The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nsmu_it, 2024-03-12 05:01:57

รายงานผลกิจกรรมการจัดการความรู้ ปีงบประมาณ 2562

รายงานผลกิจกรรมการจัดการความรู้ 2562

NSKnowledge Management [1] สรุปการกิจกรรมการจัดการความรู้ ประจ าปี 2562 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้ จึงได้จัดให้มีกระบวนการจัดการความรู้เป็นประจ าทุกปี โดยในปีที่ผ่านมา มีกิจกรรมการจัดการความรู้ ทั้งสิ้น 13 เรื่อง โดยแบ่งเป็นกิจกรรมการจัดการรู้จากแต่ละภาควิชา (การพัฒนาการเรียนการสอนและการวัด ประเมินผล) จ านวน 11 เรื่อง และกิจกรรมการจัดการความรู้ระดับคณะฯ (การพัฒนาคุณภาพงาน) จ านวน 2 เรื่อง โดยสามารถสรุปกิจกรรมการจัดความรู้ ได้ดังนี้ 1. “การพัฒนาการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล” ในรอบปีที่ผ่านมาพบว่า คณาจารย์ใน คณะพยาบาลศาสตร์มีความสนใจเรื่องการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาพยาบาล มีผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ ดีเป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญาการจัดการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยและหลักสูตร ปรับปรุงของคณะพยาบาลศาสตร์มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ OBE เป็นส าคัญ โดยมีรายละเอียดของแต่ละ กิจกรรมย่อย ดังนี้ 1.1 การใช้ Team base learning และ active learning ในการเรียนการสอนภาคทฤษฎี จ านวน 2 เรื่อง 1.2 การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยหุ่นสมรรถนะสูง (high fidelity simulation) ทั้งการจัดการ เรียนการสอนในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจ านวน 5 เรื่อง 1.3 การเขียนปัญหาทางการพยาบาลด้วย Concept care maps จ านวน 1 เรื่อง 1.4 การใช้โปรแกรม Google form และการใช้โปรแกรม Quizizz ในการจัดการเรียนการสอน ในห้องเรียน จ านวน 1 เรื่อง 1.5 การพัฒนาข้อสอบให้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้จ านวน 1 เรื่อง 1.6 การบูรณาการเรื่องการใช้ยาสมเหตุสมผลให้เข้าสู่การจัดการเรียนการสอนของนักศึกษา พยาบาล จ านวน 1 เรื่อง 2. “การพัฒนาคุณภาพงาน” พบว่า มีการด าเนินงานในระดับคณะฯ 2 เรื่อง ได้แก่ 2.1 การพัฒนาแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA ของ ผู้ประเมินในระดับคณะฯ 2.2 การบริหารความเสี่ยงตามแนวทางของมหาวิทยาลัยมหิดล มีรายละเอียดของการจัดกิจกรรมดังนี้


NSKnowledge Management [2] 1. “การพัฒนาการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล” การใช้ Team base learning และ active learning ในการเรียนการสอนภาคทฤษฎี เรื่องที่ 1 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง Team Based Learning อาจารย์ ดร.ศรินรัตน์ ศรีประสงค์วิทยากร นางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง Team Based Learning โดยมีอาจารย์ ดร.ศรินรัตน์ ศรีประสงค์ เป็นวิทยากร ในวันพุธที่ 23 มกราคม 2562 เวลา 14.00-16.00 น. ณ ห้อง 1103/1-2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ รูปที่ 1 ขั้นตอนของการเรียนแบบทีม Team Based Learning (TBL) เป็นวิธีการเรียนแบบห้องเรียนกลับทาง (Flip classroom) ที่มี โครงสร้างชัดเจนซึ่งในสมัยก่อน การเรียนยังท าเป็นแบบข้อทดสอบ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปมีการน าเทคโนโลยีมา ใช้งานจึงใช้แบบทดสอบแทน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อจ ากัดเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง แต่วิธีการเรียนแบบ TBL จะมีการ เตรียมนักศึกษาก่อนเข้าห้องเรียน โดยให้นักศึกษาอ่านหนังสือ ครูต้องมีเอกสารให้นักศึกษาเพื่อให้เวลา นักศึกษาได้อ่านอย่างเพียงพอ และมีการท าแบบฝึกหัดในห้องเรียน โดยการท าแบบทดสอบรายบุคคล Individual Readiness Assurance Test (iRAT) เป็นล าดับแรก ซึ่งเป็นการทดสอบว่านักศึกษามีความรู้ อย่างไร ในขั้นตอนนี้ยังไม่มีการเฉลย และไม่รู้คะแนน หลังจากนั้นจะเป็นการทดสอบแบบทีม หรือเรียกว่า Group Readiness Assurance Test (gRAT) โดยน าข้อสอบเดิมให้ท าแต่สามารถเปิดหนังสือ/ท าเป็นกลุ่ม/ ปรึกษาหารือเพื่อหาค าตอบที่ถูกต้อง หลังจากนั้นท าการ Discussion ร่วมกันว่าค าตอบถูกเพราะอะไร ค าตอบ ผิดเพราะอะไร มีข้อสงสัยตรงไหน ให้นักศึกษาชี้แจงกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของอาจารย์ ถ้าเหตุผลของ นักศึกษาฟังขึ้นจึงให้คะแนน หลังจากนั้นจะเริ่มประยุกต์ Application ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดอีกแบบฝึกหัดให้ นักศึกษาท า มีโจทย์ให้นักศึกษาได้วิเคราะห์ ในประเด็นนี้จะมีปัญหา ถ้าใช้เวลาในการท าแบบฝึกหัด 1 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น ในการท าหัวข้อของการพยาบาลอายุรศาสตร์จะให้แบบฝึกหัดน้อยๆ ถ้าเวลา 1 ชั่วโมง ในการ ท าข้อสอบเคยท าแบบทดสอบรายบุคคล (iRAT) ให้แบบฝึกหัด 10 ข้อนักศึกษาจะท าไม่ทัน จึงปรับวิธีการให้ ท าแบบฝึกหัด 5-6 ข้อใช้เวลา10 นาทีแรก หลังจากนั้นให้ท าการทดสอบแบบทีม (gRAT) ใช้เวลาท าแบบฝึกหัด


NSKnowledge Management [3] 20 นาที โดยท าข้อสอบเดิม หลังจากนั้นจะท าการ Discussion ใช้เวลา 10-15 นาที และ Application ใช้ เวลาประมาณ 15 นาที และสรุปโดยใช้เวลา 10 นาที ก่อนนี้จะใช้เวลาท าข้อสอบ 1.30 ชั่วโมง เนื่องจากข้อสอบเยอะมาก หลังจากปรับกระบวนการใหม่ สามารถท าได้และสามารถจ ากัดเวลาได้ภายใน 1 ชั่วโมงถือว่าเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก โดยแบบทดสอบรายบุคคล (iRAT) แบบทดสอบแบบทีม (gRAT) จะใช้Google Form และโปรแกรม Quizizz ในการจัดการเรียนแบบทีม ซึ่งพบว่า ไม่ต้องท ากระดาษค าตอบเอง และนักศึกษามีส่วนร่วมในการท า นักศึกษามีความพึงพอใจในการท า โดยมีbarcode ให้นักศึกษาสแกนท าข้อสอบเอง ตัวอย่าง ถ้ามีนักศึกษา จ านวน 39 คน สามารถตรวจสอบได้ว่านักศึกษาเข้าท าแบบทดสอบครบหรือยัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักศึกษาจะ scan ได้แค่ครั้งเดียว (โดยตั้งระบบว่าให้ท าเพียงครั้งเดียว) ซึ่งวิธีนี้คิดคะแนนได้ง่าย สามารถตรวจสอบได้ว่า นักศึกษาโกงหรือไม่ เพราะจะให้นักศึกษาระบุรหัส ชื่อ นามสกุล e-mail ชื่อกลุ่ม ก่อนการท าแบบทดสอบ รูปที่ 2 รูปแบบการเรียนการสอนก่อนที่จะใช้สื่อเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ การใช้สื่อเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ โดย Google form และ Quizizz น ามาใช้ในการจัดการเรียน แบบทีม Group Readiness Assurance Test (gRAT) ซึ่งเป็นข้อสอบเดียวกับการท าแบบทดสอบรายบุคคล Individual Readiness Assurance Test (iRAT) แต่นักศึกษาต้องมีคอมพิวเตอร์/ Notebook/ iPAD เนื่องจากต้องท าเป็นกลุ่มโดยให้นักศึกษาลงรหัส/ ชื่อกลุ่ม โดยวิธีนี้สามารถเห็นคะแนนได้เลย หากข้อเฉลยขึ้น


NSKnowledge Management [4] สีแดงคือผิด และหากข้อเฉลยขึ้นสีเขียวคือถูก โดยมีการจับเวลาในการท าแบบฝึกหัดแต่ละข้อ เคยใช้กับ นักศึกษาที่ติวประมาณ 200-300 คน ประโยชน์ของการจัดการเรียนแบบทีมด้วยการใช้สื่อเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ มีดังนี้ 1. เพื่อลดการใช้ทรัพยากร: เวลา กระดาษ และการท างานที่ซับซ้อนของอาจารย์ 2. เพื่อให้นักศึกษามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้จนกระทั่งเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 3. เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนแบบทีม รูปที่ 3 การจัดการเรียนแบบทีมด้วยการใช้สื่อเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งการสอนแบบทีมด้วยการใช้สื่อเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์นี้มีการติดตามนักศึกษาพร้อมทั้งมี แบบฝึกหัดให้เด็กว่าถ้าตอบผิดจะมีการบอกให้กลับไปทบทวนในข้อที่นักศึกษาตอบผิด กรณีถ้าท าไม่ได้สามารถ กลับไปดูที่ Google Class Room ได้ พร้อมมีแบบสะท้อนให้นักศึกษาท า เพราะจะสามารถรู้ได้ว่านักศึกษาได้ อะไรจากสิ่งที่ท า แนวทางการจัดเรียน Team Based Learning (TBL) 1. นักศึกษาต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองก่อนล่วงหน้า 2. ท าแบบทดสอบรายบุคคล Individual Readiness Assurance Test (iRAT) เพื่อทดสอบความรู้ ความเข้าใจของนักศึกษาที่ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองก่อนล่วงหน้า


NSKnowledge Management [5] 3. ท าแบบทดสอบแบบทีม Group Readiness Assurance Test (gRAT) 4. Discussion นักศึกษาเพื่อให้นักศึกษาตั้งใจอ่านหนังสือค้นคว้า/วิเคราะห์มากขึ้น และจะเกิดการ เรียนรู้ระยะยาวเกิดขึ้น อุปสรรคการจัดเรียน Team Based Learning (TBL) นักศึกษาไม่มีการเตรียมตัวอ่านศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองก่อนล่วงหน้า


NSKnowledge Management [6] เรื่องที่ 2 “การจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎี แบบ Active learning” รองศาสตราจารย์ ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณรัตน์ ศรีจันทรนิตย์ วิทยากร รองศาสตราจารย์ ดร.วัลยา ธรรมพนิชวัฒน์ ผู้ลิขิต ภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดกิจกรรมการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “การจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎี แบบ Active learning” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 เวลา 12.30 -14.00 น. ห้องประชุม 1103/1-2 โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณรัตน์ ศรีจันทรนิตย์ เป็นวิทยากร รองศาสตราจารย์ ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์ ได้น าเข้าสู่กิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยกล่าวถึง ความหมายและลักษณะส าคัญของการเรียนการสอนแบบ Active learning ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่า เนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง พร้อมทั้งยกตัวอย่าง กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active learning เช่น Active reading, Brainstorming, Agree & disagree statement, Carousel, Concept map, Gallery walk, Jigsaw, Problem/ project- based learning or Case study, Role playing, Think- pair- share, Predict- observe- explain, Clarification pause, Students’ reflection, Chain note, Analysis or reactions to videos บทบาทที่ส าคัญของผู้สอนคือ สร้าง บรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนใน ชั้นเรียน จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ท้าทายและหลากหลาย และวางแผนเกี่ยวกับเวลาในการจัดการเรียน การสอนอย่างชัดเจน ทั้งเนื้อหาสาระและกิจกรรม ทั้งนี้ ครูผู้สอนต้องใจกว้าง และยอมรับความสามารถในการ แสดงออกและความคิดเห็นของผู้เรียน สรุปประเด็นในการจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎี แบบ Active learning ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มี การอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ดังนี้


NSKnowledge Management [7] 1) ข้อดี/จุดแข็งของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่า นักศึกษาชอบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active learning ในวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และวิชาอื่นๆ ในภาคทฤษฎี เช่น Case-based learning, Team-based learning, Brainstorming เป็นต้น เพราะช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ และ สืบค้นข้อมูลเพื่อน ามาแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่ก าหนดให้ นอกจากนี้ กิจกรรมที่นักศึกษาได้น าเสนอและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ และอาจารย์ รวมทั้งได้ท าข้อสอบ Quiz ทั้งก่อน ในระหว่าง และหลังการ เรียน ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจและจดจ าเนื้อหาที่เรียนได้มากขึ้น ส าหรับด้านครูผู้สอน พบว่า การจัดการเรียน การสอนแบบ Active learning ช่วยลดเวลาในการสอนแบบบรรยาย และสามารถบูรณาการเนื้อหาที่เชื่อมโยง กันมาสอนไปพร้อมกันได้ 2) ความท้าทาย/ปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ชี้ประเด็นความยากล าบาก/ปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ดังนี้ 2.1 นักศึกษาชอบ/สนุกกับกิจกรรมแบบ Active learning แต่ไม่ต้องการให้สอนแบบนี้ ทุกหัวข้อ เพราะมีงานต้องอ่านมากในการเตรียมตัวเรียน มีอาจารย์หลายคนสอน และทุกคนต่างก็มอบหมายงานให้อ่าน โดยไม่ได้พิจารณาภาพรวมของงานทั้งหมด 2.2 แม้ว่าวิธีการสอนจะเน้นให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา แต่ข้อสอบส่วน ใหญ่ยังเน้นที่การวัดความจ าเนื้อหา นักศึกษาท าข้อสอบไม่ได้และคะแนนไม่ดี 3) แนวทางในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เสนอแนวทางในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้ 3.1 แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มย่อยๆ และจัดให้ครูสอนเป็นทีม เพื่อติดตามประเมิน พัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักศึกษาในภาพรวมได้ รวมทั้งพิจารณาปรับการ มอบหมายงานให้เหมาะสมกับการเรียนแบบ Active learning ทั้งรายวิชา 3.2 วางแผนออกแบบการสอนให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการวัดประเมินด้วยข้อสอบ (summative evaluation) และมีความเชื่อมโยงของเนื้อหาแต่ละหัวข้อด้วย 3.3 อาจมีการเตรียมวีดิโอสรุปเนื้อหาส าคัญของหัวข้อนั้นๆ เพื่อให้ศึกษาก่อนเรียน และ ใช้เวลาในห้องเรียนส าหรับการวิเคราะห์/แก้ไขปัญหาจากกรณีศึกษา การน าเสนอ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รวมทั้งการให้ข้อมูลป้อนกลับของครูผู้สอนด้วย 3.4 การประเมินผลควรมีทั้ง formative และ summative evaluation มีวิธีการ หลากหลาย โดยควรปรับข้อสอบให้สอดคล้องกับวิธีการสอน เช่น ข้อสอบวิเคราะห์ สถานการณ์ หรือข้อสอบอัตนัยตอบสั้นๆ เป็นต้น 3.5 ทีมผู้สอนควรมีการสังเกตการสอนในชั้นเรียน และให้ข้อมูลป้อนกลับแก่กัน เพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนแบบ Active learning ต่อไป


NSKnowledge Management [8] จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ ท าให้อาจารย์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทราบถึงแนวคิดของการจัด การเรียนการสอนแบบ Active learning ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความท้าทาย/ปัญหาที่พบในการจัดการเรียน การสอน และสามารถสรุปแนวทางในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ให้มีประสิทธิภาพต่อไป


NSKnowledge Management [9] การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยหุ่นสมรรถนะสูง (high fidelity simulation) ทั้งการจัดการเรียนการสอนในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เรื่องที่ 1 Them: Reducing Medical Errors with Simulation เรื่อง Overview simulation learning วันพุธที่ 20 มีนาคม 2562 ณ ห้อง 305 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร ผู้ช่วยอาจารย์จิรวรรณ มาลา ภาควิชาการพยาบาลรากฐานได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Overview simulation learning” โดยมีผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร เป็นผู้น ากิจกรรม ผู้ช่วยอาจารย์จิรวรรณ มาลา เป็นคุณอ านวย และผู้ช่วยอาจารย์ศิริลักษณ์ ผมขาว เป็นคุณลิขิต ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร ได้น าเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการจ าลองสถานการณ์โดยใช้ หุ่นสมรรถนะสูง นวัตกรรมส าหรับการเรียนการสอนนักศึกษาพยาบาล (High Fidelity Simulation: An Innovation Tool for Teaching Nursing Students) ดังนี้ การจ าลองสถานการณ์ (Simulation) นับได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีความจ าเป็นอย่างยิ่ง ในการช่วย ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลก่อนการฝึกปฏิบัติจริงบนหอผู้ป่วย เพื่อให้นักศึกษาพยาบาลมีความช านาญ คล่องแคล่ว และมั่นใจในการให้การพยาบาลที่ถูกต้องในการดูแล ผู้ป่วย โดยมีหุ่นหลากหลายรูปแบบท าหน้าที่ทดแทนผู้ป่วยจริงในโรงพยาบาล ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. หุ่นสมรรถนะต่ า (Low Fidelity Simulator) เป็นหุ่นที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์หรืออวัยวะของมนุษย์ แต่ไม่สามารถตอบสนองหรือเคลื่อนไหวได้ 2. หุ่นสมรรถนะปานกลาง (Moderate Fidelity Simulator) คือหุ่นจ าลองที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สามารถฟังเสียงหัวใจ ปอด ช่องท้อง ได้ แต่ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ 3. หุ่นสมรรถนะสูง (High Fidelity Simulator) เป็นหุ่นจ าลองที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสั่งงาน สามารถสร้างเสียงต่างๆ เช่น เสียงหัวใจ ปอด ช่องท้อง สร้างลักษณะทางกายภาพที่ปกติและผิดปกติได้ สามารถพูดโต้ตอบผ่านล าโพงในหุ่น และตอบสนองการดูแลของผู้ฝึกปฏิบัติได้ตามการสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์ จากการศึกษางานวิจัย พบว่า หุ่นสมรรถนะสูงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการสร้างสถาน จ าลองโดยใช้หุ่นสมรรถนะสูงเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติการพยาบาลโดยไม่ท าอันตรายต่อผู้ป่วย นักศึกษาพยาบาลสามารถฝึกปฏิบัติได้บ่อยครั้ง เหมาะส าหรับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและเฉียบพลันซึ่ง นักศึกษาอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นหรือให้ความช่วยเหลือจริงบนหอผู้ป่วย ช่วยในการป้องกันการผิดพลาด จากการให้ยาหรือให้การพยาบาลได้ นอกจากนี้การให้การสะท้อนกลับอย่างมีรายละเอียดและล าดับขั้นตอนที่ ชัดเจนภายหลังจากการฝึกปฏิบัติ (Debriefing) ช่วยให้นักศึกษาได้อภิปรายร่วมกันและกระตุ้นให้นักศึกษาเกิด กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ


NSKnowledge Management [10] ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม จากงานวิจัยแบบ Randomized Controlled Trial ของ José Miguel Padilha และคณะ ปีค.ศ. 2019 เรื่อง Clinical Virtual Simulation in Nursing Education: Randomized Controlled Trial ได้เสนอ ว่า การน า clinical virtual simulation มาใช้ในการเรียนการสอนในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์มีประสิทธิ์ภาพ มาก ช่วยพัฒนาความรู้ด้านการพยาบาล การตัดสินใจทางคลินิกและเพิ่มความพึงพอใจในการเรียนรู้ของ นักศึกษาพยาบาล โดยมีการน า clinical virtual simulation ซึ่งเป็นการพัฒนาเรื่องของ digital และ virtual technology และจ าลองสถานการณ์ที่เหมือนจริงบนหอผู้ป่วยในการฝึกโดยใช้ virtual patients ที่ควบคุม โดยระบบคอมพิวเตอร์แบบ touchscreen มีแบบฝึกหัดให้นักศึกษาพยาบาลได้ลองตัดสินใจ การสื่อสาร ภายในทีมและการท างานเป็นทีม ซึ่ง Clinical scenario ที่ใช้ฝึก เช่น การ monitoring the physiological parameters, การสังเกตและตรวจร่างกาย, การบริหารยาก่อนและหลังให้ยา เป็นต้น ภาพแสดง clinical virtual simulation in hospital environment นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเรื่องการลดความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา ได้กล่าวถึงอุบัติการณ์ที่พบคือ 2-5% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลทั่วโลก และผลที่เกิดขึ้นพบว่าเป็นอันตรายที่เกิดกับผู้ป่วย และท าให้เพิ่มต้นทุนในระบบการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้สาเหตุที่พบ คือ เกิดในระยะที่อยู่ระหว่างวงจรของ การให้ยา การสั่งยา และการบริหารยา, เกิดจากความละเลยในเรื่องการบริหารยา เช่น ยา ช่องทาง ขนาด ผู้ป่วย และเวลา และเกิดจากปัจจัยเชิงระบบ เช่น สิ่งแวดล้อม ตัวบุคคลที่ขาดความรู้ ทีม และองค์กร เป็นต้น ข้อถกเถียงในงานวิจัยนี้ คือ Mental skill เป็นความสามารถที่เพิ่มการตรวจจับความคลาดเคลื่อนได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือทีมสุขภาพมีจ านวนน้อยที่ได้เรียนรู้และฝึกฝนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี


NSKnowledge Management [11] ซึ่งเป้าหมายหลักของการศึกษางานวิจัยนี้คือ การเพิ่มความตระหนักรู้ของนักศึกษา และเพิ่มความเข้าใจของ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลยุทธ์การสอน ดังนี้ 1. หลักสูตรที่มุ่งเน้นความปลอดภัยในการบริหารยา เริ่มตั้งแต่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ให้ในชั้นเรียนต้องเพิ่มการเตรียมความพร้อมก่อนการปฏิบัติจริง ในเรื่อง 5-10 Rights และสมรรถนะในการค านวณยา และใช้วิธีการสอน Best practice, E-learning ในการบูรณา การความรู้ทางเภสัชวิทยากับทักษะการบริหารยา, วัฒนธรรมความปลอดภัย 2. สมรรถนะการค านวณยา พัฒนากิจกรรมการค านวณจากหน่วย น้ าหนัก ปริมาณ การค านวณสูตรทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และเพิ่มมาตรฐาน แฟ้มข้อมูล ให้ได้ความรู้และทักษะในการตรวจจับความคลาดเคลื่อน ความสามารถในการตรวจจับความผิดพลาด ปัญหาของผู้ป่วย การคิดวิเคราะห์ การสร้างความมั่นใจ และการระบุประเด็นส าคัญในการบริหารยา 3. ออกแบบกรณีศึกษาทางคลินิกจ าเพาะทางการพยาบาล ออกแบบโดยใช้สถานการณ์ทางคลินิกที่พบบ่อย ในวงจรของการให้ยา มีการพูดคุยแสดงความคิดเห็น คิดวิเคราะห์ โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เสนอแนะให้ความรู้ 4. การตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย เน้นบทบาทที่ชัดเจนในการสั่งยา การจ่ายยา และการบริหารยา ผลของยา โดยใช้ Short VDO แสดง ถึงปัจจัยเชิงระบบที่มีสถานการณ์ทางคลินิก แล้วมาอภิปรายร่วมกัน การน ามาประยุกต์ใช้จากที่ประชุม 1. จากการศึกษาเรื่อง Simulation in nursing education ควรการจัดสถานการณ์ในห้อง simulation ควรจัดความรู้ให้กับอาจารย์ที่ใช้ห้องก่อนใช้การเรียนการสอน นักศึกษาที่ใช้ห้อง simulation มีความช านาญ ความมั่นใจ ลดความตื่นเต้นเมื่อขึ้นปฏิบัติงานจริงบนหอผู้ป่วย 2. ปัจจุบันนี้ทางคณะพยาบาลฯ มีการใช้ห้อง simulation ในการเรียนการสอน เช่น การ checklist การพยาบาลในวิชาต่างๆ โดยอาจารย์ประจ าวิชาเป็นผู้ก าหนดสถานการณ์ และท า guideline ในการพยาบาลไว้ เอกสารอ้างอิง 1. นันทกานต์ มณีจักร.,(2560).การจ าลองสถานการณ์โดยใช้หุ่นสมรรถนะสูง นวัตกรรมส าหรับการเรียนการสอน นักศึกษาพยาบาล (High Fidelity Simulation: An Innovation Tool for Teaching Nursing Students).จุลสาร นวัตรกรรม;12 (45) p.11. 2. José Miguel Padilha et al. , (2019) . Clinical Virtual Simulation in Nursing Education: Randomized Controlled Trial. JOURNAL OF MEDICAL INTERNET RESEARCH; 21(3): e11529 doi:10.2196/11529


NSKnowledge Management [12] เรื่องที่ 2 Theme: Reducing Medical Errors with Simulation เรื่อง Simulation And Medication Errors in Medical Students วันที่ 24 เมษายน 2562 ณ ห้อง 303 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อาจารย์ธัญยรัชต์ องค์มีเกียรติ รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์คุ้มทวีพร ภาควิชาการพยาบาลรากฐานได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Reducing Medical Errors with Simulation; Simulation and Medication Errors in Medical Students” โดยอาจารย์ธัญยรัชต์ องค์มีเกียรติเป็นผู้น ากิจกรรม รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์คุ้มทวีพร เป็นคุณอ านวย และผู้ช่วยอาจารย์อภิรฎี พิมเสน เป็นคุณลิขิต ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ จากการศึกษาเรื่องช่วงปี ค.ศ.2010-2015 พบความคลาดเคลื่อนทางการบริหารยาถึงร้อยละ 37-51 จาก Adverse Events ภายในโรงพยาบาล ซึ่งความคลาดเคลื่อนทางการบริหารยานั้นน าไปสู่ค่าใช้จ่ายที่ เพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักพบว่ามาจากความผิดพลาดในการบริหารยาและการไม่ท าตามนโยบายในการบริหารยา การศึกษานี้ท าในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับแม่และเด็กขนาด 500 เตียง โดยผู้เข้าร่วม การศึกษามีแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และเภสัชกรเทคนิค (Pharmacy Technician) เพื่อเพิ่มความตระหนัก ของบุคลากรทางด้านสุขภาพ เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดจากระบบการใช้ยาของโรงพยาบาล จึงสร้าง Medication Errors Room เพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลเข้าร่วมสถานการณ์ที่ทีมสหสาขาเป็นผู้ ร่วมกันคิดทั้งหมดกว่า 30 สถานการณ์ และให้ผู้เข้าร่วมวิจัย ระบุสิ่งที่เป็นความเสี่ยงที่น าไปสู่ความผิดพลาดได้ รวมถึงตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในการเข้าร่วมวิจัย ผลพบผู้เข้าร่วมวิจัยสามารถระบุความเสี่ยง หรือความผิดพลาดในการบริหารยาได้ร้อยละ 67.5 ประเด็นที่ผู้เข้าร่วมวิจัยระบุได้น้อยที่สุด ได้แก่ การ ตกตะกอนของสารน้ าบริเวณ Y-site และผู้เข้าร่วมวิจัยพบว่าการเข้าร่วมวิจัยสามารถเพิ่มทักษะการระบุความ เสี่ยงเกี่ยวกับการบริหารยาได้ร้อยละ 97.8 และร้อยละ 84.4 ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารยาของ ตนเอง ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม 1. การสร้าง Medication Errors Room สามารถน ามาประยุกต์ใช้กับ Simulation learning (Simman) ที่มีอยู่แล้วได้สามารถเพิ่มความตระหนักและลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดในการบริหาร ยาได้อาจารย์ประจ ากลุ่มที่สอนเกี่ยวกับ Lab ควรจ าลองสถานการณ์ที่เกิด medication errors เพื่อฝึก นักศึกษาให้มีการคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจทางคลีนิก 2. การก าหนดวัตถุประสงค์และการวัดผลลัพธ์ในการใช้Medication Errors Room และ Simman ต้องชัดเจน และเป็นแนวทางเดียวกัน 3. ประเด็นส าคัญส าหรับการเรียนการสอนเรื่องยาในนักศึกษาพยาบาลที่จ าเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับ เภสัชวิทยา การบริหารยาส าหรับพยาบาล การค านวณยา และการคลาดเคลื่อนทางยา


NSKnowledge Management [13] 4. ก่อนการฝึกการฝึกปฏิบัติจริงบนหอผู้ป่วย นักศึกษาควรมีความรู้และได้รับการฝึกในเรื่อง การ บริหารยาโดยใช้หลัก 7 Right , Medical-Use Process , Medication Errors, Adverse Effect, Side effect 5. การเรียนการสอนในนักศึกษาพยาบาลเกี่ยวกับเรื่องยาก่อนฝึกปฏิบัติจริงของภาควิชาฯ ปัจจุบันมี แต่หัวข้อ Medical-Use Process ตามมาตรฐาน , Adverse Effect, Side effect ควรมีการจัดการเรียนการ สอนโดยเน้นสถานการณ์ เรื่อง ความเสี่ยงหรือการบริหารยาผิดพลาดเพิ่มขึ้น โดยการฝึกปฏิบัติใน ห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้น เอกสารอ้างอิง Daupin, J., Atkinson, S., Bédard,P., Pelchat,V., Lebel,D.& Bussières,J.F., (2016). Medication errors room: a simulation to assess the medical, nursing and pharmacy staffs’ ability to identify errors related to the medication-use system, Journal of Evaluation in Clinical Practice,22(6) . Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111 /jep.12558 Sarfati,L., Ranchon,F., Vantard,N., Schwiertz,V., Larbre,V., Parat.S., et al., (2019). Humansimulation-based learning to prevent medication error: A systematic review, Journal of Evaluation Clinical Practice,25(1). Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/ full/10.1111/jep.12558 Sanko,JS. & Mckay,M., (2017). Impact of Simulation-Enhanced Pharmacology Education in Prelicensure Nursing Education, Nurse Education, 42( 5) . Retrieved from https:// www. N cbi.nlm.nih.gov/pubmed/28832460


NSKnowledge Management [14] เรื่องที่ 3 ผลการประเมินและปัญหาเกี่ยวกับการใช้ Simulation ในวิชาทักษะพื้นฐาน วันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ณ ห้อง 303 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดีเชาว์อยชัย อาจารย์ธัญยรัชต์องค์มีเกียรติ ภาควิชาการพยาบาลรากฐานได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ผลการประเมินและปัญหา เกี่ยวกับการใช้ Simulation ในวิชาทักษะพื้นฐาน” โดยผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดีเชาว์อยชัยเป็นผู้น ากิจกรรม อาจารย์ธัญยรัชต์ องค์มีเกียรติเป็นคุณอ านวย และผู้ช่วยอาจารย์จิรวรรณ มาลา เป็นคุณลิขิต ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ จากการจัดการเรียนการสอนวิชา พยคร 218 ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล ซึ่งเป็นรายวิชาที่ ภาควิชาการพยาบาลรากฐาน รับผิดชอบ ผลการประเมินการเรียนการสอน ดังรายละเอียด ดังนี้ การจัดหัวข้อ การวิเคราะห์สถานการณ์จ าลอง ในห้องปฏิบัติการ Simulation ปัญหา/อุปสรรคการจัดการเรียนการสอน 1.1 เนื่องจากระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติสั้น มีวันหยุดพิเศษเพิ่มขึ้น แต่เนื้อหาการเรียน และกิจกรรม การพยาบาลที่นักศึกษาต้องฝึกปฏิบัติมีจ านวนมาก ท าให้นักศึกษามีเวลาฝึกเสมือนจริงในห้อง Simulation น้อยลง ข้อเสนอแนะ/ปรับปรุง อาจารย์ประจ ากลุ่มได้ปฐมนิเทศ และพาเยี่ยมชมห้อง Simulation และได้จัดสถานการณ์เกี่ยวกับการ พยาบาลพื้นฐาน การบริหารยา อย่างง่าย ให้นักศึกษาได้ฝึกเพียง 1-2 ครั้ง ต่อกลุ่ม และยังได้แก้ปัญหาโดย จัด ให้มีการสอน active learning เช่น การสอนห้องเรียนกลับด้าน (Flip classroom) และการศึกษาบทเรียน ออนไลน์ (SPOC) มากกว่าร้อยละ 50 เพื่อให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนการสอนมากขึ้นเพิ่มการวิเคราะห์ สถานการณ์ และการตัดสินใจ เกี่ยวกับการบริหารยาเพิ่มขึ้น ในทุกๆกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารยา เช่น การฉีดยา การบริหารยาทางปาก 1.2 หุ่นสมรรถนะสูง (High fidelity simulation) หรือ Sim man ไม่ท างาน เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน ข้อเสนอแนะ/ปรับปรุง ควรจัดให้มีการซ่อมบ ารุง และตรวจสอบความพร้อมเป็นประจ า ก่อนใช้งาน ข้อเสนอการด าเนินการเพื่อปรับปรุงวิธีสอนวิชา ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล การปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลในห้องปฏิบัติการพยาบาล เตรียมอาจารย์ผู้สอนโดยการประชุม เตรียมความพร้อมก่อนการสอนหรือเมื่อมีปัญหา เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันและให้การสอนเป็นไป ในแนวทางเดียวกัน ท าให้การสอนนักศึกษาจ านวนมากมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพิ่มการฝึกสอนให้กับ นักศึกษาที่สามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ให้เป็นผู้ช่วยฝึกสอนให้กับเพื่อนในกลุ่ม


NSKnowledge Management [15] การสอนทฤษฎี เพิ่มการเรียนบทเรียนออนไลน์ SPOC เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองมาก ขึ้น และเพิ่มความเข้าใจก่อนเข้าเรียน ซึ่งในการเข้าเรียนจะเป็นการเรียนรู้แบบอภิปราย หรือตัวอย่าง สถานการณ์ เพื่อท าให้นักศึกษาได้มีการเรียนรู้ และการคิดวิเคราะห์ ที่จะท าให้นักศึกษาเข้าใจบทเรียนมากขึ้น


NSKnowledge Management [16] เรื่องที่ 4 ถอดบทเรียนจากการจัดการอบรม การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยหุ่นสมรรถนะสูง (High fidelity simulation) และการน ามาใช้สอนเรื่อง medication errors วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562 ณ ห้อง 302 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร ผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดี เชาว์อยชัย ภาควิชาการพยาบาลรากฐานได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “ถอดบทเรียนจากการจัดการ อบรม การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยหุ่นสมรรถนะสูง (High fidelity simulation) และการน ามาใช้สอน เรื่อง medication errors” โดยผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร เป็นผู้น ากิจกรรม ผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดี เชาว์อยชัย เป็นคุณอ านวย และผู้ช่วยอาจารย์จิรวรรณ มาลา เป็นคุณลิขิต ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร แจ้งว่า จากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การพัฒนาการเรียน การสอนด้วยหุ่นสมรรถนะสูง (High fidelity simulation) ในวันที่ 20-21 มิถุนายน 2562 นั้น ได้รับความ สนใจจากอาจารย์หลากหลายภาควิชา เช่น ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์ ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์ และภาควิชาการพยาบาลรากฐาน เข้าร่วมอบรม โดยมีเนื้อหาในการอบรม ดังนี้ หุ่นสมรรถนะสูง (High Fidelity Simulator) เป็นหุ่นจ าลองที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสั่งงาน สามารถ สร้างเสียงต่างๆ เช่น เสียงหัวใจ ปอด ช่องท้อง สร้างลักษณะทางกายภาพที่ปกติและผิดปกติได้ สามารถพูด โต้ตอบผ่านล าโพงในหุ่น และตอบสนองการดูแลของผู้ฝึกปฏิบัติได้ตามการสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์ จากการศึกษางานวิจัย พบว่า หุ่นสมรรถนะสูงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการสร้างสถาน จ าลองโดยใช้หุ่นสมรรถนะสูงเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติการพยาบาลโดยไม่ท าอันตรายต่อผู้ป่วย นักศึกษาพยาบาลสามารถฝึกปฏิบัติได้บ่อยครั้ง เหมาะส าหรับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและเฉียบพลันซึ่ง นักศึกษาอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นหรือให้ความช่วยเหลือจริงบนหอผู้ป่วย ช่วยในการป้องกันการผิดพลาด จากการให้ยาหรือให้การพยาบาลได้ นอกจากนี้การให้การสะท้อนกลับอย่างมีรายละเอียดและล าดับขั้นตอนที่ ชัดเจนภายหลังจากการฝึกปฏิบัติ (Debriefing) ช่วยให้นักศึกษาได้อภิปรายร่วมกันและกระตุ้นให้นักศึกษาเกิด กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ การท า Debriefing หรือการอภิปรายหลังสถานการณ์จ าลองเป็นจุดส าคัญที่สุดของการใช้สถานการณ์ จ าลอง เพื่อการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพ รวมถึงจุดประสงค์อื่นๆ รูปแบบของการท า debriefing 1. Plus/Delta model debriefing เหมาะกับการ Debriefing ที่มีเวลาจ ากัด ซึ่ง Plus คือ มีอะไรบ้างที่ท าได้ดี Delta คือ มีพฤติกรรมใด ที่ยังท าได้ไม่ดี/เป็นจุดอ่อน


NSKnowledge Management [17] 2. GAS model เหมาะกับผู้สอนที่มีประสบการณ์มาก G: Gathering Data คือ การรับฟังและท าความเข้าใจในทัศคติของผู้เรียนที่มีต่อพฤติกรรมที่แสดงออก (ให้หัวหน้าทีมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จ าลอง สมาชิกช่วยเสริมรายละเอียด) A: Analysis คือ ช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนสะท้อนความรู้สึก และวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเอง (ทบทวน จุดดี จุดอ่อน สิ่งท้าทาย) S: Summary ช่วยสรุปบทเรียนที่ ได้รับจากสถานการณ์จ าลอง (น าสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้อย่างไร และ จะพัฒนาตนเองเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง) 3. SHARP model เหมาะส าหรับผู้สอนที่มีประสบการณ์น้อย S: Self Learning Objectives จากสถานการณ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง H: How do it go อะไรที่ท าได้ดีเพราะอะไร A: Address concern อะไรที่ท าได้ไม่ดีเพราะอะไร ผู้สอนสังเกตเห็นว่า... R: Review Learning Point ที่ได้ฝึกสถานการณ์ไป ผู้เรียนได้ท าตามเป้าหมาย อย่างไร ผู้เรียนได้ เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม P: Plan Ahead ผู้เรียนคิดว่าครั้งต่อไปจะท าอะไรให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ผู้อบรมยังได้เข้าร่วมฝึกปฏิบัติ มีการวางแผน เขียน Scenario ซึ่งมีอาจารย์ธัญยรัชต์ องค์มีเกียรติ, ผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดี เชาว์อยชัย และผู้ช่วยอาจารย์ศิริลักษณ์ ผมขาว ได้เขียน Scenario เกี่ยวกับ Medication error และได้ทดลองใช้กับผู้เข้าอบรมโดยหุ่นสมรรถนะสูง (High Fidelity Simulator) เพื่อเตรียมความพร้อมส าหรับสอนนักศึกษาต่อไป


NSKnowledge Management [18] เรื่องที่ 5 Theme: Reducing Medical Errors with Simulation เรื่อง Using Simulation to Teach Medication Errors in Nursing Students 2 วันที่ 25 กรกฎาคม 2562 เวลา 13.00-14.00 น. ณ ห้อง 303 ผู้ช่วยอาจารย์ศิริลักษณ์ สิทธิโชคสกุลชัย ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร ภาควิชาการพยาบาลรากฐานได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “Reducing Medical Errors with Simulation; Simulation and Medication Errors in Medical Students” โดยผู้ ช่ ว ยอ า จ า ร ย์ ศิริลักษณ์ สิทธิโชคสกุลชัย เป็นผู้น ากิจกรรม ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักรเป็นคุณอ านวย และผู้ช่วยอาจารย์อภิรฎี พิมเสนเป็นคุณลิขิต ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ การพัฒนาความรู้และสมรรถนะในการบริหารยาของพยาบาลวิชาชีพอาจจะสามารถลดความ ผิดพลาดในการบริหารยา ซึ่งการบริหารยานั้นเป็นกิจกรรมที่ส าคัญมากของพยาบาลวิชาชีพและยังนับว่าเป็น ทักษะที่ยากมากหนึ่งทักษะที่จะพัฒนาให้เชี่ยวชาญ โดยการวิจัยนี้ท าการสุ่มนักเรียนพยาบาลเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 85 ราย ใช้การทดสอบก่อนและหลังเพื่อวัดประสิทธิผลของประสบการณ์การเรียน การสอนเรื่องการบริหารยาผิดพลาด โดย Simulation ผลการวิจัยพบว่านักเรียนพยาบาลมีประสบการณ์การ เรียนการสอนเกี่ยวกับการบริหารยาผิดพลาดที่ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ดังนั้น การใช้ Simulation เพื่อการเรียนการสอนในหัวข้อความผิดพลาดในการบริหารยาน่าจะมีประโยชน์ในแง่เพิ่ม มาตรฐานความปลอดภัยในการบริหารยาได้ ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม 1. การใช้ Simulation เพื่อการเรียนการสอนในหัวข้อการบริหารยาของคณะพยาบาลศาสตร์ อาจจะยังไม่เหมาะสม เนื่องจากทางคณะฯ มีหุ่นสมรรถนะสูงเพียง 1 ตัว น่าจะไม่เพียงพอต่อจ านวนนักศึกษา ทั้งชั้นปี โดยการใช้การแสดงบทบาทสมมติน่าจะเหมาะสมในกรณีนี้มากกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจ ากัดด้าน จ านวนนักศึกษา 2. จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018 พบว่าการใช้ Simulation ร่วมกับการเรียน การสอนด้วยวิดีโอสามารถเพิ่มทัศนคติและความตระหนักเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยในการบริการยาของ นักศึกษาพยาบาลได้ จึงน่าจะน าการเรียนการสอนด้วยวิดีโอในหัวข้อดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับทางคณะฯ ได้ 3. การเรียนการสอนวิชาทักษะการพยาบาลพื้นฐาน พยคร 218 ในหัวข้อการบริหารยานั้น สามารถ ท าควบคู่กับการท าการวิจัยดังกล่าวไปพร้อมๆ กันได้ โดยคณาจารย์ผู้ร่วมสอน ต้องเพิ่มวางแผนงานวิจัยและ การเรียนการสอนในระยะเวลาอันใกล้นี้


NSKnowledge Management [19] เอกสารอ้างอิง Jarvill, M., Jenkins, S., Akman, O., Astroth, K. S.,Pohl C., & Jacobs, P. J. (2018). Effect of Simulation on Nursing Students’ Medication Administration Competence. Clinical Simulation in Nursing, 14, 3-7. Sarfati,L., Ranchon,F., Vantard,N., Schwiertz,V., Larbre,V., Parat.S., et al. (2019). Humansimulation-based learning to prevent medication error: A systematic review, Journal of Evaluation Clinical Practice,25(1). Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/ full/10.1111/jep.12558


NSKnowledge Management [20] กิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้“การเขียนปัญหาทางการพยาบาลด้วย Concept Care Maps” รองศาสตราจารย์ ดร.วัลยา ธรรมพนิชวัฒน์ วิทยากร อาจารย์ชนิตา ตัณฑเจริญรัตน์ ผู้ลิขิต ภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดกิจกรรมการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “การเขียนปัญหาทางการพยาบาลด้วย Concept Care Maps” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2562 เวลา 12.30 -14.00 น. ห้อง 1103/1-2 โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.วัลยา ธรรมพนิชวัฒน์ เป็นวิทยากร รองศาสตราจารย์ ดร.วัลยา วิทยากร ได้น าเข้าสู่กิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยกล่าวถึง วัตถุประสงค์การน า Concept Care Maps มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักศึกษาได้ฝึก คิดอย่างเป็นระบบและมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) โดยแบ่งประเด็นในการพูดคุยเป็น 3 ประเด็น คือ 1) รูปแบบการเขียนปัญหาทางการพยาบาลด้วย Concept Care Maps 2) ตัวอย่างการเขียน Concept Care Maps ในคลินิก และ 3) การน า Concept Care Maps ไปใช้ในการสอนภาคปฏิบัติ และการเขียนต ารา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ Concept Care Maps คือ Diagram ที่แสดงปัญหาของผู้ป่วย และการปฏิบัติการพยาบาล มีการ น ามาใช้เพื่อจัดกลุ่มข้อมูลของผู้ป่วย วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูล ก าหนดล าดับความส าคัญของปัญหา ช่วยให้ทีมที่ให้การดูแลรักษาเห็นภาพรวมของสถานการณ์ของผู้ป่วย และช่วยพัฒนารูปแบบแนวคิดร่วมกัน (a shared mental model) เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้ ขั้นตอนของการเขียน Concept Care Maps มี 5 ขั้นตอน คือ 1) ก าหนดปัญหาที่ส าคัญของผู้ป่วย โดยมี 2 ส่วนที่ส าคัญ คือ เหตุผลที่ต้องได้รับการดูแลรักษา และปัญหาส าคัญ 2) สนับสนุนปัญหาด้วยข้อมูล ทางคลินิกของผู้ป่วย โดยระบุการประเมินที่ส าคัญ 3) ลากเส้นเชื่อมโยงปัญหาที่สัมพันธ์กัน โดยใช้ตัวเลข จัดล าดับความส าคัญของปัญหา 4) เขียนปัญหาเป็นข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ก าหนดเป้าหมาย ผลลัพธ์ และ การปฏิบัติการพยาบาล โดยระบุ 4.1) การประเมิน และการเฝ้าติดตามในเรื่องที่ส าคัญและ 4.2) กิจกรรมใน การบ าบัดรักษายาที่ได้รับ และการสอนผู้ป่วย 5) ประเมินการตอบสนองของผู้ป่วย ทั้งนี้วิทยากรได้ยกตัวอย่าง ประกอบการบรรยายในเรื่องการเขียน Concept Care Maps ในคลินิกด้วย สรุปประเด็นในการเขียนปัญหาทางการพยาบาลด้วย Concept Care Maps ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มี การอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ดังนี้ 1) ปัญหาที่พบในการน าไปใช้ในการสอนภาคปฏิบัติ พบว่า มีปัญหาในการน าไปใช้ 2 เรื่อง คือ 1) อาจารย์บางคนอาจยังไม่เข้าใจสัญลักษณ์ที่ใช้ในการ เขียน Concept Care Maps เช่น กากบาท เส้นประ เป็นต้น ท าให้อาจมีรูปแบบการเขียนที่แตกต่างกัน 2) อาจารย์บางคนไม่ได้มอบหมายให้นักศึกษาทุกคนเขียน Concept Care Maps แต่ให้เขียนเป็น Mind Mapping ในเรื่องที่นักศึกษาจ าเป็นต้องทราบในหอผู้ป่วยนั้นๆ เช่น การให้ออกซิเจน เป็นต้น ทั้งนี้วิทยากรได้ เสนอแนะว่า ควรให้นักศึกษาทุกคนเขียน Concept Care Maps เนื่องจากเป็นกระบวนการฝึกให้นักศึกษาได้ คิดวิเคราะห์ข้อมูลจริงของผู้ป่วย


NSKnowledge Management [21] 2) แนวทางการน าไปใช้ในการสอนภาคปฏิบัติ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นด้วยกับการน า Concept Care Maps ไปใช้ในการสอนภาคปฏิบัติซึ่งสามารถ มองเห็นกลไกในการเกิดพยาธิสภาพของโรค และสามารถเชื่อมโยงปัญหาของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ส าหรับ จุดเริ่มต้นในการเขียน Concept Care Maps นั้น สามารถเริ่มต้นจากพยาธิสภาพของโรคตามการวินิจฉัย หรือ อาการที่ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลก็ได้ วิทยากรได้เสนอแนะแนวทางการเขียน Concept Care Maps ในการสอนภาคปฏิบัติว่า ควรลดการ เขียนกลไกการเกิดพยาธิสภาพของโรคลง เพิ่มเติมข้อมูลสนับสนุนในเรื่องการรักษา หรือยาที่ผู้ป่วยได้รับ และ อาจไม่ต้องระบุรายละเอียดของกิจกรรมการพยาบาล 3) แนวทางการน าไปใช้ในการเขียนต าราทางการพยาบาล ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นด้วยกับการน า Concept Care Maps ไปใช้ในการเขียนต าราทางการพยาบาล เพราะท าให้รูปแบบต ารามีความกระชับมากขึ้น และมีภาพสรุปของการพยาบาลที่ชัดเจนขึ้น จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ ท าให้อาจารย์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทราบถึงการเขียนปัญหาทางการ พยาบาลด้วย Concept Care Maps ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาการน าไปใช้ในการเรียนการสอน และสามารถสรุปแนวทางการน า Concept Care Maps ไปใช้ในการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ และการเขียน ต าราทางการพยาบาลต่อไป


NSKnowledge Management [22] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การใช้โปรแกรม Google Form และการใช้โปรแกรม Quizizz” อาจารย์ ดร.ศรินรัตน์ ศรีประสงค์ วิทยากร นางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง การใช้โปรแกรม Google Form และการใช้โปรแกรม Quizizz โดยมีอาจารย์ ดร.ศรินรัตน์ ศรีประสงค์ เป็นวิทยากร ในวันพุธที่ 28 มีนาคม 2562 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ห้องคอมพิวเตอร์ 503 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บางกอกน้อย รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ Google Form เป็นส่วนหนึ่งในบริการของกลุ่ม Google Docs ที่ช่วยให้เราสร้างแบบสอบถาม ออนไลน์ หรือใช้ส าหรับรวบรวมข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Google Form ผู้ใช้สามารถน าไปปรับประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น - การส ารวจความพึงพอใจหรือความเห็น - การเก็บข้อมูลแทนการกรอกแบบฟอร์มกระดาษ - การท าแบบทดสอบ - การท าแบบฟอร์มลงทะเบียน ขั้นตอนการท า Google Form 1. ต้องเป็นสมาชิก Google Account หรือมีgmail 2. พิมพ์หา google account เพื่อ sign in ตามรูป 3. เข้าไป click ที่ Apps หรือค้นค าว่า Google form


NSKnowledge Management [23] เข้าสู่หน้า google form จะมีtemplate ให้เลือก Blank: ว่าง สร้างใหม่หมด Blank Quiz: ว่าง แต่ จัดให้เป็น quiz Test Chawalit 15nov เป็นตัวอย่างแบบฝึกหัด อาจเอาไปใช้และเปลี่ยนชื่อได้ วิธีท ำกำรสร้ำงข้อสอบ ๑ 1. การตั้งชื่อแบบทดสอบ พร้อมค าอธิบายว่าแบบทดสอบเป็นเช่นไร 2. ข้อมูลนักศึกษา พิมพ์ ชื่อ – นามสกุล ที่ untitled question เลือกที่ Multiple choice เป็น Short amswer 3 1 2 3 4. โดยตั้งเป็น required 1 5 คลิกที่ เครื่องหมาย บวก จะได้ข้อค าถาม ใหมขึ้นมา 6 เติมข้อมูลนักศึกษา เช่น รหัส ชั้นปี กลุ่ม ตามที่อาจารย์ต้องการ ตามข้อ 2-4 1


NSKnowledge Management [24] วิธีท ำกำรสร้ำงข้อสอบ ๒ 1. เริ่มท าข้อสอบแบบปรนัยสี่ตัวเลือก ถ้าใครมีข้อค าถามที่เตรียมมาสามารถ copy ค าถามวางที่ Question (ถ้าต้องการสลับข้อ ไม่ต้องใส่หมายเลขข้อในค าถาม) และ copy ตัวเลือก โดยไม่ให้ติด 1,2,3,4 หรือ ก,ข,ค,ง เพื่อเวลาท าให้ตัวเลือกสลับได้ โดย click ที่ 3&4 วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๓ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ค าตอบสั้นเลือก Short answer ค าตอบยาว เป็นหลายย่อหน้า เลือก Paragraph ถ้าเป็นค าตอบตัวเลือก สามารถใช้Multiple choice, Checkboxes, Dropdown ถ้าต้องการค าตอบเป็น File ก็เลือก File upload (ข้อจ ากัด คือ ถึงแม้เราจะตั้งให้ตอบ ถูกได้หลายข้อ แต่นศจะเลือกตอบได้ เพียงข้อเดียว) 5 click answer key ตั้งค าตอบที่ถูกต้อง และ ตั้งคะแนน 1 ค าถาม 2 ตัวเลือก


NSKnowledge Management [25] วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๔ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบหลายตัวเลือก แบบสอบถาม วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๕ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบแบบจับคู่ มี 2 แบบ คือ Multiple choice grid และ Checkbox grid คนท าจะเห็นแบบนี้ Multiple choice grid


NSKnowledge Management [26] วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๖ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบแบบจับคู่ มี 2 แบบ คือ Multiple choice grid และ Checkbox grid วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๗ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบแบบจับคู่ มี 2 แบบ คือ Multiple choice grid และ Checkbox grid คนท าจะเห็นแบบนี้ Checkbox grid


NSKnowledge Management [27] วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๘ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบแบบจับคู่ มี 2 แบบ คือ Multiple choice grid และ Checkbox grid วิธีกำรสร้ำงข้อสอบ ๙ 1. การเลือกใช้ค าตอบสามารถเลือกค าตอบได้หลายแบบ ถ้าต้องการค าตอบแบบตอบเป็นวัน หรือ เวลา ให้เลือกด้านล่าง คนท าจะเห็นแบบนี้ คนท าจะเห็นแบบนี้ คนท าจะเห็นแบบนี้ คนท าจะเห็นแบบนี้ 9


NSKnowledge Management [28] ลูกเล่นประกอบ 1. การเพิ่มข้อค าถาม 2. การแทรกชื่อและค าอธิบาย (Title & Description) 3. การแทรกรูปภาพ 4. การแทรกวิดีโอ จาก YouTube หรือ url 5. การแบ่งข้อสอบเป็นส่วนๆ (section) กำรตั้งค่ำต่ำงๆ 1. การเปลี่ยนสีม่วงให้เป็นลวดลายหรือสีต่างๆ 2. การดูภาพตัวอย่างของแบบสอบถาม (preview) 3. การตั้งค่า 4. การส่งออกเพื่อให้นักศึกษาท า 5. การตั้งค่าต่างๆ ตามรูป 2 3 4 5 1 3 5 1 2 3 4 5


NSKnowledge Management [29] กำรตั้งค่ำต่ำงๆ (ต่อ) 1. การเปลี่ยนสีม่วงให้เป็นลวดลายหรือสีต่างๆ สามารถเลือกรูปภาพมาใส่จากคอมพิวเตอร์ หรือจาก web โดยใส่ URL หรือจะเลือกเปลี่ยนสีพื้นได้ สามารถเปลี่ยน Font ที่ใช้ในแบบทดสอบได้ 1. การตั้งค่าเมื่อกดจอจะปราฎกการตั้งค่า ดังนี้ Tab 1 General เป็นการตั้งค่า ว่าจะเก็บ e-mail นักศึกษาไหม ความต้องการให้นักศึกษาใช้เฉพาะ EDU ของมหาวิทยาลัย การจ ากัดการตอบเพียงครั้งเดียว การให้ผู้ตอบแก้ไขได้ หรือเห็นสรุปการตอบ เมื่อคลิกที่เครื่องหมาย ? จะมีค าอธิบายขึ้น


NSKnowledge Management [30] การตั้งค่าต่างๆ (ต่อ) 2. การตั้งค่าเมื่อกดจอจะปรากฎการตั้งค่า ดังนี้ Tab 2 Presentation เป็นการตั้งค่า ให้ผู้ตอบเห็นว่าตอบไปถึงไหน การสลับข้อค าถาม การแสดงให้เห็น Link เพื่อตอบใหม่ และอาจมีการให้การตอบกลับว่า นักศึกษาได้ท าแล้ว เขียนไว้ 3. การตั้งค่าเมื่อกดจอจะปรากฎการตั้งค่า ดังนี้ Tab 3 Quiz เป็นการตั้งค่า ท าแบบทดสอบเป็น Quiz การให้คะแนน ให้นักศึกษาทราบทันทีที่ส่ง หรือเก็บไว้ก่อน (ในกรณี IRAT ไม่อยากให้นักศึกษาทราบ) สิ่งที่จะให้ผู้ตอบเห็น ค าตอบที่ผิด ค าตอบที่ถูก ค่าคะแนน เมื่อตั้งเสร็จ ก็กด SAVE


NSKnowledge Management [31] 4. การส่งออกเพื่อให้นักศึกษาท าเมื่อกดจอจะปรากฎการตั้งค่า ดังนี้ ส่งทาง e-mail นักศึกษา ได้ link ไปท า QR Codes หรือ Embedded HTML หรือสร้างแชร์ไปใน Facebook, Twitter ได้ ผลการสอบของนักศึกษา กดที่ response จะได้คะแนนของนศ. เป็นExcel sheet


NSKnowledge Management [32] ขั้นตอนการท า QUIZIZZ 1. พิมพ์ค าว่า Quizizz ลงใน google 2. Click ที่ Log in 3. เลือกว่าจะ log in ด้วย Gmail หรือ ใช้ Username & password ซึ่งต้องสมัคร ก่อน


NSKnowledge Management [33] การสร้างแบบทดสอบ กดที่ 1 กำรสร้ำงแบบทดสอบใน QUIZIZZ 1. เมื่อขึ้นรูปนี้ ให้ใส่ชื่อ Quiz ในช่องที่ 1 2. หารูปภาพมาใส่ เพิ่มสีสรร รูปจากคอมพิวเตอร์ หรือ web 3. เลือกภาษาที่ใน Quiz 4. กดปุ่ม Create quiz


NSKnowledge Management [34] Click ที่นี่ ถ้ามีข้อค าถามก็ copy มาวางที่ Question 1 ได้เลย ซึ่งอาจใส่รูปภาพประกอบก็ได้ ที่ Image ค าถามที่ พิมพ์จะปรากฏที่หน้าจอด้านล่าง 1 จะเลือกค าตอบถูก 1 ข้อ หรือมากกว่าได้ แต่ถ้าเด็ก ตอบไม่ครบ จะไม่ได้ คะแนนเลย 2 เสร็จแล้วกด save 5 ค าตอบก็พิมพ์ตามข้อ เลยสามารถใส่รูปได้ และก าหนดข้อถูกด้วย 3 สามารถก าหนดเวลาให้ท าได้ ว่าต้องการกี่นาที 4


NSKnowledge Management [35] เมื่อพิมพ์เสร็จ ได้ตามที่ ต้องการ ก็ click finish Quiz


NSKnowledge Management [36] รายงานที่เด็กท าได้ สามารถ download ถ้าต้องการดูรายงาน อ่านละเอียดก็มีแสดง ให้เห็นตามภาพ


NSKnowledge Management [37] สามารถสร้างตัวตอบของเราเองได้ สร้างรายละเอียดของตนเอง


NSKnowledge Management [38] กิจรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง การบูรณาการเรื่องการใช้ยาสมเหตุสมผลให้เข้าสู่การจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาพยาบาล ผู้ช่วยศาสตราจารย์วันดี โตสุขศรี วิทยากร ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรรณิภา บุญเทียร ผู้ลิขิต ผู้ช่วยอาจารย์ลลิต์ภัทร เพียรหาสิน และผู้ช่วยอาจารย์ชิดชนก เบ็ญจสิริสรรค์ ผู้ช่วยลิขิต วันพุธ ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐-๑๔.๐๐ น. ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “การใช้ยาสมเหตุสมผล ณ ห้อง ๙๐๑ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตบางกอกน้อย โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม คือ อาจารย์ประจ าภาควิชาฯ สรุปดังนี้ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (rational drug use) องค์การอนามัยโลกให้ค าจ ากัดความว่า “ผู้ป่วยได้รับ ยาที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพ โดยใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ด้วยระยะเวลาการรักษา ที่เหมาะสม และมีค่าใช้จ่ายต่อชุมชนและผู้ป่วยน้อยที่สุด” องค์ประกอบของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ได้แก่ มีข้อบ่งชี้ (Indication) ใช้ชนิดที่เหมาะสม (Proper & Appropriateness) ถูกขนาดและถูกวิธี (Dosage & Administration) ถูกเวลาและระยะเวลาที่ให้ (Right Time & Right Duration) และราคาเหมาะสม (Reasonable Cost) การสงเสริมการใชยาอยางสมเหตุผลในโรงพยาบาล หรือ RDU Hospital เปนการบูรณาการมาตรการ เพื่อสงเสริมการใชยาอยางสมเหตุผลในโรงพยาบาล ตามนโยบายแหงชาติดานยาและแนวทางขององคการ อนามัยโลกไปสูการปฏิบัติอย่างเปนรูปธรรม RDU Hospital มีวัตถุประสงคเพื่อสรางตนแบบของโรงพยาบาล สงเสริมการใชยาอยางสมเหตุผล โดยการสนับสนุนเครื่องมือและใชกลไกเครือขายเพื่อสงเสริมการใชยา อยางสมเหตุผล เพื่อรวมกันแกปญหาการใชยาไมสมเหตุผลที่มักพบในระบบยาของโรงพยาบาล ตั้งแตการ คัดเลือกยา การจัดหา การสั่งใชยา การจายยา ส าหรับบทบาทของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล สภาการพยาบาลได้ก าหนดนโยบายการ สนับสนุนการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในวิชาชีพการพยาบาลคือ สภาการพยาบาลสนับสนุนนโยบายแห่งชาติ ด้านยา ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ และกลยุทธ์การพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาก าลังคน ด้านสุขภาพเพื่อการใช้ยาสมเหตุผล เพื่อพัฒนาบัณฑิตพยาบาลให้มีความรู้และทักษะในการใช้ยาสมเหตุผล และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมใช้ยาสมเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการ ลดความสูญเสียทางการเงิน การคลังของประเทศ สภาการพยาบาลได้มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการพัฒนาการผลิตและก าลังคน ด้านสุขภาพเพื่อการใช้ยาสมเหตุผลร่วมกันกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา คือ ก าหนดให้การใช้ยาอย่าง สมเหตุผลเป็นสมรรถนะของบัณฑิตภายในปีการศึกษา ๒๕๖๐ จัดให้มีข้อสอบการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เป็นส่วนหนึ่งของการสอบใบประกอบวิชาชีพและสนับสนุนให้การใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาต่อเนื่อง โดยเครือข่ายสถาบันการศึกษาจะมีการด าเนินงาน คือ ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอน ร่วมกันเพื่อการดูแลผู้ป่วยแบบสหวิชาชีพ สร้างความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพครูผู้สอน บูรณาการเนื้อหา


NSKnowledge Management [39] การจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการประเมินผลเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามแนวทางของคู่มือฯ และการพัฒนาด้านวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีนโยบายให้บรรจุเนื้อหาการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในการ จัดการเรียนการสอนในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ฉบับปรับปรุงปีการศึกษา 2560 โดยก าหนดให้มี ประเด็นเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในทุกรายวิชาทั้งรายวิชาทฤษฎี และรายวิชาปฏิบัติ ซึ่งการพัฒนาการ เรียนการสอนเพื่อการใชยาอยางสมเหตุผลเปนสวนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนา ก าลังคนดานสุขภาพเพื่อการใชยาอยางสมเหตุผล โดยมีเปาหมายในการจัดการระบบการเรียนการสอนดานสุข ภาพที่เกี่ยวของกับยาโดยตรงใหสามารถผลิตและพัฒนาบุคลากรที่มีความรูทักษะ และเจตคติที่ดีตอการใช ยาอยางสมเหตุผล ที่ประชุมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิมลรัตน์ ภู่วัฒนาพานิช หัวหน้าภาควิชาฯ ได้กล่าวถึงนโยบายการใช้ยาอย่างสมเหตุผลภายในโรงพยาบาลศิริราช โดยควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสม เหตุผล ส่งผลให้อุบัติการณ์ดื้อยาในผู้ป่วยและค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยส าคัญโรงพยาบาลศิริราชจึงเป็นแกน น าหลักในการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ


NSKnowledge Management [40] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาข้อสอบให้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ดวงใจ รัตนธัญญา วิทยากร อ. สุรัสวดี ไวว่อง ผู้ลิขิต วันที่ 24 เมษายน 2562 เวลา 12.30 – 13.30 น. ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “การพัฒนาข้อสอบ วิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน” ณ ห้อง 306 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ดวงใจ รัตนธัญญา เป็นวิทยากร สรุปดังนี้ ข้อสอบวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน นั้น เป็นข้อสอบแบบหลายตัวเลือก (multiple choice question : MCQ) ซึ่งโดยทั่วไปข้อสอบลักษณะนี้จะใช้วัดความรู้ ไม่ใช่วัดทักษะ หรือ เจตคติ MCQ ที่นิยมมากที่สุดคือชนิด One best response คือมีค าตอบถูกเพียงค าตอบเดียว องค์ประกอบ ของข้อสอบนี้จะประกอบด้วย 1. ข้อสอบทั้งข้อเรียกว่า Item 2. โจทย์ (stem) และ ค าถาม (question / lead in) 3. ชุดค าตอบ/ตัวเลือก (Options /Alternatives) 4. ตัวเลือกที่ถูกต้องหรือข้อเฉลย (Key/ answer) 5. ตัวเลือกที่เหลือที่ท าหน้าที่เป็นตัวลวง (Distractors) หลักการในการสร้างข้อสอบ 1. สามารถวัดผลการเรียนรู้ที่ส าคัญ 2. วัดสิ่งที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของวิชา 3. เนื้อหาเหมาะสมกับระดับของผู้ถูกทดสอบ 4. ข้อสอบแต่ละข้อควรเป็นอิสระจากกัน 5. เรียงล าดับจากข้อง่ายไปหายาก 6. ความยาว หรือจ านวนข้อเหมาะสมกับเวลา (มักใช้ประมาณ 50 ข้อต่อ 60 นาที) 7. จ านวนที่ให้ความเที่ยงสูงสุดคือ 80 ข้อขึ้นไป 8. ความยากง่ายพอเหมาะ ได้แก่ ง่าย 25% ปานกลาง 50 % และยาก25% 9. ไม่ควรสร้างข้อสอบที่โจทย์สั้นแต่ค าตอบยาว 10. ใช้ค าหรือภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ค าที่รัดกุมเพื่อหลีกเลี่ยงการตีความ เท่ากับเป็นการเพิ่ม Objectivity ในการถาม


NSKnowledge Management [41] การสร้างโจทย์และข้อค าถาม 1. ใช้ค าให้น้อยที่สุด อ่านแล้วได้ใจความไม่เยิ่นเย้อ ชัดเจน ตรงจุดที่ต้องการถาม มีข้อมูลใน Stem เท่าที่จ าเป็น และเพียงพอส าหรับการคิดวิเคราะห์ 2. เขียนเป็นประโยคค าถามที่สมบูรณ์ 3. แต่ละข้อค าถามต้องถามเพียงประเด็นเดียว 4. ควรเขียนในรูปแบบค าถามเชิงบวก มากกว่าเชิงลบหรือปฏิเสธ 5. หากจ าเป็นต้องถามเชิงลบ ควรเน้นให้เห็นเด่นชัด และไม่ควรใช้ double negative 6. ไม่ควรมี“Trick Question” หรือปัญหาเชาว์ในชุดข้อสอบ เพราะมิใช่วัตถุประสงค์ในการสอบ การสร้างตัวเลือก 1. จ านวนตัวเลือกที่ท าให้ข้อสอบมีความเที่ยงสูงสุด คือ 5 ข้อ 2. ค าตอบที่ถูกต้องที่สุดมีเพียงค าตอบเดียว 3. ค าตอบที่ถูกต้องและตัวลวงควรสร้างให้มีความละม้ายกันให้มากที่สุด 4. ตัวเลือกต่างๆ ควรสอดคล้องกับโจทย์ ทั้งไวยากรณ์และแบบฟอร์ม 5. ตัวเลือกแต่ละข้อควรเรียงตามล าดับ เหตุผล เช่น ตามล าดับตัวเลข ตัวอักษร ความสั้นยาว เป็นต้น 6. หลีกเลี่ยงค าที่ช่วยในการเดาได้ง่าย เช่น ค าตอบที่ถูกคล้ายค าในโจทย์ ค าตอบที่ถูกสั้น หรือยาว กว่าตัวเลือกอื่นๆ หรือมีตัวเลือกว่า ถูกหมดทุกข้อ หรือผิดหมดทุกข้อ 7. สร้างตัวลวงที่สามารถลวงได้จริง โดยเฉพาะลวงคนที่เรียนอ่อนได้ตัวลวงในข้อเดียวกันต้องมี ทิศทางเดียวกัน เช่นถามจุลชีพที่เป็นสาเหตุการเกิดโรค ตัวเลือกทั้ง 5 ข้อก็ควรเป็นชื่อของจุลชีพทั้งหมด 8. ตัวเลือกแต่ละข้อต้องไม่ทับซ้อนกัน เช่น ตัวเลือก A. 30 ตัวเลือก B. 40 ตัวเลือก C. 50 ตัวเลือก D. 60 ตัวเลือก E. > 20 จะเห็นว่าตัวเลือก A, B, C, D ล้วนมีความหมายเท่ากับตัวเลือก E การสร้างตัวเลือก ที่จะเกิดปัญหาการทับซ้อนมักเกิดกับตัวเลือกที่เป็นตัวเลข 9. ตัวเลือกแต่ละข้อต้องไม่ชี้น าซึ่งกันและกัน เช่นผู้เรียนมีความรู้ว่าตัวเลือก A ผิด ในขณะเดียวกัน ข้อความในตัวเลือก A ส่งผลให้ข้อความในตัวเลือก B ผิดไปด้วย ท าให้ผู้เรียนสามารถตัดตัวเลือก B ไปด้วย ท าให้เพิ่มโอกาสการเดา 10. ตัวเลือก “ผิดหมดทุกข้อ” หากใช้เป็นตัวลวงจะท าให้สามารถแยกเด็กเก่งอ่อนออกจากกันได้ดี ทั้งนี้อยู่บนเงื่อนไขว่าข้อสอบข้อนั้นได้มีการพัฒนาเป็นอย่างดีเด็กเรียนอ่อนมีแนวโน้มเลือกข้อนี้ซึ่งผิด แต่เด็ก เก่งจะแยกแยะและหาข้อที่เป็น Key ได้


NSKnowledge Management [42] กิจกรรม วิพากษ์ข้อสอบวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน จ านวน 40 ข้อ ตามหลักการข้างต้น


NSKnowledge Management [43] 2. “การพัฒนาคุณภาพงาน” แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษา ระดับหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA ของผู้ประเมินในระดับคณะฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย วิทยากร นายกณพ ค าสุข และนางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรม After action review (AAR) หลังจากการตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เข้าตรวจประเมินคณะพยาบาลศาสตร์ ประจ าปีการศึกษา 2560 เมื่อวันที่ 3-4 กันยายน 2561 จ านวน 4 หลักสูตร คือ 1) หลักสูตรพยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิต 2) หลักสูตรพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผดุงครรภ์ 3) หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาล เวชปฏิบัติชุมชน 4) หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต นานาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ทบทวนกระบวนการรับการตรวจประเมินคุณภาพฯ เพื ่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง กระบวนการด าเนินงานในครั้งต่อไป เมื่อวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 เวลา 14.00-16.00 น. ณ ห้อง 718 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บางกอกน้อย โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสารสนเทศและพัฒนาคุณภาพ เป็นวิทยากร จากนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสารสนเทศและพัฒนา คุณภาพ เริ่มสอบถามถึงกระบวนการรับการตรวจประเมินคุณภาพฯ กับประธานหลักสูตร/กรรมการหลักสูตร และเจ้าหน้าที่หลักสูตรทั้ง 4 หลักสูตร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กระบวนการท าเล่มรายงานการประเมินตนเองของหลักสูตร ปัญหาอุปสรรค ความช่วยเหลือที่ต้องการ หลักสูตรพยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิต อาจารย์ - เจ้าหน้าที่หลักสูตรควรได้รับการอบรมการเตรียมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับ AUN-QA - ผู้ตรวจประเมินควรมีความรู้ประสบการณ์มากๆ ไม่ควรเป็นกรรมการใหม่เข้ามา ประเมินหลักสูตร - หลักฐานต่างๆ ควรประสานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้จัดเตรียมให้ดีกว่านี้ - อาจารย์บางท่านสอนหลายหลักสูตรจะค านวน FTES อย่างไร - คณะฯ ควรจัดทีมผู้ตรวจประเมิน AUN-QA ที่มีความรู้ความสามารถและมี ประสบการณ์ เป็นแกนหลักของคณะฯ เจ้าหน้าที่ - ต้องการทราบข้อมูล/หลักฐาน-เอกสารประกอบที่ต้องเก็บข้อมูล เพื่อเตรียมส าหรับ การเตรียมหลักฐานAUN-QA


NSKnowledge Management [44] ปัญหาอุปสรรค ความช่วยเหลือที่ต้องการ หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (นานาชาติ) - วิธีคิด FTES ไม่เหมือนกันระห่างงานพัฒนาคุณภาพและงานบัณฑิต - คณะฯ มีข้อมูลอยู่เยอะ ควรที่จะอยู่ตรงศูนย์กลางที่งานพัฒนาคุณภาพฯ เพื่อส่งให้ หลักสูตร - จ านวนเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนที่ได้รับข้อมูลมาจะมีแค่ปีเดียว แต่ในเล่มเกณฑ์ AUNQA ต้องการ 5 ปี - การขอข้อมูลไม่ค่อยตรงกัน เช่น ขอจากงานวิจัย ได้อีกตัวเลขนึง ของานพัฒนา คุณภาพได้อีกตัวเลขนึง - มีข้อเสนอแนะการคิดค านวนผลงานวิจัยควรที่จะค านวนทั้งคณะฯ ไม่ควรคิดเฉพาะ อาจารย์ในหลักสูตรนั้น - วิธีการเขียน ADLI (PDCA) ไม่สามารถที่จะเขียนได้ - ตอนส่งเล่ม SAR ได้ส่งหลักฐานแนบไป ทางกองพัฒนาคุณภาพ เอาแต่เล่ม SAR ไม่ได้ เอาหลักฐานแนบ หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน - การค านวน FTES สับสนเรื่องวิธีคิดว่าใช้ตามเกณฑ์สภาการพยาบาลหรือเกณฑ์ มหาวิทยาลัย - อยากให้มีใครซักคนที่สามารถคิดค านวน FTES และ student workload - อยากให้มีระบบเตือนหลักสูตร เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน - ถ้าในอนาคตงานบัณฑิตและงานพัฒนาคุณภาพร่วมมือกัน จะท าให้หลักสูตรท างาน ง่ายขึ้น - การประเมินภายใน ไม่ควรที่จะกดคะแนน ควรให้เป็นกลาง หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผดุงครรภ์ - คนที่ต้องเขียนควรที่จะมีความรู้ อยากมีพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษาในการเขียน SAR - การไปอบรมผู้ตรวจประเมินไม่ค่อยได้ช่วยอะไรกับการเขียน SAR - ข้อเสนอแนะ การคิดค านวน FTES ให้คิดเป็นภาพรวมของคณะฯ - การคิดจ านวนงานวิจัยอาจารย์ที่มีชื่อสอนในหลักสูตรป.เอก (สอนป.โทด้วย) การน า ผลงานควรนับงานวิจัยที่อยู่ในหลักสูตรป.โทด้วยหรือไม่ - ควรมีรายการหลักฐานที่เพื่อตอบเกณฑ์ AUN-QA หมวด 1 – 11 - ในการตรวจประเมินแต่ละครั้งผู้ตรวจประเมินควรเป็นคนเดียวกัน มีหลักการณ์ เดียวกัน เพื่อการให้คะแนนที่เป็นกลาง ค าตอบจากข้อค าถามจากประธานหลักสูตร/กรรมการหลักสูตรและเจ้าหน้าที่หลักสูตรทั้ง 4 หลักสูตร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย ได้สอบถามข้อมูลกับคุณศิริลักษณ์ เกี่ยวข้อง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. การคิดภาระงานอาจารย์ สามารถท าได้ทั้ง 2 แบบ คือ คิดเฉพาะภาระงานที่สอนในหลักสูตรนั้น หรือคิดภาระงานที่สอนในทุกหลักสูตร แต่เสนอว่า ให้ท าแยก 2 ตาราง เพราะคนละจุดประสงค์กัน


NSKnowledge Management [45] 2. การคิดจ านวนงานวิจัยของอาจารย์ในหลักสูตร ให้คิดจ านวนงานวิจัยของอาจารย์คนนั้นที่สอนใน ทุกๆ หลักสูตรได้ไม่จ าเป็นต้องน าเฉพาะจ านวนงานวิจัยของอาจารย์ที่สอนเฉพาะในหลักสูตรนั้นเท่านั้น แต่ กรณีที่ต้องการ benchmark จ านวนงานวิจัย ถ้าต้องการ benchmark ในภาพรวมของคณะฯ ต้องแยกตาราง 3. การค านวณค่า FTES สามารถคิดตามเกณฑ์สภาการพยาบาล หรือคิดตามตัวอย่างในเล่มเกณฑ์ AUN-QA ก็ได้


NSKnowledge Management [46] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การบริหารความเสี่ยงตามแนวทางของมหาวิทยาลัยมหิดล” นายธรรญา สุขสมัย ผู้อ านวยการศูนย์บริหารความเสี่ยง และทีมวิทยากร นางสาวดารานิตย์ กิ่งวัน ผู้ลิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้แก่บุคลากรสายสนับสนุน เรื่อง “การบริหารความเสี่ยงตามแนวทางของมหาวิทยาลัยมหิดล” โดยมี นายธรรญา สุขสมัย ผู้อ านวยการศูนย์บริหารจัดการความเสี่ยง และทีมงาน เป็นวิทยากร ในวันพุธที่ 10 เมษายน 2562 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้อง 106 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ตามที่มหาวิทยาลัยมหิดลมีนโยบายด้านการบริหารความเสี่ยง มุ่งหวังให้ทุกส่วนงานตระหนักถึง ความส าคัญของการบริหารจัดการเหตุการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบต่อการบรรลุ วัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยและส่วนงาน ศูนย์บริหารจัดการความเสี่ยงมีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุน ให้การบริหารจัดการความเสี่ยงของมหาวิทยาลัยและส่วนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงขึ้น พร้อมกันนี้ บุคลากรของ คณะพยาบาลศาสตร์ได้เข้าร่วมกิจกรรม โดยฟังบรรยาย กิจกรรมกลุ่ม (Workshop) และมีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงร่วมกับศูนย์บริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อให้การบริหารจัดการ ความเสี่ยงของคณะฯ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเนื้อหาการบรรยายจะให้หลักการแนวคิด นโยบาย กรอบ และขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง ตามแนวทางของมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ คณะพยาบาลศาสตร์ได้มีการท ากิจกรรมกลุ่มเชิงปฏิบัติ(Workshop) จ านวน 4 กลุ่ม คือ การศึกษา วิจัย บริการวิชาการ และบริหารจัดการ โดยแต่ละกลุ่มวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง และน าเสนอผลการวิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยง โดยมีรายละเอียดดังนี้


NSKnowledge Management [47] 1. ด้านการศึกษา เหตุการณ์ ความเสี่ยง (11) สาเหตุ (12) ตัวชี้วัด ความเสี่ยง (Key Risk Indicators : KRI) (13) กิจกรรม การควบคุม ที่มีอยู่ (14) ผลประเมิน กิจกรรม การควบคุม ที่มีอยู่ (15) ทักษะด้าน ภาษาอังกฤษของ นักศึกษาพยาบาล ศาสตร์ ระดับปริญญา ตรี ไม่เป็นไปตาม เกณฑ์มาตรฐานของ มหาวิทยาลัยมหิดล 1. พื้นฐานทักษะ ภาษาอังกฤษของ แต่ละคนไม่เท่ากัน 2. ขาดโอกาสใน การพัฒนาหา ความรู้เพิ่มเติม 3. ขาดความ กระตือรือร้นในการ สอบภาษาอังกฤษ 4. ขาดปัจจัยใน การสอบ ภาษาอังกฤษ ไม่มี 1. การใช้ โปรแกรมSPEEXX 2. การแลกเปลี่ยน เรียนรู้กับนักศึกษา ต่างชาติ 3. โครงการอบรม ภาษาอังกฤษ ไม่มี ข้อเสนอแนะจากวิทยากร นักศึกษารหัสปี 60 คือ นักศึกษาปี 3 มีสัดส่วนในการสอบภาษาอังกฤษอาจจะสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้2. ด้านวิจัย


ระดับ โอกาส เกิด (16) ระดับ ผลกระทบ (17) ระดับ ความเสี่ยง (หลัง การควบคุม ที่มีอยู่) (18) แนวทาง การจัดการ (19) ผู้รับผิดชอบ (20) ช่วงเวลา ด าเนินการ และก าหนด เสร็จ (21) 4 5 สูงมาก 1. ให้ความรู้ถึง ผลกระทบต่อการ สอบภาษาอังกฤษ ไม่ผ่าน 2. กระตุ้นให้เกิด การตื่นตัว เช่น การให้ข้อมูล ในช่วงปฐมนิเทศ งานบริการ การศึกษา ษที่น่ากลัวมาก สาเหตุ คือ กลไกลของมหาวิทยาลัยยังไม่ชัดเจน มหาวิท ยาลัย ห้สอบในรอบแรก หรือเพื่อนช่วยเพื่อนโดยท าเป็นโครงการที่ชัดเจน


NSKnowledge Management [48] เหตุการณ์ ความเสี่ยง (11) สาเหตุ (12) ตัวชี้วัด ความเสี่ยง (Key Risk Indicators : KRI) (13) กิจกรรม การควบคุม ที่มีอยู่ (14) ผลประเมิน กิจกรรม การควบคุม ที่มีอยู่ (15) ผลงานตีพิมพ์ในระดับ นานาชาติไม่เป็นไป ตามเป้าหมาย 1. อาจารย์กลุ่ม วิจัยอยู่ในกลุ่ม ใกล้เกษียณอายุ ราชการ 2. อาจารย์รุ่นใหม่ ไม่มีประสบการณ์ การท าวิจัย 1. จ านวน ผลงานที่รับ รับการตีพิมพ์ ในระดับ นานาชาติ 2. สัดส่วน อาจารย์รุ่น ใหม่ ใน ผลงานตีพิมพ์ สัดส่วนการ ตีพิมพ์ ผลงานวิจัย ของอาจารย์ รุ่นใหม่ 1. เงินรางวัลการ ตีพิม์ผลงานวิจัยใน ต่างประเทิศ 2. ตีพิมพ์ รายบุคคล 3. PA ของ ภาควิชาฯ 4. Edit บทความ 5. น าเสนอ ต่างประเทศ กิจกรรมเชิงรุก 1. มีระบบพี่เลี้ยง 2. แชร์ความรู้ด้าน วิจัย จากผู้มี ประสบการณ์ด้าน วิจัย ไม่มี


ระดับ โอกาส เกิด (16) ระดับ ผลกระทบ (17) ระดับ ความเสี่ยง (หลัง การควบคุม ที่มีอยู่) (18) แนวทาง การจัดการ (19) ผู้รับผิดชอบ (20) ช่วงเวลา ด าเนินการ และก าหนด เสร็จ (21) ไม่มี ไม่มี ไม่มี 1. มีระบบพี่เลี้ยง 2. แชร์ความรู้ ด้านวิจัย จากผู้มี ประสบการณ์ ด้านวิจัย 3. Reserve camp 4. Visiting Profesor 5. บรรยาย อบรมเชิงปฏิบัติ การณ์ ด้านวิจัย 1.รองคณบดี ฝ่ายวิจัย 2. งานส่งเสริม และพัฒนา งานวิจัย ตลอดปี ปฏิทิน


Click to View FlipBook Version