The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ รามเกียรติ์ ป.6 สำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by supatra.chankoed, 2024-03-04 13:38:22

หนังสือ รามเกียรติ์ ป.6 สำหรับครู

หนังสือ รามเกียรติ์ ป.6 สำหรับครู

ชั้นประถมศึกษาปีที่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาภาษาไทย ชุด วรรณคดีลำนำ ตอน รามเกียรติ์ รวบรวมโดย สุพัตรา ศรีอุดม


ตอน รามเกียรติ์ ชื่อ ………………………………… นามสกุล ………………………………… เลขที่ ………………………………… ชั้น …………………………………….. โรงเรียน ……………………………………………………………………….. เบอร์โทร …………………………………………… ผู้สอน ……………………………………………….. ติดรูปภาพนักเรียน


ตอน ศึกไมยราพ ไมยราพเป็นพญายักษ์ที่ไปช่วยทศกัณฑ์รบกับพระราม พระลักษณ์ พระรามรู้ล่วงหน้าว่า ไมยราพจะมาจับตัวไปเมืองบาดาล หนุมานเนรมิตร่างกายให้ใหญ่เท่าเขาจักรวาลแล้วอมพลับพลาที่ ประทับของพระรามไว้ ไมยราพใช้อุบายหลอกทหารวานรแล้วใช้ยาเป่าสะกดให้ทหารของพระราม หลับใหล จากนั้นอุ้มพระรามออกจากปากหนุมานพาไปกักขังไว้ที่เมืองบาดาล หนุมานตามไปช่วยพระรามถึงเมืองบาดาล ต้องฝ่าด่านอันตรายมากมายจนไปพบกับมัจฉานุ ซึ่งเป็นยามรักษาด่านชั้นใน หนุมานแปลกใจที่เห็นมัจฉานุตัวเป็นลิงแต่มีหางเป็นปลา ทั้งสองต่อสู้กัน แต่ไม่สามารถเอาชนะกันได้ หนุมานจึงถามชื่อและบิดามารดา มัจฉานุสังเกตเห็นว่าหนุมานมี รูปลักษณะตรงตามที่มารดาบอกอีกทั้งมีความสามารถฝ่าด่านมาจนถึงชั้นในได้ จึงเล่าว่าตนชื่อมัจฉานุ มีแม่ชื่อนางสุพรรณมัจฉา พ่อคือหนุมานทหารของพระราม ไมยราพเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม หนุมาน แสดงตนว่าเป็นบิดาและหาวเป็นดาวเป็นเดือนเพื่อพิสูจน์ มัจฉานุจึงเชื่อว่าเป็นตัวจริง แต่ไม่กล้าบอก ทางไปที่ซ่อนของพระราม กลัวว่าจะเป็นการเนรคุณบิดาบุญธรรม จึงบอกใบ้เป็นปริศนาแก่หนุมาน หนุมานพบกับนางพิรากวนซึ่งกำลังโศกเศร้าเพราะไวยวิกลูกชายถูกไมยราพจับตัวไปและ กำลังจะฆ่าให้ตาย หนุมานรับปากพิรากวนจะช่วยไวยวิก แต่ทางเข้าไปยังที่ขังพระรามนั้นต้องผ่าน กำแพงยักษ์และจักรกรดซึ่งแม้แต่แมลงวันก็ไม่สามารถบินผ่านได้ หนุมานแปลงร่างเป็นใยบัวติดที่ สไบนางพิรากวน สามารถเข้าไปถึงที่คุมขังและช่วยพระรามออกจากเมืองยักษ์พามาไว้ที่เขาสุรกานต์ แล้วย้อนกลับไปเมืองบาดาลเพื่อฆ่าไมยราพ หนุมานและไมยราพไม่สามารถเอาชนะกันได้ ไมยราพออกอุบายให้ต่อสู้กันโดยใช้ตาล สามต้นมาพันกันเป็นกระบองแล้วผลัดกันนอนให้ตีคนละสามที ไมยราพขอเป็นฝ่ายตีก่อน แต่เมื่อ หนุมานแม้จะเสียชีวิต เมื่อลมพัดมาก็สามารถฟื้นคืนชีวิตได้เพราะเป็นลูกพระพาย ครั้นหนุมานเป็น ฝ่ายตีไมยราพก็สามารถฟื้นคืนชีวิตได้เช่นกัน หนุมานถามพิรากวนถึงเหตุที่ไมยราพไม่ตาย พิรากวนบอกว่าไมยราพได้ถอดหัวใจเป็น แมลงภู่ใส่กล่องมณีซ่อนไว้ที่ยอดเขาตรีกูฏ หนุมานแปลงร่างเป็นพระพรหมสี่หน้า แปดมือ เท้าซ้าย เหยียบอกไมยราพไว้เท้าขวาก้าวไปยังเขาตรีกูฏ มือหนึ่งง้างที่ยอดเขา มือหนึ่งจับตัวแมลงภู่ หัวใจของไมยราพแล้วขยี้จนละเอียด พร้อมกับตัดหัวไมยราพ ไมยราพเสียชีวิต หนุมานพาพระราม กลับถึงพลับพลาอย่างปลอดภัย ๑ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เรื่องย่อรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ


บัดนั้น มัจฉานุผู้ใจแกล้วกล้า ซึ่งอยู่ในสระคงคา เป็นด่านรักษาชั้นใน ราตรีเที่ยงคืนเคยเที่ยว ลดเลี้ยวกระเวนทางใหญ่ ก็สำแดงแผลงฤทธิเกรียงไกร ขึ้นไปจากท้องชลธาร มัจฉานุเป็นผู้มีใจกล้าหาญ และเก่งกล้า (ใจแกล้วกล้า) ทำหน้าที่รักษาบริเวณสระน้ำ (สระคงคา) ซึ่งเป็นด่านชั้นใน ทุก ๆ คืนต้องออกตระเวน ตรวจตรา (กระเวน) จึงแสดง (สำแดง) ฤทธิ์ขึ้นมาจากสระน้ำ (ชลธาร) ถึงที่ขอบสระก็หยุดอยู่ แลดูไปทั่วทุกสถาน เห็นวานรเผือกผู้อหังการ ล่วงด่านผ่านทางเข้ามา โกรธาขบฟันกระทืบบาท ทำอำนาจออกยืนขวางหน้า แล้วร้องประกาศด้วยวาจา เหวยอ้ายพาลาใจฉกรรจ์ ตัวเอ็งมานี้จะไปไหน ไม่กลัวชีวาจะอาสัญ องอาจล่วงด่านกุมภัณฑ์ กูจะหั่นให้ยับลงกับกร พอมาถึงขอบสระก็หยุดดูและตรวจตราทั่วบริเวณ มองเห็นลิงเผือกที่อวดเก่ง (อหังการ) ล่วงล้ำด่านเข้ามาก็โกรธ จึงขบฟัน กระทืบเท้าออกไปยืนขวางหน้าแล้วร้องประกาศว่า เหวยเจ้า ลิง (พาลา) เจ้าช่างใจห้าวหาญนัก (ใจฉกรรจ์) ตัวเอ็งมาถึงนี่จะไปไหนหรือไม่กลัวตาย (อาสัญ) หรืออย่างไรที่บังอาจล่วงล้ำเขตแดนของท่านกุมภัณฑ์ เดี๋ยวกูจะฆ่าให้ตายคามือ (หั่นให้ยับลง กับกร) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒ บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ


๓ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร เห็นลิงน้อยขึ้นจากสาคร อ้างอวดฤทธิรอนอหังการ์ จึ่งคิดว่าวานรนี้ เหตุใดมีหางเป็นมัจฉา รูปทรงองอาจประหลาดตา ถ้อยคำหยาบช้าทะนงใจ จึ่งร้องว่าเหวยอ้ายลิงเล็ก จะเจียมตัวว่าเด็กก็หาไม่ มึงอย่าขวางหน้ากูไว้ ถอยไปให้พ้นอ้ายสาธารณ์ หนุมานมองเห็นลิงน้อยขึ้นมาจากแม่น้ำ (สาคร) กล่าวแสดงตนว่ามีอำนาจ (อวดฤทธิรอน) คิดสงสัยว่าทำไมลิงตันนี้มีหางเป็นปลา (มัจฉา) ลักษณะท่าทางกล้าหาญดูมีอำนาจ กล้าใช้คำพูด วาจาไม่เหมาะสมและอวดดี (ทะนงใจ) จึงร้องไปว่าเหวยเจ้าลิงตัวเล็ก เจ้าช่างไม่เจียมตัวว่ายังเด็กนัก ทำอวดเก่งขวางหน้า ถอยไปให้พ้นเด็กพาล (สาธารณ์) บัดนั้น มัจฉานุฤทธิไกรใจหาญ ได้ฟังกริ้วโกรธคือไฟกาฬ ตบมือฉัดฉานแล้วตอบไป ถึงตัวกูน้อยเท่านี้ จะกลัวฤทธีเอ็งก็หาไม่ อย่าพักอาจองทะนงใจ ใครดีจะได้เห็นกัน ว่าแล้วสำแดงเดชา พสุธาบาดาลไหวหวั่น โลดโผนโจนรุกบุกบัน เข้าไล่โรมรันราวี พอมัจฉานุได้ฟังดังนั้นก็โกรธมากราวกับไฟบรรลัยกัลป์ (ไฟกาฬ) ตบมือเสียงดังฉาดฉาน แล้วร้องตอบกลับไปว่าถึงตนจะตัวเล็กแต่ก็อย่าคิดว่าตนกลัว อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง (อาจองทะนงใจ) ใครเก่งกว่าใครนั้นเราจะได้เห็นกัน ว่าแล้วทั้งสองก็แสดงฤทธิ์จู่โจมเข้าต่อสู้กัน (โรมรันราวี) จนพื้น โลก (พสุธา) และใต้พื้นดิน (บาดาล) สะเทือนหวั่นไหว


บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี ขุนกระบี่รับระปะทะกร เคล่าคล่องว่องไวทั้งสองข้าง ต่างคนต่างหาญชาญสมร ถ้อยทีถ้อยมีฤทธิรอน ต่อกรไม่ลดละกัน หนุมานผู้เชี่ยวชาญการรบ (ชาญชัยศรี) โกรธมาก (พิโรธดั่งอัคคี) เข้ารับมือต่อสู้กับ มัจฉานุ ซึ่งทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างแคล่วคล่อง (เคล่าคล่อง) ต่างฝ่ายต่างมีฤทธิ์ (ฤทธิรอน) และ เก่งกล้า และไม่ยอมแพ้กัน บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน ปล้ำปลุกคลุกคลีตีประจัญ พัลวันหลบหลีกไปในที ถีบกัดวัดเหวี่ยงอุตลุด ทะยานยุทธ์ไม่ท้อถอยหนี กอดรัดฟัดกันเป็นโกลี เปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีรอนราญ ฝ่ายมัจฉานุก็มีฤทธิ์และแข็งแรง เข้าปลุกปล้ำต่อสู้อย่างประชิดตัวตัว (ประจัญ) และ สามารถหลบหลีก ถีบ เหวี่ยง โจนทะยาน หรือเปลี่ยนท่าทีสู้กันอย่างอุตลุตวุ่นวาย โกลาหล (โกลี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔


๕ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ รับรุกบุกบันประจัญบาน เผ่นทะยานโถมถีบด้วยบาทา ถูกมัจฉานุซวนไป ฉวยรวบเท้าได้ทั้งซ้ายขวา ฟาดลงกับแผ่นศิลา ด้วยกำลังศักดาราวี ส่วนหนุมานลูกพระพายหรือเจ้าแห่งลม (วายุ) ก็สามารถตั้งรับและรุกคู่ต่อสู้แบบประชิดตัว (ประจัญบาน) ไม่แพ้กัน หนุมานโผนทะยานถีบด้วยเท้า มัจฉานุเซไป (ซวน) หนุมานจับ (ฉวย) เท้าทั้งสองข้างของมัจฉานุได้ก็ฟาดลงกับแผ่นหิน (ศิลา) อย่างสุดกำลัง บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี มิได้ชอกช้ำอินทรีย์ โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์ ผุดลุกขึ้นได้กระทืบบาท ทำอำนาจผาดเสียงดั่งฟ้าลั่น วิ่งผลุนหมุนเข้าบุกบัน โรมรันไม่คิดชีวา แต่ว่ามัจฉานุกลับไม่เป็นอะไร ร่างกาย (อินทรีย์) ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ โกรธมากราวกับ ไฟล้างโลก (อัคคีบรรลัยกัลป์) พอผุดลุกขึ้นได้ก็กระทืบเท้า แผดเสียงดังราวฟ้าผ่า (ดั่งฟ้าลั่น) วิ่งเข้าบุกสู้อย่างไม่คิดชีวิตและไม่กลัวตาย บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า โถมรับกลับกลอกไปมา หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี หนุมานนั้นมีชั้นเชิงการต่อสู้และเก่งกล้าอยู่แล้ว ก็ตั้งรับการต่อสู้โดยใช้กระบวนสู้รบ หลากหลายวิธี


รบพลางรำพึงคะนึงคิด สงสัยในจิตกระบี่ศรี เหตุใดวานรน้อยนี้ จึ่งล้างชีวีไม่บรรลัย ทรหดอดทนสามารถ องอาจต่อสู้ด้วยกูได้ คิดแล้วจึ่งร้องถามไป เหวยอ้ายลิงน้อยเท่าแมลงวัน เป็นไฉนมาอยู่รักษาด่าน ไมยราพขุนมารโมหันธ์ เชื้อชาติสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ นามนั้นชื่อใดวานร ในขณะทำการสู้รบหนุมานคิดสงสัยในใจ (คะนึงคิด) เหตุใดเจ้าลิง (กระบี่ศรี) ตัวนี้จึงฆ่า ไม่ตาย (ล้างชีวีไม่บรรลัย) อีกทั้งมีความทรหด อดทน เก่งกล้าสามารถสู้รบกับตนได้ จึงร้องถาม ว่าเจ้าลิงน้อยตัวเล็กเท่าแมลงวัน ทำไมเจ้าจึงมาอยู่รักษาด่านให้ไมยราพซึ่งเป็นยักษ์พาล (ขุนมาร โมหันธ์) เจ้าเป็นลูกหลานคา (เชื้อชาติสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์) และมีชื่อว่าอย่างไร บัดนั้น มัจฉานุกุมารชาญสมร ฟังความถามถึงนามกร พงศ์พันธุ์มารดรแลบิดร จึ่งคิดว่าวานรตัวนี้ ฤทธีองอาจแกล้วกล้า หักด่านผ่านทางลงมา ถึงมหานครบาดาล มัจฉานุเมื่อถูกถามชื่อและถามถึงบิดา มารดา ก็คิดว่าลิง (วานร) ตัวนี้มีฤทธิ์มาก (ฤทธี) กล้าหาญ เก่งกล้า สามารถผ่านด่านต่าง ๆ จนมาถึงเมือง (นคร) บาดาลได้ ต้องไม่ใช่ธรรมดา รูปกายก็คล้ายกับกู สองหูพรรณรายฉายฉาน ฤๅจะเป็นกุณฑลสุรกานต์ เหมือนมารดาสั่งความไว้ ครั้นว่าจะนิ่งเสียบัดนี้ จะแจ้งเหตุร้ายดีก็หาไม่ รูปร่างลักษณะก็คล้ายกับตน ที่หูทั้งสองข้างมีแสงเปล่งประกายระยิบระยับ หรือจะเป็น แสงจากตุ้มหู (กุณฑลสุรกานต์) ตามที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ถ้าตนจะนิ่งเสียไม่ตอบคำถามก็จะไม่รู้ว่า เป็นเรื่องร้ายหรือดี ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๖


๗ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป ตัวเรานี้ได้นามกร ชื่อมัจฉานุวัยวุฒิ บุตรนางมัจฉาดวงสมร สำรอกไว้ริมสาคร ไมยราพฤทธิรอนได้มา เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์ ให้อยู่ด่านขัณฑ์ยักษา บิตุเรศของเราผู้ศักดา ชื่อว่าคำแหงหนุมาน ตัวท่านนี้เป็นวานร นามกรชื่อไรจึ่งอาจหาญ ล่วงมาถึงมือพระกาฬ ไม่กลัววายปราณฤๅอย่างไร จึงร้องตอบไปว่าตนชื่อมัจฉานุเป็นบุตรของนางมัจฉา (สุวรรณมัจฉา) มารดาได้สำรอกตนไว้ ที่ริมแม่น้ำ (สาคร) ไมยราพได้เลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม และให้คอยรักษาด่านเข้าสู่เมืองยักษ์ (ขัณฑ์ ยักษา) ส่วนบิดา (บิตุเรศ) ของตนชื่อคำแหงหนุมาน ตัวท่านเป็นลิง (วานร) มีชื่อว่าอย่างไร เหตุใด จึงกล้าหาญฝ่าด่านมาถึงที่นี้ไม่กลัวตาย (วายปราณ) หรืออย่างไร บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ ฟังความจะแจ้งไม่แคลงใจ ยินดีดั่งได้ฟากฟ้า พินิจพิศดูดวงพักตร์ แสนรักพูนเพิ่มเสน่หา ตบมือสำรวจไปมา อนิจจาเป็นได้ถึงเพียงนี้ เมื่อหนุมานได้ฟังมัจฉานุพูดดังนั้นก็รู้ความจริงและเข้าใจเรื่องราวโดยไม่สงสัย (แคลงใจ) รู้สึกดีใจมากยิ่งเมื่อเพ่งพิจารณา (พินิจ) ดูหน้าของมัจฉานุ (ดวงพักตร์) อย่างใกล้ชิด ก็ยิ่งใคร่เอ็นดู มากขึ้น (เพิ่มพูนเสน่หา) จึงปรบมือพัวเราะร่วน (สำรวจ) เสียงดังว่าเรื่องราวไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้


จึ่งว่าดูกรมัจฉานุ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี เจ้าอย่าโกรธราวี เรานี้คือศรีหนุมาน บุญแล้วจึ่งฆ่ากันไม่ตาย สายสวาทพ่อยอดสงสาร ทั้งเทเวศผู้ปรีชาชาญ บันดาลให้มาพบกัน พลางกล่าวว่ามัจฉานุผู้เป็นดุจดวงตา (ดวงจักษุ) ของพ่อ อย่าโกรธและต่อสู้กันต่อไปเลย เรานี้คือหนุมาน เป็นบุญเหลือเกินยังไม่มีใครถูกฆ่าตายเสียก่อน ลูกรักของพ่อ (สายสวาท) เทวดา (เทเวศ) ท่านคงช่วยให้ (บันดาล) เราพ่อลูกได้มาพบกัน บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน ฟังลูกพระพายเทวัญ ขบฟันชี้หน้าแล้วร้องไป เหม่เหม่ดูดู๋กระบี่ศรี มุสาพาทีก็เป็นได้ ถ้อยคำหยาบช้าไม่เกรงใจ ใครจักเชื่อฟังวานร แม้นหาวเป็นดาวเดือนตะวัน ให้เห็นสำคัญประจักษ์ก่อน เราจึ่งจะเชื่อว่าบิดร ทหารพระสี่กรอวตาร มัจฉานุเมื่อได้ฟังก็ยังใจแข็งกัดฟันพูด (ขบฟัน) ตอบไปพร้อมกับชี้หน้าว่า ดูรึเจ้าลิง ช่างพูดจาโกหกหลอกลวง (มุสา) อย่างหน้าไม่อาย ใครจะไปเชื่อ แต่ถ้าสามารถหาวเป็นดาว เป็นเดือนให้ดูได้ (ประจักษ์) ตนจึงจะเชื่อว่าเป็นบิดา ทหารเอกของพระราม (พระสี่กรอวตาร) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๘


๙ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาชาญ ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานกินแหนงแคลงใจ รับขวัญแล้วกล่าวพจนารถ สุดสวาทของพ่ออย่าสงสัย ว่าพลางก็เหาะขึ้นไป อยู่ในอากาศด้วยฤทธา เมื่อหนุมานได้ฟังมัจฉานุกล่าว (ว่าขาน) ว่ายังมีข้อสงสัย (กินแหนงแคลงใจ) จึงกล่าวด้วย ถ้อยคำไพเราะ (พจนารถ) ว่าลูกรักของพ่อ (สุดสวาท) เจ้าอย่าได้สงสัยเลย พ่อจะพิสูจน์ให้ลูก หายสงสัย ว่าแล้วก็แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศ หาวเป็นดาวเดือนทินกร เขจรสว่างเวหา เสร็จแล้วก็กลับลงมา ยังพื้นพสุธาทันที หนุมานเหาะไป (เขจร) แล้วหาวออกมาเป็นดวงดาวระยิบระยับ เป็นพระจันทร์ (เดือน) เป็นพระอาทิตย์ (ทินกร) ส่องแสงสว่างเต็มท้องฟ้า แล้วเหาะกลับลงมายังพื้นดิน (พสุธา) บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี เห็นประจักษ์เหมือนคำชนนี ยินดีก็วิ่งเข้าไป ยอกรขึ้นเหนือศิโรเพฐน์ น้อมเกศบังคมประณมไหว้ ตัวลูกไม่แจ้งประจักษ์ใจ จึ่งชิงชัยกับพระบิดา อันโทษนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกรักจักขอโทษา อย่าให้เป็นกรรมเวรา แก่ข้าน้อยนี้สืบไป มัจฉานุได้รู้ได้เห็นกับตาว่าทุกอย่างเป็นไปตรงตามที่มารดาเล่าไว้ก็ดีใจมาก วิ่งเข้าไปหา หนุมานแล้วประนมมือ (ยอกร) ขึ้นวางบนศีรษะ (ศิโรเพฐน์) แล้วก้มลงกราบ (บังคมประณมไหว้) หนุมานพร้อมกล่าวว่าลูกนั้นไม่รู้ (แจ้งประจักษ์) จึงได้สู้รบล่วงเกินบิดา ความผิดครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ลูกกราบขออภัยบิดา ขออย่าให้เป็นเวรเป็นกรรมแก่ลูกต่อไปเลย


บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ สวมสอดกอดลูกเข้าไว้ ลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์ รับขวัญจุมพิตแล้วพิศพักตร์ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี ซึ่งเจ้าต่อยุทธ์บิดานี้ เพราะมิได้รู้จักกัน ถ้อยทีถ้อยรักษาตัว ด้วยกลัวชีวาจะอาสัญ อันซึ่งผิดพลั้งทั้งนั้น ไม่ถือโทษทัณฑ์แก่ลูกรัก หนุมานตรงเข้าสวมกอดมัจฉานุแลพกอดจูบลูบไล้ไปทั่วร่างกาย แล้วบอกลูกว่าลูกรัก การที่ลูกต่อสู้กับพ่อ (ต่อยุทธ์บิดา) เพราะเราไม่รู้จักกัน ต่างก็ต่อสู้ป้องกันชีวิตตนเอง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (ผิดพลั้งทั้งนั้น) พ่อไม่คิดโทษว่าลูกผิด พ่อจักอยู่ช้าก็ไม่ได้ จะรีบไปตามองค์พระทรงจักร สังหารไมยราพขุนยักษ์ ซึ่งมันไปลักพระองค์มา ตัวเจ้าค่อยอยู่เป็นสุขก่อน อย่าอาวรณ์เศร้าโทมนัสา อันทางบาดาลนครา แก้วตาจงบอกให้พ่อไป แต่พ่อจะอยู่ช้าไม่ได้ เพราะพ่อต้องไปตามช่วยพระราม (พระทรงจักร-พระนารายณ์ มีจักรเป็นอาวุธ) และฆ่าไมยราพที่บังอาจไปลักพระองค์มา ขอให้ลูกอยู่เป็นสุขทางนี้ อย่ามัว เศร้าเสียใจ (โทมนัสา) แต่จงบอกทางไปเมืองบาดาลแก่พ่อเถิด บัดนั้น มัจฉานุผู้มีอัชฌาสัย ได้ฟังอัดอั้นตันใจ บังคมไหว้แล้วตอบวาที ข้อนี้ขัดสนเป็นพ้นคิด พระบิดาจงโปรดเกศี ด้วยพญาไมยราพอสุรี ได้เลี้ยงลูกนี้จนใหญ่มา มัจฉานุรู้สึกอึดอัดใจมาก (อัดอั้นตันใจ) ก้มกราบพระบิดาแล้วตอบว่า (ตอบวาที) การที่จะให้ลูกบอกทางไปเมืองบาดาลนั้นลูกบอกไม่ได้ ขอพระบิดาจงโปรดเห็นใจ เพราะถึง อย่างไรไมยราพ (พญาไมยราพอสุรี) ก็ได้เลี้ยงดูตนมา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๐


๑๑ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ พระคุณดั่งคุณบิตุเรศ ซึ่งบังเกิดเกศเกศา อันซึ่งจะบอกมรคา ดั่งข้าไม่มีกตัญญู บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจพิศดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ พระคุณท่านเทียบเท่าบิดาผู้ให้กำเนิด (ซึ่งบังเกิดเกษเกศา) ถ้าลูกบอกทาง (มรคา) แก่บิดา ก็เหมือนว่าลูกนี้อกตัญญู พระบิดามาทางไหน ทางนั้นก็มีที่ไป ขอพระบิดาคิดพิจารณาดูเองเถิด บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานหลีกเลี่ยงเป็นคำนัย ขุนกระบี่ผู้มีกำลังฤทธิ์ นิ่งคิดก็คิดขึ้นได้ จึ่งหักก้านบุษบงด้วยว่องไว ลอดไปตามไส้ปทุมา หนุมานได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจว่ามัจฉาบอกใบ้ให้ (เป็นคำนัย) จึงนิ่งคิดแล้วนึกได้ โดยหัก ก้านบัว (บุษบง) แล้วสำแดงฤทธิ์เล็ดลอดไปตามไส้ของก้านบัว (ไส้ปทุมา)


ครั้นถึงซึ่งสระชลธาร ใกล้ทวารนิเวศของยักษา เห็นหมู่อสุรโยธา ตรวจตรารอบราชธานี จึ่งหยุดยืนรำพึงคะนึงคิด จะตรงไปต่อฤทธิ์ด้วยยักษี ไหนจะรู้ข่าวพระจักรี ว่าอยู่ที่แห่งหนตำบลใด จำกูจะทำอุบายกล แอบตนฟังความให้จงได้ คิดพลางยืนอยู่แต่ไกล สำรวมใจกำบังกายา จนมาโผล่ที่สระน้ำ (สระชลธาร) ใกล้ประตูเมือง (ทวารนิเวศ) ของเหล่ายักษ์ แลไปโดยรอบเห็นทหารยักษ์ (อสุรโยธา) เดินตรวจตราอยู่รอบเมือง จึงหยุดคิดว่าถ้าจะตรง เข้าไปต่อสู้กับพวกยักษ์ก็คงไม่รู้ว่าพระรามถูกจับไปไว้ที่ใด จำเป็นต้องหาวิธี (อุบายกล) แอบฟังให้รู้เรื่องราวเสียก่อน แล้วเข้าแอบต้นโศกอยู่ คอยฟังคำหมู่ยักษา เข้าออกบอกกันจำนรรจา ริมท่าสระโบกขรณี หนุมานแอบอยู่ที่ต้นโศก เฝ้าแอบฟังทหารยักษ์ที่เดินไปมาบริเว ณสระบัว (สระโบกขรณี) สนทนากัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๒


๑๓ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เมื่อนั้น ฝ่ายนางพิรากวนยักษี ต้องจำลำบากพันทวี กับด้วยอสุรีลูกรัก อยู่ในเรือนตรุกันดาร แสนทุกข์ทรมานเพียงอกหัก ไมยราพอสุราพญายักษ์ ใช้ให้ไปตักคงคา ใส่กระทะจะต้มลูกชาย ให้ตายด้วยพระรามนาถา ก็กระเดียดกระออมเดินมา ออกจากทวาราธานี กล่าวถึงนางยักษ์ตนหนึ่งชื่อ พิรากวน นางกำลังได้รับความทุกข์แสนสาหัส (พันทวี) เพราะ บุตรชายของนางถูกจับไปกักขังทรมาน (ตรุกันดาร) ไมยราพสั่งให้นางไปตักน้ำจากแม่น้ำ (คงคา) มาใส่กระทะ เพื่อจะต้มบุตรชายของนางให้ตายพร้อมกับพระราม นางพิรากวนนำกระออมเอาไว้ ข้างสะเอว (กระเดียดกระออม) เดินทางออกจากประตูเมือง (ทวาราธานี) ตรงไปยังสระบัว ครั้นถึงที่สระบุษบง นั่งลงริมท่าวารีศรี คิดถึงลูกรักร่วมชีวี ตีทรวงเข้าร่ำโศกา โอ้ว่าไวยวิกของแม่เอ๋ย ทรามเชยผู้ยอดเสน่าหา เสียแรงบำรุงเลี้ยงมา จนชันษาจำเริญวัย ควรฤๅไมยราพขุนมาร คิดการพาลผิดก็เป็นได้ โทษกรณ์ไม่มีเท่ายองใย ใส่ไคล้จะล้างชีวัน เมื่อมาถึงสระบัว นางพิรากวนนั่งลงริมสระเพื่อจะตักน้ำ แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายขึ้นมา นางก็ได้ แต่ตีอก (ตีทรวง) ร้องไห้คร่ำครวญรำพัน (ร่ำโศกา) ว่าไวยวิกลูกสุดที่รักของแม่ (ผู้ยอดเสน่าหา) เสียดายที่แม่อุตส่าห์เลี้ยงลูกมาจนเติบโต สมควรแล้วหรือที่จะต้องมาถูกไมยราพยักษ์พาลคิดกลั่น แกล้งให้ร้าย (ใส่ไคล้) ทั้ง ๆ ที่ความผิด (โทษกรณ์) น้อยนิด (เท่ายองใย) ก็ไม่มี แต่ต้องถูกใส่ร้าย ถึงกับจะฆ่าให้ตาย (ล้างชีวัน)


อนิจจาสงสารตัวเจ้า รุ่งเช้าก็จะม้วยอาสัญ กับองค์พระรามด้วยกัน ใครจะช่วยได้นั้นก็ไม่มี สุดที่แม่แล้วนะแก้วตา ซึ่งจะพ้นอาญายักษี แม้นเจ้าสิ้นชีพชีวี แม่นี้ไม่อยู่จะสู้ตาย แม่สงสารลูกเหลือเกิน พรุ่งนี้เช้าแล้วสินะที่ลูกของแม่กับพระรามต้องตาย (ม้วยอาสัญ) ไปพร้อมกัน แม่มองไม่เห็นเลยว่าจะมีใครมาช่วยลูกได้ แม่จนปัญญาแล้วที่จะช่วยให้ลูกพ้นจาก โทษความตาย (พ้นอาญา) ครั้งนี้ได้ หากแม้นลูกตาย (สิ้นชีพชีวี) แม่นี้ก็ไม่ขออยู่มีชีวิตต่อไป ก้มหน้าไปตามทรามสวาท ให้ประจักษ์โลกธาตุทั้งหลาย ถึงอยู่ไปจะทรมานกาย จะฟูมฟายชลเนตรทุกเวลา พรุ่งนี้ก็จะจากอกไป ที่ไหนแม่จะได้เห็นหน้า ร่ำพลางแสนโศกโศกา ดั่งว่าจะสิ้นชีวัน แม่ขอตายตามลูก (ทรามสวาท) เพื่อให้โลกรับรู้ (ประจักษ์โลกธาตุ) เพราะอยู่ไปก็แสน ทรมานกาย เพราะแม่คงหลั่งน้ำตาร้องไห้ (ฟูมฟายชลเนตร) คิดถึงลูกตลอดเวลา พรุ่งนี้ลูกจะ จากแม่ไปแล้ว (จากอกไป) แม่คงไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกแล้ว นางพิรากวนเฝ้าร่ำไห้คร่ำครวญด้วย ความโศกเศร้าเจียนจะสิ้นใจ บัดนั้น ฝ่ายลูกพระพายรังสรรค์ เห็นนางโศกาจาบัลล์ รำพันออกนามพระรามา ว่ารุ่งเช้าชีวิตจะวายปราณ กับไวยวิกขุนมารยักษา จึ่งคลายพระเวทกำบังตา เดินเข้าไปหาทันใด หนุมาน (ลูกพระพาย) ซึ่งกำบังตนอยู่เห็นนางพิรากวนคร่ำครวญรำพันว่า รุ่งเช้า พระรามจะต้องตายพร้อมกับไวยวิกจึงคลายเวทมนตร์ แล้วเดินเข้าไปหา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๔


๑๕ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ นั่งลงแล้วกล่าววาที ยายอย่าโศกีละห้อยไห้ เราเป็นทหารพระภูวไนย ผู้ใดไม่รอต่อกร ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ มาตามพระองค์ทรงศร ด้วยอ้ายไมยราพฤทธิรอน มันพาภูธรลงมา ไม่รู้ว่าอยู่ตำบลใด จนใจที่จะเสาะแสวงหา จงพาเราไปในพารา จะฆ่ามันให้ม้วยชีวี จะช่วยไวยวิกให้พ้นตาย ตัวยายก็จะสุขเกษมศรี เป็นเจ้าแก่หมู่อสุรี ในที่นคราบาดาล แล้วกล่าวกับนางว่า ยายอย่าโศกเศร้าไปเลย ตนเป็นทหารของพระรามที่เก่งกล้าไม่มีใคร สู้ได้ (ผู้ใดไม่รอต่อกร) ชื่อว่าหนุมาน มาตามช่วยพระราม (พระองค์ทรงศร) เพราะไมยราพไปลัก พาตัวพระรามมา (พาภูธรลงมา) ซึ่งตอนนี้เรากำลังตามหาไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ถ้ายายช่วยพาเราเข้าไป ในเมือง (พารา) เราจะฆ่าพวกมันให้ตาย (ม้วยชีวี) และช่วยชีวิตไวยวิก ตัวยายก็จะได้มีความสุข ในเมืองบาดาลตลอดไป เมื่อนั้น พิรากวนผู้ยอดสงสาร ได้ฟังคำแหงหนุมาน นงคราญค่อยคลายจาบัลย์ มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์ จึ่งว่าไมยราพชาญฉกรรจ์ มันเอาพระองค์ไปไว้ ดงตาลท้ายเมืองอสุรี อยู่ที่ในกรงเหล็กใหญ่ อสุรารักษาทั้งนอกใน ซึ่งจะพาเข้าไปนั้นยากนัก นางพิรากวนผู้น่าสงสาร เมื่อได้ฟังหนุมานพูด นางก็คลายจากการร่ำไห้ (จาบัลย์) นางดีใจ ยิ่งนัก (ดั่งได้สมบัติในสวรรค์) รีบบอกไปว่าไมยราพได้นำพระรามไปขังไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาล ท้ายเมือง มีทหารรักษาทั้งด้านนอกและด้านใน การที่จะเข้าไปนั้นยากมาก


ด้วยว่ากุมภัณฑ์นายประตู ชั่งดูมิให้เบาหนัก ถึงจะเหาะข้ามกำแพงยักษ์ ก็จะต้องจักกรดมรณา มาตรแม้นจะแปลงเป็นแมลงวัน อย่าสำคัญจะพ้นยักษา ขุนกระบี่ผู้มีปรีชา ตรึกตราอย่าให้เสียการ เพราะทหารของกุมภัณฑ์ที่เฝ้าประตู (กุมภัณฑ์นายประตู) จะชั่งน้ำหนักคนเข้าออกไม่ให้ ผิดปกติ ถ้าจะเหาะข้ามกำแพงก็จะต้องถูกจักรกรดตาย แม้จะแปลงร่างเป็นแมลงวันก็ไม่รอดพ้น ไปได้ ขอตัวท่านผู้ฉลาดรอบรู้จงคิดหาวิธีให้สำเร็จเถิด บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ ฟังพิรากวนนางมาร บอกขานจะแจ้งไม่แคลงใจ จึ่งว่าเพียงนี้ไม่ยากนัก ตัวข้าพอจักคิดได้ จะแปลงเป็นใยบัวติดสไบ เข้าไปมิให้สงกา แม้นว่าชั่งหนักจะหักลง จงเอาสำนวนนี้ว่า คันชั่งอยู่ครั้งบุราณมา เก่าแก่คร่ำคร่าช้านาน ข้ามิได้พาผู้ใด มาในพาราราชฐาน จงดูเอาเถิดนะขุนมาร อย่าแสร้งมาพาลพาที หนุมานได้ฟังนางพิรากวนบอกจนเข้าใจเรื่องราว จึงบอกว่าเรื่องนี้คงไม่ยาก ตนจะแปลง ร่างเป็นใยบัวติดสไบนางเข้าไป ไม่ให้เป็นที่สงสัย (สงกา) หากขึ้นชั่งแล้วเครื่องชั่งหักลง ก็ให้นาง พูดว่า คันชั่งนั้นมีมาแต่โบราณ (บุราณ) จนเก่าแก่ (คร่ำคร่า) เพราะใช้งานมานานมาก นางไม่ได้ พาใครเข้ามา ขอให้ตรวจดู และอย่าพูดจาหาความกัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๖


๑๗ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี ได้ฟังทหารพระจักรี ยินดีแล้วตอบวาจา อันความคิดนี้ประเสริฐนัก เราจักตอบตามท่านว่า จงเร่งนิมิตกายา ตัวข้าจะพาบทจร นางพิรากวนได้ฟังหนุมาน (ทหารพระจักรี) แนะนำดังนั้นว่าเป็นความคิดที่ดี ก็ยินดีปฏิบัติตาม และเร่งให้หนุมานแปลงร่าง (นิมิตกายา) โดยเร็ว แล้วนางจะพาไป บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร ประนมหัตถ์ร่ายเวทฤทธิรอน สังวรใจนิมิตอินทรีย์ เป็นใยบัวติดสไบนาง นางพิรากวนยักษี ด้วยเดชพระมนต์อันฤทธี อสุรีไม่เห็นกายา เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา เอากระออมนั้นตักคงคา ขึ้นมากระเดียดเดินไป หนุมานประนมมือร่ายเวทมนตร์ (ร่ายเวทฤทธิรอน) สำรวมใจตั้งจิตอธิษฐาน (สังวรใจ) แปลงร่าง (นิมิตอินทรีย์) เป็นใยบัวติดที่สไบ ทำให้ยักษ์ไม่เห็นร่างของหนุมาน นางพิรากวนเอา กระออมตักน้ำแล้วกระเดียดเดินไป


บัดนั้น อสุรยักษ์รักษาทวารใหญ่ เห็นนางพิรากวนอรไท ไปตักซึ่งชลธีมา จึ่งเอากระออมกับตัวนาง วางเหนือตราชูยักษา ชั่งดูกับลูกศิลา ที่เคยตรวจตราทุกที ยักษ์ผู้รักษาประตูเมืองเห็นนางพิรากวนที่ตักน้ำมา ก็นำนางพร้อมกะออมวางบนตาชั่ง (ตราชู) เปรียบกับลูกตุ้มหิน (ศิลา) เหมือนที่เคยปฏิบัติทุกครั้ง ครั้นตราชูยนต์หนักนัก ก็ลั่นเดาะหักลงกับที่ กระออมแตกยับไม่สมประดี อสุรีเข้าจับวุ่นไป แล้วตั้งกระทู้ขู่ถาม นางนี้ทำความเป็นไฉน พาใครเข้ามาฤๅว่าอย่างไร จงบอกไปแต่โดยสัจจา ตาชั่งเมื่อทานน้ำหนักมากไม่ได้ก็หักลงทันที กระออมน้ำแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี (ไม่สมประดี) เสนายักษ์รีบตรงเข้าจับตัวนางพิรากวน แล้วนำมาสอบสวน (ตั้งกระทู้ขู่ถาม) ว่าพาใครเข้ามาด้วยให้รีบบอกความจริง (สัจจา) เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา ขึ้นเสียงเถียงตอบอสุรา เหตุใดมาว่าดังนี้ เรามาผู้เดียวก็เห็นอยู่ เมื่อตราชูยนต์ของยักษี คร่ำคร่ามานานว่าแสนปี ไม่ดีหักเองจะโทษใคร อนิจจาเห็นว่ากูตกยาก น้ำท่วมปากแล้วก็ว่าได้ จะทำกระไรก็ตามใจ ไม่อาลัยแก่ชีพชีวัน นางพิรากวนขึ้นเสียงตอบเสนายักษ์ทันทีว่าก็เห็นอยู่ว่านางมาคนเดียว แต่ตาชั่งนั้นเก่าแก่ ใช้งานมานานกว่าแสนปีจึงหักลงเองจะโทษใคร หรือเห็นว่าขณะนี้ตนตกยากจะพูดอย่างไรก็คง ไม่มีใครเชื่อ (น้ำท่วมปาก) จึงกล่าวหาอย่างไรก็ได้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๘


๑๙ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น นายประตูหมู่มารตัวขยัน ฟังนางว่าขึงดึงดัน ไม่ทันรู้กลมารยา ต่างคนต่างเห็นเป็นจริง ทุกสิ่งมิได้กังขา แต่เหลียวดูหน้ากันไปมา ไม่ตอบวาจาเทวี เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี เถียงพลางทางรีบจรลี เข้ามายังที่ทวารชัย นายประตูเห็นว่านางพูดจาแข็งขัน ไม่รู้ว่าเป็นเล่ห์กล ทุกคนต่างเชื่อว่าเป็นความจริง ไม่สงสัย มองหน้ากันไปมาและไม่ได้พูดอะไรกับนางอีก นางพิรากวนพูดพลางเถียงพลาง แล้วรีบเดิน (จรลี) เข้าประตูเมือง (ทวารชัย) ครั้นถึงซึ่งหน้าพระลาน ชี้บอกหนุมานทหารใหญ่ อันพญาไมยราพฤทธิไกร หลับอยู่ในที่ไสยา แต่ตัวไวยวิกกุมภัณฑ์ ใส่ตรุจำมั่นอยู่ข้างหน้า นั่นดงตาลท้ายพารา ซึ่งยักษามันไว้พระจักรี เมื่อมาถึงหน้าพระลานก็ชี้บอกหนุมานว่านี่คือที่อยู่ของไมยราพ (หลับอยู่ในที่ไสยา) ส่วนไวยวิกถูกจับขังไว้ (ใส่ตรุ) ที่ดงตาลท้ายเมืองที่เดียวกับพระราม


บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรชัยศรี ยอกรเหนือเกล้าเมาลี ขุนกระบี่ร่ายเวทกำบังกาย เดชะด้วยวิทยามนตร์ ทั้งตนแลเงาก็สูญหาย รีบไปตามองค์พระรานายณ์ ยังท้ายพารากุมภัณฑ์ หนุมานยกมือประนมเหนือศีรษะ (ยอกรเหนือเกล้าเมาลี) ร่ายเวทมนตร์กำบังกาย ทั้งร่างทั้งเงาก็เลือนหาย เพื่อออกตามหาพระราม (องค์พระรานายณ์) ยังที่คุมขังท้ายเมือง ครั้นมาถึงที่ดงตาล เห็นหมู่มารรักษากวดขัน นั่งนอนล้อมวงหลายชั้น ผลัดกันกั้นตระเวนตรวจตรา ขุนกระบี่ผู้มีฤทธิรอน ยอกรเหนือเกล้าเกศา จึ่งร่ายพระเวทวิทยา สะกดนิทราหมู่มาร เมื่อไปถึงดงตาลเห็นหมู่ทหารรักษาดูแลอย่างเข้มงวด บ้างนั่งบ้างนอนผลัดเปลี่ยนกัน ตรวจตรา หนุมานจึงร่ายเวทมนตร์สะกดให้เหล่าเสนายักษ์หลับใหล (สะกดนิทรา) เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน มืดมนทั่วทิศาศาน เยือกเย็นไปทั้งบาดาล ปานดั่งฤดูเหมันต์ เกิดเสียงดังสั่นสะเทือนในท้องฟ้า (โพยมหน) มืดมิดไปทุกทิศ (ทิศาศาน) อากาศ หนาวเย็นเหมือนเป็นฤดูหนาว (เหมันต์) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒๐


๒๑ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น ฝ่ายพวกอสุราพลขันธ์ ต้องเวทหนุมานชาญฉกรรจ์ ให้บันดาลมัวตามัวใจ ล้มหลับทับกันทั้งไพร่นาย จะเกริ่นกรายตรวจตราก็หาไม่ บ้างกรนบ้างครางวุ่นไป ไม่เป็นสติสมประดี เหล่าเสนายักษ์ (อสุราพลขันธ์) ถูกเวทมนตร์ของหนุมาน ทำให้เคลิบเคลิ้ม (มัวตามัวใจ) หลับใหลกันทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ไม่มีใครออกตรวจตรา บางคนกรน บางคนคราง สิ้นสติไม่รู้สึกตัว (สติสมประดี) บัดนั้น ลูกพระพายผู้ชาญชัยศรี ครั้นเสร็จสะกดอสุรี ขุนกระบี่ก็เดินเข้าไป จึ่งเห็นสมเด็จพระหริวงศ์ หลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่ กราบลงแทบบาทภูวไนย ซบพักตร์ร่ำไห้โศกา เมื่อหนุมานสะกดให้เสนายักษ์หลับใหลแล้วก็เดินตรงเข้าไปที่กรงเหล็กใหญ่ แลเห็นพระราม (สมเด็จพระหริวงศ์) หลับอยู่ ก็ตรงเข้าไปกราบแทบพระบาท (บาทภูวไนย) ซบหน้า (พักตร์) ร่ำไห้ ด้วยความโศกเศร้า


โอ้ว่าพระจอมมงกุฎเกศ ลือเดชทั่วทศทิศา เป็นที่พึ่งมนุษย์เทวา ควรฤๅมานอนอยู่ในกรง อนิจจาเป็นน่าอนาถจิต พระกายติดไปด้วยธุลีผง ไร้ทั้งภูษาผทมทรง ใบไม้จะรององค์ก็ไม่มี รำพึงรำพันว่าพระราม (พระจอมมงกุฎเกศ) เป็นถึงกษัตริย์ที่มีบุญญาบารมี (ลือเดช) แผ่ไปทั่วทั้งสิบทิศ (ทศทิศา) เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทวดา (เทวา) สมควรแล้วหรือ (ควรฤๅ) ที่ต้องมานอนอยู่ในกรง เป็นที่น่าสงสารเช่นนี้ (อนาถจิต) ทั่วร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ละออง (ธุลีผง) แม้ผ้าห่มคลุมกาย (ภูษาผทมทรง) และใบไม้ปูนอน (รององค์) ก็ไม่มี เสียแรงเลี้ยงทหารชำนาญยุทธ์ นับสมุทรไว้ใต้บทศรี แจ้งว่าไมยราพอสุรี ในราตรีจะลอบขึ้นไป ทำการสะกดแต่เพียงนั้น ช่วยกันรักษาไว้ไม่ได้ เสียทีที่มีฤทธิไกร มาหลับใหลด้วยเวทวิทยา เสียแรงที่พระองค์มีทหารที่เก่งกล้าสามารถ (ชำนาญยุทธ์) มากมาย (นับสมุทร) ไว้คอย รับใช้ (ใต้บทศรี) ทั้ง ๆ ที่รู้ข่าวว่าคืนนั้น ไมยราพจะลอบขึ้นไป แค่เพียงมนต์สะกดก็ไม่สามารถ ป้องกันได้ ตนได้ชื่อว่ามีฤทธิ์เดชแต่ต้องมาเสียทีหลับใหลด้วยเวทมนตร์ มันจึ่งได้พาพระจักรี มาถึงบุรียักษา หาไม่ที่ไหนอสุรา จะรอดลงมายังบาดาล จะพิฆาตฟาดฟันด้วยตรีเพชร ให้เศียรเด็ดเสียบไว้กับหน้าฉาน จึ่งจะสมน้ำหน้าอ้ายสาธารณ์ ที่อหังการกำเริบใจ มันจึงได้ลักพาตัวพระราม (พระจักรี) มาไว้ที่เมืองยักษ์ ไม่เช่นนั้นไมยราพคงไม่รอดชีวิต กลับเมืองบาดาลเป็นแน่ เพราะตนจะใช้ตรีเพชรฆ่าตัดคอเสียบประจาน (เศียรเด็ดเสียบไว้) ให้สมกับที่บังอาจอวดดี (อหังการ) กระทำการชั่ว ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒๒


๒๓ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ ร่ำพลางฟูมฟายชลนา ซบพักตร์โศกาสะอื้นไห้ ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย ไม่เป็นสติสมประดี หนุมานซบหน้าร่ำไห้รำพันด้วยความโศกเศร้าเสียใจแทบสิ้นสติ ครั้นคลายแสนโศกจาบัลย์ อภิวันท์เหนือเกล้าเกศี ทำลายกรงช้อนองค์พระจักรี ด้วยกำลังฤทธีพาจร ครั้นคลายโศกเศร้าก็รีบถวายบังคม (อภิวันท์เหนือเกล้าเกศี) แล้วทำลายกรงเหล็ก แสดงฤทธิ์ ช้อนองค์พระรามออกไปทันที (พาจร) รีบออกมาจากเมืองมาร ถึงเขาสรุกานต์สิงขร ตรงลงยังเชิงคีรินทร วานรเพ่งพิศไปมา เห็นแท่นสุวรรณบัลลังก์อาสน์ อยู่ในนพมาศคูหา เอกเอี่ยมเทียมทิพย์ไสยา ก็วางพระจักราด้วยยินดี หนุมานอุ้มพระรามเหาะจากเมืองยักษ์มาถึงเขาสุรกานต์ เหาะลงตรงเชิงเขา (เชิงคีรินทร) แลเห็นว่ามีแท่นทอง (สุวรรณบัลลังก์อาสน์) อยู่ในถ้ำ (นพมาศคูหา) ที่สวยงามดุจเตียงทิพย์บน สวรรค์ (เอี่ยมเทียมทิพย์ไสยา) ก็รีบวางพระรามลงด้วยความยินดี


แล้วจึ่งบังคมก้มเกศ กราบเบื้องบทเรศทั้งสองศรี คำรพจบพื้นพระธรณี ชุลีกรประกาศด้วยวาจา ขอฝูงเทวาสุรฤทธิ์ ซึ่งสถิตสิงสู่ในภูผา ทั้งหกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า มาช่วยรักษาพระทรงธรรม์ ตัวข้าจะไปสังหาร ไมยราพขุนมารให้อาสัญ ฝากแล้วก็รีบจรจรัล ผันพักตร์คืนเข้ายังธานี แล้วหนุมานก็ก้มลงกราบแทบพระบาท (บทเรศทั้งสองศรี) ของพระราม จากนั้น ก้มกราบแม่พระธรณี (คำรพจบพื้นพระธรณี) ประนมมือกล่าววาจาขอฝากฝังให้เทพเทวดา ทั้งหลาย (เทวาสุรฤทธิ์) ที่ดูแลรักษา (สถิต) ป่าเขาและบนสวรรค์ทั้งหกชั้น ขอให้มาช่วย ปกปักรักษาพระราม (พระทรงธรรม์) ให้ปลอดภัย ส่วนตนจะรีบไปฆ่าไมยราพ จากนั้นก็รีบ เดินทาง (จรจรัล) มุ่งหน้าสู่เมืองยักษ์ทันที มาจะกล่าวบทไป ถึงเทพไทเรืองศรี อันสถิตถ้ำธารคีรี มีทิพโสตนัยนา เล็งมาเห็นลูกพระพาย พาองค์พระนารายณ์นาถา ออกจากกรงเหล็กอสุรา มาไว้ปากถ้ำสุรกานต์ บัดนี้จะกลับไปชิงชัย ฆ่าอ้ายไมยราพใจหาญ ก็พาฝูงเทพบริวาร เหาะทะยานมายังพระจักรี กล่าวถึงทวยเทพ เทวดาทั้งหลาย (เทพไทเรืองศรี) ที่ดูแลรักษาถ้ำ น้ำ (ธาร) ป่าเขา (คีรี) มีหูทิพย์ ตาทิพย์ (ทิพโสตนัยนา) แลเห็นหนุมาน (ลูกพระพาย) อุ้มพระรามออกจาก กรงเหล็กมาไว้ที่ปากถ้ำสุรกานต์ แล้วกลับไปฆ่าไมยราพ ก็พาเหล่าบริวารเหาะมายังที่พระราม บรรทมอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒๔


๒๕ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ ครั้นถึงจึ่งเข้าแวดล้อม ขับกล่อมบำเรอดีดสี จำเรียงเสียงทิพย์ดนตรี ฉ่ำเฉื่อยเรื่อยรี่จับใจ บ้างโบกปัดพัดวีระวังองค์ บ้างล้อมวงตามเชิงเขาใหญ่ พิทักษ์รักษาภูวไนย มิให้ราคีบีฑา เมื่อมาถึงก็เข้าห้อมล้อม บรรเลงดนตรี ขับร้อง เห่กล่อม เป็นเสียงดนตรีทิพย์ที่มีความ ไพเราะ จับใจ บ้างก็ใช้พัดปัดโบก บ้างก็ห้อมล้อมตามเชิงเขาป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวน และทำร้ายพระองค์ (ราคีบีฑา) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า เขม้นหมายจะล้างอสุรา ก็ตรงมายังหน้าพระลาน ครั้นถึงปราสาทอลงกรณ์ วานรสำแดงกำลังหาญ กระทืบบาทผาดโผนโจนทะยาน ถีบบานสีหบัญชรชัย หนุมานตั้งใจแน่วแน่ (เขม้นหมาย) ว่าจะมาเข่นฆ่า (ล้าง) พวกยักษ์ (อสุรา) จึงตรงไป ที่ลานหน้าปราสาทซึ่งตกแต่งสวยงาม (อลงกรณ์) เมื่อไปถึงก็แสดงกำลังกล้าหาญกระโจนถีบไป ที่บานหน้าต่าง (สีหบัญชร) ทันที เพื่อจะเข้าไปในปราสาท


เสียงสนั่นครั่นครื้นกุลาหล พังลงไม่ทนกำลังได้ แล้วมีวาจาประกาศไป เหวยอ้ายไมยราพกุมภัณฑ์ เป็นไฉนตัวมึงไปลอบลัก องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ กูเป็นทหารชาญฉกรรจ์ ตามมาโรมรันอสุรี ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ อาจองดั่งพระยาราชสีห์ ตัวมึงดั่งหนึ่งมฤคี วันนี้จะม้วยวายปราณ บานหน้าต่างไม่อาจทานกำลังได้จึงพังลงเสียงดังกึกก้องเกิดความวุ่นวายไปทั่ว (กุลาหล) จากนั้นหนุมานจึงร้องประกาศว่ากุมภัณฑ์ผู้บังอาจไปลักพระรามมา (องค์พระหริรักษ์รังสรรค์) อยู่ไหนตนคือทหารเอกของพระรามที่ตามมาล้างแค้นเหล่ายักษ์ (อสุรี) ตนชื่อหนุมานผู้เก่งกาจ (อาจอง) ดุจพระยาราชสีห์ ส่วนกุมภัณฑ์เปรียบเหมือนกวางน้อย (มฤคี) ที่จะต้องตาย (ม้วย วายปราณ) เพราะฝีมือตนในวันนี้ เมื่อนั้น พญาไมยราพใจหาญ ผวาตื่นจากแท่นอลงการ ขุนมารก็เหลือบแลไป เห็นวานรเข้ามาถึงปราสาท องอาจกล่าวคำหยาบใหญ่ โกรธฉวยคว้าพระขรรค์ชัย ผุดลุกขึ้นได้ก็ร้องมา ไมยราพตกใจผวาตื่น แลเห็นว่าเป็นลิงบุกเข้ามาในปราสาท กล่าวคำทักทายโอ้อวดว่า เก่งกาจ (คำหยาบใหญ่) ก็โกรธมาก เข้าคว้าอาวุธประจำกายคือพระขรรค์ (พระขรรค์ชัย) แล้วผุดลุกขึ้นร้องด่าว่า ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒๖


๒๗ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เหม่เหม่ดูดู๋อ้ายชาติลิง เย่อหยิ่งอวดฤทธิ์ว่าแกล้งกล้า ตัวกูผู้ทรงศักดา ใต้ฟ้าไม่มีใครเทียมทัน มึงดั่งหิ่งห้อยน้อยแสง ฤๅจะแข่งกับดวงสุริย์ฉัน ว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งพระขรรค์ออกไล่ราญรอน เป็นแค่ลิงน้อยแต่โอ้อวดว่าเก่งกล้า ไม่รู้หรือว่าตนเป็นใคร ในโลกนี้ไม่มีใครเก่งสู้ตนได้ หนุมานเปรียบเหมือนหิ่งห้อยที่มีแสงเพียงน้อยนิด ดูหรือกล้ามาแข่งกับตนซึ่งเปรียบดังแสงอาทิตย์ (สุริย์ฉัน) ว่าแล้วก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแกว่งพระขรรค์ออกไล่หนุมาน บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร รับรองป้องกันประจัญกร วานรโถมถีบด้วยฤทธา ถ้อยตีถ้อยรับสับสน ไล่ประจญถอยประจัญเข่นฆ่า ฟันแทงแย้งยุทธ์กันไปมา ต่างหาญต่างกล้าไม่ลดกัน หนุมานผู้ชำนาญในการรบ (ชาญสมร) ก็เข้ารับมือต่อสู้กัน (ประจัญกร) ทั้งกระโดดถีบ และแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ นานา ทั้งไมยราพและหนุมานต่อสู่กัน (ประจญ, ประจัญ) อย่างดุเดือด ผลัดกันรับผลัดกันรุกด้วยชั้นเชิงการต่อสู้ (แย้งยุทธ์) ที่ต้องการฆ่าฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองฝ่ายต่างมี ความสามารถเท่าเทียมกัน


เมื่อนั้น ไมยราพฤทธิรอนแรงแข็งขัน รับรองป้องปัดโรมรัน ขบฟันโลดโผนโจนมา เท้าหนึ่งเหยียบเข่าวานร กรแกว่งพระขรรค์เงื้อง่า กลอกกลับจับกันเป็นโกลา หันเหียนเปลี่ยนท่าในที ไมยราพมีฤทธิ์และกำลังมหาศาลได้กระโจมใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าหนุมานไว้ มือแกว่ง พระขรรค์เงื้อจะฆ่า แต่หนุมานก็สามารถเปลี่ยนกลับเป็นฝ่ายรุกได้ การต่อสู้ทำให้เกิดเสียงดัง กึกก้องไปทั่วบริเวณ (โกลา) บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี รบชิดติดพันประจัญตี ได้ทีโจมจับกุมภัณฑ์ โผนเผ่นขึ้นยืนเหยียบบ่า กรขวาฉวยชิงพระขรรค์ กลอกกลับสัประยุทธ์พัลวัน ฟาดฟันต้องกายขุนมาร พระขรรค์ก็หักเป็นสองท่อน วานรถีบด้วยกำลังหาญ อสุรีล้มลุกคลุกคลาน ขุนกระบี่ทะยานตามตี เมื่อหนุมานได้ทีได้ทะยานขึ้นเหยียบบ่าของไมยราพไว้ มือขวาเข้าแย่งชิงพระขรรค์ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อชิงชัยกัน (ประยุทธ์) หนุมานฟันถูกร่างของไมยราพ พระขรรค์หักเป็น สองท่อน หนุมานถีบซ้ำจนไมยราพล้มลุกคลุกคลาน หนุมานก็ไล่ตาม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๒๘


๒๙ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เมื่อนั้น ไมยราพสิทธิศักดิ์ยักษี เสียพระขรรค์เพชรอันฤทธี อสุรีคว้าได้คทาวุธ กวัดแกว่งแสงวาบปลาบตา กระทืบบาทาอึงอุด ผาดแผลงสำแดงฤทธิรุทร กลับเข้าสัประยุทธ์ชิงชัย ไมยราพสูญเสียพระขรรค์ (พระขรรค์เพชร) อาวุธประจำกาย จึงคว้ากระบอง (คทาวุธ) กวัดแกว่งส่งแสงแวบวาบ พร้อมกับกระทืบเท้า แสดงฤทธิ์เข้าสู้รบชิงชัย (สัประยุทธ์) ต่างคนต่างรับต่างตี เข้าออกเป็นทีหนีไล่ จนตระบองนั้นหักกระเด็นไป ฉวยได้หอกใหญ่เข้ารอนราญ ทั้งสองต่อสู้ผลัดกันเป็นฝ่ายรับและฝ่ายรุก อีกฝ่ายหนีอีกฝ่ายไล่ จนกระบองหักกระเด็นไป ไมยราพจึงเข้าคว้าหอกเข้าต่อสู้ใหม่ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ หลีกหลบรบรันประจัญบาน โถมทะยานเข้าไล่ราวี หนุมานผู้ได้ชื่อว่าเป็นลูกพระพาย (วายุบุตร) เป็นผู้ที่มีฤทธิ์เก่งกล้ามาก (วุฒิไกรใจหาญ) สามารถสู้รบหลบหลีกได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว


มือขวาฉวยชิงโตมร ได้ด้วยฤทธิรอนกระบี่ศรี แทงต้องกุมภัณฑ์เป็นหลายที จนหอกอสุรีนั้นหักไป แล้วชักตรีเพชรออกจากกาย ลูกพระพายฟอนฟันกระชั้นไล่ หวดซ้ายป่ายขวาว่องไว มิให้ดำรงกายทัน หนุมานใช้มือขวาคว้าได้หอกซัดหรือสามง่าม (โตมร) แทงถูกกุมภัณฑ์ไปหลายที จนหอก นั้นหักสะบั้น จากนั้นจึงชักอาวุธประจำกาย (ตรีเพชร) หวดซ้ายหวดขวารุกไล่อย่างกระชั้นชิด (กระชั้นไล่) เพื่อไม่ให้ภัณฑ์ได้ทันตั้งตัว (ดำรงกาย) เมื่อนั้น ไมยราพฤทธิแรงแข็งขัน สิ้นสุดอาวุธโรมรัน กุมภัณฑ์ถวิลจินดา วานรตนนี้สามารถ ฤทธิรงค์องอาจแกล้วกล้า ยิ่งกว่าเทวัญในชั้นฟ้า นักสิทธิ์วิทยานาคี ไมยราพผู้มีฤทธิ์และเรี่ยวแรงมหาศาล (ฤทธิแรงแข็งขัน) หมดอาวุธที่จะนำมาต่อสู้ เริ่มคิดสงสัยกังวล (ถวิลจินดา) ว่าทำไมลิงตัวนี้จึงมีฤทธิ์เดช (ฤทธิรงค์) มีความสามารถกล้าหาญ (องอาจแกล้วกล้า) เก่งกว่าเทวดาบนสวรรค์ (เทวัญในชั้นฟ้า) หรือเหล่าวิทยาธร (นักสิทธิ์ วิทยา) และพญานาค (นาคี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๓๐


๓๑ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ จำเป็นจะคิดอุบายกล ด้วยแยบยลลวงฆ่ากระบี่ศรี ถึงมาตรมันจะกลับตี กูนี้ไม่ครั่นคร้ามใจ ด้วยดวงจิตไม่อยู่กับกาย อันที่จะตายนั้นหาไม่ คิดแล้วจึ่งร้องว่าไป เหวยอ้ายลิงไพรพาลา จำเป็นต้องคิดหากลอุบายฆ่าเจ้าลิงให้ได้ ตนนั้นรู้ดีว่าแม้จะถูกตีอย่างไรก็ไม่กลัวตาย เพราะ ดวงใจ (ดวงจิต) ของตนไม่ได้อยู่กับร่างกาย จึงร้องออกไปว่า ตัวเราทั้งสองประลองยุทธ์ สัประยุทธ์ขับกันหนักหนา ถ้อยทีไม่แพ้ฤทธา มาตั้งสัจจาสัญญากัน ให้เป็นธรรมยุทธ์สุจริต ต่างตนอย่าคิดผิดผัน จะเอาตาลสามต้นมาพัน ตะบิดฟั่นให้เป็นตระบองตาล ผลัดกันตีคนละสามตี ใครดีก็ไม่ม้วยสังขาร ให้ปรากฏไว้ในไตรดาล ตัวท่านจะเห็นประการใด เราทั้งสองต่างรบชิงชัยกันมาไม่มีแพ้และชนะ ลองมาตั้งสัจจะสัญญากันต่อสู้อย่างเป็นธรรม โดยเอาตาลสามต้นมาบิดแล้วฟั่นเกลียว (ตะบิดฟั่น) เป็นตระบอง ผลัดกันตีคนละสามที ใครเก่ง ก็รอด (ไม่ม้วยสังขาร) มีชื่อเสียงไปทั้งสามโลก (ไตรดาล) ตัวท่านจะเห็นด้วยหรือไม่


บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ ได้ฟังก็ดำริตริไตร อันอ้ายไมยราพอสุรา มันคิดเปรียบเทียบดั่งนี้ เห็นจะมีอุบายยักษา กูก็ไม่เกรงฤทธา จะซ้อนกลฆ่ามันให้วายปราณ เมื่อหนุมานได้ฟังก็คิดพิจารณาในใจ (ดำริตริไตร) ว่าการที่ไมยราพคิดดังนี้ ได้เปรียบ และเป็นกลอุบายแน่ ตนไม่กลัวอยู่แล้ว แต่จะคิดหาวิธีซ้อนกลฆ่าไมยราพ ถึงจะตายแม้นต้องพระพายพัด ก็อุบัติคืนชีพสังขาร อันตัวของอ้ายขุนมาร นัยจะแหลกลาญด้วยฤทธี คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป ว่าจริงฤๅไฉนยักษี เกลือกจักไม่เหมือนหนึ่งพาที ที่คำอสุรีสัญญา เพราะถ้าตนตายเมื่อกายถูกลมพัด (ต้องพระพายพัด) ก็จะฟื้นคืนชีวิตได้อีก ตัวไมยราพ เองนั่นแหละที่จะต้องแหลกละเอียดด้วยฤทธิ์ของตน คิดได้ดังนั้นจึงร้องตอบว่าที่พูดนั้นจริงหรือ กลัวว่าไมยราพจะไม่ทำตามสัญญา เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา ได้ฟังจึ่งตอบวาจา อันคำเราว่านี้โดยธรรม์ แม้นมาตรมิคงในสัจ ขอจงหัสนัยน์รังสรรค์ กับฝูงเทวาทั้งนั้น สังหารชีวันให้บรรลัย แต่เราจะตีสามทีก่อน ครบแล้วจะนอนลงให้ ตัวเอ็งจงลุกขึ้นตีไป ตามที่เราได้ปฏิญาณ ไมยราพตอบว่าถ้าหาก (แม้นมาตร) ตนไม่ทำตามสัจจะหรือคำมั่นสัญญา (สัจ) ขอให้ พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ (หัสนัยน์รังสรรค์) และเหล่าเทวดาจงฆ่าตนให้ตาย แต่ว่าตนจะ ขอเป็นผู้ตีหนุมานก่อน เมื่อครบสามทีตนจึงจะนอนลงให้หนุมานตีภายหลัง ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๓๒


๓๓ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ ฟังคำไมยราพขุนมาร ตบหัตถ์ฉัดฉานแล้วตอบไป ไฉนจึ่งมาเลือกว่า สัญญาเอาเปรียบก็เป็นได้ ตัวเราเป็นแขกมาแต่ไกล ชอบให้ตีก่อนอสุรี ซึ่งว่าทั้งนี้แต่พึงรู้ ใช่กูจะโง่กว่ายักษี เอ็งจะตีก่อนก็เร่งตี ใครดีจะรอดชีวา เมื่อหนุมานได้ฟังไมยราพกล่าวดังนั้นก็ตบมือเสียงดังลั่น (ตบหัตถ์ฉัดฉาน) แล้วร้องตอบไปว่า เหตุใดสัญญาจึงเอาเปรียบเช่นนี้ ตนเป็นแขกแต่กลับต้องถูกตีก่อน คิดว่าตนโง่ไม่รู้ทันความคิดของ ยักษ์ แต่ไม่เป็นไรอยากจะตีก่อนก็ตกลง ใครดีก็รอดชีวิต เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา ได้ฟังกระบี่ก็ปรีดา อสุราเข้าถอนเอาต้นตาล เท้ายันบ่าดันกระชากฉุด ก็หลุดขึ้นด้วยกำลังหาญ สามต้นสูงเทียมคัคนานต์ ขุนมารบิดเป็นคทาธร แล้วร้องว่าเหวยอ้ายลิงป่า มึงอวดฤทธาว่าชาญสมร ใครดีจะได้เห็นกร จงนอนลงให้กูตี ไมยราพเมื่อได้ฟังหนุมานยอมให้ตนตีก่อนก็ยินดี รีบตรงเข้าถอนต้นตาลใช้เท้าและบ่าดัน มือกระชากฉุดด้วยพลังมหาศาล ต้นตาลทั้งสามต้นสูงเทียมฟ้า (คัคนานต์) ไมยราพนำมาบิดเป็น ตระบอง (คทาธร) แล้วร้องบอกหนุมานว่าจะเก่งหรือไม่ให้นอนลงตนจะตีแล้วคอยดูฝีมือ


บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี ได้ฟังอสุราพาที ขุนกระบี่ร่ายวิทยายนตร์ ครั้นครบเจ็ดคาบก็เป่าไป กลั้นใจลูบกายสามหน ให้คงทรหดอดทน แล้วทอดตนกวักเรียกอสุรา หนุมานได้ร่ายเวทมนตร์จนครบเจ็ดจบก็เป่าไป กลั้นใจลูบกายอีกสามครั้งเพื่อให้ทรหด อดทน แล้วนอนลง (ทอดตน) กวักมือ (กวัก) เรียกไมยราพ เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เห็นกระบี่นอนทอดกายา ก็ปรีดาเงือดเงื้อตระบองตาล กวัดแกว่งสำแดงแผลงฤทธิ์ เสียงสนั่นครรชิตทุกทิศาน สองเท้ากระเหย่งเผ่นทะยาน ขุนมารก็ตีลงไป ไมยราพเมื่อเห็นหนุมานนอนลงก็เงื้อ (เงือดเงื้อ) ตระบองตาลกวัดแกว่งเสียงดังสนั่น (ครรชิต) ไปทุกทิศ (ทิศาน) กระเหย่งเท้าเผ่นทะยานแล้วฟาดตระบองทันที สามทีสนั่นดั่งฟ้าฟาด ปัถพีกัมปนาถหวาดไหว อันกายหนุมานชาญชัย ก็จมลงใต้พื้นพสุธา เสียงฟาดตระบองสามทีดังสนั่นดุจเสียงฟ้าผ่า (ฟ้าฝาด) แผ่นดิน (ปัถพี) สะเทือน เลือนลั่น (กัมปนาท) ร่างของหนุมานจมลงใต้พื้นดิน (พสุธา) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๓๔


๓๕ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า มิได้เจ็บช้ำกายา ผุดลุกขึ้นมาด้วยว่องไว ร้องว่าเหวยเหวยขุนมาร รู้จักพระกาฬฤๅหาไม่ เร่งนอนลงเถิดอ้ายจัญไร ส่งตระบองมาให้กูตี แม้นมึงรักตัวกลัวตาย จะถ่ายชีวิตยักษี กราบลงที่ตีนของกูนี้ จึ่งจะไว้ชีวีอสุรา หนุมานบุตรแห่งพระพายไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ผุดลุกขึ้นได้อย่างว่องไวร้องว่าไมยราพรู้จัก พระยามัจจุราช (พระกาฬ) หรือไม่ (ฤๅหาไม่) รีบนอนลงแล้วส่งตระบองมาให้ตนตีเสียดี ๆ หรือ หากรักตัวกลัวตายจะร้องขอชีวิตก็ขอให้มากราบที่เท้า (ตีน) ของตน แล้วตนจะไว้ชีวิต เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เห็นวานรไม่สิ้นชีวา อหังการ์เยาะเย้ยไยไพ ให้ประหวั่นครั่นคร้ามขามฤทธิ์ ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงไหม้ แล้วรื้อมานะหักใจ กูจะเกรงมันไยอ้ายสาธารณ์ คิดแล้วจึ่งตอบวาจา เหวยอ้ายพาลาเดียรัจฉาน กูไม่ประณตบทมาลย์ มึงอย่าอวดหาญพาที ว่าแล้วก็ทอดกายลง ส่งตระบองให้กระบี่ศรี ตัวเอ็งจงเร่งมาตี ตามที่ซึ่งได้สัญญา ไมยราพเห็นว่าหนุมานไม่ตายกลับอวดตน (อหังการ์) พูดจาเยาะเย้ย (เยาะเย้ยไยไพ) ก็รู้สึก หวาดหวั่น (ประหวั่นครั่นคร้าม) กลัวฤทธิ์เดช (ขามฤทธิ์) จิตใจร้อนรุ่มดังเพลิงไหม้แต่ก็ทำใจกล้า ไม่เกรงกลัว ร้องตอบว่าเจ้าลิงพาลตนจะไม่ยอมก้มกราบ (ประณตบทมาลย์) ขอชีวิต ไม่ต้องมาทำ อวดดี แล้วนอนลงส่งตระบองให้หนุมานตีตามสัญญา


บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า ฉวยจับตระบองตาลมา เงื้อง่าด้วยกำลังฤทธิรอน ตาหมายเขม้นจะพิฆาต องอาจดั่งพญาไกรสร สองมือกวัดแกว่งคทาธร วานรก็ฟาดลงสามที หนุมานฉวยได้ตระบองก็เงื้อสุดกำลังฤทธิ์ ท่าทางสง่าดุจพระยาราชสีห์ (พญาไกรสร) หมายจะฆ่าศัตรูให้ตาย สองมือกวัดแกว่งฟาดตระบอง (คทาธร) ลงสามที เสียงสนั่นครั่นครื้นอากาศ ตระบองแหลกกายขาดไปกับที่ แล้วฉีกแขนขาอสุรี ขุนกระบี่ขว้างไปด้วยฤทธา เสียงดังสนั่นกึกก้องไปในอากาศ ตระบองแตกละเอียด ร่างของไมยราพขาดออกจากกัน หนุมานจับแขนขาไมยราพฉีกแล้วขว้างออกไป เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เท้ากรกลับติดเป็นกายา อสุราไม่ม้วยบรรลัย ลุกขึ้นกระทืบบาทผาดร้อง กึกก้องกัมปนาทหวาดไหว โผนไปด้วยกำลังว่องไว เข้าไล่ประจญประจัญบาน ทั้งเท้าทั้งแขนของไมยราพกลับติดต่อกันเป็นร่างเดิม ไมยราพไม่ตาย (ไม่ม้วยบรรลัย) กลับลุกขึ้นกระทืบเท้าแผดเสียงร้องดังกึกก้องแผ่นดินสะเทือน (กัมปนาทหวาดไหว) แล้วโผน ทะยานเข้าต่อสู้กับหนุมานอีกครั้ง ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๓๖


๓๗ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ หักเอาด้วยกำลังชัยชาญ โถมทะยานถีบต้องอสุรี ล้มลงกับพื้นพสุธา ด้วยศักดาเดชเรืองศรี โลดโผนโจนไปทันที ขุนกระบี่เหยียบอกลงไว้ หนุมานก็ใช้กำลังมหาศาลโถมถีบไมยราพล้มลงบนพื้นดินแล้วใช้เท้าเหยียบอกไว้ จึ่งถามพิรากวนนงลักษณ์ ไมยราพขุนยักษ์นี้ไฉน ฆ่ามันจึงไม่บรรลัย สงสัยเป็นพ้นพรรณนา ร้องถามนางพิรากวนว่าแม้จะฆ่าไมยราพอย่างไรก็ไม่ตาย สงสัยเพราะเหตุใด


เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา ฟังวายุบุตรก็ปรีดา จึ่งร้องบอกมาทันที ซึ่งว่าฆ่ามันไม่ตาย เพราะด้วยอุบายยักษี ถอดจิตออกเป็นภุมรี ใส่กล่องมณีอลงกรณ์ แล้วเอาลงไปซ่อนไว้ ในยอดตรีกูฏสิงขร ท่านจงคิดฆ่าตัวภมร ไมยราพฤทธิรอนจะวายปราณ นางพิรากวนเมื่อได้ยินหนุมานถามจึงตอบไปว่าเหตุที่ฆ่าไม่ตายเพราะไมยราพถอด วิญญาณ (ถอดจิต) เป็นแมลงภู่ (ภุมรี) ใส่ไว้ในกล่องเครื่องประดับ (มณีอลงกรณ์) แล้วเอาไป ซ่อนไว้ที่ยอดเขาตรีกูฏ (ยอดตรีกูฏสิงขร) หนุมานต้องฆ่าแมลงภู่ (ภมร) ไมยราพจึงจะตาย เมื่อนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ ฟังนางบอกแจ้งทุกประการ ยินดีปานได้ฟากฟ้า เท้าเหยียบอสุราไว้มั่น กรนั้นประนมเหนือเกศา ก็ร่ายพระเวทอันศักดา นิมิตกายกายาวานร เมื่อหนุมานได้ฟังนางพิรากวนบอกก็ยินดีมาก เท้าเหยียบบอกไมยราพไว้แล้วประนมมือ เหนือศีรษะร่ายเวทมนตร์เพื่อแปลงร่าง (นิมิตกายกายา) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๓๘


๓๙ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ รูปนั้นใหญ่เท่าพรหมาน สูงตระหง่านดั่งหนึ่งสิงขร พร้อมทั้งสี่พักตร์แปดกร สำแดงฤทธิรอนเกรียงไกร เท้าซ้ายเหยียบอกอสุรี มิได้เคลื่อนจากที่ขึ้นได้ เท้าขวานั้นก้าวทะยานไป ยังในตรีกูฏบรรพตา ร่างของหนุมานใหญ่เท่าพระพรหม (พรหมาน) สูงตระหง่านเท่าภูเขา (สิงขร) มีสี่หน้า แปดมือ (สี่พักตร์แปดกร) แสดงอิทธิฤทธิ์ เท้าซ้ายเหยียบอกไมยราพไม่ให้เคลื่อนที่ เท้าขวา ก้าวขึ้นไป (ทะยาน) ที่ยอดเขา (บรรพตา) ตรีกูฏ มือหนึ่งง้างยอดคีรินทร กรหนึ่งนั้นค้นคว้าหา จับได้แมลงภุมรา ก็เอาขึ้นมาชูไว้ เหวยเหวยไมยราพยักษี นี่หัวใจมึงฤๅมิใช่ ว่าแล้วขยี้เป็นจุรณไป ตัดเศียรลงให้พร้อมกัน ดั่งหนึ่งพระกาฬพาลราช มาฟันฟาดด้วยคมพระแสงขรรค์ กายดิ้นระแด่วแดยัน กุมภัณฑ์ก็ม้วยชีวี มือข้างหนึ่งง้างยอดเขา (คีรินทร) มือข้างหนึ่งค้นหาจนจับได้แมลงภู่ (ภุมรา) ยกขึ้นชูไว้ แล้วร้องถามไมยราพว่านี่ใช่หัวใจของเจ้าหรือไม่ พอพูดจบก็ขยี้จนแหละละเอียด (จุรณ) พร้อมกับ ใช้พระขรรค์ตัดศีรษะจนขาดจากร่าง เหมือนกับถูกประหารด้วยพระยามัจจุราช (พระกาฬ) ไมยราพ ดิ้นกระเสือกกระสนทุรนทุราย (ดิ้นระแด่วแดยัน) และสิ้นใจในที่สุด


กลอนบทละคร คือ คำกลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครรำ เช่น พระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์, พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง อิเหนา เป็นต้น กลอนบทละครมีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ วรรคหนึ่งมี ๖ ถึง ๙ คำ แต่นิยม ใช้เพียง ๖ ถึง ๗ คำ จึงจะเข้าจังหวะร้องและรำ ทำให้ไพเราะยิ่งขึ้น มักมีการขึ้นต้นบท ดังนี้ เมื่อนั้น ใช้สำหรับตัวละครที่เป็นกษัตริย์หรือผู้มีบรรดาศักดิ์สูง บัดนั้น ใช้สำหรับตัวละครที่เป็นเสนาหรือคนทั่วไป มาจะกล่าวบทไป ใช้สำหรับนำเรื่อง เกริ่นเรื่อง ตัวอย่าง บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานหลีกเลี่ยงเป็นคำนัย ขุนกระบี่ผู้มีกำลังฤทธิ์ นิ่งคิดก็คิดขึ้นได้ จึ่งหักก้านบุษบงด้วยว่องไว ลอดไปตามไส้ปทุมา บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช การอ่านกลอนบทละคร ควรอ่านเป็นจังหวะ โดยมีช่วงจังหวะหยุดสั้น ๆ ภายในแต่ละวรรค ดังนี้ - ถ้าคำในวรรคมี ๗ คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ ooo/oo/oo หรือ oo/oo/ooo เช่น ว่าขาน / หลีกเลี่ยง / เป็นคำนัย ลอดไป / ตามไส้/ ปทุมา - ถ้าคำในวรรคมี ๘ คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ ooo/oo/ooo เช่น ขุนกระบี่ / ผู้มี/ กำลังฤทธิ์ - ถ้าคำในวรรคมี ๙ คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ ooo/ooo/ooo เช่น จึ่งหักก้าน / บุษบง / ด้วยว่องไว ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔๐ อ่านเสริม เพิ่มความรู้ กลอนบทละคร


๔๑ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ “โวหาร” หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างสละสลวย บรรยายโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราว เหตุการณ์ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร พรรณนาโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวอย่างละเอียด โดยใช้ถ้อยคำภาษาที่สละสลวย ทำให้เห็นภาพ เกิดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อธิบายโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่ออธิบายขั้นตอน วิธีการ หรือ การให้นิยาม ความหมาย สาธกโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อบอกตัวอย่าง เทศนาโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอน ให้ข้อคิดและคติสอนใจ อุปมาโวหาร คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้เปรียบเทียบ จะมีคำว่า ดุจ, ประดุจ, ดัง, ดั่ง, เฉกเช่น, ราว, ราวกับ, เหมือน เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น มักจะปรากฏพร้อมกับพรรณนาโวหารเสมอ ตัวอย่าง โวหารเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบให้เห็นความโกรธ เช่น “ได้ฟังกริ้วโกรธคือไฟกาฬ” “กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี” การเปรียบเทียบให้เห็นความกลัว เช่น “ให้ประหวั่นครั่นคร้ามขามฤทธิ์ ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงไหม้” การเปรียบเทียบให้เห็นความโศกเศร้าเสียใจ เช่น “ร่ำพลางฟูมฟายชลนา ซบพักตร์โศกาสะอื้นไห้ ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย ไม่เป็นสติสมประดี” การเปรียบเทียบให้เห็นความชื่นชมยินดีเช่น “ยินดีปานได้ฟากฟ้า” “มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์” การเปรียบเทียบที่ให้ภาพและให้เสียง เช่น “องอาจดั่งพญาไกรสร” “รูปนั้นใหญ่เท่าพรหมาน สูงตระหง่านดั่งหนึ่งสิงขร” “ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ อาจองดั่งพญาราชสีห์ ตัวมึงดั่งหนึ่งมฤคี วันนี้จะม้วยวายปราณ” “สามทีสนั่นดั่งฟ้าฟาด ปัถพีกัมปนาทหวาดไหว อันกายหนุมานชาญชัย ก็จมลงในพื้นพสุธา” โวหาร


ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔๒ “หนุมาน” เป็นลิง มีกายสีขาวเผือก ปากอ้า สวมมาลัยทอง มีกุณฑล ขนเพชร เขี้ยวแก้ว มีตรีหรือสามง่ามเป็นอาวุธ สามารถหาวเป็นดาวเป็นเดือน หนุมานเป็นบุตรของนางสวาหะธิดา ของฤๅษีโคดมกับนางกาลอัจนา นางสวาหะถูกนางกาลอัจนาสาปให้ไปยืนขาเดียวกินลม จนกว่า เมื่อใดมีลูกจึงพ้นคำสาป เพราะโกรธที่นางสวาหะเปิดเผยความลับเรื่องนางกาลอัจนามีชู้ พระอิศวร ประสงค์จะสร้างทหารเอกให้แก่พระรามจึงบัญชาให้พระพายนำเทพศาสตราวุธของพระองค์ไปซัด เข้าปากของนางสวาหะเพื่อทำให้นางตั้งครรภ์จนคลอดออกมาเป็นหนุมาน จึงมีคำเรียกหนุมานว่า “วายุบุตร” ในยามรบหากหนุมานพลาดพลั้งต้องอาวุธจนถึงกับสลบหรือสิ้นชีวิต เมื่อพระพาย พัดมาต้องกายก็จะฟื้นคืนกำลังและชีวิต หนุมานได้เข้าสวามิภักดิ์เป็นทหารเอกของพระราม หนุมานเป็นผู้ที่มีความเก่งกล้า จงรักภักดี และมีบทบาทในการรบมากที่สุด ทั้งยังมีนิสัยเจ้าชู้ “สุพรรณมัจฉา” เป็นบุตรของทศกัณฐ์กับนางปลา รูปร่างท่อนบนของนางจึงเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างเป็นปลา เมื่อพระรามสั่งหนุมานให้พาบริวารลิงขนหินมาถมสมุทร เพื่อทำถนน ข้ามไปกรุงลงกา ทศกัณฐ์ได้ใช้ให้นางสุพรรณมัจฉาพาปลาบริวารมาลอบขนหินเพื่อทำลายถนน ของหนุมาน หนุมานลงมาพบและจับนางสุพรรณมัจฉาได้และได้นางเป็นชายา ครั้นนางมีครรภ์แก่ จึงได้สำรอกบุตร คือ มัจฉานุ ไว้ที่ชายหาดและเล่าให้ฟังถึงลักษณะของหนุมานผู้เป็นบิดา “มัจฉานุ” เป็นบุตรของหนุมานที่เกิดกับนางสุพรรณมัจฉา จึงมีลักษณะผสมระหว่างบิดา และมารดา คือมีรูปร่างหน้าตาเป็นลิงเผือก กายสีขาว ปากอ้า สวมมาลัยทองเช่นเดียวกับหนุมาน แต่มีหางเป็นปลาเหมือนนางสุพรรณมัจฉา มัจฉานุถือกำเนิดขึ้นเมื่อหนุมานจองถนนข้ามไปกรุง ลงกา ไมยราพพญายักษ์ผู้ครองเมืองนครบาดาลได้มาพบเข้าและนำไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ทั้งมอบหมายให้มีหน้าที่เฝ้าสระทางเข้านครบาดาล “ไมยราพ” เป็นยักษ์มีกายสีม่วงอ่อน มีตระบองและกล้องยาสะกดเป็นอาวุธ ทั้งยังถอด หัวใจเป็นแมลงภู่เก็บซ่อนไว้ ไมยราพเป็นญาติกับทศกัณฐ์ ต่อมาไมยราพมาช่วยทศกัณฐ์รบกับ กองทัพของพระรามได้สะกดทัพและจับพระรามมาขังไว้ในนครบาดาล หนุมานติดตามมาช่วย ต้องรบกับมัจฉานุจนได้รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันแล้วสังหารไมยราพได้ในที่สุด “นางพิรากวน” เป็นยักษ์ เป็นมารดาของไวยวิก และเป็นพี่สาวของไมยราพ จึงรู้เรื่อง ไมยราพถอดดวงใจแต่เพียงผู้เดียว และช่วยเหลือหนุมานจนช่วยพระรามออกมาได้สำเร็จ สุพรรณมัจฉา ตัวละคร


๔๓ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนคำอ่านของคำศัพท์จากเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ ให้ถูกต้อง ๑) ฉกรรจ์ อ่านว่า …………………………………………………….. ๒) ฤทธิรอน อ่านว่า …………………………………………………….. ๓) พัลวัน อ่านว่า …………………………………………………….. ๔) กุณฑล อ่านว่า …………………………………………………….. ๕) โทมนัสา อ่านว่า …………………………………………………….. ๖) อัชฌาสัย อ่านว่า …………………………………………………….. ๗) โลกธาตุ อ่านว่า …………………………………………………….. ๘) บัลลังก์อาสน์ อ่านว่า …………………………………………………….. ๙) สีหบัญชร อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๐) หัสนัยน์ อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๑) สัประยุทธ์ อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๒) แม้นมาตร อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๓) ครรชิต อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๔) พรหมาน อ่านว่า …………………………………………………….. ๑๕) นิทรา อ่านว่า …………………………………………………….. ใบงานที่ ๑ “คำยากในบทเรียน” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน ฉะ – กัน ริด – ทิ – รอน พัน – ละ – วัน กุน – ทน โทม – มะ – นัด – สา อัด – ชา – ไส โลก – กะ – ทาด บัน – ลัง – อาด สี– หะ – บัน – ชอน หัด – สะ – ไน สับ – ประ – ยุด แม้น – มาด คัน – ชิด พรม – มาน นิด – ทรา


ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔๔ คำชี้แจง : ให้นักเรียนทำเครื่องหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านกลอนบทละครที่กำหนด และอ่านออกเสียงให้ถูกต้องตามหลักการอ่าน ตัวอย่าง เมื่อนั้น// ฝ่ายนาง/พิรากวน/ยักษี// ๑) ต้องจำ/ลำบาก/พันทวี// กับด้วย/อสุรี/ลูกรัก// ๒) อยู่ใน/เรือนตรุ/กันดาร// แสนทุกข์/ทรมาน/เพียงอกหัก// ๓) ไมยราพ/อสุรา/พญายักษ์// ใช้ให้/ไปตัก/คงคา// ๔) ใส่กระทะ/จะต้ม/ลูกชาย// ให้ตายด้วย/พระราม/นาถา// ๕) ก็กระเดียด/กระออม/เดินมา// ออกจาก/ทวารา/ธานี// ๖) ครั้นถึง/ที่สระ/บุษบง// นั่งลง/ริมท่า/วารีศรี// ๗) คิดถึง/ลูกรัก/ร่วมชีวี// ตีทรวง/เข้าร่ำ/โศกา// ๘) โอ้ว่า/ไวยวิก/ของแม่เอ๋ย// ทรามเชย/ผู้ยอด/เสน่าหา// ๙) เสียแรง/บำรุง/เลี้ยงมา// จนชันษา/จำเริญวัย// (ชัน-นะ-สา) ๑๐) ควรฤๅ/ไมยราพ/ขุนมาร// คิดการ/พาลผิด/ก็เป็นได้// ๑๑) โทษกรณ์/ไม่มี/เท่ายองใย// ใส่ไคล้/จะล้าง/ชีวัน// ๑๒) อนิจจา/สงสาร/ตัวเจ้า// รุ่งเช้า/ก็จะม้วย/อาสัญ// ๑๓) กับองค์/พระราม/ด้วยกัน// ใครจะช่วย/ได้นั้น/ก็ไม่มี// ๑๔) สุดที่แม่/แล้วนะ/แก้วตา// ซึ่งจะพ้น/อาญา/ยักษี// ๑๕) แม้นเจ้า/สิ้นชีพ/ชีวี// แม่นี้/ไม่อยู่/จะสู้ตาย// ใบงานที่ ๒ “การอ่านกลอนบทละคร” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน


๔๕ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ คำชี้แจง : เติมตัวอักษรลงในช่องว่างให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้คำที่มีความหมายตามที่กำหนดให้ ๑) พิ ___ ___ ___ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง โกรธ ๒) เ ___ ___ ร อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง เหาะไป ๓) ___ ท ___ ___ ร อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง กระบอง ๔) คั___ น ___ ___ ต์ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ฟ้า ๕) โ ___ ก ___ ___ ณี อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง สระบัว ๖) ___ ท ___ า ___ ย์ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง เท้าผู้มีบุญ ๗) มั___ ฉ ___อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ปลา ๘) ___ หั___ ___ า ร อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง การถือตัว ๙) ___ ลับ ___ ล ___อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ที่ประทับชั่วคราว ๑๐) จุ ___ ___ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ของที่ละเอียด ๑๑) ___ ___ ะ ___ ___ ม อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง หม้อ ๑๒) อิ___ ___ รีย์ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ร่างกาย ๑๓) ___ ___ ะ บี่ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ลิง ๑๔) จั ___ ษุ อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ดวงตา ๑๕) ___ พ ___ ___ ห ___อ่านว่า ………………………………….. หมายถึง ท้องฟ้า ใบงานที่ ๓ “อ่านคล่อง เขียนถูก” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน โ ร ธ พิ– โรด ข จ ค า ธ ค า น บ ข ร บ ม ล จ า อ ง ก พ พ า ร ณ ก ร อ อ น ท ก ร ก โ ย ม น เข – จอน คะ – ทา – ทอน คัก – คะ – นาน โบก – ขะ,ขอ –ระ – นี บด – ทะ – มาน มัด – ฉา อะ – หัง – กาน พลับ – พลา จุน กระ – ออม อิน – ซี กระ – บี่ จัก – สุ พะ – โยม – หน


ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔๖ คำชี้แจง : ให้นักเรียนจัดกลุ่มคำต่อไปนี้ให้ตรงตามความหมายในแต่ละข้อ วานร สิงขร นงลักษณ์ โตมร ขุนกระบี่ บรรพต ขุนมาร คทาวุธ คีรินธร นงคราญ วายุบุตร อสุรี ตรีเพชร อรไท กุมภัณฑ์ ใบงานที่ ๔ “คำพ้องความหมาย” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน ยักษ์ ลิง ภูเขา อาวุธ ผู้หญิง วานร สิงขร นงลักษณ์ บรรพต คีรินธร นงคราญ อรไท โตมร คทาวุธ ตรีเพชร ขุนกระบี่ วายุบุตร ขุนมาร อสุรี กุมภัณฑ์


๔๗ รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามจากบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เพื่อสรุปใจความสำคัญ ๑) ใครเนรมิตกายใหญ่เท่าเขาจักรวาล เพื่ออมพลับพลาที่ประทับของพระรามไว้ ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๒) ใครเป็นผู้ลักพาตัวพระรามไปไว้ที่เมืองบาดาล ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๓) หนุมานฝ่าด่านไปเมืองบาดาลเพื่ออะไร ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๔) หนุมานพบใครที่ด่านรักษาชั้นในของเมืองบาดาล ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๕) ผู้รักษาด่านชั้นในของเมืองบาดาลมีความเกี่ยวข้องกับหนุมานอย่างไร ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๖) ทำไมมัจฉานุจึงเชื่อว่าหนุมานเป็นพ่อของตน ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๗) หนุมานใช้วิธีใดจึงผ่านประตูเมืองยักษ์เข้าไปได้ ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๘) เพราะเหตุใดนางพิรากวนจึงยอมช่วยหนุมาน ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๙) เมื่อหนุมานช่วยพระรามออกจากกรงเหล็กแล้ว หนุมานนำพระรามไปไว้ที่ไหน ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๐) หนุมานกับไมยราพต่อสู้กันอย่างดุเดือดใช้อาวุธต่าง ๆ มากมาย จนในที่สุดทั้งสองประลองกันอย่างไร ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๑) อาวุธชนิดสุดท้ายที่ไมยราพและหนุมานใช้ต่อสู้กันคืออะไร ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๒) ไมยราพได้ถอดดวงใจมาเป็นสัตว์ชนิดใด ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๓) ไมยราพเอากล่องดวงใจไปซ่อนไว้ที่ไหน ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๔) ใครเป็นคนบอกวิธีฆ่าไมยราพแก่หนุมาน ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ๑๕) หนุมานทำอย่างไรจึงสามารถฆ่าไมยราพได้ ตอบ …………………………………………………..…………………………………………………..………………………………… ใบงานที่ ๕ “อ่านคิดพินิจเรื่องราว” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน หนุมาน ไมยราพ ช่วยพระราม มัจฉานุ เป็นลูกของตนกับนางสุพรรณมัจฉา เพราะหนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน แปลงเป็นใยบัวติดสไบนางพิรากวน เพื่อให้หนุมานช่วยไวยวิกลูกชายที่จะถูกไมยราพฆ่าพร้อมกับพระราม นำไปฝากเทวดาไว้ที่เชิงเขาสุรกานต์ ผลัดกันตีด้วยตระบองตาลคนละสามครั้ง แมลงภู่ ตระบอง ยอดเขาตรีกูฏ นางพิรากวน ขยี้แมลงภู่ในกล่องดวงใจจนแหลก พร้อมตัดหัวไมยราพทิ้ง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญของบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ตอน ศึกไมยราพ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ๔๘ ใบงานที่ ๖ “การสรุปใจความสำคัญ” คะแนนที่ได้…………..……..…… คะแนน …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… หนุมานฝ่าด่านไปเมืองบาดาล เพื่อช่วยพระราม ซึ่งถูกไมยราพลักพาตัวไป จึงได้พบกับมัจฉานุซึ่งเป็นลูกของตนกับนางสุพรรณมัจฉา เป็นผู้รักษาด่านชั้นใน ของเมืองบาดาล เมื่อหนุมานผ่านด่านมาได้จึงขอให้นางพิรากวนร่วมมือกับตน เพื่อช่วยพระรามและไวยวิก ลูกชายของนาง นางพิรากวนจึงพาหนุมานเข้าเมือง โดยหนุมานแปลงเป็นใยบัวติดสไบนางเข้าไป จากนั้นหนุมานจึงไปช่วยพระราม ออกจากกรงเหล็ก แล้วนำไปฝากเทวดาไว้ที่เชิงเขาสุรกานต์ แล้วหนุมานจึงกลับ มาต่อสู้กับไมยราพ ทั้งสองต่อสู่กันอย่างดุเดือด แต่ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ จึงตกลงใช้ ตระบองตาลผลัดกันตีคนละสามที แต่ยังไม่สามารถเอาชนะกันได้ สุดท้ายหนุมาน จึงไปค้นหาดวงใจที่ไมยราพถอดเป็นแมลงภู่ไว้ ขยี้ดวงใจจนแหลกพร้อมกับตัดหัว ไมยราพ ไมยราพจึงขาดใจตาย (คำตอบอยู่ในดุลพินิจของครู)


Click to View FlipBook Version