การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
เพลเลตลอยนา้ ของเชอ้ื Bacillus subtilis สาหรบั รกั ษาโรคตดิ เชือ้ แบคทเี รียในปลา
กญั ญช์ ิตา ลลี าบูรณพงศ,์ กง่ิ รดา ชูพูล, เสนห่ ์ แก้วนพรัตน์
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
โปรไบโอติก (probiotics) เป็นเช้ือจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เมื่อน่าเข้าสู่ร่างกายของคนหรือสัตว์ที่เป็นเจ้าบ้าน
(host) ในปริมาณท่ีเหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์ตอ่ ร่างกายหลายด้าน เช่น ช่วยเสริมภมู ติ ้านทาน ช่วยยับยั้งเชื้อ
กอ่ โรค หรอื ในกรณขี องสัตวน์ ้า่ เช้ือโปรไบโอติกยังช่วยปรับปรุงคณุ ภาพของน่้าได้อีกด้วย เชื้อ Bacillus subtilis ซึ่ง
แยกได้จากปลาน้่าจืด และคาดว่าจะเป็นเช้ือโปรไบโอติกที่ดีส่าหรับปลาและสัตว์น่้า ในการศึกษาครั้งน้ีได้ท่าการ
ทดสอบฤทธ์กิ ารยับย้ังเชื้อก่อโรคของปลา และเตรียมต่ารบั อาหารปลาทเ่ี ป็นเพลเลตลอยน้่าซง่ึ บรรจุเอนโดสปอร์ของ
เชื้อ B. subtilis เพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาโรคติดเช้ือในปลาที่เกิดจากเช้ือ Streptococcus agalactiae จาก
การศึกษาพบว่า เม่ือน่าเชื้อ B. subtilis มาเล้ียงในอาหาร brain heart infusion broth และน่าน่้าเลี้ยงเช้ือมา
ทดสอบฤทธิ์การยับย้ังเชื้อ S. agalactiae ด้วยวิธี cylinder plate method พบว่าเช้ือ B. subtilis สามารถสร้าง
สารยับยั้งเชื้อก่อโรคได้ดีโดยมี inhibition zone ประมาณ 23 มิลลิเมตร ได้ท่าการเตรียมอาหารของปลาเป็นเพล
เลตและใส่เอนโดสปอร์ของเช้ือ B. subtilis ลงในสูตรต่ารับจ่านวน 108 CFU ต่อกรัม เมื่อท่าการประเมินสมบัติ
ทางกายภาพของเพลเลตที่ไดพ้ บว่า เพลเลตมีลักษณะกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร สามารถ
ลอยนา่้ ไดเ้ ปน็ เวลาไม่นอ้ ยกว่า 30 นาที จากผลการศกึ ษาทีไ่ ดน้ ี้คาดว่า เพลเลตลอยน่า้ ซึง่ บรรจุเอนโดสปอร์ของเชื้อ
B. subtilis จะสามารถนา่ ไปใช้ในการรกั ษาโรคตดิ เชือ้ S. agalactiae ในปลาน้่าจดื หรือสัตวน์ ้า่ จดื ได้
Corresponding author : Sanae Kaewnopparat, E-mail : [email protected] ~ 38 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การพัฒนาสูตรตารบั ยาเมด็ คลอร์เฟนิรามีน มาลเี อทชนดิ แตกตวั เรว็ ในช่องปาก
พิชญา เสนาสวสั ดิ์, ภสั สร เอ้ือสถติ วงศ,์ นิมิตร วรกลุ
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
ยาเม็ดชนิดแตกตัวเร็วในช่องปาก (Orally Disintegrating Tablets: ODTs) เป็นยาเม็ดที่วางบนลิ้นแล้ว
สามารถแตกตัวอย่างรวดเร็วในช่องปากโดยไม่ต้องเค้ยี วภายใน 3 นาที ในการศึกษาคร้ังนีม้ ีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนา
สูตรตา่ รับยาเม็ดคลอร์เฟนิรามีน มาลีเอทความแรง 4 มิลลิกรัม ในรูปแบบยาเมด็ ชนิดแตกตัวเร็วในช่องปาก เพ่ือใช้
ในผู้ป่วยท่ีมีปัญหาในการกลืน เช่น เด็ก คนชรา ผู้ป่วยติดเตยี ง ผู้ป่วยโรคจิตเวท เป็นต้น และผู้ป่วยท่ีไม่สามารถหา
น่้าดื่มได้ เตรียมโดยวิธีการตอกตรง ใช้เวลาในการแตกตัวของเม็ดยาในการพิจารณาเป็นหลัก ศึกษาผลจากการ
ปรับเปลี่ยนชนิดและปริมาณของสารช่วยแตกตัว ได้แก่ Crosspovidone (Kollidon®CL), Crosscarmellose
sodium (Ac-Di-SolTM) และ Sodium starch glycolate (Explotab®) ท่ีปริมาณแตกต่างกันคือ 5 และ 10
มิลลิกรัม ต่อเม็ดยาขนาด 110 และ 115 มิลลิกรัม ตามล่าดับ จากน้ันน่ามาประเมินคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ
ไดแ้ ก่ ความหนา ความแขง็ ความกร่อน เวลาท่ที า่ ให้เม็ดยาเปียก เวลาในการแตกตวั ของเมด็ ยา ปริมาณตวั ยาสา่ คญั
และลักษณะการปลดปล่อยตัวยาส่าคัญในช่วงเวลาหนึ่ง ผลการทดลองพบว่า สูตรต่ารับท่ีใช้ Crosspovidone
(Kollidon®CL) มีคุณสมบัติทางเคมีกายภาพท่ีเหมาะสม และเม่ือเรียงล่าดับเวลาในการแตกตัวของเม็ดยา สูตร
ต่ารับท่ีใช้ Crosspovidone (Kollidon®CL), Crosscarmellose sodium (Ac-Di-SolTM) และ Sodium starch
glycolate (Explotab®) มีเวลาในการแตกตวั เร็วท่ีสดุ ไปช้าทสี่ ดุ ตามลา่ ดบั จึงไดน้ ่าสตู รตา่ รบั ท่ีมี Crosspovidone
มาพัฒนาต่อโดยปรับเปลี่ยนปริมาณให้อยู่ในช่วง 5- 20 มิลลิกรัมและใช้แรงตอกให้เม็ดยามีความแข็งประมาณ 5
และ 7 กิโลกรัม พบว่าการเพ่ิมปริมาณ Crosspovidone (Kollidon®CL) ท่าให้เม็ดยาแตกตัวได้เร็วขึน้ แต่การเพ่ิม
แรงตอกท่าให้เม็ดยาแตกตัวช้าลง อย่างไรก็ตามพบว่า ทุกสูตรต่ารับที่ได้จากการพัฒนามีผลการทดลองท่ีเหมาะสม
ในการนา่ มาใช้เป็นยาเม็ดชนิดแตกตัวเร็วในช่องปากตามนยิ าม
Corresponding author : Nimit Worakul, E-mail : [email protected] ~ 39 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การพัฒนาและประเมินตารับไมโครอิมลั ชันเจลทีบ่ รรจุยาไอทราโคนาโซล
กนกวรรณ ฟุกลอ่ ย, สรสั นันท์ พรหมจนั ทร,์ ประภาพร บุญมี
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเตรียมต่ารับไมโครอิมัลชันเจลท่ีบรรจุยาไอทราโคนาโซล โดยใช้ทวีน-80
และสแปน-80 เป็นสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ วัฏภาคน้่าประกอบด้วยน่้าและอาจเติมตัวท่าละลายร่วม คือ
โพรพิลีนไกลคอล ส่วนวัฏภาคน้่ามันท่ีศึกษา ได้แก่ น่า้ มนั รา่ ข้าวและน้า่ มนั ปาลม์ ซ่งึ เปน็ นา่้ มนั ธรรมชาตแิ ละมีความ
ปลอดภัย โดยความเข้มขน้ ของสว่ นประกอบที่เหมาะสมได้จากพื้นท่ีไมโครอิมัลชันในแผนภาพวฏั ภาคไตรภาคเทยี ม
ผลการทดลองพบว่า เม่ือทดสอบการละลายของยาไอทราโคนาโซลในต่ารับไมโครอิมัลชันและส่วนประกอบแต่ละ
ชนิดในตา่ รบั ไมโครอมิ ลั ชันสามารถเพ่มิ การละลายของยาไอทราโคนาโซลไดเ้ มอ่ื เปรยี บเทยี บกบั สว่ นประกอบแต่ละ
ชนิดทใ่ี ช้ในสตู รตา่ รบั ไมโครอิมลั ชันที่ใชน้ า่้ มนั รา่ ขา้ วมพี ้นื ที่ในการเกดิ ไมโครอิมัลชนั มากกวา่ ต่ารับน้่ามนั ปาล์ม และ
ต่ารับที่ใส่โพรพิลีนไกลคอลเป็นตัวท่าละลายร่วม สามารถเพ่ิมพื้นที่ในการเกิดไมโครอิมัลชันได้ด้วย ดังนั้นจึงเลือก
น่้ามันร่าข้าวเป็นส่วนประกอบของต่ารับไมโครอิมัลชันเพ่ือบรรจยุ าไอทราโคนาโซลในความเข้มข้นร้อยละ 0.1 โดย
น้่าหนัก ซ่ึงไอทราโคนาโซลไมโครอิมัลชันที่ได้เป็นประเภทน้่าในน้่ามัน และเมื่อเติมฟูมซิลิกาความเข้มข้นรอ้ ยละ 5
โดยน่้าหนัก เป็นสารก่อเจล พบว่าได้ผลิตภณั ฑท์ ่มี ีลักษณะเปน็ เจลใสสีเหลืองอ่อน เมือ่ เกบ็ ตา่ รบั ไมโครอิมัลชันเจลท่ี
บรรจุยาไอทราโคนาโซลไว้ในภาชนะปอ้ งกันแสงทอี่ ุณหภมู หิ ้องนาน 5 สปั ดาห์ พบวา่ ตา่ รบั มคี วามคงตัวทางกายภาพ
โดยไมพ่ บการเปล่ยี นแปลงทม่ี ีนยั สา่ คัญ และมีความคงตวั ทางเคมีเมื่อเทยี บกับปริมาณเรม่ิ ตน้
Corresponding author : Prapaporn Boonme, E-mail : [email protected] ~ 40 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การพฒั นาสตู รตารบั เจลก่อตวั เองชนดิ ลอยตัว เพ่ือนาส่งยา Propranolol HCl สาหรับรับประทาน
ธนพล ปริญญาคุปต,์ วรวีร์ ศิริพฤกษพ์ งศ์, ฤดกี ร ววิ ัฒนปฐพี
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการน่าส่งยา propanolol HCl ด้วยระบบเจลก่อตัวเอง
ชนิดลอยตัว (floating in situ gelling system) ซ่ึงจะเพ่ิมระยะเวลาคงค้างในกระเพาะอาหารและควบคุมการ
ปลดปล่อยยา เพอื่ ใหอ้ อกฤทธไิ์ ดน้ านย่งิ ขน้ึ ในการศกึ ษาคร้งั นี้ ได้มีการเปรยี บเทียบพอลเิ มอรก์ อ่ เจลที่นยิ มใช้ 3 ชนดิ
ได้แก่ sodium alginate (0.5 - 2.0%w/v), pectin (0.5 - 2.0%w/v) และ gellan gum (0.0625 - 0.5%w/v)
โดยมีแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นสารก่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ ผลการประเมินคุณสมบัติทางกายภาพ และการ
ปลดปล่อยยาของสูตรต่างๆ พบว่า สูตรต่ารับส่วนใหญ่มีการลอยตัวได้เรว็ และลอยได้นานมากกว่า 8 ชั่วโมง ความ
เข้มข้นของ pectin และ gellan gum ท่ีเพ่ิมขึ้น มีผลให้อัตราการปลดปล่อยยาช้าลง ขณะท่ีการเพ่ิมความเข้มข้น
ของ alginate ไม่มีผลต่ออัตราการปลดปล่อยยา การศึกษาผลของพอลิเมอร์เสริม ได้แก่ Carbopol 934, HPMC
K4M และ PEG 4000 ท่ีความเข้มข้น 1.0%w/v พบว่า HPMC K4M จะช่วยชะลออัตราการปลดปล่อยของยา
มากกว่าการใช้พอลิเมอร์เสริมตัวอื่น และจากการศึกษาผลของความเข้มข้นของ HPMC K4M (1.0% - 3.0% w/v)
ต่อคุณสมบัติทางกายภาพและอัตราการปลดปล่อยยา พบว่า สูตรท่ีมี HPMC K4M 1.0% w/v เป็นพอลิเมอร์เสรมิ
เป็นสูตรทีเ่ หมาะสม มกี ารปลดปล่อยยาแบบออกฤทธ์เิ นน่ิ และปลดปล่อยได้สูงถึง 80 - 90% ภายในเวลา 8 ชว่ั โมง
นอกจากนี้ ยังพบว่า สูตรต่ารับท่ีมี alginate เป็น พอลิเมอร์หลักสามารถปลดปล่อยยาได้สูงที่สุด เม่ือเทียบกับ
พอลิเมอร์หลัก pectin และ gellan gum ดังน้ัน การน่าส่งยา propanolol HCl ด้วยระบบเจลก่อตัวเอง
ชนิดลอยตวั จึงเปน็ อีกทางเลือกหนึ่งแก่ผูป้ ่วย โดยสามารถลดความถใี่ นการบรหิ ารยา และเพ่ิมความร่วมมอื ในการใช้
ยาในผูป้ ่วยโรคเร้ือรงั
Corresponding author : Ruedeekorn Wiwattanapatapee, E-mail : ruedeekorn.w @psu.ac.th ~ 41 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การศกึ ษาการก่อฟิล์มแคลเซียมเพคติเนตตอ่ การปลดปลอ่ ยยาทีโอฟีลลนี จากยาหลายหน่วย
สาหรบั การนาสง่ ยาสู่ลาไสใ้ หญ่
กรระวี วิเศษธาร, อญั ญลกั ษณ์ สินสงวน, วิชาญ เกตุจนิ ดา
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ระบบน่าส่งยาสู่ล่าไส้ใหญ่เป็นระบบน่าส่งยาท่ีน่ามาใช้ในปัจจุบันมากย่ิงข้ึน ซ่ึงมีประโยชน์ในการน่าส่งยา
เพื่อลดปัญหายาไม่คงตัวและไม่ดูดซึมท่ีทางเดินอาหารส่วนต้น รวมถึงยาท่ีต้องการให้ออกฤทธ์ิช้าๆ ในการศึกษา
ครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมระบบน่าส่งยาทีโอฟีลลีนสู่ล่าไส้ใหญ่ในรูปแบบยาหลายห น่วยโดยใช้กระบวนการ
เคลือบเป็นขั้นตอนเดียวในการก่อฟิล์ม ด้วยวิธีการก่อฟิล์ม Calcium pectinate (CP) แบบใหม่ คือ Time-
Controlled Explosion Systems ท่าการเคลือบเพลเลตเป็น 3 ชั้น โดยช้ันแรกเป็น pectin (P) ช้ันกลางเป็น
Explotab ® (Exp) และชั้นนอกเป็น cellulose acetate (CA) เมื่อเพลเลตเข้าสู่ร่างกาย ช้ันของ CA จะปกป้อง
ช้ันของ Exp ไว้ เพ่ือก่าหนดเวลาให้ Ca2+ ซ่ึงเป็นส่วนประกอบในช้ัน Exp เข้าไปท่าปฏิกิริยากับ pectin ในชั้น P
เกิดเป็น Calcium pectinate ได้นานขึ้นตามความต้องการ หลังจากนั้นชั้นนอกทั้งสองจะแตกออก เหลือเพียงช้ัน
Calcium pectinate ทจ่ี ะชะลอการปลดปลอ่ ยตวั ยาที่ทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ แต่จะสามารถปลดปล่อยตวั ยาออกมา
ไดเ้ มอื่ เพลเลตเคลือ่ นทมี่ าถงึ ลา่ ไสใ้ หญ่ การเตรียมเพลเลตท่าดว้ ยวธิ ี Extrusion-spheronization และเคลอื บดว้ ยวธิ ี
sprayed-pan coating และศึกษาปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อเวลาในการแตกของช้ัน CA และ Exp (lag time) ได้แก่
ปริมาณการเคลอื บของ CA (mg/cm2), ปริมาณการเคลือบของ Exp (mg/cm2), ปริมาณพลาสตไิ ซเซอร์ (PEG400,
% w/v) จากผลการประเมิน การกระจายของเพลเลตอยู่ในช่วง 0.425 - 2 มิลลเิ มตร เม่ือนา่ เมด็ แกนของเพลเลตมา
วิเคราะห์หาปริมาณยา พบว่า มีปริมาณยาทีโอฟีลลีน 123.341 ± 4.391 มิลลิกรัม และมีการปลดปล่อยยาออกมา
อยา่ งรวดเร็ว ผลการศกึ ษาปัจจยั ที่มีผลต่อ lag time ของช้นั เคลอื บพบว่า ปริมาณ Exp ทใี่ ชใ้ นช้ันเคลือบมีปริมาณ
มากเกินไป ส่งผลให้ชั้น CA แตกออกมาอย่างรวดเร็ว และท่าให้ไม่สามารถดูผลของปัจจัยอื่นได้ นอกจากนั้นการ
เคลือบเพลเลตด้วยวิธี sprayed-pan coating อาจจะท่าให้ชั้นเคลือบของเพลเลตที่เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์จึงท่าให้ชั้น
ของ CA แตกออกอย่างรวดเรว็
Corresponding author : Wichan Ketjinda, E-mail : [email protected] ~ 42 ~
การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การประเมนิ การกลบกลิน่ เท้าของสารสกัดจากใบพลู
ดว้ ยวิธี Gas Chromatography-Mass Spectroscopy(GC-MS)
อัณณมิ า หวงั ด,ี ฮดู า จะปะกยี า, สมฤทัย จิตภักดีบดนิ ทร์
ภาควิชาเทคโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
สมุนไพรท่ีสนใจของงานวิจัยนี้คือ สารสกัดจากใบพลู เพราะการใช้ใบพลูมีความปลอดภัย และใบพลูมี
ส่วนประกอบทใ่ี ห้ฤทธท์ิ างชวี ภาพมากมาย เช่น ฤทธิ์ฆา่ เชอื้ แบคทเี รยี ตา่ งๆ ทัง้ กรมั บวกและกรัมลบ และเชอ้ื รา แต่ที่
ส่าคัญอย่างยิ่งคือ สารหอมระเหยในใบพลูเป็นสารที่มีกลิ่นแรง หอมฉุนชัดเจน น่าไปใช้ในการผลิตเครื่องหอม ซ่ึง
ผู้วิจัยคาดว่าจะน่าสารสกัดจากใบพลมู ากลบกลิ่นเท้า เน่ืองจากกลิ่นเท้าเป็นสิ่งท่ีไม่พึงปรารถนาของทุกคน ส่าหรับ
การประเมินกลิ่นเทา้ มวี ิธีการเช่นเดียวกบั การประเมนิ กล่ินตวั ซ่งึ มี 2 วิธี คอื การวัดโดยตรง (direct method) เปน็
การวัดโดยการดมหรือประสาทสัมผัส (olfactometry or sensory means) และการวัดโดยอ้อม (indirect
method) เป็นการใช้เคร่ืองมือวัด (instrumental detection) ในการวิจัยได้ศึกษาการประเมินการกลบกลิ่นเท้า
ของสารสกัดจากใบพลู การวดั โดยการใชเ้ คร่อื งมือ Gas chromatography ซึง่ สามารถน่าไปใชป้ ระเมนิ ผลผลติ ภณั ฑ์
ก่าจัดกลิ่นได้
Corresponding author : Somrutai Jitpukdeebodintra, E-mail : [email protected] ~ 43 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
ศึกษาคณุ สมบัติทางเคมีกายภาพและฤทธ์ิในการต่อต้านอนมุ ลู อสิ ระ
ของนา้ มนั ทส่ี กัดไดจ้ ากเมล็ดยางพาราดว้ ยวธิ กี ารสกัดทีแ่ ตกตา่ งกัน
จิณณพตั วังวราวธุ , ปรัชญช์ วนี นชุ ประมลู , ธนภร อานวยกิจ, สิรริ ศั ม์ิ ปิ่นสุวรรณ
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
ยางพาราเปน็ พชื เศรษฐกิจหลักท่สี รา้ งรายได้ใหก้ ับประเทศไทยเปน็ จา่ นวนมาก โดยผลติ ภัณฑแ์ ปรรปู ส่วน
ใหญจ่ ะมาจากส่วนของน่้ายางพารา อยา่ งไรก็ตามพบว่าสว่ นของเมลด็ ยางพารายังสามารถนา่ มาใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น
การสกัดน้่ามันจากเมลด็ ยางพาราเพื่อใช้ผลิตเป็น ไบโอดีเซล หรือ การน่ามาใช้ในทางเครอ่ื งส่าอาง โดยมีการศกึ ษา
พบว่า น้่ามันจากเมล็ดยางพาราจะมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ รวมท้ังมีองค์ประกอบของกรดไชมันท่ีใช้ในทาง
เคร่ืองส่าอาง อย่างไรก็ตามคณุ ภาพของน่้ามันจะข้ึนกับวธิ ีท่ีใช้ในการสกัด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จงึ มวี ัตถุประสงค์เพ่ือ
หาวธิ กี ารสกดั ท่เี หมาะสมในการสกัดน้า่ มันจากเมล็ดยางพาราพันธุ์ยอดดา่ (RRIM600) โดยพจิ ารณาจาก %yields,
คณุ สมบัตทิ างเคมีกายภาพ, ชนิดและปริมาณของกรดไขมนั และ ฤทธิใ์ นการตา้ นอนุมูลอสิ ระ ของนา้่ มันทสี่ กดั ได้ ซง่ึ
ท่าการศึกษา 5 วิธีคือ maceration, reflux, soxhlet, supercritical carbon dioxide และ expression จากการ
วิจัยพบว่าการสกัดโดยวิธี soxhlet เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากให้คุณลักษณะของน่้ามันที่ดี มีความหนืดปาน
กลาง มี%yields สูง (37.80%) รวมท้ังมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิธีอ่ืนๆ โดยมี %inhibition
50.80±2.08% และ TEAC 57.25±2.64 mg/น้่ามัน 100 g นอกจากนี้ยังพบว่าน้่ามันที่สกดั ได้ในแต่ละวิธีมีปริมาณ
กรดไขมนั ชนิดต่างๆไมแ่ ตกต่างกัน กรดไขมนั ท่พี บมากได้แก่ linoleic acid, oleic acid, linolenic acid, palmitic
acid และ stearic acid ซึ่งกรดไขมันดังกล่าวมีความส่าคัญในทางเคร่ืองส่าอาง อย่างไรก็ตามน้่ามันท่ีสกัดได้แตล่ ะ
วิธีอาจมีปัญหาด้านความคงตัว โดยพิจารณาจาก acid value มีค่าอยู่ในช่วง 2.67-5.13, iodine value มีค่าอยู่
ในช่วง 122.18-126.39 และ peroxide value มีค่าอยู่ในช่วง 0.24-0.90 ดังนั้นในการน่าน้่ามันที่สกัดจากเมล็ด
ยางพาราไปใช้ในเครอ่ื งสา่ อาง อาจต้องค่านึงถงึ ปจั จัยดา้ นความคงตัวของน่้ามนั เป็นประเด็นส่าคญั
Corresponding author : Sirirat Pinsuwan, E-mail : [email protected] ~ 44 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การพฒั นาสตู รตารับสารสกัดขมน้ิ ชนั ไมโครพาร์ทิเคิลเพ่อื ใชใ้ นการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
กติ ติณฏั ฐ์ หาญวฒั นกลุ , ภรต ธรรมพิทกั ษ์, สวุ ภิ า อ้ึงไพบลู ย์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปจั จุบนั สมนุ ไพรในประเทศไทยไดร้ ับความนิยมใช้เป็นทางเลือกในการรักษาโรคต่างๆ โดยขมิ้นชันมีข้อบ่งใช้
ในงานสาธารณสขุ มูลฐานส่าหรบั การรักษาโรคกระเพาะอาหาร แตก่ ารใช้ขมิ้นชันยังมีข้อจ่ากดั เน่ืองจากสารส่าคัญที่
ออกฤทธิ์ คือ curcumin มีปริมาณต่า อีกท้ังมีปัญหาเรื่องการละลายและ bioavailability ต่า โครงงานวิจัยน้ีมี
วัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาสูตรต่ารับ turmeric extract microparticles โดยใช้ turmeric extract 2 ชนิด ท่ีได้จาก
การสกัดดว้ ย acetone (TEA, curcuminoids 96%, volatile oil 1%) และ ethanol (TEE, curcuminoids 30%,
volatile oil 11%) เตรยี ม microparticles ด้วยวิธี ionic crosslinking interaction ระหวา่ ง chitosan และ
tripolyphosphate (TPP) ทา่ การศกึ ษาปัจจยั ตา่ งๆ ท่ีเหมาะสม ไดแ้ ก่ ชนิดและปรมิ าณตัวท่าละลาย, เครอื่ งมอื และ
กระบวนการเตรยี ม จากนั้นนา่ microparticles ท่ีเตรยี มไดม้ าทดสอบคณุ ลักษณะทางเคมแี ละกายภาพ ศกึ ษาการ
ปลดปลอ่ ยสารสา่ คญั ฤทธิ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งในการรกั ษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร และประเมนิ ความคงตัว จากการ
ทดลองพบวา่ สูตรตา่ รบั ท่ใี ช้ 95% ethanol เปน็ ตัวท่าละลายและพน่ TPP ดว้ ยหวั spray ส่าหรบั เคลอื บยาเมด็ ที่
ความแรงลม 5 psi ได้ turmeric extract microparticles ทีม่ ลี กั ษณะแหง้ สนทิ และไมจ่ บั ตวั เป็นกอ้ น และพบวา่
turmeric extract microparticles ทใ่ี ช้ TEA เปน็ ผงละเอียดสเี หลอื งสม้ มี curcuminoids content 37.89%,
%entrapment efficiency 99.97%, ขนาด (z-average) 6.28 µm และการกระจายขนาด (PDI) 0.197 ส่วนของ
turmeric extract microparticles ทใี่ ช้ TEE เป็นผงละเอยี ดสีเหลอื งน่า้ ตาล มี curcuminoids content 6.16%,
%entrapment efficiency 99.67%, ขนาด (z-average) 7.79 µm และการกระจายขนาด (PDI) 0.629 การศกึ ษา
การปลดปลอ่ ย curcuminoids เป็นเวลา 24 ชว่ั โมง พบว่า การเตรยี ม turmeric extract ในรูป microparticles
ใหผ้ ลการปลดปลอ่ ย curcuminoids ที่สงู กว่า turmeric extract และพบว่าการใช้ TEE มีการปลดปล่อยสูงกว่าการ
ใช้ TEA 10 เท่า ซึ่งสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะพื้นผิวของ microparticles ที่ใช้ TEE จะมรี พู รุนมากกว่า TEA นอกจากน้ี
พบวา่ ฤทธิ์ antiflatulent ของ turmeric extract, turmeric extract microparticles และขมนิ้ ชนั แคปซลู ไม่
แตกต่างกนั แตม่ ผี ลดอ้ ยกว่า simethicone รวมท้งั turmeric extract microparticles และ ขม้นิ ชนั แคปซูล มฤี ทธ์ิ
ในการสะเทินกรดตา่ กว่า aluminium hydroxide gel อย่างมีนัยส่าคญั ทางสถติ ิ และ turmeric extract
microparticles มีความคงตัวดี เมอื่ เกบ็ รกั ษาท่อี ุณหภูมหิ ้องและอณุ หภมู ิ 2-80C เป็นระยะเวลา 1 เดือน พบวา่ ค่า
%curcuminoids content มคี ่าไมแ่ ตกตา่ งกนั
Corresponding author : Suwipa Ungphaiboon, E-mail : [email protected] ~ 45 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
ลักษณะของหลักสตู รปรญิ ญาโทท่ีเภสัชกรต้องการศึกษาต่อ: การวิจยั เชิงคณุ ภาพ
ปานชนก อนิ ทรวงศ,์ พิพชิ ย์ ไชยทองขาว, สงวน ลือเกยี รติบณั ฑติ
ภาควชิ าบริหารเภสัชกิจ, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การวิจัยเชิงคุณภาพคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาคุณลักษณะของหลักสูตรปริญญาโทซ่ึงเป็นที่ต้องการของ
เภสัชกรโรงพยาบาลและเภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคท้ังในเรื่องเน้ือหาและการจัดการเรียนการสอน และ
เ พ่ื อ ท ร า บ เ ห ตุ ผ ล ท่ี ท่ า ใ ห้ เ ภ สั ช ก ร ก ลุ่ ม ดั ง ก ล่ า ว เ ลื อ ก ศึ ก ษ า ต่ อ ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า โ ท ใ น ค ณ ะ เ ภ สั ช ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากเภสัชกรจ่านวนทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย
เภสัชกรโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจ่านวน 5 คน และเภสัชกรสังกัดส่านักงานสาธารณสุขจังหวัด
จ่านวน 2 คน ผู้ให้ข้อมลู เปน็ เภสัชกรท่ีก่าลงั ศึกษาต่อปริญญาโทจ่านวน 2 คน และไม่ได้ศกึ ษาต่อปรญิ ญาโทจ่านวน
5 คน การเก็บขอ้ มลู ใชก้ ารสมั ภาษณ์แบบซง่ึ หนา้ ทผ่ี ้วู จิ ยั เดนิ ทางไปพบและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในผใู้ ห้ข้อมูลที่
อยู่ในพ้ืนที่ห่างไกลจากผู้วิจัย การเก็บข้อมูลด่าเนินไปจนได้ค่าตอบครบตามวัตถุประสงค์และผลการวิจัยอิ่มตัว
ผลการวิจัยพบว่า เหตุผลท่ีท่าให้ผู้ใหข้ ้อมูลอยากศึกษาตอ่ ระดบั ปริญญาโท คือ การพัฒนาความรู้ความสามารถและ
การต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ เหตุผลที่ไม่อยากศึกษาต่อระดับปริญญาโท คือ ระยะทางและภาระงาน ส่วน
สาขาที่มีความสนใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท คือ สาขาเภสัชกรรมคลินิกและสาขาเภสัชศาสตร์สังคมและการ
บริหาร ผู้ให้ข้อมูลให้เหตุผลว่าตรงกับสายงานท่ีปฏิบตั ิหน้าที่การท่างานและสามารถน่ามาพัฒนาองค์กรได้ตรงตาม
ความตอ้ งการของเภสัชกรทป่ี ฏิบตั ิหน้าทีใ่ นโรงพยาบาลและส่านักงานสาธารณสขุ จังหวดั เนือ้ หาในหลกั สตู รปรญิ ญา
โทสาขาเภสัชศาสตร์สงั คมและการบริหารทีผ่ ใู้ หข้ อ้ มูลตอ้ งการเรียน คือ เภสชั ระบาดวทิ ยา ระเบยี บวิธีวจิ ยั ระบบยา
เศรษฐศาสตร์ และการตลาด ผู้ให้ข้อมูลกล่าวว่า เนื้อหาในหลักสูตรด้านสาขาเภสัชกรรมคลินิกท่ีต้องการ คือ
Hospital accreditation, Patient safety, Managing chronic disease, Ambulatory care, Drug Information
Service และ Adverse drug reaction จากผลการวิจัย มีข้อเสนอแนะว่าหลักสูตรควรจะเน้นประชาสัมพันธ์
สมรรถนะท่ีไดจ้ ากการศึกษาในหลกั สตู รว่าจบแล้วสามารถนา่ ไปทา่ อะไรไดบ้ ้าง และการออกแบบหลักสตู รควรจะให้
ผทู้ ่ีรู้ทิศทางนโยบายของกระทรวงสาธารณสขุ ซง่ึ เปน็ กล่มุ ผูเ้ รียนหลักของหลกั สูตร มีส่วนช่วยในการกา่ หนดรายวิชา
และออกแบบหลักสูตรให้ตอบสนองนโยบายและความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ มีรูปแบบการศึกษาทาง
ออนไลน์ และมีการลามาเรียนภายในวันจันทร์ถึงศุกร์ เพื่อแก้ไขอุปสรรคเร่ืองระยะทางในการเดินทางมาเรียนโดย
การเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลยั ในจงั หวดั อื่นๆ ทั้งนี้เพ่ือน่ามาพัฒนาหลักสตู รให้ตรงกับความตอ้ งการของเภสัชกร
ทต่ี อ้ งการศกึ ษาต่อหลกั สูตรปริญญาโท คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
Corresponding author : Sanguan Lerkiatbundit, E-mail : [email protected] ~ 46 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การคาดการณก์ าลงั คนทางเภสชั กรรมในอนาคต (พ.ศ. 2569) สาขา: เภสัชกรรมชมุ ชน
นา้ พลอย ร่มแก้ว, ชดิ ชญา ธรรมสนุ ทรี, พชิ ญา นวลไดศ้ ร,ี กลุ จริ า อดุ มอักษร
ภาควิชาบรหิ ารเภสัชกจิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ระบบสุขภาพจะเปล่ียนแปลงไป ประชากรจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีวัย
แรงงานและวัยเด็กลดลง มีการเคล่ือนย้ายแรงงาน ท่าให้เกิดการระบาดของโรคติดเช้ืออุบัติใหม่และโรคอุบัติซ่้าได้
ง่าย นอกจากนี้บทบาทหน้าที่ของเภสัชกรชุมชนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ข้อมูลจากงานวิจัยก่อนหน้าเรื่อง
บทบาทของเภสัชกรชุมชนที่พึงประสงค์ในทศวรรษหน้า และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในศูนย์ประสานงาน
การศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (ศศภท.) กล่าวว่า ในอนาคตเภสัชกรชุมชนจะท่าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในกลุ่ม
ผ้สู งู อายแุ ละผ้ปู ่วยโรคเรือ้ รัง ออกชุมชนเย่ยี มบ้าน การคมุ้ ครองผูบ้ รโิ ภค ดแู ลสุขภาพข้ันต้น และเติมยาให้กับผู้ป่วย
ที่รบั ยาต่อเนอื่ ง ประกอบกับแนวโน้มของธรุ กิจรา้ นยาจะมีจ่านวนเพิ่มขนึ้ อย่างตอ่ เนอ่ื ง จากภาพของระบบสุขภาพที่
เปล่ียนแปลงไปในอกี 10 ปขี า้ งหน้า และบทบาทหนา้ ท่ีทม่ี ากขนึ้ ท่าใหม้ ีปริมาณงานเพิ่มข้นึ โครงการวจิ ยั นจี้ งึ จัดท่า
ขึ้นโดยมวี ตั ถุประสงค์เพือ่ คาดการณ์กา่ ลงั ทางเภสัชกรรมชุมชนในอนาคต (พ.ศ. 2569) วิธกี ารท่าวิจัยแบง่ ออกเปน็ 2
วิธีหลัก ไดแ้ ก่ ทบทวนบทบาทและกจิ กรรมท่เี ป็นไปไดจ้ ริงในอนาคตของเภสัชกรชมุ ชน แล้วนา่ แต่ละกิจกรรมที่ไดไ้ ป
สอบถามผู้เชย่ี วชาญจากสมาคมเภสชั กรรมชมุ ชนจา่ นวน 2 ท่าน และเภสชั กรชมุ ชนจ่านวน 6 ท่านซงึ่ มปี ระสบการณ์
การท่างานในบทบาทต่างๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขน้ึ อยา่ งแพรห่ ลายในอนาคต โดยสอบถามถึงเวลาและปริมาณงานที่ใช้ใน
การท่ากิจกรรม เช่น งานซักประวัติ การจ่ายยา การให้ค่าแนะน่าการใช้ยา การเติมยาตามใบสั่งแพทย์ในผู้ป่วยโรค
เรื้อรัง การออกชุมชนเยยี่ มบา้ น การคัดกรองโรคเรอื้ รงั เป็นต้น จากน้ันจึงน่าไปค่านวณหาจ่านวนเภสชั กรชมุ ชนโดย
ใช้วิธีการ Full-Time Equivalent (FTE) และอีกวิธีคือ ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าควรค่านวณจ่านวนเภสัชกรชุมชนจาก
อัตราสว่ นเภสัชกรชุมชนตอ่ ประชากรในอนาคต โดยใช้อตั ราส่วนที่คงที่ของเภสชั กรต่อประชากรในปีพ.ศ. 2557 คือ
1 : 4,362 เป็นฐานการค่านวณ การค่านวณแบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ค่านวณจากร้านยาที่มีจ่านวนเภสัชกร
ร้านละ 1 คน และกรณีท่ี 2 ค่านวณเพ่ิมจากกรณีท่ี 1 โดยเพิ่มจ่านวนรา้ นยาท่ีตอ้ งการเภสัชกร 2 คน คิดเป็น 3%
ของร้านยาทั้งหมดในอนาคต ผลการศึกษาพบว่า ด้วยภาระงานของเภสชั กรชุมชนท่ีเพ่มิ ข้ึนในอนาคต อัตราก่าลังท่ี
ได้จากการค่านวณ FTE พบว่า ร้านยามีความต้องการเภสัชกรชุมชนจ่านวน 2 คนต่อร้านยา 1 ร้าน และวิธีการ
ค่านวณโดยใชอ้ ัตราสว่ นเภสชั กรชุมชนต่อประชากรในกรณที ่ี 1 และกรณีที่ 2 พบว่า ก่าลังคนด้านเภสัชกรชุมชนใน
อนาคต มีจ่านวน 15,705 คน และ 16,176 คน ตามล่าดับ ผลการวิจัยสามารถช่วยให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องน่าไป
วางแผนกา่ ลงั คนดา้ นเภสชั กรรมชมุ ชนในอนาคตได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพต่อไป
Corresponding author : Pitchaya Nualdaisri, E-mail : [email protected] ~ 47 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การศึกษาต้นทุนต่อหนว่ ยบัณฑิต ระดบั ปริญญาตรคี ณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
ธัญญพงศ์ รอดศรีนาค, มานะ สริ ยิ ืนยง, กลุ จริ า อดุ มอกั ษร
ภาควชิ าบริหารเภสัชกิจ, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
การศึกษาต้นทุนต่อหน่วยบัณฑิต ระดับปริญญาตรีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มี
วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พ่ื อ ค่ า น ว ณ ห า ต้ น ทุ น ต่ อ ห น่ ว ย บั ณ ฑิ ต ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี ข อ ง ค ณ ะ เ ภ สั ช ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ของหลักสูตรเภสัชศาสตร์และการบริบาลเภสัชกรรม ท่าให้ทราบต้นทุนผลผลิตต่อ
หน่วยบัณฑิตของคณะเภสัชศาสตร์ ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการคณะในด้านของการเงิน ต้นทุน และ
การจัดสรรงบประมาณ ให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่า โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณผ์ ้บู ริหาร และผทู้ ี่
เกยี่ วข้องในสว่ นตา่ งๆ ร่วมกับการศกึ ษาจากเอกสารขอ้ มลู การเงนิ ทง้ั ในสว่ นของงบประมาณแผ่นดินและงบประมาณ
เงินรายได้ ประจ่าปีงบประมาณ 2558 จากฝ่ายการเงินของคณะ โดยใช้ทฤษฎีการวิเคราะหต์ ้นทุนฐานกิจกรรมเปน็
แนวทางในการคา่ นวณต้นทุนตอ่ หน่วยบัณฑติ แตล่ ะหลักสูตรของระดบั ปรญิ ญาตรี ผลการศึกษาพบวา่ เมือ่ แบง่ กลุ่ม
กิจกรรมหลกั ทเี่ กีย่ วของกับการผลิตบณั ฑิตออกเป็น 4 กจิ กรรม ไดแ้ ก.่ .........พบวา่ สัดส่วนของการใชเ้ งนิ สว่ นใหญ่อยู่
ที่กิจกรรมการเรยี นการสอนคดิ เปน็ ประมาณร้อยละ 53 ของงบประมาณทัง้ หมดทใี่ ชใ้ นการผลิตบณั ฑิต เมื่อพจิ ารณา
ต้นทุนแต่ละหลักสูตร พบว่าหลักสูตรเภสัชศาสตร์ มีต้นทุนรวมในการผลิตบัณฑิต เท่ากับ ____ ล้านบาท และ
ต้นทุนต่อหน่วยบัณฑิตเท่ากับ ____ บาท ในส่วนของหลักสูตรการบริบาลเภสัชกรรม มีต้นทุนรวมบัณฑิต เท่ากับ
____ ล้านบาท และตน้ ทุนตอ่ หนว่ ยบณั ฑิตเทา่ กบั ____ บาท
Corresponding author : Khunjira Udomaksorn, E-mail : [email protected] ~ 48 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
ความพรอ้ มของการนารปู แบบการเรียนรู้Transformative Learning เพือ่ ใชใ้ นคณะเภสชั ศาสตร์
นุชกานต์ วรชยั , สธุ าสินี แช่มชัยกลุ วัฒน,์ กร ศรเลศิ ลา้ วาณิช
ภาควิชาบรหิ ารเภสชั กิจ, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การวจิ ัยครง้ั นี้เน้นการศึกษาความเป็นไปได้ ปัญหาและอปุ สรรคในการปรับปรงุ กระบวนการใหก้ ารศกึ ษาท่ี
ทันยุคสมัย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลง (Transformative Learning) เพื่อช่วยให้สถาบันการศึกษา
ได้ตระหนักถึงความจ่าเป็นในการพัฒนาการจัดระบบการเรียนการสอนและหลักสูตรท่ีมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล และเป็นข้อมูลสนับสนุนการปรับปรุงหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตอันใกล้น้ี ซ่ึง
ผู้วิจัยจะเก็บข้อมูลการวิจัยโดย สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลท่ีเป็นอาจารย์ผู้สอนแบบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth
interview research) และสัมภาษณ์นักศึกษาแบบการสนทนากลุ่ม (Focus Group Research) จากการวิเคราะห์
ผลสมั ภาษณ์ พบว่าผสู้ อนมีทักษะในการสอน เชน่ การเป็นครูฝึกแทนการเปน็ ครูสอน ซง่ึ เปน็ การฝึกใหผ้ เู้ รียนได้เกิด
กระบวนการคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้สอนจะถ่ายทอดเพียงพ้ืนฐานความรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเป็นรากฐานให้
ผู้เรียนได้น่าไปต่อยอดความคิดและน่าไปประยุกต์ใช้ในอนาคต และผู้สอนจะประเมินผู้เรียนอย่างสม่าเสมอ มี
ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างผูส้ อนและผเู้ รียน การแสดงความคิดเหน็ ที่ผูส้ อนไดส้ ะท้อนจุดแข็งและจุดออ่ นท่ตี ้องพฒั นา การมี
ส่วนร่วมของผู้สอนในกระบวนการท่างานของผู้เรียนจะท่าให้ผสู้ อนไดเ้ ห็นถึงกระบวนการคิดของผู้เรียนและช่วยต้ัง
คา่ ถามเพ่ือกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นได้คิดพฒั นาตอ่ ไป และกระบวนการสอนท่ีมกี ารเชอ่ื มโยงความรูท้ ้งั ในทางทฤษฎแี ละทาง
ปฏิบัติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดเห็นของผู้สอนท่ีมีแนวโน้มเป็นรูปแบบการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลง
(Transformative Learning) ส่าหรับความคิดเห็นของตัวผู้เรียนต่อทักษะการเรียนรู้เพ่ือการเปลี่ยนแปลง
(Transformative Learning) ในด้านทัศนคติต่อการเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ การรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายซ่ึงมี
ความเชอ่ื มโยงและบูรณาการความรู้ท่ีเรยี น อีกทง้ั การได้แลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั อาจารยผ์ ้สู อนทา่ ให้นักศึกษาได้
มีกรอบความคิดและมุมคิดท่ีไม่จ่ากัดอยู่ในกรอบ นอกจากนี้การมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรท่ีสอดคล้องกับทักษะทาง
วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นสิ่งส่าคัญต่อการเตรียมพร้อมการท่างานของผู้เรียน อีกส่ิงหน่ึงที่ส่าคัญคือ การสร้างความ
ตระหนักของผู้เรียนว่าการเรียนคือเพื่อน่าไปใช้ ไม่ใช่เพียงเพ่ือน่าไปสอบวัดผลเท่านั้น จากผลการวิจัยทั้งหมดนี้
แส ด งให้เ ห็นว่าอาจาร ย์ ผู้ส อนแล ะ ผู้เ รี ย นมี ความ คิด เ ห็นที่เ ป็ นในแนวทางซึ่งส อด คล้องกับการ เ รี ย นรู้ สู่การ
เปล่ียนแปลง(Transformative Learning) แต่การเกิดขึ้นของการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ยังไม่สามารถ
อธิบายได้ด้วยรูปแบบท่ีชัดเจน ทั้งยังมีอุปสรรคในการเปล่ียนแปลงอยู่บ้าง ดังนั้นการวิจัยจึงบอกเพียงความพร้อม
เบือ้ งต้นของคณะเภสชั ศาสตรใ์ นรปู แบบการเรียนรู้สกู่ ารเปล่ียนแปลง(Transformative Learning)
Corresponding author : Korn Sornlertlamvanich, E-mail : [email protected] ~ 49 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การคาดการณค์ วามต้องการกาลังคนเภสชั กรอตุ สาหกรรมยาในอกี 10 ปขี า้ งหนา้
จริ านุวัฒน์ ศิรภิ บิ าล, สยาม นราธปิ ภทั ร, ธนเทพ วณิชยากร
ภาควชิ าบรหิ ารเภสัชกิจ, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ระบบสุขภาพของประเทศไทยก่าลังประสบปัญหาการขาดแคลนก่าลังคนด้านสาธารณสุขท่ีเกี่ยวข้องกับ
ระบบสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเภสัชกรอุตสาหกรรมยา จากหลายสาเหตุ อาทิ การกระกระจายตัวอยา่ งไม่
เหมาะสมของบุคลากรซึ่งยังกระจุกอยทู่ ี่ในตัวเมอื งใหญ่ หรือ การรวมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน AEC
(ASEAN Economic Community) ท่ีจะส่งผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงของระบบสุขภาพ และกระทบต่อ
อุตสาหกรรมยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาประมาณความต้องการก่าลังคนในสาขา
เภสัชอุตสาหกรรมท่สี อดคลอ้ งกับการเปล่ยี นแปลงของโลกปัจจุบันและในอนาคต (ปี2559-2569) วิธีวิจัยน้ีแบง่ เป็น
สามข้ันตอนหลกั เร่ิมจากข้ันตอนแรก เป็นการสัมภาษณแ์ ละการแกะเทปบันทึกเสยี ง จากผู้เช่ียวชาญ/ผทู้ รงคุณวุฒิ
ท่ีปฏิบัติหน้าที่ในโรงงานอุตสาหกรรมยา เพื่อจ่าแนกชนิดงาน, ปริมาณงาน และเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน จากน้ัน
จึงท่าการรวบรวมข้อมลู มาค่านวณเป็นหน่วยก่าลงั คนท่ีตอ้ งการ โดยการใช้หน่วย FTE (full time equivalent) มา
คา่ นวณ หลังจากนน้ั ข้นั ตอนท่สี าม จึงท่าการประมาณไปถงึ ความตอ้ งการเภสัชกรในอนาคต โดยใชอ้ ัตราเพม่ิ จ่านวน
เภสัชอุตสาหกรรมจากงานวิจัยในอดีต ผลที่ได้คือมคี วามต้องการ เภสัชกรในภาคอุตสาหกรรมจ่านวนทั้งสิน้ 3,598
คน (ปี 2569) โดยงานวิจัยช้ินนี้สรุปให้เห็นว่า ปี 2569 มีความต้องการก่าลังคนเภสัชอุตสาหกรรมยาเพิ่มข้ึนอีก
920 คน จาก 2,678 คน (ปี 2559) ซึ่งผู้ตัดสินใจเชิงนโยบาย จะน่าข้อมูลจ่านวนความตอ้ งการกา่ ลงั คนไปใช้ในการ
วางแผนการผลิต และบรหิ ารจัดการกา่ ลังคนในสาขาวชิ าชพี เภสชั กรอตุ สาหกรรม
Corresponding author : Tanatape Wanishayakorn, E-mail : [email protected] ~ 50 ~
การประชุมวชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
คุณภาพชวี ติ ของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ และปัจจัยท่มี ีผลตอ่ คุณภาพชวี ติ ในการเรยี นในคณะเภสัชศาสตร์
ปุญญศิ า เมอื งพรอ้ ม, ภานกุ ร ลลี าสินเจรญิ , ภานพุ งศ์ ศรีทองสุข, ศภุ ชัย รตั ตญั ญ,ู โพยม วงศภ์ วู รกั ษ์,
วบิ ุล วงศ์ภูวรักษ*์ , กฤษณ์ สุขนันทรธ์ ะ**
ภาควชิ าเภสัชกรรมคลนิ กิ , *ภาควชิ าเทคโนโลยีเภสชั กรรม, **ภาควิชาเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
ที่มา: หลักสูตรเภสัชศาสตรบณั ฑิตเป็นหลักสูตรที่ตอ้ งน่าความรูไ้ ปใช้ดูแลด้านยาและรับผิดชอบต่อความ
ปลอดภัยและชีวิตของผู้ปว่ ย จึงท่าให้มีเนื้อหาการเรียนและภาระงานคอ่ นข้างมาก จากแผนการศึกษาแห่งชาติฉบบั
ปรับปรุง (พ.ศ. 2552 — 2559) มีความมุ่งหมายให้พัฒนาคนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ร่วมกับมีคุณภาพ
ชีวิตท่ีดี วัตถุประสงค์: เพ่ือศึกษาคุณภาพชีวิตของนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตในประเทศไทย
โดยเน้นนักศึกษาท่ีเรียนในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับคุณภาพชีวิตของ
นักศึกษาเภสัชศาสตร์ วิธีวิจัย: ใช้แบบสอบถามที่พัฒนาจากเครื่องชี้วัดคณุ ภาพชีวิตขององค์การอนามยั โลกชุดย่อ
ฉบับภาษาไทย (WHOQOL-BREF-THAI) โดยเพ่ิมค่าถามเกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีผลต่อคุณภาพชีวิตขณะเรียนในคณะ
เภสัชศาสตร์ โดยเก็บข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศตอบ
ผลการวิจัย: นักศึกษาเภสัชศาสตร์ตั้งแต่ช้ันปีที่ 1-6 (N= 404) มีคุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวมเฉล่ีย 84.87
คะแนนจากคะแนนเต็ม 125 คะแนน (SD=11.99, 95% CI 83.70-86.04) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่มีคุณภาพชีวิตกลาง ๆ
โดยปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของนักศึกษามากท่ีสุดจากคะแนนเต็มแต่ละประเด็น 5 คะแนนคือ การมีเวลา
ส่วนตัวในการท่ากิจกรรมท่ีตนเองชอบ (x̄=4.36, SD=0.85, 95% CI 4.28-4.45) ส่วนปัจจัยส่าคัญท่ีสุดท่ีท่าให้
คุณภาพชีวิตลดลงหรือเพมิ่ ขึ้นโดยให้ผตู้ อบเลือกเพยี งข้อเดียวพบว่า ปัจจัยทท่ี า่ ใหค้ ณุ ภาพชวี ติ ในการเรยี นลดลงมาก
ท่ีสุดคือ งานท่ีได้รับมอบหมาย (24.50%) ส่วนวิธีเพ่ิมคุณภาพชีวิต คือ ท่ากิจกรรมท่ีชอบ (37.62%) อภิปราย
ผลการวจิ ัย: นักศึกษามคี ุณภาพชีวิตอยู่ในเกณฑก์ ลาง ๆ มีปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ คุณภาพชวี ิตของนกั ศกึ ษาท่สี ่าคญั ท่สี ดุ คอื
การมีเวลาสว่ นตัวในการท่ากิจกรรมท่ีตนเองชอบ ปัจจัยท่ีส่งผลให้คุณภาพชีวิตในการเรยี นลดลงมากที่สดุ คือ งานที่
ได้รับมอบหมาย สว่ นวิธีเพม่ิ คุณภาพชีวิตในระหว่างการศึกษาทม่ี ีผ้ตู อบมากทส่ี ดุ คอื การไดท้ ่ากจิ กรรมที่ชอบ
Corresponding author : Payom Wongpoowarak, E-mail : [email protected] ~ 51 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
ทดสอบการทานายคา่ AUC/MIC ของ Concentration-dependent Antibiotics
โดยใช้ Monte Carlo Simulation
ขวัญชนก แกว้ พิบลู ย์, ชุตกิ าญจน์ พยคั ฆศริ ินาวิน, ณัฐวุฒิ ปินตาสาร, รตั นา หลงั แท,้ วบิ ุล วงศ์ภูวรกั ษ*์ ,
โพยม วงศ์ภวู รักษ์
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลนิ ิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
*ภาควิชาเทคโนโลยีเภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ bacteria ของยาในกลุ่ม Concentration-dependent antibiotics สามารถ
ท่านายได้จากระดบั ความเข้มข้นยาที่สูงที่สุด (maximum concentration) และพ้ืนท่ีใต้กราฟระหว่างความเข้มข้น
เทยี บเวลา (AUC) ปจั จบุ ันวิธีการหาขอ้ สรปุ เกี่ยวกับการประเมินประสทิ ธภิ าพของ dosage regimen โดยวธิ ี PK/PD
simulation ยงั มคี วามยงุ่ ยาก ซ่ึงเร่มิ จากการนา่ PK พารามเิ ตอร์รายคนไปสร้างตวั แบบท่านายพารามิเตอร์ทางสถิติ
ที่คงพฤติกรรมทางสถิติในด้านต่าง ๆ รวมถึง covariate เพ่ือสร้างชุดพารามิเตอร์จ่าลอง แล้วน่าไปแก้สมการเชิง
อนุพันธ์เพื่อค่านวณตัวช้ีวัดท่ีเก่ียวข้องเช่น AUC/MIC ในการศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาวิธีใหม่ท่ีจะท่าให้
กระบวนการต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งทา่ ไดง้ ่ายขึน้ โดยใชข้ อ้ มูลยอ้ นหลังจริงจากงานวิจยั ที่เก่ยี วข้องท่ีมีขอ้ มลู เผยแพร่ (เช่น
จากการศึกษา bioequivalence) หากงานวิจัยเสนอขอ้ มูลท่ีเก่ียวข้องไม่ครบตามที่ต้องการ แต่มีข้อมูลพารามเิ ตอร์
ละเอียดเพยี งพอเก่ยี วกับ AUC กจ็ ะนา่ ข้อมลู พื้นฐานน้นั มาใช้คา่ นวณเปน็ ค่าโอกาสทจี่ ะประสบความสา่ เรจ็ ในการฆา่
เชื้อโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน PK/PD simulation ตามปกติ ซ่ึงจะท่าให้กระบวนการค่านวณเพ่ือท่านายทาง
PK/PD ง่ายข้ึน และใชก้ ารเทียบเคียงและพิสจู นแ์ นวคิดในข้นั ตอนตา่ งๆ กบั ผลการรักษาทางคลินิกท่มี รี ายงานไว้ ยา
ที่เลือกมาท่าการศึกษา ได้แก่ ยากลุ่ม aminoglycosides, fluoroquinolones และยา vancomycin ซ่ึงสามารถ
หาข้อมูลที่เผยแพร่ได้ละเอียดพอ ผลการศึกษาพบว่า สามารถยุบข้ันตอนการการท่านาย AUC/MIC ท่ีมีอัตรา
ประสบความส่าเร็จ (success rate) 90% ในการฆ่าเช้ือได้ และสามารถใช้ค่า AUC/MIC เพื่อค่านวณกลับไปหา
success rate ได้ โดยได้น่าผลการค่านวณแบบใหม่ไปเทียบกับผลการรักษาทางคลินิกจริงท่ีรายงานจากการศึกษา
ก่อนหน้า พบว่ามีความสอดคล้องกันทา่ ใหก้ ารค่านวณ success rate ของยาในกลมุ่ concentration-dependent
สามารถทา่ ได้สะดวกรวดเรว็ กว่าการทา่ full Monte-Carlo simulation
Corresponding author : Payom Wongpoowarak, E-mail : [email protected] ~ 52 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การสารวจความรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกบั โรคมะเร็งปากมดลูก และทศั นคติในการได้รบั
Human Papillomavirus (HPV) Vaccination
นิชนภิ า มะล,ี ศรัลญา พานิช, สุนิษา เห็นดีน, กมลทพิ ย์ ววิ ัฒนวงศา
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินกิ คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปาก
มดลูก (HPV vaccine) ในนักศึกษามหาวิทยาลัย การศึกษาเป็นการส่ารวจใน นักศึกษาหญิงของ
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ท่เี ข้าร่วมการศึกษาด้วยการสมุ่ อยา่ งง่าย (simple random) และ
ตอบแบบสอบถามท่ีประกอบด้วยค่าถามเร่ืองความรู้เรื่องโรคมะเร็งปากมดลูกจ่านวน 14 ค่าถาม ค่าถามความรู้
วัคซีนป้องกนั มะเร็งปากมดลกู 8 ค่าถาม และคา่ ถามดา้ นทศั นคติในการฉีดวคั ซีน HPV 8 คา่ ถาม วเิ คราะห์ขอ้ มูล
โดยใช้โปรแกรม SPSS ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจ่านวน 402 คน มีอายุ 20.55 1.35 ปี ศึกษา
ในคณะดา้ นวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ 99 คน และคณะทีไ่ ม่เกย่ี วข้องกับวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ จา่ นวน 303 คน นกั ศกึ ษา
มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกและการติดเชื้อ HPV ระดับปานกลาง โดยมีคะแนนความรู้
7.09 3.09 (คะแนนเต็ม 14) และ มีความรู้เรื่องวัคซีนป้องกันการติดเช้ือ HPV ระดับต่า โดยมีคะแนนความรู้
3.18 2.31 คะแนน (คะแนนเต็ม 8) อย่างไรก็ตาม ทราบว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เป็นหน่ึงใน
วิธีการป้องกันมะเรง็ ปากมดลกู (ร้อยละ 80.5) และ จา่ เปน็ ต้องตรวจคดั กรองมะเร็งปากมดลกู (ร้อยละ 76.4) ด้าน
ทัศนคตินั้น ผู้เข้าร่วมวิจัยเช่ือว่าวัคซีน HPV จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้ มีความตั้งใจที่จะได้รับวัคซีน
และจะแนะน่าให้ผู้อื่นเข้ารับการฉีดวัคซีน (4= เห็นด้วย; มากกว่าร้อยละ 45) และเห็นด้วยอย่างย่ิง (5= เห็นด้วย
อย่างยิ่ง; ร้อยละ 41.5) ว่าส่ือเป็นสิ่งสา่ คญั ท่ีช่วยในการตัดสินใจท่ีจะรับวัคซนี โดยสรุป ควรให้ความรู้เร่ืองวคั ซีน
HPV และมีการสร้างเสรมิ ทัศนคตกิ ารได้รับวัคซนี HPV โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในนกั ศกึ ษามหาวิทยาลัย เพ่ือการปอ้ งกัน
โรคมะเรง็ ปากมดลูกได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
Corresponding author : Kamonthip Wiwattanawongsa, E-mail : [email protected] ~ 53 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การศกึ ษาข้อมลู ยอ้ นหลงั การใชย้ าเพอ่ื ปอ้ งกันภาวะลม่ิ เลอื ดในหลอดเลอื ดดา และอุบตั ิการณ์การเกิดภาวะลม่ิ
เลอื ดอดุ ตันในหลอดเลอื ดดาในผู้ปว่ ยบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
จารวี จติ รบรรเจิดกลุ 1, ณัฐสรุ ยี ์ ปรญิ ญาคุปต1์ , ณิชาภัทร เจรญิ ญาณพนั ธ์1, ธัญลักษณ์ ศรแี ผ้ว1, ฐติ มิ า ดว้ งเงิน2,
โอสรี อัครบวร3, ปรารถนา ไชยนริ มล3
1นักศกึ ษาเภสัชศาสตร์ ชน้ั ปีที่ 5 สาขาการบริบาลทางเภสชั กรรม, 2ภาควิชาเภสชั กรรมคลนิ ิก, คณะเภสชั ศาสตร,์
มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร,์ 3ภาควิชาศลั ยศาสตร,์ คณะแพทยศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ภาวะลิม่ เลือดในหลอดเลอื ดด่า (venous thromboembolism, VTE) ประกอบดว้ ยภาวะลม่ิ เลอื ดในหลอด
เลือดด่าลึก (deep vein thromboembolism, DVT) และภาวะล่ิมเลือดอุดตันท่ีปอด (pulmonary embolism,
PE) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยท่ีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (trauma) และสามารถป้องกันได้ด้วย
การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และ/หรือการใช้อุปกรณ์เชิงกลเพื่อเพ่ิมการไหลเวียนของเลือด การศึกษานี้มี
วัตถุประสงค์เพ่ือส่ารวจอัตราการให้ยาเพื่อป้องกันการเกิด VTE ในผู้ป่วย trauma ที่เข้ารับการรักษาตัวใน
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และอบุ ตั ิการณข์ อง symptomatic VTE ในผ้ปู ว่ ยกลุม่ น้ี วิธีการ: เก็บข้อมูลผปู้ ่วยท่เี ขา้
รักษาในหอผู้ป่วยอุบัติเหตุ โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์ ระหว่างวันท่ี 1 มกราคม 2558 – 31 ธันวาคม 2558 โดย
เกณฑก์ ารคดั ออก คอื ผปู้ ่วยทส่ี ่งตอ่ มาจากโรงพยาบาลอื่น และผูป้ ว่ ยทีไ่ ดร้ บั บาดเจบ็ เฉพาะท่ีตา หรอื หู คอ จมูก ผล
การศึกษา: จากการสา่ รวจเบอ้ื งต้นในผู้ป่วย 158 คน พบวา่ ผปู้ ่วยมีอายุเฉลี่ย 40 + 17.26 ปี (มธั ยฐาน 37 ปี) เป็น
เพศชาย 143 คน เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลระหว่าง 3 ถึง 158 วัน (มัธยฐาน 12 วัน) สาเหตุของการเกิด
อุบัติเหตุที่พบบ่อย คือ อุบัติเหตุทางรถยนต์ รองลงมาคือ ล้มหรือตกจากท่ีสูง มีผู้ป่วยท่ีเกิดกระดูกหักอย่างน้อย 1
ต่าแหน่งจ่านวน 111 คน ในจ่านวนนี้พบผู้ป่วยเกิด symptomatic DVT 2 คน ไม่พบรายงานการเกิด
symptomatic PE และมีผู้ป่วยจ่านวน 17 คน ท่ีได้รับยาเพื่อป้องกันการเกิด VTE ในขณะเข้ารับการรักษาใน
โรงพยาบาล
* หมายเหตุ ข้อมลู ท่ีน่าเสนอเปน็ ข้อมูลเบอื้ งตน้ ท่ียังไม่สมบูรณ์ และผู้วจิ ยั อยูใ่ นกระบวนการเก็บขอ้ มลู
Corresponding author : Thitima Doungngern, E-mail : [email protected] ~ 54 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การสารวจความเขา้ ใจและแนวทางการจ่ายยาคลายกล้ามเน้อื ของเภสัชกรชุมชนในรา้ นยาและ
สารวจพฤตกิ รรมการใชย้ าคลายกลา้ มเนอื้ ของประชาชน ในเขตจงั หวดั สงขลา
(Preliminary results, not for citation)
ขวัญกมล เหล็กหมาด, จันทกานต์ ศรปี ระยูรไพศาล, ณัฐฐากาญจน์ บญุ ศริ ,ิ ณฐั วฒั น์ พุทธชาติ,
ณฐั าศริ ิ ฐานะวฑุ ฒ์
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินกิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ยาคลายกล้ามเน้ือมขี ้อบ่งใช้เป็นยาเสรมิ ในการบรรเทาอาการเจบ็ ปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อแบบ
เฉียบพลันในระยะส้ัน ๆ (ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์) ส่าหรับในประเทศไทยพบว่ามกี ารใช้ยากลุม่ ดังกล่าวอย่างแพรห่ ลาย
รวมท้ังการจ่ายยาในร้านยา การศึกษาน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่ารวจพฤติกรรมการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อของ
ประชาชนในเขตอ่าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ประชาชนอายุมากกว่าหรือเท่ากับ
18 ปี ในจังหวดั สงขลา ผลการศกึ ษานา่ รอ่ งในกลมุ่ ตัวอย่าง 50 ราย พบว่าเมอ่ื มอี าการเจ็บป่วยเลก็ นอ้ ยกล่มุ ตัวอย่าง
จะเลือกใช้บริการจากร้านขายยามากที่สุด (ร้อยละ 56) โดยมีเหตุผล คือ สะดวก (ร้อยละ60.7) รวดเร็ว (ร้อยละ
57.1) และใกล้ (ร้อยละ10.7) เป็นต้น สา่ หรับอาการปวดเมื่อยกล้ามเน้ือ พบวา่ ภายใน 1 เดือนที่ผา่ นมากลุม่ ตัวอย่าง
มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคิดเป็นร้อยละ 72 โดยร้อยละ 16.7 ซื้อยารับประทานเอง ร้อยละ 8.4 ใช้บริการใน
โรงพยาบาลของรัฐหรือคลนิ ิกเอกชน แต่สูงถึงร้อยละ 58.3 ไม่ได้รักษาใด ๆ โดยมีเหตุผลหลัก คือ เคยมีอาการแล้ว
สามารถหายเองได้ ยาที่กลุ่มตวั อย่างใชร้ ักษาอาการปวดกลา้ มเนือ้ ใน 1 เดือนที่ผา่ นมา คอื ยาคลายกล้ามเน้อื ร่วมกบั
ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ร้อยละ 26.7) และยาคลายกล้ามเน้ือหรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เพียง
ชนิดเดียว (ร้อยละ 6.7) ส่วนประวัติการใช้ยาคลายกล้ามเน้ือของกลุ่มตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 84 รู้จักยาคลาย
กล้ามเน้ือ ร้อยละ 52 เคยใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ โดยได้รบั ยาจากร้านขายยามากท่ีสุด (ร้อยละ 57.7) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้
ยาคลายกล้ามเน้ือติดต่อกันไม่เกิน 1 สัปดาห์ (ร้อยละ 88.5) ส่าหรับการใช้ยาคลายกล้ามเน้ือในผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้น
ไป) พบวา่ มกี ารใช้ยาคลายกลา้ มเนอื้ คิดเปน็ ร้อยละ 11.5
Corresponding author : Nattasiri Thanawuth, E-mail : [email protected] ~ 55 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนักศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
ผลกระทบของมาตรการควบคุมการขายยา dextromethorphan และยากลมุ่ antihistamine
ตามประกาศสานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ต่อการปฏิบัติวิชาชพี เภสชั กรรมชมุ ชน
กติ ตินันท์ จันวฒั นะ, ทดั เทพ วิไลพันธ์ุรตั นา, พีรพงศ์ ประไพ, สงวน ลอื เกียรติบัณฑติ , มาลี โรจน์พบิ ูลสถิตย์
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลนิ กิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ยา dextromethorphan และยากลุ่ม antihistamine จัดเป็นยาอันตรายท่ีจ่าหน่ายได้ในร้านยา พบว่า
ในราว 10 ปีท่ีผ่านมามีปัญหาการน่ายาท้ังสองชนิดไปใช้ในทางที่ผิดในหมู่วัยรุ่นเพ่ือหวังผลเสพติด ทางส่านักงาน
คณะกรรมการอาหารและยาไดอ้ อกประกาศในราชกิจจานเุ บกษา เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงอ่ื นไขในการขายยา
เม่ือวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ก่าหนดให้ผรู้ บั อนุญาตขายยาจัดท่าบญั ชีการขายยาอันตราย (ข.ย.11) ของยาชนิด
ดังกล่าว การวิจัยนี้จึงมีวตั ถุประสงค์เพ่ือศกึ ษาผลท่ีเกิดข้ึนจากมาตรการควบคุมการขายยา dextromethorphan
และยากลุ่ม antihistamine ต่อการปฏบิ ัตงิ านและการปรับตวั ของเภสชั กร โดยการสมั ภาษณ์เชิงลึกกับเภสชั กรร้าน
ยาจ่านวน 15 คน ในเขตอ่าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จ่าแนกผลที่เกิดขึ้นจากมาตรการออกเป็น 4 ประเด็นหลกั
ซ่ึงได้ผลดังน้ี คือ 1) ความคิดเห็นของเภสัชกรชุมชนต่อมาตรการน้ีส่วนใหญ่ เห็นว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการ
แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ 2) ผลที่เกิดข้ึนจากมาตรการนี้ พบว่าข้อดีจากมาตรการนี้สามารถช่วยคดั กรองคนท่ีจะนา่ ยา
ไปใช้ในทางท่ีผิด ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการจ่ายยา ส่วนข้อเสียหรอื ผลกระทบจากมาตรการน้ี
ท่าให้เพิ่มภาระงานในการท่าบัญชี ข.ย.11 เพ่ิมระยะเวลาในการบริการ ผู้มารับบริการรอนานขึ้น จัดซื้อจัดหายาได้
ยากขึ้น จ่านวนยอดขายยากลุ่มน้ีลดลงโดยเกิดกับร้านยาประเภทขายส่ง 3) การปรับตัวของเภสัชกรชุมชนต่อ
มาตรการนีพ้ บว่า มีการเปลย่ี นพฤตกิ รรมในการจา่ ยยาของเภสัชกร เลี่ยงไปใช้ยาแก้ไอกล่มุ อน่ื หรือยาขยายหลอดลม
แทน หรอื การใช้ยาสมุนไพรซ่ึงประสิทธภิ าพในการแกไ้ อยังไม่แน่ชัด ลดจา่ นวนย่ีหอ้ ของยาทถี่ ูกควบคมุ ลง 4) ความ
คิดเห็นของเภสัชกรชุมชนต่อมาตรการทางเลือกอ่ืนเพ่ือป้องกันปัญหาการน่ายาไปใช้ในทางท่ีผิด เภสัชกรอยากให้
ยกเลิกการท่าบัญชี ข.ย.11 ของยากลุ่มน้ี และควบคุมเฉพาะยาบางตัวท่ีมีปัญหา ควบคุมบริษัทยาหรือผู้แทน
จ่าหน่ายยาโดยตรง ให้ด่าเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและพักใช้ใบอนุญาตขายยาต่อผู้ท่ีท่าผิดอย่างจริงจัง
รวมท้งั ในส่วนของเภสชั กรเองควรตระหนักยึดมนั่ ต่อจรรยาบรรณวชิ าชีพ
Corresponding author : Malee Rojpitbulstit, E-mail : [email protected] ~ 56 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
การใช้ยาปฏชิ วี นะใหแ้ ก่เด็กดว้ ยตนเอง: พฤติกรรมของผปู้ กครอง
ชนนิภัทร ว่นุ ดี, ศภุ ณัฐ หยองบางไทร, สุรัตนา สุขานนท์สวัสด,์ิ โสภานนั ท์ บญุ ล้อม, วรนชุ แสงเจริญ
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลินกิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การใช้ยาดว้ ยตนเอง (self-medication) เปน็ การเลือกหรอื ใชย้ าโดยผูป้ ่วยเพื่อรกั ษาอาการป่วยของตวั เอง
หรือคนในครอบครัว โดยปราศจากค่าแนะน่าจากแพทย์ ในการศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของ
ผู้ปกครองในการใช้ยาปฏิชีวนะให้แก่เด็กด้วยตนเอง โดยการเก็บข้อมูลเชิงส่ารวจ (Survey research) จากการ
สัมภาษณ์ผู้ปกครองของเด็กอายนุ ้อยกว่า 12 ปี ผลการวิจัยพบว่า สาเหตุที่ผู้ปกครองมีการใช้ยาปฏิชีวนะให้แก่เดก็
ด้วยตนเองได้แก่ อาการของเด็กไม่รุนแรง คิดเป็นร้อยละ 71.4 ไปซ้ือยาท่ีร้านยา รวดเร็ว เสียเวลาไม่นาน คิดเป็น
ร้อยละ 71.4 ร้านยาอยู่ใกล้บ้าน คิดเป็นร้อยละ 57.1 อาการของเด็กเหมือนอาการคร้ังก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ
42.9 และเม่ือมียาเก็บไว้ที่บ้านจะสะดวกต่อการหยิบใช้ คิดเป็นร้อยละ 42.9 และใช้ยาในปริมาณน้อยได้ คิดเป็น
ร้อยละ 42.9 โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่จะให้เด็กหยุดกินยาปฏิชีวนะเม่ืออาการหาย คิดเป็นร้อยละ 57.1 และ
ระยะเวลาท่ีผปู้ กครองสว่ นใหญ่ใหเ้ ดก็ กินยาปฏิชีวนะ คอื 3-4 วัน คิดเป็นรอ้ ยละ 71.4
Corresponding author : Woranuch Saengcharoen, E-mail : [email protected] ~ 57 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
ศึกษาข้อมลู ย้อนหลงั ของภาวะถอนแอลกอฮอล์ ณ โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครนิ ทร์
พิมสุญานนท์ ภทั รสสุ ิริกลุ , วภิ าดา ภริ มยพ์ ร, ศริ ิวิทย์ อรโุ ณศรสี กลุ , วันทนา เหรยี ญมงคล
ภาควิชาเภสัชกรรมคลนิ กิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การวจิ ัยนม้ี ีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลการเกดิ ภาวะถอนแอลกอฮอล์ การจัดการทางคลินิก
และอุบัติการณ์การเกิด delirium จากการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยใน ท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะถอน
แอลกอฮอล์ (alcohol withdrawal syndrome) และเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์
ในช่วงระหวา่ งวนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2555 ถึง วันท่ี 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 จ่านวนผูป้ ่วยทัง้ สิน้ 113 ราย โดยแบง่
ผู้ป่วยจากความรุนแรงของอาการตาม Alcohol Withdrawal Scale score (AWS score) ได้ 3 ระดับ ดังน้ีคือ
ระดับ mild จ่านวน 50 ราย moderate จ่านวน 20 ราย และ severe จ่านวน 43 ราย และมีผู้ป่วยเกิด delirium
จา่ นวน 28 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 24.8 ซ่งึ จัดอยู่ในกล่มุ ผูป้ ่วยทีม่ ีภาวะถอนแอลกอฮอล์อยู่ในระดบั severe จา่ นวน 16
ราย คิดเป็นร้อยละ 57.14 ในผู้ป่วยท่ีเกิด delirium มีประวัติการชักจ่านวน 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 32.14 ประวัติ
บาดเจ็บที่ศีรษะจ่านวน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.6 และมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์เฉล่ีย 28.21 drink/วัน
การจัดการทางคลินิกในผ้ปู ่วยที่มีภาวะถอนแอลกอฮอล์พบว่ายังคงใช้ benzodiazepines เป็นยาหลักในการรักษา
ยาท่ีมีการใช้บ่อยได้แก่ lorazepam และ diazepam ในกลุ่มผู้ป่วยอาการระดับ mild และ moderate มีผู้ป่วยที่
ได้รับยา diazepam จ่านวน 24 ราย โดยสามารถลดระดับ AWS score ได้เฉล่ีย 1.92 คะแนน ผู้ป่วยที่รับยา
lorazepam มีจ่านวน 17 ราย โดยสามารถลดระดับ AWS score ได้เฉล่ีย 2.06 คะแนน ส่วนผู้ท่ีมีภาวะถอน
แอลกอฮอล์ระดับ severe มักไดร้ ับ diazepam รปู แบบฉีดร่วมดว้ ย พบวา่ ผ้ปู ่วยจ่านวน 7 ราย ทไ่ี ดร้ บั diazepam
รูปแบบฉีดร่วมกับรูปแบบรับประทานสามารถลดระดับ AWS score ได้เฉลี่ย 5.86 คะแนน และผู้ป่วยจ่านวน 14
ราย ทไ่ี ดร้ บั diazepam รูปแบบฉดี ร่วมกับ lorazepam รปู แบบรบั ประทานสามารถลดระดบั AWS score ได้เฉลยี่
6.21 คะแนน
Corresponding author : Wantana Reanmongkol, E-mail : [email protected] ~ 58 ~
การประชุมวิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2558
ความรู้ของเภสชั กรชุมชนสาหรับผปู้ ่วยทเ่ี กดิ อาการไม่พึงประสงคท์ างผิวหนงั จากยา
สรุปพล ศรรี ักษา, ธนาภา จหู อ้ ง, วรัชยา ช่วยกาญจน์, สุกญั ญา ศรนี วล, วลิ าวัณย์ ทองเรือง
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลนิ กิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ร้านยาเป็นหน่วยบริการสขุ ภาพที่ใกล้ชิดกับประชาชน ไม่เพียงแต่ท่าหน้าท่ีด้านการกระจายยาเท่าน้ัน แต่
ยังมีบทบาทส่าคัญเปรียบเสมือนเป็นท่ีพ่ึงด้านสุขภาพของชุมชน เป็นทางเลือกหน่ึงของประชาชนในการใช้บริการ
เม่ือมีอาการหรือเจ็บป่วยเบ้ืองต้น ในการศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่ารวจความรู้ของเภสัชกรชุมชนในการ
จัดการผู้ป่วยที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังจากการใช้ยา ท่าการศึกษาโดยเก็บข้อมูลในเภสัชกรชุมชนที่
ปฏิบัติการในรา้ นขายยา ขย.1 ในอ่าเภอหาดใหญ่ และ อ่าเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยใช้กรณีศึกษาผู้ปว่ ยทเ่ี กดิ ผนื่
หลงั จากใช้ยา และ ใช้แบบเกบ็ ขอ้ มูล ซง่ึ แบง่ เป็น 2 สว่ น คอื ส่วนที่ 1 เปน็ ขอ้ มลู ท่วั ไปของเภสชั กร ใหเ้ ภสชั กรเป็นผู้
กรอกข้อมูลเอง และส่วนท่ี 2 เป็นข้อมูลเก่ียวกับทักษะของเภสชั กร ผู้วิจัยเป็นผบู้ ันทึกข้อมูล ผลจากการส่ารวจร้าน
ยาทั้งหมด 68 ร้าน เข้าร่วมโครงการท้ังสิ้น 21 ร้าน พบว่าเภสัชกรชุมชนท่ีสามารถซักประวัติได้อย่างครบถ้วน
จ่านวน 3 คน (ร้อยละ 14.28) โดยแต่ละค่าถามมีจา่ นวนการถามดังน้ี ใครมีอาการ จ่านวน 19 คน (ร้อยละ90.48)
เวลาท่ีเร่ิมพบอาการ จ่านวน 20 คน (ร้อยละ 95.24) ลักษณะอาการท่ีพบ จ่านวน 20 คน (ร้อยละ95.24) ประวัติ
การใชย้ าหรือยาท่ีได้รบั ก่อนแสดงอาการ จา่ นวน 16 คน (รอ้ ยละ 76.19) เคยมอี าการแบบนี้มาก่อนหรือไม่ จา่ นวน
14 คน (ร้อยละ 66.67) มีอาการอ่ืนรว่ มด้วยนอกจากผื่นหรอื ไม่ จ่านวน 14 คน (ร้อยละ 66.67) ใช้ยาอะไรบรรเทา
อาการมาก่อนหรอื ไม่ จ่านวน 11 คน (ร้อยละ 52.38) มโี รคร่วมหรือโรคประจ่าตวั อืน่ หรอื ไม่ จา่ นวน 5 คน (ร้อยละ
23.81) ประวัติการแพ้ จ่านวน 15 คน (ร้อยละ 71.43) ประวัติการใช้ยาในอดีต จ่านวน 13 คน (ร้อยละ 61.30)
หยุดยาทที่ านอยู่แล้วหรอื ไม่ จา่ นวน 9 คน (ร้อยละ 42.86) อาการของผู้ปว่ ยภายหลงั หยุดยา จา่ นวน 3 คน (ร้อยละ
14.28) ประวัติการสัมผัสสารอ่ืนท่ีอาจท่าให้เกิดผื่นได้ จ่านวน 15 คน (ร้อยละ 71.43) และ เภสัชกรชุมชนท่ี
วนิ ิจฉัยวา่ แพ้ยา จา่ นวน 12 คน (ร้อยละ 57.14) จากการศกึ ษาสรุปได้วา่ เภสชั กรชุมชนสว่ นใหญย่ ังมีการซกั ประวัติ
ทไ่ี มค่ รบถว้ นท่าให้ไมม่ ขี ้อมลู เพยี งพอท่จี ะสรุปผลว่า ผ่นื ทเ่ี กดิ ขน้ึ มีสาเหตุจากการใช้ยา
Corresponding author : Wilawan Thongraung, E-mail : [email protected] ~ 59 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การประเมนิ ความเหมาะสมของการสั่งใช้ยา PPI (omeprazole)ทีศ่ นู ย์บรกิ ารสาธารณสขุ เทศบาลเมืองบา้ นพรุ
เขมจิตตรา สุวรรณบบุ ผา, ณฐั ชนก บญุ ยัง, สุมน ปรชี าวฒุ ินนั ท์ ,อมลมณี ทศพศิ นิจธเนศ,
อาไพ อกั ษรศิริ, ศิรมิ า มหทั ธนาดุลย์
ภาควชิ าเภสัชกรรมคลนิ ิก, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสุข เทศบาลเมอื งบ้านพรุ เป็นศูนยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ซง่ึ มผี ปู้ ว่ ยสว่ นใหญ่ทมี่ ารับบรกิ าร
เปน็ ผู้สูงวยั และเปน็ โรคเรือ้ รงั จากขอ้ มลู อัตราการส่งั ใชย้ าของศูนยฯ์ พบว่า มีอัตราการสั่งใชย้ า omeprazole ซงึ่ เป็น
ยาในกล่มุ proton pump inhibitors (PPIs) ในปรมิ าณท่สี งู ตดิ อนั ดบั 1 ใน 10 อนั ดบั ยาท่มี มี ลู คา่ การใชส้ งู
เนือ่ งจากการใช้ยากลมุ่ PPIs มีรายงานความเสยี่ งต่อการเกดิ กระดกู ข้อสะโพกหรือกระดูกสันหลงั แตกในหญงิ สงู อายุ
ไดเ้ มื่อไดร้ ับยาในขนาดสงู หรอื ใช้ยาเป็นระยะเวลานานมากกวา่ 1 ปี และการเกดิ อนั ตรกริ ยิ าระหวา่ งยากบั ยาอน่ื สงู
การศกึ ษาวจิ ยั นจี้ ึงมีวตั ถุประสงค์เพ่อื ประเมนิ ความเหมาะสมในการสัง่ จา่ ยยา omeprazole ดา้ นข้อบง่ ใช้ ขนาดยา
การเกิดอันตรกิริยาระหวา่ งยา และระยะเวลาการรักษา จากการให้บรกิ ารในศนู ยบ์ ริการสาธารณสขุ เทศบาลเมอื ง
บา้ นพรุ เพ่ือหาแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาและพฒั นาคณุ ภาพในการส่ังใช้ยา omeprazole อยา่ งสมเหตุสมผล โดย
ท่าการเก็บข้อมลู ผปู้ ว่ ยทใี่ ช้ยากลมุ่ omeprazole ในช่วงวันท่ี 1 เมษายน – 30 กนั ยายน 2558 วิเคราะห์หาปญั หา
การใช้ยาทไ่ี ม่เหมาะสม สร้างแนวทางการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลตอ่ ปัญหาการใชย้ าไมเ่ หมาะสมทพ่ี บและ แนวทาง
แทรกแซงทเ่ี หมาะสมกับลกั ษณะการบริการของศนู ย์บริการสาธารณสุข เทศบาลเมอื งบา้ นพรุ
ผลการเก็บข้อมูลก่อนการแทรกแซง พบว่า มีจ่านวนผู้ป่วยที่มีการส่ังใช้ยา omeprazole 372 คน อายุ
เฉล่ีย 54.17 ± 17.95 ปี มีการส่ังใช้ยาโดยไม่มีข้อบ่งใช้ (4.8%) มีการส่ังใช้ยาตามข้อบ่งใช้เรียงล่าดับจากน้อยไป
มากดังนี้ Peptic ulcer (3.2%), GERD (13.7%) Dyspepsia (22.3%) และการใช้เพื่อป้องกันการเกิด peptic
ulcer จากยาอื่น 55.9% โดยเป็นการใช้ร่วมกับ NSAIDs (42.2%) ใช้ร่วมกับ Aspirin (12.9%) และใช้ร่วมกับ
Prednisolone (0.8%) ปัญหาความไม่เหมาะสมของการสั่งใช้ยาโดยส่วนใหญ่คือ การใช้ยาไม่สอดคล้องต่อระยะ
เวลาในการรักษา (34.2%) โดยเฉพาะการใชย้ ารักษาโรค Dyspepsia การใช้ยาไม่สอดคลอ้ งกบั ขนาดยาและวิธกี าร
ให้ยา (30.8%) โดยเฉพาะการใช้ยารักษาโรค GERD และการใช้ยาไม่สอดคล้องกับข้อบ่งใช้ (4.8%) เม่ือพิจารณา
ความเหมาะสมในการสั่งใช้ยา omeprazole ร่วมกับ NSAIDs พบมีการสั่งใช้ยาไม่สอดคล้องตาม criteria คิดเป็น
ร้อยละ 44.6 เนือ่ งจากศนู ย์บรกิ ารสาธารณสุข เทศบาลเมืองบ้านพรุ ไมม่ ีแพทยป์ ระจ่า และเพื่อให้เกดิ ความร่วมมือ
ของแพทย์ในการสัง่ ใช้ยาต่อปัญหาที่พบอย่างสมเหตสุ มผล จึงเลือกวิธีการแทรกแซงโดยการจดั ท่าแฟ้มแนวทางการ
ใช้ยาท่ีเหมาะสมต่อปัญหาที่พบ และเภสัชกรประจ่าศูนย์ฯ เป็นผู้ประสานท่าการแทรกแซงและบันทึกผลการใช้ยา
หลงั การแทรกแซง เพอื่ เปน็ ข้อมูลในการแกไ้ ขปัญหาและพฒั นาคุณภาพในการสง่ั ใชย้ า omeprazole ตอ่ ไป
Corresponding author : Sirima Mahattanadul, E-mail : [email protected] ~ 60 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
ผลของการใชบ้ ทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เร่อื ง แนวทางการบริหารยาทางหลอดเลือดดา
และความเข้ากนั ของยาฉดี ในนกั ศึกษาชน้ั ปที ี่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ขนษิ ฐา จฐู านพงศ,์ จฑุ ามาศ ศรสี ุวรรณ, เจนศนุ ี เพช็ รสวัสด,์ิ วราภรณ์ เมฆลา,
วชิ าญ เกตจุ นิ ดา, กฤษณ์ สขุ นนั ทร์ธะ, สริ มิ า สติ ะรโุ น
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ภาควิชาเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินกิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
ความคลาดเคล่ือนทางยาท่ีเกิดจากการบริหารยาฉีดเข้าหลอดเลือดดา่ เกิดข้ึนไดง้ ่ายและอาจสง่ ผลใหเ้ กดิ
อันตรายต่อผ้ปู ่วยในข้ันรุนแรงได้ บุคลากรทางการแพทย์ท่ีมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยาฉีดเข้าหลอดเลอื ดด่า
จ่าเป็นต้องมีทักษะและความช่านาญ รวมถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารยาทางหลอดเลือดด่าและความ
เข้ากันของยาฉีดก่อนบริหารยาให้แก่ผู้ป่วย การน่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted
Instruction : CAI) ซ่ึงเป็นสื่อรูปแบบปฏิสัมพันธ์ ดึงดูดความสนใจ กระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียน และเน้นผู้เรียน
เปน็ ศูนย์กลางมาใชใ้ นการเรยี นการสอนหวั ขอ้ การบริหารยาทางหลอดเลือดด่าและความเขา้ กนั ของยาฉีดนา่ จะท่าให้
ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น โครงงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
ความพงึ พอใจของนกั ศึกษาชนั้ ปที ่ี 5 โดยการใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เรือ่ งแนวทางการบริหารยาทางหลอด
เลือดด่าและความเข้ากันของยาฉีด กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาช้ันปีที่ 5 ประจ่าปีการศึกษา 2558 สาขาวิชาการ
บริบาลทางเภสชั กรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ่านวน 48 คน โดยใช้เคร่ืองมือในการวิจยั
คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นท้ังก่อนและหลังเรยี น และแบบประเมนิ
ความพงึ พอใจต่อสอื่ การเรยี นการสอน วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยการหาคา่ เฉลีย่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เปรียบเทยี บ
ความแตกต่างผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนและหลงั เรยี นโดยใช้สถติ ิ pair T-test ผลการศกึ ษาเบ้ืองตน้ ในประชากร
กลุม่ ยอ่ ย (pilot study) จา่ นวน 16 คน พบว่าผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังการใช้บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ย
สอนเท่ากับ 48.75/120 คะแนน และ 65.63/120 คะแนน ตามล่าดับ การประเมินความพึงพอใจโดยภาพรวมจาก
ผู้ใช้ส่ือการเรียนการสอนจ่านวน 11 คน อยู่ในระดับมาก (คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.82) ซ่ึงจะเห็นได้ว่าบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนได้ ทั้งนี้ควรมีการพัฒนาด้านความถูกต้อง และ
ระดับความยากง่ายของแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเพ่ือให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความสมบูรณ์
มากยิง่ ข้ึน
Corresponding author : Sirima Sitaruno, E-mail : [email protected] ~ 61 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
ผลการรกั ษาการตดิ เช้ือ Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ทกี่ ระดูกและขอ้ ดว้ ยยา
Fusidic acid
จิรายุ มพี ัฒน,์ ดลพร หนูแกว้ , ศรัญญู ชูศร,ี สุทธพิ ร ภัทรชยากลุ , ดษิ ยา วฒั นาไพศาล
ภาควชิ าเภสัชกรรมคลนิ กิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
Methicillin resistant Staphylococcus aureus (MRSA) เปน็ เชือ้ กอ่ โรคในโรงพยาบาล ทดี่ ้ือตอ่ ยาตา้ น
จุลชีพหลายชนิด จากรายงานความไวของเช้ือ MRSA จ่านวน 96 สายพันธุ์ ที่แยกได้จากผู้ป่วยท่ีเข้ารักษาตัวใน
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ในระหว่างปี พ.ศ. 2554 ถึง 2555 พบว่าเชื้อยังคงไวต่อยา vancomycin, linezolid
และ fusidic acid ร้อยละ 100 การรักษาการติดเชือ้ MRSA ท่กี ระดูกและขอ้ ใช้ระยะเวลาในการรักษานาน (อย่าง
น้อย 4 ถึง 6 สัปดาห์) ในช่วงแรกผู้ป่วยควรได้รับยาต้านจุลชีพแบบฉีดเข้าหลอดเลือดด่า หลังจากนั้นถ้าผู้ป่วยมี
อาการทางคลินิกที่ดีข้ึนสามารถเปล่ียนจากยาฉีดเป็นยารูปแบบรับประทาน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มียา
รบั ประทานท่ีใชใ้ นการรกั ษาการติดเชือ้ MRSA อยู่ 2 ชนดิ คือ fusidic acid และ linezolid แต่ linezolid เป็นยาท่ี
ถูกจัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี จ 2 และมีราคาแพงมาก ดังน้ัน fusidic acid จึงเป็นยาท่ีถูกเลือกใช้เป็น
ลา่ ดับแรกในข้อบง่ ใช้ดงั กลา่ วในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อย่างไรก็ดีจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าขอ้ มลู ด้าน
ประสิทธิภาพของการใชย้ า fusidic acid ในการรกั ษาการตดิ เชือ้ MRSA ทกี่ ระดกู และขอ้ มีคอ่ นข้างจ่ากัด การศึกษา
นี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการรักษาการติดเช้ือ MRSA ที่กระดูกและข้อ ด้วยยา fusidic acid โดยการเก็บ
รวบรวมข้อมูลย้อนหลัง (ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย การวินิจฉัยการติดเชื้อ ยาที่ใช้รักษา ระยะเวลาในการรักษา
ผลลัพธ์การรักษา) จากการทบทวนเวชระเบียนผู้ปว่ ยทไี่ ด้รับยา fusidic acid สา่ หรบั การรกั ษาการติดเชื้อ MRSA ที่
กระดูกและข้อ ในระหว่าง 1 มกราคม พ.ศ. 2554 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2559 ท่าการบันทึกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม
เก็บข้อมูล จากน้ันน่าข้อมูลมาวิเคราะห์เป็นผลลัพธ์การรักษา (ประสบผลส่าเร็จ หรือล้มเหลว) ในรูปร้อยละ ด้วย
โปรแกรม SPSS และ Microsoft excel ส่าหรับผลการศึกษายังไม่มีแสดงในที่น้ีเน่ืองจากการรวบรวมข้อมูลยังไม่
แลว้ เสรจ็
Corresponding author : Dissaya Wattanapaisal, E-mail : [email protected] ~ 62 ~
การประชมุ วชิ าการนาเสนอโครงงานนกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
การทดสอบความไวในหลอดทดลองของเช้อื Methicillin-Resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ตอ่
ยา Vancomycin ในโรงพยาบาลสงขลานครนิ ทรป์ ี พ.ศ. 2557- 2559
จุฑามาศ บุญวัง, วรี ฐ์ มิ า ดาราพงศ์, สทุ ธพิ ร ภัทรชยากลุ , ดษิ ยา วฒั นาไพศาล
ภาควิชาเภสัชกรรมคลนิ ิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ในปจั จุบนั เชื้อ MRSA มีความไวตอ่ ยา vancomycin ลดลง สง่ ผลใหผ้ ปู้ ่วยท่ตี ิดเช้ือน้ีทไ่ี ดร้ บั การรักษาด้วย
vancomycin เกิดความล้มเหลวในการรักษา ผลจากหลายการศึกษาพบว่า ค่า minimum inhibitory
concentration (MIC) ของ MRSA ต่อยา vancomycin ท่ีสูงข้ึนสัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรกั ษาการตดิ เชอ้ื นี้
ดังน้ันข้อมูล MIC ของ MRSA ต่อยา vancomycin จึงมีความส่าคัญอย่างมากในการตัดสินใจเลือกยารักษาการติด
เชื้อ MRSA ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาโรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีการทดสอบความไวของเช้ือ MRSA ต่อยา
vancomycin ด้วยวธิ ี disk diffusion ซึง่ รายงานผลไดเ้ พียงข้อมลู เชงิ คุณภาพ คอื เชือ้ ไวหรือด้ือตอ่ ยาเทา่ นน้ั ทา่ ให้
ไม่ทราบค่า MIC ที่แท้จริงของเช้ือก่อโรค วัตถุประสงค์ของการศึกษาน้ีเพื่อหาค่า MIC ของเชื้อ MRSA ต่อยา
vancomycin โดยคัดเลือกเชื้อ MRSA ที่แยกได้จากผู้ป่วยท่ีเข้ารับการรักษาใน รพ.สงขลานครินทร์ระหว่างวันที่
1 มกราคม พ.ศ.2557 ถงึ 31 มนี าคม พ.ศ. 2559 จากนน้ั ทดสอบหาค่า MIC ของเชือ้ ต่อยา vancomycin โดยใชว้ ธิ ี
E-test แล้วจึงบันทึกค่า MIC และแปลผลความไวของเชื้อต่อยาจากค่า MIC ที่ได้โดยใช้ susceptible breakpoint
ของเช้ือ S. aureus ตามค่าแนะน่าของ Clinical and Laboratory Standards Institute (CLSI) ปี 2015 แล้ว
นา่ มารายงานผลเป็นค่า MIC ตา่ สดุ , MIC สงู สุด, MIC50, MIC90, และ ร้อยละความไวของเช้อื ต่อยา vancomycin
โดยใช้โปรแกรม Microsoft excel ส่าหรับผลการศึกษายังไม่มีแสดงในท่ีน้ีเนื่องจากการรวบรวมข้อมูลยังไม่แล้ว
เสรจ็
Corresponding author : Sutthiporn Pattharachayakul, E-mail : [email protected] ~ 63 ~
การประชมุ วิชาการนาเสนอโครงงานนักศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2558
แนวทางดแู ลผปู้ ว่ ยโรคไตเร้ือรงั แบบองคร์ วม
นลินทิพย์ ชิตกลุ , ปารมี กลน่ั สมจติ ต,์ พรทพิ ย์ ดวงศรหี งส,์ มทั นาวดี นามเมือง, อุษณีย์ วนรรฆมณี
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
Chronic kidney disease หรือโรคไตเรื้อรงั เป็นปัญหาส่าคัญทางสาธารณสขุ ทั่วโลก อุบัติการณ์และความ
ชุกของโรคนั้นเพ่ิมสงู ขึ้นทุกปี ผู้ป่วยโรคไตเรอ้ื รังสว่ นใหญ่มีการด่าเนินโรคไปสู่ระยะสุดท้ายอย่างรวดเร็วซ่ึงส่งผลให้
มีอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลสูงและน่าไปสู่การเสียชีวิตได้ อีกทั้งยังสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง
ดังนั้นการชะลอความเสือ่ มของไตจึงเป็นสง่ิ ที่ส่าคัญ เพราะจะท่าให้ผู้ป่วยลดโอกาสการเป็นโรคแทรกซ้อน สามารถ
ควบคุมอาการของโรคไตได้ดีขึ้น รวมทั้งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้
อย่างไรก็ตามวธิ กี ารชะลอการเสื่อมของไตอาจไม่สอดคล้องกับวถิ ีชวี ิตประจา่ วันของผู้ปว่ ยเนื่องจากผู้ป่วยต้องปฏิบัติ
ตามการรักษาของแพทยอ์ ยา่ งเคร่งครดั อาจสง่ ผลให้ผูป้ ่วยไม่มีความสุขและมีคณุ ภาพชีวิตลดลงได้ จากข้อมูลขา้ งต้น
จึงเป็นท่ีมาของวัตถุประสงค์ของการศึกษาน้ีเพ่ือต้องการหาแนวทางในการดูแลผปู้ ว่ ยโรคไตที่เน้นการดูแลแบบองค์
รวม ที่นอกจากจะการให้ความสนใจในเรื่องทางด้านการรักษาแล้ว แต่ยังมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยมีความสุขในการรักษา
ตัวเอง การวจิ ยั ไดน้ า่ หลกั การดูแลของ holistic care มาใชใ้ นการออกแบบโดยให้ความส่าคญั ไปท่ีมติ ิกาย ใจ สังคม
และจิตวิญญาณ โดยให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท่ี 1-3 ร่วมออกแบบการรักษาร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่ง
ประกอบไปด้วย แพทย์ เภสัชกร นักโภชนากร หลังจากนั้นจะมีการลงเยีย่ มบ้านเดือนละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือนเพ่ือ
ประเมนิ ความสามารถในการทา่ กิจวตั รประจา่ วันด้วยแบบประเมิน EQ5D ประเมินการจดั การตนเองดว้ ย PIH score
วัด Quality of life ด้วย Quality of life Short Form (KDQOL-SF TM) Thai Version แสดงความคิดเห็นด้วย
แบบฟอร์มแสดงความคิดเห็นในการดแู ลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโดยใช้หลัก Holistic care ซ่ึงตอนน้ีการวิจัยก่าลังอยู่ใน
ข้ันตอนการพิจารณาด้านจรยิ ธรรม
Corresponding author : Usanee Wanankamanee, E-mail : [email protected] ~ 64 ~