เสยี ใจมากและเรียกขานนามพระนางเมือ่ ส้นิ พระชนม์วา่ “มรหุ่มต�ำ มะหงง” ซึง่ หมายถงึ ผ้ทู รง
ความย่งิ ใหญ่ทไ่ี ด้ล่วงลบั ไป
รายาสตรีพระองค์ต่อมาที่ได้รับการสถาปนาจากบรรดาขุนนางคือ รายาบีรู พระองค์
ครองราชยใ์ นปี 1616 (พ.ศ. 2159) เปน็ ตน้ มา และไดพ้ ยายามสรา้ งพนั ธมติ รระหวา่ งเมอื งมลายู
ดว้ ยกนั เอง อาทิ การอภเิ ษกสมรสระหวา่ งขนษิ ฐาของพระองคค์ อื รายาองู ู กบั สลุ ตา่ นแหง่ ปาหงั
ต่อมาพระธิดาของรายาอูงกู บั สลุ ตา่ นปาหัง พระนามวา่ รายากูนงิ ได้อภิเษกสมรสกบั ออกญา
เดโช ขุนนางมุสลิมสยามเชื้อสายจาม บุตรเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช รวมไปถึงความพยายาม
รวมตัวเป็นพันธมิตรกันระหว่างเมืองปตานีและกลันตันเน่ืองจากเป็นบ้านพ่ีเมืองน้องกัน ความ
พยายามของพระองคส์ ำ�เรจ็ ในปี 1619 (พ.ศ. 2162) เม่ือสุลตา่ นแห่งกลนั ตันตกลงพระทยั ดว้ ย
การกระทำ�เช่นน้ีได้กลับกลายเป็นส่งผลร้ายมากกว่าผลดีต่อราชวงศ์ศรีวังสาและเมืองปตานีดัง
จะกลา่ วตอ่ ไป สว่ นการอภเิ ษกสมรสระหวา่ งรายากนู งิ กบั ออกญาเดโชเปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
สยามและปตานที ไี่ มแ่ ตกตา่ งกบั รชั กาลของรายาสตรอี งคแ์ รกมากนกั เนอื่ งจากรายาบรี ยู งั คงใช้
พระนามอย่างสยามวา่ “พระนางเจา้ ” จงึ อนมุ านได้ว่าความสมั พนั ธใ์ นช่วงนย้ี ังไม่เปล่ยี นแปลง
ไปเทา่ ใดนกั แตด่ ว้ ยความตอ้ งการของมขุ มนตรี ขนุ นาง และกลมุ่ ชนชนั้ ปกครองแหง่ ปตานสี ว่ น
หนง่ึ ทตี่ อ้ งการอ�ำ นาจของตนเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาดจากสยาม ปตานจี งึ ตระเตรยี มก�ำ ลงั เพอ่ื ขดั ขนื และ
ขจดั อ�ำ นาจของสยามออกไป ซึ่งปรากฏเดน่ ชัดตลอดรชั สมยั ของรายาปตานพี ระองคต์ ่อมา
เมือ่ รายาบีรูสิน้ พระชนม์ในปี 1624 (พ.ศ. 2167) พระขนษิ ฐาพระองค์เล็ก บตุ รสี ดุ ท้อง
ของสลุ ตา่ นบาฮาดรู ์ ชาห์ คอื รายาองู ู ทรงขึ้นครองราชยส์ ืบต่อมา Hikayat Patani บันทึก
ไว้ชัดเจนว่า รายาสตรีพระองค์ใหม่น้ีชาวเมืองไม่เรียกขานพระนามพระองค์ว่า “พระนาง
เจา้ ” ในชือ่ สยามอกี ต่อไป แต่เรียกขานพระนามพระองคแ์ บบมลายวู า่ “ปากูตาชะห์อาลาม”
รายาอูงูทรงเข้ารับการอภิเษกสมรสกับสุลต่าน ปาหัง ตลอดรัชสมัยของรายาพระองค์น้ีเต็ม
ไปด้วยสงครามอันขับเคี่ยวกับอยุธยาและเมืองใกล้เคียง อาทิ นครศรีธรรมราช สงขลา และ
พัทลุง ในปี 1630 (พ.ศ. 2173) ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา
รายาองู ูไดบ้ ัญชาใหก้ องทพั ปตานชี ิงเปิดฉากบกุ โจมตเี มอื งนครศรธี รรมราชและพัทลงุ เพ่อื
ตัดกำ�ลังกองทพั สยามท่กี ำ�ลงั จะยกมารวมกับก�ำ ลงั ของทง้ั 2 เมืองนี้ ตอ่ มาในปี 1632 (พ.ศ.
2175) กองทัพจากยะโฮร์ได้เข้ามาสมทบกับกองทัพปตานี และสามารถต่อสู้ป้องกันเมืองจาก
สงครามกับสยามคร้ังใหม่ได้อย่างทันท่วงที เม่ือกองทัพสยามได้ยกทัพกลับไปแล้ว พิธีอภิเษก
สมรสระหว่างเจ้าหญิงกูนิงบุตรีของรายาอูงูกับเจ้าชายแห่งยะโฮร์จึงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต ใน
ปีถัดมาแม้กองทัพสยามจะพยายามเข้ามาตีปตานีอีกก็ไม่ประสบผลสำ�เร็จ แม้จะได้รับการ
ช่วยเหลือจากฮอลันดา แต่เพราะความเข้มแข็งของกองกำ�ลังปตานีและพันธมิตร คือ ปาหัง
กลนั ตนั และยะโฮร์นั้นยากเกนิ กว่าสยามจะมชี ัยชนะไดโ้ ดยง่าย ตามหลักฐานจากบนั ทกึ ของ
42
42 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
ฟาน ฟลีต ชาวฮอลันดา เขยี นไว้ว่าสยามมกี �ำ ลงั พลมากถงึ 50,000 คน แต่เพราะขาดความกลา้
หาญและการจดั การกองทพั ทไ่ี มด่ พี อจงึ พา่ ยศกึ ไปเสยี อยา่ งไรกต็ ามปรากฏวา่ อยธุ ยาไดส้ ง่ ก�ำ ลงั
พลมาอกี หมายจะพชิ ติ ปตานอี กี ครง้ั แตด่ ว้ ยความพยายามท�ำ การไกลเ่ กลยี่ ของคณะสงฆจ์ าก
ไทรบรุ ที ปี่ ระสงคจ์ ะยตุ สิ งครามระหวา่ งสยามและปตานี ทา้ ยทสี่ ดุ สนั ตภิ าพจงึ เกดิ ขนึ้ ชวั่ คราว
ต่อมารายาอูงูทรงประชวรและส้ินพระชนม์ ในปี 1635 (พ.ศ. 2178) ชาวเมืองเรียกพระนาม
หลังส้ินพระชนม์ว่า “มรหุ่มปาหัง” เนื่องจากพระสวามีของพระองค์คือสุลต่านแห่งปาหัง
เม่ือตำ�แหน่งรายาปตานีว่างลง บรรดาขุนนางปตานีได้เลือกพระราชธิดาของพระองค์
คือรายากูนิงอันเกิดกับสุลต่านปาหังข้ึนเป็นรายาสตรีพระองค์ใหม่ ราษฎรปตานีกลับมาเรียก
พระนามพระองคว์ า่ “พระนางเจา้ ” ในค�ำ สยามดงั เดมิ สอดคลอ้ งกบั สภาพความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
สยามกบั ปตานใี นยุคของพระองค์น้นั เรมิ่ โน้มเอยี งไปในทศิ ทางทดี่ ีขึ้น ในปี 1635 (พ.ศ. 2178)
พระเจ้าปราสาททองกษัตริยแ์ หง่ สยามได้ส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับปตานี และปตี ่อมา
ราชทูตจากปตานีจึงเดินทางไปอยธุ ยาเพือ่ เป็นการเยือนตอบ พรอ้ มดว้ ยดอกไม้เงนิ ดอกไม้ทอง
ในปี 1641 (พ.ศ. 2184) รายากูนิงได้เสดจ็ เยือนอยุธยาดว้ ยพระองคเ์ อง เพือ่ ฟนื้ ฟูสันติภาพ
กบั สยาม หลงั จากนนั้ เปน็ ตน้ มาสยามและปตานจี งึ ไมม่ สี งครามระหวา่ งกนั รายากนู งิ สมรสครง้ั
แรกกบั ออกญารามเดโช แตต่ อ่ มาไดส้ มรสกบั ยงั ดิ เปอตวู นั บอื ซาร์ เจา้ ชายแหง่ เมอื งยะโฮร์ การ
แตง่ งานทง้ั สองครงั้ ของพระองค์ ลว้ นมที มี่ าจากเหตผุ ลทางการเมอื งของภมู ภิ าคปตานใี นเวลานนั้
ทง้ั นเ้ี มอ่ื พจิ ารณาความสมั พนั ธโ์ ดยภาพรวมระหวา่ งอยธุ ยาและปตานสี มยั 4 รายาสตรี
จากบนั ทกึ ของชาวตา่ งประเทศเกยี่ วกบั เหตกุ ารณส์ มยั อยธุ ยา อาทิ จดหมายเหตฟุ าน ฟลตี หรอื
วัน วลติ (Jeremais van Vliet) ปี 1640 (พ.ศ. 2183) วัน วลิต เปน็ พ่อคา้ ชาวดัตช์ ซง่ึ เคยเปน็
ผอู้ �ำ นวยการสถานกี ารคา้ ของสยามและเคยเปน็ ผวู้ า่ ราชการเมอื งมะละกา และเขาไดเ้ ขยี นหนงั สอื
บนั ทกึ เกย่ี วกบั ประเทศสยามสมยั อยธุ ยาถงึ 5 เลม่ ไดม้ กี ารแปลเปน็ ภาษาไทย 2 ครงั้ ในปี 1943
และ 1947 (พ.ศ. 2477 และ 2490) ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารจดั พมิ พเ์ ผยแพรฉ่ บบั สมบรู ณค์ รบถว้ นทกุ เลม่
โดยกรมศลิ ปากร ในปี 1964 (พ.ศ. 2507) บันทึกของเขาได้ให้ขอ้ มูลตลอดจนถงึ รายละเอียดท่ี
นา่ รบั ฟงั อาทิ กลา่ วถงึ วา่ อาณาเขต ของสยามแผไ่ ปจรดถงึ เมอื งปตานแี ละมหาสมทุ รอนิ เดยี
ฟาน ฟลตี บนั ทกึ ไวว้ า่ เมอื งปตานนี น้ั เปน็ เมอื งขน้ึ ของสยามมาตง้ั แตโ่ บราณกาล โดยในทกุ ปตี อ้ ง
สง่ ดอกไมเ้ งนิ ดอกไมท้ องเปน็ บรรณาการเพอ่ื แสดงถงึ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ สยาม หากมศี กึ สงคราม
เกิดข้ึนปตานีจะต้องส่งทหารมาช่วยราชการสงครามในทัพสยาม บรรดาผู้ปกครองของเมือง
ปตานจี ะไดร้ ับพระราชทานยศ “พระนางเจา้ ” จากกษตั รยิ ส์ ยาม เขาจงึ เช่ือว่า กษัตรยิ ์สยาม
แห่งอยุธยามีสิทธ์ิในการปกครองเหนือปตานี เขายังให้รายละเอียดถึงต้นเหตุแห่ง
สงครามรบพงุ่ และความขดั แยง้ ระหวา่ งสยามกบั ปตานใี นสมยั รชั กาลของรายากนู งิ นน้ั เปน็ เพราะ
พระประสงคข์ องรายาองู ผู เู้ ปน็ พระมารดาของพระองค์ รวมไปถงึ ขนุ นางชนั้ ผใู้ หญข่ องปตานี อาทิ
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ิศาสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 43
ดาโตะ๊ บอื ซาร์ (Dato Besar) ปตานจี งึ ไดก้ อ่ กบฏขดั ขนื ไมย่ อมรบั อ�ำ นาจของสยาม กษตั รยิ ส์ ยาม
จึงตอ้ งท�ำ สงครามเพราะต้องการใหป้ ตานยี อมรับอ�ำ นาจของตนเหมอื นดงั เกา่ ก่อน น่าสนใจ
วา่ กองทพั สยามไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากกองเรอื ฮอลนั ดา เหตเุ พราะผสู้ �ำ เรจ็ ราชการและบรรดา
สมาชิกสภาท่ีปรึกษาอินเดียของฮอลันดาได้พิจารณาและตกลงยืนยันสิทธิว่า สยามมีอำ�นาจ
ปกครองเหนือเมอื งปตานีจรงิ สอดคลอ้ งกบั บันทกึ ของชาวฝรั่งเศส คอื มองซิเออร์ ลา ลูแบร์
เขาระบุว่า อาณาเขตของสยามแผ่ไปไกลถึงเมืองไทรบุรีและปตานีอันเป็นดินแดนของชาว
มลายู ปตานีภายใต้การปกครองของรายาสตรีต้องส่งบรรณาการคือดอกไม้เงินและดอกไม้
ทองแก่กษัตริย์สยามทุก ๆ 3 ปอี ีกดว้ ย
ภาพที่ 38 แผนที่อาณาจกั รสยาม ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ พ.ศ. 2230
ทม่ี า: จดหมายเหตุลาลแู บรใ์ นสมยั อยธุ ยา (อา้ งอิงจาก สันต์ ท. โกมลบุตร, 2552)
44
44 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ปตานภี ายใต้การปกครองของราชวงศก์ ลันตัน
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในรัชสมัยรายาบีรูน้ัน พระองค์ทรงพยายามสร้างพันธมิตรกับ
เมืองใกล้เคียงโดยเฉพาะเมืองกลันตันซ่ึงเป็นเมืองที่มีภาษา วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม
ประเพณีใกลเ้ คียงกับปตานีมากที่สดุ Pengantar Sejarah Patani (Ahmad Fathy al-
Fatani,1994) กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างปตานีกับกลันตันว่า เม่ือกลันตันต้องเผชิญกับ
ความขัดแย้งภายในกนั เองในเวลาระหวา่ งผปู้ กครอง 2 ฝ่าย คือ สุลต่านอับดุลเลาะหก์ ับรายา
สักตที ี่ 1 ซึ่งต่างฝา่ ยต่างมองว่าตนมีสทิ ธเ์ิ หนอื ราชบัลลงั ก์กลนั ตนั ทงั้ สิ้น ตอ่ มา รายาสักตที ่ี 1
ได้ประกาศแยกตัวออกจากการปกครองของสุลต่านอับดุลเลาะห์ โดยถือเอาดินแดนกลันตัน
บางสว่ นให้อยูภ่ ายใตก้ ารปกครองของพระองคเ์ อง แตด่ ้วยสภาวะที่ลำ�บากพระทยั เชน่ นี้ ทำ�ให้
การตัดสินพระทัยของรายากูนิงต่อการเลือกฝ่ายถือข้างระหว่างสุลต่านอับดุลเลาะห์และรายา
สกั ตที ี่ 1 น้นั ไมเ่ ดด็ ขาด ดงั น้ัน รายาสกั ตีที่ 1 ได้เข้ายึดอ�ำ นาจการปกครองปตานจี ากรายา
กนู งิ ในปี 1650 (พ.ศ.2193) และไดบ้ บี บงั คบั ใหร้ ายากนู งิ ทรงสละราชสมบตั ใิ นปี 1651 (พ.ศ.
2194) ยงั ผลใหร้ ายากนู งิ ตดั สนิ พระทยั เสดจ็ กลบั ไปยงั ยะโฮร์ แตพ่ ระองคท์ รงพระประชวรและ
สน้ิ พระชนมเ์ สยี กอ่ นทปี่ ากแม่น�ำ้ แหง่ หนง่ึ ใกลฝ้ งั่ เมอื งกลนั ตนั นน่ั เอง พระศพของพระองคจ์ งึ ถกู
ฝงั อยู่ ณ ทแ่ี หง่ นน้ั ปจั จบุ นั คอื บา้ นปาฆอร์ (Kampung Pancor) ชาวกลนั ตนั เรยี กขานพระนาม
ของพระองค์วา่ “มากัม นาจายัง” (Makam Nang Cayan) (Ahmad Fathy al-Fatani, 1994)
นาจายงั คอื นางเจา้ หญงิ ขณะทชี่ าวปตานเี รยี กขานพระนามพระองคว์ า่ “มรหมุ่ บอื ซาร”์ เพราะ
พระองค์มีพระสวามคี ือยงั ดิ เปอตวู ัน บอื ซาเจ้าชายแห่งเมอื งยะโฮร์ ภายหลงั การส้ินพระชนม์
ของรายากูนิงน้ัน นับเป็นการส้ินสุดเชื้อสายเจ้าผู้ปกครองเมืองปตานีท่ีสืบสายมาจากเมือง
โกตามหลฆิ ยั หรือราชวงศศ์ รีวังสาอนั เป็นปฐมราชวงศป์ ตานีแตด่ ั้งเดิม
ประวัติศาสตร์กลันตันระบุว่าต่อมารายาสักตีที่ 1 ได้แต่งตั้งให้บุตรของพระองค์ คือ
รายาบากาล (Raja Bakal) มาดำ�รงตำ�แหน่งผู้ปกครองเมืองปตานีแทน โดยมีศูนย์กลางการ
ปกครองอยใู่ นเขตแดนรฐั กลนั ตนั ในปจั จบุ นั (อารฟี นิ บนิ จ,ิ 2558: 143-144) เหตกุ ารณน์ ปี้ รากฎ
ใน Hikayat Patani ว่าเมื่อตำ�แหน่งเจ้าผู้ปกครองเมืองปตานีเกิดว่างลงเพราะเชื้อพระวงศ์
ศรีวังสานั้นได้หมดสิ้นไปแล้ว บรรดาขุนนางเมืองปตานีจึงไปอัญเชิญเชื้อสายเจ้าเมืองกลันตัน
น่ันคือรายาบากาล ซึ่งแต่เดิมพระองค์อาศัยอยู่ที่บ้านตะโล๊ะ (Teluk) มาปกครองเมืองปตานี
สบื แทน แต่พระองค์ปกครองเมอื งอยูไ่ ดไ้ ม่นานก็สิ้นพระชนม์ สภาพบา้ นเมอื งในชว่ งตน้ ภายใต้
การปกครองของราชวงศก์ ลนั ตนั นนั้ นบั วา่ เลวรา้ ยมาก แมก้ ระทง่ั องคร์ ายาเอง กท็ รงไมไ่ ดร้ บั คา่
เลย้ี งพระชนมช์ พี เฉกเชน่ รายาองคก์ อ่ น ๆ ทยี่ งุ่ ยากกวา่ นนั้ คอื บรรดาขนุ นางตา่ งแกง่ แยง่ อ�ำ นาจ
และผลประโยชนก์ นั เอง การปกครองบา้ นเมือง ณ เวลานั้นตกอยู่ในสภาพไรข้ ื่อไร้แป ยิ่งนาน
วันเข้าก็ย่ิงเส่ือมลงไปทุกที เพราะขุนนางและผู้มีอำ�นาจต่างก็สนใจแต่เขตการปกครองของตน
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังห วัดชายแดนภาคใต้ 45
แต่เพียงเท่าน้ัน เมื่อรายาบากาลสิ้นพระชนม์เหล่าขุนนางปตานีได้อัญเชิญรายามัส กลันตัน
(Raja Mas Kelantan) อันเป็นเจา้ ผู้ปกครองเช้ือสายกลันตันอีกพระองค์ให้ปกครองปตานีสืบ
ต่อมา ในสมยั ท่รี ายามัสกลนั ตนั ครองราชยน์ ้นั บรรดาเรอื ส�ำ เภาจากเมืองกลนั ตันได้รบั อภิสิทธิ์
เป็นพิเศษใหส้ ามารถนำ�เรือมาจอดทท่ี า่ บ้านกะดีได้ ซ่งึ แต่เดมิ น้ันไมอ่ นุญาต ขณะท่ี Sejarah
Kerajaan Melayu Patani (Ibrahim Syukri, 1985) ระบุวา่ ตลอดระยะเวลาท่ีรายาจาก
ราชวงศก์ ลนั ตนั ปกครองปตานนี นั้ เปน็ ชว่ งเวลาแหง่ ความสงบสขุ และปราศจากการศกึ สงคราม
ใด ๆ อย่างไรก็ตามข้อความข้างต้นนี้ขัดแย้งกับข้อมูลใน Hikayat Patani (Teeuw and
Wyatt,1970) ทีร่ ะบุว่าในสมัยรายามัส กลนั ตันนั้นได้เกิดศกึ สงครามระหวา่ งปตานีกบั สยาม ณ
ขณะนน้ั ตรงกบั รชั สมยั ของพระเพทราชา แตท่ า้ ยทส่ี ดุ ปตานกี ส็ ามารถรกั ษาเมอื งไวไ้ ด้ นอกจาก
นั้น Hikayat Patani ได้กล่าวถึงความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกในช่วงการปกครองของ
รายามสั กลนั ตนั ไวอ้ กี วา่ เปน็ ชว่ งทเี่ กดิ การเปลยี่ นแปลงต�ำ แหนง่ เบนดาฮารา (Bendahara) หรอื
อัครเสนาบดจี ำ�นวนหลายคน
เป็นท่ีน่าสังเกตว่าฝ่ายสยามได้เริ่มกลับมามีบทบาทในการปกครองของปตานีมากข้ึน
ด้วยการเข้าจดั การความขัดแย้งในสมยั ราชวงศก์ ลันตัน Hikayat Patani ไดร้ ะบถุ ึงเหตกุ ารณ์
ความวุ่นวายมีการประหัตประหารและการประชันขันแข่งกันเองระหว่างขุนนาง โดยการช่วย
เหลอื ของเจา้ เมืองพัทลงุ ซึง่ สนับสนุนดาโตะ๊ สาย (Datuk Sai) ใหโ้ ค่นล้ม ดาโต๊ะบังไซ (Datuk
Bangsai) ตอ่ มาดาโต๊ะบังไซถกู พวกดาโตะ๊ สายท�ำ ร้ายจนถงึ แกช่ ีวติ แต่แลว้ เจา้ เมืองพทั ลุงกลับ
สนับสนุนให้โต๊ะทูวอ (TukTua) เป็นเบนดาฮาราแทนการกระทำ�อันเป็นการหักหน้าเช่นน้ีได้
สร้างความผูกใจเจ็บแก่ดาโต๊ะสายอย่างมาก เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองสงขลา
เพอื่ ขอก�ำ ลงั สนบั สนนุ เพอ่ื โคน่ ลม้ โตะ๊ ทวู อ ความขดั แยง้ นไี้ ดข้ ยายไปถงึ เมอื งกลนั ตนั ซง่ึ ใหค้ วาม
สนบั สนนุ โตะ๊ ทวู อ แตก่ องก�ำ ลงั จากกลนั ตนั และโตะ๊ ทวู อกย็ งั ไมส่ ามารถเอาชนะดาโตะ๊ สายลงได ้
ตอ่ มา กษัตรยิ ์สยามได้แตง่ ตัง้ ใหโ้ ต๊ะทูวอเปน็ พระท้ายน�้ำ (Pra’ Tanang) และแต่งตงั้ เจา้
เมอื งกลนั ตนั เป็นพระพมิ พ์พรรณ (Pra’ Pempan) หลังจากน้ันอีก 7 ปตี ่อมา กษตั ริยแ์ ห่ง
สยามทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระพิมพ์พรรณและโต๊ะทูวอมาปกครองเมืองปตานี เป็นผลให้
ดาโตะ๊ สายถกู จบั และถกู ลงโทษประหารชวี ติ แมว้ า่ ตอ่ มาอาลงชา้ ง (Alung Cang) ชาวปตานอี นั
มบี รรพบรุ ษุ เปน็ คนเลยี้ งชา้ งมาจากเมอื งชากงั ราว (Cekeram) พยายามโคน่ อ�ำ นาจโตะ๊ ทวู อลงได้
สำ�เร็จ แต่กไ็ ดไ้ ม่นานนักเพราะปรากฏตอ่ มาวา่ เจ้าเมืองสงขลาและดาโต๊ะบดู ัล (Datuk Budal)
ได้ส่งกำ�ลังมาช่วยโต๊ะทูวออีก ภายหลังอาลงช้างถูกนำ�ตัวกลับสยามภายใต้การบัญชาการของ
พระเพญ็ จริ ัตน์ (Pra’ Penjirat) ขนุ นางชาวสยาม ทงั้ น้ีโตะ๊ ทูวอได้ถูกสถาปนาเป็นเบนดาฮารา
อีกคร้งั ภายใต้ความช่วยเหลือของสยาม
Hikayat Patani ยังระบุต่อมาว่า ไม่นานนักโต๊ะทูวอก็เกิดขัดแย้งกับดาโต๊ะบูดัล
46
46 รายวิชาท่ี 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
กษัตริย์สยามจึงโปรดเกล้าให้พระเพ็ญจิรัตน์ลงมานำ�ตัวโต๊ะทูวอกลับไปสยามและแต่งต้ังให้
อาเยาะหวงั (Aya Wang) ท�ำ หนา้ ทแ่ี ทนชว่ั คราว ภายหลงั ต�ำ แหนง่ เบนดาฮาราไดต้ กแกพ่ ระเพช็ ร
พิชยั (Pra’ Pat Picai) แต่เขากลบั ไม่เป็นทน่ี ิยมนกั จนถกู ชาวเมืองร่วมกนั ขับไล่ ต่อมาพระยา
ไชยา (Pra’ Caya) ไดเ้ ขา้ มาจดั การความขดั แยง้ ทง้ั ปวงในเมอื งปตานี แตท่ า่ นไดเ้ สยี ชวี ติ ไป
เสยี กอ่ นระหวา่ งเหตกุ ารณย์ งั ไมเ่ รยี บรอ้ ย โดยศพพระยาไชยาถกู น�ำ กลบั ไปยงั เมอื งไชยา ต�ำ แหนง่
เบนดาฮาราตอ่ มาจึงตกเป็นของดาโต๊ะตาเนาะห์แมเราะห์ (Datuk Tanah Merah) และดาโตะ๊
เบนดาฮาราตารับ (Datuk Bendahara Tarab) ตามลำ�ดบั สบื มาเป็นคนสดุ ทา้ ย และเมื่อดาโต๊ะ
ตารับเสียชวี ิตก็ไมม่ ผี ู้ใดข้นึ เปน็ เบนดาฮาราอกี จนถึงสมยั ปตานเี สียเมืองแกส่ ยาม
จะเหน็ ไดว้ า่ บทบาทของกษตั รยิ ส์ ยามและบรรดาเจา้ เมอื งทางใตเ้ ชอ้ื สายสลุ ตา่ นสไุ ลมาน
แห่งสงขลาอนั ไดแ้ ก่เจา้ เมอื งไชยา เจ้าเมอื งพัทลุง และเจา้ เมอื งสงขลา นั้นไดเ้ พม่ิ พนู ขึน้ อยา่ งสงู
เดน่ ในการปกครองปตานสี มยั ราชวงศก์ ลนั ตนั โดยเฉพาะการแกป้ ญั หาการแยง่ ชงิ อ�ำ นาจภายใน
ของขุนนางเมอื งปตานีในต�ำ แหนง่ เบนดาฮารา ซง่ึ เป็นต�ำ แหนง่ ขุนนางระดบั สงู ทส่ี ดุ การเขา้
แทรกแซงการปกครองภายในปตานีของกษตั ริย์สยามนแี้ สดงให้เห็นวา่ แท้จริงแล้วปตานภี ายใต้
การปกครองของราชวงศ์กลันตนั น้นั มีความขดั แย้งกนั เองภายในราชสำ�นัก ขนุ นางทอ้ งถน่ิ ตอ้ ง
ขอก�ำ ลงั สนบั สนนุ จากภายนอกโดยเฉพาะจากสงขลาและพทั ลงุ เพอ่ื ชงิ อ�ำ นาจความเปน็ ใหญ่ แม้
ตอ่ มาการพง่ึ พงิ หวั เมอื งฝา่ ยใตข้ องสยามจะสนิ้ สดุ ลงเพราะการเสยี ชวี ติ ของพระยาไชยา เปน็ ผล
ให้ตำ�แหน่งเบนดาราฮาตกเป็นของขุนนางท้องถิ่นจากปตานี-กลันตันอีกคร้ัง อาทิ ดาโต๊ะ
ตาเนาะห์แมเราะห์ และ ดาโต๊ะตารบั
เมอ่ื สนิ้ สดุ สมยั รายามสั กลนั ตนั เนอ่ื งจากพระองคส์ นิ้ พระชนมใ์ นปี 1707 (พ.ศ. 2250)
ราษฎรขนานพระนามพระองค์ว่า “มรหุ่มกลันตัน” รายามัส จายัม (Raja Mas Jayam) ไดถ้ กู
เสนอพระนามให้รับตำ�แหน่งรายาปตานีพระองค์ต่อมา แต่ไม่นานหลังจากน้ันบรรดาขุนนาง
สำ�คัญ 3 คนอันได้แก่ ดาโต๊ะตารับ ดาโต๊ะบูดัล และดาโต๊ะลักษมณา ดายัง ได้กระทำ�การ
ยึดอำ�นาจและถอดรายามัส จายัมออกจากตำ�แหน่งและทูลเชิญให้รายาบึนดัง บาดัน (Raja
Bendang Badan) เปน็ รายาปตานแี ทน แตไ่ ด้รบั การปฏเิ สธ ขนุ นางเหลา่ น้ันจึงไปทลู เชญิ ให้รา
ยาเดวี (Raja Dewi) เชอ้ื สายเจา้ เมอื งไทรบรุ มี าเปน็ รายาแทน และทรงตอบรบั ราษฎรในสมยั นน้ั
เรียกพระนามพระองค์วา่ “พระนางเจ้า” อกี คร้ัง นั่นหมายความว่าพระองคท์ รงยอมรับอำ�นาจ
ของสยามเหมอื นทร่ี ายาองคก์ อ่ น ๆ เคยไดก้ ระท�ำ มา รายาเดวคี รองราชยไ์ ด้ 9 ปี กส็ ละราชสมบตั ิ
เป็นเหตุให้บรรดาขุนนางปตานีต้องไปทูลเชิญรายาบึนดัง บาดันซึ่งทรงเคยปฏิเสธตำ�แหน่งรับ
ต�ำ แหน่งรายามาก่อน เม่อื รายาบันดัง บาดนั ได้ตกลงพระทยั และปกครองปตานีสืบต่อมาได้ 4
ปี ดาโตะ๊ ลกั ษมณา ดายัง (Datuk Laksamana Dajang) ซ่ึงเป็น 1 ใน 3 ของบรรดาขนุ นาง
ปตานคี นส�ำ คญั กไ็ ดท้ �ำ การยดึ อ�ำ นาจจากองคร์ ายาและปราบดาภเิ ษกเปน็ รายาลกั ษมณา ดายงั
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วัดชายแดนภาคใต้ 47
แตพ่ ระองคท์ รงปกครองปตานไี ดเ้ พยี ง 11 เดอื น เจา้ เมอื งสายไดน้ �ำ ก�ำ ลงั มารว่ มกบั ขนุ นางปตานี
ขบั ไลพ่ ระองคจ์ นตอ้ งหลบหนไี ปยงั สงขลา ตอ่ มารายาลกั ษมณา ดายงั ไดน้ �ำ กองก�ำ ลงั ชาวสยาม
จากสงขลามาทวงบัลลังก์คืนแต่ไม่ประสบผลสำ�เร็จ ทำ�ให้ดาโต๊ะตารับได้กลับมาดำ�รงตำ�แหน่ง
เบนดาฮาราอกี ครงั้ หลังจากที่ตอ้ งล้ภี ัยไปยังกลันตนั ไดร้ ะยะเวลาหนึ่ง
เม่ือการขบั ไล่รายาลกั ษมณา ดายงั เป็นผลสำ�เร็จ รายามัส จายมั จึงไดร้ ับการถกู เสนอ
พระนามใหก้ ลบั มาด�ำ รงตำ�แหน่งรายาปตานเี ปน็ คร้ังท่ี 2 แต่พระองค์ปกครองอย่ไู ดเ้ พียง 2 ปี
ก็สิ้นพระชนม์ในปี 1726 (พ.ศ. 2269) บรรดาขนุ นางจงึ ทูลเชญิ ใหอ้ าลง ยูนุส (Alung Yunus)
ให้ดำ�รงตำ�แหนง่ รายาปตานพี ระองค์ใหม่ โดยชาวเมอื งเรยี กพระนามท่านว่า “ยังดิ เปอรต์ ูวัน”
ราษฎรรกั ใครพ่ ระองคม์ าก เพราะบา้ นเมอื งในสมยั ของพระองคน์ น้ั เปน็ อยอู่ ยา่ งสงบสขุ แมจ้ ะเปน็
เพยี งแคช่ ่วงเวลาสนั้ ๆ เพราะตอ่ จากนน้ั อาลง ยูนุส หรือ ยังดิ เปอร์ตวู ันขัดแยง้ อย่างรุนแรงกบั
ขุนนางผู้หนง่ึ คือ ดาโตะ๊ ขนุ ปะกาลนั ปาวห์ (Datuk Kun Pengkalan Pauh) ระหวา่ งทท่ี ้งั สอง
ฝ่ายนำ�กำ�ลงั ปะทะกันน้นั รายายังดิ เปอร์ตวู นั ถกู กระสุนปืนจากฝา่ ยตรงข้ามสนิ้ พระชนม์ การ
ไกลเ่ กลี่ยเบือ้ งตน้ เพอ่ื หลีกเลี่ยงการท�ำ รา้ ยตอ่ กนั นัน้ ไรผ้ ล ส�ำ หรับดาโตะ๊ ตารบั ผู้ดำ�รงต�ำ แหนง่
เบนดาฮาราในขณะน้ัน ปรากฏใน Hikayat Patani ว่าเขาเป็นคนเหน็ แก่ตวั และไม่ถอื ว่าเปน็
ธุระของตน แท้จริงแล้วทั้งดาโต๊ะปะกาลันผู้ก่อกบฏ และดาโต๊ะตารับน้ัน ต่างก็เป็นพี่ชายต่าง
มารดาของรายายังดิ เปอร์ตูวัน อีกเช่นกันด้วย ภายหลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งน้ี Hikayat
Patani ระบวุ ่า ในปลายรัชสมยั ราชวงศ์กลันตนั ปตานกี ลายเป็นเมอื งท่วี บิ ัตไิ ม่มีผปู้ กครอง
นครทแ่ี ทจ้ รงิ เหลา่ ดาโตะ๊ ขนุ นางตา่ งมงุ่ แตจ่ ะดแู ลเฉพาะกลมุ่ ของตนเอง แมแ้ ตร่ ายไดต้ า่ ง ๆ
ก็เก็บเข้าตนเองไม่สง่ เข้ามาบ�ำ รงุ บา้ นเมืองและโจรผู้รา้ ยกเ็ กดิ ชุกชุมข้นึ ดว้ ย
กล่าวได้ว่า ตลอดรชั สมัยราชวงศก์ ลนั ตนั นับเปน็ ช่วงเวลาท่กี ารปกครองปตานีมีความ
วุ่นวาย แย่งชิงอำ�นาจโค่นล้มราชบัลลังก์ พ่ีน้องและขุนนางในราชสำ�นักปตานีขัดแย้งแย่งชิง
อ�ำ นาจ เมอื่ อาลง ยนู สุ สน้ิ พระชนมใ์ นปี 1729 (พ.ศ. 2272) กเ็ ปน็ การสน้ิ สดุ รายาเชอ้ื สายกลนั ตนั
ทำ�ให้ไม่มีรายาปกครองปตั ตานี นานถึง 47 ปี จนกระท่ังในที่สุดทปี่ ระชมุ กรรมการเมืองไดค้ ัด
เลือกขุนนางผหู้ นง่ึ จากบ้านดาวาย (Dawai) สถาปนาเปน็ “สลุ ตา่ นมฮู มั หมัด” ปกครองปตานี
ในปี 1776 (พ.ศ. 2319) ในช่วงเวลาทีป่ ตานไี มม่ ีรายาปกครองนั้น เป็นชว่ งเวลาทีก่ รงุ ศรอี ยุธยา
ออ่ นแอเช่นกัน โดยมีศึกตดิ พันกับพม่า หัวเมืองในอ�ำ นาจของกรงุ ศรอี ยธุ ยาหลายเมืองถูกพมา่
เขา้ ปดิ ล้อมโจมตี จนในท่ีสดุ กรุงศรอี ยธุ ยาก็เสียแก่พม่าเป็นครัง้ ที่ 2 ในปี 1767 (พ.ศ. 2310)
ท�ำ ให้เมอื งประเทศราชส่วนใหญร่ วมท้ังปตานี และหวั เมอื งชั้นนอกบางส่วนท่ีเคยขึ้นกับอยธุ ยา
มากอ่ นตา่ งพากนั เปน็ อสิ ระ บา้ งกป็ ระกาศแขง็ เมอื งไมข่ น้ึ กบั อยธุ ยาตลอดรชั สมยั กรงุ ธนบรุ ลี ว่ ง
มาจนถึงต้นกรงุ รตั นโกสินทร์
48
48 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตรจ์ งั หวัดชายแดนภาคใต้
ภาพท่ี 39 แผนทแ่ี สดงเสน้ ทางทก่ี องทพั พมา่ เขา้ ปดิ ลอ้ มโจมตเี มอื งตา่ งๆของไทยในปี 1784-85
(เสน้ ทบึ และเสน้ ประ) และเสน้ ทางทก่ี องทพั ไทยเขา้ ตอบโตแ้ ละยดึ เมอื งตา่ งๆ ในปี 1986 (เสน้ ค)ู่
ทีม่ า: Wyatt (1984: 125)
การจดั การปกครองปตานหี ลังสมัยราชวงศ์กลนั ตนั
ในช่วงเวลาท่ีสุลต่านมูฮัมหมัดปกครองปตานีนั้น ราชอาณาจักรสยามเต็มไปด้วย
เหตุการณ์ความวุ่นวายจากการศึกสงครามกับพม่าและการเปลี่ยนราชธานีใหม่ ทำ�ให้ปตานีใน
สมัยพระองค์นั้น มีอิสรภาพในการปกครอง อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์กับสยาม ใช่ว่าปตานีจะ
เปน็ เอกเทศอยา่ งเดด็ ขาด เนอ่ื งจากหลงั การสถาปนากรงุ ธนบรุ เี ปน็ ราชธานแี ทนกรงุ ศรอี ยธุ ยาที่
ยากแกก่ ารฟน้ื ฟนู น้ั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ หรอื พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ไี ดน้ �ำ ก�ำ ลงั เขา้ ปราบปรามเมอื ง
ต่าง ๆ ทแ่ี ข็งเมอื งมาตั้งแต่คราวเสยี กรงุ โดยเฉพาะหัวเมอื งใหญ่ฝา่ ยใต้ คอื นครศรธี รรมราช ได้
ทำ�การแข็งเมืองและรวบรวมเมอื งต่าง ๆ เขา้ มาไว้ในอำ�นาจ ภายหลงั ท่กี องทพั พระเจา้ ตากสิน
ที่ลงมาปราบพระยานครศรีธรรมราช เจ้าเมืองพัทลุงและเจ้าเมืองสงขลาได้หลบหนีไปยังเมือง
ปตาน ี พระเจา้ ตากสนิ ทรงมพี ระราชด�ำ รสั ใหก้ มุ ตวั เจา้ นครและพรรคพวกมาถวายพระองคใ์ หไ้ ด้
บรรดาขนุ นางสยามจงึ ตดิ ตามเจา้ นครไปจนถงึ เขตเมอื งปตานี ขนุ นางสยามเหลา่ นน้ั จงึ มหี นงั สอื
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 49
ไปยังพระยาตานีศรสี รุ ยิ ต่าน (เรยี กตามเอกสารต้นฉบับฝา่ ยไทย) ว่าให้ส่งตัวเจ้านครและพรรค
พวกทั้งหมดมาให้ ฝ่ายสุลต่านมูฮัมหมัด (เรียกตามเอกสารมลายู) จึงทรงยอมกระทำ�ตามข้อ
เสนอของสยาม (พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ แี ผน่ ดนิ พระบรมราชาท่ี 4 สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ
มหาราช, 2554)
ต่อมาภายหลังการผลัดเปล่ียนแผ่นดินสยามจากกรุงธนบุรีเป็นกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีได้ปราบดาภิเษกเป็น
กษัตริย์พระองค์ใหม่ในปี 1782 (พ.ศ. 2325) สยามในเวลาน้นั จงึ มีนโยบายท่ีจะรวบรวมเอาดนิ
แดนทเ่ี คยเปน็ ขอบเขตขณั ฑสมี าของอยธุ ยามาเปน็ ของสยามดงั เกา่ กอ่ น เมอื งปตานจี งึ เปน็ หนงึ่
ในหมดุ หมายทางใตอ้ นั ส�ำ คญั ทสี่ ยามจะตอ้ งพชิ ติ ลงใหไ้ ด้ แตย่ งั ไมท่ นั ไดด้ �ำ เนนิ การ เนอ่ื งจากใน
ชว่ งปี 1784-1785 (พ.ศ. 2327-2328) พมา่ ไดส้ ่งกำ�ลังทางเรือเขา้ โจมตเี มอื งตะกัว่ ปา่ ตะก่วั ทุ่ง
และถลาง และสง่ ก�ำ ลงั ทางบกเขา้ โจมตเี มอื งกระบรุ ี ระนอง ชมุ พร แลว้ เลยมาตนี ครศรธี รรมราช
ขณะทกี่ องทัพพม่าก�ำ ลงั มุ่งหนา้ ลงไปยงั เมอื งพทั ลุงและสงขลา กองทัพหลวงจากกรงุ เทพฯ นำ�
โดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ ซ่ึงขณะนั้นเพิ่งแล้วเสร็จจากการทำ�ศึกกับพม่าท่ีเมือง
กาญจนบุรตี ดิ ตามลงไปทนั พอดี จึงไดข้ บั ไล่กองทัพพมา่ และเขา้ ยึดเมืองต่าง ๆ ทพ่ี ม่าเข้าโจมตี
กลับคืนมาได้ Sejarah Kerajaan Melayu Patani ระบุวา่ หลงั จากกองทัพหลวงของสยามเข้า
ยดึ เมอื งภาคใตค้ นื จากพมา่ ไดแ้ ลว้ ทางฝา่ ยสยามจงึ ไดส้ ง่ ทตู ไปยงั เมอื งปตานที ย่ี งั แขง็ เมอื งอยู่ ขอ
ใหก้ ลบั เขา้ มาอยใู่ นอ�ำ นาจของสยาม ปรากฏวา่ สลุ ตา่ นแหง่ ปตานที รงปฏเิ สธและไมย่ อมออ่ นนอ้ ม
สยามจงึ กรฑี าทพั เข้าไปโจมตปี ตานี เปน็ ผลให้ปตานีพา่ ยแพ้และเสียเมืองใหแ้ ก่สยาม
เอกสารพงศาวดารเมืองสงขลาฉบับพระยาวิเชียรชมคีรี (ชม) ระบุว่าการศึกครั้งนั้น
กองทพั สยามไดจ้ บั ตวั พระยาตานไี ดแ้ ละใหก้ กั ขงั ไว้ ขณะท่ี Sejarah Kerajaan Melayu Patani
ระบวุ า่ สลุ ตา่ นมฮู มั หมดั สนิ้ พระชนมถ์ กู กระสนุ ปนื ขณะท�ำ ศกึ ในครง้ั นน้ั นอกจากนนั้ สยามยดึ ได้
ปนื ใหญ่ส�ำ คัญประจ�ำ เมืองปตานี 2 กระบอก บรรดาชาวปตานีท่ีสู้รบจนตัวตายกม็ ี หลบหนีไป
ก็มี ท่ีถูกจับได้และตกเป็นเชลยก็ถูกนำ�ตัวมายังกรุงเทพฯ ถ้าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ของสุลต่าน
ปตานกี จ็ ะมาอยทู่ สี่ แ่ี ยกบา้ นแขก สว่ นชาวเมอื งทวั่ ไปกจ็ ะอยตู่ ามแถบถนนตก ประตนู �ำ้ สามแยก
ทา่ ไข่ นครนายก ปทมุ ธานี ฉะเชงิ เทรา หรอื หากมาไมถ่ งึ กรงุ เทพฯ กจ็ ะไปอยแู่ ถบจงั หวดั เพชรบรุ ี
สมุทรปราการ ปัจจุบันได้ขยายตัวออกไปอยู่แถบจังหวัดชลบุรีบ้าง ต่อมาบางส่วนก็ได้แยกไป
อยู่อกี หลายแห่ง ส่วนใหญจ่ ะเป็นแถวชานกรุง เชน่ ธนบรุ ี ท่งุ ครุ พระประแดง บางคอแหลม
มหานาค พระโขนง คลองตัน มนี บรุ ี หนองจอก และจะมีอย่แู ถบอ�ำ เภอท่าอิฐ จงั หวดั นนทบุรี
อีกดว้ ย วัตถปุ ระสงค์ในการเอาเชลยปตั ตานขี น้ึ มาดว้ ยก็เพอ่ื ตอ้ งการเพมิ่ จ�ำ นวนพลเมอื ง และ
เปน็ ก�ำ ลงั ของเมอื ง เพราะในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ การสรา้ งบา้ นเมอื งกรงุ เทพฯยงั ไมม่ คี วาม
มน่ั คงนัก พลเมอื งมีไม่มากพอตอ่ ความต้องการของบ้านเมอื งในดา้ นตา่ ง ๆ นอกจากนั้นยงั ตอ้ ง
50
50 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ประสบปญั หาภยั สงครามอยตู่ ลอดเวลา ในสมยั รชั กาลท่ี 1 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ า
โลกมหาราช มีการนำ�กองทัพหลวงลงไปปราบปรามเมืองปัตตานีและอพยพเชลยชาวปัตตานี
มายังกรุงเทพฯ ถงึ 2 ครงั้ ในปี 1786 (พ.ศ. 2329) และปี 1791 (พ.ศ. 2334)
การศกึ ครงั้ แรกสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทรน์ บั เปน็ การเปลย่ี นแปลงครงั้ ส�ำ คญั เพราะเปน็ ครงั้
แรกทป่ี ตานถี กู สยามพชิ ติ ลงไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด ถงึ ขนาดจบั ตวั สลุ ตา่ นมฮู มั หมดั มาจองจ�ำ ไวไ้ ด้ หรอื
บา้ งกว็ า่ สน้ิ พระชนมข์ ณะสรู้ บ นบั วา่ เปน็ ยคุ สมยั แรกทส่ี ยามเขา้ ปกครองปตั ตานโี ดยตรงผา่ น
การแต่งตง้ั เจา้ เมอื ง หลงั จากน้นั ตำ�แหน่งสลุ ต่านแห่งปตานีก็ไมป่ รากฎในประวตั ิศาสตรป์ ตานี
อกี ตอ่ ไป เพราะศกั ดขิ์ องต�ำ แหนง่ สงู ทสี่ ดุ ทผี่ ปู้ กครองเมอื งไดร้ บั หลงั จากนปี้ รากฎแตเ่ พยี งฐานะ
“รายา” หรือ “เจ้าเมือง” เทา่ นนั้ อยา่ งไรกด็ ีความเปลยี่ นแปลงดงั กล่าวใชว่ ่าจะราบร่นื เปน็ ท่ี
พอใจตอ่ เจา้ เมอื งท้องถิ่นนัก เพราะในระยะแรกยังปรากฏการต่อตา้ นขดั ขนื นำ�โดยเจ้าเมอื งชาว
ท้องถ่ินท่ีสยามให้ความไว้วางใจและแต่งตั้งเข้ามาปกครองปตานีนั่นเอง ความขัดแย้งดังกล่าว
นำ�ไปสู่ชนวนเหตุความวุ่นวายลุกลามไปถึงเมืองสงขลาและพัทลุง กล่าวคือ หลังสิ้นสุดรัชสมัย
สลุ ตา่ นมฮู มั หมดั เปน็ เจา้ เมอื งปตานแี ลว้ สยามไดแ้ ตง่ ตงั้ ใหบ้ คุ คลอนั มเี ชอ้ื สายเจา้ เมอื งเดมิ คอื
ตนกลู ามิเดน็ เป็นรายาปกครองปตานี ต่อมารายาพระองคน์ ้ตี ่อต้านสยามและได้สง่ หนงั สือลับ
เพอื่ เชอื้ เชญิ ใหก้ ษตั รยิ อ์ นั นมั (เวยี ดนามปจั จบุ นั ) รว่ มเปน็ พนั ธมติ รในการบกุ โจมตกี รงุ เทพฯ แต่
ฝ่ายสยามได้ล่วงรู้แผนการเสียก่อนจากการเปิดเผยความลับจากฝ่ายอันนัมท่ียังภักดีต่อสยาม
(พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท1ี่ ) กษตั รยิ ส์ ยามทรงเหน็ วา่ จะปลอ่ ยไวไ้ มไ่ ด้ เพราะ
จะเป็นตัวอย่างแก่เมืองมลายูอื่น ๆ ในปี 1791 (พ.ศ. 2334) กองทัพสยามได้นำ�กำ�ลังไป
ปราบปรามเมืองปตานีอีกคร้ัง ต่างฝ่ายต่างรบอย่างเต็มความสามารถ แต่ท้ายท่ีสุดชัยชนะก็
ตกเป็นของสยาม การสู้รบคร้ังน้ันปรากฏในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์วา่ รายาลามิเด็นทรง
ตา้ นทานก�ำ ลงั ของสยามไมไ่ ด้ จงึ ไดห้ ลบหนไี ปซอ่ นพระองคอ์ ยใู่ นกฎุ พี ระสงฆท์ ว่ี ดั แหง่ หนงึ่ กอ่ น
ถูกจบั ได้ และถูกอาญาโทษถึงจองจำ�ตลอดชวี ติ ขณะที่ Sejarah Kerajaan Melayu Patani
ระบุว่ารายาลามิเด็นทรงส้ินพระชนม์ในศึกสงครามครั้งนั้นทำ�ให้ฝ่ายสยามยึดทรัพย์สินและ
กวาดตอ้ นผคู้ นจากเมืองปตานีไปยงั กรงุ เทพมหานครอกี คร้ัง
หลงั เสรจ็ ศกึ สงครามครง้ั นน้ั สยามไดแ้ ตง่ ตงั้ ดาโตะ๊ ปงั กาลนั ซง่ึ เอกสารฝา่ ยไทยเรยี ก
ชอื่ วา่ ระตปู ะกาลนั เจา้ เมอื งยะหรงิ่ เปน็ ผปู้ กครองเมอื งปตานสี บื ตอ่ มา โดยมอบหมายใหข้ นุ นาง
สยามคอื ลกั ษมณา ดายงั เปน็ ผคู้ อยสอดสอ่ งดแู ลความสงบเรยี บรอ้ ยในฐานะตวั แทนอ�ำ นาจสว่ น
กลางของสยาม เปน็ ผลใหต้ อ่ มาเรม่ิ เกดิ ความขดั แยง้ กบั เจา้ เมอื งปตานี กลา่ วกนั วา่ ดาโตะ๊ ปงั กาลนั
ผู้น้ีมีปัญญาฉลาดหลักแหลม และบรรดาเมืองใกล้เคียงก็เกรงกลัวอำ�นาจบารมี ต่อมาปรากฏ
ว่า ดาโต๊ะปังกาลันสมคบคิดกับสุลต่านตรังกานูก่อกบฏต่อต้านสยาม กองทัพสยามจึงต้อง
ลงมาปราบปรามอีกครง้ั นำ�โดยพระยาพลเทพ (บนุ นาค) แมท่ ัพสยามชนั้ ผูใ้ หญ่สมทบกำ�ลังกับ
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ศิ าสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 51
เมืองสงขลาสูร้ บกับปตานี การปะทะกนั เกิดขนึ้ ทท่ี า่ ดา่ นเมืองยะหร่ิง และต่อมาดาโต๊ะปังกาลนั
ซ่ึงมีกองกำ�ลังด้อยกว่าต้องถอยร่นลึกเข้าไปในแผ่นดินจนถึงเขตแดนรามัน-เปรัก ท้ายท่ีสุด
ดาโตะ๊ ปงั กาลนั ถกู กระสนุ ปนื เสยี ชวี ติ ฝา่ ยปตานจี งึ ยอมแพ้ เมอื่ ต�ำ แหนง่ ผปู้ กครองเมอื งปตานวี า่ ง
ลง สยามจงึ ไดแ้ ตง่ ตง้ั ใหป้ ลดั จะนะ (ขวญั ซา้ ย) ชาวสยามเชอ้ื สายจนี ขนึ้ เปน็ พระยาตานแี ทน
ชาวมลายพู น้ื เมอื ง เทา่ กบั วา่ ระยะนสี้ ยามเรมิ่ ไมไ่ วว้ างใจใหเ้ จา้ เมอื งชาวมลายพู น้ื เมอื งปกครอง
ปตานี อยา่ งไรกด็ ภี ายหลงั การสน้ิ พระชนมข์ องพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก นโยบาย
ของสยามต่อการปกครองเมืองปตานีเกิดความเปล่ียนแปลงอีกคร้งั
เม่ือพระยาตานี (ขวัญซ้าย) เสียชีวิตลงในปี 1815 (พ.ศ. 2358) น้องชายของเขา
คือนายพ่ายได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาตานี (พ่าย) สืบต่อมา ทั้งน้ี ความวุ่นวายภายในเมือง
ปตานีก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏความในพงศาวดารเมืองปัตตานี ฉบับพระยาวิเชียรคีรี
(ชม) ว่า ได้เกิดโจรผู้ร้ายข้ึนชุกชุมหรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ก่อความวุ่นวายบุกปล้นบ้าน
พระยาตานีและพรรคพวกขุนนางสยามโดยพวกแซยิดซึ่งเป็นคนเชื้อสายอินเดีย-อาหรับ
ร่วมกับพวกรัตนาวง พระยาตานี (พ่าย) ไม่สามารถระงับเหตุความวุ่นวายน้ีได้ จึงรายงาน
ปัญหาเหล่านี้ไปยังสงขลา และทางสงขลาได้นำ�ความข้ึนทูลราชสำ�นักสยามในกรุงเทพฯ ตรง
กับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี 2 ดังน้ันจึงทรงโปรดเกล้าให้
พระยาอภัยสงครามและพระยาสงขลา (เถย้ี นจอ๋ ง) ออกไปแบง่ เมืองตานเี ป็น 7 เมอื ง คอื
เมอื งตานี เมอื งยะหริง่ เมืองสาย เมืองหนอกจกิ เมืองรามนั เมอื งระแงะ และเมอื งยะลา
พงศาวดารเมืองปัตตานีฉบับน้ี ได้ให้รายละเอียดเก่ียวกับการแบ่งและปักปันเขตแดนและ
ตำ�บลของแต่ละเมืองอย่างละเอียด บรรดารายาหรือเจ้าเมืองท่ีสยามแต่งต้ังในระยะแรกนั้น
ปรากฎวา่ แทบทุกคนเปน็ ชาวมลายูปตานีเวน้ เพยี งแตน่ ายพา่ ย ผเู้ ดียวเท่าน้ันทีเ่ ปน็ ชาวสยาม
สงขลาเชอ้ื สายจนี โดยเขาถกู แตง่ ตงั้ เปน็ พระยายะหรงิ่ (เจา้ เมอื งยะหรง่ิ ) จากเดมิ ทดี่ �ำ รงต�ำ แหนง่
พระยาตานี เมื่อพิจารณาบรรดาชื่อของรายาหลังจากที่แบ่งเมืองปตานีเป็น 7 เมืองแล้ว ส่วน
ใหญม่ ีคำ�น�ำ หนา้ เปน็ เชือ้ สายเจ้าแบบมลายูทั้งสน้ิ อาทิ ตว่ นสหุ ลง ตว่ นนิ ตว่ นมนั โซร์ ตว่ นยาลอ
นดิ ะห์ และนเิ ดะห์ เป็นต้น ขณะเดียวกันกไ็ ด้รับพระราชทานบรรดาศกั ดแ์ิ บบสยามด้วย อาทิ
พระยาภูผาภักดี ศรีสวุ รรณประเทศ วเิ ศษวงั ษา เจา้ เมอื งระแงะ พระยาสรุ ิยสนุ ทรบวรภกั ดศี รี
มหารายา ปัตตมอบั ดลุ วบิ ลู ย์ขอบเขตร์ ประเทศมลายู เจ้าเมอื งสายบุรี เปน็ ต้น
ท้ังน้ีหากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว ปตานีไม่ได้มีลักษณะเป็นเมืองเดียวเอกเทศมา
ตง้ั แตต่ น้ ดงั ปรากฎขอ้ ความในจดหมายเหตลุ าลแู บรใ์ นสมยั อยธุ ยา (สนั ต์ ท. โกมลบตุ ร (ผแู้ ปล),
2552 ) บนั ทกึ ว่า ปตานนี ้ันประกอบดว้ ยเมืองย่อยถงึ 8 เมอื ง สอดคล้องกับหลักฐานที่ไดก้ ล่าว
มากอ่ นหนา้ น้ี ทัง้ ใน Hikayat Patani กไ็ ด้ระบุตรงกนั ว่า ภายหลงั สิ้นสมัยยังดิ เปอตูวนั
(อาลงยนู สุ ) แหง่ ราชวงศ์กลันตนั เหล่าดาโตะ๊ และขุนนาง ปตานตี า่ งสนใจแตก่ ารปกครองเมอื ง
52
52 รายวิชาท่ี 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
ของตน เมอื งใหญ่ ๆ อาทิ เมืองสาย เมอื งยะหริ่ง ได้ปรากฏมีตำ�แหน่งดาโต๊ะส�ำ คญั ๆ มากมาย
ในตลอดหลายรัชกาล อาจเป็นเมืองภายใต้สังกัดปตานีที่มีอำ�นาจสูงเช่นกัน และเป็นรองเพียง
แต่ศนู ย์กลางอำ�นาจของปตานีท่กี รือเซะเทา่ นน้ั
ภาพที่ 40 วังพระยาภูผาภักดี ศรสี ุวรรณประเทศ วิเศษวงั ษา หรือวงั ระแงะ
(ภาพโดยครองชัย หัตถา ถ่ายเมอ่ื ปี 2004)
อย่างไรก็ดีจุดประสงค์ของการแบ่งปตานีเป็น 7 เมืองในรัชกาลน้ี มิใช่กระทำ�ไปเพ่ือ
ลดทอนกำ�ลังการต่อต้านสยามของชาวมลายูภายหลังสงครามเสียเอกราชแต่เพียงเหตุผลเดียว
หากแต่กระทำ�ไปเพ่ือจุดประสงค์เพ่ือความเหมาะสมกับการจัดการปกครองและการแก้ปัญหา
ภายในอกี ดว้ ย ดังที่ พรรณงาม เงา่ ธรรมสาร (2519) นักประวตั ศิ าสตร์ชาวไทยได้ใหค้ วามเหน็
ในประเด็นนี้ว่า การที่สยามสนับสนุนให้เจ้าท้องถิ่นปกครองกันเองและถ่วงดุลกันเองน้ันเป็น
พระราชนยิ มในหลกั “แบง่ แยกและปกครอง” ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ดงั
ปรากฏวา่ ไมเ่ พียงแตป่ ตานีเทา่ นั้นท่ใี ชร้ ะบบนีแ้ ต่หวั เมอื งอ่ืน ๆ ทางเหนือเช่น เชียงใหม่ ล�ำ ปาง
ตลอดจนหวั เมอื งลาวและกมั พชู า ราชส�ำ นกั สยามกใ็ ชร้ ะบบเดยี วกนั นใี้ นการสนบั สนนุ ใหเ้ จา้ ทอ้ ง
ถ่ินมีอำ�นาจปกครองบ้านเมืองตนหากแสดงความสวามิภักดิ์ต่อสยาม นโยบายนี้ประสบความ
สำ�เร็จพอสมควร มีทายาทสุลต่าน ลูกหลานเครือญาติ และประชาชนท่ัวไปจำ�นวนหน่ึงเข้ามา
มีบทบาทสำ�คัญร่วมกับราชสำ�นักสยามท้ังในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถ่ินในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ในเวลาน้นั ในชว่ งแรกของการปกครองหวั เมอื งมลายูท้ัง 7 ไดบ้ ังเกดิ ความสงบ
สุข ปราศจากการจลาจลเช่นเมื่อครั้งต้นรัชกาล จนกระท่ังการต่อต้านคร้ังใหม่เริ่มก่อตัวข้ึนอีก
ระลอกจากการปลุกระดมใหต้ อ่ ต้านสยาม อนั เกดิ จากความขดั แย้งในการปกครอง การศาสนา
การบังคบั ใชก้ ฎหมาย และการปฏบิ ัตงิ านของข้าราชการ รวมทั้งกระแสการตอ่ ต้านอนั เกดิ จาก
ขบวนการชาตพิ นั ธช์ุ าตินิยมท่แี ผ่ขยายกว้างขวางและฝงั ลกึ ในเวลาตอ่ มา
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จงั ห วัดชายแดนภาคใต้ 53
สงครามตอ่ ต้านสยามบนคาบสมทุ รมลายใู นสมยั รชั กาลท่ี 3
หวั เมอื งมลายทู ไ่ี ทรบรุ ใี นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 3 มคี วาม
วุ่นวายเกิดขึ้น เนื่องจากความต้องการท่ีจะกลับมามีอำ�นาจอีกคร้ังของตนกูหมัดซาอิด ซึ่งเป็น
หลานของอดตี พระยาไทรบรุ ี (ปะแงรนั ) ท่ภี ายหลงั ต้องล้ภี ัยไปยังเกาะปีนังตงั้ แต่ในสมยั รชั กาล
ที่ 2 เน่ืองจากทางสยามพบว่าพระองคป์ ระพฤติตนเป็นกบฏ ลอบส่งหนงั สอื ตอบรบั ค�ำ ชักชวน
ของพม่าให้เข้าตีหัวเมืองสยามทางใต้ จึงได้ให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชนำ�กำ�ลังไปปราบปราม
การยตุ คิ วามวนุ่ วายครงั้ นช้ี ยั ชนะเปน็ ของกองทพั สยาม ท�ำ ใหเ้ มอื งนครศรธี รรมราชมอี �ำ นาจเหนอื
ไทรบรุ ีนับแต่นนั้ มา (พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสินทร์ รัชกาลที่ 2, 2562)ขณะท่ี หลักฐาน
ฝา่ ยองั กฤษระบวุ า่ ความวนุ่ วายไมพ่ อใจครง้ั ใหมน่ ี้ สอ่ เคา้ มาตงั้ แตช่ ว่ งปี 1823 (พ.ศ. 2366)
อนั ปรากฏว่าเมอื งมลายู 5 เมือง คือ ปตานี ไทรบุรี ปะลสิ เปรกั และสลังงอร์ รวมตวั กนั เข้า
สวามิภักดิต์ ่อกษัตรยิ พ์ มา่ เพอื่ เปน็ พนั ธมิตรกันในการโจมตีสยาม สำ�หรบั 7 หวั เมืองทางใต้
สยามนัน้ ปรากฎวา่ 6 หวั เมือง เวน้ เสียแต่เมอื งยะหรง่ิ เพยี งเมืองเดยี วทีม่ เี จา้ เมอื งเป็นคนสยาม
สงขลาเช้ือสายจีนเท่านั้นท่ีไม่ได้เข้าร่วมกับไทรบุรี นอกจากน้ันแล้วเมืองท่ีมีเจ้าเมืองหรือรายา
เป็นมลายู ได้เขา้ รว่ มกับไทรบุรโี จมตกี องทพั สยาม ต่อมาทพั จากอีก 2 เมอื ง คือกลันตนั และ
ตรังกานู ไดเ้ ข้าร่วมดว้ ยกบั เมอื งมลายู นับเป็นการจลาจลและตอ่ สกู้ บั อ�ำ นาจของสยามบน
แผ่นดินคาบสมทุ รมลายูคร้ังย่ิงใหญท่ ส่ี ุด รวมตัวกนั ถงึ 12 เมืองซึ่งไมเ่ คยปรากฏมาก่อน
เหตุที่ชาวมลายูสามารถรวมทัพของเมืองต่าง ๆ ได้ขนาดใหญ่โตคร้ังนี้เป็นท่ีน่าสนใจ
มาก เนื่องจากว่าในขณะน้ันความคิดชาตินิยมและรัฐนิยมตามรูปแบบรัฐสมัยใหม่ยังไม่เคย
เกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาถึงบทบาทของบรรดาพวกผู้นำ�ศาสนาท้ังจากใน
และนอกพื้นที่แล้ว ปรากฏว่า กลุ่มซัยยิดและเช็ค อันเป็นผู้นำ�ศาสนาในโลกอิสลาม นับ
ว่ามีบทบาทในการปลุกกระแสสงครามชาตินิยมบนคาบสมุทรมลายูในครั้งนี้มาก ผู้นำ�
ศาสนาที่มีบทบาทคร้ังนั้นได้แก่ เช็ค ดาวุด บิน อับดุลลอฮ์ อัลฟาตอนี (ชาวมลายู
ปตานี) และเช็ค อับดุลซอมัด อัลฟาเล็มบันนี (ชาวปาเล็มบัง สุมาตรา) โดยเฉพาะ
เช็ค ดาวุด อัลฟาตอนี น้ัน เขาแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าสงครามของชาวมลายูต่อ
สยามคร้ังน้ี เป็นสงครามศาสนาหรือญิฮาด (jihad) และเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ท่ีไม่อาจ
จะหลีกเลี่ยงได้ ผลของสงครามครั้งน้ันทัพมลายูปตานีและเมืองพันธมิตรเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เชค็ ดาวุด อลั ฟาตอนีสามารถตีฝา่ วงล้อมของทพั รว่ มสยามออกไปพรอ้ มกบั กองทพั ตรังกานู ไป
พ�ำ นกั ลภ้ี ยั อยทู่ เี่ มอื งตรงั กานู กอ่ นทจี่ ะเดนิ ทางไปยงั เมอื งมกั กะห์ ซาอดุ อิ ารเบยี จนถงึ บนั้ ปลาย
ของชวี ิต ส่วนเช็ค อับดุลซอมดั อลั ฟาเลม็ บนั นี น้นั ไดเ้ สียชวี ติ ในสงครามคร้ังนี้ (อารฟี นิ บินจ,ิ
2558) โดยศพของเขาถูกฝงั ไวท้ ่บี า้ นตรับ ต�ำ บลจะโหนง อ�ำ เภอจะนะ จังหวดั สงขลา ซึ่งชาว
บ้านเรียกสุสานดังกล่าวว่า “กุโบร์โต๊ะแซะ” ส่วนผู้เสียชีวิตคนอ่ืน ๆ ในสงครามคร้ังนั้นได้ถูก
54
54 รายวิชาท่ี 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ฝังไว้ทีส่ สุ านอีกหลายแห่งในบรเิ วณไม่ไกลจากจุดทม่ี ีการปะทะกนั
หนังสือ Al-Tarikh Salasilah Negeri Kedah หรือประวัติศาสตร์เคดาห์ (ฝ่ายไทย
เรยี กไทรบรุ ี) ระบุวา่ ท่านอลุ ามาอฺทง้ั สองไดร้ ว่ มกบั หวั เมอื งมลายใู นชว่ งปี 1828-1832 (พ.ศ.
2371-2375) ท�ำ สงครามกบั สยาม ตรงกบั รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ถอื วา่
เป็นการต่อสู้กบั สยามครัง้ ใหญ่สดุ ของหัวเมืองมลายู นบั ต้ังแต่ปตานเี สยี ให้แกส่ ยามในปี 1786
(พ.ศ. 2329) โดยกองทพั รว่ มมลายนู �ำ โดยตนกเู ดน็ หลานชายของสลุ ตา่ นเคดาหเ์ ปน็ ผบู้ ญั ชาการ
รว่ มรบของฝ่ายกองทัพมลายูครง้ั นัน้ ไดน้ ำ�ก�ำ ลงั รกุ ไลช่ าวสยามไปจนถึงเมืองสงขลา ฝา่ ยสยาม
ไดส้ ง่ ก�ำ ลงั กองทพั เรอื ลงมาสมทบกบั เมอื งสงขลาท�ำ ศกึ กบั กองทพั รว่ มมลายู กองทพั ทง้ั สองฝา่ ย
ไดม้ กี ารสรู้ บกนั ทบี่ า้ นดา่ นและนาทพั และอกี หลายบรเิ วณทกี่ ลายเปน็ สนามรบตอ่ เนอ่ื งอยหู่ ลาย
วัน ผลสุดท้ายกองทัพมลายูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสยาม ตนกูเด็นเสียชีวิตในสนามรบ ทำ�ให้
กองทัพฝา่ ยมลายแู ตกพา่ ยลา่ ถอยไป บุคคลสำ�คญั ท่านหนึ่งคือ “ชยั คฺ อบั ดลุ ซอมดั อลั ปาเลม็
บาน”ี (Syeikh Abdul Samud al Palembani) ซ่งึ เชค็ ดาวุด อัลฟาตอนใี หค้ วามนับถอื ทา่ น
เป็นครแู ละเป็นสหายร่วมรบไดเ้ สียชวี ติ ในสงครามคร้ังนดี้ งั ที่ไดก้ ลา่ วแลว้
ผลจากเหตกุ ารณใ์ นรชั สมยั สมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 3 เมอื งมลายกู อ่ ความ
ไมส่ งบในครงั้ นนั้ กองทพั หลวงรว่ มกบั กองทพั นครศรธี รรมราชและสงขลาน�ำ ก�ำ ลงั ไปปราบปราม
จนไดช้ ยั ชนะท�ำ ใหก้ �ำ ลงั พลสว่ นหนงึ่ จากไทรบรุ แี ละปตานถี กู กวาดตอ้ นขน้ึ มายงั นครศรธี รรมราช
กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงอีกครั้ง ชุมชนมุสลิมย่านคลอง 22 อำ�เภอองครักษ์ จังหวัด
นครนายกนั้นเป็นมุสลิมจากไทรบุรี เปอร์ลิส กลันตัน และเกดะห์ ซ่ึงตอนเริ่มแรกมาอยู่กันที่
คลองแสนแสบและแถบมนี บรุ ีดว้ ย แตเ่ มือ่ คนรุน่ แรก ๆ เสียชวี ิตกนั หมด เหลือแต่ลกู หลานสว่ น
หนงึ่ จงึ ชกั ชวนกนั ไปตง้ั หลกั แหลง่ กนั ใหมท่ อ่ี นื่ ท�ำ ใหม้ สุ ลมิ สว่ นหนงึ่ จากถนนตกทรายกองดนิ มา
อยู่ทีค่ ลอง 22 แทน ส่วนหน่งึ ได้ไปอยูท่ ี่คลอง 17 คลอง 20 และคลอง 21 บางสว่ นก็ถูกชักชวน
ไปอยู่ทอี่ ำ�เภอทา่ อิฐบา้ ง และท่ีอื่น ๆ บา้ ง ทำ�ให้มีชุมชนมุสลมิ กระจัดกระจายอยหู่ ลายแห่งใน
กรงุ เทพฯ และจงั หวดั อืน่ ๆ ในภาคกลางมาจนถึงทุกวนั น้ี
ผลของสงครามบนคาบสมทุ รมลายใู นครงั้ นน้ั แมว้ า่ กองทพั มลายจู ะผนกึ ก�ำ ลงั รวมกนั ถงึ
12 เมอื ง เขา้ ตอ่ สกู้ บั กองก�ำ ลงั ของสยามทง้ั ทพั บกทพั เรอื จากกรงุ เทพฯ นครศรธี รรมราช สงขลา
และพัทลุง แต่ผลการสู้รบน้ันฝ่ายไทรบุรีซ่ึงรวมกำ�ลังกัน 6 เมือง ร่วมกับเจ้าเมืองมลายูปตานี
ท้ัง 6 หวั เมือง (ยกเวน้ แต่เมอื งยะหริง่ ที่ไม่ได้เข้ารว่ มกบั ไทรบรุ ีทำ�สงครามกับสยาม) เป็นฝา่ ยแพ้
สงคราม บางส่วนสามารถหลบหนีกองทัพสยามไปได้ น่าสนใจว่าตำ�แหน่งเจ้าเมืองหรือรายาที่
วา่ งลงเพราะผลจากสงครามนน้ั สยามไดใ้ ชอ้ �ำ นาจแตง่ ตง้ั เจา้ เมอื งคนใหมโ่ ดยตรงเปน็ ชาวมลายู
และชาวสยามเกอื บครงึ่ ตอ่ คร่ึง โดยในระยะนีอ้ ิทธพิ ลของเจา้ เมืองสงขลาต่อหวั เมืองมลายูทั้ง 7
กเ็ พมิ่ มากขน้ึ ดว้ ยเชน่ กนั สบื เนอื่ งมาจากบทบาทส�ำ คญั ในการเปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นในการรบั มอื กบั
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ิศาสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 55
ไทรบรุ แี ละทพั รว่ มมลายคู รง้ั ทเี่ พง่ิ ผา่ นมา เมอื งสงขลาเรม่ิ องิ กบั ผลประโยชนท์ ส่ี ายสกลุ เจา้ เมอื ง
สงขลาได้เขา้ ไปท�ำ กิจการบางอยา่ ง โดยเฉพาะเหมืองแรใ่ นเขตเมืองยะลา
ตอ่ มาในปี 1837 ไดป้ รากฏความพยายามของไทรบรุ อี กี ครง้ั หนงึ่ ในการตอ่ สกู้ บั อ�ำ นาจ
ของสยาม โดย วันมอู าหมัดอาลี บุตรของผ้ปู กครองเกาะลังกาวี ท่ีรจู้ ักกันในช่อื หวนั หมาดหลี
หรือ หวันมาลี (Wan Mali) ได้นำ�กำ�ลังชาวมลายูไทรบุรีเข้ามาซ่องสุมท่ีเกาะยาว แขวงเมือง
ถลางในเวลาน้ัน จากนั้นในปี 1838 กองกำ�ลังไทรบุรีได้เข้าตีเมืองตรังและสตูล จากน้ันจึงยก
มาตีเมอื งสงขลา การสรู้ บครงั้ นัน้ เมืองเทพาถูกกองทัพไทรบรุ ตี ีแตก รวมทั้งเมอื งจะนะถูกเผา
(ส�ำ นกั ศลิ ปากร 11 สงขลา, 2564) เมอื่ กองทพั ไทรบรุ รี กุ ไลต่ อ่ ไปถงึ เขตเมอื งสงขลา ฝา่ ยกองทพั
สยามไดเ้ ขา้ ชว่ ยเมอื งสงขลาจนสามารถตา้ นทานการรกุ ไลข่ องทพั ไทรบรุ เี อาไวไ้ ด้ จากเหตกุ ารณ์
ครง้ั น้ี ท�ำ ใหศ้ นู ยก์ ลางอ�ำ นาจทก่ี รงุ เทพฯ เพง่ เลง็ ถงึ บทบาทของเมอื งสงขลาและนครศรธี รรมราช
เนื่องจากเหตุความไม่พอใจจนลุกลามมาสู่ ความวุ่นวาย และสงครามส่วนหน่ึงเกิดจากเมือง
สงขลาและนครศรีธรรมราชเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์และขูดรีดบรรดาเมืองมลายูในสังกัด
มากเกินไป (พรรณงาม เงา่ ธรรมสาร, 2539) ท�ำ ให้ทางกรุงเทพฯ ลดบทบาทของเมอื งสงขลา
และนครศรีธรรมราชทีม่ ตี ่อเมอื งปตานแี ละเมืองประเทศราชมลายอู นื่ ๆ ลง โดยเริ่มการปฏริ ูป
การปกครองทีใ่ ห้อ�ำ นาจแก่สว่ นกลางคือเมืองหลวงมากข้ึน
การกำ�เนิดและสิน้ สดุ ของมณฑลปตั ตานี
ล่วงเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สยามได้
เผชิญกับแรงกดดันรอบทิศจากบรรดาชาติมหาอำ�นาจจากยุโรป ท่ีต้องการแสวงหาดินแดน
อาณานคิ มเพม่ิ ในดนิ แดนเอเชยี บทเรยี นจากรฐั มลายตู อนลา่ งของสยามและเพอ่ื นบา้ นโดยรอบ
ท่ีถกู ชาตติ ะวันตกเขา้ มามีอ�ำ นาจในรูปแบบตา่ ง ๆ รวมทงั้ สนธสิ ัญญาท่ีสยามทำ�ไวก้ ับชาตติ ะวนั
ตกทงั้ ในรชั กาลกอ่ นและในรชั สมยั ของพระองคท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั อธปิ ไตยเหนอื ดนิ แดน โดยเฉพาะ
กับฝร่ังเศสกับอังกฤษ เป็นผลให้รัฐบาลสยามจำ�ต้องปฏิรูปตนเองขนานใหญ่เพื่อให้ทันต่อภัย
คุกคามจากชาติตะวันตกให้ทันท่วงที การปฏิรูปหัวเมืองนั้นเกิดขึ้นโดยใช้ระยะเวลาพอสมควร
เน่ืองจากพระองค์ไมม่ ีพระราชประสงคเ์ ปล่ียนแปลงโดยฉับพลัน หากแตค่ ่อย ๆ ปรับเปลีย่ นให้
เข้ารูปทำ�นองทีละเล็กละน้อยตลอดช่วงระยะเวลาระหว่างปี 1892-1910 (พ.ศ. 2435-2453)
อย่างไรก็ตามแผนการปฏิรูปหัวเมืองสยามของพระองค์น้ัน ส่งผลกระทบต่อการปกครองและ
สังคมชาวมลายใู น 7 หวั เมืองมากพอสมควร เนื่องจาก รัฐบาลกรงุ เทพฯ จ�ำ เป็นต้องอา้ งสทิ ธ์ิ
และอำ�นาจอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งปวงในราชอาณาจักรสยาม เป็นผลให้เกิดการกระทบ
กระทั่งกับอำ�นาจท้องถิ่นเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแต่เดิมช่วงต้นรัชกาลก่อน การปฏิรูป
การปกครอง 7 หวั เมอื งน้ันรปู แบบการบริหารและการปกครองมลี กั ษณะผสมกนั ระหวา่ งแบบ
56
56 รายวิชาที่ 1 ประวตั ศิ าสตร์จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
สยามและมลายู กล่าวคอื รายาเจ้าเมอื งและรายามูดาเป็นผู้มอี ำ�นาจสูงสุด รองลงมาคอื ดาโตะ๊
แมก่ องเทยี บเทา่ ก�ำ นนั ปงั ฮลู เู ทยี บเทา่ ผใู้ หญบ่ า้ น สว่ นต�ำ แหนง่ จา่ และนายดา่ นคอื ต�ำ แหนง่ ลา่ ง
ท่ีสุดในกลุ่มนักปกครอง การศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่ยึดตามกฎหมายสยาม แต่ให้ยึด
ตามการวินิจฉัยและความพึงพอใจของรายาหรือเจ้าเมือง ทั้งน้ีสำ�หรับประเด็นด้านศาสนาจะมี
โตะ๊ กาลเี ปน็ ผชู้ ขี้ าด อยา่ งไรกต็ าม การใหอ้ สิ ระตอ่ บรรดาเจา้ ทอ้ งถนิ่ ขา้ งตน้ บางครงั้ กเ็ ปน็ ผลให้
ราษฎรไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นจากการใชอ้ �ำ นาจอนั ไมเ่ ปน็ ธรรมของบรรดารายาเจา้ เมอื งเหลา่ นนั้ ได้
เชน่ กนั จงึ ปรากฏการรอ้ งเรยี นถวายฎกี า จนท�ำ ใหร้ ฐั บาลกลางทกี่ รงุ เทพฯ นงิ่ เฉยตอ่ ไปอกี ไมไ่ ด้
เช่นกรณีการร้องเรยี นเจา้ เมอื งยะหร่ิง เจ้าเมอื ง ระแงะ และเจ้าเมืองรามันอนุญาตใหเ้ ข้าใชท้ ด่ี ิน
ท�ำ เหมอื งแรห่ รอื ใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอน่ื ผนวกกบั ปญั หาเรอื่ งเขตแดนบรเิ วณเมอื งเปรกั และรามนั
ซ่ึงอังกฤษกับสยามยังตกลงกันไม่ได้และมีท่าทียืดเยื้อ อาจนำ�ไปสู่ความรุนแรงหากไม่เร่งแก้ไข
การรวบอำ�นาจเข้าส่วนกลางจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ตัดสินใจ
กระทำ�ในท่สี ุด แม้ตอนแรกทางกรุงเทพฯ จะได้แยก 7 หัวเมอื งออกมาจากการก�ำ กบั ดแู ลของ
เมืองสงขลา และขึ้นตรงกับมณฑลนครศรีธรรมราชแล้วก็ตาม แต่ต่อมารัฐบาลได้ตัดสินใจเข้า
แทรกแซงสลายอ�ำ นาจของเจา้ เมอื งทอ้ งถนิ่ โดยเตรยี มการตรากฎหมายจดั ตงั้ มณฑลปตั ตานขี น้ึ
ตรงต่อกรุงเทพฯ
ภาพท่ี 41 การเสดจ็ ประพาสหวั เมอื งมลายขู องพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาล
ท่ี 5
ก่อนการทำ�สนธสิ ญั ญาอังกฤษ-สยามปี 1909 (พ.ศ. 2452)
ทมี่ า: คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ (2542)
รายวชิ า ที่ 1 ประวัต ิศาสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 57
เหตกุ ารณท์ ม่ี นี ยั ส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ อ�ำ นาจของสยามและการก�ำ หนดเขตแดนกบั หวั เมอื ง
มลายู คอื การตกลงเกย่ี วกบั พรมแดนเปรัก-รามันกบั อังกฤษในปี 1899 (พ.ศ. 2442) และการ
ดำ�เนินการของสยามที่จะปฏิรูปการปกครองและการแก้ไขปัญหาภายในและภายนอกบริเวณ
7 หัวเมืองบรรลุผล นำ�ไปสู่การประกาศจัดต้ังมณฑลปัตตานีในปี 1906 (พ.ศ. 2449) ทำ�ให้
ชือ่ “ปัตตานี” จงึ ถกู ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการในปดี ังกลา่ วเปน็ ตน้ มา กระทั่งตอ่ มาเมอ่ื มีการท�ำ สนธิ
สญั ญาองั กฤษ-สยามปี 1909 (พ.ศ. 2452) (The Anglo-Siamese Treaty 1909) เท่ากับวา่
อังกฤษเองได้ยอมรับสถานภาพของความเป็นเจ้าของอธิปไตยของสยามเหนือดินแดนมณฑล
ปตั ตานี หรอื 7 หวั เมอื ง หรอื ปตานใี นอดตี แมจ้ ะมกี ารตอ่ ตา้ นรอ้ งเรยี นและลกุ ลามไปจนถงึ การ
ขม่ ขวู่ า่ จะเชอื้ เชญิ มหาอ�ำ นาจอน่ื มารองรบั สถานภาพของปตานแี ทนองั กฤษ โดยย�้ำ ว่าไม่ไดเ้ ปน็
อ�ำ นาจของสยามและองั กฤษในด�ำ เนนิ การเรอื่ งดงั กลา่ ว (เตช บนุ นาค, 2551) การตอ่ ตา้ นครงั้ นน้ั
น�ำ โดยรายาเมอื งปตานี แตก่ ไ็ มป่ ระสบความส�ำ เรจ็ เพราะนอกจากองั กฤษจะไมส่ นใจแลว้ ยงั แจง้
เรื่องร้องเรียนเหล่าน้ีให้สยามทราบอีกด้วย เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายในของสยามที่ต้องจัดการ
แกไ้ ขเอง ท้ายท่ีสดุ เหตกุ ารณ์นี้นำ�ไปสกู่ ารจบั กมุ และปลดเจา้ เมอื งปตานี ซง่ึ ทำ�ให้เป็นอีกชนวน
เหตหุ นงึ่ ของการเคลื่อนไหวต่อตา้ นสยามในเวลาตอ่ มา
การปกครองในรูปแบบมณฑลปัตตานีคร้ังนั้น ได้ยุบรวมเมืองต่าง ๆ จากเดิมที่เคย
ประกอบด้วย 7 เมอื ง เหลือเพียงแค่ 4 เมือง คือ เมอื งปัตตานี เมืองยะลา เมืองสายบุรี และ
เมอื งระแงะ ซง่ึ ตอ่ มาไดเ้ ปลย่ี นชอื่ เมอื งระแงะเปน็ นราธวิ าสในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฏุ
เกล้าเจา้ อยหู่ ัว รชั กาลที่ 6 และท้ายที่สุดรฐั บาลสยามได้เปล่ียนหนว่ ยการปกครองหนว่ ยเมอื ง
ทง้ั หมด โดยเปลย่ี นจาก “เมอื ง” เปน็ “จงั หวดั ”จนกระทงั่ ถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้
เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 7 ไดม้ ปี ระกาศยบุ มณฑลปตั ตานแี ละยบุ รวมจงั หวดั สายบรุ เี ขา้ เปน็ อ�ำ เภอหนง่ึ
ในจงั หวดั ปตั ตานี และใหแ้ ตล่ ะจงั หวดั ขน้ึ ตรงตอ่ กระทรวงมหาดไทยตงั้ แตป่ ี 1933 (พ.ศ. 2476)
เปน็ ต้นมา ภายหลงั เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์มาเปน็ ระบอบ
ประชาธิปไตยภายใตร้ ัฐธรรมนูญ ทำ�ให้ “ปตาน”ี หรอื “ตาน”ี เปน็ หนว่ ยปกครองระดับจงั หวดั
คอื จงั หวดั ปตั ตานี อกี 2 จงั หวดั คอื ยะลาและนราธวิ าส หรอื ทนี่ ยิ มเรยี กรวมกนั วา่ “สามจงั หวดั
ชายแดนภาคใต”้ ซึง่ ยงั คงปรากฎเหตกุ ารณค์ วามไมส่ งบมาจนถึงทุกวันน้ี
มูลนิธิโครงการตำ�ราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (2551) ได้จัดสัมมนาวิชาการ
เร่ือง “โลกของอิสลามและมุสลิมในอุษาคเนย์” มีข้อความกล่าวไว้ในบทนำ�ของเอกสาร
ประกอบการสัมมนาว่า ท่ามกลางความไม่สงบในสาม/สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีข้อวินิจฉัย
ว่า “ประวัติศาสตร์” เป็นสาเหตุสำ�คัญอันหนึ่งของความรุนแรง ทั้งนี้เนื่องจากมุมมองทาง
ประวตั ศิ าสตรร์ ะหวา่ งรฐั สว่ นกลางกบั ทอ้ งถน่ิ หรอื ชายขอบมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งยง่ิ น�ำ มาซง่ึ
ปัญหาและประเดน็ ต่าง ๆ นานา 1) เชน่ ผกู้ อ่ ความไมส่ งบ ไดใ้ ชแ้ รงจูงใจทางประวตั ิศาสตร์สรา้ ง
58
58 รายวิชาท่ี 1 ประวัติศาสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
แรงจงู ใจกบั ประชาชนในพนื้ ที่ 2) การเรยี นวชิ าประวตั ศิ าสตรข์ องไทยเปน็ เรอ่ื งราวทบ่ี อกกลา่ ววา่
ฝา่ ยคกู่ รณไี มด่ /ี ผดิ อยา่ งไร และฝา่ ยตนด/ี ถกู อยา่ งไร เปน็ การเพาะเมลด็ พนั ธแ์ุ หง่ ความเกลยี ดชงั
3) ประวตั ศิ าสตรท์ แ่ี ตล่ ะฝา่ ยบอกเลา่ กนั ไมม่ คี วามชดั เจนในเรอื่ งราวทเี่ ปน็ ความจรงิ /ไมจ่ รงิ เปน็
ประวตั ศิ าสตรด์ า้ นเดยี ว 4) ความทรงจ�ำ และส�ำ นกึ ในประวตั ศิ าสตรป์ ตานี ท�ำ ใหข้ ดั ฝนื เขา้ กนั ไม่
ได้กับประวัติศาสตรไ์ ทยท่รี ฐั และสว่ นราชการทีเ่ ก่ียวข้องกำ�หนดขน้ึ เปน็ มาตรฐาน 5) สงั คมไทย
ขาดความรู้เร่ืองประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถน่ิ หรอื ประวตั ิศาสตรส์ ังคม ทำ�ใหไ้ ม่เข้าใจคนในท้องถน่ิ
ดังนั้นการเขียนเรื่องราวหรือการบอกเล่าความจริงในประวัติศาสตร์ จึงมีความสำ�คัญ
ต่อความเข้าใจของพลเมืองที่มีต่อรัฐ และมีความสำ�คัญต่อความเข้าใจของรัฐท่ีมีต่อพลเมือง
เช่นกัน ความจริงในประวัติศาสตร์โดยตัวของมันเองแล้วมีเพียงหนึ่งเดียวและได้จบส้ินไปแล้ว
เปล่ียนแปลงก็ไม่ได้แล้ว จึงอยู่ท่ีมุมมองหรือทัศนมิติในการเข้าใจหรือให้ความหมายต่อสิ่งนั้น
ความจริงในประวัติศาสตร์บางเรื่องจึงมีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่การให้ความหมาย ในช่วงเวลาที่
ผ่านมายังไม่มีฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดเลือกที่จะปรับมุมมองหรือทัศนมิติ หากแต่ยังยืนยันในความถูก
ตอ้ งของประวตั ศิ าสตรข์ องฝา่ ยตน ประวตั ศิ าสตรจ์ งึ ยงั คงทรงอทิ ธพิ ลและมพี ลงั อ�ำ นาจตอ่ ทงั้ สอง
ฝา่ ยการน�ำ ประวตั ศิ าสตรม์ าใชข้ ยายผลใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในรฐั จงึ เปน็ ประเดน็ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มา
ยาวนานเนอ้ื หาส�ำ คญั ในชดุ ความรนู้ ้ี จะเปน็ การตงั้ ตน้ ณ จดุ เดยี วกนั คอื การเปดิ ใจกวา้ งรบั รคู้ วาม
จรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในอดตี การปรบั มมุ มองและทศั นมติ ติ อ่ ประวตั ศิ าสตรใ์ นบรบิ ทตา่ ง ๆ ใหร้ อบดา้ นให้
มากท่สี ดุ เพื่อไปสจู่ ดุ หมายท่ีทุกฝ่ายมุง่ หวงั คือการอยู่ร่วมกนั ไดใ้ นสังคมทม่ี ีรากเหงา้ และพืน้ ภูมิ
หลงั แตกตา่ งกนั ยตุ คิ วามรนุ แรงและความเกลยี ดชงั จากฐานคดิ และมมุ มองทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่
แตกตา่ งกนั ดว้ ยการรบั รคู้ วามจรงิ และเคารพในการใหค้ วามหมายตอ่ เหตกุ ารณค์ วามขดั แยง้ ใน
อดีตและปัจจุบันทัง้ สองฝา่ ยอยา่ งเขา้ ใจซ่งึ กันและกัน
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ศิ าสตร์จงั ห วัดชายแดนภาคใต้ 59
บทท่ี 3
ประวัตศิ าสตร์ร่วมสมัยหลังการเปลย่ี นแปลงการปกครอง 1932
บทน�ำ
นบั ตง้ั แตป่ ี 1997 (พ.ศ. 2540) เปน็ ตน้ มา ไดป้ รากฏความเคลอื่ นไหวในจงั หวดั ชายแดน
ภาคใตผ้ า่ นถ้อยคำ� “ปาตาน”ี ทแ่ี สดงความหมายที่แตกตา่ งไปจากคำ�ทเ่ี คยใชม้ าเดมิ คอื ตานี
ปตานี และ ปัตตานี โดย “ปาตานี” มคี วามหมายถึงเมอื งปตั ตานใี นอดตี ท่มี กี ารปกครองโดย
สุลต่านและรายาระหว่างปี 1500-1786 (พ.ศ. 2043-2329) ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยาและ
รัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนท่ีไทยเข้าจัดการปกครองปัตตานีในปี 1786 (พ.ศ. 2329) เป็นต้น
มา ตอ่ จากนนั้ ไดจ้ ัดการปกครองเปน็ 7 หวั เมือง ในปี 1808 (พ.ศ. 2351) และจัดต้ังเป็นมณฑล
ปตั ตานีในปี 1906 (พ.ศ. 2449) มพี ื้นที่รวมสามจังหวดั คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ในช่วง
เวลาเดยี วกนั นน้ั องั กฤษไดเ้ ขา้ มามอี ทิ ธพิ ลตอ่ หวั เมอื งมลายู จนกระทงั่ ไทยตอ้ งลงนามท�ำ สญั ญา
เขตแดนกบั องั กฤษในปี 1909 (พ.ศ. 2452) ท�ำ ใหไ้ ทยมพี รมแดนประเทศบนแหลมมลายทู ช่ี ดั เจน
แต่ก็มปี ฏกิ ริ ยิ าจากฝา่ ยปัตตานเี รอ่ื ยมาถึงปัจจุบัน ในปี 2019 (พ.ศ. 2562) ไดป้ รากฏขอ้ ความ
“PATANI 110” บนป้ายผ้า พื้นถนน ราวสะพาน และสถานท่ีต่าง ๆ หลายแห่งในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ซ่ึงมคี วามหมายวา่ “ครบรอบ 110 ปีท่ีปัตตานถี ูกสยามยดึ ครอง” ปี 2022
(พ.ศ. 2565) ปรากฏข้อความ “Free Patani: Patani is not Siam” สะท้อนถึงปฏิกิริยาอีก
สว่ นหนงึ่ ของปญั หา การปกครองจงั หวดั ชายแดนภาคใตท้ เ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ เนอื่ งมายาวนาน ในบทนจี้ ะ
เปน็ การส�ำ รวจรวบรวมปฏกิ ริ ยิ าและความเคลอื่ นไหวตา่ ง ๆ ทง้ั ในประเทศและระหวา่ งประเทศ
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการของรัฐในช่วงเวลาท่ีผ่านมา เพ่ือการทบทวนความรู้
ความเข้าใจในปัญหาตา่ ง ๆ ในการก�ำ หนดแนวทางท่เี ปน็ ที่ยอมรบั ของทกุ ฝ่ายร่วมกันตอ่ ไป
พัฒนาการทางการเมืองการปกครองของบรรดารัฐ หรือประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกตั้งแต่
อดตี มาถงึ ปจั จบุ นั มคี วามแตกตา่ งหลากหลายและเปลยี่ นแปลงไปตามสภาพการณใ์ นแตล่ ะพนื้ ท่ี
และยุคสมัย กรณีปาตานีหรอื ปัตตานกี ็เชน่ เดียวกัน ไมไ่ ด้เพิ่งเรม่ิ ต้นเมื่อ 110 ปที ่ผี า่ นมา หาก
แตป่ ตั ตานมี ปี ระวตั ศิ าสตรค์ วามสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งกบั ไทยมาชา้ นาน แตห่ ลงั จากไทยแพส้ งคราม
และเสียกรงุ ศรีอยธุ ยาแกพ่ มา่ ครง้ั ที่ 2 เมื่อปี 1767 (พ.ศ. 2310) หวั เมอื งทางใต้แทบทุกเมอื ง
รวมทง้ั ปตั ตานตี า่ งพากนั แขง็ เมอื ง ขณะเดยี วกนั พม่าก็ได้ขยายอำ�นาจลงมาทางใต้ โดยนำ�ก�ำ ลัง
เข้าตีและยึดเมืองต่าง ๆ ของไทยไว้ได้หลายเมือง พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลเข้าต่อสู้ขับไล่
กองทพั พมา่ จนแตกพา่ ย ชงิ เมอื งตา่ ง ๆ กลบั คนื มาได้ และเขา้ กอบกกู้ รงุ ศรอี ยธุ ยาไดภ้ ายในเวลา
7 เดอื น พระเจา้ ตากไดส้ ถาปนากรงุ ธนบรุ เี ปน็ เมอื งหลวงในปลายปี 1767 (พ.ศ. 2310) และทรง
ปราบดาภิเษกเปน็ พระมหากษัตรยิ ์ ทรงพระนามสมเดจ็ พระบรมราชาที่ 4 หรือสมเดจ็ พระเจ้า
กรงุ ธนบรุ ี พระองคไ์ ดร้ วบรวมเมอื งตา่ ง ๆ กลบั คนื มาและน�ำ ก�ำ ลงั เขา้ ตอ่ สกู้ บั พมา่ ทม่ี ารกุ รานหวั
60
60 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
เมอื งดา้ นตะวนั ตกและทางเหนอื อกี หลายครง้ั จนสนิ้ รชั กาลของพระองค์ ตอ่ มาสมเดจ็ เจา้ พระยา
มหากษตั รยิ ศ์ กึ จอมทพั คนส�ำ คญั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ไี ดป้ ราบดาภเิ ษกเปน็ ปฐมกษตั รยิ ์
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ทรงพระนามพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก พระองคท์ รงรบั รปู้ ญั หา
การปกครองบา้ นเมืองทางใต้โดยเฉพาะหัวเมืองมลายเู ปน็ อยา่ งดี
ในชว่ งต้นสมัยกรงุ รตั นโกสินทร์ ปรากฏว่าพมา่ ยังคงสง่ ก�ำ ลงั เข้าตีเมอื งต่าง ๆ ของไทย
โดยในปี 1785 (พ.ศ. 2328) พมา่ ไดจ้ ดั เตรยี มท�ำ สงครามครงั้ ใหญเ่ รยี กสงครามเกา้ ทพั พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาถ
น�ำ ทพั เขา้ ตา้ นทานขบั ไลพ่ มา่ ทรี่ กุ รานหวั เมอื งทางใตเ้ ปน็ ผลส�ำ เรจ็ จากนนั้ จงึ ไดน้ �ำ ก�ำ ลงั เขา้ ปราบ
ปรามปตานที แี่ ขง็ เมอื งอยตู่ งั้ แตค่ ราวเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาแกพ่ มา่ ฝา่ ยปตานไี ดต้ อ่ สอู้ ยา่ งเตม็ ก�ำ ลงั
ความสามารถ แตก่ เ็ ปน็ ฝา่ ยแพส้ งครามในครัง้ นน้ั ขา่ วปตานีพ่ายสงครามท�ำ ให้สุลตา่ นกลนั ตนั
ตรังกานู และไทรบุรี พากนั มาอ่อนน้อมตอ่ ไทย ทำ�ใหไ้ ทยมอี ำ�นาจจดั การปกครองเมืองปตานี
กลนั ตนั ตรงั กานู และไทรบรุ ี ขณะเดยี วกนั ในชว่ งเวลาเดยี วกนั นนั้ มหาอ�ำ นาจชาตติ ะวนั ตกเขา้
มาแสวงหาดนิ แดนและมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ภมู ภิ าคนมี้ ากขน้ึ มที งั้ ใชก้ �ำ ลงั เขา้ ยดึ ครอง แทรกแซงกจิ การ
ภายใน ทำ�ข้อตกลงหรือสัญญาท่ีมหาอำ�นาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ ฯลฯ กรณีดินแดนทางตอนใต้
ของสยาม ไดม้ ีการท�ำ หนังสือสัญญาลบั ระหว่างอังกฤษกับสยามปี 1897 (พ.ศ. 2440) “ขอให้
ประเทศสยามอยา่ ไดโ้ อนดนิ แดนสยามตง้ั แตเ่ มอื งบางสะพานลงไป หรอื ใหค้ วามสะดวกเปน็
พเิ ศษแกป่ ระเทศอน่ื เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั ความยนิ ยอมจากองั กฤษ” ตอ่ มาในปี 1899 (พ.ศ. 2442)
ไทยไดท้ �ำ สญั ญากบั องั กฤษเรอ่ื งเขตแดนระหวา่ งเมอื งตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ เมอื งประเทศราชของไทย อนั
ไดแ้ ก่ รามัน กลันตัน ตรงั กานู และไทรบรุ ี (เคดาห์) โดยรัฐบาลของไทยฝ่ายหนึ่งกบั เมืองเปรัก
และปาหงั โดยรฐั บาลขององั กฤษซ่ึงทำ�สญั ญาแทนสุลต่านเปรักกับสุลตา่ นปาหงั อีกฝา่ ยหนง่ึ
สำ�หรับเหตุการณ์ภายในประเทศในเวลานั้น มีความสุ่มเส่ียงต่อการเสียดินแดนให้แก่
ชาตติ ะวนั ตกเปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะองั กฤษและฝรงั่ เศสทก่ี �ำ ลงั ขยายอทิ ธพิ ลอยโู่ ดยรอบ ทาง
เลอื กหนึง่ ของไทยทตี่ อ้ งรีบเร่งด�ำ เนินการ คือ การกระชับการปกครองในพื้นท่สี ่มุ เส่ียงต่อการ
สญู เสยี อ�ำ นาจ ใหม้ คี วามมน่ั คงแนน่ แฟน้ ยงิ่ ขึน้ โดยเฉพาะภาคใตข้ องไทยและหัวเมอื งมลายู
ทอ่ี งั กฤษเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลและก�ำ ลงั ขยายอ�ำ นาจอยใู่ นเวลานนั้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยหู่ ัวจงึ ได้ทรงปรบั เปลีย่ นรปู แบบการปกครอง หวั เมือง 7 หัวเมือง ซ่งึ เคยให้เจา้ เมอื งหรือ
สุลต่านยังคงมีบทบาทอยู่ภายใต้การกำ�กับของไทย เปล่ียนมาเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลในปี
1906 (พ.ศ. 2449) โดยมีสมุหเทศาภิบาลทไี่ ดร้ ับการแต่งตง้ั จากข้าราชการส่วนกลางมาประจำ�
มณฑล ซง่ึ เปน็ รปู แบบเดยี วกนั กบั การปกครองภมู ภิ าคอน่ื ๆ ของไทยในเวลานน้ั ผลจากการปรบั
เปลย่ี นดงั กลา่ วท�ำ ใหก้ ารปกครองระบบสลุ ตา่ นของ 7 หวั เมอื งปตั ตานถี กู ยกเลกิ ไปโดยปรยิ าย ใน
ชว่ งทมี่ กี ารปรบั เปลย่ี นการปกครองดงั กลา่ วอยนู่ น้ั องั กฤษไดส้ นบั สนนุ ตนกมู ะหะหมดั มไู ฮยดิ
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ศิ าสตรจ์ ังห วัดชายแดนภาคใต้ 61
ดิน (Tengku Mahmud Muhyidin) บุตรชายของ ตนกู อับดุลกอเดร์ อดตี สุลต่านเมอื ง
ปัตตานีเคล่ือนไหวให้ปัตตานีเป็นอิสระจากไทย ซ่ึงได้รับการตอบสนองอย่างกว้างขวางจาก
ชาวมสุ ลมิ โดยเพาะจากผนู้ �ำ ศาสนา และทายาทของสลุ ต่านที่เคยมอี �ำ นาจ เช่น ตนกยู าลานาเซ
บุตรของอดตี สุลตา่ นเมอื งสายบรุ ี
ในปี 1909 (พ.ศ. 2452) พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ตกลงท�ำ สัญญา
เขตแดนทางใต้กับอังกฤษ โดยให้ กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ ปะลิส และเกาะใกล้เคียงอยู่ฝั่ง
องั กฤษ สว่ นปตั ตานี บางสว่ นของกลนั ตนั (ตากใบ) และรามนั อยฝู่ ง่ั ไทย ผลของสญั ญาดงั กลา่ ว
ในมมุ มองของผนู้ �ำ ชาวมลายปู ตานี เหน็ วา่ เปน็ การสญู เสยี ครงั้ ยงิ่ ใหญ่ ประชาชนชาวมลายปู ตานี
มีชีวิตอยู่ในภาวะที่ถูกกดดัน ดังเช่นท่ี William Alfred Rae Wood กล่าวไว้ในหนังสือ
History of Siam (1959) ว่าประชาชนชาวปตานีกลายเป็นเหย่ือของการปกครองที่เรียกว่า
“misgoverned” ดงั นนั้ จงึ เปน็ มลู เหตสุ �ำ คญั ทท่ี �ำ ใหม้ กี ารเคลอ่ื นไหวตอ่ ตา้ นการปกครองจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และทำ�ใหเ้ กดิ เหตุการณ์ความไมส่ งบขึน้ มาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง และ
ย่ิงรนุ แรงขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 1932 (พ.ศ. 2475) โดยเฉพาะในชว่ งปี 1938-
1944 (พ.ศ. 2481-2487) เนอื่ งจากในสมัยการปกครองของจอมพล ป.พบิ ูลสงคราม เปน็ นายก
รัฐมนตรไี ดใ้ ช้นโยบาย “รฐั นยิ ม” หลอมรวมคนในชาติใหเ้ ปน็ หน่งึ เดยี ว ท�ำ ใหช้ าวมลายปู ตานี
และประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยตกอยู่ภายใต้นโยบายชาตินิยมและ
การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม มีการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและมาตรการดำ�เนินการอยา่ งเขม้ งวด
โดยการออกประกาศใช้ “รัฐนิยม จ�ำ นวน 12 ฉบับ” แมว้ า่ ในเวลาตอ่ มาประกาศรฐั นิยมบาง
ฉบับได้ถูกยกเลิกไป โดยเฉพาะฉบับทีก่ ระทบต่อวฒั นธรรมและจารีตประเพณขี องคนไทยกลุ่ม
ตา่ ง ๆ ท่มี อี ตั ลกั ษณเ์ ฉพาะ และไดอ้ อกประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิวฒั นธรรมท่เี น้นการสง่ เสรมิ
สนบั สนนุ แทน ถงึ กระนนั้ กต็ าม ผลกระทบและความขดั แยง้ ไดเ้ กดิ ขน้ึ ไปแลว้ อยา่ งกวา้ งขวางและ
รนุ แรงในหลายกลมุ่ วฒั นธรรมในทกุ ภมู ภิ าคของประเทศ โดยฉพาะในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ใน
ชว่ งเวลาทผี่ า่ นมาจงึ มงี านเขยี นจ�ำ นวนไมน่ อ้ ยไดส้ ะทอ้ นถงึ ปฏกิ ริ ยิ าของชาวมลายปู ตานตี อ่ การ
ปกครองของไทย อาทิ Nik Anur Nik Mahmud (1999) Sejarah Perjuangan Melayu Patani
1785-1954, Nik Anur Nik Mahmud and Mohd. Zamberi Malek. (2007) Tamadun dan
sosio-politik Melayu Patani, Nik Anur Nik Mahmud and Mohd. Zamberi Malek.
(2008 ) The Malay of Patani ; the search for security and independence. เปน็ ต้น
ปฏกิ ริ ิยาและความเคลื่อนไหวหลังการปฏริ ปู การปกครอง ปี 1932
ปี 1932 (พ.ศ. 2475) ได้มีการเปลย่ี นแปลงทางการเมอื งครงั้ สำ�คัญของไทย จากระบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีผู้นำ�มุสลิมใน
62
62 รายวิชาที่ 1 ประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
กรุงเทพฯ เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงครัง้ นด้ี ้วย ไดแ้ ก่ นายบรรจง ศรจี รูญ นายแช่ม พรหม
ยงค์ นายประเสรฐิ ศรีจรูญ และนายการิม ศรีจรูญ โดยรฐั บาลไดจ้ ัดให้มีการเลือกตง้ั ทัว่ ไปใน
ปี 1933 (พ.ศ. 2476) และมีการจดั ตง้ั รฐั บาลคร้ังแรกในปเี ดยี วกนั ต่อมาเมอื่ จอมพล ป. พิบลู
สงคราม ไดเ้ ปน็ นายกรัฐมนตรีคร้ังแรกในปี 1938-1944 (พ.ศ. 2481–2487) และครง้ั ท่ี 2 ใน
ปี 1948-1957 (พ.ศ. 2491–2500) ในช่วงเวลาดังกลา่ วมกี ารเปลี่ยนแปลงหลายประการที่นำ�
ไปสู่ความเป็น “รัฐชาตินิยม” การปกครองจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเวลาน้ัน มีปฏิกิริยาจาก
“ชาวมลายูปัตตานี” หรือ “ชาวมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้” อย่างต่อเน่ือง ซึ่งได้มีการ
ศกึ ษารวบรวมไวโ้ ดยผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. อาหมัดอมู าร์ จะปะเกีย (2556) แห่งมหาวิทยาลยั
ฟาฏอนี ในบทความเรอ่ื ง “การเมอื งไทยและปฏกิ ริ ยิ าของชาวมสุ ลมิ ภาคใตข้ องไทย ระหวา่ ง
ปี 1933–1973” ระบวุ า่ ในการเลือกต้ังคร้งั แรกเม่ือปี 1933 (พ.ศ. 2476) น้ัน ชาวมุสลิมภาค
ใต้ไม่มีบทบาทและไม่มีความสนใจเท่าท่ีควร เพราะพวกเขาไม่รู้สึกคุ้นเคยกับการเมืองไทยมาก
นัก ด้วยเหตุนี้ในการเลือกตั้งดังกล่าวปรากฏว่าจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ผู้ท่ีได้รับ
ชัยชนะในการเลือกต้ังล้วนแล้วแต่เป็นชาวไทยท่ีนับถือศาสนาพุทธท้ังสิ้น จะมีก็เฉพาะจังหวัด
สตลู เทา่ น้นั ทีม่ ี ส.ส. มสุ ลมิ ท่ชี นะการเลอื กต้งั ท้งั นี้อาจเป็นเพราะจังหวดั สตูล เป็นจงั หวัดทีไ่ ม่
แตกตา่ งกบั จงั หวดั อน่ื ๆ ในภาคใตต้ อนบนมากนกั อาจมคี วามคนุ้ เคยกบั ระบบการเมอื งไทยเปน็
อย่างดแี ละประชาชนแถบนั้นส่วนใหญ่ใชภ้ าษาไทยถ่นิ ใต้ในชีวิตประจ�ำ วนั
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีตัวแทนประชาชนชาวมุสลิมเพียงคนเดียวในสภา แต่ก็มีสิทธิมี
เสียงในการตอ่ ส้เู พอ่ื สังคมมสุ ลิมเชน่ กนั โดยเฉพาะการออกกฎหมาย สงั เกตได้จากบทบาทการ
ยกเวน้ การใชก้ ฎหมายพลเรือนและครอบครวั ซึ่งไดผ้ า่ นสภาแล้ว (เมอื่ วันที ่ 10 ตุลาคม 2478)
ดงั นน้ั เพอ่ื ทดแทนกฎหมายดงั กลา่ วชาวมสุ ลมิ จงึ มกี ฎหมายเฉพาะทเี่ รยี กวา่ กฎหมายอสิ ลามวา่
ดว้ ยครอบครวั และมรดก
เมื่อเห็นว่ามีการพัฒนาการเมืองการปกครองเป็นไปในทางที่ดีแล้ว บรรดาผู้นำ�มุสลิม
ได้ให้ความสนใจการเมืองแบบรัฐสภาก่อนที่จะมีการเลือกต้ังคร้ังท่ีสอง ซ่ึงจัดให้มีขึ้นในเดือน
พฤศจกิ ายน ปี 1937 (พ.ศ. 2480) บรรดาผ้นู ำ�มุสลมิ โดยเฉพาะจากผู้มีฐานะและมชี ื่อเสียงใน
สังคม ได้มีบทบาทในการเรียกร้องเชิญชวนชาวมุสลิมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งน้ี
ด้วย ทำ�ให้การเลอื กตั้งครั้งนชี้ าวมสุ ลมิ เข้ามามสี ว่ นรว่ มในการเลือกตั้งเป็นอยา่ งดี ผลปรากฏวา่
ในสามจงั หวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสน้นั ผูช้ นะการเลือกตง้ั เปน็ มุสลิม สว่ น
จังหวดั สตูลผูช้ นะการเลือกต้งั เปน็ ชาวพทุ ธ การเลือกตัง้ ในปี 1938 (พ.ศ. 2481) กเ็ ชน่ เดียวกัน
จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส ผู้ชนะในการเลือกต้ังเป็นชาวมุสลมิ ส�ำ หรบั จงั หวดั สตูล ผู้
ชนะการเลือกต้ังเป็นชาวพุทธ บรรดาผู้นำ�มุสลิมท่ีมีบทบาทและมีอิทธิพลในขณะนั้นคือ กลุ่ม
ผนู้ ำ�ทมี่ ีฐานะจากตระกลู เจา้ เมอื ง ได้แก่ กูมดู า อบั ดุลบตุ ร ซ่ึงเปน็ ผแู้ ทนของชาวจงั หวดั ปตั ตานี
รายวชิ า ที่ 1 ประวตั ศิ าสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 63
ท่ีมาจากเชอ้ื สายตระกลู เจา้ เมืองยะหรงิ่ สว่ นตนกอู บั ดลุ ญยะลาล (อดุลย์ ณ สายบรุ )ี ตัวแทน
ประชาชนนราธิวาสน้ันมาจากเช้ือสายเจ้าเมืองสายบุรี สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้มีฐานะหรือ
ตระกลู เจา้ เมอื ง ยนิ ดที จ่ี ะเขา้ มารว่ มในระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย เพราะเปน็ ชอ่ ง
ทางทจี่ ะบอกใหร้ ฐั บาลทราบถงึ ความตอ้ งการของประชาชนในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตอ้ ยา่ ง
เปน็ รปู ธรรมมากที่สุด และผูน้ ำ�เหล่านั้นมคี วามมน่ั ใจว่าประชาชนยงั คงมคี วามนับถอื ศรทั ธาใน
ตัวทา่ นอยู่
ผลกระทบจากนโยบายรฐั นยิ มของรฐั บาลไทยกับกระแสการเมอื งชาติพนั ธุ์ชาตนิ ิยม
การเลือกตั้งในเดือนธันวาคมปี 1938 (พ.ศ. 2481) น้ัน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทว่ั ประเทศจ�ำ นวน 91 คนดว้ ยกัน สว่ นใหญ่แลว้ เปน็ คนท่ีสนับสนุนพรรคคณะราษฎรในสภาผู้
แทนราษฎร ท�ำ ให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซ่ึงมสี ถานะทแี่ ข็งแกรง่ ภายในพรรคไดร้ ับเลอื กให้
เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเข้ามาปกครองประเทศในขณะที่ระบบกษัตริย์กำ�ลังถูกลดบทบาทใน
การปกครอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีภมู ิหลังการศึกษาจากประเทศยุโรป ท่านพยายามท่ี
จะสร้างประเทศไทยเป็นประเทศชาตินิยมท่ีทันสมัยมีความเจริญก้าวหน้าและมีอารยธรรมสูง
ดงั นัน้ ท่านจงึ เชดิ ชูรฐั นิยมอนั เปน็ อดุ มการณ์ทางการเมือง รฐั นิยม คอื วฒั นธรรมของประเทศที่
ก�ำ หนดข้ึนโดยคณะรฐั มนตรี และใชเ้ ป็นนโยบายจากสำ�นักนายกรัฐมนตรี โดยมีเป้าหมายเพอื่
ทำ�ให้วัฒนธรรมดังกล่าวเป็นวัฒนธรรมแห่งชาติ ทำ�ให้คนท้ังชาติเข้าใจและปฏิบัติโดยไม่คำ�นึง
ถึงเชือ้ ชาติและศาสนา รัฐนิยมมี 12 ข้อ ถูกรา่ งข้ึนในปี 1939-1942 (พ.ศ. 2482–2485) จาก
รฐั นยิ ม 12 ขอ้ น้ี มี 3 ข้อ ทก่ี ระทบต่อชาวมลายูมสุ ลมิ โดยตรง ได้แก่ รฐั นิยมข้อที่ 3 เรื่องการ
เรียกคนในประเทศวา่ คนไทย แม้มเี ชื้อสายอ่ืนกถ็ ือว่ามีสญั ชาติไทย มิใหแ้ บง่ แยก ข้อที่ 9 เรอ่ื ง
ภาษาไทยและหนงั สอื ไทยกบั หนา้ ทพ่ี ลเมอื งดี พลเมอื งจะตอ้ งศกึ ษาใหร้ หู้ นงั สอื ไทยอนั เปน็ ภาษา
ของชาติ อย่างนอ้ ยตอ้ งอ่านออกเขียนได้ และขอ้ ที่ 10 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย
กำ�หนดให้ตอ้ งแต่งกายตามทรี่ ัฐบาลก�ำ หนดไว้
เพ่ือให้บรรลุการเมืองรัฐนิยมนี้ ในปี 1942 (พ.ศ. 2485) รัฐบาลจอมพล ป. พิบูล
สงครามได้ออกกฎหมายวัฒนธรรม ทเ่ี รยี กว่า พระราชบัญญตั วิ ฒั นธรรมแห่งชาติ โดยมีพน้ื ฐาน
จากกฎหมายที่ร่างโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ในฐานะท่เี ป็นองค์กรที่รับผดิ ชอบในการดำ�เนิน
การเมอื งรัฐนิยมท้ังประเทศ รวมถงึ 4 จังหวัดภาคใต้ อันไดแ้ ก่ ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส และ
สตลู เปน็ เปา้ หมายส�ำ คญั ของการเมอื งรฐั นยิ ม การประกาศใชก้ ฎหมายนก้ี ระท�ำ โดยวธิ กี ารออก
ค�ำ สงั่ และบังคบั ใช้กับพลเมืองทกุ กลมุ่ ท้งั ประเทศ ตวั อย่างเชน่ จังหวัดสงขลา ได้ประกาศเรื่อง
การแต่งกายที่ให้ทุกคนปฏิบัติและห้ามปฏิบัติ จังหวัดปัตตานีได้ออกคำ�ส่ังให้เจ้าหน้าท่ีทุกส่วน
ราชการอย่าให้ความสะดวกแก่ชาวมุสลิมที่นุ่งผ้าโสร่งตามประเพณีนิยมเมื่อมาติดต่อราชการ
64
64 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
ค�ำ สัง่ เดยี วกนั นีไ้ ดถ้ กู ไดน้ �ำ มาใชก้ นั ในจังหวัดอืน่ ๆ (ยะลา นราธวิ าส และสตูล) การปฏิบตั ิการ
ครั้งน้ไี ด้รบั ความเหน็ ชอบจากกระทรวงมหาดไทย ย่ิงไปกวา่ นั้นได้ส่งั ใหจ้ บั กมุ ผูท้ ไ่ี ม่ยอมเคารพ
ตามกฎรฐั นยิ ม ท�ำ ใหม้ ผี ทู้ ถ่ี กู เจา้ หนา้ ทจ่ี บั กมุ อาทิ ตนกบู ตุ รา บนิ เตง็ กอู บั ดลุ มฏู อลบิ เคยถกู จบั
ทต่ี ะลุบนั (สายบรุ ี) เหตุเพราะมีความผดิ ทนี่ ุง่ ผ้าโสร่งออกจากบ้าน
ในปี 1943 (พ.ศ. 2486) สถานการณใ์ นพนื้ ทย่ี งิ่ ทวคี วามรนุ แรงมากขน้ึ หลงั จากรฐั บาล
ของจอมพล ป. พบิ ลู สงครามประกาศ ยกเลิกกฎหมายอิสลามวา่ ด้วยเรือ่ งครอบครัวและมรดก
อีกทั้งได้ยกเลิกตำ�แหน่งดะโต๊ะยุติธรรม ชาวมุสลิมถูกบังคับให้ยอมรับกฎหมายพลเรือนแห่ง
ชาติ ซ่งึ ขัดกับหลักกฎหมายอิสลาม ในสภาพที่บบี ค้ันเช่นน้ี ชาวมุสลมิ ท้งั หมดจงึ ไม่ยอมปฏบิ ตั ิ
ตามกฎหมายบ้านเมืองทข่ี ัดกบั หลักกฎหมายอสิ ลามดงั กลา่ ว ดงั น้ันพวกเขาซึ่งต้องการผูต้ ดั สิน
คดีความหรือโต๊ะกอฎีในแหลมมลายูเพ่ือแก้ปัญหาของพวกเขา สำ�หรับผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัด
สตูลพวกเขาจะเดินทางไปท่รี ัฐปะลิส หรอื รฐั เคดะห์ ส่วนผูท้ ่ีอยู่ทนี่ ราธวิ าสก็จะเดนิ ทางไปที่รัฐ
กลนั ตนั ผทู้ ี่อย่ใู นจังหวดั ยะลา กจ็ ะเดินทางไปท่ีรัฐเปรกั สว่ นท่ีจังหวัดปตั ตานีซงึ่ เป็นศูนยก์ ลาง
ศาสนาหรือฐานของบรรดาอุละมาอฺน้ัน มีผู้นำ�ชุมชนภายใต้การนำ�ของฮัจยีสุหลง บิน อับดุล
กอเดรฺ โต๊ะมีนา ไดจ้ ัดตัง้ องคก์ ร ชะรอี ะฮขฺ ึ้นเรียกว่า ฮัยอะฮฺ นะฟัซฺ อลั อะฮฺกาม อลั ชะรอี ะฮฺ
(องค์กรปฏิบตั ิหลกั ชะรีอะฮฺ) ในคราวประชมุ เมอื่ วนั ที่ 28 ตลุ าคม 1943 ผู้น�ำ ชมุ ชนซง่ึ ประกอบ
ด้วยโต๊ะครู อิหมา่ ม และผนู้ ำ�ทว่ั ไปมคี วามเห็นพ้องต้องกนั ว่า ใหม้ กี ารแตง่ ตั้งโตะ๊ ครฮู จั ยีสุหลง
บนิ อับดุลกอเดรฺ โตะ๊ มีนา เป็นหากมิ หรอื กอฎขี องสงั คมอสิ ลามปัตตานี การแต่งต้งั คร้งั นแ้ี ม้วา่
ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและไม่เป็นที่ยอมรับของทางการไทย แต่การแต่งตั้งนี้ถูกต้องตาม
หลักชะรีอะฮฺ และเป็นที่ยอมรับของชาวมุสลิมปัตตานี ชาวมุสลิมได้เลือกท่ีจะทำ�ตามหลัก
ชะรอี ะฮฺ ฮจั ยสี หุ ลงซง่ึ ถกู แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ หากมิ ไดป้ ฏบิ ตั กิ ารนอกเหนอื อ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องศาลจงั หวดั
อย่างไรก็ตาม ทา่ นกถ็ อื ไดว้ า่ เปน็ กอฎที ีถ่ ูกตอ้ งและเป็นผู้น�ำ สูงสดุ ในจงั หวดั ปตั ตานี ทำ�ให้สังคม
ชาวมุสลิมในสี่จังหวัดจึงเลือกที่จะอยู่นอกกฎของรัฐ ด้วยเหตุดังกล่าวพบว่าระหว่างปี 1943-
1947 (พ.ศ. 2486–2490) จงึ ไม่ปรากฏปญั หาทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกับศาสนาในสจ่ี งั หวัดชายแดนภาค
ใตเ้ ข้ามาพิพากษาในศาลของทางราชการเลย ส่งิ น้จี ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ สงั คมอิสลามในภาคใต้เร่มิ
แขง็ ขอ้ ตอ่ กฎหมายของรฐั และศาลจงั หวดั อยา่ งเตม็ รปู แบบ สถานการณเ์ ชน่ นที้ �ำ ใหส้ งั คมอสิ ลาม
รสู้ กึ อยแู่ ปลกแยกไปจากการเมอื งของรฐั บาลไทยในขณะนนั้ ขณะทฝ่ี า่ ยผมู้ อี �ำ นาจในระดบั ทอ้ ง
ถ่ิน เชน่ ผู้วา่ ราชการจังหวัดปัตตานี ไดแ้ สดงท่าทีอนั แขง็ กร้าว มกี ารบบี บังคบั และกดดนั ใหช้ าว
มสุ ลิมท�ำ ตามการเมอื งรัฐนยิ มและกฎหมายของรฐั บาล
นักการเมืองมุสลิมมีบทบาทในการคัดค้านและมีท่าทีเชิงลบต่อข้าราชการไทย อย่าง
เช่น ตนกอู ับดลุ ญยะลาล สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรนราธิวาสไดส้ ่งจดหมายไปยงั รฐั บาลจอมพล
ป. พบิ ูลสงคราม เมอื่ วนั ที่ 14 กมุ ภาพันธ์ 1944 (พ.ศ. 2487) ท่านไดเ้ ลา่ เร่อื งเกย่ี วกบั ทา่ ทแี ละ
รายวชิ า ที่ 1 ประวัต ศิ าสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 65
การปฏบิ ตั ิของผ้วู ่าราชการจังหวดั ปัตตานีท่ีท�ำ รา้ ยจติ ใจชาวมสุ ลิม จดหมายคัดคา้ นน้ไี ดส้ ง่ ตรง
ไปยังจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะนายกรัฐมนตรี บางตอนของจดหมายท่ีส่งไปน้ันเขียน
ไว้ว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีที่เพ่ิงแต่งตั้งน้ัน (นายเตียง ชันยะวิเศษ) ได้แนะนำ�ให้
ข้าราชการทุกภาคส่วนมีท่าทีแข็งกร้าวต่อผู้ท่ีฝ่าฝืนกฎรัฐนิยม โดยการจับพวกเขาโดยไม่มี
การยกเว้น ในวนั ที่ 12 มกราคม 2487 ผ้วู า่ ราชการคนนีไ้ ดน้ ดั ประชุมกบั ผนู้ ำ�อสิ ลามรวม
ทงั้ อหิ มา่ ม คอเตบ็ และบหิ ลน่ั ทอ่ี �ำ เภอสายบรุ ี ในการประชมุ ครง้ั นม้ี อี ยสู่ องประการทกี่ ระทบ
ตอ่ ชาวมสุ ลิม นั่นคือ บงั คบั ใหผ้ ู้น�ำ มสุ ลิมให้ความเคารพพระพุทธรปู ของศาสนาพทุ ธ และมี
คำ�กล่าวในที่ประชุมว่าจงั หวดั ท้ังส่จี ังหวดั อนั ได้แก่ ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส และสตลู นัน้
การบรหิ ารเปน็ ไปอย่างยากล�ำ บาก เนือ่ งจากศาสนาเปน็ ตวั ปัญหา” ค�ำ สงั่ และค�ำ กล่าวเหลา่
น้ีทำ�ให้ชาวมุสลิมไม่พอใจอย่างย่ิง และพวกเขาคิดว่าศาสนาของพวกเขาจะถูกลบล้าง และถูก
บงั คับให้กระทำ�ท่ีผดิ ไปจากหลักอิสลาม
เม่อื วันท่ี 29 เมษายน 1944 (พ.ศ. 2487) นายปนู จิตตวรรณี เลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรี
ไดต้ อบจดหมายฉบับดังกล่าวด้วยขอ้ ความว่า
“ ข้าพเจา้ ไดร้ บั จดหมายของทา่ นที่ส่งไปยังรฐั บาลเมือ่ วนั ที่ 14 กุมภาพนั ธ์ 2487
เก่ียวกับคำ�ฟ้องร้องเรื่องการกระทำ�การรุนแรงโดยผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีน้ัน เร่ืองดัง
กลา่ วไดร้ บั การตรวจสอบโดยกระทรวงกระทรวงมหาดไทย และเปน็ การกระท�ำ ทถี่ กู ตอ้ งแลว้ ”
คำ�ตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเห็นชอบกับคำ�สั่งดังกล่าว และสนับสนุนการ
กระท�ำ ของผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นอกจากนนั้ รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงครามยงั มที า่ ทที ไี่ มเ่ ปน็
ประชาธปิ ไตยและไมส่ นใจค�ำ เตอื นและค�ำ ทกั ทว้ งจากตวั แทนของชาวมสุ ลมิ ในรฐั สภา ท�ำ ให้
ชาวมสุ ลิมยงิ่ ร้สู กึ แปลกแยกกบั การเมอื งการปกครองของรัฐบาลไทย นกั การเมอื งมุสลมิ จงึ รู้สึก
ผิดหวังและขาดกำ�ลังใจที่จะสานต่อบทบาทผ่านรัฐสภาอีกต่อไป เพราะรัฐสภากลับอยู่ภายใต้
อทิ ธพิ ลของคณะบคุ คลซงึ่ ไมส่ ามารถแกป้ ญั หาของพวกเขาได้ ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ มแี ตจ่ ะท�ำ ใหป้ ญั หา
ย่งิ หนกั กว่าเดมิ
ด้วยเหตุน้ีพวกเขาจึงไม่เข้าร่วมและไม่มีบทบาทในนการเลือกตั้งที่รัฐบาลจัดขึ้นในครั้ง
ต่อมาปี 1946 และ 1948 (พ.ศ.2489 และ2491) สถานการณเ์ ชน่ น้ีทำ�ให้ชาวไทยพุทธได้รบั
เลอื กตง้ั ไม่ว่าจะเปน็ จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธิวาส มเี พียงจังหวดั สตูลเทา่ น้ันทมี่ มี ุสลมิ
เข้าร่วมและได้รับชัยชนะในการเลือกต้ัง คือนายเจ๊ะอับดุลลอฮ หลังปูเต๊ะ นอกจากนั้นเขายัง
ไดร้ บั แต่งต้งั ใหเ้ ป็นรัฐมนตรีประจำ�สำ�นกั นายกรฐั มนตรี ขณะเดียวกันขา้ ราชการมสุ ลิมอีกท่าน
หนงึ่ คือ นายตยุ๋ บนิ อับดุลลอฮ หรือพระยาสมานราชบุรนิ ทร์ ได้รบั การแต่งตงั้ เป็นผวู้ ่าราชการ
จงั หวดั สตลู ดว้ ยเหตนุ พ้ี วกเขาจึงไม่รู้สึกแปลกแยกในการเมืองไทย ขณะทีก่ ่อนหน้านั้น สมาชิก
สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าสทเี่ ปน็ มสุ ลมิ แมว้ า่ พวกเขาประสบชยั ชนะ
66
66 รายวิชาที่ 1 ประวตั ิศาสตร์จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ในการเลอื กตง้ั ในปี 1937 (พ.ศ. 2480) แต่กไ็ มไ่ ดร้ ับการจัดสรรตำ�แหน่งสำ�คัญทางการเมอื งแต่
อยา่ งใด ประกอบกบั ทศั นะและข้อเสนอต่าง ๆ กไ็ มไ่ ดร้ บั การตอบสนองจากรฐั บาล ด้วยเหตนุ ้ี
เองท่ที �ำ ให้จุดยนื และบทบาทของสงั คมมสุ ลมิ ในสามจงั หวดั (ปัตตานี ยะลา และนราธวิ าส) ที่
มตี อ่ การเลอื กตั้ง (ในปี 2486, 2489 และ 2492) แตกต่างไปจากมุสลิมในจังหวัดสตูล อยา่ งไร
กต็ าม ความตงึ เครยี ดทางการเมอื งในจังหวดั ชายแดนภาคใต้เร่ิมลดลงบ้าง หลงั จากจอมพล ป.
พิบลู สงครามสญู เสยี อ�ำ นาจเม่ือตน้ เดือนสงิ หาคม 1944 (พ.ศ. 2487)
บทบาทของผนู้ ำ�ศาสนาและผู้น�ำ ทางการเมือง
เม่อื รฐั บาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสนิ้ สดุ อำ�นาจลงในต้นเดอื นสิงหาคม 1944 (พ.ศ.
2487) การบรหิ ารประเทศจึงตกมาเป็นของคณะราษฎรฝา่ ยพลเรือน โดยมี นายควง อภัยวงศ์
เปน็ นายกรฐั มนตรี และบคุ คลส�ำ คญั หลายทา่ นเปน็ คณะรฐั มนตรี อาทิ นายทวี บญุ เกตุ นายเสนยี ์
ปราโมทย์ และพลเรอื ตรถี วลั ย์ ธ�ำ รงนาวาสวสั ดิ์ ฯลฯ ซงึ่ เปน็ ทร่ี บั รกู้ นั วา่ ทา่ นเหลา่ นเ้ี ปน็ ผวู้ างพน้ื
ฐานและต่อสู้เพ่อื ประชาธิปไตยของประเทศไทย ในสมยั ดงั กล่าวน้ี พวกเขาประสบผลส�ำ เรจ็ ใน
การจดั ใหม้ รี ฐั ธรรมนญู ของประเทศไทยขน้ึ เมอ่ื ปี 1946 (พ.ศ.2489) นบั วา่ เปน็ รฐั ธรรมนญู ทเี่ ปน็
ประชาธิปไตยมากที่สุดในยุคน้ัน
ในสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของประชาชนชาวมุสลิมที่กำ�ลังเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ
อยู่นั้นนายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำ�เร็จราชการแทนพระองค์ ได้เข้ามามีบทบาทในการลด
ความตงึ เครยี ดดงั กลา่ ว ในบทบาทของทา่ นครงั้ นี้ ทา่ นไดร้ บั ค�ำ แนะน�ำ จาก นายแชม่ พรหมยงค์
(ซมั ซดุ ดนี มสุ ตาฟา) ท�ำ ใหเ้ มอื่ วนั ท่ี 8 พฤษภาคม 1945 (พ.ศ. 2488) รฐั บาลของนายควง อภยั วงศ์
ไดเ้ สนอกฎหมายการบรหิ ารวา่ ดว้ ยอสิ ลามซงึ่ เรยี กวา่ พระราชบญั ญตั ศิ าสนปู ถมั ภ์ ฝา่ ยอสิ ลาม
พุทธศักราช 2488 นับว่าเป็นกฎหมายบริหารอิสลามฉบับแรกในประวัติศาสตร์การเมืองใน
ระบอบประชาธปิ ไตยของไทย ในมาตรา 4 ของพรบ. ฉบบั นี้ ไดเ้ ปดิ ชอ่ งทางใหจ้ ดั ตงั้ สถานศกึ ษา
เพอื่ จดั การศกึ ษาอบรมใหแ้ กย่ วุ ศาสนกิ ทเ่ี รยี กวา่ วทิ ยาลยั อสิ ลามแหง่ ประเทศไทย เปดิ ท�ำ การ
สอนเม่อื วนั ที่ 20 กรกฎาคม 1950 (พ.ศ. 2493) มนี ายรังสฤษฏ์ เชาวน์ศริ ิ เป็นอาจารย์ใหญ่คน
แรก กฎหมายฉบับนไ้ี ดจ้ ัดให้มี ตำ�แหนง่ จุฬาราชมนตรี ขึน้ มาอย่างเป็นทางการ ในฐานะเปน็
ผู้นำ�ศาสนาอิสลามประจ�ำ ชาติ นอกจากนน้ั องคก์ รอสิ ลามในระดับชาติและระดบั ท้องถน่ิ กถ็ ูก
แตง่ ตง้ั ขนึ้ อยา่ งเปน็ ทางการเชน่ เดยี วกนั คอื กรรมการอสิ ลามแหง่ ประเทศไทย กรรมการอสิ ลาม
ประจ�ำ จงั หวดั ซงึ่ รจู้ กั กนั ในนามมจั ลสิ ศาสนาอสิ ลามประจ�ำ จงั หวดั และกรรมการอสิ ลามประจ�ำ
มสั ยดิ เมอ่ื วันที่ 22 กรกฎาคม 1945 (พ.ศ. 2488) กรรมการกลางอสิ ลามนำ�โดยมสุ ลิมบางกอก
ไดเ้ ลอื ก นายแชม่ พรหมยงค์ เปน็ จฬุ าราชมนตรคี นแรกบนพนื้ ฐานของกฎหมายอสิ ลาม ดว้ ย
เหตุท่ีท่านมีเช้ือสายมลายูและสามารถใช้ภาษามลายูได้ดี ดังน้ันจึงเป็นการง่ายต่อการประสาน
รายวชิ า ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 67
งานระหวา่ งผนู้ ำ�อสิ ลามในสจ่ี งั หวดั และใหร้ ายละเอยี ดและค�ำ อธิบายเก่ยี วกับกฎหมายอิสลาม
จากความพยายามของทา่ นจฬุ าราชมนตรที เี่ ขา้ ใจปญั หาของสงั คมอสิ ลามเปน็ อยา่ งดี ท�ำ ใหผ้ นู้ �ำ
สังคมอิสลามเห็นด้วยท่ีจะสานต่อบทบาทและมีช่องทางต่อสู้ของพวกเขาผ่านองค์กรอิสลามท่ี
รัฐบาลได้จัดต้ังข้ึนอย่างเป็นทางการ
เมอ่ื เดือนกรกฎาคมปี 1945 (พ.ศ. 2488) บรรดาอหิ ม่ามจากสจ่ี งั หวดั ได้มารวมตัวกัน
ที่จังหวัดของตนเป็นครั้งแรก โดยจัดให้มีการเลือก กรรมการอิสลามประจำ�จังหวัด ในแต่ละ
จงั หวัดจ�ำ นวน 15 คน หลงั จากนัน้ ได้มกี ารเลอื กประธานคณะกรรมการ ประธาน
มจั ลิสศาสนาอิสลาม ซ่งึ ผูท้ ี่ถูกเลือกเปน็ ประธานแตล่ ะจังหวัดนั้น มดี งั น้ี
1. ฮัจยีสุหลง บนิ อบั ดลุ กอเดรฺ จังหวดั ปตั ตานี
2. ฮจั ยีมุสตอฟา บิน ฮะยีอาวงั จังหวดั ยะลา
3. ฮัจยีนิยดิ สุเดา จังหวดั นราธวิ าส
4. เจะ๊ อับดลุ ลอฮ หลงั ปูเตะ๊ จงั หวดั สตลู
จากการเลือกประธานแตล่ ะจงั หวัดดงั กลา่ วนน้ั ฝา่ ยรัฐบาลได้ออกหนงั สือแต่งตั้งอยา่ ง
เปน็ ทางการเมอ่ื วนั ท่ี 30 กรกฎาคม ปี 1945 (พ.ศ. 2488)
ในสมยั การปกครองของรฐั บาลฝา่ ยพลเรอื นบนพน้ื ฐานของระบอบประชาธปิ ไตยนนั้ พบ
วา่ ได้มีการอำ�นวยความสะดวกและความเปน็ อิสระใหแ้ กช่ าวมสุ ลมิ มากขึน้ ในสถานการณก์ าร
เปลย่ี นแปลงทางการเมอื งโฉมใหมน่ ี้ ผนู้ �ำ อสิ ลามมคี วามชอบธรรมทจ่ี ะเคลอื่ นไหวและมบี ทบาท
ตามหนา้ ท่ที ีไ่ ด้รับมอบหมาย ทงั้ ในบทบาทของผู้น�ำ ทางการเมอื ง และผนู้ ำ�ทางศาสนา
ดว้ ยเหตทุ ีส่ งั คมอสิ ลามในสามจังหวัดภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธวิ าส) ส่วนใหญ่
ไมไ่ ดใ้ หค้ วามส�ำ คญั กบั การเลอื กตงั้ ผแู้ ทนราษฎรมาตง้ั แตป่ ี 1943 (พ.ศ. 2486) ท�ำ ใหส้ ามจงั หวดั
ดังกล่าวไมม่ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทีเ่ ป็นมุสลมิ เลยในภาคใต้ มีเพยี งจังหวดั สตูลเท่านั้นทมี่ ีผู้
แทนราษฎรทีเ่ ปน็ มสุ ลมิ นน่ั คอื นายเจะ๊ อับดลุ ลอฮ หลงั ปเู ต๊ะ ถึงกระนน้ั กต็ ามมีผู้แทนมสุ ลิม
จ�ำ นวน 2 คนจากกรงุ เทพฯ น่ันคอื นายรังสฤษฏ์ เชาวนศ์ ริ ิ และ นายบรรจง ศรีจรูญ บุคคล
ทัง้ สามได้ร่วมกนั กอบกสู้ ถานภาพของมุสลมิ ภาคใต้ โดยเฉพาะบทบาทของนายบรรจง ศรจี รญู
ท่ีบีบให้รัฐบาลคืนสิทธิเสรีภาพให้แก่ชาวมุสลิม โดยเฉพาะสิทธิที่พึงได้รับก่อนหน้าน้ี ส่วน
นายรงั สฤษฏ์ เชาวน์ศิริ และนายเจ๊ะอบั ดุลลอฮ หลังปูเต๊ะ ได้เรยี กร้องใหร้ ฐั บาลปรีดี พนมยงค์
อนุญาตให้ โต๊ะครูปอเนาะสามารถสอนศาสนาโดยใช้ภาษามลายูและภาษาอาหรับต่อไปได้
นอกจากนนั้ ยงั ขอใหป้ อเนาะนนั้ เปน็ รปู แบบหนงึ่ ของสถาบนั ชมุ ชนมสุ ลมิ ทไี่ มต่ อ้ งถกู จดั ระเบยี บ
โดยพระราชบญั ญตั โิ รงเรยี นเอกชนปี 1943 (พ.ศ. 2486)
ผลของการแสดงบทบาททางของนักการเมืองมุสลิมผ่านรัฐสภา รวมทั้งบทบาทของ
นายแชม่ พรหมยงค์ ในฐานะจฬุ าราชมนตรี ท�ำ ใหไ้ ดม้ กี ารคนื กฎหมายอสิ ลามเกยี่ วกบั ครอบครวั
68
68 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
และมรดก เพ่ือประกาศใช้ในส่ีจังหวัดภาคใต้ พร้อมท้ังได้คืนตำ�แหน่งดะโต๊ะยุติธรรมท่ีเคยถูก
ยกเลิกไป
ความก้าวหน้าทางการเมืองในสมัยรัฐบาลฝ่ายพลเรือนนี้ จึงมีผู้นำ�ศาสนาที่มีบทบาท
สำ�คัญในประเทศ โดยผ่านองค์กรศาสนาท่ีทางฝ่ายรัฐบาลจัดให้มีข้ึนในจังหวัดท่ีมีจำ�นวน
ประชากรนับถือศาสนาอิสลามเป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกำ�หนด บรรดาองค์กรที่เป็นทางการซ่ึงมี
บทบาทส�ำ คัญน้นั คือ มัจลิสศาสนาอิสลามประจำ�จงั หวดั หรอื มัจลิสอัชชรู อ น�ำ โดยประธาน
ของแตล่ ะมัจลิส ในวันที่ 11 กรกฎาคม 1946 (พ.ศ. 2489) มีการพบปะกันครงั้ แรกระหว่างตวั
แทนมจั ลสิ ศาสนาอสิ ลามทมี่ าจากสจี่ งั หวดั สถานทป่ี ระชมุ คอื จงั หวดั ยะลา การพบกนั ครง้ั นจ้ี ดั
โดยฮัจยสี หุ ลง บิน อับดุลกอเดรฺ ซงึ่ มหี นา้ ท่ีรับผิดชอบในการประสานงานคร้ังน้ี
ในบทบาทหน้าท่ีท่ีชัดเจนข้ึน ทั้งการรับมือและการร่วมมือกับรัฐบาล ชาวมุสลิมได้ส่ง
หนังสือรอ้ งเรียนไปยงั รัฐบาล จากหนงั สอื ร้องเรียนทีม่ เี ปน็ จำ�นวนมากน้นั พลเรือตรถี วัลย์ ธำ�รง
นาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรใี นขณะนั้น ไดจ้ ัดให้มีคณะกรรมการเฉพาะกจิ ในวันท่ี 20 มีนาคม
1947 (พ.ศ. 2490) ช่อื ว่า กรรมการสอดส่องภาวการณใ์ นสจ่ี งั หวัดภาคใต้ คณะกรรมการชุด
น้ีประกอบด้วยคณะบุคคลได้แก่นายอุดม บุญประกอบ ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทย
ภาค 5 พระยาอุดลยการ โกวทิ ขา้ หลวงยุติธรรมภาค 5 นายละม้าย จุฬาสมัย ข้าหลวงตรวจ
การกระทรวงศึกษาธิการภาค 5 นายแช่ม พรหมยงค์ จุฬาราชมนตรี และนายสังข์ สุขบุตร
ผแู้ ทนกระทรวงพาณชิ ย์ หนา้ ทส่ี �ำ คญั ของคณะกรรมการชดุ นคี้ อื ตรวจสอบและสอบสวนภาวะ
ทแี่ ทจ้ รงิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในภาคใตเ้ พอื่ สามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยเรว็ เมอื่ มกี ารแจง้ ใหท้ ราบวา่ คณะกรรมการ
ชุดน้ีจะมาทปี่ ตั ตานี ในวันท่ี 3 เมษายน 2490 ฮจั ยสี ุหลงในฐานะประธานมจั ลิสศาสนาอสิ ลาม
และผนู้ �ำ ชาวมสุ ลมิ ปตั ตานไี ดม้ กี ารประชมุ ครงั้ ใหญข่ นึ้ ในวนั ที่ 1 เมษายน 2490 ณ มจั ลสิ ศาสนา
อสิ ลามจงั หวดั ปตั ตานี ผแู้ ทนชาวมสุ ลมิ ทมี่ าในการประชมุ ครงั้ นม้ี ปี ระมาณ 100 คน การประชมุ
ครัง้ ส�ำ คัญนี้ได้ขอ้ สรปุ 7 ประการท่จี ะเสนอแกร่ ฐั บาลโดยผ่านคณะกรรมการเฉพาะกจิ ชดุ น้ี ขอ้
เสนอ 7 ประการ ซง่ึ หนงั สอื น�ำ สง่ ใชค้ �ำ วา่ “ค�ำ ขอรอ้ งในการปฏบิ ตั ทิ างศาสนาอสิ ลามและอนื่ ๆ”
ปัจจบุ ันจัดเกบ็ อยทู่ ห่ี อสมดุ แหง่ ชาติ กรงุ เทพมหานคร มีขอ้ ความดังน้ี
1. ขอให้มกี ารปกครองใน 4 จงั หวดั ปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส โดยมผี ดู้ ำ�รงตำ�แหนง่
อย่างสูงให้มีอำ�นาจในการศาสนาอิสลามและมีอำ�นาจแต่งต้ังข้าราชการใน 4 จังหวัดโดย
สมบูรณ์ และให้ออกโดยเหตุประการต่าง ๆ ผู้ที่จะดำ�รงตำ�แหน่งสูงนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4
จงั หวดั นี้ และเปน็ ผทู้ ไี่ ดร้ บั เลอื กจากปวงมสุ ลมิ ภาคน้ี โดยจะใหม้ กี �ำ หนดเวลาด�ำ รงต�ำ แหนง่
ตามทางราชการกไ็ ด้
2. ข้าราชการในแต่ละแผนกใน 4 จังหวัดน้ี ให้มีมลายู 80 เปอร์เซ็นตป์ ระกอบอยดู่ ว้ ย
3. การใช้หนงั สอื ในราชการให้ใช้ภาษามลายูและใช้ควบกับภาษาไทยดว้ ย เชน่ แบบฟอร์มหรือ
รายวิชา ที่ 1 ประวัต ศิ าสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 69
ใบเสรจ็ ต่าง ๆ จะตอ้ งใหม้ ีภาษามลายูดว้ ย
4. การศกึ ษาในโรงเรยี นชน้ั ประถมให้มกี ารศึกษาภาษามลายูตลอดประถมบรบิ ูรณ์
5. ขอใหม้ ศี าลรบั พจิ ารณาตามกฎหมายอสิ ลามแยกออกจากศาลจงั หวดั ทม่ี แี ลว้ มโี ตะ๊ กาลตี าม
สมควรและมเี สรีในการพิพากษาชข้ี าดความ
6. ผลประโยชนจ์ ากรายไดต้ า่ ง ๆ จะตอ้ งใชจ้ า่ ยในภาค 4 จงั หวดั น้ี โดยไมแ่ บง่ จา่ ยใหแ้ กท่ อี่ น่ื เลย
7. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำ�จังหวัดน้ีมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเก่ียวกับการปฏิบัติการ
ศาสนาอิสลามโดมความเหน็ ชอบของผมู้ อี ำ�นาจสูง (ตามขอ้ 1)
เมอ่ื คณะกรรมการเฉพาะกจิ เดนิ ทางมาถงึ จงั หวดั ปตั ตานใี นวนั ที่ 3 เมษายน 1947 (พ.ศ.
2490) ข้อเสนอทัง้ 7 ก็ถูกเสนอขน้ึ นอกจากน้ันท่นี ราธิวาสภายใตก้ ารนำ�ของ ฮจั ยดี าวูด บนิ
ฮจั ยมี ะดเี ยาะในฐานะประธานมจั ลสิ ศาสนาอสิ ลามนราธวิ าส ไดเ้ สนอขอ้ เรยี กรอ้ ง 11 ขอ้ ดว้ ยกนั
โดย 7 ขอ้ นน้ั เหมอื นกนั กบั ทมี่ จั ลสิ ศาสนาอสิ ลามปตั ตานไี ดเ้ สนอมา สว่ นทนี่ อกเหนอื จากนน้ั อกี
4 กค็ ือ ใหว้ นั ศุกรเ์ ป็นวนั หยดุ ของทางราชการ ให้มีการถ่ายทอดสื่อวทิ ยุภาษามลายู ไม่ใหเ้ รยี ก
ชาวมลายูว่าแขก และให้มีการจัดระบบการศึกษาแบบใหม่ จังหวัดสตูลได้ยื่นข้อเรียกร้องด้วย
เช่นกัน แต่เน้ือหาน้อยกว่าของจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส ข้อเรียกร้องจากสตูลนำ�เสนอโดย
เจะ๊ อบั ดลุ ลอฮ หลงั ปเู ตะ๊ นอกจากนน้ั คณะกรรมการเฉพาะกจิ ยงั ไดเ้ ปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนเขา้
มาเรียกร้องโดยตรง ข้อเรียกร้องดังกลา่ วมีมากมายดว้ ยกัน สว่ นใหญแ่ ลว้ จะเก่ยี วกับการปฏบิ ัติ
ท่ไี มเ่ ป็นธรรมจากทางราชการไทย
เมอื่ เหน็ วา่ มขี อ้ เรยี กรอ้ งหลายขอ้ เชน่ นี้ ฝา่ ยรฐั บาลจงึ ไดจ้ ดั ใหม้ คี ณะกรรมการเพอ่ื ศกึ ษา
และสอบสวนขนึ้ คณะกรรมการชดุ นเี้ รยี กวา่ คณะกรรมการสอบสวนค�ำ รอ้ งทกุ ขข์ องชาวไทย
อสิ ลาม คณะกรรมการชุดนีป้ ระกอบด้วยผูแ้ ทนกระทรวงและส�ำ นกั งานที่มขี า้ ราชการทถ่ี ูกรอ้ ง
เรยี น คณะกรรมการชดุ นไี้ ดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี งั้ แตเ่ ดอื นกรกฎาคม 1947 (พ.ศ.2490) โดยสอบสวน
คำ�ร้องและคำ�ฟ้องที่เขียนมา แต่สุดท้ายปรากฏว่าไม่มีข้าราชการหน่วยงานใดเลยท่ีถูกลงโทษ
เพราะไมม่ หี ลกั ฐานทเ่ี พยี งพอ ค�ำ ตดั สนิ ของคณะกรรมการชดุ นที้ �ำ ใหช้ าวมสุ ลมิ ไมพ่ อใจอยา่ งยงิ่
และรสู้ ึกวา่ ทางการไมม่ เี จตนาจรงิ ใจทจี่ ะแกไ้ ขปญั หาในจังหวัดภาคใต้ แมว้ า่ การปฏิรูปเก่ียวกบั
การเมืองและการปฏิบัติได้ดำ�เนินโดยฝ่ายรัฐบาลในการให้อิสระและความสะดวกแก่ชาวมุสลิม
มากขึน้ แตย่ ังเห็นว่าขอ้ เสนอท้งั 7 ขอ้ ทเ่ี รียกรอ้ งไปนนั้ ไม่มกี ารตอบรบั จากรฐั บาลแต่อยา่ งใด
แม้ว่าการปฏิรูปนโยบายและแนวปฏิบัติได้รับการดำ�เนินการโดยฝ่ายรัฐบาลในการให้
เสรีภาพและให้ความสะดวกแก่สังคมมุสลิมมากข้ึนก็ตาม แต่ข้อเสนอทั้ง 7 ข้อหลักก็ไม่ได้รับ
การตอบรับ ด้วยเหตุน้ีการกดดันจึงยังมีต่อไป ทั้งนี้เพ่ือให้รัฐบาลมีคำ�ตอบท่ีชัดเจน นายเจริญ
สบื แสง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวัดปตั ตานี ซึง่ มคี วามสัมพนั ธ์สนิทสนมกับฮัจยสี หุ ลงก็ได้
70
70 รายวิชาที่ 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
ทำ�หนงั สือไปยงั รัฐบาลในคราวประชมุ รฐั สภาเมอื่ วันท่ี 4 กนั ยายน 1947 (พ.ศ. 2490) เกี่ยว
กับค�ำ เรยี กร้อง 7 ขอ้ ฝ่ายรฐั บาลตอบวา่ กำ�ลังพิจารณาเร่อื งน้ีอยู่ ท่าทขี องรฐั บาลเชน่ น้ี ทำ�ให้
ฮัจยสี หุ ลงและชาวมุสลิมภาคใตผ้ ิดหวงั มาก ข้อเรยี กรอ้ งของพวกเขาเกีย่ วกับการแต่งตงั้ ดะโต๊ะ
ยตุ ธิ รรม สถานะศาลชะรอี ะฮฺ และขอ้ เรยี กรอ้ ง 7 ขอ้ นน้ั ไมม่ คี วามคบื หนา้ เลย ฮจั ยสี หุ ลงจงึ ยงั คง
เรยี กร้องและกดดันรัฐบาลต่อไป ซง่ึ ตอนนั้นท่านได้ม่งุ ไปทส่ี องสถาบนั ศาสนาคือ สถาบันมสั ยดิ
และสถาบันปอเนาะ ดงั นนั้ ประชาชนจงึ ถกู เรยี กใหม้ ารวมตวั กนั ทีม่ ัสยดิ และปอเนาะ
เมอื่ วนั ที่ 15 มกราคม 1948 (พ.ศ. 2491) ขณะทก่ี �ำ ลงั มกี ารลา่ รายชอื่ อยนู่ นั้ ฮจั ยสี หุ ลง
ถกู จบั กมุ ตัวพร้อมกบั เพ่ือนคือ วนั อุสมาน บนิ วนั มุฮมั มัด ฮัจยวี ันฮเุ ซน็ วนั ดนี และวนั มุฮัมมัด
อามีน บิน ซีดีน แม้ว่าการล่ารายช่ือโดยตัวแทนดังกล่าวน้ัน พระยารัตนภักดีข้าหลวงปัตตานี
รับรู้อยู่ทุกระยะ จากการท่ีฮัจยีสุหลงถูกจับตัวไปนั้นทำ�ให้ความพยายามที่จะเจรจาจึงชะงักลง
ความเคล่ือนไหวกดดันรัฐบาลและปฏิกิริยาต่อต้านการปกครองย่ิงฝังลึกและขยายออกไปใน
มวลหมูช่ าวมลายมู ุสลมิ
ปฏิกริ ิยาของสงั คมมสุ ลิมและการเคล่อื นไหวต่อต้านรฐั บาล
ขา่ วการจบั กมุ ตวั ฮจั ยสี หุ ลงแพรส่ ะพดั ไปทว่ั ชาวมสุ ลมิ ทง้ั ในและนอกประเทศมปี ฏกิ ริ ยิ า
กบั เหตุการณ์ดังกลา่ ว วนั ที่ 19 มกราคม 1948 (พ.ศ. 2491) จงึ เกดิ การประท้วงขนึ้ ทห่ี น้าสถานี
ต�ำ รวจตะลบุ นั อ�ำ เภอสายบรุ ี สถานทซ่ี งึ่ ฮจั ยสี หุ ลงถกู กกั ขงั ไวใ้ นชว่ งแรก ผมู้ าประทว้ งไดเ้ รยี กรอ้ ง
ใหร้ ฐั บาลปลอ่ ยตวั ฮจั ยสี หุ ลง และใหม้ กี ารประกนั ตวั ออกมา แตไ่ มม่ เี สยี งตอบรบั ตอ่ ขอ้ เสนอดงั
กลา่ ว ต่อมาฮะยสี ุหลงถูกยา้ ยท่ีคุมขังไปอยู่ในเรือนจ�ำ ปัตตานี วนั ที่ 22 มกราคม 1948 เกิดการ
รวมตัวกันของผู้นำ�ศาสนา ประกอบด้วยเหล่าโต๊ะครูและอิหม่ามจำ�นวนนับร้อยคนมารวมตัว
กันทสี่ �ำ นักงานมัจลสิ ศาสนาอิสลามจังหวดั ปตั ตานี ซ่งึ ได้แสดงความภักดีอยา่ งมัน่ คงและหว่ งใย
ในความปลอดภยั ของฮัจยีสุหลง จากน้นั พวกเขากผ็ ลดั เปลี่ยนกนั เขา้ เย่ียมฮัจยีสหุ ลงในเรือนจำ�
นอกจากนน้ั พวกเขายงั ไดส้ ง่ โทรเลขไปยงั นายกรฐั มนตรเี พอื่ ใหป้ ลอ่ ยตวั ฮจั ยสี หุ ลง ปฏกิ ริ ยิ าของ
ชาวมสุ ลมิ ดงั กลา่ วท�ำ ใหร้ ฐั บาลหวน่ั เกรงการกระทบกระทงั่ และสถานการณจ์ ะยดื เยอื้ บานปลาย
ต่อไป การสอบสวนคดีความของฮจั ยสี ุหลงจงึ ถกู ย้ายไปทศี่ าลจังหวดั นครศรธี รรมราช
ผลตอ่ เนอื่ งจากเหตกุ ารณค์ รง้ั นท้ี �ำ ใหช้ าวมสุ ลมิ ภาคใตไ้ ดก้ อ่ ตงั้ องคก์ รสมาคมมลายเู พอื่
ต่อส้ขู ึน้ เป็นคร้ังแรก และเปิดตวั เปน็ ทางการท่เี มอื งโกตาบารู รฐั กลนั ตัน สหพันธรัฐมลายู เมื่อ
วนั ท่ี 5 มนี าคม 1948 โดยมีชอ่ื เรียกว่า Gabungan Melayu Patani Raya หรือ GAMPAR
(Nik Anuar Nik Mamad, 1999) ซ่งึ มเี ปา้ หมายการจดั ตัง้ ดังนี้
1. รวม 4 จังหวัด คือปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส และสตูล เปน็ รัฐมลายูอสิ ลาม และปลด
ปลอ่ ยชนชาติมลายใู น 4 จังหวดั จากการดถู กู ขม่ เหง กดขี่ เอารัดเอาเปรยี บ
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 71
2. จัดให้มกี ารปกครองท่เี หมาะสมกับความต้องการและจดุ ยืนของชนชาติมลายู
ขนบธรรมเนียมประเพณี และศาสนาอสิ ลาม
3. ยกฐานะของชนชาตมิ ลายู และคณุ ภาพชวี ติ ในฐานะภมู บิ ุตร มีสถานภาพสูงในด้าน
มนษุ ยธรรม ความยตุ ธิ รรม เสรีภาพ และการศกึ ษาท่เี หมาะสมกบั กาลเวลา
ความเคลอื่ นไหวทางการเมืองสมยั รฐั บาลจอมพล ป. พิบลู สงคราม ปี 1948-1957
จอมพล ป. พิบูลสงครามได้รับการแต่งต้ังให้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง เมื่อวันท่ี
8 เมษายน 1948 ในครั้งน้ีทา่ นสามารถครองอ�ำ นาจไปจนถงึ ปี 1957 ซงึ่ เปน็ เวลาท่ีนานมาก
เกือบหน่ึงทศวรรษ เกีย่ วกับปัญหาชาวมุสลิมภาคใต้น้ัน จอมพล ป. ทราบดวี ่าการเมืองรัฐนยิ ม
ทปี่ ระกาศใชม้ าครงั้ แรกนนั้ ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การตอ่ ตา้ นจากชาวมสุ ลมิ อยา่ งกวา้ งขวาง ประสบการณ์
ครัง้ นัน้ ท�ำ ให้จอมพล ป. มงุ่ ความสนใจไปทีก่ ารแกป้ ญั หาชาวมุสลิมในส่ีจงั หวดั ภาคใต้เป็นการ
เฉพาะ
ดว้ ยเหตนุ ้ี เมอื่ จดั ตงั้ คณะรฐั มนตรแี ลว้ เสรจ็ เมอื่ วนั ท่ี 15 เมษายน 1948 เจะ๊ อบั ดลุ ลอฮ
หลงั ปเู ตะ๊ ถกู แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ รฐั มนตรเี ฉพาะในกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซง่ึ เรยี กวา่ รฐั มนตรสี งั่ ราชการ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ไดแ้ ถลงนโยบายการปกครองภาคใต้ ดงั น้ี
1. รฐั บาลจะจดั ใหม้ คี ณะกรรมการขนึ้ คณะหนง่ึ เรยี กวา่ คณะกรรมการพจิ ารณาปรบั ปรงุ การ
ปกครอง 4 จังหวดั ภาคใต้
2. รฐั บาลจะพยายามจดั ใหม้ รี ปู แบบการปกครองในภาคใตใ้ หเ้ หมาะสมกบั วฒั นธรรมของชาว
มสุ ลิม
3. รัฐบาลจะพยายามปรับปรุงระเบียบการศึกษาในสี่จังหวัดภาคใต้ โดยจัดให้มีการเรียน
การสอนภาคภาษามลายใู นระดับการศึกษาประถมศึกษาแหง่ ชาติ
4. รฐั บาลจะใหก้ ารสนบั สนนุ กจิ กรรมทางศาสนาอสิ ลาม โดยการจดั ใหม้ มี สั ยดิ ประจ�ำ จงั หวดั
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายการปกครองภาคใต้ของรัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลสงครามทปี่ ระกาศน้ี ไมไ่ ด้ทำ�ใหท้ ่าทขี องมสุ ลมิ ในสามจงั หวดั เปล่ยี นแปลงไปในทางท่ีดีนัก
เนอ่ื งจากชาวมสุ ลมิ ในสามจงั หวดั ใหค้ วามส�ำ คญั กบั ฮจั ยสี หุ ลง และไมไ่ ดย้ ดึ ตดิ กบั เจะ๊ อบั ดลุ ลอฮ
หลังปูเต๊ะเท่าใดนัก เป็นที่รับรู้ว่าพวกเขาโดยท่ัวไปไม่ได้ภูมิใจกับการแต่งตั้งเจ๊ะอับดุลลอฮเป็น
รฐั มนตรใี นครง้ั นแี้ ตป่ ระการใด ขณะทใี่ นเวลานนั้ ฮจั ยสี หุ ลงยงั อยใู่ นเรอื นจ�ำ ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ พวกเขา
ยงั จดจ�ำ ถงึ ทา่ ทขี องเจะ๊ อบั ดลุ ลอฮในทางลบทม่ี ตี อ่ การจดั ตงั้ ศาลชะรอี ะฮทฺ มี่ จั ลสิ ศาสนาอสิ ลาม
ในสามจงั หวดั ตามทไ่ี ดต้ อ่ สกู้ นั มา ซง่ึ อยภู่ ายใตก้ ารน�ำ ของฮจั ยสี หุ ลง ขณะทน่ี โยบายเฉพาะกจิ ที่
72
72 รายวชิ าท่ี 1 ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
รัฐบาลจอมพล ป. พบิ ูลสงครามร่างมาน้ัน ส่วนใหญแ่ ล้วไมไ่ ด้รบั ความสนใจจากชาวมุสลิมภาค
ใตเ้ ทา่ ใดนกั โดยยงั ยดึ ตดิ กบั ขอ้ เรยี กรอ้ ง 7 ขอ้ ตามทไ่ี ดย้ น่ื เสนอไวซ้ งึ่ พวกเขาเหน็ วา่ รฐั บาลไมไ่ ด้
ตอบรับขอ้ เรยี กรอ้ งดงั กลา่ วเลย แต่เร่ืองกลบั ตรงข้าม น่นั คือฮัจยีสุหลงถูกจบั กมุ คมุ ขงั จึงทำ�ให้
ชาวมุสลมิ สามจงั หวดั ไม่พอใจและเคลื่อนไหวตอ่ ตา้ นรฐั บาล
ในสถานการณ์การเมืองภาคใต้ที่กำ�ลังตึงเครียดนี้ นายสามารถ หลอมวิโรจน์ ผู้แทน
ราษฎรจังหวัดนราธิวาส หรือที่รู้จักในนามผู้แทนอับดุลสะมัด ซ่ึงเป็นผู้แทนราษฎรมุสลิมเพียง
คนเดยี วในสามจงั หวดั ไดใ้ หค้ �ำ ปรกึ ษาแกร่ ฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงครามเพอ่ื ใหร้ บั ขอ้ เรยี กรอ้ ง
ของชาวมสุ ลมิ ดงั กลา่ ว และเขายงั เตอื นรฐั บาลวา่ ถา้ หากปญั หานไ้ี มไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข จะเกดิ ปญั หา
ความยุ่งยากขึน้ แก่รัฐบาลในการปกครองสจ่ี ังหวดั ภาคใต้ มมุ มองและขอ้ เสนอของนายสามารถ
น้ไี ม่ปรากฏว่ารัฐบาลไดแ้ สดงทา่ ทตี อบสนองแต่อย่างใด ในชว่ งการปกครองของรฐั บาลจอมพล
ป. พิบลู สงคราม วนั ที่ 25 เมษายน 1958 เกิดการปะทะกันระหวา่ งชาวมุสลมิ กบั ตำ�รวจท่บี า้ น
ดุซงญอ ซ่ึงเปน็ หมบู่ ้านท่ีตัง้ อย่ใู นอ�ำ เภอระแงะ จังหวัดนราธวิ าส ท�ำ ใหม้ ีผบู้ าดเจบ็ และเสียชีวิต
ทง้ั สองฝา่ ย เหตกุ ารณค์ รงั้ นเ้ี รยี กกนั ในหมปู่ ระชาชนวา่ การตอ่ สทู้ ดี่ ซุ งญอ ขณะทที่ างฝา่ ยรฐั บาล
เรียกเหตกุ ารณ์นว้ี ่า กบฏดุซงญอ
ขณะที่การเมืองภาคใต้อยู่ในภาวะตึงเครียดน้ัน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้
ประกาศกฎอยั การศึกขน้ึ ในสี่จังหวัดภาคใต้ โดยอา้ งเหตผุ ลส�ำ คญั เพอ่ื ปกปอ้ งจากอันตรายจาก
โจรคอมมิวนิสต์แต่เป็นที่ทราบกันว่าความเป็นจริงแล้วการประกาศดังกล่าวก็เพ่ือควบคุมและ
ตดิ ตามพฤตกิ รรมของชาวมลายูมุสลิมท่ีก�ำ ลังต่อตา้ นรฐั บาล กระนั้นกต็ าม หลงั จากการต่อสทู้ ่ี
ดุซงญอส้ินสุดลง ฝา่ ยรฐั บาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทบทวนนโยบายการปกครองภาคใต้
ใหม่อีกคร้ัง ส่ิงที่รัฐบาลเห็นว่าพึงกระทำ�เร่งด่วนในขณะนั้น คือการประกาศให้วันศุกร์เป็นวัน
หยุดทางราชการในสี่จังหวัดภาคใต้ อย่างไรก็ตามประกาศดังกล่าวไม่ได้รับความสนใจจากชาว
มุสลิมเท่าใดนัก เพราะไม่ได้เก่ียวกับข้องกับข้อเรียกร้อง 7 ประการท่ีเสนอไปแล้ว แต่ก็ทำ�ให้
ความตึงเครยี ดลดลงไปบา้ ง
นอกจากการเปลย่ี นแปลงขา้ งตน้ แลว้ รฐั บาลยงั มกี ารเปลยี่ นแปลงทเี่ ปน็ แนวโนม้ ทด่ี อี กี
เรอื่ งหนง่ึ คอื ดา้ นการศกึ ษา สง่ิ นเ้ี ปน็ ภารกจิ โดยตรงของเจะ๊ อบั ดลุ ลอฮ หลงั ปเู ตะ๊ ในฐานะทเ่ี ปน็
รฐั มนตรสี งั่ ราชการในกระทรวงศกึ ษาธกิ าร สงิ่ ทเ่ี ขาไดด้ �ำ เนนิ การคอื การอนมุ ตั ใิ หม้ กี ารเรยี นการ
สอนภาษามลายใู นโรงเรยี นประถมศึกษา เรมิ่ ต้ังแตว่ นั ที่ 12 กรกฎาคม 1948 ภายใตโ้ ครงการ
“การใช้หลักสูตรการศึกษาภาษามลายูและศาสนาอิสลามในโรงเรียนประถมของรัฐบาล”
โครงการน้ีได้รับความสนใจจากชาวมุสลิมพอสมควร ดังน้ันเมื่อ 4 ตุลาคม 1948 กระทรวง
ศึกษาธิการจึงกำ�หนดให้เป็นหลักสูตรท่ีเป็นทางการโดยถือว่าเป็นโครงการสำ�คัญตามนโยบาย
ของรัฐบาล นอกจากน้ัน ในปี 1950 รัฐบาลได้อนุมัตใิ หก้ ระทรวงศกึ ษาธกิ ารจัดทำ� “หลักสูตร
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ศิ าสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 73
การศึกษาเฉพาะสำ�หรับอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย” ซ่ึงมีศูนย์กลางอยู่ท่ีกรุงเทพฯ มี
เป้าหมายเพื่อให้เป็นวิทยาลัยการศึกษาท่ีมีบทบาทสำ�คัญในสังคมมุสลิม ในการผลิตนักศึกษา
ให้สามารถทำ�งานภาคราชการได้
กลางเดอื นกรกฎาคม 1952 ฮัจยสี ุหลงพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ� หลงั จากท่ีถกู คุมขงั
นาน 4 ปี การกลบั มาของฮจั ยสี หุ ลงครงั้ นี้ได้รบั การต้อนรับจากชาวมุสลมิ อยา่ งอบอนุ่ แสดงถึง
ความมุ่งม่ันศรัทธาและความหวังในความเป็นผู้นำ�ของเขา ฮัจยีสุหลงมีบทบาทอีกคร้ังในฐานะ
โตะ๊ ครู ท�ำ การสอนประชาชน ณ มัดรอซะฮฺ อัลมะอาริฟ อลั วะฏอนียะฮฺ ฟาฏอนี หลังจากที่
ถกู ปดิ ทำ�การสอนไปนานถึง 4 ปี 6 เดือน การศึกษาศาสนาท่ีทำ�การสอนโดยโต๊ะครฮู ัจยีสุหลง
ครั้งหลงั นี้ ไดร้ บั การตอบรับอย่างลน้ หลาม ในเวลานัน้ มัดรอซะฮฺ อัลมะอาริฟ อัลวะฏอนยี ะฮฺ
ฟาฏอนี ได้กลายเป็นสถานที่เผยแพร่ความรู้ท่ีมีชื่อเสียง อีกท้ังยังเป็นที่ต้องการของสังคม
กิจกรรมของฮัจยีสุหลงและการที่ได้รับการต้อนรับจากชาวมุสลิมจากหลากหลายถ่ินที่มา
เย่ียมเยียนสถานที่สอนของท่าน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลรับรู้เป็นอย่างดีและเฝ้าติดตามพฤติกรรม
ของฮจั ยสี หุ ลงทกุ ฝกี า้ วอกี ครง้ั การตอบรบั ของประชาชนตอ่ ตวั ฮจั ยสี หุ ลงครงั้ ใหมน่ ี้ รฐั บาลกลบั
มองว่าเหตกุ ารณ์จะบานปลาย พระยารตั นภักดี ขา้ หลวงผูว้ ่าการเขต 9 จึงไดอ้ อกคำ�สงั่ ลงวนั ท่ี
24 ธันวาคม 1953 ให้ปิดสถานที่สอนศาสนาของฮัจยีสุหลงและไม่อนุญาตให้ฮัจยีสุหลง
ทำ�การสอนอกี ต่อไป ทำ�ใหฮ้ ัจยีสหุ ลงต้องสง่ ข้อความทางโทรเลข ลงวนั ที่ 25 ธนั วาคม 1953
ไปยังหลวงสุนาวินวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พรอ้ มดว้ ยจดหมายลงทะเบียนที่
อธิบายว่าทา่ นไม่ไดม้ เี จตนาท่จี ะตอ่ ตา้ นรัฐบาลและไมไ่ ด้ต้องการอสิ รภาพ ข้อความโดยสรปุ ใน
จดหมายมใี จความส�ำ คญั ตอนหนง่ึ วา่ “กระผมสอนศาสนาใหแ้ ก่ผทู้ ี่มาเรยี นดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ิ
ใจ ในปจั จบุ นั นีก้ ระผมไม่เคยไปไหน แม้กระทง่ั กินเหนียวหรือไปเยยี่ มศพ เพราะเกรงว่าจะ
ถกู กลา่ วหาว่ากระทำ�การมชิ อบ”
รฐั มนตรมี หาดไทยไดส้ ง่ หนงั สอื ตอบรบั ไปวา่ หนงั สอื รอ้ งเรยี นดงั กลา่ วจะน�ำ ไปพจิ ารณา
ตอ่ ไป ซง่ึ ในความจรงิ นน้ั จดหมายดงั กลา่ วไมป่ รากฏวา่ ไดม้ กี ารน�ำ ไปพจิ ารณาหรอื ไมอ่ ยา่ งไร ซงึ่
เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ วา่ การปฏบิ ตั ขิ องขา้ หลวงผวู้ า่ การเขต 9 นนั้ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากรฐั บาล
การท่ีรัฐบาลปิดสถานท่ีสอนศาสนาน้ันกลายเป็นเรื่องที่ผูกโยงไปกระทบต่อรัฐบาล
อย่างง่ายดาย และส่งผลต่อความสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองอย่างใกล้ชิดกับการเมืองในภูมิภาค โดย
เฉพาะสหพันธรัฐมลายู ในขณะน้ันที่กำ�ลังจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ สถานการณ์ดังกล่าว
ทำ�ให้มีการเรียกร้องให้ส่ีจังหวัดเข้ารวมกับรัฐมลายูที่กำ�ลังจะได้รับเอกราช สถานการณ์ขณะ
น้ันทำ�ให้รัฐบาลไทยมีความกังวลเป็นทวีคูณ โดยได้เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของชาวมุสลิมด้วย
ความหวาดระแวง ในเวลาต่อมา ฮัจยีสุหลงพร้อมด้วยเพื่อนอีกสามคนก็ถูกเรียกตัวโดยตำ�รวจ
สนั ตบิ าลซึ่งมศี ูนยบ์ งั คับการอยู่ท่ีสงขลา เมอื่ วนั ศุกร์ ท่ี 13 สิงหาคม 1954 ฮจั ยี สหุ ลง พรอ้ ม
74
74 รายวชิ าท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จงั หวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยนายวันสมาน มุฮัมมดั เจ๊ะอสิ ฮาก ยซู ุฟ และอะฮมฺ ัด บิน ฮัจยี สุหลง ถูกนำ�ตวั เดนิ ทางด้วย
รถยนตจ์ ากบา้ นที่ปัตตานไี ปยังสงขลา หลังจากนั้นไม่นานข่าวการหายตัวไปของฮัจยีสหุ ลงและ
พวกก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเหตุการณ์การหายตัวไปของฮัจยีสุหลงและพวกอย่างลึกลับและไร้
ร่องรอย ทำ�ให้สถานการณ์ภาคใต้มีความตึงเครียดหนักยิ่งข้ึนไปอีก ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เช่ือว่า
ฮัจยสี ุหลงและพวกถูกฆา่ ตายทีส่ งขลาในการนำ�ตวั ไปครั้งนน้ั
ต่อมาในเดือนกันยายน 1957 จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ตไ์ ดท้ ำ�การยดึ อ�ำ นาจจากรฐั บาล
จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ดว้ ยเหตุผลทว่ี ่ารัฐบาลของจอมพล ป. พิบลู สงคราม สูญเสยี ความไว้
วางใจจากประชาชน และไม่สามารถท่ีจะรักษาความปลอดภัยและความสงบของประเทศไว้ได้
อกี ต่อไป ตัง้ แต่น้นั มาอ�ำ นาจทางการเมอื งกต็ กอยู่ในมือของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ แมว้ า่ หลงั
จากการยึดอ�ำ นาจไดแ้ ตง่ ตัง้ นายพจน์ สารสินขนึ้ มาเป็นนายกรัฐมนตรี แตก่ เ็ ปน็ รัฐบาลชั่วคราว
ซงึ่ มเี วลาเพยี ง 90 วนั เทา่ นน้ั พอถงึ กลางเดอื นธนั วาคม 1957 จงึ จดั ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ ขนึ้ ผลกค็ อื
ตน้ เดอื นมกราคม 1958 จอมพลถนอม กติ ตขิ จร ตวั แทนฝา่ ยทหารไดร้ บั การแตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ นายก
รฐั มนตรยี งั ไมท่ นั ครบหนงึ่ ปี จอมพลสฤษดกิ์ ท็ �ำ การยดึ อ�ำ นาจอกี ครง้ั เมอ่ื วนั ท่ี 20 ตลุ าคม 1958
จอมพลสฤษดจิ์ งึ กดดนั จอมพลถนอมใหล้ งจากเกา้ อน้ี ายกรฐั มนตรี ดว้ ยเหตผุ ลวา่ จอมพลถนอม
ไมส่ ามารถแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ได้ การเมอื งในจงั หวดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ เขา้ สกู่ ารเปลยี่ นแปลงอกี
ครัง้ ในเวลาต่อมา
ในชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 เปน็ ความหวงั ของชาวมลายปู ตั ตานที จี่ ะเรยี กรอ้ งความเปน็
ธรรมท่ีได้รบั ผลมาจากสนธิสญั ญากรุงเทพฯ (1909) รวมท้งั ความกดดนั อื่น ๆ จากการปกครอง
ของไทย เน่ืองจากสถานการณ์ทางการเมืองของภูมิภาคเปล่ียนไป ทำ�ให้ตนกูมัฮหมูด มัฮยิด
ดนี (Tengku Mahmood Mahyiddeen) บุตรคนสดุ ทอ้ งของตนกูอบั ดลุ กอเดร์ บิน กามารดุ
ดนิ หรือพระยาวชิ ิตภกั ดี รายาองคส์ ุดทา้ ยของเมอื งปตั ตานใี นสถานะประเทศราชของไทยกอ่ น
การจัดการปกครองเปน็ มณฑลปัตตานี ซึง่ ขณะนั้นเปน็ เจา้ หนา้ ท่มี ียศเปน็ นายพลประจำ�การใน
หนว่ ยเฉพาะกิจ 136 (Force136) ขององั กฤษทีอ่ ินเดีย ซงึ่ ก่อนหนา้ น้ันเขาเคยเรียกรอ้ งตอ่ ฝ่าย
บรหิ ารขององั กฤษในประเทศอนิ เดยี ขอใหอ้ งั กฤษเขา้ มาปกครองปตานแี ละจงั หวดั อน่ื ๆ เพอื่
ผนวกเข้ากับดินแดนมลายู ความหวังของพวกเขาเริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นหลังจากที่ประเทศ
มหาอ�ำ นาจได้มีมตใิ นการประชมุ ที่ San Francisco ในเดอื นเมษายน 1945 โดยสญั ญาวา่ จะ
ปลดปลอ่ ยรฐั หรือจังหวัดอน่ื ๆ ก็ตามท่ีตกอยู่ภายใตก้ ารยดึ ครอง โดยอาศยั แนวคิดสทิ ธิในการ
ก�ำ หนดชะตากรรมของตวั เอง (Self-Determination) ดงั นน้ั เมอ่ื วนั ท่ี 1 พฤศจกิ ายน 1945 ชาว
มลายปู ัตตานีโดยการน�ำ ของ ตนกอู ับดุล ญาลา เสนอขอ้ เรยี กรอ้ งต่อรฐั บาลอังกฤษใหส้ ีจ่ ังหวดั
ชายแดนภาคใต้ (ปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส และสตูล) ได้รับการปลดปลอ่ ยเป็นเอกราชจากการ
ยดึ ครองของไทย
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วัดชายแดนภาคใต้ 75
อยา่ งไรกต็ ามรฐั บาลองั กฤษไดเ้ ปลย่ี นจดุ ยนื ทมี่ ตี อ่ ประเทศไทย หลงั จากทส่ี งครามเอเชยี
แปซิฟิกจบลง ปัจจัยความปลอดภัยและผลประโยชน์ในดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษในเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นประเด็นพิจารณาหลักของอังกฤษในการด้านการแก้ไขนโยบายที่
มีต่อไทยและปัตตานี รัฐบาลอังกฤษมีความจำ�เป็นที่จะต้องรักษาความร่วมมือกับไทยในการ
ปกปอ้ งดนิ แดนภายใตอ้ าณตั แิ ละมคี วามส�ำ คญั ไมแ่ พก้ นั ทรี่ ฐั บาลองั กฤษตอ้ งปรบั ตวั เองใหเ้ หมาะ
สมในเรอื่ งนโยบายตอ่ ไทยกบั ขอ้ เรยี กรอ้ งของสหรัฐอเมรกิ า
การก�ำ เนดิ ขนึ้ ของพรรคคอมมวิ นสิ ตใ์ นเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ หลงั จากสงครามแปซฟิ กิ
เป็นอีกปัจจัยหน่ึงของอังกฤษท่ีจะต้องปรับนโยบาย รัฐบาลอังกฤษมองว่าประเทศไทยเป็น
ประเทศทเี่ ปน็ ทางผา่ นการบม่ เพาะของคอมมวิ นสิ ตจ์ นี รฐั บาลองั กฤษตอ้ งมน่ั ใจวา่ ประเทศไทย
มคี วามมน่ั คงตอ่ ชาตติ ะวันตกในการตอ่ สู้กบั คอมมิวนิสต์ และการเกดิ ข้ึนของพรรคคอมมิวนิสต์
ในแหลมมลายใู นปี 1948 จึงมีความจ�ำ เปน็ อย่างยิ่งทอ่ี งั กฤษต้องการยกระดับความรว่ มมือกบั
ประเทศไทยในการตอ่ สแู้ ละปราบปรามการกอ่ การรา้ ยจากคอมมวิ นสิ ตต์ ามแนวตะเขบ็ ชายแดน
ไทยกับดนิ แดนมลายู (มาเลเซยี ปัจจุบัน)
ดงั นนั้ ปญั หาของปตั ตานจี งึ กลายเปน็ อปุ สรรคส�ำ คญั ทจี่ ะท�ำ ใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธต์ิ อ่ ความ
รว่ มมอื ตามแนวชายแดนไทยกบั ดนิ แดนมลายู หลงั จากเสรจ็ สน้ิ การประชมุ ชายแดนไทยมลายทู ี่
สงขลาในตน้ เดือนมกราคม 1949 เจา้ หนา้ ทอี่ ังกฤษทป่ี ฏิบตั หิ นา้ ท่ใี นดนิ แดนมลายไู ดเ้ ริม่ กดดัน
ตอ่ กจิ กรรมของ GAMPAR (Gabungan Melayu Patani Raya) หรอื แนวรว่ มมลายปู ตานรี ายา
โดยตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี ผมู้ บี ทบาทเปน็ ผนู้ �ำ คนส�ำ คญั ของมลายปู ตานไี ดถ้ กู กดดนั จากองั กฤษ
ด้วยเหตุท่ี GAMPAR องค์กรทางการเมืองของชาวมลายูปตานี ถูกกดดันจากอังกฤษ
ในการดำ�เนินกิจกรรมทางการเมือง ทำ�ให้องค์กรเริ่มสั่นคลอนและอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม
เจตนารมณก์ ารต่อสู้ของตนกูมฮั หมดู มัฮยิดดีน และฮจั ยีสุหลง ได้รบั การสานตอ่ โดยคนรุ่นใหม่
ดงั ทปี่ รากฏในเวลาตอ่ มาวา่ ได้เกดิ ขบวนการต่อสตู้ ดิ อาวธุ เพอ่ื ปลดปลอ่ ยปตานเี พมิ่ ขนึ้ อกี หลาย
กล่มุ
กว่า 60 ปีของการต่อสู้ด้วยอาวุธโดยกลุ่มขบวนการต่อสู้เพ่ือเอกราชปตานีผ่านกลุ่ม
ขบวนการต่าง ๆที่จัดต้ังข้ึน ได้แก่ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปตานี (Barisan
Revolusi Nasional Melayu Patani-B.R.N.) พโู ล (Patani United Liberation Organization-
PULO) แนวรว่ มอสิ ลามปลดปลอ่ ยปตานี (Barisan Islam Pembebasan Patani-BIPP) ขบวน
การมูจาฮีดีนอิสลามปตานี (Gerakan Mujahideen Islam Patani-GMIP) ฯลฯ จนถึงวันนี้
การต่อสู้ก็ยังคงเกิดข้ึน และต่อเนื่องรุนแรงมาต้ังแต่ต้นปี 2004 จนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจาก
การต่อสู้ของกลุ่มติดอาวุธแล้ว ยังมีกลุ่มการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองของชาวมุสลิมในพื้นที่
เพ่ือเข้าสูร่ ะบบรฐั สภา กล่มุ เยาวชนรนุ่ ใหมท่ ต่ี อ่ สโู้ ดยสันตวิ ิธโี ดยผ่านองคก์ รทีจ่ ดั ตง้ั ขึน้ โดยกล่มุ
76
76 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
นสิ ติ นกั ศกึ ษาและเยาวชนมลายปู าตานเี พอ่ื เรยี กรอ้ งสทิ ธใิ นการก�ำ หนดชะตากรรมตนเอง (RSD-
Right to Self Determination) เช่น PERMAS , LEMPAR และ The PATANI ฯลฯ ต่างมคี วาม
เคล่ือนไหวทเ่ี ข้มข้นตลอดมา
ยอ้ นกลบั ไปกรณขี องฮจั ยสี หุ ลงกบั ขอ้ เรยี กรอ้ งทถ่ี กู เกย่ี วโยงวา่ เปน็ เรอื่ งของการกอ่ กบฏ
น�ำ ไปสกู่ ารสญู หายนน้ั กมู ดู า ปตุ รา (Ku Muda Putra) หนงึ่ ในสมาชกิ PERHIMPUNAN เคยใหค้ �ำ
แนะน�ำ กบั รฐั บาลไทยเพอ่ื ใหร้ บั พจิ ารณาเจด็ ขอ้ เรยี กรอ้ งของฮจั ยสี หุ ลง เพอ่ื ใหส้ จ่ี งั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ปกครองตัวเองในรูปแบบการให้อำ�นาจ “ออโตโนมี” กมู ูดา ปุตรายำ�้ วา่ ประชาชนในสี่
จงั หวดั ชายแดนภาคใตไ้ มต่ อ้ งการทจี่ ะแยกออกจากสยาม แตส่ งิ่ ทพี่ วกเขาตอ้ งการคอื “บา้ น
ของตวั เองในรวั้ เดียวกัน”(Nik Anuar Nik Mahmud,1999)
เม่ือข้อเรียกร้องสำ�คัญไม่ได้รับการตอบสนอง หะยีสุหลงจึงได้ยกระดับการกดดันด้วย
การจัดการชมุ นุมให้ชาวบ้านคำ�นึงถึงความสำ�คัญของอัตลักษณข์ องชาวมลายู จนพฒั นาไปเป็น
กลมุ่ ตอ่ ตา้ นรฐั บาลอยา่ งเตม็ รปู แบบ แตจ่ ดุ เปลยี่ นส�ำ คญั คอื การรฐั ประหารโดยกลมุ่ “คณะทหาร
ของชาต”ิ ทม่ี พี ลโทผนิ ชณุ หะวณั เปน็ ผนู้ �ำ เขา้ ยดึ อ�ำ นาจของรฐั บาลพลเรอื ตรถี วลั ย์ ธ�ำ รงนาวา
สวสั ด์ิ เมอื่ วนั ที่ 8 พฤศจิกายน 1947 ท�ำ ให้พลเรอื ตรีถวัลย์ และนายปรดี ี พนมยงค์ ตอ้ งล้ภี ยั
ไปตา่ งประเทศ และท่าทีของรฐั บาลใหมท่ ่ีน�ำ โดยนายควง อภัยวงศ์ ตอ่ ปญั หาชายแดนภาคใต้ก็
เปลยี่ นไป เมอื่ พลโทชิต มั่นศิลป์ สนิ าดโยธารักษ์ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย มีนโยบาย
ท่ีจะ “กำ�จัดตัวการท่ีคิดจะแบ่งแยกดินแดน” ซึ่งก็หมายถึงกลุ่มของหะยีสุหลง และกลุ่ม
เคล่ือนไหวต่าง ๆ ท่เี กิดขนึ้ นน่ั เอง
ในชว่ งเดอื นธนั วาคมปเี ดยี วกนั รฐั บาลใหมไ่ ดเ้ ชญิ ตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี ทายาทของรา
ยาเมอื งปตั ตานคี นสดุ ทา้ ยมารว่ มปรกึ ษาราชการ เมอ่ื หะยสี หุ ลงทราบขา่ วจงึ เหน็ วา่ เปน็ โอกาสดี
ท่ีควรใหต้ นกูมัฮหมดู มัฮยดิ ดีน ได้เป็นตวั แทนของชาวปตั ตานีในการเจรจากับรฐั บาลไทย โดย
ไดจ้ ดั ท�ำ หนังสอื “ฉนั ทานมุ ัต”ิ ลงวันท่ี 5 มกราคม 1948 ข้นึ เพอื่ มอบใหก้ บั ตนกมู ฮั หมดู มฮั ยิด
ดนี มคี วามว่า
“บดั นชี้ าวมลายอู สิ ลามซงึ่ อยใู่ นความปกครองของไทยไดร้ บั ความบบี คน้ั ความเจบ็
ช�ำ้ ความทารณุ ซง่ึ ขา้ ราชการและรฐั บาลไทยกระท�ำ แกช่ าวมลายแู ตล่ ะคน แกช่ าวมลายทู งั้
คณะ แก่ชาตแิ ละศาสนาของชาวมลายูจนไมส่ ามารถจะทนทานได้ แมจ้ ะไดร้ อ้ งเรียนต่อเจ้า
หนา้ ทแี่ ละรฐั บาลไทยแลว้ กม็ ไิ ดร้ บั พจิ ารณาจากเจา้ หนา้ ทแ่ี ละรฐั บาลไทยใหเ้ ปน็ ทพี่ อใจเลย
ฉะนนั้ ชาวมลายูจงึ ขอมอบฉันทานุมตั ิให้ตนกมู ะฮุหมุด มะฮะยดิ ดิน บุตรตนกอู ับดลุ กาเดร์
พระยาเมืองปตั ตานซี ง่ึ อยู่ทก่ี ลนั ตันมีอำ�นาจเตม็ หาชอ่ งทางใหช้ าวมลายูได้ดำ�รงชาติมลายู
และให้ได้คงนับถือศาสนาอิสลามและสิทธิต่าง ๆ แห่งเช้ือชาติมลายูและได้รับความเป็น
มนษุ ยธรรม…”
รายวิชา ที่ 1 ประวตั ศิ าสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 77
การเคล่ือนไหวในครั้งนี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำ�คัญท่ีทำ�ให้พลโทชิตอนุมัติให้จับตัวหะยี
สุหลง โดยเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวในวันที่ 16 มกราคมปีเดียวกัน โดยทางการไม่ยอมให้ได้
รับการประกันตัว และสั่งฟ้องด้วยข้อหา “ตระเตรียมและสมคบกันคิดการจะเปลี่ยนแปลง
ราชประเพณีการปกครอง และเพื่อให้เอกราชของรัฐเส่ือมเสียไปและเพ่ือให้เกิดเหตุร้ายแก่
ประเทศจากภายนอก” และมีคำ�ส่ังให้ย้ายตัวเขาไปรับการพิจารณาคดีที่นครศรีธรรมราช จน
สรา้ งความไมพ่ อใจใหก้ บั ชาวมสุ ลมิ มลายเู ปน็ อยา่ งมาก และเปน็ ทม่ี าของเหตกุ ารณค์ วามวนุ่ วาย
ต่าง ๆ ไดก้ ล่าวมา
บทบาทของตนกมู ัฮหมูด มัฮยิดดนี กับการตอ่ ส้เู พ่ือปาตานแี ละดนิ แดนมลายู
ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน ได้รับฉายานามว่า “เสือมลายา” ความกล้าหาญและเด็ด
เดี่ยวของเขาเป็นความภาคภูมิใจของประชาชน เขาเป็นผู้นำ�การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา
ของกลนั ตัน ซง่ึ ก่อนหนา้ น้นั การศึกษาข้นึ อยู่กบั ระบบการศกึ ษาระบบเกา่ Sir Edward Gent
ผูว้ ่าการมาลายันยูเนียน กลา่ วถึงเขาเมื่อ 19 November 1948 วา่ “ตนกูมัฮหมูด มัฮยดิ ดีน
เปน็ นกั ตอ่ สู้ชาวมลายทู ีเ่ กง่ กาจ มภี าวะความเป็นผ้นู ำ�สูง และเปน็ ทชี่ อบในหมู่ประชาชน ทา่ น
เป็นผู้ที่รักในสันติภาพ และความสงบสุขในชีวิต แต่รอยยิ้มยังคงตราตรึงบนใบหน้าของท่าน”
(Mohd.ZamberiA.Malek: 1999)
ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน เกิดที่ปตานีในปี 1905 ท่านได้เรียนในระดับมัธยมที่วิทยาลัย
อัสสมั ชนั กรงุ เทพมหานคร กอ่ นจบการศกึ ษาทา่ นจ�ำ เปน็ ตอ้ งอพยพไปยงั รฐั กลนั ตนั พรอ้ ม ๆ กบั
ครอบครวั หลงั จากเกิดเหตกุ ารณบ์ ้านปะลุกาสาเมาะ ในปี 1923 และหลงั จากน้ันทา่ นได้ศกึ ษา
ตอ่ ที่ Penang Free School จนจบประกาศนยี บตั ร และปี 1933 ทา่ นไดเ้ ขา้ ท�ำ งานทสี่ �ำ นกั งาน
บริหารท่วั ไปดา้ นการศึกษาของรฐั กลันตนั
หลงั จากปี 1933 เปน็ ตน้ มา ตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี ไดท้ �ำ หนา้ ทใี่ นฐานะผใู้ หก้ ารปกปอ้ ง
ประชาชนชาวมลายูปตานี ตนกูมฮั หมูด มัฮยิดดนี เปน็ สมาชิก Kelantan Volunteer Force
(KVF) มยี ศเป็นA Company Quarter Master Sergeant และหลังจากเกิดสงครามโลกครงั้ ท่ี
2 ขน้ึ KVF มีความเกย่ี วข้องกับเขามาก ตนกมู ัฮหมูด มฮั ยดิ ดนี เป็นผนู้ ำ� FORCE 136 รว่ มต่อสู้
กบั องั กฤษขบั ไลญ่ ป่ี นุ่ ในดนิ แดนมลายู และมบี ทบาทในการเคลอื่ นไหวเพอ่ื ปาตานใี นหลายกรณี
การเข้าร่วมสงครามแปซิฟิกและอยู่ฝ่ายเดียวกับญ่ีปุ่นของไทยระหว่างปี 1942-1945
ทำ�ให้ไทยตกอยู่ภาวะสงครามและเป็นศัตรูกับฝ่ายพันธมิตร การพ่ายแพ้ของอังกฤษแก่ญ่ีปุ่น
ในดินแดนมลายู และการพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมรกิ าในฮาวาย วันที่ 21 ธนั วาคม 1941 จอมพล
ป.พบิ ลู สงคราม ไดต้ ดั สนิ ใจเลอื กขา้ งทจี่ ะอยกู่ บั ฝา่ ยญปี่ นุ่ โดยญป่ี นุ่ ใหส้ ญั ญาวา่ จะคนื ดนิ แดน
ทางตอนเหนอื คอื กลนั ตนั เคดาห์ ตรงั กานู และเปอรล์ สิ ใหก้ บั สยาม และในวนั ที่ 25 มกราคม
78
78 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
1942 ไทยได้ประกาศสงครามกับองั กฤษ และสหรัฐอเมรกิ า
จากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นโอกาสอีกครั้งหน่ึงให้ชาวมลายูปตานีในความพยายามท่ี
จะขอการสนับสนุนจากอังกฤษในการปลดปล่อยจังหวัดชายแดนภาคใต้จากการยึดครองของ
ไทย และความรับผิดชอบในคร้ังนี้ตกอยู่กับความสามารถและความกล้าหาญของตนกูมัฮหมูด
มฮั ยดิ ดนี ทายาทของสลุ ตา่ นปตานีองคส์ ุดท้ายอกี เชน่ กัน (Nik Anuar Nik Mahmuh: 1999,
54)
การเข้าร่วม FORCE 136 ของตนกูมัฮหมดู มัฮยิดดีน ทำ�ให้เขาได้รับประสบการณ์จาก
อินเดีย ความกลา้ หาญและเดด็ เดี่ยวของประชาชนอินเดยี ถึงแมว้ ่าดคู ลา้ ย ๆ กนั ทางด้านความ
คิดและชาติพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวอินเดียมีความแตกต่างกันอย่างมากมายในด้าน
ชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา และแนวความคิดทางการเมือง ในขณะเดียวกันชาวอินเดียที่นับถือ
ศาสนาอสิ ลามก�ำ ลงั พยายามทจี่ ะกอ่ ตงั้ ประเทศอสิ ระจากอนิ เดยี เชน่ เดยี วกนั ชาวฮนิ ดทู างตอน
เหนอื และตอนใตต้ อ่ ตา้ นนกั ลา่ อาณานคิ มองั กฤษ และชาวซกิ ซม์ คี วามใฝฝ่ นั ทจ่ี ะกอ่ ตงั้ รฐั ปนั จาบ
ทอี่ สิ ระจากอนิ เดยี และทสี่ �ำ คญั คอื พวกเขายงั ใชภ้ าษาอรู ดใู นการสรา้ งความเอกภาพสคู่ วามเปน็
อิสรภาพภายใตส้ โลแกนทว่ี ่า “Chaloh Delhi” (Mohd.Zamberi A.Malik: 1999, 62)
ตนกมู ัฮหมูด มฮั ยิดดนี ได้เห็นการต่อสู้ของพวกเขาเหล่านัน้ ด้วยความภาคภูมใิ จ ความ
กล้าหาญของชาวอินเดียกลายเป็นแรงจูงใจและบันดาลใจให้กับตนกูมัฮหมูด ความยากจน
ของผู้คนท่ีอยู่ภายใต้การยึดครองของอาณานิคมตะวันตก ความกล้าหาญของมหาตมะคานธี
ได้เป็นจุดสนใจในการต่อสู้อย่างสันติให้กับชาติต่าง ๆ ในโลก ความตกต่ำ�ของชาติตะวันตกใน
ขณะน้ันโดยเฉพาะอังกฤษในอินเดีย เป็นลางบ่งบอกถึงความอ่อนแอของอังกฤษและเป็นลาง
ร้ายแกต่ นกูมัฮหมดู ทเ่ี ปน็ สญั ญาณว่าชาวมลายทู กุ คนตอ้ งสามัคคีกันในการตอ่ สกู้ บั อังกฤษ แต่
เสียดายท่ีคนมลายูมีไม่มากและยังแตกแยกกัน เรื่องดังกล่าวจึงเป็นความกังวลในความคิดของ
ตนกมู ัฮหมดู ตลอดระยะเวลาทอ่ี ยูใ่ นอนิ เดยี
Siaran All India Radio เป็นรายการวทิ ยุภาษามลายูที่ออกอากาศในนวิ เดลี สำ�หรบั
รายการวทิ ยทุ ี่เป็นภาษามลายูได้เปดิ อยา่ งเปน็ ทางการในวนั ที่ 1 มกราคม 1943 ตนกมู ัฮหมูด
มฮั ยดิ ดนี ไดร้ ับการแต่งตัง้ เปน็ ผู้รบั ผิดชอบหลกั ในรายการดงั กลา่ ว โดยตั้งชอื่ รายการวา่ “เสียง
เสอื มลายา” ซง่ึ สง่ คลนื่ สญั ญานไปยงั ดนิ แดนมลายแู ละภาคใตข้ องไทย โดยตนกมู ฮั หมดู ใชน้ ามวา่
“Raja Mopeng” วตั ถปุ ระสงคข์ องรายการคอื เชญิ ชวนคนมลายทู งั้ หลายรว่ มตอ่ ตา้ นญปี่ นุ่ และ
สายลบั รวมทง้ั ผทู้ ท่ี �ำ งานกบั ไทย ซงึ่ รายการโฆษณาชกั ชวนใหค้ นมลายจู งรกั ภกั ดตี อ่ องั กฤษและ
ใหค้ วามรว่ มมือกับรฐั บาลองั กฤษในการขับไลญ่ ่ปี ่นุ ออกจากดนิ แดนมลายู นอกจากนนั้ เปน็ การ
พดู ถงึ ความคบื หนา้ ของสถานการณค์ วามเคลอื่ นไหวใหป้ ระชาชนไดร้ บั ทราบ (Mohd.Zamberi
A.Malik: 1999)
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ งั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 79
หลังจากนน้ั ไมน่ าน ในเดอื นตุลาคม 1943 ตนกมู ฮั หมูด มฮั ยิดดีนได้รับเชิญใหเ้ ข้าพบ
เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของอังกฤษในนิวเดลี อินเดีย ซ่ึงในขณะนั้นตนกูมัฮหมูดยังเป็นนักจัด
รายการวิทยภุ าษามลายูในอินเดีย (Siaran Melayu All India Radio) หลังจากทไ่ี ด้พบกบั เจา้
หนา้ ทท่ี หารระดบั สงู ขององั กฤษ ตนกมู ฮั หมดู ไดร้ บั ความไวว้ างใจจากองั กฤษใหร้ บั ผดิ ชอบในการ
เปน็ ผู้น�ำ กองกำ�ลัง 136 (FORCE 136) โดยไดร้ บั การเลอื่ นยศให้เป็น พันตรี (Majer) เขาเป็น
ชาวมลายคู นแรกทเี่ ข้าร่วมกองก�ำ ลงั นี้ และมตี �ำ แหนง่ หลักในทางทหาร การได้รบั การแตง่ ตง้ั ยศ
เปน็ พันตรแี ละเป็นหวั หน้ากองก�ำ ลัง 136 ของตนมัฮหมูด ในขณะน้นั เปน็ ชว่ งเวลาทเ่ี หมาะสม
และเป็นโอกาสทีด่ ใี นการเคลือ่ นไหวเพอื่ ชาวมลายู
FORCE 136 เปน็ รหัสใต้ดนิ ทใ่ี ช้เรยี กในการตอ่ สกู้ ับญป่ี นุ่ โดยภาคี FORCE136 มสี าม
กลมุ่ ดว้ ยกัน คือกลมุ่ A B และ C โดยกลมุ่ B ครอบคลมุ มาลายา สงิ คโปร์ และอินโดนีเซยี การ
แตง่ ต้ังตนกู มฮั หมูด มัฮยดิ ดีน เปน็ ผู้นำ� Force 136 เพ่อื ใหเ้ ปน็ ผ้นู �ำ ฝ่ายมลายู ในฐานะเป็น
เจ้าหน้าท่ีด้านการปกครองมีหน้าท่ีในการวางแผนร่วมกับเจ้าหน้าทหารท่ีระดับสูงของอังกฤษ
และในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน็ ผนู้ �ำ ฝกึ หนว่ ยรบพเิ ศษของชาวมลายเู พอื่ ยดึ คนื ดนิ แดนมลายจู ากญปี่ นุ่
(Wan Hashim Wan The & A. Halim Ali: 1999)
เพ่ือให้บรรลุวัตถุเป้าหมายในการต่อสู้ เขาได้คัดเลือกคนหนุ่มท่ีอาศัยในต่างประเทศ
แถบอาหรับ เชน่ เมืองมักกะหซ์ ึง่ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของคนมลายูจ�ำ นวนมาก โดยเฉพาะจากปาตานี
และผปู้ ระกอบพิธีฮจั ญจ์ ำ�นวนมากจากดนิ แดนมลายูทต่ี ดิ คา้ งอยู่ทม่ี ักกะหส์ บื เน่ืองจากสงคราม
ทเ่ี กดิ ขนึ้ ทา่ นไดท้ �ำ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ และไมเ่ ปน็ มติ รกบั ฝา่ ยอกั ษะ มคี นมลายู
จำ�นวนมากเข้ามาพบกับตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน โดยเฉพาะคนปตานีท่ีเข้ามาแสดงความจงรัก
ภกั ดีในฐานะเป็นทายาทกษตั รยิ ์ปตานี ดงั เช่นขอ้ ความท่ีเขาไดเ้ ขียนวา่
“About 85 Patani Malays came discreetly to see me. The first to come
were people from Reman (Yala) … All had one story to tell … their royalty to my
house remained unshaken”. (Mohd. Zamberi A. Malik, 1999: 65)
นอกจากน้ัน เพือ่ ให้คนมลายปู ตานีท่ีอาศยั ในซาอุดีอาระเบียเข้าร่วม Force 136 ตน
กูมัฮหมูด มัฮยิดดีน ได้เตรียมการเพ่ือขอให้รัฐบาลอังกฤษให้การสนับสนุนแก่ชาวมลายูปตานี
เฉกเชน่ ทอี่ งั กฤษเคยอ�ำ นวยความสะดวกแกค่ นมลายใู นดนิ แดนมลายอู นื่ ๆ ทา่ นเสนอใหอ้ งั กฤษ
ใชก้ องทุน Lord Mayor ท่มี ีทุนอยปู่ ระมาณ 5 ลา้ นปอนดเ์ พอ่ื ให้การช่วยเหลือคนมลายปู ตานี
โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าการขอในคร้ังน้ีเรามีเป้าหมายเพ่ือช่วยเหลือคนยากจน โดย
เฉพาะคนมลายูปตานปี ัจจบุ ันไดพ้ สิ จู นแ์ ล้วว่าจะอยูเ่ คยี งขา้ งเรา” (Mohd.Zamberi A.Malik,
1999: 65)
80
80 รายวชิ าที่ 1 ประวัตศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
หลงั จากได้ทำ�ภารกจิ ท่ีเมอื งมกั กะฮ์และฮญี าซ ซาอดุ ีอาระเบีย ตนกูมัฮหมูด มฮั ยดิ ดีน
ได้เดินทางต่อไปยังไคโร อียิปต์เพ่ือพบกับบรรดานักศึกษามลายูท่ีน้ัน มีนักศึกษาจำ�นวนมากท่ี
พรอ้ มจะเขา้ รว่ มในการตอ่ สแู้ ละพรอ้ มทจี่ ะเขา้ ฝกึ ทางทหารทอ่ี นิ เดยี และพวกเขาถกู สง่ เปน็ สาย
ทปี่ ตานภี าคใตข้ องไทยและในดนิ แดนมลายู เพอื่ เปน็ การตอบแทนบญุ คณุ ในฐานะทพ่ี วกเขาเปน็
ชาวมลายู และ รฐั บาลองั กฤษสญั ญาวา่ จะมอบทดี่ นิ 25 เฮกตารใ์ หก้ บั ทกุ คนหลงั จากสงคราม
จบสน้ิ ลง (Mohd.Zamberi A.Malik: 1999, 65-66)
ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน พำ�นักในตะวันออกกลางเป็นเวลากว่า 3 เดือน ในวันท่ี 19
กุมภาพันธ์ 1946 ท่านได้เดินทางไปยังลอนดอนเพ่ือเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของ
สำ�นักงานดินแดนอาณานิคม การเดินทางของพันตรีตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน ได้รับการต้อนรับ
อย่างสมเกียรติ และในขณะเดียวกัน โดยไม่เป็นทางการท่านยังเป็นตัวแทนของผู้นำ�จากดิน
แดนมลายูในขณะน้ัน ชื่อเสียงของท่านเป็นท่ีรู้จักในบรรดาผู้นำ�ทางการเมืองของอังกฤษในสห
ราชณาจักร ท่านได้มีโอกาสเข้าเย่ียมส�ำ นักงานสมรภูมิ สำ�นักงานอาณานิคม และไดร้ ายงานผล
การเดินทางไปพบกับนักศึกษาและคนมลายูในตะวันออกกลางรว่ มถงึ ปัญหาท่ปี ระสบเจอ ท่าน
ได้ปรึกษาหารือในเร่ืองการฝึกกองกำ�ลังมลายูในอินเดีย และแผนงานในอนาคตการบริหารดิน
แดนมลายู ตลอดจนเรื่องความปลอดภัย และความพยายามในการยึดคนื ดินแดนมลายจู ากการ
ยึดครองของญี่ป่นุ ขึ้นอย่กู บั ความรับผิดชอบของตนกูมัฮหมูด มฮั ยดิ ดีน
การเดินทางเยือนอังกฤษของตนกูมัฮหมูด มัฮยดิ ดีน นบั ว่าเปน็ ความสำ�เร็จอยา่ งสงู มี
คนมลายูจ�ำ นวนมากเดนิ ทางไปยงั อินเดียในการฝกึ ทางทหาร เชน่ ฝึกหลกั สตู รคอมมานโด การ
ซุ่มโจมตี การใชอ้ าวุธยทุ โธปกรณ์ การอา่ นแผนที่ การขบั เรอื และการโดดร่ม ท่านปรดี ี พนมยงค์
ได้กล่าวถงึ ตนกูมัฮหมูด มัฮยดิ ดิน ตอนหน่งึ ว่า
“During the Second World war, Mahyiddeen was given a large sum of
money by the British. He brought the money to Mecca and patronized the 3000
Malay-Muslim from (southern) Thailand who are living in financial difficulties
because their source of income from home were cut off due to the war situation”
(Mohd. Zamberi A. Malik, 1999: 66)
หลังจากสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 จบลง บรรดาผทู้ ่ผี ่านการฝกึ ทางทหารจำ�นวนหนึ่งกลบั
มายังบ้านเกิดท่ีปตานี โดยส่วนใหญ่พวกเขาเป็นครูสอนศาสนาและเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน
ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน เป็นท่ีรับรู้กันว่า อังกฤษให้สัญญาว่าจะมอบของขวัญอันยิ่งใหญ่แก่
ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน ด้วยการปลดปล่อยปัตตานีจากการยึดครองของไทยซ่ึงเคยเป็น
ดนิ แดนทบี่ ดิ าของทา่ นเคยปกครองมากอ่ น แหลง่ ขอ้ มลู จากองั กฤษไดอ้ า้ งวา่ เคยมพี นั ธะสญั ญา
ระหว่างอังกฤษกับปตานี โดยมีการกล่าวถึงเรือ่ งนีว้ า่
รายวิชา ท่ี 1 ประวัต ิศาสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 81
“When Tengku Mahyiddeen was sent to Mecca to recruit Malaya for service
with the British forces., his success was due to his assurances to the Malays, that
the British Government had promised him the restoration of the sovereignty of
Patani on the re-occupation of Malaya and that when the promise was fulfilled
the Tengku (Mahyiddeen) would reinstate Patani within the political autonomy
of Malaya”. (Nik Anuar Nik Mahmud, 1996)
ทอี่ นิ เดยี ตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี มบี ทบาทส�ำ คญั ในการรณรงคใ์ นการสรา้ งขวญั และก�ำ ลงั
ใจแกช่ าวมลายเู กยี่ วกบั การด�ำ เนนิ ชวี ติ ในมาตภุ มู ิ ความยากล�ำ บากล�ำ เคญ็ ไมม่ อี าหารจะกนิ ภาย
ใต้การปกครองของทหารญปี่ นุ่ และทา่ นกย็ ้ำ�เตือนว่าอังกฤษกเ็ ปน็ นักล่าอาณานิคมเชน่ กัน โดย
ตนกูมฮั หมูด มัฮยิดดนี กลา่ วกับชาวมลายูวา่ “เป้าหมายในการรว่ มมือของเรากับองั กฤษ ก็
เพอ่ื รักษาผลประโยชน์ของชาวมลายู จากการเขา้ รว่ ม Force 136 ชาวมลายูปตานีได้สร้าง
บญุ คณุ อนั ใหญห่ ลวงกบั องั กฤษ ดงั นน้ั องั กฤษตอ้ งระมดั ระวงั ในการก�ำ หนดนโยบายหากกลบั
มาปกครองดนิ แดนมลายูอีกครั้ง อยา่ งนอ้ ยทีส่ ุดอังกฤษตอ้ งไม่ควรมองข้ามข้อเรยี กรอ้ งของ
ชาวมลายูและความช่วยเหลืออันจะทำ�ให้เป็นหน้ีบุญคุณกับคนมลายู” (Mohd.Zamberi
A.Malik, 1999: 72-73)
วนั ท่ี 30 กนั ยายน 1944 ในงานเล้ียงอ�ำ ลาให้กับมิตรสหายที่ตอ้ งกลบั มาปฏิบตั ภิ ารกจิ
ในดินแดนมลายู โดยงานดังกล่าวมีเจ้าหน้าท่ีทหารระดับสูงของอังกฤษในนิวเดลีร่วมงานด้วย
และตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีน ได้รับความเคารพอย่างสมเกียรติจากเจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษ จุด
สำ�คัญของงานในครั้งนั้น ต่อเมื่อเจ้าหน้าท่ีทุกคนที่มาร่วมงานได้ยกแก้วพร้อมกล่าวเสียงดัง
ขึ้นว่า “Long Live the King of Patani” หรือแปลว่ากษัตริย์ปตานีจงเจริญ เนื่องจากว่า
เจา้ หนา้ ทอี่ งั กฤษทป่ี ฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี นอนิ เดยี เคยสญั ญาวา่ จะใหค้ วามเหลอื แกต่ นกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี
กอบกู้เอกราชปัตตานีคนื มา และจะนำ�บัลลังก์กษตั รยิ ์ปัตตานคี นื ใหพ้ ระองค์ (Mohd.Zamberi
A.Malik: 1999)
วันท่ี 3 ตุลาคม 1945 ตนกมู ฮั หมดู มัฮยดิ ดีน ผ้นู ำ� Force 136 ไดก้ ลับสู่มาตภุ ูมิโดย
ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ดังเช่นต้อนรับวีรบุรุษสงครามโดยเฉพาะประชาชนในเมือง
โกตาบารูและกลันตัน คำ�สรรเสริญและคำ�ชมในหมู่ประชาชนในเมืองโกตาบารูต่อบุญคุณและ
ความกล้าหาญของเขาท่ีมีต่อดินแดนมลายูแห่งนี้ เจ้าหน้าที่อังกฤษไม่ว่าจะอยู่ในอินเดีย ใน
องั กฤษ หรอื แมแ้ ตใ่ นมลายาเอง ไดเ้ รยี กตนกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี ดว้ ยค�ำ วา่ “Harimau Malaya
หรอื เสอื แหง่ มลายา” นบั เปน็ สมญานามทยี่ กยอ่ งถงึ ความเปน็ ผนู้ �ำ ความกลา้ หาญ ความเกง่ กาจ
ประชาชนตา่ งหวงั จะใหเ้ ขาจะกลบั มาเปน็ ผนู้ �ำ ทางการเมอื งและนกั ตอ่ สเู้ พอื่ เอกราชของดนิ แดน
82
82 รายวิชาที่ 1 ประวตั ิศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
มลายู เสียงรอ้ งตะโกนดงั ข้ึนดว้ ยคำ�เรยี กตา่ ง ๆ อาทิ
-Selamat Pulangke Tanah Air/ ยินดีตอ้ นรบั กลบั ส่มู าตุภูมิ
-Selamat Pulang Putra Raja Patani / ยนิ ดตี ้อนรบั พระโอรสกษัตรยิ ์ปตานี
-Selamat Pulang Pembela Bangsa / ยนิ ดตี ้อนรบั ผปู้ กปอ้ งเชื้อชาติ
-Selamat Pulang Pewira Negara / ยินดตี ้อนรับวีรบุรษุ
-Selamat Pulang Harimau Malaya / ยินดีตอ้ นรบั เสือมลายา
ตนกมู ัฮหมูด มัฮยิดดีน ในฐานะเป็นบตุ รของเจ้าเมืองปตานี เกดิ ที่วงั จะบงั ตกิ อ ปตานี
ได้เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองของปตานี ในช่วงเวลาที่ปาตานีตกอยู่ในการปกครองของไทย จน
ทำ�ใหบ้ ดิ า คอื ตนกอู บั ดุลกาเดร์ กามารดุ ดนี ถกู ปลดออกจากต�ำ แหนง่ แนน่ อนทส่ี ุดท่านได้รับ
รแู้ ละประสบกบั ปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ ยงั อยใู่ นความทรงจ�ำ หลงั จากทบี่ ดิ าคอื ตนกอู บั ดลุ กาเดร์ กามา
รดุ ดนี ถึงแกอ่ นิจกรรมในปี 1933 ไมน่ านหลังจากน้ัน ตนกมู ัฮหมดู มัฮยิดดนี กไ็ ดร้ ับการแตง่ ตงั้
เป็นผู้อำ�นวยการโรงเรียนมลายกู ลันตนั และชาวมลายปู ตานีต่างมีหวงั ว่า ตนกูมัฮหมูดจะเป็นท่ี
พ่ึงส�ำ หรับประชาชนปตานีทเ่ี ดือดรอ้ นและถกู กดขี่จากการปกครองของไทย (Mohd.Zamberi
A.Malik: 1999, 93)
หลังจากสงครามจบลงด้วยการท้ิงระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ อังกฤษ
ต้องการลงโทษไทยท่ีเข้าข้างญี่ปุ่น และได้อนุญาตให้ญี่ปุ่นข้ึนฝั่งเพ่ือโจมตีพม่าและดินแดน
มลายู มคี วามเปน็ ไปได้สูงที่องั กฤษจะเข้ามาแทรกแซงภายในประเทศไทย ขณะทต่ี นกมู ัฮหมดู
มฮั ยดิ ดนี คาดหมายว่าไทยจะต้องเป็นฝ่ายแพส้ งครามและจะเรยี กร้องใหร้ ัฐบาลองั กฤษแยก 4
จงั หวดั คือปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส และสตลู เป็นอิสระจากไทย แต่รฐั บาลในขณะนน้ั โดยนาย
ควง อภยั วงศ์ นายกรฐั มนตรไี ดแ้ กไ้ ขสถานการณไ์ วไ้ ด้ ไมต่ อ้ งแพส้ งคราม โดยใชก้ ลยทุ ธทางการ
ทูตเพ่ือโน้มน้าวอังกฤษ โดยแจ้งกับอังกฤษว่าการที่สยามเลือกที่จะอยู่ฝ่ายอักษะและเป็นศัตรู
กับฝา่ ยพันธมติ รของอดีตนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ไดเ้ ปน็ ความประสงคข์ อง
ประชาชนชาวไทย เนอ่ื งจากการประกาศดงั กลา่ วไมผ่ า่ นมตสิ ภาแหง่ ชาตขิ องไทยเพอ่ื ขอมติ และ
เชน่ เดียวกนั กับการยึดครองของรัฐมลายูต่าง ๆ ในทางตอนเหนือกไ็ ม่ได้ผา่ นความเห็นชอบจาก
ประชาชน และไทยก็ได้คืนรฐั ตา่ ง ๆ เหลา่ น้นั ไปแลว้ การชีแ้ จงดังกลา่ วของสยามเพ่ือทจี่ ะท�ำ ให้
องั กฤษคลอ้ ยตามและแสดงจดุ ยนื ในการเขา้ สกู่ ารเจรจาเพอื่ สนั ตภิ าพทจ่ี ดั ทกี่ รงุ แคนดี ศรลี งั กา
เมอ่ื วันที่ 8 กันยายน 1945 การเจรจาคร้งั นั้นเกิดขึน้ ระหวา่ ง Lord Louis Mountbatten กบั
ฝ่ายไทย ซ่งึ มพี ลเอกแสวง เสนาณรงค์ เป็นตวั แทนฝา่ ยไทยเพื่อทย่ี ุติปัญหาท้งั สองประเทศ
อยา่ งไรกต็ ามขอ้ ตกลงเจรจาสนั ตภิ าพระหวา่ งองั กฤษกบั ไทยทล่ี งนามในวนั ท่ี 1 มกราคม
1946 องั กฤษไดล้ มื ความโกรธแคน้ ทมี่ ตี อ่ ความผดิ ของไทย และไดม้ อบคนื รฐั ทางเหนอื ของมลายา
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 83
ให้กับอังกฤษโดยปตานียังคงอยู่ภายใต้การปกครองของไทยต่อไป เป็นที่รับรู้กันว่าสังคมมลายู
ปตานีเคยคาดหวังเป็นอย่างย่ิงว่าอังกฤษจะลงโทษไทยเน่ืองจากไปเข้าข้างญี่ปุ่น การตัดสินใจ
ของอังกฤษแน่นอนที่สุดได้สร้างความผิดหวังแก่ตนกูมัฮหมูด มัฮยิดดีนเป็นอย่างมาก ท้ังน้ีสืบ
เนอื่ งจากองั กฤษถกู กดดนั จากสหรฐั อเมรกิ าทไ่ี มใ่ หเ้ อาผดิ ไทย เพราะไทยไมใ่ ชศ้ ตั รขู องพนั ธมติ ร
ดงั นน้ั องั กฤษมอิ าจจะลงโทษไทยได้ ขณะทแี่ หลง่ ขอ้ มลู อน่ื ระบวุ า่ องั กฤษจ�ำ เปน็ ตอ้ งรกั ษาความ
สัมพันธ์ท่ีดีกับไทยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอังกฤษในแหลมมลายู ท่ีสำ�คัญคือไทยได้สัญญา
ว่าจะจัดเตรยี มขา้ วสารจำ�นวน 1,500 ตัน มอบใหก้ บั อังกฤษในดินแดนมลายู โดยมีเงอ่ื นไขคอื
ข้อเรยี กร้องขององั กฤษต่อไทยที่เกย่ี วกบั ปตานจี ะต้องยกเลกิ ไป (Mohd. Zamberi A. Malik:
1999, 96)
เปน็ ครง้ั แรกหลงั จากทต่ี นกมู ฮั หมดู มฮั ยดิ ดนี กลบั มาจากอนิ เดยี และหลงั จากทผี่ ดิ หวงั
กับรัฐบาลอังกฤษท่ีไม่ให้การช่วยเหลือในการปลดปล่อยปตานี และไม่ลงโทษไทยที่เข้าร่วมกับ
ศตั รู และเขาจงึ วางแผนการตอ่ สเู้ อง ฉายานามวา่ เสอื มลายาไดเ้ รมิ่ ปฏบิ ตั กิ ารทางยทุ ธศาสตรใ์ น
การต่อสู้ ในขณะทอ่ี ังกฤษและไทยก�ำ ลงั เจราจาสนั ตภิ าพทีก่ รงุ แคนดี ศรลี ังกานั้น ตนกมู ฮั หมดู
มัฮยิดดีน ได้ตดิ ต่อประสานกบั ตนกอู ับดุล กาเดร์ เปตรา และตนกู อับดลุ ญาลาล รวมท้งั ผู้นำ�
อีกหลาย ๆ คนเพ่ือนำ�เสนอขอเรียกร้องต่อตวั แทนรฐั บาลองั กฤษในดนิ แดนมลายู น่ีคือเป็นจดุ
เปลย่ี นสำ�คัญของตนกูมฮั หมูด มัฮยดิ ดีน ในด้านการเมืองและการตอ่ สขู้ องชาวมลายูปตานหี ลงั
จากสงครามมหาเอเชยี บูรพาสงบลง
วนั ที่ 1 พฤศจกิ ายน 1945 หนงั สอื ขอ้ เรยี กรอ้ งและคดั คา้ นไดถ้ กู สง่ ไปยงั นายกรฐั มนตรี
องั กฤษเพอ่ื ชว่ ยเหลอื เรอ่ื งการปลดปลอ่ ยสจ่ี งั หวดั จากการยดึ ครองของไทย และผนวกเขา้ กบั รฐั
มลายูทางตอนเหนือ ส�ำ เนาหนงั สือดงั กล่าวได้สง่ ไปยังเจ้าหนา้ ทีอ่ าวุโสบรหิ ารทว่ั ไปของอังกฤษ
ประจ�ำ กลนั ตนั และอกี ฉบบั สง่ ไปยงั Lord Louis Mountbatten แมท่ พั ของกองก�ำ ลงั สงู สดุ ฝา่ ย
พนั ธมติ รประจ�ำ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในหนงั สอื ดงั กลา่ วระบถุ งึ ความทกุ ขย์ ากของประชาชน
มลายูปตานีภายใต้การปกครองของไทย ดังนั้นจึงเรียกร้องและกดดันให้ประเทศพันธมิตรช่วย
ปลดปลอ่ ยปตานี โดยอ้างองิ ขอ้ เรียกร้องดังกลา่ วว่าสอดคล้องกบั คำ�ประกาศ San Francisco
ทเ่ี ขยี นวา่ “ทกุ ประเทศทเี่ ปน็ เมอื งขนึ้ สมควรไดร้ บั การปลดปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อสิ ระและประชาชน
สามารถมสี ทิ ธกิ �ำ หนดชะตากรรมของตวั เองตามเจตนารมณข์ องพวกเขา” (Mohd. Zamberi
A. Malik: 1999, 97)
กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ ปญั หาความไมส่ งบทเ่ี กดิ ขน้ึ ในจงั หวดั ชายแดนภาคใตข้ องไทยซง่ึ เกดิ
ขนึ้ มาอยา่ งนอ้ ยตงั้ แตป่ ี 1786 ทไี่ ทยเขา้ มามอี �ำ นาจจดั การปกครองปตานี แตก่ ย็ งั มกี ารปกครอง
ในระบอบสลุ ตา่ นเรอ่ื ยมา จนกระทง่ั ถกู ยกเลกิ ไปในปี 1906 เมอ่ื มกี ารจดั ตงั้ มณฑลปตั ตานี และ
ไดแ้ ยกออกจากรัฐมลายอู ่ืน ๆ ทางตอนเหนือของมาลายาในปี 1909 ตามสนธสิ ัญญา Anglo-
84
84 รายวิชาที่ 1 ประวัตศิ าสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้
Siamese Treaty 1909 ลงนามทกี่ รงุ เทพฯ ระหวา่ งองั กฤษกบั สยาม เมอ่ื วนั ที่ 10 มนี าคม 1909
และรฐั สภาแหง่ สหราชอาณาจักรให้สตั ยาบันเม่ือวนั ที ่ 9 กรกฎาคม 1909 รับรองอธปิ ไตยของ
สยามเหนอื ปตั ตานี การเคลอ่ื นไหวตอ่ ตา้ นขอ้ ตกลงดงั กลา่ วมอี ยอู่ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง รวมทงั้ การจดั การ
ปกครองของไทยหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 1932 (พ.ศ. 2475) ได้เกิดข้อขัดแยง้ ด้าน
ต่าง ๆ มากมาย ท้ังด้านการเมืองการปกครอง การศาล การศาสนา และการศกึ ษา แมว้ ่าในช่วง
เวลาทผ่ี ่านมารัฐบาลไดแ้ ก้ไขผอ่ นคลายปัญหาตา่ ง ๆ ลงไปมาก แตก่ ารตอ่ สทู้ ้ังแนวทางสนั ตวิ ธิ ี
และการใช้อาวุธเพอื่ ปลดปลอ่ ยปตานจี ากการปกครองของไทยยังคงมอี ยู่
การสนั ตภิ าพจงึ เกดิ ขนึ้ อยา่ งเปน็ ทางการ ครงั้ แรก ระหวา่ งรฐั บาลไทยกบั ตวั แทนบอี าร์
เอ็น (ลงนามพูดคุยBarisan Revolusi Nasional, BRN) ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีหญงิ คนแรก
ของไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชิณวตั ร โดยมีรฐั บาลมาเลเซยี เป็นผูอ้ ำ�นวยความสะดวก การพดู คุย
ครั้งน้ันมีข้อเรียกร้องหนึ่งในห้าข้อของบีอาร์เอ็นคือ ขอให้มีผู้สังเกตการณ์พูดคุยที่มาจากต่าง
ประเทศโดยเฉพาะจากประเทศในสมาชกิ ของอยี ู และทกุ ครงั้ ฝา่ ยเหน็ ตา่ งจากรฐั หรอื ขบวนการ
ตอ่ สเู้ พอ่ื ปลดปล่อยปตานพี ยายามเรยี กร้องมาตลอดคือ ควรยกระดบั การพดู คุยท่เี ปน็ สากลสบื
เนอื่ งรากเหงา้ ของปญั หาความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เกดิ จากรากเหงา้ ของประวตั ศิ าสตร์ การมอี ยขู่ อง
รัฐปตานีในแผนท่ีโลก และเกิดจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศโดยมีอังกฤษเป็นผู้ก่อและ
สัญญาว่าจะช่วยปลดปล่อยปตานีจากการยึดครองของไทย แต่สุดท้ายอังกฤษเลือกท่ีจะรักษา
มิตรภาพกับไทย ในขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่มีการต่อสู้น้ัน ประชาชนชาวมลายูปตานี
จำ�นวนหน่ึงได้ปรับตัวและมีส่วนร่วมกับรัฐบาลไทยท้ังในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
วัฒนธรรม ชาวมลายูปตานีมีสิทธิและมีบทบาทในสังคมไทยในทุกด้านในฐานะพลเมืองของรัฐ
ไทยอย่างสมบูรณ์ ทำ�ให้ชาวมลายูปตานีส่วนหน่ึงไม่ได้มีความรู้สึกแปลกแยกจากคนไทยท่ัวไป
ขณะทก่ี ารต่อส้เู พ่ือปลดปล่อยปตานขี องกลมุ่ บุคคลอีกจำ�นวนหนึง่ ยังคงมีอยูต่ อ่ ไป
การพบกนั อยา่ งเปน็ ทางการ ครง้ั ที่ 2 ระหวา่ งตวั แทนบอี ารเ์ อน็ 7 คนกบั ตวั แทนฝา่ ยไทย
7 คนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2020 เป็นผลจากการลงนามท่เี ยอรมันท่เี รยี กวา่
Berlin Initiative โดยมีผ้สู งั เกตการณ์จากประเทศไทยและสวิสเซอรแ์ ลนด์เข้าร่วมสังเกตการณ์
นบั เปน็ ปรากฏการณใ์ หมข่ องประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งการปกครองไทยในการแกไ้ ขปญั หาจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ หากปญั หาเกดิ จากการแทรกแซงของตา่ งประเทศ และทางออกของปญั หากค็ วร
ทร่ี ฐั บาลไทยจะตอ้ งใชก้ ารตา่ งประเทศหาทางออกรว่ มกนั ขณะทค่ี ณะพดู คยุ เพอ่ื สนั ตสิ ขุ จงั หวดั
ชายแดนภาคใต้กับคณะผู้แทนกลุ่มบีอาร์เอ็นได้หารือกัน ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 11-12 มกราคม
2022 ทก่ี รงุ กวั ลาลมั เปอร์ ประเทศมาเลเซยี ซงึ่ ใชช้ อ่ื อยา่ งเปน็ ทางการวา่ “3rd Working Group
Peace Dialogue Process on Southern Thailand Meeting” ทงั้ สองฝา่ ยมีความเห็นรว่ ม
กันในหลกั การ 3 ข้อที่จะเปน็ สารัตถะของการพูดคุยในระยะต่อไป คือ 1) การลดความรนุ แรง
รายวชิ า ที่ 1 ประวัต ศิ าสตรจ์ งั ห วัดชายแดนภาคใต้ 85
2) การปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่ และ3) การแสวงหาทางออกทางการเมอื ง พรอ้ ม
กับการจัดตง้ั ผปู้ ระสานงาน (Contact Person) และคณะทำ�งานร่วม (Joint Working Group,
JWG) ตอ่ มาไดม้ ีการประชมุ พบปะหารือ คร้ังที่ 4 แบบเต็มคณะ ณ สถานเอกอคั รราชทตู ไทย
ประจ�ำ กรงุ กวั ลาลมั เปอร์ เมอ่ื วนั ที่ 31 มนี าคม-1 เมษายน 2565 ผลการประชมุ หารอื มขี อ้ ตกลง
ทน่ี า่ สนใจ และไมเ่ คยปรากฏในขอ้ ตกลงครง้ั ใด ๆ มากอ่ น คอื คณะพดู คยุ และบอี ารเ์ อน็ ไดร้ บั รอง
ด้วยเอกสารหลักการทั่วไปว่าด้วยกระบวนการพูดคุยเพ่ือสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง
มเี กยี รติและเปดิ กวา้ งตอ่ การมีสว่ นรว่ มของทกุ ฝ่าย เพือ่ บรรลทุ างออกทางการเมือง ซ่ึงเปน็ ไป
ตามความตอ้ งการของประชาชนในพื้นท่ี ตามแนวคดิ “ชุมชนปตานภี ายใต้ความเป็นรฐั เด่ียว
ของราชอาณาจักรไทยตามทกี่ ำ�หนดในรฐั ธรรมนญู ”
ผลการพดู คยุ ฯ คร้งั ที่ 4 นี้สอดคล้องกับทศั นะของ ดร.วนั อับดลุ กาเดร์ เจะ๊ มัน อดีต
ประธานเบอร์ซาตู และนักวิชาการรัฐศาสตร์ช้ันนำ�ในการต่อสู้เพ่ือสังคมมลายูปตานี (เพ่ิงเสีย
ชวี ติ ไปขณะทผี่ ูเ้ ขยี นก�ำ ลงั เตรียมต้นฉบับงานชน้ิ นี)้ ในงานเขยี นของเขาเร่อื ง The Problem of
Patani Malays in Southern Thailand: Neither Assimilation Nor Separation (ปริญญา
นวลเปียน, 2551: บรรณาธิการและผู้แปล) กล่าวถึงเร่ืองนี้ว่า “ความเป็นไปได้ของการแบ่ง
แยกดินแดนปตานีออกจากประเทศไทย นับเป็นเรื่องยากลำ�บากมาก เนื่องจากเหตุผลของ
ระบบรฐั ประชาชาติ (Nation-state) ในปจั จบุ นั ทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั กบั เรอื่ งพรมแดนระหวา่ ง
รฐั ซง่ึ ไมเ่ หน็ พอ้ งและมกั ขดั ขวางความพยายามในการแบง่ แยกดนิ แดน” โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
กระบวนการโลกาภิวัฒน์และเทคโนโลยีไร้พรมแดน ได้ส่งผลให้แนวคิดเรื่องพรมแดนและการ
แบง่ แยกดินแดนลดทอนความหมายลง น่ันหมายความว่า การก่อสงครามเป็นเรอื่ งไมค่ ุ้มค่าอีก
ตอ่ ไป เขาไดใ้ หท้ ศั นะวา่ “ทกุ วนั นช้ี วี ติ ของพลเมอื งส�ำ คญั กวา่ เรอื่ งของดนิ แดน” การแบง่ แยก
ดนิ แดนในปจั จบุ นั จะมคี วามเปน็ ไปไดเ้ ฉพาะเมอื่ มชี าตมิ หาอ�ำ นาจหนนุ อยเู่ บอื้ งหลงั ซง่ึ พวกเขา
กจ็ ะไม่ให้ความสนใจกับดินแดนทไ่ี ม่มผี ลประโยชนร์ ว่ มเชน่ นี้
ดร.วัน อับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน ได้กล่าวยำ้�ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาวมลายูใน
ปตานวี า่ จะตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจและการประนปี ระนอม โดยทางกลมุ่ เบอรซ์ าตใู นฐานะองคก์ ร
ร่วมของขบวนการแบ่งแยกดนิ แดนได้พยายามต่อสดู้ ้วยแนวทางสนั ตวิ ธิ ีเสมอมา ตัวเขาเองโดย
ส่วนตัวแล้วขอประณามต่อกลุ่มต่าง ๆ ท่ีเป็นผู้ก่อความรุนแรงและกระทำ�การต่อประชาชน
ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ รวมทงั้ เปา้ หมายสาธารณะทงั้ หลาย และเขาหวน่ั เกรงเปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ สถานการณค์ วาม
รุนแรงท่ีดำ�รงอยู่ในปตานีไม่อาจสงบลงได้ ถ้าหากว่าไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง นั่นคือ
ตอ้ งอาศัยการชว่ ยเหลอื จากลมุ่ ขบวนการแบง่ แยกดินแดนและผูน้ ำ�ทางศาสนาในพื้นทเ่ี ท่าน้ัน
ดร.วนั อับดลุ กาเดร์ เจ๊ะมนั ได้กลา่ วไวใ้ นบทความนี้วา่ ดว้ ยความเคารพต่อบรรดาผ้นู ำ�
ทางศาสนาในประเทศไทย เขาเห็นว่าการแสวงหาความช่วยเหลือจากประเทศมาเลเซียเป็นสิ่ง
86
86 รายวิชาท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวัดชายแดนภาคใต้
จำ�เป็นในฐานะของประเทศเพ่ือนบ้านที่เป็นมิตรที่ดีกับไทย รัฐบาลมาเลเซียสามารถเชื้อเชิญ
ผู้นำ�ทางศาสนาในจังหวัดมุสลิมในภาคใต้ของไทยให้เดินทางเข้าร่วมการประชุมเพ่ือเผยแพร่
แนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธีในมาเลเซีย เขาคาดหวังว่า “ซ่ึงท่ีสุดแล้วกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
และผู้นำ�ศาสนาก็จะยุติแนวทางการต่อสู้โดยใช้กำ�ลังอาวุธลง รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลท่ี
กรุงเทพฯ และเจ้าหน้าท่ีของรัฐจะต้องมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ในพื้นท่ี และจะต้องไม่
ก่อเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงข้ึนมาอีก เม่ือนั้นความสมานฉันท์และความสันติสุขก็จะเกิด
ขนึ้ ” โดยมหี ลกั เกณฑอ์ ยอู่ ยา่ งนอ้ ย 3 ประการ ทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั เิ พอ่ื ลดความขดั แยง้ และสง่ เสรมิ
ใหเ้ กิดความสงบในพน้ื ที่ นั้นคอื 1) การสถาปนาหลักนติ ริ ัฐ (Rule of law) 2) การใหค้ วาม
เสมอภาคทางการศกึ ษา 3) การมเี สรภี าพในการนบั ถอื ศาสนาและการปฏบิ ตั ทิ างวฒั นธรรม
ซ่ึงทางการไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับท้องถิ่นจะต้องยึดถือกฎหมายโดยเคร่งครัด ผู้ต้อง
สงสยั ในการกระทำ�ผิดใด ๆ จะต้องได้รบั ความสอบสวนอยา่ งโปร่งใส และจะต้องได้รับโทษโดย
กระบวนการยตุ ธิ รรมตามกฎหมายเทา่ นน้ั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ทสี่ รา้ งความขดั แยง้ กบั คนในทอ้ งถนิ่
จะตอ้ งถกู โยกยา้ ยออกไปจากพนื้ ทขี่ องชาวมสุ ลมิ ผเู้ สยี ชวี ติ หรอื ไดร้ บั บาดเจบ็ จากเหตกุ ารณ ์ ความ
รนุ แรงทผี่ า่ นมาจะตอ้ งไดร้ บั การชดเชยอยา่ งเตม็ ท่ี ผทู้ ถี่ กู ทางการไทยระบวุ า่ เปน็ ผกู้ อ่ การรา้ ย จะ
ตอ้ งไดร้ บั การปฏบิ ตั ใิ นฐานะเปน็ เพอ่ื นรว่ มชาติ และมแี นวทางทจ่ี ะน�ำ พวกเขากลบั คนื สสู่ งั คมให้
ไดใ้ ช้ชีวิตอย่างปกติสขุ ดา้ นการศกึ ษา จะตอ้ งเกดิ ความเสมอภาคทางการศกึ ษาใน
ทกุ ระดบั มรี ะบบการศกึ ษาทใี่ หค้ วามรเู้ พอื่ สรา้ งศกั ยภาพในการท�ำ งานและยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ
รวมทั้งการส่งเสริมและยอมรับวัฒนธรรมท้องถ่ินในฐานะท่ีเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมประจำ�
ชาติไทย จังหวัดชายแดนใต้จะต้องได้รับการพัฒนาโดยยึดถือเอาวัฒนธรรมอิสลามและมลายู
เปน็ ศนู ย์กลาง เช่นทีเ่ คยเป็นศนู ยก์ ลางทางอารยธรรมของเอเชียมาแล้วในอดตี
ท่าทีของ ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน หากได้ศึกษาติดตามแนวความคิดและแนวทาง
การตอ่ สขู้ องเขาตงั้ แตแ่ รกแลว้ จะพบความจรงิ วา่ การเคลอื่ นไหวตอ่ สเู้ พอ่ื ชาวปตานแี ละแผน่ ดนิ
มลายูของเขาไม่ไดแ้ ตกต่างไปจากนักตอ่ สู้รุน่ ใหมใ่ นปัจจบุ นั เลย เพยี งแต่ประสบการณ์การต่อสู้
ของเขา ประกอบกับความเป็นนกั วิชาการรัฐศาสตร์ เขาจึงเสนอทางออกทเ่ี ปน็ ไปได้และไม่ได้มี
ฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ เสยี หาย เพยี งแตต่ อ้ งยอมรบั หลกั การอยรู่ ว่ มกนั ไดใ้ นรฐั เดยี วกนั ภายใตอ้ ตั ลกั ษณ์
ท่แี ตกต่าง ภายใต้หลักเกณฑ์ 3 ประการ คอื การสถาปนาหลกั นิติรัฐ (Rule of law) ความเสมอ
ภาคทางการศกึ ษา และเสรภี าพในการนบั ถอื ศาสนาและการปฏบิ ตั ทิ างวฒั นธรรม ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ ว
มาแล้ว ซึง่ ประเทศไทยไดใ้ ห้ความส�ำ คัญกับหลกั เกณฑ์ดงั กล่าว โดยมนี โยบายและมกี ารด�ำ เนิน
การท่ีเป็นรูปธรรมมากขน้ึ ตามลำ�ดับ โดยเฉพาะ นโยบายกระจายอ�ำ นาจสทู่ ้องถ่นิ ท�ำ ให้ชาว
มลายูปตานีมีบทบาทในการปกครองท้องถ่ินทุกระดับ รวมท้ังในระดับประเทศ ชาวมลายู
ปตานีมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับชาติมากขึ้นและได้รับความเสมอภาคและมีความเท่า
รายวิชา ท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์จังห วดั ชายแดนภาคใต้ 87
เทียมในสิทธิพลเมอื งไทยในดา้ นตา่ ง ๆ ท้ังทางเศรษฐกจิ สงั คมวฒั นธรรม และสทิ ธขิ ้ันพน้ื
ฐานต่าง ๆ ซ่งึ สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของนักวชิ าการชาวมาเลเซีย เรอื่ ง De-radicalization
of Minority Dissent A Case Study of the Malay-Muslim Movement in Southern
Thailand (Suria Saniwa bin Wan Mamood, 1998) ซึ่งมุ่งตอบโจทย์ แนวโน้มความ
เคล่ือนไหวชาติพนั ธ์ุ ทีก่ ลุ่มชาติพันธุ์ได้เปลยี่ นทางเดนิ สายสดุ โต่ง “radical” ไปส่ทู างเดนิ
สายกลาง “moderate” โดยการทดสอบสมมติฐานจากสามตวั แปร คือ 1) มกี ารทำ�ใหร้ ะบบ
เปน็ ประชาธิปไตย 2) มีมาตรฐานความเป็นอย่ทู ดี่ ขี ึ้น 3) มีการแลกเปลยี่ นความรทู้ างวฒั นธรรม
ซงึ่ กนั และกนั ผลการตรวจสอบพบวา่ ประเดน็ การท�ำ ระบบใหเ้ ปน็ ประชาธปิ ไตยเปน็ ตวั แปรทม่ี ี
ความส�ำ คัญมากทีส่ ุด ส่วนประเดน็ มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขนึ้ และประเด็นมีการแลกเปลย่ี น
ความรทู้ างวฒั นธรรมซง่ึ กนั และกนั มคี วามส�ำ คญั ทอ่ี ยใู่ นระดบั รองลงมาตามล�ำ ดบั นน่ั หมายความ
ว่าหากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วประชาชนชาวมลายูมุสลิมปตานีส่วนใหญ่ในปัจจุบันมี
ความเข้าใจและยอมรับในความเป็นพลเมืองของประเทศไทย โดยสถานะความเป็นภูมิบุตรไม่
ไดถ้ กู ลดิ รอนไป เนือ่ งจาก ประเทศไทยยึดถอื หลักว่าพลเมอื งไทยทุกคนลว้ นเป็นภูมบิ ุตรของ
แผ่นดินโดยไม่มีข้อจำ�กัดเรอื่ งเช้ือชาติศาสนาแตอ่ ยา่ งใด
จึงกล่าวได้ว่า ผลสืบเนื่องทางการเมืองการปกครองระหว่างไทยกับหัวเมืองมลายู
ต้ังแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวมลายูปตานีเคยได้รับผลกระทบจากการ
ปกครองของไทยจากนโยบายทางการเมอื งและการปฏบิ ตั ขิ องเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั รวมทงั้ ความรสู้ กึ
ท่ีสัง่ สมตลอดมาวา่ “นี่เป็นบ้านของเรา แผ่นดินของเรา เรามีประวตั ิศาสตร์ของเราเอง” ที่
เคยเป็นกับดักคนมลายูปตานีให้ออกห่างจากรัฐไทยตลอดมา เมื่อท้ังสองฝ่ายยอมรับความจริง
ปรบั ตัวเขา้ หากนั เปิดใจกวา้ งรบั ฟงั ซง่ึ กนั และกนั และเรยี นรทู้ ่ีจะอยรู่ ่วมกนั จงึ เป็นแนวโน้มทด่ี ี
ทง้ั นแี้ มแ้ ตช่ าวมลายมู สุ ลมิ ทเี่ คยไดร้ บั ผลกระทบโดยตรงถกู โยกยา้ ยกวาดตอ้ นในยามศกึ สงคราม
รวมถึงผู้ท่ีเดินทางเข้าพ่ึงพระบรมโพธิสมภารไม่ว่าจะเช้ือชาติใดและมาจากที่ใดและด้วยสาเหตุ
ใดก็ตาม ต่างได้รับการดูแลในฐานะพสกนิกรของพระมหากษัตริย์และในฐานะพลเมืองของ
ประเทศไทยโดยสมบรู ณ์ ในเวลาตอ่ มาพสกนกิ รเหลา่ นไี้ ดร้ บั กรรมสทิ ธใ์ิ นทด่ี นิ เพอ่ื อยอู่ าศยั และ
ประกอบอาชพี ได้รบั โอกาสทางการศึกษา ได้เขา้ รับราชการ ได้รับสทิ ธเิ สรภี าพและความเสมอ
ภาคในฐานะพลเมืองไทยตามรัฐธรรมนูญ และสามารถธำ�รงอตั ลักษณท์ างชาตพิ ันธุ์ การนบั ถอื
ศาสนา และการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีได้โดยไม่มีข้อจำ�กัดใด ๆ ในระยะแรก ๆ อาจจะ
มคี วามยากล�ำ บากในการปรับตวั ดังท่ีรับรู้ไดจ้ ากเรือ่ งเลา่ ตา่ ง ๆ แต่กเ็ ปน็ ชว่ งเวลาสน้ั ๆ หลงั
จากน้ันจนถึงปัจจุบันมิได้มีส่ิงเหล่าน้ันหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนมุสลิมมลายูใน
กรุงเทพฯ และชุมชนมุสลิมในประเทศไทยหลาย ๆ แห่งยังเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นต้นแบบ
ทางสังคมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการธำ�รงอัตลักษณ์มลายูมุสลิมและการอยู่ร่วมกันแบบ
88
88 รายวิชาที่ 1 ประวตั ศิ าสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
พหวุ ฒั นธรรมในสงั คมไทย ซงึ่ ตอ้ งการความรว่ มมอื จากพลเมอื งทกุ กลมุ่ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ทาง
ดา้ นการเมอื งการปกครอง ทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ เพอื่ รว่ มกนั พฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ
กา้ วหน้าย่ิงขึ้นต่อไป
-----------------------------
รายวชิ า ที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังห วดั ชายแดนภาคใต้ 89
บรรณานุกรม
กรมศลิ ปากร. (2505). จดหมายหลวงอดุ มสมบัติ. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นสว่ นจ�ำ กดั ศวิ พร.
__________. (2537). ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี 82 เรอ่ื งพระราชพงศาวดารกรงุ สยามจากตน้ ฉบบั
ของบริติชมิวเซยี ม กรุงลอนดอน. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร.
__________. (2540). แผนแมบ่ ทโครงการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งโบราณยะรงั จงั หวดั ปตั ตาน.ี
กรุงเทพฯ : สำ�นักพิมพ์สมาพันธ์.ุ
คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. (2542). วัฒนธรรม พัฒนาการทาง
ประวตั ิศาสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภูมปิ ญั ญา จงั หวดั ปตั ตาน.ี กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
ครองชยั หตั ถา. (2546). ภมู ลิ กั ษณอ์ า่ วปตั ตาน.ี ปตั ตานี : โครงการศนู ยศ์ กึ ษาและพฒั นาอา่ วปตั ตานี
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์.
__________. (2551). ลังกาสกุ ะ: ประวัตศิ าสตร์ยคุ ตน้ ของจังหวัดชายแดนภาคใต.้ ปตั ตานี:
ภูรีปริน้ ชอ็ ป.
__________. (2552). ประวตั ศิ าสตรป์ ตั ตานี สมยั อาณาจกั รโบราณถงึ การปกครอง 7 หวั เมอื ง.
กรุงเทพฯ : ส�ำ นักพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
__________. (2564). ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัตตานกี บั เคดาห์ ศรีวชิ ัย มชั ปาหิต และสยาม.
http://dc .oas.psu.ac.th สืบค้นเม่อื 2 สงิ หาคม 2564.
จาเรด็ ไดมอนด.์ (2553). ปนื เชอื้ โรค และเหลก็ กลา้ กบั ชะตากรรมของสงั คมมนษุ ย.์ กรงุ เทพฯ:
โครงการจดั พมิ พค์ บไฟ.
ปรญิ ญา นวลเปยี น.(บรรณาธกิ าร). (2551). นอกนยิ ามความเปน็ ไทย ไทย-ปตั ตานี เมอื่ เราไมอ่ าจ
อยู่ร่วม และแบง่ แยกจากกนั ได.้ กรงุ เทพฯ: แอล ที เพรส.
ปยิ นาถ บนุ นาค และคณะ. (2547). นโยบายการปกครองของรฐั บาลตอ่ ชาวไทยมสุ ลมิ ในจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ (พ.ศ.2475-2516). กรงุ เทพฯ: คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
แผนที่ปโตเลมี. (2014). http://who-in-the-world-piyarith.blogspot.com/2014/05/
ptolemy-100-178.html สบื ค้นเมอ่ื 13 เมษายน 2563.
แผนที่ภูมิภาคตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน. http://www.lemurdolls.com/manusa.htm
สืบค้นเมือ่ ตุลาคม 2563.
พรรณงาม เงา่ ธรรมสาร. (2519). การผนวกดนิ แดนและการสถาปนาอ�ำ นาจสยามสมยั กรงุ ธนบรุ ี
และรัตนโกสินทรต์ อนตน้ . (เอกสารส�ำ เนาต้นฉบบั ก่อนตพี ิมพ์).
______________. (2520). การรวบอ�ำ นาจเขา้ สสู่ ว่ นกลางในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยูห่ ัว. (เอกสารส�ำ เนาตน้ ฉบับก่อนตีพมิ พ์).
90
90 รายวชิ าที่ 1 ประวตั ิศาสตรจ์ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
______________. (2539). “การเมอื งไทยในหวั เมอื งปกั ษใ์ ตใ้ นอดตี ”, จลุ สารแลใต.้ (มกราคม),
1 - 47. พรน้ิ ตงิ้ เฮา้ ส์.
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสนิ ทร์ รัชกาลที่ 2 โดย สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ด�ำ รงราชานภุ าพ. (2562). กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บคุ๊ ส.์
พระศรีบุรรี ัฐพนิ จิ . ม.ป.ป. ประวัติมณฑลปตั ตาน.ี คัดลอกเปน็ ฉบบั พิมพด์ ีดจากต้นฉบับลายมือ
เขยี นโดย อนนั ต์ วฒั นานกิ ร. ปตั ตานี : สถาบนั วฒั นธรรมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์
มลู นธิ โิ ครงการต�ำ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร.์ (2551). เอกสารประกอบการสมั มนาวชิ าการ
เรอ่ื ง“โลกของอสิ ลามและมสุ ลมิ ในอษุ าคเนย”์ . 28-29 พฤศจกิ ายน 2551 โรงแรมทวนิ โลตสั
นครศรีธรรมราช.
ไมเคิล เจ. มอนเตซาโน และ แพทริค โจร.ี (2560). ไทยใต้ มลายเู หนอื ปฏสิ มั พันธ์ทางชาตพิ นั ธ์ ุ
บนคาบสมทุ รแหง่ ความหลากหลาย. นครศรธี รรมราช : หลกั สตู รอาเซยี นศกึ ษา ส�ำ นกั วชิ า
ศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลยั วลัยลักษณ.์
ศนู ยอ์ �ำ นวยการบรกิ ารจงั หวดั ชายแดนใต้ (ศอ.บต.). (2552). ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ชายแดนใต.้
ยะลา : ส�ำ นักพัฒนาบุคลากรศูนย์อ�ำ นวยการบริหารจังหวดั ชายแดนใต.้
สถาบันพระปกเกล้า. (2021). การปกครองแบบหัวเมือง. http://wiki.kpi.ac.th สืบค้นเม่ือ
28 สิงหาคม 2564.
สนั ต์ ท. โกมลบตุ ร (แปล). (2552). จดหมายเหตุ ลา ลแู บร์. นนทบุรี : ส�ำ นกั พมิ พ์ศรปี ัญญา.
ส�ำ นกั งานศลิ ปากรที่ 11 สงขลา. (2564). พฒั นาการทางโบราณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์ 3 จงั หวดั
ชายแดนภาคใต.้ กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร.
สจุ ติ ต ์ วงษเ์ ทศ. (2554). “สโุ ขทยั ไมใ่ ชร่ าชธานแี หง่ แรกของไทย”, ศลิ ปวฒั นธรรม. (พฤศจกิ ายน),
111.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบลู ย์. (2547). ทางสายวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ : สขุ ภาพใจ.
______________. (2547). ทางสายวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.
เสาวนยี ์ จติ ตห์ มวด. (2531). กลมุ่ ชาติพันธ์ุ : ชาวไทยมุสลมิ . กรงุ เทพฯ : กองทุนสง่ารุจิอัมพร.
อนนั ต์ วฒั นานกิ ร. (2531). ประวตั เิ มอื งลงั กาสกุ ะ-เมอื งปตั ตาน.ี กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ ติ รสยาม.
อมรา ศรสี ชุ าติ. (2557). ศรีวชิ ยั ในสวุ รรณทวีป. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร.
อ.บางนรา (อับดุลเลาะห์ ลออแมน) ผู้แปล. (2555). ตำ�นานเจ้าเมืองกอตอ. นราธวิ าส : มลู นธิ ิ
วฒั นธรรมอิสลามภาคใต้.
อารีฟิน บนิ จิ และ อับดุลลอฮ ลออแมน. (2540). ลังกาสกุ ะ - ปาตานี ดารสุ ลาม. http://k4ds.
psu.ac.th/ebook/pdf/b039.pdf. สบื คน้ เมอ่ื วันท่ี 5 มกราคม 2563.
รายวชิ า ท่ี 1 ประวตั ิศาสตร์จงั ห วดั ชายแดนภาคใต้ 91