เอกสารประกอบการประชมุ เชงิ ปฏิบตั กิ าร
การบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คลการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพ
การดาเนินงานทางวนิ ยั
“... การรักษาความยุตธิ รรม
ในแผ่นดนิ ไม่ควรจะถอื เพียง
แค่ขอบเขตของกฎหมาย...
จาเป็ นต้องขยายออกไปให้ถงึ ศีลธรรมจรรยา
ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็ นจริงด้วย...”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทาน
ป ร ะ ก า ศ นี ย บั ต ร ข อ ง ส า นั ก อ บ ร ม
ศกึ ษากฎหมายแห่งเนตบิ ัณฑติ ยสภา
ณ อาคารใหม่ สวนอมั พร
วันท่ี 29 ตุลาคม 2522
กองการเจ้าหนา้ ท่ี
กรมการพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย
เศรษฐกจิ ฐานรากมน่ั คงและชมุ ชนพง่ึ ตนเองได้ Change for Good
ภายในปี ๒๕๖๕
สารบญั
วินยั ข้าราชการ หน้า
ความหมายวินยั ขา้ ราชการ
ขอ้ กาหนดวินัย ๑
๓
กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดาเนินการทางวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖
หมวด ๑ การดาเนินการเม่ือมีการกล่าวหาหรือมีกรณที ่สี งสยั ว่ามีการกระทาผิดวนิ ยั ๑๖
หมวด ๒ การสบื สวนหรือพจิ ารณาในเบื้องต้น ๒๐
หมวด ๓ การดาเนนิ การในกรณมี มี ูลที่ควรกลา่ วหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่รา้ ยแรง ๒๓
หมวด ๔ การดาเนนิ การในกรณมี มี ูลท่คี วรกลา่ วหาวา่ กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ๒๗
หมวด ๕ กรณีความผิดท่ปี รากฏชดั แจง้ ๔๖
หมวด ๖ การสงั่ ยตุ ิเร่อื ง ลงโทษ หรอื งดโทษ ๔๙
หมวด ๗ การมีคาสั่งใหมก่ รณีมีการเพ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ ๕๒
หมวด ๘ การส่งั พกั ราชการและให้ออกจากราชการไว้กอ่ น ๕๖
หมวด ๙ ระยะเวลา ๖๘
หมวด ๑๐ บทเบด็ เตล็ด ๗๑
บทเฉพาะกาล ๗๒
ภาคผนวก
- สรุปประเดน็ การร้องเรียน กล่าวหาเกี่ยวกับวนิ ัยขา้ ราชการ
กรมการพฒั นาชุมชน ปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
- พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
- หนงั สอื สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๑ ลงวนั ที่ 1 มกราคม ๒๕๕๗
เรื่อง กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๒ ลงวนั ท่ี ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เรื่อง กาหนดตาแหนง่ ประธานกรรมการตาม กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื สานกั งาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว๓ ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๗
เร่ือง แบบตาม กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื กระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๒๐๒.๒/ว๕๙ ลงวนั ที่ ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๕๒
เรือ่ ง การรายงานการดาเนนิ การทางวนิ ัยขา้ ราชการต่อ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย
- หนังสอื สานกั งาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๘ ลงวันที่ ๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๗
เรื่อง ระเบยี บ ก.พ. ว่าดว้ ยการรายงานการดาเนนิ การทางวนิ ัย และการสั่งให้ออกจากราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๖
เอกสารประกอบการประขมุ เชงิ ปฏิบตั กิ าร กองการเจ้าหน้าท่ี กรมการพฒั นาชมุ ชน
วนิ ัยขา ราชการ
ในการบริหารราชการของประเทศไทย ขาราชการพลเรือนซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐในการปฏิบัติ
ตามนโยบายของรัฐบาลบริหารราชการ เปนกลไกหลักสําคัญ ท่ีจะนํามาซึ่งความเจริญ รุงเรืองใหแก
ประเทศชาติ จึงจําเปนอยางย่ิงที่ขาราชการพลเรือนจะตองทําตนใหเปนท่ีเช่ือถือศรัทธาของประชาชน โดยการ
ประพฤติปฏิบัติตนใหเปนขาราชการที่ดีอยูในระเบียบวินัยของขาราชการ ตั้งใจปฏิบัติราชการดวยความเอาใจใส
ระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ เพ่ือใหการบริหารราชการแผนดินเปนไปโดยเรียบรอยและ
เจริญกาวหนายิ่งขึ้น หากขาราชการพลเรือนไมปฏิบัติหนาที่ราชการอยูในระเบียบวินัยอันดี นอกจากจะทําให
เสอื่ มเสียเกียรติศักด์ิของความเปน ขาราชการแลว ยงั ทาํ ใหประชาชนขาดความเช่ือถือศรัทธาในรฐั บาล อันจะสงผล
กระทบนําความเสียหายมาสูระบบราชการ ประเทศชาติและประชาชนโดยสวนรวมดวย วินัยขาราชการพลเรือน
จึงเปนส่ิงจําเปนที่จะตองมีและขาราชการพลเรือนทุกคนจะตองรักษาวินัยโดยเครงครัดอยูเสมอ ผูใดฝาฝนขอหาม
หรือไมปฏิบัติตามขอปฏิบัติทางวินัยตามท่ีบัญญัติไว ยอมถือวาผูน้ันกระทําผิดวินัยและจะตองไดรับโทษตามที่
กําหนดไว แตเปาหมายของวินัยขาราชการพลเรือนมิไดอยูท่ีการลงโทษแตเพียงอยางเดียว ควรมุงในดานการ
เสรมิ สรางและพัฒนาเพื่อใหขาราชการพลเรือนมีวินัยที่ดีดวย
ความหมายของ “วินยั ”
คําวา “วินัย” ตรงกับภาษาอังกฤษวา Discipline เปนเคร่ืองควบคุมพฤติกรรมของคนอยางหน่ึง
ซงึ่ ใชส ําหรบั คนในแตละหมแู ตละเหลาผูมภี ารกิจในลักษณะใดลกั ษณะหนึง่ ท่ีจะตองยึดถือปฏิบัติ
ลักษณะของวินัย อาจมองเห็นไดใ นหลายแงมมุ เชน
มอง “วินัย” ในแงรูปลักษณ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ใหความหมายของ “วินัย” ไว
๒ ลักษณะ คือ ลกั ษณะหนึง่ หมายถงึ “ขอปฏบิ ัติ” ซึ่งเปนการมองที่ปทัสถาน(Norm) ท่กี ําหนดไว อีกลักษณะหนึ่ง
หมายถงึ “การอยใู นแบบแผน” ซง่ึ เปน การมองทพี่ ฤตกิ รรม(Behavior)ของคน
การมองวินัย ในแงรูปลักษณนี้ ทําใหมองเห็นวิธีสรางวินัยวามีอยู ๒ ทาง คือ สรางปทัสถาน(Norm)
โดยกาํ หนดขอปฏบิ ัติทางหนึง่ และสรางพฤติกรรม (Behavior)โดยสรา งปจจัยท่ีเสริมสรางวินัยอีกทางหน่ึง
มอง “วินัย”ในแงบทบาท การมองในแงนี้ ทําใหมองเห็นวาวินัยของคนตางหมูตางเหลาน้ีอาจไม
เหมือนกัน อาจแตกตางกันตามบทบาทภารกิจของแตละหมูเหลา เชน วินัยสงฆก็อยางหนึ่ง วินัยทหารก็อยางหน่ึง
วนิ ัยขาราชการพลเรอื นก็อยา งหน่ึง วนิ ัยขาราชการครูก็อีกอยางหนึ่ง ท้ังนี้ เปนไปตามแบบ ของคนในหมูเหลาน้ันๆ
ซึ่งการพิจารณาความผิดทางวินัยตองพิจารณาตามแบบของคนแตละหมูแตละเหลา การกําหนดบทวินัยก็ตอง
กําหนดใหเ หมาะสมกบั แบบของคนแตละหมแู ตละเหลา
มองวินัยในแงการใชบังคับ เม่ือนํา “วินัย”มาใชบังคับกับคน จะมีคํากลาวถึงพฤติกรรมของคนอยู
๒ อยาง คือ “ผิดวินัย”หรือ “ไมผิดวินัย”อยางหนึ่ง “มีวินัย”หรือ “ไมมีวินัย”อีกอยางหนึ่ง ถากลาววา “ผิดวินัย”
หรือ “ไมผิดวินัย” คําวา “วินัย” จะหมายถึง “ขอปฏิบัติ”หรือ “ขอหาม” ท่ีกําหนดไวเปนปทัสถานแหงความ
ประพฤติสาํ หรับคนในหมูเ หลานั้น คอื ไมป ฏบิ ตั ติ ามขอปฏิบตั หิ รือขอหา มทางวินัย
ถากลาววา “มีวินัย” หรือ “ไมมีวินัย” คําวา “วินัย” จะหมายถึง “ลักษณะเชิงพฤติกรรม”ท่ีคน
ปฏิบัติหรือไมปฏิบัติตามขอปฏิบัติ หรือไมฝาฝนหรือฝาฝนขอหามทางวินัยที่กําหนดไวเปนปทัสถานแหงความ
๒
ประพฤติสาํ หรับคนในหมูเหลาน้นั การมอง “วนิ ัย”ในแงการใชบังคับน้ี จะมงุ ไปที่การพิจารณาความชัว่ ความดีหรือ
ความผดิ ความชอบของคน
บทบัญญัติของวินัยขาราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
หมวดท่ี ๖ เกี่ยวกับเรื่องวินัยและการรักษาวินัย ไดกําหนดลักษณะวินัยขาราชการไวท้ังที่เปนขอปฏิบัติและขอหาม
โดยคํานึงถึงประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ เกียรติและศักดิ์ศรี ตลอดจนความเช่ือถือของประชาชน และ
กาํ หนดลักษณะการกระทําผิดท่ีมีสภาพกอใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรา ยแรง เปนการกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง ตลอดจนกาํ หนดบทลงโทษแกผกู ระทําวินัยไวตามสภาพแหง ความรา ยแรงของการกระทาํ ผิด
ดังนั้นจึงพอสรุปไดวา วินัยขาราชการ หมายความถึง กฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับ หรือแบบ
แผน ความประพฤติทีก่ ําหนดใหขาราชการพงึ ควบคุมตนเอง และควบคุมผอู ยูใตบงั คับบัญชาใหประพฤติหรือปฏิบัติ
ตามท่ีกําหนดไว ทั้งน้ีเพื่อใหเกิดความเปนระเบียบเรียบรอยในการบริหารราชการแผนดิน ตลอดจนใหการ
ดําเนินงานเปนไปอยางมปี ระสิทธิภาพและเปนทีเ่ ชื่อถือแกบ ุคคลทั่วไป
ความหมายของ “การรักษาวินยั ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใหความหมายของคําวา “รักษา” ไว ๔ อยาง คือ ระวัง ดูแล
ปองกัน และเยียวยา เมื่อนําความหายของคําวา “รักษา” มาใชกับการรักษาวินัยขาราชการ ก็จะอธิบาย
ความหมายของ “การรักษาวนิ ัยขาราชการ”ไดวา หมายถึง
๑. การท่ขี า ราชการแตละคน “ระวงั ”ไมกระทําผิดวินัย
๒. การท่ีผูบังคับบัญชา องคกร ผูเกี่ยวของ และสังคม “ดูแล” เสริมสรางและพัฒนาให
ขา ราชการมีวนิ ยั
๓. การที่ผบู ังคับบัญชา องคกร ผูเก่ียวของและสงั คม “ปองกัน” มิใหขา ราชการกระทําผิดวินัย
๔. การที่ผบู ังคบั บัญชา องคกร และผูเก่ียวขอ ง “เยียวยา” โดยดาํ เนินการทางวินัยแกขาราชการ
ที่กระทาํ ผิดวินัย
ดังน้ัน การรักษาวินัยขาราชการใหไดผลจะตองเร่ิมตนจากตัวขาราชการเอง ผูบังคับบัญชา
องคกร ตลอดจนผูท่ีเกี่ยวของท้ังหลาย รวมมือกันโดยดําเนินการทั้งระวัง ดูแล ปองกัน และเยียวยา ควบคูกันไป
ตามลักษณะสถานการณท ี่เหมาะสม จงึ จะบรรลุผลตามที่ตอ งการ
ในเร่ืองวินัยและการรักษาวินัยขาราชการ พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ.
๒๕๕๑ ไดมีการปรับปรุงบทบัญญัติเก่ียวกับเร่ืองวินัยและการรักษาวินัยไวในหมวดที่ ๖ โดยบัญญัติแตกตางจาก
พระราชบญั ญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แตเ ปนหมวดท่ีมีการเปลีย่ นแปลงไมมากในเนอ้ื หา ซ่ึงจะมี
การบัญญัติลักษณะของการกระทําผิดทางวินัยเพิ่มขึ้นบาง สวนท่ีเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดในหมวดน้ีคือรูปแบบ ซ่ึง
จะบัญญัติสวนท่ีเปนบทวินัยไวในสองลักษณะ คือ กําหนดเปน “ขอปฏิบัติ” ทั้งปวงไวในมาตรา ๘๒ ซ่ึงเปนการ
กําหนดวา ขาราชการพลเรือนสามัญจะ “ตอง” ปฏิบัติในเรื่องใดบาง เชน ตองปฏิบัติหนาท่ีราชการดวยความ
ซื่อสัตย สุจริต และเที่ยงธรรม (มาตรา ๘๒ (๑) ) ตองปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของ
ทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ(มาตรา ๘๒
(๒) ) เปนตน เปนการประมวลขอที่ตองปฏิบัติไวในมาตราเดียว คือ มาตรา ๘๒ แลวเรียงบทบัญญัติที่ตองปฏิบัติ
ดังกลาวไวในแตละอนุมาตรา และมีการเพิ่มเติมบทวินัยท่ีเปนหลักการใหมอันถือเปนสาระสําคัญประการหน่ึง คือ
๓
บทบญั ญัติในมาตรา ๘๓ (๙) ขา ราชการพลเรือนสามัญตอ งไมก ระทําการอันเปน การลวงละเมดิ หรือคุกคามทางเพศ
ตามที่กาํ หนดไวในกฎ ก.พ.
ซ่ึงบทบัญญัติในเรื่องวินัยที่บัญญัติไวในมาตรา ๘๒ ดังกลาว สวนใหญในพระราชบัญญัติระเบียบ
ขาราชการพลเรือนทุกฉบับที่ผานมาจะบัญญัติบทวินัยแตละเรื่องไวในแตละมาตรา มิไดบัญญัติรวมไวดังเชนท่ี
ปรากฏในพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ นี่คือการบัญญัติกฎหมายท่ีเปลี่ยนไปจากรูป
แบบเดิมที่ขาราชการพลเรือนสามัญรับรูดวยความเคยชินมาตลอดเวลาที่อางอิง ศึกษา หรือรับรูเก่ียวกับเรื่องวินัย
ขาราชการซ่ึงเคยบัญญัติไว เรื่องใดเปนบทวินัยตามมาตราใดก็จะบัญญัติใหปรากฏไวในลักษณะท่ีเรียกไดวา “จบในตัว”
ในแตล ะมาตราและลักษณะของการกระทําผิดวินยั อยางรายแรงในเรือ่ งนน้ั ๆ ซึ่งพิจารณาจาก “ความเสียหาย”ของ
ทางราชการกจ็ ะตอเนอื่ งอยูใ นวรรคสองหรอื วรรคสามของเร่ืองและมาตรานั้นๆ
จากบทบัญญัติในมาตรา ๘๒ วาดวยการกําหนด “ขอปฏิบัติ” ใหขาราชการพลเรือนสามัญถือ
ปฏิบัติในลักษณะท่ีตองกระทําดังกลาวแลว บทบัญญัติในมาตรา ๘๓ ซึ่งเปนมาตราถัดไปก็บัญญัติบทวินัยไวใน
ลักษณะท่ีเปน “ขอหาม” โดยกําหนดวา ขาราชการพลเรือนสามัญตอง “ไมกระทําการ”ใดอันเปนขอหาม
ดังตอไปน้ี จากน้ันก็บัญญัติขอหามไวในอนุมาตราตางๆตอไปในรูปแบบเดียวกับท่ีบัญญัติเปนขอปฏิบัติไวในมาตรา
๘๒ ดังทก่ี ลา วมาแลว
ดังนั้น เมื่อไดกําหนดรูปแบบใหมในการรางเกี่ยวกับเรื่องวินัยและการรักษาวินัยไวในลักษณะ
“องครวม” ทุกเรื่องรวมอยูในมาตราเดียว แยกเฉพาะอนุมาตราดังท่ีปรากฏในมาตรา ๘๒ และมาตรา ๘๓ แลว
มาตรา ๘๕ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ก็ไดบัญญัติเกี่ยวกับกรณีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงรวมไวในลักษณะเชนนั้นดวย คือ บทบัญญัติวาดวยกรณีท่ีเปนความผิดวินัยอยางรายแรงทุกกรณี จะ
ประมวลไวในมาตรา ๘๕ เรียงอนมุ าตราไป
ขอกําหนดวินัย
พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ.2551หมวด 6 ไดบัญญัติขอกําหนดวินัยให
ขาราชการพลเรอื นยึดถือเปนแบบแผนในการควบคุมประพฤติ ดงั น้ี
มาตรา 80
“ขา ราชการพลเรอื นสามัญตองรักษาวินัยโดยกระทําการหรือไมกระทําการตามที่บัญญัติไวใน
หมวดนี้โดยเครงครดั อยเู สมอ
ขาราชการพลเรือนสามัญผูปฏิบัติราชการในตางประเทศนอกจากจะตองรักษาวินัยตามท่ีได
บญั ญตั ไิ วในหมวดน้ี แลวตอ งรกั ษาวินยั โดยกระทําการหรอื ไมกระทาํ การตามท่กี ําหนดในกฎ ก.พ.ดว ย”
จากบทบัญญัติดังกลาว ขาราชการพลเรือนทุกคนจึงจําเปนตองรับทราบขอกําหนดวินัยตาม
มาตราตางๆ เพ่ือประโยชนในการรักษาวินัยหรือประพฤติปฏิบัติตนใหเปนขาราชการที่ดี และสําหรับผูมีหนาที่
ปฏิบัตงิ านวินยั จําเปนอยา งยิง่ ท่ีจะตอ งทาํ ความเขาใจใหลึกซึ้งเพราะเปนพื้นฐานทจ่ี ะตองนําไปใชวินจิ ฉัยใหเปนการ
ถูกตอ ง
ผูซึ่งอยูในบังคับท่ีจะตองรักษาวินัยและรับผิดชอบทางวินัยตามกฎหมายนี้ ตองเปนผูมีฐานะเปน
ขาราชการพลเรอื นสามัญจะนํามาลงโทษทางวนิ ยั ไมได
๔
สําหรับกรณีขาราชการพลเรือนสามัญที่ปฏิบัติราชการในตางประเทศน้ันนอกจากจะตองรักษา
วินัยตามที่ไดบัญญัติไวในหมวดน้ีแลว ยังจะตองรักษาวินัยโดยกระทําการหรือไมกระทําการตามท่ีกําหนดไวในกฎ
ก.พ. อีกดว ย
มาตรา 81
“ขาราชการพ ลเรือนสามัญ ตองสบับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ทรงเปนประมุขดวยความบริสุทธ์ใิ จ”
โดยท่ีประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข
ดังน้ัน ขาราชการซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐจึงตองสนับสนุนการปกครองในระบอบดังกลาวดวยความบริสุทธิ์ใจ หาก
ขา ราชการผูใดกระทําการในลักษณะที่เปนการไมสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย
ทรงเปนประมุขดวยความบริสุทธ์ิใจ ก็จะมีความผิดตามมาตรานี้ ซึ่งเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง และหากถึง
ขนาดเปนผูไมเล่ือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุขตามรัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทยดวยความบริสุทธิ์ใจดวยแลวถือวาผูน้ันเปนผูขาดคุณสมบัติทั่วไปท่ีจะรับราชการตามมาตรา
36 ก.(3) และจะตอ งถูกดําเนินการสั่งใหออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติทัว่ ไป ตามมาตรา 110 (3)
มาตรา 82
“ขาราชการพลเรือนสามญั ตองกระทาํ การอันเปนขอ ปฏบิ ตั ิ ดงั ตอ ไปน้ี”
(1) ตองปฏิบัติหนา ท่ีราชการดวยความซ่ือสัตย สุจรติ และเที่ยงธรรม
ความซ่ือสัตยสุจริต มีความสาํ คญั อยางย่งิ สาํ หรับผูเปนขาราชการ เนื่องจากประเทศจะ
เจรญิ กา วหนา อยา งมั่นคงไดก็เพราะขา ราชการ ไมเ บียดบงั หาประโยชนจ ากราชการ
“ราชการ” หมายถึง งานของประเทศ
“หนาที่ราชการ” หมายถึง งานท่ีอยูในความรับผดิ ชอบของขา ราชการโดยตรง ซ่ึงไดแก หนาท่ีซึ่ง
เกิดขึ้นตามกฎหมายวาดวย การปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม กฎหมายวาดวยระเบียบบริหารราชการแผนดิน
และกฎหมายทีใ่ หอาํ นาจไวโดยเฉพาะ
“ซอื่ สตั ย” คอื การปฏบิ ัตอิ ยา งตรงไปตรงมา ไมค ดโกง หรือไมหลอกลวง
“สจุ รติ ” คือ การปฏิบตั ดิ ว ยความต้ังใจดี และชอบดว ยทาํ นองคลองธรรม
“เทยี่ งธรรม” คือ ปฏบิ ตั โิ ดยไมลําเอียง ( เลือกปฏิบัติใหแ กฝายหนงึ่ ฝายใดเปนการเฉพาะ)
ขา ราชการมีหนา ทรี่ าชการในเร่อื งใด พจิ ารณาไดดงั น้ี
1. กฎหมายหรือระเบียบ ท่ีกําหนดใหตําแหนงใดมีหนาท่ีในเรื่องใด เชน ระเบียบวาดวยพัสดุ
กําหนดใหขาราชการผูดํารงตําแหนงใดเปนผูมีอํานาจในการสั่งซ้ือ สั่งจาง ผูน้ันก็มีหนาท่ีราชการตามระเบียบนั้น
เปนตน
2. มาตรฐานกําหนดตําแหนง ท่ี ก.พ. ไดกําหนดหนาที่และความรับผิดชอบของงานในแตละ
ตาํ แหนง ตลอดจนลกั ษณะงานที่ตอ งปฏิบัติเปนกรอบกวา งๆไว
3. การมอบหมายของผูบังคับบัญชา ท่ีใหปฏิบัติงานอ่ืนนอกเหนือจากลักษณะงานตามท่ีกําหนด
ไวในมาตรฐานกาํ หนดตาํ แหนงแตอ ยูภายในอํานาจหนา ที่ของผบู ังคับบัญชา
๕
4. โดยพฤตินัย หนาท่ีโดยพฤตินัยน้ีจะพิจารณาจากขอเท็จจริงและพฤติการณที่ปรากฏ วา
เพียงพอท่จี ะถือเปนหนาท่รี าชการในเร่ืองน้ันหรอื ไม
(2) ตองปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของ
คณะรัฐมนตรี นโยบายของรฐั บาลและปฏิบตั ิตามระเบยี บแบบแผนของทางราชการ
การปฏิบัติหนาที่ราชการ โดยปกติจะมีกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคณะรัฐมนตรี กําหนด
หลักเกณฑวธิ ีปฏิบัติไวเ พื่อใหราชการดําเนินไปไดดวยดีมีประสทิ ธิภาพ ดังน้นั หากราชการปฏิบัติหนาที่ราชการโดย
ไมเครง ครดั ฝาฝน กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไมปฏิบัติตามระเบียบ
แบบแผนของทางราชการแลว ยอมเปนทางใหราชการเกิดความเสียหายและไมสามารถบริหารจัดการงานของ
ราชการอยางมีประสิทธิภาพได ซ่ึงการกระทําผิดดังกลาวไมคํานึงถึงวาจะตองเปนกรณีท่ีทําใหเกิดความเสียหายแก
ราชการข้ึนแลวหรือไม ดังนั้น หากขอเท็จจริงฟงไดวาเปนการไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบแบบแผนของทางราชการแลว แมไ มเกดิ ความเสียหายแกราชการกเ็ ปนความผิดตามอนมุ าตราน้ี
(3) ตองปฏิบัติหนาที่ราชการใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกราชการดวยความต้ังใจ
อตุ สาหะ เอาใจใสแ ละรกั ษาประโยชนข องทางราชการ
เปนขอที่กําหนดขึ้นมาเพ่ือมุงหมายใหขาราชการปฏิบัติหนาที่ราชการอยางมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล และใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกราชการ โดยมุงหมายที่พฤติกรรมของขาราชการที่จะตอง
ปฏิบัติงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใสระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ ท้ังน้ีเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุด
แกราชการและผลดีเปนสําคัญ ไมใชทํางานแบบ “เชาชามเยน็ ชาม” เพียงแตใหเ สร็จไปหรือใหพอหมดเวลาไปวันๆ
(4) ตองปฏิบัติตามคําส่ังของผูบังคับบัญชา ซึ่งส่ังในหนาที่ราชการโดยชอบดวยกฎหมายและ
ระเบียบของทางราชการ โดยไมขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แตถาเห็นวาปฏิบัติคําส่ังน้ันจะทําใหเสียหายแกราชการ
หรือจะเปนการไมรักษาประโยชนของทางราชการ จะตองเสนอความเห็นเปนหนงั สือทันทีเพอ่ื ใหผูบังคับบญั ชา
ทบทวนคําสั่งน้ัน และเมื่อไดเสนอความเห็นแลว ถาผูบังคับบัญชายืนยนั ใหปฏิบัติตามคําสั่งเดิม ผอู ยูใตบังคับ
บัญชาตองปฎิบัตติ าม
การขัดคําสั่งซ่งึ จะเปนความผิดตามอนุมาตรานมี้ ีองคประกอบ 3 ขอ คือ
1. มคี าํ สงั่ ของผบู งั คบั บญั ชา
“คําส่ัง” หมายถึง การบอกกลาวใหกระทําหรือใหปฏิบัติซ่ึงคําสั่งของผูบังคับบัญชาในที่นี้ไม
จาํ เปน ตองเปน หนังสือเสมอไปอาจเปนการส่ังดวยวาจากไ็ ด
2. ผูสั่งเปนผบู งั คับบญั ชาตามกฎหมาย
“ผูบังคับบัญชา” หมายถึง ผูบังคับบัญชาตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผนดิน กฎหมาย
แบงสวนราชการหรือจัดต้ังหนวยงานซ่ึงก็คือผูท่ีดํารงตําแหนงท่ีมีกฎหมายบัญญัติใหเปนผูบังคับบัญชา หรือผูซ่ึง
ไดรับมอบอํานาจจากผูมีอํานาจตามกฎหมายใหเปนผูบังคับบัญชา ท้ังนี้ตองเปนการมอบอํานาจตามท่ีกฎหมาย
บัญญัตใิ หมอบอาํ นาจไดดวย
3. เปนการสั่งในหนา ท่รี าชการ
4. เปนคําส่ังท่ีชอบดว ยกฎหมายและระเบยี บของราชการ
๖
5. มีเจตนาไมป ฏิบตั ิตามคําส่ัง ขัดขืน หรอื หลกี เลียง
ในการปฏิบัติตามคําส่ังของผูบังคับบัญชา บทวินัยตามอนุมาตรานี้ไดเปดโอกาสใหผูใตบังคับบัญชา
สามารถขอทบทวนคําสั่งได หากเห็นวาการปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาน้ันจะทําใหเสียหายแกราชการหรือ
จะเปนการไมรักษาประโยชนของทางราชการ ท้ังนี้เพื่อชวยกันดูแลราชการ โดยผูใตบังคับบัญชาจะตองเสนอ
ความเห็นเปนหนังสือตอผูบังคับบัญชาทันที เพื่อใหผูบังคับบัญชาไดพิจารณาดวยความรอบคอบอีกคร้ังหนึ่ง และ
เม่ือไดเสนอความเห็นแลว ถา ผูบังคับบัญชายืนยันใหปฏบิ ตั ติ ามคําส่งั เดิม ผใู ตบ งั คบั บัญชาตองปฏิบตั ติ าม
(5 ) ตองอุทิศเวลาของตนใหแ กราชการ จะละท้งิ หรือทอดทงิ้ หนาที่ราชการมิได
อุทิศเวลาของตน หมายถึง การสละเวลาสวนตัวใหแกราชการในกรณีท่ีทางราชการมีงานเรงดวน
ทีจ่ าํ เปน ซงึ่ อาจจะตองใหข า ราชการปฏิบตั ิงานนอกเวลาราชการปกติ
ละท้ิงหนาท่ีราชการ หมายถึง ไมอยูปฏิบัติราชการตามหนาท่ี ซ่ึงไดแกการไมมายังสถานท่ีท่ีตอง
ปฏิบัติราชการตามหนาท่ีหรือไมมาใหผูบังคับบัญชามอบหมายงานใหปฏิบัติ รวมท้ังการมายังสถานที่ราชการแลว
ไมอ ยูปฏบิ ัติงาน โดยละทิ้งไปไมอ ยูใ นสถานทีท่ ีต่ อ งอยู
ทอดทิ้งหนาท่ีราชการ หมายถึง มาปฏิบัติหนาที่ราชการแตไมสนใจเปนธุระใหงานท่ีไดรับ
มอบหมายสําเร็จลงโดยเร็ว ปลอ ยปละละเลยทําใหง านในหนา ทีค่ งั่ คาง
(6) ตองรักษาความลบั ของทางราชการ
โดยท่ีการปฏิบัติหนาท่ีราชการในบางกรณีอาจเปนความลับท่ีไมควรเปดเผยในชวงระยะเวลาหนึ่ง
หรือเปนเรือ่ งลับตลอดไป เน่ืองจากเปนความมั่นคงของประเทศชาติ หรอื กระทบตอเศรษฐกิจของประเทศหรือการ
บริหารบานเมืองซ่ึงหากมีการเปดเผยขอเท็จจริงอันเปนความลับออกไปกอนเวลาที่กําหนดอาจทําใหเกิดความ
เสียหายแกราชการไดซึ่งตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการรักษาความปลอดภัยแหงชาติ พ.ศ. 2544
ไดกําหนดชั้นความลับของทางราชการไว 3 ชนั้ ไดแ ก ลบั ที่สุด ลบั มาก และลบั
ความลบั คือ เร่ืองราวท่ีไมพงึ เปด เผย
ขาราชการพลเรือนสามญั ผูใดทราบความลับของทางราชการไมวาจะเปนการทราบโดยไดรไู ดเห็น
ดวยตนเอง หรือโดยทางอื่นใดและไมวาผูนั้นจะมีหรือไมมีหนาที่ราชการเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือไมก็ตามผูนั้นตอง
รกั ษาความลับนน้ั ไวโดยไมเปด เผยใหผูไมม หี นาท่ที ราบ
(7) ตองสุภาพเรียบรอย รักษาความสามัคคี และตองชวยเหลือกัน ในการปฏิบัติราชการ
ระหวา งขาราชการดวยกันและผรู วมปฏบิ ัติราชการ
โดยที่ขา ราชการอยูรวมกันในหนวยงาน จึงตอ งมีการปฏิบตั ิราชการรวมกัน หรอื รบั ผิดชอบในงาน
แตละข้ันตอนตอเนื่องกันประสิทธิภาพของงานราชการจะดีไดก็ดวยความสามัคคีในหนวยงานซ่ึงจะเปนพลังทําให
งานกาวหนาอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีได ตรงกันขามหากในหนวยงานมีการทะเลาะเบาะแวง
หวาดระแวง ไมรวมมือกันงานก็จะไมเดินหรือไมไดงานที่ดี ดังนั้น ขาราชการจึงควรสุภาพเรียบรอย พูดจาไพเราะ
ตอ กนั รกั ษาความสามัคคี ไมท ะเลาะววิ าทกัน และตอ งชว ยเหลอื กันในการปฏบิ ตั ริ าชการ
“ผูรวมปฏิบัติราชการ” ในที่นี้ หมายถึง ขาราชการดวยกัน และผูอ่ืนท่ีรวมปฏิบัติงานดวย เชน
ลูกจางประจํา ลกู จางชว่ั คราว พนักงานราชการ เปน ตน
๗
(8) ตองตอนรับใหความสะดวก ใหความเปนธรรม และใหการสงเคราะหแกประชาชนผูมา
ติดตอ ราชการเกีย่ วกับหนา ทข่ี องตน
โดยท่ีขาราชการเปนผูใหบริการแกประชาชนผูมาติดตอราชการจึงตองใหการตอนรับ ใหความ
สะดวก ใหค วามเปน ธรรมและใหการสงเคราะหแ กประชาชน ผูมาติดตอ ราชการอนั เกยี่ วกับหนาท่ีของตน
การตอนรับ ใหความสะดวก ใหความเปนธรรมและใหการสงเคราะหแกประชาชน จะตองเปน
กรณีที่ประชาชนมาตดิ ตอราชการในหนาท่ีของขาราชการผูน้ัน หรืออาจเปน กรณีที่ขาราชการออกไปปฎิบตั ิราชการ
กับประชาชนนอกหนวยงานก็ได แตมิใชประชาชนที่เปนเพ่ือนบานหรือบุคคลท่ัวไป ซ่ึงหากขาราชการมีเรื่อง
ทะเลาะววิ าทดาทอกบั เพือ่ นบา นก็ไมถ ือเปนความผิดตามมาตรานี้
(9) ตองวางตัวเปนกลางทางการเมืองในการปฎิบัติหนาที่ราชการ และในการปฏิบัติการอ่ืนที่
เก่ียวของกับประชาชนกับจะตองปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ วาดวยมารยาททางการเมืองของ
ขา ราชการดวย
มาตรานี้เปนการบัญญัติข้ึนโดยมีเจตนารมณใหขาราชการมีความเปนกลางทางการเมือง เพ่ือให
สามารถปฏิบัติหนาที่ราชการประจําไดอยางตอเน่ือง ไมวา พรรคการเมืองใดๆ จะเขามาเปนรฐั บาลบริหารประเทศ
ดังนั้น ในการปฏิบัติราชการท่ีเก่ียวเนื่องกับการเมืองขาราชการจะอํานวยความสะดวกใหแกพรรคการเมืองใดเปน
พิเศษกวาพรรคการเมืองอื่นไมได หรือจะชักชวนใหประชาชนสบับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเปน
การเฉพาะก็ไมได แตในทางสวนตัวนั้น ขาราชการจะนิยมหรือเปนสมาชิกพรรคการเมืองใดก็ได แตหามเปน
กรรมการพรรคการเมอื ง และเจาหนาท่ใี นพรรคการเมือง เพราะเปนคุณสมบตั ิท่ีตองหามของการเปน ขาราชการพล
เรือนสามญั
นอกจากน้ีในการปฏิบัติตนของขาราชการพลเรือนตองปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการวา ดวย
มารยาททางการเมอื ง
(10) ตอ งรักษาชอื่ เสยี งของตน และรักษาเกยี รติศกั ดิข์ องตําแหนงหนา ท่ีราชการของตนมใิ ห
เสื่อมเสยี
โดยที่ขาราชการเปนเจาหนาที่ของรัฐและมีสวนสรางภาพพจนใหแกราชการ เมื่อขาราชการมี
ความประพฤติดีเปนท่ียกยองชมเชยของประชาชน ประชาชนก็จะศรัทธาตอหนวยงานและตอราชการโดยรวม
ดงั น้ัน กฎหมายจึงกําหนดใหขาราชการตอ งรักษาช่ือเสียงของตน และรกั ษาเกียรตศิ ักดิ์ของตําแหนงหนาท่ีราชการ
ของตนมใิ หเสือ่ มเสยี
การที่จะพิจารณาวาการกระทําอยางไรเปนการไมรักษาช่ือเสียงของตน และไมรักษาเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนง หนา ทร่ี าชการของตนมใิ หเสื่อมเสียนั้น มแี นวทางพจิ ารณา ดงั นี้
1. เปนการกระทําที่ทําใหเสื่อมเสียตอเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาท่ีราชการเกียรติศักดิ์ของ
ตาํ แหนงหนาที่ราชการ หมายถงึ ฐานะท่ีไดรับการยกยอ งสรรเสรญิ ตามตาํ แหนง หนาท่ีราชการ
ขาราชการมีตําแหนงหนาที่ราชการ และอยูในฐานะท่ีจะตองประพฤติปฏิบัติตนใหเหมาะสมกับ
ฐานะที่ควรไดรับการยกยองสรรเสริญหรือเคารพนับถือเล่ือมใสศรัทธาในหนาที่ราชการ และวงสังคมทั่วไปตาม
ตาํ แหนงหนาท่ีราชการของตน ซึง่ แตละตําแหนงหนาทอ่ี าจอยูในฐานะทจ่ี ะตองรักษาเกียรติศักด์ขิ องตาํ แหนงหนาท่ี
แตกตา งกันได
๘
2. เปนการกระทําที่สังคมรังเกียจ หรือเปนที่รังเกียจของสังคมโดยพิจารณาจากความรูสึกของ
ประชาชนหรอื ของขาราชการทั่วไป ซงึ่ ความรสู กึ ของสังคมน้ีอาจเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลาได
3. เปน การกระทาํ โดยเจตนา พิจารณาจากเจตนาท่ีแทจ ริงในการกระทาํ
หากการกระทําใดเขาลักษณะทั้ง 3 ขอ ดังกลาวก็เปนความผิดฐานไมรักษาช่ือเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตาํ แหนง หนา ทร่ี าชการของตนมิใหเ ส่ือมเสีย
(11) กระทําการอืน่ ใดตามท่กี าํ หนดในกฎ ก.พ.
ปจจุบันยังไมไดมีการออกกฎ ก.พ. เพ่ิมเติม แตถาหากไดมีการกําหนดลักษณะการกระทําผิด
เพิ่มขนึ้ ขา ราชการพลเรือนสามัญก็จะตอ งปฏิบัตติ ามท่กี าํ หนดไวในกฎ ก.พ. เพม่ิ ขึน้ ดวย
มาตรา 83
ขาราชการพลเรือนสามัญตองไมกระทาํ การใดอนั เปนขอหาม ดังตอไปนี้
(1) ตองไมรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา การรายงานโดยปกปดขอความซ่ึงควรตองแจง
ถือวา เปนการรายงานเท็จดว ย
โดยท่ีการบริหารงานและการตัดสินใจของผูบังคับบัญชาจะตอ งไดรับขอมูลที่ถูกตอง มิฉะนั้นอาจ
สงั่ การหรอื ดําเนินการเรื่องใดโดยผิดพลาดบกพรองและราชการเสยี หายได ขอบังคบั วนิ ัย ในอนมุ าตรานจ้ี ึงหามไว
เพื่อมิใหม ีการรายงานเทจ็ ตอผบู งั คับบัญชา
การรายงานโดยปกปด ขอความทคี่ วามตองแจงใหผบู งั คบั บัญชาทราบถอื เปนการรายงานเทจ็ ดวย
การรายงาน หมายถึง การบอกเลาเร่ืองราวท่ีไดทํา ไดรูหรือไดเห็นมาอาจเปนการรายงานดวย
วาจาหรือดวยลายลักษณอักษร (เปนหนังสือ) โดยวิธอี ่ืนใดก็ได ซึ่งจะเปนการรายงานเพื่อพิจารณา วินิจฉัย หรือ
ขออนญุ าต หรอื อนมุ ตั ิ หรอื เพ่ือทราบ กถ็ อื เปน การรายงานท้ังสิ้น
การรายงานตามมาตรานี้ ไมจําเปนตองเปนการรายงานเพ่ือการปฏิบัติราชการตามหนาท่ีหรือ
ตามทไ่ี ดรบั มอบหมายเสมอไป อาจเปนการรายงานในเรอ่ื งอื่นที่มกี ฎหมาย ระเบียบ หรอื แบบธรรมเนียมของทาง
ราชการ คําสงั่ ของผบู ังคบั บัญชา หรอื มตคิ ณะรฐั มนตรกี ําหนดใหรายงานกไ็ ด
(2) ตองไมปฏิบัติราชการอันเปนการกระทําการขามผูบังคับบัญชาเหนือตน เวนแต
ผบู ังคับบญั ชาเหนือตนขน้ึ ไปเปนผูส ่งั ใหก ระทําหรือไดรบั อนุญาตเปน พิเศษ ชว่ั ครัง้ คราว
มาตราน้ีมีจุดมุงหมายใหขาราชการเสนอเร่ืองตามลําดับชั้นของผูบังคับบัญชา เพ่ือใหมีการ
กล่ันกรองในแตละขั้นตอน หากปลอยใหมีการเสนองานขามขั้นตอนก็จะเกิดความสับสนได นอกจากน้ีเจาหนาที่
ระดับลางยังมีประสบการณนอย หากเสนองานผิดพลาดบกพรอง หรือมีพฤติการณปกปดขอเท็จจริงหรือมี
พฤติการณท ุจรติ ผบู งั คับบญั ชากจ็ ะไดทราบและแกไ ขไดทันทว งที
กรณีจะเปนความผดิ ตามอนุมาตราน้ีได จะตองเขา องคประกอบ ดังน้ี
1. เปน การปฏบิ ัตริ าชการ
2. เปนการกระทาํ ขา มผูบังคบั บัญชาเหนือตน
3. เปน ผบู งั คบั บัญชาตามกฎหมาย
๙
แตม ีบางกรณีเปนขอยกเวน ทข่ี าราชการอาจปฏบิ ัติราชการโดยกระทาํ การขา มผูบังคบั บญั ชาเหนือ
ตนได ซง่ึ กค็ ือ กรณีท่ีผูบังคบั บญั ชาเหนือตนข้ึนไปเปนผูส่งั ใหก ระทาํ หรอื ไดรับอนุญาตเปนพเิ ศษช่ัวครั้งช่ัวคราว
(3) ตองไมอาศัยหรือยอมใหผูอ่ืนอาศัยตําแหนงหนาท่ีราชการของตนหาประโยชนใหแก
ตนเองหรือผูอ นื่
กรณจี ะเปนความผิดฐานอาศัยตําแหนงหนา ทีร่ าชการหาประโยชนไดจ ะตองเขาองคประกอบ ดังน้ี
1. มตี ําแหนงหนาทรี่ าชการ
2. อาศัยหรือยอมใหผอู ่ืนอาศยั ตําแหนงหนาทร่ี าชการทต่ี นเองดํารงอยหู าประโยชน
ประโยชน หมายถึง ส่ิงทเี่ ปนผลดหี รอื เปนคุณแกผรู บั ประโยชนอาจเปนทรัพยส ินเงินทอง หรอื
การอ่ืนใดทีเ่ ปนผลที่ไดต ามตองการ เชน ประโยชนใ นการไดสทิ ธบิ างอยาง หรอื ไดรบั บริการพิเศษ เปน ตน
ความผิดตามอนุมาตรานี้เปนการแสวงหาประโยชนอันสืบเนื่องจากการที่ขาราชการมีหนาที่
ราชการตองปฏิบัติในเรื่องตาง ๆ ประโยชนที่ไดรับจะตองมีสวนสัมพันธกับหนาท่ีราชการของผูนั้น หรือเปน
ประโยชนที่เอ้ือตอตําแหนงหนาท่ีราชการ และถึงแมเปนประโยชนท่ีไดมาดวยการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยชอบก็
เปนความผิดได เชน เจาหนาท่ีการฑูตรับเงินและส่ิงของจากบรษิ ัททองเทย่ี วเปนการตอบแทนในการอาํ นวยความ
สะดวกในการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางเปนพิเศษ โดยบริษัททองเท่ียวตาง ๆ ยินดีมอบเงินและสิ่งของใหเอง
เจาหนาทีผ่ นู ้มี ิไดเ รียกรอ งแตอ ยางใด
เจาหนาท่ีสรรพากร มีหนาที่เรียกใหบริษัทหางรานสงสมุดบัญชีและเอกสารมาตรวจสอบภาษี
และประเมินเรียกเก็บเงนิ ภาษีเพ่ิมไดในระหวางท่ีเรยี กตรวจสอบภาษีภัตตาคารแหงหน่ึง เจาหนาที่สรรพากรผูนั้น
ไดไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารนั้นเปนประจําโดยทางภัตตาคารไมคิดเงิน เปนการอาศัยหนาที่ราชการหา
ประโยชนเปน ความผิดตามมาตรา 83(3)
(4) ตองไมประมาทเลนิ เลอในหนา ทร่ี าชการ
ประมาทเลินเลอ หมายถงึ ไมรอบคอบ ขาดความระมัดระวัง พลั้งเผลอ หลงลมื ในการปฏิบัติ
หนาที่ราชการหรือในเรื่องที่มีหนาที่ราชการจะตองปฏิบัติโดยไมมีเจตนาท่ีจะใหเกิดความเสียหาย การประมาท
เลินเลอน้ีไดท ้ังลักษณะทีเ่ ปนการกระทาํ และละเวนการกระทํา
(5) ตองไมกระทําการหรอื ยอมใหผ ูอน่ื กระทําการหาประโยชนอ ันอาจทาํ ใหเสียความเที่ยง
ธรรมหรือเสอ่ื มเสียเกียรติศกั ด์ิของตําแหนง หนาทร่ี าชการของตน
กรณีจะเปนความผิดตามมาตรานี้ จะตองเขา องคป ระกอบ ดังนี้
1. กระทาํ หรอื ยอมใหผูอ่ืนกระทาํ การหาประโยชน หมายถงึ ตอ งเปนเร่ืองการหาประโยชนโดย
กระทําดวยตนเองหรือยอมใหผูอ ื่นกระทาํ
2. ผลจากการกระทําอาจทาํ ใหเ สยี ความเทยี่ งธรรม หรอื เส่ือมเสียเกยี รติศักดิ์ของตําแหนง
หนา ท่ีราชการของตน ขอนแ้ี ยกออกเปน 2 ลกั ษณะ คือ
(1) อาจทําใหเสียความเทีย่ งธรรม
ขอน้ีเปนเร่ืองท่ีจะตองพิจารณาจากการกระทําหรือการยอมใหผูอื่นกระทําการหาประโยชน
นั้นวาเปนทางทําใหบุคคลทั่วไปมีความรูสึกตอการกระทําดังกลาววาอาจจะมีการปฏิบัติหนาท่ีดวยความลําเอียง
๑๐
ไมเปนธรรม โดยเขาขางผูท่ีใหประโยชนตนหรือไม หากเปนดังที่กลาวกรณีก็ตองดวยองคประกอบขอน้ี โดยไม
จําเปน ตอ งปรากฏขอ เทจ็ จรงิ วาไดเกดิ ความไมเทยี่ งธรรม หรอื ปฏบิ ตั ิโดยลาํ เอยี งขึ้นแลว
(2) อาจทาํ ใหเสอื่ มเสียเกียรติศักดิ์ของตาํ แหนง หนา ทรี่ าชการของตน
มหี ลกั ในการพิจารณาเรอื่ งเส่ือมเสยี เกียรติศกั ดขิ์ องตาํ แหนง หนาทรี่ าชการเชนเดียวกับมาตรา
82(10) ดงั ไดก ลาวมาแลว
(6) ตองไมเปนกรรมการผูจัดการ หรือผูจดั การ หรือดํารงตําแหนงอนื่ ใด ทมี่ ีลกั ษณะงาน
คลายคลึงกันนน้ั ในหา งหุนสว นหรือบรษิ ัท
โดยที่ขาราชการตองต้ังใจปฏิบัติหนาท่ีราชการ ปฏิบัติงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใส
ระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการจึงตองทุมเทในการปฏิบัติงาน หากปลอยใหขาราชการเปนกรรมการ
ผูจัดการ ผูจัดการ หรือตําแหนงอื่นท่ีมีลักษณะคลายคลึงกันกับกรรมการผูจัดการ ผูจัดการในหางหุนสวนหรือ
บริษัท ก็จะทําใหขาราชการไปทุมเทใหกับกิจการของเอกชนนั้น และปฏิบัติราชการอยางไมเต็มท่ี กฎหมายจึง
บัญญัตขิ อหา มในเร่ืองน้ไี ว
การพิจารณาวา ตําแหนงใดมีลักษณะงานคลายคลงึ กันกับตําแหนงกรรมการผูจัดการหรือผูจดั การ
นั้น เปนเรื่องท่ีจะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ือง ๆ ไป ตําแหนงที่เรียกช่ืออยางอ่ืน เชน กรรมการ
ผูอํานวยการ หรือผูอํานวยการ มีลักษณะงานและหนาท่ีความรับผิดชอบอยางเดียวกัน หรือคลายคลึงกันกับ
กรรมการผูจัดการหรือผูจัดการหรือไม ถาคลายคลึงกันก็ตองหาม และท่ีบัญญัติไวเชนน้ีก็เพื่อปองกันการ
หลีกเลี่ยงกฎหมายดวยการใชช ื่อใหผิดเพ้ียนหรือแตกตางกันโดยส้นิ เชิง แตลักษณะงานและหนาที่ความรับผดิ ชอบ
เปนอยางเดียวกันหรือคลายคลึงกัน
ตามมาตรานี้ไมไดหามการเปนกรรมการ หุนสวน ผูถือหุน หรือท่ีปรึกษาในหางหุนสวนหรือ
บริษัท ดังน้ัน ขาราชการจึงเปนกรรรมการ หุนสวน ผูถือหุน หรือท่ีปรึกษา ในหางหุนสวนหรือบริษัทได แต
อยา ละท้งิ หนา ทร่ี าชการ หรืออาศัยตาํ แหนง หนา ที่ราชการหรืออาํ นาจหนาที่ราชการไปหาประโยชน เปน ตน
(7) ตองไมก ระทําการอยา งใดทีเ่ ปน การกล่ันแกลง กดข่ีหรอื ขมเหงกันในการปฏิบตั ิราชการ
โดยท่ีขาราชการตองอยูรวมกันในหนวยงานและปฏิบัติราชการรวมกัน ประสิทธิภาพของราชการ
จะดีไดนั้นนอกจากจะตองมีความสามัคคีระหวางกัน และชวยเหลือซึ่งกันและกันในการปฏิบัติหนาที่ราชการแลว
ยังจะตองไมกลน่ั แกลง กดขี่ หรอื ขม เหงกนั ในการปฏิบตั ริ าชการดว ย
กลั่นแกลง หมายถึง หาความไมดีใสให หาอุบายใหร า ยโดยวิธีตาง ๆ เชน แกลงใสค วาม
กดขี่ หมายถึง ขมใหอยูในอํานาจตน ใชอํานาจบังคับเอาแสดงอํานาจเอา
ขมเหง หมายถึง ใชกาํ ลงั รังแก แกลง ทําความเดือดรอนให
(8) ตองไมก ระทําการอันเปน การลว งละเมิดหรอื คกุ คามทางเพศตามท่ีกาํ หนดในกฎ ก.พ.
การลวงละเมิดหรือคุกคามทางเพศเปนการกระทําลักษณะหนึ่งท่ีแยกออกมาจากการประพฤติช่ัว
ท้ังน้ีเนื่องจากทางราชการตองการมุงเนนใหขาราชการไดมีความตระหนักในเรื่องน้ีเปนพิเศษ เพราะการกระทํา
ดังกลาวสรางความเดือดรอนรําคาญแกเพ่ือนรว มงาน และเปนทางใหมีการใชอํานาจหนาที่ราชการขมเหงรงั แกกัน
อกี ทัง้ ยงั เปนการทําลายภาพพจนช ่ือเสียงอันดงี ามของขาราชการ โดยไดกําหนดพฤติกรรมอันไมพึงประสงคนไ้ี วใน
๑๑
กฎ ก.พ. เพื่อใหขา ราชการไดถือปฏบิ ตั ิ หากขาราชการผูใดกระทําการในลกั ษณะที่กาํ หนดไวก ็จะเปน ความผิดวินัย
ตามอนมุ าตรานี้
(9) ตองไมดหู มิน่ เหยียดหยาม กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ดหู มน่ิ หมายถงึ สบประมาท ดูถูก เหยยี ดหยามทาํ ใหอบั อาย เสียหาย การดูหม่ินอาจกระทํา
ดวยวาจาหรอื กริ ิยาทา ทางอยางอื่นกไ็ ด
เหยยี ดหยาม หมายถึง ดหู มิ่น ดูถูก หรอื รังเกียจ โดยกดใหตํา่ ลง เชน เหยียดคนเปนสตั ว
กดขี่ หมายถึง ขม ใหอยูในอํานาจตน ใชอ ํานาจบงั คับเอา แสดงอาํ นาจเอา
ขม เหง หมายถึง ใชกําลังรงั แก แกลง ทาํ ความเดือดรอนให
ประชาชนผูต ิดตอราชการ หมายถึง ประชาชนที่ตดิ ตอ ราชการกบั หนว ยงานของตน ซ่ึงอาจเปน
การตดิ ตอทางโทรศัพท เปน ตน หรือการออกไปปฏบิ ัตงิ านยงั ทองท่ีนอกหนวยงานก็ได
(10) ไมกระทําการอนื่ ใดตามทีก่ ําหนดในกฎ ก.พ.
ปจจุบันยงั ไมไดมีการออกกฎ ก.พ. กาํ หนดลักษณะการกระทาํ ผดิ เพ่มิ เติม แตถา หากไดมีการออก
กฎ ก.พ. ดังกลา วแลว ขา ราชการพลเรือนสามัญจะตอ งไมก ระทําการตามทีก่ ําหนดไวในกฎ ก.พ.ดวย
มาตรา 85
การกระทาํ ผิดวินยั ในลักษณะดงั ตอ ไปนี้ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง
(1) ปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัตหิ นา ท่รี าชการโดยมิชอบ เพือ่ ใหเกิดความเสียหายอยาง
รายแรงแกผูห นึ่งผใู ด หรือปฏิบตั ิ หรือละเวนการปฏบิ ตั ิหนา ทร่ี าชการโดยทุจริต
การที่จะผดิ วินยั อยา งรายแรงตามมาตราน้ี มีขอ ท่ีจะตองพิจารณา 2 ประการ คือ
1. ปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัตหิ นาท่รี าชการโดยมิชอบ เพอื่ ใหเกิดความเสียหายอยา งรายแรง
แกผหู นึ่งผูใด
หนาทรี่ าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกับหนา ทร่ี าชการตามทไ่ี ดก ลา วมาแลวในมาตรา 82 (1)
การปฏิบตั ิหนาท่ีราชการ เปนลักษณะการกระทําในเร่ืองตางๆ ซ่ึงขาราชการมหี นา ทร่ี าชการตอง
ปฏิบัติ เชน เจาหนาท่ีศลุ กากรตรวจสินคาซ่ึงนําเขา ประเทศแลวรูเห็นเปนใจตรวจปลอยสนิ คาโดยไมเรียกเกบ็ ภาษี
การปฏิบัติหนาที่ราชการน้ัน ไมรวมถึงการปฏิบัติในการใชสิทธิขอเบิกจายเงนิ ที่ทางราชการใหสิทธิเบิกได เชน เงิน
คา เบย้ี เลีย้ งเดนิ ทางไปราชการหรือเงนิ สวัสดกิ ารตาง ๆ
ละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ หมายถึง มีหนาที่ราชการที่ตองปฏิบัติแตไมปฏิบัติหรืองดเวนไม
กระทําการตามหนาที่โดยจงใจหรือเจตนาไมปฏิบัติ ไมใชเร่ืองพล้ังเผลอหลงลืม หรือเขาใจผิด เชน เปนเจาหนาที่
ศุลกากรแกลง นัง่ เฉยๆ ทาํ เปนไมเ หน็ ปลอ ยใหพอคานาํ สนิ คาผานดานศุลกากรโดยไมต รวจคน เปนตน
มิชอบ หมายความวา ไมเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ คําสั่งของผูบังคับบัญชา
มตคิ ณะรฐั มนตรี แบบธรรมเนยี มของทางราชการ หรือตามทาํ นองคลองธรรม คอื ไมเ ปนไปตามทางที่ถกู ทีค่ วร
ความเสียหาย หมายความรวมถึงความเสียหายท่ีอาจคํานวณราคาไดดวย เชน ความเสียหายแก
ชื่อเสียง
ผูหน่งึ ผใู ด หมายถงึ ใครก็ไดไมวา จะเปนประชาชนหรือขา ราชการดวยกัน
๑๒
2. ปฏบิ ตั ิหรอื ละเวนการปฏบิ ัตหิ นา ที่ราชการโดยทุจริต
โดยทุจริต หมายความถึง เพ่ือแสวงหาประโยชนท ม่ี คิ วรไดโดยชอบดวยกฎหมายสาํ หรับตนเอง
หรือผูอื่น
ประโยชน หมายถึง ส่ิงท่เี ปนผลดีหรอื เปนคณุ หรือผลทไี่ ดตามตองการ ประโยชนอาจเปน
ทรพั ยส นิ เงินทองหรือการอ่ืนใดที่เปนผลที่ไดตามตองการ โดยไมจําตอ งเปนทรพั ยส ิน เชน ประโยชนในการได
สิทธบิ างอยาง หรอื ไดร บั บริการพิเศษ เปน ตน
ประโยชนท่มี ิควรได หมายถึง ประโยชนท ไ่ี มมีสิทธโิ ดยชอบธรรมที่จะไดรับ
อยางรา ยแรง (2) ละท้ิงหรือทอดทิ้งหนาท่ีราชการโดยไมมีเหตุอันสมควรเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
ละทง้ิ หรอื ทอดทง้ิ หนาทรี่ าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกบั มาตรา 82(5)
การทจ่ี ะผดิ วินยั อยา งรา ยแรงตามมาตรานี้ มีขอทจี่ ะตองพิจารณา 3 ประการ คือ
1. ละทิ้งหรอื ทอดท้ิงหนา ทีร่ าชการ โดยไมจาํ กดั เงือ่ นเวลามากนอยเพียงใด
2. ไมมีเหตุผลอันสมควร ซ่ึงจะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ืองๆ ไปวา พฤติกรรมของการ
ละท้งิ หรอื ทอดทิง้ หนา ท่ีราชการนั้นมีสาเหตุอยางไร และเปนสาเหตุท่ีมีเหตุผลความจําเปน ถึงขนาดที่จะตองกระทํา
ผิดหรอื ไมเ หตุผลเกี่ยวกบั ธรุ ะสวนตวั โดยปกตแิ ลวไมอาจรบั ฟงได
3. เปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง หมายถึง มีความเสียหายเกิดข้ึนแกราชการอยาง
รายแรงและความเสียหายทเ่ี กิดขึ้นตองเปนผลโดยตรงมาจากเหตทุ ีจ่ ะละทงิ้ หรือทอดทง้ิ หนาทรี่ าชการน้ัน
(3) ละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินสิบหาวันโดยไมมีเหตุอันสมควร
หรอื โดยมพี ฤติการณอ ันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบตั ิตามระเบยี บของทางราชการ
ละทิ้งหนาท่รี าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกบั มาตรา 82 (5)
การท่ีจะผิดวนิ ัยอยา งรา ยแรงตามมาตรานมี้ ีขอทจ่ี ะตองพิจารณา 2 ประการ คอื
1. เปนการละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกิน 15 วัน หมายถึงการละทิ้ง
หนาทร่ี าชการตอเน่ืองในคราวเดยี วกนั โดยไมไ ดมาหรอื ไมไดอยูปฏิบตั ิหนาท่ีราชการเลยเปนเวลาเกิน 15 วัน เชน
ไมมาปฏิบตั ิราชการเปนเวลา 15 วนั ครงึ่ ขึน้ ไป
2. การละท้ิงหนาท่ีราชการไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไม
ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บของทางราชการ
คาํ วา “โดยไมม เี หตผุ ลอนั สมควร” มหี ลักในการพิจารณาเชน เดยี วกับมาตรา 85 (2)
กรณมี ีเหตุอันสมควร
ขาราชการมีหนา ที่อยูเวรรักษาสถานทรี่ าชการไดละท้ิงหนาทร่ี าชการ เนอื่ งจากเจ็บปวยกะทันหัน
จาํ เปนตองไปใหแ พทยต รวจรักษา มิฉะนั้นจะเปนอันตรายแกชีวิต เห็นไดว ามเี หตุผลอันสมควร ไมเปนความผดิ ตาม
มาตรา 85 (3)
๑๓
กรณีไมมเี หตุผลอันสมควร
ละท้ิงหนาที่ราชการเนื่องจากหลบหนีเจาหน้ี หรือหลบหนีคดีอาญาสาเหตุเหลานี้เปนเร่ืองสวนตัว
ไมอ าจนาํ มารับฟง เห็นเหตอุ ันสมควรได เปน ความผดิ มาตรา 85 (3)
คาํ วา “โดยมีพฤตกิ ารณอ ันแสดงถงึ ความจงใจไมปฏิบัติตามระเบยี บของทางราชการ” เปนเรื่องท่ี
จะตองพิจารณาจากพฤติการณในการละท้ิงวา มีเจตนา หรือจงใจฝาฝนระเบยี บของทางราชการ หรือไม เชน
ขาราชการสตรีหยุดราชการไปคลอดบุตรเปนเวลา 45 วัน แลวจึงกลับมาปฏิบัติราชการและย่ืน
ใบลาหลังจากท่ีหยุดราชการไปเปนเวลา 45 วัน กรณีเชนน้ีพึงเห็นไดวา ขาราชการท่ีคลอดบุตรน้ันมีสิทธิขอลาหยุด
ราชการได และเมื่อย่ืนใบลา ผูบังคับบัญชาก็ชอบที่จะอนุญาต ตามพฤติการณยังถือไมไดวาเปนการละท้ิงหนาท่ี
ราชการโดยไมมีเหตุผลอันสมควร และยังไมถึงขนาดที่จะถือวาเปนการละท้ิงหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตาม
ระเบียบของทางราชการ พฤติการณเปนเพียงไมถอื และปฏิบัตติ ามระเบียบของทางราชการเทาน้ัน ไมเปนความผิด
มาตรา 85 (3)
ขาราชการไดรับอนุญาตใหลาศึกษาตอ ณ ตางประเทศ เมื่อครบกําหนดเวลา ท่ีไดรับอนุญาตให
ลาแลว ไมไดรับอนุญาตใหลาตอ ทางราชการเรียกใหกลับก็ประวิงเวลาไมยอมเดินทางกลับมาปฏิบัติราชการโดย
ไมมีเหตุผลความจําเปนอันเปนการผิดระเบียบ บางรายประวิงเวลาอยูเกินกําหนดเปนเวลาแรมป ถือไดวาเปนการ
ละท้ิงหนาที่ราชการโดยไมมีเหตุผลสมควร และโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของ
ทางราชการเปนความผดิ ตามมาตรา 85 (3)
กรณีละทิ้งหนา ที่ราชการติดตอในคราวเดยี วกันเปนเวลาเกิน 15 วัน โดยไมม ีเหตุผลอันสมควร
และไมก ลับมาปฏิบัตหิ นาท่ีราชการอกี เลย
กรณีละทงิ้ หนาที่ราชการตดิ ตอในคราวเดยี วกันเปนเวลาเกิน 15 วัน โดยมเี หตุผลอันสมควรและ
ไมก ลบั มาปฏบิ ัตหิ นาทีร่ าชการอกี เลยนั้น เปนความผิดวินยั อยางรา ยแรง ซ่ึงมมี ติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว.
234 ลงวันท่ี 24 ธันวาคม 2536 ใหลงโทษไลอ อกจากราชการ
(4) กระทําการอนั ไดช่อื วาเปน ผูประพฤติชว่ั อยางรายแรง
กระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง มีหลักในการพิจารณาเชนเดียวกันกับ
มาตรา 82 (10) คอื
1. เปนการกระทาํ ที่ทาํ ใหเส่ือมเสียเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนา ทร่ี าชการ
2. เปนการกระทําที่สังคมรังเกียจ
3. เปน การกระทาํ โดยเจตนา
มตคิ ณะรัฐมนตรี หรือมติ ก.พ. ที่กําหนดระดบั โทษเกย่ี วกับความผิดฐานประพฤติชว่ั อยางรา ยแรง
เชน กรณีเบิกเงินคาเบี้ยเลี้ยง คาพาหนะเดินทางไปราชการตลอดจนเงินอื่นใดที่ทางราชการใหสิทธิขอเบิกจายได
โดยทําการขอเบิกเปนเท็จดวยเจตนาทุจริตฉอโกงเงินของทางราชการ เปนความผิดวินัยอยางรา ยแรงฐานประพฤติ
ชว่ั อยางรา ยแรง
กรณีทุจริตในการสอบขาราชการท่ีทําการทุจริต หรือพยายามทุจริตในการสอบแขงขันหรือสอบ
คดั เลือกเพื่อเล่ือนตําแหนง เปนความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรง ฐานประพฤตชิ ่ัวอยา งรายแรง
๑๔
กรณีเลนการพนันที่กฎหมายหามขาดพนันเอาทรัพยสินกัน หมายถึง การพนันตามบัญชี ก.ทาย
พระราชบัญญัตกิ ารพนัน พ.ศ. 2478 เชน ไฮโล แปดเกา เปนตน เปนความผิดวินยั อยางรายแรง ฐานประพฤติชั่ว
อยางรายแรง
กรณีปลอมลายมือช่ือขาราชการดวยกันไปหาประโยชนเปนความผิดวินัยอยางรายแรงฐาน
ประพฤติชัว่ อยา งรายแรง
กรณีเกี่ยวกับการเสพของมึนเมา การเสพสุรามึนเมาจนไมสามารถครองสติได ตามปกติแลวเปน
เพียงความผิดไมถึงกับรายแรง แตในกรณีที่เสพสุราและมีพฤติกรรมอยางอื่นประกอบท่ีแสดงใหเห็นความรายแรง
แหงกรณีอนั อาจทําใหเ ส่อื มเสียเกียรตศิ ักดิ์ของตําแหนงหนา ท่ีราชการอยางยิ่ง ก็อาจเขาลักษณะความผิดวินัยอยาง
รา ยแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงได เชน เสพสุราในขณะปฏิบัติหนาท่ีราชการ เมาสุรา เสียราชการ เมาสุราใน
ทีช่ มุ ชน จนเกดิ เร่อื งเสยี หายหรอื เสียเกยี รติศักดข์ิ องตําแหนง หนา ที่ราชการ
(5) ดหู มนิ่ เหยยี ดหยาม กดขี่ ขม เหง หรือทํารายรางกายประชาชน ผูมาตดิ ตอราชการอยาง
รายแรง
การดูหม่ิน เหยียดหยาม กดข่ี ขมเหง หรือทํารายรางกายประชาชน ผูมาติดตอราชการอยาง
รายแรงนัน้ รายละเอียดไดกลาวไวแ ลวในมาตรา 83 (9)
(6) กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษท่ีหนักกวาจําคุกโดยคําพิพากษาถึง
ที่สุดใหจําคุกหรือใหรับโทษท่ีหนักกวาจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือ
ความผิดลหุโทษ
ไดรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุก หมายถึง คดีถึงท่ีสุดโดยศาลพิพากษาใหจําคุก
และไมรอการลงโทษหรือยกโทษจําคุกหรือเปล่ียนโทษจําคุกเปนโทษสถานอื่น และหมายความรวมถึงกรณีที่ศาลมี
คาํ พิพากษาใหจําคกุ โดยอา นคาํ พพิ ากษาลับหลงั จาํ เลยเน่ืองจากจาํ เลยหลบหนดี วย
โทษทีห่ นกั กวา จําคกุ คอื ประหารชวี ติ
(7) ละเวนการกระทําหรือกระทําการใดๆอันเปน การไมปฏบิ ัตติ ามมาตรา 82 หรือฝาฝนขอ
หามตามมาตรา 83 อันเปนเหตใุ หเ สยี หายแกราชการอยางรายแรง
มาตรา 82 เปนบทบัญญัติที่กําหนดขอปฏิบัติใหขาราชการพลเรือนสามัญตองกระทําการตามท่ี
ระบุไวในมาตรา 82(1) – (11) สวนมาตรา 83 เปนบทบัญญัติท่ีกําหนดขอหามมิใหขาราชการพลเรือนสามัญ
กระทําการตามที่ระบุไวในมาตรา 83(1) – (11) การกระทําการหรือละเวนการกระทําการใดท่ีเปนการไมปฏิบัติ
ตามมาตรา 82(1) – (11) หรือเปน การฝา ฝน ขอหามตามมาตรา 83(1) – (10) จนเปนเหตุใหเ สยี หายแกราชการ
อยา งรายแรง ถือเปนความผิดวินัยอยา งรายแรงดวย
ความเสยี หาย หมายความรวมถึง ความเสียหายท่ไี มอาจคํานวณเปนตัวเงินได เชน ความเสยี หาย
ตอช่ือเสียง หรอื ระบบงาน
๑๕
เสยี หายแกร าชการอยางรา ยแรงหรอื ไมมีแนวทางในการพจิ ารณา ดงั นี้
1. ความเสียหายที่เปนตัวเงินหรือตีราคาเปนเงินได คํานึงถึงความมากนอยตามคาของเงินเปน
สําคัญ เชน เสียหาย 1,000,000 บาท เห็นไดวาเสียหายอยางรา ยแรง ท้ังนี้ไมมีขอกําหนดตายตัววาจํานวนเทาใด
จึงจะถอื วาเปนความเสียหายอยางรายแรงหรือไมรา ยแรง เปด ชอ งใหผ มู อี าํ นาจหนา ที่ใชดุลพินจิ ไดตามควรแกกรณี
2. ความเสยี หายท่ไี มอาจคาํ นวณราคาได เปนเร่ืองที่จะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ืองๆไป
โดยคํานึงถึงวาเปนกรณีท่ีกอใหเกิดความเสียหายตอภาพพจนชื่อเสียงโดยสวนรวมของทางราชการหรือตอการ
บริหารราชการอยา งรายแรงหรือไม
(8) ละเวนการกระทําหรือกระทําการใดๆ อันเปนการไมปฏิบตั ิตามมาตรา 80 วรรคสอง และ
มาตรา 82(11) หรือฝาฝนขอหามตามมาตรา 83 (10) ที่มี กฎ ก.พ. กําหนดใหเปนความผิดวินัยอยาง
รา ยแรง
เปนการบัญญัติไวเพ่ือกาลภายหนา ในกรณีท่ีอาจมีการละเวนการกระทําหรือกระทําใดๆ อันเปน
การไมปฏิบัติตามมาตรา 80 วรรคสอง และมาตรา 82(11) หรือฝาฝนขอหามมาตรา 83(10) ที่มี กฎ ก.พ.
กาํ หนดใหเ ปนความผิดวินยั อยางรายแรงเกดิ ข้ึน
สรุปสาระสาคัญ
กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนินการทางวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖
ก.พ. ได้กำหนด กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
โดยอำศัยอำนำจตำมมำตรำ ๘ (๕) และหมวด ๗ กำรดำเนินกำรทำงวินัย ตำมมำตรำ ๙๔
มำตรำ ๙๕ มำตรำ ๙๖ มำตรำ ๙๗ มำตรำ ๑๐๑ และมำตรำ ๑๐๕ แห่งพระรำชบัญญติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่ง กฎ ก.พ. ฉบับน้ีได้ประกำศในรำชกิจจำ-
นุเบกษำเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวำคม ๒๕๕๖ โดยให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกำหนดหกสิบวัน
นบั แตว่ นั ประกำศในรำชกจิ จำนุเบกษำเปน็ ตน้ ไป
กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย
๑๐ หมวด และบทเฉพำะกำล รวมท้ังส้ิน ๙๘ ข้อ โดยสำนักมำตรฐำนวินัย สำนักงำน ก.พ.
ไดส้ รปุ สำระสำคญั ของ กฎ ก.พ. ฉบบั น้ีไว้ ดงั ต่อไปนี้
หมวด ๑
การดาเนนิ การเมอื่ มกี ารกลา่ วหาหรือมกี รณเี ปน็ ทีส่ งสยั วา่ มกี ารกระทาผดิ วินยั
หมวดนี้เป็นกำรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีกำรของกำรดำเนินกำรตำมนัย
มำตรำ ๙๐ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นบทบัญญัติ
ท่ีกำหนดที่มำของกำรดำเนินกำรทำงวินัยแก่ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ โดย“หมวด ๑
กำรดำเนินกำรเม่ือมีกำรกล่ำวหำหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำมีกำรกระทำผิดวินัย”ได้กำหนด
หลักเกณฑ์และวธิ กี ำรที่สำคญั ไว้ ดังน้ี
๑. กำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญท่มี พี ฤติกำรณก์ ระทำผิดวินยั
๒. กำรจำแนกกรณเี ปน็ ทส่ี งสัยวำ่ ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผใู้ ดกระทำผดิ วินัย
๓. กำรกำหนดวิธีกำรรำยงำนของผู้บังคับบัญชำไปยังผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
ส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗
สาระสาคัญ
๑. กรณีมีกำรกลำ่ วหำต่อผู้บังคับบัญชำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำ
ผดิ วนิ ัยตำมขอ้ ๓ ของกฎ ก.พ. วำ่ ด้วยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖
“กำรกล่ำวหำ” คือ กำรร้องเรียนกล่ำวโทษระบุว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ
มีพฤติกำรณ์หรือมีกำรกระทำท่ีเป็นควำมผิดทำงวินัยตำมพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำร
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ ไม่ว่ำจะเป็นกำรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง หรือ
ไม่ร้ำยแรง ซ่ึงกำรกล่ำวหำมีได้ทั้งกำรกล่ำวหำที่เป็นหนังสือ และกำรกล่ำวหำด้วยวำจำ
แต่กำรกล่ำวหำทั้งสองวิธีดังกล่ำว ต้องเป็นกำรกล่ำวหำต่อผู้บังคับบัญชำในระดับใดก็ได้
ถงึ จะเปน็ กำรกล่ำวหำเพอื่ ใหด้ ำเนินกำรตอ่ ไปตำมหมวดน้ี
กำรกล่ำวหำเป็นหนังสือตำมข้อ ๓ วรรคหน่ึง นั้น ต้องมีรำยละเอียดอันได้แก่
กำรระบุช่อื และลงลำยมอื ชื่อผกู้ ลำ่ วหำ ระบุชื่อหรือตำแหน่งของผู้ถูกกล่ำวหำหรือข้อเท็จจริง
ที่เพียงพอให้ทรำบว่ำเป็นกำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใด นอกจำกน้ี ยังต้องมี
ข้อเท็จจริงหรือพยำนหลักฐำนเบ้ืองต้นเพียงพอท่ีจะให้เข้ำใจได้ว่ำผู้น้ันมีพฤติกำรณ์หรือกำร
กระทำผดิ อยำ่ งไร หรอื เพยี งพอ ท่ีจะสำมำรถสืบสวนเพื่อค้นหำควำมจรงิ ตอ่ ไปได้
กำรกล่ำวหำด้วยวำจำตำมข้อ ๓ วรรคสอง น้ัน ผู้บังคับบัญชำผู้ที่ได้รับฟัง
กำรกล่ำวหำนั้นจะต้องจัดทำบันทึกคำกล่ำวหำโดยให้มีรำยละเอียดเพียงพอเช่นเดียวกับ
กำรกล่ำวหำเป็นหนังสือ และให้ผู้กล่ำวหำดังกล่ำวลงลำยมือชื่อไว้เป็นหลักฐำน ท้ังน้ี เพ่ือให้
ปรำกฏหลักฐำนกำรกลำ่ วหำเป็นลำยลักษณ์อกั ษร
๒. กรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยตำมข้อ ๔
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนนิ กำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
สำระสำคัญของข้อ ๔ น้ี เป็นกำรกำหนดหลักเกณฑ์ในกรณีท่ีปรำกฏว่ำมีกำร
กล่ำวหำว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญกระทำผิดวินัยแต่ไม่ปรำกฏตัวผู้กล่ำวหำ และรวมท้ัง
กรณีที่ผู้บังคับบัญชำได้พบเห็นข้อเท็จจริงหรือพฤติกำรณ์อันเป็นที่สงสัยว่ำผู้อยู่ใต้บังคับ
บัญชำกระทำผิดวินัย ซ่ึงท้ังสองกรณีจะต้องปรำกฏพยำนหลักฐำนเพียงพอที่จะสืบสวน
สอบสวนต่อไปได้ว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญกระทำผิดวินัยหรือไม่ โดยรำยละเอียดแต่ละ
กรณมี ีดังต่อไปน้ี
๒.๑ กรณีเป็นท่ีสงสัยตำมข้อ ๔ (๑) นั้น เป็นกรณีท่ีมีกำรกล่ำวหำ
โดยไม่ได้ระบุชื่อหรือลงลำยมือช่ือของผู้กล่ำวหำ แต่ระบุเพียงชื่อหรือตำแหน่ง
ของผู้ถูกกล่ำวหำ หรือข้อเท็จจริงที่เพียงพอให้ทรำบว่ำเป็นกำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือน
สำมัญผู้ใด โดยมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้เข้ำใจได้ว่ำผู้น้ันมีพฤติกำรณ์หรือกำรกระทำผิด
อย่ำงไร หรือเพียงพอที่จะสำมำรถสืบสวนสอบสวนเพ่ือค้นหำควำมจริงต่อไปได้ ซึ่งกำร
กล่ำวหำในกรณีนี้ก็คือ กำรร้องเรียนกล่ำวหำโดย “บัตรสนเท่ห์” ดังน้ัน บัตรสนเท่ห์ ก็อำจ
เป็นท่ีมำที่ทำให้มีกำรดำเนินกำรทำงวินัยกับข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้น้ันได้ ถ้ำพิจำรณำ
แล้วเห็นว่ำบัตรสนเท่ห์น้ัน มีหลักฐำนหรือมีกรณีแวดล้อมปรำกฏชัดแจ้ง ตลอดจนช้ีพยำน
บคุ คลแน่นอน๑
๒.๒ กรณีเป็นท่ีสงสัยตำมข้อ ๔ (๒) นั้น เป็นกรณีท่ีข้อเท็จจริงหรือ
พฤติกำรณ์ได้ปรำกฏต่อผู้บังคับบัญชำเอง ทำให้เป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใด
กระทำผิดวินัย และมีพยำนหลักฐำนเพียงพอที่จะสืบสวนสอบสวนต่อไปได้ โดยกรณีน้ีถือว่ำ
เป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้บังคับบัญชำตำมที่กฎหมำยบัญญัติไว้ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชำ
ดังกลำ่ วจึงไม่ได้เปน็ ผกู้ ลำ่ วหำตำมข้อ ๓
ท้ังนี้ กรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัย
ตำมข้อ ๔ (๑) และ (๒) เปน็ เพยี งแค่กำรกำหนดบำงลักษณะของกรณีเป็นที่สงสัยเท่ำนั้น ซึ่งก็
อำจมีลักษณะอ่ืนๆ ได้อีก หำกลักษณะนั้นเป็นกรณีท่ีได้ปรำกฏข้อเท็จจริงหรือพฤติกำรณ์ว่ำ
มีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัย และมีพยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะสืบสวน
สอบสวนตอ่ ไปได้
๑ หนังสือสำนกั เลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี ท่ี นร ๐๒๐๖/ว ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๕ ธันวำคม ๒๕๔๑ เรื่อง หลกั เกณฑแ์ ละแนวทำงปฏิบัตเิ กย่ี วกับ
กำรรอ้ งเรียนกล่ำวโทษขำ้ รำชกำรและกำรสอบสวนเรื่องรำวร้องเรียนกลำ่ วโทษข้ำรำชกำรว่ำกระทำผดิ วนิ ยั
๓. กำรรำยงำนของผู้บังคับบัญชำไปยังผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ ตำมขอ้ ๒ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนนิ กำรทำงวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖
เมื่อควำมปรำกฏกับผู้บังคับบัญชำว่ำมีกำรกล่ำวหำหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำ
ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยตำมรำยละเอียดข้ำงต้นแล้ว หำกผู้บังคับบัญชำ
ท่ีรับทรำบเรื่องน้ันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ผู้บังคับบัญชำ
ดังกล่ำวก็มีหน้ำท่ีต้องรำยงำนตำมมำตรำ ๙๐ วรรคหนึ่ง ประกอบกับข้อ ๒ โดยกำรรำยงำน
ต้องจัดทำเป็นหนังสือ ท่ีระบุช่ือผู้กล่ำวหำ (ถ้ำมี) ช่ือและตำแหน่งของผู้ถูกกล่ำวหำ
ขอ้ เท็จจริงและพยำนหลักฐำนท่ีเก่ียวข้องกับกำรกล่ำวหำหรือกรณีที่เป็นท่ีสงสัย และรำยงำน
ตำมลำดับช้ันไปจนถึงผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ให้รับทรำบ
เพื่อดำเนนิ กำรตำมอำนำจหน้ำที่ตอ่ ไป
แต่หำกผู้บังคับบัญชำท่ีทรำบเรื่องน้ันเป็นผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ ผู้บังคับบัญชำดังกล่ำวก็ต้องรีบดำเนินกำรตำมท่ีบัญญัติในพระรำชบัญญัติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ น้ตี อ่ ไปโดยเรว็
หมวด ๒
การสืบสวนหรือพจิ ารณาในเบ้ืองต้น
หมวดนี้เป็นกำรกล่ำวถึงหลักเกณฑ์และวิธีกำรของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
สั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ท่ีได้รับทรำบกำรรำยงำนตำมข้อ ๒ หรือเป็นกรณีท่ีผู้บังคับบัญชำ
ซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ รับทรำบเร่ืองกล่ำวหำหรือกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำร
พลเรือนสำมัญผู้ใด กระทำผิดวินัยด้วยตนเองตำมข้อ 4 ของ “หมวด ๑ กำรดำเนินกำร
เมอื่ มีกำรกลำ่ วหำหรอื มีกรณีเปน็ ทีส่ งสัยว่ำมีกำรกระทำผิดวินัย”
สาระสาคัญ
“หมวด ๒ กำรสืบสวนหรือพิจำรณำในเบื้องต้น” ได้กำหนดหลักเกณฑ์และ
วธิ กี ำรกำรดำเนินกำรที่สอดคล้องกับบทบัญญัติตำมมำตรำ ๙๑ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบ
ขำ้ รำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ กล่ำวคอื
๑. ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ มีอำนำจหน้ำท่ีในกำร
พจิ ำรณำวำ่ เรื่องทก่ี ล่ำวหำหรือกรณีเป็นที่สงสัยนั้น มีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำผู้อยู่ใต้บังคับบัญชำ
นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ ส่วนในกำรดำเนินกำรของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ เพื่อพิจำรณำในเรื่องดังกล่ำว สำมำรถดำเนินกำรได้ตำมที่กำหนดในข้อ ๕
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนนิ กำรทำงวินยั พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังน้ี
๑.๑ ขอ้ เท็จจริงและพยำนหลักฐำนท่ีปรำกฏในเบื้องต้นเพียงพอแก่กำร
พิจำรณำแล้ว ตำมข้อ ๕ (๑) ก็ให้ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำ
ว่ำกรณีน้ันมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำผู้น้ันกระทำผิดวินัยหรือไม่ อย่ำงไร โดยจะไม่ทำกำรสืบสวน
กไ็ ด้
๑.๒ ข้อเท็จจริงและพยำนหลักฐำนที่มีนั้น ยังไม่เพียงพอท่ีจะพิจำรณำ
ได้ ก็ให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรสืบสวนตำมข้อ ๕ (๒)
เพ่ือรวบรวมพยำนหลักฐำนเพ่ิมเติม ทั้งน้ีจะดำเนินกำรด้วยตนเอง หรือจะให้ข้ำรำชกำร
พลเรือนสำมัญหรือเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐที่เก่ียวข้องกับเรื่องนั้นเป็นผู้ ดำเนินกำรสืบสวนแล้ว
รำยงำนมำเพอ่ื พิจำรณำต่อไปกไ็ ด้
อนึ่ง คำว่ำ “กำรสืบสวน” ดังกล่ำวข้ำงต้น หมำยถึง กำรสืบหำข้อเท็จจริง
และพยำนหลักฐำนในเบื้องต้นเพื่อใช้ประกอบกำรพิจำรณำว่ำกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำ
กระทำผิดวินัยหรือไม่ นอกจำกนี้กำรสืบสวนให้ทำในทำงลับ๒ เพ่ือไม่ให้เกิดควำมเสียหำย
แก่ขำ้ รำชกำรผ้ถู ูกดำเนินกำรหรอื บคุ คลภำยนอก เช่น ผู้กลำ่ วหำ หรอื พยำน เป็นต้น
๒. ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำแล้ว
เห็นว่ำเรื่องดังกล่ำวมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้น้ันกระทำผิด วินัย
กล่ำวคือ ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ได้พิจำรณำและเห็นว่ำกรณี
ปรำกฏพยำนหลักฐำนเพียงพอที่เช่ือได้ว่ำผู้นั้นกระทำผิดวินัย ก็ให้ดำเนินกำรตำมข้อ ๖
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖ ดงั นี้
๒.๑ ในกรณีท่ีเห็นว่ำมีมูลเป็นกำรกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง
(ตำมมำตรำ ๘๑ – ๘๓ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ให้
ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรตำม“หมวด ๓ กำรดำเนินกำร
ในกรณมี ีมลู ท่ีควรกล่ำวหำวำ่ กระทำผดิ วินัยอย่ำงไมร่ ำ้ ยแรง”ตอ่ ไป
๒.๒ ในกรณีที่เห็นว่ำมีมูลเป็นกำรกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง
(ตำมมำตรำ ๘๕ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ให้
ผู้บังคบั บัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนนิ กำรตำม“หมวด ๔ กำรดำเนินกำร
ในกรณมี มี ูลทค่ี วรกล่ำวหำวำ่ กระทำผดิ วินยั อย่ำงร้ำยแรง”ต่อไป
๒ หนังสือสำนกั เลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี ที่ นร ๐๒๐๖/ว ๒๑๘ ลงวนั ที่ ๒๕ ธันวำคม ๒๕๔๑ เรอ่ื ง หลกั เกณฑ์และแนวทำงปฏิบตั เิ กย่ี วกบั
กำรร้องเรยี นกล่ำวโทษขำ้ รำชกำรและกำรสอบสวนเรอื่ งรำวร้องเรียนกลำ่ วโทษขำ้ รำชกำรวำ่ กระทำผิดวนิ ยั
๓. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำแล้ว
เห็นว่ำเร่ืองดังกล่ำวไม่มีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ ใดกระทำผิดวินัย
โดยอำจเป็นกรณีตำมที่กำหนดไว้ในข้อ ๗ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๖ กล่ำวคือ ไม่มีพยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะทรำบได้ว่ำข้ำรำชกำรผู้ใด
เป็นผู้กระทำผิดวินัยหรือน่ำเชื่อได้ว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้นั้นกระทำผิดวินัย ไม่มี
พยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะดำเนินกำรสืบสวนสอบสวนต่อไปได้ หรือกำรกระทำนั้นไม่เป็น
ควำมผิดวินัย เช่นน้ี ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ต้องให้ยุติเรื่อง
ดงั กล่ำว
อน่ึง วิธีกำรตำมหมวดนถี้ ือว่ำมคี วำมสำคัญมำกเช่นกัน เพรำะหำกดำเนินกำร
ไม่ถูกต้องตำมวิธีกำรท่ีบัญญัติไว้นี้ ก็อำจเป็นเหตุให้ผู้ถูกดำเนินกำรทำงวินัยร้องทุกข์
หรอื อทุ ธรณ์ได้ เช่น กล่ำวหำว่ำขำ้ รำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยและดำเนินกำร
สอบสวนพิจำรณำควำมผิดโดยไม่ได้สืบสวนหรือพิจำรณำให้เห็นว่ำกรณีมีมูลหรือไม่เสียก่อน
เชน่ นี้ ข้ำรำชกำรผ้นู ั้นก็อำจรอ้ งทกุ ข์กอ่ นถูกลงโทษหรอื อทุ ธรณ์เม่อื ถูกลงโทษแลว้ กไ็ ด้๓
ขอ้ สังเกต
ในกรณีที่สำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจพบว่ำหน่วยงำนของรัฐแห่งใด
มีกรณีเงินขำดบัญชีหรือเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐทุจริตและได้ช้ีมูลควำมผิดแล้ว ก็ให้ผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรทำงวินัย โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมกำร
สืบสวนหำข้อเท็จจริงเพ่ือหำมูลควำมผิด๔ ตำมที่กำหนดไว้ในหมวด ๒ น้ีอีก ท้ังน้ี
เพือ่ ประโยชน์ของทำงรำชกำรท่จี ะใหก้ ำรดำเนินกำรเปน็ ไปโดยรวดเรว็
๓ ประวณี ณ นคร, พระรำชบัญญัตริ ะเบยี บข้ำรำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ สรปุ สำระสำคญั และคำอธบิ ำยรำยมำตรำ, น. ๑๒๙,
ขอ้ ๖ ของระเบียบสำนักนำยกรฐั มนตรวี ่ำดว้ ยกำรเร่งรัดติดตำมเก่ียวกบั กรณเี งินขำดบัญชีหรอื เจ้ำหนำ้ ท่ีของรฐั ทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๖
หมวด ๓
การดาเนินการในกรณีมีมลู ท่คี วรกลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วนิ ัยอย่างไมร่ า้ ยแรง
เมอ่ื ผบู้ ังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำในเบ้ืองต้น หรือ
พิจำรณำจำกผลกำรสืบสวนแล้วเห็นว่ำ พฤติกำรณ์ของข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้นั้น
มีมูลว่ำกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง (ตำมมำตรำ ๘๑ – ๘๓ แห่งพระรำชบัญญัติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ต้องดำเนินกำรให้เป็นไปตำมหมวดนี้ต่อไป
โดยเร็ว โดยหมวดน้ีจะกล่ำวถึงข้ันตอนวิธีกำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงว่ำจะต้อง
ปฏิบตั อิ ยำ่ งไรบำ้ ง
สาระสาคัญ
“หมวด ๓ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อย่ำงไม่รำ้ ยแรง” ได้กำหนดหลกั เกณฑแ์ ละวิธีกำรสอบสวนทำงวินยั อยำ่ งไม่ร้ำยแรงให้ชัดเจน
และรวดเร็วขึ้น โดยมีกำรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีกำรใหม่ที่สำคัญ เช่น กำหนดระยะเวลำ
เร่งรัดในกำรสอบสวน วิธีกำรสอบสวน กำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน และกำรคัดค้ำน
กรรมกำรสอบสวน เป็นต้น นอกจำกน้ียังกำหนดให้ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำ และให้โอกำส
ผู้ถูกกล่ำวหำช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำตำมที่บัญญัติไว้ในมำตรำ ๙๒ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบ
ข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับรำยละเอียดของหมวดนี้มสี ำระสำคญั ดงั ต่อไปน้ี
๑. กำรดำเนินกำรทำงวินัยหรือกำรสอบสวนตำมหมวดนี้ ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมี
อำนำจสง่ั บรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ จะดำเนนิ กำรสอบสวนดว้ ยตัวเองหรอื มอบหมำยให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เ ป็ น ผู้ ส อ บ ส ว น ท ำ ง วิ นั ย เ พื่ อ ร ว บ ร ว ม พ ย ำ น ห ลั ก ฐ ำ น ม ำ ป ร ะ ก อ บ ก ำ ร พิ จ ำ ร ณ ำ ว่ ำ ก ร ณี
เป็นควำมผิดวินัยหรือไม่ ตำมมำตรำใด และควรได้รับโทษสถำนใด โดยไม่ต้อง ตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนกไ็ ด้ ดงั น้ี
๑.๑ กำรสอบสวนโดยไม่ต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๙
ของกฎ ก.พ. วำ่ ด้วยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖
ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำร
สอบสวนด้วยตัวเองหรือมอบหมำยให้ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้สอบสวน ให้รีบดำเนินกำรให้แล้วเสร็จ
ภำยใน ๔๕ วัน๕ นับแต่วันที่พิจำรณำเห็นว่ำกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อย่ำงไมร่ ้ำยแรง ทงั้ นตี้ ้องมกี ำรแจง้ ขอ้ กล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนทส่ี นับสนุนข้อกล่ำวหำ
ให้ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ รวมท้ังต้องให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำได้ชี้แจง
แกข้ อ้ กล่ำวหำภำยในเวลำทีก่ ำหนดด้วย
๑.๒ กำรแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๒ ของกฎ ก.พ.
วำ่ ด้วยกำรดำเนนิ กำรทำงวินยั พ.ศ. ๒๕๕๖
ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ แต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวน ก็ให้ดำเนินกำรโดยนำ“หมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควร
กล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ” ในเรื่ององค์ประกอบและคุณสมบัติ
ของคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๘ วรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคส่ี (โดยกรรมกำร
สอบสวนจะไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนิติกร หรือผู้ได้รับปริญญำทำงกฎหมำย หรือผู้ได้รับกำร
ฝึกอบรมตำมหลักสูตรกำรดำเนินกำรทำงวินัย หรือผู้มีประสบกำรณ์ด้ำนกำรดำเนินกำร
ทำงวินัยก็ได้) คำส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๙ กำรเปล่ียนแปลงกรรมกำร
สอบสวนตำมข้อ ๒๐ กำรแจ้งคำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๒๑ และกำร
คัดคำ้ นกรรมกำรสอบสวนตำมขอ้ ๒๒ ถึงข้อ ๒๕ มำใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม
๕ เปน็ ระยะเวลำเร่งรัด เพือ่ ใหม้ ีกำรดำเนนิ กำรเป็นไปอย่ำงรวดเร็ว
สำหรับกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนในกรณีที่ข้ำรำชกำรพลเรือน
สำมัญตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรม หรือต่ำงกระทรวงกัน ถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
ร่วมกัน ก็ให้เป็นไปตำมมำตรำ ๙๔ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับข้อ ๑๖ (ผู้มีอำนำจแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน) และข้อ ๑๗
(กำรร่วมกนั แตง่ ตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน) ของกฎ ก.พ. ฉบบั น้ี
คณะกรรมกำรสอบสวนต้องดำเนินกำรตำมข้อ ๑๓ วรรคหน่ึง โดยต้อง
ดำเนินกำรสอบสวน แจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ กำรรับ
ฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่ำวหำ กำรรวบรวมข้อเท็จจริง รวบรวมข้อกฎหมำย และรวบรวม
พยำนหลักฐำนที่เก่ียวข้อง เก็บไว้ในสำนวนแล้วจัดทำรำยงำนกำรสอบสวนพร้อมควำมเห็น
ของคณะกรรมกำรสอบสวนเสนอ ต่อผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน ท้ังน้ี
ต้องดำเนินกำรให้แล้วเสร็จภำยใน ๖๐ วัน ๖ นับแต่วันท่ีประธำนกรรมกำรรับทรำบคำสั่ง
ในกรณีที่ไม่สำมำรถสอบสวนให้แล้วเสร็จได้ภำยในเวลำท่ีกำหนด ให้ประธำนกรรมกำร
รำยงำนต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนเพื่อขอขยำยระยะเวลำตำมควำมจำเป็น
ตำมข้อ ๑๓ วรรคสอง ในกำรนี้ ผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำขยำย
ระยะเวลำ หรือผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ จะส่ังให้ยุติกำรดำเนินกำร
เพื่อพจิ ำรณำดำเนนิ กำรสอบสวนเองก็ได้
เม่ือผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับรำยงำนข้ำงต้นแล้ว
หำกเห็นว่ำดำเนินกำรไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ก็ให้สั่งกำรตำมข้อ ๑๔ (๑) หรือ (๒)
โดยหำกเห็นว่ำข้อเท็จจริงและพยำนหลักฐำนยังไม่เพียงพอ ก็สำมำรถกำหนดประเด็นให้
คณะกรรมกำรสอบสวนกลับไปดำเนินกำรสอบสวนเพิ่มเติม หรือส่ังให้คณะกรรมกำร
สอบสวนกลบั ไปดำเนินกำรให้ถกู ตอ้ งโดยเรว็
๖ อำ้ งแล้วในเชงิ อรรถท่ี ๕
๒. เมื่อผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำผลกำร
สอบสวนแล้ว ก็ให้ดำเนินกำรสั่งกำร ตำมข้อ ๑๑ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำร
ทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังนี้
๒.๑ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย ก็ให้ดำเนินกำร
สัง่ ยุติเร่ือง
๒.๒ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง ก็ให้ส่ัง
ลงโทษภำคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตำมควรแก่กรณี หรือหำกเห็นว่ำเป็นกำร
กระทำผิดเล็กนอ้ ยและมเี หตอุ นั ควรงดโทษก็สำมำรถสงั่ งดโทษและให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ
หรือว่ำกล่ำวตักเตอื นแทนก็ได้
๒.๓ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ก็ให้
ดำเนินกำรตำมหมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อยำ่ งรำ้ ยแรงต่อไป
หมวด ๔
การดาเนินการในกรณมี ีมลู ทค่ี วรกลา่ วหาว่ากระทาผดิ วินัยอยา่ งรา้ ยแรง
กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงนั้น
เป็นกระบวนกำรรวบรวมพยำนหลักฐำนเพื่อให้ได้ควำมจริงว่ำข้ำรำชกำรผู้ถูกกล่ำวหำ
ได้กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงหรือไม่ หำกข้ำรำชกำรผู้นั้นกระทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษ
ตำมควำมเหมำะสมแกก่ รณี ซงึ่ กำรดำเนินกำรในเรอื่ งนี้ โดยปกตจิ ะเริ่มต้นเมื่อผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมำตรำ ๕๗ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้พิจำรณำตำมมำตรำ ๙๑ แล้วเห็นว่ำพฤติกำรณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชำมีมูล
ที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้บังคับบัญชำดังกล่ำวก็มีหน้ำที่ท่ีจะต้อง
ดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงแก่ผู้น้ัน ตำมท่ีบัญญัติไว้ในพระรำชบัญญัติระเบียบ
ขำ้ รำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ มำตรำ ๙๓ มำตรำ ๙๔ มำตรำ ๙๕ และมำตรำ ๙๗
จดุ มุ่งหมาย
กำรดำเนินกำรตำม“หมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำ
ว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง”ของ กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
น้ัน มีหลักกำรสำคญั ในกำรดำเนินกำร ดงั นี้
๑. ผดู้ ำเนนิ กำรตอ้ งเป็นผ้มู ีอำนำจตำมทกี่ ฎหมำยกำหนด
๒. ต้องมีกำรแต่งตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน
๓. ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ
ใหผ้ ูถ้ กู กลำ่ วหำทรำบ
๔. ตอ้ งใหโ้ อกำสผ้ถู กู กลำ่ วหำชีแ้ จงแกข้ อ้ กลำ่ วหำ และ
๕. หำกกำรสอบสวนปรำกฏว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ส่ง
เร่ืองให้ อ.ก.พ. สำมัญ (ได้แก่ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง) ที่ผู้นั้น
สงั กัดอยู่ เพ่ือพจิ ำรณำมมี ติ
โดยหลักกำรข้ำงต้นล้วนเป็นกำรให้หลักประกันควำมเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำ
และทำงรำชกำรทั้งส้ิน เน่ืองจำกกำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงอำจส่งผลให้ข้ำรำชกำร
ผู้ถูกดำเนินกำรต้องพ้นจำกรำชกำรก็ได้ จึงจำเป็นอย่ำงย่ิงที่จะต้องมีกระบวนกำรที่ป้องกัน
ไม่ให้ผู้มีอำนำจใช้อำนำจไปในทำงท่ีไม่ถูกต้อง จนเป็นเหตุให้ข้ำรำชกำรท่ีไม่ได้กระทำผิด
ต้องถูกกลั่นแกล้งและถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจำกรำชกำร หรือช่วยเหลือให้
ข้ำรำชกำรผ้กู ระทำผิดไม่ต้องรบั โทษทำงวนิ ัย
สำหรับกระบวนกำรหรือหลักเกณฑ์ วิธีกำร และระยะเวลำกำรดำเนินกำร
ทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงได้กำหนดรำยละเอียดไว้ต้ังแต่ข้อ ๑๕ - ข้อ ๖๓ “หมวด ๔
กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง”ของ กฎ ก.พ.
ฉบับน้ี โดยคำนึงถึงเจตนำรมณ์ท่ีต้องกำรให้ “กำรดำเนินทำงวินัยรวดเร็ว ยุติธรรม และ
ปรำศจำกอคติ” อีกทั้งยังสอดคล้องกับกฎหมำยว่ำด้วยวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง และ
กฎหมำยอน่ื ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งด้วย
สรุปกระบวนการดาเนินการทางวินัยอย่างรา้ ยแรง
สาระสาคญั
๑. ผู้มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยตำมพระรำชบัญญัติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้บัญญตั ไิ ว้ดังนี้
๑.๑ มาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ของผู้ถูกกล่ำวหำ
เปน็ ผู้มอี ำนำจแตง่ ตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน อนั ได้แก่
- รฐั มนตรีเจ้ำสังกัด ตำมมำตรำ ๕๗ (๑) (๔) และ (๗)
- ปลัดกระทรวง หรือหัวหน้ำส่วนรำชกำรระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชำหรือ
รับผิดชอบกำรปฏิบัติรำชกำรข้ึนตรงต่อนำยกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี ตำมมำตรำ ๕๗ (๒)
(๓) (๕) และ (๘)
- อธบิ ดี ตำมมำตรำ ๕๗ (๖) (๙) และ (๑๐)
- ผวู้ ำ่ รำชกำรจังหวดั ตำมมำตรำ ๕๗ (๑๑)
๑.๒ มาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีท่ีข้ำรำชกำรผู้ถูกกล่ำวหำมีตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรมหรือต่ำงกระทรวง
กันถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยร่วมกัน ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้มีอำนำจแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวนไว้เป็นกำรเฉพำะ ท้ังนี้ เพ่ือให้กำรสอบสวนในกรณีท่ีมีข้ำรำชกำรร่วมกระทำผิดนั้น
เป็นไปในทิศทำงเดียวกันและพิจำรณำจำกพยำนหลักฐำนเดียวกันอีกด้วย ซ่ึงจะทำให้ผล
กำรสอบสวนและพิจำรณำเป็นไปอย่ำงเสมอภำคและเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำท้ังหมด
โดยผมู้ ีอำนำจแตง่ ตัง้ คณะกรรมกำรสอบสวนได้แก่
- นำยกรัฐมนตรี ในฐำนะหัวหน้ำรัฐบำล สำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกระทรวง
ถูกกล่ำวหำและมีผูด้ ำรงตำแหน่งประเภทบรหิ ำรระดับสูงรว่ มดว้ ย (มำตรำ ๙๔ (๓))
- รัฐมนตรีเจ้ำสังกัด สำหรับข้ำรำชกำรกรมเดียวกัน ถูกกล่ำวหำ
และมีปลัดกระทรวงร่วมด้วย (มำตรำ ๙๔ (๑)) และสำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกรมในกระทรวง
เดยี วกนั ถูกกล่ำวหำและมปี ลัดกระทรวงรว่ มด้วย (มำตรำ ๙๔ (๒))
- ปลัดกระทรวง สำหรับข้ำรำชกำรกรมเดียวกันถูกกล่ำวหำและ
มีอธิบดีร่วมด้วย (มำตรำ ๙๔ (๑)) และสำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกรมในกระทรวงเดียวกัน
ถกู กลำ่ วหำ (มำตรำ ๙๔ (๒))
- ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ร่วมกันแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนสำหรบั ขำ้ รำชกำรตำ่ งกระทรวงกนั ถกู กล่ำวหำ (มำตรำ ๙๔ (๓))
สาหรับกรณีอื่นตามมาตรา ๙๔ (๔) ก็ได้กาหนดไว้ในข้อ ๑๖ แห่งกฎ ก.พ. นี้
ดงั นี้
ข้อ ๑๖ (๑) อธิบดีหรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุที่มี
ตาแหน่งเหนือกว่าเป็นผู้แต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน สำหรับในกรณีที่ข้ำรำชกำร
กรมเดียวกันแต่ดำรงตำแหน่งต่ำงกันถูกกล่ำวหำว่ำร่วมกันกระทำผิดและผู้บังคับบัญชำซึ่งมี
อำนำจส่ังบรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ ต่ำงกนั
ข้อ ๑๖ (๒) และ (๓) ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา
๕๗ ของผ้ถู ูกกล่ำวหำแต่ละคนรว่ มกันแตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบสวน สำหรบั ในกรณดี ังนี้
- กรณีข้ำรำชกำรในสำนักงำนรัฐมนตรี หรือส่วนรำชกำรท่ีไม่มีฐำนะ
เป็นกรมแต่มีหัวหน้ำส่วนรำชกำรเป็นอธิบดีหรือตำแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่ำงอื่นที่มีฐำนะเป็นอธิบดี
ถกู กลำ่ วหำว่ำกระทำผิดวินยั ร่วมกบั ข้ำรำชกำรพลเรอื นสำมัญในสว่ นรำชกำรอนื่
- กรณีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญในส่วนรำชกำรท่ีมีฐำนะเป็นกรม
และไม่สังกัดกระทรวงแต่อยู่ในบังคับบัญชำของนำยกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือในส่วนรำชกำร
ทีม่ ีหัวหน้ำส่วนรำชกำรรับผิดชอบในกำรปฏิบัติรำชกำรข้ึนตรงต่อนำยกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี
ถกู กลำ่ วหำวำ่ กระทำผิดวนิ ยั ร่วมกับข้ำรำชกำรพลเรือนสำมญั ในส่วนรำชกำรอนื่
เว้นแต่ปรำกฏว่ำในกรณีดังกล่ำวมีผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหำร
ระดับสูงถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยร่วมด้วย ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนำจแต่งต้ัง
คณะกรรมกำรสอบสวน
ข้อ ๑๖ (๔) ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนำจแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวน กรณีข้ำรำชกำรในรำชกำรบริหำรส่วนภูมิภำคจังหวัดเดียวกันแต่ต่ำงกรมหรือ
ต่ำงกระทรวงถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดร่วมกันและผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจสง่ั บรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ ทกุ รำย
๑.๓ ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๗ วรรคสาม ซึ่งได้
บัญญัติในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำไม่ใช้อำนำจตำมมำตรำ ๙๓ หรือมำตรำ ๙๔ ก็ให้
ผบู้ งั คบั บัญชำระดับเหนือขนึ้ ไปมีอำนำจแตง่ ต้งั คณะกรรมกำรสอบสวนได้อกี ดว้ ย
๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน กำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรง
โดยปกติต้องดำเนินกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน ดังนั้น คำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวนจึงเป็นหลักฐำนสำคัญท่ีแสดงว่ำผู้บังคับบัญชำได้ดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำที่แล้ว
โดยคำส่ังดงั กล่ำวอยำ่ งน้อยตอ้ งมีสำระสำคญั อันประกอบไปดว้ ย
(๑) ช่อื และตำแหน่งของผู้ถูกกลำ่ วหำ
(๒) เรือ่ งทก่ี ล่ำวหำ (พฤติกำรณ์ท่ีเป็นกำรกระทำผิดวินยั )
(๓) ช่ือคณะกรรมกำรสอบสวน
ท้งั น้ี รำยละเอียดเปน็ ไปตำมขอ้ ๑๙ และแบบคำสั่งตำมท่ีสำนักงำน ก.พ. กำหนด
(ดว.๑)
ส่วนรำยละเอียดตำแหน่งของคณะกรรมกำรสอบสวนและสิทธิคัดค้ำน
คณะกรรมกำรสอบสวนกำหนดให้ทำเป็นเอกสำรแนบท้ำยคำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
และแจ้งให้ผถู้ กู กลำ่ วหำทรำบในครำวเดียวกนั ตำมขอ้ ๒๑ (๑)
เม่ือมีกำรแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนแล้ว จะต้องมีกำรแจ้งคำส่ังให้ผู้ถูก
กล่ำวหำและคณะกรรมกำรสอบสวนทรำบตำมข้อ ๒๑ ด้วย เพ่ือให้ผู้ถูกกล่ำวหำได้ทรำบว่ำ
๑) ตนถูกดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงในเร่ืองใด ๒) ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินกำรทำงวินัยแก่ตน
เพื่อจะได้ใช้สิทธิคัดค้ำนหำกผู้นั้นมีเหตุ ตำมกฎหมำยที่อำจทำให้กำรสอบสวน
เสียควำมเปน็ ธรรม ซง่ึ ในกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน กฎ ก.พ. นี้ยงั ได้กำหนดว่ำหำกผู้ถูก
กล่ำวหำได้คัดค้ำนโดยถูกต้องตำมกฎหมำยแล้ว ให้กรรมกำรสอบสวนผู้ท่ีถูกคัดค้ำนน้ัน
ต้องหยดุ ปฏิบตั หิ นำ้ ทีใ่ นกำรสอบสวนด้วย
และเพ่ือให้คณะกรรมกำรสอบสวนทรำบว่ำ ๑) ตนได้รับแต่งต้ังเป็นผู้มีหน้ำท่ี
ดำเนินกำรทำงวินัย ๒) ทรำบเร่ืองที่กล่ำวหำอันเป็นกรอบในกำรดำเนินกำร และ
๓) ประธำนกรรมกำรเตรียมจัดใหม้ กี ำรประชุมนัดแรก
๓ องค์ประกอบและคุณสมบัติคณะกรรมการสอบสวน ได้กำหนดไว้ใน
ขอ้ ๑๘ โดยคณะกรรมกำรสอบสวนจะประกอบดว้ ย
(๑.๓.๑) ประธำนกรรมกำร
(๑.๓.๒) กรรมกำรอย่ำงนอ้ ย ๒ คน
(๑.๓.๓) กรรมกำรคนหนึ่งเป็นเลขำนุกำร
(๑.๓.๔) ผ้ชู ่วยเลขำนุกำร (กรณีจำเป็น)
สำหรับคุณสมบัติคณะกรรมกำรสอบสวนได้กำหนดให้กรรมกำรสอบสวน
ต้องแต่งตั้งจำกข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ เว้นแต่มีเหตุผลจำเป็นจะแต่งต้ังจำกข้ำรำชกำร
ฝ่ำยพลเรือนที่ไม่ใชข่ ้ำรำชกำรกำรเมืองก็ได้
ขณะแต่งต้ังประธำนกรรมกำรต้องดำรงตำแหน่งตำมท่ี ก.พ. กำหนด โดยมี
รำยละเอียดตำมหนงั สือสำนกั งำน ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒ ลงวนั ที่ ๒๖ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๕๗
นอกจำกน้ีกฎ ก.พ. นี้ได้กำหนดหลักกำรใหม่เพิ่มเติมโดยจะแต่งต้ัง
ผู้ช่วยเลขำนุกำรจำกลูกจ้ำงประจำหรือพนักงำนรำชกำรก็ได้ เพื่อแก้ปัญหำกำรขำดแคลน
บคุ ลำกรดำ้ นวนิ ยั
ในกรณีท่ีก ำรแ ต่งตั้ง คณะ กรรมกำรสอบ สวน โดยมีอง ค์ประ กอบ และ /หรือ
คุณสมบัติไมเ่ ป็นไปตำมท่ีกำหนดไว้ในข้อ ๑๘ นี้ จะทำให้กำรสอบสวนทั้งหมดเสียไป และให้
ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำรแต่งตั้งคณะกรรรมกำรสอบสวนใหม่โดยเร็ว
ท้ังน้ี เปน็ ไปตำมทีก่ ำหนดไวใ้ นขอ้ ๖๐
๔. การคัดคา้ นคณะกรรมการสอบสวน
“กำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน” เป็นสิทธิท่ีสำคัญข้อหน่ึงของผู้ถูกกล่ำวหำ
ที่จะทำให้กำรสอบสวนเป็นไปอยำ่ งยตุ ธิ รรมและปรำศจำกอคติ นอกจำกนี้กรรมกำรสอบสวน
หำกเห็นว่ำตนมีเหตุแห่งกำรคัดค้ำนก็สำมำรถแจ้งเรื่องให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
พิจำรณำส่ังกำรได้เช่นกัน ซ่ึงกฎ ก.พ. ฉบับน้ี ได้กำหนดไว้ในข้อ ๒๑ – ๒๕ โดยสรุป
สำระสำคญั ได้ดงั นี้
๔.๑ เหตแุ ห่งกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน ได้กำหนดไวใ้ นขอ้ ๒๒ ดงั นี้
เป็นผูก้ ลำ่ วหำตำมข้อ ๓
เปน็ คหู่ มัน้ หรือคู่สมรสของผู้กล่ำวหำตำมขอ้ ๓
เป็นญำติของผู้กล่ำวหำตำมข้อ ๓ คือ เป็นบุพกำรีหรือ
ผู้สืบสันดำนไม่ว่ำช้ันใดๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงสำมช้ัน หรือเป็นญำติ
เกี่ยวพันทำงกำรสมรสนบั ได้เพียงสองช้ัน
เป็นผู้มีสำเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่ำวหำหรือกับคู่หมั้นหรือ
คูส่ มรสของผถู้ ูกกลำ่ วหำ
เป็นผ้มู ปี ระโยชน์ไดเ้ สียในเร่ืองท่สี อบสวน
เป็นผูร้ ูเ้ ห็นเหตุกำรณใ์ นขณะกระทำผิดตำมเรือ่ งทกี่ ลำ่ วหำ
เป็นผู้ที่มีเหตุอ่ืนซ่ึงมีสภำพร้ำยแรงอันอำจทำให้กำรสอบสวน
ไมเ่ ปน็ กลำงหรือเสยี ควำมเปน็ ธรรม
๔.๒ วิธีกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน
กำรคดั ค้ำนตอ้ งทำเป็นหนังสอื โดยมเี งื่อนไขตำมที่กำหนดในข้อ ๒๓ ดังน้ี
ต้องดำเนินกำรคัดค้ำนภำยในเวลำ ๗ วันนับแต่วันท่ีผู้ถูกกล่ำวหำ
ทรำบคำส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน หรือภำยในเวลำ ๗ วันนับแต่วันที่ผู้ถูกกล่ำวหำ
ทรำบเหตแุ หง่ กำรคดั คำ้ น
ตอ้ งระบขุ ้อเทจ็ จรงิ หรอื พฤตกิ ำรณ์อันเป็นเหตุแห่งกำรคัดค้ำน โดย
ให้ระบุด้วยว่ำพฤติกำรณ์แห่งกำรคัดค้ำนดังกล่ำวจะทำให้กำรสอบสวนเสียควำมเป็นธรรม
อย่ำงไร
ในกรณีท่ีคำคัดค้ำนไม่เป็นไปตำมที่กำหนดในกฎ ก.พ. นี้ ให้ผู้มีอำนำจ
พิจำรณำคำคัดค้ำนสัง่ ไม่รับคำคดั คำ้ นและแจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ
๔.๓ ผมู้ ีอำนำจพิจำรณำคำคดั ค้ำน
กำรคัดค้ำนนั้นจะต้องย่ืน ต่อผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
เป็นผู้พิจำรณำ ท้ังน้ี เพ่ือให้ผู้มีอำนำจดังกล่ำวได้พิจำรณำและอำจมีกำรเปลี่ยนแปลง
กรรมกำรสอบสวนอนั เปน็ อำนำจของผผู้ ู้สง่ั แตง่ ตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน ซึ่งเม่ือผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนได้รับคำคัดค้ำนแล้วให้แจ้ง ๑) ประธำนกรรมกำร และ ๒) กรรมกำร
สอบสวนผู้ถูกคัดค้ำน เพ่ือให้กรรมกำรสอบสวนผู้น้ันหยุดปฏิบัติหน้ำที่ และดำเนินกำรช้ีแจง
ภำยใน ๗ วัน
โดยในกำรพจิ ำรณำคำคัดคำ้ นสำมำรถส่งั กำรได้ดังนี้
เห็นว่ำคำคัดค้ำนฟังไม่ขึ้น ให้ยกคำคัดค้ำนโดยแจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำ
ประธำนกรรมกำร และกรรมกำรสอบสวนผู้ถูกคดั คำ้ นทรำบ
เห็นว่ำคำคัดค้ำนฟังขึ้น ให้กรรมกำรสอบสวนผู้ถูกคัดค้ำนพ้นจำก
หน้ำท่ี และใหผ้ สู้ ่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำรเปลี่ยนแปลงกรรมกำรสอบสวน
ตำมขอ้ ๒๐ โดยอำจลด หรือเปลี่ยนกรรมกำรสอบสวนก็ได้ ท้ังนี้ กำรเปล่ียนแปลงดังกล่ำว
ตอ้ งมอี งค์ประกอบและคณุ สมบัตเิ ป็นไปตำมข้อ ๑๘ ดว้ ย
การพิจารณาสั่งการคาคัดค้านนี้จะต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภา ยใน
๑๕ วัน ตำมข้อ ๒๔ โดยนับต้ังแต่วันที่ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับคำคัดค้ำน
โ ด ย ใ นก ร ณี ท่ีไ ม่ มี กำ ร สั่ งก ำ ร ใ ดภ ำ ย ใน ร ะ ยะ เ ว ลำ ดั ง กล่ ำ ว ใ ห้ถื อ ว่ ำ ก ร ร มก ำ ร สอ บ ส ว น
ที่ผู้ถูกคัดค้ำนพ้นจำกหน้ำที่ และให้ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำร
เปลย่ี นแปลงกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๒๐
ในกรณีที่กรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำตนมีเหตุแห่งกำรคัดค้ำน ก็ให้ย่ืน
เป็นหนงั สอื ตอ่ ผสู้ ่งั แตง่ ตัง้ คณะกรรมกำรสอบสวนตำมขอ้ ๒๕ เพือ่ พจิ ำรณำสงั่ กำรตอ่ ไป
สำหรับกำรคัดค้ำนของผู้ช่วยเลขำนุกำรให้นำข้อ ๒๒ - ข้อ ๒๕ มำใช้โดย
อนโุ ลมดว้ ย
๕. หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และระยะเวลาการสอบสวน
“กำรสอบสวน” คือ กำรรวบรวมพยำนหลักฐำนเพื่อแสวงหำควำมจริง
ในเร่ืองที่มีกำรกล่ำวหำเพื่อให้กำรพิจำรณำดำเนินกำรทำงวินัยเป็นไปด้วยควำมยุติธรรม
โดยกำรสอบสวนเป็นกระบวนกำรท่ีสำคัญเพื่อให้ปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำมีกำรกระทำตำมท่ีมี
กำรกล่ำวหำหรือไม่ หรืออำจกล่ำวได้ว่ำเป็นกระบวนกำรเพ่ือพิสูจน์ควำมจริงให้ปรำกฏก็ได้
ซี่ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก ำ ร ส อ บ ส ว น มี ห น้ ำ ท่ี ท่ี จ ะ ต้ อ ง ด ำ เ นิ น ก ำ ร เ พ่ื อ ใ ห้ เ กิ ด ค ว ำ ม ยุ ติ ธ ร ร ม
แกท่ ั้งผู้ถูกกล่ำวหำและทำงรำชกำร โดยมรี ำยละเอียดกำรดำเนินกำร ดงั น้ี
๕.๑ การประชุมนัดแรก
เมื่อประธำนกรรมกำรได้รับเอกสำรท่ีเก่ียวข้อง (เอกสำรหลักฐำนเบื้องต้นและ
หลักฐำนกำรรับทรำบคำส่ังของผู้ถูกกล่ำวหำ) และคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับทรำบคำสั่งแล้ว
ตำมข้อ ๒๗ ได้กำหนดให้ประธำนกรรมกำรมีหน้ำที่นัดประชุมครั้งแรกภำยในเจ็ดวันเพ่ือกำหนด
ประเด็นและวำงแนวทำงกำรสอบสวน
โดยในกำรกำหนดประเด็นและวำงแนวทำงกำรสอบสวน คณะกรรมกำร
สอบสวนจะร่วมพิจำรณำว่ำจำกเรื่องท่ีกล่ำวหำตำมคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนและ
พยำนหลักฐำนที่ปรำกฏในเบื้องต้นน้ัน คณะกรรมกำรสอบสวนจะต้องดำเนินกำรรวบรวม
พยำนหลักฐำนใดและด้วยวิธีกำรใด นอกจำกนี้ยังอำจกำหนดกรอบระยะเวลำในกำรรวบรวม
พยำนหลักฐำนเพ่ือให้กำรสอบสวนเป็นไปอย่ำงรวดเร็วและอยู่ภำยในระยะเวลำที่กฎ ก .พ.
ฉบับนี้ กำหนดไว้
๕.๒ การรวบรวมพยานหลกั ฐาน
กำรรวบรวมพยำนหลักฐำนมีหลกั เกณฑ์ ดงั นี้
ห้ำมบุคคลอ่นื อยูห่ รือร่วมทำกำรสอบสวน (ข้อ ๒๖)
ให้สอบปำกคำผูถ้ กู กล่ำวหำหรอื พยำนครำวละ ๑ คน
จำนวนกรรมกำรสอบสวนในกำรสอบปำกคำต้องไม่นอ้ ยกวำ่ ก่ึงหนงึ่ เว้นแต่
ในกรณีทีก่ งึ่ หน่ึงมำกกว่ำ ๓ คน ให้กรรมกำรสอบสวน ๓ คนทำกำรสอบปำกคำได้ (ข้อ ๓๐)
กำรลงชื่อในบันทกึ ถ้อยคำ และกำรแกไ้ ขข้อควำม (ข้อ ๓๑)
ห้ำมบคุ คลอืน่ อยู่ในทส่ี อบปำกคำ เวน้ แต่เพ่ือประโยชนต์ ่อกำรสอบสวนและ
ผูถ้ กู กลำ่ วมีสทิ ธนิ ำทนำยหรือทปี่ รกึ ษำเขำ้ ในรว่ มกำรสอบปำกคำ (ข้อ ๓๒)
หำ้ มให้ทำคำมน่ั สัญญำ ขเู่ ข็ญ หลอกลวง บังคับ หรอื อื่นใดโดยไมช่ อบ เพื่อจูงใจ
ใหถ้ ้อยคำ (ขอ้ ๓๓)
บันทกึ กำรไดม้ ำของพยำนเอกสำรหรือพยำนวตั ถุ (ข้อ ๓๔ วรรคหน่ึง)
พยำนเอกสำรให้ใชต้ ้นฉบบั หรือสำเนำทร่ี บั รองโดยผู้มอี ำนำจหน้ำท่ีหรอื
กรรมกำรสอบสวน หำกไม่มตี ้นฉบับใหส้ บื จำกสำเนำหรือพยำนบุคคล (ขอ้ ๓๔ วรรค ๒,๓)
พยำนบคุ คลท่ีไมม่ ำหรือไม่ยอมช้ีแจง คณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำ
ตัดพยำนได้ (ข้อ ๓๕)
พยำนที่อำจทำให้กำรสอบสวนลำ่ ช้ำหรือไมจ่ ำเป็นต่อกำรสอบสวน
คณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำงดสอบสวนได้ (ขอ้ ๓๖)
สอบสวนพยำนที่อยตู่ ่ำงท้องที่ ให้ประธำนกรรมกำรรอ้ งขอใหผ้ ้สู ่งั แตง่ ต้ัง
คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำเพอ่ื สง่ ประเดน็ (ข้อ ๓๗)
๕.๓ การแจ้งขอ้ กล่าวหาและสรปุ พยานหลกั ฐานทสี่ นับสนนุ ขอ้ กลา่ วหา
มำตรำ ๙๓ บัญญัติว่ำ “....ในกำรสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุป
พยำนหลกั ฐำนใหผ้ ถู้ ูกกลำ่ วหำทรำบ พร้อมท้ังรบั ฟงั คำช้ีแจงของผู้ถูกกล่ำวหำ ....” อันสอดคล้อง
กบั พระรำชบัญญตั ิวธิ ีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มำตรำ ๓๐ ท่ีคู่กรณีต้องมีโอกำส
รบั ทรำบข้อเท็จจรงิ ทีจ่ ะนำมำพิจำรณำเพื่อทำคำสัง่ ทำงปกครอง จำกข้อกฎหมำยดังกล่ำวจะเห็น
ได้ว่ำ “กำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำน” เป็นกระบวนที่เป็นสำระสำคัญ
ท่ีคณะกรรมกำรสอบสวนจะต้องดำเนินกำร ซ่ึงกฎ ก.พ. นี้ได้กำหนดไว้ในข้อ ๔๐ ข้อ ๔๑
และขอ้ ๔๓ โดยสำระสำคัญดงั นี้
๕.๔ การประชุมเพื่อพิจารณาเพอื่ ลงมติ (ข้อ ๓๘)
คณะกรรมกำรสอบสวนต้องจัดให้มีกำรประชุมเพ่ือพิจำรณำพยำนหลักฐำน
โดยหำกพยำนหลักฐำนรับฟังได้ว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัย ก็ให้แจ้งข้อกล่ำวหำและสรุป
พยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ ท้ังน้ี องค์ประชุมต้องมีกรรมกำร
สอบสวนไม่น้อยกว่ำสำมคนและไมน่ ้อยกวำ่ ก่งึ หนง่ึ ของกรรมกำรสอบสวนทง้ั หมด
ในกรณที เ่ี หน็ ว่ำผู้ถกู กล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย ก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนทำ
รำยงำนกำรสอบสวนตำมข้อ ๕๔ เสนอต่อผู้ส่งั แต่งต้งั คณะกรรมกำรสอบสวนต่อไป
๕.๕ บันทกึ การแจง้ ข้อกลา่ วหาและสรุปพยานหลกั ฐานท่ีสนับสนุนขอ้ กล่าวหา
(ข้อ ๔๐)
เม่ือคณะกรรมกำรสอบสวนได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำจำกพยำนหลักฐำนที่ได้
ดำเนินกำรรวบรวมมำนั้น ฟังได้ว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยตำมที่เรื่องท่ีกล่ำวหำ ก็ให้
คณะกรรมกำรสอบสวนจัดทำบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำน ที่สนับสนุน
ข้อกล่ำวหำ โดยสำนักงำน ก.พ. ได้กำหนดแบบบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำ (ดว.๕)
อนั มีสำระสำคญั ประกอบดว้ ย
ระบุข้อเท็จจริงและพฤติกำรณ์ของผู้ถูกกล่ำวหำว่ำได้กระทำกำรใด เมื่อใด
อย่ำงไร เปน็ ควำมผิดวินัยในกรณีใด
สรปุ พยำนหลักฐำนทส่ี นับสนนุ ข้อกล่ำวหำ โดยจะระบชุ อื่ พยำนดว้ ยหรือไม่ก็ได้
แจ้งสิทธิของผู้ถูกกล่ำวหำท่ีจะให้ถ้อยคำหรือย่ืนคำชี้แจงแก้ข้อกล่ำวหำเป็น
หนังสือ สิทธิที่จะแสดงพยำนหลักฐำนหรือจะอ้ำงพยำนหลักฐำน เพ่ือขอให้เรียก
พยำนหลักฐำนนนั้ มำได้
โดยทำบันทึกเป็น ๒ ฉบับ เพือ่ เกบ็ ไวใ้ นสำนวนกำรสอบสวน ๑ ฉบับ และให้
ผูถ้ ูกกล่ำวหำ ๑ ฉบบั นอกจำกนี้ ในกำรแจง้ ข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุน
ข้อกล่ำวหำน้ัน กค็ วรจะมีกำรสอบถำมผถู้ ูกกล่ำวหำวำ่ จะยอมรบั สำรภำพว่ำกระทำผิดตำมที่
ปรำกฏพยำนหลักฐำนหรือไม่ หำกรับสำรภำพคณะกรรมกำรสอบสวนจะพิจำรณำลงมติ
เพ่ือทำรำยงำนกำรสอบสวนก็ได้ แต่หำกผู้ถูกกล่ำวหำไม่รับสำรภำพก็จะต้องแจ้งวิธีกำร
ชี้แจงแกข้ ้อกล่ำวหำให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบด้วย
๕.๖ วธิ ีการแจ้งข้อกลา่ วหาและสรปุ พยานหลักฐานท่ีสนบั สนุนข้อกล่าวหา
- แจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบโดยตรงตำมข้อ ๔๑ คือ ให้คณะกรรมกำร
สอบสวนเรียกผู้ถูกกล่ำวหำมำเพ่ือรับทรำบข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุน
ข้อกล่ำวหำ โดยกำหนดวนั เวลำ และสถำนทเี่ พ่ือแจ้งให้ผูถ้ ูกกล่ำวหำทรำบ
ใ น ก ร ณี ท่ี ผู้ ถู ก ก ล่ ำ ว ห ำ ม ำ เ พ่ื อ รั บ ท ร ำ บ ข้ อ ก ล่ ำ ว ห ำ แ ล ะ ส รุ ป
พยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ ก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนแจ้งข้อกล่ำวหำนั้น
แล้วจึงให้ผู้ถูกกล่ำวหำลงลำยมือชื่อในบันทึกท้ัง ๒ ฉบับ เพื่อเป็นหลักฐำน แต่หำกผู้ถูก
กล่ำวหำรับทรำบข้อกล่ำวหำแล้วแต่ไม่ยอมลงลำยมือชื่อก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนบันทึก
เหตดุ ังกลำ่ วไว้ และถือว่ำผู้ถูกกล่ำวหำได้ทรำบข้อกล่ำวหำแล้ว จำกนั้นจึงส่งบันทึกกำรแจ้ง
ขอ้ กล่ำวหำ ๑ ฉบับไปทำงไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยู่อำศัยท่ีปรำกฏตำมหลักฐำน
ของทำงรำชกำรของผูถ้ ูกกลำ่ วหำ
- แจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบโดยไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ตำมข้อ ๔๓ จะใช้สำหรับในกรณีท่ีผู้ถูกกล่ำวหำไม่มำตำมวัน เวลำ และสถำนท่ีที่
คณะกรรมกำรสอบสวนเรียก ก็ให้ส่งบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวกล่ำวหำจำนวน ๑ ฉบับ
ไปทำงไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยู่อำศัยที่ปรำกฏตำมหลักฐำนของทำงรำชกำร
ของผูถ้ กู กลำ่ วหำ เม่ือลว่ งพ้น ๑๕ วันนับแต่วันที่ได้ดำเนินกำรดังกล่ำว ให้ถือว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
ไดท้ รำบขอ้ กลำ่ วหำแล้ว
๕.๗ สรุปกระบวนการแจง้ ข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน
๕.๘ การให้โอกาสผูถ้ กู กล่าวหาชแี้ จงแก้ขอ้ กลา่ วหา
กำรให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำชี้แจงแก้ข้อกล่ำวหำนั้น เป็นกระบวนกำร
สืบเนื่องมำจำกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนที่สนับสนุนข้อกล่ำวหำท่ีกฎหมำย
กำหนดให้ต้องเปิดโอกำสให้ผู้ถูกกล่ำวหำได้ช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำ ตลอดจนให้สิทธิในกำรนำสืบ
หรืออ้ำงพยำนหลักฐำนต่ำงๆ เพื่อหักล้ำงพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำได้ โดยข้อ ๔๒
และข้อ ๔๓ ได้กำหนดให้คณะกรรมกำรสอบสวนต้องทำกำรกำหนดวัน เวลำ สถำนที่ และ
วิธีกำรชีแ้ จงให้ผู้ถกู กลำ่ วหำทรำบ
ในกรณีท่ีไม่สำมำรถชี้แจงได้ภำยในกำหนดระยะเวลำดังกล่ำวผู้ถูกกล่ำวหำ
อำจขอให้คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำกำหนดใหม่ก็ได้ตำมข้อ ๔๔ ท้ังนี้ ผู้ถูกกล่ำวหำ
ต้องร้องขอก่อนครบกำหนดระยะเวลำ
สำหรับในกรณีท่ีผู้ถูกกล่ำวหำไม่ช้ีแจงภำยในระยะเวลำท่ีกำหนด ก็ให้ถือว่ำ
ผูถ้ กู กลำ่ วหำไมป่ ระสงคจ์ ะชแ้ี จงแก้ข้อกล่ำวหำ ทั้งน้ี เว้นแต่คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำ
เหน็ สมควรให้โอกำสช้แี จงเพอ่ื ประโยชน์แห่งควำมเป็นธรรมตำมขอ้ ๔๗
ท้งั นี้ ผู้ถกู กล่ำวหำอำจจะช้ีแจงด้วยวำจำ เป็นหนังสือ หรือวิธีกำรอื่นใดเพื่อให้
เกิดควำมเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำ โดยผู้ถูกกล่ำวหำอำจกล่ำวอ้ำงพยำนหลักฐำนเพื่อให้
คณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรรวบรวมมำเพื่อประกอบกำรพจิ ำรณำก็ได้
๕.๙ การทารายงานการสอบสวน (ข้อ ๕๒ และขอ้ ๕๓)
เมื่อคณะกรรมกำรสอบสวนได้ดำเนินกำรสอบสวนโดยรวบรวมพยำนหลักฐำน
และรับฟังคำช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำของผู้ถูกกล่ำวหำเสร็จส้ินแล้ว คณะกรรมกำรสอบสวน
จะต้องทำกำรประชุมเพ่ือพิจำรณำท้ังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมำยให้ครบทุกข้อกล่ำวหำและ
ทกุ ประเด็นเพื่อพิจำรณำและมมี ติว่ำผถู้ กู กล่ำวหำกระทำผิดตำมข้อกล่ำวหำหรือไม่ หำกเป็น
ควำมผิดวินัยจะเป็นควำมผิดวินัยตำมบทบัญญัติใด และควรได้รับโทษสถำนใด จำกนั้น
จึงจัดทำรำยงำนกำรสอบสวนเพื่อเสนอผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำต่อไป
ทั้งน้ี องค์ประชุมในกำรพิจำรณำกรณีน้ีต้องไม่น้อยกว่ำสำมคนและไม่น้อยกว่ำกึ่งหนึ่งของ
กรรมกำรสอบสวนทัง้ หมด
รายงานการสอบสวน สำนักงำน ก.พ. ได้กำหนดแบบรำยงำน
กำรสอบสวน (ดว.๖) โดยต้องมีสำระสำคญั ดงั น้ี
๑. สรปุ ขอ้ เทจ็ จริงและพยำนหลกั ฐำน
๒. วินิจฉยั เปรียบเทียบพยำนหลักฐำน
๓. ควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวน
ทั้งน้ี ในรำยงำนกำรสอบสวน กรรมกำรสอบสวนต้องลงลำยมือชื่อทุกคน
เว้นแต่มีเหตุควำมจำเป็นก็ให้ประธำนกรรมกำรบันทึกเหตุน้ันไว้ และสำหรับในกรณีท่ี
กรรมกำรใดมีควำมเห็นแย้งก็ให้ระบุควำมเห็นนั้นไว้ในรำยงำนกำรสอบสวนด้วย
ซง่ึ ควำมเหน็ โดยละเอียดจะทำเป็นบันทกึ แนบท้ำยรำยงำนกำรสอบสวนกไ็ ด้
๕.๑๐ ระยะเวลาในการสอบสวน (ขอ้ ๕๔)
กฎ ก.พ. ฉบับนี้ ได้กำหนดระยะเวลำกำรสอบสวนโดยเร่งรัดให้กำรสอบสวน
แล้วเสร็จภำยใน ๑๒๐ วันนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมกำรสอบสวนได้ประชุมคร้ังแรกตำม
ข้อ ๒๗ และขยำยได้ไม่เกินครั้งละ ๖๐ วัน โดยในแต่ละขั้นตอนกำรดำเนินกำร
ของคณะกรรมกำรสอบสวนจะไม่มีกำรกำหนดระยะเวลำไว้ เพ่ือให้คณะกรรมกำรสอบสวน
สำมำรถวำงกรอบระยะเวลำได้ตำมควำมเหมำะสม
ในกรณีท่ีกำรสอบสวนไม่แล้วเสร็จได้ภำยใน ๑๘๐ วัน ก็ให้ผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนรำยงำนไปยงั อ.ก.พ. กระทรวงที่ผู้ถูกกล่ำวหำสังกัดอยู่เพ่ือเร่งรัดกำร
สอบสวนใหแ้ ล้วเสรจ็ โดยเร็ว
๖. การพจิ ารณาของผู้สัง่ แตง่ ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน
เม่ือผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับรำยงำนกำรสอบสวนแล้ว ก็ให้
ดำเนนิ กำรตำมข้อ ๕๕ และข้อ ๕๖ ดงั น้ี
- ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำกำรสอบสวนยังไม่ถูกต้องหรือไม่
ครบถว้ น ก็ใหส้ ่ังหรือดำเนนิ กำรดงั ต่อไปนี้
(๑) ในกรณีท่ีเห็นว่ำยังไม่มีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำหรือกำรแจ้ง
ข้อกล่ำวหำยังไมค่ รบถว้ น ใหส้ ่ังใหค้ ณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรแจง้ ข้อกล่ำวหำหรือแจ้ง
ข้อกล่ำวหำให้ครบถว้ นโดยเรว็
(๒) ในกรณีท่ีเห็นว่ำควรรวบรวมข้อเท็จจริงหรือพยำน
หลักฐำนเพิ่มเติม ให้กำหนดประเด็นหรือข้อสำคัญที่ต้องกำรให้คณะกรรมกำรสอบสวนทำ
กำรสอบสวนเพ่ิมเตมิ โดยไม่ต้องทำควำมเห็น
(๓) ในกรณีที่เห็นว่ำกำรดำเนินกำรใดไม่ถูกต้อง ให้ส่ังให้
คณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรใหถ้ ูกตอ้ งโดยเรว็
- ผ้สู งั่ แต่งตงั้ คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำกำรสอบสวนถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ใหพ้ ิจำรณำมีควำมเห็นเพือ่ สงั่ หรือดำเนินกำร ดงั ต่อไปนี้
(๑) ในกรณีท่ีคณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้
กระทำผิดวินัย หรือกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง ถ้ำผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง หรือไม่ได้กระทำผิดวินัย ให้ผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำท่ีต่อไป แต่ถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผดิ วินัยอย่ำงร้ำยแรงกใ็ ห้ดำเนินกำรตำม (๒)
(๒) ในกรณีที่คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงหรือไม่ และไม่ว่ำผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนจะเห็นด้วย
กับควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวนหรือไม่ก็ตำม ให้ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ สง่ เร่อื งให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง ซ่ึงผู้ถูกกล่ำวหำ
สังกัดอยู่ตำมท่ีกำหนดในข้อ ๕๘ แลว้ แตก่ รณี เพอ่ื พิจำรณำต่อไป
(๓) ในกรณีที่คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผลกำรสอบสวน
ยังไม่ไดค้ วำมแน่ชดั พอทจี่ ะลงโทษเพรำะกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง แต่เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
หย่อนควำมสำมำรถในอันที่จะปฏิบัติหน้ำท่ีรำชกำร บกพร่องในหน้ำท่ีรำชกำร ประพฤติตน
ไมเ่ หมำะสมกบั ตำแหนง่ หน้ำท่รี ำชกำร หรอื มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน ถ้ำให้
ผู้น้ันรับรำชกำรต่อไปจะเป็นกำรเสียหำยแก่รำชกำร ถ้ำผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน
เห็นด้วยกับควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวนให้พิจำรณำดำเนินกำรตำมมำตรำ ๑๑๐
(๖) หรือ (๗) ต่อไป แต่ถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย หรือกระทำผิดวินัย
อย่ำงไม่ร้ำยแรง ให้พิจำรณำดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำท่ีต่อไป และถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผดิ วนิ ัยอย่ำงรำ้ ยแรงก็ให้ดำเนนิ กำรตำม (๒)
๗. การส่งเรื่องให้ อ.ก.พ.สามัญ
ในกรณีท่คี ณะกรรมกำรสอบสวนหรือผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน
เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. สำมัญ พิจำรณำตำม
ข้อ ๕๘ ดังนี้
ขอ้ สังกดั ของ ผู้สั่งแต่งต้ัง อ.ก.พ. สามัญ
ผถู้ กู กล่าวหา คณะกรรมการสอบสวน อ.ก.พ. จงั หวัด
๕๘ (๑) ตาแหนง่ ตาม ม.๕๗ (๑๑) ผูว้ ่าราชการจังหวดั
และสงั กดั ราชการบริหารส่วนภมู ภิ าค
๕๘ (๒) ตาแหน่งตาม ม.๕๗ (๖) (๙) (๑๐) - อธบิ ดี (ปลดั กระทรวงในฐานะอธิบดี) อ.ก.พ. กรม
และสังกดั ราชการบริหาร - หัวหน้าส่วนราชการระดบั กรมท่ีอยูใ่ นบงั คบั
สว่ นภมู ภิ าคหรือส่วนกลาง บัญชา/ขนึ้ ตรงต่อนายกรัฐมนตรหี รอื รัฐมนตรี
๕๘ (๓) ตาแหน่งตาม ม.๕๗ ( ๑) (๒) (๓) - นายกรัฐมนตรี อ.ก.พ. กระทรวง
(๕) (๗) (๘) และสังกดั ราชการ
บริหารสว่ นภมู ิภาคหรอื ส่วนกลาง - รัฐมนตรี
- ปลัดกระทรวง
- หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่ในบงั คบั
บัญชา/ข้นึ ตรงต่อนายกรฐั มนตรีหรอื รฐั มนตรี
ท้ังน้ี เมื่อ อ.ก.พ. สำมัญพิจำรณำมีมติเป็นประกำรใดให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมี
อำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตำมน้ัน โดยมีอำนำจที่จะลงมติ
ให้ลงโทษทำงวินัยได้ทุกสถำนโทษ ตลอดจนแก้ไขกระบวนกำรสอบสวนหรือให้สอบสวน
เพมิ่ เตมิ ได้ดว้ ย
หมวด ๕
กรณคี วามผิดทีป่ รากฏชดั แจง้
กรณีความผิดทป่ี รากฏชัดแจ้ง
กำรที่ข้ำรำชกำรกระทำผิดวินัยในกรณีท่ีเป็นควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้ง
ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ อำจใช้ดุลพินิจดำเนินกำรทำงวินัย
โดยไม่ต้องสอบสวนหรือหำกอยู่ระหว่ำงกำรสอบสวนอำจงดกำรสอบสวนก็ได้ ซึ่งกรณี
ควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้งตำมกฎ ก.พ. ฉบับน้ี มีบำงส่วนท่ีแตกต่ำงไปจำกกฎ ก.พ.
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วำ่ ด้วยควำมผิดทป่ี รำกฏชดั แจง้ ดังน้ี
ในกำรกระทำควำมผดิ วนิ ัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงคงไวเ้ ฉพำะกรณีที่ผถู้ กู กล่ำวหำได้รับ
สำรภำพต่อผทู้ ก่ี ฎนี้กำหนด เทำ่ น้นั แตส่ ำหรับกรณีกระทำควำมผิดอำญำจนต้องคำพิพำกษำ
ถึงท่สี ดุ ว่ำผนู้ ้ันกระทำควำมผดิ และผู้บังคับบัญชำเห็นว่ำข้อเท็จจริงท่ีปรำกฏตำมคำพิพำกษำน้ัน
ได้ควำมประจักษ์ชัดแล้ว ได้ถูกตัดออก โดยให้ผู้บังคับบัญชำไปดำเนินกำรสอบสวนตำมปกติ
ทง้ั นี้ เพรำะต้องกำรใหโ้ อกำสผ้ถู กู กล่ำวหำโต้แย้งและแสดงพยำนหลักฐำนของตนอย่ำงเต็มท่ี
ในกรณีท่ีเกิดขึ้น อันเป็นไปตำมพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง มำตรำ ๓๐
ที่บัญญัติว่ำ “ในกรณีท่ีคำส่ังทำงปกครองอำจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้ำหน้ำท่ีต้องให้
คู่กรณีมีโอกำสที่จะได้ทรำบข้อเท็จจริงอย่ำงเพียงพอและมีโอกำสโต้แย้งและแสดง
พยำนหลักฐำนของตน”
สำหรับกำรกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงกรณีละทิ้งหน้ำที่รำชกำรติดต่อ
ในครำวเดียวกันเปน็ เวลำเกินกว่ำสิบห้ำวันนั้นได้กำหนดให้เป็นกรณีควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้ง
เฉพำะไม่กลับมำปฏิบัติหน้ำที่รำชกำรอีกเลย ถ้ำหำกผู้ถูกกล่ำวหำได้กลับมำปฏิบัติหน้ำที่
อีกจะต้องดำเนินกำรสอบสวนตำมปกติ ท้ังน้ี เพื่อให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำได้โต้แย้งและแสดง
พยำนหลกั ฐำนของตนอย่ำงเตม็ ทีน่ ่นั เอง
สาระสาคัญ
กรณคี วามผดิ ทป่ี รากฏชดั แจ้ง แบ่งออกเปน็ ๒ กรณี ได้แก่
๑. กรณีความผิดวินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง (ขอ้ ๖๔)
ข้ำรำชกำรท่ีกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงและได้รับสำรภำพเป็นหนังสือ
ต่อผู้บังคับบัญชำหรือให้ถ้อยคำรับสำรภำพและมีกำรบันทึกถ้อยคำรับสำรภำพเป็นหนังสือ
หรือมีหนังสือรับสำรภำพต่อผู้มีหน้ำที่สืบสวนสอบสวน หรือคณะกรรมกำรสอบสวน
ตำม กฎ ก.พ. น้ี ซ่ึงกำรรับสำรภำพน้ัน ต้องรับโดยส้ินเชิงไม่มีกำรยกข้อต่อสู้เป็นประเด็นใหม่
ขึ้นมำ ถือว่ำเป็นกรณีควำมผิดที่ปรำกฏชัดแจ้ง จึงเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
ส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ที่จะพิจำรณำให้ดำเนินกำรทำงวินัยโดยไม่ต้องทำกำรสอบสวน
ซ่ึงถ้ำเห็นว่ำกำรรับสำรภำพในกรณีดังกล่ำวเพียงพอจะวินิจฉัยได้ว่ำกำรกระทำน้ัน
เป็นควำมผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงตำมข้อกล่ำวหำ หรือหำกในระหว่ำงกำรสอบสวนทำงวินัย
ผู้ถูกกล่ำวหำได้รับสำรภำพต่อผู้มีหน้ำท่ีสอบสวนหรือต่อคณะกรรมกำรสอบสว น
ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ อำจพิจำรณำให้งดกำรสอบสวนน้ันก็ได้
โดยไม่ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ ตลอดจนรับฟัง
คำชแ้ี จงแก้ขอ้ กลำ่ วหำ ของผถู้ กู กลำ่ วหำ
๒. กรณีความผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง (ข้อ ๖๕)
กรณีกระทำผดิ วนิ ยั อยำ่ งรำ้ ยแรงท่ีเปน็ กรณคี วำมผดิ ที่ปรำกฏชัดแจ้ง มี ๓ กรณี
ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ หรือผู้มีอำนำจตำมมำตรำ ๙๔ ในกรณี
ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรม หรือต่ำงกระทรวงกันถูกกล่ำวหำว่ำ
กระทำผิดวินัยร่วมกันทำให้มีผู้มีอำนำจสั่งบรรจุแต่งตั้งที่ต่ำงกัน จะดำเนินกำรทำงวินัย
โดยไมต่ ้องสอบสวนหรืองดกำรสอบสวนก็ได้ ได้แก่
(๑) กรณีละทิ้งหน้ำท่ีรำชกำรติดต่อในครำวเดียวกันเป็นเวลำเกินกว่ำสิบห้ำวัน
โดยไม่กลับมำปฏบิ ตั ิหน้ำที่รำชกำรอีกเลย และผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗
ได้ดำเนินกำรหรือส่ังให้ดำเนินกำรสืบสวนแล้วเห็นว่ำไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติกำรณ์
อันแสดงถึงควำมจงใจไมป่ ฏิบัตติ ำมระเบยี บของทำงรำชกำร
(๒) กรณีกระทำควำมผดิ อำญำจนไดร้ บั โทษจำคกุ หรือโทษที่หนักกว่ำโทษจำคุก
โดยคำพิพำกษำถึงท่ีสุดให้จำคุก โดยต้องถูกจำคุกจริง ๆ ไม่ใช่รอกำรลงโทษหรือรอ
กำรกำหนดโทษ หรือได้รับโทษที่หนักกว่ำจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับควำมผิดท่ีได้กระทำ
โดยประมำท หรอื ควำมผดิ ลหุโทษ
(๓) กรณีกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงและได้รับสำรภำพเป็นหนังสือ
ต่อผู้บังคับบัญชำ หรือให้ถ้อยคำรับสำรภำพและมีกำรบันทึกไว้เป็นหนังสือต่อผู้มีหน้ำที่
สืบสวน ผู้มีหน้ำทสี่ อบสวน หรอื คณะกรรมกำรสอบสวนตำมกฎ ก.พ. น้ี