The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนบูรณาการ ระดับประถม ปีการศึกษา 2-2654

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by acroniss3435, 2023-04-04 23:38:41

แผนบูรณาการ ระดับประถม ปีการศึกษา 2-2654

แผนบูรณาการ ระดับประถม ปีการศึกษา 2-2654

สำ นักงานส่งเสริมริการศึก ศึ ษานอกระบบและการศึก ศึ ษาตามอัธยาศัยศัจังหวัดวัพะเยา สำ นักงานส่งเสริมริการศึก ศึ ษานอกระบบและการศึก ศึ ษาตามอัธยาศัยศั สำ นักงานปลัดกระทรวงศึก ศึ ษาธิกธิาร กระทรวงศึก ศึ ษาธิกธิาร แผนบู บูรณาการ การศึศึ ศึ กศึ กษาขั้ขั้ ขั้ น ขั้ ขั้ น ขั้ พื้พื้ พื้ นพื้ นฐาน ภาคเรีรีย รีรีนที่ที่ ที่ที่ 2 ปี ปีการศึศึ ศึ กศึ กษา 2564 หลัลั ลั กลั กสูสูสู ต สู ตรการศึศึ ศึ กศึ กษานอกระบบระดัดั ดั บดั บการศึศึ ศึ กศึ กษาขั้ขั้ ขั้ น ขั้ ขั้ น ขั้ พื้พื้ พื้ นพื้ นฐาน


หน่วยที่ 1 ด้ หัวเรื่อง การศึกษาก้า สภาพปัญหา 1. ประชาชนไม่เห็นความสำคัญของการศึก 2. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้หรือไม่นำ ชีวิตประจำวัน 3. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง ถูกต้อง 4. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในการเขี 5 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในการวา แผนผังหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ หลักสูตรการศึก ระดับประถมศึกษา ภาค วิชา เศรษฐกิจพอเพียง ทช11001 หัวเรื่อง 1. ครอบครัวพอเพียง เนื้อหา 1.การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้จากกรณีต่าง ๆ เช่น 1.1. การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ วิชา ศิลปะศึกษา ทช11002 หัวเรื่อง ทัศนศิลป์พื้นบ้าน เนื้อหา รูปแบบและความงามของทัศนศิลป์พื้นบ้าน กับความงามตามธรรมชาตที่เกี่ยวกับรูปร่าง รูปทรง เส้น สีแสง เงา และจุด ของต้นไม้ฯ วิชาภาษาอังกฤษ พต11001 หัวเรื่อง 1. การแนะนำตนเอ 2. leave Taking 3. จำนวนนับและล 4. คำนาม noun แ 5. การขอร้อง การ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความสำคัญและความจำเป็นของการ เขียนโครงการเพื่อการประกอบอาชีพ และตรวจส ประกอบอาชีพการปลูกไผ่กวนอิม 2. ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า ทัศนศิลป์พื้นบ้าน รูปแบบและความงามของทัศนศิลป์พื้นบ้านกับความงามตามธรรมชาตที่เกี่ย สีแสง เงา และจุด ของต้นไม้ฯ แล้วจัดทำเป็นรายงาน 3. ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า ประเภทของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การเตรียมการวางแผนและขั้นตอนกระบวน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ และจัดทำโครงงานเพื่อแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพของตนเอง 1 เรื่อง แล้วนำเสนอในการ 4. ให้นักศึกษา ศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกันการแนะนำตนเองและผู้อื่น introducing 2. leave Taking 3. จำนวนนับและลำ noun 5. การขอร้อง การออกคำสั่ง และการขอโทษ แล้วนำเสนอในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้


้านการศึกษา าวหน้า อนาคตก้าวไกล กษา ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นำทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษไปใช้ใน งเกี่ยวกับ การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ที่ ขียนโครงการเพื่อการประกอบอาชาชีพ งแผนการทำโครงงาน กษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ประเด็น/ปัญหา/สิ่งที่ควรรู้ 1. ประชาชนได้รับความรู้และทักษะในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน 2. ประชาชนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการ พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 3. ประชาชนต้องมีการวางแผนการศึกษา/การ ดำรงชีวิต 4. ประชาชน ต้องมีความเข้าใจในทัศนศิลป์พื้นบ้าน และการเขียนโครงการเพื่อการประกอบอาชีพ 5. ประชาชนต้องได้รับความรู้ในการวางแผนการ ท าโครงงานเพื่อการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจ าวัน วิชา โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทร 02006 หัวเรื่อง 1. โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เนื้อหา : 1.ประเภทของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ 2.การเตรียมการวางแผนและขั้นตอนกระบวนการทำ โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ องและผู้อื่น introducing ลำดับที่ และคำศัพท์หมวดต่าง ๆ รออกคำสั่ง และการขอโทษ สอบความเป็นไปได้ในการ ยวกับรูปร่าง รูปทรง เส้น นการทำโครงงานเพื่อ ประกวดโครงงาน ำดับที่ 4. คำนาม วิชา การปลูกไผ่กวนอิม อช03255 หัวเรื่อง 1. โครงการอาชีพการปลูกไผ่กวนอิม เนื้อหา : 1. การเขียนและตรวจสอบความเป็นไปได้ โครงการอาชีพการปลูกไผ่กวนอิม


แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน. แบบบูรณากา ครั้ง ที่ วัน/เดือน/ปี ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระการเรียนรู้ หัวเื 1. อธิบายวิธีการลด รายจ่ายและเพิ่มรายได้ ของครอบครัว 1.เขียนและตรวจสอบ ความเป็นไปได้ของ โครงการเข้าสู่อาชีพ การปลูกไผ่กวนอิม 1.มีความสามารถใน การดำเนินการทำ โครงงานและสะท้อน วิชา เศรษฐกิจพอเพียง ทช 11001 หัวเรื่อง 1. ครอบครัวพอเพียง เนื้อหา 1.การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้จาก กรณีต่าง ๆ เช่น 1.1. การใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์ วิชา การปลูกไผ่กวนอิม อช 03255 หัวเรื่อง 1. โครงการอาชีพการ ปลูกไผ่กวนอิม เนื้อหา : 1. การเขียนและ ตรวจสอบความเป็นไปได้โครงการ อาชีพการปลูกไผ่กวนอิม วิชา โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ ทร 02006 หัวเรื่อง 1. โครงงานเพื่อพัฒนา ทักษะการเรียนรู้ เนื้อหา : 1.ประเภทของโครงงาน เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ หน่วยที่1 ด้านกา หัวเรื่อง การศึกษ อนาคตก้าวไกล 1. ประชาชนไม่เห็ ของการศึกษา ไม พื้นฐาน 2. ประชาชนส่วน หรือไม่นำทักษะก ภาษาอังกฤษไปใช ชีวิตประจำวัน 3. ประชาชนส่วน ที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ใหม่ 4. ประชาชนส่วน ในการเขียนโครงก ประกอบอาชาชีพ 5 ประชาชนส่วนใ ในการวางแผนกา


าร ตามรูปแบบ ONIE MODEL ระดับประถมศึกษา เรื่อง ประเด็น/ปัญหา/ สิ่งที่ควรเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ ารศึกษา ษาก้าวหน้า ห็นความสำคัญ ม่จบการศึกษาขั้น นใหญ่ไม่มีความรู้ การสื่อสาร ช้ใน นใหญ่ไม่มีความรู้ เกษตรทฤษฏี นใหญ่ไม่มีความรู้ การเพื่อการ พ ใหญ่ไม่มีความรู้ ารทำโครงงาน 1. ประชาชนได้รับความรู้และ ทักษะในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน 2. ประชาชนต้องได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการ พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 3. ประชาชนต้องมีการวางแผน การศึกษา/การดำรงชีวิต 4. ประชาชน ต้องมีความเข้าใจ ในทัศนศิลป์พื้นบ้าน และการ เขียนโครงการเพื่อการประกอบ อาชีพ 5. ประชาชนต้องได้รับความรู้ใน การวางแผนการทำโครงงานเพื่อ การแก้ไขปัญหาใน ชีวิตประจำวัน ขั้นที่ 1. กำหนดสภาพปัญหาการ เรียนรู้ 1. ครูและผู้เรียนร่วมกันพูดคุย ซักถามเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน 2. ครูทบทวนผลการเรียนรู้ใน สัปดาห์ที่ผ่านมา 3. ครูให้ผู้เรียนวิเคราะห์รายรับรายจ่ายของตนเองในช่วงเดือนที่ ผ่านมา 4. ครูติดตามผลการมอบหมายงานที่ จะนำเสนอสัปดาห์ต่อไป


ความคิดเห็นต่อ โครงงาน 2.มีเจตคติที่ดีต่อการ ทำโครงงานและเห็น คุณค่าของโครงงาน 2.การเตรียมการวางแผน และขั้นตอนกระบวนการทำ โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ เรียนรู้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาก ครั้ง ที่ วัน/เดือน/ปี ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระการเรียนรู้ หัว 1.อธิบาย วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ รูปแบบ และความ งามของทัศนศิลป์พื้นบ้านที่ เกิดจากความงามตาม ธรรมชาติ 1.แนะนำตนเองและแนะนำ ผู้อื่นตามมารยาททีดีทาง สังคมได้ 2.กล่าวลาและตอบรับ การ กล่าวลาตามความเหมาะสม ในโอกาสต่าง ๆ ได้ 3.ใช้จำนวนนับและลำดับที ถูกต้องได้ วิชา ศิลปะศึกษา ทช11002 หัวเรื่อง ทัศนศิลป์พื้นบ้าน เนื้อหา รูปแบบและความงาม ของทัศนศิลป์พื้นบ้านกับความ งามตามธรรมชาตที่เกี่ยวกับ รูปร่าง รูปทรง เส้น สีแสง เงา และจุด ของต้นไม้ฯ วิชาภาษาอังกฤษ พต11001 หัวเรื่อง 1. การแนะนำตนเองและผู้อื่น introducing 2. leave Taking 3. จำนวนนับและลำดับที่


การ ตามรูปแบบ ONIE MODEL ระดับประถมศึกษา วเรื่อง ประเด็น/ปัญหา/ สิ่งที่ควรเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ ขั้นที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัด กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมที่ 1. ให้ผู้เรียนศึกษาและ ให้ผู้เรียนจับคู่ฝึกพูดประโยคต่าง ๆ ดังนี้ 1. การแนะนำตนเองและผู้อื่น introducing 2. leave Taking 3. จำนวนนับและลำดับที่ 4. คำนาม noun และคำศัพท์หมวด ต่าง ๆ 5. การขอร้อง การออกคำสั่ง และ การขอโทษ กิจกรรมที่ 2. ให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับการเขียนโครงการ โครงงาน พร้อมทั้งเขียนโครงการ การประกอบอาชีพ และจัดทำ โครงงานเพื่อแก้ไขปัญหาในการ ประกอบอาชีพ มา 1 เรื่อง


4.รู้จักคำนามและวิธีการใช้ รวมทั้งใช้คำศัพท์เกี่ยวกับวัน เดือน ปี สี เครือญาติ เครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน และสภาพดินฟ้าอากาศ อย่างง่าย 5.ใช้ประโยคขอร้อง ออก คำสั่ง และขอโทษได้ 4. คำนาม noun และคำศัพท์ หมวดต่าง ๆ 5. การขอร้อง การออกคำสั่ง และการขอโทษ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาก ครั้ง ที่ วัน/เดือน/ปี ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระการเรียนรู้ หัวเื


กิจกรรมที่ 3 ครูให้ผู้เรียนวิเคราะห์รายรับรายจ่ายของตนเองในช่วงเดือนที่ ผ่านมา พร้อมทั้งให้ผู้เรียนวาง แผนการลดรายจ่าย และใช้เวลาว่าง ให้เกิดประโยชน์ โดยการหาวิธีการ เพิ่มรายได้ให้กับตนเอง และให้ ผู้เรียนเขียนโครงการการเข้าสู่อาชีพ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การ ตามรูปแบบ ONIE MODEL ระดับประถมศึกษา เรื่อง ประเด็น/ปัญหา/ สิ่งที่ควรเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ กิจกรรมที่ 4 ให้ผู้เรียนค้นคว้าหา รูปภาพธรรมชาตที่เกี่ยวกับรูปร่าง รูปทรง เส้น สีแสง เงา และจุด ของ ต้นไม้ฯ แล้ว วิพากษ์ วิจารณ์ รูปแบบ และความงามของทัศนศิลป์ พื้นบ้านที่เกิดจากความงามตาม ธรรมชาติโดยให้จัดทำเป็นรูปเล่ม รายงาน


แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กศน.แบบบูรณาก ครั้ง ที่ วัน/เดือน/ปี ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระการเรียนรู้ หัวเ


การ ตามรูปแบบ ONIE MODEL ระดับประถมศึกษา เรื่อง ประเด็น/ปัญหา/ สิ่งที่ควรเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ หมายเหตุ ขั้นที่ 3. การปฏิบัติและการนำไปใช้ 1. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การใช้ เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เกิด รายได้เสริม 2. ครูอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คำนามและวิธีการใช้คำนาม การใช้ ประโยคขอร้อง ออกคำสั่ง และขอ โทษ ในโอกาสต่าง ๆ


2. จัดทำรูปเล่มรายงาน/ชิ้นงาน และรวบรวมไว้ในแฟ้มสะสมงาน ขั้นที่ 4. การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ครูและผู้เรียนสรุปสาระสำคัญ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 2. ประเมินผลการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ขั้นที่ 5. มอบหมายงานในสัปดาห์ ต่อไป 1. ตรวจสอบหน่วยการ เรียนรู้ในสัปดาห์ต่อไปมอบหมาย กิจกรรมการเรียนรู้ไปศึกษาค้นคว้า นำเสนอในสัปดาห์ต่อไป 2. ครูบันทึกผลการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ในคู่มือครู 3. ผู้เรียนบันทึกผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในคู่มือผู้เรียน


ใบความรู้ที่ 1 ครอบครัวพอเพียง ครอบครัวพอเพียงสู่สังคมแห่งการพอเพียง เมื่อคนในสังคมหรือชุมชน สร้างครอบครัวพอเพียงได้แล้ว สิ่งที่จะตามมา คือ การเกิดขึ้น ของชุมชนพอเพียง ที่ สมาชิกชุมชนนั้น จะรวมกลุ่มกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมีการแบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถ ของตน บริหารจัดการปัจจัยต่าง ๆ เช่น ทรัพยากรภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้สามารถนำไปใช้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและ สมดุล และเมื่อ หลาย ๆ ชุมชนพอเพียงมารวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนความรู้ สืบทอดภูมิปัญญาและร่วมกันพัฒนา ตาม แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะกลายเป็นสังคมแห่งความพอเพียงได้ในที่สุด การสร้างชุมชนและสังคมที่พอเพียงนั้น เกิดขึ้นได้จากกิจกรรมการผลิต โดยเฉพาะในภาค การเกษตรที่ไม่ ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างคุ้มค่า ด้วยการหมุนเวียนทุน ธรรมชาติภายในพื้นที่และด้วยวิธี การ ทำเกษตรที่เน้นปลูกเพื่อกินเองก่อน และการทำกิจกรรมที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การทำปุ๋ยชีวภาพ การปลูกผักและ ข้าวที่ปลอดสารพิษ การทำสวนสมุน ไพรของชุมชน การคิดค้นสารไล่แมลงสมุนไพร การทำถ่านชีวภาพ การรวมกลุ่ม ขยายพันธุ์ปลา การแปรรูปผลผลิตและกรทำเกษตรผสมผสาน เป็นต้น มีการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ ร่วมมือกัน ทั้งในด้าน ปัจจัยและอุปกรณ์การผลิต การตลาด เงินทุน การศึกษา และชีวิตความเป็นอยู่ มีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากความรักและ เอื้ออาทรต่อกัน เช่น กิจกรรมต่อต้านยาเสพติด การมนัสการพระ ให้ มาช่วยสอนจริยธรรมและศีลธรรมในโรงเรียนชุมชน การรวมกลุ่ม เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน การจัดตั้งร้านค้า ชุมชน การจัดทำแผนแม่บทชุมชน การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ การรวมอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การรวมกลุ่มทำขนมของแม่บ้าน หรือรวมกลุ่มเพื่อปลูกพืชผักสวนครัว บนพื้นฐานของ การปลูกฝัง สมาชิกในชุมชนให้มีความเอื้ออาทรต่อกัน มากกว่าคำนึงถึงตัวเงินหรือ วัตถุ มีความคิดที่จะแจกจ่ายแบ่งปันให้ ผู้อื่น ซึ่งจะทำให้ได้เพื่อนและ เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ดี ที่จะช่วยลดความเห็นแก่ตัวและสร้างความพอ เพียงให้เกิดขึ้นในจิตใจ แม้ว่าระดับความพอเพียงของแต่ละคนจะไม่เท่าเทียมกันแต่ ทุกคนก็สามารถดำเนินชีวิตตามหลักการเศรษฐกิจ พอเพียงได้ด้วยการ ยึดมั่นในหลักการ ๓ ประการ เหมือนกัน คือ การใช้ชีวิตบนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักพัฒนาตนเอง ด้วยการพยายามทำจิตใจให้ผ่องใส รวมทั้งมีความ เจริญและมีความเย็น ในจิตใจอยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง


การคิดพึ่งพาตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกัน ในการดำเนิน กิจกรรมต่าง ๆ คือ เมื่อปัญหาจากการดำเนินชีวิต ก็ให้ ใช้สติปัญญา ไตร่ตรองหาสาเหตุของปัญหาและแก้ไขไปตามเหตุและปัจจัย ด้วย ความสามารถและศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ ก่อนที่จะคิดพึ่งผู้อื่น และมี การปรึกษาหารือถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชน การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง รู้จักลดกิเลสและลดความต้องการ ของตนเองลง เพื่อให้เหลือแรงและเวลาในการพัฒนา คุณภาพชีวิต ตลอดจนทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากขึ้น ใบความรู้ที่ 2 การเขียนและตรวจสอบความเป็นไปได้โครงการ โครงการ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า " Project" หมายถึงการดำเนินกิจกรรมที่ประกอบด้วยแผนงานย่อย ที่ระบุ รายละเอียดได้ชัดเจน เช่น วัตถุประสงค์ ขอบเขตการดำเนินงาน กรอบระยะเวลาต้องมีการเริ่มต้นและจุดจบ งบประมาณ ที่ใช้ และผลลัพธ์ที่วัดหรือประเมินผลได้ โครงการจึงเป็นกิจกรรมที่ได้รับการจัดทำขึ้นแล้วนำไปดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของแผนงานที่ได้กำหนด ไว้ โครงการทุกโครงการที่กำหนดขึ้นจะต้องสอดคล้องและสนับสนุนแผนงาน มีรูปแบบการดำเนินงานที่ได้จัดเตรียมได้อย่าง มีระบบ การดำเนินงานของโครงการจะต้องเป็นที่ตกลงยอมรับและรับรู้กันทุกฝ่าย โครงการทุกโครงการจะต้องมี ผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ รวมทั้งจะต้องได้รับการสนับสนุนเอาใจใส่ดูแลจากผู้เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญ โครงการจะต้องได้รับการตรวจสอบและการประเมินอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานของโครงการบรรลุถึงเป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ความสำคัญของโครงการ โครงการมีความสำคัญต่อการวางแผนและการดำเนินงาน 1) ช่วยให้การดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายหรือความต้องการของหน่วยงาน 2) ทำให้การดำเนินงานนั้นมีทิศทางที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ 3) เป็นหลักฐานและใช้ในการประเมินค่างานที่ผ่านมาและเป็นแนวทางในการดำเนินการครั้งต่อไปได้ ประโยชน์ของโครงการ การเขียนโครงการจะต้องมีการเสนอความคิดเห็นอย่างถูกต้อง มีเหตุผล แสดงถึงรายละเอียดได้อย่างชัดเจน โดย มิได้คำนึงถึงตัวบุคคลผู้ปฏิบัติโครงการ เพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถบรรลุจุดประสงค์ตามที่หวังไว้ได้ โครงการที่ถูกต้อง ชัดเจนจะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่หน่วยงานหลายประการด้วยกัน ได้แก่


1. ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อ่านให้มีความเข้าใจในเนื้อหาสาระได้อย่างถูกต้องชัดเจนและตรงตามเจตนา ของผู้เขียนโครงการ 2. ช่วยประหยัดเวลาแก่ผู้อนุมัติด้วยการใช้เวลาอ่านเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะตัดสินใจได้ 3. ช่วยให้การปฏิบัติงานตามโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 4. เป็นการแสดงถึงประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนโครงการ ลักษณะของโครงการที่ดี โครงการเป็นการจัดกิจกรรมที่เป็นระบบ เพื่อการปฏิบัติหน้าที่องค์การให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงการที่ดีย่อมทำให้ประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และผลตอบแทนที่องค์การหรือหน่วยงานจะได้รับอย่างคุ้มค่า อัน จะนำมาซึ่งการพัฒนาของหน่วยงานนั้นๆ ซึ่งลักษณะของโครงการที่ดี มีดังต่อไปนี้ 1. สามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาขององค์การหรือหน่วยงานได้ 2. มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถดำเนินงานและปฏิบัติได้ 3. รายละเอียดของโครงการต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กัน กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของโครงการต้องสอดคล้องกับ หลักการและเหตุผล และวิธีการดำเนินงานต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 4. รายละเอียดของโครงการสามารถเข้าใจได้ง่าย สะดวกต่อการดำเนินงานตามโครงการ 5. เป็นโครงการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ สอดคล้องกับแผนงานหลักขององค์การและสามารถติดตามประเมินผลได้ 6. โครงการต้องกำหนดขึ้นจากข้อมูลที่มีความเป็นจริง และเป็นข้อมูลที่ได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ 7. โครงการต้องได้รับการสนับสนุนในด้านทรัพยากร และการบริหารอย่างเหมาะสม 8. โครงการต้องมีระยะเวลาในการดำเนินงาน กล่าวคือต้องระบุถึงวันเวลาที่เริ่มต้น และ สิ้นสุดโครงการ 9. สามารถติดตาม ประเมินผลได้ การเขียนโครงการ “การเขียนโครงการ” หมายถึง กิจกรรมการสื่อสารของหน่วยงาน เป็นวิธีการที่ช่วยให้เกิดการสื่อสารอย่างเป็น ระบบ เป็นการส่งเสริมการสื่อสารจากล่างขึ้นบน นั่นคือ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเขียน โครงการเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารเพื่อพิจารณา “การเขียนโครงการ” หมายถึง การสื่อความหมายซึ่งต้องเขียนให้ถูกต้องด้วยการใช้ภาษาให้ถูกต้อง รู้จักประมวล ความคิดในการเรียงลำดับเรื่องราวให้สัมพันธ์กันและถ่ายทอดเป็นภาษาเขียนที่กะทัดรัดเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ชัดเจน วัตถุประสงค์ในการเขียนโครงการ 1. เพื่อขออนุมัติจากผู้มีอำนาจ 2. เพื่อของบประมาณ


3. เพื่อให้สมาชิกที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจโครงการ 4. เพื่อเพิ่มศักยภาพในหน่วยงาน 5. เพื่อเป็นเข็มทิศ ชี้แนวทางในการพัฒนาระบบงาน 6. เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง และโอกาสของภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ใบความรู้ที่ 3 โครงงาน ความหมายของโครงงาน โครงงาน หมายถึง การศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่นักเรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้คำแนะนำปรึกษาและดูแลของครูอาจารย์ที่ปรึกษา โดยอาจใช้เครื่องมือและ อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยในการศึกษา เพื่อให้การศึกษาค้นคว้านั้นบรรลุตามวัตถุประสงค์มีผลในการพัฒนาทักษะ กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์การสร้างเสริมเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ประเภทของโครงงาน โครงงานสามารถแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมได้ ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. โครงงานประเภทสำรวจ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรือสำรวจความคิดเห็นโดยใช้วิธี สำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลที่ได้มาแก้ไขปรับปรุงร่วมกัน เช่น โครงงานสำรวจคำที่มักเขียนผิด โครงงานสำรวจ คำทับศัพท์ในหนังสือพิมพ์ โครงงานสำรวจคำคมท้ายรถ เป็นต้น


๒. โครงงานประเภททดลอง เป็นการศึกษาหาคำตอบของปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพื่อศึกษาผลการทดลองว่าเป็นไป ตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ การทำโครงงานประเภทนี้เริ่มจากการตั้งปัญหาการออกแบบการทดลองและดำเนินการ ทดลอง เช่น โครงงานการทดลองธูปสมุนไพรไล่ยุง โครงงานทดลองปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โครงงานทดลองปลูกพืชผักสวน ครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ๓. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นการศึกษาเพื่อคิดค้นหรือพัฒนาชิ้นงานให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาทักษะให้บรรลุวัตถุประสงค์โครงงานประเภทนี้อาจเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ หรือการปรับปรุงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ เช่น โครงงานการประดิษฐ์กระเช้าดอกไม้จากหนังสือพิมพ์ โครงงานประดิษฐ์กังหันวิดน้ำในแปลงเกษตร เป็นต้น ๔. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ ในการอธิบาย เรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างมีเหตุผล โดยผู้จัดทำได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลง อาจใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายในแนวใหม่ เช่น การนำความ ร้อนด้วยคอมพิวเตอร์ การกำเนิดของแผ่นดินไหวในประเทศไทย เป็นต้น ประโยชน์ของการทำโครงงาน ๑. คิดเป็น ปฏิบัติได้จริง และแก้ปัญหาจากเรื่องที่สนใจโดยฝึกให้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองได้ ๒. มีส่วนร่วมในการเลือกและกำหนดวิธีการเรียนรู้ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้นักเรียน ๓. เกิดการบูรณาการระหว่างความรู้ที่นักเรียนมีอยู่ในตัวกับทักษะที่ได้รับการฝึกฝนและสะสมอยู่ใน ตัวนักเรียน ๔. เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้คิดอย่างอิสระ มีการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ๕. ได้สำรวจตนเองและความเชื่อมั่นในทักษะต่างๆ ที่ถนัด เพื่อพัฒนาเป็นทักษะชีวิตต่อไป ขั้นตอนของการทำโครงงาน ๑. เลือกหัวข้อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา ควรมีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน ชี้ชัดว่าจะศึกษาสิ่ง ใดหรือตัวแปรใด การกำหนดหัวข้อโครงงานนั้นควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ - ความเหมาะสมของระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียน - วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ - งบประมาณ - ระยะเวลา - ความปลอดภัย - แหล่งความรู้ ๒. วางแผนในการทำโครงงาน รวมถึงการเขียนเค้าโครงของโครงงานเพื่อให้ดำเนินไปอย่างรัดกุม รอบคอบและไม่ สับสน แล้วนำเสนอต่อครูที่ปรึกษาเพื่อความเห็นชอบหรือปรับแก้ก่อนดำเนินงานต่อไป ๓. การลงมือทำโครงงาน ประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การสร้างหรือประดิษฐ์ การปฏิบัติการทดลอง การ ค้นคว้าเอกสารต่าง ๆ แล้วแต่ว่าเป็นโครงงานประเภทใด อาจมีการเพิ่มเติมจากแผนที่วางไว้ เมื่อดำเนินการทำโครงงาน ครบถ้วนตามขั้นตอนและได้ข้อมูลแล้ว ควรมีการตรวจสอบด้วยการทดลองซ้ำเพื่อให้ได้ผลที่แน่นอน หลังจากนั้นจึง วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการศึกษาค้นคว้าพร้อมทั้งอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า


๔. การเขียนรายงาน เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าเป็นเอกสารเพื่ออธิบายให้ผู้อื่นทราบแนวคิดหรือปัญหา ที่ศึกษา วิธีการศึกษาค้นคว้า ผลการศึกษา ตลอดจนประโยชน์และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้จากการทำโครงงาน เค้าโครงของโครงงานที่มีหัวข้อ ดังนี้ 1. ชื่อโครงงาน 2. ชื่อผู้ทำโครงงาน 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 5. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า 6. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) 7. วิธีดำเนินงาน 8. แผนปฏิบัติงาน 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 10. เอกสารอ้างอิง


ใบความรู้ที่ 4 การวิพากษ์ วิจารณ์ งานทัศนศิลป์ การวิเคราะห์งานศิลปะ คือ การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อศึกษางานศิลปะซึ่งมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะ ทางด้านทัศนธาตุ , องค์ประกอบศิลป์ รวมทั้งความสัมพันธ์ต่างๆ โดยนำข้อมูลในหลายปัจจัย ในหลายองค์ประกอบ มา ประเมินผลงานทางด้านศิลปะว่ามีคุณค่าทางด้านใดบ้าง การวิจารณ์งานศิลปะ คือ การแสดงความคิดเห็นทางด้านศิลปะ ที่ศิลปินได้รังสรรค์ขึ้นมา เป็นการแสดงทัศนะ ทางด้านสุนทรียศาสตร์ รวมทั้งสาระอื่นๆ เพื่อให้ได้นำไปปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อไป หรือ ใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการ ตัดสินผลงาน อีกทั้งยังเป็นการฝึกวิธีวิเคราะห์ ให้เห็นความแตกต่างทางด้านคุณค่าในผลงานชิ้นนั้นๆ คุณสมบัติที่นักวิจารณ์พึงมี 1.ต้องมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะแบบกว้างขว้าง ในหลายด้าน 2.ต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของศิลปะ 3.ต้องมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ 4.ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง มั่นใจในตนเอง 5.กล้าแสดงออกตามหลักวิชาการและตามความรู้สึกที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่… เลียนแบบ – เกิดจากการประจักษ์ในความงามในธรรมชาติ ศิลปินจึงได้ลอกเลียนแบบมา ให้มีความเหมือนทั้ง รูปร่าง , รูปทรง และสีสัน สร้างรูปทรงสวยงาม – คือ การสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ ให้เกิดความสวยงาม และประกอบไปด้วยทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น , รูปทรง , สี , น้ำหนัก , บริเวณว่าง รวมทั้งเทคนิคสร้างสรรค์ผลงาน แสดงอารมณ์ – คือ สร้างงานให้มีความรู้สึก แสดงจินตนาการ – คือ แสดงภาพจินตนาการให้ผู้ชมได้สัมผัส แนวทางประเมินคุณค่าของงานศิลปะ สำหรับการประเมินคุณค่างานศิลปะ จะมีการวิเคราะห์จาก 3 ด้าน ได้แก่… ด้านความงาม คือ การวิเคราะห์รวมทั้งประเมินคุณค่าทางด้านทักษะฝีมือ รวมทั้งการใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ ตลอดจนการจัด องค์ประกอบศิลป์ เป็นการวิเคราะห์ว่าผลงานชิ้นนี้ มีการเปล่งประกายทางด้านความงดงามของศิลปะได้อย่างเหมาะสม อีก ทั้งทำให้ผู้ดูเกิดความเข้าใจในในสุนทรียภาพ โดยลักษณะของการแสดงออกทางด้านความงามในศิลปะ จะเต็มไปด้วยความ


หลากหลายซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่รูปแบบของยุคสมัย เพราะฉะนั้นเมื่อสรุปการวิเคราะห์ ตลอดจนการ วิเคราะห์งานศิลปะทางด้านความงาม ซึ่งก็จะมีการตัดสินในเรื่องรูปแบบต่างๆ ด้านสาระ คือ การวิเคราะห์ เพื่อพิจารณาคุณค่าของผลงานศิลปะว่า มีคุณธรรม , จริยธรรม รวมทั้งแสดงให้เห็นถึง จุดประสงค์ทางด้านจิตวิทยารวมทั้งให้สิ่งใดต่อผู้ชมบ้าง โดยจะเป็นสาระที่เกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ , สังคม , ศาสนา , การเมือง , ความฝัน และอื่นๆ อีกมากมาย ด้านอารมณ์ความรู้สึก คือ การประเมินคุณค่าทางด้านคุณสมบัติ ซึ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งยังเป็นการสื่อความหมายได้ อย่างมีนัยยะสำคัญซ่อนอยู่ โดยเป็นผลของการใช้เทคนิคซึ่งแสดงออกให้เห็นถึงความคิด , พลัง ตลอดจนความรู้สึกที่ปรากฏ อยู่ในผลงาน


ใบความรู้ที่ 5 Nouns ( คำนาม ) Types ( ชนิดของคำนาม ) คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มี รูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง 1.Common Noun (นามทั่วไป) เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company เหตุการณ์ revolution, journey, meeting ความรู้สึก fear, hate, love เวลา year, minute, millennium 2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค เป็นคำนามที่เป็น ชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น ชือคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng ชือสถานที่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) คำนามนับได้ (Countable Noun) นามนับได้ คือ นามที่นับได้เป็นตัว ๆ เวลานับก็นับตัวของมันเลย (มีหลายชิ้นส่วนประกอบกัน) เช่น cat แมว boy เด็กผู้ชาย pen ปากกา school โรงเรียน เป็นต้น คำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) นามนับไม่ได้ คือ นามที่ไม่สามารถนับตัวของมันได้ ต้องนับภาชนะที่บรรจุ หรือว่าอย่างอื่นแทน เช่น water น้ำ milk นม sugar น้ำตาล rice ข้าว เป็นต้น คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun)


นามเอกพจน์หมายถึง นามที่มีจำนวนเดียว (คนเดียว, ตัวเดียว, อันเดียว, แห่งเดียว) เช่น a man, a doctor, a cow, a tiger, a house, a fan, a station, a temple นามพหูพจน์ หมายถึง นามที่มีหลายจำนวน (หลายคน, หลายตัว, หลายอัน, หลายแห่ง) เช่น men, doctors, cows, tigers, houses, fans, stations, temples ใบความรู้ที่ 6 จำนวนนับ และลำดับที่ ระบบตัวเลขในภาษาอังกฤษ การใช้ตัวเลขในภาษาอังกฤษจะแบ่งเป็น 2 แบบ 1. ตัวเลขทั่วไป (cardinal number) เช่น one, two, three, … ใช้สำหรับกรณีทั่วๆไปที่ไม่มีลำดับ อย่างเช่น การ บอกปริมาณ (จำนวนเงิน ราคา อุณหภูมิ จำนวนคน จำนวนสิ่งของ ฯลฯ) การบอกเวลา เป็นต้น 2. ตัวเลขลำดับที่ (ordinal number) เช่น first, second, third, … ใช้กับสิ่งที่มีลำดับ อย่างเช่น วันที่ ชั้นของ อาคาร ลำดับการเข้าเส้นชัย ลำดับคน ลำดับสิ่งของ เป็นต้น ตัวอย่างการใช้ตัวเลขลำดับที่ 1. วันที่ January 24, 2020 อ่านว่า January twenty-fourth, two thousand and twenty (การเขียนตัวเลขวันที่จะไม่ นิยมเขียนตัวย่อลำดับ อย่างเช่น 24th แต่จะอ่านเหมือนเขียน) 2. ลำดับคน I am the first from the left in this photo. ฉันคือคนแรกจากซ้ายในภาพนี้ 3. ลำดับสิ่งของ Do you see the second building from that big tree? คุณเห็นตึกที่สองนับจากต้นไม้ต้นใหญ่นั้นมั้ย 4. ชั้นของอาคาร Meet me on the third floor at noon, okay?


เจอฉันที่ชั้น 3 ตอนเที่ยงนะ โอเคมั้ย 5. เศษส่วน เราจะใช้ตัวเลขลำดับที่กับส่วน และถ้าเลขเศษมากกว่าหนึ่ง เราต้องเติม s หลังส่วนด้วย 1/5 – One fifth 3/7 – Three sevenths ยกเว้นเลข 2 เราจะใช้คำว่า half 1/2 – One half และเลข 4 เราสามารถใช้ได้ทั้ง quarter และ fourth 1/4 – One quarter หรือ One fourth ใบงานที่ 1 1. ให้นักศึกษาเขียนอธิบายวิธีการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ ของครอบครัว .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................


.................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ใบงานที่ 2 ให้นักศึกษาเขียนโครงการการเข้าสู่อาชีพ มา 1 โครงการ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงาน ต่าง ๆ โดยให้ครอบคลุมหัวข้อการเขียนโครงการ


ใบงานที่ 3 ให้นักศึกษาเขียนเค้าโครง โครงงาน มา 1 โครงงาน โดยให้ครอบคลุมตามหัวข้อการเขียนโครงงาน ดังนี้ 1. ชื่อโครงงาน


2. ชื่อผู้ทำโครงงาน 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 5. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า 6. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) 7. วิธีดำเนินงาน 8. แผนปฏิบัติงาน 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 10. เอกสารอ้างอิง


ใบงานที่ 4 1. การวิจารณ์งานทัศนศิลป์มีหลักการดูอย่างไร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ 2. คุณสมบัติของนักวิจารณ์ที่ดี ควรเป็นอย่างไร ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................


ใบงานที่ 5 1. ให้นักศึกษา เขียนคำนาม NOUN ที่ใช้แทน ชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ มา อย่างละ 5 ชื่อ คำนามที่ใช้แทนชื่อ คน ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ คำนามที่ใช้แทนชื่อ สัตว์ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ คำนามที่ใช้แทนชื่อ สิ่งของ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................


คำนามที่ใช้แทนชื่อ สถานที่ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ 2. ให้นักศึกษาแยกคำนามนับได้ (countable nouns) และคำนำมนับไม่ได้ (uncountable nouns) เติมลงในกลุ่มที่ถูกต้อง Book sugar banana flour doctor dog horse Salt flower car tea coffee tree egg butter cheese oil rice key milk คำนามนับได้ (countable nouns) คำนำมนับไม่ได้ (uncountable nouns)


ใบความรู้ที่ 1 ความพอเพียง 1.1 ความเป็นมา ความหมาย หลักการ แนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1.2 การแสวงหาความรู้ ความเป็ นมา ความหมาย และหลักแนวคิด ความเป็นมา ความหมาย หลักแนวคิด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิ การชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฎีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของ การดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลาดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่ สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัยและก้าวสู่ความเป็นสากลได้โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญในช่วงปีพ.ศ. 2540 เมื่อปีที่ประเทศไทยต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพ เพื่อที่จะยืนหยัดในการพึ่งตนเองและพัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ของประเทศโดยการสร้าง แนวคิดเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ซึ่งคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพโดยอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า “มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศ อุตสาหกรรมใหม่ (NIC) พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกัน การเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาเมื่อได้พื้นฐาน มั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ ต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการ สัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่ง อาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด” พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 เศรษฐกิจพอเพียง เป็นกรอบแนวคิด ซึ่งมุ่งให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ รวมถึงการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนเกิดความยั่งยืน คำว่า พอเพียง คือ การดำเนินชีวิตแบบทางสายกลาง โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ความพอประมาณ คือ การดำรงชีวิตให้เหมาะสม ซึ่งเราควรจะมีความพอประมาณทั้งการหารายได้ และพอประมาณในการ ใช้จ่าย ความพอประมาณในการหารายได้ คือ ทำงานหารายได้ด้วยช่องทางสุจริต ทำงานให้เต็มความสามารถ ไม่ เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนความพอประมาณในการใช้จ่าย หมายถึง การใช้จ่ายให้เหมาะกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ใช้จ่าย ฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเกินตัว และในขณะเดียวกัน ก็ใช้จ่ายในการดูแลตนเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่อยู่ อย่างลำบาก และฝืดเคืองจนเกินไป


ความมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวัน เราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจตลอดเวลา ซึ่งการ ตัดสินใจที่ดี ควรตั้งอยู่บนการไตร่ตรองถึงเหตุ รวมทั้งคำนึงถึงผลที่อาจตามมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ตัดสินใจตามอารมณ์ หรือจากสิ่งที่คนอื่นบอกมาโดยปราศจากการวิเคราะห์ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งสภาพลม ฟ้า อากาศที่ ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร การเปลี่ยนแปลงในบริษัทคู่ค้า การเลิกจ้างพนักงานในบริษัทใหญ่ หรือแม้แต่ความ ไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่มีผลต่อการลงทุน เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ได้ด้วย การพึ่งพาตนเอง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ เช่น เตรียมแผนสำรองสำหรับแต่ละสถานการณ์ การมี รายได้หลายทางเพื่อลดความเสี่ยงในวันที่ถูกเลิกจ้าง หรือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการดำรงชีวิต ตามหลักการทั้งสามข้อนั้น จำเป็นต้องมีความรู้และคุณธรรมประกอบด้วย ความรู้ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม เช่น ความรู้ในการประกอบวิชาชีพช่วยให้ธุรกิจและการงานเจริญก้าวหน้า หรือความรู้ในการลงทุนช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันให้นักลงทุน ทั้งนี้ ความรู้และประสบการณ์ จะช่วยทำให้เราตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงแม้ว่า พื้นฐานความคิดและประสบการณ์ที่แตกต่างกันอาจทำให้เหตุผลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่หากทุกคนยึดมั่น อยู่ในหลักคุณธรรม ก็จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปอย่างสงบสุข อย่างที่กล่าวมาข้างต้น การพึ่งพาตัวเอง ได้เป็นเพียงส่วนเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเมื่อทุกคนสามารถดูแลตัวเอง และครอบครัวได้แล้ว ขั้นต่อไปอาจทำการพัฒนาธุรกิจ โดยมีการรวมกลุ่มกันในวิชาชีพเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และให้ความ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการรวมกลุ่มกันนั้น ไม่จำกัดเฉพาะการรวมกลุ่มของชาวบ้าน เกษตรกร ในรูปของ สหกรณ์ การทำงานในเมืองก็สามารถมีการรวมกลุ่มกันได้ เช่น การแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ในการทำธุรกิจ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน การแลกเปลี่ยนแนวคิดการลงทุน เพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ รวมไปจนถึงการ แบ่งปันความช่วยเหลือส่งกลับคืนสู่สังคม ไปสู่กลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ เช่น กิจกรรมจิตอาสา เพื่อสร้าง สังคมที่เข้มแข็งและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จะเห็นได้ว่า แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ด้วยการใช้ความรู้และ คุณธรรม เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตัวเองได้ และเผื่อแผ่ไปถึงสังคม ซึ่งเราสามารถนำหลักการปฏิบัติไปปรับใช้ได้ทั้งใน ชีวิตการทำงาน และการดำรงชีวิต


ความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิด จากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง อย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกใน คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางทั้ง ด้านวัตถุ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไป ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่ง บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า สังคมสีเขียว (Green Society) ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจ ชุมชนเมืองและชนบท ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกสิ่งนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญา นี้ไปใช้ทำอะไร กลายเป็นว่าผู้นำสังคมทุกคน ทั้งนักการเมืองและรัฐบาลใช้คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นข้ออ้างใน การทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าได้สนองพระราชดำรัสและให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกิจ พอเพียง ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อตัวเอง ซึ่งความไม่เข้าใจนี้อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับ ทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้ว กลับไป รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชิดชูสูงสุด จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัลThe Human Development Lifetime Achievement Award แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 26 พฤษภาคม2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญา


เศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นปรัชญาที่สามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวง กว้างขึ้นในที่สุด เป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ โดยที่องค์การสหประชาชาติได้ สนับสนุนให้ประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิก 166 ประเทศยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน หลักแนวคิด ของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนว ทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมา ประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลก เชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืน ของการพัฒนา คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้น การปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อม ๆ กันดังนี้ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่น เช่นการผลติ และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และ คุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ รอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้น ปฏิบัติ เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต


แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การ พัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ความสามารถใน การพึ่งตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสียงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือการ เปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยอาศัยความพอประมาณ และความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียร และความอดทน สติ และปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความสามัคคีเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่ โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักการ และแนวทางปฏิบัติ ของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่ แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการ พัฒนาการเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบัติ ที่เป็นรูปธรรม เฉพาะในพื้นที่ที่เหมาะสม ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐาน กับ แบบก้าวหน้า ขั้นที่1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ ต้องพึ่งน้ำฝน และประสบความเสี่ยงจากการที่ น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า มีที่ดินพอเพียงในการขุดบ่อเพื่อ แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว จากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำ จะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยัง ชีพในระดับหนึ่ง และใช้ที่ดินส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมี รายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับ ครอบครัว อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก ชุมชนราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสมความพอเพียงในระดับชุมชน และระดับองค์กรเป็น เศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ ขั้นที่2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ธุรกิจต่าง ๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ กล่าวคือ เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัว หรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียง ขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่ม และส่วนรวมบนพื้นฐานของ การไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามกำลังและความสามารถของตน ซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวม หรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริงความพอเพียงใน ระดับประเทศ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ ขั้นที่3 ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจ สร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย เป็นต้น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นประโยชน์ ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพัฒนา หรือ ร่วมมือกันพัฒนา ตาม แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่าง ๆ ที่ ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงกลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงที่เชื่อมโยงกันด้วยหลักไม่เบียดเบียน แบ่งปัน และ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในที่สุด ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป พออยู่พอใช้ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่น


เหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพ จะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล) พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด “การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมี เศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง” พระ ราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ


ใบความรู้ที่2 การวางแผนการประกอบอาชีพอย่างพอเพียง 1. ความพอเพียงตามแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง - ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนที่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึง สายกลางของชีวิต เพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฎีของการพัฒนาที่ยั่งยืน - จุดเด่น คือ แนวทางที่สมดุลโดยธรรมชาติสามารถก้าวทันสมัยสู่ความเป็นสากลได้โดยปราศจากการต่อต้าน กระแสโลกาภิวัฒน์ซึ่งคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพโดยอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง - ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงในประเทศและ เป็นที่มาของนิยาม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ซึ่งประกอบด้วย 1. ความพอประมาณ คือ ความพอดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น 2. ความมีเหตุผล คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดย พิจารณาจากเหตุผลปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่าง รอบคอบ 3. มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ โดย คำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งเป็น ชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สมดุล มั่นคง ยั่งยืน 2. การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ - การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในประเทศ ถูกบรรจุลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554 ) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคม ที่ยั่งยืนต่อไป - การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนผ่านทาง สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) มีหน้าที่คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทาง วิชาการด้านต่าง ๆจากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐแล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชนและยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยัง ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ - การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถนำไปใช้ได้กับสังคมโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวหรือชุมชนเท่านั้น ซึ่งก็คือเราสามารถนำวิธีการของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในระดับ บุคคลทั่วไป ก็คือ ความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตนตามฐานะโดย สามารถเลี้ยงตัวเองได้บนพื้นฐานของการประหยัด


3. การวางแผนการประกอบอาชีพแบบพอเพียง - กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง การที่ต้องการให้ทุกคนพยามยามที่จะหาความรู้และสร้าง ตนเองให้มั่นคงนี้ เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า มีความสุข พอมีพอกินเป็นชั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือ ให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วย ตัวเอง พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัวเอง ทำลายผู้อื่น พยายามลด พยายามละความชั่วที่ ตนเองมีอยู่ พยามยามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้นให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น - หลักสำคัญของความพอดี 5 ประการ 1. ความพอดีด้านจิตใจ: ต้องเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้มีจิตสำนึกที่ดีเอื้ออาทร นึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ความพอดีด้านสังคม: ต้องมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน รู้จักผนึกกำลัง และที่สำคัญมีกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากรากฐานที่มั่นคงและแข็งแรง 3. ความพอดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาด รอบคอบ เพื่อให้ เกิดความยั่งยืนสูงสุด 4. ความพอดีด้านเทคโนโลยี: รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับความต้องการ และควร พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้านก่อน 5. ความพอดีด้านเศรษฐกิจ : เพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ดำรงชีวิตอย่างพอควร พออยู่ พอมี สมควร ตามอัตตภาพและฐานะของตน - ทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิด ประโยชน์สูงสุด วิธีการแก้ก็คือ แบ่งพื้นที่การเกษตรออกเป็น ขั้นที่ 1 ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น สถานะพื้นฐานทางการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพของการผลิต เมื่อเข้าใจหลักการ และได้ลงมือปฏิบัติตามจนได้ผลแล้ว เกษตรกรก็จะพัฒนาตนเองจากขั้น พออยู่พอกิน ไปสู่ ขั้นพออันมีจะกิน ขั้นที่2 ทฤษฎีใหม่ขั้นกลาง จะเป็นการรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการใน ด้าน - ด้านการผลิต - ด้านการตลาด - ด้านความเป็นอยู่ - ด้านสวัสดิการ - ด้านการศึกษา - ด้านสังคมและศาสนา ขั้นที่3 ทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า เกษตรกรจะมีรายได้ ฐานะมั่นคง อาจพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นติดต่อ ประสานงานเพื่อจัดหาทุนหรือแหล่งทุน 4. เครือข่ายดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ในการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือ ความมีกินมีใช้ของ ประชาชนก่อนด้วยวิธีการที่ประหยัด ระมัดระวังแต่ถูกต้องตามหลักวิชา


ใบความรู้ที่ 3 การวางแผนการเรียนรู้ และการทำโครงงานการประกอบอาชีพ กระบวนการ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข เป็นบทสรุปของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง คือ สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้ 3 ห่วง คือ ทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้ ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดย ต้องไม่เบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่นให้เดือดร้อน ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่าง รอบคอบ ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล 2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ วิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ รอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังใน ขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรมประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มี ความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มี ความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ คือ หลักการดำเนินชีวิตที่จริงแท้ที่สุด กรอบแนวคิดของหลักปรัชญามุ่งเน้น ความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา อันมีคุณลักษณะที่สำคัญ คือ สามารถประยุกต์ใช้ในทุกระดับ ตลอดจน ให้ความสำคัญกับคำว่าความพอเพียง ที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยเงื่อนไขความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม” “หากทุกฝ่ายเข้าใจกรอบแนวคิด คุณลักษณะ คำนิยามของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแจ่มชัดแล้ว ก็จะง่าย ขึ้นในการนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ และจะนำไปสู่ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี


ใบความรู้ที่ 4 การสร้างเครือข่ายดำเนินชีวิตแบบพอเพียง การเผยแพร่แนวคิดการบริหารจัดการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง การดำเนินชีวิตแบบยึดทางสายกลาง ไม่เบียดเบียนตนเองผู้อื่นรวมทั้งสิ่งแวดล้อมต้องอยู่ด้วยกันอย่าง สมดุล ไม่ดำเนินชีวิตที่เกินพอดี เช่น เป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานไร่นาสวนผสม วนเกษตร เกษตร อินทรีย์ เกษตรชีวภาพ เกษตรกรรมธรรมชาติ ถ้าผลผลิตที่ได้จากการทำเกษตรมีมากทำให้ล้นตลาดราคาอาจ ตกต่ำ ก็ทำการแปรรูปผลผลิตนั้น ๆ การเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล/ครอบครัว โดยการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล/ครอบครัวจะเริ่มต้นจากการเสริมสร้างคนให้มีการ เรียนรู้ วิชาการและทักษะต่าง ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งเสริมสร้าง คุณธรรมจนมีความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของการอยูร่วมกันของคนในสังคม แลอยู่ร่วมกับระบบนิเวศวิทยา อย่างสมดุล การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตในระบบเศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล เป็นความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างไม่ เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างพอประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพและที่สำคัญ ไม่หลงใหลตามกรดะแสวัตถุ นิยม มีอิสรภาพในการประกอบอาชีพ เดินทางสายกลาง ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง และสามารถพึ่งพา ตนเองได้ ส่วนเศรษฐกิจพอเพียงระดับเกษตรกรเป็นเศรษฐกิจเพื่อการเกษตรที่เน้นการพึ่งพาตนเอง การเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชุมชน ชุมชนพอเพียง ประกอบด้วย บุคคล/ครอบครัวต่าง ๆ ที่มีความพอเพียงแล้ว คือมีความรู้และคุณธรรม เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตจนสามารถพึ่งตนเองได้ บุคคลเหล่านี้มารวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้อง เหมาะสมกับสถานภาพ ภูมิสังคมของแต่ละชุมชน โดยพยายามใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ผ่านการร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทำ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคคลหลายสถานภาพ ในสิ่งที่จะสร้าง ประโยชน์สุขของคนส่วนรวม และความก้าวหน้าของชุมชนอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยสติ ปัญญา ความสามารถของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เศรษฐกิจพอเพียงระดับชุมชน/กลุ่มหรือองค์กร เศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า จะเน้นที่ความพอเพียงในระดับชุมชน/กลุ่มหรือองค์กรเมื่อสมาชิกในแต่ ละครอบครัวหรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงในขั้นตอนพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะร่วมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกัน สร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการเบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตาม กำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงใน วิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง


ใบความรู้ที่ 5 กระบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะกระแสของโลกาภิวัตน์ และการ แข่งขันในระบบทุนนิยม ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากรอบด้าน และจึงต้องยืนหยัดอยู่ใน สังคมโลกให้ได้อย่างเข้มแข็ง และไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น ในกระบวนการการจัดทำแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) จึงได้มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการนำหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไปสู่ความสมดุลยั่งยืน และมี ภูมิคุ้มกันที่ดี " วารสารเศรษฐกิจและสังคมได้รับเกียรติจาก ดร.จิรายุ อิสรางกูร ณ อยุธยา ประธานอนุกรรมการการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงได้กรุณาอธิบาย ความหมาย หลักการและแนวคิดรวมไปถึงกระบวนการขับเคลื่อน เศรษฐกิจพอเพียงที่ผ่านมาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างขบวนการขับเคลื่อน เศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับภาคีการพัฒนาต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ ไทยยังขาดภูมิคุ้มกันในการรับมือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับการไหลเข้ามาของกระแสโลกาภิวัตน์ และโดยเนื้อแท้ ยังมี ความไม่พร้อมที่จะรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมออย่างดีพอ เห็น ได้จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤตเศราฐกิจ ปี 2540 ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังขาดความรู้เท่า ทันต่อการเปลี่ยนแปลง หลงระเริงไปกับสิ่งฉาบฉวย หรือกล่าวได้ว่า ยังขาดความภูมิคุ้มกันที่ดี การขาดความภูมิคุ้มกัน คือยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ และขาดความพอดีอยู่ ซึ่งหากขยายความออกไป อธิบาย ได้ว่า สังคมไทยยังขาดความพอดี ในเรื่องสำคัญรวม 5 ประการ คือ


ขาดความพอดีด้านจิตใจ : คนส่วนมากมีสภาวะจิตใจไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ขาดจิตสำนึกที่ ดีไม่มีความเอื้ออาทร ไม่รู้จักประนีประนอม นึกถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ขาดความพอดีด้านสังคม :ไม่ค่อยช่วยเหลือเกื้อกูลกันชุมชนขาดความเข้มแข็ง และที่สำคัญไม่มี กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากฐานรากที่มั่นคงและเข้มแข็ง ขาดความพอดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม : ยังใช้และจัดการอย่างขาดความรอบคอบ และที่ สำคัญใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ อย่างไม่เป็นขั้นตอน ขาดความพอดีด้านเทคโนโลยี: ยังไม้รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับความต้องการ และควร พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้านของเราเอง และสอดคล้องเป็นประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อม ขาดความพอดีด้านเศรษฐกิจ : ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย หรือเกินฐานะของตน เศรษฐกิจพอเพียง : ปรัชญาอันทรงค่าจากพ่อของปวงชนชาวไทย “เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระ ราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ ทางเศรษฐกิจขึ้น พระองค์ท่านได้ทรงเน้นย้ำว่าเป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อให้ประเทศรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งนี้ สศช. จึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ มาร่วมกันระดมความคิดและยกร่างคำนิยามของ เศรษฐกิจพอเพียงโดยประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง ซึ่งพระราชทานในวโรกาสต่างๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542 เพื่อเป็น แนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงได้อัญเชิญมาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 9 อีกด้วย โดยนิยามของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้แนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มี ความรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและ พร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี


“หากพิจารณาพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ที่ ผ่านมายิ่งทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากเพียงใด ทรงเชื่อมั่นว่า การจะ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ นั้น ประเทศไทยต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญานำทาง และน่ายินดี ที่ว่า หลังจากนั้นหลายหน่วยงานได้น้อมนำพระราชดำรัสข้างต้นไปยึดถือปฏิบัติ” เศรษฐกิจพอเพียงสามารถรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้จริงหรือ อย่างไรก็ตาม แม้หน่วยงานและประชาชนที่เริ่มตื่นตัว และต้องการจะนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ แต่ ส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่หลากหลายและไม่ชัดเจน ถึงความหมายและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาใช้ได้จริงมากน้อย เพียงใดตามมาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างเกิดสัมฤทธิผลกับทุกๆ ฝ่าย โดยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท ในการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลต่อการพัฒนานั้น ต้องเข้าใจ “กรอบแนวคิด” ว่าเป็น ปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของ สังคมไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจ คุณลักษณะว่าเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบน ทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน 3 ห่วง 2 เงื่อนไข : หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญที่สุด ทุกคนควรเข้าใจ “คำนิยาม” ว่าความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง และ 2 เงื่อนไข โดย 3 ห่วง คือ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดย พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล ส่วน 2 เงื่อนไข คือการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ประกอบไปด้วย - เงื่อนไขความรู้หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่ จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ - เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต


ใบความรู้ที่ 6 ทักษะและกระบวนการที่จำเป็นในการทำโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ แนวคิดของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญต่อผู้เรียน ในการเลือกเรียนสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ทั้งเนื้อหา วิธีการ โดยมีครูเป็นผู้คอยอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้ประสบความสำเร็จในการเรียน ทั้ง ในแง่ของความรู้ด้านวิชาการ และความรู้ที่ใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานในอนาคตเป็นผู้ที่มีความสมดุลทั้ง ด้านจิตใจ ร่างกาย ปัญญา อารมณ์ และสังคม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนเรื่องการจัดทำโครงงาน นั้น นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านการฝึกให้ผู้เรียนมีความรู้ความชำนาญและมีความมั่นใจในการนำเอาวิทยาศาสตร์ ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเองแล้วยังให้คุณค่าอื่นๆ คือ 1) รู้จักตอบปัญหาโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นคนที่หลงเชื่องมงายไร้เหตุผล 2) ได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจ ได้อย่างลึกซึ้งกว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 3) ทำให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงความสามารถพิเศษของตนเอง 4) ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้นๆ มากยิ่งขึ้น 5) ผู้เรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะสำคัญๆ ดังนี้ 1) สัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal skill) 2) การแก้ปัญหาและความขัดแย้ง (Conflict resolution) 3) ความสามารถในการถกเถียงเจรจาเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ (Consensus on decision)


4) เทคนิคการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีประสิทธิภาพ (Effective interpersonal Communication techniques) 5) การจัดการและการบริหารเวลา (Time management) 6) เตรียมผู้เรียนเพื่อจะออกไปทำงานร่วมกับผู้อื่น 6.1) ทักษะในแง่ความรู้เกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมจิตใจและควบคุมตนเอง (Discipline knowledge) 6.2) ทักษะเกี่ยวกับกระบวนการกลุ่ม (Group-processskill) 7) ช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้มากขึ้น มีมุมมองหลากหลาย(Multi perspective) อันจะนำไปสู่ ความสามารถทางสติปัญญา การรับรู้ ความเข้าใจ การจดจำ และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ยิ่งขึ้น 8) เพิ่มความสามารถในการเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น อันนำไปสู่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะ การสื่อสาร (Criticalthinking and Communication skill) (Freeman, 1995) 9) ช่วยสนับสนุนการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม จากการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential learning) (Kolb, 1984) 10) การเรียนแบบโครงงานช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (Cooperative learning)ในกลุ่มของ ผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนจะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในการเรียน โดยอาศัยกระบวนการ กลุ่ม(group dynamic)


แนวคิดสำคัญ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงหลักการพัฒนาการคิดแบบบลูม (Blom) ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนำไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) การประเมินค่า (Evaluation) และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ การ วางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงานโดยผู้สอนมี บทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้ แคทซ์และชาร์ด (Katz and Chard, 1994) กล่าวถึงการสอนแบบโครงงานว่า วิธีการสอนนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาผู้เรียนทั้งชีวิตและจิตใจ (Mind) ซึ่งชีวิตจิตใจในที่นี้หมายรวมถึง ความรู้ ทักษะ อารมณ์ จริยธรรมและความรู้สึกถึงสุนทรียศาสตร์ และได้เสนอว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การสอนแบบ โครงงานว่าควรมีเป้าหมายหลัก 5 ประการ คือ 1) เป้าหมายทางสติปัญญาและเป้าหมายทางจิตใจของผู้เรียน (Intellectual Goals and the Life of the Mind) คือการจัดการเรียนการสอนแบบเตรียมความพร้อม มุ่งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่าง หลากหลาย และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้เรียนควรจะได้เข้าใจประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบ ตัวอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเป้าหมายหลักของการเรียนระดับนี้ จึงเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจโลก ที่ อยู่รอบๆ ตัวเขา และปลูกฝังคุณลักษณะการอยากรู้อยากเรียนให้กับผู้เรียน 2) ความสมดุลของกิจกรรม (Balance of Activities) การสอนแบบโครงงานจะทำให้ผู้เรียน ได้ปฏิบัติ กิจกรรมที่เหมาะสมทั้งกิจกรรมทางวิชาการ ใช้กิจกรรมเป็นสื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำ กิจกรรมค้นหาความรู้ เป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รอบตัว 3) สถานศึกษาคือส่วนหนึ่งของชีวิต (School as Life) การเรียนการสอนในสถานศึกษาต้องเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตของผู้เรียนไม่ใช่แยกออกจากชีวิตประจำวันโดยทั่วไป กิจกรรมในสถานศึกษาจึงควรเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับการดำเนินชีวิตปกติ การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบๆ ตัวผู้เรียน 4) ศกร.เป็นชุมชนหนึ่งของผู้เรียน (Community Ethos in the Class) ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัวการ สอนแบบโครงงานเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อของเขา ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนี้จึงเกิดการแลกเปลี่ยน การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ผู้เรียนได้เรียนรู้ความ แตกต่างของตนกับเพื่อนๆ 5) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ท้าทายครู (Teaching as a Challenge) ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบโครงงาน ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน แต่เป็นผู้คอยกระตุ้น ชี้แนะ และให้ความสะดวกในการ เรียนรู้ของผู้เรียน โครงงานบางโครงงานครูเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับผู้เรียน ครูร่วมกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา ลงมือปฏิบัติ ไปด้วยกัน ถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน


ใบความรู้ที่ 7 ภาษาอังกฤษสำหรับอาชีพแม่บ้าน


Click to View FlipBook Version