อธิบาย ขยายความรู้
การเขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน
๑. ความหมายของการเขียนย่อความ
การเขียนย่อความ คือ การจับใจความสำคัญของเรื่องที่ได้อ่าน ได้ฟังหรือได้ดู
แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ให้ได้ใจความครบถ้วน สั้น กระชับ ด้วยสำนวนภาษา
ของตัวเอง
๒. ประเภทของการย่อความ
การย่อความอาจแบ่งได้ ๒ แบบ ดังนี้
๑. แบ่งตามรูปแบบของบทความที่นำมาย่อ ได้ ๒ ประเภท คือ
๑.๑ การย่อบทความที่เป็นร้อยแก้ว
๑.๒ การย่อบทความที่เป็นร้อยกรอง
๒. แบ่งตามลักษณะของเนื้อเรื่องที่ย่อแล้วได้ ๒ ประเภท คือ
๒.๑ การย่อความอย่างธรรมดา คือ การย่อที่นำเอาเฉพาะเนื้อหา
ที่สำคัญหรือที่เรียกว่าใจความและพลความที่สำคัญที่เด่นในแต่ละย่อหน้ามาเรียบเรียง
ด้วยถ้อยคำสำนวนของผู้ย่อเอง
๓. ส่วนประกอบของการย่อความ
ย่อความมีส่วนประกอบสำคัญ๒ ส่วน คือ
๑. ตอนนำเรื่อง หรือส่วนนำของการย่อความ
๒. ใจความที่ย่อแล้ว
ฉะนั้นในการย่อความจึงมักมี ๒ ย่อหน้า ดังนี้
ย่อหน้าที่ ๑ ส่วนนำของการย่อความ
ย่อหน้าที่ ๒ ใจความสำคัญ
๔๕
๔. วิธีการย่อความส่วนที่เป็นเนื้อหา
๑. อ่านบทความที่จะย่อทั้งเรื่องให้เข้าใจโดยตลอด
๒. พยายามจับความคิดของผู้เขียนว่า ต้องการเสนอเรื่องใดเป็นสำคัญ
๓. จับใจความสำคัญของเรื่องให้ได้ โดยตั้งคำถามไว้ในใจ ดังนี้
“เรื่องอะไร เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร บังเกิดผลเป็นเช่นใด”
หรือ
“เรื่องอะไร มีใคร หรืออะไร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร บังเกิดผลเช่นใด”
หรือ
“เรื่องอะไร มีใคร ทำอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร บังเกิดผลเช่นใด”
๔. นำใจความทั้งหมดที่จับได้มาเรียบเรียงใหม่
๕. หลักในการย่อความ
๑. เรียบเรียงใหม่โดยใช้สำนวนภาษาของผู้ย่อเอง
๒. คำที่ยากและยาวให้เปลี่ยนใช้คำธรรมดาที่เข้าใจง่าย
๓. ให้เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓ โดยอาจ
จะเอ่ยชื่อแทนสรรพนามบุรุษที่ ๓
๔. ถ้าเป็นบทสนทนาต้องเปลี่ยนเป็นแบบเรื่องเล่า และไม่ควรมีเครื่องหมาย
คำพูด หรือเครื่องหมายใดๆ
๕. ถ้าเป็นร้อยกรองต้องเปลี่ยนเป็นภาษาธรรมดา
๔๖
๖. ย่อจดหมายต้องใช้ข้อความบอกเล่า โดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ ทั้งหมด
๗. ถ้ามีคำราชาศัพท์และใจความสำคัญ ต้องใช้ราชาศัพท์ให้คงราชาศัพท์
นั้นไว้
๘. เนื้อความที่ย่อแล้วไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับของเรื่องเดิม แต่ให้คำนึงถึง
การที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายที่สุด และได้ใจความดีที่สุด
๙. ไม่มีชื่อเรื่องต้องตั้งชื่อเรื่องด้วย โดยชื่อเรื่องต้องมีลักษณะ ดังนี้
๙.๑ ใช้ความสำคัญเป็นชื่อเรื่อง
๙.๒ ชื่อเรื่องต้องกะทัดรัด และคลุมใจความสำคัญทั้งหมด
๑๐. เขียนให้ถูกต้องตามแบบของการย่อความ ดังนี้
๑๐.๑ ใช้แบบขึ้นต้นคำนำตามประเภทของเรื่องที่จะย่อเขียนนำเป็น
ย่อหน้าแรก
๑๐.๒ เขียนข้อความที่ย่อแล้วในย่อหน้าต่อไป ส่วนใหญ่ใจความที่ย่อแล้ว
จะเหลือเพียงย่อหน้าเดียว เว้นแต่ข้อความเดิมเป็นเรื่องต่างกัน แยกกันเป็นตอน ๆ
อยู่แล้ว
๔๗
๖. รูปแบบคำนำการย่อความ
๑. ย่อความจากบทร้อยกรอง บอกประเภทของคำประพันธ์ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง
ที่มาของเรื่อง(หนังสืออะไร หน้าที่เท่าใด)
ย่อความ.............................(กลอน กาพย์ โคลง ร่าย ฉันท์)
เรื่อง............................................ของ................................ตอน............................
จาก.............................หน้า..................ความว่า....................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๒. ย่อความจากบทร้อยแก้ว บอกประเภทของความเรียงร้อยแก้ว ชื่อเรื่อง
ผู้แต่ง จากหนังสืออะไร หน้าที่เท่าใด
ย่อความ(บทความ สารคดี นิทาน นิยาย อื่นๆ)
เรื่อง.............................................................ของ..................................................
จาก............................................หน้า...............................ความว่า........................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๔๘
๓. ย่อความจากประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์ ระเบียบคำสั่ง กำหนดการ
บอกชื่อประเภทของประกาศ เรื่องอะไร ของใคร วันเดือนปีที่ออก
ย่อความ(ประกาศ แถลงการณ์ ระเบียบคำสั่ง กำหนดการณ์)
เรื่อง.....................................ของ....................................ลงวันที่...........................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๔. ย่อความจากพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท โอวาท คำปราศรัย
ระบุว่าเป็นประเภทใดของใคร แสดงแก่ใคร เรื่องอะไร ในโอกาสใด แสดง ณ
สถานที่ใด เมื่อใด
ย่อความ(พระบรมราโชวาท โอวาท ปาฐกถา คำปราศรัย)
ของ............................พระราชทานแก่...........................เรื่อง.................................
ในโอกาส....................................ณ.............................เมื่อวันที่..............................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๔๙
๕. ย่อความที่เป็นจดหมาย ระบุว่าเป็นจดหมาย ของใคร ถึงใคร เรื่องอะไร
ลงวันที่เท่าไร
ย่อจดหมายของ...............................................ถึง..................................................
เรื่อง........................................................ลงวันที่..................................................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๖. ย่อความจากหนังสือราชการ ระบุว่าเป็นหนังสือราชการ ของใคร ถึงใคร
เรื่องอะไร เลขที่เท่าไร ลงวันที่เท่าไร
ย่อความหนังสือราชการของ............................................ถึง...................................
เรื่อง........................................เลขที่.......................ลงวันที่...................................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๕๐
กิจกรรมที่ ๔ ลายมือ...สื่อรัก
คำสั่ง : ให้นักเรียนอ่าน " ประวัติความเป็นมาของประเพณีไหว้พระจันทร์
ในตำบลทุ่งยาว จังหวัดตรัง " เเล้วเขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน
(คัดลายมือบรรจงเต็มบรรทัด)
ประวัติความเป็นมาของประเพณีไหว้พระจันทร์
ประเพณี "ไหว้พระจันทร์” หรือเรียกเป็นภาษาจีนว่า "ตงชิวโจ่ย”
เป็นงานเทศกาลอันเก่าแก่ที่ชาวทุ่งยาว อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังซึ่งเป็นชาวไทย
เชื้อสาย "จีนแต้จิ๋ว” ได้ถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี ซึ่งจะตรงกับ
"วันเพ็ญเดือนแปด” ตามปฏิทินของจีน
ชาวตำบลทุ่งยาวพร้อมใจกันจัดโต๊ะไหว้พระจันทร์ ไว้หน้าบ้านเรือนของตนเอง
หรือเรียงรายตลอดสองข้างถนนรอบ "ตลาดเทศบาลตำบลทุ่งยาว” อันถือเป็นภาพที่
สวยงามและมีมนต์เสน่ห์ จนถือได้ว่าเป็นชุมชนเพียงแห่งเดียวของประเทศไทยใน
ขณะนี้ที่ยังคงยึดถือธรรมเนียมดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ชาวทุ่งยาวอีกส่วนหนึ่งยังแต่งกายด้วย "ชุดกี่เผ้า” แบบโบราณ
(ภาษาจีนกลางเรียก ฉีเผา) โดยเป็นชุดของสตรีแมนจู ในสมัยราชวงศ์ชิง
(ค.ศ.๑๖๔๔ - ๑๙๑๑) ซึ่งขณะนั้นปกครองแบบ ๘ แว่นแคว้น หรือเรียกกันว่า
"ปาฉี” ส่วนเสื้อผ้าที่มีลักษณะเป็นชุดยาวตลอดลำตัวเรียกกันว่า "เผา” จึงเป็นที่มา
ของ ”ชุดฉีเผา”หรือ "กี่เผ้า” อันสวยงาม ซึ่งก็ยิ่งทำให้บรรยากาศของงาน เต็มไป
ด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมแบบจีนๆ มากยิ่งขึ้น
๕๑
ประวัติความเป็นมาของประเพณีไหว้พระจันทร์
ย่อ....................................เรื่อง...........................................................................
ของ........................................ จาก......................................................................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๕๒
ให้นักเรียนอ่าน "ตำนานฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์" ในตำบลทุ่งยาว
จังหวัดตรัง " เเล้วเขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน
(คัดลายมือบรรจงครึ่งบรรทัด)
"ตำนานฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์"
ตำนานฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์ มีต้นกำเนิดจากการบูชาดวงดาวและพระจันทร์ในสมัย
โบราณ ตามตำนานว่าเรื่องราวของฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์เป็นนิทานที่บอกเล่ากันปากต่อปาก
เกี่ยวโลกในสมัยโบราณกาลที่มีดวงอาทิตย์อยู่ถึงสิบดวง ทำให้โลกมนุษย์เกิดภัยพิบัติไปทั่ว
แผ่นดินร้อนระอุ น้ำเหือดแห้ง ผู้คนไม่มีที่หลบซ่อนอาศัย ต่อมาได้ปรากฏวีรบุรุษนามว่า...
โฮ่วอี้ เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้แม่นยำอย่างมาก โดยสามารถยิงธนูขึ้นสู่ฟ้าเพียง
ดอกเดียวถูกดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ทำให้เหลือดวงอาทิตย์อยู่เพียงดวงเดียวเป็นการขจัด
ความทุกข์ให้กับประชาชนทั่วไปจึงได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์
เมื่อโฮ่วอี้ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ลุแก่อำนาจ ลุ่มหลงในสุรานารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ
ทำให้ราษฎรโกรธแค้นชิงชังเขา และคิดก่อการกบฏ เมื่อโฮ่วอี้รู้ตัวจึงได้เดินทางไปที่ภูเขา
คุนหลุนเพื่อขอยาอายุวัฒนะมาดื่มกิน แต่ ฉางเอ๋อผู้เป็นภรรยากลัวว่าถ้าสามีของนางมีอายุ
ยืนนานอาจจะนำพาเอาความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนเป็นแน่แท้
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจแอบขโมยยาอายุวัฒนะนั้นมากินเสียเอง เมื่อกินเข้าไปแล้วร่าง
ของฉางเอ๋อก็เบาหวิว และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ นับแต่นั้นมาบนดวงจันทร์ก็ปรากฏภาพ
เทพธิดาก็กลายเป็นตำนานฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์
๕๓
"ตำนานฉางเอ๋อสู่ดวงจันทร์"
ย่อ....................................เรื่อง...........................................................................
ของ........................................ จาก......................................................................
ความว่า................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๕๔
ให้นักเรียนคัดลายมือให้ถูกต้องตรงตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย
จากบทสวดไถ่อิมแชกุงเสี่ยเก็ง “ พระคัมภีร์แม่พระจันทร์ ”
(คัดลายมือบรรจงเต็มบรรทัด)
รูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย เเบบกระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. ภาษาไทย
สาระที่ควรรู้ คู่มือการเรียนการสอนภาษาไทย ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๓.
๕๕
"“พระคัมภีร์แม่พระจันทร์”"
ไถ่ อิม ผ่อ สัก เฮี่ยง ตัง ไล๊ โชย เต๊ง ตี่ เง็ก กิ๋ว เต่ง ไค
จับ บ่วง โป้ย โซย จู ผ่อ สัก จู ฮุก ผ่อ สัก เหลียง เปียง ไป๊
จู จุง ฮุก เก่ง บ่อ ฮุ๊ง ตี่ ฉุก จุ้ย โน๊ย ฮวย หมั๋ว ตี่ ไค
ท้าว ตั่ว ฉีก จั๊ง จู ป้อ ถะ พั๊ว ซอ สี่ ไก่ งั้ง กวง เม็ง
เจก ฮุก ป่อ ตับ ที ตี่ อึง หยี่ ฮุกป่อ ตับ แป๋ บ้อ อึง
ต่อ แซ แป่ บ้อ เจ็ง ฮก ซิ่ว ก่วย สี่ แป่ บ้อ จ๋า เถี่ยว แซ
นำ มอ ฮุก นำ มอ หวบ นำ มอ ออ นี ถ่อ ฮุก
ที ล๊อ ซี๊ง ตี่ หล่อ ซี๊ง นั๊ง หลี่ หลั่ง หลั่ง หลี่ ซิง
เจก เฉียก ใจ เอียง ฮ่วย อุ่ย ติ๊ง อู่ หนั่ง เนี่ยม ติ๊ก ฉีก เพียง ไถ่ อิม เก็ง
แซ ซี่ ปุก ตะ ตี่ เง็ก มึ๊ง
(บทสวดไถ่อิมแชกุงเสี่ยเก็ง “พระคัมภีร์แม่พระจันทร์”)
๕๖
"“พระคัมภีร์แม่พระจันทร์”"
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
...........................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๕๗
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๑. ข้อใดกล่าวถึงหลักการคัดลายมือไม่ถูกต้อง
๑. นั่งตัวตรง สายตาอยู่ห่างจากกระดาษที่เขียน ๑ ฟุต
๒. เขียนตัวอักษรแบบเอียงหรือตั้งตรงก็ได้
๓. เว้นวรรคตอนหรือช่องไฟให้เท่า ๆ กัน
๔. การเขียนพยัญชนะที่มีหัวให้เริ่มเขียนจากหัวพยัญชนะก่อนเสมอ
๒. การคัดลายมือ มีจุดประสงค์ตรงกับข้อใด
๑. เพื่อประกวดการคัดลายมือ
๒. เพื่อฝึกสมาธิในการเขียนตัวอักษรไทย
๓. เพื่อฝึกการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
๔. เพื่อให้มีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์อักษรไทย
๓. การคัดลายมือเป็นการฝึกทักษะทางด้านใดมากที่สุด
๑. ทักษะด้านความพยายาม
๒. ทักษะด้านความสวยงาม
๓. ทักษะการสร้างสรรค์
๔. ทักษะด้านสมาธิ
๔. การคัดลายมือแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท
๑. ๒ ประเภท
๒. ๓ ประเภท
๓. ๔ ประเภท
๔. ๕ ประเภท
๕๘
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๕. ข้อใดคือความสำคัญของการคัดลายมือ
๑. แก้วตาสามารถฟังเรื่องต่างๆได้ดีขึ้น
๒. สมศรีเขียนสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ
๓. ทองคำพูดได้ถูกกาลเทศะ
๔. ดวงใจอ่านหนังสือได้คล่องขึ้น
๖. บุคคลใดมีส่วนช่วยรณรงค์เรื่องการคัดลายมือได้เหมาะสมที่สุด
๑. วิชาเขียนคำขวัญรณรงค์เรื่องการคัดลายมือ
๒. ขวัญใจพูดเชิญชวนเรื่องการคัดลายมือทางสถานีวิทยุ
๓. ดนัยคัดลายมือด้วยตัวบรรจงเป็นประจำ
๔. วันชัยพูดโน้มน้าวใจให้เพื่อนเห็นความสำคัญของการคัดลายมือ
๗. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะการคัดลายมือที่ถูกต้อง
๑. การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด
๒. การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด
๓. การคัดลายมือหวัดแกมบรรจง
๔. การคัดลายมือหวัดแกมประณีต
๘. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการคัดลายมือ
๑. ทำงานเป็นระเบียบ
๒. เขียนหนังสือสวยงาม
๓. ปลูกฝังการมีระเบียบวินัยให้ตนเอง
๔. ใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ
๕๙
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๙. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของตัวอักษรบรรจง
๑. ตัวอักษรไม่บอด
๒. มีขนาดเป็นมาตรฐานเดียว
๓. ตัวอักษรสัมผัสเส้นบรรทัดบนและล่าง
๔. ตัวอักษรเอียงไปทางทิศเดียวกัน
๑๐. ช่องไฟ หมายความว่าอย่างไร
๑. ระยะห่างของตัวอักษร
๒. ความกว้างของตัวอักษร
๓. ความสม่ำเสมอของตัวอักษร
๔. การเว้นวรรคตัวอักษรแต่ละตัว
๑๑. ประโยคใจความสำคัญ หมายถึงอะไร
๑. ประโยคตอนต้นของเรื่อง
๒. ประโยคตอนท้ายของเรื่อง
๓. ประโยคบอกที่มาของเรื่อง
๔. ประโยคที่สรุปเรื่องนั้นไว้ทั้งหมด
๑๒. ใจความรองเรียกอีกอย่างว่าอย่างไร
๑. พละความ
๒. พลความ
๓. สมุหความ
๔. รองความ
๖๐
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๑๓. การเขียนย่อความคือการเขียนลักษณะใด
๑. การเขียนสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน
๒. การเขียนสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่ได้ฟัง
๓. การเขียนสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่ได้ดู
๔. ถูกทุกข้อ
๑๔. รูปแบบการเขียนย่อความประกอบด้วยกี่ย่อหน้า
๑. ๒ ย่อหน้า
๒. ๓ ย่อหน้า
๓. ๔ ย่อหน้า
๔. ๕ ย่อหน้า
๑๕. ย่อหน้าใดเป็นย่อหน้าที่บอกถึงที่มาของเรื่องที่เราเขียนย่อความ
๑. ย่อหน้าแรก
๒. ย่อหน้าสอง
๓. ย่อหน้าสาม
๔. ย่อหน้าใดก็ได้
๑๖. ข้อใดไม่ใช่วิธีการย่อความ
๑. อ่านเรื่องอย่างละเอียด
๒. ใช้สำนวนภาษิตของผู้ย่อ
๓. เขียนคำนำย่อความตามแบบ
๔. เขียนชื่อเรื่องก็ได้หรือไม่เขียนก็ได้
๖๑
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๑๗. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์การย่อความ
๑. คงคำสรรพนามเดิมไว้
๒. คงคำราชาศัพท์ไว้
๓. ใช้สำนวนภาษาของผู้ย่อ
๔. ถ้าเป็นร้อยกรองต้องถอดคำประพันธ์ก่อน
๑๘. หากต้องการย่อความจากบทร้อยกรอง ควรปฏิบัติอย่างไร
๑. อ่านและจับประเด็น ใจความสำคัญ แล้วจดบันทึก
๒. แบ่งวรรคตอนในการอ่านบทร้อยกรองให้ถูกต้อง
๓. ควรย่อความจากภาษาร้อยกรองเป็นภาษาร้อยแก้ว
๔. ไม่มีข้อใดถูก
อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามข้อ ๑๙
เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็นก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
จึงส่งกระต่ายหยกที่ปกติจะมีหน้าที่ตำยาอยู่บนดวงจันทร์ให้ลงมารักษาโรคชาวบ้าน
กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวออกรักษาผู้คนหายจากโรค ชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งใจ
ในความช่วยเหลือจึงได้ตอบแทนด้วยการให้สิ่งของต่าง ๆ แต่กระต่ายหยกก็ไม่ยอมรับ
สิ่งใดเลยเพียงแค่ขอยืมชุดชาวบ้านใส่เท่านั้น ไปถึงไหนก็จะเปลี่ยนชุดไปเรื่อย ๆ บางที
แต่งเป็นคนขายน้ำมัน บางทีก็แต่งเป็นหมอดูดวง แต่งเป็นชายบ้าง แต่งเป็นหญิงบ้าง
หลังจากกำจัดโรคให้ชาวเมืองจนหมดแล้ว กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไปยังดวงจันทร์
นับแต่นั้นมาชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่ายในวันไหว้พระจันทร์ด้วย
( เว็บไซต์ : suksawad.com)
๖๒
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๒
๑๙. ข้อใดเป็นใจความสำคัญของบทความนี้
๑. กระต่ายหยกที่ปกติจะมีหน้าที่ตำยาอยู่บนดวงจันทร์ก็ลงมารักษาโรคให้เเก่
ชาวบ้าน
๒. กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวออกรักษาผู้คนหายจากโรค
๓. หลังจากกำจัดโรคให้ชาวเมืองจนหมดแล้ว กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไป
ยังดวงจันทร์
๔. ชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่ายในวันไหว้พระจันทร์
๒๐. ข้อใดกล่าวผิด
๑. อ่านเรื่องย่อความเข้าใจเนื้อเรื่องก่อน
๒. ควรจับประเด็นสำคัญของเรื่องให้ได้ก่อน
๓. ใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ หรือบุรุษที่ ๒ เท่านั้น
๔. การเขียนย่อความต้องเขียนตามรูปแบบของการย่อความคือมี ๒ ย่อหน้า
๖๓
บทที่ ๓
ดำรงคุณค่า ลิเกป่า โนราห์โกลน
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้
ท ๔.๑ ม.๑/๕ แต่งบทร้อยกรอง แต่งบทร้อยกรองกาพย์ยานี
ท ๕.๑ ม.๑/๒ วิเคราะห์วรรณคดีและ ๑๑
วรรณกรรมที่อ่านพร้อมยกเหตุผลประกอบ วิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก
ท ๕.๑ ม.๑/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดี วรรณคดีและวรรณกรรม
เเละวรรณกรรมที่อ่าน
บรรเลงอักษร สัญจร..อำเภอสิเกา
รู้จริงไม่หลอก มาเรียมจะบอกให้
อำเภอสิเกา เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดตรัง สิเกา อำเภอเล็กๆ
อำเภอหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดตรัง เมืองแห่งความ
สงบและธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่มาของชื่อเมือง"สิเกา"นี้ หลายคนคงตีความไป
ต่างๆ นาๆ บ้างก็ว่ามีกงสี(บ้านพักชาวสวนยาง)เก่าเคยตั้งอยู่บริเวณนี้
บ้างก็ว่าคนจีนฮกเกี้ยนที่เคยอพยพมาจากสิงคโปร์และปีนังเข้ามาอยู่เรียกพื้นที่
นี้ว่า "สี่เก้า" ต่อมาเพี้ยนเป็นสิเกา ซึ่งอย่างไรก็ตาม ที่มาของชื่อสิเกาที่น่าเชื่อ
ถือ และได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ คำว่า "สิเกา" เพี้ยนมาจากคำว่ากงสี-
เก่า เนื่องจากได้มีชาวจีนปีนัง ฮกเกี้ยน และประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอาศัย
ประกอบอาชีพตัดไม้ขาย ต่อมาได้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ขึ้นที่ริมคลองสิเกา
เพื่อนำไม้ คบ น้ำมันยาง ไม้ไผ่ และถ่านไม้โกงกางไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
และบรรทุกสินค้าอื่นๆ จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในอำเภอสิเกาในยุคนั้น
จึงมีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่น ต่อมาปริมาณไม้ลดลง ชาวจีนจึงเลิกกิจการ
กลับประเทศจีน บ้างก็ย้ายไปตั้งรกรากใหม่ ในตลาดทับเที่ยง (เทศบาลนคร
ตรัง) บ้างก็เปลี่ยนไปทำไร่พริกไทย สวนยางพารา สวนมะพร้าว บ้างก็มีลูก
เมียตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบ่อหิน (ตัวอำเภอปัจจุบัน) แต่ตัวโรงงานแปรรูปไม้
หรือสถานที่ตั้งโรงงานยังมีอยู่ ชาวบ้านพากันเรียกว่า "กงสีเก่า" ต่อมานานวัน
เข้าก็เพี้ยนเป็น"สีเก่า" ผลสุดท้ายด้วยความเคยชินของสำเนียงใต้จึงได้เรียก
เป็น"สิเกา หรืออีกแนวคิดหนึ่งก็คือที่ตั้งอำเภอนี้อยู่ใกล้ภูเขาสี่ลูก จึงเรียก
หมู่บ้านนี้ว่า "บ้านสี่เขา" ต่อมาเพี้ยนเป็น"สีเกา" และ "สิเกา" ตามลำดับ
๖๖
ยินดีต้อนรับ
สู่บ้านหลังที่สองของมาเรียม
อำเภอสิเกา ที่มากไปด้วย
เสนห์ของธรรมชาติ
ที่อุดมสมบูรณ์
ว้าว! สิเกาสวย
อย่างที่มาเรียมบอกจริงๆ
เเล้วที่นี้ยังมีอะไรน่าสนใจ
อีกหรอมาเรียม ?
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ งามท้องทะเล
เสน่ห์เกาะแก่ง แหล่งหอยตะเภา
-คำขวัญอำเภอสิเกา-
นอกจากนี้ยังมีศิลปการเเสดงที่เด่น
ดัง สนุกสนานอีกด้วยนะไปดูกันเลย
๖๗
มรดกวัฒนธรรม อำเภอสิเกา @ตรัง
" ลิเก
ป่า "
ลิเกป่า มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป ลิเกบก ลิเกรำมะนา แขกแดง
เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่นิยมกันแพร่หลายในหมู่คนไทยภาคใต้ทางฝั่ง
ตะวันตก โดยเฉพาะจังหวัดตรัง กระบี่ และพังงา ส่วนใหญ่เชื่อว่า
เริ่มมีขึ้นที่จังหวัดตรัง โดยให้เหตุผลว่าฉากในเรื่องแขกแดงที่ลิเกป่า
ทุกคณะต้องเล่นตามธรรมเนียมนิยมนั้น คือ บริเวณกันตัง
จังหวัดตรังแต่อย่างไรก็ตามการละเล่นลิเกป่า ได้รับอิทธิพลบางส่วน
ในด้านดนตรีและการแต่งกายจากมลายูรับอิทธิพลด้านทำนองเพลง
ร้องบางส่วนจากทำนองเพลงไทยเดิม และรับอิทธิพลร่ายรำจากโนรา
ท่วงทำนองการแสดงลิเกป่าจึงเป็นแบบผสมผสาน
๖๘
มรดกวัฒนธรรม อำเภอสิเกา @ตรัง
" ลิเกป่า "
บทร้องลิเกป่าแต่ละคณะจะมีบทร้องตามเนื้อเรื่องข้างต้น แต่อาจ
แตกต่างกันบ้างในถ้อยคำและรายละเอียด
สำเนียงขับร้องลิเกป่าก้ำกึ่งกันอยู่ระหว่างสำเนียงถิ่นใต้และ
สำเนียงกลาง และยังมีท่วงทำนองต่างกันไปตามลักษณะของตัวแสดง
เช่นบทยายีสำเนียงจะออกเป็นถิ่นใต้มากแต่ถ้าเป็นบทนางเอก ตอน
เล่นเรื่องทำนองจะค่อนไปทางสำเนียงกลางมากกว่า
ลิเกป่าเมืองตรังอาจได้รับความนิยมน้อยลง ตามกระแสการ
เปลี่ยนแปลงของสังคม ไม่สามารถยึดการแสดงเพียงอย่างเดียวเป็น
อาชีพหลัก แต่ยังรวมคณะอยู่ได้ด้วยใจรัก จึงเป็นที่น่ายินดีว่ามีสถาน
ศึกษาคือโรงเรียนบ้านบางหมาก ที่เชิญลิเกป่าคณะ ฉิ่ง ศิลป์เจริญ
มาเป็นผู้ฝึกสอนลิเกป่าให้นักเรียน เพื่อจะสืบสานศิลปะการแสดงลิเก
ป่าเอาไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวตรังต่อไป
๖๙๘
มรดกวัฒนธรรม อำเภอสิเกา @ตรัง
" โนราห์โกลน "
คำว่าโนราโกลนประกอบด้วยคำ ๒ คำคือ โนราและโกลน
คำว่า "โนรา" หมายถึงโนราหรือมโนห์รา (เขียนเป็นมโนราหรือมโนราห์)
เป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลาย
เกือบทุกจังหวัดของภาคใต้ ส่วนคำว่า "โกลน" มีความหมายว่า “ไม่เสร็จ
ไม่สมบูรณ์” ซึ่งบางแห่งเรียกการแสดงประเภทนี้ว่า "โนราดิบ" ซึ่งหมายถึง
การแสดงโนราที่ไม่ได้ใช้นักแสดงที่ผ่านการฝึกฝนมโนราห์หรือผ่านการครอบ
เทริดตามขนบธรรมเนียมของมโนราห์ ไม่ว่าการประดิษฐ์ท่ารำ การร้อง การ
แต่งตัว จะเลียนแบบมโนราห์จริงเกือบทุกอย่าง
ในด้านเนื้อหาสาระการแสดงโนราโกลนส่วนมากจะนำเรื่องราวในวิถีชีวิต
ของคนในสังคมปัจจุบันมาผูกเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ดูตลกขบขันท่ารำก็หยาบ ๆ
เก้งก้าง พลิกแพลงให้พิสดารออกไปเพื่อสร้างความขบขัน ทั้งนี้การแสดงโนรา
โกลนบางแห่งยังมีบทร้อง บทกาศถึงครู บทหน้าม่าน บทผันหน้า บทสีโต
บทกำพรัด บทออกพรานด้วย ส่วนเครื่องดนตรีก็คล้าย ๆ แต่อาจไม่เยอะเท่า
โนราจริง บางคณะอาจไม่มีเลยแต่ใช้ปากทำเสียงดนตรีก็มี
๗๖๘๐
อธิบาย ขยายความรู้
วรรณคดีไทย
๑. รูปแบบของวรรณคดีไทย ดังนี้
๑. วรรณคดีพุทธศาสนา มีเนื้อหามุ่งแสดงหลักคำสอน เน้นให้เห็นบาปบุญ
คุณโทษ เช่น ไตรภูมิพระร่วง มหาชาติคำหลวง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
พระปฐมสมโพธิกถา
๒. วรรณคดีสุภาษิตคำสอนมีเนื้อหามุ่งแสดงแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตน
ให้เหมาะสมในสังคม เช่น สุภาษิตพระร่วง กฤษณาสอนน้องคำ ฉันท์ โคลงโลกนิติ
๓. วรรณคดีเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรม มักจะอยู่ใ นลักษณะของบทสวด
ที่เรียบเรียงขึ้นอย่างไพเราะ ให้ภาษาเร้าอารมณให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์
และเห็นถึงความสำคัญของพิธีกรรม เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ มหาชาติกลอนเทศน์
ฉันท์ดุษฏีสังเวยกลอมช้าง
๔. วรรณคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ
ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น โดยสอดแทรกจินตนาการและใช้ภาษาใหนาประทับใจ
เช่น ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตตะเลงพ่าย ราชาธิราช สามกก เสภา
พระราชพงศาวดาร
๕. วรรณคดีเพื่อความบันเทิง มีเนื้อหามุ่งเน้นความบันเทิงเพื่อใชใ นการแสดง
มหรสพ เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา สังขท อง คาวี มัทนะพาธา
๖. วรรณคดีบันทึกความรู้สึกของผู้เดินทาง มีเนื้อหามุ่งบันทึกความรูสึก หรือ
บันทึกเหตุการณบ รรยากาศในการเดินทางวรรณคดีประเภทนี้เรียกว่า นิราศ เช่น
นิราศภูเขาทอง นิราศหริภุญชัย
๗๑
๒. แนวทางในการอ่านและพิจารณาวรรณคดีและวรรณกรรม
การอ่านและพิจารณาวรรณคดีและวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะ
และองค์ประกอบของวรรณคดีและวรรณกรรมนั้น ๆ ซึ่งมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
๑. ร้อยกรอง พิจารณาสิ่งตอไปนี้
๑) ฉันทลักษณ์ ดูลักษณะเฉพาะของร้อยกรองนั้น ๆ การสัมผัส บังคับ
คณะ และความถูกต้องของฉันทลักษณ์ที่ใช
๒) ภาษา พิจารณาการเลือกใช้ถ้อยคำที่สละสลวย ประณีต บรรจง และ
เหมาะสม
๓) ความเปรียบเป็นการเปรียบเทียบเพื่อสร้างจินตนาการ ก่อให้เกิดความ
ไพเราะและลึกซึ้ง
๔) สัญลักษณ์ เป็นสิ่งที่ช่วยให้กวีสามารถสื่อความหมายได้อย่างกว้าง-
ขวาง ลึกซึ้งในเนื้อเรื่องที่มีความยาวจำกัด
๕) การอ้างถึง โดยการกล่าวชื่อหรือคำ ที่สื่อถึงสิ่งที่รูจ ักกันดีจะทำให้กวี
ใช้ถ้อยคำความหมายมากขึ้น
๖) ความหมายเป็นความหมายรวมที่กวีต้องการจะถ่ายทอดออกมาจาก
บทร้อยกรองเรื่องนั้นๆ
๒. ร้อยแก้ว พิจารณาจากองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
๑) โครงเรื่องพิจารณาว่าร้อยแก้วว่ามีโครงเรื่องอย่างไร เพราะร้อยแก้ว
ที่ดีจะต้องมีโครงเรื่องที่แน่นอน รัดกุม และดำเนินความไปตามโครงเรื่องที่วางไว
๒) ภาษาพิจารณาผู้เขียนใชภาษาได้ดี สามารถสื่อความคิดได้ชัดเจน
หรือไม่
๓) สัญลักษณ์การอางถึงและการอ้างอิงข้อมูล พิจารณาวามีการ
ใชสัญลักษณ์การอา งถึงแล้วอ้างอิงอย่างไรเหมาะสมและช่วยสื่อความหมายลึกซึ้ง
กว้างขวางหรือหนักแน่นเพียงพอหรือไม่ ๗๒
นอกจากหลักการพิจารณาร้อยแก้วและร้อยกรองแลวยังมีหลักการพิจารณา
วรรณคดีและวรรณกรรมชนิดอื่น ๆ อีก ดังนี้
๑. บทละคร เป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นเพื่อนำไปใชแ สดงให้คนชม เช่น
บทละครโทรทัศนบทละครเวทีมีหลักในการพิจารณา ดังนี้
๑.๑ โครงเรื่อง พิจารณาวาการวางโครงเรื่องและการดำเนินเรื่องเป็น
อย่างไร มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นในเรื่องบ้าง
๑.๒ ตัวละคร แต่ล ะตัวมีลักษณะนิสัยใจคอสอดคลองกับบุคลิกลักษณะ
หรือไม่อย่างไร
๑.๓ บทสนทนา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ดำเนินเรื่องและบ่งบอกนิสัย
ของตัวละครนั้นว่าสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของตัวละครหรือไม่ภาษาที่ใช้เป็น
อย่างไร
๑.๔ ฉาก มีความเหมาะสมกับทอ งเรื่องและสอดคล้องกับหลักความ
เป็นจริงหรือไม่
๑.๕ แนวคิดหรือแก่นของเรื่อง คือ ข้อคิด ปรัชญา หรือสาระสำคัญ
ที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารถึงคนดูนั้นคืออะไร มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
๑.๖ ดนตรีประกอบ ที่ช่วยเสริมบรรยากาศในการดำเนินเรื่องนั้นดี และ
เหมาะสมหรือไม่อย่างไร
๗๓
๒. นิยายหรือเรื่องเล่าเป็นวรรณกรรมที่เป็นขึ้นตามที่ได้ยินได้ฟังหรือตาม
จินตนาการของผู้แต่ง เป็นร้อยแก้วขนาดยาวที่มุ่งใหความบันเทิง มีแนวทางใน
การพิจารณา ดังนี้
๒.๑ เนื้อเรื่อง พิจารณาว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
๒.๒ ตัวละคร มีกี่ตัว ใครเป็นตัวเอกแต่ละตัวมีอุปนิสัยอย่างไรมีทัศนคติ
และโลกทัศนเ ป็นอย่างไร
๒.๓ การดำเนินเรื่อง ผู้แต่งใช้วิธีการดำเนินเรื่องอย่างไรเป็นไปตาม
ลำดับขั้นตอนหรือไม่
๒.๔ การเล่าเรื่อง ใครเป็นผู้เล่าเรื่องเหมาะสมหรือไม่
๒.๕ โครงเรื่องเป็นอย่างไร มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นบ้างพัฒนาไป
อย่างไรและจุดจบของเรื่องเป็นอย่างไร
๒.๖ สถานที่ ดูวา ฉากหรือสถานที่ที่เกิดเหตุการณใ นเรื่องคือที่ไหน
มีบรรยากาศเป็นอย่างไรมีความสมจริงมากน้อยเพียงใด
๒.๗ ภาษา มีรูปแบบประโยค กลวิธี ลีลา ลักษณะภาษาเป็นอย่างไร
กลมกลืนกันโดยตลอดหรือไม่
๒.๘ บรรยากาศและน้ำ เสียงตัวละครของแต่ละสภาพเหตุการณในแต่
ละฉากเป็นอย่างไรสัมพันธ์กันหรือไม่
๒.๙ สัญลักษณ์และการอา งถึงผู้แต่งใช้สัญลักษณ์อย่างไร หรือมีการ
กลา วอางถึงสิ่งใดเพื่อให้ผู้อ่านตีความ ถามีสัญลักษณ์หรือการอางถึงนั้นดีและ
เหมาะสมหรือไม่อย่างไร
๒.๑๐ แนวคิดหรือแก่นของเรื่อง คือ ความหมายรวมทั้งเรื่องที่ผู้แต่ง
ตองการจะสื่อถึงผู้อ่านนั้นคืออะไร มีว่าอย่างไร ดีและมีคุณคาหรือไม่เพียงใด
๗๔
ข้อสังเกต
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งเกิดจากจินตนาการของมนุษย์มุ่งที่จะ
ให้ความรู ความบันเทิง ประสบการณ์ และแง่คิดต่างๆที่เป็นนามธรรม เพื่อช่วยยกระดับ
สติปัญญาและจิตใจเป็นสำคัญ
วรรณคดีและวรรณกรรมที่มีคุณค่าจะต้องทำให้ผู้อ่านได้ทั้งความรู้
ความบันเทิง และความคิดสร้างสรรค์ ช่วยกระดับจิตใจ กระตุ้นใหผ ู้อา นเกิดมนุษยธรรม
และได้รับประสบการณ์ที่กว้างไกลกว่าที่พบเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า
“การอ่านทำให้คนสมบูรณ์”และ “วรรณคดีทำให้คนเป็นคน”
๗๕
อธิบาย ขยายความรู้
คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม
๑. คุณค่าของวรรณคดีเเละวรรณกรรม
วรรณคดีมีบทบาทเหมือนงานศิลปะประเภทอื่นๆ คือ สร้างความบันเทิงใจ
และความจรรโลงใจ ความบันเทิงใจ คือ ความอิ่มอารมณ์เมื่อได้เสพรสผลงาน
ศิลปะ เช่นเดียวกับความอิ่มท้องเมื่อได้เสพรสอาหาร ส่วนความจรรโลงใจ คือ
ความผ่องแผ้ว ชื่นบานและร่าเริง หายจากความหมกหมุ่นกังวล มีจิตใจที่ขัดเกลา
และ มีอารมณ์ที่กล่อมเกลาแล้ววรรณคดีจึงนับว่าเป็นสิ่งที่กล่อมเกลาแล้ว
วรรณคดีจึงนับว่าได้เป็นสิ่งที่กล่อมเกลาให้มนุษย์ให้รู้จักความงาม ความดี
และความเป็นจริงของชีวิต โดยทั่วไปเรามักถือกันว่าบทบาทสำคัญของวรรณคดี คือ
การให้ความบันเทิงใจมากกว่าเพื่อจรรโลงใจ แต่หากพิจารณาวรรณคดีไทยโดย
เฉพาะวรรณคดีโบราณแล้ว จะพบว่าบทบาทหน้าที่ทั้งสองมีความสำคัญควบคู่กัน
กวีไทยมักมุ่งสร้างสรรค์งานประพันธ์ที่ให้ความเพิดเพลินด้วยและสั่งสอนเพื่อยกระดับ
จิตใจผู้อ่านผู้ฟังไปด้วย คุณค่าของวรรณคดีไทยจึงมีทั้งด้านอารมณ์และด้านคุณธรรม
๗๖
๒. ประเภทของวรรณคดีและวรรณกรรม
การแบ่งประเภทของวรรณคดีและวรรณกรรมมีหลายลักษณะ ดังนี้
๑. จำแนกตามลักษณะการแต่ง แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) ร้อยแก้ว แต่งเป็นความเรียงธรรมดา แต่มีรูปแบบโดยเฉพาะ และ
มีความไพเราะด้วยเสียงและความหมาย เชน นิทาน นิยาย สารคดี บทความ
๒) ร้อยกรอง แต่งตามฉันทลักษณ คือ มีกำหนดคณะและสัมผัสตาม
ลักษณะบังคับ ได้แก่จ ำนวนคำและจำนวนวรรคในแต่ละบท กำหนดสัมผัส กำหนด
คำเอก คำโท หรือกำหนด ครุ ลหุ ร้อยกรอง ได้แก่ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท
ร่ายและลิลิต
๒. จำแนกตามจุดมุ่งหมายในการแต่ง แบง ออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) มุ่งให้ความรู้เป็นหลัก เรียกว่า สารคดีเป็นหนังสือหรือวรรณกรรมที่ใช้
กลวิธีการเขียนเฉพาะ เพื่อให้ผู้อ่านสนใจและเกิดความสนุกสนาน เช่น สารคดีทอ ง-
เที่ยว สารคดี วิทยาศาสตร์
๒) มุ่งให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เรียกวา บันเทิงคดี แต่อาจแฝงคติ
ชีวิตและคุณค่าอื่นๆ ด้วยก็ได้ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น นิทาน
๓. จำแนกตามลักษณะการบันทึก แบงออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) วรรณคดีที่บันทึกเป็นลายลักษณอ ักษร ได้แก่ วรรณคดีที่บันทึกไวใ น-
ใบลาน สมุดข่อยกระดาษ และอื่น ๆ อาจจะเป็นตัวจารึก ตัวเขียน หรือตัวพิมพ์
๒) วรรณคดีที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณอ ักษร ได้แก่ วรรณคดีที่บอกเล่า
และจดจำสืบต่อกันมา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วรรณคดีมุขปาฐะ เช่น เพลงพื้นเมือง
บทเห่ก ลอม นิทานพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย
๗๗
๓. แนวในการวิเคราะห์วรรณกรรม
การวิเคราะห์วรรณกรรมมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติอย่างกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้
ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท แต่ละประเภท ผู้วิเคราะห์ต้องนำแนวการวิเคราะห์
ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับงานเขียนแต่ละชิ้นงานซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปซึ่ง
ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (๒๕๔๕ : ๑๒๘) ได้ให้หลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการ
วิเคราะห์วรรณกรรม ดังนี้
๒.๑ ความเป็นมาหรือประวัติของหนังสือและผู้แต่ง เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ในส่วน
อื่น ๆ
๒.๒ ลักษณะคำประพันธ์
๒.๓ เรื่องย่อ
๒.๔ เนื้อเรื่อง ให้วิเคราะห์เรื่องในหัวข้อต่อไปนี้ตามลำดับ โดยบางหัวข้อ
อาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ตามความจำเป็น เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก วิธีการแต่ง
ลักษณะการเดินเรื่อง การใช้ถ้อยคำ สำนวนในเรื่องท่วงทำนองการแต่ง วิธีคิด-
สร้างสรรค์ ทัศนะหรือมุมมองของผู้เขียน เป็นต้น
๗๘
๒.๕ แนวคิด จุดมุ่งหมาย เจตนาของผู้เขียนที่ฝากไว้ในเรื่อง ซึ่งต้องวิเคราะห์
ออกมาก
๒.๖ คุณค่าของวรรณกรรม โดยปกติจะวิเคราะห์ตามหัวข้อต่อไปนี้
๑) คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ซึ่งอาจทำให้
ผู้อ่านเกิดอารมณ์ ความรู้สึกและจินตนาการตามรส ความหมายของถ้อยคำและ
ภาษาที่ผู้แต่งเลือกใช้เพื่อให้มีความหมายกระทบใจผู้อ่าน
๒) คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิดและกลวิธีนำเสนอ
๓) คุณค่าด้านสังคม วรรณคดีและวรรณกรรมจะสะท้อนให้เห็นสภาพ
ของสังคมและวรรณคดีที่ดีสามารถจรรโลงสังคมได้อีกด้วย
๔)การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันผู้อ่านสามารถนำแนวคิดและ
ประสบการณ์จากเรื่องที่อ่านไปประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้
๓. แนวในการวิเคราะห์วรรณกรรม
การวิเคราะห์วรรณกรรมมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติอย่างกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้
ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท แต่ละประเภท ผู้วิเคราะห์ต้องนำแนวการวิเคราะห์
ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับงานเขียนแต่ละชิ้นงานซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป
ซึ่งประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (๒๕๔๕ : ๑๒๘) ได้ให้หลักเกณฑ์กว้าง ๆ
ในการวิเคราะห์วรรณกรรม ดังนี้
๗๙
๑. ความเป็นมาหรือประวัติของหนังสือและผู้แต่ง เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ในส่วน
อื่น ๆ
๒. ลักษณะคำประพันธ์
๓. เรื่องย่อ
๔. เนื้อเรื่อง ให้วิเคราะห์เรื่องในหัวข้อต่อไปนี้ตามลำดับ โดยบางหัวข้อ
อาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ตามความจำเป็น เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก วิธีการแต่ง
ลักษณะการเดินเรื่อง การใช้ถ้อยคำ สำนวนในเรื่องท่วงทำนองการแต่ง วิธีคิด
สร้างสรรค์ ทัศนะหรือมุมมองของผู้เขียน เป็นต้น
๕. แนวคิด จุดมุ่งหมาย เจตนาของผู้เขียนที่ฝากไว้ในเรื่อง ซึ่งต้องวิเคราะห์
ออกมาก
๖. คุณค่าของวรรณกรรม โดยปกติจะวิเคราะห์ตามหัวข้อต่อไปนี้
๑) คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ซึ่งอาจทำให้
ผู้อ่านเกิดอารมณ์ ความรู้สึกและจินตนาการตามรส ความหมายของถ้อยคำและ
ภาษาที่ผู้แต่งเลือกใช้เพื่อให้มีความหมายกระทบใจผู้อ่าน
๒) คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิดและกลวิธีนำเสนอ
๓) คุณค่าด้านสังคม วรรณคดีและวรรณกรรมจะสะท้อนให้เห็นสภาพ
ของสังคมและวรรณคดีที่ดีสามารถจรรโลงสังคมได้อีกด้วย
๔) การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันผู้อ่านสามารถนำแนวคิด
และประสบการณ์จากเรื่องที่อ่านไปประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้
๘๐
ข้อสังเกต
จากประเภทของวรรณคดีข้างต้นสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
๑. กวีนิพนธ์ คือ เรื่องที่แต่งเป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
๒. ละครไทย คือ เรื่องที่แต่งเป็นกลอนแปด มีกำหนดหนา พาทย์
๓. นิทาน คือ เรื่องราวอันผูกขึ้นและแต่งเป็นร้อยแก้ว
๔. ละครพูด คือ เรื่องราวที่เขียนขึ้นเพื่อใช้แสดงบนเวที
๕. อธิบาย คือ ความเรียงร้อยแก้วขนาดสั้นที่กลาวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
การจำแนกประเภทของวรรณคดี มีจุดมุ่งหมายเพื่อใหเ ก็บรวบรวมหลักฐาน
การค้นคว้าข้อมูลและการศึกษาวรรณคดีนั้น ๆ ได้สะดวกส่วนการที่จะได้รับประโยชน์มาก
หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่านเองว่าจะมีความสนใจใคร่รู้มากน้อยเพียงใด
การจำแนกประเภทของวรรณคดี มีจุดมุ่งหมายเพื่อใหเก็บรวบรวมหลักฐาน
การค้นคว้าข้อมูลและการศึกษาวรรณคดีนั้น ๆ ได้สะดวกส่วนการที่จะได้รับประโยชน์มาก
หรือน้อยก็ขึ้นอยู่ก ับตัวผู้อ่านเองว่าจะมีความสนใจใคร่รู้มากน้อยเพียงใด
๘๑
อธิบาย ขยายความรู้
บทร้อยกรอง
๑. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแต่งคำประพันธ์
คำประพันธ์ คือ ถ้อยคำที่เรียงร้อยโดยมีลักษณะบังคับ คำสำคัญที่ควรรู้
ในการแต่งคำประพันธ์ ได้แก่
๑. คำ คำประพันธ์นับคำด้วยจำนวนพยางค์ เช่น ชีวิต มี ๒ พยางค์
นับเป็น ๒ คำ
๒. คณะ คือ จำนวนคำบังคับในคำประพันธ์แต่ละประเภท
๓. สัมผัส คือ คำที่คล้องจองกัน มี ๒ ประเภท ได้แก่ สัมผัสนอก และ
สัมผัสใน
๓.๑ สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับหรือสัมผัสสระอยู่ระหว่างวรรค
ระหว่างบาท และระหว่างบท
ตัวอย่าง บทลิเกป่า ด้านทรงผมผู้หญิงนิยมเกล้ามวยและดัดผม
หยิบหวีหางมาสางเส้นผม น่ารักน่าชมน้องไว้ผมประบ่า
หยิบหวีเอามาหวีผม เกล้ามวยกลมกลมทัดดอกดานนา
เจ้าช่อบางกอก ทัดแต่ดอกเจ้าดอกไทร
น้องสาวดัดผมมาใหม่ใหม่ ช่างงามวิไลชอบใจชาย
สัมผัสนอก ได้แก่ เขา-เบา / (ขวน) ขวาย-สบาย-นาย / ร่าง-อย่าง
(โฉง) เฉง-เกรง-(ครื้น) เครง
สัมผัสระหว่างบท ได้แก่ เกรง-(โฉง) เฉง
๘๒
๓.๒ สัมผัสใน เป็นสัมผัสในวรรค ไม่ใช่สัมผัสบังคับแต่ถ้ามีจะทำให้
ไพเราะขึ้นได้แก่ สัมผัสสระ (คำที่มีเสียงสระและมาตราตัวสะกดเดียวกัน)และสัมผัส
พยัญชนะ (คำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเดียวกัน)
ตัวอย่าง บทลิเกป่า ด้านสภาพบ้านที่อยู่อาศัยตลอดจน เครื่องเรือน เครื่องใช้
ในบ้าน
ลาเรือนจากลาฟากไม้ไผ่ ไม้เสาอันใหญ่ที่ใกล้เตียงนอน
กลับไปในห้องลาราวพาดผ้า สงสารกานดาลาผ้าปูนอน
ลาทั้งสาดหมอนที่นอนหมอนไขว้ ดับแดงแต่งไว้หว่างตัวเลิกห่าง
จีลาภาพถ่ายที่ติดไว้ชายฝา วันนี้จีน้องต้องขอลาไป
สัมผัสพยัญชนะ เช่น หมอบ-(จ) มื่น / แล้ว-ลง / รับ-ราช / โอง-อ่าน
แล-ลำ / ข้อง-เคือง
๔. คำเป็น คำตาย
คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย และเกอว หรือคำใน
แม่ ก กา ที่มีสระเสียงยาว หรือคำสระอำ ใอ ไอ เอา
คำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก กด และกบ หรือคำในแม่ ก กา
ที่มีสระเสียงสั้น
๕. คำเอก คำโท ใช้แต่งโคลง
คำเอก คือ คำที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก ใช้คำตายแทนได้
คำโท คือ คำที่ใช้รูปวรรณยุกต์โท
๘๓
๒. กระบวนการแต่งคำประพันธ์
๑. ศึกษาลักษณะบังคับของคำประพันธ์ที่จะแต่ง และกำหนดจุดมุ่งหมาย
การแต่ง
๒. เขียนโครงร่างตั้งแต่ต้นจนถึงสรุป รวมทั้งคิดคำสำคัญ
๓. แต่งคำประพันธ์ให้ถูกลักษณะบังคับ และเลือกคำที่สื่อความชัดเจน
๔. แต่งเสร็จแล้วลองอ่านออกเสียงเพื่อตรวจความถูกต้องและไพเราะ
ถ้าแต่งผิดข้อบังคับหรือไม่ไพเราะ ให้ปรับแก้จนกว่าจะไพเราะ
๓. การเเต่งกาพย์
กาพย์ ๕ ชนิดที่นิยมแต่ง ได้แก่ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์
กาพย์ห่อโคลง และกาพย์ขับไม้ห่อโคลง ในที่นี้จะศึกษาเฉพาะกาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ยานี นิยมเรียกกันว่า กาพย์ยานี ๑๑ ซึ่งเลข ๑๑ เป็นจำนวนคำใน
๑ วรรค ใช้แต่งในบทสวดและบทพากษ์ บทสวดสรภัญญะ และโขน เป็นกาพย์ที่
มักใช้ในการพรรณนา บรรยายความรู้สึกโศกเศร้าหรือบรรยายธรรมชาติ
กาพย์ยานี ๑๑ มีแผนผัง และฉันทลักษณ์ดังนี้
๘๔
- ใน ๑ บาท มี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ
- ใน ๑ บท มี ๒ บาท บาทละ ๒ วรรค รวมเป็น ๔ วรรค
- สัมผัสระหว่างวรรค มีสัมผัส ๒ คู่ คือ คำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่ง
สัมผัสกับคำที่สาม(หรือคำที่หนึ่ง)ของวรรคสอง และคำสุดท้ายของวรรคที่สอง
สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม
- สัมผัสระหว่างบท มี ๑ คู่ คือ คำสุดท้ายของแต่ละบทสัมผัสกับคำสุดท้าย
ของวรรคที่สองของบทถัดไป
ตัวอย่างกาพย์ยานี ๑๑
มาเยือนถิ่นเมืองตรัง ของเด่นดังยังมากมี
หาซื้อได้หลายที่ ล้วนสิ่งดีมีมากมาย
ตื่นนอนตอนฟ้าสาง ร้านหมูย่างวางแผงขาย
รวมชนคนหญิงชาย จุดที่หมายร้านกาแฟ
ติ่มซำนำหมูย่าง ออกเสริฟวางช่างหอมแท้
รสชาติว่าหรอยแน่ ดื่มกาแฟกลิ่นละมุน
ฝีมือความชำนาญ เราสืบสานรุ่นสู่รุ่น
อร่อยเป็นเดิมทุน รอรับคุณด้วยยินดี
จังหวัดตรังบ้านเรา มีชนเผ่าชาวซาไก
โตนเต๊ะน้ำตกใหญ่ กลางพงไพรไหลทั้งปี
เกาะแก่งน่าเที่ยวชม เดินรับลมแสนสุขขี
มากด้วยประเพณี บ้านเรามีดีมากมาย
๘๕
กิจกรรมที่ ๕ รู้เรื่องคำคล้องจอง...เรียนคำพ้องไวพจน์
คำสั่ง : ให้นักเรียนโยงเส้นสัมผัสคำคล้องจองบทร้องโนราห์โกลน
ยามเอยยามรุ่ง อาทิตย์พวยพุ่งหว่างเขาวัว
ยามเอยยามเที่ยง นางน้องนั่งเคียงบนหลังวัว
ยามเอยยามค่ำ น้ำค้างตกต่ำหว่างเขาวัว
ยามเอยยามดึก นั่งนึกนอนนึกถึงแม่วัว
๘๖
กิจกรรมที่ ๖ กาพย์ยานี ๑๑ นี้เป็นเช่นไร
คำสั่ง :ให้นักเรียนอ่านเรื่องลิเกป่าและแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑
จากเรื่องที่กำหนดให้
ลิเกป่า มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป เช่น ลิเกบก ลิเกรำมะนา แขกแดง
เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่นิยมกันแพร่หลายในหมู่คนไทยภาคใต้ทางฝั่งตะวันตก
โดยเฉพาะจังหวัดตรัง กระบี่ และพังงา การละเล่นชนิดนี้มีมานานเท่าไหร่ไม่ปรากฏ
ส่วนใหญ่เชื่อว่าเริ่มมีขึ้นที่จังหวัดตรัง โดยให้เหตุผลว่า ฉากในเรื่องแขกแดงที่ลิเกป่า
ทุกคณะต้องเล่นตามธรรมเนียมนิยมนั้น คือ บริเวณกันตัง จังหวัดตรัง แต่อย่างไร
ก็ตามการละเล่นลิเกป่า ได้รับอิทธิพลบางส่วน ในด้านดนตรี และการแต่งกายจาก
มลายู ซึ่งได้รับอิทธิพลด้านทำนองเพลงร้องบางส่วน จากทำนองเพลงไทยเดิม และ
รับอิทธิพลร่ายรำจากโนรา ท่วงทำนองการแสดงลิเกป่าจึงเป็นแบบประสมประสาน
การแสดงลิเกป่า มักแสดงในงานรื่นเริง เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน งานประเพณี
ต่าง ๆ และนิยมแสดงในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจักร ๆ
วงศ์ ๆ จากวรรณคดี
ลิเกป่าคณะหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยผู้แสดงประมาณ ๑๕ - ๒๐ คน ทำหน้าที่
และเล่นดนตรีประกอบ ๕ -๘ คน ส่วนที่เหลือเป็นตัวแสดงมีตัวแสดงหลัก คือ
แขกแดง ยายี เสนา และเจ้าเมืองที่เหลือเป็นตัวประกอบเวทีแสดงเดิมปลูกเป็นโรง
หลังคาเพิงหมาแหน กั้นม่านกลางปูเสื่อแสดงบนพื้นดินหรือยกสูง แต่โรงลิเกป่าใน
ปัจจุบัน นิยมยกพื้นและโรงก็มักเป็นโรงสำเร็จรูปที่ทำด้วยโครงเหล็กสามารถ
ประกอบ และถอดเก็บเคลื่อนย้ายได้สะดวก
๘๗
เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลองรำมะนา ๒ - ๓ ลูก โหม่ง ฉิ่ง กรับ ซอ
การแต่งกายของนักแสดงลิเกป่า แขกแดง ตัวเอกของเรื่อง แต่งกายแบบแขกมลายู
เสริมจมูกให้โตแบบแขก ติดหนวดเครารุงรัง สวมสร้อย ยายี ตัวเอกฝ่ายหญิง
นุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมเสื้อยะหยา ผ้าลูกไม้ มีผ้าโปร่งบางคลุมศีรษะ และห้อยคอสะ-
หมาดหรือเสนาแต่งกายแบบคนรับใช้มักไม่สวมเสื้อแต่งหน้าให้ดูตลกขบขัน นอกจาก
นั้นแต่งตัวตามเนื้อเรื่อง
ปัจจุบัน การแสดงลิเกป่ามีน้อย และไม่ได้รับความนิยมเท่าหนังตะลุง โนรา
หากเยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาโดยนำเอาเสน่ห์ของจังหวะและลีลากลอนของลิเกป่ามา
ประยุกต์ขับ หรือแต่งบทใช้ประกอบในกิจกรรมต่าง ๆ ก็น่าสนใจไม่น้อย แต่หากไม่
ได้รับความสนใจไม่ได้ศึกษาไม่ได้สืบทอดและไม่ร่วมอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
อันทรงคุณค่านี้ ก็มีโอกาสที่ศิลปะการแสดงลิเกป่านี้ เหลือแต่เพียงตำนานเล่าขาน
๘๘
บทร้อยกรอง เรื่อง........................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๘๙
กิจกรรมที่ ๗ วิเคราะห์คุณค่า...โนราห์โกลน
คำสั่ง :ให้นักเรียนอ่านเรื่องมโนราห์โกลนและวิเคราะห์คุณค่าในด้านต่าง ๆ
มโนราห์ หรือ โนรา เป็นชื่อศิลปะการแสดงพื้นเมืองอย่างหนึ่งของภาคใต้
มีแม่บทท่ารำอย่างเดียวกับละครชาตรี บทร้องเป็นกลอนสด ผู้ขับร้องต้องใช้ปฏิภาณ
ไหวพริบ สรรหาคำให้สัมผัสกันได้อย่างฉับไวมีความหมายทั้งบทร้อง ท่ารำและ
เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลอง ทับคู่ ฉิ่ง โหม่ง ปี่นอก หรือปี่ใน
และกรับ ปัจจุบันพัฒนาเอาเครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมด้วย เดิมนิยมใช้ผู้ชายล้วน
แสดง แต่ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าไปแสดงด้วย
มโนราห์ หรือ โนรา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงในภาคใต้นั้น
ถือเป็นแบบแผนการแสดงแบบดั้งเดิม ส่วนโนราโกลน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไป
ว่า “โนราดิบ” หรือ “โนราหอย” เป็นศิลปะการแสดง ที่มีอยู่ในเฉพาะจังหวัดใน
ภาคใต้ มีประวัติความเป็นมายาวนาน ลักษณะการเล่นจะคล้ายกับโนราจริง รูปแบบ
การรำ การร้อง การแต่งกาย มีลักษณะหยาบ ๆ ไม่อ่อนหวานหรือนุ่มนวลเหมือน
โนราแท้ เพียงแต่ทำให้พอเห็นเค้าของโนรา จึงเรียกว่า “โนราโกลน” ดังนั้น โนรา
โกลน จึงเกิดขึ้นมาในภายหลัง ปัจจุบันพบศิลปะการแสดงโนราโกลนเพียงไม่กี่แห่ง
ได้แก่ จังหวัดตรัง เหลืออยู่ ๑ คณะ คือ “คณะสามสลึง ตำลึงทอง”
ทั้งนี้ โนราโกลนสามารถแสดงได้ทุกงาน ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล
เช่น งานแก้บน งานฝังลูกนิมิต งานศพ งานบวชและงานอื่น ๆ อีกมากมาย โดยผู้ที่
ว่าจ้างต้องรับส่งคณะโนราโกลน ทั้งไปและกลับจากการแสดงส่วนในด้านความเชื่อ
โนราโกลนมีความเชื่อเกี่ยวกับครูหมอโนรา ตายายโนรา โดยปฏิบัติตามคำสอนของ
ครูอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไสยศาสตร์
ตลอดจนความเชื่อเกี่ยวกับการบนบานสานกล่าวและการแก้บน ๙๐
วิเคราะห์คุณค่าจากเรื่อง โนราห์โกลน
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๙๑
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๓
๑. ข้อใดมีคำสัมผัสสระ
๑. ลือเลื่องไปทั่วหล้า
๒. งามผ่องผุดสะดุดตา
๓. พระนอนถ้ำพระพุทธ
๔. แม้นใครมาต้องกราบกราน
๒. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับกาพย์ยานี ๑๑
๑. บาทหนึ่งมี ๒ บท บทละ ๑๑ คำ
๒. บทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคละ ๑๑ คำ
๓. บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทละ ๑๑ คำ
๔. บาทหนึ่งแบ่งเป็น ๒ วรรค วรรคละ ๑ คำ
๓. ข้อใดมีจำนวนพยางค์เท่าวรรคที่ ๒ ของกาพย์ยานี ๑๑
๑. ปักษีปักษาเหอ
๒. เจ้าไปหารังนอน
๓. มาจากพนาลัย
๔. เจ้าบินออกมาจากไพร
๔. ข้อใดเติมในช่องว่างต่อไปนี้ได้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
ฉันนี้คืออะไร ชอบปีนไต่ตามต้นไม้
........................... ถ้าชอบใจร้องเจี๊ยกเจี๊ยก
๑. กินกล้วยเป็นอาหาร
๒. เห็นกล้วยเป็นไม่ได้
๓. ชอบกินกล้วยทุกวัน
๔. ชอบกินกล้วยมาก
๙๒
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๓
๕. สัมผัสนอกในวรรคใดของกาพย์ยานี ๑๑ ที่ไม่มีก็ไม่ผิดฉันทลักษณ์ของการแต่ง
๑. วรรคที่ ๓ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ ๔
๒. วรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ ๓
๓. วรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ ๒
๔. สัมผัสระหว่างบทที่ ๑ ไปบทที่ ๒
๖. ข้อใดอ่านเว้นวรรคกาพย์ยานี ๑๑ ได้ถูกต้อง
๑. ชะนี / วิเวกวอน
๒. ฝูงจิ้ง / จอกออกเห่หอน
๓. ลิงค่างคราง / โครกครอก
๔. นกหกร่อนนอน / รังเรียง
๗. ฉันนี้มีสี่ขา ............................ ควรเติมคำใด
๑. มีร่างกายที่แข็งแรง
๒. ทุกเวลาอยู่เฝ้าบ้าน
๓. มีกำลังมากมาย
๔. เฝ้าบ้านทุกเวลา
๘. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการอ่านวรรณคดี
๑. วรรณคดีคือมรดกของคนรุ่นก่อนถ่ายทอดมาสู่คนรุ่นใหม่
๒. วรรณคดีคือกระจกเงาสะท้อนภาพผู้คนในอดีตสู่คนรุ่นปัจจุบัน
๓. วรรณคดีมีแนวคิดที่เป็นประโยชน์สามารถนำมาปรับใช้กับผู้อ่านได้
๔. เป็นความสำคัญของวรรณคดีทุกข้อ
๙๓
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๓
๙. ข้อใดคือการประเมินค่าวรรณคดี
๑. สุทธิรัตน์อ่านแล้วบอกได้ว่าตัวละครในเรื่องดีไม่ดีอย่างไร
๒. สาริกาอ่านแล้วบอกได้ว่าเรื่องนั้นๆ มีความงามอย่างไร
๓. ธิบดีอ่านแล้วบอกได้ว่าหนังสือนั้นๆ แต่งดีอย่างไร
๔. ปวีณาอ่านแล้วบอกได้ว่าจะนำข้อคิดไปใช้ประโยชน์อย่างไร
๑๐. "วรรณคดี คือกระจกเงาสะท้อนภาพสังคมในยุคสมัยนั้นๆ"...นักเรียนจะทราบได้
อย่างไรว่า...."สมัยนั้น".... ในวรรณกรรมคือสมัยใด
๑. อ่านประวัติผู้แต่ง
๒. อ่านคำนำ/เรื่องย่อ
๓. อ่านจากชื่อเรื่อง
๔. อ่านทั้งเรื่อง
๑๑. ทุกคำตอบ เป็นผลจากการอ่านเพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ด้านสังคม
ยกเว้น....บุคคลในข้อใด
๑. เสาวลักษณ์ อ่านบทลิเกป่าแล้วบอกได้ว่าด้านทรงผมผู้หญิงนิยม"เกล้ามวย
เเละดัดผม"
๒. เสาวคนธ์ อ่านบทลิเกป่าแล้วบอกได้ว่าด้านสภาพบ้านที่อยู่อาศัย ได้กล่าว
ถึงเครื่องใช้ภายในบ้าน
๓. เสาวภาคย์ อ่านบทลิเกป่าแล้วบอกได้ว่า นิยมแต่งกลอนเสภา
๔. เสาวณีย์ อ่านบทลิเกป่าแล้วบอกได้ว่าด้านเสื้อผ้าของผู้หญิงอิสลามนิยม
"ใส่ผ้าหยอหยา"
๙๔
แบบทดสอบหลังเรียนบทที่ ๓
๑๒. "แก่นของเรื่อง หมายถึงสิ่งที่ผู้อ่านต้องการถ่ายทอดผ่านวรรณกรรม"
ผู้อ่าน..ต้องอ่านทั้งเรื่องจึงจะ"สังเคราะห์" เป็นข้อคิดที่ได้อจากเรื่องที่อ่าน"....
จากข้อความนี้....ผู้อ่านต้องวิเคราะห์คุณค่าด้านใดจึงจะได้คำอธิบายของเรื่องนี้
๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๒. คุณค่าด้านสังคม
๓. คุณค่าด้านเนื้อหา
๔. คุณค่าด้านวาทศิลป์
๑๓. การวิเคราะห์อารมณ์ของการอ่านวรรณคดีพิจารณาจากองค์ประกอบต่างๆ ของ
วรรณกรรม ยกเว้นข้อใด
๑. บทสนทนาของตัวละคร
๒. ข้อคิดที่ปรากฏ
๓. พฤติกรรมที่ตัวละครกระทำ
๔. ฉาก เวลา สถานที่
๑๔. คุณค่าของวรรณคดีไทยอยู่ที่ใด
๑. ความงดงามและอรรถรสทางภาษา
๒. เรื่องราวน่าตื่นเต้นชวนติดตาม
๓. ความวิจิตรพิสดารเหนือธรรมดา
๔. ความกลมกลืนสอดคล้องของตัวละครและเรื่องราว
๙๕