กำหนดกำรโครงกำรประชุมวิชำกำรผลงำนวิจัยและนวตั กรรมของนกั ศกึ ษำเภสัชศำสตร์ ประจำปีกำรศึกษำ 2559
ในวันเสำรท์ ี่ 29 เมษำยน 2560 ณ หอ้ งประชมุ สนุ ำลนิ ี นโิ ครธำนนท์ และชัน้ 5 อำคำรศูนยศ์ ึกษำและวจิ ยั เภสชั ภณั ฑ์ทักษิณ
Oral Presentation
เวลำ ชือ่ โครงงำน นักศกึ ษำ/อำจำรยท์ ่ปี รกึ ษำ
08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน ณ หอ้ งประชมุ สนุ าลนิ ี นิโครธานนท์
09.00 – 09.15 น. รองคณบดฝี า่ ยวจิ ยั และบณั ฑิตศกึ ษากลา่ วเปิดการประชุมฯ
09.15 – 09.30 น. การศึกษาผลของแสงตอ่ การสรา้ งสารไมทราจยั นนี โดย : นศภ.กัญญาณัฐ แซ่เตียว
09.30 – 09.45 น. ในพืชกระทอ่ มในหลอดทดลอง นศภ.จติ รทิวัส เนาวส์ วุ รรณ์
Development of gelatin extraction and gelatin อาจารยท์ ีป่ รึกษา : รศ.ดร.จุไรทพิ ย์ หวังสินทวกี ุล
capsule from Surimi’s waste product
โดย : นศภ.ทกั ษะ ต้งั สถิตพร
อาจารย์ท่ปี รกึ ษา : ดร.ภาณพุ งศ์ พุทธรกั ษ์
09.45 – 10.00 น. Analytical method development for DMSO โดย : นศภ.ณัฐวดี นววธิ ากาญจน์
10.00 – 10.15 น. and triamcinolone acetonide in topical นศภ.เปรมกมล จนิ วรรณ
solution for amyloidosis.
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.ชติ ชไม โอวาทฬารพร
การสังเคราะหอ์ นพุ นั ธค์ ูมารนิ เพอ่ื เปน็ สารยับย้งั
ไทโรซเิ นส โดย : นศภ.วิริยะ สุขวริ ยิ ะกุล
นศภ.รุ้งพลอย รุ่งรกั ไทย
10.15 – 10.30 น. การพัฒนามวิ ไพโรซนิ รูปแบบไฮโดรเจลสาหรบั รกั ษา
บาดแผล อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.ลอื ลกั ษณ์ ลอ้ มลมิ้
โดย : นศภ.ณฐั ชยา หลมิ สริ ิภาพ
นศภ.พจณิชา ลดาวจิ ติ รกลุ
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.ธีระพล ศรชี นะ
10.30 – 10.45 น. พกั รับประทานอาหารวา่ ง ณ ชนั้ 5 อาคารศูนยศ์ กึ ษาและวิจัยเภสชั ภณั ฑ์ทักษณิ
10.45 – 12.00 น. นาเสนอรูปแบบ Poster Presentation ณ ช้นั 5 อาคารศนู ย์ศึกษาและวจิ ยั เภสัชภณั ฑท์ กั ษณิ
12.00 – 13.00 น. พกั รับประทานอาหารกลางวัน ณ ช้ัน 5 อาคารศนู ยศ์ กึ ษาและวจิ ัยเภสชั ภัณฑท์ กั ษณิ
13.00 – 13.15 น. การพัฒนาตารบั ผลิตภัณฑท์ าความสะอาด โดย : นศภ.ธญั วรตั น์ ณ นคร
13.15 – 13.30 น. เคร่อื งสาอางและการสกัด oleosome จากเมลด็ นศภ.ศิราณี ศรที อง
13.30 – 13.45 น. ยางพารา
ลักษณะของโฆษณาผลติ ภัณฑอ์ าหารและยาผา่ น อาจารยท์ ป่ี รึกษา : รศ.ดร.ธนภร อานวยกิจ
13.45 – 14.00 น. Google ท่ีขดั ตอ่ กฎหมายอาหารและยาและนโยบาย
14.00 – 14.15 น. ด้านโฆษณาของ Google โดย : นศภ.กนกวรรณ กิจหงวน
ผลของการบริบาลทางเภสชั กรรมโดยเภสัชกรประจา นศภ.มสั รยี า การดา
บา้ นตอ่ ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลบนหออภิบาลผ้ปู ว่ ย
อายรุ กรรม โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : รศ.ดร.สงวน ลือเกียรตบิ ัณฑติ
การพัฒนา algorithm เพื่อคานวณตวั ชว้ี ดั เกยี่ วกบั โดย : นศภ.พิชญ์พิมล พลซอื่
การใชย้ าอย่างสมเหตสุ มผลในโรงพยาบาล นศภ.พมิ พพ์ ิศ แกว้ พพิ ิธภัณฑ์
นศภ.ณฏั ฐฤ์ ทยั ปญั จวงศ์
LET’S QUIT เวบ็ ไซต์ เพอ่ื ความเขา้ ใจและเขา้ ถงึ นศภ.พชิ ญา นฤมลฤทธไิ กร
บริการเลกิ บุหร่ี
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : ดร.สริ ิมา สิตะรุโน
ดร.ธนเทพ วณชิ ยากร
อ.กนกกาญจน์ ไชยกาล
โดย : นศภ.ณัฐพงศ์ พรหมรักษ์
นศภ.สหุ ฤท โชตชิ ัยพบิ ูล
นศภ.ชิษณุพงศ์ พรมชาย
อาจารย์ท่ปี รกึ ษา : รศ.วบิ ุล วงศ์ภูวรกั ษ์
รศ.ดร.โพยม วงศภ์ ูวรกั ษ์
โดย : นศภ.สุธมิ า ยอดศรี
นศภ.ปทิตตา วิหะกะรตั น์
นศภ.พชิ ญาภคั ตรที เิ พศสวุ รรณ
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : ดร.กฤษณ์ สขุ นนั ท์ธะ
ผศ.ดร.สชุ าดา สูรพนั ธุ์
14.15 – 14.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง ณ ชน้ั 5 อาคารศนู ยศ์ ึกษาและวจิ ัยเภสชั ภณั ฑท์ กั ษณิ
14.30 – 16.00 น. นาเสนอรปู แบบ Poster Presentation ณ ชัน้ 5 อาคารศนู ยศ์ ึกษาและวิจัยเภสัชภัณฑ์ทกั ษิณ
16.00 – 16.30 น. ประกาศผลรางวัลโครงงานนกั ศกึ ษาดีเดน่ ณ ห้องประชมุ สุนาลินี นิโครธานนท์
กำหนดกำรโครงกำรประชุมวชิ ำกำรผลงำนวจิ ัยและนวัตกรรมของนกั ศกึ ษำเภสัชศำสตร์
ประจำปกี ำรศึกษำ 2559
ในวนั เสำรท์ ่ี 29 เมษำยน 2560 ณ ช้ัน 5 อำคำรศูนย์ศึกษำและวจิ ัยเภสัชภณั ฑ์ทกั ษิณ
Poster Presentation
Poster เรื่อง
No.
1 การจดั ทาลายพมิ พ์ดเี อน็ เอของรางจืดโดยใชล้ าดบั นิวคลโี อไทด์บรเิ วณไอทีเอสและบรเิ วณทอี าร์เอ็นเอของลิวซนี
2 และเฟนนลิ อลานีน
โดย : นศภ.กนั ตพฒั น์ ตันธนาวุฒิวัฒน์
3 อาจารย์ทปี่ รกึ ษา : ดร.พิมพ์พมิ ล ตันสกลุ
4
5 การใชผ้ ลติ ภณั ฑ์เสรมิ อาหารและสมนุ ไพรในผปู้ ่วยมะเร็ง ณ สาขารงั สีรักษา มะเรง็ วทิ ยา
6 โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
7 โดย : 1. นศภ.กชกร กามูจันดี
8
2. นศภ.ผการตั น์ อกั ษรสมบัติ
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : อ.พชิ ญา นวลไดศ้ รี
ดร.กรกมล รกุ ขพนั ธ์
ดร.ภาณุพงศ์ พุทธรักษ์
ผลติ ภณั ฑ์บารงุ เล็บและจมูกเลบ็ จากนามนั ขนั
โดย : 1. นศภ.เมทินี โคตรสมบัติ
2. นศภ.ธวลั รตั น์ สันตพิ ฤทธ์ิ
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : ดร.ภาณพุ งศ์ พทุ ธรกั ษ์
การพัฒนาสตู รตารบั ครมี จากสารสกดั บวั บกสาหรบั ยบั ยังการแบง่ ตวั ของเซลล์ keratinocyte ในโรคสะเกด็ เงนิ
โดย : 1. นศภ.วสพุ ล วงศ์ภาคนิ
2. นศภ.มณฑิตา เออื เจยี รพันธ์
อาจารยท์ ่ปี รึกษา : ดร.ภาณุพงศ์ พุทธรักษ์
ศกึ ษาฤทธิ์ยบั ยังเอนไซม์ alpha-glucosidase เบอื งตน้ ของเชือราสกุล Penicillium
โดย : 1. นศภ.ทพิ วัลย์ โคดม
2. นศภ.อรณุ วรรณ ลิมปะวุฒพิ งศ์
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : ผศ.ดร.สุกญั ญา เดชอดศิ ยั
การทดสอบฤทธ์ยิ บั ยังเอนไซมไ์ ทโรซเิ นสเบอื งตน้ ของสารสกดั พชื ในสกลุ Nymphaea
โดย : 1. นศภ.พฒั นัดดา กอ่ กิตติพงศ์
2. นศภ.สิรพิ รรณ พุดด้วง
อาจารยท์ ่ีปรึกษา : ผศ.ดร.สุกญั ญา เดชอดิศยั
การศึกษาฤทธ์ิยับยังเอนไซม์แอลฟากลโู คซเดสเบอื งตน้ ของพืชในวงศ์ Acanthaceae
โดย : 1. นศภ.สพุ ชิ ญา จิโรจนม์ นตรี
2. นศภ.แกว้ กาญ พานชิ
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : ผศ.ดร.สุกัญญา เดชอดิศยั
การเตรียมสารสกดั ใบทองพนั ช่ังให้มีสาร Rhinacanthin ในปรมิ าณสงู และ การพัฒนาตารบั ยาทองพนั ชั่ง
โดย : 1. นศภ.จริ กติ ต์ รังสรรคร์ ุง่ กิจ
2. นศภ.ยุทธศักดิ์ โสภณรตั น์
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.ดร.ภาคภูมิ พาณชิ ยปู การนนั ท์
Poster เรื่อง
No.
9 การเตรียมสารสกัดจากแกน่ ฝางให้มีสาร Brazilin ในปริมาณสงู และการเตรยี มผลติ ภณั ฑ์มารค์ หน้าสาหรบั รักษาสิว
10 โดย : 1. นศภ.นราธปิ คงฤทธพิ์ ิทยา
11
12 2. นศภ.ปญั จพล บุรณพร
13
14 อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา : รศ.ดร.ภาคภูมิ พาณชิ ยูปการนันท์
15 การปรบั ปรุงสูตรอาหารเพอ่ื เพมิ่ อตั ราการงอกรากจากเนอื เยอ่ื ใบของเทยี นบ้าน
โดย : 1. นศภ.ธีรศักด์ิ จันทรส์ ุข
16
2. นศภ.อัครวฒั น์ สินวิรัชพงษ์
อาจารย์ที่ปรึกษา : รศ.ดร.ภาคภูมิ พาณชิ ยูปการนนั ท์
Exploring Alternative Purification of Recombinant Filarial Adenine Phosphoribosyltransferase
โดย : 1. นศภ.บญุ ยภาช ศรอินทร์
2. นศภ.มชั เฌน สถติ ยส์ ุขเสนาะ
อาจารยท์ ่ปี รกึ ษา : ผศ.ดร.ภูธร แคนยุกต์
การพัฒนาและอธิบายลักษณะของเอทโธโซมใช้สาหรับนาสง่ สารทชี่ ว่ ยให้ผิวขาว
โดย : 1. นศภ.ชนนิกานต์ แซ่โคว้
2. นศภ.โยษิตา มณสี ะอาด
อาจารย์ทีป่ รกึ ษา : ศ.ดร.วิมล ตันติไชยากลุ
การสงั เคราะหร์ อยพมิ พ์โมเลกลุ บนอนุภาคขนาดนาโนเพ่อื การจดจาของโคลซาปนี
โดย : 1. นศภ. นิชนนั ท์ เงินถาวร
2. นศภ.ปติ รุ งค์ ชูริบตั ิ
อาจารย์ท่ปี รกึ ษา : รศ.ดร.รุ่งนภา ศรีชนะ
การศึกษาพฤตกิ รรมการปลดปล่อยยาคลอซาปนี จากรอยพมิ พโ์ มเลกลุ อนภุ าคขนาดนาโนผา่ นสมอง
ดว้ ยวธิ ี Parallel Artificial Membrane Permeability Assay (PAMPA)
โดย : 1. นศภ.รัชนีกร เครือทอง
2. นศภ.อลงกต สขุ เจรญิ ลาภ
อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา : รศ.ดร.ร่งุ นภา ศรีชนะ
การสงั เคราะห์และการประเมินผลการยับยงั acetylcholinesterase ของอนุพนั ธ์ acetal ชนดิ วงแหวน
หกเหลี่ยมของอนุพันธ์ pyridoxine
โดย : 1. นศภ.นธิ ิศ อรุ าภิรมย์
2. นศภ.บญุ ญาภา วาระสิทธิ์
อาจารย์ทป่ี รึกษา : ผศ.ดร.จนิ ดาพร ภรู พิ ฒั นาวงษ์
ผศ.ดร.เฉลมิ เกยี รติ สงคราม
Synthesis and Evaluation of Acetylcholinesterase Inhibitory Activity of Pyridoxine Esters
โดย : 1. นศภ.ปิยนชุ สุภากาญจน์
2. นศภ.เมธี ศรธี รรมยศ
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ผศ.ดร.จนิ ดาพร ภรู พิ ฒั นาวงษ์
ผศ.ดร.เฉลมิ เกยี รติ สงคราม
Poster เรือ่ ง
No.
17 การศึกษาเบอื งตน้ ของการเตรยี มตารบั ยา Omeprazole Oral Suspension สาหรบั ผปู้ ว่ ยทตี่ อ้ งสอดทอ่
nasogastric tube
18 โดย : 1. นศภ.ลลติ กาญจน์ พรนพิ ทั ธ์กุล
19
2. นศภ.สรวยี ์ สุรยิ ไพฑรู ย์
20
21 อาจารย์ที่ปรกึ ษา : ดร.กฤษณ์ สุขนันทร์ธะ
22
การศึกษาเบอื งตน้ ของการพฒั นาตารบั ยาเตรียมเฉพาะรายไรแฟมปนิ ชนิดแขวนตะกอนเพือ่ เพิม่ ความคงสภาพ
23 ของตัวยาสาคัญ
โดย : นศภ.ชนาธปิ ทุมทอง
24 อาจารย์ท่ีปรึกษา : ดร.กฤษณ์ สขุ นนั ทรธ์ ะ
การพฒั นายาเตรยี มซมิ วาสแตตินสาหรบั ใชภ้ ายนอก
โดย : 1. นศภ.กิตตยิ า จนั ทบูรณ์
2. นศภ.ธัญญารัตน์ สุขจนั ทร์
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : นางนวิ รรณ แท่นมณี
ผศ.ดร.ขวญั จิต องึ๊ โพธ์ิ
การเตรียม และประเมนิ สูตรตารบั คีโตโคนาโซลไมโครอมิ ัลชนั
โดย : 1. นศภ.ณฐระวี วีระพันธ์
2. นศภ.ทวิรัตน์ พาณิชวทญั ญู
อาจารยท์ ีป่ รึกษา : ผศ.ดร.ณัฐธดิ า ภัคพยตั
ผลึกรว่ มของไพรอกซิแคมและแอสไพรนิ เพอื่ เพมิ่ ค่าการละลายและอตั ราการละลายของยาไพรอกซแิ คม
โดย : 1. นศภ.พีรศิลป์ เกษตกาลา
2. นศภ.ธานทั อภธิ ารดลุ ธร
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : รศ.ดร.ดารงศักด์ิ ฟ้ารุง่ สาง
การพัฒนาสูตรตารบั กรดซาลซิ ลิ กิ ในรปู แบบผลติ ภณั ฑล์ า้ งหน้าชนิดเม็ด
โดย : 1. นศภ.กวีรัตน์ ดาชื่น
2. นศภ.ภทั ทิรา ชเี จรญิ
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : นางอมราวดี จางวาง
รศ.นฏั ฐา แก้วนพรตั น์
การพฒั นาสูตรตารับโลชนั จากสารสกัดใบทองพันชง่ั
โดย : 1. นศภ.ชญานิศ พลฑา
2. นศภ.มนพร ประทปี ชัยกรู
อาจารย์ทปี่ รึกษา : รศ.ดร.เสนห่ ์ แกว้ นพรัตน์
รศ.ดร.ภาคภมู ิ พาณชิ ยปู การนนั ท์
รศ.นฏั ฐา แกว้ นพรตั น์
การเตรียมไคโตซานผสมโพวโิ ดนไอโอดีน ในรูปแบบแกรนลู สาหรับหา้ มเลือด
โดย : 1. นศภ.พชั มนต์ กึ่งพุทธกาล
2. นศภ.อรกฤช ย่ตี ระกลู
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : รศ.ดร.นิมติ ร วรกุล
Poster เร่ือง
No.
25 การพฒั นาตารับไพรอกซแิ คมไมโครอมิ ลั ชัน
โดย : 1. นศภ.วชิราภรณ์ เนาวสันต์
26
27 2. นศภ.อไุ รวรรณ ติวเถาว์
28
29 อาจารย์ทป่ี รึกษา : ผศ.ดร.ณัฐธดิ า ภัคพยตั
30 รศ.ดร.ประภาพร บญุ มี
31 การพัฒนาอลั จิเนทบดี ชนดิ ออกฤทธ์ิเนนิ่ สาหรับนาสง่ เรสเวอราทรอล
โดย : 1. นศภ.ฐิตมิ าตุ สขุ บท
32
2. นศภ.ฮสุ นา อาบู
อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา : รศ.ดร.ฤดีกร วิวฒั นปฐพี
การศกึ ษาการก่อฟลิ ม์ แคลเซยี มเพคตเิ นตตอ่ การปลดปล่อยยาจากยาเม็ดสาหรบั การนาส่งยาสลู่ าไส้ใหญ่
โดย : 1. นศภ.กนั สุดา ไชยชฎา
2. นศภ.จิราภรณ์ ชูสทิ ธิ์
อาจารย์ที่ปรึกษา : ผศ.ดร.วชิ าญ เกตจุ ินดา
คดิ และตังคาถามท่มี คี วามสาคญั และนา่ สนใจจากโครงสรา้ งฐานขอ้ มูลจาลองเพ่ือชว่ ยงานด้านฝ่ายเภสชั กรรม
โดย : 1. นศภ.ธรรศ สริ ภิ คพร
2. นศภ.อรรถกร จกั รทอง
อาจารย์ทีป่ รึกษา : รศ.วบิ ลุ วงศภ์ ูวรักษ์
ผลของสารเพม่ิ ความหนืดต่อระยะเวลาในการป้องกนั ยุงลายบ้านของโลชันนามนั ตะไครห้ อม
โดย : 1. นศภ.เกษรา โรจนเกษตร
2. นศภ.ปิยฉตั ร ปรชั ญาชีวิน
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : รศ.นัฏฐา แก้วนพรตั น์
ผศ.ดร.ศรณั ยู สงเคราะห์
การพัฒนาครมี ขมินชันไมโครพารท์ ิเคิลสาหรบั การดูแลแผลเบาหวาน
โดย : 1. นศภ.กวินนา นอ้ ยเสง่ียม
2. นศภ.ชนมธ์ ิมา วัฒนะธนากร
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : นางสปุ รดี ี สงั ฆรกั ษ์
รศ.ดร.สวุ ภิ า องึ ไพบูลย์
การเพ่ิมอตั ราการรอดชีวิตของ Lactobacillus rhamnosus GG โดยวธิ ีเอนแคปซเู ลชนั ด้วยโปรตนี จาก
ถว่ั หรัง่ ร่วมกบั อินนลู นิ โดยใช้เอนไซม์ทรานส์กลูตามเิ นสเป็นตัวเชอ่ื มประสาน
โดย : 1. นศภ.มาลีนา เทพยา
2. นศภ.ศุภสิ รารัตน์ พงศ์ชวิศกร
อาจารย์ที่ปรกึ ษา : รศ.ดร.เสนห่ ์ แก้วนพรตั น์
การพฒั นาสตู รตารบั ยาสฟี นั ท่ีใชย้ ้อมคราบจลุ นิ ทรยี ์บนผวิ ฟนั
โดย : 1. นศภ.จริ ะประภา เหลา่ ตระกูล
2. นศภ.จณิ ณภสั เฮงประสาทพร
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : อ.กิตติโชติ วรโชติกาจร
Poster เร่ือง
No.
33 ความพร้อมของคณะเภสชั ศาสตรใ์ นการตอบสนองต่อนโยบายประเทศไทย 4.0กรณีศกึ ษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐ
34 แห่งหนึ่งในประเทศไทย
โดย : 1. นศภ.บดศี ร ตณั ฑโอภาส
35
36 2. นศภ.นวรัตน์ คงศาลา
อาจารย์ท่ปี รกึ ษา : ผศ.ดร.กร ศรเลศิ ลาวาณชิ
37 การใช้ผลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหารและสมุนไพรในผูป้ ว่ ยมะเรง็ ณ สาขารงั สีรักษา มะเร็งวิทยา โรงพยาบาล
สงขลานครนิ ทร์
38 โดย : 1. นศภ.ภานุพงษ์ วรรณวฒั นา
39 2. นศภ.วีโกวิท คา้ ไกล
3. นศภ.ธีรศักดิ์ ศรโี ปฎก
อาจารย์ทีป่ รกึ ษา : อ.พชิ ญา นวลไดศ้ รี
ดร.ภาณพุ งศ์ พุทธรกั ษ์
ดร.กรกมล รุกขพันธ์
การพัฒนารปู แบบทางเลือกเบอื งต้นในการต่อรองราคายา โดยใช้มาตรการ Managed Entry Agreement (MEA)
โดย : 1. นศภ.ชนกสุดา พิชยั ภาพ
2. นศภ.ณฐั ณิชา ทองสร้อย
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : ดร.กลุ จริ า อุดมอักษร
การสารวจความรู้ ความเขา้ ใจ เกย่ี วกับโรคมะเร็งปากมดลกู และทศั นคตใิ นการไดร้ บั วัคซีนปอ้ งกันมะเร็งปาก
มดลกู (Human Papillomavirus Vaccination)
โดย : 1. นศภ.จิดาภา นุ้ยแนบ
2. นศภ.ชนกานต์ ฤทธ์ิศักด์ิ
3. นศภ.บศุ รินทร์ หมดั อะดมั
อาจารยท์ ป่ี รึกษา : ผศ.ดร.กมลทพิ ย์ วิวฒั นวงศา
ผลของ omeprazole ตอ่ การเปลยี่ นแปลงระดับสงั กะสใี นเลือดของผูป้ ่วยท่ีได้รับบาดเจบ็ ทไ่ี ด้รบั สงั กะสที ดแทน
ผา่ นทางเดินอาหาร
โดย : 1. นศภ.ปวชิ วดี โมฬี
2. นศภ.นนั ทภทั ร์ เยาวด์ า
3. นศภ.พรทพิ ย์ เพชรชืน่ สกลุ
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : ดร.ฐติ มิ า ดว้ งเงนิ
การสง่ เสริมการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ลในรา้ นยาจากมมุ มองของเภสัชกรชุมชน ในจังหวดั สงขลา
โดย : 1. นศภ.รมณีย์ พนั ธสุ์ มั ฤทธ์ิ
2. นศภ.ยลรดี แก้วบรสิ ุทธิ์
3. นศภ.ศจุ นิ ันท์ ออ่ นเจรญิ
อาจารยท์ ่ปี รกึ ษา : ผศ.ดร.ณฐั าศริ ิ ฐานะวฑุ ฒ์
การสารวจประวัติเกยี่ วกับโรคและการฉดี วัคซีนปอ้ งกนั โรคไวรัสตบั อักเสบบีและอสี กุ อใี สของนกั ศึกษา
ชนั ปีท่ี 4 ถึง 5 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
โดย : 1. นศภ.รพพี รรณ ไชยสตั ย์
2. นศภ.วรศิ รา ชนิ วงศ์เวท
3. นศภ.ศรมี กุ ดา อาจหาญ
อาจารย์ทปี่ รึกษา : อ.ดิษยา วฒั นาไพศาล
Poster เรอ่ื ง
No.
40 การสั่งจ่ายยาสมนุ ไพรของเภสัชกรรา้ นยา ในจังหวดั สงขลา: รายงานข้อมูลเบืองตน้
โดย : 1. นศภ.กตยิ ากร กสุ มุ วจิ ติ ร
41
2. นศภ.ณชั นันท์ ล่อใจ
42
3. นศภ.สไุ วบ๊ะ แวนิ
43
4. นศภ.กนกวรรณ ศรทั ธามนู
44
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : ผศ.ดร.มาลี โรจนพ์ บิ ลู สถติ ย์
45
เหตผุ ลของการใชย้ าเมด็ สเตียรอยด์ของเภสัชกรชมุ ชน : การศึกษาเชงิ คุณภาพ
โดย : 1. นศภ.ณัฐนนั ท์ ณ ปอ้ มเพ็ชร์
2. นศภ.จิรณุวัฒร์ ลื่อเท่ง
3. นศภ.นทกัญ ยอดรตั น์
อาจารย์ทปี่ รกึ ษา : ผศ.ดร.วรนชุ แสงเจรญิ
การให้การบรบิ าลเภสชั กรรมในคลนิ ิกผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรอื รังชนิดมยั อลี อยด์: การศกึ ษาแบบย้อนหลัง
โดย : 1. นศภ.วัลลสิ า เส็นบตั ร
2. นศภ.ฟาฎิลา สาดีน
3. นศภ.นสั รยี ะห์ สาเล็ง
อาจารย์ทป่ี รึกษา : ดร.วรณุ สดุ า ศรภี ักดี
การศึกษายาทางจิตเวชท่สี ัมพนั ธก์ บั การเกิด neuroleptic malignant syndrome
โดย : 1. นศภ.วาสินี พทิ กั ษ์
2. นศภ.ศุภาพชิ ญ์ รตั นพันธ์
3. นศภ.ภาณุพงศ์ ไชยมณุ ี
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : รศ.ดร.วนั ทนา เหรยี ญมงคล
ความร้แู ละพฤติกรรมเกยี่ วกับภาวะนาหนกั เกินและโรคอว้ นของนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
โดย : 1. นศภ.ไปรลดิ า ประดิษฐอกุ ฤกฎ์
2. นศภ.ชรินรตั น์ แกว้ ชนะ
3. นศภ.อักษพิ ร เรอื งจนั ทร์
4. นศภ.ปูชดิ า อึงรัตนากร
อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา : ผศ.ดร.วลิ าวณั ย์ ทองเรือง
การสารวจแนวโน้มในการศกึ ษาตอ่ รวมถึงแรงจงู ใจและอปุ สรรคทมี่ ีตอ่ การตดั สินใจเข้าศึกษาต่อระดบั
บณั ฑติ ศึกษาของนักศึกษาเภสชั ศาสตรช์ ันปีที่ 5 และ 6 และเภสัชศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
โดย : 1. นศภ.วรวุฒิ เจนจิรโชติ
2. นศภ.รังสมิ าฐ์ เรืองวัฒนาไชย
3. นศภ.รวสิ ราท์ แก้วศรี
4. นศภ.เบญจมาภรณ์ วรรณทิวา
อาจารย์ท่ปี รกึ ษา : ดร.สริ มิ า สติ ะรโุ น
Poster เรอ่ื ง
No.
46 ผลของการใชย้ า nimodipine ไมค่ รบขนาดในผ้ปู ว่ ย aneurysmal subarachnoid hemorrhage
โดย : 1. นศภ.ธิตมิ า คันธาวัตร์
47
2. นศภ.ธมี าพร คนั ธาวัตร์
48
3. นศภ.ธรี ะพล เพชรเจรญิ
49
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : ผศ.ดร.สทุ ธพิ ร ภทั รชยากลุ
50
การสารวจความรู้และทัศนคตใิ นการใชย้ าเมด็ คมุ กาเนดิ ชนดิ ฮอรโ์ มนรวมของหญิงไทยวยั เจรญิ พนั ธุ์
โดย : 1. นศภ.ดวงกมล หลิมปานนท์
2. นศภ.มารติ า ไมตรจี ร
3. นศภ.รัตนพฒั น์ จริ ะตสิ รณ์
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา : อ.อรวรรณ แซล่ ่มิ
ปัจจัยท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อความร่วมมือในการใช้ยาและการปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมของผปู้ ว่ ยโรคไตเรอื รัง
โดย : 1. นศภ.ดลลชา ไทยถาวร
2. นศภ.พฒุ ิพงศ์ ตงั กจิ เชาวลติ
3. นศภ.นภสั สร ดามะนลิ ศรี
อาจารย์ทีป่ รกึ ษา : ดร.อษุ ณยี ์ วนรรฆมณี
สารวจช่องวา่ งของสมรรถนะเภสัชกรในการใหบ้ รบิ าลทางดา้ นเภสชั กรรมตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพใน
ผูป้ ว่ ยโรคไต
โดย : 1. นศภ.ศภุ กานต์ แซล่ มิ่
2. นศภ.นรู ีนี บราเฮม
3. นศภ.ฮซั วานี หมาดอาหิน
อาจารยท์ ่ีปรึกษา : รศ.ดร.โพยม วงศภ์ ูวรักษ์
ดร.สิรมิ า สิตะรโุ น
ดร.อษุ ณยี ์ วนรรฆมณี
ปัญหาในการเตรยี มยา Docetaxel จากนโยบายการคัดเลือกยาของสานักงานหลกั ประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาต:ิ
การศึกษาเชิงคณุ ภาพ
โดย : 1. นศภ.กชกร เกียรติก้องแก้ว
2. นศภ.นนั ทวรรณ บวั เพช็ ร
3. นศภ.สุทธิพฒั น์ รามสนิ ธุ์
อาจารยท์ ี่ปรึกษา : ผศ.ดร.ขวญั จติ อึง๊ โพธิ์
ผศ.ดร.ศริ มิ า มหัทธนาดลุ ย์
สารบญั
Oral Presentation หนา้
1 เรอ่ื ง : การศึกษาผลของแสงตอ่ การสรา้ งสารไมทราจยั นีนในพชื กระทอ่ มในหลอดทดลอง 1
2 เรอ่ื ง : 2
3 เรื่อง : Development of gelatin extraction and gelatin capsule from Surimi’s waste product 3
Analytical method development for DMSO and triamcinolone acetonide in topical
4 เรอ่ื ง : solution for amyloidosis. 4
5 เรอ่ื ง : การสังเคราะห์อนพุ ันธ์คูมารินเพอ่ื เปน็ สารยับยงั้ ไทโรซิเนส 5
6 เรื่อง : 6
การพัฒนามวิ ไพโรซนิ รปู แบบไฮโดรเจลสาหรับรกั ษาบาดแผล
7 เรอ่ื ง : 7
การพัฒนาผลิตภณั ฑ์นา้ มันสาหรับทาความสะอาดเครอื่ งสาอาง และการสกัด oleosomes
8 เรอ่ื ง : จากเมลด็ ยางพารา 8
9 เรอ่ื ง : ลักษณะของโฆษณาผลติ ภณั ฑอ์ าหารและยาผา่ น Google ทขี่ ดั ตอ่ กฎหมายอาหารและยา 9
10 เรื่อง : และนโยบายด้านโฆษณาของ Google 10
ผลของการบริบาลทางเภสัชกรรมโดยเภสัชกรประจาบ้านต่อคา่ ใชจ้ า่ ยของโรงพยาบาล
บนหออภบิ าลผปู้ ่วยอายรุ กรรม โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์
การพัฒนา algorithm เพือ่ คานวณตัวช้ีวดั เกีย่ วกบั การใชย้ าอย่างสมเหตสุ มผลในโรงพยาบาล
LET’S QUIT เว็บไซต์ เพอื่ ความเขา้ ใจและเข้าถึงบรกิ ารเลิกบุหรี่
Poster No. การจดั ทาลายพิมพด์ เี อน็ เอของรางจดื โดยใช้ลาดับนวิ คลโี อไทด์บรเิ วณไอทเี อสและบรเิ วณ หนา้
1 เรื่อง : ทีอารเ์ อ็นเอของลวิ ซีนและเฟนนลิ อลานีน 11
การใช้ผลติ ภัณฑ์เสริมอาหารและสมนุ ไพรในผูป้ ่วยมะเร็ง ณ สาขารงั สรี กั ษา มะเรง็ วทิ ยา
2 เรอ่ื ง : โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์ 12
ผลิตภณั ฑบ์ ารงุ เลบ็ และจมูกเล็บจากนา้ มันขัน
3 เรือ่ ง : การพฒั นาสูตรตารบั ครมี จากสารสกัดบวั บกสาหรับยบั ยงั้ การแบ่งตวั ของเซลล์ keratinocyte 13
4 เรอ่ื ง : ในโรคสะเก็ดเงนิ 14
ศกึ ษาฤทธย์ิ บั ยั้งเอนไซม์ alpha-glucosidase เบ้ืองตน้ ของเช้ือราสกุล Penicillium
5 เรอ่ื ง : การทดสอบฤทธิ์ยับย้ังเอนไซมไ์ ทโรซิเนสเบอ้ื งตน้ ของสารสกดั พืชในสกุล Nymphaea 15
6 เรื่อง : การศกึ ษาฤทธิย์ บั ยง้ั เอนไซมแ์ อลฟากลูโคซเดสเบอ้ื งต้นของพชื ในวงศ์ Acanthaceae 16
7 เรื่อง : การเตรียมสารสกัดใบทองพันช่ังให้มีสาร Rhinacanthin ในปรมิ าณสูง และ การพัฒนาตารบั ยา 17
8 เร่ือง : ทองพันช่งั 18
การเตรียมสารสกดั จากแก่นฝางให้มสี าร Brazilin ในปริมาณสงู และการเตรยี มผลติ ภณั ฑ์มารค์ หน้า
9 เรื่อง : สาหรบั รักษาสวิ 19
การปรบั ปรุงสูตรอาหารเพื่อเพ่มิ อตั ราการงอกรากจากเนอื้ เยอื่ ใบของเทยี นบา้ น
10 เรอ่ื ง : Exploring Alternative Purification of Recombinant Filarial Adenine 20
11 เรอ่ื ง : Phosphoribosyltransferase 21
12 เรอ่ื ง : การพัฒนาและอธิบายลักษณะของเอทโธโซมใชส้ าหรบั นาสง่ สารท่ีชว่ ยใหผ้ วิ ขาว 22
13 เรอ่ื ง : การสงั เคราะหร์ อยพมิ พโ์ มเลกลุ บนอนภุ าคขนาดนาโนเพ่ือการจดจาของโคลซาปีน 23
14 เรอ่ื ง : การศกึ ษาพฤตกิ รรมการปลดปล่อยยาคลอซาปนี จากรอยพมิ พโ์ มเลกลุ อนุภาคขนาดนาโนผา่ น 24
สมองด้วยวิธี Parallel Artificial Membrane Permeability Assay (PAMPA)
15 เรอื่ ง : 25
การสงั เคราะหแ์ ละการประเมนิ ผลการยับยั้ง acetylcholinesterase ของอนุพนั ธ์ acetal
16 เรื่อง : ชนดิ วงแหวนหกเหล่ยี มของอนุพันธ์ pyridoxine 26
Synthesis and Evaluation of Acetylcholinesterase Inhibitory Activity of Pyridoxine
17 เรื่อง : Esters 27
การศึกษาเบื้องตน้ ของการเตรยี มตารบั ยา Omeprazole Oral Suspension
18 เรื่อง : 28
สาหรบั ผู้ป่วยท่ตี ้องสอดทอ่ nasogastric tube
19 เรื่อง : การศึกษาเบ้ืองตน้ ของการพฒั นาตารับยาเตรยี มเฉพาะรายไรแฟมปนิ ชนดิ แขวนตะกอนเพ่ือเพ่ิม 29
20 เรอื่ ง : ความคงสภาพของตวั ยาสาคญั 30
การพัฒนายาเตรียมซิมวาสแตตินสาหรับใชภ้ ายนอก
การเตรียม และประเมนิ สูตรตารบั คีโตโคนาโซลไมโครอมิ ลั ชัน
Poster No. ผลึกร่วมของไพรอกซิแคมและแอสไพรินเพอื่ เพ่มิ คา่ การละลายและอัตราการละลายของยา หนา้
21 เรอ่ื ง : ไพรอกซแิ คม 31
การพัฒนาสตู รตารบั กรดซาลซิ ลิ กิ ในรูปแบบผลติ ภณั ฑล์ า้ งหน้าชนิดเมด็
22 เรื่อง : 32
23 เรอ่ื ง : การพฒั นาสูตรตารับโลชันจากสารสกัดใบทองพนั ชั่ง 33
24 เรื่อง : 34
25 เรื่อง : การเตรยี มไคโตซานผสมโพวโิ ดนไอโอดนี ในรูปแบบแกรนลู สาหรับห้ามเลือด 35
26 เรื่อง : 36
27 เรอ่ื ง : การพฒั นาตารับไพรอกซิแคมไมโครอมิ ลั ชัน 37
28 เรอ่ื ง : การพัฒนาอลั จิเนทบดี ชนดิ ออกฤทธิ์เนิ่นสาหรับนาสง่ เรสเวอราทรอล 38
29 เรือ่ ง : การศึกษาการก่อฟิลม์ แคลเซยี มเพคติเนตต่อการปลดปลอ่ ยยาจากยาเม็ดสาหรบั การนาส่งยาสู่ 39
30 เรื่อง : ลาไสใ้ หญ่ 40
31 เรอ่ื ง : 41
คิดและตงั้ คาถามที่มคี วามสาคัญและน่าสนใจจากโครงสรา้ งฐานข้อมูลจาลองเพื่อชว่ ยงาน
32 เรื่อง : ดา้ นฝ่ายเภสชั กรรม 42
33 เรอ่ื ง : 43
ผลของสารเพิ่มความหนดื ต่อระยะเวลาในการป้องกันยุงลายบ้านของโลชนั นา้ มนั ตะไครห้ อม
34 เรือ่ ง : 44
การพฒั นาครมี ขมนิ้ ชนั ไมโครพารท์ ิเคลิ สาหรับการดแู ลแผลเบาหวาน
35 เรื่อง : 45
การเพ่มิ อตั ราการรอดชวี ติ ของ Lactobacillus rhamnosus GG โดยวธิ ีเอนแคปซูเลชนั ดว้ ย
36 เรื่อง : โปรตีนจากถ่วั หร่งั รว่ มกับอินนลู ินโดยใช้เอนไซม์ทรานส์กลูตามิเนสเป็นตวั เช่ือมประสาน 46
37 เรอ่ื ง : การพัฒนาสูตรตารบั ยาสฟี นั ที่ใช้ย้อมคราบจลุ ินทรีย์บนผวิ ฟัน 47
38 เร่อื ง : ความพรอ้ มของคณะเภสัชศาสตรใ์ นการตอบสนองตอ่ นโยบายประเทศไทย 4.0 กรณีศึกษาจาก 48
39 เรื่อง : มหาวทิ ยาลยั ของรัฐแหง่ หน่งึ ในประเทศไทย 49
40 เรอ่ื ง : การใชผ้ ลติ ภณั ฑ์เสริมอาหารและสมนุ ไพรในผู้ป่วยมะเร็ง ณ สาขารงั สรี ักษา มะเร็งวทิ ยา 50
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
การพฒั นารปู แบบทางเลอื กเบ้ืองตน้ ในการต่อรองราคายา โดยใช้มาตรการ Managed Entry
Agreement (MEA)
การสารวจความรู้ ความเขา้ ใจ เกยี่ วกบั โรคมะเร็งปากมดลูก และทศั นคติในการได้รับ
วัคซนี ป้องกันมะเรง็ ปากมดลูก (Human Papillomavirus Vaccination)
ผลของ omeprazole ต่อการเปลยี่ นแปลงระดบั สงั กะสีในเลอื ดของผ้ปู ่วยที่ได้รบั บาดเจบ็ ทไี่ ดร้ บั
สงั กะสีทดแทนผา่ นทางเดนิ อาหาร
การส่งเสริมการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ลในรา้ นยาจากมมุ มองของเภสชั กรชุมชน ในจังหวัดสงขลา
การสารวจประวตั เิ กยี่ วกับโรคและการฉดี วัคซนี ป้องกันโรคไวรสั ตบั อกั เสบบแี ละอีสกุ อใี สของ
นกั ศึกษาช้นั ปีท่ี 4 ถงึ 5 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
การสั่งจ่ายยาสมนุ ไพรของเภสัชกรร้านยา ในจงั หวัดสงขลา: รายงานขอ้ มลู เบ้อื งตน้
Poster No. หนา้
41 เร่ือง :
42 เรอ่ื ง : เหตุผลของการใชย้ าเมด็ สเตยี รอยด์ของเภสชั กรชุมชน : การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ 51
52
43 เร่อื ง : การใหก้ ารบรบิ าลเภสชั กรรมในคลนิ กิ ผ้ปู ว่ ยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนดิ มัยอลี อยด:์
44 เรอ่ื ง : การศกึ ษาแบบย้อนหลัง 53
54
45 เรื่อง : การศกึ ษายาทางจิตเวชท่สี ัมพนั ธก์ บั การเกิด neuroleptic malignant syndrome
55
46 เร่อื ง : ความรแู้ ละพฤตกิ รรมเกยี่ วกับภาวะน้าหนกั เกินและโรคอว้ นของนักศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์
47 เรอ่ื ง : มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ 56
48 เรือ่ ง : 57
49 เร่ือง : การสารวจแนวโน้มในการศึกษาตอ่ รวมถงึ แรงจูงใจและอปุ สรรคทมี่ ตี ่อการตดั สนิ ใจเข้าศกึ ษาต่อ 58
ระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาของนักศกึ ษาเภสัชศาสตรช์ ้นั ปที ่ี 5 และ 6 และเภสัชศาสตรบณั ฑติ 59
50 เรื่อง : มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
60
ผลของการใชย้ า nimodipine ไมค่ รบขนาดในผูป้ ่วย aneurysmal subarachnoid hemorrhage
การสารวจความรแู้ ละทศั นคตใิ นการใช้ยาเม็ดคุมกาเนดิ ชนดิ ฮอร์โมนรวมของหญิงไทยวัยเจรญิ พนั ธุ์
ปจั จยั ท่มี อี ิทธพิ ลตอ่ ความรว่ มมือในการใชย้ าและการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมของผูป้ ่วยโรคไตเรอ้ื รงั
สารวจช่องวา่ งของสมรรถนะเภสัชกรในการให้บริบาลทางดา้ นเภสชั กรรมตามแผนพฒั นาระบบ
บรกิ ารสุขภาพในผปู้ ว่ ยโรคไต
ปัญหาในการเตรียมยา Docetaxel จากนโยบายการคดั เลือกยาของสานกั งานหลักประกันสขุ ภาพ
แหง่ ชาติ: การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การศึกษาผลของแสงต่อการสรา้ งสารไมทราจัยนีนในพชื กระทอ่ มในหลอดทดลอง
กัญญาณัฐ แซเ่ ตยี ว, จติ รทวิ ัส เนาวส์ วุ รรณ์, จไุ รทพิ ย์ หวังสนิ ทวกี ลุ
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ในการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาผลของแสงต่อการเจริญเติบโตและการสร้างสารแอลคาลอยด์ในพืช
กระท่อมที่เล้ียงในสภาวะทดลอง โดยทาการนาต้นกระท่อมเพาะเล้ียงในอาหาร hormone-free Woody Plant
Medium (WPM) ในสูตรอาหารประกอบด้วย hormone-free Woody Plant Medium (WPM) ปริมาณ 2.41
g/L น้าตาลทราย 20 g/L และ 0.25% (w/w) gellan gum แสงที่ใช้เลือกค่าระดับความยาวคลื่นท่ีแตกต่างกัน
ไดแ้ ก่ แสงสีขาว (ความยาวคล่นื อยูใ่ นชว่ ง 400 - 800 นาโนเมตร) แสงสีแดง (ความยาวคลื่นเฉล่ีย 660 นาโนเมตร)
และแสงสีฟ้า (ความยาวคล่ืนเฉล่ีย 450 นาโนเมตร) เปรียบเทียบกับพืชกระท่อมที่เล้ียงในสภาวะมืด โดยในการ
ทดลองนาต้นกระท่อมท่ีเล้ียงภายใต้สภาวะแสงสีขาวท่ีมีอายุ 30 วัน เพื่อให้พืชกระท่อมแข็งแรงมากพอ มาวาง
ภายในแสงทก่ี าหนดไว้ จากน้ันเก็บตัวอย่างพืชกระท่อมภายหลังจากเล้ียงภายใต้แสง ที่ 15, 30 และ 45 วัน ทาให้
แห้งดว้ ยวธิ ี freeze-dried ชง่ั นา้ หนักผงยาท่ไี ด้ และนามาวเิ คราะหห์ าปรมิ าณไมทราจัยนีน สเปซิโอจัยนีนและเพย์
แนนเธอีน ด้วยวธิ ี HPLC ผลการทดลองพบวา่ พชื กระทอ่ มทเ่ี ลีย้ งภายใตแ้ สงสีฟ้า มกี ารเจริญเตบิ โตดที ีส่ ดุ และพบว่า
ภายใตส้ ภาวะแสงสีฟ้ามีการสร้างสารไมทราจยั นีนได้มากที่สุด โดยหลังจากทาการกระตุ้นด้วยแสงในระยะเวลา 15
วัน พบปริมาณสารไมทราจัยนีนท้ังหมด 57.23 ± 12.24 mcg โดยมีปริมาณมากกว่าในสภาวะมืด 5 เท่า ใน
ระยะเวลา 30 วัน พบปริมาณสารไมทราจัยนนี ท้ังหมด 132.70 ± 3.77 mcg โดยมปี รมิ าณมากกวา่ ในสภาวะมืด 22
เท่า และในระยะเวลา 45 วนั พบปรมิ าณสารไมทราจัยนนี ท้ังหมด 214.05 ± 20.67 mcg โดยมีปริมาณมากกว่าใน
สภาวะมืด 15 เท่า เมื่อได้สภาวะท่ีดีท่ีสุดแล้ว นามาศึกษาต่อด้วยการกระตุ้นการสร้างสารไมทราจัยนีนด้วยการใช้
Elicitor (Methyl jasmonate 10 M) เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ใช้ Precursors (Secologanin 0.4 M ร่วมกับ
Tryptamine 0.4 M) เป็นเวลา 14 วัน และใช้ Elicitor ร่วมกับ Precursors เป็นระยะเวลา 14 วัน ผลการ
ทดลองพบวา่ ในสภาวะท่กี ระต้นุ ดว้ ย Precursors มีปริมาณสารไมทราจัยนีนท้ังหมดมากท่ีสุด มีค่า 182.03 ± 7.32
mcg โดยมีปริมาณมากกว่าในสภาวะควบคุม 2 เท่า รองลงมาคือในสภาวะท่ีกระตุ้นด้วย Elicitor มีปริมาณสาร
ไมทราจัยนนี 94.31 ± 0.93 mcg โดยมีค่าใกลเ้ คียงกับสภาวะควบคมุ
Corresponding author : จุไรทพิ ย์ หวงั สนิ ทวกี ุล, E-mail : [email protected] ~1~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
Development of gelatin extraction and gelatin capsule from Surimi’s waste product
ทกั ษะ ตงั้ สถติ พร, ภาณพุ งศ์ พุทธรกั ษ์
ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
กระบวนการผลิตปลาบดแช่เยือกแข็ง (Surimi) จะมีผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากกระบวนการผลิตประกอบด้วย
เกล็ดปลาและหนงั ปลา โดยผลิตภัณฑท์ เ่ี หลอื ทั้งหมดคิดเป็นสดั สว่ นประมาณ 70% ของวตั ถดุ ิบทัง้ หมด ในการศกึ ษา
ครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือหาวิธีการที่ดีที่สุดสาหรับการสกัดเจลาตินจากสิ่งท่ีเหลือใช้เหล่านี้ซ่ึงจะเป็นการเพิ่มมูลค่า
ให้กับของเสีย โดยนาเกล็ดปลามาแช่ในด่าง 0.1 M จากน้ันตามด้วยการแช่ในกรดอะซิติก 0.2 M และจะเข้าสู่
ขั้นตอนการสกัดด้วยน้า โดยจะมกี ารตวั แปรทีเ่ กย่ี วขอ้ งได้แก่ เวลาท่ีใช้ในการแช่กรด, อุณหภูมิที่ใช้ในการสกัด และ
เวลาที่ใช้ในการสกัด โดยวิธีการท่ีดีท่ีสุดคือ แช่ด้วยกรดเป็นเวลา 12 ช่ัวโมง, สกัดด้วยอุณหภูมิ 60˚C เป็นเวลา 12
ชั่วโมง โดยสกัดได้ 6.50% w/w จากนั้นจะนาสภาวะที่ได้นี้มาทดลองใช้กับชนิดของกรดท่ีแตกต่างกัน และความ
เขม้ ข้นของกรดทแี่ ตกต่างกัน พบว่า การใชก้ รดไฮโดรคอลรกิ ท่คี วามเขม้ ข้น 1 M จะสามารถสกัดได้ 8.65% คิดเป็น
1.33 เท่าของวิธีการเร่ิมต้น นาเจลาตินที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีท่ีดีที่สุดไปทดสอบคุณสมบัติของเจลาตินตาม
ข้อกาหนดของ USP37NF32 จากน้นั นาไปทดลองขึ้นรูปเปน็ แผ่นฟิล์ม ซงึ่ เจลาตินทีส่ กัดออกมาได้นัน้ สามารถข้ึนรูป
เปน็ แผน่ ฟลิ ์มท่คี งตวั แข็ง เหนียว ซ่ึงสามารถทาไปตอ่ ยอดทาเปน็ แคปซลู ต่อไปได้
~ 2 ~ Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
Analytical method development for DMSO and triamcinolone acetonide in topical solution
for amyloidosis.
Nattawadee Nawawithagan, Pramkamol Jinwan, Chitchamai Ovatlarnporn
Department of Pharmaceutical Chemistry, Faculty of Pharmaceutical Sciences,
Prince of Songkla University
Cutaneous amyloidosis is abnormal deposition of amyloid in the skin. Clinical features
display inflammation and rash on lesion region. Trang regional center of tropical dermatology
formulated 0.1% Triamcinolone acetonide (TA) -10%Dimethyl sulfoxide (DMSO) topical solution
for Cutaneous amyloidosis treatment using propylene glycol (PG) as a vehicle. To assure the
quality of the formulated solution, it is important to quantitative analysis of the active
ingredients. However, no monograph has been officially issued both in USP and BP. It is
therefore, the aims of this study were to develop and validate analytical methods for DMSO and
TA in the 0.1% TA -10% DMSO topical solution. DMSO was analyzed by Gas chromatography (GC)
using the following conditions: DB-wax column, oven temperature at 180ºC and Flame Ionization
Detector (FID) at 220ºC. The analytical method showed specificity with the linear calibration
curves in a range of 800 – 1200 µg/ml having correlation coefficients (r2) = 0.9987. The Limit of
Quantitation (LOQ) was 60 µg/ml. Intra- and inter-day relative standard deviations (RSDs) were
1.72 and 1.33, respectively (< 2%). The method showed high accuracy (96.16±2.15%). TA was
analyzed by High Performance Liquid Chromatography (HPLC) using the following conditions: C18
column (The Nest group, 250 × 4.0 mm, 5 µm), mobile phase consisting of acetonitrile:water
(50:50, v/v), injection volume was 5 µL and UV detector set at 254 nm. The calibration curves
showed linear relationship with correlation coefficients (r2) = 0.9992 in a range of 10 – 50 µg/ml.
LOQ was 2.21 µg/ml. Intra- and inter-day relative standard deviations (RSDs) were 0.771 and
0.817, respectively (< 2%). the method also showed high accuracy (101.01±0.80%).
Stability studies of the 0.1% TA -10% DMSO topical solution demonstrated that TA was
stable in acid (pH =3.0), neutral (pH =7.4), temperatures (4.0, 25.0, 40.0 ºC) and oxidation but
unstable under alkaline hydrolysis (pH = 9.4) whereas DMSO was stable in acid (pH =3.0), neutral
(pH =7.4), alkaline (pH =9.4) and temperatures (4.0, 25.0, 40.0 ºC) but unstable in oxidation
condition. The developed methods were utilized for assay of the 0.1% TA -10% DMSO topical
solution and found that the sample contains TA and DMSO in 101.20±1.01 and 96.81±2.54 %LA,
respectively corresponding with USP standard (% LA should be in a range of 90.0 – 110.0)
Corresponding author : Chitchamai Ovatlarnporn, E-mail : [email protected] ~ 3 ~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การสังเคราะหอ์ นพุ ันธค์ ูมารินเพือ่ เป็นสารยับย้ังไทโรซิเนส
วิริยะ สุขวริ ิยะกลุ , รุ้งพลอย รุ่งรักไทย, ลอื ลกั ษณ์ ลอ้ มลมิ้
ภาควิชาเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
Melanogenesis คอื กระบวนการสังเคราะหส์ ารเมลานนิ ซง่ึ เป็นเม็ดสีท่ีพบได้ในผิวหนัง, ดวงตา และเส้น
ผมของมนษุ ย์ โดยมีไทโรซิเนสเป็นเอนไซม์ท่ีมีความสาคัญที่สุดในข้ันตอนของกระบวนการสังเคราะห์เม็ดสีในเซลล์
ผิวหนัง ซึ่งหากเกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์เม็ดสีน้ีจะทาให้เกิดโรคทางความผิดปกติของผิวหนัง
(Hyperpigmentation) อาทิเช่น ฝ้า, กระ และรอยหมองคล้า เป็นต้น ดังน้ันจึงได้มีการนาสารท่ีมีฤทธิ์ยับย้ังการ
ทางานของเอนไซม์ไทโรซิเนสมาเป็นสารทาให้ผิวขาว ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้สนใจท่ีจะศึกษาและสังเคราะห์สารท่ีมีฤทธ์ิ
ยบั ยั้งไทโรซิเนสเพ่อื ใชใ้ นเชิงเวชสาอาง โดยสารท่ีมีโครงสร้างเป็น Umbelliferone (7-hydroxycoumarin) พบว่า
สามารถยับย้ังเอนไซม์ได้ (IC50 = 0.42 mM) พบว่าเมื่อนาสาร Umbelliferone มาเช่ือมพันธะกับกรดอะมิโนท่ีมี
วงอะโรมาตกิ จะชว่ ยให้ฤทธกิ์ ารยบั ยง้ั ดีข้ึน และเมอื่ เพม่ิ ความยาวของสายคาร์บอนทก่ี รดอะมโิ นเอสเทอร์จะมผี ลเพ่ิม
ฤทธิ์การยับยั้งได้เช่นกัน ผู้วิจัยจึงออกแบบการสังเคราะห์สาร 7-hydroxycoumarinyl-4-acetic acid เชื่อมกับ
กรดอะมิโนเอสเทอร์ 3 ตัวได้แก่ L-Tyrosine ethyl ester, Tyramine และ L-Tryptophan ethyl ester ทาการ
สังเคราะห์สารทั้งหมด 2 ขั้นตอน โดยข้ันตอนแรกเป็นการสังเคราะห์สาร 7-Hydroxycoumarinyl-4-acetic acid
โดยใช้ปฏิกิริยา Pechmann ซึ่งได้ผลผลิต (%yield) เท่ากับ 40.75% และขั้นตอนท่ีสองจะเป็นการสร้างพันธะเอ
ไมด์ของสารทไ่ี ดก้ บั กรดอะมโิ น นาสารทส่ี ังเคราะห์ได้ทั้ง 3 มาพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยวิธี IR, 1H-NMR และ 13C-NMR
ได้ %yield เท่ากับ 90.28%, 22.75% และ 41.90% ตามลาดับ ซึ่งสารเหล่านี้จะนาไปศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้ง
เอนไซม์ไทโรซเิ นส ตอ่ ไป
~ 4 ~ Corresponding author : Luelak Lomlim, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพฒั นามิวไพโรซินรูปแบบไฮโดรเจลสาหรับรกั ษาบาดแผล
ณฐั ชยา หลมิ สริ ิภาพ, พจณิชา ลดาวจิ ติ รกลุ , ธรี ะพล ศรชี นะ
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
บาดแผลเป็นหน่ึงในการบาดเจ็บบริเวณผิวหนังที่พบได้บ่อย ในการวิจัยนี้ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษา
บาดแผลมิวไพโรซินในรูปแบบไฮโดรเจล เพื่อให้เกิดการสมานแผลได้เร็วข้ึน และป้องกันการติดเช้ือแบคทีเรีย
หลงั จากเกิดบาดแผล โดยใช้ poloxamer® 407 และ cross-linked poly(vinyl) alcohol (CPVA) เป็นสารก่อเจล
และปรบั อัตราส่วนความเขม้ ข้นของพอลเิ มอร์ท้ังสองชนิด และประเมินคุณสมบัติทางกายภาพ คุณสมบัติทางความ
รอ้ น และคณุ สมบัติการยืดหยนุ่ รวมทง้ั ทดสอบฤทธิก์ ารยับยง้ั เชื้อแบคทเี รยี และความเปน็ พิษตอ่ เซลล์ของไฮโดรเจล
จากผลการวิจัยพบวา่ ตารบั ไฮโดรเจลที่เตรียมได้มลี กั ษณะเปน็ เจลกึง่ แข็ง ใส และไมม่ ีสี ทัง้ น้คี ณุ สมบัติทางกายภาพ
ของไฮโดรเจลจะข้ึนอยู่กับอัตราส่วนความเข้มข้นของพอลิเมอร์ท้ังสองชนิด เมื่ออัตราส่วนของ poloxamer® 407
หรอื CPVA เพมิ่ สูงขน้ึ ทาให้ตารับที่ได้เกิดคราบเม่ือทาท้ิงไว้บนผิวหนัง นอกจากนี้เม่ือเพิ่มอัตราส่วนของ CPVA ทา
ให้ตารับทีไ่ ด้มีความเหนยี วเหนอะหนะ และยดื มากขึ้นเม่อื ทาบนผวิ หนงั จากการวัด pH ของตารับจะอยู่ในช่วง 7-8
ซง่ึ เปน็ ช่วง pH ทเ่ี หมาะสาหรับผลติ ภัณฑ์ทีใ่ ชท้ าบนผวิ หนัง ส่วนการวิเคราะห์คณุ สมบัติทางความร้อนของไฮโดรเจล
พบวา่ ตารบั มจี ดุ หลอมเหลวอยู่ 2 ชว่ ง คือ อุณหภูมิ 54-57๐C และ 78-81๐C และเมอ่ื ทาใหเ้ ย็นลงตกผลึกที่อุณหภูมิ
ต่ากว่า 40๐C และจากผลการศึกษาด้านคุณสมบัติการยืดหยุ่นของไฮโดรเจลพบว่า ไฮโดรเจลทุกตารับมีความ
ยืดหยุ่นท่ีดีสามารถเกิดเป็นเจลได้ดีเม่ือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความถี่ ทั้งน้ีตารับมิวไพโรซินไฮโดรเจลท่ี
พฒั นาได้มีคณุ สมบตั ทิ างกายภาพทดี่ ี มีปริมาณตวั ยาสาคญั ท่วี เิ คราะห์ได้จาก HPLC อย่ใู นชว่ ง 91.30-97.15% และ
มีฤทธทิ์ ่ดี ใี นการยับยง้ั และฆา่ เชื้อแบคทีเรียชนิด Staphylococcus aureus และ Staphylococcus epidermidis
โดยมีค่า MIC เท่ากับ 0.625 และ 0.078 mg/ml ตามลาดับ และค่า MBC ของเช้ือ Staphylococcus
epidermidis ทป่ี ระมาณ 0.3125 mg/ml อย่างไรก็ตามผลการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ human fibroblast
cell line พบวา่ ตารับดงั กลา่ วมีความเป็นพษิ ตอ่ เซลลท์ ่คี ่อนข้างสูง ผลท่ีได้มีความสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์มิวไพโร-
ซินรูปแบบข้ีผ้ึงที่จาหน่ายตามท้องตลาด ดังนั้นจึงควรทาการศึกษา และพัฒนาเพ่ิมเติมเพ่ือให้ได้ตารับมิวไพโรซิน
ไฮโดรเจลท่มี คี ณุ สมบัติทด่ี ีในการสมานแผลต่อไป
Corresponding author : Teerapol Srichana, E-mail : [email protected] ~5~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพฒั นาผลติ ภัณฑน์ ้ามนั สาหรบั ทาความสะอาดเครอื่ งสาอาง และการสกดั oleosomes จากเมล็ดยางพารา
ธัญวรตั น์ ณ นคร, ศิราณี ศรีทอง, ธนภร อานวยกิจ
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ยางพารา เป็นพืชท่ีมีความสาคัญต่อเศรษฐกิจของภาคใต้ โดยเฉพาะน้ายาง สามารถนามาใช้เป็นวัตถุดิบ
ในการทาผลติ ภัณฑย์ างชนิดต่างๆ นอกจากยางพาราจะใหผ้ ลผลิตเปน็ น้ายางและไม้ยางพาราแล้ว ยังมีเมล็ดซึ่งไม่ได้
นามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยเหตุน้ีการนาเมล็ดยางพารามาใช้ประโยชน์จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถสร้าง
มูลค่าเพ่ิมใหแ้ กเ่ มล็ดยางพาราได้ ภายในเนื้อในของเมลด็ ยางพารามนี ้ามนั ประมาณรอ้ ยละ 35-45 และประกอบดว้ ย
กรดโอเลอิกและกรดลโิ นเลอกิ ในปริมาณสูง ซึ่งกรดไขมันเหลา่ นน้ี ิยมนามาใชเ้ ป็นส่วนประกอบในตารับเครื่องสาอาง
นอกจากน้ีนา้ มนั จากเมลด็ ยางพารา มีคุณสมบตั ิเปน็ สารต้านการอักเสบ สารตา้ นอนุมูลอิสระ เพ่ิมความชุ่มชื่นให้แก่
ผิว สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยกับผิวหนังมนุษย์ และในเมล็ดพืชท่ีมีปริมาณน้ามันสูง เช่น เมล็ดทานตะวัน ถ่ัว
เหลือง อัลมอลด์และดอกคาฝอย จะมีแหล่งสะสมน้ามันในเซลล์พืช เรียกว่า oleosomes หรือ oil bodies
วตั ถุประสงคใ์ นการศึกษาน้ี ประกอบไปด้วย 2 เรือ่ ง คอื เร่อื งแรก นาน้ามันจากเมล็ดยางพารามาเป็นส่วนประกอบ
สาคัญในการพัฒนาผลิตภณั ฑ์นา้ มนั สาหรบั ทาความสะอาดผวิ หนา้ (cleansing oil) โดยมุง่ เนน้ ในการเลือกใช้สารลด
แรงตงึ ผิว พรอ้ มทง้ั ประเมินคุณสมบตั ิทางกายภาพ ความคงตัว และประสทิ ธิภาพในการทาความสะอาด และเร่ืองที่
สอง ทดลองสกัด oleosomes จากเมล็ดยางพารา โดยใช้วิธี conventional method รวมทั้งประเมินคุณสมบัติ
ทางกายภาพของ oleosomes ที่สกัดได้ ผลการทดลองพบว่า สารลดแรงตึงผิวท่ีเหมาะสม คือ Sorbeth-30
Tetraoleateorbitan และ Sesquioleate เมื่อทาการประเมินความคงตัวของสูตรตารับต่างๆ พบว่าลักษณะทาง
กายภาพ ไมเ่ ปล่ยี นแปลงไปจากเดิม อีกทงั้ สามารถทาความสะอาดคราบเครื่องสาอางได้หมด และผู้ทดสอบมีความ
พึงพอใจต่อสตู รตารับทปี่ ระกอบด้วยน้ามันจากเมล็ดยางพารา ร้อยละ 5 และสารลดแรงตึงผิว ร้อยละ 15 โดยคิด
เป็นร้อยละ 33.33 ซึ่งเท่ากับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด และผลการทดลองการสกัด oleosomes จากเมล็ดยางพารา
พบว่าสามารถสกัด oleosomes จากเมล็ดยางพาราได้ และ oleosomes ที่ได้ มีลักษณะเป็นทรงกลม เส้นผ่าน
ศูนย์กลางเฉลยี่ 1.174 ไมครอน และเม่อื นามาตรวจวิเคราะห์ไขมนั พบว่ามี phospholipids เปน็ องคป์ ระกอบ
~ 6 ~ Corresponding author : Thanaporn Amnuaikit, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
ลักษณะของโฆษณาผลติ ภัณฑอ์ าหารและยาผ่าน Google
ท่ขี ดั ตอ่ กฎหมายอาหารและยาและนโยบายด้านโฆษณาของ Google
กนกวรรณ กจิ หงวน, มัสรยี า การดา, สงวน ลือเกยี รติบณั ฑิต
ภาควชิ าบรหิ ารเภสชั กจิ , คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
โฆษณาผลติ ภัณฑ์สขุ ภาพบนอนิ เทอรเ์ น็ตทขี่ ัดต่อกฎหมายกาลังเปน็ ปัญหาทพ่ี บอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาน้ี
ได้เลือกศกึ ษาโฆษณาผลิตภัณฑส์ ขุ ภาพดา้ นอาหารและยาทป่ี รากฎบนหน้าค้นหาของ Google ซ่ึงเปน็ แหล่งเผยแพร่
โฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพอื่ รวบรวมโฆษณาผลติ ภัณฑ์สุขภาพดา้ นอาหารและยาผา่ น Google
ท่ขี ัดต่อกฎหมายอาหารและยาและนโยบายดา้ นโฆษณาของ Google (โฆษณาที่ขัดต่อกฎหมายอาหารและยาจัดว่า
เป็นโฆษณาทข่ี ดั ตอ่ นโยบายดา้ นโฆษณาของ Google เชน่ กนั ) ในขัน้ ตอนแรกของการศกึ ษา ผูว้ จิ ยั ค้นหาโฆษณาผา่ น
หน้าค้นหาของ Google โดยเก็บขอ้ มลู โฆษณาที่ปรากฎบนห้าหน้าแรกของแต่ละคาค้น ภายใต้กลุ่มคาค้นท้ังหมด 4
กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคาค้นที่เกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง บารุงกามและลดน้าหนัก ซึ่งเป็นคาค้นที่พบว่ามักมีการ
โฆษณาอย่างผิดกฎหมาย จากนนั้ ผู้วจิ ัยนาข้อมลู โฆษณาทีร่ วบรวมได้ไปตรวจสอบการขึ้นทะเบียน การแจ้งเตือนภัย
เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และนาไปประเมินว่า โฆษณานั้น ๆ ขัดต่อกฎหมายอาหารและยาและนโยบายด้านโฆษณาของ
Google หรือไม่ ผลจากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีโฆษณาท่ีกล่าวอ้างสรรพคุณเกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
บารงุ กามและลดน้าหนักท้ังหมด 294 ช้นิ แบ่งเปน็ ผลติ ภณั ฑ์อาหาร 256 ชิ้น ผลิตภัณฑ์ยา 32 ช้ิน และผลิตภัณฑ์ท่ี
ไม่สามารถจาแนกประเภทได้ 6 ช้ิน ผลการตรวจสอบการข้ึนทะเบียนผลิตภัณฑ์ผ่านระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของ
สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่า เป็นผลติ ภณั ฑท์ ่ีพบการขึ้นทะเบียนร้อยละ 70.41 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่
พบการข้ึนทะเบียนรอ้ ยละ 29.59 และเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ท่ีมกี ารแสดงเลขทะเบียนเท็จร้อยละ 10.54 ผลการตรวจสอบ
ผ่านระบบแจ้งเตือนภัยฐานข้อมูลคุณภาพความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า
เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการแจ้งเตือนภัยแล้ว 3 รายการ คิดเป็นร้อยละ 1.02 ผลการประเมินด้วยแบบประเมินท่ีพัฒนา
จากนโยบายการโฆษณาของ Google พบผลิตภัณฑ์ที่ขัดต่อกฎหมายอาหารและยาและนโยบายด้านโฆษณาของ
Google 266 ช้นิ คดิ เป็น รอ้ ยละ 90.48 เมือ่ จาแนกตามกล่มุ คาคน้ พบวา่ มีโฆษณาที่ขดั ตอ่ กฎหมายอาหารและยา
และนโยบายด้านโฆษณาของ Google ท่ีเก่ียวกับโรคเบาหวาน 103 ช้ินจาก 108 ช้ิน เก่ียวกับโรคมะเร็ง 59 ชิ้น
จาก 81 ชิน้ เกีย่ วกบั การบารงุ กาม 48 ชิน้ จาก 49 ชิ้น และเกี่ยวกบั การลดนา้ หนกั 56 ชิ้น จาก 56 ชิ้น โดยคิดเป็น
ร้อยละ 95.37, 72.84, 97.96 และ 100.00 ตามลาดับ จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่าการโฆษณาอย่างผิดกฎหมาย
ผ่าน Google ยังคงเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าวิธีการตรวจสอบโฆษณาก่อนท่ีจะมีการอนุญาตให้
เผยแพร่โฆษณาของ Google ยังไม่เคร่งครัดพอที่จะทาให้การเผยแพร่โฆษณาเป็นไปย่างถูกต้องตามกฎหมายและ
นโยบายด้านโฆษณาของ Google ซึง่ การจะแก้ไขปญั หาดังกล่าวต้องอาศยั ความร่วมมือจากท้งั หน่วยงานของภาครัฐ
ท่ีเกี่ยวข้องและผู้ให้บริการโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต เพ่ือให้การดาเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ
Corresponding author : สงวน ลือเกยี รติบณั ฑิต, E-mail : [email protected] ~7~
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
ผลของการบริบาลทางเภสัชกรรมโดยเภสัชกรประจาบา้ นตอ่ ค่าใชจ้ ่ายของโรงพยาบาล
บนหออภิบาลผ้ปู ว่ ยอายรุ กรรม โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
พิชญพ์ มิ ล พลซ่ือ, พิมพ์พิศ แกว้ พิพธิ ภัณฑ์, ณฏั ฐ์ฤทยั ปญั จวงศ์, พชิ ญา นฤมลฤทธไิ กร, สริ มิ า สิตะรโุ น,
ธนเทพ วณิชยากร, กนกกาญจน์ ไชยกาล
ภาควิชาบริหารเภสัชกิจ, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
เภสัชกรประจาบ้านมีสว่ นสาคัญในการช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาทอ่ี าจเกดิ ข้นึ จากการใช้ยาบนหอผู้ป่วย
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในหออภิบาลผูป้ ว่ ยวิกฤต เนือ่ งจากผปู้ ่วยอยใู่ นภาวะวกิ ฤตและต้องการความซับซ้อนในการรักษา
มากข้ึน การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์จากการมีเภสัชกรประจาบ้านบนหอ
อภิบาลผปู้ ว่ ยอายรุ กรรมในมุมมองของโรงพยาบาล เก็บข้อมูลผู้ป่วยและการให้บริบาลทางเภสัชกรรมบนหอผู้ป่วย
แบบย้อนหลัง ระหวา่ งเดือน ตุลาคม 2559 ถงึ มกราคม 2560 เพือ่ นามาวเิ คราะห์มลู ค่าค่าใช้จ่ายด้านยาที่ประหยัด
ได้และมลู ค่าความสูญเสยี ที่หลีกเลีย่ งได้เม่ือมีเภสชั กรประจาบ้าน ผลการศึกษาพบปญั หาจากการใชย้ าทีถ่ กู ตรวจพบ
และแก้ไขโดยเภสัชกรประจาบ้านจานวน 35 ปัญหาในผู้ป่วย 304 ราย ซ่ึงเกิดข้ึนในข้ันตอนของการสั่งใช้ยามาก
ที่สุด (ร้อยละ 94) หากแบ่งตามความรุนแรงพบว่า ปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยโดยต้อง
ระมดั ระวังอนั ตรายร้อยละ 23 ไม่ทาให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายร้อยละ 31 และร้อยละ 46 เป็นความคลาดเคล่ือนที่ยัง
ไม่ถึงผู้ป่วย ประเภทของปัญหาที่พบมากที่สุดคือการได้รับยาในขนาดที่น้อยหรือมากเกินไป (ร้อยละ 37) ซ่ึงยา
Vancomycin และ Colistin เกิดปัญหาจากการใช้ยามากที่สุด (ร้อยละ 11) นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาท่ีเกิด
จากการใช้ยาที่มีอัตราการยอมรับจากแพทย์ร้อยละ 91 แล้ว เภสัชกรประจาบ้านยังมีการให้ข้อมูลและคาแนะนา
ด้านยาแก่ทีมสหวิชาชีพทัง้ หมด 53 คร้งั ปัญหาจากการใช้ยาทั้งหมดวิเคราะห์เป็นมูลค่าค่าใช้จ่ายด้านยาท่ีประหยัด
ลงได้เท่ากับ 825 บาท มูลค่าความสูญเสียที่หลีกเล่ียงได้เท่ากับ 74,236 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลท่ี
สามารถประหยัดลงไดท้ งั้ สนิ้ 75,061 บาท ผลการวิเคราะห์ความไวแบบทางเดียวพบว่าตัวแปรที่มีความไวมากที่สุด
คือ ราคายาและค่าตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ ซ่ึงส่งผลให้โรงพยาบาลสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่
64,836 ถึง 143,617 บาท การศึกษาน้ีสรุปได้ว่าการมีเภสัชกรประจาบ้านบนหออภิบาลผู้ป่วยอายุรกรรมมีความ
ค้มุ ค่าในมมุ มองของโรงพยาบาล สามารถประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายให้กับโรงพยาบาลได้
~ 8 ~ Corresponding author : กนกกาญจน์ ไชยกาล E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพฒั นา algorithm เพื่อคานวณตัวช้วี ดั เกย่ี วกับการใชย้ าอย่างสมเหตุสมผลในโรงพยาบาล
ณัฐพงศ์ พรหมรกั ษ์, สุหฤท โชตชิ ัยพิบลู , ชษิ ณพุ งศ์ พรมชาย, วบิ ลุ วงศ์ภวู รักษ์, โพยม วงศภ์ ูวรักษ์
ภาควิชาเภสชั กรรมคลินิก, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
การใช้ยาอย่างสมเหตสุ มผลเปน็ หนง่ึ ในยทุ ธศาสตร์การพฒั นาระบบยาแห่งชาติตามนโยบายด้านยาปี พ.ศ.
2554 การประเมนิ การใชย้ าอย่างสมเหตุผลจะประเมินจากตัวช้ีวัดต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลจากโรงพยาบาล ซ่ึงการ
คานวณหาตัวชว้ี ัดทเ่ี ก่ยี วข้องอาจไมไ่ ด้เปน็ ขนั้ ตอนที่ตรงไปตรงมา เน่ืองจากธรรมชาติของฐานข้อมูลมีความซับซ้อน
สูงและข้อมูลอาจมีความคลาดเคลื่อนจากหลายสาเหตุ ในการศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาลาดับขั้นตอน
(algorithm) การวิเคราะห์ฐานข้อมูล เพ่ือคานวณตัวชี้วัดตามแนวทางโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่าง
สมเหตุผล โดยใช้ข้อมูลที่เกิดข้ึนในช่วงวันท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559 จาก
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยผ่านการอนุมัติโครงการจากคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลสงข ลา
นครินทร์ แล้วสร้าง query ด้วยโปรแกรม Microsoft access เพื่อคานวณตัวช้ีวัดที่นิยามตามข้อกาหนดในคู่มือท่ี
เก่ียวข้อง และประเมินร้อยละของตัวช้ีวัดท่ีทีมวิจัย สามารถวิเคราะห์ได้ รวมถึงประเมินความซับซ้อนของลาดับ
ขนั้ ตอนทใ่ี ช้ ซง่ึ คานวณจากจานวน query ทีใ่ ช้ และเวลาท่ีใชใ้ นการประมวลผลข้อมูลของตัวชี้วัดน้ัน ๆ โดยผลท่ีได้
จากการศึกษาในคร้ังน้ี จะใช้เพ่ือเป็นแนวทางในการประมวลผลฐานข้อมูลให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ ในขอบเขตของ
ข้อมูลที่ฝ่ายเภสัชกรรมจะมไี ด้
Corresponding author : Payom Wongpoowarak, Email : [email protected] ~9~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
LET’S QUIT เวบ็ ไซต์ เพือ่ ความเข้าใจและเขา้ ถงึ บรกิ ารเลิกบหุ ร่ี
สุธมิ า ยอดศร,ี ปทติ ตา วิหะกะรตั น,์ พชิ ญาภัค ตรที ิเพศสุวรรณ, กฤษณ์ สุขนันท์ธะ, สชุ าดา สูรพนั ธ์ุ
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลินิก, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ปจั จบุ ันการใหบ้ ริการเลิกบุหรี่ในรา้ นยามักประสบปญั หา จานวนผู้เข้ารับบริการน้อย ขาดแรงจูงใจในการ
คิดเลิกบุหร่ี และเภสัชกรมีเวลาจากัดในการให้บริการ ทางคณะผู้ดาเนินงานโครงการ จึงมีแนวคิดในการพัฒนา
เว็บไซต์เพ่ือช่วยในการดาเนินงานของเภสัชกรร้านยาที่ให้บริการเลิกบุหรี่ ให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น และเพ่ิม
ช่องทางในการเข้าถึงข้อมูล เพ่ือสร้างแรงจูงใจให้ผู้สูบบุหร่ีตระหนักถึงพิษภัยและคิดเลิกบุหรี่ รวมทั้งเป็นส่ือกลางใน
การติดต่อเภสัชกรร้านยา โดยทางคณะผู้ดาเนินงานโครงการทาการเก็บข้อมูลจากการใช้แบบสอบถามออนไลน์ เพื่อ
สารวจความคิดเห็นของประชาชนท่ัวไปและเภสัชกรร้านยาท่ีมีต่อรูปแบบเว็บไซต์ท่ีพึงประสงค์ และนาข้อมูลท่ีได้มา
พัฒนาเว็บไซต์ต่อไป ผลการสารวจพบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 37 คน เป็นเภสัชกรร้านยา จานวน 12 คน
และประชาชนทั่วไป จานวน 25 คน โดยแบบสอบถามจะวัดระดับความคิดเห็นจากน้อยท่ีสุดถึงมากท่ีสุด ซ่ึงมีระดับ
คะแนนต้ังแต่ 1 ถึง 5 พบว่าระดับความคิดเห็นส่วนใหญ่ของเภสัชกรและประชาชนทั่วไปคือ ควรมีเน้ือหาที่สร้าง
แรงจูงใจในการเลิกบุหร่ี (คะแนนเฉลี่ย 4.62) และควรนาเสนอข้อมูลในรูปแบบ infographic (คะแนนเฉลี่ย 4.51)
นอกจากนี้ควรมกี ารประเมินตนเองเร่ืองการติดบุหร่ี (คะแนนเฉล่ีย 4.57) และควรมีการให้คาปรึกษาแนะนาจากเภสัชกร
โดยช่องทางท่ีสะดวกมากสดุ ในการตดิ ตอ่ ระหวา่ งเภสัชกรกับประชาชน คือ กล่องข้อความ (Chat box) (คะแนนเฉลี่ย
4.49) จากข้อมูลการสารวจข้างต้น คณะผู้ดาเนินงานโครงการได้นาข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม
Joomla ซ่ึงภายในเว็บไซต์มีการให้บริการนัดหมายเภสัชกรร้านยา พร้อมทั้งสร้างสื่อความรู้ในรูปแบบ infographic
ดว้ ยโปรแกรม Piktochart เพอื่ เพิ่มความน่าสนใจของขอ้ มลู และสรา้ งส่อื interactive ตา่ งๆ เพื่อประเมินการติดบุหรี่
และการคานวณเงนิ เกบ็ โดยใช้ชุดโปรแกรมสร้าง E-Learning ท้ังน้ีเพ่ือให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบการทางานออนไลน์
บนหน้าเวบ็ ไซต์ได้ดียิง่ ข้นึ
~ 10 ~ Corresponding author : Suchada Soorapan, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การจัดทาลายพมิ พด์ เี อน็ เอของรางจืดโดยใชล้ าดบั นิวคลโี อไทดบ์ รเิ วณไอทเี อสและ
บริเวณทอี าร์เอ็นเอของลวิ ซนี และเฟนนลิ อลานีน
กันตพฒั น์ ตันธนาวฒุ วิ ฒั น,์ พิมพพ์ มิ ล ตนั สกลุ
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl. วงศ์ Acanthaceae) เป็นสมุนไพรท่ีถูกบรรจุไว้ในบัญชียาหลัก
แห่งชาติ โดยอยู่ในบัญชียาจากสมุนไพร กลุ่มยาพัฒนาจากสมุนไพร มีสรรพคุณท่ีระบุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
2 ประการคือ ถอนพิษเบ่ือเมาและถอนพิษไข้ แก้ร้อนใน โดยใช้ในรูปแบบชาชงรางจืดและแคปซูลผงยารางจืด
ในการศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาลาดับนิวคลีโอไทด์ในบริเวณ Internal Transcribed Spacer (ITS) ซ่ึงเป็น
บริเวณอนุรักษ์และมีความผันแปรทางพันธุกรรมสูง และบริเวณ trnL-trnF ซ่ึงเป็นยีนท่ีควบคุมการสังเคราะห์
กรดอะมโิ นลูซนี (Leucine) และฟีนิลอะลานนี (Phenylalanine) จากดีเอ็นเอของรางจดื ซง่ึ ปัจจุบันยังไม่มีรายงาน
ข้อมูลยีนนี้ ในฐานข้อมูล GenBank ข้อมูลที่ได้จะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานลายพิมพ์ดีเอ็นเอของรางจืด ซ่ึงจะใช้หา
ความสมั พันธข์ องรางจืด ในแตล่ ะพนื้ ทข่ี องประเทศไทย ในการศึกษาคร้ังนี้ได้ใช้ตัวอย่างรางจืดจาก ปัตตานี สงขลา
นครศรีธรรมราช ภเู ก็ต ระยอง สระบุรี กาญจนบรุ ี และยโสธร นามาสกัดจีโนมดีเอ็นเอ จากน้ันทาการเพิ่มปริมาณ
ชิน้ ส่วนดเี อน็ เอในบริเวณ ITS และ trnL-trnF ดว้ ยวธิ ี Polymerase chain reaction (PCR) และนาช้ินสว่ นดีเอ็นเอ
ที่ผ่านการเพ่ิมปริมาณ มาหาลาดับเบสในช่วงดังกล่าว และวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่าวิธีการสกัด
ดีเอ็นเอและเพิ่มปรมิ าณชน้ิ สว่ นดีเอ็นเอบรเิ วณ ITS ใหผ้ ลกบั ตัวอย่าง 10 ตวั อย่าง จากทั้งหมด 16 ตัวอย่าง และผล
การวิเคราะห์นิวคลีโอไทด์ของพืชตัวอย่างมีความใกล้เคียงกับบริเวณ ITS ของ Thunbergia ชนิดอ่ืนที่มีข้อมูลใน
GenBank (Accession number H6004805, KX641599 และ AF169850) ส่วนตัวอย่างที่ยังไม่ให้แถบดีเอ็นเอ
ส่วนหน่ึงเป็นตัวอย่างท่ีเป็นผงพืชบรรจุแคปซูล และผลการศึกษาบริเวณ trnL-trnF อยู่ในระหว่างการดาเนินการ
ต่อไป
Corresponding author : Pimpimon Tansakul, E-mail : [email protected] ~ 11 ~
โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การใช้ผลติ ภัณฑ์เสริมอาหารและสมนุ ไพรในผปู้ ่วยมะเรง็ ณ สาขารังสรี กั ษา มะเรง็ วิทยา
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
กชกร กามูจันดี, ผการตั น์ อักษรสมบตั ิ, กรกมล รุกขพนั ธ์, พชิ ญา นวลไดศ้ ร,ี กานดาวศรี ตลุ าธรรมกจิ ,
ประจวบ หนอู ไุ ร, ขวัญฤทยั เซ่งหนู, ภาณุพงศ์ พทุ ธรักษ์
ภาควชิ าเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร์, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
งานวิจยั เชิงคณุ ภาพชิน้ นี้ มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื รวบรวมรายการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรที่มีการใช้
ในผู้ปว่ ยมะเรง็ รวมไปถึงผลหลังการใช้ ความปลอดภัยเบื้องต้น การปลอมปนสเตียรอยด์และยากลุ่ม NSAIDs และ
ปัญหาท่ีเกิดหลังการใช้ โดยเก็บข้อมูลในผู้ป่วยมะเร็ง ณ สาขารังสีรักษา มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
ต้ังแตม่ กราคม – กมุ ภาพันธ์ 2560 การเกบ็ ข้อมลู ใช้วธิ ีการสนทนากลุม่ สัมภาษณ์เจาะลกึ และการสังเกต วิเคราะห์
ขอ้ มูลโดยการวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา ในงานวจิ ัยคร้ังนีพ้ บผลติ ภณั ฑ์ทมี่ ีการใช้ในผ้ปู ว่ ยท้ังส้ิน 32 ตัวอย่าง จากผู้ป่วยมะเร็ง
16 ราย ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีฉลาก 30 ตัวอย่าง ในจานวนนี้พบว่ามี 5 ตัวอย่างที่ฉลากไม่ถูกต้อง พบยาแผน
โบราณรูปแบบผง 1 ชนิดท่ีไม่มีเลขทะเบียนมีการปลอมปนยา Paracetamol มียาแผนโบราณท่ีไม่มีทะเบียน 2
ชนิดที่ผู้ป่วยใช้แล้วทาให้ค่าทางห้องปฏิบัติการผิดปกติไปจากเดิม พบผู้ป่วย 1 รายที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์หลัง
การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องด่ืมสมุนไพรพลูคาว โดยผู้ป่วยมีอาการปวดแผลมากขึ้น ผู้ป่วยใช้จ่ายเฉล่ีย 100 บาทต่อวัน
สาหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพร ซ่ึงคิดเป็นสัดส่วนท่ีสูงเมื่อเทียบกับรายได้ของผู้ป่วย โดยที่มาของ
ผลิตภัณฑ์ท่ีผู้ป่วยใช้มีท้ังได้มาจากคนใกล้ชิด และพิจารณาด้วยตนเองจากคาโฆษณา ซึ่งผลิตภัณฑ์ท่ีมีการโฆษณา
ส่วนใหญ่ไม่มีเลขที่อนุญาตโฆษณา สาหรับการโฆษณาผลิตภัณฑ์บนอินเตอร์เน็ต จากผลิตภัณฑ์ท้ังหมดพบการ
อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง 68.8% (22 ตัวอย่าง) ในงานวิจัยนี้พบโอกาสเกิดอันตรกิริยาระหว่างผลิตภัณฑ์เสริม
อาหารหรือสมุนไพรกบั ยาแผนปจั จุบนั ทผ่ี ปู้ ่วยใชอ้ ยู่จานวน 14 อันตรกริ ยิ า โดยโอกาสที่ผู้ป่วยจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจ
เกดิ อันตรกริ ยิ ากบั ยาแผนปัจจุบันท่ตี นได้รบั คิดเป็น 50% ของผู้ป่วยท้ังหมด ในงานวิจัยนี้พบสมุนไพร 5 ชนิดท่ีอาจ
เกิดอนั ตรกิรยิ ากับยาแผนปจั จบุ ันทผ่ี ู้ป่วยใชอ้ ยู่คือ กาแฟ งาดา ขม้ินชัน Resveratrol สกัดจากองุ่นแดง และย่านาง
ผลทไี่ ด้จากการวิจยั น้จี ะชว่ ยใหท้ มี บคุ ลากรทางการแพทย์เข้าใจผู้ป่วยมะเร็งมากข้ึน และสามารถนาข้อมูลเหล่านี้ไป
เป็นแนวทางให้คาแนะนาการใช้ผลิตภณั ฑเ์ สริมอาหารและสมุนไพรอยา่ งปลอดภัย
~ 12 ~ Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
ผลิตภัณฑบ์ ารงุ เลบ็ และจมูกเลบ็ จากน้ามนั ขนั
เมทินี โคตรสมบตั ิ, ธวลั รตั น์ สนั ติพฤทธิ์, ภาณพุ งศ์ พทุ ธรักษ์
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร์, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
น้ามันขันเป็นน้ามันพื้นบ้านที่ชาวบ้านใช้บารุงผมและผิว จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วยวิธี
คอลัมน์โครมาโทกราฟี พบว่าในน้ามันขันประกอบด้วยกรดไขมันที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ คือ Oleic acid ,Linoleic
acid ,Arachidic acid และมฤี ทธิ์เปน็ สารตา้ นอนมุ ลู อิสระ จึงสามารถนามาใช้ดูแลผิวหนังและเล็บได้ ซ่ึงสอดคล้อง
กับผลการทา MTT assay ด้วย Hacat cell พบว่าน้ามันขันกระตุ้นการเจริญเติบโตของ Hacat cell ทางผู้วิจัยจึง
สนใจเพม่ิ มลู คา่ ให้กับนา้ มนั พ้นื บ้านด้วยการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บารุงเล็บและจมูกเล็บในรูปแบบทาภายนอก โดย
ใช้ Pseudo-ternary phase diagram ของ Anhydrous Lanolin : White soft paraffin : Isopropyl myristate
ในการหาอัตราสว่ นเบสท่เี หมาะสม และผสมกบั สารออกฤทธ์ิ ไดส้ ตู รตารับทั้งหมด 3 สูตร เพ่ือนามาหาสูตรตารับท่ี
เหมาะสม โดยใช้การทดสอบลักษณะทางกายภาพ พบว่า สูตร A หนืดมากที่สุด ไหลช้ามาก กล่ินไม่ฉุน สีขาวอม
เหลืองอ่อน เป็นเน้ือเดียวกัน สูตร B ค่อนข้างเหลว ไหลเร็ว กล่ินฉุนมาก มีสีเหลือง เป็นเน้ือเดียวกัน สูตร C
ค่อนข้างหนืด ไหลชา้ กลนิ่ ไม่ฉนุ มาก สเี หลอื งอ่อนๆเป็นเนือ้ เดยี วกัน ผลจากการทดสอบความคงตัวด้วยวิธี Freeze
thaw cycle test และCentrifuge test พบว่าสูตร A มีความคงตัวมากที่สุด และทดสอบความพึงพอใจของผู้ใช้
พบวา่ ทัง้ 3 สูตรเปน็ ทีพ่ งึ พอใจของผใู้ ช้ โดยสูตร A เป็นท่พี ึงพอใจของผใู้ ช้มากกว่าสูตร B และC ในด้านของลักษณะ
และสูตร A กลน่ิ ราขา้ วเปน็ ทพี่ งึ พอใจของผ้ใู ชม้ ากท่สี ดุ จงึ คาดวา่ ผลิตภัณฑจ์ ากน้ามนั ขันน้ี สามารถเป็นทางเลือกใน
การใช้เป็นผลิตภัณฑ์บารุงเล็บและจมูกเล็บได้ และเป็นการส่งเสริมการใช้องค์ความรู้แพทย์พื้นบ้านมาพัฒนาเป็น
ผลิตภัณฑ์ และเพ่ิมมูลค่าการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันท่ีมีราคาสูงตามภาวะทาง
เศรษฐกิจได้
Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : [email protected] ~ 13 ~
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพัฒนาสตู รตารับครมี จากสารสกัดบวั บกสาหรบั ยบั ยั้งการแบง่ ตัวของเซลล์ keratinocyte ในโรคสะเก็ดเงนิ
วสพุ ล วงศ์ภาคิน, มณฑติ า เอ้อื เจยี รพนั ธ์, ภาณุพงศ์ พุทธรักษ์
ภาควชิ าเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
บัวบก (Centella asiatica) เป็นสมุนไพรท่ีมีสารองค์ประกอบคือสารกลุ่มไตรเทอร์ปีน ได้แก่
Asiaticoside, Asiatic acid, Madecassoside และ Madecassic acid มีฤทธิส์ มานแผลและยับยงั้ การแบ่งตวั ของ
เซลล์ keratinocyte ได้ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาครีมจากสารสกัดบัวบกสาหรับยับย้ังการแบ่งตัวของเซลล์
keratinocyte สามารถใชเ้ ปน็ การรักษาทางเลอื กในผปู้ ่วยโรคสะเกด็ เงนิ (Psoriasis) ทางผู้วิจัยได้พัฒนายาพ้ืนครีม
ที่มีคณุ สมบัตเิ หมาะสมตอ่ การใช้ รวมถงึ ทดสอบฤทธิ์ของสารบริสุทธ์ิจากบัวบก ได้แก่ Asiaticoside, Asiatic acid,
Madecassoside และ Madecassic acid ในรูปสารผสมได้แก่ Pentacyclic triterpenoid-rich Centella
asiatica extract (PRE) และสารสกัดหยาบจากบัวบก (Crude extract) รวมท้ังสารอื่นนอกจากสารสกัดจาก
บวั บกได้แก่ วติ ามินอีและสารสกดั จากวา่ นหางจระเข้ โดยทดสอบกบั เซลล์ Hacat ซง่ึ เปน็ เซลล์ keratinocyte จาก
ผิวหนังมนุษย์ และเซลล์ L929 ซึ่งเป็นเซลล์ fibroblast จากผิวหนังของหนู ด้วยวิธี MTT assay พบว่า Asiatic
acid และ Madecassic acid ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ Hacat ได้ดี และสารผสมในรูป PRE เพิ่มการแบ่งตัวของ
เซลล์ L929 ได้ จากน้นั เตรียมสูตรตารับครีมทงั้ หมด 12 สตู ร ท่มี ี PRE วิตามินอีและสารสกดั จากว่านหางจระเขใ้ น
สัดส่วนที่ต่างกัน นาไปทดสอบฤทธ์ิกับเซลล์ Hacat และ L929 ด้วยวิธี MTT assay พบว่าสูตรตารับครีมที่มี 1%
w/w PRE + 1 w/w Vitamin E ให้ผลยับย้ังเซลล์ Hacat ได้ดี และมีความเป็นพิษต่อเซลล์ L929 น้อยกว่าสูตร
ตารบั อนื่ จึงเลือกสูตรน้ีมาใช้ผลิตครีมจากสารสกัดบัวบกสาหรับยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ keratinocyte ในโรค
สะเก็ดเงนิ เม่ือทดสอบคณุ สมบัติของสูตรครีมท่ีได้พบว่า เนื้อครีมมีสีเหลือง มีกล่ินเฉพาะตัวของบัวบก เกาะติดผิว
ได้ดี และไม่เหนียวเหนอะหนะ
~ 14 ~ Corresponding author : Panupong Puttarak, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
ศึกษาฤทธิ์ยบั ยง้ั เอนไซม์ alpha-glucosidase เบ้ืองต้นของเช้อื ราสกลุ Penicillium
ทพิ วลั ย์ โคดม, อรุณวรรณ ลิมปะวฒุ พิ งศ์, สุกญั ญา เดชอดศิ ยั
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่มีระดบั น้าตาลในเลือดสงู ซ่ึงพบวา่ อุบตั ิการณ์การเกดิ โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่ม
สงู ขนึ้ ดังน้นั โรคเบาหวานจงึ เป็นโรคหนึ่งที่มีความสาคัญและจาเป็นในการคิดค้นพัฒนายา โดยเฉพาะการพัฒนายา
จากแหลง่ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่เี รามอี ยู่ ยาทีใ่ ชร้ ักษาโรคเบาหวานมีอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มหน่ึงที่น่าสนใจ คือ กลุ่มยาที่
ยบั ยง้ั การทางานของเอนไซม์ alpha-glucosidase เพอื่ ลดการดูดซมึ กลูโคสเขา้ ส่กู ระแสเลือด ปา่ พรโุ ตะ๊ แดง จงั หวดั
นราธวิ าส เป็นอกี หนึง่ แหล่งทรพั ยากรธรรมชาติท่ีนา่ สนใจในการศึกษา ซึ่งผูว้ จิ ัยสนใจเชอื้ ราทส่ี ามารถเจริญเติบโตใน
ดินที่มีสภาพความเป็นกรดป่าพรุโต๊ะแดง โดยเฉพาะเช้ือราสกุล Penicillium ในการศึกษาน้ีได้นาเช้ือราสกุล
Penicillium ท่ีแยกได้จากดินป่าพรุโต๊ะแดงจานวน 5 ชนิด มาเล้ียงและแยกเป็นสารสกัดต่างๆ ได้แก่ สารสกัดน้า
เล้ียงชั้น ethyl acetate (BE, Broth EtOAc), สารสกัดน้าเล้ียงช้ันน้า (BW, Broth), สารสกัด hexane ของเส้นใย
(CH, Cell hexane) และสารสกัด ethyl acetate ของเส้นใย (CE, Cell EtOAc) ได้สารสกัดทั้งหมด 20 ตัวอย่าง
นามาทดสอบฤทธิ์ยับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase ด้วยวิธี colorimetric method โดยอาศัยการเกิดปฏิกิริยา
ไฮโดรไลซ์สาร p-nitrophenyl- α -D-glucopyranoside ซ่ึงเป็นสารละลายไม่มีสี ด้วยเอนไซม์ alpha-
glucosidase ไปเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ p-nitrophenol ซงึ่ เป็นสารละลายสีเหลอื งใส วัดคา่ การดูดกลนื แสงทค่ี วามยาวคลนื่
405 nm โดยทาการทดสอบที่ความเข้มข้น 2 mg/ml พบว่าสารสกัดท่ีมีฤทธ์ิดีได้แก่ CE274, BE239 และ BE266
โดยมีเปอร์เซ็นต์ยับย้ังเอนไซม์เท่ากับ alpha-glucosidase 100.08 ± 1.19, 97.45 ± 1.87 และ 99.40 ± 1.41
ตามลาดับ เม่ือเทียบกับ acarbose 87.43 ± 0.37 และ CE274 มีค่า IC50 ท่ีดีท่ีสุดคือ 325 µg/ml เม่ือเทียบกับ
IC50 ของ acarbose คือ 235 µg/ml และ BE239 และ BE266 มีค่า IC50 รองลงมาคือ 417 และ 460 µg/ml
ตามลาดับ ดังน้ันสารสกัดจากเช้ือราสกุล Penicillium โดยเฉพาะ CE274 จึงมีความน่าสนใจในการศึกษาแยก
องค์ประกอบทางเคมเี พ่อื หาสารที่ออกฤทธิย์ ับยัง้ เอนไซม์ alpha-glucosidase ซง่ึ อาจนาไปพฒั นาเปน็ ยาต้นแบบใน
การรักษาโรคเบาหวานในอนาคตตอ่ ไป
Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : [email protected] ~ 15 ~
โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การทดสอบฤทธ์ยิ บั ยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสเบื้องต้น
ของสารสกดั พืชในสกลุ Nymphaea
พฒั นัดดา ก่อกติ ติพงศ์, สิริพรรณ พดุ ดว้ ง, สกุ ญั ญา เดชอดศิ ัย
ภาควชิ าเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
เอนไซม์ไทโรซิเนส เป็นเอนไซม์ท่ีสามารถพบได้ตามธรรมชาติ เป็นส่วนหน่ึงในการสังเคราะห์เมลานิน ซึ่ง
กอ่ ใหเ้ กิดการผลิตเมด็ สใี นรา่ งกาย การศกึ ษาการยบั ยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส จงึ เปน็ ประโยชน์ในการรักษาความผิดปกติ
ในการสร้างเม็ดสีที่ทาให้เกิดผิวคล้าและการเกิดรอยดาต่างๆบนผิวมนุษย์ พืชในสกุล Nymphaea หรือบัวสายนั้น
เป็นพืชท่ีสามารถพบได้ทั่วไปในท่ัวทุกภูมิภาคประเทศไทย มีรายงานการศึกษาวิจัยท่ีศึกษาฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโร
ซเิ นส จากใบของ Nymphaea rudgeana พบวา่ สารสกัดดังกล่าวมีฤทธ์ิยับย้ังเอนไซม์ไทโรซิเนสท่ีดี จึงได้มีการนา
พืชในสกลุ Nymphaea หกชนดิ ไดแ้ ก่ สุทธาสิโนบล (Nymphaea capensis), บวั สาย(แดง) (Nymphaea rubra),
จงกลนี (Nymphaea jongkolnee), บัวโคโรลาต้า (Nymphaea colorata), บัวยักษ์ออสเตรเลีย (Nymphaea
gigantea) และบัวมังคลอุบล (Nymphaea mungkalaubon) แยกออกเป็นส่วนต่างๆ คือ ใบ กลีบดอก ก้านใบ
กา้ นดอก และเกสร ได้ท้งั หมด 28 ตวั อย่าง จากน้นั นามาสกัดด้วยเอทานอลแล้วนาไปทดสอบการยับย้งั เอนไซมไ์ ทโร
ซิเนสโดยวิธี dopachrome method เปรียบเทียบกับ Kojic acid และสารสกัดช้ันน้าของแก่นมะหาด (ปวกหาด)
โดยทาการทดสอบที่ความเข้มข้น 20 µg/ml ของทั้งสารตัวอย่างและสารมาตรฐาน หากตัวอย่างใดมีฤทธิ์ยับย้ัง
มากกว่าหรอื เท่ากับ 50% จะนามาหาคา่ Half maximal inhibitory concentration (IC50 ) ในลาดบั ตอ่ ไป ผลการ
ทดลอง พบวา่ ฤทธใิ์ นการยับย้งั เอนไซม์ไทโรซิเนสของตัวอย่างท้ังหมด อยู่ในช่วง 0.55 ± 0.78 % - 17.94 ± 3.88 %
โดยสารสกัดเกสรบัวยักษ์ออสเตรเลียมีฤทธ์ิยับย้ังเอนไซม์ไทโรซิเนสดีที่สุด คือ 17.94 ± 3.88% ส่วนสารสกัดก้าน
ดอกบัวโคโรลาต้ามีฤทธ์ิยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสต่าท่ีสุด คือ 0.55 ± 0.78% โดยสารมาตรฐาน Kojic acid และ
ปวกหาด มฤี ทธยิ์ ับย้ังเอนไซม์ไทโรซเิ นส เทา่ กับ 80.40 ± 0.95 % และ 95.31 ± 0.12 % ตามลาดับ ทงั้ นีพ้ บวา่ สาร
สกัดจากเกสรของพืชในสกุล Nymphaea สว่ นใหญม่ ีฤทธยิ์ ับยง้ั เอนไซมไ์ ทโรซิเนสมากกวา่ สารสกดั จากส่วนอืน่ ๆ
~ 16 ~ Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การศึกษาฤทธยิ์ ับย้ังเอนไซมแ์ อลฟากลโู คซเดสเบือ้ งต้นของพชื ในวงศ์ Acanthaceae
สพุ ชิ ญา จิโรจน์มนตร,ี แก้วกาญ พานิช, สกุ ญั ญา เดชอดศิ ัย
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
โรคเบาหวานเป็นโรคเร้ือรังท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นภาวะท่ีร่างกายไม่
สามารถควบคุมระดบั น้าตาลในเลือดได้ ผวู้ ิจัยสนใจในการพฒั นายาทางเลอื กสาหรับโรคเบาหวาน โดยการนาพืชมา
สกัดเพ่ือตรวจคัดกรองความสามารถที่จะชะลอการดูดซึมกลูโคสผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซม์ alpha-glucosidase
เบ้อื งตน้ โดยจากรายงานการวิจัยก่อนหน้าน้ีพบว่ามีพืชหลายชนิดจากวงศ์ Acanthaceae ที่สามารถยับย้ังเอนไซม์
ดังกล่าวได้ ดังน้ันพืชในวงศ์นี้จึงน่าสนใจในการนามาศึกษา โดยผู้วิจัยเลือกศึกษาพืชในวงศ์นี้ท่ียังไม่มีรายงาน
การศึกษามาก่อน จานวน 3 ชนิด ได้แก่ เฒ่าหลังลาย (Pseuderanthemum graciliflorum), เสลดพังพอนตัวผู้
(Barleria lupulina) และบลูฮาวาย (Achetaria azurea) โดยจะนาส่วนต่างๆของพืช เช่น ใบ ดอก ลาต้น และ
ราก มาหมกั ด้วย ethanol เปน็ ระยะเวลา 3 วัน ซ่ึงจะทาการสกัดซา้ 3 ครงั้ ไดเ้ ป็นสารสกัดทั้งหมด 10 ตัวอย่าง ใช้
acarbose เป็นสารมาตรฐาน โดยทาการทดสอบฤทธิ์ยับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase ท่ีความเข้มข้น 2 mg/ml
พบว่าฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ alpha-glucosidase ของตัวอย่างทั้งหมดอยู่ในช่วง 25.40 – 79.47 % โดยสารสกัดที่ได้
จากดอกเฒา่ หลังลายมฤี ทธิ์ดีท่ีสดุ คอื 79.47 ± 3.9 % และลาตน้ เสลดพังพอนตวั ผมู้ ฤี ทธิ์ต่าสุด คือ 25.40 ± 2.3 %
ซ่ึงสารมาตรฐาน acarbose สามารถยับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase ได้ 80.60 ± 2.14 % แต่ใบเสลดพังพอน
ตัวผู้จะรายงานผล ท่ีความเข้มข้น 0.5 mg/ml เน่ืองจากสารสกัดที่ได้มีสีเข้มมากเกินไป ทาให้เคร่ืองมือไม่สามารถ
วเิ คราะหผ์ ลออกมาได้ ซ่งึ ไดค้ ่า % alpha-glucosidase inhibition คอื 7.79 ± 3.6% เมื่อนาสารสกัดท่ีได้จากดอก
เฒ่าหลังลายซ่ึงมีฤทธ์ิดีท่ีสุด และ acarbose มาหาค่า IC50 ได้เท่ากับ 0.407 และ 0.279 mg/ml ตามลาดับ ซ่ึงจะ
เห็นว่าสารสกัดที่ได้จากดอกเฒ่าหลังลายน้ันมีฤทธ์ิในการยับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase ได้ใกล้เคียงกับ
acarbose ดังน้ันจากผลการศึกษาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากดอกเฒ่าหลังลายมีความน่าสนใจต่อการ
ศึกษาวิจัยต่อไปเพ่ือหาสารท่ีออกฤทธ์ิยับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase เพื่อนาไปสู่การพัฒนายาต้นแบบในการ
รกั ษาโรคเบาหวานจากแหลง่ ธรรมชาตติ อ่ ไปในอนาคตได้
Corresponding author : Sukanya Dej-adisai, E-mail : [email protected] ~ 17 ~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การเตรียมสารสกดั ใบทองพันชง่ั ให้มสี าร Rhinacanthin ในปรมิ าณสงู และ การพฒั นาตารับยาทองพันชง่ั
จริ กิตต์ รงั สรรค์ร่งุ กิจ, ยทุ ธศกั ด์ิ โสภณรัตน,์ ภาคภมู ิ พาณชิ ยปู การนันท์
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ทิงเจอร์ทองพันชั่งเป็นยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี 2559 ใช้รักษาโรคผิวหนังท่ีเกิดจากเช้ือรา
แตใ่ นบัญชยี าฯ ยงั ไมม่ กี ารกาหนดชนิดและปรมิ าณสารสาคัญแน่นอน อีกทั้งยาในรูปแบบทิงเจอร์อาจทาให้เกิดการ
ระคายเคืองต่อผิวหนัง เนื่องจากมีปริมาณแอลกอฮอล์สูง จึงมีการพัฒนาวิธีการสกัดสารจากใบทองพันช่ังโดยใช้
glycerin เป็นตวั ทาละลายรว่ มกบั แอลกอฮอล์ และมีการพัฒนาตารับยาน้าจากสารสกัดใบทองพันชั่งท่ีระบุปริมาณ
สารสาคัญ rhinacanthin-C 0.1% w/v อย่างไรก็ตาม ปริมาณแอลกอฮอล์ในตารับยาท่ีพัฒนาข้ึนก็ยังสูงถึง 76%
v/v ดังนั้น การศกึ ษานี้จงึ ไดพ้ ฒั นาตัวทาละลายทใ่ี ช้ในการสกดั ใบทองพันช่ัง และตารับยาน้าทองพันชั่งให้ปราศจาก
แอลกอฮอล์หรือมีปริมาณต่ากว่า 20% v/v เพ่ือสามารถนาไปใช้รักษาโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ โดยใช้วิธีการสกัดท่ี
เปน็ มิตรต่อสง่ิ แวดล้อมและเลือกใชต้ วั ทาละลายท่มี กั ใชเ้ ปน็ ตัวทาละลายรว่ มในตารับยาน้าที่ใช้ภายนอกอยู่แล้ว เพื่อ
ลดการใชต้ วั ทาละลายและลดขน้ั ตอนในการกาจัดตัวทาละลาย จึงชว่ ยประหยัดเวลา และพลังงาน โดยตัวทาละลาย
ที่นามาศึกษา ได้แก่ polyethylene glycol 400 (PEG400), butylene glycol (BG) และ glycerin โดยวิเคราะห์
ปรมิ าณ rhinacanthin-C ด้วยวธิ ี HPLC พบว่าตัวทาละลายทีเ่ หมาะสมที่สุดในการสกัดสารคือ PEG400 โดยเม่ือใช้
อัตราสว่ นของผงยาต่อตัวทาละลายเทา่ กบั 20 g ต่อ 100 ml สารสกัดที่ได้มีปริมาณ rhinacanthin-C เท่ากับ 1.53
mg/ml เมือ่ นาสารสกดั ทีไ่ ดม้ าเตรยี มตารบั ใหม้ คี วามเขม้ ขน้ ของ rhinacanthin-C 0.1% w/v โดยมกี ารแปรเปล่ียน
ปริมาณ ethanol (0 และ 10% v/v) และ BG (20 และ 25% v/v) จะได้ตารับยาน้า 4 ตารับ พบว่ายาน้าท้ัง 4
ตารับมีลกั ษณะเปน็ สารละลายใสสีน้าตาลอ่อนและมี pH เท่ากับ 5.6 - 6.5 และผลการทดสอบฤทธิ์ต้านเช้ือ Ticho-
phyton rubrum พบวา่ ทงั้ 4 ตารบั มีค่า MIC เทา่ กนั ที่คา่ dilution 1 : 64 ในขณะที่น้ากระสายยา (vehicle) มีค่า
MIC ท่ีค่า dilution 1 : 16 ผลการทดสอบความคงตัวของตารับในสภาวะเร่ง (45 ± 2 °C, ความช้ืน 75%) เป็นเวลา
1 เดือน พบว่าปริมาณ rhinacanthin-C ในตารับลดลงเหลือ 82.6 % ซึ่งอาจเกิดจากในตารับมีปริมาณสาร
antioxidant ยงั ไม่เหมาะสม จึงควรมกี ารศกึ ษาเพ่ิมเติมตอ่ ไป เพ่อื เพม่ิ ความคงตัวของ rhinacanthin-C ในตารับยา
~ 18 ~ Corresponding author : Pharkphoom Panichayupakaranant, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การเตรยี มสารสกดั จากแก่นฝางใหม้ สี าร Brazilin ในปรมิ าณสูงและการเตรยี มผลิตภัณฑ์มาร์คหน้าสาหรับรักษาสิว
นราธิป คงฤทธิ์พทิ ยา, ปัญจพล บรุ ณพร, ภาคภมู ิ พาณิชยูปการนันท์
ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
แก่นฝางเป็นสมุนไพรทม่ี สี าร brazilin ซึ่งมฤี ทธิ์ต้านอนุมลู อิสระ ตา้ นเช้ือแบคทีเรีย และต้านการอักเสบที่
ดี ผ้วู ิจยั จึงสนใจพฒั นาผลิตภณั ฑ์สาหรับรกั ษาสิวจาก brazilin โดยพัฒนาวิธกี ารสกดั สาร brazilin จากแกน่ ฝางโดย
ใชว้ ธิ ีการสกดั ที่เปน็ มติ รตอ่ สง่ิ แวดล้อม เพอื่ ให้ไดส้ ารสกัดทม่ี ี brazilin ในปริมาณสูง โดยเลือกใชว้ ิธีการสกดั ด้วยคลน่ื
ไมโครเวฟ (microwave associated extraction; MAE) โดยเลอื กใชส้ ่วนประกอบในสูตรตารบั สาหรบั ทาภายนอก
ได้แก่ propylene glycol (PG), butylene glycol (BG), polyethylene glycol 400 (PEG400) และ ethanol
เป็นตัวทาละลาย และวิเคราะห์ปริมาณ brazilin ด้วยเทคนิค HPLC พบว่าตัวทาละลายผสมระหว่าง PG : BG :
ethanol (25:25:50, v/v) สามารถสกัด brazilin ได้สูงสุด (13.7 mg/ml) จึงใช้ตัวทาละลายดังกล่าวในการเตรียม
สารสกดั จากแกน่ ฝางเพอื่ นามาตง้ั สูตรตารบั เจลมาร์คหน้าและโลช่ัน โดยกาหนดให้มี brazilin ในตารบั เทา่ กบั 0.1%
w/w และ 0.1% w/v ตามลาดับ ตารับเจลมาร์คหน้าใช้สารก่อเจลเป็น polyvinyl alcohol (PVA) 10% w/w ได้
เจลมาร์คหน้าที่มี ลักษณะเป็นเจลใสมีสีน้าตาลแดงตามสีของสารสกัด มีปริมาณสาร brazilin ในตารับ 96.7 %
label amount จากการวิเคราะห์ด้วย HPLC เม่ือทาเจลทิ้งไว้ 15 - 20 นาที จะก่อตัวเป็นแผ่นฟิล์มและสามารถ
ลอกออกได้ สว่ นโลชั่นที่ได้มลี ักษณะเป็นสารละลายใสมสี ีนา้ ตาลแดงตามสีของสารสกัด มีปริมาณสาร brazilin ใน
ตารับ 97.0% label amount เม่ือวิเคราะห์ด้วย HPLC การทดสอบความคงตัวในสภาวะเร่ง และการศึกษาฤทธิ์
ตา้ นเช้อื แบคทีเรยี ยงั อยู่ในระหว่างดาเนินการ จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การสกัด brazilin ในแก่นฝางด้วย
วิธี MAE และใช้ตัวทาละลายร่วมในตารับเคร่ืองสาอางมาเป็นตัวทาละลายในการสกัดสาร สามารถเพิ่มปริมาณ
brazilin ในสารสกดั แกน่ ฝางได้ และลดปริมาณตวั ทาละลายที่ใชใ้ นการสกดั จงึ ชว่ ยลดตน้ ทนุ การผลิตได้
Corresponding author : Pharkphoom Panichayupakaranant, E-mail : [email protected] ~ 19 ~
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การปรบั ปรงุ สูตรอาหารเพอ่ื เพมิ่ อตั ราการงอกรากจากเนอื้ เย่อื ใบของเทยี นบ้าน
ธรี ศกั ด์ิ จันทรส์ ขุ , อัครวัฒน์ สินวริ ัชพงษ,์ ภาคภมู ิ พาณชิ ยปู การนนั ท์
ภาควิชาเภสชั เวทและเภสชั พฤกษศาสตร,์ คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
มีการสร้างรากเพาะเลี้ยงของเทียนบ้านเพื่อเพ่ิมการสร้างสารกลุ่ม naphthoquinone ได้แก่ lawsone,
lawsone methyl ether และ bilawsone พบว่ารากเพาะเล้ียงท่ีเกิดจากเน้ือเยื่อใบมีการสร้างสารกลุ่ม
naphthoquinone สูงกว่ารากเพาะเลี้ยงท่ีเกิดจากเนื้อเย่ือราก แต่การเหน่ียวนาให้เกิดรากจากใบด้วยสูตรอาหาร
NAA 0.1 mg/l Kn 1.0 mg/l และ BA 2.0 mg/l ตามทเ่ี คยมีรายงานมาซ่งึ ใชเ้ วลานานกวา่ 2 เดอื น การศกึ ษาครงั้ นี้
จึงต้องการปรับปรุงสูตรอาหารเพื่อเร่งการงอกรากจากเนื้อเยื่อใบ โดยการปรับปรุงชนิดและปริมาณของ plant
growth regulator ให้เหมาะสม ซึ่งในการศึกษานี้ใช้อาหารเพาะเล้ียงสูตร Gamborg B5 ท่ีมี plant growth
regulator ชนิด IBA เปรียบเทียบกับ NAA ที่ความเข้มข้น 0.1, 0.5 และ 1.0 mg/l แล้ววัดอัตราการงอกรากจาก
เน้ือเยื่อใบภายใน 21 วัน พบว่า รากเพาะเล้ียงจากอาหารสูตร B5 ท่ีเสริมด้วย IBA 1.0 mg/l มีอัตราการงอกราก
มากที่สุด (0.96 ± 0.1519 ราก/วัน) รองลงมาเป็นอาหารสูตร B5 ที่เสริมด้วย IBA 0.5 mg/l (0.46 ± 0.0933
ราก/วนั ) อาหารสตู ร B5 ทเ่ี สริมด้วย IBA 0.1 mg/l (0.38 ± 0.0368 ราก/วนั ) ตามลาดับ สาหรับอาหารสูตร B5 ท่ี
เสรมิ ด้วย NAA 0.1 mg/l มีอตั ราการงอกรากมากที่สุด (0.26 ± 0.0758 ราก/วัน) ส่วนอาหารสูตร B5 ที่เสริมด้วย
NAA 0.5 mg/l หรือ 1.0 mg/l ไม่สามารถนับจานวนรากได้เน่ืองจากเกิดรากแบบขนปุยที่ไม่สามารถ subculture
ต่อไปได้ ในการศึกษาต่อไปอาจนารากที่ถูกเหนี่ยวนาด้วยอาหารสูตร IBA 1.0 mg/l มาเล้ียงในอาหารเหลวสูตร
NAA 0.1 mg/l Kn 1.0 mg/l และ BA 2.0 mg/l ที่สามารถเพม่ิ การสร้างสารกลุ่ม NQ ตอ่ ไป
~ 20 ~ Corresponding author : Pharkphoom Panichayupakaranant, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
Exploring Alternative Purification of
Recombinant Filarial Adenine Phosphoribosyltransferase
Booyapart Sornin, Matchane Satitsuksanoh, Bhutorn Canyuk
Department of Pharmaceutical Chemistry,
Faculty of Pharmaceutical Science, Prince of Songkla University
An alternative IMAC protocol for purification of a recombinant adenine
phosphoribosyltransferase of Brugia malayi (bAPRT) was explored, using elution buffer with lower
pH instead of high concentration of imidazole as used in the previous study. The protocol was
as followed. The soluble cell lysate containing C-terminal hexahistidine tagged bAPRT was initially
bound to Ni-IDA resin in lysis buffer at pH 8. Unbound proteins was washed from the resin with
lysis buffer. Selective elution of bound impurities from the resin was achieved by sequential
washing with Bis-Tris pH 6.5 and Bis-Tris pH 6.5 supplemented with 5 mM imidazole. Finally, the
recombinant bAPRT was eluted with sodium acetate pH 4.6. The purified bAPRT in sodium
acetate buffer conferred a suitable condition for crystallization without desalting step to remove
high salts such as sodium chloride and imidazole which presented in the original condition.
Corresponding author : Bhutorn Canyuk, E-mail : [email protected] ~ 21 ~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การพฒั นาและอธบิ ายลักษณะของเอทโธโซมใชส้ าหรบั นาส่งสารทชี่ ว่ ยใหผ้ ิวขาว
ชนนกิ านต์ แซ่โค้ว, โยษติ า มณสี ะอาด, วมิ ล ตนั ติไชยากลุ
ภาควิชาเภสัชเคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
เอทโธโซม (ethosome) เป็น lipid vesicular system ชนิดหน่ึงประกอบด้วย ฟอสโฟลิพิด น้า และ
เอทานอล โดยจะมีเอทานอลในปริมาณสูง (20 – 45 %) ซ่ึงทาให้ vesicle มีคุณสมบัติ อ่อนนุ่ม, ยืดหยุ่นและคงตัว
ทาให้สามารถช่วยเพ่ิมการซึมผ่านผิวหนังของสารต่างๆได้ ในการศึกษาน้ีได้ศึกษาวิธีเตรียมเอทโธโซมของ
oxyresveratrol ซ่ึงมีคุณสมบัติเป็นสารช่วยให้ผิวขาว และประเมินคุณลักษณะเอทโธโซมที่ได้ ในเร่ืองของ ขนาด
และรูปร่างของ vesicle, zeta potential และ ความสามารถในการกักเก็บยา (entrapment efficiency, %EE)
ผลการทดลองพบว่า vesicle ท่ีได้มีรูปร่างเป็นทรงกลม ขนาดเฉล่ีย 203.4±50 nm, ค่า zeta potential -20.7
mV และ %EE เท่ากับ 48.65±1.07% นอกจากน้ีได้พัฒนานาเอทโธโซมใส่ลงในเจล โดยเจลท่ีใช้คือ 10%
hydroxypropyl methylcellulose (HPMC) และทาการประเมินลักษณะเจลทางกายภาพและการปลดปล่อย
oxyresveratrol โดยใช้ Franz diffusion cell พบว่าผลการปลดปลอ่ ยยาในรูปแบบเจลเทา่ กบั 25.96±3.86% เมื่อ
เทียบกับการปลดปล่อยสารจากสารละลายเอทานอล (30% v/v) ซึ่งเท่ากับ 62.16±18.81% ใน 24 ชั่วโมง
การศึกษานี้เป็นการศึกษาเร่ิมต้น ซ่ึงจะมีการพัฒนาต่อไป ตลอดจนศึกษา permeability และการคงอยู่ของ
oxyresveratrol ท่ผี ิวหนงั ชั้น epidemis ในส่วนของ basal layer เนื่องจากเป็นชั้นท่ีมี Melanocyte ซึ่งเป็นเซลล์
ทเี่ กี่ยวข้องกับการสรา้ งเม็ดสีเมลานนิ (Melanogenesis) ที่เป็นสาเหตุทาให้สีผวิ เขม้ ขึ้น
~ 22 ~ Corresponding author : Vimon Tantishaiyakul, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การสังเคราะหร์ อยพมิ พ์โมเลกุลบนอนุภาคขนาดนาโนเพือ่ การจดจาของโคลซาปนี
นชิ นันท์ เงินถาวร, ปิตุรงค์ ชรู บิ ัติ, ร่งุ นภา ศรีชนะ
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
Molecular imprinting polymer (MIP) เป็นเทคนิคในการสังเคราะห์ nanoparticles ที่มีความสามารถในการ
จดจายาต้นแบบสงู เพื่อเป็นแนวทางในการคิดค้นยาและประยุกต์ใช้เป็นระบบนาส่งยา โดยใช้หลักการ non-covalent
imprinting วัตถุประสงค์ของการศึกษาน้ี คือเพ่ือสังเคราะห์ MIP nanoparticles ด้วยวิธี miniemulsion
polymerization ที่มี clozapine (CLZ), methylacrylic acid (MAA), ethylene glycol dimethacrylate (EGDMA),
Perfluorocyclohexane เป็นยาต้นแบบ มอนอเมอร์ ตัวเชื่อมโยงพอลิเมอร์ และ porogen ตามลาดับ โดยเลือก
อัตราส่วนของโมเลกุลยาต้นแบบต่อมอนอเมอร์ 1:4 (MIP1), 1:6 (MIP2), 1:8 (MIP3) และ cross-linker ในสัดส่วน 16
mmol รวมถึงศึกษาคุณสมบัติเบื้องต้นของ nanoparticles ท่ีสังเคราะห์ได้ เม่ือเทียบกับ non-MIP (NMIP) โดยวัด
ขนาดด้วย nanosizer วิเคราะห์ surface morphology ด้วย scanning electron microscopy (SEM) นอกจากน้ีได้
ศึกษา Interaction ระหว่างยา CLZ กับ MIP nanoparticles ด้วย FT-IR และตรวจวัด selectivity recognition โดย
ตรวจสอบ binding ของยา CLZ เทียบกับยา Raclopride (RCL) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกัน ดังภาพท่ี 1 และ 2 ในตัวทา
ละลาย PBS pH 7.4 ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า อนุภาค MIP1 MIP2 MIP3 มีขนาด 346.3±33.1 , 457.1±8.2,
463.5±20.3 nm ตามลาดับ ซ่ึงเล็กกว่า NMIP (1542.7±68.3 nm) ภาพถ่ายจาก SEM แสดงรูปร่างของ MIP 2 และ
MIP 3 ค่อนข้างกลม พื้นผิวไม่เรียบ ผลการทดสอบ Rebinding ใน PBS pH 7.4 ที่อุณหภูมิห้องพบว่าถึงจุดอ่ิมตัวเมื่อ
ผ่านไป 16-24 ชั่วโมง ค่า IF ของ MIP2 สูงท่ีสุด (3.48) เมื่อเทียบกับ MIP1 และ MIP3 (2.48 และ 2.36) นอกจากน้ียัง
พบว่า MIP2 มี selectivity ต่อยา RCL สูงท่ีสุด (IF = 1.91) เม่ือเทียบกับ MIP1 และ MIP3 (0.65 และ 1.10) จากผล
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วนของโมเลกุลยาต้นแบบต่อมอนอเมอร์มีความสาคัญต่อความสามารถในการจดจายา
ต้นแบบและให้ selectivity ต่อยาท่ีมีโครงสร้างคล้ายกัน (dopamine antagonist) และมี affinity ต่อ serotonin
receptor ดังนน้ั จึงอาจเปน็ แนวทางในการประยุกต์ใช้ในกาศึกษาการจดจาของยากับ receptor และพัฒนาระบบนาส่ง
ยาเข้าสู่สมอง
ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2
ภาพท่ี 1 และ 2 แสดงแบบจาลองการเกดิ interaction ระหวา่ งMIP2 กบั ยา CLZ และ RCL ที่ได้จากการสงั เคราะหค์ ร้งนี้
Corresponding author : Roongnapa Srichana, E-mail : [email protected] ~ 23 ~
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การศึกษาพฤติกรรมการปลดปลอ่ ยยาคลอซาปนี จากรอยพมิ พ์โมเลกลุ อนภุ าคขนาดนาโนผ่านสมอง
ด้วยวธิ ี Parallel Artificial Membrane Permeability Assay (PAMPA)
รัชนีกร เครือทอง, อลงกต สุขเจรญิ ลาภ, รงุ่ นภา ศรีชนะ
ภาควชิ าเภสัชเคม,ี คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
รอยพิมพ์โมเลกุลอนุภาคขนาดนาโน (Molecularly imprinted nanoparticles; MIPs) มีความสามารถ
ในการจดจาลักษณะรูปร่าง ตาแหน่งหมู่ฟังก์ชันของโมเลกุลยาต้นแบบ ทาให้จับกับตัวยาได้อย่างจาเพาะและ
สามารถชะลอการปลดปลอ่ ยตัวยาได้ จงึ นามาประยกุ ตใ์ ช้เป็นวัสดนุ าส่งยาชนิดหน่ึง ในการศึกษาคร้ังนี้ผู้วิจัยทาการ
สังเคราะห์ MIPs ด้วยวิธี miniemulsion polymerization โดยใช้ยาคลอซาปีน (CLZ), เมทาคริลิคแอซิด (MAA)
และเอทิลีนไกลคอลไดเมทาคริเลต (EGDMA) เป็นโมเลกุลยาต้นแบบ, มอนอเมอร์ และตัวเช่ือมโยงพอลิเมอร์
ตามลาดับ ในอัตราส่วนของโมเลกุลยาต้นแบบต่อมอนอเมอร์เท่ากับ 1:4 (MIPs-1), 1:6 (MIPs-2), 1:8 (MIPs-3)
และกลมุ่ ควบคมุ ที่ไม่เตมิ โมเลกุลยาต้นแบบ (NMIPs) และทาการศกึ ษาการปลดปลอ่ ยตัวยาจาก MIPs เม่ือผ่านสมอง
โดยใช้วิธี Parallel Artificial Membrane Permeability Assay (PAMPA) และวเิ คราะห์ปริมาณตวั ยาทป่ี ลดปลอ่ ย
เข้าไปใน acceptor chamber ด้วยวิธี HPLC-UV ผลการทดลองพบว่า MIPs-CLZ สามารถปลดปล่อยยาออกมา
อย่างช้าๆ โดย MIPs-CLZ สามารถแทรกผ่าน lipid artificial membrane ในเย่ือหุ้มสมองท่ีประกอบด้วย
phosphatidylcholine, cholesterol และ collagen ได้มากข้ึนเมื่อเทียบกับยาคลอซาปีนเด่ียว ซ่ึงภายใน
1 สัปดาห์ สามารถปลดปล่อยยาออกมาได้มากกว่า 70 เปอรเ์ ซ็นต์ทั้ง 3 กลุ่ม โดยพบว่า MIPs-2 เป็นวัสดุนาส่งยาที่
เหมาะสมในการปลดปล่อยยาคลอซาปีนออกมาได้มากท่ีสุด (80.23%±22.26) ซึ่งผลจาก SEM และ nanosizer
ของ MIPs-2 แสดงให้เห็นรูปร่างท่เี ปน็ ทรงกลม และมีขนาดท่ีใกล้เคียงกันมากท่ีสุด (PDI = 0.381±0.038) รวมถึงมี
ความสามารถการจดจาโมเลกุลยาต้นแบบได้ดีท่ีสุด แต่ความแตกต่างของการปลดปล่อยเม่ือเทียบกับกลุ่มควบคุม
(77.71%±20.63) ยังมีค่าเล็กน้อยและไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ จากผลการทดลองคาดว่าการใช้ MIPs จะสามารถ
ชะลอการปลดปล่อยยาในสตู รตารับดีกว่าในรปู ยาเด่ยี ว และสัดสว่ นของหมู่คาร์บอกซลิ กิ แอซิดใน MIPs จะส่งผลต่อ
ปฏิสัมพันธ์กับช้ันไขมันทาให้อิ่มตัวเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดปฏิสัมพันธ์กับ collagen ทาให้ชะลอการ
ปลดปล่อยยาไดน้ านขน้ึ
~ 24 ~ Corresponding author : Roongnapa Srichana, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การสงั เคราะหแ์ ละการประเมินผลการยับย้ัง acetylcholinesterase ของอนุพันธ์ acetal
ชนิดวงแหวนหกเหลีย่ มของอนุพนั ธ์ pyridoxine
นธิ ิศ อรุ าภิรมย,์ บุญญาภา วาระสิทธ,์ิ จินดาพร ภรู พิ ฒั นาวงษ,์ เฉลมิ เกยี รติ สงคราม
ภาควิชาเภสัชเคมี, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
จากงานวิจัยก่อนหน้ามีการออกแบบและศึกษาแนวทางการสังเคราะห์ hexylidenepyridoxine
hydrochloride (สาร A) ซ่ึงได้มาจากแอลดีไฮด์สายตรง พร้อมท้ังทดสอบฤทธ์ิในการยับย้ัง พบว่า สาร A มีฤทธ์ิ
สูงสุดในกลุ่ม โดยสามารถยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าวได้ 42.9% ที่ความเข้มข้น 125 มคล./มล. สาหรับงานวิจัยน้ีทาง
คณะผู้วิจยั ได้ดดั แปลงโครงสร้างสว่ น alkylidene ซ่ึงเตรยี มได้จากการทาปฏิกิริยา coupling ของ pyridoxine กับ
แอลดีไฮด์สายก่ิง 3 ชนิด ได้แก่ isobutylraldehyde, 2-ethylbutyraldehyde, และ cyclohexaldehyde ใน
สภาวะท่ไี ม่มกี ารใช้ตัวทาละลาย โดยมีกรด hydrogen chloride ที่แห้งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการสังเคราะห์สาร 1
และ 2 (yield 61.5% และ 36.0% ตามลาดับ) ในขณะท่ีใช้กรด sulfuric เข้มข้นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการ
สังเคราะห์สาร 3 (yield 55.9%) การยืนยันโครงสร้างสารที่สังเคราะห์ได้ทั้งหมดทาโดยการทดสอบด้วย Ferric
chloride เทคนิค FT-IR และ1H-NMR spectroscopy เม่ือนาสาร I-III ท่ีได้ไปทดสอบฤทธ์ิในการยับยั้งเอนไซม์
acetylcholinesterase ด้วยวิธี modified Ellman พบว่าสาร III มีฤทธิ์ยับยั้งสูงสุดในกลุ่ม โดยสามารถยับยั้งได้
46.8% ทค่ี วามเข้มขน้ 125 มคล./มล. ในขณะที่สารอ่นื สามารถยบั ยง้ั ได้นอ้ ยกว่า (38.8-45.6%)
สาร A, R = n-C5H11
สาร I, R = iso-C3H7
สาร II, R = 3-C5H11
สาร III, R = cyclo-C6H11
Corresponding author : เฉลมิ เกียรติ สงคราม, E-mail : [email protected] ~ 25 ~
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
Synthesis and Evaluation of Acetylcholinesterase Inhibitory Activity of Pyridoxine Esters
ปยิ นุช สุภากาญจน,์ เมธี ศรีธรรมยศ, จนิ ดาพร ภรู พิ ฒั นาวงษ,์ เฉลมิ เกียรติ สงคราม
ภาควชิ าเภสชั เคม,ี คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ในการศึกษาก่อนหน้า ผู้วิจัยพบว่า cyclic acetal (compound I) มีฤทธ์ิ AChEI (42.9% inhibition)
และ compound II ซ่ึงเป็น 5-acetate ester ของ compound I ก็ยังคงแสดงฤทธิ์ AChEI (40.3% inhibition)
ดังนั้นในการศกึ ษาน้ี ผวู้ ิจัยจึงต้องการพิสจู น์วา่ mono-ester ของ pyridoxine ยังคงมฤี ทธ์ิ AChEI หรอื ไม่ ผู้วิจัยจึง
เตรียม mono-ester ของ pyridoxine จานวน 2 สาร คือ 5-acetate (VI) และ 5-benzoate (VII) และนาไป
ประเมินฤทธิ์ AChEI โดยเร่ิมจากการสังเคราะห์ compound III จาก pyridoxine และ acetone (92.3% yield)
ตามด้วยการทาปฏิกิรยิ า esterification ของ protected pyridoxine (III) ด้วย acetic anhydride และ benzoyl
chloride ได้ compound IV และ V (97.5% และ 35.9% ตามลาดับ) ในลาดับสุดท้ายนา ester (IV และ V) ที่
สงั เคราะห์ได้ไป deprotect หมู่ acetone ออกโดยใช้ 10% formic acid เพือ่ ให้ได้ compound VI และ VII โดยมี
yield 44.2% และ 97.8% ผลการทดสอบฤทธ์ิ AChEI ของ compound III-VII ที่สงั เคราะห์ได้ทง้ั หมดถูกตรวจสอบ
ด้วยวิธี modified-Ellman ความเข้มข้นสุดท้ายท่ีใช้ทดสอบสารทั้งหมดคือ 125 μg/ml โดยผู้วิจัยพบว่า cyclic
ketal หรอื compound III แสดงฤทธิ์ AChEI สูงท่ีสดุ คอื 50.1% inhibition ในขณะที่ compound VI และ VII ให้
ฤทธิ์ AChEI (12.1% และ 24.8% ตามลาดับ) สูงกวา่ สารมธั ยนั ต์ IV และ V (4.5% และ 3.7% ตามลาดบั )
Compound I R1 = -H R2 = -C5H11 R3 = -H
Compound II R1 = -COCH3 R2 = -C5H11 R3 = -H
Compound III R1 = -H R2 = -CH3 R3 = -CH3
Compound IV R1 = -COCH3 R2 = -CH3 R3 = -CH3
Compound V R1 = -COC6H5 R2 = -CH3 R3 = -CH3
Compound VI R1 = -CH3
Compound VII R1 = -C6H5
~ 26 ~ Corresponding author : เฉลมิ เกียรติ สงคราม, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การศึกษาเบอื้ งตน้ ของการเตรยี มตารับยา Omeprazole Oral Suspension
สาหรบั ผูป้ ว่ ยท่ีตอ้ งสอดทอ่ nasogastric tube
ลลติ กาญจน์ พรนพิ ทั ธ์กลุ , สรวีย์ สุรยิ ไพฑูรย,์ กฤษณ์ สขุ นนั ทรธ์ ะ
ภาควิชาเภสัชเคมี, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ยา omeprazole เปน็ ยาในกลุ่มของ proton pump inhibitor ที่ยับย้ังการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร
ในผูป้ ว่ ยท่จี าเป็นตอ้ งสอดท่อ nasogastric tube (NG tube) มักจะเกิดภาวะ stress ร่วมด้วยซึ่งก่อให้เกิดการหล่ัง
กรดที่มากขึ้น นอกจากน้กี ารให้สารอาหารทาง NG tube ก็ประกอบด้วยสารในกลุ่มของโปรตีนซ่ึงถูกทาลายได้ด้วย
กรดในกระเพาะอาหาร ดงั นน้ั ผู้ป่วยในกลุม่ น้ีจาเป็นจะตอ้ งได้รบั ยาที่ยับยงั้ การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารโดยเฉพาะ
ยา omeprazole ซ่ึงจาเป็นต้องให้ยาทางสาย NG tube ด้วยเช่นเดียวกัน ในการศึกษาครั้งน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ศึกษาการเตรียมตารับ 2 mg/ml ของ Omeprazole Oral Suspension จาก omeprazole capsule (pellet)
และ omeprazole powder (raw material) ในสารละลายของ sodium bicarbonate ความเข้มข้น 8.4% ที่เติม
propylene glycol (PG) glycerin ethanol หรือ polyethylene glycol (PEG) เป็นตัวทาละลายร่วม และใช้
methylcellulose(MC) hydroxypropylmethylcellulose (HPMC) หรือ carboxymethylcellulose (CMC)
เปน็ สารชว่ ยแขวนตะกอน โดยผลการทดลองพบวา่ การใช้ CMC ทค่ี วามเข้มข้น 0.5% เป็นสารช่วยแขวนตะกอนจะ
ให้สูตรตารับที่มีลักษณะท่ีดี การใช้ PG glycerin หรือ ethanol จะพบการเปล่ียนสีของสูตรตารับอย่างเห็นได้ชัด
และการใช้ ethanol จะทาให้เกิดการตกผลึกของ sodium bicarbonate ในสูตรตารับ การศึกษาความคงสภาพ
ของยา omeprazole ในตัวทาละลายร่วมพบว่า glycerin จะทาให้ยา omeprazole เกิดการสลายตัวได้มากที่สุด
การศกี ษาความคงสภาพของตารับ omeprazole ทเ่ี ตรยี มจาก pellet และจาก powder โดยเลือกใช้ PEG เป็นตัว
ทาละลายร่วม และใช้น้ากระสายยาของ 0.5% CMC ในสารละลาย sodium bicarbonate ความเข้มข้น 8.4%
โดยเก็บที่อุณหภูมิ 3 – 5 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 28 วันพบว่าสูตรตารับที่เตรียมจาก pellet ที่ไม่เติม PEG
และใช้ 0.5% CMC เป็นสารช่วยแขวนตะกอนมีความคงตัวสูงท่ีสุดโดยมีปริมาณยาคงเหลือ 97.5% ท้ังนี้พบว่า
ปริมาณยาท่ีเหลืออยู่นั้นไม่แตกต่างทางสถิติเมื่อเทียบกับสูตรตารับอ่ืนๆ อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ควรต้องมี การ
ทาซ้าหรอื ปรบั ปรุงกระบวนการเตรยี มและวิเคราะหต์ วั อย่างทั้งน้ีเพื่อใหม้ ผี ลวเิ คราะห์ที่ดีมากย่ิงขึ้น
Corresponding author : Krit Suknuntha, E-mail : [email protected] ~ 27 ~
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การศกึ ษาเบอ้ื งต้นของการพัฒนาตารบั ยาเตรยี มเฉพาะรายไรแฟมปินชนดิ แขวนตะกอน
เพอื่ เพ่มิ ความคงสภาพของตวั ยาสาคัญ
ชนาธิป ทมุ ทอง, กฤษณ์ สขุ นันทรธ์ ะ
ภาควชิ าเภสัชเคมี, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
ปัจจบุ ันการเตรียมยาไรแฟมปินในรูปแบบของยาเตรียมเฉพาะรายในโรงพยาบาลจะเตรียมจากการใช้ผง
ยาไรแฟมปินในรูปแบบแคปซูลบดผสมกับซิมเปิ้ลไซรัปซึ่งกาหนดวันสิ้นอายุท่ี 1 เดือน ท้ังน้ีอ้างอิงข้อมูลความคง
สภาพจากรายงานการวจิ ยั ในตา่ งประเทศ ดังนั้นการพัฒนาสูตรตารับของยาเตรียมเฉพาะรายไรแฟมปินชนิดแขวน
ตะกอนเพ่ือให้ยามีความคงสภาพมากกว่า 1 เดือนจะช่วยให้ผู้ป่วยไม่จาเป็นต้องกลับมารับยาจากโรงพยาบาลทุก
เดือน ซ่ึงจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับผู้ป่วยด้วย ดังน้ันในการศึกษาเบ้ืองต้นน้ีจึงได้ทดลองศึกษา
ความคงสภาพของยาไรแฟมปินในกระสายยาชนิดตา่ งๆท่ไี มใ่ ช่นา้ เช่น กลเี ซอรนี ซอบิทอล และ โพลีเอธลี นี ไกลคอล
400 และไดท้ ดลองปรับน้ากระสายยาจากซิมเป้ิลไซรัปเป็นกระสายยาท่ีประกอบดว้ ย กลีเซอรีน ซอบิทอล และ โพลี
เอธีลีนไกลคอล 400 จากการศึกษาพบว่าความคงสภาพของยาไรแฟมปินในกระสายยาที่เป็น โพลีเอธีลีนไกลคอล
400 ที่เก็บที่อุณหภูมหิ อ้ งทรี่ ะยะเวลา 18 วัน มีค่าต่ากว่า กลีเซอรีน และ ซอบิทอล อย่างมีนัยสาคัญ สาหรับความ
คงสภาพของยาไรแฟมปินในสูตรตารับท่ใี ช้ซิมเปิ้ลไซรัปเมือ่ เทยี บกับสตู รตารับท่ใี ชก้ ระสายยาที่ประกอบด้วย กลีเซอ
รีน ซอบทิ อล และ โพลเี อธีลนี ไกลคอล 400 พบวา่ การเกบ็ สูตรตารับที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 28
วันนนั้ มีปรมิ าณยาไรแฟมปินท่ีตา่ กว่าสูตรตารับทเี่ ตรยี มโดยใชซ้ มิ เป้ิลไซรัป แต่อย่างไรก็ตามในการศึกษานค้ี วรต้องมี
การทาซ้าเพื่อให้ขอ้ มูลมคี วามถูกตอ้ งมากยงิ่ ข้ึน
~ 28 ~ Corresponding author : Krit Suknuntha, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพฒั นายาเตรียมซิมวาสแตตินสาหรบั ใชภ้ ายนอก
กติ ตยิ า จันทบรู ณ,์ ธญั ญารตั น์ สุขจนั ทร์, นิวรรณ แทน่ มณ,ี ขวญั จติ อ๊ึงโพธ์ิ
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ซมิ วาสแตตนิ มขี อ้ บ่งใชเ้ ป็นยาลดระดับคอเลสเตอรอลในเลอื ด และมรี ายงานถึงประสิทธิภาพในการสมาน
บาดแผล โดยการลดการอักเสบและการส่งเสริมการสร้างเส้นเลือดใหม่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนายา
เตรยี มซมิ วาสแตตินสาหรับใช้ภายนอก ในรปู แบบยาขีผ้ ้งึ ทีป่ ระกอบด้วยซมิ วาสแตตินร้อยละ 0.5 โดยน้าหนัก ในยา
พ้ืนข้ีผึ้งชนิดต่างๆ รวม 7 ตารับ การประเมินลักษณะทางกายภาพและการปลดปล่อยตัวยาออกจากตารับ พบว่า
ตารบั ทีม่ ียาพน้ื พอลเิ อทิลีนไกลคอล (PEG) ซ่งึ เปน็ ยาพ้ืนประเภทละลายน้าได้ มีการปลดปล่อยตัวยาสาคัญออกจาก
ตารบั ได้สมบรู ณ์เมอื่ เทียบกบั ตารับอน่ื การประเมินความคงตัวภายใต้การเก็บรักษาในสภาวะที่ต่างกันคือ การเก็บท่ี
อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 2 เดือน และเก็บในสภาวะเร่งโดยการแช่แข็ง-อุ่นละลาย พบการลดลงของปริมาณยาซิม
วาสแตตนิ เปน็ 52.66% และ 41.55% เมื่อเทียบกับปริมาณยาต้ังต้นตามลาดับ จากการศึกษาทางอุณหพลศาสตร์
โดยการเปรียบเทียบเทอรโ์ มแกรมของซมิ วาสแตตนิ ยาพน้ื และยาข้ผี ึง้ ซมิ วาสแตติน พบว่าในยาขี้ผ้ึงซิมวาสแตตินมี
จุดหลอมเหลวของยาลดลง โดยสอดคล้องกับการเพ่ิมการปลดปล่อยตัวยาท่ีละลายน้าได้น้อย นอกจากน้ียังอาจ
ส่งผลต่อความคงตัวของซิมวาสแตติน เน่ืองจาก PEG เป็นสารท่ีมีสมบัติดูดความช้ืน โดยอาจส่งเสริมการสลายตัว
โดยไฮโดรไลซิสของซมิ วาสแตติน
Corresponding author : Kwunchit Oungbho, E-mail : [email protected] ~ 29 ~
โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การเตรียม และประเมินสตู รตารับคีโตโคนาโซลไมโครอมิ ลั ชนั
ณฐระวี วีระพันธ,์ ทวริ ัตน์ พาณชิ วทญั ญู, ณัฐธดิ า ภัคพยัต
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
การวิจัยนี้มวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือพฒั นาสูตรตารับคโี ตโคนาโซลไมโครอิมลั ชันสาหรับรกั ษาเชือ้ ราบรเิ วณผวิ หนัง
คีโตโคนาโซลเป็นยาที่มีค่าการละลายน้าต่า ทางผู้วิจัยจึงเลือกเตรียมคีโตโคนาโซลในรูปแบบคีโตโคนาโซล
ไมโครอิมัลชัน เนื่องจากไมโครอิมัลชันเป็นระบบท่ีเตรียมได้ง่าย มีความคงตัวทางอุณหพลวัต อนุภาคมีขนาดเล็ก
มีลักษณะทางกายภาพสวยงามน่าใช้ และสามารถเพิ่มการละลายของสารสาคัญได้ ผู้วิจัยได้ทาการเตรียม
2% คีโตโคนาโซลไมโครอิมัลชันทั้งหมด 15 สูตรตารับ โดยมีส่วนประกอบ คือ decyl glucoside เป็นสาร
ลดแรงตึงผิวหลัก butanol เป็นสารลดแรงตึงผิวร่วม isopropyl myristate เป็นวัฏภาคน้ามัน และน้ากลั่นเป็น
วัฏภาคน้า พบว่ามี 5 สูตรตารับ คือ ME10, ME12, ME13, ME14 และ ME15 ที่สามารถละลายคีโตโคนาโซล
ได้หมด ผลิตภัณฑ์ท่ีเตรียมได้มีลักษณะเป็นของเหลว ใส ไม่มีสี เมื่อประเมินลักษณะทางกายภาพ พบว่า
เป็นไมโครอิมัลชันชนิดน้ามันในน้า มีการไหลแบบ Newtonian ค่า pH ประมาณ 10 หลังจากประเมินความคงตัว
ทางกายภาพภายใต้สภาวะเร่ง (Freeze thaw) จานวน 5 รอบ พบว่าสูตรตารับที่มีความคงตัวคือ ME10, ME12,
ME13 และ ME14 ซึ่งแตล่ ะสตู รตารับประกอบด้วยสัดส่วนของสารลดแรงตึงผิวหลัก สารลดแรงตึงผิวร่วม วัฏภาค
น้ามัน และวัฎภาคน้า เท่ากับ 27.5:27.5:10:35, 18:27:35:20, 30:30:8:32 และ 25:25:15:35 ตามลาดับ
โดยทุกสูตรตารับมีลักษณะ ใส ไม่มีสี มีการไหลแบบ Newtonian ค่า pH ประมาณ 9.5 จากนั้นทาการประเมิน
ความคงตวั ทางเคมีภายใต้สภาวะเร่ง (Freeze thaw) จานวน 5 รอบ และวิเคราะห์หาปริมาณคีโตโคนาโซลด้วยวิธี
UV spectroscopy ที่ความยาวคลื่น 244 nm พบว่าปริมาณร้อยละของคีโตโคนาโซลที่เหลืออยู่ในสูตรตารับ
ME10, ME12, ME13 และ ME14 เท่ากับ 90.12, 95.68, 108.74 และ 96.97 ตามลาดับ จากผลการทดลอง
สามารถสรปุ ไดว้ ่า ME12 และ ME14 เป็นสูตรตารับที่มคี วามเหมาะสมในการเตรียมคโี ตโคนาโซลไมโครอมิ ลั ชัน
~ 30 ~ Corresponding author : Natthida Pakpayat, E-mail: [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
ผลึกรว่ มของไพรอกซิแคมและแอสไพรนิ เพ่ือเพม่ิ ค่าการละลายและอัตราการละลายของยาไพรอกซแิ คม
พรี ศลิ ป์ เกษตกาลา, ธานัท อภธิ ารดุลธร, ดารงศกั ด์ิ ฟ้ารงุ่ สาง
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
ยาไพรอกซแิ คมอย่ใู นกลุ่มยาแก้อกั เสบที่ไม่ใชส่ เตยี รอยด์ซ่ึงมีค่าการละลายต่าแต่การซึมผ่านสูง เนื่องจาก
ความสามารถในการละลายในสภาวะกรด ( pH 1-5 ) ท่ีต่า ทาให้ยาไพรอกซิแคมท่ีรับประทานใช้เวลามากกว่าสอง
ช่ัวโมงในการเข้าสู่ระดับยาที่มีผลการรักษาในร่างกายมนุษย์ทาให้ขัดขวางประสิทธิภาพการบรรเทาอาการปวดใน
ภาวะเฉียบพลัน ในการศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเพ่ิมค่าการละลายและอัตราการละลายของยาไพรอกซิแคม
ด้วยเทคนิคผลึกร่วม (Pharmaceutical co-crystal) โดยการสร้างผลึกร่วมกันระหว่างยาไพรอกซิแคมและอะซิติล
ซาลิไซลิก เอซิด (ASA) ดว้ ยวธิ ีบดผสมโดยใช้ตวั ทาละลายเลก็ นอ้ ยซ่ึงตัวทาละลายท่ีใชค้ ือ เอททิล อะซิเตท หลังจาก
เตรียมแล้วก็ประเมินผลการเกิดผลึกด้วย PXRD และ DSC แล้วทดสอบหาค่าการละลายและอัตราการละลายของ
ผลึกร่วม ผลการทดลองพบว่า ระหว่างยาไพรอกซิแคมและ ASA สามารถเกิดผลึกร่วมกันได้ ค่าการละลายของ
Piroxicam-ASA co-crystal ใกล้เคียงกับ Piroxicam-ASA mixture (26.98 µM, 25.04 µM) แต่สูงกว่า Pure
Piroxicam (21.85 µM) ส่วนอัตราการละลายของ Piroxicam-ASA co-crystal และ Piroxicam-ASA mixture ก็
มีอัตราใกลเ้ คียงกันแต่สูงกว่า Pure Piroxicam
Corresponding author : Damrongsak Faroongsarng, E-mail : [email protected] ~ 31 ~
โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การพฒั นาสูตรตารบั กรดซาลซิ ิลิกในรูปแบบผลติ ภณั ฑล์ ้างหนา้ ชนดิ เม็ด
กวีรตั น์ ดาชนื่ , ภัททริ า ชเ้ี จรญิ , อมราวดี จางวาง, นฏั ฐา แก้วนพรัตน์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
การวจิ ยั ครง้ั นมี้ ีวตั ถุประสงค์เพอ่ื พัฒนาสตู รตารับกรดซาลิซิลิกในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดเม็ดเพื่อใช้
สาหรับผู้มปี ญั หาเกีย่ วกบั สวิ และประเมินคุณลักษณะทางกายภาพและความคงตัวทางเคมี โดยเตรียมสูตรตารับ 3
สูตรที่มี sodium cocoyl isethionate เป็นสารทาความสะอาดในความเข้มข้นท่ีต่างกันคือ 30%w/w (สูตรท่ี 1),
40%w/w (สูตรท่ี 2), 50%w/w (สูตรที่ 3) และมีส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ mannitol, corn starch, stearic
acid, polyvinylpyrrolidone K30, Aerosil®, สารแต่งกลิ่น และสารแต่งสี เตรียมโดยวิธี wet granulation นา
แกรนลู ไปตอกด้วยเคร่อื งตอกยาเมด็ สากเดียว สากและเบ้าเส้นผา่ นศูนย์กลาง 0.5 น้ิว น้าหนักต่อเม็ด 500 mg เมื่อ
นาผลิตภณั ฑ์ท่ีได้มาประเมินดา้ นตา่ ง ๆ ได้แก่ นา้ หนัก ความหนา ความแข็ง ความกร่อน แรงตึงผิว ความเป็นกรด-
เบส, ปริมาณฟอง และวิเคราะห์ปริมาณกรดซาลิซิลิก จากผลการทดลองพบว่าสูตรท่ีมี sodium cocoyl
isethionate 40%w/w (สูตรที่2) เป็นสูตรท่ีเหมาะสมที่สุด โดยมีน้าหนัก 0.53±0.03 g, ความแข็ง 7.1±0.6 kg,
ความหนา 4.43±0.15 mm, ความกร่อน 0%, pH 5, แรงตึงผิว 26.2 mN/m และมีปริมาณกรดซาลิซิลิกเริ่มต้น
เท่ากับ 4.5±0.4 mg/เม็ด เม่ือนาผลิตภัณฑ์น้ีไปทดสอบความคงตัวทางเคมีท่ี 1, 2 และ 3 เดือน พบว่าเมื่อเก็บ
ผลติ ภณั ฑ์ทอ่ี ณุ หภูมิหอ้ ง ปรมิ าณกรดซาลิซลิ ิกเท่ากบั 96.83±0.20%, 116.46±16.59% และ 100.38±2.35%ของ
ปริมาณเร่ิมต้น ตามลาดับ และเมื่อเก็บผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิ 45°C/75%RH ปริมาณกรดซาลิซิลิกเท่ากับ
94.58±3.41%, 101.16±10.09% และ 105.93±2.99%ของปริมาณเร่ิมต้น ตามลาดับ ซ่ึงผลิตภัณฑ์มีปริมาณกรด
ซาลิซิลกิ มากกว่า 90% ของปริมาณเร่ิมต้น แสดงว่าผลิตภัณฑ์มีความคงตัวทางเคมีตลอดระยะเวลาท่ีทาการศึกษา
~ 32 ~ Corresponding author : Nattha Kaewnopparat, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพัฒนาสูตรตารบั โลชันจากสารสกดั ใบทองพนั ช่ัง
ชญานิศ พลฑา, มนพร ประทีปชยั กูร, เสนห่ ์ แกว้ นพรตั น,์
ภาคภมู ิ พาณิชยปู การนันท,์ นฏั ฐา แกว้ นพรัตน์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
ทองพันช่งั เป็นสมุนไพรในสาธารณสุขมูลฐานซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาโรคกลาก เกลื้อน ในบัญชียาหลัก
แห่งชาตมิ กี ารใชส้ ารสกดั ใบทองพนั ชงั่ ในรูปแบบยาทิงเจอร์โดยใช้เอทิลแอลกอฮอล์ (70%) เปน็ ตัวทาละลาย ซ่ึงอาจ
ก่อใหเ้ กิดการระคายเคืองบรเิ วณทท่ี า ทาใหแ้ ผลแหง้ และคนั มากข้นึ ดงั นน้ั การวิจัยในคร้ังนี้มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อพัฒนา
สูตรตารับโลชันชนิดอิมัลชันจากสารสกัดใบทองพันชั่งเพ่ือรักษาโรคกลาก เกลื้อน ซึ่งทาการเตรียมยาพื้นโลชัน
(Lotion base) ทั้งหมด 9 ตารับ โดยเลือกใช้สารทาอิมัลชันชนิดไม่มีประจุท่ีแตกต่างกัน ได้แก่ Tween 20 และ
Span 20, Cremophor A6 และ Cremophor A25, Simulgel Fl นอกจากน้ียังมีส่วนประกอบอื่นๆ ในตารับ คือ
apricot kernel oil, caprylic/capric triglyceride, dimethicone, cetyl alcohol, glyceryl monostearate,
white petrolatum, vitamin E acetate, butylated hydroxytoluene, Uniphen P-23, glycerin, disodium
EDTA, purified water แล้วทาการประเมินคุณลักษณะต่างๆ ได้แก่ ค่าความเป็นกรดด่าง ความหนืด การกระจาย
ตัว หลังจากเตรียมเสร็จและหลังจากทดสอบความคงตัวโดย Freeze-thaw cycling จากผลการทดลองพบว่า
Lotion base ท่ีใช้ Cremophor A6 และ Cremophor A25 เป็นสารทาอิมัลชัน และใช้ Cetyl alcohol
1.5%w/w และ White petrolatum 1%w/w เพ่ือเพ่ิมความข้นหนืดของตารับ มีความคงตัวดีและมีลักษณะทาง
กายภาพทเ่ี หมาะสม คณะผ้วู ิจยั จงึ เลือกสตู รตารบั ดงั กล่าวเพ่อื พฒั นาเปน็ ตารับโลชนั จากสารสกดั ใบทองพันช่ัง โดย
ใช้สารสกัดใบทองพันช่ังในความเข้มข้น 5%w/w และ 20%w/w ของสูตรตารับ เม่ือนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาศึกษา
ความสามารถในการยับย้ังเช้ือรา Trichophyton rubrum พบว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ inhibition zone
ของตารับโลชันจากสารสกัดใบทองพันช่ังที่ความเข้มข้น 5%w/w และ 20%w/w มีค่า 17.5±2.1 มิลลิเมตรและ
27.0±1.4 มิลลิเมตร ตามลาดับ จึงสรุปได้ว่าตารับโลชันจากสารสกัดใบทองพันช่ังสามารถยับยั้งเช้ือ รา
Trichophyton rubrum ได้
Corresponding author : Nattha Kaewnopparat, E-mail : [email protected] ~ 33 ~
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การเตรียมไคโตซานผสมโพวิโดนไอโอดีน ในรปู แบบแกรนลู สาหรบั ห้ามเลอื ด
พชั มนต์ ก่ึงพทุ ธกาล, อรกฤช ยต่ี ระกูล, นมิ ิตร วรกลุ
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
วัตถปุ ระสงค์ของงานวจิ ัยนี้ เพ่ือศึกษาการเตรียมและประเมินสูตรตารับไคโตซานผสมโพวิโดนไอโอดีนใน
รูปแบบแกรนูลสาหรับหา้ มเลือด โดยใชไ้ คโตซานท่มี นี ้าหนักโมเลกลุ นอ้ ย(สายส้นั ) และนา้ หนักโมเลกุลมาก(สายยาว)
ไคโตซานทใ่ี ช้จะทาการลดขนาดโดยผ่านแรง่ เบอร์ 60 (<0.25 มม.) และมีการดัดแปลงไคโตซานใหเ้ ปน็ ไคโตซาน อะ
ซิเตต เพ่ือเพิ่มการละลายน้า ผลิตภัณฑ์แกรนูลเตรียมโดยนาไคโตซานและโพวิโดนไอโอดีนมาผสมในโกร่งด้วย
อัตราส่วน 9:1 หลงั จากนน้ั หยดกรดอะซิติกที่มคี วามเข้มข้น 1%v/v อย่างช้าๆ จนเกิดเป็น damp-mass แล้วนาไป
ผ่านแร่งเบอร์14 นาไปอบที่อุณหภูมิ 50oC เป็นเวลา 1 ชั่วโมง แล้วนามาผ่านแร่งเบอร์ 18 การทดสอบคุณสมบัติ
ทางเคมีกายภาพของ ไคโตซานและ ไคโตซาน อะซิเตต ประกอบด้วย การวัดค่า pH การหาน้าหนักโมเลกุล การ
หาเปอร์เซ็นต์ Degree of Deacetylation ส่วนผลิตภัณฑ์แกรนูลที่ได้จะทดสอบ ความสามารถในการทาให้เลือด
แข็งตัว และทดสอบฤทธ์ิการ ฆ่าเชื้อ Staphylococcus aureus โดยผลการทดสอบ pH ของสูตรตารับตารับ
แกรนูลที่มีส่วนผสมของไคโตซานและ โพวีโดนไอโอดีน จะอยู่ในช่วง pH 5.1- 6.2 และ สูตรตารับแกรนูลที่มี
ส่วนผสมของไคโตซาน อะซิเตต และโพวีโดนไอโอดีน จะอยู่ในช่วง pH 5.2-5.9 ผลการทดสอบการหาน้าหนัก
โมเลกุลพบว่าไคโตซานสายส้ัน เท่ากับ 20,867.6±1,544.7 ดาลตัน และไคโตซานสายยาวเท่ากับ
716,107.1±30,797.1 ดาลตัน ค่าเปอร์เซ็นต์ Degree of Deacetylation ของไคโตซานสายส้ัน เท่ากับ
44.8%±1.6% และสายยาวเท่ากบั 57.3%±1.2% ผลการทดสอบความสามารถในการห้ามเลือดพบว่าตารับแกรนูล
ทม่ี ีสว่ นผสมของไคโตซาน อะซเิ ตต และโพวีโดนไอโอดีน มีความสามารถในการห้ามเลือดทั้งสายสั้นและยาว โดย
ไคโตซานสายยาวสามารถห้ามเลอื ดได้ดกี ว่าไคโตซานสายส้ันและผลการทดสอบฤทธิ์การฆ่าเช้ือ Staphylococcus
aureus พบว่าตารับไคโตซานท้ังสายสั้นและยาวที่ผสมโพวิโดนไอโอดีนจะสามารถฆ่าเช้ือ Staphylococcus
aureus โดยไคโตซานสายยาวให้ inhibition zone มากกว่าสายส้ัน ขณะที่ตารับไคโตซานท่ีไม่ผสม โพวีโดน
ไอโอดนี จะไม่สามารถฆ่าเชอ้ื Staphylococcus aureus จากผลการทดลองสามารถสรปุ ไดว้ า่ สูตรตารบั ทีเ่ หมาะสม
ท่ีสดุ คือแกรนูลทม่ี สี ่วนผสมของไคโตซาน อะซเิ ตต และโพวโี ดนไอโอดนี
~ 34 ~ Corresponding author : Nimit Worakul, E-mail : [email protected]
โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559
การพัฒนาตารบั ไพรอกซแิ คมไมโครอิมลั ชนั
วชิราภรณ์ เนาวสันต,์ อุไรวรรณ ติวเถาว,์ ณัฐธิดา ภัคพยตั , ประภาพร บุญมี
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ไมโครอิมลั ชันประกอบด้วยวฏั ภาคนา้ มนั วัฏภาคน้า และสารลดแรงตึงผิว นอกจากน้ีอาจเติมสารลดแรงตึง
ผิวร่วมและตัวทาละลายร่วมด้วย ไมโครอิมัลชันเป็นระบบที่มีเสถียรภาพทางอุณหพลวัต มีความหนืดต่า สามารถ
เกิดขึ้นได้เองโดยการคนผสมธรรมดา ผสมเข้ากันได้กับทั้งยาท่ีชอบไขมันและท่ีชอบน้า และเพิ่มการซึมผ่านยาทาง
ผิวหนังได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตารับไพรอกซิแคมไมโครอิมัลชันซึ่งประกอบด้วยของผสมของ
Tween-80 กับ Span-80 เป็นสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ isopropyl alcohol เป็นตัวทาละลายร่วม และ
isopropyl palmitate เป็นวัฏภาคน้ามัน โดยปริมาณของส่วนประกอบที่เหมาะสมเพ่ือนามาเตรียมเป็นไมโคร-
อมิ ลั ชันได้มาจาก microemulsion regions ของ pseudoternary phase diagrams ผู้วิจยั ได้ศกึ ษาไมโครอิมัลชัน
6 ตารับทมี่ ีอตั ราสว่ นของส่วนประกอบแตกตา่ งกัน ซง่ึ ทัง้ 6 ตารบั เปน็ ชนิด water-in-oil (w/o) เพื่อนาไปหาค่าการ
ละลาย ซึ่งพบวา่ การละลายของยาไพรอกซแิ คมมีค่าเพิม่ ขึน้ เมอื่ เปรียบเทียบกับค่าการละลายของยานี้ใน isopropyl
palmitate, Span-80 และน้า โดยความสามารถในการละลายยาของไมโครอิมัลชันข้ึนกับชนิดและอัตราส่วนของ
ส่วนประกอบในตารับ จากน้ันนาตารับท่ีได้มาทดสอบความคงตัวโดยเก็บไวใ้ นภาชนะที่กันแสงที่อุณหภูมิห้องนาน 8
สปั ดาห์ พบวา่ ทกุ ตารบั มคี วามคงตัว หลังจากน้ันเลือกตารับที่มคี วามคงตัวสงู ทส่ี ดุ มาทดสอบ in vitro release ผ่าน
cellulose membrane โดยใช้ modified Franz diffusion cells เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ทางการค้า จากผล
การศึกษาพบว่าไมโครอิมัลชันค่อยๆ ปลดปล่อยยา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ทางการค้าปลดปล่อยอย่างรวดเร็ว
ผลงานวจิ ัยนี้ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นว่าสามารถใช้ไมโครอมิ ัลชนั เปน็ carriers เพอ่ื นาสง่ ยาไพรอกซแิ คมผ่านทางผวิ หนงั
Corresponding author : Prapaporn Boonme, E-mail : [email protected] ~ 35 ~
โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การพัฒนาอัลจิเนทบีดชนิดออกฤทธเ์ิ นิน่ สาหรับนาสง่ เรสเวอราทรอล
ฐิตมิ าตุ สุขบท, ฮุสนา อาบู, ฤดีกร วิวัฒนปฐพี
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เรสเวอราทรอลเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลท่ีไม่ชอบน้า พบได้ในองุ่น หม่อน ถ่ัวลิสง เป็นต้น มีฤทธิ์
ทางด้านเภสัชวิทยาหลากหลาย ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธ์ิต้านการอักเสบ และฤทธิ์ต้านการเกิดมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม เรสเวอราทรอลมีค่าการละลายน้าต่า ซ่ึงเป็นข้อจากัดที่สาคัญในการนามาใช้ประโยชน์เพ่ือรักษา
โครงการวจิ ัยมวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อพัฒนาระบบนาส่งยาแบบเกดิ อิมลั ชนั ไดเ้ องของเรสเวอราทรอลในรูปแบบอัลจิเนตบี
ดลอยตัว เพ่ือนาสง่ ยาเฉพาะที่สู่กระเพาะอาหาร เม็ดบีดแบบลอยตัวถูกเตรียมด้วยวิธีไอโอโนโทรปิคเจลเลช่ัน และ
อาศยั แคลเซียมคารบ์ อเนตเป็นตวั สร้างก๊าซใหฟ้ ่ภู ายใน โดยศกึ ษาผลของปริมาณโซเดียมอัลจิเนต ปริมาณเรสเวอรา
ทรอลแบบเกดิ อมิ ลั ชันได้เองชนิดเหลว ปริมาณคอลลีโคดไออาร์หรือสารก่อรูพรุน และวิธีการทาเม็ดบีดให้แห้ง ต่อ
คุณสมบัติทางกายภาพและการปลดปล่อยยา ผลการศึกษาพบว่าทุกสูตรตารับสามารถลอยตัวอย่างทันทีมากกว่า
90% และยังคงลอยตัวอยไู่ ด้นานกว่า 72 ช่ัวโมง สตู รตารบั ทเี่ หมาะสมคอื เม็ดบีดทเ่ี ตรียมจากสารละลายโซเดียมอัล
จเิ นต 2% w/v และมีเรสเวอราทรอลแบบเกิดอิมัลชันได้เองชนิดเหลว 15% w/w (ปริมาณยาบรรจุ 3.92 มก. ต่อ
เม็ดบีดแห้ง 1 ก. และประสิทธิภาพในการห่อหุ้มตัวยา 98.73%) สารก่อรูพรุนทาให้ปริมาณยาในเม็ดบีด และ
ความสามารถในการกักเก็บตัวยาลดลง การทาใหแ้ หง้ ดว้ ยวิธีแชเ่ ยือกแขง็ ทาให้เมด็ บดี มปี ริมาณยาทีป่ ลดปลอ่ ยสะสม
ในระยะเวลา 8 ช่ัวโมง (97.22%) มากกว่าวิธีอบด้วยตู้อบลมร้อน (84.60%) การปลดปล่อยตัวยาออกจากเม็ดบีด
ของทั้งสองวิธีมีลักษณะแบบค่อยๆปลดปลอ่ ยตวั ยา ในขณะทตี่ ารับเรสเวอราทรอลแบบเกิดอิมัลชนั ได้เองชนดิ เหลวมี
การปลดปล่อยตัวยาแบบทันทีและมีปริมาณยาที่ปลดปล่อยสะสม 99.75% ผลการทดสอบฤทธ์ิความเป็นพิษต่อ
เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารของมนุษย์ชนิด AGS ด้วยวิธี MTT พบว่าตารับแบบเกิดอิมัลชันได้เองของเรสเวอรา
ทรอลในรูปแบบอัลจิเนตบีดลอยตัว และรูปแบบของเหลวท่ีไม่ได้บรรจุในเม็ดบีด มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ (IC50
23.53 ±0.66 และ 23.99±1.05 ไมโครลิตรต่อมิลลิลิตร ตามลาดับ) โดยให้ผลไม่แตกต่างกับเรสเวอราทรอลท่ี
ละลายใน DMSO (IC50 23.75 ±0.53 ไมโครลติ รตอ่ มลิ ลิลติ ร) ผลการศึกษาน้ีแสดงให้เห็นว่า การเตรียมเป็นระบบ
นาส่งยารูปแบบน้ีสามารถเพ่ิมการละลายของยา นาส่งยาเฉพาะที่ในกระเพาะอาหารแบบออกฤทธิ์เน่ิน โดย
กระบวนการเตรยี มไมเ่ ปลี่ยนแปลงคณุ สมบัตกิ ารออกฤทธขิ์ องเรสเวอราทรอล
~ 36 ~ Corresponding author : Ruedeekorn Wiwattanapatapee, E-mail : [email protected]
โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
การศกึ ษาการกอ่ ฟลิ ม์ แคลเซียมเพคติเนตตอ่ การปลดปล่อยยาจากยาเม็ดสาหรับการนาส่งยาสลู่ าไส้ใหญ่
กนั สุดา ไชยชฎา, จริ าภรณ์ ชสู ิทธิ,์ วิชาญ เกตจุ นิ ดา
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ศึกษาการพัฒนาระบบนาส่งยาสู่ลาไส้ใหญ่ในรูปแบบยาเม็ดเคลือบฟิล์ม calcium pectinate (CP)
ซงึ่ ใชก้ ระบวนการเคลอื บเป็นขัน้ ตอนเดยี วในการก่อฟลิ ์มตา่ งๆเพื่อช่วยทาให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อนของ calcium
pectinate ข้ึนเองในระบบ ( In situ complex forming) และเป็นวิธีการก่อฟิล์มแบบใหม่ซึ่งอาศัยหลักการของ
time-controlled explosion system ทาการเคลือบยาเม็ดเป็น 3 ชั้น โดยชั้นแรกเป็น pectin (P) ช้ันกลางเป็น
explotab ® (Exp) และช้ันนอกเป็น cellulose acetate (CA) เมือ่ ยาเม็ดเข้าสรู่ ่างกาย ช้ันของ CA จะปกป้องชั้น
ของ Expไว้ เพ่อื กาหนดเวลาให้ Ca2+ซึง่ เป็นสว่ นประกอบในช้นั Expเข้าไปทาปฏิกิริยากับ pectin ในชั้น P เกิดเป็น
calcium pectinate ได้นานขน้ึ ตามความต้องการ หลังจากนั้นช้ันนอกทั้งสองจะแตกออก เหลือเพียงชั้น calcium
pectinate ที่จะชะลอการปลดปล่อยตัวยาท่ีทางเดินอาหารส่วนต้น แต่จะสามารถปลดปล่อยตัวยาออกมาได้เมื่อ
เคลือ่ นทมี่ าถึงลาไสใ้ หญ่ เตรียมยาเม็ดท่ีมีปรมิ าณยาทโี อฟิลลนี 100 มิลลกิ รัมด้วยวธิ ี wet granulation และเคลือบ
ดว้ ยวธิ ี Fluidized-bed coating ศึกษาปจั จยั ต่างๆทีม่ ผี ลต่อเวลาในการแตกของชั้น CA (lag time) ได้แก่ ปริมาณ
การเคลือบของ CA (mg/cm2), ปริมาณการเคลือบของ Exp (mg/cm2), จากผลการทดลองพบว่า lag time มี
ความสัมพันธ์กับปริมาณการเคลือบของช้ัน CA และ Exp ซ่ึงแสดงได้ในรูปสมการโพลิโนเมียล (polynomial
equation) และสามารถหาปริมาณที่เหมาะสมของตัวแปรทั้งสองเพ่ือกาหนด lag time ท่ีต้องการได้ ผลการ
ทดสอบการละลายของยาเม็ดแสดงให้เห็นว่า ระบบน้ีทาให้เกิดชั้นฟิล์มของ calcium pectinate ท่ีต้องการโดยมี
คุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการควบคุมการปลดปล่อยยาที่จาเพาะในลาไส้ใหญ่ (colon specific controlled
release) จากการประเมนิ พบว่าน้าหนักเม็ดยา 502.51±0.27 มิลลิกรัม, ความหนา 5.46±0.024 มิลลิเมตร, ความ
แขง็ 14 กโิ ลปอนด์, ปริมาณตัวยา 73±1.529 มิลลิกรัม จากการเคลือบตามสูตรตารับท่ี 15 ผลของปัจจัยที่มีผลต่อ
lag time แสดงถึงชั้น CA ของเม็ดยาแต่ละเม็ดแตกตัวไม่พร้อมกันและไม่ได้แตกหมดทั้งเม็ดยา ผลการวิเคราะห์
ปริมาณยาจากการทดสอบ Dissolution เม่ือเวลาผ่านไป 29 ชั่วโมง พบว่ามีตัวยาละลายออกมาเพียง 27.85
มิลลิกรมั
Corresponding author : Wichan Ketjinda, E-mail : [email protected] ~ 37 ~