The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.59

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Library, 2021-11-30 02:58:30

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.59

บทคัดย่อโครงงาน นศ.ปี กศ.59

Keywords: Project 2559

โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

คดิ และตง้ั คาถามทมี่ คี วามสาคัญและน่าสนใจจากโครงสร้างฐานขอ้ มูลจาลองเพอ่ื ชว่ ยงานดา้ นฝ่ายเภสัชกรรม

ธรรศ สริ ิภคพร, อรรถกร จกั รทอง, วิบลุ วงศ์ภูวรกั ษ์
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ในปัจจุบันการบริหารจัดการในโรงพยาบาลท่ีเก่ียวข้องกับฝ่ายเภสัชกรรมต้องใช้ข้อมูลขั้นต้นในการ
ตัดสินใจทางด้านนโยบาย งบประมาณ การประเมินคุณภาพการบริการ หรือสถิติปัญหาต่าง ๆ จากการวิเคราะห์
ฐานขอ้ มูลการให้บรกิ ารของฝา่ ยเภสชั กรรม ซง่ึ แม้คาถามบางสว่ น จะเป็นไปตามคาร้องขอของผู้กาหนดนโยบายเพ่ือ
นาไปใช้เป็นตัวช้ีวดั ในระบบประกันคณุ ภาพ หรือในนโยบายที่เกย่ี วขอ้ งกับการใชย้ าอย่างสมเหตุสมผล ซง่ึ ปัจจุบันยัง
ไม่มีข้อกาหนดทีช่ ดั เจนครบถ้วนว่าคาถามใดมีความสาคญั หรือมีประโยชน์ และจะมีขั้นตอนกรรมวิธีวิเคราะห์ข้อมูล
อย่างไร ทาให้ผู้รับผิดชอบวิเคราะห์ข้อมูลมักต้องใช้เวลานานโดยไม่จาเป็นในการเรียนรู้เพ่ือวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ
ของฝา่ ยเภสัชกรรม โดยโครงการน้ีวจิ ยั จดั ทาขึ้นเพอื่ ต้ังคาถามต่าง ๆ ในมุมมองที่เห็นว่าน่าสนใจ หรือมีความสาคัญ
เชงิ นโยบาย ในการปฎบิ ัติงาน หรือมีประโยชน์ระยะยาวในการต่อยอดใช้งาน โดยคณาจารย์ที่คัดเลือกจากในคณะ
เภสัชศาสตร์ หรือเป็นผมู้ ีประสบการณ์ในฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง จะช่วยพิจารณาความเหมาะสมหรือประโยชน์ที่เป็นไปได้
ของคาถามต่าง ๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้กับฝ่ายเภสัชกรรมในโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ โดยวิเคราะห์จากโครงสร้าง
ขอ้ มูลมาตรฐานท่ีทกุ โรงพยาบาลต้องทารายงานอยู่ก่อน และตวั ชี้วัดต่าง ๆ ที่ต้องส่งรายงานประจาอยู่ก่อน และทีม
ผู้วิจัยจะสร้าง pseudocode algorithm ร่วมกับใช้ภาษา SQL ใน microsoft access และจะประเมินความ
ซับซอ้ นของ algorithm จากจานวน query ที่ต้องใชใ้ นการตอบคาถามน้ัน

~ 38 ~ Corresponding author : Wibul Wongpoowarak, E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

ผลของสารเพ่ิมความหนืดต่อระยะเวลาในการปอ้ งกันยุงลายบ้านของโลชนั น้ามันตะไครห้ อม

เกษรา โรจนเกษตร, ปยิ ฉตั ร ปรชั ญาชีวนิ , นฏั ฐา แกว้ นพรตั น์, ศรณั ยู สงเคราะห์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ยุงเปน็ พาหะสาคญั ท่ที าให้เกิดโรคตา่ งๆ ทพี่ บมากในประเทศไทย ปัจจุบันจึงนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงท่ีได้จาก
นา้ มันหอมระเหยตามธรรมชาติ เช่น น้ามันตะไคร้หอม (citronella oil) ซ่ึงเป็นท่ีนิยมของผู้ใช้เนื่องจากมีความเป็น
พิษท่ีต่า มีความสามารถในการไล่ยุงได้ดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเม่ือเทียบกับสารไล่ยุงที่ได้จากการสังเคราะห์
อย่างไรก็ตามปัญหาหลักของน้ามันหอมระเหย คือ ระเหยได้ง่าย อาจทาให้ประสิทธิภาพในการไล่ยุงลดลง ใน
การศกึ ษานีจ้ ึงเตรียมตารับโลชัน (o/w emulsion) ของน้ามันตะไครค้ วามเข้มข้น 5% และ 10% w/w โดยเลือกใช้
กัม (gum) ธรรมชาติเปน็ สารเพ่มิ ความหนืด เพ่ือเพิ่มระยะเวลาในการไล่ยุงให้ยาวนานข้ึน ซึ่งกัมท่ีเลือกใช้สามชนิด
คือ xanthan gum, guar gum ชนิด non-ionic charge และ guar gum ชนิด cationic charge ที่ความเข้มข้น
0%, 0.5% และ 1% w/w ซึ่งใช้ Simulgel FL® เป็นสารทาอิมัลชัน ทาให้สามารถเตรียมตารับได้โดยไม่ใช้ความ
รอ้ น (Cold process) นาตารบั โลชนั ทีเ่ ตรียมขนึ้ จากน้ามนั หอมระเหยมาศึกษาเปรียบเทียบสมบัติทางเคมีกายภาพ
เช่น ลักษณะภายนอก (appearance), ค่า pH และ ความหนืด(viscosity) และเปรียบเทียบความคงสภาพ
(stability) โดยผ่าน freeze thaw cycle จานวน 5 รอบและเก็บตารับไว้ท่ีอุณหภูมิโดยรอบ (ambient
temperatures) เป็นเวลา 2 เดือน นาตารับโลชันที่มีลักษณะทางเคมีกายภาพและความคงสภาพที่เหมาะสมมา
ศึกษาการปลดปล่อยนอกกายของน้ามันหอมระเหยโดยใช้ modified Franz diffusion cell และเมมเบรน
สังเคราะห์ พบว่า ตารบั โลชันน้ามันตะไครห้ อมท่ีมี citronella oil 5% และใช้ 0.5% xanthan gum เป็นสารเพิ่ม
ความหนืด มีอัตราการปลดปล่อย (release rate) ของสารสาคัญท่ีมีแนวโน้มสูงกว่าโลชันน้ามันตะไคร้หอมตารับ
อื่นๆ และเม่ือทดสอบฤทธ์ิในการป้องกันยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) โดยวิธี Human-bait พบว่า ตารับโลชัน
น้ามันตะไคร้หอมที่มี citronella oil 10% ท่ีใช้ xanthan gum เป็นสารเพิ่มความหนืดและตารับที่ไม่มีส่วนผสม
ของสารเพิม่ ความหนืดชนิดใดผสมอยู่เลย มีประสิทธิภาพในการไล่ยุงโดยเฉลี่ย 2.0 ชั่วโมง ซึ่งมีค่าเท่ากับเกณฑ์
การทดสอบที่กาหนดโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตรส์ าธารณสขุ ของประเทศไทย

Corresponding author : Sarunyoo Songkro, E-mail : [email protected] ~ 39 ~

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การพฒั นาครีมขม้นิ ชนั ไมโครพารท์ ิเคลิ สาหรับการดูแลแผลเบาหวาน

กวนิ นา น้อยเสง่ียม, ชนม์ธิมา วฒั นะธนากร, สปุ รีดี สงั ฆรกั ษ,์ สุวภิ า อึง้ ไพบลู ย์
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

โครงงานวจิ ยั น้มี วี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ พฒั นาครีมขมนิ้ ชันไมโครพารท์ ิเคิลสาหรบั การดูแลแผลเบาหวาน โดยมตี ัว
ยาสาคัญ คือ turmeric extract ที่ได้จากการสกัดด้วย Ethanol และเตรียม microparticles ด้วยวิธี cross
linking interaction ระหว่าง chitosan และ sodium tripolyphosphate ด้วยเทคนิคการพ่นแหง้ (spray drying
method) และ ยาพื้นครีม คือ Non-ionic Buffered Cream Base (เภสัชตารับโรงพยาบาลแผนปัจจุบัน พ.ศ.
2558) และ ยาพื้นครีมทพ่ี ฒั นาขึน้ โดยปรับเปลี่ยนสารในวัฏภาคนา้ มนั และมีความคงสภาพด้วยการทดสอบแบบเร่ง
รวมทงั้ ศึกษาฤทธิต์ ้านออกซิเดชัน ฤทธ์ติ า้ นแบคทเี รยี ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับแผลเบาหวาน และการปลดปลอ่ ยยาจากครมี

Ethanolic turmeric extract microparticles ที่เตรียมได้มีลักษณะเป็นผงละเอียดสีน้าตาลเหลือง ขนาด
1.0 ± 0.1 µm, curcuminoids content 15.47 ± 1.10 % และ entrapment efficiency เม่ือคานวณในรูป
curcuminoids เท่ากับ 46.87 ± 1.10% มีฤทธ์ิยับย้ังแบคทีเรีย MRSA โดยมีค่า MIC เท่ากับ 2 mg/mL และ ค่า
MIC ของ S. aureus และ E. coli > 2 mg/mL มฤี ทธ์ติ า้ นออกซิเดชันโดยการทดสอบ DPPH scavenging assay
มีค่า EC50 เทา่ กับ 28.46+7.62 µg/mL ครีมขม้ินชันไมโครพารท์ ิเคิลทเ่ี ตรียมข้ึนโดยมีความเข้มขน้ curcuminoids
3 % w/w และใช้ Non-ionic Buffered Cream Base (เภสัชตารับโรงพยาบาลแผนปจั จุบัน พ.ศ.2558) และยาพืน้
ครีมที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ coconut oil แทน mineral oil มีฤทธ์ิในการยับย้ังแบคทีเรีย MRSA (Inhibition zone =
15.6 + 1.5 mm และ 14.5 + 1.2 mm ตามลาดับ) มากกว่าครีมท่ีผสมสารสกัดขม้ินชัน (Inhibition zone = 8.6
+ 0.3 mm และ 9.3 + 0.3 mm ตามลาดบั ) ซงึ่ สอดคล้องกบั การศึกษาการปลดปล่อยปริมาณตัวยาสาคัญ โดยใช้
Franz diffusion cells ซึ่งพบว่าเม่ือเวลาผ่านไป 24 ชั่วโมง ปริมาณสารสาคัญ curcuminoids สะสมจาก
turmeric microparticles cream สงู กวา่ ครีมทใี่ ช้ turmeric extract อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติ (p value < 0.05)
นอกจากนี้จากการเปรียบเทียบ Inhibition zone พบว่า ครีมขม้ินชันที่ใช้ coconut oil base มีฤทธิ์ในการยับยั้ง
แบคทีเรยี S. aureus และ E. coli สงู กว่าการใช้ mineral oil base อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (p value < 0.05)

~ 40 ~ Corresponding author : Suwipa Ungphaiboon, E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การเพ่ิมอัตราการรอดชีวติ ของ Lactobacillus rhamnosus GG โดยวิธีเอนแคปซเู ลชนั ดว้ ยโปรตนี จาก
ถ่วั หร่ังรว่ มกับอินนลู นิ โดยใชเ้ อนไซมท์ รานสก์ ลูตามเิ นสเปน็ ตัวเช่อื มประสาน

มาลนี า เทพยา, ศภุ สิ รารตั น์ พงศ์ชวศิ กร, เสน่ห์ แก้วนพรตั น์
ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์
Abstract
สารไครโอโพรเทกแทนต์ (cryoprotectant) และเทคนิคไมโครเอนแคปซูเลชัน (microencapsulation)
สามารถเพ่ิมการรอดชีวิตของเชื้อโพรไบโอติก (probiotic) ระหว่างกระบวนการทาให้แห้งแบบแช่เยือกแข็ง
(freeze-drying) และการนาส่งผ่านสภาวะแวดล้อมท่ีรุนแรงในทางเดินอาหารได้ โดยเป้าหมายของงานวิจัยนี้ คือ
การใช้สารสกัดโปรตีนจากถั่วหรั่ง (bambara groundnut protein isolate; BGPI) และสารพรีไบโอติก
(prebiotic) อินนูลิน (inulin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารไครโอโพรเทกแทนต์ เป็นสารห่อหุ้ม (shell)
เช้ือ Lactobacillus rhamnosus GG (LGG) และใช้เอนไซม์ทรานส์กลูตามิเนส (transglutaminase; TGase) ใน
การเชอ่ื มประสานให้ BGPI คงตวั ยิง่ ขึน้ เรม่ิ จากการเตรยี ม BGPI ให้ได้ความเขม้ ข้น 2 – 12%w/v และอนิ นลู ินให้ได้
ความเข้มข้น 2 - 10%w/v และใส่เช้ือ LGG ประมาณ 108 cfu/ml ลงในแต่ละความเข้มข้นก่อนนาไปผ่าน
กระบวนการทาให้แห้งแบบแช่เยือกแข็ง จากผลการทดลอง พบว่า BGPI ท่ีความเข้มข้น 4 – 12%w/v และอินนูลิ
นที่ความเข้มข้น 4 - 10%w/v เป็นช่วงความเข้มข้นท่ีเหมาะสมซ่ึงเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเชื้อ LGG ได้ 13.8 -
23.3% เมื่อเปรียบเทยี บกบั เชือ้ LGG ท่ีไม่มสี ารไครโอโพรเทกแทนต์ซึ่งมอี ัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ 78.1% จากน้ัน หา
สูตรทีด่ ีท่สี ดุ ที่มอี ตั ราสว่ นท่เี หมาะสมระหวา่ ง BGPI และอินนูลนิ ดว้ ยโปรแกรมดีไซน์ เอ็กซเปริ ์ท (Design Expert®)
พบว่า BGPI ที่ความเข้ม 8.7%w/v และอินนูลินท่ีความเข้มข้น 5.3%w/v ให้ผลการรอดชีวิตของเชื้อ LGG ท่ี
92.7% และเมอ่ื ใช้ TGase ความเข้มข้น 7%w/v เป็นตวั เช่อื มประสาน (cross-linker) กับสูตรดังกล่าว พบว่าอัตรา
การรอดชวี ติ ของเช้อื LGG อยทู่ ่ี 97.2% ซ่ึงแสดงถึงอัตราการรอดชีวิตท่ีเพ่ิมข้ึนอย่างเห็นได้ชัด อันเน่ืองจาก TGase
ทาให้โครงสร้างของไมโครแคปซูลมคี วามคงตวั มากขนึ้ และในสภาวะจาลองของกระเพาะอาหารและลาไสเ้ ลก็ อตั รา
การรอดชวี ติ ของเชือ้ ในสูตรทดี่ ีทส่ี ดุ ท่ใี ช้ TGase ในการเชื่อมประสานมีค่า 85.1% และ 78.1% ตามลาดับ แสดงถึง
สูตรตารับทมี่ คี วามคงตวั เพยี งพอในการนาส่งเชื้อไปยังอวยั วะเปา้ หมาย ด้วยปริมาณทีก่ อ่ ประโยชนต์ ่อรา่ งกายมนุษย์
ได้

Corresponding author : Sanae Kaewnopparat, E-mail : [email protected] ~ 41 ~

โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การพัฒนาสูตรตารับยาสฟี ันท่ใี ชย้ ้อมคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน

จริ ะประภา เหล่าตระกลู , จณิ ณภสั เฮงประสาทพร, กติ ตโิ ชติ วรโชติกาจร
ภาควิชาเทคโนโลยเี ภสชั กรรม, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

การศึกษานเี้ ปน็ การพัฒนาสูตรตารับยาสีฟันขุ่นและยาสีฟันเจลท่ีมีส่วนผสมของสีย้อม erythrosine เพื่อ
ตรวจสอบคราบจลุ ินทรีย์ท่ีเกาะบนผิวฟันและขจัดคราบในคราวเดียวกัน ซ่ึงยังไม่มีการพัฒนาสูตรตารับในประเทศ
ไทย ขน้ั ตอนแรกจะเปน็ การพฒั นายาพื้นยาสีฟันทั้งชนดิ ขนุ่ และชนดิ เจล โดยใช้สารขดั ฟนั สารก่อเจล และสารช่วย
ที่เหมาะสม จนไดย้ าพนื้ ยาสฟี นั ที่มคี ณุ สมบัติทางกายภาพท่ีเหมาะสม จากการประเมินคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น
ความใส (ยาสฟี ันเจล) ความเปน็ เน้อื เดียวกัน ความคมเหลี่ยมของอนุภาคสารขัดฟัน พีเอช ความหนืด การเกิดฟอง
และการคงค้างบนตะแกรง จากน้นั เลือกสูตรตารบั ที่ดีท่สี ุด 3 สตู ร โดยแบ่งเป็นยาสีฟันสูตรขุ่น 1 ยาสีฟันสูตรเจล 1
และสูตรเจล 2 ผสมกับ erythrosine ในความเข้มข้นต่างๆ แล้วนาไปทดสอบกับโมเดลฟัน (Freshly extracted
tooth model) พบว่า erythrosine 2% ทาให้มองเห็นการติดสีบนผิวฟันชัดเจนและยาสีฟันมีความเข้มของสีท่ี
เหมาะสม หลังจากน้ันนาไปทดสอบความคงตัวทางกายภาพและเคมีท่ี 3 สภาวะ โดยวิธี Freeze-thaw 6 รอบ
สภาวะเรง่ ทอี่ ุณหภมู ิ 45±0.5๐C และเก็บทีอ่ ุณหภูมหิ ้อง เปน็ เวลา 30 และ 60 วนั รวมท้งั ทดสอบการตดิ สีบนโมเดล
ฟนั ของท้ัง 3 สูตรตารับ หลงั เก็บไวเ้ ป็นเวลา 1 เดือนพบว่า ที่สภาวะเร่งแบบ Freeze-thaw 6 รอบ ยาสีฟันมีความ
คงตัวทางกายภาพไมแ่ ตกตา่ งจากเวลาเร่มิ ต้น ส่วนการทดสอบความคงตัวทางเคมีพบว่า สูตรขุ่น 1 และ สูตรเจล 2
มปี ริมาณลดลงอยา่ งมีนัยสาคัญ (P<0.05) ยกเว้นสูตรเจล 1 มีปริมาณไม่แตกต่างกัน (P>0.05) ส่วนผลการทดลอง
ความคงตวั ของตารบั ทีเ่ กบ็ ไวท้ ่ีอุณหภูมิ 45±0.5๐C และอณุ หภมู หิ ้องเปน็ เวลา 1 เดอื น พบวา่ ตารบั มคี วามคงตัวทาง
กายภาพไม่แตกต่างจากเวลาเร่ิมต้น ส่วนความคงตัวทางเคมีพบว่า มีปริมาณไม่แตกต่างกันท้ัง 3 ตารับ ในทั้งสอง
สภาวะ (P>0.05) ยกเวน้ สูตรเจล 2 ที่อุณหภมู ิห้องมปี ริมาณลดลงอย่างมีนัยสาคัญ (P<0.05) การติดสีบนโมเดลฟัน
ของทงั้ 3 ตารับ ที่เก็บไว้ในสภาวะเร่งแบบ Freeze-thaw 6 รอบ อุณหภูมิ 45±0.5๐C และอุณหภูมิห้อง เป็นเวลา
1 เดือนพบว่า ยาสีฟันยังสามารถย้อมติดสีคราบจุลินทรีย์ได้ชัดเจน และจากการประเมินค่า plaque index
เปรียบเทียบก่อนและหลังแปรงฟัน 25 วินาที สามารถสรุปได้ว่ายาสีฟันทุกสูตร สามารถกาจัดคราบจุลินทรีย์ได้
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ (P<0.005)

~ 42 ~ Corresponding author : Kittichote Worachotekamjorn, E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

ความพร้อมของคณะเภสชั ศาสตร์ในการตอบสนองต่อนโยบายประเทศไทย 4.0
กรณศี กึ ษาจากมหาวิทยาลยั ของรฐั แหง่ หน่ึงในประเทศไทย

บดศี ร ตณั ฑโอภาส, นวรตั น์ คงศาลา, กร ศรเลศิ ลา้ วาณชิ
ภาควชิ าบริหารเภสัชกิจ, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

นโยบายประเทศไทย 4.0 เป็นแนวทางท่รี ฐั บาลไดร้ ิเร่มิ นามาใช้ยกระดับประเทศในระยะยาวไปสู่ประเทศ
ที่มีรายได้สูง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยเน้นการขับเคล่ือนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Value Based Economy)
และการใชเ้ ทคโนโลยี นโยบายนี้นามาซึ่งปรากฏการณ์การทางานอย่างใกล้ชิดเป็นอย่างมากของภาคอุดมศึกษากับ
รัฐบาลในการวิจัยและสร้างนวัตกรรม จึงควรมีการศึกษาสภาพความพร้อมในการทาหน้าที่ของอุดมศึกษาใน
สถานการณใ์ หมท่ กี่ าลังเกดิ ขึ้นและดารงอย่ตู ่อไปในอนาคต การศึกษานี้ได้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในการค้นหาความ
จรงิ ทเ่ี กดิ ขึ้นโดยไดร้ ับความยินยอมจากคณะเภสัชศาสตร์แห่งหนึ่งของไทยในการสัมภาษณ์ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน
และการสนทนากลุ่มนักศึกษา จากนั้นนาสู่กระบวนการวิเคราะห์เชิงอุปนัย (Inductive analysis) การศึกษานี้พบ
ความจริงท่ีปรากฏขนึ้ อย่างน้อย 3 เรื่อง (themes) ได้แก่ ความสอดคล้องของระบบคิดคณะเภสชั ศาสตรก์ บั นโยบาย
Thailand 4.0 ซ่งึ น่าจะเป็นปัจจัยเออื้ ให้เกดิ การเสรมิ แรงต่อยอดภารกิจส่กู ารพฒั นาประเทศ ความเช่ือวา่ คณะเภสัช
ศาสตร์อยู่บนเส้นทางที่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเชิงนโยบายของประเทศโดยผ่านการแสดงบทบาทการ ผลิต
บณั ฑติ การวิจัยและการบริการวิชาการท่ีต้องการ และ ความกังวลในความพร้อมท่ีอาจเป็นกับดักความคิดที่หน่วง
เวลาการนานโยบายประเทศสู่การปฏิบัติ ความจริงที่พบแสดงถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาคณะเภสัชศาสตร์ให้
โดดเดน่ ในการมีสว่ นรว่ มในระดบั นโยบายประเทศ

Corresponding author : Korn Sornlertlumvanich, E-mail : [email protected] ~ 43 ~

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การใชผ้ ลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหารและสมนุ ไพรในผู้ปว่ ยมะเรง็ ณ สาขารงั สีรกั ษา มะเร็งวทิ ยา
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

นติ า การกิ าญจน1์ , วราภรณ์ เจตนเสน1, ภานุพงษ์ วรรณวฒั นา1, วีโกวทิ ค้าไกล1, ธรี ศกั ด์ิ ศรีโปฎก1, กชกร กามจู นั ด2ี , ผการตั น์ อกั ษรสมบัต2ิ ,
ภาณพุ งศ์ พทุ ธรกั ษ2์ , ประจวบ หนูอุไร3, กานดาวศรี ตลุ าธรรมกจิ 3, ขวญั ฤทัย เซ่งหนู3, พิชญา นวลไดศ้ รี1, กรกมล รุกขพันธ์1
1ภาควิชาบริหารเภสัชกจิ , คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
2ภาควชิ าเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร,์ คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
3ภาควิชารังสีวทิ ยา, คณะแพทยศาสตร์, โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

งานวจิ ยั นเี้ ป็นการวิจัยเชงิ คุณภาพมีวัตถุประสงค์เพอ่ื ศึกษาเหตผุ ลและความคิดทีท่ าใหผ้ ู้ป่วยมะเรง็ เลือกใช้
ผลติ ภณั ฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพร ผลหลังการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพร ปัญหาหลังการใช้ผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารหรือสมุนไพร และตรวจสอบความปลอดภัยเบื้องต้นรวมถึงการปนสเตียรอยด์และยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่
สเตียรอยด์ โดยสัมภาษณ์เจาะลึกและสนทนากลุ่มกับผู้ป่วยหรือญาติ รวม 31 คน เก็บข้อมูลและรายการยาทั่วไป
ของผู้ป่วย สังเกตฉลากผลิตภัณฑ์และลักษณะทางกายภาพผลิตภัณฑ์ ตรวจการปนสเตียรอยด์และยาแก้อักเสบท่ี
ไม่ใช่สเตียรอยด์ วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้สถิติเชงิ พรรณาและการวเิ คราะห์เน้ือหา ผลการวจิ ยั พบว่าเหตุผลหลกั ที่ผปู้ ว่ ย
เลอื กใช้ผลติ ภณั ฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพร คอื ผอู้ น่ื แนะนาหรอื หามาให้ รบั ข่าวสารจากส่ือ รอการรักษาจากแพทย์
แผนปจั จบุ ันนาน เหน็ คนอนื่ ใชแ้ ล้วหายจากโรค กลวั โรคจะลกุ ลามไปเรว็ ระหวา่ งท่ยี งั ไม่เร่มิ การรกั ษา กลัวการรักษา
แพทย์แผนปัจจุบัน และอยากหายจากโรค ตามลาดับ ผลหลังการใช้ ผู้ป่วยให้ข้อมูลท่ีแตกต่างกันออกไป ท้ังรักษา
จากแพทยแ์ ผนปัจจุบันดกี วา่ รูส้ ึกว่ารักษาอาการเจ็บปว่ ยอน่ื ๆท่ไี ม่ใชโ่ รคมะเร็งได้ ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง รู้สึก
ว่ารักษามะเร็งได้ และรู้สึกว่ามีอาการแย่ลง ปัญหาจากการใช้ พบอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น 4 คน และผู้วิจัยได้
คน้ ควา้ ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ พบว่ายาแผนปัจจุบนั กบั ผลติ ภณั ฑ์เสรมิ อาหารหรอื สมนุ ไพรท่ผี ้ปู ว่ ยใช้มโี อกาสเกิดอันตรกิริยา
ระหว่างกันจานวน 17 อนั ตรกริ ิยา ผลการตรวจสอบความปลอดภยั เบือ้ งต้นของตวั อย่างทผี่ ู้ใหข้ ้อมลู นามาตรวจสอบ
มจี านวน 14 ตวั อย่างพบว่าฉลากไม่ถูกตอ้ ง 2 ตวั อย่างใน 7 ตวั อยา่ งท่มี เี ลขทะเบียนหรือเลขทะเบียนสารบบอาหาร
มี 2 ตัวอย่างไม่มีเลขทะเบียนยาหรือเลขทะเบียนสารบบอาหาร ไม่พบผลิตภัณฑ์ท่ีเส่ือมสภาพหรือปนเสตียรอยด์
และยาแกอ้ กั เสบทีไ่ ม่ใชส่ เตียรอยด์ จากผลการวิจัยพบว่าควรมีช่องทางการให้ความรู้เร่ืองการใช้ยา ผลิตภัณฑ์เสริม
อาหารและสมุนไพรใหก้ ับผปู้ ว่ ยในช่วงระยะเวลารอเพอื่ รบั การรกั ษาหรือระหว่างการรกั ษา รวมท้งั ให้โอกาสผู้ปว่ ยได้
ปรกึ ษาเรอื่ งการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรอื สมุนไพรกับบุคลากรทางการแพทย์ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
ควรมีการสอบถามขอ้ มลู การใช้ผลิตภณั ฑ์เสริมอาหารหรอื สมนุ ไพรนอกเหนอื จากการรักษาในปจั จบุ ันเพ่ือป้องกันผล
ไม่พงึ ประสงค์จากการใช้ผลติ ภัณฑ์เสรมิ อาหารหรอื สมนุ ไพร

~ 44 ~ Corresponding author : Korngamon Rookkapan, E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การพัฒนารูปแบบทางเลือกเบ้อื งตน้ ในการต่อรองราคายา โดยใชม้ าตรการ Managed Entry Agreement (MEA)
The development of preliminary options for drug prices negotiation employing managed
Entry agreement (MEA) concept

ชนกสดุ า พิชยั ภาพ , ณฐั ณชิ า ทองสร้อย, กุลจริ า อดุ มอักษร
ภาควิชาบริหารเภสชั กจิ , คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ปจั จบุ ันแนวโน้มค่าใช้จา่ ยจากการใชย้ าของคนไทยมแี นวโน้มสูงขึน้ อยา่ งตอ่ เน่ือง ค่าใช้จ่ายทางด้านยามูลค่า
คิดเป็น 46.7% ของรายจ่ายด้านสุขภาพท้ังหมด ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สาคัญคือผลจากการ
คุ้มครองโดยสิทธิบัตรยาทาให้ยามีราคาท่ีสูง โดยราคายาท่ีติดสิทธิบัตรจะมีราคาแพงกว่ายาสามัญถึง 10 เท่า
นอกจากจะส่งผลต่อภาระงบประมาณจากการใช้ยาที่มีราคาสูงแล้ว ยังส่งผลทาให้ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ยากขึ้น
งานวิจัยนม้ี ีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบเบ้ืองต้นของการต่อรองโดยใช้มาตรการ managed Entry agreement
(MEA) โดยดาเนินการรวบรวมแนวคิด วธิ กี าร แนวทางท่ใี ชใ้ นการพฒั นาทางเลอื กขอ้ ตกลงสาหรบั การต่อรองราคา
ยาระหว่างบริษัทยาผู้ผลิต(manufactures) และผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านยา (payers) ตามแนวคิด MEA ที่มี
หลกั การสาคัญ คือ การเชื่อมโยงว่างระหว่างความไม่แน่นอนของประสิทธิผลยา ราคา และ การชาระเงินให้แก่
บริษทั ยาผผู้ ลิต โดยมีเปา้ หมายเพ่ือจากัดค่าใช้จ่ายทางด้านยา การใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทาให้ผู้ป่วย
สามารถเข้าถึงยาได้มากข้ึน ในงานวิจัยได้ใช้การทบทวนวรรณกรรมเพื่อหาแนวทางท่ีเหมาะสมในการพัฒนา
ทางเลือกข้อตกลงสาหรับการต่อรองราคายาตามแนวคิด MEA เม่ือได้แนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมแล้ว จะ
ดาเนินการพัฒนาทางเลือกขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้นตามแนวทางนั้น สาหรับตัวยากรณีศึกษาซึ่งมรี าคาแพง เกิดปัญหาการ
เขา้ ถึงยา และ ภาระงบประมาณ ในการศกึ ษาน้ีเลือก Sofosbuvir เป็นยากรณีศึกษารูปแบบข้อตกลงทางเลือกท่ี
พัฒนาข้ึน 2-3 รูปแบบ จะถูกนาเสนอต่อผู้เช่ียวชาญเพื่อให้ข้อคิดเห็น คาแนะนาในการปรับปรุงให้เป็นทางเลือก
ขอ้ ตกลง MEA เบือ้ งต้นท่สี ามารถนามาใช้ในบรบิ ทประเทศไทย

Corresponding author : กลุ จิรา อดุ มอกั ษร, E-mail : [email protected] ~ 45 ~

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การสารวจความรู้ ความเขา้ ใจ เกี่ยวกบั โรคมะเร็งปากมดลกู และทัศนคติในการไดร้ บั
วคั ซีนป้องกันมะเรง็ ปากมดลกู (Human Papillomavirus Vaccination)

จดิ าภา นยุ้ แนบ, ชนกานต์ ฤทธ์ิศกั ด์ิ, บุศรนิ ทร์ หมดั อะดมั , กมลทพิ ย์ ววิ ฒั นวงศา
ภาควชิ าเภสัชกรรมคลินกิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

การศกึ ษาคร้ังน้ีมวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื สารวจความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับโรคมะเรง็ ปากมดลกู การตดิ เชื้อ HPV
และ วัคซนี ปอ้ งกนั HPV รวมทั้งทัศนคติตอ่ การไดร้ บั วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ในประชาชนท่ัวไป โดยเป็นการ
สารวจแบบ cross section ในกลุ่มตัวอย่างประชากรทั่วไปในอาเภอหาดใหญ่ ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นสตรีอายุ
20 - 65 ปี และสามารถอ่านภาษาไทยได้ การศึกษาใช้แบบสอบถามท่ีประกอบด้วยคาถามเรื่องความรู้เร่ือง
โรคมะเรง็ ปากมดลกู จานวน 15 คาถาม คาถามความรู้วคั ซนี ป้องกนั มะเร็งปากมดลกู 8 คาถาม และคาถามด้าน
ทศั นคติในการฉีดวคั ซีน HPV 8 คาถาม วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใชโ้ ปรแกรม SPSS ผลการศึกษาพบว่าผู้เข้าร่วมวิจัย
มีจานวน 373 คน อายุเฉลี่ย 34.2 ± 11.6 ปี มีความรู้เก่ียวกับโรคมะเร็งปากมดลูกและการติดเช้ือ HPV ในระดับ
ปานกลาง โดยมีคะแนนเฉล่ีย 7.90 ± 3.16 คะแนน (คะแนนเต็ม 15 คะแนน) และมีความรู้เรื่องวัคซีนป้องกันการ
ติดเชื้อ HPV ระดับค่อนข้างต่า โดยมีคะแนนเฉล่ีย 3.60 ± 2.57 คะแนน (คะแนนเต็ม 8 คะแนน) อย่างไรก็ตาม
ทราบว่า วิธีการป้องกันมะเร็งมดลูกสามารถทาโดยวิธีการตรวจคัดกรอง (ร้อยละ 86.6) และการฉีดวัคซีน HPV
(ร้อยละ 78.0) ดา้ นทัศนคติผเู้ ขา้ รว่ มวจิ ัยเช่อื ว่าวัคซนี HPV ช่วยปอ้ งกนั โรคมะเร็งปากดลกู ได้ (4 = เหน็ ดว้ ย; รอ้ ยละ
37.5) และเชื่อว่าสื่อเป็นส่ิงสาคัญท่ีช่วยในการตัดสินใจท่ีจะฉีดวัคซีน (5 = เห็นด้วยอย่างย่ิง; ร้อยละ 49.1) ดังนั้น
จึงควรจัดการวางแผนให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับโรคมะเร็งปาก
มดลูกและวคั ซีน HPV เพื่อนาไปส่กู ารตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลกู เพมิ่ ขน้ึ และป้องกันตนเองจากปจั จยั เสย่ี งต่าง ๆ
รวมทัง้ สร้างเสรมิ ทัศนคติในการไดร้ บั วัคซีน HPV

~ 46 ~ Corresponding author : Kamonthip Wiwatthanawongsa, E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

ผลของ omeprazole ตอ่ การเปลี่ยนแปลงระดับสังกะสีในเลอื ดของผูป้ ่วยท่ไี ด้รบั บาดเจบ็ ทไี่ ด้รับสงั กะสที ดแทน
ผา่ นทางเดินอาหาร

ปวชิ วดี โมฬี1, นันทภัทร์ เยาว์ดา1, พรทิพย์ เพชรช่ืนสกลุ 1, ฐติ มิ า ดว้ งเงนิ 2, เปญจมาภรณ์ อภริ มยร์ กั ษ์3
1นกั ศกึ ษาเภสัชศาสตร์ สาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม ช้นั ปีท่ี 5, 2ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสชั ศาสตร์,

มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์, 3 ฝา่ ยเภสัชกรรม โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ผู้ป่วยท่ไี ด้รับบาดเจ็บมักมีระดบั สงั กะสี (zinc) ตา่ กว่าปกติ เพราะรา่ งกายตอ้ งการนา zinc ไปใช้สาหรับ
สรา้ งเซลลแ์ ละโปรตนี เพือ่ สมานแผล ทาใหผ้ ู้ป่วยตอ้ งไดร้ บั zinc sulfate ทดแทน การดูดซมึ zinc sulfate จาก
ทางเดินอาหารมกั เกดิ ข้ึนไดด้ ีในสภาวะกรด (pH น้อยกว่า 3.0) จงึ เป็นไปได้ว่าการดดู ซมึ zinc sulfate ทดแทนจาก
ทางเดนิ อาหารจะเกิดขน้ึ ไดไ้ มส่ มบรู ณ์หากไดร้ บั รว่ มกับยา omeprazole เพื่อรกั ษาแผลเปอ่ื ยในทางเดนิ อาหารหรอื
ป้องกนั แผลในทางเดนิ อาหารจากภาวะเครียด ดงั น้นั การศกึ ษาน้ีจงึ ทาข้ึนเพอ่ื ศึกษาผลของ omeprazole ตอ่
ระดบั zinc ในเลือดของผู้ปว่ ยบาดเจ็บด้วยวธิ ีเก็บขอ้ มลู ยอ้ นหลงั จากเวชระเบียนผู้ปว่ ย ผ้ปู ่วยที่คัดเลอื กเข้าใน
การศกึ ษา คือ ผปู้ ่วยบาดเจบ็ ที่เข้ารกั ษาในหอผปู้ ่วยอบุ ัตเิ หตุและไฟไหม้ นา้ รอ้ นลวก โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์
ระหว่างวนั ที่ 1 มกราคม 2556 ถึง 31 ธนั วาคม 2559 และไดร้ บั ยาเมด็ zinc sulfate ทดแทนผา่ นทางเดินอาหาร
ตอ่ เน่อื งเปน็ เวลาอยา่ งนอ้ ย 3 วัน ผลการศกึ ษาเบอื้ งตน้ ในผู้ปว่ ย 15 คน ซ่ึงมีอายรุ ะหว่าง 18 - 80 ปี ผปู้ ว่ ยสว่ น
ใหญเ่ ปน็ เพศชาย สาเหตหุ ลกั ของการบาดเจบ็ คอื อุบัติเหตทางรถและบาดแผลจากไฟไหม้ แบ่งเป็นผ้ทู ีไ่ ดร้ ับยาเมด็
zinc sulfate ร่วมกบั omeprazole 8 คน และไมไ่ ดร้ บั omeprazole 7 คน ผลการศกึ ษาเบื้องต้นพบว่าผู้ทไี่ ดร้ ับ
ยาเมด็ zinc sulfate รับประทานร่วมกบั omeprazole มอี ัตราการเพ่ิมขนึ้ เฉล่ียของระดับ zinc ในเลอื ดใกลเ้ คยี ง
กันกบั กลุ่มทีไ่ ม่ไดร้ บั omeprazole โดยคดิ เป็นอัตราการเพิ่มข้นึ เฉลีย่ 0.061 มก./ลิตร/วนั และ 0.063 มก./ลิตร/
วนั ตามลาดับ

หมายเหตุ – การศึกษานี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล และการศึกษานี้ได้ผ่านการพิจารณาจริยธรรมจากคณะ
แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

Corresponding author : Thitima Doungngern, E-mail : [email protected] ~ 47 ~

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

(Preliminary results, not for citation)
การสง่ เสรมิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผลในรา้ นยาจากมุมมองของเภสัชกรชุมชน ในจังหวัดสงขลา

รมณยี ์ พันธุส์ ัมฤทธ,์ิ ยลรดี แก้วบรสิ ุทธ,์ิ ศจุ นิ ันท์ ออ่ นเจรญิ , ณฐั าศริ ิ ฐานะวฑุ ฒ์
ภาควิชาเภสชั กรรมคลินกิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจความรู้ความเข้าใจและทัศนคติของเภสัชกรชุมชนเก่ียวกับการใช้ยา
อยา่ งสมเหตผุ ลในร้านยา และแนวทางการขบั เคลอื่ นการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ลอยา่ งเป็นรูปธรรมในรา้ นยาจากมมุ มอง
ของเภสัชกรชุมชน ในจังหวัดสงขลา ประชากรกลุ่มตัวอย่างคือ เภสัชกรชุมชนประจาร้านยาในจังหวัดสงขลา
เกบ็ ขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถามที่ต้ังขึ้นตามวัตถุประสงค์การวิจัย มีการศึกษานาร่องก่อนใช้เก็บข้อมูลจริง วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า จากกลุ่มตัวอย่างจานวน 30 ร้าน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น
เจ้าของร้านยาจานวน 22 ราย (ร้อยละ 73.3) เป็นร้านยาคุณภาพจานวน 6 ร้าน (ร้อยละ 20) สาหรับความรู้และ
ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การใช้ยาอย่างสมเหตุผลพบวา่ กล่มุ ตวั อยา่ งมีความรู้ในการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ลระดับปานกลาง
มคี ะแนนเฉลี่ย 3 คะแนน (เตม็ 5 คะแนน) มีความเข้าใจในการจ่ายยาอย่างสมเหตุผลระดับปานกลางโดยมีคะแนน
เฉลี่ย 12 คะแนน (เต็ม 20 คะแนน) ในด้านของทัศนคติต่อการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในร้านยาพบว่า
กลุม่ ตวั อย่างประมาณครงึ่ หนึง่ เห็นดว้ ยในประเดน็ ตา่ งๆดังตอ่ ไปนี้ ควรมกี ารบงั คับใช้นโยบายส่งเสริมการใช้ยาอย่าง
สมเหตุผลในร้านยา (ร้อยละ 53) การใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นหน้าท่ีหลักของเภสัชกรชุมชนในการรับผิดชอบต่อ
สังคม (ร้อยละ 57) ปัญหาเช้ือด้ือยาส่วนหน่ึงเกิดจากจ่ายยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผลในร้านยา (ร้อยละ 47)
การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสามารถปฏิบัติได้จรงิ ในรา้ นยา (รอ้ ยละ 57) อยา่ งไรก็ตาม รอ้ ยละ 33 ของกลุ่ม
ตวั อยา่ งไม่แน่ใจในการปฏิบัตติ ามหลักการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผลวา่ จะทาใหร้ ้านยาเสยี สมดลุ ระหวา่ งมาตรฐานวชิ าชีพ
และความอยู่รอดของธุรกิจร้านยา สาหรับปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเครือข่ายเพ่ือส่งเสริมการใช้ยาอย่างสม
เหตุผลในร้านยาคือ มีขอ้ จากดั ในด้านความอย่รู อดของธรุ กจิ รา้ นยาจานวน 19 ร้าน (ร้อยละ 63) ข้อจากัดด้านเวลา
ในการจ่ายยาและการแนะนาการใช้ยาแก่ผู้รับบริการจานวน 18 ร้าน (ร้อยละ 60) ร้านยาต้องจ่ายยาตามความ
ต้องการของผู้รับบริการเป็นหลักจานวน 17 ร้าน (ร้อยละ 57) ส่วนในด้านความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับ
แนวทางในการขับเคล่ือนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลมีดังน้ี ควรส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้เกิดข้ึนทั้งระบบ
สาธารณสุข ไดแ้ ก่ แพทย์ เภสชั กร โดยจัดใหม้ กี ารอบรมความรู้ (รอ้ ยละ 30) และใหค้ วามรแู้ ก่ประชาชนในการใช้ยา
ที่ถูกตอ้ ง (ร้อยละ 17) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้และความเข้าใจในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ระดบั ปานกลาง มที ัศนคติทดี่ ีในการส่งเสริมการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล แต่ยังคงมีปัญหา อุปสรรคและข้อจากัดในการ
ขับเคลอ่ื นการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลในร้านยา ผู้กาหนดนโยบายควรมีแผนพัฒนาที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่าง
สมเหตผุ ลในร้านยาอยา่ งเป็นรูปธรรม

~ 48 ~ Corresponding author : Nattasiri Thanawuth, E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การสารวจประวัตเิ กย่ี วกบั โรคและการฉดี วัคซีนปอ้ งกันโรคไวรัสตับอักเสบบีและอีสกุ อใี สของนกั ศกึ ษา
ชั้นปที ี่ 4 ถงึ 5 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

รพพี รรณ ไชยสตั ย,์ วรศิ รา ชนิ วงศ์เวท, ศรมี ุกดา อาจหาญ, ดิษยา วฒั นาไพศาล
ภาควิชาเภสชั กรรมคลนิ ิก, คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ปัจจุบันการฝึกปฏิบัติงานเพ่ือดูแลผู้ป่วยเฉพาะรายท้ังในโรงพยาบาลและสถานปฏิบัติการเภสัชกรรม
ชุมชนได้รับการบรรจุอยู่ในหลักสูตรเภสัชศาสตร์บัณฑิต ท้ังสาขาเภสัชกรรมอุตสาหการและการบริบาลทางเภสัช-
กรรม ทาให้นกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์มโี อกาสสมั ผสั ใกลช้ ิดกับผปู้ ่วยและบุคลากรทางการแพทย์มากข้ึน จึงมีความเส่ียง
ในการติดต่อโรคไวรสั ตบั อกั เสบบแี ละอีสกุ อใี ส ซึ่งสามารถปอ้ งกันไดด้ ว้ ยการฉีดวคั ซนี แตเ่ นอ่ื งจากยงั ไมม่ ขี อ้ กาหนด
ท่ีชัดเจนสาหรับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ในเรื่องวัคซีนมาก่อน การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการสารวจประวัติการ
เป็นโรค การฉดี วัคซนี การมีภมู คิ ้มุ กันโรคไวรสั ตับอกั เสบบีและโรคอสี กุ อีใสของนักศกึ ษาเภสัชศาสตร์ช้ันปีที่ 4 ถึง 5
ปกี ารศึกษา 2559 มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ ที่สมัครใจเขา้ รว่ มตอบแบบสอบถาม ซึ่งมีจานวน 201 ราย ผลการ
สารวจเก่ียวกับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่ม คือ ได้รับวัคซีนต้ังแต่แรกเกิด ร้อยละ 83.08
(167 ราย), ได้รับวัคซีนในภายหลัง ร้อยละ 4.97 (10 ราย) และประวัติการได้รับวัคซีนไม่ชัดเจน ร้อยละ 11.44
(23 ราย) ซึ่งมีเพียง 144 ราย ท่ีได้รับการตรวจภูมิคุ้มกัน โดยให้ข้อมูลว่ามีภูมิคุ้มกัน ร้อยละ 88.89 (128 ราย),
ไม่มีภูมิคุ้มกัน ร้อยละ 11.11 (16 ราย) และจากประวัติการได้รับวัคซีนทาให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาประเมินว่าตนเอง
มภี ูมคิ มุ้ กันโรค ร้อยละ 89.56 (163 ราย) โดยหากไมไ่ ดต้ รวจภมู คิ ุม้ กันทาให้ประเมินวา่ ตนเองไม่มีภูมิคุ้มกัน ร้อยละ
10.44 (19 ราย) สาหรับโรคอีสุกอีใสนั้น ผลการสารวจสามารถแบ่งประวัติการเป็นโรคได้เป็น 3 กลุ่ม คือ มีประวัติ
การเป็นโรคไม่ชัดเจน ร้อยละ 10.94 (22 ราย) มีประวัติเป็นโรคชัดเจน ร้อยละ 62.69 (126 ราย) โดยทราบจาก
รอยโรค ร้อยละ 40.48 และไมม่ ีประวตั เิ ปน็ โรคมาก่อน ร้อยละ 26.37 (53 ราย) โดยในกลุ่มน้ไี ดร้ ับวัคซีนปอ้ งกนั โรค
จานวน 2 เข็ม ร้อยละ 58.49 (31 ราย) ซ่ึงผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่อาศัยประวัติการเป็นโรคในการประเมิน
ภมู คิ ้มุ กันของตนเอง จากผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีนักศึกษาเภสัชศาสตร์บางส่วนไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค
ไวรสั ตับอักเสบบแี ละโรคอีสกุ อใี ส และยังขาดความตระหนักเก่ยี วกบั โรคติดตอ่ ที่สามารถป้องกนั ได้ดว้ ยการฉดี วคั ซีน

Corresponding author : Dissaya Wattanapaisal , E-mail : [email protected] ~ 49 ~

โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การส่งั จ่ายยาสมนุ ไพรของเภสชั กรร้านยา ในจงั หวดั สงขลา: รายงานขอ้ มลู เบือ้ งต้น

กตยิ ากร กุสมุ วิจติ ร, ณชั นันท์ ลอ่ ใจ, สไุ วบ๊ะ แวน,ิ กนกวรรณ ศรทั ธามนู, มาลี โรจนพ์ ิบูลสถิตย์
ภาควิชาเภสชั กรรมคลนิ กิ , คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

บทนา: แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบบั ท่ี 12 ส่งเสริมให้มีการใชย้ าสมนุ ไพรไทยทดแทนยาแผนปัจจุบัน
ในประเทศไทย เภสัชกรร้านยามีบทบาทในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นและส่ังจ่ายยาเพื่อการรักษาแก่ผู้ป่วยในร้านยา
จึงนา่ จะมีบทบาทสาคัญในการสง่ เสรมิ การใชย้ าสมุนไพร มขี ้อมูลการศึกษาการสั่งใชย้ าสมนุ ไพร ความรู้และทัศนคติ
ของผ้สู ่ังใช้ยาในบรบิ ทของการดาเนนิ งานในโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีขอ้ มูลการสั่งใชย้ าสมนุ ไพรโดยเภสชั กรในรา้ นยา

วัตถปุ ระสงค:์ เพ่ือศกึ ษาร้อยละของเภสัชกรร้านยาท่ีมีการส่ังจ่ายยาสมุนไพรในร้านยา ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ความรู้และทศั นคติต่อการส่งั จา่ ยยาสมุนไพรของเภสัชกรร้านยา ในจงั หวัดสงขลา

วิธีการวิจัย: เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความ เที่ยงของเคร่ืองมือ
ส่งแบบสอบถามทางไปรษณยี ์ไปยงั ร้านยา ข.ย.1 จานวน 386 ร้าน ในจังหวัดสงขลา ให้เภสัชกรผู้ปฎิบัติงานในร้าน
เป็นผู้ตอบแบบสอบถามและส่งแบบสอบถามกลับมายังผู้วิจัย ในการศึกษาให้นิยามของคาว่า “การส่ังจ่ายยา
สมนุ ไพรของเภสัชกรร้านยาหมายถึง เภสชั กรวนิ จิ ฉัยโรคเบ้ืองต้นและตัดสนิ ใจเลือกจา่ ยยาสมุนไพรท่ีเหมาะสมให้แก่
ผู้ป่วยด้วยตนเอง โดยไม่ได้เป็นการร้องขอจากผู้ป่วย” มีการสร้างกรณีศึกษาจาลองเพ่ือประเมินการสั่งจ่ายยาและ
หาความสัมพันธ์กับความรู้และทัศนคติของเภสัชกร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน
ด้วยโปรแกรมสาเรจ็ รปู SPSS version 22

ผลการศึกษา: หลังจากส่งแบบสอบถาม 25 วัน ผู้วิจัยไดร้ ับแบบสอบถามคืนจานวน 55 ราย พบวา่ รอ้ ยละ 94.6 ของ
เภสชั กรรา้ นยามกี ารสงั่ จ่ายยาสมนุ ไพร กลมุ่ ตัวอย่างมีค่าเฉลย่ี ของคะแนนความรู้เกีย่ วกบั ยาสมุนไพรเป็น 5.9 ± 0.5
คะแนน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติต่อการใช้ยาสมุนไพรเป็น 39 ± 5.1 คะแนน (คะแนน
เต็ม 65 คะแนน) เภสัชกรมีคะแนนทัศนคติต่อการใช้ยาสมุนไพรด้านบวก (คะแนนมากกว่าร้อยละ 80) มีเพียง 1
ราย ไม่พบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรแู้ ละทัศนคติต่อการส่ังจ่ายยาสมนุ ไพร ทรี่ ะดบั นยั สาคญั ทางสถติ ิ 0.05

อภปิ รายผล: ในจังหวัดสงขลา เภสชั กรที่ปฏบิ ตั ิงานในร้านยาเกอื บทั้งหมดมีการสั่งจ่ายยาสมนุ ไพร โดยเฉลี่ยเภสัชกร
มีความร้แู ละมที ศั นคติต่อการใชย้ าสมนุ ไพรในระดับปานกลาง ความรู้และทัศนคติของเภสัชกรไม่สัมพันธ์กับการสั่ง
จ่ายยาสมุนไพร ซึ่งอาจเป็นเพราะวิเคราะห์ข้อมูลเบ้ืองต้นซึ่งยังมีจานวนตัวอย่างน้อยและ/หรืออาจมีปัจจัยอื่นท่ี
เกยี่ วขอ้ งแล้วไมน่ ามาศึกษาหรือวเิ คราะห์

สรปุ : รอ้ ยละ 94.6 ของเภสัชกรร้านยามีการส่ังจ่ายยาสมุนไพร เภสัชกรมีความรู้และทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง
ไมพ่ บความสมั พนั ธร์ ะหว่างความรแู้ ละทัศนคตกิ บั การสง่ั จ่ายยาสมุนไพรของเภสชั กรรา้ นยา ในจังหวดั สงขลา

~ 50 ~ Corresponding author : Malee Rojpibulstit, E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

เหตุผลของการใช้ยาเมด็ สเตียรอยดข์ องเภสัชกรชุมชน : การศกึ ษาเชิงคณุ ภาพ

ณัฐนนั ท์ ณ ปอ้ มเพ็ชร์, จริ ณวุ ฒั ร์ ลื่อเท่ง, นทกญั ยอดรตั น์, วรนชุ แสงเจรญิ
ภาควชิ าเภสชั กรรมคลนิ ิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

บทคัดยอ่
บทนา: ยากลมุ่ คอร์ตโิ คสเตียรอยด์ (corticosteroids) หรอื เรยี กสั้นๆวา่ ยาสเตียรอยด์ จัดเป็น“ยาควบคุมพิเศษ”
ซ่งึ รา้ นยาจะจา่ ยให้กับผบู้ ริโภคได้กต็ อ่ เมื่อมีเภสัชกรเป็นผู้จ่ายยาและต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่าน้ัน แต่ในปัจจุบัน
พบว่ามีรา้ นยาจานวนมากที่จ่ายยาเมด็ สเตียรอยดน์ ีโ้ ดยไม่มใี บสั่งแพทย์ จึงทาใหส้ นใจในการศกึ ษาถงึ เหตุผลของการ
ใชย้ าเมด็ สเตยี รอยดข์ องเภสัชกรชุมชน
วตั ถปุ ระสงค์: เพ่ือศกึ ษาเหตผุ ลในการจ่ายยาเมด็ สเตียรอยดข์ องเภสชั กรในรา้ นยา ซึ่งเป็นการศกึ ษาเชงิ คุณภาพ
วิธีการวจิ ัย: การวิจัยเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบทฤษฎีพื้นฐาน (grounded theory) ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิง
เนือ้ หาและตรวจสอบความตรงของเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย โดยอาจารย์ประจาคณะเภสัชศาสตร์ ผู้วิจัยสัมภาษณ์
เจาะลึกเภสัชกรจานวน 22 รายที่ปฏิบัติงานในร้านยาในอาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยเป็นเภสัชกรที่มีการ
จ่ายยาเมด็ สเตยี รอยด์จานวน 11 รายและเภสัชกรที่ไมจ่ า่ ยยาเมด็ สเตยี รอยด์อกี จานวน 11 ราย
ผลการวิจัย: ปจั จยั ทส่ี ่งผลต่อการจ่ายยาเม็ดสเตยี รอยดจ์ าแนกไดเ้ ป็น 4 ประเด็น คือ 1) ทัศนคติของเภสัชกรต่อ
ผลของการจ่ายยาเม็ดสเตยี รอยด์ 2) ความเช่อื ม่ันของเภสชั กรและพฤตกิ รรมของผปู้ ่วยต่อการจ่ายยาเม็ดสเตียรอยด์
3) ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของยาเม็ดสเตยี รอยด์ และ 4) จรรยาบรรณ กฎหมายและหนว่ ยงานทเี่ กี่ยวข้อง
สรปุ : ปัจจยั ทส่ี ่งเสรมิ การจ่ายยาเม็ดสเตียรอยด์ที่สาคัญได้แก่ ทัศนคติด้านประโยชน์ต่อผู้ป่วยทางด้านสภาวะโรค
ความจาเป็นและความรุนแรงของโรค ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อร้านยาหรือเภสัชกร ผลประโยชน์ในด้านธุรกิจ
และจรรยาบรรณของเภสชั กร กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการหา
แนวทางการแกป้ ัญหาการจา่ ยยาเมด็ สเตียรอยด์ทไี่ ม่เหมาะสมของเภสชั กรชมุ ชนตอ่ ไป

Corresponding author : Woranuch Saengcharoen, E-mail : [email protected] ~ 51 ~

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การให้การบรบิ าลเภสชั กรรมในคลินิกผู้ปว่ ยโรคมะเร็งเม็ดเลอื ดขาวเรอื้ รังชนดิ มัยอีลอยด:์ การศึกษาแบบ
ย้อนหลัง

ปรียาภรณ์ แก้วมณ1ี , วัลลสิ า เส็นบัตร2, ฟาฎลิ า สาดนี 2, นัสรยี ะห์ สาเล็ง2, วรณุ สุดา ศรภี ักด2ี
1ฝ่ายเภสชั กรรม โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

2ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

การให้การบริบาลเภสัชกรรมในคลินิกผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเร้ือรังชนิดมัยอีลอยด์ เป็นบทบาท
สาคญั ของเภสชั กรในการจัดการปัญหาเกีย่ วกับยาและความปลอดภัยของผู้ป่วย เน่ืองจากหากผู้ป่วยเกิดปัญหาจาก
การใช้ยาจะส่งผลให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายเพ่ิมขึ้น ล้มเหลวต่อการรักษา และ
เสยี ชีวติ ในท่สี ดุ ปจั จบุ ันยังไม่มีการศกึ ษาเก่ยี วกับการใหก้ ารบรบิ าลเภสชั กรรมในคลินิกผปู้ ว่ ยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เร้ือรังชนิดมัยอีลอยด์ในผู้ป่วยไทย โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษาน้ีเพื่อศึกษาประเภทปัญหาเก่ียวกับยาท่ีผู้ป่วย
ได้รับและประเมินบทบาทเภสัชกรในการให้การบริบาลเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอี
ลอยด์ ซึ่งศกึ ษาแบบยอ้ นหลัง ตัง้ แตว่ นั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2559 โดยใช้แบบเก็บข้อมูล
ปัญหาเก่ียวกับยาของผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผล
การศกึ ษาจากผ้ปู ่วยท้ังหมด 332 ราย คดิ เปน็ จานวนครั้งของการมาติดตามการรักษาและได้พบเภสัชกรทั้งส้ิน 925
ครั้ง พบปญั หาเก่ียวกับยาที่ผู้ป่วยไดร้ บั จานวน 243 เหตุการณ์ โดยผู้ปว่ ยรับประทานยาหรอื ใช้ยาไมเ่ ป็นไปตามคาส่ัง
แพทย์พบมากที่สุด (ร้อยละ 34.16) นอกจากนี้พบบทบาทเภสัชกรในการให้การบริบาลเภสัชกรรม 261 คร้ัง โดย
การเพ่ิมความร่วมมือในการใช้ยาเป็นบทบาทเภสัชกรที่พบมากสุดคือ (ร้อยละ 23.0) และระดับความรุนแรงของ
ความคลาดเคล่ือนทางยา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ D (ร้อยละ 69.6) จากบทบาทเภสัชกรในการให้การบริบาลเภสัช
กรรมพบผลลัพธ์ของการแก้ไขปัญหาตามแบบ PCNE ว่า ปัญหาได้รับการแก้ไขท้ังหมด 238 คร้ัง คิดเป็นร้อยละ
97.8 ดังนนั้ จึงสรปุ ผลได้ว่าการให้การบริบาลเภสชั กรรมในคลินิกผปู้ ่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์
ท่ีสาคัญคอื ช่วยค้นหาปัญหาและแก้ไขปัญหาเกย่ี วกับยาให้กับผู้ป่วยเพ่ือไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาและการ
รอดชวี ิตของผู้ป่วย ข้อมลู ดงั กลา่ วสามารถนาไปใช้เป็นฐานข้อมูลสาหรบั การนาไปพัฒนาแนวทางการปฏิบัติงานของ
เภสชั กรในการดูแลและเฝ้าระวังปัญหาเกี่ยวกับยาในผูป้ ว่ ยต่อไป

~ 52 ~ Corresponding author : วรณุ สุดา ศรีภักดี E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

การศึกษายาทางจิตเวชทีส่ มั พนั ธก์ บั การเกิด neuroleptic malignant syndrome

วาสินี พิทักษ์, ศภุ าพชิ ญ์ รตั นพันธ์, ภาณุพงศ์ ไชยมณุ ,ี วันทนา เหรยี ญมงคล
ภาควิชาเภสัชกรรมคลนิ กิ , คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือรวบรวมข้อมูลการเกิด neuroleptic malignant syndrome (NMS) ใน
ผู้ป่วยจิตเวชท่ีได้รับยาต้านโรคจิต โดยเก็บข้อมูลจากการทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยท่ีได้รับการส่งตรวจหาค่า
ระดับเอนไซม์ creatine phosphokinase (CPK) ณ โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ ในช่วงเดือนมกราคม
2557 – ธันวาคม 2558 พบว่ามีผู้ป่วยเกิด NMS คิดเป็น 5.38% ของผู้ป่วยที่ได้รับการส่ังตรวจ CPK และคิดเป็น
0.26% ของผปู้ ว่ ยทั้งหมดที่เข้ารับการรักษา โดยเป็นเพศหญิง 1 ราย (14.29%) และเพศชาย 6 ราย (85.71%) ซ่ึง
ผู้ป่วยทั้ง 7 ราย มีระยะเวลาเฉลี่ยของการพัฒนาเป็น NMS ประมาณ 3 วัน จากการศึกษาในผู้ป่วยท่ีเกิด NMS 7
ราย พบว่ามี 2 ราย ได้รับยาต้านโรคจิตร่นุ เก่าร่วมกัน (1 ราย ได้รับ chlorpromazine ร่วมกับ haloperidol (PO)
และอีก 1 ราย ได้รับ haloperidol (IM) ร่วมกับ fluphenazine (IM depot), chlorpromazine และ
perphenazine) และมี 5 ราย ได้รับยาต้านโรคจิตรุ่นเก่าร่วมกับยาต้านโรคจิตรุ่นใหม่ (1 ราย ได้รับ
trifluoperazine ร่วมกับ clozapine; 1 ราย ได้รับ haloperidol (IM) ร่วมกับ clozapine; 2 ราย ได้รับ
risperidone ร่วมกับ chlorpromazine และ haloperidol (IM) และ 1 ราย ได้รับ haloperidol (IM) ร่วมกับ
fluphenazine (IM depot), chlorpromazine และ clozapine) ซึ่งมีผู้ปว่ ย 2 รายทีไ่ ดร้ บั ยาต้านโรคจิตเกินขนาด
กอ่ นมาโรงพยาบาล สาหรับอาการและผลทางหอ้ งปฏิบตั ิการทีบ่ ง่ บอกว่าเกิด NMS ตาม DSM-V-TR criteria พบว่า
อาการที่พบในผู้ป่วยทุกราย คือ มีไข้ และมี CPK เพ่ิมข้ึนมากกว่า 4 เท่าของค่าสูงสุดของค่าปกติ (ค่าปกติของเพศ
ชายเท่ากับ 200 U/L และเพศหญิงเท่ากับ 150 U/L) มีกล้ามเน้ือแข็งเกร็ง 3 ราย (42.86%) เปลี่ยนแปลงระดับ
ความรู้สึกตัว 4 ราย (57.14%) ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง 3 ราย (42.86%) หัวใจเต้นเร็ว 3 ราย (42.86%) และความ
ดันโลหิตไม่คงท่ี 4 ราย (57.14%) และระยะเวลาของการเกิดอาการ NMS จะแตกต่างกันไป ซ่ึงจะอยู่ในช่วง 3-8
วนั โดยเฉลี่ยเท่ากบั 5.33 วัน สาหรับการจัดการผปู้ ว่ ยท่เี กิดอาการ NMS มีการรักษาท่ีจาเพาะ คือ หยุดยาต้านโรค
จติ ในผู้ปว่ ยทกุ ราย และมีการให้ bromocriptine 2 ราย ซ่งึ มีอาการค่อนข้างรุนแรง ส่วนการรักษาตามอาการ มี 3
ราย ทีไ่ ด้รับยาลดไข้ และมีการให้สารน้าทางหลอดเลือดดาในผู้ป่วยทุกราย นอกจากนี้มีการกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้า
รวมทงั้ ตดิ ตามอาการทางคลินิก และตดิ ตาม CPK ดงั นนั้ ภาวะ NMS เป็นความผดิ ปกติทสี่ ัมพนั ธก์ บั การใช้ยาตา้ นโรค
จิต ไม่ว่าจะเป็นยาต้านโรคจิตรุ่นเก่าหรือยาต้านโรคจิตรุ่นใหม่ จึงควรมีการติดตามและสังเกตอาการ หรือความ
ผดิ ปกติทอ่ี าจเกิดข้ึนกับผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านโรคจิตท้ังรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เพ่ือป้องกันและลดความรุนแรงของภาวะ
NMS ที่อาจเกดิ ขนึ้ ได้

Corresponding author : Wantana Reanmongkol, E-mail : [email protected] ~ 53 ~

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

ความรูแ้ ละพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนของนกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ไปรลดิ า ประดษิ ฐอุกฤกฎ,์ ชรินรัตน์ แก้วชนะ, อักษพิ ร เรืองจนั ทร์, ปูชิดา อึงรตั นากร,
วิลาวณั ย์ ทองเรอื ง

ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

ปัจจุบันภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนในประชากรทั่วโลก เช่นเดียวกับในประเทศไทย
ที่มีรายงานในปี พ.ศ. 2557 พบความชุกของโรคอ้วนในเพศชายและเพศหญิง ร้อยละ 9.5 และ 11.4 ตามลาดับ
การศึกษาน้ีมีจุดประสงค์เพื่อสารวจความชุกของภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ประเมินความรู้และพฤติกรรมที่
เก่ียวข้องกับภาวะดังกล่าวของนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทาการศึกษาการวิจัยเชิง
สารวจ สัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามในนักศึกษาจานวน 116 คน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ความรู้ จานวน 20 ข้อ และ
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน และใช้เกณฑ์แบ่งประเภท Body mass index (BMI) ตาม
Western Pacific Regional Office (WPRO) จากการศึกษาร้อยละ 33.6 เป็นเพศชาย ร้อยละ 66.4 เป็นเพศหญิง
มีอายุเฉลีย่ 22.8±1.3 ปี (อายตุ ่าสุด 19, อายุสูงสุด 25) พบผู้ที่มีน้าหนักในช่วงปกติ (BMI 18.5-22.9) ร้อยละ 55.1
ผู้ที่มีภาวะน้าหนักเกิน (BMI 23.0 – 24.9) ร้อยละ 13.8 ผู้ท่ีมีโรคอ้วน class 1 (BMI 25.0 – 29.9) ร้อยละ 16.4
ผู้ท่ีมีโรคอ้วน class 2 (BMI ≥30.0) ร้อยละ 2.6 คะแนนความรู้ (เต็ม 20 คะแนน) มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 16.0±2.2
คะแนน (คะแนนต่าสุด 9, คะแนนสูงสุด 20) โดยมีผู้ตอบถูกด้านความรู้ทั่วไป ร้อยละ 74.9 ความรู้ด้านสาเหตุ
ร้อยละ 86.2 ความรู้ด้านผลเสีย ร้อยละ 76.2 และความรู้ด้านวิธีการลดน้าหนัก ร้อยละ 81.7 ส่วนพฤติกรรมที่
เก่ียวข้องกับภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ประกอบไปด้วย 3 ด้าน คือ พฤติกรรมทางกาย พบว่าร้อยละ 41.4
ออกกาลงั กาย 1-2 ครั้งตอ่ เดอื น พฤติกรรมดา้ นการรับประทานอาหาร พบว่าร้อยละ 44.8 รับประทานอาหารทอด
อาหารจานด่วน 1-3 คร้ังต่อสัปดาห์ ร้อยละ 36.2 ด่ืมชา กาแฟ น้าหวานและน้าอัดลม 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์
รอ้ ยละ 38.8 รับประทานขนมหวาน เช่น เบเกอรี่ หรือ ขนมไทย 1-3 ครง้ั ต่อสัปดาห์ และพฤตกิ รรมด้านอ่ืนๆ พบว่า
ร้อยละ 35.3 นอนหลับวันละ 6-8 ช่ัวโมง 1-3 คร้ังต่อสัปดาห์ คนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีน้าหนักอยู่ในช่วงปกติและมี
ความรู้ดีด้านภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ส่วนพฤติกรรมพบว่าคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมแต่ละด้านในระดับ
ปานกลาง ดังน้นั ควรมโี ครงการส่งเสรมิ การปฏบิ ตั ิพฤตกิ รรมท่ดี ตี ่อสุขภาพในอนาคต

~ 54 ~ Corresponding author : Wilawan Thongraung E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศึกษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การสารวจแนวโนม้ ในการศึกษาต่อ รวมถึงแรงจงู ใจและอปุ สรรคที่มีตอ่ การตัดสนิ ใจเขา้ ศกึ ษาต่อระดับ
บัณฑิตศกึ ษาของนกั ศึกษาเภสชั ศาสตรช์ ้ันปีท่ี 5 และ 6 และเภสชั ศาสตรบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

วรวุฒิ เจนจิรโชต,ิ รงั สิมาฐ์ เรืองวฒั นาไชย, รวสิ ราท์ แก้วศร,ี เบญจมาภรณ์ วรรณทิวา,
สริ มิ า สิตะรุโน

ภาควชิ าเภสชั กรรมคลินกิ , คณะเภสชั ศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาเป็นการศึกษาข้ันสูง เพื่อให้บัณฑิตสามารถคิดวิเคราะห์ แสวงหาความรู้
และสร้างองค์ความรู้ใหม่เพ่ือยกระดับมาตรฐานการทางานให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึนและส่งเสริมความก้าวหน้าทาง
วิชาชีพ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าบัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์มีอัตรา
การศึกษาตอ่ ในระดับบัณฑิตศึกษาไม่สูงมากนัก การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจแนวโน้มความต้องการเข้า
ศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา รวมถึงเพ่ือสารวจแรงจูงใจและอุปสรรคท่ีมีต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับ
บณั ฑติ ศึกษาของนักศกึ ษาเภสัชศาสตร์ชน้ั ปีที่ 5-6 ปีการศกึ ษา 2559 และเภสชั ศาสตร์บัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษา ปี
การศกึ ษา 2558 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ เก็บข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามรูปแบบกระดาษ
ใหแ้ กน่ กั ศึกษาเภสชั ศาสตรช์ ้ันปีที่ 5-6 ทุกคน จานวน 291 คน ส่งแบบสอบถามออนไลน์ให้กับเภสัชศาสตรบัณฑิต
ทกุ คนจานวน 133 คน ผลการศกึ ษาพบว่า นกั ศึกษาเภสัชศาสตร์ตอบกลบั จานวน 235 คน (รอ้ ยละ 81) และเภสัช
ศาสตร์บณั ฑิต ตอบกลับ จานวน 55 คน (รอ้ ยละ 41) นกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์และเภสัชศาสตรบันฑิตมีความต้องการ
ศกึ ษาตอ่ ในระดับบัณฑิตศกึ ษา รอ้ ยละ 4.6 และ 20.0 ตามลาดับ และมีแนวโนม้ ทจ่ี ะศึกษาตอ่ ในระดับบัณฑิตศึกษา
ร้อยละ 44.2 และ 27.3 ตามลาดับ ปัจจัยด้านหลักสูตรและสถานศึกษามีผลต่อแรงจูงใจมากท่ีสุดในการตัดสินใจ
ศึกษาต่อของนักศึกษาเภสัชศาสตร์และเภสัชศาสตรบันฑิต คะแนนเฉลี่ย 4.26 และ 4.33 ตามลาดับ ผู้ตอบ
แบบสอบถามใหค้ วามเห็นวา่ หลักสตู รทมี่ ีความนา่ สนใจและตรงตามความตอ้ งการ รวมทัง้ ผู้สอนทม่ี คี วามร้แู ละความ
เชี่ยวชาญส่งผลต่อแรงจูงใจโดยตรง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านหลักสูตรการเรียนการสอนท่ีไม่สอดคล้องกับความ
ต้องการก็เป็นอุปสรรคมากท่ีสุดในการตัดสินใจศึกษาต่อของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ (คะแนนเฉลี่ย 3.93) ในขณะที่
ปจั จยั ด้านเวลาเป็นอุปสรรคมากท่ีสุดในการตดั สินใจศกึ ษาต่อของเภสัชศาสตรบันฑิต (คะแนนเฉลยี่ 4.01)

Corresponding author : สริ ิมา สติ ะรโุ น, E-mail : [email protected] ~ 55 ~

โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559
ผลของการใชย้ า nimodipine ไม่ครบขนาดในผปู้ ่วย aneurysmal subarachnoid hemorrhage
ธติ ิมา คนั ธาวตั ร1์ , ธมี าพร คนั ธาวตั ร1์ , ธรี ะพล เพชรเจริญ1, อทิ ธชิ ัย ศกั ดอิ์ รณุ ชยั 2, สทุ ธพิ ร ภัทรชยากลุ 1

1ภาควชิ าเภสัชกรรมคลนิ ิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
2ภาควชิ าศลั ยศาสตร์, คณะแพทยศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

Aneurysmal subarachnoid hemorrhage (aSAH) เปน็ ภาวะเลอื ดออกใต้เย่ือหมุ้ สมองชน้ั กลางจากการ
แตกของเสน้ เลือดสมองโป่งพอง ในปัจจุบัน European Stroke Organization และ American Heart
Association/American Stroke Association (AHA/ASA) ไดแ้ นะนาใหบ้ รหิ ารยา nimodipine ขนาด 60
มลิ ลกิ รมั ทกุ 4 ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 21 วัน ในผู้ปว่ ย aSAH ทกุ ราย เนอ่ื งจากพบว่ายาดังกลา่ วทาให้ผู้ป่วยมี
neurological outcome ท่ีดีขน้ึ เม่อื เทียบกบั ผู้ป่วยทไี่ ม่ได้รบั ยา อยา่ งไรกด็ ใี นทางปฏิบตั พิ บว่ามผี ปู้ ว่ ยสว่ นหนึ่งที่
ไม่สามารถบริหารยา nimodipine ไดค้ รบขนาดตามคาแนะนาของแนวทางการรกั ษาท้ังนีเ้ นอ่ื งจากผู้ปว่ ยเกดิ ภาวะ
ความดันโลหติ ตา่ การศึกษาครั้งนมี้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อศกึ ษาถึงผลของการใช้ยา nimodipine ไมค่ รบขนาดในผู้ป่วย
ดังกลา่ ว โดยการรวบรวมขอ้ มลู ผปู้ ่วย aSAH ทีเ่ ขา้ รับการรักษาในหอผปู้ ่วยศลั ยกรรมประสาท โรงพยาบาลสงขลา
นครนิ ทรใ์ นชว่ ง 1 มิถุนายน 2556 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 แล้ววเิ คราะห์ปัจจยั ท่สี ง่ ผลตอ่ neurologic
outcome (Modified Rankin Scale) ของผ้ปู ว่ ย ได้แก่ ระยะเวลาและขนาดยาท่ไี ด้รับ เพศ Fisher grade score
และ Hunt and Hess grade score และปัจจัยอน่ื ๆ โดยใช้ multivariate analysis สาหรบั ผลการศกึ ษายงั ไมม่ ี
แสดงในท่นี ้ีเนือ่ งจากการรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมลู ยังไม่แล้วเสร็จ

~ 56 ~ Corresponding author : Sutthiporn Pattharachayakul, E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

การสารวจความรู้และทศั นคตใิ นการใชย้ าเม็ดคมุ กาเนดิ ชนดิ ฮอร์โมนรวมของหญงิ ไทยวัยเจริญพันธ์ุ

ดวงกมล หลมิ ปานนท,์ มารติ า ไมตรีจร, รตั นพฒั น์ จริ ะตสิ รณ์, อรวรรณ แซ่ลมิ่
ภาควิชาเภสชั กรรมคลนิ ิก, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

บทนา: ยาเมด็ คุมกาเนิดชนดิ ฮอรโ์ มนรวม (combined oral contraceptives) เปน็ วธิ ีการคมุ กาเนดิ ที่สะดวกและ
เปน็ ทย่ี อมรบั แต่มีวิธีการรบั ประทานที่ยงุ่ ยากและแตกตา่ งจากการรบั ประทานยาอนื่ ๆ ผ้ใู ชย้ าจงึ ควรมีความรู้
เกยี่ วกับการรับประทานยาอย่างถูกต้อง เพื่อลดอาการเคียงจากยาและเพิ่มประสิทธภิ าพในการปอ้ งกนั การตงั้ ครรภ์
วัตถุประสงค:์ เพ่ือสารวจความรู้และทศั นคตเิ กยี่ วกบั ยาเมด็ คมุ กาเนดิ ชนดิ ฮอร์โมนรวมของหญงิ ไทยวัยเจรญิ พนั ธ์ุ
และเพื่อศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งข้อมูลสว่ นบุคคล เช่น อายุ ระดับการศึกษา ศาสนา สถานภาพ และ
ประสบการณก์ ารใช้ยาเมด็ คมุ กาเนดิ ชนดิ ฮอรโ์ มนรวมกับความรูใ้ นการใช้ยาเม็ดคมุ กาเนดิ ชนิดฮอรโ์ มนรวม
วิธกี ารศกึ ษา: การสารวจใช้ระเบียบวิจยั เชิงพรรณนา จากสตรเี ชอ้ื ชาติไทย อายุระหว่าง 20 – 44 ปี ใน อ.หาดใหญ่
จ.สงขลา แต่ไม่รวมถึงสตรีท่ีให้นมบุตรหรืออยู่ในช่วงหลังคลอดน้อยกว่า 6 สัปดาห์ โดยใช้แบบสอบถามแบบตอบ
ด้วยตวั เอง แบง่ ออกเป็น ข้อมูลพื้นฐาน ความรู้ และทัศนคติในการใช้ยาเม็ดคมุ กาเนดิ ชนิดฮอร์โมนรวม
ผลการศกึ ษา: จากการสารวจหญงิ ไทยวัยเจริญพันธ์ุ 412 คน อายุเฉลี่ย 29.6 ± 8.3 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี
ข้ึนไปร้อยละ 67.1 สถานภาพโสดร้อยละ 64.3 มีประสบการณ์ใช้ยาเม็ดคุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนรวมร้อยละ 30.8
ระยะเวลาเฉลีย่ ของคนท่เี คยใช้เทา่ กับ 37.6 ± 39.8 เดือน พบวา่ มีคะแนนความรูเ้ ฉลย่ี เทา่ กบั 5.45 ± 4.05 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 36.3 โดยมีความรู้มากกว่าร้อยละ 50 ในเร่ืองการจัดการเมื่อลืม
รับประทานยาและยาเม็ดคุมกาเนิดบางชนดิ ชว่ ยรักษาสิว ขณะท่ีน้อยกว่าร้อยละ 20 ทราบถึงวิธีการรับประทานยา
ตอ่ เนื่องและขอ้ ควรระวังในการใชย้ า สว่ นคะแนนทัศนคติมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 10.46 ± 2.86 คะแนน จากคะแนนเต็ม
15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 69.7 และพบว่าอายุ ระดับการศึกษา ศาสนา ประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์และ
ประสบการณ์การใชย้ ามคี วามสมั พันธก์ บั คะแนนความรู้ในระดบั ต่า (correlation coefficient; r<0.5)
สรปุ : ผหู้ ญงิ ไทยสว่ นใหญม่ ีความรเู้ กย่ี วกบั ยาเม็ดคมุ กาเนดิ ชนดิ ฮอร์โมนรวมอยใู่ นระดับตา่ ดงั นั้นบคุ ลากรทางการ
แพทย์จึงควรใหค้ วามสาคญั ในการใหค้ วามรเู้ รอื่ งการใชย้ าเมด็ คมุ กาเนิดชนดิ ฮอรโ์ มนรวมแก่ผู้ท่มี ารบั บรกิ าร

Corresponding author : Orawan Sae-lim, E-mail : [email protected] ~ 57 ~

โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

ปจั จัยที่มอี ทิ ธพิ ลต่อความร่วมมือในการใช้ยาและการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมของผ้ปู ่วยโรคไตเร้ือรงั

ดลลชา ไทยถาวร, พฒุ ิพงศ์ ตั้งกิจเชาวลิต, นภสั สร ดามะนลิ ศรี, อษุ ณยี ์ วนรรฆมณี
ภาควิชาเภสัชกรรมคลนิ กิ , คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์

ในปัจจุบันจานวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มมากข้ึนเร่ือยๆ ซ่ึงพยาธิกาเนิดของโรคมีความเช่ือมโยงกับ
พฤติกรรมการใช้ชีวติ ตา่ งๆ เช่น การสูบบุหร่ี การรบั ประทานอาหารท่ีมีเกลอื ปริมาณมาก แนวทางการป้องกนั ดาเนนิ
ไปของโรคไตเร้ือรังส่วนใหญ่จึงแนะนาการรักษาด้วยยาควบคู่ไปกับการควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
และออกกาลังกาย แตเ่ น่อื งจากโรคไตเรื้อรังเป็นโรคท่ีต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรักษาควบคู่กันทั้งการใช้
ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอปฏิบัติได้ยาก ซงึ่ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า ทัศนคติ ความรู้
รวมไปถงึ วฒั นธรรมในแตล่ ะพ้ืนท่ีลว้ นมสี ว่ นสาคญั ในการกาหนดแนวความคดิ ของผู้ป่วยต่อโรคและการรักษา ดังนั้น
ทางคณะผู้วจิ ยั จึงทาการศึกษาถงึ ปจั จยั ดา้ นตา่ งๆท่อี าจมีผลตอ่ ความร่วมมือในการดูเเลรักษาของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
ในบริบทของคนไทยภาคใต้ เพ่ือให้เข้าใจถึงความต้องการและปัญหาของผู้ป่วยมากข้ึน และนาไปประยุกต์หาแนว
ทางการรักษาที่เหมาะสมร่วมกันกับผู้ป่วยต่อไป โดยทาการศึกษาในผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังระยะที่ 1-3 ณ อาเภอนา
หมอ่ ม จงั หวดั สงขลา ผเู้ ข้ารว่ มการศึกษาจะไดร้ บั การสมั ภาษณต์ ามแบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามขอ้ มูล
ท่ัวไปของผู้ป่วย แบบสอบถามการรับรู้อาการของผู้ป่วย แบบสอบถามความรู้ด้านโรค การรักษา และการ
ปรับเปลีย่ นพฤติกรรมของผู้ป่วย และแบบสอบถามการสนับสนุนจากสังคม นอกจากน้ีผู้เข้าร่วมการศึกษาจะได้รับ
การประเมินความร่วมมือในการใช้ยาโดยการสอบถามและการนับเม็ดยา จากนั้นจึงรวบรวมคะแนนในด้านต่างๆ
และวเิ คราะห์ผลเชอื่ มโยงกบั ความร่วมมือในการใช้ยาของผู้เข้าร่วมการศึกษา เพื่อทาการสรุปปัจจัยท่ีมีผลต่อความ
รว่ มมือในการดูแลรักษาตนเองของผู้ปว่ ยโรคไตเร้อื รังในบริบทคนไทยภาคใต้ตอ่ ไป

~ 58 ~ Corresponding author : อุษณีย์ วนรรฆมณ,ี E-mail : [email protected]

โครงการประชุมวิชาการผลงานวิจยั และนวตั กรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

สารวจชอ่ งวา่ งของสมรรถนะเภสชั กรในการให้บริบาลทางดา้ นเภสัชกรรม
ตามแผนพัฒนาระบบบรกิ ารสขุ ภาพในผู้ป่วยโรคไต

ศุภกานต์ แซล่ ิ่ม, นูรีนี บราเฮม, ฮัซวานี หมาดอาหิน, โพยม วงศ์ภวู รกั ษ์, สริ มิ า สติ ะรโุ น, อษุ ณีย์ วนรรฆมณี
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก, คณะเภสัชศาสตร,์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง หน่วยพัฒนา
ระบบบรกิ ารสุขภาพ (service plan) สาขาไตจึงจดั ตั้งขึน้ เพื่อชะลอความเส่ือมของไตสาหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและ
ทาใหป้ ระชาชนทกุ ระดับสามารถเข้าถึงการบริการบาบัดทดแทนไตได้ เภสัชกรเป็นอีกหนึ่งบุคลากรท่ีมีความสาคัญ
ในการให้การบริบาลผู้ปว่ ยโรคไตเร้ือรัง ดังนัน้ เภสชั กรจึงจาเปน็ ต้องมศี กั ยภาพและสมรรถนะหลายมิติในการทางาน
พฒั นาระบบบริการสุขภาพ (service plan) สาขาไต ท้ังด้านมิติวิชาชีพ คุณธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ การทางาน
เปน็ ทมี การจดั การระบบ ด้านสารสนเทศ ด้านการสื่อสาร การเตรียมยาสาหรับผู้ป่วยเฉพาะราย ด้านการบริบาล
ทางเภสัชกรรมเบ้ืองต้น ด้านเภสัชภัณฑ์ สมุนไพร เภสัชเคมีภัณฑ์และการควบคุมคุณภาพ ซึ่งทางผู้ดาเนิน
โครงการวจิ ัย ได้มีแนวคิดในการสารวจและรวบรวมข้อมูลความคดิ เหน็ ของผปู้ ฏิบัติงานเภสัชกรรมในด้านสมรรถนะ
ทางเภสัชกรรมของเภสชั กรทยี่ งั ขาดอยู่ในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเร้ืองรังตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพในผู้ป่วย
โรคไตและสารวจอุปสรรคทีม่ ใี นการปฏิบตั ิงานเภสชั กรรมตามแผนพฒั นาระบบบรกิ ารสขุ ภาพในผปู้ ่วยโรคไต โดยทา
การเก็บข้อมูลจากการใช้แบบสอบถามรูปแบบกระดาษ เพื่อสารวจความคิดเห็นของหัวหน้างานเภสัชกรรมและ
ผปู้ ฏิบัติงานเภสัชกรรมที่ไดร้ บั มอบหมายใหด้ ูแลผปู้ ว่ ยโรคไตหรอื ผ้ทู ่ีไดร้ ับการวางตัวให้ดูแลผู้ป่วยโรคไตในอนาคตใน
โรงพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ในสังกัดเขตสุขภาพท่ี 11 และ 12 เพื่อการสารวจช่องว่างของสมรรถนะเภสัชกรในการให้
บรบิ าลทางดา้ นเภสชั กรรมตามแผนพัฒนาระบบบรกิ ารสุขภาพ (service plan) ในผู้ป่วยโรคไต ซ่ึงสามารถนาไปใช้
เปน็ แนวทางในการดูแลผปู้ ่วยโรคไตเร้ืองรังตามแผนพฒั นาระบบบริการสุขภาพในผู้ป่วยโรคไต เพื่อพัฒนาศักยภาพ
และสมรรถนะของเภสัชกรใหม้ คี วามพร้อมในการให้บริบาลทางเภสัชกรรมในผปู้ ว่ ยโรคไตตอ่ ไปในอนาคต

Corresponding author : อุษณยี ์ วนรรฆมณ,ี E-mail : [email protected] ~ 59 ~

โครงการประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั และนวัตกรรมของนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศกึ ษา 2559

ปญั หาในการเตรยี มยา Docetaxel จากนโยบายการคดั เลือกยาของสานกั งานหลกั ประกันสขุ ภาพแห่งชาติ:
การศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพ

กชกร เกียรติกอ้ งแกว้ *, นนั ทวรรณ บัวเพ็ชร*, สุทธพิ ฒั น์ รามสนิ ธ*์ุ , ขวญั จิต องึ๊ โพธ*์ิ *, ศริ มิ า มหทั ธนาดลุ ย*์
*ภาควิชาเภสชั กรรมคลินกิ **ภาควชิ าเทคโนโลยเี ภสชั กรรม คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

Docetaxel จัดอยู่ในบัญชี จ (2) ในบัญชียาหลักแห่งชาติ อยู่ในกลุ่ม Taxene ซ่ึงเป็นยาในกลุ่ม
antimicrotubule chemotherapy agent โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบญั ชียาหลกั แห่งชาติได้พิจารณาให้ใช้เป็น
ยาสูตรท่ี 2 สาหรับ 3 ขอ้ บง่ ใช้ ไดแ้ ก่ มะเรง็ เตา้ นมระยะลกุ ลามที่ดอื้ การรักษาด้วย anthracycline มะเร็งปอดชนิด
ไม่ใช่เซลล์เล็กระยะลุกลาม และมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายท่ีดื้อต่อการรักษาด้วยการต้านฮอร์โมน
Docetaxel อยู่ในรูป Sterile sol เป็น Vial dry บรรจุยา 20 มก. (0.5 มล.) และ 80 มก. (2 มล.) หากเป็นยา
ต้นแบบ Taxotere® ของบริษัท Sanofi มีราคา 7,811 บาท และ ราคา 28,355 บาท ตามลาดับ สานักงาน
หลักประกันสุขภาพแหง่ ชาติ (สปสช.) ได้มีแนวคดิ ที่จะเพ่มิ การเข้าถึงยาน้ีโดยไดม้ อบหมายให้องค์การเภสชั กรรมเปน็
ผู้ดาเนินการจัดหายาและคัดเลือกยาเลียนแบบ (local made) โดยได้ยา Dotax® ของบริษัท Intas
Pharmaceuticals/ India โดยมีราคาเฉล่ียจัดซ้ือรวมคือ 574 บาท และ 1,757 บาท ตามลาดับ โดย Taxotere®
ประกอบด้วยตัวยา anhydrous ethanol และ citric acid ส่วน (Dotax®) ประกอบด้วยตัวยาและ
polyethylene glycol 400 จากเอกสารเฉพาะเร่ือง (monograph) ระบุว่าการเก็บรักษา Docetaxel ต้องเก็บท่ี
อณุ หภูมิ 2-25 องศาเซลเซียส แกะยาออกจากกลอ่ งเฉพาะเมอ่ื ต้องการใชเ้ พื่อป้องกนั ยาจากแสงจ้า ระบุการเตรียม
ยาวา่ ในการเตรยี มตอ้ งเจือจางยาเป็น 2 ข้ันตอน ในขั้นตอนแรกเมื่อผสมยาแล้วจะได้สารละลายใสท่ีมีความเข้มข้น
ของยา 10 มก./มล. ซง่ึ จะตอ้ งถกู เจือจางตอ่ ไปก่อนนาไปใช้กับผู้ป่วย ระหว่างการเตรียมยาให้ผสมยาและตัวทาเจือ
จางโดยการกลับขวดไปมาหลายๆ คร้ัง โดยห้ามเขย่าขวดยา เพ่ือป้องกันการเกิดฟอง สารละลายน้ีควรใช้ให้หมด
ภายใน 4 ชม. ซงึ่ รวมเวลาท่ใี หย้ า 1 ชม. ดว้ ยแล้ว ปัญหาการเจือจางยาดว้ ยตัวทาเจอื จางไม่พบในยาต้นแบบ แต่พบ
ในหลายโรงพยาบาลท่ัวประเทศไทยที่ได้รับยา Dotax® จาก สปสช. ที่จัดหาโดยองค์การเภสัชกรรม ในการผสมตัว
ทาเจอื จางเข้ากบั ยาใน vial ใหเ้ ป็นสารละลาย โดยโรงพยาบาลไดท้ ารายงานการเกดิ ปัญหาในการผสม พบว่าใช้เวลา
ในการเตรียมยานานมาก ยาเตรียมที่ได้มีความหนืด และต้องใช้การเขย่าอย่างรุนแรงเพ่ือให้ยาละลาย ทาให้เกิด
ฟองอากาศทดี่ า้ นบนของสารละลายและใช้เวลานานในการรอให้ฟองอากาศหายไป การเตรียมยาในลักษณะนี้อาจ
สง่ ผลต่อระบบนาส่งยา Docetaxel ท่ีอยู่ในรูปไมเซลล์ (micelles) ในด้านการละลาย การเกิดตะกอน ขนาดและ
การกระจายขนาดของอนภุ าค อนั ส่งผลถงึ ความคงตวั ประสทิ ธิภาพ ความเปน็ พิษ และความปลอดภัยทง้ั ตอ่ เภสัชกร
ผู้เตรยี มและผปู้ ่วย โดยเบอื้ งตน้ คณะผวู้ ิจัยไดแ้ จง้ ปญั หานด้ี ้วยวาจาตอ่ ผบู้ รหิ าร สปสช. ภาคใต้ และไดร้ ับคาแนะนา
ให้เภสชั กรโรงพยาบาลต่างๆ ท่ีประสบปัญหานไี้ ดท้ าหนงั สอื รายงานปญั หาทเี่ กิดขึ้น แนวทางการสืบค้นสาเหตุมีดังนี้
1) สงั เกตและสอบถามขอ้ มูลจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์และโรงพยาบาลสมุทรสาคร 2) ตรวจวัดเปรียบเทียบ
ขนาดอนุภาคหลังการผสม ในการศกึ ษานไ้ี ม่สามารถทาได้ เนอื่ งจากไมไ่ ด้รับอนญุ าตให้ใชเ้ คร่ืองมอื ในการประเมินยา
เคมีบาบดั 3) อณุ หภูมิระหว่างการขนส่ง การเก็บรักษา และสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะประเทศไทยท่ี
เป็นประเทศเขตร้อน ท้ังน้ีในการคัดเลือกยาในปีต่อไปคณะผู้วิจัยขอเสนอว่ากลุ่มเภสัชกรการผลิตของโรงพยาบาล
ควรต้องมีบทบาทในการคดั เลอื กยาเคมบี าบัด และมโี อกาสทดลองเตรยี มยาทีเ่ สนอเข้ารับการประมูล เพ่ือให้ได้ยาที่
ดีและมีคณุ ภาพ เกิดประโยชนส์ ูงสดุ แกผ่ ู้ปว่ ยต่อไป

~ 60 ~ Corresponding author : ศริ มิ า มหทั ธนาดลุ ย,์ E-mail : [email protected]

โครงการประชมุ วิชาการผลงานวจิ ยั และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ ประจาปีการศึกษา 2559

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ ขอขอบพระคณุ ผสู้ นับสนุนเงินรางวัลสาหรับโครงงาน
นักศึกษาดีเด่น ในงานประชุมวิชาการผลงานวิจัยและนวัตกรรมของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ประจาปี
การศึกษา 2559 ตามรายนามดังนี้

1. บรษิ ทั โกลด์ ม้ินท์ โปรดักส์ จากดั จานวน 20,000.- บาท
2. บริษทั บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมตคิ จากดั จานวน 10,000.- บาท
3. บรษิ ัท โรงงานเภสัชกรรม เกรท๊ เตอรฟ์ าร์ม่า จากดั จานวน 10,000.- บาท
4. บริษทั กอบุญเฮิรบ์ จากดั จานวน 2,000.- บาท


Click to View FlipBook Version