The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.58

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Library, 2021-11-30 03:02:31

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.58

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.58

Keywords: Project 2558

กำหนดกำรนำเสนอโครงงำนนกั ศึกษำ ประจำปีกำรศึกษำ 2558
ในวนั จันทรท์ ่ี 2 พฤษภำคม 2559 ณ หอ้ งประชุมสุนำลนิ ี นโิ ครธำนนท์ และชน้ั 5 อำคำรศูนย์ศกึ ษำและวิจยั เภสัชภณั ฑ์ทักษณิ

Oral Presentation ชือ่ โครงงำน นกั ศึกษำ/อำจำรย์ทป่ี รกึ ษำ
เวลำ
ลงทะเบียน ณ หอ้ งประชุมสนุ าลนิ ี นิโครธานนท์
08.30 – 09.00 น.
09.00 – 09.15 น. รองคณบดฝี ่ายบริหารและแผนกลา่ วเปดิ การประชุมฯ
09.15 – 09.30 น.
Increased solubility of lawsone methyl ether by โดย : นศภ.นภสั วรรณ คงถาวรวงศ์
09.30 – 09.45 น. formation of inclusion complexes with นศภ.นภาพร วัชรสนิ ธุ

09.45 – 10.00 น. hydroxypropyl--cyclodextrins and อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : รศ.ดร.ภาคภมู ิ พาณิชยปู การนันท์
polyvinylpyrrolidone for preparation of mouth
10.00 – 10.15 น. wash โดย : นศภ.ภทรชยั พรปญั ญานกุ ลู
การพัฒนาข้อกาหนดมาตรฐานและสตู รตารับยาอมเม็ดนมิ่ นศภ.โสรวีร์ วนชิ กุลพทิ ักษ์
10.15 – 10.30 น. จากสารสกัดหญา้ ดอกขาว เพือ่ ใช้ในการลดความอยากบหุ รี่
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ดร.ภาณุพงศ์ พทุ ธรกั ษ์
10.30 – 10.45 น.
10.45 – 12.00 น. ผลการสมานแผลและต้านออกซเิ ดชั่นของสารสกดั จากวา่ น โดย : นศภ.สลิลทพิ ย์ ดลุ กูล
12.00 – 13.00 น. หางจระเข:้ การศกึ ษาในหลอดทดลอง นศภ.อรุ วี วัฒนกจิ

การสังเคราะห์อนุพันธ์กรดฟนี อลกิ เพ่อื ใหเ้ ป็นสารตา้ น อาจารย์ทป่ี รึกษา : รศ.ดร.เจษฎี แก้วศรีจนั ทร์
ออกซิเดชัน
โดย : นศภ.ณชิ าภัทร ฉันทภ์ ากร
การพัฒนาสูตรตารับยาสีฟนั สมุนไพรจากสารสกดั หญา้ ดอก นศภ.ทักษิณา กาลงั รูป
ขาว นศภ.นวยิ า โรจโนภาส
นศภ.พิรินยา บญุ ลาภรตั น์

อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.ลอื ลกั ษณ์ ลอ้ มลม้ิ

โดย : นศภ.กรณิการ์ แสงอาไพ
นศภ.นาถชนก เพช็ รรว่ ง

อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา : อ.กติ ตโิ ชติ วรโชตกิ าจร

พกั รับประทานอาหารว่าง ณ ช้ัน 5 อาคารศูนย์ศกึ ษาและวจิ ัยเภสัชภัณฑ์ทกั ษณิ

นาเสนอรปู แบบ Poster Presentation ณ ช้ัน 5 อาคารศนู ย์ศึกษาและวิจยั เภสัชภณั ฑท์ กั ษณิ

พักรับประทานอาหารกลางวนั ณ ชั้น 5 อาคารศนู ยศ์ กึ ษาและวจิ ยั เภสัชภณั ฑท์ ักษิณ

13.00 – 13.30 น. แนะนาหลักสตู รระดบั บัณฑิตศกึ ษา โดยประธานหลักสูตร หรือผแู้ ทน

13.30 – 13.45 น. การออกแบบสูตรตารบั ยาพน่ จมูก montelukast โดย : นศภ.ชนนกิ านต์ ขวญั แกว้
13.45 – 14.00 น. นศภ.โสรยา ขุนมนตรี
ความตอ้ งการกาลังคนด้านเภสชั กรรมโรงพยาบาลใน
14.00 – 14.15 น. ทศวรรษหน้า อาจารย์ทป่ี รึกษา : รศ.ดร.ธรี ะพล ศรชี นะ
14.15 – 14.30 น.
โดย : นศภ.จริ ารัตน์ ตรสี ุขเกษม
14.30 – 14.45 น. นศภ.ฉัตรวภิ า มาศศรี
14.45 – 16.00 น. นศภ.สิริวฒั น์ ณ ระนอง
16.00 – 16.30 น.
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : อ.กนกกาญจน์ ไชยกาล

การใช้ผลิตภัณฑเ์ สรมิ อาหารและสมนุ ไพรในผู้ป่วยมะเรง็ โดย : นศภ.วราภรณ์ เจตนเสน
ณ สาขารงั สีรักษา มะเรง็ วิทยา โรงพยาบาลสงขลา นศภ.นติ า การิกาญจน์
นครินทร์: การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ
อาจารย์ทปี่ รกึ ษา : ดร.กรกมล รกุ ขพนั ธ์

ความรว่ มมอื ในการใชย้ ากลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitors โดย : นศภ.กฤษฎา วงศศ์ รีตรงั

ในผปู้ ว่ ยโรคมะเร็งเมด็ เลือดขาวเรอื้ รงั ชนิดมยั อีลอยด์ นศภ.ชวณัฐ เจ้ยแก้

นศภ.รฐั นนั ท์ เจยี มวชริ ะ

อาจารย์ทป่ี รึกษา : ดร.วรณุ สดุ า ศรภี ักดี

พักรบั ประทานอาหารวา่ ง ณ ชน้ั 5 อาคารศนู ย์ศกึ ษาและวจิ ยั เภสัชภณั ฑ์ทักษณิ

นาเสนอรูปแบบ Poster Presentation ณ ช้นั 5 อาคารศนู ย์ศึกษาและวจิ ัยเภสชั ภัณฑ์ทักษณิ

ประกาศผลรางวลั โครงงานนกั ศกึ ษาดเี ด่น ณ ห้องประชมุ สุนาลินี นโิ ครธานนท์

กำหนดกำรนำเสนอโครงงำนนักศกึ ษำ ประจำปกี ำรศึกษำ 2558
ในวันจันทรท์ ่ี 2 พฤษภำคม 2559 ณ ชนั้ 5 อำคำรศูนย์ศึกษำและวิจยั เภสัชภัณฑ์ทกั ษณิ
Poster Presentation

Poster เร่อื ง
No. การพัฒนาเทคนิค แกส๊ โครมาโตกราฟี ในการวเิ คราะห์ปรมิ าณ eugenol ในยาประสะกานพลู

1 โดย : 1. นศภ.ธวชั ชัย ถนิ กามะถัน
2. นศภ.วิศษิ ฐ์ เหมาะทอง
2
3 อาจารยท์ ่ีปรึกษา : รศ.ดร.จไุ รทพิ ย์ หวังสนิ ทวกี ุล
4
5 การใชส้ ถิติออกแบบวิธกี ารสกดั สารเปลาโนทอลท่ีเหมาะสมจากเปลา้ น้อยเม่อื ใชค้ ลน่ื เสยี ง และเอนไซมเ์ ป็นตวั ชว่ ย

6 โดย : 1. นศภ.พัทธมน สารรี ตั น์
2. นศภ.วรญา หวงั พฤตพิ ณิช
7
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : รศ.ดร.จไุ รทพิ ย์ หวงั สินทวีกุล
8
การพัฒนาสตู รตารบั ผลติ ภณั ฑ์มาส์กผวิ หน้าขาวแบบลอกออกจากสารสกัดแก่นมะหาด

โดย : 1. นศภ.ขวญั ชนก สดุ จันทร์
2. นศภ.ชนกนันท์ เผือกมว่ งศรี

อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.สุกญั ญา เดชอดศิ ยั

การทดสอบฤทธ์ยิ บั ยัง้ เอนไซม์แอลฟากลโู คซเิ ดสเบ้อื งต้นของพชื วงศ์ Cucurbitaceae

โดย : 1. นศภ.กนกวรรณ ยอดแกว้
2. นศภ.กมลชนก ทองพิชัย

อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ผศ.ดร.สกุ ญั ญา เดชอดิศัย

การทดสอบฤทธ์ิยบั ยง้ั เอนไซม์ -glucosidase จากสารสกัดพืชสกลุ Hibiscus

โดย : 1. นศภ.วิลาวัณย์ เพชรมี
2. นศภ.อังคณา สุขสวสั ด์ิ

อาจารยท์ ีป่ รึกษา : ผศ.ดร.สุกัญญา เดชอดศิ ยั

การพัฒนาวธิ ีเตรยี มสารสกัดเฟริ น์ (Cyclosorus terminans) ท่มี อี นิ เตอร์รับตนิ เอและบีในปรมิ าณสงู และการ

ทดสอบฤทธ์ิตา้ นอนมุ ลู อิสระ

โดย : 1. นศภ.นฬวรรณ นาคะวโิ รจน์
2. นศภ.ไพล ดวงสวุ รรณ์

อาจารย์ที่ปรึกษา : ผศ.ดร.สริ ีวรรณ วริ ยิ กลุ โอภาศ

โลชน่ั สาหรบั ผวิ กายยับยั้งแบคทีเรยี จากสารสกดั เฟิร์นไซโคลซอรสั เทอรม์ ิแนนส์ท่ีมคี วามปลอดภัยและเปน็ มิตร
กับสงิ่ แวดล้อม (สารสกดั ท่ลี ะลายในน้ามนั และนา้ )
โดย : 1. นศภ.พิชภา พงศข์ จร

2. นศภ.สมาพร แซจ่ วิ
อาจารย์ทป่ี รึกษา : ผศ.ดร.สริ ีวรรณ วริ ิยกลุ โอภาศ
การพฒั นาเทคนิคการกลบรสขมของสารสกดั ฟา้ ทะลายโจร

โดย : 1. นศภ.ฉันชนก ไฝขวญั
2. นศภ.ศโิ รธร เอ้งฉ้วน

อาจารย์ทปี่ รกึ ษา : ดร.อธปิ สกลุ เผอื ก

Poster เรือ่ ง
No. การพัฒนาสตู รตารบั นา้ ยาบว้ นปากจากสารสกัดบัวบกในรปู แบบไมโครอมิ ัลชันสาหรบั การรักษาแผลในปาก
โดย : 1. นศภ.ปิยานันต์ ดานลิ
9
10 2. นศภ.อภิชญา ธนวงศ์วาณชิ ย์
11
12 อาจารย์ทป่ี รึกษา : ดร.ภาณพุ งศ์ พุทธรักษ์

13 การปลดปล่อยยานโิ คตินาไมดจ์ ากไฮโดรเจลของกรด 12-ไฮดรอกซีสเตียรกิ และอาร์จีนนี ในรปู แบบยาทาเฉพาะท่ี
โดย : 1. นศภ.ภาวิตา สขุ เมฆ
14
15 2. นศภ.ลดาวัลย์ รตะวงั กุล

16 อาจารย์ทป่ี รึกษา : ศ.ดร.วิมล ตันตไิ ชยากลุ

การพฒั นาไฮโดรเจลจาก 12-ไฮดรอกซีสเตยี รกิ แอซดิ /ไลซนี สาหรับการนาสง่ ทางผิวหนงั

โดย : 1. นศภ.ชัยวุฒิ ภทั รจนิ ดาวงศ์
2. นศภ.ชนิ ภัทร ศรสี วุ รรณ

อาจารย์ทีป่ รกึ ษา : ศ.ดร.วมิ ล ตนั ตไิ ชยากลุ

การเตรียมอนุพนั ธ์คารบ์ อกซีเมทธลิ ของแป้งจากเมลด็ ทเุ รียน เพือ่ ใชศ้ กึ ษาการเพ่มิ การละลายนา้

ของยา Ibuprofen ด้วยเทคนิค Solid dispersion

โดย : 1. นศภ.พิชชาพร มีอปุ การ
2. นศภ.ภัทรสนิ ี กมลวิทย์

อาจารยท์ ปี่ รึกษา : ผศ.ดร.ชิตชไม โอวาทฬารพร

การเตรียมไมเซลล์จากอนพุ ันธแ์ ปง้ ทเ่ี ชอ่ื มต่อกับดีออกซีโคลิกแอซดิ ทก่ี กั เก็บเคอร์คูมินเพอื่ เพมิ่ ค่าการละลายและ
เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการตา้ นมะเร็ง

โดย : 1. นศภ.เพญ็ พิสทุ ธิ์ วรรณวสิ ทุ ธิ์
2. นศภ.อรศิ ราภรณ์ เพญ็ หนู

อาจารยท์ ่ปี รึกษา : ผศ.ดร.ชิตชไม โอวาทฬารพร

การสังเคราะห์และตรวจสอบคณุ สมบตั ขิ องแมเ่ หล็กนาโนทม่ี โี พลเิ มอรท์ ม่ี รี อยประทับเคลือบสาหรับการนาสง่ ไป

ยังสมองของยาเออร์ก็อท
โดย : นศภ.กฤษฎา โปจีน
อาจารย์ที่ปรึกษา : รศ.ดร.ร่งุ นภา ศรชี นะ

การประเมินคณุ ภาพเชงิ เภสชั กรรมของยาที่ถกู แบ่งเมด็ : กรณศี กึ ษายาเมด็ วารฟ์ ารินโซเดยี ม 3 mg

โดย : 1. นศภ.เนตรชนก แพรกบรรเทิง
2. นศภ.ปยิ ะธิดา บวั จนั ทร์

อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.นฤบดี ผดุงสมบัติ

การศึกษาความคงสภาพของสโคโปเลตนิ ในผลติ ภณั ฑ์ของเหลวสาหรบั รบั ประทานทม่ี สี ่วนผสมของผลยอ

โดย : 1. นศภ.พรวภิ า มูสกิ ารักษ์
2. นศภ.พิมพ์ชนก ปะดกุ ะ

อาจารยท์ ่ีปรกึ ษา : ผศ.ดร.จตุ ิมา บุญเลย้ี ง

Poster เรื่อง
No. การเพิม่ การละลายของยาผสมโดยใช้ Polyvinylpyrrolidone (PVP) ด้วยวิธีการ Solid dispersion
โดย : 1. นศภ.ชตุ ิมา แสงอารยะกลุ
17
18 2. นศภ.สภุ ติ า พศิ บุญ
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ดร.กฤษณ์ สุขนันทร์ธะ
19
20 การศึกษาและพฒั นาวิธกี ารวเิ คราะหข์ องยาผสมเฉพาะคราวสาหรับป้องกนั อาการไมพ่ งึ ประสงค์ในผู้ปว่ ยทไ่ี ดร้ บั
ยารักษามะเร็ง
21 โดย : 1. นศภ.ธรี ะพัฒน์ ปรีชาเวชกุล

22 2. นศภ.ศภุ ฤกษ์ วชิรวฒั นากาญจน์
23 อาจารยท์ ปี่ รึกษา : ดร.กฤษณ์ สุขนันทรธ์ ะ

24 Preliminary screening for crystallization of Dirofilaria immitis thymidylate synthase
โดย : นศภ.นฤมล นลิ วสิ ทุ ธิ์ และคณะ
อาจารย์ท่ปี รึกษา : ผศ.ดร.ภูธร แคนยกุ ต์

การออกแบบ สังเคราะหแ์ ละพสิ ูจน์เอกลักษณ์เชิงโครงสรา้ งของ (8-methyl-2-pentyl-4H-[1,3]dioxino[4,5-
c]pyridin-5-yl)methanol esters และนามาประเมนิ ผลการยบั ย้ัง acetylcholinesterase
โดย : 1. นศภ.ณฐั พล จงึ เจรญิ สขุ

2. นศภ.ธนวฒั น์ อดลุ ยศกั ด์ิ
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.เฉลมิ เกียรติ สงคราม

การคัดเลือกไพรเมอรท์ ่ีใช้ในการเพ่มิ ปรมิ าณดีเอน็ เอจากจีโนมิคดีเอน็ เอของขา้ วไทยบางพนั ธุ์
โดย : 1. นศภ.ฑติ ฐิตา หวดั สนทิ

2. นศภ.ปาลิน ลิมป์พานิชกุล
อาจารยท์ ่ปี รกึ ษา : ดร.ชเู กยี รติ กอธนะกลุ

ผลของ RAPTA-EA1 ร่วมกบั olaparib ต่อการแสดงออกของยีนบีอาร์ซีเอวันในเซลลม์ ะเร็งเตา้ นม
โดย : นศภ.ชลติ า เจยี มสวุ รรณวัต
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : รศ.ดร.อดิศร รตั นพันธ์

ผลของสารประกอบเชงิ ซอ้ นทองคา(III) ต่อการซ่อมแซมดเี อ็นเอและการแสดงออกของโปรตีนบีอารซ์ เี อวันใน
เซลล์มะเร็งเตา้ นมเพาะเลยี้ ง
โดย : นศภ.จติ รา พรพุทธานนท์
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : รศ.ดร.อดิศร รัตนพันธ์

ศกึ ษาประสิทธภิ าพและการปลดปลอ่ ยของยา Thalidomide เพ่ือลดการอักเสบของหลอดเลือด
จากการใส่ Stent ด้วยการศกึ ษานอกกาย (in vitro)
โดย : 1. นศภ.ขวัญชเนตติ์ ครองนุช

2. นศภ.นภคั เดน่ ยกุ ต์
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : รศ.ดร.ร่งุ นภา ศรชี นะ

Poster เรื่อง
No. การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์บารุงเส้นผมจากกากน้าตาล
โดย : 1. นศภ.วรภณ เรอื งวิทยาวงศ์
25
2. นศภ.วารนิ ทิพย์ ประพาฬรตั น์
26 อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : ผศ.ดร.ขวัญจิต อง๊ึ โพธิ์

27 การตรวจหาปรมิ าณสารเจือปนในวตั ถุดิบทางเภสชั กรรมด้วยวธิ ี differential scanning calorimetry
โดย : 1. นศภ.ภรู พิ งษ์ นติ ิไชย
28
29 2. นศภ.สนั ตสิ ขุ ศรีบางรัก
30 อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.ดารงศกั ด์ิ ฟ้ารุ่งสาง
31
32 การประเมินประสิทธภิ าพในการไล่ยุงของโลชันนา้ มนั หญ้าแฝกและโลชันนา้ มันตะไคร้หอมทเ่ี ตรยี มโดยใช้
Simulgel FL® เปน็ สารทาอมิ ลั ชนั
โดย : 1. นศภ.พรยมล แซ่จุ่ง

2. นศภ.สมฤดี เพ็งมาก
อาจารย์ที่ปรึกษา : นางสาวดวงแข มณนี วล

รศ.นฏั ฐา แกว้ นพรัตน์
ผศ.ดร.ศรณั ยู สงเคราะห์
การศึกษาการละลายและสมบัติทางเคมีกายภาพของสารเชิงซ้อน 4-n-butylresorcinol และ cyclodextrins
โดย : 1. นศภ.ปัญญาวทิ ย์ ใจสมุทร
2. นศภ.ยวุ รัชช์ คงเจรญิ
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : รศ.นฏั ฐา แก้วนพรตั น์
เพลเลตลอยน้าของเชอ้ื Bacillus subtilis สาหรับรกั ษาโรคตดิ เช้อื แบคทเี รยี ในปลา
โดย : 1. นศภ.กัญญ์ชิตา ลีลาบูรณพงศ์
2. นศภ.กิง่ รดา ชูพลู
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : รศ.ดร.เสนห่ ์ แกว้ นพรตั น์
การพัฒนาสตู รตารบั ยาเมด็ คลอรเ์ ฟนิรามนี มาลีเอทชนิดแตกตวั เร็วในช่องปาก
โดย : 1. นศภ.พิชญา เสนาสวสั ด์ิ
2. นศภ.ภัสสร เอ้อื สถติ วงศ์
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : รศ.ดร.นมิ ติ ร วรกลุ

การพัฒนาและประเมนิ ตารบั ไมโครอมิ ัลชันเจลท่ีบรรจยุ าไอทราโคนาโซล
โดย : 1. นศภ.กนกวรรณ ฟุกลอ่ ย

2. นศภ.สรสั นนั ท์ พรหมจันทร์
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : รศ.ดร.ประภาพร บญุ มี

การพฒั นาสตู รตารับเจลกอ่ ตัวเองชนิดลอยตัว เพื่อนาส่งยา Propranolol HCl สาหรับรบั ประทาน
โดย : 1. นศภ.ธนพล ปรญิ ญาคปุ ต์

2. นศภ.วรวรี ์ ศิรพิ ฤกษพ์ งศ์
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : รศ.ดร.ฤดกี ร วิวัฒนปฐพี

Poster เร่อื ง
No. การศกึ ษาการกอ่ ฟลิ ม์ แคลเซยี มเพคตเิ นตต่อการปลดปล่อยยาทีโอฟลี ลีนจากยาหลายหน่วยสาหรบั การนาสง่ ยาสู่
ลาไส้ใหญ่
33 โดย : 1. นศภ.กรระวี วิเศษธาร

34 2. นศภ.อญั ญลักษณ์ สินสงวน
อาจารยท์ ีป่ รึกษา : ผศ.ดร.วชิ าญ เกตุจินดา
35
การประเมนิ การกลบกลน่ิ เทา้ ของสารสกดั จากใบพลดู ว้ ยวธิ ี Gas Chromatography-Mass
36 Spectroscopy(GC-MS)
37 โดย : 1. นศภ.อัณณมิ า หวังดี
38
2. นศภ.ฮูดา จะปะกยี า
39 อาจารย์ทปี่ รึกษา : ผศ.ดร.สมฤทัย จิตภกั ดีบดินทร์
40
ศกึ ษาคุณสมบตั ทิ างเคมีกายภาพและฤทธ์ิในการต่อตา้ นอนุมลู อสิ ระของนา้ มนั ทส่ี กัดไดจ้ ากเมล็ดยางพาราดว้ ย
วิธกี ารสกดั ท่แี ตกต่างกนั
โดย : 1. นศภ.จณิ ณพัต วงั วราวธุ

2. นศภ.ปรชั ญ์ชวนี นชุ ประมลู
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : รศ.ดร.ธนภร อานวยกจิ

ผศ.ดร.สริ ริ ศั มิ์ ป่นิ สุวรรณ

การพัฒนาสูตรตารบั สารสกดั ขมนิ้ ชันไมโครพาร์ทเิ คลิ เพือ่ ใช้ในการรกั ษาแผลในกระเพาะอาหาร
โดย : 1. นศภ.กติ ตณิ ฏั ฐ์ หาญวฒั นกุล

2. นศภ.ภรต ธรรมพทิ ักษ์
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.สุวภิ า อง้ึ ไพบูลย์

ลกั ษณะของหลกั สตู รปรญิ ญาโทท่เี ภสชั กรต้องการศกึ ษาต่อ: การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ
โดย : 1. นศภ.ปานชนก อนิ ทรวงศ์

2. นศภ.พพิ ิชย์ ไชยทองขาว
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : รศ.ดร.สงวน ลอื เกียรตบิ ณั ฑติ

การคาดการณ์กาลงั คนทางเภสชั กรรมในอนาคต (พ.ศ. 2569) สาขา: เภสัชกรรมชมุ ชน
โดย : 1. นศภ.น้าพลอย ร่มแกว้

2. นศภ.ชิดชญา ธรรมสนุ ทรี
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : อ.พิชญา นวลไดศ้ รี

ดร.กลุ จริ า อุดมอกั ษร

การศกึ ษาต้นทุนตอ่ หน่วยบณั ฑติ ระดับปริญญาตรีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
โดย : 1. นศภ.ธญั ญพงศ์ รอดศรีนาค

2. นศภ.มานะ สริ ิยืนยง
อาจารย์ทปี่ รึกษา : ดร.กุลจริ า อดุ มอกั ษร

ความพรอ้ มของการนารูปแบบการเรียนรTู้ ransformative Learning เพื่อใช้ในคณะเภสชั ศาสตร์
โดย : 1. นศภ.นชุ กานต์ วรชยั

2. นศภ.สธุ าสนิ ี แช่มชยั กุลวัฒน์
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.กร ศรเลศิ ล้าวาณิช

Poster เรื่อง
No. การคาดการณค์ วามต้องการกาลังคนเภสชั กรอตุ สาหกรรมยาในอกี 10 ปีขา้ งหนา้
โดย : 1. นศภ.จิรานวุ ฒั น์ ศริ ภิ ิบาล
41
42 2. นศภ.สยาม นราธิปภทั ร
อาจารย์ทีป่ รกึ ษา : อ.ธนเทพ วณิชยากร
43
คณุ ภาพชวี ิตของนักศกึ ษาเภสัชศาสตร์ และปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ คณุ ภาพชีวติ ในการเรียนในคณะเภสชั ศาสตร์
44 โดย : นศภ.ปญุ ญศิ า เมืองพร้อม และคณะ
45 อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.โพยม วงศ์ภูวรักษ์
46
รศ.วบิ ุล วงศภ์ วู รกั ษ์
47 ดร.กฤษณ์ สุขนันทร์ธะ

48 ทดสอบการทานายคา่ AUC/MIC ของ Concentration-dependent Antibiotics โดยใช้ Monte Carlo
49 Simulation
โดย : นศภ.ขวัญชนก แกว้ พบิ ูลย์ และคณะ
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : รศ.ดร.โพยม วงศภ์ ูวรักษ์

รศ.วิบลุ วงศ์ภวู รกั ษ์

การสารวจความรู้ ความเขา้ ใจ เกยี่ วกับโรคมะเร็งปากมดลูก และทศั นคตใิ นการได้รบั Human Papillomavirus
(HPV) Vaccination
โดย : นศภ.นิชนภิ า มะลี และคณะ
อาจารย์ที่ปรึกษา : ผศ.ดร.กมลทพิ ย์ วิวฒั นวงศา

การศกึ ษาขอ้ มลู ย้อนหลงั การใช้ยาเพือ่ ป้องกันภาวะลมิ่ เลือดในหลอดเลอื ดดา และอุบัติการณ์การเกดิ ภาวะลมิ่
เลือดอดุ ตนั ในหลอดเลือดดาในผู้ปว่ ยบาดเจบ็ จากอุบตั เิ หตุ
โดย : นศภ.จารวี จิตรบรรเจดิ กุล และคณะ
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ดร.ฐิตมิ า ดว้ งเงนิ

การสารวจความเขา้ ใจและแนวทางการจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อของเภสชั กรชมุ ชนในรา้ นยาและ
สารวจพฤติกรรมการใชย้ าคลายกล้ามเน้ือของประชาชน ในเขตจังหวดั สงขลา
โดย : นศภ.ขวัญกมล เหลก็ หมาด และคณะ
อาจารยท์ ่ีปรึกษา : ดร.ณฐั าศริ ิ ฐานะวุฑฒ์

ผลกระทบของมาตรการควบคมุ การขายยา dextromethorphan และยากลุ่ม antihistamine ตามประกาศ
สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ต่อการปฏิบตั ิวิชาชพี เภสชั กรรมชุมชน
โดย : นศภ.กติ ตินนั ท์ จันวฒั นะ และคณะ
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.สงวน ลอื เกยี รติบณั ฑติ

ผศ.ดร.มาลี โรจนพ์ บิ ลู สถิตย์

การใชย้ าปฏิชีวนะให้แกเ่ ด็กดว้ ยตนเอง: พฤตกิ รรมของผ้ปู กครอง
โดย : นศภ.ชนนิภทั ร วุน่ ดี และคณะ
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.วรนชุ แสงเจริญ

ศกึ ษาขอ้ มูลย้อนหลงั ของภาวะถอนแอลกอฮอล์ ณ โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครนิ ทร์
โดย : นศภ.พมิ สญุ านนท์ ภทั รสสุ ริ กิ ลุ และคณะ
อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา : รศ.ดร.วนั ทนา เหรียญมงคล

Poster เรอ่ื ง
No. ความรขู้ องเภสชั กรชมุ ชนสาหรบั ผปู้ ว่ ยทเ่ี กดิ อาการไมพ่ ึงประสงคท์ างผวิ หนังจากยา
โดย : นศภ.สรปุ พล ศรรี ักษา และคณะ
50 อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ผศ.ดร.วลิ าวณั ย์ ทองเรือง
51
52 การประเมินความเหมาะสมของการสงั่ ใช้ยา PPI (omeprazole)ทีศ่ ูนย์บริการสาธารณสขุ เทศบาลเมอื งบา้ นพรุ
โดย : นศภ.เขมจติ ตรา สุวรรณบุบผา และคณะ
53 อาจารย์ทป่ี รึกษา : ผศ.ดร.ศริ มิ า มหัทธนาดุลย์

54 ผลของการใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรอื่ ง แนวทางการบรหิ ารยาทางหลอดเลอื ดดา และความเขา้ กนั ของ
ยาฉีด ในนักศึกษาช้นั ปีท่ี 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
55 โดย : นศภ.ขนษิ ฐา จูฐานพงศ์ และคณะ
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ผศ.ดร.วชิ าญ เกตจุ ินดา

ดร.กฤษณ์ สุขนนั ทร์ธะ
อ.สริ มิ า สิตะรโุ น
ผลการรกั ษาการตดิ เช้อื Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ทกี่ ระดูกและขอ้ ด้วยยา
Fusidic acid
โดย : นศภ.จริ ายุ มีพัฒน์ และคณะ
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.สทุ ธิพร ภัทรชยากลุ
อ.ดษิ ยา วัฒนาไพศาล
การทดสอบความไวในหลอดทดลองของเชื้อ Methicillin-Resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ตอ่ ยา
Vancomycin ในโรงพยาบาลสงขลานครินทรป์ ี พ.ศ. 2557- 2559
โดย : 1. นศภ.จุฑามาศ บุญวงั
2. นศภ.วีร์ฐมิ า ดาราพงศ์
อาจารย์ทป่ี รึกษา : ผศ.ดร.สุทธิพร ภัทรชยากลุ
อ.ดิษยา วฒั นาไพศาล

แนวทางดแู ลผปู้ ่วยโรคไตเรอ้ื รังแบบองคร์ วม
โดย : นศภ.นลินทพิ ย์ ชิตกลุ และคณะ
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ดร.อษุ ณีย์ วนรรฆมณี

สารบัญ

Oral Presentation หนา้

1 เรอื่ ง : Increased solubility of lawsone methyl ether by formation of inclusion complexes 1

2 เร่ือง : with hydroxypropyl--cyclodextrins and polyvinylpyrrolidone for preparation of 2
mouth wash
3 เรื่อง : การพัฒนาขอ้ กาหนดมาตรฐานและสูตรตารบั ยาอมเมด็ นม่ิ จากสารสกัดหญา้ ดอกขาว 3
4 เรือ่ ง : เพ่ือใชใ้ นการลดความอยากบหุ ร่ี 4
5 เร่อื ง : ผลการสมานแผลและต้านออกซิเดชนั่ ของสารสกัดจากว่านหางจระเข:้ การศึกษาในหลอดทดลอง 5
6 เร่อื ง : การสังเคราะห์อนพุ ันธก์ รดฟีนอลกิ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ สารตา้ นออกซิเดชัน 6
7 เรื่อง : การพัฒนาสูตรตารบั ยาสีฟนั สมุนไพรจากสารสกดั หญา้ ดอกขาว 7
8 เร่ือง : การออกแบบสตู รตารับยาพ่นจมูก montelukast 8
ความต้องการกาลงั คนด้านเภสัชกรรมโรงพยาบาลในทศวรรษหนา้
9 เร่อื ง : การใช้ผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารและสมุนไพรในผปู้ ่วยมะเรง็ ณ สาขารงั สรี กั ษา มะเรง็ วิทยา 9
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์: การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ
ความร่วมมอื ในการใชย้ ากลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitors ในผปู้ ่วยโรคมะเรง็ เมด็ เลอื ดขาวเร้ือรงั
ชนิดมยั อลี อยด์

Poster No. หนา้
1 เรอ่ื ง :
2 เรื่อง : การพฒั นาเทคนิค แก๊สโครมาโตกราฟี ในการวเิ คราะหป์ รมิ าณ eugenol ในยาประสะกานพลู 10
การใช้สถติ ิออกแบบวิธีการสกดั สารเปลาโนทอลท่ีเหมาะสมจากเปลา้ นอ้ ยเมือ่ ใชค้ ลืน่ เสียง และ 11
3 เรอ่ื ง : เอนไซมเ์ ปน็ ตัวชว่ ย
4 เรอ่ื ง : การพฒั นาสตู รตารบั ผลิตภัณฑม์ าส์กผวิ หน้าขาวแบบลอกออกจากสารสกดั แก่นมะหาด 12
5 เรื่อง : การทดสอบฤทธิ์ยับยง้ั เอนไซมแ์ อลฟากลโู คซเิ ดสเบือ้ งต้นของพืชวงศ์ Cucurbitaceae 13
6 เรื่อง : 14
การทดสอบฤทธยิ์ ับยงั้ เอนไซม์ -glucosidase จากสารสกดั พชื สกลุ Hibiscus 15
7 เรอ่ื ง : การพฒั นาวิธเี ตรยี มสารสกดั เฟริ ์น (Cyclosorus terminans) ทม่ี อี นิ เตอร์รับตินเอและบีใน
8 เรอ่ื ง : ปริมาณสงู และการทดสอบฤทธ์ติ า้ นอนุมลู อิสระ 16
9 เรอ่ื ง : โลชั่นสาหรบั ผวิ กายยับย้งั แบคทเี รยี จากสารสกดั เฟริ น์ ไซโคลซอรสั เทอร์มแิ นนสท์ ี่มคี วามปลอดภยั 17
และเปน็ มติ รกบั ส่งิ แวดล้อม (สารสกัดทล่ี ะลายในน้ามันและน้า) 18
10 เรอ่ื ง : การพฒั นาเทคนิคการกลบรสขมของสารสกดั ฟ้าทะลายโจร
การพัฒนาสตู รตารบั น้ายาบว้ นปากจากสารสกัดบวั บกในรปู แบบไมโครอิมลั ชันสาหรับการรักษา 19
11 เรื่อง : แผลในปาก
12 เรื่อง : การปลดปลอ่ ยยานโิ คตินาไมด์จากไฮโดรเจลของกรด 12-ไฮดรอกซีสเตียริกและอารจ์ นี ีนในรปู แบบ 20
ยาทาเฉพาะท่ี 21
13 เรื่อง : การพัฒนาไฮโดรเจลจาก 12-ไฮดรอกซีสเตยี รกิ แอซดิ /ไลซนี สาหรบั การนาส่งทางผวิ หนัง
การเตรียมอนพุ นั ธ์คาร์บอกซีเมทธลิ ของแปง้ จากเมลด็ ทุเรยี น เพ่ือใช้ศึกษาการเพมิ่ การละลายนา้ 22
14 เรื่อง : ของยา Ibuprofen ดว้ ยเทคนคิ Solid dispersion
การเตรยี มไมเซลล์จากอนพุ นั ธแ์ ปง้ ทเ่ี ช่อื มตอ่ กบั ดอี อกซีโคลกิ แอซดิ ทีก่ ักเกบ็ เคอรค์ ูมนิ เพ่ือเพ่ิมคา่ 23
15 เรอื่ ง : การละลายและเพ่มิ ประสิทธิภาพการต้านมะเรง็
16 เรอ่ื ง : การสงั เคราะหแ์ ละตรวจสอบคุณสมบัติของแมเ่ หลก็ นาโนทมี่ โี พลิเมอร์ที่มีรอยประทบั เคลือบ 24
สาหรับการนาสง่ ไปยงั สมองของยาเออร์ก็อท 25
17 เรอ่ื ง : การประเมนิ คณุ ภาพเชิงเภสชั กรรมของยาที่ถูกแบง่ เมด็ : กรณศี ึกษายาเมด็ วาร์ฟารนิ โซเดยี ม 3 mg
การศึกษาความคงสภาพของสโคโปเลตนิ ในผลติ ภณั ฑ์ของเหลวสาหรับรบั ประทานทม่ี สี ่วนผสมของ 26
18 เรื่อง : ผลยอ
การเพม่ิ การละลายของยาผสมโดยใช้ Polyvinylpyrrolidone (PVP) ด้วยวธิ กี าร Solid 27
19 เรื่อง : dispersion
20 เรอื่ ง : การศึกษาและพัฒนาวธิ ีการวิเคราะหข์ องยาผสมเฉพาะคราวสาหรับป้องกันอาการไม่พงึ ประสงค์ 28
ในผู้ป่วยทไี่ ดร้ บั ยารักษามะเร็ง 29
21 เรื่อง : Preliminary screening for crystallization of Dirofilaria immitis thymidylate synthase
การออกแบบ สงั เคราะหแ์ ละพิสูจนเ์ อกลกั ษณ์เชิงโครงสรา้ งของ (8-methyl-2-pentyl-4H- 30
[1,3]dioxino[4,5-c]pyridin-5-yl)methanol esters และนามาประเมินผลการยบั ยงั้
acetylcholinesterase
การคดั เลือกไพรเมอรท์ ใ่ี ช้ในการเพม่ิ ปรมิ าณดเี อ็นเอจากจีโนมคิ ดเี อน็ เอของขา้ วไทยบางพันธุ์

Poster No. หนา้

22 เรื่อง : ผลของ RAPTA-EA1 รว่ มกับ olaparib ต่อการแสดงออกของยีนบอี าร์ซีเอวนั ในเซลลม์ ะเร็งเต้านม 31
23 เรื่อง : ผลของสารประกอบเชงิ ซ้อนทองคา(III) ตอ่ การซอ่ มแซมดเี อน็ เอและการแสดงออกของโปรตนี บีอาร์ 32
ซเี อวนั ในเซลลม์ ะเรง็ เตา้ นมเพาะเลย้ี ง
24 เรอ่ื ง : ศกึ ษาประสทิ ธิภาพและการปลดปลอ่ ยของยา Thalidomide เพื่อลดการอักเสบของหลอดเลอื ด 33
จากการใส่ Stent ดว้ ยการศึกษานอกกาย (in vitro)
25 เรอ่ื ง : การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์บารงุ เส้นผมจากกากนา้ ตาล 34
26 เรอ่ื ง : การตรวจหาปรมิ าณสารเจอื ปนในวตั ถุดิบทางเภสัชกรรมด้วยวิธี differential scanning 35
calorimetry
27 เรอ่ื ง : การประเมินประสทิ ธภิ าพในการไล่ยงุ ของโลชนั นา้ มันหญ้าแฝกและโลชันนา้ มันตะไคร้หอมทีเ่ ตรียม 36
โดยใช้ Simulgel FL® เป็นสารทาอิมลั ชนั
28 เรอ่ื ง : การศึกษาการละลายและสมบัตทิ างเคมีกายภาพของสารเชงิ ซ้อน 4-n-butylresorcinol และ 37
cyclodextrins
29 เรื่อง : เพลเลตลอยนา้ ของเชอ้ื Bacillus subtilis สาหรบั รกั ษาโรคตดิ เชือ้ แบคทเี รียในปลา 38
30 เรื่อง : การพฒั นาสูตรตารบั ยาเมด็ คลอร์เฟนริ ามีน มาลเี อทชนิดแตกตัวเร็วในชอ่ งปาก 39
31 เรื่อง : การพัฒนาและประเมินตารบั ไมโครอมิ ัลชนั เจลทบ่ี รรจุยาไอทราโคนาโซล 40
32 เรื่อง : การพัฒนาสตู รตารบั เจลก่อตัวเองชนิดลอยตวั เพอ่ื นาสง่ ยา Propranolol HCl สาหรับรับประทาน 41
33 เรอ่ื ง : การศกึ ษาการกอ่ ฟลิ ม์ แคลเซยี มเพคตเิ นตต่อการปลดปลอ่ ยยาทีโอฟลี ลนี จากยาหลายหน่วยสาหรบั 42
การนาสง่ ยาสูล่ าไสใ้ หญ่
34 เรอ่ื ง : การประเมินการกลบกลิน่ เท้าของสารสกดั จากใบพลูด้วยวิธี Gas Chromatography-Mass 43
Spectroscopy(GC-MS)
35 เร่อื ง : ศึกษาคุณสมบัติทางเคมีกายภาพและฤทธ์ิในการตอ่ ตา้ นอนุมลู อสิ ระของน้ามันที่สกดั ได้จากเมล็ด 44
ยางพาราดว้ ยวิธกี ารสกัดท่แี ตกต่างกนั
36 เรื่อง : การพัฒนาสูตรตารบั สารสกดั ขมน้ิ ชนั ไมโครพาร์ทิเคลิ เพ่อื ใชใ้ นการรกั ษาแผลในกระเพาะอาหาร 45
37 เรื่อง : ลักษณะของหลกั สูตรปรญิ ญาโทท่เี ภสชั กรต้องการศกึ ษาตอ่ : การวจิ ยั เชิงคุณภาพ 46
38 เรอ่ื ง : การคาดการณก์ าลงั คนทางเภสัชกรรมในอนาคต (พ.ศ. 2569) สาขา: เภสชั กรรมชมุ ชน 47
39 เรอ่ื ง : การศึกษาตน้ ทุนตอ่ หนว่ ยบัณฑติ ระดับปริญญาตรคี ณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 48
40 เรื่อง : ความพร้อมของการนารูปแบบการเรยี นรTู้ ransformative Learning เพื่อใชใ้ นคณะเภสชั ศาสตร์ 49
41 เรื่อง : การคาดการณค์ วามตอ้ งการกาลังคนเภสชั กรอตุ สาหกรรมยาในอีก 10 ปขี ้างหนา้ 50
42 เรอื่ ง : คุณภาพชีวติ ของนกั ศกึ ษาเภสัชศาสตร์ และปัจจยั ทม่ี ีผลต่อคณุ ภาพชีวิตในการเรียนในคณะเภสชั 51
ศาสตร์
43 เรื่อง : ทดสอบการทานายคา่ AUC/MIC ของ Concentration-dependent Antibiotics โดยใช้ Monte 52
Carlo Simulation
44 เรอ่ื ง : การสารวจความรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกับโรคมะเรง็ ปากมดลูก และทศั นคตใิ นการได้รบั Human 53
Papillomavirus (HPV) Vaccination

Poster No. หน้า
45 เรื่อง :
การศึกษาขอ้ มูลยอ้ นหลงั การใชย้ าเพ่อื ป้องกนั ภาวะลมิ่ เลือดในหลอดเลือดดา และอุบัตกิ ารณ์การ 54
46 เรอ่ื ง : เกิดภาวะลิ่มเลอื ดอดุ ตันในหลอดเลือดดาในผู้ป่วยบาดเจบ็ จากอุบตั เิ หตุ
การสารวจความเข้าใจและแนวทางการจ่ายยาคลายกลา้ มเนือ้ ของเภสชั กรชมุ ชนในรา้ นยาและ 55
47 เรื่อง : สารวจพฤติกรรมการใช้ยาคลายกลา้ มเนอ้ื ของประชาชน ในเขตจังหวดั สงขลา
ผลกระทบของมาตรการควบคมุ การขายยา dextromethorphan และยากลุม่ antihistamine 56
48 เรอ่ื ง : ตามประกาศสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตอ่ การปฏบิ ตั ิวชิ าชีพเภสชั กรรมชุมชน
49 เรื่อง : การใช้ยาปฏิชวี นะให้แกเ่ ด็กด้วยตนเอง: พฤตกิ รรมของผูป้ กครอง 57
50 เรอ่ื ง : ศกึ ษาขอ้ มูลย้อนหลังของภาวะถอนแอลกอฮอล์ ณ โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครนิ ทร์ 58
51 เรื่อง : ความรูข้ องเภสัชกรชุมชนสาหรบั ผปู้ ่วยท่เี กดิ อาการไม่พงึ ประสงค์ทางผวิ หนังจากยา 59
การประเมินความเหมาะสมของการสัง่ ใช้ยา PPI (omeprazole)ทีศ่ นู ย์บรกิ ารสาธารณสุขเทศบาล 60
52 เรื่อง : เมืองบ้านพรุ
ผลของการใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน เรือ่ ง แนวทางการบรหิ ารยาทางหลอดเลือดดา 61
53 เรื่อง : และความเขา้ กนั ของยาฉีด ในนักศึกษาชนั้ ปที ่ี 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ผลการรกั ษาการตดิ เชอื้ Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ท่กี ระดกู และ 62
54 เรอ่ื ง : ขอ้ ด้วยยา Fusidic acid
การทดสอบความไวในหลอดทดลองของเชื้อ Methicillin-Resistant Staphylococcus aureus 63
55 เรื่อง : (MRSA) ตอ่ ยา Vancomycin ในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ปี พ.ศ. 2557- 2559
แนวทางดูแลผู้ปว่ ยโรคไตเรื้อรังแบบองคร์ วม 64

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

Increased solubility of lawsone methyl ether by formation of inclusion complexes with
hydroxypropyl--cyclodextrins and polyvinylpyrrolidone for preparation of mouth wash

นภัสวรรณ คงถาวรวงศ,์ นภาพร วัชรสนิ ธ,ุ ภาคภมู ิ พาณชิ ยปู การนนั ท์
ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

lawsone methyl ether (LME) เป็นสารทพี่ บไดใ้ นต้นเทียนบา้ น (Impatiens balsamina L.) สารดงั กล่าว
มีฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาที่หลากหลาย รวมถึงมีฤทธ์ิต้านแบคทีเรียและเช้ือราได้ดี แต่เน่ืองจากในธรรมชาติมกี ารสรา้ ง
สาร LME ในปริมาณต่าและมีค่าใช้จ่ายสูงในการสกัดสารให้บริสุทธิ์ จึงมีการเตรียม LME โดยวิธีการก่ึงสังเคราะห์
(semi-synthesis) จาก lawsone ซึ่งไดผ้ ลผลิต 79.04% w/w มกี ารเตรยี มน่า้ ยาบว้ นปาก LME ส่าหรับรกั ษา oral
candidiasis พบว่าน่้ายาบ้วนปากที่มี LME 0.025% w/v มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อราได้ดีเทียบเท่ากับ
chlorhexidine 0.2% แต่เน่อื งจาก LME มีความสามารถในการละลายน่้าตา่ มาก ในตา่ รบั นา่้ ยาบว้ นปากดงั กล่าวจงึ
จ่าเปน็ ต้องใชเ้ อทานอลในปริมาณสงู ถึง 20% ซึง่ สง่ ผลใหเ้ กิดการระคายเคอื งและท่าให้ความร่วมมอื ในการใชย้ าของ
ผู้ป่วยต่า การวิจัยน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปรมิ าณเอทานอลในต่ารับ โดยเพ่ิมการละลายน้่าของ LME ด้วยวิธีการ
เตรียมเป็นสารประกอบเชิงซ้อนทุติยภูมิกับ hydroxypropyl--cyclodextrins (HPCD) และสารประกอบ
เชิงซ้อนตติยภูมิกับ HPCD และ polyvinylpyrrolidone (PVP) โดยใช้วิธี coevaporation จากการทดสอบการ
ละลายน้่าของ LME-HPCD และ LME-HPCD-PVP พบว่าสามารถเพิ่มการละลายได้ 5 และ 7 เท่า ตามล่าดับ
เม่ือเปรียบเทียบกับ LME จากนั้นน่าสารประกอบท่ีได้ไปพัฒนาสูตรต่ารับน่้ายาบ้วนปากเพ่ือใช้ส่าหรับผู้ป่วยที่มี
ภาวะเย่ือบุช่องปากอักเสบ พบว่าได้ต่ารับที่เหมาะสม 3 สูตร ได้แก่ Rx1 มี LME-HPCD 0.03% w/v และไม่มีเอ
ทานอล, Rx2 มี LME-HPCD 0.05% w/v และมีเอทานอล 10% v/v และ Rx3 มี LME-HPCD-PVP 0.07%
w/v และมีเอทานอล 10% v/v เมื่อวิเคราะห์ LME ในต่ารับด้วยวิธี HPLC พบว่า Rx1, Rx2 และ Rx3 มีปริมาณ
LME 0.015, 0.025 และ 0.033% w/v ตามล่าดบั เม่ือทดสอบฤทธิ์ต้านเช้ือ Streptococcus mutans พบวา่ มีฤทธิ์
ดีเท่ากันทุกต่ารับ โดยมีค่า MICs และ MFCs/MBCs เท่ากับ 1:8 และ 1:4 dilution ตามล่าดับ ส่วนฤทธิ์ต้านเชื้อ
Candida albicans พบว่า Rx3 มีฤทธ์ิดีที่สุด โดยมีค่า MICs และ MFCs/MBCs เท่ากับ 1:32 และ 1:16 dilution
ตามล่าดับ การเลือกใช้ต่ารับนา่้ ยาบ้วนปาก LME จงึ ข้นึ อยู่กับวตั ถุประสงค์และความรุนแรงของภาวะเย่ือบุช่องปาก
อักเสบของผู้ป่วย และในขณะน้ีอยู่ระหว่างการศึกษาความคงตัวของต่ารับน่้ายาบ้วนปากทั้ง 3 ต่ารับ โดยเก็บท่ี
อุณหภูมิ 25  2˚C ในสภาวะป้องกนั แสงและไม่ปอ้ งกนั แสง เป็นระยะเวลา 1 เดอื น

Corresponding author : Pharkphoom Panichayupakaranant, E-mail : pharkphoom.p@psu.ac.th ~ 1 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การพัฒนาข้อกาหนดมาตรฐานและสตู รตารับยาอมเมด็ นมิ่ จากสารสกัดหญา้ ดอกขาว
เพ่ือใช้ในการลดความอยากบุหร่ี

ภทรชัย พรปัญญานุกลู , โสรวรี ์ วนิชกุลพิทกั ษ,์ ภาณพุ งศ์ พุทธรกั ษ์
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ปัจจุบันมีการใช้ยาแผนปัจจบุ ันในการช่วยเลิกบุหร่ี ซ่ึงมีราคาสูง จึงมีการน่าสมนุ ไพรมาพัฒนาเพ่ือใช้ช่วย
เลิกบหุ ร่ี โดยในบัญชยี าหลักแห่งชาติ ไดแ้ นะนา่ ใหใ้ ช้สมุนไพรหญา้ ดอกขาวในรปู แบบชาชงในการชว่ ยเลิกบุหร่ี แตใ่ น
ปจั จุบนั สมนุ ไพรหญา้ ดอกขาวยงั ไมม่ ขี อ้ ก่าหนดคุณภาพ งานวิจัยนีจ้ ึงตอ้ งการพฒั นาขอ้ กา่ หนดคุณภาพของสมุนไพร
หญ้าดอกขาว เพื่อใช้ในการควบคุมคุณภาพสมุนไพร และต้องการพัฒนาสูตรต่ารับยาอมเม็ดนิ่มจากสารสกัดหญ้า
ดอกขาว ซ่ึงจะมีความสะดวกในการพกพา และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยเลิกบุหร่ี โดยข้อก่าหนดคุณภาพ
สมุนไพรหญ้าดอกขาวได้จัดหาตัวอย่างหญ้าดอกขาวจากร้านขายยาสมุนไพรและเก็บจากแหล่งธรรมชาติท้ังใน
กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด จ่านวน 16 ตัวอย่าง ท่าการศึกษาทางเภสัชเวท ศึกษาจุลทัศนลักษณะ
ภาคตัดขวางของใบ พบเซลล์ปากใบ (anisocytic stomata) เซลล์ขน (multicellular trichome และ T-shape
trichome) ภาคตัดขวางของล่าต้น พบเนื้อเย่ือล่าเลียงของพืชใบเล้ียงคู่ ภาคตัดขวางของดอก พบอับละอองเรณู
และศึกษาจุลทัศนลักษณะผงยาสมนุ ไพร ตรวจเอกลักษณท์ างเคมี และการทดสอบคุณสมบัติอ่ืนๆ เปรียบเทียบกบั
ตัวอย่างอ้างอิงของคณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. จากการศึกษาพบว่าค่าเฉล่ียของปริมาณความช้ืน ปริมาณเถ้ารวม
ปริมาณเถ้าท่ีไม่ละลายในกรด ปริมาณสารสกัดด้วยเอทานอล และปริมาณสารสกัดด้วยน้่า คือ 7.19±1.72,
10.01±1.54, 0.68±0.55, 5.43±1.02 และ 16.34±1.52 โดยน้า่ หนกั ตามล่าดบั ในสว่ นของการหาวธิ กี ารสกัดดว้ ย
น้่าท่ีให้ปริมาณสารสกัดหญ้าดอกขาวที่ดีที่สุด โดยเปรียบเทียบฤทธ์ิในการต้านอนุมูลอิสระของวิธีสกัด 4 วิธี คือ
วิธีการชง 5 นาที, วิธีการต้ม 5 นาที, วิธีการชง 90 นาทีและวิธีการสกัดอย่างต่อเนื่อง (Soxhlet) 90 นาที พบว่า
วิธีการชง 5 นาที ให้ฤทธ์ิในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด ค่า IC50 ของ DPPH เท่ากับ 59.19 µg/ml และเมื่อ
เปรียบเทียบปริมาณสารสกัดพบว่าวิธีการสกัดอย่างต่อเนื่อง (Soxhlet) 90 นาที ได้ปริมาณสารสกัดมากท่ีสุด
13.40%w/w รองลงมา คอื วธิ กี ารตม้ 5 นาที 11.11%w/w, วิธีการชง 90 นาที 9.76%w/w และวธิ ีการชง 5 นาที
2.75%w/w และจากการพฒั นาสตู รต่ารบั ยาอมเมด็ นิ่ม เพ่ือหาสตู รต่ารบั ที่เหมาะสมที่สดุ มาเตรียมเปน็ สตู รตา่ รบั ยา
อมเม็ดนิ่มที่มีสารสกัดหญ้าดอกขาว 5%w/w พบว่าสูตรที่เหมาะสมที่สุด มีส่วนประกอบคือ เจลาติน, เพคติน,
HPMC4000, กลีเซอรนี และน่้า ซงึ่ ทดสอบเวลาทีใ่ ช้ในการแตกกระจายตัวได้ 6 นาที 15 วินาที

Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : panupong.p@psu.ac.th ~2~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

ผลการสมานแผลและต้านออกซเิ ดชน่ั ของสารสกัดจากว่านหางจระเข้:
การศึกษาในหลอดทดลอง

สลลิ ทิพย์ ดลุ กลู , อุรวี วฒั นกจิ , เจษฎี แก้วศรีจนั ทร์
ภาควิชาเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ความร้อน ไฟฟ้า แสงแดด สารเคมี รวมถึงสารรังสี ท่าให้เกิดบาดแผลบนผิวหนังได้ และร่างกายจะ
ซ่อมแซมเน้ือเยื่อที่เกิดบาดแผลนั้นจนสามารถใช้งานได้ตามสมควรหากไม่รุนแรงเกินไป กระบวนการซ่อมแซม
ดังกล่าวถูกควบคุมโดย growth factors หลายชนิด ได้แก่ transforming growth factors, fibroblast growth
factors, vascular endothelial growth factor, insulin-like growth factors เป็นตน้

ว่านหางจระเข้เป็นสมนุ ไพรที่มกี ารใช้มาอยา่ งยาวนานด้วยวัตถุประสงค์ท่ีแตกตา่ งกนั แม้จะมกี ารกล่าวถึง
การช่วยรักษาบาดแผลและต้านอนุมูลอิสระอยบู่ ้าง แต่ก็ยังไม่มีผลการศกึ ษาที่ชัดเจน คณะผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาฤทธ์ิ
สมานแผลและต้านออกซิเดช่นั ของสารสกัดจากวา่ นหางจระเข้

ขั้นตอนโดยย่อมีดังน้ี น่าว่านหางจระเข้ท่ีปอกเปลือกออกแล้วมาอบจนแห้งที่ 60 OC บดให้ละเอียด สกัด
ดว้ ยนา้่ ในอัตราส่วน 2 กรัมตอ่ 50 มลิ ลิลิตร สกดั ซา่้ อกี 2 คร้ัง นา่ ชั้นนา้่ ไปท่าใหแ้ หง้ ดว้ ยเทคนคิ freeze dry เตรียม
stock solution ของสารสกัดฯตัวอย่างและของสารมาตรฐานในน้่า วิเคราะห์ประมาณน่้าตาลด้วยเทคนิค
Modified phenol sulfuric method จากนั้นเจือจางต่อด้วยน่้าให้มีความเข้มข้นของน้่าตาลท่ีเท่ากันก่อนการ
ทดสอบ ใช้เซลล์ L929 (mouse fibroblastic cell line, ATCC) เพื่อการทดสอบ การสมานแผลศึกษาด้วยเทคนคิ
Scratch test และรายงานผลเป็น % cell migration ส่วนการอย่รู อดของเซลล์หลังสมั ผัส H2O2 (2 mM, 4 ชัว่ โมง)
และแสง UV (360, 15 นาที) ศกึ ษาด้วยเทคนคิ MTT assay และรายงานผลเปน็ % cell viability

ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดฯตัวอย่างมีฤทธ์ิสมานแผลที่ดีกว่าสารมาตรฐาน (% cell migration เท่ากับ
39.65% และ 29.45% ตามล่าดับ) ในทางกลับกัน สารมาตรฐานมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นท่ีดีกว่าสารสกัดฯตัวอย่าง
โดยเม่ือเซลลผ์ า่ นการสัมผสั H2O2 มี % cell viability เทา่ กับ 75.38% และ 97.26% ตามล่าดับ และเมอื่ เซลลผ์ า่ น
การสมั ผัสแสงยูวี มี % cell viability เท่ากบั 98.48% และ 102.91% ตามลา่ ดบั

จากการทดลองแสดงให้เห็นวา่ สารสกดั วา่ นหางจระเขท้ เี่ ตรยี มขึ้นมฤี ทธิส์ มานแผลและตา้ นออกซิเดช่นั ท่มี ี
ประสิทธิภาพใกลเ้ คยี งกับสารมาตรฐานว่านหางจระเขใ้ นทางการค้า

Key words : วา่ นหางจระเข้ สมานแผล ต้านออกซเิ ดช่นั สารสกัด ~3~
Corresponding author : Jasadee Kaewsrichan, E-mail : jasadee.k@psu.ac.th

การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การสงั เคราะห์อนพุ นั ธก์ รดฟีนอลกิ เพ่อื ใหเ้ ปน็ สารตา้ นออกซิเดชนั

ณิชาภทั ร ฉนั ทภ์ ากร, ทักษณิ า กาลงั รปู , นวยิ า โรจโนภาส, พริ นิ ยา บุญลาภรตั น์, ลอื ลักษณ์ ล้อมลิม้
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

งานวิจัยนี้เป็นการสังเคราะห์สารใหม่ท่ีเป็นอนุพันธ์กรดฟีนอลิก ซ่ึงได้แก่ สารหมายเลข I ((E)-3-
hydroxyphenyl 3-(3,4-dihydroxyphenyl)acrylate), สารหมายเลข II ((2E,2’E)-1,3-phenylene bis(3-(3,4-
dihydroxyphenyl)acrylate)), สารหมายเลข III ((3-hydroxyphenyl 4-hydroxy-3-methoxybenzoate) และ
สารหมายเลข IV (1,3-phenylene bis(4-hydroxy-3-methoxybenzoate)) เพื่อเป็นสารต้านอนุมลู อสิ ระ โดยใช้
caffeic acid และ vanillic acid เปน็ สารต้ังตน้ และทา่ การตรวจสอบโครงสรา้ งด้วย 1H-NMR และ FT-IR

สารหมายเลข โครงสรา้ งสาร

O

I HO
O OH

HO

II HO O O OH
O O

HO OH

O

III H3C O

O OH

HO

OO

IV H3C O O
CH3
OO

HO OH

Corresponding author : Luelak Lomlim, E-mail : luelak.l@psu.ac.th ~4~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การพฒั นาสูตรตารับยาสีฟันสมนุ ไพรจากสารสกดั หญ้าดอกขาว

กรณิการ์ แสงอาไพ, นาถชนก เพช็ รร่วง, กิตตโิ ชติ วรโชตกิ าจร
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

หญ้าดอกขาว (Vernonia cinerea (L.) Less.) เป็นสมุนไพรที่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติใน
รูปแบบชาชงเพื่อใช้ในการลดความอยากบุหรี่ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากหญ้าดอกขาวหลากหลายรูปแบบ จึงพัฒนา
รูปแบบใหม่เป็นต่ารับยาสีฟันสมุนไพรจากสารสกัดหญ้าดอกขาว โดยเริ่มต้นจากการสกัดหญ้าดอกขาวด้วยน่้าแล้ว
ท่าให้แห้งโดยใช้เทคนิค freeze-drying และคัดเลือกยาพื้นยาสีฟัน (toothpaste base) ท่ีเหมาะสม เพ่ือเตรียม
เป็นต่ารับยาสีฟันหญ้าดอกขาว พบว่ายาสีฟันหญ้าดอกขาวชนิดเจลที่เตรียมได้ ซึ่งใช้ hydrated silica เป็นสารขดั
ฟัน มีลักษณะเป็นเน้ือเดียวกัน สีน้่าตาลเข้ม กล่ินหอมคล้ายชาสมุนไพร เม่ือน่าไปศึกษาความคงตัวท่ีสภาวะ
heating-cooling จ่านวน 6 รอบ อุณหภูมิห้องและสภาวะเร่ง (45 C) ที่เวลา 1 เดือน ให้ผลดังน้ี ลักษณะภายนอก

และ pH ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ความสามารถในการกระจายตัว การเกิดฟองและความละเอียดของยาสีฟันผ่านเกณฑ์การ
ทดสอบ สัมผัสพบอนุภาคของสารขัดฟันในเนื้อยาสีฟันเล็กน้อย ปริมาณฟีนอลิกรวม (total phenolic
compounds) ท้ังสามสภาวะ ลดลงแต่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างนัยส่าคัญทางสถิติ เมื่อประเมินความพึงพอใจ
ลักษณะภายนอกของยาสีฟันหญา้ ดอกขาว ผลปรากฏว่าจากคนจา่ นวน 20 คนค่อนข้างพอใจในผลติ ภัณฑ์ ต่ารับยา
สีฟันสมุนไพรจากสารสกัดหญ้าดอกขาวจึงเป็นทางเลอื กใหมใ่ ห้กับผสู้ บู บหุ ร่ี และส่งเสริมให้มคี วามร่วมมือในการใช้
มากขนึ้ เนือ่ งจากใชง้ ่าย สะดวก และยงั ชว่ ยทา่ ความสะอาดชอ่ งปากได้ในเวลาเดียวกัน

Corresponding author : Kittichote Worachotekamjorn, E-mail : kittichote.w@psu.ac.th ~5~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

Formulation design of montelukast nasal spray

Chonnikarn Khwankaew, Soraya Kunmontri, Teerapol Srichana
Department of Pharmaceutical Technology, Faculty of Pharmaceutical Sciences,

Prince of Songkla University

At present montelukast sodium is used in oral dosage form to treat allergic rhinitis and
asthma in adults and children. However it reported neuropsychiatric events including agitation,
depression, insomnia, and suicidal thinking. Therefore this study aims to design the formulation of
montelukast nasal spray for local action. The formulation of the invention was the solution that
contained 0.1%w/v of montelukast and chitosan as thickening agent to prevent the solution from
running out of the nose too quickly. According to the evaluation, the formulation has a pH 6.38
which was suitable for nasal delivery. Contact angle and surface tension of the montelukast spray
indicated 28.68 degrees and 35.78 mN/m, respectively thus the formulation was good wetting and
high spreadability. The particle size determination showed the formulation had narrow distribution
with the median particle size of 79.40 µm so it was proper to spray into the nose. Chitosan made
the formulation viscosity of about 2.88 cP that was suitable for nasal drug delivery. The rheological
properties of montelukast nasal spray were pseudoplastic fluids and the spray formulation has
slightly low mucoadhesive properties. The evaluation of chemical stability showed the formulation
have 99.5% labelled at initial and 98.1% labelled after 3 months which met the acceptance criteria
of the USP 34 of 98.0-102.0%. In vitro evaluation of nasal epithelial toxicity by the MTT assay
showed the formulation was non-toxic. Further, this study will evaluate the opening of tight
junction in respiratory epithelial cells in the near future.

Corresponding author : Teerapol Srichana, E-mail : teerapol.s@psu.ac.th ~6~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

ความต้องการกาลังคนดา้ นเภสชั กรรมโรงพยาบาลในทศวรรษหน้า

จริ ารตั น์ ตรสี ุขเกษม, ฉตั รวภิ า มาศศรี, สริ วิ ฒั น์ ณ ระนอง, กนกกาญจน์ ไชยกาล
ภาควิชาบรหิ ารเภสัชกจิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ระบบสุขภาพมีแนวโน้มเปล่ียนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปัจจัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
ก่าลังคนด้านสุขภาพจึงเป็นส่วนส่าคัญที่จะขับเคล่ือนระบบสาธารณสุข การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
แนวโน้มความต้องการก่าลังคน น่าไปสู่การก่าหนดนโยบายก่าลังคนด้านเภสัชกรรมโรงพยาบาล ให้สามารถ
ตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงระบบสุขภาพในอนาคต โดยใช้ข้อมูลภาพอนาคตของระบบสขุ ภาพของ สวทน. และ

บทบาทของเภสัชกรโรงพยาบาลท่พี ึงประสงค์ในทศวรรษหน้า เป็นฉากทัศน์ตั้งต้นในการวิจยั ผู้วิจัยจ่าแนกบทบาท

เภสัชกรโรงพยาบาลตามโครงสร้างการท่างานออกเป็น งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยใน งานบริบาลเภสัช

กรรมผปู้ ว่ ยนอก/ผู้ปว่ ยใน งานบริหารเวชภัณฑ์ งานผลิต งานเภสัชสนเทศและพัฒนาระบบยา งานเภสชั กรรมชมุ ชน
และเภสัชกรรมปฐมภูมิ ค่านวณก่าลังคนโดยใช้วิธี FTE-based เพื่อก่าหนดก่าลังคนบนพื้นฐานของปริมาณงาน

ส่าหรับงานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยใน และใช้วิธี Service-based ก่าหนดก่าลังคนบนพื้นฐานของบริการ

ส่าหรับงานอื่นๆ ข้อมูลปริมาณการใช้บริการ เวลามาตรฐานการปฏิบัติงาน จ่านวนเภสัชกรท่ีรับผิดชอบ ได้มาจาก

การวิเคราะห์อัตราก่าลัง สายงานเภสัชกร ปี 2558 - 2560 โดยก่าหนดให้เภสชั กร 1 คนท่างานเต็มเวลาได้ 1,680
ชั่วโมงต่อปี คาดการณ์จ่านวนเภสัชกรโรงพยาบาลท่ีต้องการใน พ.ศ. 2569 ภายใต้ข้อสมมติการเปล่ียนแปลงของ
โครงสร้างประชากรตามชว่ งอายซุ ึ่งไดม้ าจาก สศช. และการขยายความครอบคลุมการให้บริการสขุ ภาพตาม service
plan โดยก่าหนดให้ปัจจัยอื่นมีค่าคงที่ จากน้ันค่านวณก่าลังคนที่ต้องการในปัจจุบัน และในอีก 10 ปีข้างหน้า

ผลการวจิ ยั พบว่า ความต้องการเภสชั กรโรงพยาบาลในปัจจบุ ันเท่ากับ 10,081 คน และจะเพ่มิ ข้นึ เป็น 17,081 คน

ในปี พ.ศ. 2569 จึงจะเพียงพอกับความต้องการทางสุขภาพท่ีเปลี่ยนแปลงไป แบ่งเป็นเภสัชกรที่ท่างานในสถาน
บริการระดับปฐมภูมิ/โรงงานสมุนไพร ทุติยภูมิ และตติยภูมิ จ่านวน 1,244 คน 9,376 คน และ 6,461 คน
ตามล่าดับ เม่ือเปรียบเทียบจ่านวนเภสัชกรโรงพยาบาลท่ีต้องการในปัจจุบัน กับจ่านวนเภสัชกรที่มีจริงตาม GIS
พบว่า ปัจจุบันมีเภสัชกรโรงพยาบาลในสถานพยาบาลภาครัฐ สังกัด สป.สธ. จ่านวน 6,425 คน ซึ่งน้อยกว่าความ
ต้องการก่าลังคนในปจั จุบันอยูถ่ ึง 3,656 คน สะท้อนให้เหน็ ความขาดแคลนดา้ นก่าลังคนเภสชั กรโรงพยาบาลทั้งใน

สถานการณ์ปัจจุบัน และอนาคต ตัวเลขก่าลังคนที่ต้องการอาจมีค่าน้อยกว่าน้ีได้ หากในอนาคตเภสัชกรมี

ความสามารถสูงข้ึน หรือมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากข้ึน ส่าหรับการเสนอแนะเพื่อวางแผนก่าลังคนในระดบั

นโยบายจา่ เป็นต้องพจิ ารณาขอ้ มลู ความต้องการก่าลังคนในทศวรรษหน้าของเภสัชกรสาขาอืน่ ร่วมดว้ ย

Corresponding author : Kanokkan Chaiyakan, E-mail : kanokkan.c@psu.ac.th ~7~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การใช้ผลิตภัณฑเ์ สรมิ อาหารและสมุนไพรในผู้ปว่ ยมะเร็ง ณ สาขารังสีรกั ษา
มะเรง็ วิทยา โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร:์ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ

นิตา การกิ าญจน,์ วราภรณ์ เจตนเสน, ประจวบ หนูอไุ ร, กานดาวศรี ตุลาธรรมกิจ, ภาณพุ งศ์ พทุ ธรักษ์, กรกมล รกุ ขพนั ธ์
ภาควชิ าบรหิ ารเภสชั กจิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิด เหตุผล และความคาดหวังของ
ผู้ป่วยในการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรมีความส่าคัญเพราะจะท่าให้แพทย์ผู้รักษา และบุคลากรทาง
การแพทย์ท่ีเก่ียวข้องเข้าใจผู้ป่วยและสามารถให้ค่าแนะน่าที่เหมาะสมกับผ้ปู ่วยได้ ผู้วิจัยท่าการเก็บข้อมูลจากผใู้ ห้
ข้อมูล ณ สาขารังสีรักษา มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลสงขลานครินทร์จ่านวน 16 คน โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
(In-depth interview) และวเิ คราะห์โดยการวเิ คราะหเ์ นื้อหา ( Content analysis)

ผลการวจิ ยั พบว่าเหตุผลและความคิดของผูป้ ่วยในการใชผ้ ลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหารหรือสมนุ ไพรมากทีส่ ุดคือ มี
ผ้แู นะนา่ ให้ใชผ้ ลิตภัณฑเ์ สริมอาหารหรือสมุนไพร โดยมีความคาดหวังเพ่ือรักษาโรคอ่นื นอกเหนอื จากโรคมะเร็งมาก
ท่ีสุด และไม่พบการเกิดอันตรกิรยิ าระหวา่ งผลิตภัณฑเ์ สรมิ อาหารหรอื สมุนไพรกับยาแผนปัจจุบันท่ีผู้ปว่ ยใช้อยู่ พบ
การตรวจพบสารสเตียรอยด์จ่านวน 1 ตัวอย่างคือ ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นผงสีเหลืองบรรจุในซองพลาสติกไม่มี
ฉากและเลขทะเบยี นยา

จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลให้ความรู้และค่าแนะน่าในการใช้
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรท่ีถูกต้องแก่ผู้ป่วยเน่ืองจากมีผู้ป่วยไมไ่ ด้มคี วามรู้เก่ียวกับการเลือกใช้ผลิตภณั ฑ์
เสริมอาหารและสมุนไพรและขอ้ มลู หลักฐานในการยืนยันประสทิ ธิภาพการรกั ษา ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เสรมิ
อาหารและสมนุ ไพรในปัจจบุ ันมจี ่านวนนอ้ ยจึงควรมีการส่งเสริมการศึกษาในเรอ่ื งนเี้ น่ืองจากผปู้ ่วยถูกชักจูงจากการ
อ้างอิงถึงสรรพคณุ การรกั ษาของผลิตภัณฑเ์ สริมอาหารและสมุนไพรท่ีไม่มหี ลักฐานพิสูจน์ยืนยนั ยนื ยันประสทิ ธภิ าพ
การรกั ษาและความปลอดภัย อาจท่าใหผ้ ลไม่พึงประสงคแ์ กต่ ัวผปู้ ว่ ยได้

Corresponding author : Korngamon Rookkapan, E-mail : korngamon.r@gmail.com ~8~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

ความร่วมมอื ในการใชย้ ากลุม่ Tyrosine Kinase Inhibitors ในผปู้ ว่ ยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรอ้ื รัง
ชนิดมยั อลี อยด์

กฤษฎา วงศ์ศรตี รงั 1, ชวณฐั เจ้ยแก;้ 1, รัฐนันท์ เจยี มวชริ ะ1, วรณุ สดุ า ศรภี กั ด1ี , ปรยี าภรณ์ แก้วมณ2ี
1ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
2ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

ความร่วมมือในการใช้ยากลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เร้ือรังชนิดมยั อลี อยด์จัดเป็นปัจจยั ส่าคัญท่สี ่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา ปจั จบุ ันยังไมม่ ีการศกึ ษาความร่วมมือ
ในการใช้ยากลุ่ม TKIs ในผู้ป่วยไทย ประกอบกับโรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีจ่านวนผู้ป่วยโรคน้ีเป็นจ่านวนมาก
ดังนั้นการศึกษาครัง้ นี้ มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความร่วมมือในการใช้ยากลุ่ม TKIs ของผู้ป่วยผู้ใหญ่ทเ่ี ป็นโรคมะเรง็
เมด็ เลอื ดขาวเร้อื รงั ชนดิ มยั อีลอยด์ ณ คลินิกอายุรกรรมโรคเลือด โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยศึกษาแบบ cross
sectional study (มกราคม พ.ศ. 2559 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2559) และใช้เคร่ืองมือ 3 ชนิด คือ 1. Pill count,
2. Medication Possession Ratio (MPR) และ 3. แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้ยา MTB-Thai ในการวัดความ
ร่วมมือในการใช้ยา ผลการศึกษาจากผู้ป่วยจ่านวน 79 คน พบว่าความร่วมมือในการใช้ยาสูงมีจ่านวน 63 คน
(79.8%) ความรว่ มมอื ในการใชย้ าปานกลาง 14 คน (17.7%) และความร่วมมือในการใชย้ าตา่ จา่ นวน 2 คน (2.5%)
นอกจากนี้พบว่าปัจจัยต่างๆ ได้แก่ เพศ อายุ ดัชนีมวลกาย ศาสนา ระดับการศึกษา อาชีพ สิทธิการรักษา
สถานะภาพสมรถ ผ้ดู แู ลเร่อื ง หรือ จา่ นวนโรครว่ ม ไม่สง่ ผลให้ความรว่ มมอื ในการใชย้ าลดลง ดังน้ันจึงสรุปผลไดว้ ่า
ผูป้ ว่ ยโรคมะเรง็ เมด็ เลือดขาวเร้ือรงั ชนิดมัยอลี อยด์ทีเ่ ข้ารบั การรักษาในโรงพยาบาลสงขลานครินทรส์ ่วนใหญม่ คี วาม
รว่ มมือในการใชย้ ากลุ่ม TKIs ทส่ี ูง ซึง่ ขอ้ มลู ดังกล่าวสามารถน่าไปใชใ้ นการศึกษาความร่วมมือในการใช้ยากลุ่ม TKIs
ต่อผลของการรกั ษาผูป้ ่วยโรคมะเร็งเมด็ เลอื ดขาวเร้ือรังชนิดมยั อีลอยด์ได้ตอ่ ไป

Corresponding author : Warunsuda Sripakdee, E-mail: warunsuda@pharmacy.psu.ac.th ~ 9 ~

การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การพฒั นาเทคนคิ แกส๊ โครมาโตกราฟี ในการวเิ คราะหป์ ริมาณ eugenol ในยาประสะกานพลู

ธวชั ชยั ถนิ กามะถนั , วศิ ษิ ฐ์ เหมาะทอง, ศักดช์ ัยบดี ปนิ่ ศรที อง, จุไรทิพย์ หวังสนิ ทวกี ลุ
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณ eugenol ที่มีอยู่ในเคร่ืองยาดอกกานพลู และต่ารับ

ประสะกานพลู จากแหล่งต่างๆ ตามตารางท่ี 1 ท่าการพัฒนาวิธีวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค Gas chromatography-

Flame ionization detection (GC-FID) ใช้เครอื่ งมือ Agilent GC7890 คอลมั นช์ นดิ HP-1 methylsiloxane (Ø

0.32 mm.×30 m., 0.25 µm film thickness) โดยมีสภาวะการทดลองดังน้ี คือ Inlet temperature 225 ºC,

Detector temperature 300 ºC, Ramp 110-220 ºC, 15 ºC/min แบบ Spitless injection volume 1 µL และ

ใช้ Helium flow rate 1 ml/min ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวแปรต่างๆ ตาม ICH guideline Q2(R1) พบว่า มี
linearity ในช่วงความเข้มข้น 50-800 µg/mL (ค่า regression coefficient ;R2 เท่ากับ 0.9995), LOD (Limit of

detection) เทา่ กับ 1.62 µg/mL, LOQ (Limit of quantitation) เทา่ กับ 3.24 µg/mL เมือ่ ทดสอบคา่ %recovery

พบว่า มคี ่าอยใู่ นชว่ ง 92-101% ส่าหรับเคร่อื งยาดอกกานพลู และชว่ ง 90-110% สา่ หรบั ตา่ รบั ประสะกานพลู และ

ผ ล กา ร ทด ส อบ ค่ า precision ผ่ า นเ กณ ฑ์ ม า ต ร ฐา นที่ก่า ห นด ต า ม AOAC (association of analytical

communities) วิธีวิเคราะห์ท่ีถูกพฒั นาขึ้นมานี้ ได้น่ามาใช้เพื่อวเิ คราะห์หาปริมาณ eugenol ที่อยู่ในเครอ่ื งยาดอก

กานพลู และต่ารับประสะกานพลู ได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 แสดงปรมิ าณ eugenol ทวี่ ิเคราะหโ์ ดยวธิ ี GC-FID จากเคร่ืองยาดอกกานพลูและตา่ รบั ประสะกานพลู

แหล่งตวั อย่าง ปรมิ าณ eugenol (mg/g ผงยา)

เครือ่ งยา 85.213 ± 3.592
เจรญิ สุข 71.230 ± 12.959
อรัญประเทศ 77.585 ± 5.425
โรงงานผลิตยาแผนโบราณ เภสชั มอ. 229.455 ± 16.496
ประจวบครี ีขนั ธ์
14.018 ± 1.814
สตู รตารับ 37.078 ± 0.530
เจริญสุข 44.687 ± 2.523
ท่าพระจันทร์ 50.855 ± 3.555
รพ.หว้ ยยอด 30.367 ± 1.008
รพ.แพทย์แผนไทย มอ.
โรงงานผลติ ยาแผนโบราณ เภสชั มอ.

การศกึ ษานี้ เป็นวธิ ีการวิเคราะห์ปริมาณสารสา่ คญั ในต่ารบั ประสะกานพลู ท่ยี งั ไม่มกี ารรายงานมาก่อน ซึง่

วธิ ีท่ไี ด้พฒั นาข้ึนมาน้ี สามารถใชเ้ ปน็ แนวทางในการควบคมุ คณุ ภาพของตา่ รับนีไ้ ด้ อกี ท้ังสามารถนา่ วธิ ีวเิ คราะห์นี้

มาดัดแปลง เพือ่ ใชค้ วบคมุ คณุ ภาพของต่ารับยาแผนโบราณอื่นๆ ในบญั ชียาหลักแหง่ ชาตติ อ่ ไป

Corresponding author : Juraithip Wungsintaweekul, E-mail : juraithip.w@psu.ac.th ~ 10 ~

การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การใช้สถิตอิ อกแบบวธิ ีการสกดั สารเปลาโนทอลทเี่ หมาะสมจากเปล้าน้อย
เม่ือใช้คล่ืนเสียง และเอนไซมเ์ ปน็ ตวั ชว่ ย

พทั ธมน สารีรตั น,์ วรญา หวังพฤติพณิช, Weimi Aung, ศกั ดิ์ชัยบดี ปิ่นศรที อง, จุไรทพิ ย์ หวงั สนิ ทวีกลุ
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสชั พฤกษศาสตร์, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

สารเปลาโนทอล เปน็ สารสา่ คญั ทพี่ บในตน้ เปล้านอ้ ย (Croton stellatopilosus Ohba; Euphorbiaceae)
และเป็นตวั ยาหลกั ในยารักษาโรคกระเพาะ KelnacTM ในการศึกษาน้ีมวี ตั ถุประสงค์เพื่อออกแบบกรรมวธิ ีการสกดั
โดยใชต้ ัวท่าละลายทเ่ี ปน็ มิตรตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ได้แก่ ethanol และ tween 80 การออกแบบใช้หลักการ Response
Surface Methodology (RSM) ชนดิ Central Composite Design (CCD) และมตี วั แปรทหี่ นง่ึ คอื คลืน่ เสยี ง
(ultrasonication) เมอื่ ใชก้ า่ ลัง (power) 20-80% ระยะเวลา 1-40 นาที และตัวแปรท่สี องคือ เอนไซม์ cellulase
และ pectinase ความแรง 10-50 units ในการหาความแรงและระยะเวลาท่เี หมาะสมของการสกดั ดว้ ย
ultrasonication พบว่าเมือ่ สกัดดว้ ย ethanol ความแรง 80 % นาน 40 นาที ไดป้ รมิ าณเปลาโนทอล 3.072 %
(น่้าหนักต่อนา้่ หนักสารสกดั ) และเมอื่ สกัดด้วย tween 80 ความแรง 80 % นาน 1 นาที ไดป้ รมิ าณเปลาโนทอล
0.297 % (น่า้ หนกั ต่อน้่าหนกั สารสกดั ) ผลการทดลองพบว่า ethanol มีคุณสมบตั ใิ นการสกัดไดด้ กี วา่ tween 80
ประมาณ 10.343 เท่า และเมอ่ื สกดั โดยใช้ ultrasonication ความแรง 70% นาน 20 นาที ในสภาวะทมี่ ีเอนไซม์
cellulase และ pectinase อัตราส่วน 10 : 10 units สามารถสกดั สารเปลาโนทอล 4.054% (น่้าหนักตอ่ น่า้ หนัก
สารสกดั ) เม่อื สกดั ดว้ ย ethanol และ สารเปลาโนทอล 1.607% (นา้่ หนกั ตอ่ น้า่ หนกั สารสกดั ) เม่ือสกัดด้วย tween
80 ตามล่าดบั ผลการศกึ ษาพบวา่ การใช้ ultrasonication รว่ มกบั เอนไซม์ท้ังสองชนิดท่าใหป้ ระสทิ ธภิ าพของการ
สกัดสารเปลาโนทอลดกี วา่ การใช้ ultrasonication เพียงอย่างเดยี ว ผลดงั กลา่ วสามารถยนื ยันโดยการตรวจสอบผง
ยาท่ผี า่ นการสกัดแลว้ ด้วยเคร่ือง electron microscope ชนิดสอ่ งกราด (SEM) พบวา่ เอนไซม์ทงั้ สองชนิดทา่ ลาย
เน้อื เยอ่ื พชื จงึ สามารถเพม่ิ ประสทิ ธิภาพของการสกัดสารเปลาโนทอลได้ จากการศกึ ษานส้ี รปุ ได้ว่า ethanol เปน็ ตัว
สกัดสารเปลาโนทอลไดด้ ีกว่า tween 80 อยา่ งไรกต็ าม tween 80 เป็นสารทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบของตา่ รบั สารสกดั ท่ี
ได้จะสามารถใช้ไดโ้ ดยตรง

CH2OH

CH2OH

เปลาโ1นทอล OO

OO

Corresponding author : Juraithip Wungsintaweekul, E-mail : juraithip.w@psu.ac.th ~ 11 ~

HO HO HO H

HO H O HO H O HO H

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การพฒั นาสูตรตารบั ผลิตภัณฑ์มาส์กผิวหนา้ ขาวแบบลอกออกจากสารสกดั แกน่ มะหาด

ขวัญชนก สุดจันทร์, ชนกนันท์ เผอื กม่วงศร,ี สุกญั ญา เดชอดิศยั
ภาควิชาเภสัชเวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

มะหาด (Artocarpus lakoocha) เป็นสมุนไพรในวงศ์ Moraceae มีฤทธ์ิในการยับย้ังเอนไซม์
Tyrosinase ซึ่งมีผลในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ดังนั้นมะหาดจึงเป็นพืชท่ีน่าสนใจในการพัฒนาสูตรต่ารับ
เป็นเครื่องส่าอางท่ีมีประสิทธิภาพในการท่าให้ผิวขาว ซ่ึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ท่ีเลือกใช้ในการวิจัยครั้งน้ี คือ มาส์ก
ผิวหน้าแบบลอกออก เนื่องจากสามารถลอกออกไดง้ ่าย และไม่เหนียวเหนอะหนะ ในการศกึ ษาครัง้ นี้มีวัตถปุ ระสงค์
เพื่อทดลองเตรียมต่ารับเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์มาส์กผิวหน้าขาวแบบลอกออกจากสารสกัดแก่นมะหาด และน่ามา
ทดสอบฤทธยิ์ บั ยั้งเอนไซมไ์ ทโรซเิ นส รวมทงั้ ศกึ ษาความคงตัวของผลติ ภณั ฑ์ โดยในสตู รตา่ รับมีการใช้ Tocopherol
และ Ascorbic acid ซงึ่ เป็นสารต้านอนุมลู อิสระ เปรียบเทียบกบั สูตรตา่ รบั ท่ีไมไ่ ด้ใช้สารตา้ นอนมุ ลู อิสระ เน่ืองจากมี
รายงานว่าการใช้สารต้านอนุมลู อสิ ระในต่ารบั จะให้ผลยบั ยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสดกี ว่าสูตรตา่ รับที่ไมม่ ีสารต้านอนมุ ูล
อิสระ และสามารถชะลอการเปล่ียนสีของผลิตภัณฑ์ท่ีมีสารสกัดจากแก่นมะหาดได้ ท่าการทดสอบความคงตัวของ
สูตรต่ารับโดยการเกบ็ สูตรตา่ รบั ที่สภาวะอณุ หภูมิต่าง ๆ และน่ามาทดสอบฤทธิก์ ารยับยัง้ เอนไซมไ์ ทโรซเิ นส ทดสอบ
ลักษณะทางกายภาพ และประสิทธิภาพในการก่อฟิล์มเปรียบเทียบกับสูตรต่ารับที่เตรียมเสร็จใหม่ ผลการทดลอง
พบว่า สูตรต่ารับท่ีมีการใช้ Tocopherol และ Ascorbic acid มีฤทธิ์ในการยับย้ังเอนไซม์ไทโรซิเนส 86.31±1.03
% และ 86.52±1.25 % ตามล่าดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสูตรต่ารับท่ีไม่ใช้สารต้านอนุมูลอิสระซ่ึงมีค่าเท่ากับ
69.13±13.35 % โดยสภาวะท่ีเหมาะสมที่ท่าให้สูตรต่ารับที่ใช้ Ascorbic acid มีความคงตัวดีคือ 30 C แต่มี
ประสิทธิภาพในการก่อฟิล์มต่า คือใช้ระยะเวลานานในการก่อฟิล์ม (>60 นาที) ท้ังนี้จึงอาจมีการพัฒนาสูตรต่ารับ
โดยการเติม drying agents เพื่อลดระยะเวลาในการก่อฟิล์มลง ส่วนสภาวะที่เหมาะสมที่ท่าให้สูตรต่ารับที่มี
Tocopherol มีความคงตัวดีคือ 5, 30 และ 45 C และมปี ระสทิ ธภิ าพในการก่อฟลิ ม์ ค่อนขา้ งดี คอื ใชร้ ะยะเวลาใน
การก่อฟิล์ม 30-40 นาที แต่สูตรต่ารับท่ีได้มีความขุ่น และมีกล่นิ ลดลง อาจแก้โดยการเติมสารต้านออกซิเดชันชนดิ
อ่ืน หรือสารช่วยเสริมประสทิ ธภิ าพการตา้ นออกซเิ ดชัน

Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : sukanya.d@psu.ac.th ~ 12 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การทดสอบฤทธิ์ยับย้งั เอนไซมแ์ อลฟากลโู คซิเดสเบ้อื งต้นของพชื วงศ์ Cucurbitaceae

กมลชนก ทองพชิ ัย, กนกวรรณ ยอดแกว้ , สุกัญญา เดชอดิศยั
ภาควชิ าเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

โรคเบาหวานเป็นโรคไมต่ ิดต่อเร้ือรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุขส่าคัญของโลก ซ่ึงมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิม่
มากขึ้นทกุ ปี โรคเบาหวานเกดิ จากการท่างานของ "ฮอรโ์ มนอนิ ซลู นิ " ในร่างกายผดิ ปกติ ท้งั การขาดฮอรโ์ มนอนิ ซูลิน
หรืออินซูลนิ ออกฤทธ์ิได้ไม่เตม็ ที่ (ภาวะด้ืออินซลู ิน) ท่าให้ร่างกายไมส่ ามารถน่าน้่าตาลไปใช้ได้ จึงเกิดการสะสมของ
น้า่ ตาลในกระแสเลือด ปจั จุบันยาท่ใี ช้รกั ษาโรคเบาหวานมีกลไกการลดน้่าตาลในเลอื ดหลายกลไก หน่งึ ในน้นั คอื การ
ยับย้ังเอนไซมแ์ อลฟากลโู คซิเดสทีผ่ นังล่าไส้ ท่าให้การดูดซึมกลโู คสจากทางเดินอาหารเกิดขึ้นช้าลง สมุนไพรจงึ เป็น
อีกทางเลือกหน่ึงในการใช้รักษาโรคเบาหวาน จากรายงานการวิจัยพบว่าสมุนไพรในวงศ์ Cucurbitaceae ที่มีฤทธิ์
ลดระดับน่้าตาลในเลือดมีหลายชนิด โดยเฉพาะ มะระขี้นก (Momordica charantia) ท่ีมีงานวิจัยยืนยันถึง
ประสิทธภิ าพในการลดระดับน้า่ ตาลในเลอื ดได้เป็นอยา่ งดี ผา่ นหลายกลไกคือเพิ่มการหล่งั อินซูลนิ ลดการดดู ซมึ และ
เพิ่มการใช้กลูโคส อีกทั้งสารส่าคัญยังออกฤทธ์ิคล้ายกับอินซูลินในการลดน่้าตาลในเลือด การศึกษาคร้ังนี้จึงมี
วัตถุประสงค์เพ่ือทดสอบฤทธ์ิการยับย้ังเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดสเบื้องต้นของสารสกัดเอทานอลในพืชวงศ์
Cucurbitaceae อ่ื น ๆ 6 ช นิ ด ไ ด้ แ ก่ ก ร ะ ย อ ง ( Momordica subangular) , ข้ี ก า แ ด ง ( Trichosanthes
tricuspidata), ฟกั ข้าว (Momordica cochinchinensis), ตา่ ลงึ (Coccinia grandis), กระดอม (Gymnopetalum
chinensis) และแตงหนู (Zehneria marginata) ท่ียังไม่เคยมีรายงานการศึกษาฤทธ์ิยับย้ังเอนไซม์แอลฟากลูโคซิ
เดส โดยแบง่ ส่วนตา่ งๆ ของพชื เพอ่ื ทดสอบท้งั ใบ ต้น ผล และเมลด็ รวมทัง้ หมด 18 ตวั อย่าง จากการทดสอบพบว่า
ผลต่าลึงสุกใหผ้ ลการทดสอบท่ีดีทสี่ ดุ โดยมีคา่ เปอร์เซ็นต์การยับย้ังเอนไซม์แอลฟากลโู คซเิ ดส (%inhibition) เท่ากับ
70.08 % ± 3.29 และมีคา่ ความเขม้ ข้นทีท่ ่าให้เกดิ การยับย้ังเอนไซม์แอลฟากลโู คซเิ ดส 50 เปอร์เซ็นต์ (IC50) เทา่ กับ
1.28 mg/ml แต่ก็ยังถือว่ามีค่าน้อยเม่ือเทียบกับ acarbose (%inhibition = 92.70 % ± 0.27, IC50 = 0.13
mg/ml) ซง่ึ เปน็ ยาแผนปัจจบุ ันทีย่ ับยงั้ เอนไซมแ์ อลฟากลโู คซเิ ดส

Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : sukanya.d@psu.ac.th ~ 13 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การทดสอบฤทธิ์ยบั ยัง้ เอนไซม์ α–glucosidase จากสารสกัดพชื สกลุ Hibiscus

วลิ าวณั ย์ เพชรม,ี องั คณา สุขสวัสด์ิ, สกุ ญั ญา เดชอดศิ ยั
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ปจั จุบนั โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรงั ทเี่ ปน็ ปญั หาหลักดา้ นสขุ ภาพของประชากรทวั่ โลก ซ่งึ สามารถพบได้ทุก
ชว่ งอายแุ ละมแี นวโนม้ ท่จี ะมผี ปู้ ่วยเพมิ่ มากข้นึ ทุกปี การรกั ษาโรคเบาหวานนอกจากการปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมแล้ว
ยงั มยี าทใ่ี ชใ้ นการรักษาหลายกลมุ่ หน่ึงในนน้ั คือยาทีม่ ฤี ทธยิ์ บั ยั้งเอนไซม์ α–glucosidase เช่น acarbose ซึ่งการไป
ยับยง้ั เอนไซม์ α–glucosidase จะท่าให้การย่อยสลายคารโ์ บไฮเดรตช้าลงและชว่ ยเพม่ิ ระยะเวลาในการยอ่ ยเป็นผล
ให้อัตราการดูดซมึ กลูโคสลดลงท่าให้สามารถลดระดบั กลโู คสหลงั ม้อื อาหารในพลาสมาได้มากข้ึน จากรายงานการ
วิจยั ท่ีผ่านมาพบวา่ มพี ืชในวงศ์ Malvaceae หลายชนิดที่มฤี ทธิ์ยบั ยง้ั เอนไซม์ α–glucosidase เช่น Corchorus
olitorius (ปอกระเจาฝกั ยาว), Hibiscus sabdariffa (กระเจี๊ยบ), Hibiscus mutabilis (พุดตาน) ดงั น้ันพืชในวงศ์น้ี
จงึ น่าสนใจทจี่ ะท่าการศกึ ษาฤทธย์ิ บั ยง้ั เอนไซม์ α–glucosidase โดยเฉพาะพืชสกลุ Hibiscus เนอ่ื งจากสามารถหา
ตัวอยา่ งพชื ไดง้ ่ายและมสี ายพันธ์ใุ หศ้ กึ ษามากกว่า โดยท่าการศึกษาในพชื สกุลน้ี 6 ชนิด ทยี่ งั ไมม่ รี ายงานการศึกษา
ฤทธิน์ ้มี าก่อน ไดแ้ ก่ พุดตาน (Hibiscus mutabilis), ชบา (Hibiscus rosa-sinensis), พู่ระหง (Hibiscus
schizopetalus), โพทะเล (Hibiscus tiliaceus), พันตะวนั (Hibiscus grewiifolius) และชบาจนี (Hibiscus
syriacus) โดยมสี ่วนท่นี ่ามาใชแ้ ตกตา่ งกันในแตล่ ะตน้ ตามรายงานการวจิ ัยทยี่ งั ไม่พบการศกึ ษา เช่น ดอก ใบ ลา่ ต้น
และราก รวมทั้งหมด 15 ตัวอย่าง น่ามาสกดั ดว้ ย ethanol และนา่ สารสกัดท่ีได้ไปทดสอบหาฤทธ์ิยบั ยง้ั เอนไซม์ α–
glucosidase ด้วย colorimetric method จากผลการทดสอบพบวา่ มี 3 ตวั อย่างที่มีเปอรเ์ ซน็ ต์ในการยบั ย้ัง
เอนไซม์ α-glucosidase ใกล้เคยี งหรอื มากกว่า 70% ไดแ้ ก่ ดอกพดุ ตาน ดอกโพทะเลและตน้ โพทะเล โดยมคี ่า
เปอรเ์ ซ็นตใ์ นการยับย้งั เอนไซม์ α-glucosidase เทา่ กับ 71.96 ± 2.71% , 69.48 ± 4.14% และ 73.12 ± 2.02%
ตามลา่ ดบั และเมื่อน่ามาหาคา่ IC50 พบวา่ ดอกพดุ ตาน ดอกโพทะเลและต้นโพทะเลมคี ่า IC50 เทา่ กบั 1.25 mg/ml,
1.48 mg/ml และ 0.68 mg/ml ตามลา่ ดบั แสดงให้เหน็ ว่าต้นโพทะเลมีฤทธิ์ยบั ยงั้ เอนไซม์ α-glucosidase ได้ดีทสี่ ุด
ในกลุม่ ตวั อย่างที่ทดสอบ แตม่ ฤี ทธ์ิยบั ยั้งไดน้ อ้ ยกว่าเม่ือเทียบกับ Acarbose ที่มีคา่ IC50 เท่ากับ 0.12 mg/ml

Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : sukanya.d@psu.ac.th ~ 14 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การพัฒนาวธิ ีเตรียมสารสกดั เฟิร์น (Cyclosorus terminans) ที่มีอินเตอร์รับตนิ เอและบใี นปริมาณสงู
และการทดสอบฤทธติ์ ้านอนุมลู อสิ ระ

นฬวรรณ นาคะวโิ รจน์, ไพล ดวงสุวรรณ์, สริ ีวรรณ วิรยิ กุลโอภาศ
ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

เฟิร์น Cyclosorus terminans (วงศ์ Thelypteridaceae) พบได้ท่ัวไปในเขตร้อนช้ืนโดยเฉพาะภาคใต้
ของประเทศไทย จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า C. terminans มีฤทธิ์ในการดักจับสารอนุมูลอิสระ (Reactive
oxygen species, ROS) ได้ดีเมื่อตรวจสอบด้วยเทคนิค flow cytometry รวมทั้งยังมีประสิทธิภาพในการป้องกัน
การตายของเซลล์อันเกิดจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) โดยสารออกฤทธิ์คือ interruptins A และ B ดังน้ัน
การพัฒนาสารสกดั จาก C. terminans ให้มี interruptins A และ B ในปรมิ าณสงู จึงมีศกั ยภาพตอ่ การน่าไปพฒั นา
สูตรต่ารับเวชส่าอางดักจับสารอนุมูลอิสระ การวิจัยน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาวิธีการเตรียมสารสกัดเฟิร์น
C. terminans ที่มีสาร interruptins A และ B ในปริมาณสูงจากสารสกัดหยาบ hexane โดยวิธีต่างๆ ได้แก่
(1) reversed phase - open column chromatography (RO) โดยใช้ Diaion® HP20 เป็น stationary phase,
(2) normal phase - open column chromatography (NO) โ ด ย ใ ช้ silica gel เ ป็ น stationary phase,
(3) normal phase - quick column chromatography (NQ) โ ด ย ใ ช้ silica gel เ ป็ น stationary phase,
(4) partition ระหว่าง methanol และ hexane (PH) และ (5) partition ระหว่าง methanol และ petroleum
ether (PP) และวิเคราะห์ปริมาณสาร interruptins A และ B ด้วยเทคนิค High Performance Liquid
Chromatography (HPLC) ผลการทดลองพบว่าการเตรียมสารสกัดด้วยวิธี quick column chromatography
โดยใช้ silica gel เป็น stationary phase (NQ) ให้ปริมาณสาร interruptins A และ B สูงสุดเม่ือเทียบกับวิธีอื่น
โดยสกัดได้เท่ากับ 34.80±0.02 และ 84.75±0.22 µg/mg ตามล่าดับ คิดเป็น 2.0 และ 3.7 เท่าจากสารสกัด
hexane เร่ิมต้น และเม่ือน่าสารสกัดทั้งหมดไปทดสอบฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าด้อย
ประสิทธิภาพในการยับย้ัง DPPH radical (IC50  138.24 µg/ml) เม่ือเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน BHT
(IC50=6.23 µg/ml) และ ascorbic acid (IC50 = 2.38 µg/ml) อย่างไรกต็ ามสารสกดั ทงั้ หมดจะน่าไปประเมนิ ผลใน
การดักจับอนุมูลอิสระหรอื ROS โดยเทคนิค flow cytometry เพือ่ ยนื ยันผลตอ่ ไป

Corresponding author : Sireewan Wiriyagulopas, E-mail : songsri.k@psu.ac.th ~ 15 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

โลช่ันสาหรบั ผิวกายยบั ย้ังแบคทีเรียจากสารสกัดเฟิร์นไซโคลซอรัส เทอรม์ แิ นนส์ ทีม่ คี วามปลอดภยั และเป็น
มติ รกบั ส่งิ แวดล้อม (สารสกดั ทีล่ ะลายในนา้ มนั และน้า)

พชิ ภา พงศ์ขจร, สมาพร แซจ่ วิ , สริ ีวรรณ วิรยิ กลุ โอภาศ
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

สารสกัด เฟิร์น Cyclosorus terminans (วงศ์ Thelypteridaceae) มีฤทธิ์ยับยั้ง เชื้อแบคทีเรีย
methicillin-sensitive Staphylococcus aureus (MSSA) แ ล ะ methicillin-resistant S. aureus (MRSA)
โดยสารออกฤทธิ์ interruptin A และจากการศึกษาเบื้องต้นในการพัฒนาการเตรียมสารสกัดโดยใช้ตัวท่าละลาย
ชีวภาพต่างๆ พบว่าการสกัดด้วยน่้ามันปาล์มโดยวิธี maceration และการสกัดด้วยสารละลาย PEG-6000 โดยวิธี
microwave-assisted extraction ให้ interruptin A ปริมาณสูงสุด การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาสูตร
ต่ารับโลช่ันส่าหรับผิวกายยับย้ังแบคทีเรียจากสารสกัดเฟิร์นท่ีเตรียมโดยวิธีท่ีมีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับ
ส่ิงแวดล้อมโดยใช้สารสกัดที่ละลายในน่้ามันและน้่า ได้แก่ (1) สารสกัดเฟิร์นท่ีสกัดด้วยน้่ามันปาล์มโดยวิธี
maceration (Palm-M) และ (2) สารละลาย PEG-6000 โดยวิธี microwave-assisted extraction (PEG-Mi)
และประเมินความคงตัวทั้งทางกายภาพและเคมี รวมท้ังประสิทธิภาพในการยบั ย้ังแบคทีเรยี จากการทดลองพบว่า
สามารถพัฒนาได้สูตรต่ารับโลช่ันสารสสกัดเฟิร์น 10% w/w ท่ีมีลักษณะน่าใช้จ่านวน 3 สูตร ได้แก่ โลช่ันท่ีใส่สาร
สกดั เฟริ น์ Palm-M ท่มี ี aloe juice 40% (สูตร A) และ 60% (สูตร B) และโลชัน่ ทใ่ี ส่สารสกดั เฟริ ์น PEG-Mi (สตู ร
C) เม่ือศึกษาความคงตัวโดยเก็บในสภาวะปกติท่ีอุณหภูมิห้องและในที่เย็น (4 ๐C) ทั้งสภาวะมืดและมีแสงนาน 8
สัปดาห์ พบว่าโลชั่นทุกสูตรมีความคงตัวดี มีสีขาวและกล่นิ หอมน่าใช้ อย่างไรก็ตามการเก็บในสภาวะเรง่ (45๐C) มี
ผลท่าให้โลชั่นทุกสตู รเกิดการแยกช้ันและมีความเหลวมากขึ้นโดยสูตร A และ B ยังคงมีสีขาวเหมือนเดิม แต่สูตร C
มีสีเหลืองเข้มขึ้น เมื่อวิเคราะห์ปริมาณสาร interruptin A พบว่า สูตรโลชั่น A, B และ C มีปริมาณ interruptin A
เทา่ กับ 5.4540, 5.1823 และ 2.7612g/g และเมือ่ ทดสอบฤทธย์ิ บั ย้งั แบคทีเรีย MSSA และ MRSA พบว่าโลชนั่ มี
ค่า MIC เทา่ กับ 2-4 mg/ml เมอ่ื เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน vancomycin ซ่งึ มคี า่ MIC เทา่ กับ 1-2 g/ml

Corresponding author : Sireewan Wiriyagulopas, E-mail : songsri.k@psu.ac.th ~ 16 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การพัฒนาเทคนคิ การกลบรสขมของสารสกัดฟ้าทะลายโจร

ฉนั ชนก ไฝขวัญ, ศโิ รธร เอง้ ฉว้ น, อธปิ สกลุ เผือก
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาเทคนิควิธีท่ีเหมาะสมในการกลบรสขมของฟ้าทะลายโจร
เพื่อจะน่ามาใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมเป็นต่ารับในรูปแบบต่างๆ โดยใช้การกลบรส 2 เทคนิคได้แก่เทคนิค
Spray-drying โดยใช้ chitosan ในการกลบรส และเทคนิคการสร้าง hydrogel โดยใช้การก่อเจลของ
sodium alginate จากการศึกษาพบว่าการสร้าง hydrogel โดยใช้ sodium alginate สามารถกลบรสขมของสาร
สกัดฟ้าทะลายโจรได้ดี ในขณะที่การใช้เทคนิค Spray-drying โดยใช้ chitosan นั้นไม่สามารถกลบรสขมของสาร
สกัดฟ้าทะลายโจรได้ โดยอัตราส่วนของยาต่อ polymer ที่สามารถกลบรสขมของสารสกัดฟ้าทะลายโจรได้ดีท่ีสุด
คือ 2:1 ตามล่าดับ จากการศึกษาคุณสมบัติด้านการกักเก็บตัวยาและการปลดปล่อยยาของนั้นพบว่า วิธีการสร้าง
hydrogel น้ีสามารถกักเก็บสารสกัดได้ถึง 100 % ในการศึกษา equilibrium swelling study น้ัน ไม่พบการพอง
ตัวของ micropellet และจากการศึกษาการแตกตัวของ micropellet พบว่าสามารถแตกตัวและละลายได้ใน
pH 6.8 แต่ไม่ละลายใน pH ท่ีเป็นกรด ดังนั้นmicropellet น้ีอาจจะใช้เพื่อการพัฒนาเป็นยาในรูปแบบ delay
release ไดต้ อ่ ไป

Corresponding author : Atip Sakunphueak, E-mail : athip.s@psu.ac.th ~ 17 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การพฒั นาสตู รตารับนา้ ยาบ้วนปากจากสารสกดั บัวบกในรูปแบบไมโครอมิ ลั ชัน
สาหรบั การรกั ษาแผลในปาก

ปิยานันต์ ดานลิ , อภิชญา ธนวงศ์วาณิชย,์ ภาณพุ งศ์ พุทธรักษ์
ภาควิชาเภสัชเวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ภาวะเยื่อบุในช่องปากอักเสบเป็นภาวะทีเ่ กดิ ได้บ่อย อาจมสี าเหตจุ ากผลขา้ งเคียงของยาหรอื อาการแพ้ยา
ถูกสารเคมที ี่มีฤทธ์ิกดั กรอ่ นสูง หรือเป็นผลมาจากระบบภมู คิ ุ้มกันเปล่ยี นแปลง ท่าให้มีการท่าลายของเซลลเ์ ยือ่ บุใน
ช่องปากได้ ผู้ป่วยมักจะมีแผลและเจ็บบริเวณในช่องปาก มีอาการบวมแดง ส่งผลรบกวนการใช้ชีวิตประจ่าวันของ
ผู้ป่วย เช่น เคี้ยวอาหารล่าบาก ดื่มน้่าไม่ได้ เป็นต้น หากไม่ได้รับการดูแลรักษาท่ีถูกตอ้ งอาจท่าให้เกิดการติดเช้ือใน
ช่องปากตามมาและมีอาการท่ีรุนแรงมากขึ้นได้ ในปัจจุบันความนิยมในการใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเป็นที่
แพรห่ ลาย งานวจิ ยั ครัง้ นีจ้ งึ เลอื กบัวบกซ่ึงเปน็ สมุนไพรท่ปี ระกอบด้วยสารกลุม่ pentacyclic triterpenes มฤี ทธ์ิใน
การสมานแผลและลดการอักเสบได้ สารสกัดบัวบกที่น่ามาใช้สกดั ด้วยวิธี microwave-assisted extraction (MAE)
โดยใช้ Absolute Ethanol เป็นตัวท่าละลาย และน่าไปแยกสารสกัด pentacyclic triterpenes จากบัวบกโดยใช้
Diaion Hp-20 ซ่ึงสารสกัดท่ีได้จะมีปริมาณสารส่าคัญไม่น้อยกว่า 65%w/w สารสกัดบัวบกจะละลายได้ดใี นเอทา
นอล ซ่ึงก่อนหน้านี้มีงานวิจัยที่พัฒณาต่ารับน่้ายาบ้วนปากจากสารสกัดบัวบกโดยมีเอทานอลเป็นส่วนประกอบ ซึ่ง
อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในช่องปากได้ รวมถึงมีปรมิ าณสารส่าคัญเพียง 0.1% w/v ดังน้ันงานวิจัยนี้จึงพัฒนา
สูตรต่ารับน่้ายาบ้วนปากท่ีปราศจากเอทานอล โดยท่าให้อยู่ในรปู แบบไมโครอิมลั ชันซ่ึงประกอบดว้ ยสาร 3 วัฏภาค
และมีส่วนประกอบของสารสกัดบัวบกในปริมาณ 0.2 %w/v นอกจากน้ันได้มีการเพ่ิมส่วนของน้่ามันมะพร้าวที่มี
คุณสมบัติลดการอักเสบได้ สูตรต่ารับท่ีพัฒนาและพบว่ามีลักษณะที่เหมาะสมประกอบด้วยน่้ามันมะพร้าว 30%,
สารลดแรงตึงผิว 65% และน้่า 5% ซ่ึงสารลดแรงตึงผิวท่ีใช้คือ Tween20 และ Polyethylene glycol400 ใน
อัตราส่วน 3 : 1 ต่ารับท่ีได้มีลักษณะใส สีเหลืองอ่อน มองเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน มีความหนืด 147.97 cps, pH =
5.77 และเป็นไมโครอมิ ลั ชนั ชนดิ นา้่ มันในน่้า (oil-in-water microemulsion)

Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : panupong.p@psu.ac.th ~ 18 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การปลดปลอ่ ยยานโิ คตินาไมดจ์ ากไฮโดรเจลของกรด 12-ไฮดรอกซีสเตียริกและอาร์จนี นี
ในรปู แบบยาทาเฉพาะท่ี

ภาวิตา สขุ เมฆ, ลดาวลั ย์ รตะวงั กุล, ธนชั พร แสงไฟ และ วมิ ล ตันตไิ ชยากลุ
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ศึกษาความสามารถในการก่อเจลและสมบัติของไฮโดรเจลซ่ึงประกอบด้วยกรด 12-ไฮดรอกซีสเตียริก
(12-hydroxystearic acid, 12-HSA) เป็นสารก่อเจล และอาร์จินีน (arginine, Arg) ส่าหรับการน่าส่งยานิโคตินา
ไมด์ (nicotinamide, NTM) ซ่ึงเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว โดยเฉพาะการลดริ้วรอย ลดรอยแดง/ด่า
(hyperpigment) เพ่ิมความชุ่มช้ืนให้กับผิว จากการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน และเซราไมด์ (ceramide)
นอกจากนี้ยังท่าให้ผิวแขง็ แรง ทนต่อสารก่อความระคายเคอื ง (irritants) ต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถลดความมนั
บนใบหน้า (sebum excretion) เหมาะกับผิวท่ีเป็นสิว โดยเตรียมในรูปแบบยาทาบนผิวหนัง การศึกษา
ความสามารถในการก่อเป็นเจล ศึกษาโดยการปรับเปลี่ยนปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความเข้มข้นของ 12-HSA (%w/v),
สัดส่วนโดยโมลระหว่าง 12-HSA กับ Arg และ pH ของ medium ทใ่ี ช้ในการเตรียมเจล พบวา่ เจลทีม่ คี ณุ ลกั ษณะที่
เหมาะสมคือท่ีความเข้มข้นมากกว่า 7.5% 12-HSA:Arg (mole ratio 1:1) โดยใช้น่้ากลั่นในการเตรียม การศึกษา
คุณลักษณะของไฮโดรเจลด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่ inversion test tube method, hot stage microscopy
(HSM), scanning electron microscope (SEM), differential scanning calorimeter (DSC) แ ล ะ fourier
transform infrared spectroscopy (FT-IR) ผลจาก inversion test tube แสดงอุณหภูมกิ ารเปลี่ยนจากเจลเป็น
สารละลาย (gel to sol) ส่าหรับสารตัวอย่างเจล 10% HSA (HSA:Arg = 1:1) ที่ไม่มียา NTM เท่ากับ 70 องศา
เซลเซยี ส และอุณหภมู กิ ารเปลี่ยนจากสารละลายเป็นเจล (sol to gel) เทา่ กับ 55 องศาเซลเซยี ส และผลจาก DSC
แสดงอุณหภูมิ gel to sol เท่ากับ 70.43 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิ sol to gel เท่ากับ 61.25 องศาเซลเซียส
อย่างไรกต็ ามการใช้เคร่ืองมือที่แตกต่างกันท่าให้คา่ gel to sol และ sol to gel มีความแตกตา่ งกันบ้าง นอกจากนี้
จะมีศึกษาการปลดปล่อยยาโดย franz diffusion cell และวิเคราะห์หาปริมาณยาท่ีปลดปล่อยด้วย UV
spectrophotometer

Corresponding author : Vimon Tantishaiyakul, E-mail : vimon.t@psu.ac.th ~ 19 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การพัฒนาไฮโดรเจลจาก 12-ไฮดรอกซสี เตียริกแอซิด/ไลซีนสาหรบั การนาส่งทางผวิ หนงั

ชยั วฒุ ิ ภทั รจินดาวงศ์, ชินภทั ร ศรสี วุ รรณ, ธนชั พร แสงไฟ และ วมิ ล ตันตไิ ชยากลุ
ภาควิชาเภสชั เคมี, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ไฮโดรเจลมีประโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ เช่น ใชเ้ ป็นระบบการน่าสง่ ยา, สว่ นประกอบวสั ดดุ ูดซบั แผล และแผน่ แปะ
ผวิ หนัง ในการศกึ ษานไ้ี ดพ้ ฒั นาไฮโดรเจลโดยใช้ 12-ไฮดรอกซีสเตียรกิ แอซิด (12-Hydroxystearic acid; 12-HSA)
ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดหน่ึง และไลซนี (Lysine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจา่ เปน็ ที่มคี วามเป็นเบส สารผสมท่เี กดิ ขึ้นสามารถ
เกดิ เป็นเจล ได้ศกึ ษาปจั จยั ตา่ งๆท่กี ่อใหเ้ กดิ เจล ไดแ้ ก่ ความเข้มขน้ ของ 12-HSA, สดั ส่วนโมลของ 12-HSA:lysine,
ความเปน็ กรด-เบสของตัวกลาง และศกึ ษาคณุ ลักษณะของการเกิดเจลโดยใช้ differential scanning calorimetry
(DSC), scanning electron microscopy (SEM) การศกึ ษาการปลดปลอ่ ยยาจ่าลอง ทีม่ กี ารนา่ สง่ ผา่ นทางผิวหนัง
เชน่ piroxicam ด้วย Franz-type diffusion cells เทียบกับเจลส่าเรจ็ รูปท่มี ีจา่ หนา่ ยทางการคา้ ปัจจัยในการเกดิ
เจล คณุ ลกั ษณะ และการปลดปลอ่ ยยาจ่าลองจากเจลจะไดน้ ่าเสนอตอ่ ไป

Corresponding author : Vimon Tantishaiyakul, E-mail : vimon.t@psu.ac.th ~ 20 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การเตรียมอนพุ ันธค์ าร์บอกซเี มทธลิ ของแปง้ จากเมลด็ ทเุ รยี น เพื่อใช้ศึกษาการเพ่มิ การละลายน้า
ของยา Ibuprofen ด้วยเทคนิค Solid dispersion

พิชชาพร มีอุปการ, ภทั รสินี กมลวทิ ย์, ชิตชไม โอวาทฬารพร
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

ทุเรียน (Durio zibethinus Linn.) เปน็ พืชพืน้ เมอื งในภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีส่วนเน้อื ประมาณ
รอ้ ยละ 30 ของน้่าหนกั ทเ่ี ปน็ สว่ นท่ีรบั ประทานได้ สว่ นที่เหลือเป็นเมลด็ และเปลือกจะถกู ทิ้งเปน็ ของเสีย โดยภายใน
เมล็ดทุเรียนนั้นมีแป้งเป็นส่วนประกอบจ่านวนมาก งานวิจัยนี้จึงสนใจการสังเคราะห์ Carboxymethyl-Durian
starch (CM-DRS) แป้งจากเมล็ดทุเรียนเตรียมได้จากการสกัดแยกแป้งจากเมล็ดทุเรียนที่ผ่านการบดให้ละเอียด
โดยแปง้ จากเมล็ดทเุ รยี นที่ไดม้ ลี กั ษณะเปน็ ผงสีครมี ลกั ษณะเป็นผงหยาบ CM-DRSซึ่งได้จากการท่าปฏิกริ ิยาระหวา่ ง
แป้งเมล็ดทุเรียน กับ sodium chloroacetic acid ในอัตราส่วน 45:55 โดยน้่าหนัก ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซยี ส
นาน 4 ชวั่ โมง โดย CM-DRS ทไี่ ด้ มีลักษณะเปน็ ผงเบาฟู สคี รมี มีค่า % yield เทา่ กบั 78.39 โครงสร้างทางเคมีของ
CM-DRS แสดงผลโดย FT-IR ที่ peak 1602 cm-1 ของ C=O Stretching ของหมู่คาร์บอกซีเมทิล ซึ่งแตกต่างจาก
FT-IR ของแป้งเมลด็ ทุเรยี น หลงั จากนั้นน่า CM-DRS ทสี่ ังเคราะหไ์ ด้มาเตรยี ม composites ร่วมกบั Ibuprofen ใน
อัตราส่วน 1:1 และ 1:2 โดยน่้าหนัก ด้วยวิธี spray drying, freeze drying และ physical mixing โดยมี
entrapment efficiencies วิเคราะห์โดยเทคนิค UV-Vis spectroscopy ของ spray drying อยู่ในช่วง 53.03-
103.61%, freeze drying อยู่ในช่วง 110.62-119.09%, และ physical mixing อยู่ในช่วง 116.28-134.94%
ตามล่าดับ ท่าการศึกษาการปลดปล่อยตัวยาส่าคัญใน Phosphate buffer pH 7.2, Hydrochloric acid pH 1.2
ท่ี 37.5ºC เป็นเวลา 12 ช่ัวโมง พบว่า Ibuprofen สามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในpH 7.2 ( ใช้เวลาประมาณ 45
นาที ) ในขณะที่ pure Ibuprofen ใช้เวลาในการละลายประมาณ 120 นาที ท่าการตรวจสอบคุณลักษณะทาง
กายภาพของ composites ที่เตรียม ด้วยเทคนิค SEM XRD และ DSC พบว่า Ibuprofen อยู่ในลักษณะอสัณฐาน
จากผลการทดลองดังกล่าว จะเห็นได้ว่าแป้งจากเมล็ดทุเรียนสามารถน่ามาประยุกต์ใช้ทางเภสัชกรรมได้ โดยใน
งานวจิ ยั นี้ได้ประยุกต์ใช้ ในการเพมิ่ ความสามารถในการละลายน้า่ ของยาทลี่ ะลายน้่าไดน้ ้อย ใน BCS-Class II

Corresponding author : Chitchamai Ovatlarnporn, E-mail : lchitcha@pharmacy.psu.ac.th ~ 21 ~

การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การเตรยี มไมเซลลจ์ ากอนพุ ันธ์แปง้ ทเี่ ช่อื มต่อกับดีออกซีโคลกิ แอซดิ ทก่ี กั เกบ็ เคอร์คมู ินเพ่อื เพมิ่ คา่ การละลาย
และเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการต้านมะเร็ง

เพญ็ พสิ ทุ ธิ์ วรรณวิสุทธ,ิ์ อรศิ ราภรณ์ เพญ็ หน,ู ชิตชไม โอวาทฬารพร
ภาควิชาเภสัชเคมี, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

เคอร์คูมินเป็นสารจากธรรมชาติชนิดหน่ึงซ่ึงสกัดได้จากเหง้าของขม้ินชัน เป็นสารท่ีมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาท่ี
น่าสนใจหลายชนิดรวมถึงสามารถต้านมะเร็งได้ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาเคอร์คูมินเพ่ือเป็นยารักษาโรคก็ยังมี
ข้อจ่ากัด เนื่องจาก มีค่าการละลายน้่าต่า, ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย, ถูกก่าจัดจากร่างกายได้อย่างรวดเรว็ และไม่
จ่าเพาะต่อต่าแหน่งของโรค ซ่ึงหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาดงั กล่าว คือการเตรียมโดยอาศัยโพลิเมอร์ที่มีส่วนท่ี
ชอบน้่าและส่วนท่ีชอบไขมันทา่ การกักเก็บเคอร์คูมนิ ให้อยใู่ นรปู แบบของไมเซลล์ ในการศึกษาน้ีได้ท่าการสังเคราะห์
อนพุ นั ธ์แป้งท่ีเชื่อมต่อกบั ดีออกซโี คลกิ แอซดิ พบวา่ มีคา่ รอ้ ยละการแทนท่ีของหมู่ดีออกซีโคลิกแอซิดบนแป้งเท่ากับ
13.09 (Lot.1) และ 21.15 (Lot.2) มีความเข้มข้นวิกฤติที่ท่าให้เกิดไมเซลล์ เท่ากับ 2.43x10-4 และ 7.90x10-6
มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรตามล่าดับ น่าอนุพันธ์ของแป้งท่ีสังเคราะห์ได้มาท่าการกักเก็บเคอร์คูมินโดยใช้เทคนิคการ
เตรียมแบบนาโน-พรีซิพเิ ทช่นั ทา่ ใหไ้ ดไ้ มเซลล์ที่กกั เกบ็ เคอร์คมู นิ ท่ีสามารถละลายและกระจายตวั ในน่้าไดด้ ีกวา่ เคอร์
คมู ิน โดยไมเซลลท์ ่ีไดม้ ีขนาดในชว่ ง 305.7±24.16 และ 340.5±85.21 นาโนเมตร โดยมคี ่าความสามารถในการกกั
เก็บเท่ากับ 18.64±0.71 และ 22.50±3.43 % ค่าประจุพ้ืนผวิ หลงั กักเก็บเคอรค์ ูมินเท่ากับ -3.38 และ -4.58 มิลลิ
โวลต์ ผลการทดสอบการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งปากมดลูกชนิด HeLa พบว่าสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพใน
การตา้ นเซลล์มะเรง็ โดยมคี า่ IC50 ลดลงประมาณ 3 เท่า (3.48 และ 2.95 ไมโครกรัมตอ่ มิลลลิ ติ ร) เม่อื เทยี บกบั เคอร์
คูมินที่ไม่ได้กักเก็บในไมเซลล์ (10.34±0.98 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) จากผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการ
เพมิ่ ความสามารถในการละลายน้า่ ของเคอร์คมู ินและการเพ่ิมประสิทธิภาพในการต้านเซลลม์ ะเร็งสามารถท่าได้ด้วย
การน่าเคอรค์ มู นิ มากักเกบ็ ในไมเซลลท์ ่ีเตรยี มมาจากอนุพันธ์ของแป้งท่เี ชื่อมตอ่ กบั ดีออกซโี คลกิ แอซิด

Corresponding author : Chitchamai Ovatlarnporn, E-mail : lchitcha@pharmacy.psu.ac.th ~ 22 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การสงั เคราะห์และตรวจสอบคณุ สมบัติของแมเ่ หลก็ นาโนทม่ี ีโพลเิ มอรท์ ่ีมรี อยประทับเคลือบสาหรบั การนาส่งไป
ยังสมองของยาเออร์ก็อท

กฤษฎา โปจีน, รุ่งนภา ศรชี นะ
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

อนุภาคแม่เหล็กระดับนาโนสามารถน่ามาประยุกต์ทางด้านการน่าส่งยาโดยเฉพาะ magnetite (Fe3O4) ซ่ึง
เปน็ สารประกอบ iron oxide มคี ุณสมบตั ิเปน็ แมเ่ หลก็ สูงและสามารถแสดงสภาพแมเ่ หลก็ ท่แี รงเม่ือทา่ เป็นขนาดนา
โน จึงเหมาะต่อการประยุกต์ใช้ในระบบการน่าส่งยาโดยการน่าโพลิเมอร์ท่ีมีรอยประทับโมเลกุลมาใช้เพ่ือเพิ่มการ
จดจ่าโมเลกุลของรีเซบเตอร์ธรรมชาติ (molecular imprinting) และสามารถลดปริมาณยาที่ใช้ในการรักษาโรค
รวมถึงจ่าเพาะต่อ ต่าแหน่งที่ต้องการน่าส่งได้ ในการศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือตรียม พิสูจน์เอกลักษณ์และ
ศึกษาการปลดปล่อยยาในสภาวะเดียวกับสมองของ SPIOs (superparamagnetic iron oxide nanoparticles )
โดยสังเคระห์ จากการ ตกตะกอนร่วมของ FeCl2 และ FeCl3 โดยตรวจสอบเอกลักษณ์และขนาด้วย XRD,FT-IR
และวิธี light scattering พบว่าว่า SPIOs มีขนาด130 nm แล้วน่าไปเคลือบผิวโพลิเมอร์ด้วย methacrylate, N-
Isopropylacrylamide และN,N-methylenebisacrylamide (MBAA )โดยใช้เทคนคิ molecular imprinted ด้วย
ยา ergonovine maleate และตรวจสอบเอกลักษณ์และขนาดด้วย FT-IR และ SEM พบว่า MIP-SPIOs มีขนาด
ประมาณ 200 nm มีรูปรา่ งเป็นทรงรี มีผวิ ขรุขระ และมกี ารกระจากตัวของแกน iron oxide อย่างสมา่ เสมอ

Corresponding author : Roongnapa Srichana, E-mail : roongnapa.s@psu.ac.th ~ 23 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การประเมินคณุ ภาพเชงิ เภสชั กรรมของยาที่ถกู แบ่งเม็ด : กรณีศกึ ษายาเมด็ วารฟ์ ารนิ โซเดยี ม 3 mg

เนตรชนก แพรกบรรเทงิ , ปิยะธดิ า บัวจนั ทร์, นฤบดี ผดงุ สมบัติ
ภาควิชาเภสัชเคมี, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

การศกึ ษาการแบ่งยาเม็ดวารฟ์ ารินโซเดียม 3 mg ด้วยวิธีหักดว้ ยมอื และตัดด้วยอุปกรณ์ เม่ือประเมินความ
ถูกต้องของการแบ่งคร่ึงเมด็ ดว้ ยการชั่งนา่้ หนกั พบวา่ “วธิ ีตดั ดว้ ยอุปกรณ์”ใหค้ วามคลาดเคลอื่ นไปจากเปา้ หมายและ
การสูญหายของนา่้ หนักน้อยกวา่ และเมอ่ื ประเมนิ เปรยี บเทียบคุณลกั ษณะทางเภสชั กรรมของยาเตม็ เมด็ และซีกเม็ด
ยาที่ตัดแบ่งด้วย อุปกรณ์ในหัวข้อ assay, content uniformity และ dissolution ตามข้อก่าหนดใน USP 37
พบว่า ยาเต็มเม็ดผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกหัวข้อ ในขณะท่ีซีกเม็ดยาตกมาตรฐานทุกหัวข้อ (เกณฑ์มาตรฐาน คือ มี
ปริมาณตัวยาส่าคญั ไมน่ ้อยกวา่ 95.0% และไม่มากกว่า 105.0% ของปรมิ าณทร่ี ะบบุ นฉลาก, AV (L1) =15 และค่า
Q ท่ีเวลา 30 นาทีต้องไม่น้อยกว่า 80% ของปริมาณที่ระบุบนฉลาก ตามล่าดับ) เม่ือศึกษา content uniformity
ของซีกยาเม็ดดังกล่าวเพ่ิมเติม ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่ามีความไม่สม่าเสมอมากข้ึนเมื่อเทียบกับยาเต็มเม็ด แต่ปริมาณ
ตัวยาส่าคัญในซีกเม็ดยาดังกลา่ วน้ีมีความสมั พันธ์เชิงเสน้ กับน่้าหนักซีกเม็ดยา ดังนั้นในกรณีน้ีอาจใช้น่้าหนักซีกเมด็
ยาในการคาดหมายความสม่าเสมอของตัวยาส่าคัญในแต่ละซีกเม็ดยาได้ ส่าหรับการประเมินเพื่อคาดหมาย
ประสิทธิผลของยาเม็ดด้วยการทดสอบการละลายของยาเต็มเม็ดกับซีกเม็ดยาในตัวกลางท่ีเป็นน้่า( USP37)พบว่ามี
ลักษณะคล้าย กัน แต่ซีกเม็ดยาจะมีค่าการละลายที่ต่ากว่าและแปรปรวนสูงกว่า สันนิษฐานว่าเกิดจากการสูญ
หายไปของช้ินส่วนเม็ดยาจากการตัดและความแปรปรวนของปริมาณตัวยาส่าคัญในแต่ละหน่วยท่ีสูงข้ึน และเม่ือ
ศกึ ษาความคงสภาพของซกี เม็ดยาโดยเกบ็ ซกี เม็ดยาไว้ในสภาวะควบคมุ (อุณหภมู ิ 30oC ± 5 oC ,ความชืน้ 75%RH)
และสภาวะเร่ง(อณุ หภมู ิ 40oC±5 oC ,ความชน้ื 75%RH) เมื่อสุ่มตรวจสอบตามระยะเวลาท่ีก่าหนดภายใน 4 สปั ดาห์
พบว่าท่สี ภาวะเร่ง ปริมาณตวั ยาสา่ คญั ไมล่ ดลง แสดงถงึ ความคงสภาพทางเคมขี องวารฟ์ ารินโซเดยี มในซกี ยาเม็ด แต่
การแตกกระจายตวั และการละลายของตัวยาสา่ คญั จากซีกเม็ดยาจะลดลงมาก สันนษิ ฐานวา่ กรณีนน้ี ่าจะเกดิ จากการ
เปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเมด็ ยาและตวั ยาสา่ คัญจากอุณหภูมิและความช้ืนสงู ซ่ึงควรศึกษาเพ่ือยืนยัน และควร
ศึกษาเพ่ิมเติมกับตวั อย่างยาเมด็ วาร์ฟารินโซเดียมอ่ืนต่อไป ท้ังนี้เพ่ือเป็นแนวทางในการประกนั ความปลอดภยั และ
ยืนยนั ประสทิ ธิผลให้กับผใู้ ช้ยาเร้ือรงั ทม่ี ดี ชั นีการรกั ษาแคบ

Corresponding author: Narubodee Phadoongsombut, E-mail: pnarubod@pharmacy.psu.ac.th ~ 24 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การศกึ ษาความคงสภาพของสโคโปเลตินในผลิตภัณฑข์ องเหลวสาหรบั รบั ประทานที่มสี ่วนผสมของผลยอ

พรวิภา มูสิการกั ษ,์ พิมพช์ นก ปะดุกะ, จตุ มิ า บุญเลี้ยง
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ยอ (Morinda citrifolia) ประกอบด้วยสารส่าคัญหลายชนิดท่ีมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา สารท่ีส่าคัญคือ
สโคโปเลติน ซ่ึงมีฤทธ์ิรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรยี และตา้ นอนุมลู อิสระ ปัจจุบันมีการน่าผลยอมา
ใช้เป็นผลิตภัณฑอ์ าหารเสริมสขุ ภาพอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามยังไมม่ กี ารศึกษาความคงสภาพของผลิตภัณฑ์ ซ่ึง
จ่าเป็นต่อการประกันคุณภาพ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาความคงสภาพทางเคมี โดยใช้ สโคโปเลติน เป็นสารเคร่ืองหมาย
(marker) เพื่อคาดประมาณวันหมดอายุเบ้ืองต้นของผลิตภัณฑ์ โดยท่าการศึกษาในผลิตภัณฑ์น้่าผลยอจ่านวน 2
ผลิตภัณฑ์ คือ น้่าผลยอตราเกาะยอและน้า่ ผลยอตราธันยา่ ผลิตภณั ฑ์ละ 3 รุ่นการผลติ โดยจะทา่ การศึกษาผลของ
อุณหภูมิและภาชนะบรรจุต่อความคงสภาพของสโคโปเลติน โดยเก็บผลิตภัณฑ์ในภาชนะปฐมภูมิ (ขวดแก้วสีเขียว
เข้มขนาด 750 mL) รวมท้ังบรรจุภัณฑ์ทุติยภูมิ (ขวดแก้วสีเขียวเข้มและบรรจุในกล่องกระดาษ) ใน stability
chamber ท่ีอุณหภูมิ 30°C ความช้ืนสัมพัทธ์ 75% และเก็บผลิตภัณฑ์ในภาชนะปฐมภูมิในตู้เย็น (11°C) ท่าการ
วิเคราะห์ปริมาณของสโคโปเลตินท่ีเวลาเร่ิมต้น, 1 สัปดาห์และทุก 2 สัปดาห์ โดยวิธี HPLC ที่ได้พัฒนาขึ้นและ
ประเมินความถูกต้องของวิธีวิเคราะห์แล้ว รวมทั้งวัด pH และสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ พบว่าท่ีเวลา 7
สัปดาห์ อุณหภูมิและบรรจุภัณฑ์ไม่มีผลต่อความคงสภาพของสโคโปเลติน โดยในผลิตภัณฑ์ตราเกาะยอ ปริมาณ
สโคโปเลตินเม่ือเก็บท่ี 30°C ในภาชนะปฐมภูมิ, ในภาชนะทุติยภูมิ และในตู้เย็น คงเหลือ (mean±SD, %)
96.55±1.76, 96.68±1.28 และ 97.43±0.65 ตามล่าดบั ส่าหรบั ในผลติ ภณั ฑต์ ราธันยา่ ปริมาณสโคโปเลตนิ เมือ่ เกบ็
ที่ 30°C ในภาชนะปฐมภูมิ, ในภาชนะทุติยภูมิ และในตู้เย็น คงเหลือ (mean±SD, %) 94.16±0.83, 94.54±0.61
และ 95.26±0.69 ตามล่าดับ โดยลักษณะทางกายภาพและ pH ของผลติ ภณั ฑไ์ มม่ ีการเปลย่ี นแปลงอยา่ งมนี ัยสา่ คญั
ผลิตภัณฑ์ตราเกาะยอทุกสภาวะของการเก็บ มี pH เฉลี่ย 3.00±0.16 ไม่แตกต่างจากท่ีเวลาเริ่มต้น (3.00±0.16)
pH ของผลิตภัณฑต์ ราธันย่าทุกสภาวะของการเก็บ มีค่าเฉลย่ี 4.09±0.05 ไม่แตกต่างจากท่ีเวลาเริ่มต้นเช่นเดียวกนั
(4.06±0.05)

Corresponding author : Jutima Boonleang, E-mail : jutima@pharmacy.psu.ac.th ~ 25 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การเพม่ิ การละลายของยาผสมโดยใช้ Polyvinylpyrrolidone (PVP)
ดว้ ยวธิ กี าร Solid dispersion

ชตุ ิมา แสงอารยะกุล, สุภิตา พศิ บญุ , กฤษณ์ สุขนันทร์ธะ
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

Solid dispersion เป็นเทคนิคหน่ึงที่ใช้ในการเพ่ิมการละลายของยาที่ละลายน้่าได้น้อยโดยการเปลย่ี นให้
ยาในรูป crystalline อยู่ในรูปของ amorphous ซ่ึงท่าให้มีค่าการละลายเพิ่มมากข้ึน ยา Cinnarizine (CNZ) และ
ยา Dimenhydrinate (DMH) (ค่าการละลายในน่้าของ CNZ= 0.75 mg/ml และ DMH = 3 mg/ml) เป็นยาใน
กล่มุ antihistamine ท่ีละลายน้่าได้น้อย แต่สามารถดูดซึมไดด้ ี จดั อยู่ใน BCS class II การเพิม่ การละลายของยาทงั้
สองชนิดโดยการเตรยี ม solid dispersion ด้วยวธิ ี rotary evaporation โดยใช้ polyvinylpyrrolidone (PVP) ซึ่ง
เป็น polymer ที่นิยมน่ามาใช้เตรียม solid dispersion จะสามารถเปลี่ยนยาที่อยู่ในรูป crystalline ให้อยู่ในรูป
amorphous ได้ ตัวอย่างของ solid dispersion ของยาร่วมกับ PVP ในอัตราส่วนต่างๆน่าศึกษาและประเมิน
คุณลักษณะด้วยเคร่ือง x-ray diffractometer, ศึกษาการละลายของยา (dissolution study) และศึกษาความคง
สภาพของ amorphous (physical stability) ท่ีเวลา 1, 3 และ 6 เดือน จากการศึกษาเบอื้ งตน้ พบว่าสดั สว่ นทเี่ กดิ
เป็น amorphous ของยาเดี่ยวและยาผสมรว่ มกับ PVP ได้แก่ CNZ กับ PVP ในอัตราส่วน 1:9, DMH กับ PVP ใน
อัตราส่วน 3:7, DMH กับ PVP ในอัตราส่วน 1:9, ยาผสมกับ PVP ในอัตราส่วน 3:7 และ ยาผสมกับ PVP ใน
อตั ราส่วน 1:9 นอกจากนีพ้ บว่าสารท่ีอยู่ในรปู amorphous มีคา่ การละลายนา่้ สงู กว่ายาเดี่ยว และมีความคงสภาพ
ของการเป็น amorphous เม่อื เกบ็ ที่อุณหภมู ิห้องเปน็ เวลามากกว่า 3 เดือน

Key words : Cinnarizine (CNZ), Dimenhydrinate (DMH), Polyvinylpyrrolidone (PVP),
Combination drug, Solid dispersion

Corresponding author : Krit Suknuntha, E-mail : krit.suk@psu.ac.th ~ 26 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การศกึ ษาและพฒั นาวธิ กี ารวิเคราะห์ของยาผสมเฉพาะคราวสาหรบั ป้องกันอาการไมพ่ งึ ประสงค์
ในผปู้ ่วยท่ีได้รบั ยารักษามะเร็ง

ธรี ะพัฒน์ ปรีชาเวชกุล, ศุภฤกษ์ วชริ วฒั นากาญจน,์ กฤษณ์ สขุ นันทร์ธะ
ภาควชิ าเภสชั เคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

การให้ยาเคมีบ่าบัดเพ่ือรักษาโรคมะเร็งนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการให้ยาหลายชนิดร่วมกัน เพื่อเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการรักษาและเพื่อลดภาวะดื้อยา ซ่ึงการให้เคมีบ่าบัดหลายชนิดร่วมกันนี้ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียง
หลายอย่างตามมา นอกจากน้ียาเคมีบ่าบัดแต่ละตัวยังท่าให้เกิดอาการข้างเคียงท่ีแตกต่างกันซ่ึงยาบางชนิดมี
ผลข้างเคียงท่ีจ่าเพาะหรือมีพิษสูงต่อบางระบบจึงมีความจ่าเป็นต้องให้การป้องกันก่อนการให้ยาเคมีบ่าบัด การ
เตรียมยาผสมเฉพาะคราวเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวได้มีการน่าเอายามาผสมเข้าด้วยกันเพ่ือความ
สะดวกในการบริหารยา และลดปริมาณสารน้่าที่ให้กับคนไข้ ซึ่งยาท่ีน่ามาผสมได้แก่ ยา Ondansetron,
Dexamethasone, Chlorpheniramine maleate (CPM) และ Ranitidine แต่เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความคงตัว
ของยาผสมท่าให้ผู้ท่าการวิจัยต้องการศึกษาและพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ยาผสมด้วยเทคนิค High performance
liquid chromatography (HPLC) โดยจะท่าการผสมยาตัวอย่างตามต่ารับ โดยมีความเข้มข้นสุดท้ายของยา
Ondansetron, Dexamethasone, CPM และ Ranitidine เท่ากบั 80 µg/ml, 200 µg/ml, 100 µg/ml และ 500
µg/ml ตามล่าดับ โดยผสมใน piggy bag ขนาด 100 ml จากผลการศึกษาพบว่าสภาวะท่ีใช้ในการศึกษาด้วย
เทคนิค HPLC สามารถวิเคราะห์แยกตวั ยาท้ัง 4 ชนดิ โดยใช้ mobile phase เป็น 0.02M monobasic potassium
phosphate pH 6.0 ผสมกับ Acetonitrile แบบ gradient elution โดยใหค้ ่า correlation coefficient (R2) ของ
ยา Ondansetron (10 - 160 µg/ml), Dexamethasone (12.5 – 200 µg/ml), CPM (25 – 400 µg/ml) และ
Ranitidine (15.63 – 250 µg/ml) เท่ากับ 0.99937, 0.99981, 0.99938 และ 0.99995 ตามล่าดับ นอกจากน้ี
ผู้วิจัยได้ท่าการศกึ ษาความคงตัวของยาเตรียมเฉพาะคราวที่ได้เก็บที่อณุ หภูมิ 2-8oC ความช้ืนสัมพัทธ์ ไม่เกิน 75%
ท่ีเวลา 7, 14 และ 28 วัน เพ่อื วิเคราะหห์ าปรมิ าณยาท่ีเหลืออยู่

Key words : Extemporaneous, Stability, Ondansetron, Dexamethasone, Chlorpheniramine
maleate, Ranitidine

Corresponding author : Krit Suknuntha, E-mail : krit.suk@psu.ac.th ~ 27 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

Preliminary screening for crystallization of Dirofilaria immitis
thymidylate synthase

Naruemol Nilwisut, Wasiporn Arakunakorn, Isika Nintanasak, Bhutorn Canyuk
Department of Pharmaceutical Chemistry, Faculty of Pharmaceutical Sciences,

Prince of Songkla University

Dirofilaria immitis is a parasitic nematode, causing dirofilariasis in companion pets and
human. Thymidylate synthase of D. immitis (dmTS) represents a potential drug target for
chemotherapeutics. Crystal structures of an enzyme target provide a crucial tool for structure-
based approach in designing of specific inhibitors. A limited set of conditions, modified from a
previous report, was tested in preliminary crystallization screening, using hanging drop vapor
diffusion method. Two positive conditions, although supported growth of needle-like and plate-
like crystals, was identified. These results provide a starting point for optimization in growing
suitable single crystals for future X-ray crystallographic analysis.

Corresponding author : Bhutorn Canyuk E-mail : bhutorn.c@psu.ac.th ~ 28 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การออกแบบ สังเคราะหแ์ ละพิสจู นเ์ อกลกั ษณเ์ ชิงโครงสรา้ งของ (8-methyl-2-pentyl-4H-[1,3]dioxino[4,5-
c]pyridin-5-yl)methanol esters และนามาประเมนิ ผลการยบั ยั้ง acetylcholinesterase

ณฐั พล จงึ เจริญสุข, ธนวฒั น์ อดลุ ยศักด,์ิ เฉลิมเกียรติ สงคราม
ภาควิชาเภสชั เคมี, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

จากการวิจัยกอ่ นหนา้ ซ่ึงมกี ารออกแบบและศึกษาแนวทางการสงั เคราห์อนุพนั ธ์ Six-membered ring
cyclic acetals ของ Pyridoxine โดยมแี นวคดิ วา่ Pyridoxine มโี ครงสร้างท่คี ลา้ ยกับ Pyridostigmine ซ่ึงเปน็ ยาที่
ใชร้ กั ษาโรคอัลไซเมอร์ ในงานวิจัยผ้วู จิ ยั ได้นา่ กลมุ่ สารอนุพันธ์ดงั กล่าวมาจ่านวน 7 สาร ทดสอบฤทธย์ิ บั ยั้ง
acetylcholinesterase enzyme ทค่ี วามเข้มข้น 0.125 µg/µl พบวา่ มฤี ทธด์ิ ังกล่าวอย่ใู นช่วง 6.0-40.5% และ สาร
A มฤี ทธิส์ ูงทส่ี ุดในกลมุ่ (40.5%) จากนั้นผวู้ ิจยั จงึ มแี นวคดิ ท่ีจะพัฒนาโครงสร้างโดยน่าสาร A ท่าปฏกิ ิรยิ ากบั Acetic
anhydride ไดเ้ ป็นสาร (8-methyl-2-pentyl-4H-[1,3]dioxino[4,5-c]pyridin-5-yl)methyl acetate (สาร I) และ
Benzoyl chloride ได้เป็นสาร (8-methyl-2-pentyl-4H-[1,3]dioxino[4,5-c]pyridin-5-yl)methyl benzoate
(สาร II) แลว้ นา่ ไปพสิ จู นเ์ อกลกั ษณ์ และทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวทิ ยาตอ่ ไป

O สาร A, R = H
O สาร I , R = OCH3
สาร II , R = OC6H5
RO
N

Corresponding author : Chalermkiat Songkram, E-mail: chalermkiat.s@psu.ac.th ~ 29 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การคัดเลือกไพรเมอร์ท่ีใชใ้ นการเพิม่ ปรมิ าณดีเอ็นเอจากจโี นมคิ ดีเอน็ เอของขา้ วไทยบางพันธุ์

ฑิตฐติ า หวดั สนิท, ปาลนิ ลิมปพ์ านิชกลุ และชเู กียรติ กอธนะกุล
ภาควิชาเภสชั เคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ในการตรวจหาการแปรผันทางพนั ธุกรรมของขา้ วไทย 3 พันธุ์ คอื ปทมุ ธานี สังขห์ ยดและไรซเ์ บอร์รี่ ด้วย
วิธี randomly amplified polymorphic DNA (RAPD) เร่ิมต้นสกัด genomic DNA ของข้าวทั้ง 3 พันธุ์เพื่อใช้ใน
กระบวนการ RAPD-PCR ดว้ ยวิธี CTAB หลังจากนัน้ คัดเลือก primer แบบสุม่ ความยาว 10 เบสจ่านวน 10 ชนิดกับ
genomic DNA ของข้าวท้ัง 3 พันธ์ุภายใต้ basic PCR conditions พบว่า มี primer เพียง 1 ชนิด ที่ให้แถบ DNA
ที่ชดั เจน คงท่ี และสามารถแยกความแตกตา่ งระหว่างข้าวทั้ง 3 พนั ธไุ์ ด้

Key words : ข้าวปทมุ ธานี ขา้ วสงั ขห์ ยด ขา้ วไรซ์เบอร์ร่ี จีโนมคิ ดีเอ็นเอ

Corresponding author : Chukiat Khotanakul, E-mail : chukiat.ko@psu.ac.th ~ 30 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

ผลของ RAPTA-EA1 ร่วมกับ olaparib ตอ่ การแสดงออกของยนี บอี ารซ์ เี อวนั ในเซลลม์ ะเร็งเต้านม

ชลติ า เจียมสุวรรณวตั , อดศิ ร รตั นพนั ธ์
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

การแสดงออกของยีนบีอาร์ซเี อวนั (BRCA1) มคี วามส่าคัญตอ่ การด่ารงชวี ิตของเซลล์ โดยเฉพาะหน้าท่ีใน
การซอ่ มแซมดีเอน็ เอท่ีไดร้ บั ความเสียหายจากปจั จัยต่างๆ เช่น รังสี สารเคมี และยาเคมบี า่ บัด เป็นตน้ หากเซลล์ไม่
สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ได้รับความเสียหายจากปัจจัยดังกล่าวย่อมส่งผลท่าให้เซลล์ตายในที่สุด ในปัจจุบันได้มี
รายงานการวิจัยเกี่ยวกับผลของสารต้านมะเร็งประเภทสารประกอบเชิงซ้อนโลหะรูเทเนียมต่อการมีชีวิตรอดของ
เซลล์มะเร็งเต้านม พบว่า [Ru(ethacrynic-η6-benzylamide)Cl2(PTA)] หรือ RAPTA-EA1 สามารถยับยั้งการ
เจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมที่ด้ือต่อยาซิสพลาติน รวมท้ังสามารถยับย้ังการแสดงออกของ BRCA1 mRNA
ของเซลล์ MCF-7 (มียนี บีอาร์ซีเอวนั ปกต)ิ แตใ่ นขณะเดยี วกนั RAPTA-EA1 กลับกระตุน้ การแสดงออกของ BRCA1
mRNA ของเซลล์ HCC1937 (มียีนบีอาร์ซีเอวันที่ผ่าเหล่า) ดังน้ันวัตถุประสงค์ของงานวิจัยชิ้นน้ีได้ศึกษาผลของ
RAPTA-EA1 ร่วมกับ olaparib (PARP inhibitor) ต่อการแสดงออกของ BRCA1 mRNA และ โปรตีนบีอาร์ซีเอวัน
ในเซลล์มะเร็งเต้านมเพาะเลี้ยง 3 ชนิดคือ MCF7, MDA-MB-231 (มียีนบีอาร์ซีเอวันปกติ) และ HCC1937 โดยใช้
เทคนคิ real time RT-PCR และ Western blot ตามล่าดับ พบวา่ RAPTA-EA1 ร่วมกับ olaparib สามารถกระตนุ้
การแสดงออกของ BRCA1 mRNA ในเซลล์มะเรง็ เต้านมเพาะเลี้ยงทั้งสามชนิดเม่อื เทียบกับกลมุ่ ควบคุม นอกจากน้ี
olaparib อย่างเดียวสามารถกระตุ้นการแสดงออกของ BRCA1 mRNA ใน MCF7 และ HCC1937 แต่กลับยับยั้ง
การแสดงออกของ BRCA1 mRNA ใน MDA-MB-231 ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั RAPTA-EA1 ร่วมกบั olaparib หรือ olaparib
อยา่ งเดียวสามารถกระตุ้นการแสดงออกของโปรตนี บีอาร์ซเี อวันใน MDA-MB-231 แตก่ ลับยับยงั้ การแสดงออกของ
โปรตีนบีอาร์ซีเอวันใน MCF7 ส่าหรับผลของ RAPTA-EA1 ร่วมกับ olaparib หรือ olaparib อย่างเดียวต่อ
การศึกษาการแสดงออกของยีนบอี ารซ์ ีเอวันใน HCC1937 ยังอยู่ในระหว่างการทดลองและแปลผล และคาดวา่ ผล
การศึกษาในครั้งนี้น่าจะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนายาประเภทสารประกอบเชิงซ้อนรูเทเนียมสา่ หรับการรักษา
โรคมะเร็งเตา้ นมต่อไปในอนาคต

Corresponding author : Adisorn Ratanaphan, E-mail : adisorn.r@psu.ac.th ~ 31 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

ผลของสารประกอบเชิงซอ้ นทองคา(III) ตอ่ การซอ่ มแซมดีเอ็นเอและ
การแสดงออกของโปรตีนบอี ารซ์ ีเอวันในเซลลม์ ะเรง็ เตา้ นมเพาะเลยี้ ง

จติ รา พรพทุ ธานนท,์ อดศิ ร รัตนพนั ธ์
ภาควชิ าเภสชั เคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ยีนบีอาร์ซีเอวัน เปน็ ยนี กดการเกดิ มะเร็งชนดิ หน่ึง ซง่ึ มหี น้าท่สี ่าคัญในการซ่อมแซมดีเอ็นเอทีเ่ สียหายของ
เซลล์ จากรายงานการศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าผปู้ ่วยมะเร็งเต้านมหรือเซลล์มะเรง็ เต้านมเพาะเลีย้ งที่มยี ีนบอี าร์ซี
เอวันบกพรอ่ ง มคี วามไวต่อยาต้านมะเรง็ ประเภทสารประกอบเชิงซ้อนโลหะพลาตินัม เชน่ ซสิ พลาติน และคารโ์ บพ
ลาติน เป็นต้น ดังนัน้ การเหนย่ี วน่าใหย้ ีนบอี ารซ์ ีเอวันได้รบั ความเสยี หายน่าจะเปน็ เปา้ หมายของการรกั ษามะเรง็ เตา้
นม โดยปัจจุบันมีการน่ายาซิสพลาตินมาใช้ในการรักษามะเร็งเต้านม แต่พบว่ามีการด้ือยาและผลข้างเคียงร้ายแรง
มากมาย ผู้วิจัยจึงมีความสนใจสารประกอบเชิงซ้อนโลหะอ่ืนๆท่ีอาจน่ามาประยุกต์ใช้ในการรกั ษาโรคมะเร็งเต้านม
สารประกอบเชิงซ้อนโลหะทองค่า(III) เปน็ สารประกอบเชงิ ซ้อนท่ไี ดร้ บั การพัฒนาเปน็ ยาตา้ นมะเรง็ เนือ่ งจากสามารถ
ยบั ยั้งเซลล์มะเร็งไดห้ ลายชนดิ ไดม้ ีรายงานการศึกษาวิจยั กอ่ นหนา้ นเี้ ก่ยี วกบั ผลของสารประกอบเชิงซอ้ นทองค่า(III)
ตอ่ การอยรู่ อดของเซลล์มะเร็งเต้านมพบวา่ [Au(terpy)Cl]Cl2 และ [Au(phen)Cl2]Cl สามารถยบั ยัง้ การเจริญเตบิ โต
ของเซลล์มะเร็งเต้านมที่มียีนบีอาร์ซีเอวันท่ีปกติ (MCF-7) และที่ผ่าเหล่า (HCC1937) อย่างไรก็ตามกลไกการออก
ฤทธิ์ของสารประกอบเชิงซ้อนทองค่า(III) ดังกล่าวยังไม่ทราบแน่ชัด ดังน้ันงานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาการซ่อมแซม
ความเสยี หายของยีนบีอารซ์ เี อวนั และการแสดงออกของโปรตีนบอี าร์ซีเอวนั ในเซลล์มะเร็งทั้งสองชนดิ ทีถ่ ูกเหนียวนา่
ด้วยสารประกอบเชิงซ้อนทองค่า(III) ท้ังสองชนิด ผู้วิจัยได้ท่าการทดลองบ่มเซลล์มะเร็งเต้านมทั้งสองชนิดด้วย
[Au(terpy)Cl]Cl2 และ[Au(phen)Cl2]Cl และติดตามการสังเคราะห์ดีเอ็นเอในส่วนของ BRCA1 gene exon11
(ขนาด 3,420 คู่เบส) ของเซลล์มะเร็งเต้านมเพาะเลยี้ งทั้งสองชนิด ณ เวลาต่างๆ และตรวจสอบการแสดงออกของ
โปรตีนบีอาร์ซีเอวันในเซลล์ท้ังสองด้วยเทคนิค Western blot จากผลการทดลองพบว่า MCF-7 และ HCC1937
สามารถซ่อมแซมความเสียหายท่ีเกิดข้ึนกับยีนบีอาร์ซีวันอันเนื่องมาจากการเหนี่ยวน่าของ [Au(phen)Cl2]Cl ได้
ดีกว่า [Au(terpy)Cl]Cl2ในขณะเดียวกันสารประกอบเชิงซ้อนทองค่า (III) ท้ังสองชนิดสามารถยับยั้งการแสดงออก
ของโปรตีนบีอาร์ซีเอวันใน MCF-7 เม่ือเทียบกับ untreated cell อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ยังขาดการศึกษาการ
แสดงออกของโปรตีนบีอาร์ซีเอวันในเซลล์ HCC1937 ท่ีถูกเหนี่ยวน่าด้วย [Au(terpy)Cl]Cl2 และ[Au(phen)Cl2]Cl
ซึ่งผู้วิจัยจ่าเป็นต้องท่าการศึกษาต่อไป จากผลการศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางในการพัฒนายา
ตา้ นมะเร็งชนดิ ที่เปน็ สารประกอบเชงิ ซอ้ นโลหะทองค่า(III) ในอนาคต

Corresponding author : Adisorn Ratanaphan, E-mail : adisorn.r@psu.ac.th ~ 32 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

ศกึ ษาประสทิ ธภิ าพและการปลดปล่อยของยา Thalidomide เพือ่ ลดการอักเสบของหลอดเลอื ด
จากการใส่ Stent ดว้ ยการศกึ ษานอกกาย (in vitro)

ขวญั ชเนตติ์ ครองนชุ , นภคั เดน่ ยกุ ต,์ รงุ่ นภา ศรีชนะ
ภาควชิ าเภสัชเคมี, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

Endovascular Stent เป็นท่อขดลวดค้่ายันที่ถูกใส่ไว้ในหลอดเลือดที่มีการตีบตัน ซึ่งหลังจากใส่ขดลวด

ผนังหลอดเลือดจะเกิดบาดแผลและมีการกระตุ้น Cytokines ท่าให้เกิดการแบ่งเซลล์ของผนังหลอดเลือด จนเกิด

การกลับตีบซ่้า (restenosis) ปัจจุบันนี้ stent ท่ีมีวางขายอยู่ในท้องตลาด ส่วนใหญ่ตัวยาที่มักน่ามาใช้จะเป็นยาก

ลุ่ม anti-proliferation ผู้วิจัยมีความสนใจยาที่มีฤทธ์ิ anti-inflammatory และ anti-angiogenesis จึงเลือกใช้

ยา Thalidomide ในการเตรียม drug-eluting stent โดยใช้ polymer เป็นตัวยึดเกาะบนพ้ืนผิวของ stent และ

เปน็ ตวั ควบคุมการปลดปล่อยตัวยา Thalidomide ได้ท่าการสงั เคราะห์และพฒั นา polymer ทใี่ ชเ้ คลือบ stent

ขึ้นมาท้ังหมด 2 สูตร คือ สูตรท่ี 1 ประกอบด้วย N-vinylpyrrolidone (NVP), methacrylate (MAA),

trimethylolpropane trimethacrylate (TRIM) และ ethylene glycol dimethacrylate (EDMA) และสูตรท่ี 2

ประกอบด้วย acrylamide (ACM), TRIM และ EDMA เป็นตัวเช่ือมโยง (crosslinker) โดยทั้ง 2 สูตร จะใช้

azobisbutyronitrile (AIBN) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (initiator) จากการทดสอบความแข็งแรงในการยึดเกาะของ

polymer บนพื้นผิวกระจกดว้ ยวธิ ี adhesive duration พบว่าสูตรท่ี 1 มีการยึดเกาะได้ดกี ว่า จากนั้นศึกษาผลของ

AIBN ในขั้นตอนการสังเคราะห์ของสูตรที่ 1 ท่ีเติม AIBN 5 และ 12 mg แล้วทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น

น้่าหนัก ความหนาและลักษณะพ้ืนผิวของ stent หลังเคลือบด้วยเครื่อง SEM และทดสอบคุณสมบัติทางชีวภาพ

เก่ียวกับฤทธิ์ anti-inflammatory เช่น ยับย้ังการหลั่ง TNF-α, Nitric oxide (NO), Interleukine (IL) ในเซลล์

Macrophage เป็นระยะเวลา 28 วัน ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ากระบวนการสังเคราะห์และเคลือบ polymer

กับ ยา thalidomide ด้วยวิธีการจุ่มเคลือบหลายชั้น พบว่าน้่าหนักและความหนาเพ่ิมขึ้นตามสัดส่วนของจ่านวน

ชัน้ ในการเคลือบ โดยลักษณะพนื้ ผวิ ที่เคลือบ ไมพ่ บรอยแตก ตดิ แน่น และสามารถเคลอื บไดค้ รอบคลุมสม่าเสมอท่ัว

ท้ัง stent สว่ นการศึกษาทางชวี ภาพของ stent แสดงผลดงั ตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1 ผลการยับยงั้ Cytokine ชนดิ ตา่ งๆ เช่น TNF-α, NO และ IL

Sample TNF-α NO IL
23-37 % 53-68 % 84-95 %
สตู รที่ 1 AIBN 5 mg
เคลอื บ 5 ชน้ั 29-41 % 63-73 % 85-94 %
สูตรที่ 1 AIBN 12 mg
เคลอื บ 5 ช้ัน

พบว่าสูตรที่ 1 AIBN 12 mg มีความสามารถในการยับย้ัง Cytokine ใกล้เคียงกับสูตรท่ี 1 AIBN 5 mg และ
สารละลาย Thalidomide แตม่ ีความแข็งแรงในการยึดเกาะบนพืน้ ผิวstent ได้ดีกว่า

Corresponding author : Roongnapa Srichana, E-mail : roongnapa.s@psu.ac.th ~ 33 ~

การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การพฒั นาผลติ ภัณฑ์บารงุ เสน้ ผมจากกากนา้ ตาล

วรภณ เรืองวทิ ยาวงศ์, วารนิ ทิพย์ ประพาฬรตั น์ และ ขวญั จติ อึง๊ โพธิ์
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

กากน้่าตาลเป็นวัสดุเศษเหลือจากโรงงานน่้าตาล ซ่ึงยังอุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุ เช่น เหล็ก,
แมงกานสี , แมกนีเซยี ม, คอปเปอร์, แคลเซยี ม, โพแทสเซยี ม, สงั กะสี, ซีลเี นียม และ วิตามนิ บี 3, บี 5, บี 6 เปน็ ต้น
จงึ สามารถน่ามาพัฒนาเปน็ ผลติ ภัณฑบ์ า่ รุงเสน้ ผมเพ่ือการเจริญของเสน้ ผมและลดปญั หาผมหงอก ในการศึกษานี้ ได้
มีการพัฒนาต่ารับครีมหมักผมในรูปแบบอิมัลชันชนิดน้่ามันในน้่า (oil-in-water emulsions) เพื่อใช้เฉพาะที่
ซ่ึงประกอบด้วยสารส่าคัญหลายชนิด ได้แก่ น้่ามันขิง น่้ามันร่าข้าว และน่้ามันมะพร้าวในวัฏภาคน้่ามัน และในวัฏ
ภาคน่้า ประกอบด้วย กากนา่้ ตาล คอลลาเจนชนดิ ไฮโดรไลเซท วิตามนิ บี 5 และวิตามินซี การประเมินความเป็นพิษ
ของกากน่้าตาลต่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (L-929) โดยใช้วิธี MTT assay พบว่า กากน่้าตาลไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์
แต่กลับส่งเสริมให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพ่ิมจ่านวนได้มากข้ึน และต่ารับครีมหมักผมท่ีเตรียมได้ มีคุณสมบัติทาง
กายภาพที่เหมาะสม สะดวกต่อการใช้งาน และล้างออกได้ง่าย นอกจากน้ียังมีความคงตัวทางกายภาพที่ดีท้ังใน
อุณหภูมิห้องและอุณหภูมิที่สภาวะเร่ง เมื่อศึกษาประสิทธิภาพต่อเส้นผมภายนอกร่างกาย (in vitro) ด้วยภาพถ่าย
ภายใต้กลอ้ งจุลทรรศน์อเิ ลก็ ตรอนชนิดสอ่ งกราด แสดงให้เหน็ ว่า ครีมหมักผมจากกากน้่าตาลมีประสทิ ธิภาพในการ
บ่ารงุ เสน้ ผม และยงั เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผมเมือ่ วิเคราะห์ด้วยเครือ่ งมอื texture analyzer ดงั น้ัน ครีมหมักผม
ท่มี กี ากน่้าตาลเปน็ สว่ นประกอบ จงึ สามารถใชเ้ ป็นทางเลือกในการบ่ารุงเสน้ ผม

Corresponding author : Kwunchit Oungbho, E-mail : kwunchit.o@psu.ac.th ~ 34 ~

การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558

การตรวจหาปริมาณสารเจือปนในวัตถุดิบทางเภสัชกรรมดว้ ยวิธี differential scanning calorimetry

ภรู พิ งษ์ นิตไิ ชย, สันติสขุ ศรบี างรกั , ดารงศกั ดิ์ ฟ้ารงุ่ สาง
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

การอบเป็นขั้นตอนท่ีสา่ คญั ขน้ั ตอนหนึง่ ในการเตรียมแกรนูลแบบเปียก (wet granulation) เนื่องจากใน
ขนั้ ตอนน้มี กี ารใชค้ วามร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง จงึ อาจส่งผลตอ่ การสลายตวั ของยา โดยการท่จี ะตรวจสอบว่าอณุ หภูมิที่
ใช้ในการอบแกรนูลส่งผลต่อการสลายตัวของยา Ibuprofen หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้โดยการหาความบริสทุ ธิ์
ของตัวยา ซึ่งถ้าเกิดการสลายตัวจะท่าให้ค่าความบริสทุ ธ์ิลดลง เนื่องจาก Ibuprofen ถูกเจือปนด้วยสารที่สลายตัว
จากตวั ยาเอง โดยการตรวจสอบความบรสิ ทุ ธ์ สามารถวิเคราะห์ด้วยวิธี differential scanning calorimetry (DSC)
ซง่ึ เปน็ เทคนคิ การวเิ คราะห์เชงิ ความร้อนรูปแบบหนึ่งทีน่ ยิ มน่ามาใช้ศกึ ษาความบรสิ ทุ ธิ์ของตัวยา โดยอาศยั หลกั การ
ที่ว่าถ้ามีสารเจือปน (impurity) ผสมอยู่กับสารบริสุทธ์จะท่าให้พฤติกรรมเชิงความร้อนเปล่ียนแปลงไป ท่าการ
ทดลองโดยเตรยี มแกรนูลแบบเปียกของสตู รยา Ibuprofen เด่ียว โดยใช้น้่าเปน็ สารช่วยท่าแกรนูล จากนั้นน่าแกรนู
ลไปอบท่ีอุณหภูมิ 55, 65, 70 และ 75°C แล้วน่าไปวัดด้วยเครื่อง DSC ด้วยอัตราการให้ความร้อน 1, 20 และ
300°C/min และวิเคราะห์ด้วย HPLC เพ่ือยืนยันความถูกต้องของเทคนิค DSC จากการทดลองพบว่า เม่ือใช้
อุณหภูมิในการอบแกรนูลสูงข้ึน จะท่าให้ onset ของพีคของการหลอมเหลวลดลงไปยังอุณภมู ทิ ี่ต่ากว่า และเมื่อนา่
ขอ้ มลู ทไี่ ด้จาก DSC มาคา่ นวณความบรสิ ุทธิ์โดยใช้สมการของ Van’t hoff ซ่ึงคา่ นวณผา่ นซอฟแวร์ของ DSC จะได้
ร้อยละของความบริสุทธิ์ของยา ibuprofen จากน้ันจึงยืนยันความถูกต้องของเทคนิค DSC ด้วยเทคนิค HPLC
พบว่าร้อยละของ Ibuprofen ท่ีเหลืออยู่หลังจากการอบแกรนลู จะลดลงไปตามอุณหภูมิของการอบที่เพิ่มข้ึน และ
พบพีคอื่นท่ีนอกเหนือจากพคี ของ ibuprofen ซ่ึงคาดวา่ จะเปน็ สารทเี่ กดิ จากการสลายตัวด้วยความรอ้ น จากร้อยละ
ของความบริสุทธ์ท่ีหาได้จากสองวิธีดังกล่าวข้างต้น พบว่าให้ผลท่ีสอดคล้องกัน แต่อาจจะมีข้อจ่ากัดอยู่ท่ีว่า
สารเจือปนที่ถูกตรวจวัดได้ด้วยเทคนิค DSC จะต้องละลายได้ในวัฏภาคหลอมเหลว ท่าให้ไม่สามารถตรวจสอบ
สารเจือปนไดท้ กุ ชนดิ ซงึ่ แตกตา่ งจากเทคนิค HPLC

Corresponding author : Damrongsak Faroongsarng, E-mail : damrongsak.f@psu.ac.th ~ 35 ~

การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การประเมินประสทิ ธภิ าพในการไล่ยงุ ของโลชนั น้ามนั หญา้ แฝกและโลชนั นา้ มันตะไคร้หอมท่เี ตรยี มโดยใช้
Simulgel FL® เปน็ สารทาอมิ ัลชนั

พรยมล แซจ่ ุ่ง, สมฤดี เพ็งมาก, ดวงแข มณนี วล, นฏั ฐา แก้วนพรตั น,์ ศรณั ยู สงเคราะห์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ปจั จบุ ันมีการใชน้ า่้ มนั หอมระเหยจากพืชหลากหลายชนิด เชน่ นา้่ มนั หญา้ แฝกและน่้ามันตะไครห้ อม เพอ่ื
ใชใ้ นการไล่ยงุ อยา่ งไรกต็ ามนา้่ มันหอมระเหยมีสมบัติระเหยไดง้ า่ ย การเตรียมต่ารับผา่ นกระบวนการทใี่ ช้ความร้อน
อาจท่าให้สูญเสียน้่ามันหอมระเหยและลดประสิทธิภาพในการไล่ยุง การวิจัยน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือเตรียมต่ารับ
โลชัน (o/w) ของน้่ามันหญ้าแฝก, น่้ามันตะไคร้หอม และของผสมของน้่ามันหญ้าแฝกกับน่้ามันตะไคร้หอม (1: 1
โดยน้่าหนัก) ท่ีความเข้มข้น 10 %w/w ด้วยวิธีที่ไม่ใช้ความร้อน (cold process) โดยเลือกใช้ Simulgel FL® ซึ่ง
เป็นสารท่าอิมลั ชันที่เหมาะสมกับกระบวนการน้ี ในการศึกษาครง้ั น้ีใช้ความเข้มข้นของสารทา่ อิมัลชัน คือ 1, 2 และ
3% w/w การทดสอบการระเหยของน่้ามนั หอมระเหย โดยใช้เครื่องวิเคราะห์ความช้ืนที่อุณหภูมิ 70 และ 120 C
พบว่าน่้ามันหญ้าแฝกมีการระเหยต่าสุดเม่ือเทียบกับ น้่ามันตะไคร้หอม และของผสมของน้่ามันหญ้าแฝกกับน่้ามัน
ตะไคร้หอม เน่ืองจากน้่ามันหญ้าแฝกมีคุณสมบัติเป็นสารช่วยตรึง (fixative) น่าต่ารับโลชันท่ีเตรียมข้ึนจากน้่ามัน
หอมระเหยมาทดสอบสมบัติทางเคมีกายภาพ เช่น ลักษณะภายนอก, pH และ ความหนืด และทดสอบความคง
สภาพโดยผ่าน Freeze thaw cycle และเก็บต่ารับไว้ที่อุณหภูมิโดยรอบ (ambient temperatures) เป็นเวลา 2
เดือน น่าต่ารับโลชันที่มีลักษณะทางเคมีกายภาพท่ีเหมาะสมและมีความคงสภาพมาศึกษาการปลดปล่อยนอกกาย
ของน่้ามันหอมระเหย โดยใช้ modified Franz diffusion cell และ เมมเบรนสังเคราะห์ พบว่า ต่ารับโลชันน่้ามัน
ตะไคร้หอมมีอัตราการปลดปลอ่ ย (release rates) ของสารส่าคัญสงู กว่าต่ารบั โลชนั น้่ามนั หญา้ แฝกอยา่ งมีนัยสา่ คญั
ทางสถิติ (p < 0.05) เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) โดยวิธี Human-bait พบว่า
ต่ารับส่วนใหญ่ท่ีประกอบด้วยน่้ามันหญ้าแฝกหรือน่้ามันตะไคร้หอมเพียงชนิดเดียว มีระยะเวลาป้องกันยุงกัด
(protection time) น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ส่วนต่ารับท่ีประกอบด้วยของผสมของน่้ามันหอมระเหยทั้งสองชนิดและมี
xanthan gum 1%w/w เพ่ือเพิ่มความหนืดของตา่ รบั มปี ระสิทธภิ าพการไลย่ งุ สงู ทส่ี ดุ คือ 3.5 ชวั่ โมง ซงึ่ มากกวา่ 2
ช่วั โมงทเี่ ปน็ เกณฑก์ ารทดสอบ

Corresponding author : Sarunyoo Songkro, E-mail: sarunyoo.s@psu.ac.th ~ 36 ~

การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558

การศกึ ษาการละลายและสมบัตทิ างเคมีกายภาพของสารเชงิ ซอ้ น
4-n-butylresorcinol และ cyclodextrins

ปญั ญาวิทย์ ใจสมุทร, ยุวรชั ช์ คงเจรญิ , นัฏฐา แก้วนพรตั น์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

4-n-butylresorcinol ใชเ้ ปน็ whitening agent เนอื่ งจากมฤี ทธยิ์ ับยงั้ เอนไซม์ไทโรซเิ นส 4-n-butylre-
sorcinol ละลายน่้าได้น้อย จึงเป็นข้อจ่ากัดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 4-n-butylresorcinol ให้อยู่ในรูปไฮโดรเจลซงึ่
ใชน้ ่้าเปน็ ตวั ทา่ ละลาย งานวจิ ัยน้ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ เพม่ิ การละลายของ 4-n-butylresorcinol และการพัฒนาผลิต-
ภัณฑ์ 4-n-butylresorcinol ในรูปไฮโดรเจล ซ่ึงการเพ่ิมการละลายของ 4-n-butylresorcinol ในน้่า ท่าโดยการ
เตรียม 4-n-butylresorcinol ให้อย่ใู นรูป inclusion complex กับ cyclodextrins โดยใช้ cyclodextrins 4 ชนิด
คือ α-cyclodextrin, -cyclodextrin, -cyclodextrin และ hydroxypropyl--cyclodextrin (HPCD) จาก
การศึกษาค่าการละลายของ 4-n-butylresorcinol ใน cyclodextrins พบว่า HPCD เพ่ิมการละลายของ 4-n-
butylresorcinol ได้ดีกว่า cyclodextrins อื่นๆ คณะผู้วิจัยจึงไดเ้ ตรยี มสารเชิงซ้อนระหวา่ ง 4-n-butylresorcinol
และ HPCD (ในอัตราส่วน 1:1 โดยโมล) โดยวิธี kneading, co-evaporation, freeze drying และ physical
mixing จากการศึกษาการละลายในน้่าของสารเชิงซ้อนท่ีเตรียมได้โดยวิธีต่างๆ พบวา่ ค่าการละลายของ 4-n-
butylresorcinol ท่ีได้จากการเตรียมสารเชิงซ้อนทุกวิธีมีค่าเพ่ิมขึ้น เมื่อน่าสารเชิงซ้อนมาศึกษาสมบัติทางเคมี
กายภาพ โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงรปู ผลกึ โดยใชว้ ิธี X-ray diffractometry และศกึ ษาการเกดิ อนั ตรกริ ยิ าระหวา่ ง
4-n-butylresorcinol กับ HPCD โดยวิธี FTIR spectroscopy จากผลการศึกษาพบว่า 4-n-butylresorcinol ท่ี
ไม่ได้เตรียมในรูปสารเชิงซ้อนอยู่ในรูป crystalline form ขณะท่ี 4-n-butylresorcinol ที่เตรียมในรูปสารเชิงซ้อน
อยู่ในรปู amorphous form และพบว่าเกดิ พันธะไฮโดรเจนระหวา่ ง 4-n-butylresorcinol กับ HPCD ซึง่ สง่ ผลให้
4-n-butylresorcinol มคี า่ การละลายในน้า่ เพ่ิมข้นึ เมอ่ื นา่ สารเชิงซ้อนทเี่ ตรยี มโดยวิธี kneading มาเตรยี มผลติ -
ภัณฑ์ในรูปไฮโดรเจลโดยใช้ carbomer เป็นสารก่อเจล พบว่าไฮโดรเจลที่ได้มีลักษณะใส ไม่เหนียวเหนอะหนะ
กระจายตัวบนผิวหนังได้ดี มี pH ประมาณ 5.2 มีลักษณะการไหลแบบ shear thinning นอกจากน้ีได้ท่าการศกึ ษา
ความคงตวั ทางกายภาพของไฮโดรเจลที่เตรยี มได้ โดยวิธี freeze-thaw cycling พบว่าผลติ ภณั ฑ์มคี วามคงตัว ส่วน
การเก็บผลติ ภณั ฑไ์ วท้ ี่อณุ หภมู หิ ้อง, 45 oC และ 8 oC เปน็ เวลา 3 เดือน ยงั อยู่ระหว่างรอผลการศกึ ษาความคงตัว

Corresponding author : Nattha Kaewnopparat, E-mail : nuttha.s@psu.ac.th ~ 37 ~


Click to View FlipBook Version