The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บ้านหลวง ผ่อนคลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nrung2304, 2022-07-07 00:19:26

บ้านหลวง ผ่อนคลาย

บ้านหลวง ผ่อนคลาย

ผ้าทอ ปกำเกอะญอ

ช า ว ป ก า ก ะ ญ อ ห รื อ ก ะ เ ห รี่ ย ง
นิยมใส่เส้ือผ้ำฝ้ำยทอมือมำแต่สมัย
โบรำณ ซ่ึงแต่เดิมชำวกะเหรี่ยงจะ
ป ลู กฝ้ ำ ยเ อง น ำ ฝ้ ำย ม ำ ป่ ั น เ ป็ น
เ ส้ น ด้ ำ ย ย้ อ ม ด้ ว ย สี ธ ร ร ม ช ำ ติ
สร้ำงลวดลำยด้วยกำรทอ กำรปัก
ด้วยเส้นไหม และลูกเดือย สตรีชำว
กะเหรี่ยง จะถ่ำยทอดภูมิปัญญำ
กระบวนกำรผลิตผ้ำทอ แก่บุตรสำว
12-15 ปี

137 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

กำรทอผ้ำเริ่มจำกแบบง่ำยๆ ฝึกฝนจนมี
ควำมชำนำญ และสำมำรถออกแบบ
ลวดลำยด้วยตนเองได้ สำหรับลวดลำยผ้ำ
ทอของชำวกะเหร่ียงนั้น มีเร่ืองรำวเล่ำสืบ
มำว่ำ ได้มำจำกลำยหนังงูใหญ่ ซ่ึงเป็นคู่รัก
ในอดีตของหญิงสำวชำวกะเหรี่ยง โดยงูจะ
เปลี่ยนลำยทุกวัน และหญิงสำวก็ทอผ้ำตำม
ลำยที่ปรำกฏจน ครบ 7 วัน ทอได้ 7 ลำย
แต่ลำยท่ีนยิ มนำมำทอ และปัก มี 4 รำย คือ
โยหอ่ กอื เกอเป่เผลอ ฉยุ่ ข่อลอ อกี ลำยหนึ่ง
คือ ลำยทีข่ำ ปัจจุบัน ยังมีลำยที่ยมทอ คือ
เกอแนเดอ หรือลำยรังผ้ึง และเซอกอพอ
หรือ ลำยดอกมะเขอื

นอกเหนือจำกกำรทอผ้ำไว้ใช้ในครัวเรือน กำรย้อมผ้ำฝ้ำยสีธรรมชำติ ใช้เปลือกไม้
เป็นกำรสร้ำงรำยได้เพ่ิ มอีกทำงหน่ึง ผ้ำทอ เรียกว่ำ ซำโก่แระ จะได้เป็นสีแดงแกม
ก ะ เ ห รี่ ย ง ต ำ ม โ ค ร ง ก ำ ร ห น่ึ ง ต ำ บ ล น้ำตำล ใบฮ่อม เซอ หย่ำ เหล่ำ ให้สีน้ำเงิน
หน่ึงผลิตภัณฑ์ ได้รับกำรพั ฒนำคุณภำพ แกมกรมท่ำ ผลสมอ ให้สีน้ำตำล และผล
รูปแบบให้เป็นท่ีต้องกำรของตลำดมำกข้ึน มะขำมป้อมให้สีเทำ เป็นต้น ชำวกะเหรี่ยง
สร้ำงงำน สร้ำงรำยได้แก่ผู้ผลิต อย่ำงยั่งยืน สร้ำงสรรค์ลวดลำย สีสันของผ้ำทอจำก
ตลอดจนสืบสำนภูมปิ ญั ญำชำว ธรรมชำติ และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว จึงมี
ควำมสวยงำม และคงไว้ซ่ึงเอกลักษณ์โดด
เด่นของชำวกะเหร่ียง มกี ำรนำเมลด็ เดอื ย
ซ่ึงเป็นวัชพื ชป่ำ ปักบนผืนผ้ำ สร้ำงเป็น
ลวดลำยลักษณะเฉพำะ เป็นที่สะดุดตำแก่
บุคคลภำยนอก ซึ่งสนใจซ้ือหำไปสวมใส่
และเป็นของฝำก ทำให้สตรีชำวกะเหร่ียง
สรำ้ งสรรค์ผลิตภัณฑผ์ ำ้ ทอเพื่อกำรจำหน่ำย

138 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

ชนเผ่ามง้ พ้ื นทรี่ บั ผดิ ชอบของ
เทศบาลตาบลบา้ นหลวง
ม้ง หมำยถึง อิสระชน เดิมอำศัยอยู่ใน
ประเทศจีน ตอ่ มำชำวจนี เข้ำมำปรำบปรำม มีจานวน 2 หมู่บา้ น
เป็นเหตุให้อพยพลงมำถึงตอนใต้ของจีน
และเขตอินโดจีน ในช่วงสงครำมโลกคร้ัง บ้านขนุ กลาง หมู่ที่ 7
ท่ี 2 แ ล ะ ต อ น เ ห นื อ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย บ้านแมย่ ะน้อย หมู่ท่ี 18
ประมำณพ.ศ. 2400 โดยมีสองกลุ่ม
ได้แก่ ม้งดำและม้งขำว ไม่ชอบให้เรียกว่ำ
แม้ว โดยถือว่ำเป็นกำรดูถูกเหยียดหยำม
ประชำกรของม้งในประเทศไทย มีมำกเป็น
อันดับ 2 รองจำกกะเหรี่ยง ตั้งถิ่นฐำน
อยู่ตำมภูเขำสูง หรือที่รำบเชิงเขำในเขต
พื้ น ท่ี จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ร ำ ย พ ะ เ ย ำ น่ ำ น
เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ ลำป ำง
กำแพงเพชร เลย พิษณุโลก เพชรบูรณ์
สุโขทยั และตำก

139 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ภาษา

นกั ภำษำศำสตร์ได้จดั ให้อยใู่ นตระกลู ภำษำมง้ -เม่ยี น ในกล่มุ ภำษำจนี -ธเิ บต

ลกั ษณะบา้ นเรือน

ม้งจะมีกำรต้ังบ้ำนอยู่บริเวณท่ีมีภูเขำ
ล้อมโดยรอบสลับกันไป ไม่มีเขำสองลูก
มำชนกัน และมีน้ำอยู่ใกล้หรืออยู่ต่ำกว่ำ
ขุ น น้ ำ แ ล ะ แ ม่ น้ ำ ไ ห ล ผ่ ำ น ต ล อ ด ปี
ลักษณะบ้ำนจะปลูกบ้ำนช้ันเดียว คร่อม
ติดดิน หลังคำมุงด้วยไม้ผ่ำ หรือมุง
ด้วยหญ้ำคำ ก้ันฝำบ้ำนด้วยแผ่นไม้ผ่ำ
เช่นกัน ภำยในตัวบ้ำนจะมีเตำไฟสำหรับ
ทำอำหำร และจะทำแคร่ยกพ้ื นสำหรับ
น่งั เลน่ และรบั แขก

ครอบครัว

โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว
ข น ำ ด ใ ห ญ่ แ ต่ จ ะ มี บ ำ ง ส่ ว น ท่ี เ ป็ น
ครอบครัวขยำย ไม่นิยมแต่งงำนกับคน
นอกกลุ่ม และห้ำมแต่งงำนกับคนในกลุ่ม
ญำติสนิทหรือคนในตระกูลเดียวกัน เมื่อ
แ ต่ ง ง ำ น แ ล้ ว ฝ่ ำ ย ห ญิ ง จ ะ เ ข้ ำ ไ ป เ ป็ น
สมำชิกในบ้ำนของฝ่ำยขำย ช่วยทำมำหำ
กิ น แ ล ะ ใ ห้ ค ว ำ ม เ ค ำ ร พ นั บ ถื อ ฝ่ ำ ย ช ำ ย
มำกกว่ำครอบครวั เดิมของตน

140 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

การแต่งกาย

ผู้หญิง ใส่กระโปรงทอด้วยป่ำนใยกัญชง (ต้นคล้ำยกัญชำ แต่ดอก

และใบใช้สูบไม่ได้)กำรทำกระโปรงของหญิงม้ง โดยกำรใช้เล็บสะกิดใยกัญ
ชงออกเป็นเส้น แล้วฝ่ ันต่อกันเป็นม้วนใหญ่ นำไปฟอกด้วยน้ำด่ำงข้ีเถ้ำ จะ
ไดด้ ำ้ ยสีขำวอมเหลอื ง นำไปทอเปน็ ผำ้ มผี ิวสมั ผสั หยำบหนำแต่นุ่มเป็นมัน มี
ควำมกว้ำงประมำณ 40 เซนติเมตร นำไปเขียนด้วยขี้ผ้ึง เป็นลวดลำย
เรขำคณิต นำไปย้อมสีน้ำเงินอมดำ แล้วนำไปต้มให้ขี้ผ้ึงละลำย เป็นกำรทำ
บำติกแบบโบรำณนำผ้ำที่ย้อมแล้วมำพับเป็นพลีทเล็กๆ แล้วใช้ไม้กดทับให้
จีบอยู่ตัว แล้วใช้ด้ำยร้อยระหว่ำงจีบจำกด้ำนหนึ่งไปยังด้ำนหนึ่งเป็นเอว
ของกระโปรง ใช้ผ้ำขำวต่อเป็นเอว ใช้ผ้ำสีต่ำงๆ กุ๊นตกแต่งกระโปรง และ
ปักด้วยด้ำยสีต่ำงๆ

เสื้อเอวเกือบจะลอบ แขนยำว มีปกเส้ือด้ำนหลัง ผ่ำหน้ำ หรือทับไป
ทำงซ้ำยทำด้วยผ้ำสีดำ มีตกแต่งลวดลำย ผ้ำคำดเอวสีดำมีพู่แดงเป็นชำย
ครยุ มสี นบั แข็งสดี ำ ผมขมวดเป็นมวย ใสห่ มวดผ้ำหรือโพกผ้ำสีดำ ใส่ต่ำง
หูเงิน ห่วงคอทำด้วยเงิน 3-4 วงซ้อนกัน ด้ำนหลังเสื้อตกแต่งด้วย
เหรียญเงนิ เก่ำ

ผู้ชาย นุ่งกำงเกงดำเป้ำต่ำ เสื้อดำแขนยำว เอวลอย (มีเสื้อข้ำงในสีขำว)

ผำ้ คำดเอวสีแดง คำดทับด้วยเข็มขัดเงิน ห่วงเงินคล้องคอ 1 ห่วง หมวก
ผำ้ ดำมีจุดแดงตรงกลำง

141 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

มง้ แบง่ เปน็ 3 กลุม่ ย่อย คอื

ยังไมป่ รำกฏว่ำมีในประเทศไทย
142 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

หญิง ยังสวมกระโปรงสีฟำ้ แก่ ประดับ

ลำยภำพวำดด้วยข้ีผึ้งและมีปักลวดลำยใน
ส่วนล่ำงของกระโปรง มีผ้ำคำดเอวสีแดง
ผ้ำห้อยลงมำสีดำ เส้ือเป็นสีต่ำงๆ คอปก
เสื้อเล็กกว่ำม้งขำว 4 นิ้ว ขอบปกเป็นรูป
โค้ง ไม่มีผ้ำโพกหัว แต่มีผ้ำถักบำงๆ แถบ
เปน็ ลำยดอกไมส้ ีแดงพันรวบมวยผม

ชาย ใส่กำงเกงดำ

เหมือนม้ งขำว แต่
เป้ ำ ก ำ ง เ ก ง ห ย่ อ น
ล ง ม ำ จ น เ กื อ บ ถึ ง
พื้ นดินแบ บอำหรับ
ปลำยขำรัดท่ีข้อเท้ำ
สวมหมวกทำด้วยผ้ำ
แพรด่วน ไม่มขี อบ

143 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

ผา้ ปกั ลายดอกไมผ้ สมดาว ผ้ำปักม้งเป็นผลผลิตจำก
ช น เ ข ำ เ ผ่ ำ ม้ ง ที่ น ำ ด้ ำ ย ม ำ
ปักเปน็ ผำ้ ปักม้งในลักษณะ
ล ว ด ล ำ ย ต่ ำ ง ๆ ท่ี เ ป็ น
เอกลักษณ์ท่ีโดน เด่น ใน
กำรแสดงอัตลักษณ์ทำง
ชำตพิ ันธุข์ องชนเผ่ำมง้

144 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

ประเภทเปา จ๊ิงหน่อง (จา่ ง-Ncas) : เป็นเคร่อื ง

ดนตรคี ู่กำยคใู่ จของหนมุ่ สำวม้ง จำ่ ง
เป็นเคร่อื งดนตรที ป่ี ู่ย่ำตำยำยทำ่ นสรำ้ ง
ไว้และเชอื่ กันวำ่ มผี ีสงิ อยู่ ใชเ้ ป่ำเพ่ือ
บรรยำยควำมรูส้ ึกในใจ เป็นเครอ่ื ง
ดนตรขี องม้งทใี่ ช้ส่อื รกั กัน แต่พอไดม้ ำ
เปำ่ จำ่ งโตต้ อบกนั และทำให้ตำ่ งคนต่ำง
เห็นคุณค่ำของแตล่ ะคน จนเกดิ ควำม
ผูกพันและรกั กนั ปจั จุบันจ่ำงไดห้ ำยไป
จำกวิถชี ีวติ ของหนุ่มสำวคนรุ่นใหม่แล้ว

ขล่ยุ : ขลุย่ เปน็ เคร่ืองดนตรอี กี ประเภท

หน่งึ ของม้งท่ีใชเ้ ป่ำเรียกหำคู่ และสรำ้ ง
ควำมจรรโลงใจ ซง่ึ ขลุ่ยม้งจะทำมำจำก
กระบอกไมไ้ ผแ่ ละทอ่ พีวีซี จะใช้เป่ำแทน
ควำมรสู้ กึ ของสภำพจิตใจของผู้นน้ั จะ
เป่ำในวันสำคัญ เช่น งำนปใี หม่และงำน
สำคัญอน่ื ๆ

145 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

แคน (Qeej) : เป็นภำษำม้ง อำ่ นว่ำ เฆ่ง หรือ qeng ซึ่งแปลว่ำ แคน เป็น

เคร่ืองดนตรีที่ทำจำกลำไม้ไผ่ และไม้เน้ือแข็ง ถือได้ว่ำเป็นเครื่องดนตรีท่ี
เก่ำแก่ที่สดุ ชนิดหน่งึ ประกอบด้วยลำไมไ้ ผท่ ะลปุ ลอ้ ง 6 อัน คอื ซยง้ ตัว๋ จือ๋ 1
อัน และ 5 อัน แต่ละอันมีขนำด และควำมยำวไม่เท่ำกันกับลำไม้เนื้อแข็งซ่ึงมี
ปำกกลมยำวเป็นไม้แดง หรือ ที่ภำษำม้งเรียกว่ำ ดงจือเป๋ เม่ือเป่ำหรือสูด
ลมเข้ำออก จะให้เสียงไพเรำะต่อเน่ืองกัน ตลอดจนจบตอนของบทเพลงลำ
ไม้ไผ่แต่ละอันมีช่ือเรียกเฉพำะของตัวเอง เช่น ดีลัว ดีไล ดีเส่ง ดีตือ ดีจู้
คนม้งจะใช้แคน (เฆ่ง) ในพิ ธีงำนศพเป็นหลัก โดยเป็นเคร่ืองนำทำงดวง
วิญญำณของผู้ตำยไปสู่ปรโลก หรือแดนของบรรพบุรุษ ฉะนั้นในธรรม
เนียมม้ง จึงห้ำมมิให้ฝึกเป่ำแคนภำยในบ้ำน ส่วนใหญ่จะฝึกในที่ๆ ห่ำงไกล
จำกหมบู่ ำ้ นซง่ึ มักจะเปน็ ที่พักพิงตำมไรส่ วน

146 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

ประเภทตี กลอง หรือ จ๊ัว : เป็นเคร่ืองดนตรี

ของม้งที่มีลักษณะเป็นกลองสองหน้ำ
หรือหน่ึงหน้ำก็ได้ รูปร่ำงกลมแบน โดย
ใช้แผน่ ผนงั สตั วส์ องแผ่นมำประกอบเข้ำ
กับโครงกลอง หลอมตัวกลองทั้งสอง
ด้ำน ริมขอบของแผ่นผนังท้ังสองแผ่น
จะเจำะรูเป็นคู่ๆ สำหรับเสียบสลักไม้
เล็กๆ เพ่ือใช้เชือกร้อยสลักไม้ของแผ่น
ผนังท้ังสองด้ำนดึงเข้ำหำกัน ซึ่งจะทำ
ให้แผ่นผนงั กลองตึงตวั เต็มที่ เมือ่ ตีจะมี
เสียงดังกังวำนและมีไม้ตีกลองหนึ่งคู่
หรือสองอันทำจำกไม้ด้ำนหนึ่ง จะเอำผ้ำ
พันไว้สำหรับตีกลอง ส่วนด้ำนท่ีไม่มีผ้ำ
ห่อใช้สำหรับจับ กลองม้งน้ีจะใช้เม่ือ
ประกอบพิ ธีงำนศพ กำรปล่อยผีหรือ
ปลดปลอ่ ยวญิ ญำณ เทำ่ นน้ั

147 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

กราฟกิ บนผนื ผ้า

อัตลักษณแ์ ห่งชำติพันธุม์ ง้

เ ทื อ ก เ ข ำ ส ลั บ ซั บ ซ้ อ น ท่ ำ ม ก ล ำ ง ม่ ำ น
หมอกและธรรมชำติเขียวขจี นับเป็น
ทัศนียภำพคุ้นตำของตำบลบ้ำนหลวง
อ ำ เ ภ อ จ อ ม ท อ ง จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ใ ห ม่
อ ำ ก ำ ศ ท่ี ดี ต ล อ ด ปี เ ช้ื อ เ ชิ ญ ใ ห้
นั ก ท่ อ ง เ ท่ี ย ว ม ำ ก อ ด ล ม ห น ำ ว ไ ม่ ข ำ ด
สำยหำกแต่บ้ำนหลวงยังมีเพชรล้ำค่ำ
ซ่ อ น อ ยู่ เ บื้ อ ง ห ลั ง ทิ ว ทั ศ น์ อั น ง ด ง ำ ม
เป็นควำมงำมสำมัญเรียบง่ำย เม่ือมอง
ด้วยตำ แต่กลับงำมเกินคณำเมื่อได้
มองด้วยใจ

148 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ก่อนฤดูเก็บเก่ียวจะมำถึง ทั้งแม่เฒ่ำ
และหญิงสำวพร้อมอุปกรณ์เย็บปักถัก
ร้อยและเก้ำอ้ีตัวน้อย จะมำประจำหลัก
ปักฐำนบริเวณหน้ำบ้ำน เพื่ อปักเย็บผ้ำ
ใหมแ่ ละซอ่ มแซมเสอ้ื ผำ้ เก่ำให้ไฉไล ทันใช้
ใ น ป ร ะ เ พ ณี กิ น ข้ ำ ว ใ ห ม่ ท่ี ค น ใ น
ครอบครัวจะร่วมกันกินข้ำวจำนแรกซ่ึง
ได้จำกกำรเพำะปลูก ทัง้ ยังเป็นโอกำสใน
กำรโชว์ฝีไม้ลำยมือกำรปักผ้ำและเขียน
เทียน อวดชุดสวยท่ีทุกคนพร้อมใจใส่
มำเตมิ แตง่ สสี ันให้วันสำคญั น้ี

ผ่ำนฤดูเก็บเก่ียว ฉลองข้ำวใหม่แห่งปี
ก็ถึงเวลำท่ีแสนจะคกึ คกั ของชำวมง้ น่ัน
คือ “น่อเป๊โจ่วฮ์” หรือ ประเพณีฉลองปี
ใหม่ ซ่ึงตรงกับขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๒ หรือ
ระหว่ำงเดือน ธันวำคม – มกรำคม
ห้วงเวลำสำคัญท่ีนักท่องเท่ียวจะได้มำ
ร่ ว ม แ ล ก เ ป ลี่ ย น เ รี ย น รู้ วั ฒ น ธ ร ร ม ท่ี
แตกต่ำง และลองสวมใส่ชุดม้งสักครั้ง
ในชวี ิต

149 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

เขียนลาย ใสก่ ราฟกิ ใหผ้ า้ มชี วี ิตและสีสัน

ควำมสำมำรถในกำรจับคู่สี ที่เรียกได้ว่ำส่งตรงทำงดีเอ็นเอ นิยมใช้สีแดง
เป็นสีหลักในงำนปักเพ่ื อสร้ำงควำมโดดเด่น แล้วจึงจับคู่สีตำมควำมชอบ
เดินฝีเข็มปักด้วยลำยเรขำคณิตหลำกหลำยรูปทรง ลักษณะนี้เป็นเช่นเดียวกัน
กับงำนเขียนเทียน ลวดลำยต่ำงๆ ล้วนได้รับกำรสืบทอดในครอบครัว จน
เป็นอัตลักษณ์ประจำชำติพั นธุ์อย่ำงชัดเจน เส้ือผ้ำม้งมีควำมพิ ถีพิ ถันและ
องค์ประกอบมำกมำยหลำยอย่ำง โดยเฉพำะกระโปรงจีบรอบตัว ต้องผ่ำน
ข้ันตอนหลำยกระบวนกำรกว่ำจะได้มำหนึ่งชิ้น เร่ิมจำกเขียนลำยแบบวิธีดั้งเดิม
ดว้ ยอปุ กรณ์ “หลำเจีย๊ ” หรือ ปำกกำเขียนเทยี น จุ่มนำ้ เทียนร้อนๆ ขึ้นลวดลำย
เรขำคณิตบนผำ้ ใยกัญชงโดยไม่มีกำรร่ำงแบบ เพรำะเส้นสำยลำยต่ำง ๆ อยู่ใน
ควำมคดิ ควำมชำนำญของผู้ทำมำหลำยทศวรรษ ปัจจุบนั บ้ำนม้งเข็กน้อยมผี ูส้ บื
สำนงำนเขียนเทียนแบบน้ีเพี ยงสิบคน ควบคู่กับกำรใช้แม่พิ มพ์ ป๊ ัมเพ่ื อควำม
สะดวกและรวดเร็ว สำหรับคนที่ยังไม่ชำนำญ หำกแต่กำรเขียนด้วยมือนั้นก็ยัง
มีควำมละเอียดกว่ำอยู่มำก หลังจำกเขียนต้องย้อมครำม นำมำผึ่งในร่มห้ำม
โดนแดดเพรำะจะทำให้เทียนละลำย ทำซ้ำแบบน้ีเกือบสิบน้ำ จนได้ควำมเข้มของ
สีที่ต้องกำร จึงนำไปต้มให้เทียนสลำย ตำกให้แห้งแล้วตกแต่งด้วยกำรปักผ้ำสี
หรือด้ำยสีลงทับลำยท่ีเว้นไว้ ข้ันตอนสุดท้ำยคือ พับผ้ำถี่ ๆ เพื่ออัดกลีบ โดย
เอำด้ำยเย็บแลว้ ปล่อยท้ิงไวจ้ นจบี อยู่ตัว

150 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

การละเลน่ ของ
ชาวเขาเผา่ ม้ง

การเล่นลูกชว่ ง หรือที่คนม้ง เรยี กกันว่ำ
“จุเป๊ำะ” ถอื ว่ำเป็นกำรละเลน่ เพื่อฉลอง
วนั ปีใหมม่ ้งโดยเฉพำะเลยทีเดียว ลูกชว่ ง
จะมลี ักษณะกลมเหมือนลกู บอลทำด้วย
เศษผำ้ มีขนำดเล็กพอท่ีจะถือดว้ ยมือขำ้ ง
เดียวได้ กำรละเล่นลูกช่วง จะแบ่งกลุ่มผู้
เล่นออกเป็น 2 ฝำ่ ย คือ ฝำ่ ยหญิงกบั
ฝำ่ ยชำย โดยที่กอ่ นจะมกี ำรละเลน่ ฝำ่ ย
หญิงจะเป็นผู้ท่เี อำลกู ชว่ งไปให้ฝำ่ ยชำย
หรอื ญำติ ๆ ของฝำ่ ยหญงิ เป็นผู้ทน่ี ำลกู
ช่วงไปใหฝ้ ่ำยชำย เมือ่ ตกลงกนั ไดก้ ็จะทำ
กำรโยนลูกช่วงโดยฝ่ำยหญงิ และฝำ่ ย
ชำยแตล่ ะฝ่ำยจะยืนเป็นแถวหน้ำ กระดำน
เรียงหนึง่ หนั หนำ้ เขำ้ หำกันมรี ะยะห่ำงกัน
พอสมควร แลว้ โยนลกู ช่วงให้กนั ไปมำ
และสำมำรถทำกำรสนทนำกบั คู่ทโี่ ยนได้

151 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ฟอรม์ ลู ่าม้ง

จำกภูมิปัญญำชำวบ้ำน สู่กำรแข่งขันกีฬำสุดท้ำทำย
“ฟอร์มูล่ำม้ง” หน่ึงในสีสันฉลองเทศกำลปีใหม่ของ
ชำวม้งจำกหลำยหมู่บ้ำน ในจังหวัดเชียงใหม่ คือกำร
จัดกำรแข่งขันกีฬำเอ็กซ์ตรีมสุดเร้ำใจ ท้ำทำยควำมเร็ว
และควำมชันของพื้ นท่ีสูง “ฟอร์มูล่ำม้ง” รถล้อเลื่อน
จำกไม้เน้ือแข็ง ลักษณะคล้ำยรถโกคำร์ท ที่แต่ก่อนคือ
เคร่อื งอำนวยควำมสะดวกในกำรขนของป่ำ และผลผลิต
ระหว่ำงบนเขำกบั หมู่บำ้ น ตอ่ มำเมอื่ รถยนตเ์ ขำ้ มำแทนที่
รถล้อเลื่อนจึงพั ฒนำระบบ โครงสร้ำงต่ำงๆ มำเป็น
รถแข่งขันประลองควำมเร็ว ท่ีมันส์ไม่แพ้ กำรแข่งรถ
ฟอรม์ ูล่ำ 1 กระชบั ควำมสมั พันธ์ของพี่น้องชำวม้งต่ำง
หมู่บ้ำนในเทศบำลปีใหม่และเช่ือมโยงไปสู่กำรท่องเท่ียว
ทำงวถิ ธี รรมชำติ

152 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ระบาม้ง

ระบามง้ เป็นศิลปะกำรแสดงด้งั เดิม

ซ่ึงมรี ำกเหงำ้ ดง่ั เดิม เร่มิ มีมำพรอ้ มๆ กับ
ชนชำตมิ ้ง พัฒนำกำรตำ่ ง ๆ กันไปตำมยคุ
สมยั จนกลำยเปน็ "ระบำมง้ “ ในปัจจบุ นั
นับเนือ่ งเหตกุ ำรณ์จำกกำรทมี่ ีกำรหยดุ
พักผอ่ นเพื่อพิธกี ำรกนิ ขำ้ วใหมแ่ ละต่อเนื่อง
ยำวนำน กบั เทศกำลเฉลมิ ฉลองปใี หม่ หรือ
เทศกำล "นอ่ เปะ๊ เจำ“ ในวันขนึ้ 1 คำ่ เดอื น 1
ของทกุ ปี

153 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

การเล่นลกู ข่าง
หรือการตีลูกข่าง

กำรเลน่ ลูกขำ่ ง หรอื ท่ีเรยี กกันวำ่

“เดำตอ้ ลุ๊” เปน็ กำรละเล่นอีกอย่ำงหนงึ่ ที่
นิยมเลน่ กันในวนั ขน้ึ ปใี หม่ของม้ง เปน็
กำรละเล่นสำหรบั ผู้ชำยโดยเฉพำะ

154 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

กำรละเล่นยงิ หนำ้ ไม้ หรอื เรยี กวำ่ “ตวั เนง้ ”

ลกู ดอกเรยี กวำ่ “ซูว์” ตัวไกหน้ำไมเ้ รียกวำ่
“เกเ้ น้ง” นั้น เดมิ เป็นอำวุธหรืออปุ กรณส์ ำหรบั
ยิงนก ป้องกนั ตวั เองของชนเผ่ำม้ง ต่อมำเมื่อ
มอี ำวุธท่ที ันสมัยข้นึ กน็ ำหนำ้ ไมม้ ำเปน็ เกมสก์ ฬี ำ
ในช่วงเทศกำลข้ึนปีใหม่เพ่ื อประลองควำมแมน่
มักจะเลน่ กนั ในชว่ งเทศกำลขึ้นปใี หมห่ รอื
ประเพณีฉลองปใี หม่ ซง่ึ เปน็ งำนร่ืนเรงิ ของ
ชำวมง้ ทกุ ๆ ปี

155 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

มง้ หมำยถึง อิสระชน เดิมอำศัยอย่ใู นประเทศจนี

ต่อมำชำวจนี เขำ้ มำปรำบปรำม เป็นเหตใุ หอ้ พยพ
ลงมำถึงตอนใตข้ องจนี และเขตอนิ โดจนี ในช่วง
สงครำมโลกครง้ั ท่ี 2 และตอนเหนือของประเทศ
ไทย ประมำณพ.ศ. 2400 โดยมีสองกลุ่มได้แก่
มง้ นำ้ เงนิ และมง้ ขำว ไม่ชอบใหเ้ รียกวำ่ แมว้ โดย
ถอื วำ่ เป็นกำรดูถกู เหยียดหยำม ประชำกรของม้ง
ในประเทศไทย มีมำกเปน็ อนั ดับ 2 รองจำก
กะเหรี่ยง ต้ังถ่นิ ฐำนอย่ตู ำมภูเขำสงู หรือท่รี ำบ
เชิงเขำในเขตพ้ืนท่จี ังหวัดเชยี งรำย พะเยำ นำ่ น
เชียงใหม่ แมฮ่ ่องสอน แพร่ ลำปำง สโุ ขทยั เลย
กำแพงเพชร พิษณโุ ลก เพชรบูรณ์ และตำก

156 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ประเพณีปีใหม่ม้ง (น่อเป๊โจ่วฮ์) เป็นประเพณีที่
สืบทอดกันมำต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษที่ทำกันมำ
เป็นเวลำยำวนำนตำมควำมเช่ือในกำรประกอบ
พิธีปีใหม่เพ่ื อเตรียมพร้อมรับสิ่งดีๆในปีต่อไป
แ ล ะ จ ะ เ ป็ น ช่ ว ง เ ว ล ำ ที่ ช ำ ว เ ข ำ เ ผ่ ำ ม้ ง จ ะ ห ยุ ด
ทำงำน ลูกหลำน ญำติพ่ี น้อง จะได้โอกำสนี้
กลับมำบ้ำนหำพ่อแม่ ถือเป็นวันที่ครอบครัวจะ
ได้มำพบกันพร้อมหน้ำ หลังจำกทำงำนตลอด
ปี เพ่ื อพั กผ่อน และมำร่วมงำนประเพณีปีใหม่
ประเพณีปใี หม่มง้ (นอ่ เป๊โจ่วฮ์) เป็นประเพณีขน้ึ
ปีใหม่หรือประเพณีฉลองปีใหม่ ซึ่งเป็นงำนร่ืน
เริงของชำวม้งของทุกๆ ปีจะจัดข้ึนหลังจำก
เก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบปีเรียบร้อยและเป็น
กำรฉลองควำมสำเร็จในกำรเพำะปลูกของแต่
ละปี ซ่ึงจะทำพิ ธีบูชำผีฟ้ำ-ผีป่ำ-ผีบ้ำน ที่ให้
ควำมคุ้มครองและดูแลควำมสุขสำรำญตลอด
ท้งั ปีรวมถงึ ผลผลติ ที่ไดร้ บั ในรอบปีดว้ ย แต่ละ
หมู่บ้ำนจะทำกำรฉลองกันอย่ำงพรอ้ มเพียงกัน
หรือตำมวันเวลำท่ีสะดวกของแต่ละหมู่บ้ำน
เน่อื งจำกชำวม้ง

157 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

นบั ชว่ งเวลำตำมจนั ทรคติ โดยจะเรมิ่ ตง้ั แต่
ขน้ึ 1 ค่ำไปถึง 30 คำ่ เม่ือครบ 30 ค่ำ จะนับ
เป็นหนึง่ เดอื น ดงั น้นั ในวนั สดุ ท้ำยของ 30
คำ่ ของเดอื นสดุ ทำ้ ยคอื เดือนท่ี 12 ของทุกปี
จึงถือไดว้ ำ่ เป็นวนั สง่ ท้ำยปเี กำ่ ชว่ งฉลอง
ปใี หมส่ ่วนใหญจ่ ะตกอย่ปู ระมำณช่วงเดือน
พฤศจกิ ำยนถึงเดือนมกรำคม ในวนั ดังกลำ่ ว
หวั หนำ้ ครวั เรอื นในแต่ละบ้ำนจะประกอบ
พิธีกรรมทำงศำสนำเพ่ือควำมเปน็ สิริมงคล
ของครัวเรือนถัดจำกวันส่งท้ำยปเี ก่ำไป 3 วัน
คือวันข้ึน 1 คำ่ 2 คำ่ และ 3 คำ่ ของเดอื น 1
จดั เปน็ วนั ฉลองปีใหมอ่ ยำ่ งเป็นทำงกำร ซึง่ ใน
งำนปใี หม่มง้ จะมีกิจกรรมกำรแสดง
กำรละเล่น กำรแข่งขนั กฬี ำพื้นบำ้ น เช่น กำร
ยงิ หนำ้ ไม้ กำรละตีลูกข่ำง กำรแขง่ รถฟอร์มู
ลำ่ มง้ กำรละเลน่ พ้ืนบำ้ น เชน่ กำรโยนลกู ชว่ ง
ระบำม้ง เป็นต้น ประเพณปี ใี หมม่ ้งจะจัดข้ึน
อยำ่ งนอ้ ย 3-9 วนั กำรแตง่ กำยของชำวเขำ
เผำ่ ม้งทมี่ ำร่วมงำนจะใสช่ ดุ มง้ ลำยผ้ำปกั
หลำกหลำยสี จดุ มุง่ หมำยของกำรจัดประเพณี
ปใี หมม่ ้ง เพื่อเป็นกำรพักผ่อนจำกกำรทำงำน
อยำ่ งหนกั มำท้งั ปีเพื่อพอปะสังสรรคก์ ันในหมู่
ผูห้ ลกั ผู้ใหญ่ เดก็ และหนุ่มสำว

158 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

เมอ่ื ฝำ่ ยชำยและฝ่ำยหญิงรู้จกั กันและเกดิ
รกั กนั ทัง้ 2 คน อยำกใชช้ ีวิตร่วมกนั ฝำ่ ยชำย
และฝำ่ ยหญิงจะกลบั มำบ้ำนของตนเอง และฝ่ำย
ชำยคอ่ ยมำพำฝำ่ ยหญิงจำกบ้ำนของฝำ่ ยหญงิ
โดยผ่ำนประตผู ีบำ้ นของฝ่ำยหญิง เพรำะคนม้
งถือและเป็นวัฒนธรรมของคนม้ง หลงั จำกท่ี
ฝ่ำยชำยและฝำ่ ยหญิงกลบั มำถงึ บำ้ นของฝ่ำย
ชำย พ่อ แม่ของฝำ่ ยชำย จะเอำแม่ไกม่ ำหมุน
รอบศรี ษะท้ังสองคน 3 รอบ เรยี กวำ่ “หรอื ขำ๊ ”
เป็นกำรตอ้ นรับคนทง้ั สองเข้ำบำ้ น ซึ่งฝ่ำยชำย
ตอ้ งแจง้ ใหญ้ ำติทำงฝ่ำยหญงิ ทรำบภำยใน 24
ช่ัวโมง โดยจัดหำคน 2 คน เพ่ือไปแจ้งข่ำวให้
พ่อแมแ่ ละญำตทิ ำงฝำ่ ยหญงิ ทรำบ ว่ำตอนน้ี
บุตรชำยของเรำได้พำบตุ รสำวของทำ่ นมำเปน็
ลกู สะใภข้ องเรำแล้ว ท่ำนไมต่ อ้ งเป็นห่วง
บตุ รสำว โดยคนทีไ่ ปแจ้งข่ำวน้ันคนม้ง เรียกว่ำ
“แมโ่ ก๊ง”

159 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

พ่อแม่ฝ่ำยหญิงจะแจ้งให้ทำงฝำ่ ยชำยว่ำทรำบว่ำอีก 3 วันให้ “แม่โก๊ง” มำใหม่
นั้นหมำยถึงว่ำพ่อแม่ทำงฝ่ำยหญิงต้องกำรจัดงำนแต่งงำน สมัยก่อนคนม้ง
มกั จะอยู่กนิ ด้วยกันกอ่ นสองถึง 3 เดือน หรืออำจจะเป็นปีแล้วค่อยมำจัดงำน
แตง่ แตป่ ัจจุบันนส้ี งั คมเปล่ียนไปตำมยุคเทคโนโลยี ทำให้กำรจัดงำนแต่งงำน
ของคนม้งได้กำหนดจดั งำนแตง่ งำนภำยใน 3 วนั เป็นทนี่ ิยมกนั ในปัจจบุ นั
ชำวมง้ จะไมเ่ ก้ียวพำรำสี หรือแต่งงำนกับคนแซ่หรือตระกูลเดียวกันเพรำะถือ
เป็นพี่น้องกัน ชำวม้งนิยมแต่งงำน ในระหว่ำงอำยุ 15-19 ปี เม่ือแต่งงำนกัน
แล้วฝ่ำยหญิงจะย้ำยเข้ำมำอยู่ในบ้ำนของฝ่ำยชำย ซ่ึงนับเป็นกำรเพิ่มสมำชิก
ในครอบครัวชำยชำวมง้ อำจมีภรรยำได้มำกกว่ำหน่ึงคน อยรู่ วมกันในบ้ำนของ
ฝำ่ ยสำมี

160 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

เป็นประเพณีที่เป็นกำรบอกกล่ำวเล่ำขำนว่ำ ข้ำวท่ีปลูกเร่ิมออกผลผลิตแล้ว
และถอื เปน็ สิริมงคลแกช่ ีวิต พรอ้ มกบั ให้กำรปลูกขำ้ วในปตี อ่ ไปเจริญงอกงำม
ดำเนินกำรเป็นประจำทุกปี หลังกำรเก็บเกี่ยวข้ำวใหม่ ทั้งนี้เพ่ือเป็นสิริมงคล
และเพื่ อให้กำรทำนำข้ำวในปีต่อๆ ไปดี และมีผลผลิตผลงอกงำมข้ึนเร่ือย ๆ
ส่วนกำรด่ืมเหล้ำเขำวัวนั้น ก็เพ่ือให้ผู้ชำยชำวม้งได้มีโอกำสพบปะสังสรรค์กัน
หลังฤดูเก็บเก่ียว และข้ำวใหม่เร่ิมออก กำรกินข้ำวใหม่จะมีกับข้ำว เช่น น่อง
ไก-่ หมู-เป็ด ประกอบกำรกินเพื่อเพิ่มควำมอร่อย

161 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ชำวม้ง ถือว่ำข้ำวคืออำหำรหลักในกำรดำรงชีวิต จึงมีกำรจัดประเพณีข้ึน
เพื่อเรียกขวัญข้ำว และเซ่นไหว้ขอบคุณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ รวมท้ังเทวดำ
เจำ้ ทเี่ จำ้ ทำง เพื่อปกป้องให้ลูกหลำนอยู่เย็นเป็นสุขและปกปักรักษำพืชพันธ์ุที่
ปลูกในรอบปีให้มีควำมอุดมสมบูรณ์ กำรกินข้ำวใหม่น้ัน จะมีกำรกินน่องไก่
เพ่ื อเสี่ยงทำยโชคชะตำอีกด้วยเพื่ อทำนำยถึงควำมเป็นอยู่ของครอบครัว
และพืชผลในปีต่อไป ส่วนผู้หญิงจะไม่ด่ืมเหล้ำ ข้ำวใหม่ท่ีนำมำกินนั้นจะมีกำร
เลือกข้ำวที่ยังมีน้ำนมประมำณ 20% เก็บเก่ียวพอประมำณเพื่อรับแขกท่ีมำ
กนิ ขำ้ วใหม่ ซึง่ ตอ้ งเปน็ ขำ้ วจำกทน่ี ำของตัวเอง

162 บ้ำนหลวง ผอ่ นคลำย

คนเมอื ง

“คนเมือง” เป็นคำท่ีใช้เรียกคนไทถิ่น เทศบำลตำบลบ้ำนหลวง มคี นเมอื ง
ในพื้นท่ี จำนวน 8 หมู่บำ้ น ดงั น้ี
ล้ำนนำ ตั้งแต่ เชียงใหม่ตลอดจนคน
ทำงภำคเหนอื 1. บำ้ นแม่หอย หมู่ที่ 10
2. บ้ำนเมอื งกลำง หมู่ท่ี 11
อำจำรยอ์ รณุ รัตน์ วิเชยี รเขีย ผูเ้ ชีย่ วชำญ 3. บ้ำนหวั เสอื หมู่ที่ 12
ภำษำล้ำนนำ อ้ำงว่ำไม่พบคำวำ่ 4. บำ้ นน้ำลัด หมทู่ ่ี 13
5. บำ้ นปะ หมทู่ ี่ 14
“คนเมือง” ในเอกสำรโบรำณของ 6. บำ้ นตำดมนื่ หมทู่ ี่ 16
7. บำ้ นนำ้ ตกแม่กลำง หมทู่ ี่ 20
ล้ำนนำ และอำจำรย์สรัสวดี อ๋องสกุล 8. บ้ำนกฮู่ ้อสำมัคคี หม่ทู ่ี 21
ผู้เขียนประวัติศำสตร์ล้ำนนำปัจจุบัน ก็
ยงั ไดย้ นื ยันว่ำคำวำ่ “คนเมือง” เพ่ิงจะ
ป ร ำ ก ฏ เ ป็ น ค ร้ั ง แ ร ก ใ น ร ำ ย ง ำ น ข อ ง
กรมหมื่นพิชิตปรีชำกร ข้ำหลวงพิเศษ
ฝ่ำยลำวเฉียง (ดูแลเมืองลำพู นและ
ลำปำงระหว่ำง พ.ศ. 2427-28)

ดังน้ัน จึงอำจกล่ำวได้ว่ำ คำว่ำ
“คนเมือง” คงจะเป็นคำท่ีเพ่ิ งจะเกิด
ข้ึ น ม ำ ใ น ส มั ย ห ลั ง ก ำ ร ป ฏิ รู ป ก ำ ร
ปกครองของรัชกำลที่ 5 หลัง พ.ศ.
2400 น่ีเอง

หลงั เปลีย่ นชือ่ ประเทศสยำม เป็น ประเทศไทย
(Thailand) เมื่อ พ.ศ. 2482 ชำวเชียงใหม่และ
คนในล้ำนนำทั้งหมดที่มีหลำยชำติพั นธ์ก็ถูก
บังคับใหเ้ ป็น “คนไทย” ตำมชอ่ื ประเทศไทย สบื จน
ปัจจุบัน ชื่อล้ำนนำก็ถูกเติมคำว่ำ ไทย ต่อท้ำย
เปน็ ล้ำนนำไทย

163 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

การแตง่ กาย

ควำมสำคัญส่ิงหนึ่งที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของคนแต่ละพ้ื นถิ่น สำหรับในเขต
ภำคเหนือหรือดินแดนล้ำนนำในอดีต ปัจจุบันกำรแต่งกำยแบบพื้ นเมืองได้รับ
ควำมสนใจมำกขึ้น แต่เนื่องจำกในท้องถิ่นมีผู้คนหลำกหลำยชำติพั นธุ์อำศัยอยู่
เช่น ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ และอิทธิพลจำกละครโทรทัศน์ ทำให้กำรแต่ง
กำยแบบพ้ื นเมืองมีควำมสับสนเกิดข้ึน ดังน้ันจึงได้ระบุข้อไม่ควรกระทำ ในกำร
แตง่ กำยชุดพื้นเมืองของ“แม่ญงิ ลำ้ นนำ” เอำไว้วำ่

1.ไม่ควรใช้ผำ้ โพกศีรษะ ในกรณีที่ไม่ใช่ชดุ แบบไทลอ้ื
2. ไม่ควรเสียบดอกไม้ไหวจนเตม็ ศรี ษะ
3.ไม่ควรใช้ผ้ ำพำดบ่ำลำกหำงยำว หรอื คำดเขม็ ขดั ทบั
และผ้ำพำด ทป่ี ระยกุ ต์มำจำก ผำ้ ตีนซ่นิ และผ้ำ “ตุง”
ไมค่ วรน ำมำพำด
4. ตวั ซิน่ ลำยทำงต้ังเปน็ ซิ่นแบบลำว ไม่ควรน ำมำตอ่
กบั ตนี จกไทยวน

สำหรับหญิง จะนุ่งผ้ำซิ่น หรือผ้ำถุง มีควำมยำวเกือบ

ถึงตำตุ่ม ซ่ึงนิยมนุ่งท้ังสำวและคนแก่ผ้ำถุงจะมีควำม

ประณีต งดงำม ตีนซิ่นจะมีลวดลำย งดงำม ส่วนเส้ือ

จะเป็นเส้ือคอกลม มีสีสัน ลวดลำยสวยงำม อำจห่ม

สไบทับ และ เกลำ้ ผม ส่วนผู้ชำย นิยมนุ่งกำงเกง ขำยำวลักษณะแบบ

กำงเกงขำยำวแบบ 3 ส่วน เรียกติดปำกว่ำ

"เตี่ยว" "เต่ียวสะดอ" หรือ "เตี่ยวกี" ทำจำกผ้ำ

ฝ้ำย ย้อมสีน้ำเงิน หรือสีดำและสวมเสื้อผ้ำฝ้ำย

คอกลมแขนส้ัน แบบผำ่ อก กระดุม 5 เม็ด สนี ้ำเงิน

หรอื สีดำ ทเี่ รียกว่ำ เส้ือม่อฮอ่ ม

164 บำ้ นหลวง ผอ่ นคลำย

ประเพณแี หไ่ ม้ค้าโพธ์ิ

ประเพณีแห่ไม้ค้าโพธิ์ เป็นประเพณีสำคัญของ

ชำวอำเภอจอมทองท่ีได้กระทำสืบต่อกันมำนำนและ
ยังเป็นมรดกทำงวัฒนธรรมช้ินเอกของชำวอำเภอ
จอมทองอีกด้วย ชำวจอมทองมีควำมเชื่อว่ำ ไม้ค้ำ
เป็นส่วนหน่ึงในพิ ธีสืบชะตำรำศีเป็นกำรค้ำชีวิตของ
ตนเองให้ย่ังยืนนำน ให้มีควำมร่มเย็นเป็นสุขและยัง
เป็นกำรค้ำจุลพระบวรพุ ทธศำสนำ สำหรับประเพณี
แห่ไม้ค้ำโพธ์ิ เป็นประเพณีท่ีมีมำแต่โบรำณกว่ำ 100
ปีมำแล้ว ชำวจอมทองมีควำมเช่ือว่ำในเทศกำล
สงกรำนต์หรือประเพณีป๋ ีใหม่เมือง ทุกคนจะต้อง
ทำบุญสืบชะตำรำศีของตน เพ่ือเป็นกำรเฉลิมฉลอง
ท่ตี นเองได้มีชวี ติ อย่ำงสงบสุข ผำ่ นพ้นไปอกี หน่งึ ปี

165 บ้ำนหลวง ผอ่ นคลำย

ประเพณีตานตน้ เกยี๊ ะ

ประเพณีตานต้นเกี๊ยะ การเผาต้นเก๊ียะ

ต้นเกี๊ยะ เป็นภำษำถ่ินล้ำนนำ หำกจะแปลเป็น
ไทยกลำงแล้ว คือต้นสนสำมใบ สนสำมใบ
เป็นไม้ยืนต้นขนำดใหญ่พบตำมเนินเขำหรือ
บนเขำ ลำต้นจะมียำงสำมำรถกลั่นเป็นน้ำมัน
และชนั ได้ และพบข้นึ ท่วั ไปภำคเหนือ จึงเป็นท่ี
นยิ มนำมำทำเป็นเชือ้ ในกำรกอ่ กองไฟ หุง ต้ม
โดยภำษำถ่ินเรียกว่ำ จอบไฟ ใช้เพี ยงก้ำน
เดยี วก็สำมำรถตดิ ไฟที่ดนุ้ ฟนื ได้

166 บ้ำนหลวง ผอ่ นคลำย

จำกธรรมมหำชำตเิ วสสันดร ชำดก กณั ฑท์ ่ี ๑๓ มใี จควำมตอนหน่ึงว่ำ หลังจำกที่
พระเจำ้ สญชัย พระนำงผุสดี พระรำชบดิ ำ และพระรำชมำรดำของพระเวสสันดร
ไปนำขบวนไปอัญเชญิ ใหพ้ ระเวสสันดร และพระนำงมัทรี ลำสิกขำจำกเพศฤๅษีให้
กลับไปครองเมอื งตำมเดิม ระหวำ่ งทำงกลับต้ังแต่ เขำวงกต จนถงึ เมอื งสีพีนั้น
ไดม้ กี ำรตกแต่ง ประดบั ประดำ ตั้งพลบั พลำ และจดุ ไต้ (คบเพลิง) ขนำดใหญไ่ ว้
สอ่ งสวำ่ ง เป็นระยะจำก เหตกุ ำรณใ์ นเน้ือควำมนเ้ี อง จงึ ทำใหเ้ กดิ ประเพณีตำน
ต้นเก๊ียะหรือเผำตน้ เกีย๊ ะขึน้ โดยกอ่ นวนั งำนประมำณ ๒-๓ วัน ชำวบ้ำนผู้ชำย ท่ี
อย่ลู ะแวกใกล้กนั จะรวมตัวกนั มำทำต้นเก๊ยี ะ โดยใช้เศษไมแ้ หง้ ฟำกไมไ้ ผ่ เกย๊ี ะ
มำมัดรวมกนั เปน็ แทง่ กลมสูงประมำณ ๒ – ๓ เมตร แลว้ ใช้กระดำษสตี ำ่ งๆ มำ
หอ่ หุม้ ตกแต่งจนสวยงำม ตำมคุม้ บ้ำนตำ่ งๆ กจ็ ะทำของกนั เองไมม่ ใี ครบงั คับ
และยงั เปน็ โอกำสดที ่ญี ำตพิ ่ีนอ้ ง คนหนุ่มคนแก่จะได้มำพบปะ เปน็ กำรแสดงถึง
ควำมผกู พันของคนในชมุ ชน แสดงนำ้ ใจไมตรตี ่อกนั เป็นกสุ โลบำยอยำ่ งดเี ยีย่ ม
ของคนโบรำณ และรอกำรนำไปถวำยพรอ้ มกับจุดเผำทบี่ รเิ วณลำนวดั ในวนั
เดือนยเ่ี ปง็ หรอื ขนึ้ ๑๕ คำ่ เดือนยีเ่ หนอื เวลำประมำณ ๑๙.๓๐ น.– ๒๑.๐๐ น.
ชำวบำ้ นกจ็ ะเริม่ นำตน้ เกยี๊ ะ แหม่ ำตำมถนนจำกหมบู่ ำ้ น มกี ำรร้องรำทำเพลง แห่
ฆอ้ ง กลอง จดุ ประทัดเป็นระยะเขำ้ มำถวำย โดยนมิ นต์พระสงฆ์ ๑ รปู เป็นผรู้ ับ
ถวำยทำนต้นเก๊ียะ หลงั จำกนั้นก็จะเรม่ิ จุดจำกสว่ นบนลงมำ แลว้ ปล่อยใหต้ ดิ ไฟ
ไหมล้ งมำจนถึงโคนตน้ เปน็ ท่สี นุกครึกครืน้ และเป็นประเพณี ทีห่ ำชมได้ยำกแลว้
ในปัจจุบนั

167 บำ้ นหลวง ผ่อนคลำย

“หมอเมือง.”

ภูมปิ ญั ญำพ้ืนบ้ำนล้ำนนำ

หมอเมืองมีส่วนสำคัญอย่ำงยิ่งต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยเฉพำะใน
ทำ่ มกลำงวกิ ฤตกิ ำรณท์ ำงเศรษฐกิจและสังคมเมืองที่นับวันมีควำมเจริญมำกขึ้น
วิถชี วี ิตของคนเมอื งเร่ิมเปลย่ี นไปตำมกระแสแห่งสังคม เช่นกำรรับเอำเทคโนโลยี
สมัยใหม่เข้ำมำใช้แทนภูมิปัญญำด้ังเดิมของท้องถ่ิน กำรนิยมบริโภคอำหำร
ประเภทฟำสฟูด๊ รสนิยมกำรแต่งกำยที่เปล่ียนไปตำมสมัยที่บำงคร้ังแลดูไม่เข้ำท่ำ
เหล่ำนี้ลว้ นแล้วแตเ่ ปน็ กำรบริโภควฒั นธรรมจำกตะวนั ตกทัง้ ส้ิน

168 บ้ำนหลวง ผอ่ นคลำย

ชุมชนคนเมืองล้ำนนำมีกำรดำเนินชีวิตที่
เรียบง่ำยอิงแอบกับธรรมชำติในทุกด้ำนไม่ว่ำ
จะเปน็ เร่ืองอำหำรกำรกนิ กำรทำไร่ทำนำ หรือ
แม้แต่กำรรักษำโรคต่ำง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่นิยม
นำสมุนไพรที่หำได้ตำมพื้ นบ้ำนมำใช้เป็นยำใน
กำรรักษำโรคต่ำง ๆ ซ่ึงควำมรู้เหล่ำนี้เองท่ี
เป็น ภูมิปัญ ญ ำของคน ใน ท้องถ่ิน มีกำร
อ นุ รั ก ษ์ สื บ ท อ ด ต่ อ กั น ม ำ ห ล ำ ย รุ่ น ท ว่ ำ
ปัจจุบันศำสตร์ด้ำนหมอเมืองกำลัถูกกลืนกิน
ไปพร้อมกับสังคมชำวบ้ำนที่กลำยเป็นสังคม
อยทู่ ุกขณะ

กำรรักษำด้วยวิธีธรรมชำติหรือกำรแพทย์
แผนไทยน้ันเก่ียวข้องกับคนไทยมำช้ำนำน
และด้วยวิถีชีวิตที่เป็นชำวพุ ทธ กำรดำเนิน
ชีวิตตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตำย จึงเกี่ยวข้อง
กับพุ ทธศำสน ำท้ังสิ้น กำรรักษำด้วยวิธี
ธ ร ร ม ช ำ ติ ก็ ไ ด้ อ ำ ศั ย แ น ว ท ำ ง ข อ ง
พระพุ ทธศำสนำเป็นหลักของควำมรู้และ
แนวคิดในเรื่องของวิถีสุขภำพ อันนำไปสู่
หนทำงในกำรปฏิบัติตัวเพื่ อให้มีสุขภำพท่ีดี
กำรรกั ษำดว้ ยวิธีธรรมชำตโิ ดยใช้สมุนไพรน้ัน
ถือเป็นภูมิปัญญำของชำวบ้ำน ผู้ท่ีทำหน้ำที่
รกั ษำคนเจ็บป่วยนนั้ เรำเรียกว่ำ “หมอเมือง”

169 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย

ในอดีตหมอเมืองมีอยู่เป็นจำนวนมำกตำมหมู่บ้ำนต่ำง ๆ ซึ่งควำมรู้ในด้ำนกำรรักษำ
ของหมอเมอื งนนั้ ได้รบั กำรถ่ำยทอดจำกมำบรรพบรุ ุษ นอกจำกน้ันหมอเมอื งบำงคนยังได้
คิดค้นสูตรยำข้ึนมำเป็นของตนเอง เมื่อจำนวนของหมอเมืองมีเพ่ิ มมำกขึ้นก็ได้มีกำร
เดินทำงไปพบปะแลกปล่ียนควำมรู้เรื่องตำรำยำเมืองซึ่งกันและกัน มีกำรรวมกลุ่มกัน
จัดตั้งเป็นเครือข่ำยหมอเมืองขึ้น เพื่อป้องกันบำบัดและรักษำชีวิตของบุคคลโดยไม่แยก
ส่วนและแยกชุมชน ในขณะเดียวกัน “หมอเมือง” ก็คือบุคคลท่ีชุมชนให้ควำมเคำรพ
เน่ืองจำกคุณประโยชน์ของหมอเมืองท่ีได้ทุ่มเทรักษำคนในชุมชน ดังนั้นตำแหน่ง “หมอ
เมือง” จึงไม่ใช่อยู่แค่วิชำชีพเท่ำนั้น แต่เป็นตำแหน่งท่ีคนในชุมชนพร้อมใจมอบให้ อนันต์
เลรำมัญ หน่ึงในกลุ่มเครือข่ำยหมอเมืองเชียงใหม่ บอกถึงที่มำของกำรรวมตัวจัดต้ัง
เครือข่ำยหมอเมืองเชียงใหม่ว่ำ ส่วนใหญ่กลุ่มหมอเมืองท่ีมำร่วมจัดต้ังเครือข่ำยน้ันเป็น
หมอเมืองจำกชุมชนต่ำง ๆ ในเชียงใหม่ ซึ่งเห็นว่ำกำรรักษำด้วยวิธีธรรมชำติเป็น
ทำงเลือกหนงึ่ ซงึ่ กำลงั ได้รับควำมสนใจ

170 บ้ำนหลวง ผ่อนคลำย



หมำยเลขโทรศพั ท์
เทศบำลตำบลบำ้ นหลวง

โทรศพั ท์ 0-5303-3618-19 โทรสาร 0-5311-4370

หมายเลขโทรศพั ทภ์ ายในหน่วยงานของเทศบาลตาบลบา้ นหลวง

สานกั ปลัด 11
กองคลัง 12
กองช่าง 13
กองการศึกษา 14
กองสาธารณสขุ และส่งิ แวดลอ้ ม 15

บ้านหลวง 24 ช่ัวโมง 0-5303-3581

จดั ทำโดย

ประชำสมั พันธ์ เทศบำลตำบลบ้ำนหลวง
อำเภอจอมทอง จังหวดั เชยี งใหม่

1 เทศบำลตำบลบ้ำนหลวง หมู่20 ตำบลบ้ำนหลวง
อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160


Click to View FlipBook Version