The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ
การบริหารทรัพยากรบุคคลการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by porsumatekcho, 2021-05-20 04:59:50

คู่มือการดำเนินงานทางวินัย กรมการพัฒนาชุมชน

เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ
การบริหารทรัพยากรบุคคลการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางวินัย

Keywords: คู่มือการดำเนินงานทางวินัย

เอกสารประกอบการประชมุ เชงิ ปฏิบตั กิ าร
การบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คลการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพ
การดาเนินงานทางวนิ ยั

“... การรักษาความยุตธิ รรม
ในแผ่นดนิ ไม่ควรจะถอื เพียง
แค่ขอบเขตของกฎหมาย...
จาเป็ นต้องขยายออกไปให้ถงึ ศีลธรรมจรรยา
ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็ นจริงด้วย...”

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทาน
ป ร ะ ก า ศ นี ย บั ต ร ข อ ง ส า นั ก อ บ ร ม
ศกึ ษากฎหมายแห่งเนตบิ ัณฑติ ยสภา

ณ อาคารใหม่ สวนอมั พร
วันท่ี 29 ตุลาคม 2522

กองการเจ้าหนา้ ท่ี

กรมการพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย

เศรษฐกจิ ฐานรากมน่ั คงและชมุ ชนพง่ึ ตนเองได้ Change for Good
ภายในปี ๒๕๖๕

สารบญั

วินยั ข้าราชการ หน้า
ความหมายวินยั ขา้ ราชการ
ขอ้ กาหนดวินัย ๑

กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดาเนินการทางวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖
หมวด ๑ การดาเนินการเม่ือมีการกล่าวหาหรือมีกรณที ่สี งสยั ว่ามีการกระทาผิดวนิ ยั ๑๖
หมวด ๒ การสบื สวนหรือพจิ ารณาในเบื้องต้น ๒๐
หมวด ๓ การดาเนนิ การในกรณมี มี ูลที่ควรกลา่ วหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่รา้ ยแรง ๒๓
หมวด ๔ การดาเนนิ การในกรณมี มี ูลท่คี วรกลา่ วหาวา่ กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ๒๗
หมวด ๕ กรณีความผิดท่ปี รากฏชดั แจง้ ๔๖
หมวด ๖ การสงั่ ยตุ ิเร่อื ง ลงโทษ หรอื งดโทษ ๔๙
หมวด ๗ การมีคาสั่งใหมก่ รณีมีการเพ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ ๕๒
หมวด ๘ การส่งั พกั ราชการและให้ออกจากราชการไว้กอ่ น ๕๖
หมวด ๙ ระยะเวลา ๖๘
หมวด ๑๐ บทเบด็ เตล็ด ๗๑
บทเฉพาะกาล ๗๒

ภาคผนวก
- สรุปประเดน็ การร้องเรียน กล่าวหาเกี่ยวกับวนิ ัยขา้ ราชการ
กรมการพฒั นาชุมชน ปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
- พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
- หนงั สอื สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๑ ลงวนั ที่ 1 มกราคม ๒๕๕๗
เรื่อง กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๒ ลงวนั ท่ี ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เรื่อง กาหนดตาแหนง่ ประธานกรรมการตาม กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื สานกั งาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว๓ ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๗
เร่ือง แบบตาม กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
- หนังสอื กระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๒๐๒.๒/ว๕๙ ลงวนั ที่ ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๕๒
เรือ่ ง การรายงานการดาเนนิ การทางวนิ ัยขา้ ราชการต่อ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย
- หนังสอื สานกั งาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว๘ ลงวันที่ ๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๗
เรื่อง ระเบยี บ ก.พ. ว่าดว้ ยการรายงานการดาเนนิ การทางวนิ ัย และการสั่งให้ออกจากราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๖

เอกสารประกอบการประขมุ เชงิ ปฏิบตั กิ าร กองการเจ้าหน้าท่ี กรมการพฒั นาชมุ ชน

วนิ ัยขา ราชการ

ในการบริหารราชการของประเทศไทย ขาราชการพลเรือนซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐในการปฏิบัติ
ตามนโยบายของรัฐบาลบริหารราชการ เปนกลไกหลักสําคัญ ท่ีจะนํามาซึ่งความเจริญ รุงเรืองใหแก
ประเทศชาติ จึงจําเปนอยางย่ิงที่ขาราชการพลเรือนจะตองทําตนใหเปนท่ีเช่ือถือศรัทธาของประชาชน โดยการ
ประพฤติปฏิบัติตนใหเปนขาราชการที่ดีอยูในระเบียบวินัยของขาราชการ ตั้งใจปฏิบัติราชการดวยความเอาใจใส
ระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ เพ่ือใหการบริหารราชการแผนดินเปนไปโดยเรียบรอยและ
เจริญกาวหนายิ่งขึ้น หากขาราชการพลเรือนไมปฏิบัติหนาที่ราชการอยูในระเบียบวินัยอันดี นอกจากจะทําให
เสอื่ มเสียเกียรติศักด์ิของความเปน ขาราชการแลว ยงั ทาํ ใหประชาชนขาดความเช่ือถือศรัทธาในรฐั บาล อันจะสงผล
กระทบนําความเสียหายมาสูระบบราชการ ประเทศชาติและประชาชนโดยสวนรวมดวย วินัยขาราชการพลเรือน
จึงเปนส่ิงจําเปนที่จะตองมีและขาราชการพลเรือนทุกคนจะตองรักษาวินัยโดยเครงครัดอยูเสมอ ผูใดฝาฝนขอหาม
หรือไมปฏิบัติตามขอปฏิบัติทางวินัยตามท่ีบัญญัติไว ยอมถือวาผูน้ันกระทําผิดวินัยและจะตองไดรับโทษตามที่
กําหนดไว แตเปาหมายของวินัยขาราชการพลเรือนมิไดอยูท่ีการลงโทษแตเพียงอยางเดียว ควรมุงในดานการ
เสรมิ สรางและพัฒนาเพื่อใหขาราชการพลเรือนมีวินัยที่ดีดวย

ความหมายของ “วินยั ”
คําวา “วินัย” ตรงกับภาษาอังกฤษวา Discipline เปนเคร่ืองควบคุมพฤติกรรมของคนอยางหน่ึง
ซงึ่ ใชส ําหรบั คนในแตละหมแู ตละเหลาผูมภี ารกิจในลักษณะใดลกั ษณะหนึง่ ท่ีจะตองยึดถือปฏิบัติ
ลักษณะของวินัย อาจมองเห็นไดใ นหลายแงมมุ เชน
มอง “วินัย” ในแงรูปลักษณ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ใหความหมายของ “วินัย” ไว
๒ ลักษณะ คือ ลกั ษณะหนึง่ หมายถงึ “ขอปฏบิ ัติ” ซึ่งเปนการมองที่ปทัสถาน(Norm) ท่กี ําหนดไว อีกลักษณะหนึ่ง
หมายถงึ “การอยใู นแบบแผน” ซง่ึ เปน การมองทพี่ ฤตกิ รรม(Behavior)ของคน
การมองวินัย ในแงรูปลักษณนี้ ทําใหมองเห็นวิธีสรางวินัยวามีอยู ๒ ทาง คือ สรางปทัสถาน(Norm)
โดยกาํ หนดขอปฏบิ ัติทางหนึง่ และสรางพฤติกรรม (Behavior)โดยสรา งปจจัยท่ีเสริมสรางวินัยอีกทางหน่ึง
มอง “วินัย”ในแงบทบาท การมองในแงนี้ ทําใหมองเห็นวาวินัยของคนตางหมูตางเหลาน้ีอาจไม
เหมือนกัน อาจแตกตางกันตามบทบาทภารกิจของแตละหมูเหลา เชน วินัยสงฆก็อยางหนึ่ง วินัยทหารก็อยางหน่ึง
วนิ ัยขาราชการพลเรอื นก็อยา งหน่ึง วนิ ัยขาราชการครูก็อีกอยางหนึ่ง ท้ังนี้ เปนไปตามแบบ ของคนในหมูเหลาน้ันๆ
ซึ่งการพิจารณาความผิดทางวินัยตองพิจารณาตามแบบของคนแตละหมูแตละเหลา การกําหนดบทวินัยก็ตอง
กําหนดใหเ หมาะสมกบั แบบของคนแตละหมแู ตละเหลา
มองวินัยในแงการใชบังคับ เม่ือนํา “วินัย”มาใชบังคับกับคน จะมีคํากลาวถึงพฤติกรรมของคนอยู
๒ อยาง คือ “ผิดวินัย”หรือ “ไมผิดวินัย”อยางหนึ่ง “มีวินัย”หรือ “ไมมีวินัย”อีกอยางหนึ่ง ถากลาววา “ผิดวินัย”
หรือ “ไมผิดวินัย” คําวา “วินัย” จะหมายถึง “ขอปฏิบัติ”หรือ “ขอหาม” ท่ีกําหนดไวเปนปทัสถานแหงความ
ประพฤติสาํ หรับคนในหมูเ หลานั้น คอื ไมป ฏบิ ตั ติ ามขอปฏิบตั หิ รือขอหา มทางวินัย
ถากลาววา “มีวินัย” หรือ “ไมมีวินัย” คําวา “วินัย” จะหมายถึง “ลักษณะเชิงพฤติกรรม”ท่ีคน
ปฏิบัติหรือไมปฏิบัติตามขอปฏิบัติ หรือไมฝาฝนหรือฝาฝนขอหามทางวินัยที่กําหนดไวเปนปทัสถานแหงความ



ประพฤติสาํ หรับคนในหมูเหลาน้นั การมอง “วนิ ัย”ในแงการใชบังคับน้ี จะมงุ ไปที่การพิจารณาความชัว่ ความดีหรือ
ความผดิ ความชอบของคน

บทบัญญัติของวินัยขาราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
หมวดท่ี ๖ เกี่ยวกับเรื่องวินัยและการรักษาวินัย ไดกําหนดลักษณะวินัยขาราชการไวท้ังที่เปนขอปฏิบัติและขอหาม
โดยคํานึงถึงประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ เกียรติและศักดิ์ศรี ตลอดจนความเช่ือถือของประชาชน และ
กาํ หนดลักษณะการกระทําผิดท่ีมีสภาพกอใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรา ยแรง เปนการกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง ตลอดจนกาํ หนดบทลงโทษแกผกู ระทําวินัยไวตามสภาพแหง ความรา ยแรงของการกระทาํ ผิด

ดังนั้นจึงพอสรุปไดวา วินัยขาราชการ หมายความถึง กฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับ หรือแบบ
แผน ความประพฤติทีก่ ําหนดใหขาราชการพงึ ควบคุมตนเอง และควบคุมผอู ยูใตบงั คับบัญชาใหประพฤติหรือปฏิบัติ
ตามท่ีกําหนดไว ทั้งน้ีเพื่อใหเกิดความเปนระเบียบเรียบรอยในการบริหารราชการแผนดิน ตลอดจนใหการ
ดําเนินงานเปนไปอยางมปี ระสิทธิภาพและเปนทีเ่ ชื่อถือแกบ ุคคลทั่วไป

ความหมายของ “การรักษาวินยั ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใหความหมายของคําวา “รักษา” ไว ๔ อยาง คือ ระวัง ดูแล
ปองกัน และเยียวยา เมื่อนําความหายของคําวา “รักษา” มาใชกับการรักษาวินัยขาราชการ ก็จะอธิบาย
ความหมายของ “การรักษาวนิ ัยขาราชการ”ไดวา หมายถึง
๑. การท่ขี า ราชการแตละคน “ระวงั ”ไมกระทําผิดวินัย
๒. การท่ีผูบังคับบัญชา องคกร ผูเกี่ยวของ และสังคม “ดูแล” เสริมสรางและพัฒนาให
ขา ราชการมีวนิ ยั
๓. การที่ผบู ังคับบัญชา องคกร ผูเก่ียวของและสงั คม “ปองกัน” มิใหขา ราชการกระทําผิดวินัย
๔. การที่ผบู ังคบั บัญชา องคกร และผูเก่ียวขอ ง “เยียวยา” โดยดาํ เนินการทางวินัยแกขาราชการ
ที่กระทาํ ผิดวินัย
ดังน้ัน การรักษาวินัยขาราชการใหไดผลจะตองเร่ิมตนจากตัวขาราชการเอง ผูบังคับบัญชา
องคกร ตลอดจนผูท่ีเกี่ยวของท้ังหลาย รวมมือกันโดยดําเนินการทั้งระวัง ดูแล ปองกัน และเยียวยา ควบคูกันไป
ตามลักษณะสถานการณท ี่เหมาะสม จงึ จะบรรลุผลตามที่ตอ งการ

ในเร่ืองวินัยและการรักษาวินัยขาราชการ พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ.
๒๕๕๑ ไดมีการปรับปรุงบทบัญญัติเก่ียวกับเร่ืองวินัยและการรักษาวินัยไวในหมวดที่ ๖ โดยบัญญัติแตกตางจาก
พระราชบญั ญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แตเ ปนหมวดท่ีมีการเปลีย่ นแปลงไมมากในเนอ้ื หา ซ่ึงจะมี
การบัญญัติลักษณะของการกระทําผิดทางวินัยเพิ่มขึ้นบาง สวนท่ีเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดในหมวดน้ีคือรูปแบบ ซ่ึง
จะบัญญัติสวนท่ีเปนบทวินัยไวในสองลักษณะ คือ กําหนดเปน “ขอปฏิบัติ” ทั้งปวงไวในมาตรา ๘๒ ซ่ึงเปนการ
กําหนดวา ขาราชการพลเรือนสามัญจะ “ตอง” ปฏิบัติในเรื่องใดบาง เชน ตองปฏิบัติหนาท่ีราชการดวยความ
ซื่อสัตย สุจริต และเที่ยงธรรม (มาตรา ๘๒ (๑) ) ตองปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของ
ทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ(มาตรา ๘๒
(๒) ) เปนตน เปนการประมวลขอที่ตองปฏิบัติไวในมาตราเดียว คือ มาตรา ๘๒ แลวเรียงบทบัญญัติที่ตองปฏิบัติ
ดังกลาวไวในแตละอนุมาตรา และมีการเพิ่มเติมบทวินัยท่ีเปนหลักการใหมอันถือเปนสาระสําคัญประการหน่ึง คือ



บทบญั ญัติในมาตรา ๘๓ (๙) ขา ราชการพลเรือนสามัญตอ งไมก ระทําการอันเปน การลวงละเมดิ หรือคุกคามทางเพศ
ตามที่กาํ หนดไวในกฎ ก.พ.

ซ่ึงบทบัญญัติในเรื่องวินัยที่บัญญัติไวในมาตรา ๘๒ ดังกลาว สวนใหญในพระราชบัญญัติระเบียบ
ขาราชการพลเรือนทุกฉบับที่ผานมาจะบัญญัติบทวินัยแตละเรื่องไวในแตละมาตรา มิไดบัญญัติรวมไวดังเชนท่ี
ปรากฏในพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ นี่คือการบัญญัติกฎหมายท่ีเปลี่ยนไปจากรูป
แบบเดิมที่ขาราชการพลเรือนสามัญรับรูดวยความเคยชินมาตลอดเวลาที่อางอิง ศึกษา หรือรับรูเก่ียวกับเรื่องวินัย
ขาราชการซ่ึงเคยบัญญัติไว เรื่องใดเปนบทวินัยตามมาตราใดก็จะบัญญัติใหปรากฏไวในลักษณะท่ีเรียกไดวา “จบในตัว”
ในแตล ะมาตราและลักษณะของการกระทําผิดวินยั อยางรายแรงในเรือ่ งนน้ั ๆ ซึ่งพิจารณาจาก “ความเสียหาย”ของ
ทางราชการกจ็ ะตอเนอื่ งอยูใ นวรรคสองหรอื วรรคสามของเร่ืองและมาตรานั้นๆ

จากบทบัญญัติในมาตรา ๘๒ วาดวยการกําหนด “ขอปฏิบัติ” ใหขาราชการพลเรือนสามัญถือ
ปฏิบัติในลักษณะท่ีตองกระทําดังกลาวแลว บทบัญญัติในมาตรา ๘๓ ซึ่งเปนมาตราถัดไปก็บัญญัติบทวินัยไวใน
ลักษณะท่ีเปน “ขอหาม” โดยกําหนดวา ขาราชการพลเรือนสามัญตอง “ไมกระทําการ”ใดอันเปนขอหาม
ดังตอไปน้ี จากน้ันก็บัญญัติขอหามไวในอนุมาตราตางๆตอไปในรูปแบบเดียวกับท่ีบัญญัติเปนขอปฏิบัติไวในมาตรา
๘๒ ดังทก่ี ลา วมาแลว

ดังนั้น เมื่อไดกําหนดรูปแบบใหมในการรางเกี่ยวกับเรื่องวินัยและการรักษาวินัยไวในลักษณะ
“องครวม” ทุกเรื่องรวมอยูในมาตราเดียว แยกเฉพาะอนุมาตราดังท่ีปรากฏในมาตรา ๘๒ และมาตรา ๘๓ แลว
มาตรา ๘๕ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ก็ไดบัญญัติเกี่ยวกับกรณีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงรวมไวในลักษณะเชนนั้นดวย คือ บทบัญญัติวาดวยกรณีท่ีเปนความผิดวินัยอยางรายแรงทุกกรณี จะ
ประมวลไวในมาตรา ๘๕ เรียงอนมุ าตราไป

ขอกําหนดวินัย

พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ.2551หมวด 6 ไดบัญญัติขอกําหนดวินัยให
ขาราชการพลเรอื นยึดถือเปนแบบแผนในการควบคุมประพฤติ ดงั น้ี

มาตรา 80

“ขา ราชการพลเรอื นสามัญตองรักษาวินัยโดยกระทําการหรือไมกระทําการตามที่บัญญัติไวใน
หมวดนี้โดยเครงครดั อยเู สมอ

ขาราชการพลเรือนสามัญผูปฏิบัติราชการในตางประเทศนอกจากจะตองรักษาวินัยตามท่ีได
บญั ญตั ไิ วในหมวดน้ี แลวตอ งรกั ษาวินยั โดยกระทําการหรอื ไมกระทาํ การตามท่กี ําหนดในกฎ ก.พ.ดว ย”

จากบทบัญญัติดังกลาว ขาราชการพลเรือนทุกคนจึงจําเปนตองรับทราบขอกําหนดวินัยตาม
มาตราตางๆ เพ่ือประโยชนในการรักษาวินัยหรือประพฤติปฏิบัติตนใหเปนขาราชการที่ดี และสําหรับผูมีหนาที่
ปฏิบัตงิ านวินยั จําเปนอยา งยิง่ ท่ีจะตอ งทาํ ความเขาใจใหลึกซึ้งเพราะเปนพื้นฐานทจ่ี ะตองนําไปใชวินจิ ฉัยใหเปนการ
ถูกตอ ง

ผูซึ่งอยูในบังคับท่ีจะตองรักษาวินัยและรับผิดชอบทางวินัยตามกฎหมายนี้ ตองเปนผูมีฐานะเปน
ขาราชการพลเรอื นสามัญจะนํามาลงโทษทางวนิ ยั ไมได



สําหรับกรณีขาราชการพลเรือนสามัญที่ปฏิบัติราชการในตางประเทศน้ันนอกจากจะตองรักษา
วินัยตามที่ไดบัญญัติไวในหมวดน้ีแลว ยังจะตองรักษาวินัยโดยกระทําการหรือไมกระทําการตามท่ีกําหนดไวในกฎ
ก.พ. อีกดว ย

มาตรา 81

“ขาราชการพ ลเรือนสามัญ ตองสบับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ทรงเปนประมุขดวยความบริสุทธ์ใิ จ”

โดยท่ีประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข
ดังน้ัน ขาราชการซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐจึงตองสนับสนุนการปกครองในระบอบดังกลาวดวยความบริสุทธิ์ใจ หาก
ขา ราชการผูใดกระทําการในลักษณะที่เปนการไมสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย
ทรงเปนประมุขดวยความบริสุทธ์ิใจ ก็จะมีความผิดตามมาตรานี้ ซึ่งเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง และหากถึง
ขนาดเปนผูไมเล่ือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุขตามรัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทยดวยความบริสุทธิ์ใจดวยแลวถือวาผูน้ันเปนผูขาดคุณสมบัติทั่วไปท่ีจะรับราชการตามมาตรา
36 ก.(3) และจะตอ งถูกดําเนินการสั่งใหออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติทัว่ ไป ตามมาตรา 110 (3)

มาตรา 82

“ขาราชการพลเรือนสามญั ตองกระทาํ การอันเปนขอ ปฏบิ ตั ิ ดงั ตอ ไปน้ี”
(1) ตองปฏิบัติหนา ท่ีราชการดวยความซ่ือสัตย สุจรติ และเที่ยงธรรม
ความซ่ือสัตยสุจริต มีความสาํ คญั อยางย่งิ สาํ หรับผูเปนขาราชการ เนื่องจากประเทศจะ
เจรญิ กา วหนา อยา งมั่นคงไดก็เพราะขา ราชการ ไมเ บียดบงั หาประโยชนจ ากราชการ
“ราชการ” หมายถึง งานของประเทศ
“หนาที่ราชการ” หมายถึง งานท่ีอยูในความรับผดิ ชอบของขา ราชการโดยตรง ซ่ึงไดแก หนาท่ีซึ่ง
เกิดขึ้นตามกฎหมายวาดวย การปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม กฎหมายวาดวยระเบียบบริหารราชการแผนดิน
และกฎหมายทีใ่ หอาํ นาจไวโดยเฉพาะ
“ซอื่ สตั ย” คอื การปฏบิ ัตอิ ยา งตรงไปตรงมา ไมค ดโกง หรือไมหลอกลวง
“สจุ รติ ” คือ การปฏิบตั ดิ ว ยความต้ังใจดี และชอบดว ยทาํ นองคลองธรรม
“เทยี่ งธรรม” คือ ปฏบิ ตั โิ ดยไมลําเอียง ( เลือกปฏิบัติใหแ กฝายหนงึ่ ฝายใดเปนการเฉพาะ)
ขา ราชการมีหนา ทรี่ าชการในเร่อื งใด พจิ ารณาไดดงั น้ี
1. กฎหมายหรือระเบียบ ท่ีกําหนดใหตําแหนงใดมีหนาท่ีในเรื่องใด เชน ระเบียบวาดวยพัสดุ
กําหนดใหขาราชการผูดํารงตําแหนงใดเปนผูมีอํานาจในการสั่งซ้ือ สั่งจาง ผูน้ันก็มีหนาท่ีราชการตามระเบียบนั้น
เปนตน
2. มาตรฐานกําหนดตําแหนง ท่ี ก.พ. ไดกําหนดหนาที่และความรับผิดชอบของงานในแตละ
ตาํ แหนง ตลอดจนลกั ษณะงานที่ตอ งปฏิบัติเปนกรอบกวา งๆไว
3. การมอบหมายของผูบังคับบัญชา ท่ีใหปฏิบัติงานอ่ืนนอกเหนือจากลักษณะงานตามท่ีกําหนด
ไวในมาตรฐานกาํ หนดตาํ แหนงแตอ ยูภายในอํานาจหนา ที่ของผบู ังคับบัญชา



4. โดยพฤตินัย หนาท่ีโดยพฤตินัยน้ีจะพิจารณาจากขอเท็จจริงและพฤติการณที่ปรากฏ วา
เพียงพอท่จี ะถือเปนหนาท่รี าชการในเร่ืองน้ันหรอื ไม

(2) ตองปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของ
คณะรัฐมนตรี นโยบายของรฐั บาลและปฏิบตั ิตามระเบยี บแบบแผนของทางราชการ

การปฏิบัติหนาที่ราชการ โดยปกติจะมีกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคณะรัฐมนตรี กําหนด
หลักเกณฑวธิ ีปฏิบัติไวเ พื่อใหราชการดําเนินไปไดดวยดีมีประสทิ ธิภาพ ดังน้นั หากราชการปฏิบัติหนาที่ราชการโดย
ไมเครง ครดั ฝาฝน กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไมปฏิบัติตามระเบียบ
แบบแผนของทางราชการแลว ยอมเปนทางใหราชการเกิดความเสียหายและไมสามารถบริหารจัดการงานของ
ราชการอยางมีประสิทธิภาพได ซ่ึงการกระทําผิดดังกลาวไมคํานึงถึงวาจะตองเปนกรณีท่ีทําใหเกิดความเสียหายแก
ราชการข้ึนแลวหรือไม ดังนั้น หากขอเท็จจริงฟงไดวาเปนการไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบแบบแผนของทางราชการแลว แมไ มเกดิ ความเสียหายแกราชการกเ็ ปนความผิดตามอนมุ าตราน้ี

(3) ตองปฏิบัติหนาที่ราชการใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกราชการดวยความต้ังใจ
อตุ สาหะ เอาใจใสแ ละรกั ษาประโยชนข องทางราชการ

เปนขอที่กําหนดขึ้นมาเพ่ือมุงหมายใหขาราชการปฏิบัติหนาที่ราชการอยางมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล และใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกราชการ โดยมุงหมายที่พฤติกรรมของขาราชการที่จะตอง
ปฏิบัติงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใสระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ ท้ังน้ีเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุด
แกราชการและผลดีเปนสําคัญ ไมใชทํางานแบบ “เชาชามเยน็ ชาม” เพียงแตใหเ สร็จไปหรือใหพอหมดเวลาไปวันๆ

(4) ตองปฏิบัติตามคําส่ังของผูบังคับบัญชา ซึ่งส่ังในหนาที่ราชการโดยชอบดวยกฎหมายและ
ระเบียบของทางราชการ โดยไมขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แตถาเห็นวาปฏิบัติคําส่ังน้ันจะทําใหเสียหายแกราชการ
หรือจะเปนการไมรักษาประโยชนของทางราชการ จะตองเสนอความเห็นเปนหนงั สือทันทีเพอ่ื ใหผูบังคับบญั ชา
ทบทวนคําสั่งน้ัน และเมื่อไดเสนอความเห็นแลว ถาผูบังคับบัญชายืนยนั ใหปฏิบัติตามคําสั่งเดิม ผอู ยูใตบังคับ
บัญชาตองปฎิบัตติ าม

การขัดคําสั่งซ่งึ จะเปนความผิดตามอนุมาตรานมี้ ีองคประกอบ 3 ขอ คือ
1. มคี าํ สงั่ ของผบู งั คบั บญั ชา
“คําส่ัง” หมายถึง การบอกกลาวใหกระทําหรือใหปฏิบัติซ่ึงคําสั่งของผูบังคับบัญชาในที่นี้ไม
จาํ เปน ตองเปน หนังสือเสมอไปอาจเปนการส่ังดวยวาจากไ็ ด
2. ผูสั่งเปนผบู งั คับบญั ชาตามกฎหมาย
“ผูบังคับบัญชา” หมายถึง ผูบังคับบัญชาตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผนดิน กฎหมาย
แบงสวนราชการหรือจัดต้ังหนวยงานซ่ึงก็คือผูท่ีดํารงตําแหนงท่ีมีกฎหมายบัญญัติใหเปนผูบังคับบัญชา หรือผูซ่ึง
ไดรับมอบอํานาจจากผูมีอํานาจตามกฎหมายใหเปนผูบังคับบัญชา ท้ังนี้ตองเปนการมอบอํานาจตามท่ีกฎหมาย
บัญญัตใิ หมอบอาํ นาจไดดวย
3. เปนการสั่งในหนา ท่รี าชการ
4. เปนคําส่ังท่ีชอบดว ยกฎหมายและระเบยี บของราชการ



5. มีเจตนาไมป ฏิบตั ิตามคําส่ัง ขัดขืน หรอื หลกี เลียง
ในการปฏิบัติตามคําส่ังของผูบังคับบัญชา บทวินัยตามอนุมาตรานี้ไดเปดโอกาสใหผูใตบังคับบัญชา
สามารถขอทบทวนคําสั่งได หากเห็นวาการปฏิบัติตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาน้ันจะทําใหเสียหายแกราชการหรือ
จะเปนการไมรักษาประโยชนของทางราชการ ท้ังนี้เพื่อชวยกันดูแลราชการ โดยผูใตบังคับบัญชาจะตองเสนอ
ความเห็นเปนหนังสือตอผูบังคับบัญชาทันที เพื่อใหผูบังคับบัญชาไดพิจารณาดวยความรอบคอบอีกคร้ังหนึ่ง และ
เม่ือไดเสนอความเห็นแลว ถา ผูบังคับบัญชายืนยันใหปฏบิ ตั ติ ามคําส่งั เดิม ผใู ตบ งั คบั บัญชาตองปฏิบตั ติ าม

(5 ) ตองอุทิศเวลาของตนใหแ กราชการ จะละท้งิ หรือทอดทงิ้ หนาที่ราชการมิได
อุทิศเวลาของตน หมายถึง การสละเวลาสวนตัวใหแกราชการในกรณีท่ีทางราชการมีงานเรงดวน
ทีจ่ าํ เปน ซงึ่ อาจจะตองใหข า ราชการปฏิบตั ิงานนอกเวลาราชการปกติ
ละท้ิงหนาท่ีราชการ หมายถึง ไมอยูปฏิบัติราชการตามหนาท่ี ซ่ึงไดแกการไมมายังสถานท่ีท่ีตอง
ปฏิบัติราชการตามหนาท่ีหรือไมมาใหผูบังคับบัญชามอบหมายงานใหปฏิบัติ รวมท้ังการมายังสถานที่ราชการแลว
ไมอ ยูปฏบิ ัติงาน โดยละทิ้งไปไมอ ยูใ นสถานทีท่ ีต่ อ งอยู
ทอดทิ้งหนาท่ีราชการ หมายถึง มาปฏิบัติหนาที่ราชการแตไมสนใจเปนธุระใหงานท่ีไดรับ
มอบหมายสําเร็จลงโดยเร็ว ปลอ ยปละละเลยทําใหง านในหนา ทีค่ งั่ คาง

(6) ตองรักษาความลบั ของทางราชการ
โดยท่ีการปฏิบัติหนาท่ีราชการในบางกรณีอาจเปนความลับท่ีไมควรเปดเผยในชวงระยะเวลาหนึ่ง
หรือเปนเรือ่ งลับตลอดไป เน่ืองจากเปนความมั่นคงของประเทศชาติ หรอื กระทบตอเศรษฐกิจของประเทศหรือการ
บริหารบานเมืองซ่ึงหากมีการเปดเผยขอเท็จจริงอันเปนความลับออกไปกอนเวลาที่กําหนดอาจทําใหเกิดความ
เสียหายแกราชการไดซึ่งตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการรักษาความปลอดภัยแหงชาติ พ.ศ. 2544
ไดกําหนดชั้นความลับของทางราชการไว 3 ชนั้ ไดแ ก ลบั ที่สุด ลบั มาก และลบั
ความลบั คือ เร่ืองราวท่ีไมพงึ เปด เผย
ขาราชการพลเรือนสามญั ผูใดทราบความลับของทางราชการไมวาจะเปนการทราบโดยไดรไู ดเห็น
ดวยตนเอง หรือโดยทางอื่นใดและไมวาผูนั้นจะมีหรือไมมีหนาที่ราชการเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือไมก็ตามผูนั้นตอง
รกั ษาความลับนน้ั ไวโดยไมเปด เผยใหผูไมม หี นาท่ที ราบ

(7) ตองสุภาพเรียบรอย รักษาความสามัคคี และตองชวยเหลือกัน ในการปฏิบัติราชการ
ระหวา งขาราชการดวยกันและผรู วมปฏบิ ัติราชการ

โดยที่ขา ราชการอยูรวมกันในหนวยงาน จึงตอ งมีการปฏิบตั ิราชการรวมกัน หรอื รบั ผิดชอบในงาน
แตละข้ันตอนตอเนื่องกันประสิทธิภาพของงานราชการจะดีไดก็ดวยความสามัคคีในหนวยงานซ่ึงจะเปนพลังทําให
งานกาวหนาอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีได ตรงกันขามหากในหนวยงานมีการทะเลาะเบาะแวง
หวาดระแวง ไมรวมมือกันงานก็จะไมเดินหรือไมไดงานที่ดี ดังนั้น ขาราชการจึงควรสุภาพเรียบรอย พูดจาไพเราะ
ตอ กนั รกั ษาความสามัคคี ไมท ะเลาะววิ าทกัน และตอ งชว ยเหลอื กันในการปฏบิ ตั ริ าชการ

“ผูรวมปฏิบัติราชการ” ในที่นี้ หมายถึง ขาราชการดวยกัน และผูอ่ืนท่ีรวมปฏิบัติงานดวย เชน
ลูกจางประจํา ลกู จางชว่ั คราว พนักงานราชการ เปน ตน



(8) ตองตอนรับใหความสะดวก ใหความเปนธรรม และใหการสงเคราะหแกประชาชนผูมา
ติดตอ ราชการเกีย่ วกับหนา ทข่ี องตน

โดยท่ีขาราชการเปนผูใหบริการแกประชาชนผูมาติดตอราชการจึงตองใหการตอนรับ ใหความ
สะดวก ใหค วามเปน ธรรมและใหการสงเคราะหแ กประชาชน ผูมาติดตอ ราชการอนั เกยี่ วกับหนาท่ีของตน

การตอนรับ ใหความสะดวก ใหความเปนธรรมและใหการสงเคราะหแกประชาชน จะตองเปน
กรณีที่ประชาชนมาตดิ ตอราชการในหนาท่ีของขาราชการผูน้ัน หรืออาจเปน กรณีที่ขาราชการออกไปปฎิบตั ิราชการ
กับประชาชนนอกหนวยงานก็ได แตมิใชประชาชนที่เปนเพ่ือนบานหรือบุคคลท่ัวไป ซ่ึงหากขาราชการมีเรื่อง
ทะเลาะววิ าทดาทอกบั เพือ่ นบา นก็ไมถ ือเปนความผิดตามมาตรานี้

(9) ตองวางตัวเปนกลางทางการเมืองในการปฎิบัติหนาที่ราชการ และในการปฏิบัติการอ่ืนที่
เก่ียวของกับประชาชนกับจะตองปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ วาดวยมารยาททางการเมืองของ
ขา ราชการดวย

มาตรานี้เปนการบัญญัติข้ึนโดยมีเจตนารมณใหขาราชการมีความเปนกลางทางการเมือง เพ่ือให
สามารถปฏิบัติหนาที่ราชการประจําไดอยางตอเน่ือง ไมวา พรรคการเมืองใดๆ จะเขามาเปนรฐั บาลบริหารประเทศ
ดังนั้น ในการปฏิบัติราชการท่ีเก่ียวเนื่องกับการเมืองขาราชการจะอํานวยความสะดวกใหแกพรรคการเมืองใดเปน
พิเศษกวาพรรคการเมืองอื่นไมได หรือจะชักชวนใหประชาชนสบับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเปน
การเฉพาะก็ไมได แตในทางสวนตัวนั้น ขาราชการจะนิยมหรือเปนสมาชิกพรรคการเมืองใดก็ได แตหามเปน
กรรมการพรรคการเมอื ง และเจาหนาท่ใี นพรรคการเมือง เพราะเปนคุณสมบตั ิท่ีตองหามของการเปน ขาราชการพล
เรือนสามญั

นอกจากน้ีในการปฏิบัติตนของขาราชการพลเรือนตองปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการวา ดวย
มารยาททางการเมอื ง

(10) ตอ งรักษาชอื่ เสยี งของตน และรักษาเกยี รติศกั ดิข์ องตําแหนงหนา ท่ีราชการของตนมใิ ห
เสื่อมเสยี

โดยที่ขาราชการเปนเจาหนาที่ของรัฐและมีสวนสรางภาพพจนใหแกราชการ เมื่อขาราชการมี
ความประพฤติดีเปนท่ียกยองชมเชยของประชาชน ประชาชนก็จะศรัทธาตอหนวยงานและตอราชการโดยรวม
ดงั น้ัน กฎหมายจึงกําหนดใหขาราชการตอ งรักษาช่ือเสียงของตน และรกั ษาเกียรตศิ ักดิ์ของตําแหนงหนาท่ีราชการ
ของตนมใิ หเสือ่ มเสยี

การที่จะพิจารณาวาการกระทําอยางไรเปนการไมรักษาช่ือเสียงของตน และไมรักษาเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนง หนา ทร่ี าชการของตนมใิ หเสื่อมเสียนั้น มแี นวทางพจิ ารณา ดงั นี้

1. เปนการกระทําที่ทําใหเสื่อมเสียตอเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาท่ีราชการเกียรติศักดิ์ของ
ตาํ แหนงหนาที่ราชการ หมายถงึ ฐานะท่ีไดรับการยกยอ งสรรเสรญิ ตามตาํ แหนง หนาท่ีราชการ

ขาราชการมีตําแหนงหนาที่ราชการ และอยูในฐานะท่ีจะตองประพฤติปฏิบัติตนใหเหมาะสมกับ
ฐานะที่ควรไดรับการยกยองสรรเสริญหรือเคารพนับถือเล่ือมใสศรัทธาในหนาที่ราชการ และวงสังคมทั่วไปตาม
ตาํ แหนงหนาท่ีราชการของตน ซึง่ แตละตําแหนงหนาทอ่ี าจอยูในฐานะทจ่ี ะตองรักษาเกียรติศักด์ขิ องตาํ แหนงหนาท่ี
แตกตา งกันได



2. เปนการกระทําที่สังคมรังเกียจ หรือเปนที่รังเกียจของสังคมโดยพิจารณาจากความรูสึกของ
ประชาชนหรอื ของขาราชการทั่วไป ซงึ่ ความรสู กึ ของสังคมน้ีอาจเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลาได

3. เปน การกระทาํ โดยเจตนา พิจารณาจากเจตนาท่ีแทจ ริงในการกระทาํ
หากการกระทําใดเขาลักษณะทั้ง 3 ขอ ดังกลาวก็เปนความผิดฐานไมรักษาช่ือเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตาํ แหนง หนา ทร่ี าชการของตนมิใหเ ส่ือมเสีย

(11) กระทําการอืน่ ใดตามท่กี าํ หนดในกฎ ก.พ.
ปจจุบันยังไมไดมีการออกกฎ ก.พ. เพ่ิมเติม แตถาหากไดมีการกําหนดลักษณะการกระทําผิด
เพิ่มขนึ้ ขา ราชการพลเรือนสามัญก็จะตอ งปฏิบัตติ ามท่กี าํ หนดไวในกฎ ก.พ. เพม่ิ ขึน้ ดวย

มาตรา 83

ขาราชการพลเรือนสามัญตองไมกระทาํ การใดอนั เปนขอหาม ดังตอไปนี้
(1) ตองไมรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา การรายงานโดยปกปดขอความซ่ึงควรตองแจง
ถือวา เปนการรายงานเท็จดว ย
โดยท่ีการบริหารงานและการตัดสินใจของผูบังคับบัญชาจะตอ งไดรับขอมูลที่ถูกตอง มิฉะนั้นอาจ
สงั่ การหรอื ดําเนินการเรื่องใดโดยผิดพลาดบกพรองและราชการเสยี หายได ขอบังคบั วนิ ัย ในอนมุ าตรานจ้ี ึงหามไว
เพื่อมิใหม ีการรายงานเทจ็ ตอผบู งั คับบัญชา
การรายงานโดยปกปด ขอความทคี่ วามตองแจงใหผบู งั คบั บัญชาทราบถอื เปนการรายงานเทจ็ ดวย
การรายงาน หมายถึง การบอกเลาเร่ืองราวท่ีไดทํา ไดรูหรือไดเห็นมาอาจเปนการรายงานดวย
วาจาหรือดวยลายลักษณอักษร (เปนหนังสือ) โดยวิธอี ่ืนใดก็ได ซึ่งจะเปนการรายงานเพื่อพิจารณา วินิจฉัย หรือ
ขออนญุ าต หรอื อนมุ ตั ิ หรอื เพ่ือทราบ กถ็ อื เปน การรายงานท้ังสิ้น
การรายงานตามมาตรานี้ ไมจําเปนตองเปนการรายงานเพ่ือการปฏิบัติราชการตามหนาท่ีหรือ
ตามทไ่ี ดรบั มอบหมายเสมอไป อาจเปนการรายงานในเรอ่ื งอื่นที่มกี ฎหมาย ระเบียบ หรอื แบบธรรมเนียมของทาง
ราชการ คําสงั่ ของผบู ังคบั บัญชา หรอื มตคิ ณะรฐั มนตรกี ําหนดใหรายงานกไ็ ด

(2) ตองไมปฏิบัติราชการอันเปนการกระทําการขามผูบังคับบัญชาเหนือตน เวนแต
ผบู ังคับบญั ชาเหนือตนขน้ึ ไปเปนผูส ่งั ใหก ระทําหรือไดรบั อนุญาตเปน พิเศษ ชว่ั ครัง้ คราว

มาตราน้ีมีจุดมุงหมายใหขาราชการเสนอเร่ืองตามลําดับชั้นของผูบังคับบัญชา เพ่ือใหมีการ
กล่ันกรองในแตละขั้นตอน หากปลอยใหมีการเสนองานขามขั้นตอนก็จะเกิดความสับสนได นอกจากน้ีเจาหนาที่
ระดับลางยังมีประสบการณนอย หากเสนองานผิดพลาดบกพรอง หรือมีพฤติการณปกปดขอเท็จจริงหรือมี
พฤติการณท ุจรติ ผบู งั คับบญั ชากจ็ ะไดทราบและแกไ ขไดทันทว งที

กรณีจะเปนความผดิ ตามอนุมาตราน้ีได จะตองเขา องคประกอบ ดังน้ี
1. เปน การปฏบิ ัตริ าชการ
2. เปนการกระทาํ ขา มผูบังคบั บัญชาเหนือตน
3. เปน ผบู งั คบั บัญชาตามกฎหมาย



แตม ีบางกรณีเปนขอยกเวน ทข่ี าราชการอาจปฏบิ ัติราชการโดยกระทาํ การขา มผูบังคบั บญั ชาเหนือ
ตนได ซง่ึ กค็ ือ กรณีท่ีผูบังคบั บญั ชาเหนือตนข้ึนไปเปนผูส่งั ใหก ระทาํ หรอื ไดรับอนุญาตเปนพเิ ศษช่ัวครั้งช่ัวคราว

(3) ตองไมอาศัยหรือยอมใหผูอ่ืนอาศัยตําแหนงหนาท่ีราชการของตนหาประโยชนใหแก
ตนเองหรือผูอ นื่

กรณจี ะเปนความผิดฐานอาศัยตําแหนงหนา ทีร่ าชการหาประโยชนไดจ ะตองเขาองคประกอบ ดังน้ี
1. มตี ําแหนงหนาทรี่ าชการ
2. อาศัยหรือยอมใหผอู ่ืนอาศยั ตําแหนงหนาทร่ี าชการทต่ี นเองดํารงอยหู าประโยชน
ประโยชน หมายถึง ส่ิงทเี่ ปนผลดหี รอื เปนคุณแกผรู บั ประโยชนอาจเปนทรัพยส ินเงินทอง หรอื
การอ่ืนใดทีเ่ ปนผลที่ไดต ามตองการ เชน ประโยชนใ นการไดสทิ ธบิ างอยาง หรอื ไดรบั บริการพิเศษ เปน ตน
ความผิดตามอนุมาตรานี้เปนการแสวงหาประโยชนอันสืบเนื่องจากการที่ขาราชการมีหนาที่
ราชการตองปฏิบัติในเรื่องตาง ๆ ประโยชนที่ไดรับจะตองมีสวนสัมพันธกับหนาท่ีราชการของผูนั้น หรือเปน
ประโยชนที่เอ้ือตอตําแหนงหนาท่ีราชการ และถึงแมเปนประโยชนท่ีไดมาดวยการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยชอบก็
เปนความผิดได เชน เจาหนาท่ีการฑูตรับเงินและส่ิงของจากบรษิ ัททองเทย่ี วเปนการตอบแทนในการอาํ นวยความ
สะดวกในการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางเปนพิเศษ โดยบริษัททองเท่ียวตาง ๆ ยินดีมอบเงินและสิ่งของใหเอง
เจาหนาทีผ่ นู ้มี ิไดเ รียกรอ งแตอ ยางใด
เจาหนาท่ีสรรพากร มีหนาที่เรียกใหบริษัทหางรานสงสมุดบัญชีและเอกสารมาตรวจสอบภาษี
และประเมินเรียกเก็บเงนิ ภาษีเพ่ิมไดในระหวางท่ีเรยี กตรวจสอบภาษีภัตตาคารแหงหน่ึง เจาหนาที่สรรพากรผูนั้น
ไดไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารนั้นเปนประจําโดยทางภัตตาคารไมคิดเงิน เปนการอาศัยหนาที่ราชการหา
ประโยชนเปน ความผิดตามมาตรา 83(3)

(4) ตองไมประมาทเลนิ เลอในหนา ทร่ี าชการ
ประมาทเลินเลอ หมายถงึ ไมรอบคอบ ขาดความระมัดระวัง พลั้งเผลอ หลงลมื ในการปฏิบัติ
หนาที่ราชการหรือในเรื่องที่มีหนาที่ราชการจะตองปฏิบัติโดยไมมีเจตนาท่ีจะใหเกิดความเสียหาย การประมาท
เลินเลอน้ีไดท ้ังลักษณะทีเ่ ปนการกระทาํ และละเวนการกระทํา

(5) ตองไมกระทําการหรอื ยอมใหผ ูอน่ื กระทําการหาประโยชนอ ันอาจทาํ ใหเสียความเที่ยง
ธรรมหรือเสอ่ื มเสียเกียรติศกั ด์ิของตําแหนง หนาทร่ี าชการของตน

กรณีจะเปนความผิดตามมาตรานี้ จะตองเขา องคป ระกอบ ดังนี้
1. กระทาํ หรอื ยอมใหผูอ่ืนกระทาํ การหาประโยชน หมายถงึ ตอ งเปนเร่ืองการหาประโยชนโดย
กระทําดวยตนเองหรือยอมใหผูอ ื่นกระทาํ
2. ผลจากการกระทําอาจทาํ ใหเ สยี ความเทยี่ งธรรม หรอื เส่ือมเสียเกยี รติศักดิ์ของตําแหนง
หนา ท่ีราชการของตน ขอนแ้ี ยกออกเปน 2 ลกั ษณะ คือ
(1) อาจทําใหเสียความเทีย่ งธรรม

ขอน้ีเปนเร่ืองท่ีจะตองพิจารณาจากการกระทําหรือการยอมใหผูอื่นกระทําการหาประโยชน
นั้นวาเปนทางทําใหบุคคลทั่วไปมีความรูสึกตอการกระทําดังกลาววาอาจจะมีการปฏิบัติหนาท่ีดวยความลําเอียง

๑๐

ไมเปนธรรม โดยเขาขางผูท่ีใหประโยชนตนหรือไม หากเปนดังที่กลาวกรณีก็ตองดวยองคประกอบขอน้ี โดยไม
จําเปน ตอ งปรากฏขอ เทจ็ จรงิ วาไดเกดิ ความไมเทยี่ งธรรม หรอื ปฏบิ ตั ิโดยลาํ เอยี งขึ้นแลว

(2) อาจทาํ ใหเสอื่ มเสียเกียรติศักดิ์ของตาํ แหนง หนา ทรี่ าชการของตน
มหี ลกั ในการพิจารณาเรอื่ งเส่ือมเสยี เกียรติศกั ดขิ์ องตาํ แหนง หนาทรี่ าชการเชนเดียวกับมาตรา

82(10) ดงั ไดก ลาวมาแลว

(6) ตองไมเปนกรรมการผูจัดการ หรือผูจดั การ หรือดํารงตําแหนงอนื่ ใด ทมี่ ีลกั ษณะงาน
คลายคลึงกันนน้ั ในหา งหุนสว นหรือบรษิ ัท

โดยที่ขาราชการตองต้ังใจปฏิบัติหนาท่ีราชการ ปฏิบัติงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใส
ระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการจึงตองทุมเทในการปฏิบัติงาน หากปลอยใหขาราชการเปนกรรมการ
ผูจัดการ ผูจัดการ หรือตําแหนงอื่นท่ีมีลักษณะคลายคลึงกันกับกรรมการผูจัดการ ผูจัดการในหางหุนสวนหรือ
บริษัท ก็จะทําใหขาราชการไปทุมเทใหกับกิจการของเอกชนนั้น และปฏิบัติราชการอยางไมเต็มท่ี กฎหมายจึง
บัญญัตขิ อหา มในเร่ืองน้ไี ว

การพิจารณาวา ตําแหนงใดมีลักษณะงานคลายคลงึ กันกับตําแหนงกรรมการผูจัดการหรือผูจดั การ
นั้น เปนเรื่องท่ีจะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ือง ๆ ไป ตําแหนงที่เรียกช่ืออยางอ่ืน เชน กรรมการ
ผูอํานวยการ หรือผูอํานวยการ มีลักษณะงานและหนาท่ีความรับผิดชอบอยางเดียวกัน หรือคลายคลึงกันกับ
กรรมการผูจัดการหรือผูจัดการหรือไม ถาคลายคลึงกันก็ตองหาม และท่ีบัญญัติไวเชนน้ีก็เพื่อปองกันการ
หลีกเลี่ยงกฎหมายดวยการใชช ื่อใหผิดเพ้ียนหรือแตกตางกันโดยส้นิ เชิง แตลักษณะงานและหนาที่ความรับผดิ ชอบ
เปนอยางเดียวกันหรือคลายคลึงกัน

ตามมาตรานี้ไมไดหามการเปนกรรมการ หุนสวน ผูถือหุน หรือท่ีปรึกษาในหางหุนสวนหรือ
บริษัท ดังน้ัน ขาราชการจึงเปนกรรรมการ หุนสวน ผูถือหุน หรือท่ีปรึกษา ในหางหุนสวนหรือบริษัทได แต
อยา ละท้งิ หนา ทร่ี าชการ หรืออาศัยตาํ แหนง หนา ที่ราชการหรืออาํ นาจหนาที่ราชการไปหาประโยชน เปน ตน

(7) ตองไมก ระทําการอยา งใดทีเ่ ปน การกล่ันแกลง กดข่ีหรอื ขมเหงกันในการปฏิบตั ิราชการ
โดยท่ีขาราชการตองอยูรวมกันในหนวยงานและปฏิบัติราชการรวมกัน ประสิทธิภาพของราชการ
จะดีไดนั้นนอกจากจะตองมีความสามัคคีระหวางกัน และชวยเหลือซึ่งกันและกันในการปฏิบัติหนาที่ราชการแลว
ยังจะตองไมกลน่ั แกลง กดขี่ หรอื ขม เหงกนั ในการปฏิบตั ริ าชการดว ย
กลั่นแกลง หมายถึง หาความไมดีใสให หาอุบายใหร า ยโดยวิธีตาง ๆ เชน แกลงใสค วาม
กดขี่ หมายถึง ขมใหอยูในอํานาจตน ใชอํานาจบังคับเอาแสดงอํานาจเอา
ขมเหง หมายถึง ใชกาํ ลงั รังแก แกลง ทําความเดือดรอนให

(8) ตองไมก ระทําการอันเปน การลว งละเมิดหรอื คกุ คามทางเพศตามท่ีกาํ หนดในกฎ ก.พ.
การลวงละเมิดหรือคุกคามทางเพศเปนการกระทําลักษณะหนึ่งท่ีแยกออกมาจากการประพฤติช่ัว
ท้ังน้ีเนื่องจากทางราชการตองการมุงเนนใหขาราชการไดมีความตระหนักในเรื่องน้ีเปนพิเศษ เพราะการกระทํา
ดังกลาวสรางความเดือดรอนรําคาญแกเพ่ือนรว มงาน และเปนทางใหมีการใชอํานาจหนาที่ราชการขมเหงรงั แกกัน
อกี ทัง้ ยงั เปนการทําลายภาพพจนช ่ือเสียงอันดงี ามของขาราชการ โดยไดกําหนดพฤติกรรมอันไมพึงประสงคนไ้ี วใน

๑๑

กฎ ก.พ. เพื่อใหขา ราชการไดถือปฏบิ ตั ิ หากขาราชการผูใดกระทําการในลกั ษณะที่กาํ หนดไวก ็จะเปน ความผิดวินัย
ตามอนมุ าตรานี้

(9) ตองไมดหู มิน่ เหยียดหยาม กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ดหู มน่ิ หมายถงึ สบประมาท ดูถูก เหยยี ดหยามทาํ ใหอบั อาย เสียหาย การดูหม่ินอาจกระทํา
ดวยวาจาหรอื กริ ิยาทา ทางอยางอื่นกไ็ ด
เหยยี ดหยาม หมายถึง ดหู มิ่น ดูถูก หรอื รังเกียจ โดยกดใหตํา่ ลง เชน เหยียดคนเปนสตั ว
กดขี่ หมายถึง ขม ใหอยูในอํานาจตน ใชอ ํานาจบงั คับเอา แสดงอาํ นาจเอา
ขม เหง หมายถึง ใชกําลังรงั แก แกลง ทาํ ความเดือดรอนให
ประชาชนผูต ิดตอราชการ หมายถึง ประชาชนที่ตดิ ตอ ราชการกบั หนว ยงานของตน ซ่ึงอาจเปน
การตดิ ตอทางโทรศัพท เปน ตน หรือการออกไปปฏบิ ัตงิ านยงั ทองท่ีนอกหนวยงานก็ได

(10) ไมกระทําการอนื่ ใดตามทีก่ ําหนดในกฎ ก.พ.
ปจจุบันยงั ไมไดมีการออกกฎ ก.พ. กาํ หนดลักษณะการกระทาํ ผดิ เพ่มิ เติม แตถา หากไดมีการออก
กฎ ก.พ. ดังกลา วแลว ขา ราชการพลเรือนสามัญจะตอ งไมก ระทําการตามทีก่ ําหนดไวในกฎ ก.พ.ดวย

มาตรา 85

การกระทาํ ผิดวินยั ในลักษณะดงั ตอ ไปนี้ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง
(1) ปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัตหิ นา ท่รี าชการโดยมิชอบ เพือ่ ใหเกิดความเสียหายอยาง
รายแรงแกผูห นึ่งผใู ด หรือปฏิบตั ิ หรือละเวนการปฏบิ ตั ิหนา ทร่ี าชการโดยทุจริต
การที่จะผดิ วินยั อยา งรายแรงตามมาตราน้ี มีขอ ท่ีจะตองพิจารณา 2 ประการ คือ
1. ปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัตหิ นาท่รี าชการโดยมิชอบ เพอื่ ใหเกิดความเสียหายอยา งรายแรง
แกผหู นึ่งผูใด
หนาทรี่ าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกับหนา ทร่ี าชการตามทไ่ี ดก ลา วมาแลวในมาตรา 82 (1)
การปฏิบตั ิหนาท่ีราชการ เปนลักษณะการกระทําในเร่ืองตางๆ ซ่ึงขาราชการมหี นา ทร่ี าชการตอง
ปฏิบัติ เชน เจาหนาท่ีศลุ กากรตรวจสินคาซ่ึงนําเขา ประเทศแลวรูเห็นเปนใจตรวจปลอยสนิ คาโดยไมเรียกเกบ็ ภาษี
การปฏิบัติหนาที่ราชการน้ัน ไมรวมถึงการปฏิบัติในการใชสิทธิขอเบิกจายเงนิ ที่ทางราชการใหสิทธิเบิกได เชน เงิน
คา เบย้ี เลีย้ งเดนิ ทางไปราชการหรือเงนิ สวัสดกิ ารตาง ๆ
ละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ หมายถึง มีหนาที่ราชการที่ตองปฏิบัติแตไมปฏิบัติหรืองดเวนไม
กระทําการตามหนาที่โดยจงใจหรือเจตนาไมปฏิบัติ ไมใชเร่ืองพล้ังเผลอหลงลืม หรือเขาใจผิด เชน เปนเจาหนาที่
ศุลกากรแกลง นัง่ เฉยๆ ทาํ เปนไมเ หน็ ปลอ ยใหพอคานาํ สนิ คาผานดานศุลกากรโดยไมต รวจคน เปนตน
มิชอบ หมายความวา ไมเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ คําสั่งของผูบังคับบัญชา
มตคิ ณะรฐั มนตรี แบบธรรมเนยี มของทางราชการ หรือตามทาํ นองคลองธรรม คอื ไมเ ปนไปตามทางที่ถกู ทีค่ วร
ความเสียหาย หมายความรวมถึงความเสียหายท่ีอาจคํานวณราคาไดดวย เชน ความเสียหายแก
ชื่อเสียง
ผูหน่งึ ผใู ด หมายถงึ ใครก็ไดไมวา จะเปนประชาชนหรือขา ราชการดวยกัน

๑๒

2. ปฏบิ ตั ิหรอื ละเวนการปฏบิ ัตหิ นา ที่ราชการโดยทุจริต
โดยทุจริต หมายความถึง เพ่ือแสวงหาประโยชนท ม่ี คิ วรไดโดยชอบดวยกฎหมายสาํ หรับตนเอง
หรือผูอื่น
ประโยชน หมายถึง ส่ิงท่เี ปนผลดีหรอื เปนคณุ หรือผลทไี่ ดตามตองการ ประโยชนอาจเปน
ทรพั ยส นิ เงินทองหรือการอ่ืนใดที่เปนผลที่ไดตามตองการ โดยไมจําตอ งเปนทรพั ยส ิน เชน ประโยชนในการได
สิทธบิ างอยาง หรอื ไดร บั บริการพิเศษ เปน ตน
ประโยชนท่มี ิควรได หมายถึง ประโยชนท ไ่ี มมีสิทธโิ ดยชอบธรรมที่จะไดรับ

อยางรา ยแรง (2) ละท้ิงหรือทอดทิ้งหนาท่ีราชการโดยไมมีเหตุอันสมควรเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ

ละทง้ิ หรอื ทอดทง้ิ หนาทรี่ าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกบั มาตรา 82(5)
การทจ่ี ะผดิ วินยั อยา งรา ยแรงตามมาตรานี้ มีขอทจี่ ะตองพิจารณา 3 ประการ คือ
1. ละทิ้งหรอื ทอดท้ิงหนา ทีร่ าชการ โดยไมจาํ กดั เงือ่ นเวลามากนอยเพียงใด

2. ไมมีเหตุผลอันสมควร ซ่ึงจะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ืองๆ ไปวา พฤติกรรมของการ
ละท้งิ หรอื ทอดทิง้ หนา ท่ีราชการนั้นมีสาเหตุอยางไร และเปนสาเหตุท่ีมีเหตุผลความจําเปน ถึงขนาดที่จะตองกระทํา
ผิดหรอื ไมเ หตุผลเกี่ยวกบั ธรุ ะสวนตวั โดยปกตแิ ลวไมอาจรบั ฟงได

3. เปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง หมายถึง มีความเสียหายเกิดข้ึนแกราชการอยาง
รายแรงและความเสียหายทเ่ี กิดขึ้นตองเปนผลโดยตรงมาจากเหตทุ ีจ่ ะละทงิ้ หรือทอดทง้ิ หนาทรี่ าชการน้ัน

(3) ละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินสิบหาวันโดยไมมีเหตุอันสมควร
หรอื โดยมพี ฤติการณอ ันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบตั ิตามระเบยี บของทางราชการ

ละทิ้งหนาท่รี าชการ มีความหมายเชนเดยี วกันกบั มาตรา 82 (5)
การท่ีจะผิดวนิ ัยอยา งรา ยแรงตามมาตรานมี้ ีขอทจ่ี ะตองพิจารณา 2 ประการ คอื
1. เปนการละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกิน 15 วัน หมายถึงการละทิ้ง
หนาทร่ี าชการตอเน่ืองในคราวเดยี วกนั โดยไมไ ดมาหรอื ไมไดอยูปฏิบตั ิหนาท่ีราชการเลยเปนเวลาเกิน 15 วัน เชน
ไมมาปฏิบตั ิราชการเปนเวลา 15 วนั ครงึ่ ขึน้ ไป
2. การละท้ิงหนาท่ีราชการไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไม
ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บของทางราชการ
คาํ วา “โดยไมม เี หตผุ ลอนั สมควร” มหี ลักในการพิจารณาเชน เดยี วกับมาตรา 85 (2)
กรณมี ีเหตุอันสมควร
ขาราชการมีหนา ที่อยูเวรรักษาสถานทรี่ าชการไดละท้ิงหนาทร่ี าชการ เนอื่ งจากเจ็บปวยกะทันหัน
จาํ เปนตองไปใหแ พทยต รวจรักษา มิฉะนั้นจะเปนอันตรายแกชีวิต เห็นไดว ามเี หตุผลอันสมควร ไมเปนความผดิ ตาม
มาตรา 85 (3)

๑๓

กรณีไมมเี หตุผลอันสมควร
ละท้ิงหนาที่ราชการเนื่องจากหลบหนีเจาหน้ี หรือหลบหนีคดีอาญาสาเหตุเหลานี้เปนเร่ืองสวนตัว
ไมอ าจนาํ มารับฟง เห็นเหตอุ ันสมควรได เปน ความผดิ มาตรา 85 (3)
คาํ วา “โดยมีพฤตกิ ารณอ ันแสดงถงึ ความจงใจไมปฏิบัติตามระเบยี บของทางราชการ” เปนเรื่องท่ี
จะตองพิจารณาจากพฤติการณในการละท้ิงวา มีเจตนา หรือจงใจฝาฝนระเบยี บของทางราชการ หรือไม เชน
ขาราชการสตรีหยุดราชการไปคลอดบุตรเปนเวลา 45 วัน แลวจึงกลับมาปฏิบัติราชการและย่ืน
ใบลาหลังจากท่ีหยุดราชการไปเปนเวลา 45 วัน กรณีเชนน้ีพึงเห็นไดวา ขาราชการท่ีคลอดบุตรน้ันมีสิทธิขอลาหยุด
ราชการได และเมื่อย่ืนใบลา ผูบังคับบัญชาก็ชอบที่จะอนุญาต ตามพฤติการณยังถือไมไดวาเปนการละท้ิงหนาท่ี
ราชการโดยไมมีเหตุผลอันสมควร และยังไมถึงขนาดที่จะถือวาเปนการละท้ิงหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตาม
ระเบียบของทางราชการ พฤติการณเปนเพียงไมถอื และปฏิบัตติ ามระเบียบของทางราชการเทาน้ัน ไมเปนความผิด
มาตรา 85 (3)
ขาราชการไดรับอนุญาตใหลาศึกษาตอ ณ ตางประเทศ เมื่อครบกําหนดเวลา ท่ีไดรับอนุญาตให
ลาแลว ไมไดรับอนุญาตใหลาตอ ทางราชการเรียกใหกลับก็ประวิงเวลาไมยอมเดินทางกลับมาปฏิบัติราชการโดย
ไมมีเหตุผลความจําเปนอันเปนการผิดระเบียบ บางรายประวิงเวลาอยูเกินกําหนดเปนเวลาแรมป ถือไดวาเปนการ
ละท้ิงหนาที่ราชการโดยไมมีเหตุผลสมควร และโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของ
ทางราชการเปนความผดิ ตามมาตรา 85 (3)
กรณีละทิ้งหนา ที่ราชการติดตอในคราวเดยี วกันเปนเวลาเกิน 15 วัน โดยไมม ีเหตุผลอันสมควร
และไมก ลับมาปฏิบัตหิ นาท่ีราชการอกี เลย
กรณีละทงิ้ หนาที่ราชการตดิ ตอในคราวเดยี วกันเปนเวลาเกิน 15 วัน โดยมเี หตุผลอันสมควรและ
ไมก ลบั มาปฏบิ ัตหิ นาทีร่ าชการอกี เลยนั้น เปนความผิดวินยั อยางรา ยแรง ซ่ึงมมี ติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว.
234 ลงวันท่ี 24 ธันวาคม 2536 ใหลงโทษไลอ อกจากราชการ

(4) กระทําการอนั ไดช่อื วาเปน ผูประพฤติชว่ั อยางรายแรง
กระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง มีหลักในการพิจารณาเชนเดียวกันกับ
มาตรา 82 (10) คอื
1. เปนการกระทาํ ที่ทาํ ใหเส่ือมเสียเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนา ทร่ี าชการ
2. เปนการกระทําที่สังคมรังเกียจ
3. เปน การกระทาํ โดยเจตนา
มตคิ ณะรัฐมนตรี หรือมติ ก.พ. ที่กําหนดระดบั โทษเกย่ี วกับความผิดฐานประพฤติชว่ั อยางรา ยแรง
เชน กรณีเบิกเงินคาเบี้ยเลี้ยง คาพาหนะเดินทางไปราชการตลอดจนเงินอื่นใดที่ทางราชการใหสิทธิขอเบิกจายได
โดยทําการขอเบิกเปนเท็จดวยเจตนาทุจริตฉอโกงเงินของทางราชการ เปนความผิดวินัยอยางรา ยแรงฐานประพฤติ
ชว่ั อยางรา ยแรง
กรณีทุจริตในการสอบขาราชการท่ีทําการทุจริต หรือพยายามทุจริตในการสอบแขงขันหรือสอบ
คดั เลือกเพื่อเล่ือนตําแหนง เปนความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรง ฐานประพฤตชิ ่ัวอยา งรายแรง

๑๔

กรณีเลนการพนันที่กฎหมายหามขาดพนันเอาทรัพยสินกัน หมายถึง การพนันตามบัญชี ก.ทาย
พระราชบัญญัตกิ ารพนัน พ.ศ. 2478 เชน ไฮโล แปดเกา เปนตน เปนความผิดวินยั อยางรายแรง ฐานประพฤติชั่ว
อยางรายแรง

กรณีปลอมลายมือช่ือขาราชการดวยกันไปหาประโยชนเปนความผิดวินัยอยางรายแรงฐาน
ประพฤติชัว่ อยา งรายแรง

กรณีเกี่ยวกับการเสพของมึนเมา การเสพสุรามึนเมาจนไมสามารถครองสติได ตามปกติแลวเปน
เพียงความผิดไมถึงกับรายแรง แตในกรณีที่เสพสุราและมีพฤติกรรมอยางอื่นประกอบท่ีแสดงใหเห็นความรายแรง
แหงกรณีอนั อาจทําใหเ ส่อื มเสียเกียรตศิ ักดิ์ของตําแหนงหนา ท่ีราชการอยางยิ่ง ก็อาจเขาลักษณะความผิดวินัยอยาง
รา ยแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงได เชน เสพสุราในขณะปฏิบัติหนาท่ีราชการ เมาสุรา เสียราชการ เมาสุราใน
ทีช่ มุ ชน จนเกดิ เร่อื งเสยี หายหรอื เสียเกยี รติศักดข์ิ องตําแหนง หนา ที่ราชการ

(5) ดหู มนิ่ เหยยี ดหยาม กดขี่ ขม เหง หรือทํารายรางกายประชาชน ผูมาตดิ ตอราชการอยาง
รายแรง

การดูหม่ิน เหยียดหยาม กดข่ี ขมเหง หรือทํารายรางกายประชาชน ผูมาติดตอราชการอยาง
รายแรงนัน้ รายละเอียดไดกลาวไวแ ลวในมาตรา 83 (9)

(6) กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษท่ีหนักกวาจําคุกโดยคําพิพากษาถึง
ที่สุดใหจําคุกหรือใหรับโทษท่ีหนักกวาจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือ
ความผิดลหุโทษ

ไดรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุก หมายถึง คดีถึงท่ีสุดโดยศาลพิพากษาใหจําคุก
และไมรอการลงโทษหรือยกโทษจําคุกหรือเปล่ียนโทษจําคุกเปนโทษสถานอื่น และหมายความรวมถึงกรณีที่ศาลมี
คาํ พิพากษาใหจําคกุ โดยอา นคาํ พพิ ากษาลับหลงั จาํ เลยเน่ืองจากจาํ เลยหลบหนดี วย

โทษทีห่ นกั กวา จําคกุ คอื ประหารชวี ติ

(7) ละเวนการกระทําหรือกระทําการใดๆอันเปน การไมปฏบิ ัตติ ามมาตรา 82 หรือฝาฝนขอ
หามตามมาตรา 83 อันเปนเหตใุ หเ สยี หายแกราชการอยางรายแรง

มาตรา 82 เปนบทบัญญัติที่กําหนดขอปฏิบัติใหขาราชการพลเรือนสามัญตองกระทําการตามท่ี
ระบุไวในมาตรา 82(1) – (11) สวนมาตรา 83 เปนบทบัญญัติท่ีกําหนดขอหามมิใหขาราชการพลเรือนสามัญ
กระทําการตามที่ระบุไวในมาตรา 83(1) – (11) การกระทําการหรือละเวนการกระทําการใดท่ีเปนการไมปฏิบัติ
ตามมาตรา 82(1) – (11) หรือเปน การฝา ฝน ขอหามตามมาตรา 83(1) – (10) จนเปนเหตุใหเ สยี หายแกราชการ
อยา งรายแรง ถือเปนความผิดวินัยอยา งรายแรงดวย

ความเสยี หาย หมายความรวมถึง ความเสียหายท่ไี มอาจคํานวณเปนตัวเงินได เชน ความเสยี หาย
ตอช่ือเสียง หรอื ระบบงาน

๑๕

เสยี หายแกร าชการอยางรา ยแรงหรอื ไมมีแนวทางในการพจิ ารณา ดงั นี้
1. ความเสียหายที่เปนตัวเงินหรือตีราคาเปนเงินได คํานึงถึงความมากนอยตามคาของเงินเปน
สําคัญ เชน เสียหาย 1,000,000 บาท เห็นไดวาเสียหายอยางรา ยแรง ท้ังนี้ไมมีขอกําหนดตายตัววาจํานวนเทาใด
จึงจะถอื วาเปนความเสียหายอยางรายแรงหรือไมรา ยแรง เปด ชอ งใหผ มู อี าํ นาจหนา ที่ใชดุลพินจิ ไดตามควรแกกรณี
2. ความเสยี หายท่ไี มอาจคาํ นวณราคาได เปนเร่ืองที่จะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเปนเร่ืองๆไป
โดยคํานึงถึงวาเปนกรณีท่ีกอใหเกิดความเสียหายตอภาพพจนชื่อเสียงโดยสวนรวมของทางราชการหรือตอการ
บริหารราชการอยา งรายแรงหรือไม

(8) ละเวนการกระทําหรือกระทําการใดๆ อันเปนการไมปฏิบตั ิตามมาตรา 80 วรรคสอง และ
มาตรา 82(11) หรือฝาฝนขอหามตามมาตรา 83 (10) ที่มี กฎ ก.พ. กําหนดใหเปนความผิดวินัยอยาง
รา ยแรง

เปนการบัญญัติไวเพ่ือกาลภายหนา ในกรณีท่ีอาจมีการละเวนการกระทําหรือกระทําใดๆ อันเปน
การไมปฏิบัติตามมาตรา 80 วรรคสอง และมาตรา 82(11) หรือฝาฝนขอหามมาตรา 83(10) ที่มี กฎ ก.พ.
กาํ หนดใหเ ปนความผิดวินยั อยางรายแรงเกดิ ข้ึน

สรุปสาระสาคัญ

กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนินการทางวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖

ก.พ. ได้กำหนด กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
โดยอำศัยอำนำจตำมมำตรำ ๘ (๕) และหมวด ๗ กำรดำเนินกำรทำงวินัย ตำมมำตรำ ๙๔
มำตรำ ๙๕ มำตรำ ๙๖ มำตรำ ๙๗ มำตรำ ๑๐๑ และมำตรำ ๑๐๕ แห่งพระรำชบัญญติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่ง กฎ ก.พ. ฉบับน้ีได้ประกำศในรำชกิจจำ-
นุเบกษำเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวำคม ๒๕๕๖ โดยให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกำหนดหกสิบวัน
นบั แตว่ นั ประกำศในรำชกจิ จำนุเบกษำเปน็ ตน้ ไป

กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย
๑๐ หมวด และบทเฉพำะกำล รวมท้ังส้ิน ๙๘ ข้อ โดยสำนักมำตรฐำนวินัย สำนักงำน ก.พ.
ไดส้ รปุ สำระสำคญั ของ กฎ ก.พ. ฉบบั น้ีไว้ ดงั ต่อไปนี้

หมวด ๑

การดาเนนิ การเมอื่ มกี ารกลา่ วหาหรือมกี รณเี ปน็ ทีส่ งสยั วา่ มกี ารกระทาผดิ วินยั

หมวดนี้เป็นกำรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีกำรของกำรดำเนินกำรตำมนัย
มำตรำ ๙๐ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นบทบัญญัติ
ท่ีกำหนดที่มำของกำรดำเนินกำรทำงวินัยแก่ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ โดย“หมวด ๑
กำรดำเนินกำรเม่ือมีกำรกล่ำวหำหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำมีกำรกระทำผิดวินัย”ได้กำหนด
หลักเกณฑ์และวธิ กี ำรที่สำคญั ไว้ ดังน้ี

๑. กำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญท่มี พี ฤติกำรณก์ ระทำผิดวินยั
๒. กำรจำแนกกรณเี ปน็ ทส่ี งสัยวำ่ ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผใู้ ดกระทำผดิ วินัย
๓. กำรกำหนดวิธีกำรรำยงำนของผู้บังคับบัญชำไปยังผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
ส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗

สาระสาคัญ

๑. กรณีมีกำรกลำ่ วหำต่อผู้บังคับบัญชำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำ
ผดิ วนิ ัยตำมขอ้ ๓ ของกฎ ก.พ. วำ่ ด้วยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖

“กำรกล่ำวหำ” คือ กำรร้องเรียนกล่ำวโทษระบุว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ
มีพฤติกำรณ์หรือมีกำรกระทำท่ีเป็นควำมผิดทำงวินัยตำมพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำร
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ ไม่ว่ำจะเป็นกำรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง หรือ
ไม่ร้ำยแรง ซ่ึงกำรกล่ำวหำมีได้ทั้งกำรกล่ำวหำที่เป็นหนังสือ และกำรกล่ำวหำด้วยวำจำ
แต่กำรกล่ำวหำทั้งสองวิธีดังกล่ำว ต้องเป็นกำรกล่ำวหำต่อผู้บังคับบัญชำในระดับใดก็ได้
ถงึ จะเปน็ กำรกล่ำวหำเพอื่ ใหด้ ำเนินกำรตอ่ ไปตำมหมวดน้ี

กำรกล่ำวหำเป็นหนังสือตำมข้อ ๓ วรรคหน่ึง นั้น ต้องมีรำยละเอียดอันได้แก่
กำรระบุช่อื และลงลำยมอื ชื่อผกู้ ลำ่ วหำ ระบุชื่อหรือตำแหน่งของผู้ถูกกล่ำวหำหรือข้อเท็จจริง
ที่เพียงพอให้ทรำบว่ำเป็นกำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใด นอกจำกน้ี ยังต้องมี
ข้อเท็จจริงหรือพยำนหลักฐำนเบ้ืองต้นเพียงพอท่ีจะให้เข้ำใจได้ว่ำผู้น้ันมีพฤติกำรณ์หรือกำร
กระทำผดิ อยำ่ งไร หรอื เพยี งพอ ท่ีจะสำมำรถสืบสวนเพื่อค้นหำควำมจรงิ ตอ่ ไปได้

กำรกล่ำวหำด้วยวำจำตำมข้อ ๓ วรรคสอง น้ัน ผู้บังคับบัญชำผู้ที่ได้รับฟัง
กำรกล่ำวหำนั้นจะต้องจัดทำบันทึกคำกล่ำวหำโดยให้มีรำยละเอียดเพียงพอเช่นเดียวกับ
กำรกล่ำวหำเป็นหนังสือ และให้ผู้กล่ำวหำดังกล่ำวลงลำยมือชื่อไว้เป็นหลักฐำน ท้ังน้ี เพ่ือให้
ปรำกฏหลักฐำนกำรกลำ่ วหำเป็นลำยลักษณ์อกั ษร

๒. กรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยตำมข้อ ๔
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนนิ กำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖

สำระสำคัญของข้อ ๔ น้ี เป็นกำรกำหนดหลักเกณฑ์ในกรณีท่ีปรำกฏว่ำมีกำร
กล่ำวหำว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญกระทำผิดวินัยแต่ไม่ปรำกฏตัวผู้กล่ำวหำ และรวมท้ัง
กรณีที่ผู้บังคับบัญชำได้พบเห็นข้อเท็จจริงหรือพฤติกำรณ์อันเป็นที่สงสัยว่ำผู้อยู่ใต้บังคับ
บัญชำกระทำผิดวินัย ซ่ึงท้ังสองกรณีจะต้องปรำกฏพยำนหลักฐำนเพียงพอที่จะสืบสวน

สอบสวนต่อไปได้ว่ำมีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญกระทำผิดวินัยหรือไม่ โดยรำยละเอียดแต่ละ
กรณมี ีดังต่อไปน้ี

๒.๑ กรณีเป็นท่ีสงสัยตำมข้อ ๔ (๑) นั้น เป็นกรณีท่ีมีกำรกล่ำวหำ
โดยไม่ได้ระบุชื่อหรือลงลำยมือช่ือของผู้กล่ำวหำ แต่ระบุเพียงชื่อหรือตำแหน่ง
ของผู้ถูกกล่ำวหำ หรือข้อเท็จจริงที่เพียงพอให้ทรำบว่ำเป็นกำรกล่ำวหำข้ำรำชกำรพลเรือน
สำมัญผู้ใด โดยมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้เข้ำใจได้ว่ำผู้น้ันมีพฤติกำรณ์หรือกำรกระทำผิด
อย่ำงไร หรือเพียงพอที่จะสำมำรถสืบสวนสอบสวนเพ่ือค้นหำควำมจริงต่อไปได้ ซึ่งกำร
กล่ำวหำในกรณีนี้ก็คือ กำรร้องเรียนกล่ำวหำโดย “บัตรสนเท่ห์” ดังน้ัน บัตรสนเท่ห์ ก็อำจ
เป็นท่ีมำที่ทำให้มีกำรดำเนินกำรทำงวินัยกับข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้น้ันได้ ถ้ำพิจำรณำ
แล้วเห็นว่ำบัตรสนเท่ห์น้ัน มีหลักฐำนหรือมีกรณีแวดล้อมปรำกฏชัดแจ้ง ตลอดจนช้ีพยำน
บคุ คลแน่นอน๑

๒.๒ กรณีเป็นท่ีสงสัยตำมข้อ ๔ (๒) นั้น เป็นกรณีท่ีข้อเท็จจริงหรือ
พฤติกำรณ์ได้ปรำกฏต่อผู้บังคับบัญชำเอง ทำให้เป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใด
กระทำผิดวินัย และมีพยำนหลักฐำนเพียงพอที่จะสืบสวนสอบสวนต่อไปได้ โดยกรณีน้ีถือว่ำ
เป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้บังคับบัญชำตำมที่กฎหมำยบัญญัติไว้ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชำ
ดังกลำ่ วจึงไม่ได้เปน็ ผกู้ ลำ่ วหำตำมข้อ ๓

ท้ังนี้ กรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัย
ตำมข้อ ๔ (๑) และ (๒) เปน็ เพยี งแค่กำรกำหนดบำงลักษณะของกรณีเป็นที่สงสัยเท่ำนั้น ซึ่งก็
อำจมีลักษณะอ่ืนๆ ได้อีก หำกลักษณะนั้นเป็นกรณีท่ีได้ปรำกฏข้อเท็จจริงหรือพฤติกำรณ์ว่ำ
มีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัย และมีพยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะสืบสวน
สอบสวนตอ่ ไปได้

๑ หนังสือสำนกั เลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี ท่ี นร ๐๒๐๖/ว ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๕ ธันวำคม ๒๕๔๑ เรื่อง หลกั เกณฑแ์ ละแนวทำงปฏิบัตเิ กย่ี วกับ
กำรรอ้ งเรียนกล่ำวโทษขำ้ รำชกำรและกำรสอบสวนเรื่องรำวร้องเรียนกลำ่ วโทษข้ำรำชกำรว่ำกระทำผดิ วนิ ยั

๓. กำรรำยงำนของผู้บังคับบัญชำไปยังผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ ตำมขอ้ ๒ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนนิ กำรทำงวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖

เมื่อควำมปรำกฏกับผู้บังคับบัญชำว่ำมีกำรกล่ำวหำหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำ
ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยตำมรำยละเอียดข้ำงต้นแล้ว หำกผู้บังคับบัญชำ
ท่ีรับทรำบเรื่องน้ันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ผู้บังคับบัญชำ
ดังกล่ำวก็มีหน้ำท่ีต้องรำยงำนตำมมำตรำ ๙๐ วรรคหนึ่ง ประกอบกับข้อ ๒ โดยกำรรำยงำน
ต้องจัดทำเป็นหนังสือ ท่ีระบุช่ือผู้กล่ำวหำ (ถ้ำมี) ช่ือและตำแหน่งของผู้ถูกกล่ำวหำ
ขอ้ เท็จจริงและพยำนหลักฐำนท่ีเก่ียวข้องกับกำรกล่ำวหำหรือกรณีที่เป็นท่ีสงสัย และรำยงำน
ตำมลำดับช้ันไปจนถึงผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ให้รับทรำบ
เพื่อดำเนนิ กำรตำมอำนำจหน้ำที่ตอ่ ไป

แต่หำกผู้บังคับบัญชำท่ีทรำบเรื่องน้ันเป็นผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ ผู้บังคับบัญชำดังกล่ำวก็ต้องรีบดำเนินกำรตำมท่ีบัญญัติในพระรำชบัญญัติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ น้ตี อ่ ไปโดยเรว็

หมวด ๒

การสืบสวนหรือพจิ ารณาในเบ้ืองต้น

หมวดนี้เป็นกำรกล่ำวถึงหลักเกณฑ์และวิธีกำรของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
สั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ท่ีได้รับทรำบกำรรำยงำนตำมข้อ ๒ หรือเป็นกรณีท่ีผู้บังคับบัญชำ
ซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ รับทรำบเร่ืองกล่ำวหำหรือกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ำข้ำรำชกำร
พลเรือนสำมัญผู้ใด กระทำผิดวินัยด้วยตนเองตำมข้อ 4 ของ “หมวด ๑ กำรดำเนินกำร
เมอื่ มีกำรกลำ่ วหำหรอื มีกรณีเปน็ ทีส่ งสัยว่ำมีกำรกระทำผิดวินัย”

สาระสาคัญ

“หมวด ๒ กำรสืบสวนหรือพิจำรณำในเบื้องต้น” ได้กำหนดหลักเกณฑ์และ
วธิ กี ำรกำรดำเนินกำรที่สอดคล้องกับบทบัญญัติตำมมำตรำ ๙๑ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบ
ขำ้ รำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ กล่ำวคอื

๑. ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ มีอำนำจหน้ำท่ีในกำร
พจิ ำรณำวำ่ เรื่องทก่ี ล่ำวหำหรือกรณีเป็นที่สงสัยนั้น มีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำผู้อยู่ใต้บังคับบัญชำ
นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ ส่วนในกำรดำเนินกำรของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุ
ตำมมำตรำ ๕๗ เพื่อพิจำรณำในเรื่องดังกล่ำว สำมำรถดำเนินกำรได้ตำมที่กำหนดในข้อ ๕
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนนิ กำรทำงวินยั พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังน้ี

๑.๑ ขอ้ เท็จจริงและพยำนหลักฐำนท่ีปรำกฏในเบื้องต้นเพียงพอแก่กำร
พิจำรณำแล้ว ตำมข้อ ๕ (๑) ก็ให้ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำ
ว่ำกรณีน้ันมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำผู้น้ันกระทำผิดวินัยหรือไม่ อย่ำงไร โดยจะไม่ทำกำรสืบสวน
กไ็ ด้

๑.๒ ข้อเท็จจริงและพยำนหลักฐำนที่มีนั้น ยังไม่เพียงพอท่ีจะพิจำรณำ
ได้ ก็ให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรสืบสวนตำมข้อ ๕ (๒)

เพ่ือรวบรวมพยำนหลักฐำนเพ่ิมเติม ทั้งน้ีจะดำเนินกำรด้วยตนเอง หรือจะให้ข้ำรำชกำร
พลเรือนสำมัญหรือเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐที่เก่ียวข้องกับเรื่องนั้นเป็นผู้ ดำเนินกำรสืบสวนแล้ว
รำยงำนมำเพอ่ื พิจำรณำต่อไปกไ็ ด้

อนึ่ง คำว่ำ “กำรสืบสวน” ดังกล่ำวข้ำงต้น หมำยถึง กำรสืบหำข้อเท็จจริง
และพยำนหลักฐำนในเบื้องต้นเพื่อใช้ประกอบกำรพิจำรณำว่ำกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำ
กระทำผิดวินัยหรือไม่ นอกจำกนี้กำรสืบสวนให้ทำในทำงลับ๒ เพ่ือไม่ให้เกิดควำมเสียหำย
แก่ขำ้ รำชกำรผ้ถู ูกดำเนินกำรหรอื บคุ คลภำยนอก เช่น ผู้กลำ่ วหำ หรอื พยำน เป็นต้น

๒. ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำแล้ว
เห็นว่ำเรื่องดังกล่ำวมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้น้ันกระทำผิด วินัย
กล่ำวคือ ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ได้พิจำรณำและเห็นว่ำกรณี
ปรำกฏพยำนหลักฐำนเพียงพอที่เช่ือได้ว่ำผู้นั้นกระทำผิดวินัย ก็ให้ดำเนินกำรตำมข้อ ๖
ของกฎ ก.พ. ว่ำดว้ ยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ยั พ.ศ. ๒๕๕๖ ดงั นี้

๒.๑ ในกรณีท่ีเห็นว่ำมีมูลเป็นกำรกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง
(ตำมมำตรำ ๘๑ – ๘๓ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ให้
ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรตำม“หมวด ๓ กำรดำเนินกำร
ในกรณมี ีมลู ท่ีควรกล่ำวหำวำ่ กระทำผดิ วินัยอย่ำงไมร่ ำ้ ยแรง”ตอ่ ไป

๒.๒ ในกรณีที่เห็นว่ำมีมูลเป็นกำรกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง
(ตำมมำตรำ ๘๕ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ให้
ผู้บังคบั บัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนนิ กำรตำม“หมวด ๔ กำรดำเนินกำร
ในกรณมี มี ูลทค่ี วรกล่ำวหำวำ่ กระทำผดิ วินยั อย่ำงร้ำยแรง”ต่อไป

๒ หนังสือสำนกั เลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี ที่ นร ๐๒๐๖/ว ๒๑๘ ลงวนั ที่ ๒๕ ธันวำคม ๒๕๔๑ เรอ่ื ง หลกั เกณฑ์และแนวทำงปฏิบตั เิ กย่ี วกบั
กำรร้องเรยี นกล่ำวโทษขำ้ รำชกำรและกำรสอบสวนเรอื่ งรำวร้องเรียนกลำ่ วโทษขำ้ รำชกำรวำ่ กระทำผิดวนิ ยั

๓. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำแล้ว
เห็นว่ำเร่ืองดังกล่ำวไม่มีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ ใดกระทำผิดวินัย
โดยอำจเป็นกรณีตำมที่กำหนดไว้ในข้อ ๗ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๖ กล่ำวคือ ไม่มีพยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะทรำบได้ว่ำข้ำรำชกำรผู้ใด
เป็นผู้กระทำผิดวินัยหรือน่ำเชื่อได้ว่ำข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้นั้นกระทำผิดวินัย ไม่มี
พยำนหลักฐำนเพียงพอท่ีจะดำเนินกำรสืบสวนสอบสวนต่อไปได้ หรือกำรกระทำนั้นไม่เป็น
ควำมผิดวินัย เช่นน้ี ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ต้องให้ยุติเรื่อง
ดงั กล่ำว

อน่ึง วิธีกำรตำมหมวดนถี้ ือว่ำมคี วำมสำคัญมำกเช่นกัน เพรำะหำกดำเนินกำร
ไม่ถูกต้องตำมวิธีกำรท่ีบัญญัติไว้นี้ ก็อำจเป็นเหตุให้ผู้ถูกดำเนินกำรทำงวินัยร้องทุกข์
หรอื อทุ ธรณ์ได้ เช่น กล่ำวหำว่ำขำ้ รำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ใดกระทำผิดวินัยและดำเนินกำร
สอบสวนพิจำรณำควำมผิดโดยไม่ได้สืบสวนหรือพิจำรณำให้เห็นว่ำกรณีมีมูลหรือไม่เสียก่อน
เชน่ นี้ ข้ำรำชกำรผ้นู ั้นก็อำจรอ้ งทกุ ข์กอ่ นถูกลงโทษหรอื อทุ ธรณ์เม่อื ถูกลงโทษแลว้ กไ็ ด้๓

ขอ้ สังเกต
ในกรณีที่สำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจพบว่ำหน่วยงำนของรัฐแห่งใด

มีกรณีเงินขำดบัญชีหรือเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐทุจริตและได้ช้ีมูลควำมผิดแล้ว ก็ให้ผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำรทำงวินัย โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมกำร
สืบสวนหำข้อเท็จจริงเพ่ือหำมูลควำมผิด๔ ตำมที่กำหนดไว้ในหมวด ๒ น้ีอีก ท้ังน้ี
เพือ่ ประโยชน์ของทำงรำชกำรท่จี ะใหก้ ำรดำเนินกำรเปน็ ไปโดยรวดเรว็

๓ ประวณี ณ นคร, พระรำชบัญญัตริ ะเบยี บข้ำรำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ สรปุ สำระสำคญั และคำอธบิ ำยรำยมำตรำ, น. ๑๒๙,

ขอ้ ๖ ของระเบียบสำนักนำยกรฐั มนตรวี ่ำดว้ ยกำรเร่งรัดติดตำมเก่ียวกบั กรณเี งินขำดบัญชีหรอื เจ้ำหนำ้ ท่ีของรฐั ทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๖

หมวด ๓

การดาเนินการในกรณีมีมลู ท่คี วรกลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วนิ ัยอย่างไมร่ า้ ยแรง

เมอ่ื ผบู้ ังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำในเบ้ืองต้น หรือ
พิจำรณำจำกผลกำรสืบสวนแล้วเห็นว่ำ พฤติกำรณ์ของข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้นั้น
มีมูลว่ำกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง (ตำมมำตรำ ๘๑ – ๘๓ แห่งพระรำชบัญญัติ
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑) ก็ต้องดำเนินกำรให้เป็นไปตำมหมวดนี้ต่อไป
โดยเร็ว โดยหมวดน้ีจะกล่ำวถึงข้ันตอนวิธีกำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงว่ำจะต้อง
ปฏิบตั อิ ยำ่ งไรบำ้ ง

สาระสาคัญ

“หมวด ๓ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อย่ำงไม่รำ้ ยแรง” ได้กำหนดหลกั เกณฑแ์ ละวิธีกำรสอบสวนทำงวินยั อยำ่ งไม่ร้ำยแรงให้ชัดเจน
และรวดเร็วขึ้น โดยมีกำรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีกำรใหม่ที่สำคัญ เช่น กำหนดระยะเวลำ
เร่งรัดในกำรสอบสวน วิธีกำรสอบสวน กำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน และกำรคัดค้ำน
กรรมกำรสอบสวน เป็นต้น นอกจำกน้ียังกำหนดให้ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำ และให้โอกำส
ผู้ถูกกล่ำวหำช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำตำมที่บัญญัติไว้ในมำตรำ ๙๒ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบ
ข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับรำยละเอียดของหมวดนี้มสี ำระสำคญั ดงั ต่อไปน้ี

๑. กำรดำเนินกำรทำงวินัยหรือกำรสอบสวนตำมหมวดนี้ ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมี
อำนำจสง่ั บรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ จะดำเนนิ กำรสอบสวนดว้ ยตัวเองหรอื มอบหมำยให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เ ป็ น ผู้ ส อ บ ส ว น ท ำ ง วิ นั ย เ พื่ อ ร ว บ ร ว ม พ ย ำ น ห ลั ก ฐ ำ น ม ำ ป ร ะ ก อ บ ก ำ ร พิ จ ำ ร ณ ำ ว่ ำ ก ร ณี
เป็นควำมผิดวินัยหรือไม่ ตำมมำตรำใด และควรได้รับโทษสถำนใด โดยไม่ต้อง ตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนกไ็ ด้ ดงั น้ี

๑.๑ กำรสอบสวนโดยไม่ต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๙
ของกฎ ก.พ. วำ่ ด้วยกำรดำเนินกำรทำงวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๖

ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ดำเนินกำร
สอบสวนด้วยตัวเองหรือมอบหมำยให้ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้สอบสวน ให้รีบดำเนินกำรให้แล้วเสร็จ
ภำยใน ๔๕ วัน๕ นับแต่วันที่พิจำรณำเห็นว่ำกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อย่ำงไมร่ ้ำยแรง ทงั้ นตี้ ้องมกี ำรแจง้ ขอ้ กล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนทส่ี นับสนุนข้อกล่ำวหำ
ให้ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ รวมท้ังต้องให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำได้ชี้แจง
แกข้ อ้ กล่ำวหำภำยในเวลำทีก่ ำหนดด้วย

๑.๒ กำรแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๒ ของกฎ ก.พ.
วำ่ ด้วยกำรดำเนนิ กำรทำงวินยั พ.ศ. ๒๕๕๖

ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ แต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวน ก็ให้ดำเนินกำรโดยนำ“หมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควร
กล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ” ในเรื่ององค์ประกอบและคุณสมบัติ
ของคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๘ วรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคส่ี (โดยกรรมกำร
สอบสวนจะไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนิติกร หรือผู้ได้รับปริญญำทำงกฎหมำย หรือผู้ได้รับกำร
ฝึกอบรมตำมหลักสูตรกำรดำเนินกำรทำงวินัย หรือผู้มีประสบกำรณ์ด้ำนกำรดำเนินกำร
ทำงวินัยก็ได้) คำส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๑๙ กำรเปล่ียนแปลงกรรมกำร
สอบสวนตำมข้อ ๒๐ กำรแจ้งคำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๒๑ และกำร
คัดคำ้ นกรรมกำรสอบสวนตำมขอ้ ๒๒ ถึงข้อ ๒๕ มำใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม

๕ เปน็ ระยะเวลำเร่งรัด เพือ่ ใหม้ ีกำรดำเนนิ กำรเป็นไปอย่ำงรวดเร็ว

สำหรับกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนในกรณีที่ข้ำรำชกำรพลเรือน
สำมัญตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรม หรือต่ำงกระทรวงกัน ถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
ร่วมกัน ก็ให้เป็นไปตำมมำตรำ ๙๔ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับข้อ ๑๖ (ผู้มีอำนำจแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน) และข้อ ๑๗
(กำรร่วมกนั แตง่ ตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน) ของกฎ ก.พ. ฉบบั น้ี

คณะกรรมกำรสอบสวนต้องดำเนินกำรตำมข้อ ๑๓ วรรคหน่ึง โดยต้อง
ดำเนินกำรสอบสวน แจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ กำรรับ
ฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่ำวหำ กำรรวบรวมข้อเท็จจริง รวบรวมข้อกฎหมำย และรวบรวม
พยำนหลักฐำนที่เก่ียวข้อง เก็บไว้ในสำนวนแล้วจัดทำรำยงำนกำรสอบสวนพร้อมควำมเห็น
ของคณะกรรมกำรสอบสวนเสนอ ต่อผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน ท้ังน้ี
ต้องดำเนินกำรให้แล้วเสร็จภำยใน ๖๐ วัน ๖ นับแต่วันท่ีประธำนกรรมกำรรับทรำบคำสั่ง
ในกรณีที่ไม่สำมำรถสอบสวนให้แล้วเสร็จได้ภำยในเวลำท่ีกำหนด ให้ประธำนกรรมกำร
รำยงำนต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนเพื่อขอขยำยระยะเวลำตำมควำมจำเป็น
ตำมข้อ ๑๓ วรรคสอง ในกำรนี้ ผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำขยำย
ระยะเวลำ หรือผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ จะส่ังให้ยุติกำรดำเนินกำร
เพื่อพจิ ำรณำดำเนนิ กำรสอบสวนเองก็ได้

เม่ือผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับรำยงำนข้ำงต้นแล้ว
หำกเห็นว่ำดำเนินกำรไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ก็ให้สั่งกำรตำมข้อ ๑๔ (๑) หรือ (๒)
โดยหำกเห็นว่ำข้อเท็จจริงและพยำนหลักฐำนยังไม่เพียงพอ ก็สำมำรถกำหนดประเด็นให้
คณะกรรมกำรสอบสวนกลับไปดำเนินกำรสอบสวนเพิ่มเติม หรือส่ังให้คณะกรรมกำร
สอบสวนกลบั ไปดำเนินกำรให้ถกู ตอ้ งโดยเรว็

๖ อำ้ งแล้วในเชงิ อรรถท่ี ๕

๒. เมื่อผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ พิจำรณำผลกำร
สอบสวนแล้ว ก็ให้ดำเนินกำรสั่งกำร ตำมข้อ ๑๑ ของกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำร
ทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังนี้

๒.๑ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย ก็ให้ดำเนินกำร

สัง่ ยุติเร่ือง

๒.๒ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง ก็ให้ส่ัง
ลงโทษภำคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตำมควรแก่กรณี หรือหำกเห็นว่ำเป็นกำร
กระทำผิดเล็กนอ้ ยและมเี หตอุ นั ควรงดโทษก็สำมำรถสงั่ งดโทษและให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ
หรือว่ำกล่ำวตักเตอื นแทนก็ได้

๒.๓ หำกเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ก็ให้
ดำเนินกำรตำมหมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัย
อยำ่ งรำ้ ยแรงต่อไป

หมวด ๔

การดาเนินการในกรณมี ีมลู ทค่ี วรกลา่ วหาว่ากระทาผดิ วินัยอยา่ งรา้ ยแรง

กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงนั้น
เป็นกระบวนกำรรวบรวมพยำนหลักฐำนเพื่อให้ได้ควำมจริงว่ำข้ำรำชกำรผู้ถูกกล่ำวหำ
ได้กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงหรือไม่ หำกข้ำรำชกำรผู้นั้นกระทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษ
ตำมควำมเหมำะสมแกก่ รณี ซงึ่ กำรดำเนินกำรในเรอื่ งนี้ โดยปกตจิ ะเริ่มต้นเมื่อผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมำตรำ ๕๗ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้พิจำรณำตำมมำตรำ ๙๑ แล้วเห็นว่ำพฤติกำรณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชำมีมูล
ที่ควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ผู้บังคับบัญชำดังกล่ำวก็มีหน้ำที่ท่ีจะต้อง
ดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงแก่ผู้น้ัน ตำมท่ีบัญญัติไว้ในพระรำชบัญญัติระเบียบ
ขำ้ รำชกำรพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ มำตรำ ๙๓ มำตรำ ๙๔ มำตรำ ๙๕ และมำตรำ ๙๗

จดุ มุ่งหมาย

กำรดำเนินกำรตำม“หมวด ๔ กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำ
ว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง”ของ กฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
น้ัน มีหลักกำรสำคญั ในกำรดำเนินกำร ดงั นี้

๑. ผดู้ ำเนนิ กำรตอ้ งเป็นผ้มู ีอำนำจตำมทกี่ ฎหมำยกำหนด

๒. ต้องมีกำรแต่งตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน

๓. ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ
ใหผ้ ูถ้ กู กลำ่ วหำทรำบ

๔. ตอ้ งใหโ้ อกำสผ้ถู กู กลำ่ วหำชีแ้ จงแกข้ อ้ กลำ่ วหำ และ

๕. หำกกำรสอบสวนปรำกฏว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ส่ง
เร่ืองให้ อ.ก.พ. สำมัญ (ได้แก่ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง) ที่ผู้นั้น
สงั กัดอยู่ เพ่ือพจิ ำรณำมมี ติ

โดยหลักกำรข้ำงต้นล้วนเป็นกำรให้หลักประกันควำมเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำ
และทำงรำชกำรทั้งส้ิน เน่ืองจำกกำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงอำจส่งผลให้ข้ำรำชกำร
ผู้ถูกดำเนินกำรต้องพ้นจำกรำชกำรก็ได้ จึงจำเป็นอย่ำงย่ิงที่จะต้องมีกระบวนกำรที่ป้องกัน
ไม่ให้ผู้มีอำนำจใช้อำนำจไปในทำงท่ีไม่ถูกต้อง จนเป็นเหตุให้ข้ำรำชกำรท่ีไม่ได้กระทำผิด
ต้องถูกกลั่นแกล้งและถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจำกรำชกำร หรือช่วยเหลือให้
ข้ำรำชกำรผ้กู ระทำผิดไม่ต้องรบั โทษทำงวนิ ัย

สำหรับกระบวนกำรหรือหลักเกณฑ์ วิธีกำร และระยะเวลำกำรดำเนินกำร
ทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงได้กำหนดรำยละเอียดไว้ต้ังแต่ข้อ ๑๕ - ข้อ ๖๓ “หมวด ๔
กำรดำเนินกำรในกรณีมีมูลท่ีควรกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง”ของ กฎ ก.พ.
ฉบับน้ี โดยคำนึงถึงเจตนำรมณ์ท่ีต้องกำรให้ “กำรดำเนินทำงวินัยรวดเร็ว ยุติธรรม และ
ปรำศจำกอคติ” อีกทั้งยังสอดคล้องกับกฎหมำยว่ำด้วยวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง และ
กฎหมำยอน่ื ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งด้วย

สรุปกระบวนการดาเนินการทางวินัยอย่างรา้ ยแรง

สาระสาคญั
๑. ผู้มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยตำมพระรำชบัญญัติ

ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกฎ ก.พ. ว่ำด้วยกำรดำเนินกำรทำงวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้บัญญตั ไิ ว้ดังนี้

๑.๑ มาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ของผู้ถูกกล่ำวหำ
เปน็ ผู้มอี ำนำจแตง่ ตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน อนั ได้แก่

- รฐั มนตรีเจ้ำสังกัด ตำมมำตรำ ๕๗ (๑) (๔) และ (๗)
- ปลัดกระทรวง หรือหัวหน้ำส่วนรำชกำรระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชำหรือ
รับผิดชอบกำรปฏิบัติรำชกำรข้ึนตรงต่อนำยกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี ตำมมำตรำ ๕๗ (๒)
(๓) (๕) และ (๘)

- อธบิ ดี ตำมมำตรำ ๕๗ (๖) (๙) และ (๑๐)
- ผวู้ ำ่ รำชกำรจังหวดั ตำมมำตรำ ๕๗ (๑๑)

๑.๒ มาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีท่ีข้ำรำชกำรผู้ถูกกล่ำวหำมีตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรมหรือต่ำงกระทรวง
กันถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยร่วมกัน ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้มีอำนำจแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวนไว้เป็นกำรเฉพำะ ท้ังนี้ เพ่ือให้กำรสอบสวนในกรณีท่ีมีข้ำรำชกำรร่วมกระทำผิดนั้น
เป็นไปในทิศทำงเดียวกันและพิจำรณำจำกพยำนหลักฐำนเดียวกันอีกด้วย ซ่ึงจะทำให้ผล
กำรสอบสวนและพิจำรณำเป็นไปอย่ำงเสมอภำคและเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำท้ังหมด
โดยผมู้ ีอำนำจแตง่ ตัง้ คณะกรรมกำรสอบสวนได้แก่

- นำยกรัฐมนตรี ในฐำนะหัวหน้ำรัฐบำล สำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกระทรวง
ถูกกล่ำวหำและมีผูด้ ำรงตำแหน่งประเภทบรหิ ำรระดับสูงรว่ มดว้ ย (มำตรำ ๙๔ (๓))

- รัฐมนตรีเจ้ำสังกัด สำหรับข้ำรำชกำรกรมเดียวกัน ถูกกล่ำวหำ
และมีปลัดกระทรวงร่วมด้วย (มำตรำ ๙๔ (๑)) และสำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกรมในกระทรวง
เดยี วกนั ถูกกล่ำวหำและมปี ลัดกระทรวงรว่ มด้วย (มำตรำ ๙๔ (๒))

- ปลัดกระทรวง สำหรับข้ำรำชกำรกรมเดียวกันถูกกล่ำวหำและ
มีอธิบดีร่วมด้วย (มำตรำ ๙๔ (๑)) และสำหรับข้ำรำชกำรต่ำงกรมในกระทรวงเดียวกัน
ถกู กลำ่ วหำ (มำตรำ ๙๔ (๒))

- ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ร่วมกันแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนสำหรบั ขำ้ รำชกำรตำ่ งกระทรวงกนั ถกู กล่ำวหำ (มำตรำ ๙๔ (๓))

สาหรับกรณีอื่นตามมาตรา ๙๔ (๔) ก็ได้กาหนดไว้ในข้อ ๑๖ แห่งกฎ ก.พ. นี้
ดงั นี้

ข้อ ๑๖ (๑) อธิบดีหรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุที่มี
ตาแหน่งเหนือกว่าเป็นผู้แต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน สำหรับในกรณีที่ข้ำรำชกำร
กรมเดียวกันแต่ดำรงตำแหน่งต่ำงกันถูกกล่ำวหำว่ำร่วมกันกระทำผิดและผู้บังคับบัญชำซึ่งมี
อำนำจส่ังบรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ ต่ำงกนั

ข้อ ๑๖ (๒) และ (๓) ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา
๕๗ ของผ้ถู ูกกล่ำวหำแต่ละคนรว่ มกันแตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบสวน สำหรบั ในกรณดี ังนี้

- กรณีข้ำรำชกำรในสำนักงำนรัฐมนตรี หรือส่วนรำชกำรท่ีไม่มีฐำนะ
เป็นกรมแต่มีหัวหน้ำส่วนรำชกำรเป็นอธิบดีหรือตำแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่ำงอื่นที่มีฐำนะเป็นอธิบดี
ถกู กลำ่ วหำว่ำกระทำผิดวินยั ร่วมกบั ข้ำรำชกำรพลเรอื นสำมัญในสว่ นรำชกำรอนื่

- กรณีข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญในส่วนรำชกำรท่ีมีฐำนะเป็นกรม
และไม่สังกัดกระทรวงแต่อยู่ในบังคับบัญชำของนำยกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือในส่วนรำชกำร
ทีม่ ีหัวหน้ำส่วนรำชกำรรับผิดชอบในกำรปฏิบัติรำชกำรข้ึนตรงต่อนำยกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี
ถกู กลำ่ วหำวำ่ กระทำผิดวนิ ยั ร่วมกับข้ำรำชกำรพลเรือนสำมญั ในส่วนรำชกำรอนื่

เว้นแต่ปรำกฏว่ำในกรณีดังกล่ำวมีผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหำร
ระดับสูงถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดวินัยร่วมด้วย ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนำจแต่งต้ัง
คณะกรรมกำรสอบสวน

ข้อ ๑๖ (๔) ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนำจแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวน กรณีข้ำรำชกำรในรำชกำรบริหำรส่วนภูมิภำคจังหวัดเดียวกันแต่ต่ำงกรมหรือ

ต่ำงกระทรวงถูกกล่ำวหำว่ำกระทำผิดร่วมกันและผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชำ
ซึ่งมีอำนำจสง่ั บรรจตุ ำมมำตรำ ๕๗ ทกุ รำย

๑.๓ ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๗ วรรคสาม ซึ่งได้
บัญญัติในกรณีที่ผู้บังคับบัญชำไม่ใช้อำนำจตำมมำตรำ ๙๓ หรือมำตรำ ๙๔ ก็ให้
ผบู้ งั คบั บัญชำระดับเหนือขนึ้ ไปมีอำนำจแตง่ ต้งั คณะกรรมกำรสอบสวนได้อกี ดว้ ย

๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน กำรดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรง
โดยปกติต้องดำเนินกำรแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน ดังนั้น คำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำร
สอบสวนจึงเป็นหลักฐำนสำคัญท่ีแสดงว่ำผู้บังคับบัญชำได้ดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำที่แล้ว
โดยคำส่ังดงั กล่ำวอยำ่ งน้อยตอ้ งมีสำระสำคญั อันประกอบไปดว้ ย

(๑) ช่อื และตำแหน่งของผู้ถูกกลำ่ วหำ
(๒) เรือ่ งทก่ี ล่ำวหำ (พฤติกำรณ์ท่ีเป็นกำรกระทำผิดวินยั )
(๓) ช่ือคณะกรรมกำรสอบสวน
ท้งั น้ี รำยละเอียดเปน็ ไปตำมขอ้ ๑๙ และแบบคำสั่งตำมท่ีสำนักงำน ก.พ. กำหนด
(ดว.๑)
ส่วนรำยละเอียดตำแหน่งของคณะกรรมกำรสอบสวนและสิทธิคัดค้ำน
คณะกรรมกำรสอบสวนกำหนดให้ทำเป็นเอกสำรแนบท้ำยคำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
และแจ้งให้ผถู้ กู กลำ่ วหำทรำบในครำวเดียวกนั ตำมขอ้ ๒๑ (๑)
เม่ือมีกำรแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนแล้ว จะต้องมีกำรแจ้งคำส่ังให้ผู้ถูก
กล่ำวหำและคณะกรรมกำรสอบสวนทรำบตำมข้อ ๒๑ ด้วย เพ่ือให้ผู้ถูกกล่ำวหำได้ทรำบว่ำ
๑) ตนถูกดำเนินกำรทำงวินัยอย่ำงร้ำยแรงในเร่ืองใด ๒) ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินกำรทำงวินัยแก่ตน
เพื่อจะได้ใช้สิทธิคัดค้ำนหำกผู้นั้นมีเหตุ ตำมกฎหมำยที่อำจทำให้กำรสอบสวน
เสียควำมเปน็ ธรรม ซง่ึ ในกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน กฎ ก.พ. นี้ยงั ได้กำหนดว่ำหำกผู้ถูก
กล่ำวหำได้คัดค้ำนโดยถูกต้องตำมกฎหมำยแล้ว ให้กรรมกำรสอบสวนผู้ท่ีถูกคัดค้ำนน้ัน
ต้องหยดุ ปฏิบตั หิ นำ้ ทีใ่ นกำรสอบสวนด้วย
และเพ่ือให้คณะกรรมกำรสอบสวนทรำบว่ำ ๑) ตนได้รับแต่งต้ังเป็นผู้มีหน้ำท่ี
ดำเนินกำรทำงวินัย ๒) ทรำบเร่ืองที่กล่ำวหำอันเป็นกรอบในกำรดำเนินกำร และ
๓) ประธำนกรรมกำรเตรียมจัดใหม้ กี ำรประชุมนัดแรก
๓ องค์ประกอบและคุณสมบัติคณะกรรมการสอบสวน ได้กำหนดไว้ใน
ขอ้ ๑๘ โดยคณะกรรมกำรสอบสวนจะประกอบดว้ ย
(๑.๓.๑) ประธำนกรรมกำร
(๑.๓.๒) กรรมกำรอย่ำงนอ้ ย ๒ คน
(๑.๓.๓) กรรมกำรคนหนึ่งเป็นเลขำนุกำร
(๑.๓.๔) ผ้ชู ่วยเลขำนุกำร (กรณีจำเป็น)

สำหรับคุณสมบัติคณะกรรมกำรสอบสวนได้กำหนดให้กรรมกำรสอบสวน
ต้องแต่งตั้งจำกข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญ เว้นแต่มีเหตุผลจำเป็นจะแต่งต้ังจำกข้ำรำชกำร
ฝ่ำยพลเรือนที่ไม่ใชข่ ้ำรำชกำรกำรเมืองก็ได้

ขณะแต่งต้ังประธำนกรรมกำรต้องดำรงตำแหน่งตำมท่ี ก.พ. กำหนด โดยมี
รำยละเอียดตำมหนงั สือสำนกั งำน ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒ ลงวนั ที่ ๒๖ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๕๗

นอกจำกน้ีกฎ ก.พ. นี้ได้กำหนดหลักกำรใหม่เพิ่มเติมโดยจะแต่งต้ัง
ผู้ช่วยเลขำนุกำรจำกลูกจ้ำงประจำหรือพนักงำนรำชกำรก็ได้ เพื่อแก้ปัญหำกำรขำดแคลน
บคุ ลำกรดำ้ นวนิ ยั

ในกรณีท่ีก ำรแ ต่งตั้ง คณะ กรรมกำรสอบ สวน โดยมีอง ค์ประ กอบ และ /หรือ
คุณสมบัติไมเ่ ป็นไปตำมท่ีกำหนดไว้ในข้อ ๑๘ นี้ จะทำให้กำรสอบสวนทั้งหมดเสียไป และให้
ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำรแต่งตั้งคณะกรรรมกำรสอบสวนใหม่โดยเร็ว
ท้ังน้ี เปน็ ไปตำมทีก่ ำหนดไวใ้ นขอ้ ๖๐

๔. การคัดคา้ นคณะกรรมการสอบสวน
“กำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน” เป็นสิทธิท่ีสำคัญข้อหน่ึงของผู้ถูกกล่ำวหำ
ที่จะทำให้กำรสอบสวนเป็นไปอยำ่ งยตุ ธิ รรมและปรำศจำกอคติ นอกจำกนี้กรรมกำรสอบสวน
หำกเห็นว่ำตนมีเหตุแห่งกำรคัดค้ำนก็สำมำรถแจ้งเรื่องให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
พิจำรณำส่ังกำรได้เช่นกัน ซ่ึงกฎ ก.พ. ฉบับน้ี ได้กำหนดไว้ในข้อ ๒๑ – ๒๕ โดยสรุป
สำระสำคญั ได้ดงั นี้

๔.๑ เหตแุ ห่งกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน ได้กำหนดไวใ้ นขอ้ ๒๒ ดงั นี้

 เป็นผูก้ ลำ่ วหำตำมข้อ ๓

 เปน็ คหู่ มัน้ หรือคู่สมรสของผู้กล่ำวหำตำมขอ้ ๓

 เป็นญำติของผู้กล่ำวหำตำมข้อ ๓ คือ เป็นบุพกำรีหรือ
ผู้สืบสันดำนไม่ว่ำช้ันใดๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงสำมช้ัน หรือเป็นญำติ
เกี่ยวพันทำงกำรสมรสนบั ได้เพียงสองช้ัน

 เป็นผู้มีสำเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่ำวหำหรือกับคู่หมั้นหรือ
คูส่ มรสของผถู้ ูกกลำ่ วหำ

 เป็นผ้มู ปี ระโยชน์ไดเ้ สียในเร่ืองท่สี อบสวน

 เป็นผูร้ ูเ้ ห็นเหตุกำรณใ์ นขณะกระทำผิดตำมเรือ่ งทกี่ ลำ่ วหำ

 เป็นผู้ที่มีเหตุอ่ืนซ่ึงมีสภำพร้ำยแรงอันอำจทำให้กำรสอบสวน
ไมเ่ ปน็ กลำงหรือเสยี ควำมเปน็ ธรรม

๔.๒ วิธีกำรคัดค้ำนกรรมกำรสอบสวน
กำรคดั ค้ำนตอ้ งทำเป็นหนังสอื โดยมเี งื่อนไขตำมที่กำหนดในข้อ ๒๓ ดังน้ี

 ต้องดำเนินกำรคัดค้ำนภำยในเวลำ ๗ วันนับแต่วันท่ีผู้ถูกกล่ำวหำ
ทรำบคำส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน หรือภำยในเวลำ ๗ วันนับแต่วันที่ผู้ถูกกล่ำวหำ
ทรำบเหตแุ หง่ กำรคดั คำ้ น

 ตอ้ งระบขุ ้อเทจ็ จรงิ หรอื พฤตกิ ำรณ์อันเป็นเหตุแห่งกำรคัดค้ำน โดย
ให้ระบุด้วยว่ำพฤติกำรณ์แห่งกำรคัดค้ำนดังกล่ำวจะทำให้กำรสอบสวนเสียควำมเป็นธรรม
อย่ำงไร

ในกรณีท่ีคำคัดค้ำนไม่เป็นไปตำมที่กำหนดในกฎ ก.พ. นี้ ให้ผู้มีอำนำจ
พิจำรณำคำคัดค้ำนสัง่ ไม่รับคำคดั คำ้ นและแจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ

๔.๓ ผมู้ ีอำนำจพิจำรณำคำคดั ค้ำน
กำรคัดค้ำนนั้นจะต้องย่ืน ต่อผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
เป็นผู้พิจำรณำ ท้ังน้ี เพ่ือให้ผู้มีอำนำจดังกล่ำวได้พิจำรณำและอำจมีกำรเปลี่ยนแปลง
กรรมกำรสอบสวนอนั เปน็ อำนำจของผผู้ ู้สง่ั แตง่ ตง้ั คณะกรรมกำรสอบสวน ซึ่งเม่ือผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนได้รับคำคัดค้ำนแล้วให้แจ้ง ๑) ประธำนกรรมกำร และ ๒) กรรมกำร
สอบสวนผู้ถูกคัดค้ำน เพ่ือให้กรรมกำรสอบสวนผู้น้ันหยุดปฏิบัติหน้ำที่ และดำเนินกำรช้ีแจง
ภำยใน ๗ วัน

โดยในกำรพจิ ำรณำคำคัดคำ้ นสำมำรถส่งั กำรได้ดังนี้

 เห็นว่ำคำคัดค้ำนฟังไม่ขึ้น ให้ยกคำคัดค้ำนโดยแจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำ
ประธำนกรรมกำร และกรรมกำรสอบสวนผู้ถูกคดั คำ้ นทรำบ

 เห็นว่ำคำคัดค้ำนฟังขึ้น ให้กรรมกำรสอบสวนผู้ถูกคัดค้ำนพ้นจำก
หน้ำท่ี และใหผ้ สู้ ่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำรเปลี่ยนแปลงกรรมกำรสอบสวน
ตำมขอ้ ๒๐ โดยอำจลด หรือเปลี่ยนกรรมกำรสอบสวนก็ได้ ท้ังนี้ กำรเปล่ียนแปลงดังกล่ำว
ตอ้ งมอี งค์ประกอบและคณุ สมบัตเิ ป็นไปตำมข้อ ๑๘ ดว้ ย

การพิจารณาสั่งการคาคัดค้านนี้จะต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภา ยใน
๑๕ วัน ตำมข้อ ๒๔ โดยนับต้ังแต่วันที่ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับคำคัดค้ำน
โ ด ย ใ นก ร ณี ท่ีไ ม่ มี กำ ร สั่ งก ำ ร ใ ดภ ำ ย ใน ร ะ ยะ เ ว ลำ ดั ง กล่ ำ ว ใ ห้ถื อ ว่ ำ ก ร ร มก ำ ร สอ บ ส ว น
ที่ผู้ถูกคัดค้ำนพ้นจำกหน้ำที่ และให้ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนดำเนินกำร
เปลย่ี นแปลงกรรมกำรสอบสวนตำมข้อ ๒๐

ในกรณีที่กรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำตนมีเหตุแห่งกำรคัดค้ำน ก็ให้ย่ืน
เป็นหนงั สอื ตอ่ ผสู้ ่งั แตง่ ตัง้ คณะกรรมกำรสอบสวนตำมขอ้ ๒๕ เพือ่ พจิ ำรณำสงั่ กำรตอ่ ไป

สำหรับกำรคัดค้ำนของผู้ช่วยเลขำนุกำรให้นำข้อ ๒๒ - ข้อ ๒๕ มำใช้โดย
อนโุ ลมดว้ ย

๕. หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และระยะเวลาการสอบสวน
“กำรสอบสวน” คือ กำรรวบรวมพยำนหลักฐำนเพื่อแสวงหำควำมจริง
ในเร่ืองที่มีกำรกล่ำวหำเพื่อให้กำรพิจำรณำดำเนินกำรทำงวินัยเป็นไปด้วยควำมยุติธรรม
โดยกำรสอบสวนเป็นกระบวนกำรท่ีสำคัญเพื่อให้ปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำมีกำรกระทำตำมท่ีมี
กำรกล่ำวหำหรือไม่ หรืออำจกล่ำวได้ว่ำเป็นกระบวนกำรเพ่ือพิสูจน์ควำมจริงให้ปรำกฏก็ได้
ซี่ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก ำ ร ส อ บ ส ว น มี ห น้ ำ ท่ี ท่ี จ ะ ต้ อ ง ด ำ เ นิ น ก ำ ร เ พ่ื อ ใ ห้ เ กิ ด ค ว ำ ม ยุ ติ ธ ร ร ม
แกท่ ั้งผู้ถูกกล่ำวหำและทำงรำชกำร โดยมรี ำยละเอียดกำรดำเนินกำร ดงั น้ี

๕.๑ การประชุมนัดแรก
เมื่อประธำนกรรมกำรได้รับเอกสำรท่ีเก่ียวข้อง (เอกสำรหลักฐำนเบื้องต้นและ
หลักฐำนกำรรับทรำบคำส่ังของผู้ถูกกล่ำวหำ) และคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับทรำบคำสั่งแล้ว
ตำมข้อ ๒๗ ได้กำหนดให้ประธำนกรรมกำรมีหน้ำที่นัดประชุมครั้งแรกภำยในเจ็ดวันเพ่ือกำหนด
ประเด็นและวำงแนวทำงกำรสอบสวน
โดยในกำรกำหนดประเด็นและวำงแนวทำงกำรสอบสวน คณะกรรมกำร
สอบสวนจะร่วมพิจำรณำว่ำจำกเรื่องท่ีกล่ำวหำตำมคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนและ
พยำนหลักฐำนที่ปรำกฏในเบื้องต้นน้ัน คณะกรรมกำรสอบสวนจะต้องดำเนินกำรรวบรวม
พยำนหลักฐำนใดและด้วยวิธีกำรใด นอกจำกนี้ยังอำจกำหนดกรอบระยะเวลำในกำรรวบรวม
พยำนหลักฐำนเพ่ือให้กำรสอบสวนเป็นไปอย่ำงรวดเร็วและอยู่ภำยในระยะเวลำที่กฎ ก .พ.
ฉบับนี้ กำหนดไว้
๕.๒ การรวบรวมพยานหลกั ฐาน
กำรรวบรวมพยำนหลักฐำนมีหลกั เกณฑ์ ดงั นี้

 ห้ำมบุคคลอ่นื อยูห่ รือร่วมทำกำรสอบสวน (ข้อ ๒๖)
 ให้สอบปำกคำผูถ้ กู กล่ำวหำหรอื พยำนครำวละ ๑ คน
 จำนวนกรรมกำรสอบสวนในกำรสอบปำกคำต้องไม่นอ้ ยกวำ่ ก่ึงหนงึ่ เว้นแต่
ในกรณีทีก่ งึ่ หน่ึงมำกกว่ำ ๓ คน ให้กรรมกำรสอบสวน ๓ คนทำกำรสอบปำกคำได้ (ข้อ ๓๐)
 กำรลงชื่อในบันทกึ ถ้อยคำ และกำรแกไ้ ขข้อควำม (ข้อ ๓๑)
 ห้ำมบคุ คลอืน่ อยู่ในทส่ี อบปำกคำ เวน้ แต่เพ่ือประโยชนต์ ่อกำรสอบสวนและ
ผูถ้ กู กลำ่ วมีสทิ ธนิ ำทนำยหรือทปี่ รกึ ษำเขำ้ ในรว่ มกำรสอบปำกคำ (ข้อ ๓๒)
 หำ้ มให้ทำคำมน่ั สัญญำ ขเู่ ข็ญ หลอกลวง บังคับ หรอื อื่นใดโดยไมช่ อบ เพื่อจูงใจ
ใหถ้ ้อยคำ (ขอ้ ๓๓)

 บันทกึ กำรไดม้ ำของพยำนเอกสำรหรือพยำนวตั ถุ (ข้อ ๓๔ วรรคหน่ึง)

 พยำนเอกสำรให้ใชต้ ้นฉบบั หรือสำเนำทร่ี บั รองโดยผู้มอี ำนำจหน้ำท่ีหรอื
กรรมกำรสอบสวน หำกไม่มตี ้นฉบับใหส้ บื จำกสำเนำหรือพยำนบุคคล (ขอ้ ๓๔ วรรค ๒,๓)

 พยำนบคุ คลท่ีไมม่ ำหรือไม่ยอมช้ีแจง คณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำ
ตัดพยำนได้ (ข้อ ๓๕)

 พยำนที่อำจทำให้กำรสอบสวนลำ่ ช้ำหรือไมจ่ ำเป็นต่อกำรสอบสวน
คณะกรรมกำรสอบสวนอำจพิจำรณำงดสอบสวนได้ (ขอ้ ๓๖)

 สอบสวนพยำนที่อยตู่ ่ำงท้องที่ ให้ประธำนกรรมกำรรอ้ งขอใหผ้ ้สู ่งั แตง่ ต้ัง
คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำเพอ่ื สง่ ประเดน็ (ข้อ ๓๗)

๕.๓ การแจ้งขอ้ กล่าวหาและสรปุ พยานหลกั ฐานทสี่ นับสนนุ ขอ้ กลา่ วหา
มำตรำ ๙๓ บัญญัติว่ำ “....ในกำรสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุป
พยำนหลกั ฐำนใหผ้ ถู้ ูกกลำ่ วหำทรำบ พร้อมท้ังรบั ฟงั คำช้ีแจงของผู้ถูกกล่ำวหำ ....” อันสอดคล้อง
กบั พระรำชบัญญตั ิวธิ ีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มำตรำ ๓๐ ท่ีคู่กรณีต้องมีโอกำส
รบั ทรำบข้อเท็จจรงิ ทีจ่ ะนำมำพิจำรณำเพื่อทำคำสัง่ ทำงปกครอง จำกข้อกฎหมำยดังกล่ำวจะเห็น
ได้ว่ำ “กำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำน” เป็นกระบวนที่เป็นสำระสำคัญ
ท่ีคณะกรรมกำรสอบสวนจะต้องดำเนินกำร ซ่ึงกฎ ก.พ. นี้ได้กำหนดไว้ในข้อ ๔๐ ข้อ ๔๑
และขอ้ ๔๓ โดยสำระสำคัญดงั นี้

๕.๔ การประชุมเพื่อพิจารณาเพอื่ ลงมติ (ข้อ ๓๘)
คณะกรรมกำรสอบสวนต้องจัดให้มีกำรประชุมเพ่ือพิจำรณำพยำนหลักฐำน
โดยหำกพยำนหลักฐำนรับฟังได้ว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัย ก็ให้แจ้งข้อกล่ำวหำและสรุป
พยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบ ท้ังน้ี องค์ประชุมต้องมีกรรมกำร
สอบสวนไม่น้อยกว่ำสำมคนและไมน่ ้อยกวำ่ ก่งึ หนง่ึ ของกรรมกำรสอบสวนทง้ั หมด
ในกรณที เ่ี หน็ ว่ำผู้ถกู กล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย ก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนทำ
รำยงำนกำรสอบสวนตำมข้อ ๕๔ เสนอต่อผู้ส่งั แต่งต้งั คณะกรรมกำรสอบสวนต่อไป

๕.๕ บันทกึ การแจง้ ข้อกลา่ วหาและสรุปพยานหลกั ฐานท่ีสนับสนุนขอ้ กล่าวหา
(ข้อ ๔๐)

เม่ือคณะกรรมกำรสอบสวนได้พิจำรณำแล้วเห็นว่ำจำกพยำนหลักฐำนที่ได้
ดำเนินกำรรวบรวมมำนั้น ฟังได้ว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยตำมที่เรื่องท่ีกล่ำวหำ ก็ให้
คณะกรรมกำรสอบสวนจัดทำบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำน ที่สนับสนุน
ข้อกล่ำวหำ โดยสำนักงำน ก.พ. ได้กำหนดแบบบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำ (ดว.๕)
อนั มีสำระสำคญั ประกอบดว้ ย

 ระบุข้อเท็จจริงและพฤติกำรณ์ของผู้ถูกกล่ำวหำว่ำได้กระทำกำรใด เมื่อใด
อย่ำงไร เปน็ ควำมผิดวินัยในกรณีใด

 สรปุ พยำนหลักฐำนทส่ี นับสนนุ ข้อกล่ำวหำ โดยจะระบชุ อื่ พยำนดว้ ยหรือไม่ก็ได้

 แจ้งสิทธิของผู้ถูกกล่ำวหำท่ีจะให้ถ้อยคำหรือย่ืนคำชี้แจงแก้ข้อกล่ำวหำเป็น
หนังสือ สิทธิที่จะแสดงพยำนหลักฐำนหรือจะอ้ำงพยำนหลักฐำน เพ่ือขอให้เรียก
พยำนหลักฐำนนนั้ มำได้

โดยทำบันทึกเป็น ๒ ฉบับ เพือ่ เกบ็ ไวใ้ นสำนวนกำรสอบสวน ๑ ฉบับ และให้
ผูถ้ ูกกล่ำวหำ ๑ ฉบบั นอกจำกนี้ ในกำรแจง้ ข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุน
ข้อกล่ำวหำน้ัน กค็ วรจะมีกำรสอบถำมผถู้ ูกกล่ำวหำวำ่ จะยอมรบั สำรภำพว่ำกระทำผิดตำมที่
ปรำกฏพยำนหลักฐำนหรือไม่ หำกรับสำรภำพคณะกรรมกำรสอบสวนจะพิจำรณำลงมติ
เพ่ือทำรำยงำนกำรสอบสวนก็ได้ แต่หำกผู้ถูกกล่ำวหำไม่รับสำรภำพก็จะต้องแจ้งวิธีกำร
ชี้แจงแกข้ ้อกล่ำวหำให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบด้วย

๕.๖ วธิ ีการแจ้งข้อกลา่ วหาและสรปุ พยานหลักฐานท่ีสนบั สนุนข้อกล่าวหา
- แจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบโดยตรงตำมข้อ ๔๑ คือ ให้คณะกรรมกำร
สอบสวนเรียกผู้ถูกกล่ำวหำมำเพ่ือรับทรำบข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุน
ข้อกล่ำวหำ โดยกำหนดวนั เวลำ และสถำนทเี่ พ่ือแจ้งให้ผูถ้ ูกกล่ำวหำทรำบ

ใ น ก ร ณี ท่ี ผู้ ถู ก ก ล่ ำ ว ห ำ ม ำ เ พ่ื อ รั บ ท ร ำ บ ข้ อ ก ล่ ำ ว ห ำ แ ล ะ ส รุ ป
พยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ ก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนแจ้งข้อกล่ำวหำนั้น

แล้วจึงให้ผู้ถูกกล่ำวหำลงลำยมือชื่อในบันทึกท้ัง ๒ ฉบับ เพื่อเป็นหลักฐำน แต่หำกผู้ถูก
กล่ำวหำรับทรำบข้อกล่ำวหำแล้วแต่ไม่ยอมลงลำยมือชื่อก็ให้คณะกรรมกำรสอบสวนบันทึก
เหตดุ ังกลำ่ วไว้ และถือว่ำผู้ถูกกล่ำวหำได้ทรำบข้อกล่ำวหำแล้ว จำกนั้นจึงส่งบันทึกกำรแจ้ง
ขอ้ กล่ำวหำ ๑ ฉบับไปทำงไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยู่อำศัยท่ีปรำกฏตำมหลักฐำน
ของทำงรำชกำรของผูถ้ ูกกลำ่ วหำ

- แจ้งให้ผู้ถูกกล่ำวหำทรำบโดยไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ตำมข้อ ๔๓ จะใช้สำหรับในกรณีท่ีผู้ถูกกล่ำวหำไม่มำตำมวัน เวลำ และสถำนท่ีที่
คณะกรรมกำรสอบสวนเรียก ก็ให้ส่งบันทึกกำรแจ้งข้อกล่ำวกล่ำวหำจำนวน ๑ ฉบับ
ไปทำงไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยู่อำศัยที่ปรำกฏตำมหลักฐำนของทำงรำชกำร
ของผูถ้ กู กลำ่ วหำ เม่ือลว่ งพ้น ๑๕ วันนับแต่วันที่ได้ดำเนินกำรดังกล่ำว ให้ถือว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
ไดท้ รำบขอ้ กลำ่ วหำแล้ว

๕.๗ สรุปกระบวนการแจง้ ข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน

๕.๘ การให้โอกาสผูถ้ กู กล่าวหาชแี้ จงแก้ขอ้ กลา่ วหา
กำรให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำชี้แจงแก้ข้อกล่ำวหำนั้น เป็นกระบวนกำร

สืบเนื่องมำจำกกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนที่สนับสนุนข้อกล่ำวหำท่ีกฎหมำย
กำหนดให้ต้องเปิดโอกำสให้ผู้ถูกกล่ำวหำได้ช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำ ตลอดจนให้สิทธิในกำรนำสืบ
หรืออ้ำงพยำนหลักฐำนต่ำงๆ เพื่อหักล้ำงพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำได้ โดยข้อ ๔๒
และข้อ ๔๓ ได้กำหนดให้คณะกรรมกำรสอบสวนต้องทำกำรกำหนดวัน เวลำ สถำนที่ และ
วิธีกำรชีแ้ จงให้ผู้ถกู กลำ่ วหำทรำบ

ในกรณีท่ีไม่สำมำรถชี้แจงได้ภำยในกำหนดระยะเวลำดังกล่ำวผู้ถูกกล่ำวหำ
อำจขอให้คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำกำหนดใหม่ก็ได้ตำมข้อ ๔๔ ท้ังนี้ ผู้ถูกกล่ำวหำ
ต้องร้องขอก่อนครบกำหนดระยะเวลำ

สำหรับในกรณีท่ีผู้ถูกกล่ำวหำไม่ช้ีแจงภำยในระยะเวลำท่ีกำหนด ก็ให้ถือว่ำ
ผูถ้ กู กลำ่ วหำไมป่ ระสงคจ์ ะชแ้ี จงแก้ข้อกล่ำวหำ ทั้งน้ี เว้นแต่คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำ
เหน็ สมควรให้โอกำสช้แี จงเพอ่ื ประโยชน์แห่งควำมเป็นธรรมตำมขอ้ ๔๗

ท้งั นี้ ผู้ถกู กล่ำวหำอำจจะช้ีแจงด้วยวำจำ เป็นหนังสือ หรือวิธีกำรอื่นใดเพื่อให้
เกิดควำมเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่ำวหำ โดยผู้ถูกกล่ำวหำอำจกล่ำวอ้ำงพยำนหลักฐำนเพื่อให้
คณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรรวบรวมมำเพื่อประกอบกำรพจิ ำรณำก็ได้

๕.๙ การทารายงานการสอบสวน (ข้อ ๕๒ และขอ้ ๕๓)
เมื่อคณะกรรมกำรสอบสวนได้ดำเนินกำรสอบสวนโดยรวบรวมพยำนหลักฐำน
และรับฟังคำช้ีแจงแก้ข้อกล่ำวหำของผู้ถูกกล่ำวหำเสร็จส้ินแล้ว คณะกรรมกำรสอบสวน
จะต้องทำกำรประชุมเพ่ือพิจำรณำท้ังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมำยให้ครบทุกข้อกล่ำวหำและ
ทกุ ประเด็นเพื่อพิจำรณำและมมี ติว่ำผถู้ กู กล่ำวหำกระทำผิดตำมข้อกล่ำวหำหรือไม่ หำกเป็น
ควำมผิดวินัยจะเป็นควำมผิดวินัยตำมบทบัญญัติใด และควรได้รับโทษสถำนใด จำกนั้น
จึงจัดทำรำยงำนกำรสอบสวนเพื่อเสนอผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำต่อไป
ทั้งน้ี องค์ประชุมในกำรพิจำรณำกรณีน้ีต้องไม่น้อยกว่ำสำมคนและไม่น้อยกว่ำกึ่งหนึ่งของ
กรรมกำรสอบสวนทัง้ หมด

รายงานการสอบสวน สำนักงำน ก.พ. ได้กำหนดแบบรำยงำน
กำรสอบสวน (ดว.๖) โดยต้องมีสำระสำคญั ดงั น้ี

๑. สรปุ ขอ้ เทจ็ จริงและพยำนหลกั ฐำน
๒. วินิจฉยั เปรียบเทียบพยำนหลักฐำน
๓. ควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวน
ทั้งน้ี ในรำยงำนกำรสอบสวน กรรมกำรสอบสวนต้องลงลำยมือชื่อทุกคน
เว้นแต่มีเหตุควำมจำเป็นก็ให้ประธำนกรรมกำรบันทึกเหตุน้ันไว้ และสำหรับในกรณีท่ี
กรรมกำรใดมีควำมเห็นแย้งก็ให้ระบุควำมเห็นนั้นไว้ในรำยงำนกำรสอบสวนด้วย
ซง่ึ ควำมเหน็ โดยละเอียดจะทำเป็นบันทกึ แนบท้ำยรำยงำนกำรสอบสวนกไ็ ด้
๕.๑๐ ระยะเวลาในการสอบสวน (ขอ้ ๕๔)
กฎ ก.พ. ฉบับนี้ ได้กำหนดระยะเวลำกำรสอบสวนโดยเร่งรัดให้กำรสอบสวน
แล้วเสร็จภำยใน ๑๒๐ วันนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมกำรสอบสวนได้ประชุมคร้ังแรกตำม
ข้อ ๒๗ และขยำยได้ไม่เกินครั้งละ ๖๐ วัน โดยในแต่ละขั้นตอนกำรดำเนินกำร
ของคณะกรรมกำรสอบสวนจะไม่มีกำรกำหนดระยะเวลำไว้ เพ่ือให้คณะกรรมกำรสอบสวน
สำมำรถวำงกรอบระยะเวลำได้ตำมควำมเหมำะสม
ในกรณีท่ีกำรสอบสวนไม่แล้วเสร็จได้ภำยใน ๑๘๐ วัน ก็ให้ผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนรำยงำนไปยงั อ.ก.พ. กระทรวงที่ผู้ถูกกล่ำวหำสังกัดอยู่เพ่ือเร่งรัดกำร
สอบสวนใหแ้ ล้วเสรจ็ โดยเร็ว

๖. การพจิ ารณาของผู้สัง่ แตง่ ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน
เม่ือผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนได้รับรำยงำนกำรสอบสวนแล้ว ก็ให้
ดำเนนิ กำรตำมข้อ ๕๕ และข้อ ๕๖ ดงั น้ี
- ผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำกำรสอบสวนยังไม่ถูกต้องหรือไม่
ครบถว้ น ก็ใหส้ ่ังหรือดำเนนิ กำรดงั ต่อไปนี้

(๑) ในกรณีท่ีเห็นว่ำยังไม่มีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำหรือกำรแจ้ง
ข้อกล่ำวหำยังไมค่ รบถว้ น ใหส้ ่ังใหค้ ณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรแจง้ ข้อกล่ำวหำหรือแจ้ง
ข้อกล่ำวหำให้ครบถว้ นโดยเรว็

(๒) ในกรณีท่ีเห็นว่ำควรรวบรวมข้อเท็จจริงหรือพยำน
หลักฐำนเพิ่มเติม ให้กำหนดประเด็นหรือข้อสำคัญที่ต้องกำรให้คณะกรรมกำรสอบสวนทำ
กำรสอบสวนเพ่ิมเตมิ โดยไม่ต้องทำควำมเห็น

(๓) ในกรณีที่เห็นว่ำกำรดำเนินกำรใดไม่ถูกต้อง ให้ส่ังให้
คณะกรรมกำรสอบสวนดำเนนิ กำรใหถ้ ูกตอ้ งโดยเรว็

- ผ้สู งั่ แต่งตงั้ คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำกำรสอบสวนถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ใหพ้ ิจำรณำมีควำมเห็นเพือ่ สงั่ หรือดำเนินกำร ดงั ต่อไปนี้

(๑) ในกรณีท่ีคณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้
กระทำผิดวินัย หรือกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง ถ้ำผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวน
เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรง หรือไม่ได้กระทำผิดวินัย ให้ผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำท่ีต่อไป แต่ถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผดิ วินัยอย่ำงร้ำยแรงกใ็ ห้ดำเนินกำรตำม (๒)

(๒) ในกรณีที่คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนพิจำรณำว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงหรือไม่ และไม่ว่ำผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมกำรสอบสวนจะเห็นด้วย
กับควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวนหรือไม่ก็ตำม ให้ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุ

ตำมมำตรำ ๕๗ สง่ เร่อื งให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง ซ่ึงผู้ถูกกล่ำวหำ
สังกัดอยู่ตำมท่ีกำหนดในข้อ ๕๘ แลว้ แตก่ รณี เพอ่ื พิจำรณำต่อไป

(๓) ในกรณีที่คณะกรรมกำรสอบสวนเห็นว่ำผลกำรสอบสวน
ยังไม่ไดค้ วำมแน่ชดั พอทจี่ ะลงโทษเพรำะกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง แต่เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
หย่อนควำมสำมำรถในอันที่จะปฏิบัติหน้ำท่ีรำชกำร บกพร่องในหน้ำท่ีรำชกำร ประพฤติตน
ไมเ่ หมำะสมกบั ตำแหนง่ หน้ำท่รี ำชกำร หรอื มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน ถ้ำให้
ผู้น้ันรับรำชกำรต่อไปจะเป็นกำรเสียหำยแก่รำชกำร ถ้ำผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน
เห็นด้วยกับควำมเห็นของคณะกรรมกำรสอบสวนให้พิจำรณำดำเนินกำรตำมมำตรำ ๑๑๐
(๖) หรือ (๗) ต่อไป แต่ถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำไม่ได้กระทำผิดวินัย หรือกระทำผิดวินัย
อย่ำงไม่ร้ำยแรง ให้พิจำรณำดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำท่ีต่อไป และถ้ำเห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำ
กระทำผดิ วนิ ัยอย่ำงรำ้ ยแรงก็ให้ดำเนนิ กำรตำม (๒)

๗. การส่งเรื่องให้ อ.ก.พ.สามัญ
ในกรณีท่คี ณะกรรมกำรสอบสวนหรือผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวน

เห็นว่ำผู้ถูกกล่ำวหำกระทำผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรง ให้ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. สำมัญ พิจำรณำตำม
ข้อ ๕๘ ดังนี้

ขอ้ สังกดั ของ ผู้สั่งแต่งต้ัง อ.ก.พ. สามัญ
ผถู้ กู กล่าวหา คณะกรรมการสอบสวน อ.ก.พ. จงั หวัด

๕๘ (๑) ตาแหนง่ ตาม ม.๕๗ (๑๑) ผูว้ ่าราชการจังหวดั

และสงั กดั ราชการบริหารส่วนภมู ภิ าค

๕๘ (๒) ตาแหน่งตาม ม.๕๗ (๖) (๙) (๑๐) - อธบิ ดี (ปลดั กระทรวงในฐานะอธิบดี) อ.ก.พ. กรม
และสังกดั ราชการบริหาร - หัวหน้าส่วนราชการระดบั กรมท่ีอยูใ่ นบงั คบั
สว่ นภมู ภิ าคหรือส่วนกลาง บัญชา/ขนึ้ ตรงต่อนายกรัฐมนตรหี รอื รัฐมนตรี

๕๘ (๓) ตาแหน่งตาม ม.๕๗ ( ๑) (๒) (๓) - นายกรัฐมนตรี อ.ก.พ. กระทรวง
(๕) (๗) (๘) และสังกดั ราชการ
บริหารสว่ นภมู ิภาคหรอื ส่วนกลาง - รัฐมนตรี

- ปลัดกระทรวง

- หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่ในบงั คบั
บัญชา/ข้นึ ตรงต่อนายกรฐั มนตรีหรอื รฐั มนตรี

ท้ังน้ี เมื่อ อ.ก.พ. สำมัญพิจำรณำมีมติเป็นประกำรใดให้ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมี
อำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตำมน้ัน โดยมีอำนำจที่จะลงมติ

ให้ลงโทษทำงวินัยได้ทุกสถำนโทษ ตลอดจนแก้ไขกระบวนกำรสอบสวนหรือให้สอบสวน
เพมิ่ เตมิ ได้ดว้ ย

หมวด ๕
กรณคี วามผิดทีป่ รากฏชดั แจง้

กรณีความผิดทป่ี รากฏชัดแจ้ง
กำรที่ข้ำรำชกำรกระทำผิดวินัยในกรณีท่ีเป็นควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้ง

ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ อำจใช้ดุลพินิจดำเนินกำรทำงวินัย
โดยไม่ต้องสอบสวนหรือหำกอยู่ระหว่ำงกำรสอบสวนอำจงดกำรสอบสวนก็ได้ ซึ่งกรณี
ควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้งตำมกฎ ก.พ. ฉบับน้ี มีบำงส่วนท่ีแตกต่ำงไปจำกกฎ ก.พ.
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วำ่ ด้วยควำมผิดทป่ี รำกฏชดั แจง้ ดังน้ี

ในกำรกระทำควำมผดิ วนิ ัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงคงไวเ้ ฉพำะกรณีที่ผถู้ กู กล่ำวหำได้รับ
สำรภำพต่อผทู้ ก่ี ฎนี้กำหนด เทำ่ น้นั แตส่ ำหรับกรณีกระทำควำมผิดอำญำจนต้องคำพิพำกษำ
ถึงท่สี ดุ ว่ำผนู้ ้ันกระทำควำมผดิ และผู้บังคับบัญชำเห็นว่ำข้อเท็จจริงท่ีปรำกฏตำมคำพิพำกษำน้ัน
ได้ควำมประจักษ์ชัดแล้ว ได้ถูกตัดออก โดยให้ผู้บังคับบัญชำไปดำเนินกำรสอบสวนตำมปกติ
ทง้ั นี้ เพรำะต้องกำรใหโ้ อกำสผ้ถู กู กล่ำวหำโต้แย้งและแสดงพยำนหลักฐำนของตนอย่ำงเต็มท่ี
ในกรณีท่ีเกิดขึ้น อันเป็นไปตำมพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง มำตรำ ๓๐
ที่บัญญัติว่ำ “ในกรณีท่ีคำส่ังทำงปกครองอำจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้ำหน้ำท่ีต้องให้
คู่กรณีมีโอกำสที่จะได้ทรำบข้อเท็จจริงอย่ำงเพียงพอและมีโอกำสโต้แย้งและแสดง
พยำนหลักฐำนของตน”

สำหรับกำรกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงกรณีละทิ้งหน้ำที่รำชกำรติดต่อ
ในครำวเดียวกันเปน็ เวลำเกินกว่ำสิบห้ำวันนั้นได้กำหนดให้เป็นกรณีควำมผิดท่ีปรำกฏชัดแจ้ง
เฉพำะไม่กลับมำปฏิบัติหน้ำที่รำชกำรอีกเลย ถ้ำหำกผู้ถูกกล่ำวหำได้กลับมำปฏิบัติหน้ำที่
อีกจะต้องดำเนินกำรสอบสวนตำมปกติ ท้ังน้ี เพื่อให้โอกำสผู้ถูกกล่ำวหำได้โต้แย้งและแสดง
พยำนหลกั ฐำนของตนอย่ำงเตม็ ทีน่ ่นั เอง

สาระสาคัญ
กรณคี วามผดิ ทป่ี รากฏชดั แจ้ง แบ่งออกเปน็ ๒ กรณี ได้แก่
๑. กรณีความผิดวินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง (ขอ้ ๖๔)
ข้ำรำชกำรท่ีกระทำผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงและได้รับสำรภำพเป็นหนังสือ

ต่อผู้บังคับบัญชำหรือให้ถ้อยคำรับสำรภำพและมีกำรบันทึกถ้อยคำรับสำรภำพเป็นหนังสือ
หรือมีหนังสือรับสำรภำพต่อผู้มีหน้ำที่สืบสวนสอบสวน หรือคณะกรรมกำรสอบสวน
ตำม กฎ ก.พ. น้ี ซ่ึงกำรรับสำรภำพน้ัน ต้องรับโดยส้ินเชิงไม่มีกำรยกข้อต่อสู้เป็นประเด็นใหม่
ขึ้นมำ ถือว่ำเป็นกรณีควำมผิดที่ปรำกฏชัดแจ้ง จึงเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจ
ส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ ที่จะพิจำรณำให้ดำเนินกำรทำงวินัยโดยไม่ต้องทำกำรสอบสวน
ซ่ึงถ้ำเห็นว่ำกำรรับสำรภำพในกรณีดังกล่ำวเพียงพอจะวินิจฉัยได้ว่ำกำรกระทำน้ัน
เป็นควำมผิดวินัยอย่ำงไม่ร้ำยแรงตำมข้อกล่ำวหำ หรือหำกในระหว่ำงกำรสอบสวนทำงวินัย
ผู้ถูกกล่ำวหำได้รับสำรภำพต่อผู้มีหน้ำท่ีสอบสวนหรือต่อคณะกรรมกำรสอบสว น
ผู้บังคับบัญชำซ่ึงมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ อำจพิจำรณำให้งดกำรสอบสวนน้ันก็ได้
โดยไม่ต้องมีกำรแจ้งข้อกล่ำวหำและสรุปพยำนหลักฐำนท่ีสนับสนุนข้อกล่ำวหำ ตลอดจนรับฟัง
คำชแ้ี จงแก้ขอ้ กลำ่ วหำ ของผถู้ กู กลำ่ วหำ

๒. กรณีความผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง (ข้อ ๖๕)
กรณีกระทำผดิ วนิ ยั อยำ่ งรำ้ ยแรงท่ีเปน็ กรณคี วำมผดิ ที่ปรำกฏชัดแจ้ง มี ๓ กรณี
ผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจสั่งบรรจุตำมมำตรำ ๕๗ หรือผู้มีอำนำจตำมมำตรำ ๙๔ ในกรณี
ข้ำรำชกำรพลเรือนสำมัญตำแหน่งต่ำงกัน หรือต่ำงกรม หรือต่ำงกระทรวงกันถูกกล่ำวหำว่ำ
กระทำผิดวินัยร่วมกันทำให้มีผู้มีอำนำจสั่งบรรจุแต่งตั้งที่ต่ำงกัน จะดำเนินกำรทำงวินัย
โดยไมต่ ้องสอบสวนหรืองดกำรสอบสวนก็ได้ ได้แก่
(๑) กรณีละทิ้งหน้ำท่ีรำชกำรติดต่อในครำวเดียวกันเป็นเวลำเกินกว่ำสิบห้ำวัน
โดยไม่กลับมำปฏบิ ตั ิหน้ำที่รำชกำรอีกเลย และผู้บังคับบัญชำซึ่งมีอำนำจส่ังบรรจุตำมมำตรำ ๕๗
ได้ดำเนินกำรหรือส่ังให้ดำเนินกำรสืบสวนแล้วเห็นว่ำไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติกำรณ์
อันแสดงถึงควำมจงใจไมป่ ฏิบัตติ ำมระเบยี บของทำงรำชกำร

(๒) กรณีกระทำควำมผดิ อำญำจนไดร้ บั โทษจำคกุ หรือโทษที่หนักกว่ำโทษจำคุก
โดยคำพิพำกษำถึงท่ีสุดให้จำคุก โดยต้องถูกจำคุกจริง ๆ ไม่ใช่รอกำรลงโทษหรือรอ
กำรกำหนดโทษ หรือได้รับโทษที่หนักกว่ำจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับควำมผิดท่ีได้กระทำ
โดยประมำท หรอื ควำมผดิ ลหุโทษ

(๓) กรณีกระทำควำมผิดวินัยอย่ำงร้ำยแรงและได้รับสำรภำพเป็นหนังสือ
ต่อผู้บังคับบัญชำ หรือให้ถ้อยคำรับสำรภำพและมีกำรบันทึกไว้เป็นหนังสือต่อผู้มีหน้ำที่
สืบสวน ผู้มีหน้ำทสี่ อบสวน หรอื คณะกรรมกำรสอบสวนตำมกฎ ก.พ. น้ี


Click to View FlipBook Version