปี 562 (พ.ศ. 1105) จากนั้นเมื่อหมดยคุ อทิ ธิพลของอาณาจักร
ฟูนัน ช่ือ ลังกาสกุ ะ จงึ ปรากฏอีกครง้ั ในปี 618 (พ.ศ. 1161) ขณะนน้ั รฐั “มลาย”ู (Malayu)
มีอำ�นาจอยู่ท่ีเกาะสุมาตรา ซ่ึงต่อมาได้ปรากฏช่ือเป็น “ศรีวิชัย” (Srivijaya) และได้ขยาย
อำ�นาจข้ึนมายังคาบสมุทรมลายูในเวลาต่อมา ส่วนตอนบนของคาบสมุทรน้ัน อาณาจักรขอม
หรอื เขมร (Khmer) มอี �ำ นาจเหนืออาณาจักรละโว้ และแผ่ขยายอิทธิพลลงมาถึงไชยาในราว
ปี 1012 (พ.ศ. 1555)
ภาพที่ 21 แผนท่รี ัฐศรีวชิ ัยบนเกาะสุมาตราในปลายศตวรรษท่ี 7 (ค.ศ. 689/พ.ศ. 1232)
ก่อนการขยายอ�ำ นาจมายงั คาบสมทุ รมลายู
ทีม่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
ภาพที่ 22 แผนทก่ี ารขยายอำ�นาจของอาณาจักรศรีวิชัยบนคาบสมุทร
ทมี่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จงั ห วัดชายแดนภาคใต้ 21
ปี 700 (พ.ศ. 1243) อทิ ธิพลของอาณาจักรศรวี ชิ ัยจากเกาะสุมาตรา แผข่ ยายออกไป
ยงั เกาะชวาและคาบสมทุ รมลายู โดยผนวกเอาลงั กาสกุ ะ ตามพรลงิ คแ์ ละรฐั ตา่ ง ๆ ไวใ้ นอ�ำ นาจ
ตั้งแต่ปี 764 (พ.ศ. 1307) เป็นตน้ มา กระทัง่ ปี 801 (พ.ศ. 1344) อทิ ธพิ ลของศรวี ชิ ยั กข็ ยาย
ออกไปถึงคอคอดกระ จรดกับเขตแดนของอาณาจักรเขมรในเวลานั้น ต่อมาเมื่ออำ�นาจของศรี
วชิ ยั สน้ิ สดุ ลงเนอ่ื งจากการโจมตขี องกองทพั โจฬะจากอนิ เดยี ใตใ้ นศตวรรษท่ี 11 (พทุ ธศตวรรษท่ี
16) ลว่ งมาถงึ ศตวรรษท่ี 13 (พทุ ธศตวรรษที่ 18) ตามพรลงิ ค์ กก็ ลบั มามอี �ำ นาจบนคาบสมทุ ร
มลายอู ีกครงั้ จนกระทั่ง เม่อื ปี 1294 (พ.ศ1837) อาณาจักรสโุ ขทัยได้เข้าปกครองตามพร
ลิงค์ (คือศิริธรรมนคร หรอื นครศรีธรรมราช) และได้ขยายอ�ำ นาจไปจนสดุ ปลายแหลม ตอ่
เน่ืองมาถึงปี 1352 (พ.ศ. 1895) พืน้ ท่ีคาบสมุทรมลายูท้ังหมดสุดปลายแหลมอยู่ในอำ�นาจ
ของอยุธยา (Ayuthaya) ไปจนถงึ เทมาเสก็ (Temasek หรือสิงคโปรใ์ นปัจจบุ ัน) (Paul Michel
Munoz, 2006) ตอ่ มาเจ้าชายปรเมศวรจากปาเล็มบังได้เขา้ ยึดเทมาเสก็ โดยสงั หารหัวหน้าท้อง
ถ่ินซ่ึงเป็นผู้ท่ีสวามิภักด์ิต่ออยุธยาและสถาปนาพระองค์เองเป็นผู้ปกครอง และได้ให้บุตรชาย
คือสลุ ตา่ นอิสกันดารเ์ ข้าปกครองมะละกา เม่ือถงึ ปี 1504 (พ.ศ. 2047) อ�ำ นาจของมะละกา
(Malacca) แผ่ขยายครอบคลุมช่องแคบมะละกาท้ังฝ่ังสุมาตราและปลายแหลมมลายูขึ้น
มาจนถึงตอนใตข้ องลิกอร์ (Ligor หรอื นครศรธี รรมราชปจั จุบัน)
ภาพท่ี 23 แผนทีก่ ารขยายอำ�นาจของตามพรลงิ ค์บนคาบสมทุ รมลายูในกลางศตวรรษท่ี 13
หลงั การเสอื่ มอ�ำ นาจของศรีวชิ ัย
ทมี่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
22
22 รายวชิ าท่ี 1 ประวัติศาสตร์จังหวดั ชายแดนภาคใต้
ภาพท่ี 24 แผนทีก่ ารขยายอำ�นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายสู มัยอยธุ ยาในกลาง
ศตวรรษที่ 14
ที่มา : Muhammad Lazuardi (2020)
สำ�หรับบริเวณเกาะสุมาตรา เริ่มปรากฏชื่อเมืองต่าง ๆ เช่น Lubuk Jambi
(300 BCE) Toba (100 BCE) กระทั่งเมื่อปี 224 (พ.ศ. 767) ชื่อ Jambi กลายเป็นเมือง
ใหญ่ ก่อนจะกลายเป็นรัฐ มลายู (Malayu) ในราวปี 652 (พ.ศ. 1195) เป็นรัฐ ศรีวิชัย
Srivijaya ในปี 689 (พ.ศ. 1232) พร้อมกับแผ่อิทธิพลไปท่ัวปลายแหลมมลายูต้ังแต่ปี
764 (พ.ศ. 1307) กินเวลาหลายร้อยปีก่อนจะเส่ือมอำ�นาจไป จนถึงปี 1476 (พ.ศ. 2019)
มะละกา (Malacca) ขยายอำ�นาจแผ่อิทธิพลควบคุมช่องแคบมะละกาและเมืองต่าง
ๆ บนเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมลายูตอนล่าง ต้ังแต่ใต้เขตลือฆอร์ลงไป (Ligor หรือ
ลกิ อร์ คอื นครศรธี รรมราช) ในเวลานนั้ มะละกาจงึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ลงั กาสกุ ะทงั้ อ�ำ นาจการปกครอง
และการเผยแผ่อิสลาม กระทั่งในที่สุด เกิดการเปล่ียนแปลงอำ�นาจคร้ังสำ�คัญ เมื่อมะละกา
ถกู กองทัพโปรตเุ กสบกุ เขา้ ยดึ ครองเมื่อปี 1511 (พ.ศ. 2054) ท�ำ ให้อยุธยาพยายามกลบั มา
มีอำ�นาจเหนือเมืองมลายูอ่ืน ๆ ที่โปรตุเกสไม่ได้ยึดครอง ทั้งนี้โปรตุเกสมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับอยุธยาโดยมีการตดิ ต่อสัมพันธท์ างการค้าและการทูตระหวา่ งกันในปี 1511 นั่นเอง จาก
นัน้ โปรตุเกสไดท้ �ำ การค้ากับปตานใี นปี 1516 (พ.ศ. 2059) ซงึ่ นับวา่ เปน็ ชาวยโุ รปชาตแิ รก
ทท่ี ำ�การคา้ กับปตานี
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 23
ภาพท่ี 25 แผนที่การขยายอำ�นาจของมะละกาบนคาบสมทุ รมลายูในตน้ ศตวรรษที่ 16 กอ่ น
ถกู โปรตเุ กสเขา้ ยึดครองเมอื่ ค.ศ.1511 (พ.ศ. 2054)
ทีม่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
ภาพที่ 26 แผนทีแ่ สดงเขตอ�ำ นาจของไทยบนคาบสมทุ รมลายูสมยั อยธุ ยาในกลางศตวรรษท่ี
16 และการสูญเสียอำ�นาจของมะละกาหลังโปรตุเกสเขา้ ยึดครอง
ทีม่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
24
24 รายวชิ าท่ี 1 ประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาพที่ 27 แผนที่แสดงเขตอำ�นาจของไทยบนคาบสมทุ รมลายใู นสมยั กรุงธนบุรหี ลังเสียกรงุ
ศรอี ยุธยาแกพ่ มา่ ครัง้ ที่สอง
ท่ีมา : Muhammad Lazuardi (2020)
สำ�หรับไทยในเวลานั้น ผลของการพ่ายแพ้สงครามกับพม่าในปลายสมัยอยุธยาในปี
1767 (พ.ศ. 2310) ท�ำ ใหเ้ มอื งทางใตแ้ ละหวั เมอื งมลายขู องไทย เชน่ ชมุ พร ไชยา นครศรธี รรมราช
พัทลงุ สงขลา ปัตตานี ฯลฯ พากันแขง็ เมือง ในปี 1769 (พ.ศ. 2312) สมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบุรี
พรอ้ มด้วยเจ้าพระยาจักรี (มะหะหมดุ ) มุสลิมเช้อื สายเปอร์เชีย ผู้เป็นเหลนของสุลตา่ นสไุ ลมาน
อดีตเจ้าเมืองสงขลา นำ�กำ�ลังทัพเรือลงไปปราบปรามเมืองต่าง ๆ กลับคืนมาได้ เว้นแต่เมือง
ปัตตานี เนื่องจากมีศึกทางเหนือติดพันอยู่ จึงต้องนำ�กำ�ลังไปช่วยทำ�ศึกทางเหนือก่อน ล่วงมา
ถงึ ต้นสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ระหว่างปี 1784-1785 (พ.ศ. 2327-2328) พมา่ เตรียมก�ำ ลงั ทัพนับ
แสนคนท่ีเรยี กว่าสงครามเก้าทพั เขา้ ยดึ เมืองตา่ ง ๆ ของไทยต้งั แต่เหนือสุดถึงใต้สดุ ตั้งแตเ่ มอื ง
ชมุ พร ลงไปจนถงึ เมอื งสงขลา รวมทง้ั หวั เมอื งฝง่ั ตะวนั ตกคอื ตะกว่ั ปา่ และถลาง กองทพั พมา่ สว่ น
หนงึ่ ไดล้ งไปตง้ั คา่ ยเพอ่ื บกุ เขา้ ตเี มอื งถลาง แตช่ าวถลางน�ำ โดยทา่ นผหู้ ญงิ จนั คณุ มกุ และบคุ คล
สำ�คัญอีก 7 ทา่ น ได้ช่วยกันรวบรวมไพร่พล และน�ำ ก�ำ ลงั เข้าตอ่ สู้จนกองกองทพั พม่าแตกพา่ ย
ไป ส่วนเมอื งอ่ืน ๆ ทพ่ี มา่ บุกเขา้ ยดึ ได้น้นั ในปี 1785 ทัพหลวงน�ำ โดยสมเดจ็ พระบวรราชเจา้
มหาสุรสิงหนาถน�ำ ก�ำ ลังเข้าต่อสู้กบั พมา่ จนไดช้ ัยชนะ ส่วนทางใต้ หลงั จากทัพหลวงได้นำ�ทพั
เรือเข้าตพี ม่าทเ่ี มอื งไชยาไดแ้ ลว้ จึงน�ำ กำ�ลังเขา้ ตเี มอื งปตั ตานที ่ีแข็งเมอื งไดส้ ำ�เรจ็ ทำ�ให้หัว
เมอื งมลายอู กี สองเมืองคอื กลันตนั และตรงั กานู ยอมอ่อนนอ้ มเป็นเมอื งขึน้ ของไทย
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ิศาสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 25
การเปลย่ี นแปลงของภูมิภาคและผลกระทบจากยคุ ล่าอาณานิคม
กล่าวกันว่าความแตกต่างกันระหว่างจีน-อินเดีย กับยุโรปชาติตะวันตก คือ การมา
ถึงของจีนและอินเดียเป็นไปด้วยความสันติ ไม่แสดงความปรารถนามาแย่งชิงยึดครองดินแดน
จะมีก็เพียงการฝากร่องรอยอารยธรรมและการเผยแพร่ศาสนา หรืออย่างมากเพียงเพ่ือสำ�แดง
สถานะในฐานะพใ่ี หญอ่ ยา่ งจนี ทเ่ี รยี กวา่ “จม้ิ กอง” เพอื่ การเจรญิ ทางพระราชไมตรดี ว้ ยการถวาย
เคร่ืองราชบรรณาการ หากทว่าในยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ท้ังชาติโปรตุเกส สเปน
ดตั ช์ อังกฤษ ฝรัง่ เศส อเมริกา รวมถึงชาติตะวันออก คอื ญ่ีปุน่ ต่างหมนุ เวยี นเข้ามามบี ทบาท
ในแถบคาบสมุทรมลายู ส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงต่อภูมิภาคมากมาย แตกต่างโดยส้ินเชิง
กับบทบาทของประเทศจีน ซ่ึงแม้จะแผ่อิทธิพลสู่พื้นที่คาบสมุทรมลายู แต่ก็เป็นไปในลักษณะ
รฐั บรรณาการหรอื จม้ิ กอ้ ง ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปเพอ่ื การยดึ ครองดนิ แดนหรอื มาก�ำ หนดเสน้ พรมแดนแบง่
ประเทศ ขณะท่ี ชาตติ ะวนั ตกเขา้ มาเพอ่ื แสวงหาทรพั ยากร แยง่ ชงิ กอบโกยผลประโยชนแ์ ละ
ยึดครองดินแดนเปน็ อาณานิคม (Colony) หรืออยา่ งน้อยก็ท�ำ ให้รัฐนอ้ ยใหญ่ ตกเปน็ รฐั ใน
อารกั ขา (Protected State) ของชาตติ ะวนั ตก หลายรฐั ตกอยใู่ นสภาวะจ�ำ ยอมแตห่ ลงั จาก
น้นั กไ็ ดต้ อ่ สดู้ นิ้ รนขดั ขืน และตอ้ งใช้เวลานานนบั ศตวรรษกว่าจะไดอ้ สิ รภาพกลบั คนื มา
โปรตเุ กส สเปน และดตั ช์ เป็นชาวตะวันตกกลมุ่ แรก ๆ ทเ่ี ข้ามายังภมู ิภาคเอเชยี ตะวัน
ออกเฉียงใต้และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาค โดยโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรก
ทเี่ ดินทางเข้ามาสแู่ ผ่นดนิ สวุ รรณภูมิ และต่อมาไดเ้ ขา้ ยึดมะละกาในปี 1511 (พ.ศ. 2054) โดย
การนำ�ของ อลั ฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก (Alfonso de Albuquerque) อุปราชประจำ�ภูมภิ าค
ตะวนั ออกของโปรตเุ กส หลงั จากนน้ั จึงไดเ้ ปน็ ผู้สำ�เรจ็ ราชการเมอื งมะละกา แลว้ คอ่ ย ๆ ขยาย
อาณาเขตไปปกครองดินแดนอน่ื ๆ ตอ่ ไป เมอื่ ถึงปี 1641 (พ.ศ. 2184) ดัตช์หรอื ฮอลนั ดาไดเ้ ขา้
ยดึ ครองมะละกาแทนโปรตเุ กส และหลงั จากน้นั องั กฤษกไ็ ด้ปกครองมะละกาแทนดัตชใ์ นเวลา
ต่อมา
ภาพที่ 28 ป้อมปราการ เอ ฟาโมซา (A’Famosa) ของโปรตุเกสหลังเข้ายึดครองมะละกา
(ภาพโดย ชมุ ศกั ด์ิ นรารัตนว์ งศ)์
26
26 รายวชิ าท่ี 1 ประวัติศาสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ภาพที่ 29 แผนที่เขตแดนของไทยกบั รัฐมลายกู อ่ นการท�ำ สนธิสัญญา
Anglo-Siamese Treaty 1909
ทม่ี า : Muhammad Lazuardi (2020)
การเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคเริ่มจาก 1511 (พ.ศ. 2054) โปรตุเกสใช้กองกำ�ลังยึด
ครองมะละกา สรา้ งป้อมปราการปอ้ งกนั เมอื ง ปี 1512 (พ.ศ. 2055) โปรตุเกสนำ�ศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิกเข้าสู่เกาะติมอร์ ยึดครองติมอร์ตะวันออกเป็นอาณานิคม ปี 1571 (พ.ศ.
2114) สเปนยึดฟลิ ปิ ปินส์เปน็ อาณานคิ ม ปี 1602 (พ.ศ. 2145) ฮอลนั ดาเร่มิ ตน้ เขา้ มาปกครอง
อินโดนีเซียในฐานะอาณานคิ ม ปี 1641 (พ.ศ. 2184) ฮอลันดาขับไลโ่ ปรตุเกสแลว้ เข้ายดึ ครอง
มะละกา
ปี 1824 (พ.ศ. 2367) อังกฤษปกครองมะละกาเป็นอาณานิคมต่อจากฮอลนั ดา ตาม
สนธิสญั ญาแองโกล-ดัตช์ หรือสนธสิ ญั ญาองั กฤษ-ฮอลแลนด์ รวม มะละกา ปีนัง และสงิ คโปร์
เข้าเป็นหนว่ ยปกครองเดยี วกนั เรียกว่า “นิคมช่องแคบ” (The Straits Settlements) แยก
ออกไปจากสหพนั ธรฐั มาลายา ปี 1899 (พ.ศ. 2442) สหรฐั อเมรกิ าเขา้ ยดึ ครองฟลิ ปิ ปนิ สแ์ ทนท่ี
สเปน
ภาพที่ 30 แผนที่เขตแดนของไทยกบั รฐั มลายูหลงั การท�ำ สนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty
1909
ทีม่ า : Muhammad Lazuardi (2020)
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 27
ส�ำ หรบั ประเทศไทยนน้ั รบั รไู้ ดถ้ งึ ทา่ ทที ไี่ มน่ า่ ไวว้ างใจขององั กฤษตอ่ หวั เมอื งมลายแู ละ
แผนการขยายอาณานคิ มขององั กฤษบนแหลมมลายู รวมทง้ั สญั ญาลบั ทอี่ าจกระทบตอ่ อธปิ ไตย
ของไทยเหนือดินแดนคาบสมุทรมลายูที่อังกฤษทำ�ไว้กับไทยปี 1897 (พ.ศ. 2440) ทำ�ให้ไทย
ต้องทำ�สัญญาเขตแดนกับอังกฤษในปี 1909 (พ.ศ. 2452) โดยไทยยกสิทธิการปกครอง
และอำ�นาจบงั คบั บัญชาเหนือดินแดนกลันตัน ตรังกานู ไทรบรุ ี ปะลิส และเกาะใกลเ้ คยี งให้
แก่องั กฤษ ตามสนธสิ ัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 ต่อมาในปี 1942 (พ.ศ. 2485)
ญปี่ ุน่ บุกแหลมมลายยู ดึ บริติชมาลายา (มาลายาของบริเตน) ไดจ้ ากอังกฤษ ญป่ี ่นุ จึงคืน 4 รฐั
มลายูให้ไทย หลังจากท่ีไทยเสีย 4 รัฐมลายูให้แก่อังกฤษตามสนธิสัญญาปี 1909 แต่อีกเพียง
3 ปีต่อมาคอื ปี 1945 (พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพส้ งคราม เม่อื สงครามโลกครั้งท่ี 2 ปิดฉาก
ลง อ�ำ นาจของญี่ปุ่นเหนือดนิ แดนคาบสมุทรมลายกู ็ส้นิ สุดลง
ภาพที่ 31 แผนที่เขตแดนประเทศไทยกบั มาเลเซยี และประเทศเพอ่ื นบ้านทส่ี ืบเนอ่ื งจากยุค
อาณานคิ มมาถงึ ปจั จุบัน
ท่มี า : Muhammad Lazuardi (2020)
ระบบอาณานิคมโดยลทั ธจิ ักรวรรดินิยม (Colonialism/Imperialism) ของชาติตะวัน
ตก มีผลเป็นอย่างมากต่อความเปล่ียนแปลงอำ�นาจการปกครอง การเผยแพร่ศาสนาและการ
เปล่ียนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมบนคาบสมุทรมลายู เกิดการเคล่ือนย้ายผู้คน เปลี่ยนแปลง
กฎระเบยี บ และเกิดผลกระทบอยา่ งมีนยั สำ�คญั ต่อการเมืองการปกครองของภูมิภาค การด�ำ รง
วิถีชีวิตและวิถีวัฒนธรรมของประชาชน รวมท้ังส่งผลต่อพื้นท่ีในอำ�นาจปกครองและเขตแดน
ประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สำ�หรับประเทศไทยในช่วงเวลาคับขัน
เชน่ นนั้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงไดด้ �ำ เนนิ พระราโชบายทางการทตู กบั
28
28 รายวชิ าที่ 1 ประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
ประเทศมหาอ�ำ นาจอนื่ อยา่ งเตม็ พระปรชี าสามารถ เพอ่ื ประโยชนต์ อ่ ฐานะทางการเมอื งของ
ประเทศ โดยเฉพาะกบั รสั เซยี ซงึ่ เปน็ พนั ธมติ รกบั ฝรงั่ เศสและองั กฤษ จนกระทง่ั สามารถโนม้
นา้ วให้มงกุฎราชกุมารนิโคลัสเสด็จประพาสประเทศสยาม และพำ�นักในกรงุ สยามระหวา่ งวันท่ี
20-25 มนี าคม 1891 (พ.ศ. 2434) แมว้ ่าก่อนหนา้ น้ันองั กฤษพยายามใหข้ า่ วว่า “สยามได้เกิด
โรคระบาดของอหิวาตกโรค” ท�ำ ให้ราชสำ�นักรัสเซยี ระงบั แผนการเสดจ็ ประพาสสยามไประยะ
หนง่ึ รวมทัง้ การเสดจ็ ประพาสยโุ รปครั้งท่ี 2 ของพระองค์ ในปี 1897 (พ.ศ. 2440) เรมิ่ ตน้ เมอ่ื
วันท่ี 7 เมษายน โดยมีเป้าหมายการเยือน 12 ประเทศ ในระยะเวลา 9 เดือน เพอ่ื แสดงตวั ตน
ของราชอาณาจกั รสยามให้ชาติตะวันตกได้รบั รู้ โดยเฉพาะการเยอื นรสั เซียนั้น พระองคท์ รงมุง่
หวงั มากทสี่ ดุ เพราะพระเจา้ ซารน์ โิ คลสั ท่ี 2 นนั้ เคยเสดจ็ เยอื นสยามตงั้ แตเ่ มอื่ ครงั้ เปน็ มงกฎุ ราช
กมุ ารดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ในการเยอื นครงั้ นน้ั ภาพการฉายพระรปู ของพระองคก์ บั พระเจา้ ซารน์ ิ
โคลสั ทพ่ี ระราชวงั ปเี ตอรฮ์ อฟเผยแพรไ่ ปทวั่ ยโุ รป พรอ้ มกบั ขอ้ ความ “สยามเปน็ ประเทศทก่ี �ำ ลงั
พัฒนาหาใช่เป็นประเทศล้าหลังไม่ มหาประเทศจะอาศัยเป็นมูลเหตุเข้ายึดครองมิได้” นับ
วา่ การสง่ สญั ญาณดงั กลา่ วบงั เกดิ ผลอยา่ งมหาศาลแกร่ าชอาณาจกั รสยามในเวลานนั้ ถงึ กระนน้ั
กต็ าม แมว้ า่ ไทยจะสามารถรกั ษาพระราชอาณาเขตสว่ นใหญไ่ วไ้ ด้ แตย่ งั คงตอ้ งท�ำ สนธสิ ญั ญากบั
ฝรง่ั เศสอกี หลายครง้ั ท�ำ ใหไ้ ทยเสยี สทิ ธแิ ละอ�ำ นาจบงั คบั บญั ชาทม่ี มี าแลว้ กอ่ นหนา้ นน้ั เพม่ิ ขน้ึ อกี
ไดแ้ ก่ ดนิ แดนฝง่ั ขวาแมน่ �้ำ โขงตรงขา้ มหลวงพระบางไปในปี 1903 (พ.ศ. 2446) และเสยี มณฑล
บรู พา (จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ) ในปี 1906 (พ.ศ. 2449) รวมท้งั ฝรั่งเศสได้
เขยี นแผนทร่ี ะหวา่ งพนมดงรกั ซึง่ เปน็ พรมแดนระหวา่ งไทยกบั กัมพชู าขน้ึ ใหม่ ยงั ผลใหไ้ ทยแพ้
คดีตามคำ�พพิ ากษาของศาลโลกและสญู เสยี เขาพระวิหารใหแ้ กก่ ัมพูชาในปี 1962 (พ.ศ. 2505)
เปน็ ท่ีทราบกนั ดีว่าพระมหากษัตรยิ ์ไทยทกุ พระองค์ ต้ังแตส่ มยั สโุ ขทัยเป็นตน้ มา ทรง
ด�ำ เนนิ การทกุ วถิ ที างเพอื่ ขยายพระราชอ�ำ นาจ และรกั ษาพระราชอาณาเขต และอ�ำ นาจอธปิ ไตย
เหนือดินแดนที่ไทยมีสิทธิและอำ�นาจบังคับบัญชาในแต่ละยุคสมัย ล่วงมาถึงยุคจักรวรรดินิยม
(Imperialism) ชาติตะวันตกได้ด�ำ เนนิ นโยบายแสวงหาอาณานิคม (Colonialism) ในทกุ ทวีป
ไทยตอ้ งด�ำ เนนิ การทกุ วถิ ที างใหร้ อดพน้ จากการตกเปน็ อาณานคิ มของชาตติ ะวนั ตก และมคี วาม
จ�ำ เปน็ ตอ้ งท�ำ สนธสิ ญั ญาเขตแดนกบั ชาตมิ หาอ�ำ นาจ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ กบั ฝรงั่ เศสและองั กฤษที่
มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ไทยอยใู่ นเวลานนั้ แมว้ า่ ไทยเปน็ เพยี งประเทศเดยี วในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และ
เปน็ หนง่ึ ในสามประเทศของเอเชยี ทไ่ี มไ่ ดต้ กเปน็ อาณานคิ มโดยตรงในชว่ งเวลานนั้ แตก่ ไ็ ดร้ บั ผล
กระทบจากประเทศมหาอ�ำ นาจในการท�ำ สนธสิ ญั ญาหลายฉบบั และการสญู เสยี สทิ ธแิ ละอ�ำ นาจ
อธปิ ไตยเหนอื ดนิ แดนตา่ ง ๆ หลายครง้ั รวมทง้ั ผลตอ่ เนอ่ื งกรณพี น้ื ท่ี “ปตานี หรอื ปาตาน”ี ทอ่ี ยู่
ในการปกครองของไทยซึ่งมีประชากรชาวไทยเชื้อสายมลายูอยู่เป็นจำ�นวนมาก ขณะเดียวกัน
ส่ีรัฐมลายูท่ีเคยอยู่ในอำ�นาจการปกครองของไทยท่ีมีประชากรชาวมาเลเซียเช้ือสายไทยอยู่
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 29
เป็นจำ�นวนมากเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศ คือไทยกับมาเลเซีย ได้ดำ�เนินนโยบาย
พหชุ าตพิ นั ธุ์ (Multiracial Nation) ยงั ผลใหป้ ระชากรทงั้ สองกลมุ่ ดงั กลา่ วมสี ถานะเปน็ พลเมอื ง
ของแตล่ ะประเทศโดยสมบรู ณ์ รวมทงั้ ไดร้ บั สทิ ธเิ สรภี าพตามทกี่ �ำ หนดไวร้ ฐั ธรรมนญู ของประเทศ
ทั้งสอง และมสี ว่ นรว่ มอยา่ งส�ำ คญั ในการพัฒนาประเทศต่อเน่ืองมาถึงปัจจบุ นั
30
30 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
บทท่ี 2
ประวัติศาสตร์สามจงั หวัดชายแดนภาคใต้
บทน�ำ
อาณาบรเิ วณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปตั ตานี ยะลา และนราธิวาสในอดีต ได้
ปรากฏชอ่ื “ปตาน”ี หรอื “ปาตาน”ี (Patani,Patane) ในฐานะและบทบาททเี่ ปน็ เมอื งทา่ การ
ค้าทางทะเลร่วมสมัยกับอยุธยาและมะละกา มีพื้นท่ีและขอบเขตอำ�นาจครอบคลุมสามจังหวัด
ดังกลา่ ว และไดป้ รากฏในหลกั ฐานฝา่ ยมลายูคือ Pengantar Sejarah Patani ว่าในบางชว่ ง
เวลาปตานไี ดข้ ยายอ�ำ นาจครอบคลมุ ไปถงึ กลนั ตนั สงขลา พทั ลงุ และนครศรธี รรมราช (Ahmad
Fathy al-Fatani, 1994: 26-27) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปตานกี บั ไทยหรอื สยาม หากเรม่ิ นบั จาก
สมัยสุโขทัยต่อเน่ืองถึงสมัยอยุธยา เป็นความสัมพันธ์เชิงอำ�นาจ โดยยังไม่ปรากฏเรื่องเขตแดน
และการปกครองที่ชัดเจน หลักฐานส่วนหนึ่งปรากฏจากการทำ�ศึกสงครามระหว่างพระเจ้า
กรุงสยาม (สุโขทัย) กับรัฐมลายู ซึ่งได้มีการตีความหลักฐานผ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำ�แหง
วา่ สุโขทยั ขณะมีอาณาเขตทางใตแ้ ผข่ ยายไปไกลถึงนครศรธี รรมราชตลอดจนถงึ คาบสมทุ ร
มลาย ู มกี ารวิพากษ์ว่าข้อสันนษิ ฐานนต้ี ้งั อยบู่ นพืน้ ฐานของแนวคดิ ชาตนิ ยิ มในยคุ สมยั แห่งการ
ชำ�ระและรวบรวมประวัติศาสตร์แห่งชาติของสยาม ซึ่งขณะน้ันกำ�ลังเผชิญกับแรงกดดันจาก
ชาติมหาอำ�นาจและนักล่าอาณานิคม แตก่ ็มหี ลกั ฐานทแี่ สดงถึงอ�ำ นาจของสยามแผ่ขยายไปถึง
ดินแดนมลายูสนับสนุน ทัง้ เอกสารฝา่ ยไทย เอกสารจีน เอกสารจากชาติตะวนั ตก และเอกสาร
มลาย ู ซง่ึ ได้ระบุถึงช่วงเวลาทกี่ ษัตรยิ ส์ ยามแหง่ กรงุ สโุ ขทยั ได้ทำ�ศึกสงครามบรเิ วณทางใต้ จน
กระทง่ั รฐั มลายูต้องรอ้ งเรียนไปยังราชสำ�นักจนี ในปี 1295 (พ.ศ. 1838) เพอื่ ขอความคุม้ ครอง
จากพระเจา้ กรงุ จีนต่อการขยายอำ�นาจของกษัตรยิ ์สยาม (Paul Michel Munoz, 2006: 171-
175) เหตกุ ารณน์ ี้เกดิ ขึ้นในรชั สมยั พ่อขุนรามค�ำ แหงมหาราช (ครองราชย์ พ.ศ. 1822-1842)
ลว่ งมาถึงสมัยอยุธยาตอนต้น อำ�นาจของสยามกย็ ังด�ำ รงอยู่ เปน็ เหตผุ ลหน่งึ ท่ที ำ�ใหพ้ ระเจา้ กรงุ
จนี สง่ั ใหแ้ มท่ พั เจง้ิ เหอน�ำ กองเรอื เปา่ ฉวนเขา้ ไปเทยี บทา่ ราชอาณาจกั รอยธุ ยาเมอ่ื ปี 1408 (พ.ศ.
1951) เพอ่ื เจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั สยามและหารอื เรอ่ื งอ�ำ นาจของสยามกบั เมอื งมลายใู นขณะนนั้
ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับเมืองมลายู โดยเฉพาะเตมาเส็ก (สิงคโปร์ในปัจจุบัน)
มะละกา และปตานีในสมยั อยธุ ยา ปรากฏใน Sejarah Melayu หรอื พงศาวดารมลายู ซง่ึ
ไดใ้ หข้ อ้ มลู วา่ “เจา้ ชายปรเมศวรไดน้ �ำ ก�ำ ลงั จากเกาะสมุ าตราแลว้ มาตงั้ เมอื งทเ่ี ตมาเสก็ โดย
เขาไดส้ งั หารหวั หนา้ ชาวทอ้ งถน่ิ ทสี่ วามภิ กั ดติ์ อ่ อยธุ ยา” ซงึ่ เปน็ หลกั ฐานยนื ยนั วา่ เตมาเสก็ ใน
ขณะนั้น มอี ำ�นาจจากอยุธยาลงไปควบคมุ บงั คับบัญชาแลว้ ตอ่ มาในปี 1390 (พ.ศ. 1933) เจ้า
ชายปรเมศวรถูกกองทัพสยามขับไล่จนต้องถอยหนีไปยังสถานท่ีใกล้ปากแม่น้ำ�แห่งหนึ่งซึ่งต่อ
มาคอื เมอื งมะละกา ในเวลาตอ่ มากองทพั สยามยงั ตอ้ งน�ำ ก�ำ ลงั ไปปราบปรามมะละกาอกี ถงึ สอง
รายวชิ า ที่ 1 ประวัต ศิ าสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 31
ครงั้ สำ�หรับปตานนี ั้น ความสมั พนั ธ์กบั สยามในระยะตน้ สมัยอยธุ ยานี้ ตรงกบั รัชสมัยของพระ
มหาธรรมราชาที่ 2 (พ.ศ. 1911-1942) ซึ่งพระองคท์ รงมีพระสนมผู้หนงึ่ เปน็ ธดิ าของมุขมนตรี
ปตานี (ขณะนน้ั คอื เมอื งโกตามหลฆิ ยั : ผเู้ ขยี น) ซง่ึ ตอ่ มาปรากฏวา่ พระธดิ าอนั เกดิ จากพระสนม
ชาวปตานนี นั้ ไดส้ มรสกบั ผปู้ กครองเตมาเสก็ และผปู้ กครองเตมาเสก็ ผนู้ นี้ เ่ี องทไ่ี ดร้ ว่ มกบั มขุ มน
ตรีปตานขี บั ไล่เจ้าชายปรเมศวรออกไปจากเตมาเสก็ ในเวลาตอ่ มา
ภาพที่ 32 แผนทแ่ี สดงการขยายอ�ำ นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายใู นสมยั สโุ ขทัย
ทม่ี า: Paul Michel Munoz (2006: 173)
หากพิจารณาตามช่วงเวลาของเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น เมืองท่ีใช้ช่ือว่า “ปตานี” เป็น
เมอื งท่ีปรากฏสมัยหลังสโุ ขทัยไปแล้ว คือชว่ งราวปี 1469 (พ.ศ. 2012) แต่การกล่าวถึง ปตานี
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่าอาจปรากฎเมืองในชื่ออื่นที่แตกต่างออกไปท่ีอาจเป็น
เมืองเก่าดั้งเดิมท่ีกษัตริย์ปตานีได้ถือเป็นรัฐสืบทอดต่อมา นั่นคือเมือง “โกตามหลิฆัย” เมื่อ
พิจารณาจากการสืบสายโลหติ กษตั รยิ แ์ หง่ โกตามหลฆิ ยั แล้ว “ราชวงศศ์ รวี ังสา” เปน็ ราชวงศ์
32
32 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จังหวดั ชายแดนภาคใต้
ท้ายสุดก่อนมาจนถึงช่วงก่อตั้งปตานี ข้อมูลน้ีปรากฏในเอกสารที่สอดรับกันทั้งฝ่ายไทยและ
มลายู ดังน้ัน ราชวงศ์ศรีวังสาจึงเป็นปฐมเช้ือพระวงศ์แห่งปตานีอย่างแท้จริง เนื่องด้วย
พญาอินทิรา หรือ สุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ กษัตริย์พระองค์แรกของปตานีน้ันสืบเช้ือสายมา
แต่พญาตูกุรุปมหาจันทรา กษัตริย์แห่งโกตามหลิฆัย และพระองค์ก็ทรงสืบเชื้อสายโลหิตอีก
ชั้นหน่ึงมาจากพระยาฤทธิเทวา (เจศรีสุตตรา) ซ่ึงตามเอกสารที่นักวิชาการประวัติศาสตร์
ไทยอ้างถึงนั้นระบุว่า พระยาฤทธิเทวาเป็นผู้ท่ีถูกแต่งตั้งขึ้นโดยพระพนมวังแห่งเมืองนครดอน
พระ (คอื เมอื งนครศรธี รรมราชในปจั จุบนั : ผู้เขยี น) ใหไ้ ปปกครองโกตามหลิฆยั และเมอื งนคร
ดอนพระมีสถานะข้ึนแก่อาณาจักรละโว้-อโยธยา (อนันต์ วัฒนานิกร, 2531) ทำ�ให้สรุปได้ว่า
ปตานีหรือโกตามหลิฆยั ในสมยั นั้น เป็นเมืองท่ขี น้ึ ต่อเมืองนครดอนพระทภ่ี าคใต้ตอนกลาง และ
ขึ้นต่ออาณาจักรละโว้–อโยธยาในภาคกลางอีกทอดหน่ึงด้วย อีกท้ังพระฤทธิเทวาพระองค์
น้ี เคยได้นำ�ชาวเมืองโกตามหลิฆัยไปช่วยพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี1) สร้าง
พระนครศรอี ยธุ ยาระหว่างปี 1347-1350 (พ.ศ. 1890-1893) อกี ด้วย
หลักฐานอ่ืน ๆ เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสยามในยุคสุโขทัยกับปตานีหรือโกตา
มหลิฆัยในสมัยน้ัน ย้อนไปได้ไกลกว่ายุคสมัยการครองราชย์ของพระยาฤทธิเทวา แม้จะเป็น
เอกสารทถี่ กู เรยี บเรยี งขน้ึ มาในชนั้ หลงั และไมม่ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั อาณาจกั รสโุ ขทยั โดยตรง อาทิ
ตำ�นานเมืองนครศรธี รรมราชและตำ�นานพระธาตุเมืองนครศรธี รรมราช ไดร้ ะบุถงึ เมืองสิบสอง
นกั ษตั รที่ส่งบรรณาการแก่เมอื งนครศรีธรรมราช โดยระบถุ งึ เมืองตานี สายบุรี กลันตนั และ
ปาหัง ว่า เป็นเมืองบริวารในสิบสองนักษัตรนี้ด้วย ชาวเมืองมลายูเหล่าน้ีในขณะน้ันถูกระบุ
ว่านับถือศาสนาพุทธ ต้องส่งบรรณาการเพื่อไปบรรจุลงในพระธาตุเมืองนคร แต่ในเวลาต่อมา
เมืองเหล่าน้ีได้หันมานับถือศาสนาอิสลามในช่วงเวลาเดียวกับที่อาณาจักรมะละกาข้ึนมาเรือง
อำ�นาจ ด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับเมืองตานีหรือ ปตานีเป็น
ลักษณะเมืองบริวารดังกล่าว ทำ�ให้เม่ือนครศรีธรรมราชตกเป็นเมืองข้ึนของสุโขทัยในปี 1294
(พ.ศ. 1837) หัวเมืองมลายูดังกล่าวตกอยู่ในพระราชอาณาเขตของไทย ดังที่ปรากฏข้อความ
ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำ�แหงว่าท่ีระบุถึงอาณาเขตของสุโขทัยว่า “… มีเมืองกว้างช้างหลาย
ปราบเบ้ืองตะวันออกรอดสรลวง สองแคว ลมบาจาย สคาเทา้ ฝ่ังของเถียงเวยี งจนั ทน์เวียง
ค�ำ เป็นทีแ่ ล้ว...เบ้ืองหวั นอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรณณภมู ิ ราชบูรี เพชร(บ)ู รี ศรี
ธรรมราช ฝ่งั ทะเลสมทุ รเปน็ ทแี่ ลว้ เบ้อื งตะวันตกรอดเมอื งฉอด เมอื ง…น หงษาวดี สมุทร
หาเป็นแดน เบือ้ งตนี นอนรอดเมืองแพร่ เมืองม่าน เมอื งน…เมืองพลัวพน้ ฝั่งของ เมืองชวา
เปน็ ทแี่ ลว้ …” ซงึ่ อธบิ ายไดว้ า่ เมอื งนครศรธี รรมราช รวมถงึ เมอื งมลายบู นคาบสมทุ รภายใตก้ าร
ปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช ท้ัง 4 เมืองดังกล่าวและเมืองอื่น ๆ ตลอดไปจนสุดปลาย
คาบสมทุ ร เปน็ เมอื งในอำ�นาจของอาณาจกั รสโุ ขทยั ในสมยั พอ่ ขุนรามค�ำ แหง ในประเด็นซง่ึ เคย
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 33
เปน็ ขอ้ ถกเถยี งเรอ่ื งอ�ำ นาจของไทยบนคาบสมทุ รมลายใู นสมยั สโุ ขทยั ตอ่ เนอ่ื งถงึ สมยั อยธุ ยาเปน็
จริงหรอื ไมแ่ ละมีหลักฐานอยา่ งไร ปรากฏในเอกสารรายงานการวิจยั เรื่อง Early Kingdoms
of the Indonesian Archipelago and the Malay Peninsula ของนักวชิ าการประจ�ำ
สถาบนั วจิ ยั แหง่ เชยี (Asian Research Institute) มหาวทิ ยาลยั แหง่ ชาตสิ งิ คโปร์ กลา่ วถงึ อ�ำ นาจ
การปกครองบนคาบสมทุ รมลายูไปจนถึง Temasek ในช่วงเวลานั้นว่า “อย่ภู ายใต้การควบคุม
ของไทย” (Under Thai Control) (Paul Michel Munoz, 2006: 196-197)
ภาพท่ี 33 แผนท่ีแสดงเขตอำ�นาจของไทยบนคาบสมุทรมลายูตน้ สมยั อยธุ ยา
ทม่ี า: Paul Michel Munoz (2006: 197)
กลา่ วไดว้ า่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสยามกบั หวั เมอื งมลายสู มยั สโุ ขทยั และตน้ สมยั อยธุ ยา
เป็นความสมั พันธ์เชิงอำ�นาจผ่านเมอื งนครศรธี รรมราช เช่นเดยี วกับความสมั พนั ธข์ องรฐั ต่าง ๆ
บนคาบสมุทรมลายูที่มีมาก่อนหน้านั้น สถานะเชิงอำ�นาจของปตานีกับสยามมีลักษณะรูปแบบ
เป็นอย่างไรไม่มีคำ�อธิบายท่ียืนยันชัดเจน เน่ืองจากปตานีสืบทอดอำ�นาจต่อมาจากลังกาสุกะ
เพราะปตานียังไม่ถูกสถาปนาขนึ้ จนกระทงั่ ปี 1469 (พ.ศ. 2012) ท้งั นีเ้ ปน็ ไปได้วา่ ความสมั พันธ์
ระหว่างเมืองดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะข้ึนตรงอย่างหลวม ๆ สลับไปมากับความ
สัมพันธ์แบบแนบแน่น และในบางยุคบางสมัยอาจไม่ขึ้นต่อกันตามบริบทของความสัมพันธ์
ระหวา่ งผนู้ �ำ ทตี่ า่ งกม็ อี �ำ นาจกนั ทง้ั สองฝา่ ย ขนึ้ อยกู่ บั แตล่ ะชว่ งเวลาวา่ ใครเขม้ แขง็ และมอี �ำ นาจ
มากกวา่ กนั หรือต่างฝา่ ยตา่ งมีอ�ำ นาจและไมข่ ้ึนตอ่ กันนนั่ เอง
สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางการเมืองของภูมิภาคในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง
น้ัน พิจารณาความสัมพันธ์เชิงอำ�นาจได้จากการแสดงความสวามิภักดิ์ การเป็นปฏิปักษ์ หรือ
34
34 รายวชิ าท่ี 1 ประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นอิสระระหว่างกันในกรณีที่กำ�ลังกล่าวถึงนี้คือปตานี (ขณะนั้นคือโกตามหลิฆัย) กับเมือง
นครศรีธรรมราช-สุโขทัย และต่อมากับนครศรีธรรมราช-ละโว้-อยุธยา ซ่ึงเป็นที่แน่ชัดว่าการ
จดั การปกครองโดยตรงต่อเมอื งบริวารเหล่านีค้ งเปน็ ไปได้ยาก เพราะความหา่ งไกลจากอำ�นาจ
การปกครองในเมืองหลวง จึงมักทำ�ไดเ้ พียงการวางก�ำ ลงั ไวใ้ ห้ปรากฏหรือการแตง่ ตั้งคนท้องถน่ิ
ที่ไว้วางใจได้ให้ท�ำ หน้าท่ี “ต่างพระเนตรพระกรรณ” ดังน้ัน ปตานี (โกตามหลฆิ ยั ) ในสมยั น้นั
จงึ มอี สิ ระในตวั เองอยพู่ อสมควรในการบรหิ ารจดั การและการปกครอง แมว้ า่ กษตั รยิ ป์ ตานขี ณะ
นัน้ ยังไม่ไดเ้ ข้ารับนบั ถืออิสลามเหมอื นเมืองมลายอู ่ืนทแี่ วดลอ้ มและมอี �ำ นาจอยู่ อาทิ มะละกา
ปาไซ และอาเจะห์ แต่ต่อมาจะเห็นได้ว่าสภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอก เป็นตัวเร่งให้ผู้
ปกครองแหง่ ราชวงศศ์ รวี งั สาจ�ำ เปน็ ตอ้ งปรบั ตวั และปรบั เมอื งใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงโดยรอบ
โดยการย้ายเมืองใหม่จากโกตามหลิฆัยที่ตั้งอยู่ในดินแดนตอนใน มาต้ังเมืองใหม่ริมหาดทราย
ชายทะเลและเปลย่ี นชอื่ เมอื งใหมเ่ ปน็ ปตานี รวมถงึ การเขา้ รบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามของพญา
อนิ ทริ าและต่อมาได้เปลยี่ นพระนามใหมอ่ ย่างอาหรับ เปน็ สลุ ตา่ น อิสมาอีล ชาห์ อยา่ งไร
กด็ ี ส่งิ ท่ีสืบเนอื่ งมาไดต้ ลอดแมว้ ่าจะมีความขัดแยง้ แยง่ ชิงอำ�นาจภายในราชสำ�นกั ปตานีบ้างใน
บางชว่ งบางตอน คอื การทร่ี าชวงศศ์ รวี งั สายงั สบื สานสายโลหติ ปกครองเมอื งปตานสี บื ตอ่ มา จน
กระทงั่ ถงึ กาลลม่ สลายของราชวงศน์ ห้ี ลงั จากการสละอ�ำ นาจของรายากนู งิ ใหแ้ กร่ าชวงศก์ ลนั ตนั
โดยผเู้ ขียน (ครองชยั หัตถา, 2541) พบข้อมูลเก่ียวกบั ราชวงศ์ศรีวงั สาปรากฏในเอกสารมลายู
ตน้ ฉบบั อกั ขระยาวี ทมี่ ผี เู้ กบ็ รกั ษาไวท้ ห่ี มบู่ า้ นแหง่ หนงึ่ ทเี่ คยเปน็ ทา่ เรอื เกา่ แกท่ ป่ี ตั ตานี (ขอสงวน
นามตามค�ำ รอ้ งขอของเจา้ ของเอกสาร) หนงั สอื โบราณเลม่ นใี้ หข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั ราชวงศศ์ รวี งั สาที่
สอดคลอ้ งกบั ต�ำ นานเมอื งไทรบรุ แี ละขอ้ มลู อนื่ ๆ อกี หลายแหลง่ ยนื ยนั ถงึ ความเขม้ แขง็ และการ
เส่อื มอำ�นาจของปตานีทเี่ ชื่อมโยงผกผนั กับอำ�นาจการปกครองของไทยตลอดมา
ภาพที่ 34 ภาพสเุ หรา่ อาวห์ หรือมัสยิดอาโห ศาสนสถานในอสิ ลามสมัยลังกาสกุ ะตอนปลาย
ทต่ี ำ�บลมะนัง อ�ำ เภอยะหรง่ิ จงั หวดั ปัตตานี (วาดโดย ดร.นิพนธ์ นกิ าจ)ิ
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 35
(1) (2)
ภาพท่ี 35 หนังสอื ประวตั ิศาสตรป์ ตานีต้นฉบับภาษามลายอู กั ขระยาวี (1)
แสดงผังวงศ์วานราชวงศศ์ รีวงั สา (2)
(ภาพถ่ายโดย ครองชัย หัตถา)
ภาพที่ 36 ภาพผู้เขยี นกบั ผนู้ ำ�ชุมชนท่ีสสุ านพญาอินทิรา ตำ�บลบาราโหม อ�ำ เภอเมอื ง จังหวัด
ปตั ตานี (ภาพจาก ครองชัย หตั ถา ถ่ายเมอื่ ปี 1996)
ความสมั พันธ์ระหวา่ งอยุธยากับปตานีในชว่ งต้น
สถานภาพความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับปตานีในช่วงต้นนั้น ปรากฏหลักฐานท้ัง
36
36 รายวชิ าที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
ฝ่ายไทยและมลายู สำ�หรับเหตุการณ์ท่ีเป็นท่ีรู้จักมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง คือ สุลต่านปตานี
พระองค์ท่ี 2 สุลต่านมูซัฟฟัร ชาห์ ได้เข้ายึดราชบัลลังก์พระมหาจักรพรรดิไว้ได้ชั่วคราว
ในปี 1549 (พ.ศ. 2092) หลกั ฐานฝ่ายไทยและปตานใี หข้ อ้ มูลสอดคลอ้ งกนั คอื การกลา่ วถึง
การน�ำ ก�ำ ลงั พลโดยเรอื ยาหยบั 200 ล�ำ จากปตานี น�ำ โดย “พระยาตานศี รสี รุ ยิ ตา่ น” (พระนาม
ตามเอกสารฝา่ ยไทย) เพ่ือช่วยอยธุ ยารบกับพมา่ ในสงครามชา้ งเผือกในสมยั พระมหาจักรพรรดิ
กองเรอื เหลา่ น้นั เมอ่ื มาถึงอยธุ ยา ไดท้ อดสมออยู่หน้าวัดมงกุฏบางกะจะ ครั้นต่อมารงุ่ เชา้ ไดม้ า
ทอดสมออยู่ ณ ประตชู ยั แตป่ รากฏวา่ หลงั จากนน้ั สลุ ตา่ นปตานกี ลบั ล�ำ เปน็ กบฏ ยกก�ำ ลงั ทหาร
ปตานีเข้ายึดพระราชวัง ทำ�ให้กษัตริย์สยามและข้าราชบริพารต้องถอยหนีลงเรือไปยังเกาะ
มหาพราหมณ์ เหตุการณ์วุ่นวายเหล่าน้ียุติลงเมื่อขุนนางและกำ�ลังพลของสยามช่วยกันขับไล่
ฆ่าฟันทหารปตานีจนแตกพ่ายลงเรือหนีออกไปจากอยุธยากลับสู่ปตานี (กรมศิลปากร, 2537)
ทง้ั นเี้ อกสารฝงั่ ไทยไดใ้ หร้ ายละเอยี ดเหตกุ ารณแ์ ละผลสบื เนอ่ื งจากเหตกุ ารณค์ รงั้ นนั้ เพยี งเทา่ นี้
ขณะทเ่ี อกสารมลายูคอื Hikayat Patani (Teeuw and Wyatt, 1970) ให้รายละเอียดถงึ
มลู เหตุปจั จยั ท่ที �ำ ใหส้ ลุ ตา่ น มูซฟั ฟัร ชาห์ แห่งปตานีกระทำ�การตอ่ กษัตรยิ ส์ ยาม เอกสารช้ินน้ี
ระบุว่าพระองค์เคยเสด็จไปเยือนอยุธยามาก่อนหน้าน้ันแล้ว 1 ครั้ง เหตุเพราะ พระราชวงศ์
อยธุ ยาและปตานนี ้นั เกยี่ วดองกันเป็นเครอื ญาติ และพระองคต์ อ้ งการรกั ษามิตรภาพท่ดี ีเชน่
นไี้ ว้ เม่อื ไปถึงกษัตริย์อยุธยาไดต้ อ้ นรบั คณะจากปตานอี ยา่ งดี และทรงจัดทป่ี ระทบั ไวใ้ กล้ประตู
พระราชวัง โดยสุลต่านปตานีได้ประทับอยู่ที่อยุธยานานถึง 2 เดือน เม่ือถึงเวลาเดินทางกลับ
ปตานี กษตั รยิ ส์ ยามไดม้ อบก�ำ ลงั พลซง่ึ เปน็ เชลยชาวพะโคและลา้ นชา้ งกลบั ไปดว้ ย ตอ่ มาปรากฏ
ว่าเม่ือสุลต่านมูซัฟฟัร ชาห์และพระราชอนุชา (ต่อมาคือสุลต่าน มันโซร์ ซาห์) เดินทางไปยัง
อยุธยาอีกคร้ัง พระองค์ได้สมคบกับพระราชอนุชาทำ�การกบฏยึดพระราชวังและฆ่าฟันทหาร
รกั ษาวงั เสยี สน้ิ ภายหลงั ฝา่ ยทหารสยามไดท้ �ำ การโตก้ ลบั และโจมตอี ยา่ งรนุ แรง สลุ ตา่ นปตานไี ด้
รบั บาดเจบ็ ทแี่ ขน พระองคจ์ งึ ใหพ้ ระราชอนชุ าน�ำ ก�ำ ลงั ทเี่ หลอื กลบั ปตานี สว่ นพระองคน์ นั้ จะยงั
ขอสรู้ บตอ่ ไป บนั ทกึ นจ้ี บเพยี งวา่ เมอื่ พระราชอนชุ าไดน้ �ำ ก�ำ ลงั ชาวปตานลี งเรอื กลบั ไปแลว้ กไ็ ม่
ทราบขา่ วคราวเกย่ี วกบั สลุ ตา่ นมซู ฟั ฟรั ชาห์ อกี เลย เขา้ ใจวา่ ทรงสน้ิ พระชนมท์ อ่ี ยธุ ยาในการศกึ
ครง้ั นน้ี เ่ี อง (Teeuw and Wyatt, 1970) จากนน้ั เมอื่ พระชายาของสลุ ตา่ นมซู ฟั ฟรั ชาห์ ประสตู ร
พระราชโอรสจงึ ไดร้ บั พระนามวา่ “ปาติค สยาม” (Patik Siam) เพ่ือเปน็ การระลกึ ถึงสถานที่ที่
พระราชบิดาของเจา้ ชายทรงสิน้ พระชนมท์ อี่ ยุธยา หรือสยามประเทศในขณะนน้ั
Hikayat Patani ยงั ระบตุ อ่ ไปวา่ ขา่ วการสิน้ พระชนมข์ องสลุ ตา่ นมซู ฟั ฟรั ชาห์ และ
การสูญเสยี กำ�ลังพลนั้นเป็นทท่ี ราบกนั ทว่ั ไป ขณะท่ีก�ำ ลงั จากปตานีกำ�ลงั เดนิ ทางกลับน้นั ทาง
ด้านเมืองสาย (สายบุรี) อันเป็นเมืองหนึ่งในการปกครองของปตานีกำ�ลังเผชิญกับการรุกราน
จากกองทัพเรอื ยะโฮร์ ด้วยชว่ งเวลา ทปี่ ตานีมีความความวนุ่ วายเชน่ น้ี ไมเ่ ฉพาะแตย่ ะโฮร์
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 37
เมืองอื่น ๆ รวมทั้งปาเล็มบังก็ต้องการจะพิชิตเมืองปตานีให้ได้ เจ้าเมืองปาเล็มบังได้มอบ
หมายให้ กยายี บาดาร์ (Kiai Badar) แมท่ พั ปาเลม็ บงั เปน็ ผนู้ �ำ ในการท�ำ ศกึ สงครามระหวา่ งเมอื ง
มลายดู ว้ ยกนั เอง การสรู้ บครง้ั นชี้ าวปตานสี ามารถรกั ษาเมอื งไวไ้ ด้ แตต่ อ่ มากป็ รากฏวา่ เจา้ เมอื ง
ปาเลม็ บงั ยงั คงสง่ แมท่ พั ผอู้ นื่ มาอกี พรอ้ มก�ำ ลงั นบั หมน่ื นาย แมว้ า่ ปาเลม็ บงั ไมส่ ามารถพชิ ติ เมอื ง
ปตานลี งไดใ้ นระยะนนั้ แตก่ ท็ �ำ ใหป้ ตานจี �ำ เปน็ ตอ้ งหาพนั ธมติ รเพอ่ื เสรมิ ความแขง็ แกรง่ และเปน็
หลกั ประกนั ถงึ ความปลอดภยั ดว้ ยในอนาคต ดว้ ยการทอ่ี ยธุ ยากบั ปตานมี คี วามสมั พนั ธฉ์ นั ทเ์ ครอื
ญาติมาแต่เดิมกษัตริย์ปตานีพระองค์ต่อมา คือ สุลต่าน มันโซร์ ชาห์ จึงทรงมีพระประสงค์
จะกลับมาเจรญิ สัมพนั ธไมตรีกับอยุธยาดงั เก่าก่อน และพระองค์ไมป่ ระสงค์จะเปิดศกึ หลาย
ด้านทั้งจากอยุธยา ยะโฮร์ และปาเล็มบัง และเพื่อเป็นการฟ้ืนฟูมิตรภาพกับกษัตริย์อยุธยา
ขณะน้นั คือพระมหาธรรมราชา ในการนี้สุลตา่ นประสงค์จะผกู ไมตรกี ับอยุธยา จึงทรงแต่งตัง้ ให้
ชีค ซอฟยี ดุ ดนิ เปน็ ทตู แห่งปตานีและเปน็ ตัวแทนองคส์ ลุ ต่านด้วย ตลอดการเดนิ ทางไปเจริญ
สมั พนั ธไมตรที อ่ี ยธุ ยาเปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ยและกษตั รยิ อ์ ยธุ ยากท็ รงพอพระทยั มาก ดงั นนั้
ในรชั สมัยของสุลต่าน มันโซร์ ชาห์ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสยามและปตานเี ปน็ ไปดว้ ยความราบ
ร่นื ตลอดรัชสมยั ของพระองค์
ทง้ั นย้ี งั ปรากฏเหตกุ ารณท์ สี่ �ำ คญั อกี เหตกุ ารณห์ นง่ึ กอ่ นหนา้ นนั้ ซง่ึ ไมป่ รากฏในเอกสาร
ฝา่ ยไทย แตก่ ลา่ วไวเ้ อกสารทอ้ งถน่ิ ปตานี คอื ต�ำ นานเจา้ เมอื งกอตอ ตน้ ฉบบั ภาษามลายอู กั ขระ
ยาวี เขียนโดย Abdulrouf Binmuhammad Dagang Aggung หรอื ชอื่ ทรี่ จู้ ักกันแพร่
หลายคือ มฮู ำ�หมดั ดาแฆ ได้กล่าวถึงสงครามระหว่างสยามกบั มะละกาในปี 1445 (พ.ศ. 1988)
(อ.บางนรา, 2555 ผแู้ ปล) โดยเอกสารดงั กลา่ วระบวุ า่ สยามไดม้ บี ญั ชาใหป้ ตานจี ดั สง่ ก�ำ ลงั เข้า
รว่ มกบั กองทัพสยามไปท�ำ ศกึ กับเมืองมะละกา ฝา่ ยปตานไี ดจ้ ัดก�ำ ลงั ตามคำ�ขอ แตเ่ มือ่ ถงึ เมือง
มะละกาฝ่ายปตานีไม่อยากสู้รบกับมะละกาเพราะเห็นว่าเป็นมลายูด้วยกันจึงแสร้งทำ�เป็นสู้รบ
พอเป็นพิธเี พือ่ ตบตาสยามเท่านั้น การสู้รบคร้ังน้ันกองทัพสยามไมส่ ามารถเข้ายดึ เมืองมะละกา
ไดส้ ำ�เร็จจึงยกทพั กลับ ในปีต่อมา คอื ในปี 1446 (พ.ศ. 1989) สยามยกทัพใหญไ่ ปตมี ะละกา
อีกคร้ัง และมีบัญชาให้ปตานีส่งกำ�ลังไปร่วมรบด้วย ครั้งน้ีมีรายามูดอ เจ้าเมืองกอตอนำ�กำ�ลัง
จ�ำ นวน 100 คนเขา้ ร่วมสมทบกบั กองทพั สยาม เมอ่ื เดนิ ทางถงึ มะละกา การปะทะสรู้ บเกดิ ขน้ึ
ท่ี Batu Pahat ครง้ั น้ีฝา่ ยรายามดู อเขา้ ข้างมะละกาอย่างเปดิ เผย ยังผลใหท้ พั สยามไมส่ ามารถ
เอาชนะมะละกาไดเ้ ปน็ ครงั้ ที่ 2 จงึ ถอยทพั กลบั ไป ความพา่ ยแพข้ องสยามในการสรู้ บกบั มะละกา
ตดิ ตอ่ กนั ถงึ 2 ครง้ั ท�ำ ใหห้ ลงั จากนน้ั ไมป่ รากฏวา่ สยามสง่ ก�ำ ลงั ไปสรู้ บกบั มะละกาอกี จนกระทงั่
เขา้ สสู่ มยั จกั รวรรดนิ ยิ ม ชาตติ ะวนั ตกชาตแิ รกคอื โปรตเุ กสเขา้ มาแสวงหาผลประโยชนใ์ นภมู ภิ าค
นี้ ทำ�ใหใ้ นปี 1511 (พ.ศ. 2054) มะละกาถกู โปรตเุ กสเขา้ ยึดครองเป็นอาณานคิ มแรกของเอเชยี
ตะวันออกเฉยี งใตไ้ ปในทส่ี ุด
38
38 รายวชิ าที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จังหวดั ชายแดนภาคใต้
การเข้าร่วมกับกองทัพสยามและการแสดงออกของปาตานีในการสู้รบกับมะละกาท้ัง
สองคร้ัง เกดิ ขน้ึ ในรชั สมยั พระบรมราชาท่ี 2 (เจา้ สามพระยา) ท�ำ ใหเ้ หน็ ถึงสถานะความสมั พนั ธ์
ระหว่างปัตตานีกบั อยุธยาและมะละกา ทงั้ ปตานแี ละมะละกามีสถานะเป็นเมอื งประเทศราช
ของสยามมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. 1893-1911) โดยเมืองทั้งสองต้องส่ง
เคร่ืองราชบรรณาการและดอกไม้ทอง หรือบุหงามัส (bunga mas) ทุก 3 ปีต่อคร้ัง จนเมื่อ
โปรตเุ กสเขา้ ยดึ ครองมะละกาไดส้ �ำ เรจ็ ในปี 1511 (พ.ศ. 2054) ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำ นาจระหวา่ ง
มะละกากับอยุธยาก็ยุติลง โดยโปรตุเกสเข้ามามีอำ�นาจแทน และโปรตุเกสก็ได้เริ่มต้นความ
สัมพันธ์ทางการทูตกับอยุธยาทันทีในปีเดียวกัน พร้อมกับเตรียมการขยายอิทธิพลทางการค้า
ขึ้นมายังทางตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู กษัตริย์อยุธยาขณะนั้นคือพระรามาธิบดีท่ี 2
(ครองราชย์ ปีพ.ศ. 2034-2072) ทรงไม่ถือเป็นเร่ืองขัดแย้งบาดหมางกับโปรตุเกสท่ียึด
ครองมะละกา ท้ังน้ีเพราะว่ามะละกาได้กระทำ�ตนแข็งขืนไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของ
กรุงศรอี ยุธยาอยู่แลว้ พระองคท์ รงให้โปรตุเกสเขา้ มาตั้งสถานีการคา้ ที่ปตานี นครศรีธรรมราช
มะรดิ และตะนาวศรี ซงึ่ เปน็ เมอื งทอ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจของอยธุ ยา ขณะทปี่ ตานใี นชว่ งเวลานนั้ ไดแ้ สดง
ความต้องการมอี ำ�นาจและตอ้ งการเปน็ อิสระจากอยุธยา ดงั ตัวอย่างเหตุการณป์ ี 1549 สุลต่าน
พระองคท์ ่ี 2 ของปตานีคอื สุลตา่ นมซู ัฟฟัร ชาห์ นำ�กำ�ลงั ไปชว่ ยอยุธยาเพอื่ เตรยี มทำ�ศกึ กับพม่า
แตก่ ลบั บกุ เขา้ ยดึ พระราชวงั ของกษตั รยิ อ์ ยธุ ยาทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ หลงั จากนน้ั ปตานไี ดก้ ระท�ำ การ
แขง็ เมอื งในรชั สมยั ตอ่ มาอกี หลายครงั้ สลบั กบั การยอมรบั อ�ำ นาจตามบรบิ ทแวดลอ้ มในแตล่ ะยคุ
สมยั
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลท่ีปรากฏในตำ�นานเจ้าเมืองกอตอแล้ว พบว่าสงครามสยาม-
มะละกาทงั้ 2 คร้ังในรชั สมยั พระบรมราชาที่ 2 แห่งอยุธยา ตรงกับรัชสมัยพญากุรปุ มหาจนั ทรา
พระราชบดิ าของพญาอินทริ า ผู้เป็นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งปตานี ตำ�นานทอ้ งถิน่ ปตานฉี บับนี้สะท้อน
ถึงความสัมพันธ์เชิงอำ�นาจของสยามท่ีมีต่อ ปตานีและมะละกาในขณะน้ัน เม่ือสยามไม่อาจ
เอาชนะมะละกาได้ ท�ำ ใหใ้ นเวลาตอ่ มามะละกาไดข้ ยายอ�ำ นาจเขา้ ปกครองเมอื งมลายอู นื่ ๆ
สยามได้สญู เสยี อำ�นาจเหนอื เมอื งไทรบรุ ี ปาหัง และกลนั ตันใหแ้ ก่ มะละกา สำ�หรบั ปตานี
นั้น ในปี 1455 (พ.ศ. 1998) มะละกาไดส้ ง่ กองทพั มาโจมตตี ัง้ แต่เมอ่ื ครั้งเมอื งปตานียงั ตั้ง
อย่ทู ่ีโกตามหลฆิ ัย และโจมตคี ร้ังท่ี 2 ในปี 1460 (พ.ศ. 2003) ในทสี่ ุดปตานตี กอยใู่ นอ�ำ นาจ
ของมะละกา ทำ�ให้สยามสญู เสยี อ�ำ นาจทีม่ ีต่อปตานใี หแ้ ก่มะละกาไปอกี เมอื ง ขณะท่ีอ�ำ นาจ
ของสยามทางใตก้ ำ�ลังสูญเสียใหก้ ับมะละกาน้นั โปรตเุ กสไดเ้ ขา้ ยึดครองมะละกา อยธุ ยากต็ อ้ ง
รบั มอื กบั กองทพั พมา่ ในทส่ี ดุ อยธุ ยากเ็ สยี แกพ่ มา่ ในปี 1569 (พ.ศ. 2112) ตรงกบั รชั สมยั สลุ ตา่ น
มนั โซร์ ชาหเ์ ปน็ กษัตรยิ ์ปตานี (ปี 1564-1572/พ.ศ. 2107-2115) ความสมั พนั ธ์และการติดต่อ
กันระหว่างปตานีกบั อยุธยาจงึ ขาดหายไปอกี ระยะหนึ่ง
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 39
Hikayat Patani ระบตุ อ่ มาวา่ ภายหลงั การสนิ้ พระชนมข์ องสลุ ตา่ นมนั โชร์ ชาห์ ในปี
1572 (พ.ศ. 2115) เจา้ ชายปาตกิ สยามไดร้ บั การสถาปนาเปน็ สลุ ตา่ นพระองคต์ อ่ ไป แตเ่ นอื่ งจาก
ยังมีพระชันษาเยาว์วัย บรรดาขุนนางปตานีจึงแต่งตั้งสิตีอาอิชะฮ์จากเมืองสายบุรีเป็นผู้สำ�เร็จ
ราชการแทนพระองค์ ตอ่ มารายามมั บงั อนั เปน็ บตุ รเกดิ จากมารดาสนมของสลุ ตา่ นมซู ฟั ฟรั ชาห์
ถูกยุแยงจากขุนนางผู้หนึ่งจนนำ�ไปสู่การคิดชิงเอาพระราชบัลลังก์ปตานีมาเป็นของพระองค์
ดังนั้นเมื่อสบโอกาส รายามัมบังจึงปลงพระชนม์สุลต่านปาติคสยามด้วยกริชประจำ�พระองค์
แตใ่ นทา้ ยทส่ี ดุ รายามมั บงั พรอ้ มกบั พระมารดาสนมกถ็ กู สงั หารดว้ ยหอกโดยขนุ นางผนู้ นั้ บรรดา
มุขมนตรีจึงประชุมหารือและแต่งต้ังให้สุลต่านบาฮาดู ชาห์ สืบราชสมบัติต่อมา แต่สุดท้าย
ชะตากรรมของสุลต่านบาฮาดู ชาหก์ ็ไม่ต่างกบั พระองค์ก่อน ๆ ในตระกูลศรวี ังสา เม่อื พระองค์
ถูกลอบปลงพระชนมใ์ นเวลาต่อมาดว้ ยการสมคบคดิ แย่งพระราชบังลงั กโ์ ดยรายาบมี า จากการ
ยุยงของขุนนางชื่อศรีอามาร์ ปาละวัน อย่างไรก็ดี รายาบีมาก็ไม่มีโอกาสได้สืบราชสมบัติเป็น
สลุ ตา่ นพระองคต์ อ่ ไป เพราะถกู ฆา่ ตายเสยี โดยน�ำ้ มอื ของศรอี ารม์ า ปาละวนั นนั่ เอง เมอื่ พระราช
บลั ลงั กป์ ตานวี า่ งเวน้ จากเชอ้ื พระวงศท์ เี่ ปน็ ผชู้ าย บรรดามขุ มนตรี ปตานจี งึ ตดั สนิ ใจอญั เชญิ พระ
ราชธดิ าของสลุ ตา่ นบาฮาดู ชาห์ สืบราชสมบัตแิ ทน นค่ี อื จุดเรม่ิ ตน้ ของรัชสมยั 4 รายาสตรแี ห่ง
ปตานที เี่ ขา้ สยู่ คุ รงุ่ เรอื ง มชี อื่ เสยี งทางการคา้ และการตา่ งประเทศมาก จนเปน็ ทกี่ ลา่ วถงึ วา่ ปตานี
เปน็ ศนู ยก์ ลางการค้าและเป็นเมืองทา่ ท่ียงิ่ ใหญ่ของภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ในเวลาน้ัน
ภาพท่ี 37 เอกสารฮอลนั ดาบันทึกเรือ่ งราวเกย่ี วกบั ปตานแี ละสยาม
โดย Pieter Vander Aa เม่อื ปี 1707
(ภาพส�ำ เนาเอกสารตน้ ฉบบั จากห้องสมดุ สยามสมาคม กรุงเทพมหานคร)
40
40 รายวิชาท่ี 1 ประวัติศาสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ปตานใี นรชั สมยั 4 กษตั ริยา
เม่อื รายาฮีเยาพระราชธดิ าองคโ์ ตของสลุ ตา่ น บาฮาดรู ์ ชาห์ ขึน้ ครองราชย์ พระองค์
ถกู เรยี กพระนามแบบสยาม วา่ “พระเจา้ ” เชน่ เดยี วกบั สติ อี าอชิ ะฮผ์ สู้ �ำ เรจ็ ราชการแทนสลุ ตา่ น
ปาตคิ สยามกอ่ นหนา้ นน้ั ทงั้ นคี้ �ำ วา่ “พระเจา้ ” หรอื “นางเจา้ หญงิ ” อนั เปน็ ค�ำ ในภาษาไทยนน้ั
มีความเป็นไปได้ว่าเป็นคำ�พระราชทานจากกษัตริย์อยุธยา หรือไม่ก็เป็นการเรียกตำ�แหน่งนำ�
หนา้ นแี้ บบไทยอยา่ งกรุงศรีอยธุ ยาและหวั เมอื งอ่นื ๆ ในเวลานัน้ กรณปี ตานีนน้ั สยามมไิ ดเ้ ขา้
มาแทรกแซงการปกครองโดยตรง เพราะอำ�นาจในการตัดสนิ ใจทูลเชญิ วา่ ผู้ใดเหมาะสมกับราช
บลั ลังก์น้ันเปน็ สิทธิข์ องเหลา่ บรรดามุขมนตรีปตานี Hikayat Patani ระบวุ ่าในระยะแรก การ
ครองราชย์ของรายาฮีเยาไม่ได้ราบร่ืนนัก พระองค์ถูกทดสอบโดยการพยายามยึดอำ�นาจของ
เบนดาฮาราสาย (Bendahara Sai) ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ขนุ นางชนั้ ผใู้ หญแ่ หง่ ปตานี เทยี บไดก้ บั อคั ร
เสนาบดี แตต่ อ่ มาเขากไ็ ดเ้ ลกิ ลม้ ความตงั้ ใจนนั้ เสยี ในสมยั การครองราชยข์ องรายาสตรพี ระองค์
แรกนี้ เปน็ ชว่ งทปี่ ตานไี ดท้ �ำ การคา้ ขายกบั ชาวตา่ งประเทศโดยเฉพาะยโุ รปและเอเชยี อยา่ งคบั คง่ั
อาทิ การค้ากับญ่ีปุ่น เริ่มในปี 1592 (พ.ศ. 2135) ฮอลนั ดา เร่ิมในปี 1602 (พ.ศ. 2145) สเปน
เริม่ ในปี 1605 (พ.ศ. 2148) อังกฤษ เริ่มในปี 1612 (พ.ศ. 2155) ความสมั พนั ธท์ างการทูต
ระหว่างปตานีกับชาตติ า่ ง ๆ โดยเฉพาะญี่ป่นุ น้ันนับว่าแนน่ แฟ้นอย่างยิ่ง ส�ำ หรบั ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งปตานกี ับสยามในชว่ งต้นรัชกาลนับวา่ เปน็ ไปอย่างสงบสขุ การเรยี กขานพระนามในชอ่ื
สยามวา่ “พระนางเจา้ หญงิ ” หรือ “นาจาเย็ง” ในส�ำ เนยี งมลายูนนั้ บ่งบอกถึงการยอมรับ
ความสัมพนั ธก์ บั สยามในเชิงอำ�นาจ แมว้ า่ จะไม่ได้ถูกปกครองจากสยามโดยตรงก็ตาม
ทางฝ่ายสยามหลงั จากเสียกรงุ ศรอี ยธุ ยาแก่พม่าในปี 1569 (พ.ศ. 2112) การปกครอง
เมอื งตา่ ง ๆ ทเี่ คยอยใู่ นอ�ำ นาจออ่ นแอลงไปมาก ในสมยั สมเดจ็ พระนเรศวร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
สยามและปตานไี ดม้ าถงึ จดุ ตงึ เครยี ดอกี ครง้ั ในปี 1603 (พ.ศ. 2146) กองทพั สยามน�ำ โดยออกญา
เดโชได้กรีฑาทัพมาเพ่ือทำ�ศึกกับปตานี ในการศึกคร้ังน้ันกองทัพปตานีได้สู้รบอย่างเต็มที่ โดย
เฉพาะการใชป้ นื ใหญร่ ะดมยงิ ใสท่ หารชาวสยาม เปน็ ผลใหก้ องทพั สยามไมส่ ามารถเอาชนะกอง
ทพั ปตานไี ด้ อกี ทง้ั ยงั ปรากฎการชว่ ยเหลอื จากพอ่ คา้ ตา่ งชาตทิ ต่ี อ้ งการปกปอ้ งผลประโยชนข์ อง
ตนในปตานี ทา้ ยท่สี ดุ กองทัพสยามไดย้ กทพั กลบั ไปและเกิดการเจรจาไมตรรี ะหวา่ งกันในเวลา
ต่อมา พระเจ้าแผน่ ดินสยามสนพระทยั การใชป้ นื ใหญใ่ นการสงคราม ไมก่ ่ปี ีตอ่ มาพระองคไ์ ดส้ ่ง
ราชทตู มายงั เมอื งปตานเี พอื่ ขอซอ้ื ปนื ใหญเ่ พราะปตั ตานใี นระยะนนั้ เปน็ ตลาดการคา้ ของพอ่ คา้
จากหลากหลายชาตแิ ละเปน็ ศูนย์กลางการซอื้ ขายอาวธุ ต่าง ๆ รวมท้งั ปนื ใหญ่ แม้แตจ่ กั รพรรดิ
ญ่ีปุ่นกท็ รงบญั ชาให้ โชกุนอเิ อะยะสุ โทะกงุ าวะเป็นผสู้ ่ังซอื้ ปืนและอาวุธต่างๆจากปตั ตานี
(Ibrahim Syukri,1985) ในสมยั รายาฮเี ยา ปตานมี คี วามเขม้ แขง็ และเจรญิ รงุ่ เรอื งทางการคา้ และ
บา้ นเมอื งสงบสขุ หลงั มคี วามสมั พนั ธท์ ดี่ กี บั สยาม เมอ่ื พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตนน้ั ราษฎรเศรา้ โศก
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 41