NSKnowledge Management [112] จากการจัดการความรู้ดังกล่าวทําให้ภาควิชาฯ มีการทําการจัดการความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อหา แนวทางการเรียนการสอนเรื่องการบริหารยา เพื่อลด medication errors ซึ่งสามารถนําไปสู่การเรียน การสอนในวิชา ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล โดยมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนดังนี้ 1. นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จะได้รับการสอน เรื่องหลักการและวิธีการบริหารยาวิถีทางต่างๆ ซึ่งเนื้อหาจะ ประกอบด้วย ความรู้พื้นฐานทางการพยาบาล, หลักการบริหารยา 7 Rights, การคํานวณยาและ การเปลี่ยนหน่วยยาตามหลักสากลและระบบบ้าน, ตัวย่อและการแปลความหมาย และ การบริหารยาในวิถีทางต่างๆ เช่น ปาก หูจมูก ทางหลอดเลือดดํา และยาใช้ภายนอก 2. มีวิดีโอสาธิตเกี่ยวกับการบริหารยาในรูปแบบต่างๆ เช่น ทางปาก ทางผิวหนัง และทางหลอด เลือดดําและ CAI ซึ่งสามารถศึกษาได้ทาง E-learning ของรายวิชาทักษะพื้นฐานทาง การพยาบาล 3. มีการทํา post-test และแบบฝึกหัดเกี่ยวกับตัวย่อของยา การเปลี่ยนหน่วยยาและการคํานวณยา 4. ฝึกปฏิบัติในห้อง LRC เกี่ยวกับการบริหารยาในรูปแบบต่างๆและการคํานวณยา นอกจากนี้ยังมี การสอบปฏิบัติการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง โดยใช้ประเมิน เรื่อง การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง 5. ใช้สถานการณ์จําลองเรื่อง medication error และฝึกปฏิบัติแบบ simulation กับหุ่นจําลอง และนักศึกษาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อคิดแก้ปัญหาตัดสินใจให้การพยาบาล ในห้องปฏิบัติบัติ การก่อนจะขึ้นไปฝึกปฏิบัติจริงบนหอหอผู้ป่วย 6. อภิปรายร่วมกับอาจารย์ผู้สอนในแต่ละกลุ่ม โดยเน้นให้นักศึกษาตระหนักถึงความปลอดภัยของ ผู้ป่วยและเน้นการบริหารยาโดยใช้หลัก 7 Rights ผู้ร่วมกิจกรรม 1. รองศาสตราจารย์ดร.วิราพรรณ วิโรจน์รัตน์ หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลรากฐาน 2. รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์ คุ้มทวีพร 3. อาจารย์ธัญยรัชต์ องค์มีเกียรติ 4. ผู้ช่วยอาจารย์จิรวรรณ มาลา 5. ผู้ช่วยอาจารย์นันทกานต์ มณีจักร 6. ผู้ช่วยอาจารย์วรรณฤดี เชาว์อยชัย 7. ผู้ช่วยอาจารย์ศิริลักษณ์ ผมขาว 8. ผู้ช่วยอาจารย์อภิรฎี พิมเสน
NSKnowledge Management [113] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้และทักษะที่จําเป็นของพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว รองศาสตราจารย์ปนัดดา ปริยฑฤฆ วิทยากร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ดวงใจ รัตนธัญญา ผู้ลิขิต ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุขศาสตร์ได้จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องความรู้และทักษะที่ จําเป็นของพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว เพื่อเตรียมการจัดเตรียมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการ พยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว โดยมีรองศาสตราจารย์ปนัดดา ปริยฑฤฆ เป็นวิทยากรหลักในการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ซึ่งท่านมีประสบการณ์ในการจัดทําหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางเป็นอย่างมาก ผู้เข้าร่วม แลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นคณาจารย์ภาควิชาฯจํานวน 13 คน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้อง 509 อาคารมหิดลอดุลยเดชพระศรีนครินทร สรุปได้องค์ความรู้ดังนี้ หลักสูตรฝึกอบรมการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัวกําหนดให้ผู้เข้า อบรมต้องมีความรู้ทักษะและประสบการณ์การทํางานใน 2 ด้าน คือ 1. ด้านการปฏิบัติการพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น) จํานวน 18 หน่วยกิต ประกอบด้วย 7 รายวิชา 2. ด้านการจัดการดูแลสุขภาพครอบครัว จํานวน 4 หน่วยกิต ประกอบด้วย 2 รายวิชา รวม 22 หน่วยกิต 9 รายวิชา ทักษะและประสบการณ์การทํางานด้านการปฏิบัติการพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น) ให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ทักษะ และประสบการณ์ในการประเมินภาวะสุขภาพอย่างครอบคลุมเพื่อการ ตัดสินใจทางคลินิก การตรวจวินิจแยกโรค ให้การรักษาโรคเบื้องต้นในกลุ่มอาการต่างๆ ทั้งในระยะเฉียบพลัน และกลุ่มโรคที่พบบ่อย ประเมินปัญหาที่ซับซ้อนจากการเปลี่ยนแปลงภาวะสุขภาพของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สามารถวางแผนการบูรณาการการดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถตัดสินใจส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมโดยควรมีทักษะและประสบการณ์อย่างน้อยดังนี้ :- ปฏิบัติการรักษาโรคเบื้องต้นและการจัดการภาวะเร่งด่วน (240 ชม.) :- ปฏิบัติการจัดการโรคเรื้อรังในชุมชน(120 ชม.) :- ปฏิบัติการจัดการการดูแลสุขภาพครอบครัว (120 ชม.) ขอบเขตการปฏิบัติพยาบาลเฉพาะทางด้านเวชปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวหมายถึง การกระทําการ พยาบาลโดยตรงแก่ผู้ใช้บริการ โดยใช้ความรู้ ทักษะ และ ความชํานาญเฉพาะทางด้านเวชปฏิบัติและการ พยาบาลครอบครัว ในการดูแลบุคคล ครอบครัว และชุมชนอย่างเป็นองค์รวมและต่อเนื่องครบทุกมิติของการ ดูแลในบริการปฐมภูมิประกอบด้วย
NSKnowledge Management [114] 1. การดูแลในระดับบุคคลโดยครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล 2. การดูแลในระดับครอบครัวโดยชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแล วัตถุประสงค์เฉพาะของหลักสูตรฯด้านการจัดการการดูแลสุขภาพครอบครัว 1. อธิบายแนวคิดทฤษฎีด้านการพยาบาลครอบครัว และหลักการดูแลโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 2. วิเคราะห์นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการเพื่อการดูแลสุขภาพครอบครัว 3. วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของครอบครัว ประเมินและจําแนกความรุนแรงตามปัญหาและความ ต้องการการดูแลสุขภาพครอบครัว 4. ใช้องค์ความรู้ผลการวิจัยและหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางแผน และออกแบบกลวิธีใน การส่งเสริมสุขภาพครอบครัวและการจัดการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน 5. ประเมินผลลัพธ์การให้บริการครอบครัวร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อกําหนดทิศทางการ ดูแลต่อเนื่องและการส่งต่อการดูแลสุขภาพในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6. ประสานความร่วมมือกับครอบครัวและแหล่งประโยชน์ในชุมชน เพื่อการจัดระบบบริการการ ดูแล สุขภาพที่บ้าน คลินิกบริการ โครงการและนวตกรรมการดูแลสุขภาพครอบครัวใน ชุมชนตามขอบเขตการปฏิบัติงาน และจริยธรรมในวิชาชีพ สมรรถนะของผู้จบการศึกษาหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางเวชปฏิบัติครอบครัว มี 8 ด้านดังภาพ
NSKnowledge Management [115] แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) พ.ศ. 2561 - 2565นั้นสาขาระบบบริการ ปฐมภูมิและสุขภาพอําเภอมีเป้าหมายการให้บริการ (Service Delivery) บริการส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟู สุขภาพ ร่วมกับท้องถิ่น (District Health System - DHS) บริการดูแลผู้สูงอายุผู้พิการ Palliative Care และ เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า ตัวชี้วัดที่สําคัญที่พยาบาลพึงทราบได้แก่ KP1 ร้อยละของอําเภอที่มี District Health System (DHS) ที่เชื่อมโยงระบบบริการปฐม ภูมิกับชุมชนและท้องถิ่นอย่างมีคุณภาพ 1. มีระบบสุขภาพระดับอําเภอ (District Health System : DHS) ที่เชื่อมโยงระบบบริการ ปฐมภูมิกับชุมชนและท้องถิ่น ตามองค์ประกอบ UCARE 2. มีการจัดการให้มีการดูแลสุขภาพร่วมกัน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทั้ง Acute & Chronic care ไม่น้อยกว่า 3 เรื่อง คลินิกหมอครอบครัว หมายถึงหน่วยบริการที่มีองค์ประกอบทั้งคนทํางาน หน่วยบริการ และ การบริหารจัดการให้มีกระบวนการทํางานที่ทําให้เกิดบริการที่มีคุณค่า มีการดูแลทั้งเชิงรับ เชิงรุก ดูแล ต่อเนื่อง ให้การดูแลรายบุคคลรายครอบครัวและชุมชน ซึ่งเป็นการบริการในหลายมิติ หัวใจของการดําเนินงาน (Primary Care Cluster: PCC) การจัดรูปแบบบริการที่เป็นองค์ รวมทุกมิติของสุขภาพนี้จะสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเอง (Self-care) ของคนทุกกลุ่ม คนทุกวัยจนเกิดเป็นการสร้างสุขภาพจากภายในตัวเอง ภายในครอบครัว ไปสู่การร่วมกันสร้างสุขภาพให้กับ ชุมชน สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป องค์ประกอบของคลินิกหมอครอบครัว(PCC) ประกอบด้วย คนทํางานในหน่วยบริการ การบริหารจัดการในหน่วยบริการ และกระบวนการ ทํางานในหน่วยบริการ เช่น 1. รูปแบบของการจัดกลุ่มเครือข่ายบริการปฐมภูมิ 2. การบริหารจัดการภายในเครือข่าย และการสนับสนุนจากโรงพยาบาลแม่ข่าย 3. ทีมสหวิชาชีพของ PCC มีใครบ้าง มีกระบวนการทํางานร่วมกันอย่างไร 4. ออกแบบจัดระบบบริการต่างๆอย่างไร ระบบสนับสนุนการดูแลตนเองให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ( NCD Support) ระบบบริการ Long term care Home ward, Intermediate ward ในชุมชน 5. ระบบดูแลแบบ Daycare สําหรับผู้ป่วยติดเตียง 6. ระบบการเชื่อมโยงระบบบริการปฐมภูมิทุติยภูมิตติยภูมิ
NSKnowledge Management [116] เป้าหมายคลินิคหมอครอบครัว 1. การให้บริการที่เป็นองค์รวม ทําให้ประชาชนสุขภาพดีเช่น - การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ คลินิกสุขภาพเด็กดีให้คําปรึกษาด้านพัฒนาการเด็ก - งานอนามัยโรงเรียน งาน NCD Clinic คุณภาพ - ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) - ควบคุมป้องกันโรคที่เป็นเป้าหมายสําคัญหรือปัญหาของพื้นที่เช่น เอดส์วัณโรค มาลาเรีย - การตรวจสุขภาพและระบบข้อมูลส่วนบุคคล Personal Health Record (PHR) - ระบบข้อมูลของคลินิกหมอครอบครัว Data Center - ระบบให้คําปรึกษา ให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชน Health Literacy - มีระบบการส่งต่อกับโรงพยาบาลแม่ข่าย 2. การบริการที่สะดวกรวดเร็ว เป็นกันเอง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การจัดทําหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางเวชปฏิบัติครอบครัวจึงควรจัดทําให้สอดคล้องกับ ความรู้และทักษะที่สภาการพยาบาลกําหนด รวมทั้งมีสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการบริการของ ประชาชนและแผนงาน นโยบายการจัดบริการสุขภาพของภาครัฐ ดังกล่าว
NSKnowledge Management [117] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณในการให ์ ้คาปร ํ ึกษาแก่ผู้สูงอายุ รศ.ดร.อัจฉราพร สี่หิรญวงคั ์ผศ.ดร.พวงเพชร เกษรสมทรุและดร.ภาศิษฏา อ่อนดีวิทยากร รศ.ดร.นพพร ว่องสิริมาศ และผศ.ดร.สุภาภัค เภตราสุวรรณ ผู้ลขิิต ภาควิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชศาสตร์ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ใน การให้คําปรึกษาแก่ผู้สูงอายุเมื่อวันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561 ณ ห้อง 303 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โดยมีรศ.ดร.อัจฉราพร สี่หิรัญวงค์ ผศ.ดร.พวงเพชร เกษรสมุทร และ ดร. ภาศิษฏา อ่อนดีเป็นวิทยากร รายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ดร. ภาศิษฏา อ่อนดี ดร. ภาศิษฏา อ่อนดีได้เล่าประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาผู้สูงอายุสรุปประเด็นได้ดังนี้ ผู้สูงอายุที่ชมรมผู้สูงอายุที่หอพักบางขุนนนท์เป็นกลุ่มที่มีความต้องการการให้คําปรึกษา ซึ่งปัญหา ในการมาปรึกษามักเป็นปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว หรือลูกๆ ปัญหาส่วนตัว ปัญหาทางกาย มีความวิตกกังวล เกี่ยวกับการพบแพทย์เช่น แพทย์ดุไม่อยากไปพบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เข้าถึง บริการการรักษาทางการแพทย์ได้สะดวกเนื่องจากเป็นข้าราชการบํานาญเป็นส่วนใหญ่และยังไม่พบปัญหา ซึมเศร้าในผู้สูงอายุกลุ่มนี้ ส่วนประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาผู้สูงอายุอื่นๆ นั้น พบว่าปัญหาของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักเป็น ประเด็นเกี่ยวกับลูกหลาน เช่น 1) ผู้สูงอายุ 80 ปีถูกส่งต่อมาด้วยมีภาวะซึมเศร้า มาปรึกษาด้วยความเครียด จากการที่ลูกเขยตบตีทําร้ายลูกสาว 2) ผู้สูงอายุ 84 ปีมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งประเมินโดยลูกซึ่งเคยมาอบรม care giver ของคณะฯ จึงได้ทําการส่งต่อเพื่อรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช รศ.ดร อัจฉราพร สี่หิรัญวงศ์ รศ.ดร.อัจฉราพร สี่หิรัญวงศ์ได้เล่าประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาผู้สูงอายุสรุปประเด็นได้ว่า ส่วน ใหญ่แล้ว สาเหตุของปัญหาที่ทําให้ผู้สูงอายุมีภาวะซึมเศร้ามักมาจากการมีความขัดแย้งกับคนในครอบครัว ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุรายหนึ่งขัดแย้งกับแม่ที่ยกสมบัติให้ลูกคนอื่น ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นคนดูแลแม่ การให้การ ช่วยเหลือก็ใช้วิธีการดึง positive direction ชี้ให้เขาเห็นถึงข้อดีของตนเอง โดยการ reframing ความคิดเขา ใหม่ว่าตอนนี้เขามีข้อดีอะไร เป็นต้น ในผู้สูงอายุที่มีปัญหา low self-esteem และ low self-efficacy เมื่อมี ภาวะซึมเศร้ามักยอมรับไม่ได้จึงไม่กินตามแพทย์สั่งแต่ไปกินสมุนไพรแทน การให้ช่วยเหลือที่สําคัญคือการ สื่อสาร และให้ความรู้กับผู้ดูแล
NSKnowledge Management [118] ผศ.ดร.พวงเพชร เกษรสมุทร ผศ.ดร.พวงเพชร เกษรสมุทร ได้เล่าประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาผู้สูงอายุที่ศูนย์การแพทย์ กาญจนาภิเษกฯ สรุปประเด็นได้ว่าปัญหาที่พบมักเป็นเรื่องของ Violence ในครอบครัว ตัวอย่างเช่น มี ผู้สูงอายุรายหนึ่งถูก abuse ตั้งแต่เด็กในครอบครัวตนเอง และมาเจออีกครั้งเมื่อแต่งงาน ซึ่งในการให้ คําปรึกษาที่นี่ต้องพยายามจบ case ให้ได้ใน 1 ครั้ง ซึ่งในการให้คําปรึกษาที่นี่พบถูก abuse หลาย case ซึ่ง ผู้สูงอายุเหล่านี้ต้องอยู่ในภาวะจํายอม เก็บกดและเกิดภาวะซึมเศร้า บางครั้งรู้สึกอยากโต้ตอบแต่ทําไม่ได้ ซึ่งในการให้คําปรึกษาจึงต้องค้นหาความคาดหวังกับความจริงของผู้สูงอายุให้ได้เพื่อจะได้ปิดการให้คําปรึกษา ได้สิ่งที่สําคัญคือต้องสร้าง assertive ให้เกิดขึ้นในผู้สูงอายุโดยการตั้งคําถามว่าเราจะอยู่กับคนคนนี้อย่างไร โดยไม่ให้ชีวิตเสียสมดุล ซึ่งผู้สูงอายุจะคิดว่าต้องบอกความต้องการของตนเอง โดยให้การตอบโต้อย่างนุ่มนวล เตรียมให้ผู้สูงอายุ assertive โดยใช้ I-Message และแนะนําให้ประเมินสถานการณ์ด้วย ในการ response บางเคสจะเป็นในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ในหลายเคสมีปัญหาเรื่องบุตรหลาน ความคาดหวังที่มีต่อลูก ไม่อยากให้เป็นภาระกับลูก ปัญหาคนดูแล ความเหงา มีเพียงเคสเดียวที่เป็นปัญหาวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค ใน การให้การช่วยเหลือส่วนใหญ่ใช้ client-centered เป็นตัวนําในการ approach และใช้ CBT เทคนิค thought stopping และให้ผู้สูงอายุประเมินความคาดหวังกับความจริง ทั้งนี้จากประสบการณ์ที่ให้ คําปรึกษามาทั้งหมด 20 case จะมีประมาณ 3-4 case ที่จะต้องกินยาทางจิตเวช สรุปปัญหาที่พบในผู้สูงอายุที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะซึมเศร้า 1. Loss and grief (ภาวะสูญเสีย) เช่น สูญเสียคู่ชีวิต 2. Low self-esteem เนื่องจาก สูญเสียสมรรถนะในการดูแลตนเอง และความสามารถในการทําสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง 3. Separation anxiety 4. Unfinished business สิ่งที่ค้างคาใจไม่มีโอกาสได้ทํา 5. Expectation ความคาดหวัง 6. ความขัดแย้งกับคนในครอบครัว สรุปการให้การช่วยเหลือ การเยียวยาจิตใจผู้สูงอายุต้อง explore ให้เห็นถึงต้นตอปัญหา โดยต้องสํารวจให้ได้ถึงสาเหตุของ ปัญหาที่แท้จริง แล้วให้การช่วยเหลือตามประเภทของปัญหา เช่น ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับ Self ไม่ดีก็ใช้ Satir ในการลงไปแก้ไขที่ self, การใช้ Brief intervention เพราะระยะเวลาที่ให้คําปรึกษามีจํากัด, ใช้ CBT กรณีที่ มีปัญหาเรื่องความคิด, ใช้ IPT ถ้ามีปัญหาเรื่องของสัมพันธภาพ เป็นต้น
NSKnowledge Management [119] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การช่วยฟื้นคืนชีพขนพั้นฐานื้ (Basic Life Support)” อาจารย์จิตต์ระพีบูรณะศักดิ์อาจารย์กรกนก เกื้อสกุล และอาจารย์เสาวรส แพงทรัพย์วิทยากร อาจารย์จิตต์ระพีบูรณะศักดิ์ผู้ลิขิต ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การช่วยฟื้นคืน ชีพขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support)” ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561 โดยมีอาจารย์จิตต์ระพี บูรณะศักดิ์อาจารย์กรกนก เกื้อสกุล และ อาจารย์เสาวรส แพงทรัพย์เป็นวิทยากร ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้ การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน หรือที่เราคุ้นเคยและเรียกกันติดปากว่า การ “CPR” หรือ Cardiopulmonary resuscitation หากจะมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวก็คงไม่ใช่อีกต่อไป เนื่องจากปัจจุบัน ประชากรไทยมีโรคประจําตัวที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ หัวใจ หรือหลอดเลือด ซึ่งล้วนมีโอกาสเกิดภาวะ หัวใจหยุดเต้น หรือ หยุดหายใจได้ทุกเมื่อ การช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาส ในการรอดชีวิตของผู้ป่วยให้มากขึ้นได้อีกทั้งการจัดอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานกําลังได้รับความสนใจ อย่างมาก ไม่เพียงแต่ในบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ประชาชนทั่วไปก็จําเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ ถูกต้องเกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานด้วยเช่นกัน ประกอบกับหลักการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องและทันสมัยอยู่เสมอ การทบทวน ฟื้นฟูความรู้พื้นฐานเหล่านี้ จึงมีความจําเป็นและเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง “เมื่อใดที่เราจะต้องตัดสินใจเริ่มต้น CPR” อาจจะเป็นคําถามที่หลายคนยังสงสัย และลังเลใจ ซึ่งความไม่แน่ใจนี้อาจส่งผลให้การช่วยเหลือฟื้นคืนชีพเริ่มต้นล่าช้าออกไป ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้นหากท่านเป็นผู้พบเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ให้ท่านทําตาม 10 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ประเมินสถานการณ์หรือสภาพแวลดล้อมที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยกับตัวท่านและผู้ป่วยหรือไม่ 2. ปลุกเรียกผู้ป่วย โดยตบบ่า 2 ข้าง และเรียกผู้ป่วยด้วยเสียงดังฟังชัด (หากผู้ป่วยรู้สึกตัว หายใจเอง ได้ให้จัดท่านอนตะแคง แต่หากยังไม่หายใจ ให้ทําตามขั้นตอนต่อไป) 3. ร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้เคียง หรือโทรสายด่วน 1669 พร้อมกับขอเครื่อง AED ใน ขณะเดียวกันให้เปิดทางเดินหายใจ และประเมินชีพจรบริเวณ Carotid โดยใช้เวลา 5-10 วินาที 4. หากพบว่าผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก หรือไม่มีชีพจร ให้ทําการกดหน้าอกทันที 5. จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางสันมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างกระดูกหน้าอก และวางมืออีกข้างทับ ประสานกันไว้เริ่มการกดหน้าอก ด้วยความลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อ นาทีปล่อยให้ทรวงอกคืนกลับเต็มที่และไม่ควรรบกวนการกดหน้าอกมากกว่า 10 วินาทีกดหน้าอก ต่อเนื่องจนครบ 30 ครั้ง ให้ช่วยหายใจ 2 ครั้ง จนครบ 2 นาทีจึงประเมินชีพจรอีกครั้ง ในกรณีที่มีเครื่อง AED ให้เปิดใช้เครื่อง AED โดยเร็ว เพื่อให้เครื่องวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และช็อค ไฟฟ้าหากจําเป็น โดยให้ท่านปฏิบัติตามคําแนะนําของเครื่อง AED อย่างเคร่งครัดและมีสติ จะเห็นได้ว่าการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานเป็นทักษะและความรู้ที่สําคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สําหรับทุกคน หลักสําคัญของการช่วยเหลือ คือ ผู้ช่วยเหลือจะต้องทําการกดหน้าอกให้มีประสิทธิภาพ และ
NSKnowledge Management [120] สามารถใช้เครื่อง AED ให้ถูกต้อง และที่สําคัญคือ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีสติตลอดเวลา ไม่มีตื่นเต้นตกใจ จนเกินไป เพียงเท่านี้ท่านก็จะสามารถช่วยรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อีก 1 ชีวิต
NSKnowledge Management [121] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “Recovery from office syndrome: State of the art and technology” นายแพทย์ฉกาจ ผ่องอักษร วิทยากร อาจารย์คัทลียา คงเพ็ชร ผู้ลขิิต ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยน เรียนรู้เรื่อง “Recovery from office syndrome: State of the art and technology” ในวันพุธที่ 31 มีนาคม 2561 ณ ห้องประชุม 508 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีนายแพทย์ฉกาจ ผ่องอักษร เป็นวิทยากร มีรายละเอียดดังนี้ “Office syndrome” เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในคนทํางานออฟฟิศ ท่สภาพในท ี ี่ทํางานไม่ เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทํางานตลอดเวลา ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการ กล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ อาทิหลัง ไหล่บ่า แขน หรือข้อมือ โรคฮิตที่มักเกิดกับคนที่ ทํางานในสํานักงาน เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ความดันโลหิตสูง นิ่วในถุงน้ําดีปวดคอปวดหลังเรื้อรัง โรค เครียด นอนไม่หลับ ต้อหิน ตาพร่ามัว กรดไหลย้อน โรคอ้วน มือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค เนื่องจากคนที่ต้อง ทํางานในสํานักงานมักทํางานนั่งโต๊ะ (Sedentary workers) นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน และอยู่ ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว สํานักงานสมัยใหม่มักจะอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่เป็นระบบปิด ซึ่งสาเหตุของปัญหานี้คือ ท่าทางตําแหน่งของร่างกายไม่ถูกต้องผิดแบบแผน นิสัยความเคยชินในการทํางานที่ผิด ความเป็นอยู่ที่เคร่งเครียดรีบเร่ง ความยืดหยุ่น/ความแข็งแรง สมรรถภาพร่างกายที่ถดถอยลงเนื่องจากวัย สภาวะการบริโภคอาหาร รวมไปถึงสภาวะแวดล้อม อาการปวดกล้ามเนื้อที่บ่าและคอ จะทําให้เกิดอาการปวดร้าวไปที่บริเวณขมับและศีรษะ ปวดร้าวใน กล้ามเนื้อแขนและมือ ปวดกล้ามเนื้อที่น่อง ปวดร้าวจากกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง สะโพกและขา กล้ามเนื้อใน สะโพกรัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อขาด้านหลัง ยังพบปัญหาในส่วนบ่า ไหล่ข้อศอกและข้อมือ มักจะ พบ เอ็นหมุนหัวไหล่อักเสบ เอ็นหมุนหัวไหล่อักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อศอกด้านนอกอักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อเกาะที่ ข้อศอกอักเสบ ซึ่งอาการนี้สามารถบรรเทาโดยการทําท่าบริหารเอ็นกล้ามเนื้อศอก นอกจากน้ียังพบลักษณะ ของอาการปวดเนื่องจากเอ็นหมุนหัวไหล่อักเสบ อาจจะต้องใช้การรักษาด้วยการ ฉีดยาที่เอ็นหรือเข้าข้อ ร่วมกับการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อการวินิจฉัย นอกจากนี้ยังพบอาการมือชา กล้ามเนื้อคอและสบักตึง หดเกร็ง เส้นประสาทถูกกดทับ พังผืดข้อมือ กดรัดเน้นประสาทมีเดียน มักเกิดกับคนในกลุ่มเสี่ยงดังนี้คนที่ต้องใช้มือ หรือข้อมือมากๆ ,มีโรคประจําตัวที่มี ผลต่อปลายประสาท อาการและอาการแสดง - ชาปลายนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง - เริ่มจากชาเป็นๆ หายๆ - มักจะเป็นเวลากลางคืน จนอาจต้องตื่นมาสะบัดมือ
NSKnowledge Management [122] - อาการมากขึ้นขณะทํางานที่ต้องใช้มือ - เมื่อเป็นมากขึ้นจะชาตลอดเวลา และมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมือ หยิบ จับของหล่น เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นควรไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อทําการวินิจฉัย โดยการตรวจที่เป็นมาตรฐาน ได้แก่การตรวจกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (Electrodianosis) โดยมีการรักษาดังนี้ 1. การรักษาโดยไม่ผ่าตัด เช่น รับประทานยา กายภาพบําบัด การใช้อุปกรณ์ประคองข้อมือ 2.การรักษาโดยการผ่าตัด นอกจากนี้ยังสามารถดูแลตนเองได้โดย หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้มือและข้อมือมากๆ โดยเฉพาะใน ท่างอหรือกระดกข้อมือ ปรับโต๊ะ เก้าอี้ให้เหมาะสม อาจเสริมอุปกรณ์สําหรับพักข้อมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ ออกกําลังกายเคลื่อนไหวมือบ่อยๆ และยังพบปัญหาเรื่องของการบาดเจ็บในข้อเข่า เอ็นส้นเท้าและและข้อ เท้าแพลง บัญญัติ 10 ประการให้ห่าง Office Syndrome 1. ทํางานในท่าทางที่ถูกต้อง 2. ลดการใช้แรงที่มากเกินไป 3. จัดวางอุปกรณ์ที่ใช้ในการทํางานให้สามารถ เอื้อมจับได้ง่าย 4. ทํางานในระดับความสูงที่เหมาะสม 5. ลดการขยับ ปิดหมุนและการทํางานในท่าทางที่ซ้ําๆ 6. เลี่ยงการทํางานจนเกิดการอ่อนล้า และแรงกระทําต่อเนื่องขณะทํางาน 7. ลดการเกิดแรงกระทําต่อร่างกาย เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง 8. จัดพื้นที่การทํางานให้เหมาะสม ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทํางาน 9. มีการขยับออกกําลังกาย ยืดกล้ามเนื้อเป็นระยะระหว่างทํางาน 10. จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อ การทํางานอย่างสม่ําเสมอ อาการปวดต่างๆ ของร่างกายเมื่อต้องทํางานอยู่กับที่นานๆ ท่าทางการทํางาน ส่วนของร่างกายที่เจ็บปวดหรือผิดปกติ ยืนอยู่กับที่ขาและเท้า เส้นเลือดขอด นั่งหลังตรงโดยไม่มีพนักพิงหลัง กล้ามเนื้อหลัง นั่ง/ยืนก้มคอ ห่อไหล่ ปวดคอ ปวดไหล่หมอนรองกระดูกคอ นั่ง/ยืนก้มหลัง หมอนรองกระดูกส่วนล่าง กล้ามเนื้อหลัง เก้าอี้สูงเกินไป ปวดเข่า ปวดน่องและเท้า เก้าอี้เตี้ยเกินไป ปวดคอ ปวดไหล่ เกร็งข้อมือ กระดกข้อมือ กําเหยียด มือแน่น ปวดข้อมือ ปวดชามือ เอ็นข้อมือนิ้วมืออักเสบ พังผืดกดรัด เส้นประสาทที่ข้อมือ เอื้อม เอี้ยว ยืดแขนสุดเอื้อม ปวดไหล่เอ็นข้อไหล่อักเสบ
NSKnowledge Management [123] การดูแลรักษาและป้องกันการปวดคอและหลัง ให้คําปรึกษาแนะนําลดปวด ลดอักเสบ พยายามเคลื่อนไหว ทํากิจกรรม ออกกําลังบริหารคอและ หลัง ป้องกันอาการปวดเรื้อรัง สัญญาณอันตรายที่ต้องไปพบแพทย์ - ดูแลตนเองเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น - มีประวัติอุบัติเหตุรุนแรงมาก่อน - ผู้สูงอายุมีภาวะกระดูกพรุน - มีโรคประจําตัว เช่น มะเร็ง มีประวัติโรคติดเชื้อนํามาก่อน กินยาชุด สมุนไพร ยาหม้อ สเตีย รอยด์หรือยาหลายชนิดเป็นประจํา โรคเบาหวาน เป็นต้น - กระดูกสันหลังผิดรูป เอียง คด ค่อม - ปวดมาก นอนพักไม่หาย หรือปวดมากตอนกลางคืน - มีอาการชารอบก้น - แขนขาอ่อนแรง - อุจจาระปัสสาวะไม่ออก เล็ดราด - ปวดเรื้อรัง และมากขึ้นเรื่อยๆ - ปวดข้ออื่นๆ ร่วมด้วย การดูแลรักษา Office Syndrome ตระหนักถึงปัญหา สาเหตุและเน้นการป้อง - การพักเป็นช่วง - ปรับเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ - Ergonomics - การออกกําลังกาย - เหยียดยืดกล้ามเนื้อ - เพื่อการเคลื่อนไหวข้อ - เพิ่มกําลังความแข้งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ การยศาสตร์ (Ergonomics) คําจํากัดความ เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับหลายสาขาวิชาด้วยกัน ได้แก่แพทยศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, จิตวิทยา, สังคมศาสตร์และสุขศาสตร์อุตสาหกรรม ซึ่งนํามาประยุกต์ใช้ร่วมกันในการ ปรับปรุงคุณภาพการทํางานให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด โดยให้ความสําคัญที่คนในการทํางาน เป็นอันดับแรก ว่ามีผลกระทบจากการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร และสภาพแวดล้อมในการทํางาน อย่างไรบ้าง ซึ่งก็รวมไปถึงวิธีการทํางานหรือท่าทางในการทํางานที่เหมาะสม เพื่อจะได้ใช้พลังงานในการ ทํางานน้อยที่สุด เกิดความเครียด ความล้าและความผิดปกติจากการบาดเจ็บเรื้อรัง (Cumulative trauma disorders, CTDs) น้อยที่สุด ผลโดยรวมคือ การเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัย และความสบายในการ ทํางานนั่นเอง
NSKnowledge Management [124] การยศาสตร์ของการนั่งทํางาน คือกฎของงานซึ่งเป็นศาสตร์หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพ งานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน มาตรฐานและการออกแบบสถานีงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ท่าทางที่สามารถ ก่อให้เกิดอันตราย ได้แก่การโน้มตัวไปข้างหน้า การยืดแขนมากเกินไป การนั่งเก้าอี้ต่ําหรือสูงเกินไปมาตรฐาน และการออกแบบสถานีงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ท่าทางที่สามารถก่อให้เกิดอันตราย ได้แก่การโน้มตัวไปข้างหน้า การยืดแขนมากเกินไป การนั่งเก้าอี้ต่ําหรือสูงเกินไปการวัดสัดส่วนร่างกายสําหรับการออกแบบสถานีทํางาน การออกแบบสถานีงาน ต้องพิจารณาจากสัดส่วนร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน การประเมินความเสี่ยงโดยวิธี ROSA -ขั้นตอนที่ 1 การประเมินความสูงของเก้าอี้ (Chair height) -ขั้นตอนที่ 2 การประเมินความลึกของที่นั่ง (Pan Depth) -ขั้นตอนที่ 3 การประเมินที่พักแขน (Armrest) -ขั้นตอนที่ 4 การประเมินพนักพิง (Backrest) -ขั้นตอนที่ 5 การประเมินหน้าจอ (Monitor)
NSKnowledge Management [125] -ขั้นตอนที่ 6 การประเมินโทรศัพท์ (Phone) -ขั้นตอนที่ 7 การประเมินเมาส์ (Mouse) -ขั้นตอนที่ 8 การประเมินแป้นพิมพ์ (Key board) -ขั้นตอนที่ 9 การหาค่าคะแนนของเก้าอี้ -ขั้นตอนที่ 10 การประเมินระยะเวลาการใช้งาน (Duration) -ขั้นตอนที่ 11 การหาค่าคะแนนรวมของอุปกรณ์เสริม (คะแนน B และ คะแนน C) -ขั้นตอนที่ 12 การหาค่าคะแนนรวมของจอภาพและอุปกรณ์เสริม -ขั้นตอนที่ 13 การหาค่าคะแนนรวมและการสรุปผล การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและกิจกรรมในชีวิตประจําวัน -หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานานๆ -หลีกเลี่ยงการก้มเงย เอี้ยวบิด -หลีกเลี่ยงกิจกรรมซ้ําๆ ซากๆ -คิดก่อนทํา ก่อนจะยกของหนัก เช่น อย่าขยับหลังอย่างรวดเร็วรุนแรง ใช้อุปกรณ์ ทุ่นแรงหรือคนช่วย -ปรับโต๊ะ เก้าอี้จอคอมพิวเตอร์แป้นพิมพ์ให้เหมาะสม -นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพงหลิ ัง -ที่นอนที่แน่นแข็งพอประมาณ ไม่ยวบจนเป็นแอ่ง -บริหารยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ -ยาแก้ปวด ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ -ยาคลายกล้ามเนื้อ -ความร้อน ความเย็น: 48 ชั่วโมงแรก-เย็น; หลังจากนั้น-อุ่น -นวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การออกกําลังกายหรือกายบริหารที่ดีเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูโรคปวดคอ โดยมี วัตถุประสงค์คือ 1. เพิ่มความยืดหยุ่น (flexibility) ของกล้ามเนื้อ และเอ็น พร้อมกับเพิ่มพิสัย (range of motion) ของกระดูกคอ 2. เพื่อความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวโยงกับการทํางานของคอ 3. เสริมสร้างสรีระที่สมดุลของคอและหลัง และอยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง (Good posture) 4. เพิ่มสมรรถภาพทางกายให้เตรียมพร้อมกับงานในชีวิตประจําวัน
NSKnowledge Management [126] สรุปผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ให้ความสนใจและอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มอาการ Office syndrome ที่พบบ่อยในคนที่ทํางานออฟฟิศ และวิธีการลดกลุ่มอาการ ดังกล่าว รวมไปถึงวิธีการทางการยศาสตร์ที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทํางานและการ ดํารงชีวิตให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน เช่นมาตรฐานและการออกแบบสถานีงานที่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะได้นําความรู้นี้ไปใช้ในการดูแลตนเองเป็นสิ่งแรกที่สําคัญที่สุด รวมทั้งในการจัดการเรียนการสอนใน หัวข้อนี้สําหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 ในส่วนของการให้คําแนะนําเรื่องการปฏิบัติตัวและ การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทํางานในผู้ป่วย Office syndrome ที่มีความเสี่ยง เช่นกลุ่มผู้ป่วยทาง ออร์โธปิดิกส์เป็นต้น และสามารถนําไปกําหนดเป็นหัวข้อการวิจัยในเชิงบรรยาย การสํารวจพฤติกรรมการ ทํางาน สํารวจ/ประเมินสิ่งแวดล้อมในการทํางานและการดํารงชีวิต ตลอดจนในกลุ่มผู้ป่วยทางศัลยศาสตร์ และศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ต่อไป
NSKnowledge Management [127] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง Preceptors and Educators training : IV care and Technology ผู้ช่วยศาสตราจารย์นพ.ยงค์รงค์รุ่งเรือง คุณจรรยา จารโยภาส วิทยากร อาจารย์รัญชิดา บุตโรบล ผลู้ิขิต วันพุธที่ 23 มีนาคม 2561 ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับบริษัท Becton Dickinson (Thailand) ได้จัดการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เรื่อง Preceptors and Educators training : IV care and Technology โดยมีผู้เข้าร่วม กิจกรรมคือ อาจารย์ประจําภาควิชาฯ พยาบาลจากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล โดยกิจกรรมประกอบด้วย Lunch Symposium และ Workshop ทั้งหมด 3 รอบ รอบละ 3 workshop ย่อย กิจกรรมที่ 1: Lunch Symposium 1. Central Line Associated Bloodstream Infection (CLABSI) prevention and Control for Siriraj hospital โดย ผศ.นพ.ยงค์รงค์รุ่งเรือง 1.1 Prevalence: The Region & Thailand Central Line-associated Bloodstream Infections (CLABSI) คือการติดเชื้อของแบคทีเรีย และ แสดงแหล่งของการติดเชื้ออยู่ใน central line ในระยะเวลาหนึ่งๆ กล่าวคือภายหลังใส่ central line 2 วัน และภายหลังการถอด central line 1 วัน ส่วน Catheter Related Bloodstream Infection (CRBSI) คือ การติดเชื้อของแบคทีเรียโดยแหล่งของการติดเชื้อคืออยู่ใน central line และมีผล Hemoculture จากการ ดูดเลือดจาก central line ดังนั้น CRBSI จึงเป็น subset ของ CLABSI ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ในช่วงปี 2008 ถึง 2013 ภายหลังจากการพัฒนาการดูแลผู้ป่วย อุบัติการณ์ของ CLABSI ลดลง 46% ส่งผลให้ลดจํานวนวันของการนอนโรงพยาบาล (Length of Stay) 7.5 – 11.8 วัน และลดอัตราการตาย 15-25% จากข้อมูลของประเทศไทยพบว่า ข้อมูลของประเทศไทยในปี 2003-2004 พบว่า ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ใน ICU มีอัตราการเกิด CLABSI 3.3 episodes/1,000 device-days เมื่อเทียบกับ NNIS ของประเทศ สหรัฐอเมริกามีอัตราการเกิด CLABSI 4.0 episodes/1,000 device-days 1.2 The changing trend เชื้อ bacteria ที่เป็นตัวก่อโรคทําให้เกิด CLABSI ในประเทศไทยในปี 2003 พบ Coagulasenegative Staphylococcus Species มากที่สุดคือ 17.7% (Danchaivijitr et al., 2005) ส่วนในประเทศ สหรัฐอเมริกาพบว่า ในปี 2011 เชื้อที่ทําให้เกิด CLABSI มากที่สุดคือ Candida Species 22% (Magill et al., 2014) ทั้งนี้ในปัจจุบันเชื้อแบคทีเรียทุกตัวดื้อต่อยา Antibiotic และเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็นเชื้อดื้อ ยาและก่อให้เกิด CLABSI นั้นมีอัตราการตายถึง 80-100%
NSKnowledge Management [128] เชื้อ Multidrug Resistance (MDR) Gram Negative ที่พบในปัจ จุบันคือ ESBL-producing Enterobacteriaceae, Carbapenam- resistant A. Baumannii & P. aeruginosa, Carbapenemresistant Enterobacteriaceae และ Colistin-Resistant A.Baumannii & P. aeruginosa เชื้อ Multidrug Resistance (MDR) Gram Positive ที่พบในปัจจุบันคือ Methicillin-resistant S. aureus ( MRSA) with reduced susceptibility to glycopepetide, Ampicillin & high level gentamicin-resistant Enterococci, Vancomycin-resistant Enterococci (VRE) 1.3 Update Guidelines 2018 & Us Guideline ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน CLABSI คือปี 2018 ในหัวข้อ Prevention of Central Line-associated Bloodstream Infections โดย Taison Bell และ Naomi P. O’Grady แบ่ง guideline ออกเป็น CLABSI insertion และ CLABSI maintenance สําหรับ CLABSI insertion ประกอบด้วย การล้างมือ, การใช้ >0.5% Chlorhexidine สําหรับ Skin prep โดยให้ใช้สําหรับคนที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ปี, การใส่เครื่องป้องกันอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความ sterile, การห้ามไม่ให้ใส่ central line ที่ femoral vein เนื่องจากเสี่ยง contaminate, US-guided IJ CL และ การใช้ procedure checklist สําหรับ CLABSI maintenance ประกอบด้วยการประเมินบริเวณ insertion site ตาม indication ทุกวัน, การทําความสะอาดบริเวณ hub อย่างเหมาะสมก่อนใช้งาน, ใช้ chlorhexidine ในการทําความ สะอาดร่างกายในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ปี, ทําความสะอาด (dressing) โดยเปลี่ยน gauze ทุก 1-2 วัน และเปลี่ยน transparent ทุก 7 วัน และเปลี่ยนเซ็ตในการให้ยาหากจําเป็น CDC 5-point evidence-based strategy ในการลด Central Line-associated Bloodstream Infections ประกอบด้วย 1. การล้างมือด้วยสบู่และน้ําให้ถูกวิธี 2. การใส่สาย central line แบบ sterile โดยสวมใส่ cap, mask, sterile gown, sterile gloves และ full sterile drape 3. ใช้ 2% chlorhexidine และรอให้แห้งก่อนการใส่สาย central line 4. หลีกเลี่ยงบริเวณ femoral สําหรับการใส่สาย central line 5. ถอดสาย central line เมื่อไม่มีความจําเป็นต่อการใช้งาน อุปกรณ์สําหรับ technology ในการป้องกัน CLABSI มีดังนี้ 1. Antibiotic & anti-infective0impregnated central vascular catheter 2. Antiseptic dressing and maintenance 3. Disinfection caps 4. Needleless securement devices ทั้งนี้ในการป้องกันไม่ให้เกิด CLABSI ต้องการกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ และต้องการทั้งการปฏิบัติ อย่างถูกต้องและการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ ไม่สามารถใช้เพียงอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวได้
NSKnowledge Management [129] 2. New technology for Central Line Associated Bloodstream Infection ( CLABSI) prevention & cost effectiveness โดย คุณจรรยา จารโยภาส หนึ่งสาเหตุการตายของการติดเชื้อในโรงพยาบาลคือ Central Line Associated Bloodstream Infection (CLABSI) และ CLABSI นี้เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ CLABSI มักเกิดการ contaminate บริเวณ exit site คือ หากน้อยกว่า 10 วันมักจะเป็น extra luminal contamination และหากมากกว่า 10 วันจะ เป็น intraluminal contamination วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันการ contamination ทั้ง extra luminal และ intraluminal contamination จากปี 2001 ถึง 2016 คุณจรรยาและทีม ได้ทําให้อัตราการเกิด CLABSI ลดลงจาก 9.79 เป็น 1.89 โดยมีการพัฒนาหลักการและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การทํา skin preparation ด้วย betadine และ ตามด้วย alcohol, การทํา dressing with Sandwich technique, การทําตาม CDC guideline, การสร้าง IV team, การใช้ CLABSI bundle, การ scrub the hub นาน 15 วินาที เป็นต้น ทั้งนี้คุณจรรยาเน้นย้ําการ ปฏิบัติให้การดูแลเพื่อป้องกันการเกิด CLABSI ตามหลักการพื้นฐานอย่างถูกต้องและเหมาะสม อุปกรณ์ต่างๆที่เป็นตัวช่วยในการป้องกัน CLABSI นั้นควรเลือกให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การใช้ chlorhexidine-impregnated patch (BIOPATCH) เปรียบเทียบกับ conventional dressing พบว่า BIOPATCH สามารถลด การเกิดการติดเชื้อฉพาะที่ (local infection) ได้ 44% และช่วยลด การเกิด CR-BSIs ได้ 60% เป็นต้น สําหรับอุปกรณ์ในการช่วยป้องกันการเกิด CLABSI นั้น เราจะต้องคิดว่า ช่วยแก้ไขปัญหาของเราได้จริงหรือไม่และแต่ละ product นั้นมีความหลากหลายและมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้สิ่งที่สําคัญคือการใช้อุปกรณเหล่านี้ได้ถูกจึงจะมีประสิทธิภาพ
NSKnowledge Management [130] กิจกรรมที่ 2: Workshop ประกอบด้วย 3 workshop ย่อย โดยในแต่ละ workshop จะมีการบรรยายเนื้อหาที่ กระชับ และให้เวลากับผู้เข้าร่วมได้ฝึกและเรียนรู้จากอุปกรณ์จริง ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ Workshop 1: All about Vialon technology วิทยากรได้อธิบายเนื้อหาใน workshop โดยสรุปดังนี้ 1. Catheter selection: Material of IV Catheters 1) FEP (TEFLON) มีลักษณะแข็ง สามารถแทงได้สะดวก แต่ด้วยลักษณะที่แข็งอาจะทําให้เกิด mechanical phlebitis ได้ง่าย 2) Polyurethane มี compatibility ดีสามารถอยู่ได้นาน ไม่อุดตัน 3) Vialon จะไม่ลื่น และมีความนิ่ม เมื่อแทงเข้าไปแล้ว 1/2 ชั่วโมง catheter จะมีความนิ่มลง 70% ถึงแม้ว่าจะนิ่มลง catheter จะไม่มีการหักงอ ดังนั้น catheter ชนิด Vialon มีความเหมาะสม ที่สุดในการที่จะใช้เปิดเส้นผู้ป่วย 2. Catheter types Conventional Intravenous catheter Conventional intravenous catheter คือลักษณะของ catheter ที่เราใช้ในปัจจุบัน ปกติควรใช้ catheter เบอร์ 22,24 ในการเปิดเส้นผู้ป่วย แต่ถ้ามีความต้องการที่จะให้สารละลายด้วยระเวลาที่รวดเร็ว ควรใช้ catheter เบอร์ 18, 20 โดยมาตรฐานในการเลือก catheter ควรมีขนาดเล็กกว่าหลอดเลือด 50% เนื่องจาก catheter ขนาดที่ใหญ่เกิดไปจะทําให้เกิด mechanical phlebitis ได้ Conventional Intravenous catheter
NSKnowledge Management [131] Safety Intravenous catheter การใช้ catheter ที่เป็นแบบ safety intravenous catheter มีประโยชน์ในการป้องกันอันตรายจาก เข็มทิ่มตํา และสามารถ delay ระยะเวลาที่เลือดจะออกมาจาก catheter ได้ 10 วินาที Safety Intravenous catheter Workshop 2: All about Needless connector วิทยากรได้อธิบายเนื้อหาใน workshop โดยสรุปดังนี้ 1. การใช้ set IV ที่มี filter จะมประโยชน ี ์ในการกรองเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปกบยาทั ี่ให้ 2. Mechanical Valve จะทําให้ก่อ Biofilm ได้สูงกว่าแบบ Split Septum 3. Split Septum ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อตรงและกว้าง แบบ Split Septum มีประโยชน์กล่าวคือจะ ไม่มีการดูดกลบของเลั ือด 4. การ Scrub the hub ควร scrub บริเวณ hub โดยการใช้ alcohol pad, alcohol ball หรือ betadine pad เป็นระยะเวลา 15 วินาทีเพื่อลดอัตราการติดเชื้อจากการใส่สาย Catheter Workshop 3: All about Bundle care วิทยากรได้เน้นการอธิบายถึงหลักการ Flushing technique โดยมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ การเลือกใช้ Syringe Syringe 3 ml มีความดันประมาณ 300 พาสคาล Syringe 5 ml มีความดันประมาณ 28-29 พาส คาล Syringe 10 ml มีความดันประมาณ 19.75 พาสคาล ในขณะทหลอดเลี่ือดสามารถรับความดันได้ ประมาณ 30 พาสคาล หากใช้ syringe 5 ml สําหรับการ flush สารละลายเข้าไปในหลอดเลือดจะมีความ เสี่ยงในการทําให้หลอดเลือดได้รับบาดเจ็บได้ดังนั้น การใช้ syringe 10 ml มีความเหมาะสมมากทสี่ดุ
NSKnowledge Management [132] ACL of Flushing ACL flushing technique ประกอบไปด้วย Assess คือการประเมินบริเวณ catheter ว่ามี phlebitis หรือ infiltration Clear คือการไล่เลือดและไล่ยา และ Lock คือการล็อคไม่ให้เลือดหรือ สารละลายไหลย้อนออกมา SASH technique SASH เป็นวิธีในการไล่สารละลายในสาย IV catheter ประกอบด้วย S = Saline ___ ml saline flush, A = Administer Medication, S = Saline ___ ml saline flush, H = Heparin ____ ml heparin flush Push and Pause technique การใช้หลักการ push and pause technique จะทําให้ช่วยให้สามารถรักษา IV catheter ได้นาน มากยิ่งขึ้น วิธีการคือให้ push สารละลายปริมาณ 1 ml และ pause โดยให้ทําแบบนี้ไปเรื่อยๆจนสารละลาย หมด นอกจากนี้วิทยากรได้กล่าวถึงประโยชน์ของการใช้สารละลายในการ flush IV catheter แบบ Prefill ซึ่งจะมีประโยชน์มากกว่าการ flush โดยใช้ syringe ปกติเพื่อดูดสารละลายออกมาเอง เนื่องจาก Prefill จะไม่สัมผัสอากาศและบริเวณข้อต่อต่างๆ ดังนั้นการใช้ Prefill จะเป็นการลดการ contaminate ที่ อาจจะเกิดขึ้นได้ส่งผลให้ลดการติดเชื้อจากการทําหัตถการบริเวณ IV catheter ได้ Prefill Syringe
NSKnowledge Management [133] ทั้งนี้หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้ตามตารางนี้ Workshop 1: All about Vialon technology NO. CONTENT REFERENCE 1 1.1 Catheter selection 1.1.1 Material of IV. Catheters -FEP (TEFLON) -POLYURETHANE (Dennis G. Maki, 1991) -VIALON TECHNOLOGY (Wendy D Woodley, October 16 – 19, 2012) 1.1.2 Catheter types -Conventional Intravenous catheter -Safety Intravenous catheter 1.Risk Factors for Infusion-related Phlebitis with Small Peripheral Venous Catheters A Randomized Controlled Trial (Dennis G. Maki, 1991)Dennis G. Maki, MD, and Marilyn Ringer, BSN, MS; 15 May 1991 • Annals of Internal Medicine • Volume 114 2.Evaluation of PU and FEP peripheral IV catheters utilizing a sensitive, accelerated in vivo thrombus-occlusion model: Wendy D Woodley, Matthew S Ferriter,Vincent J Sullivan, Alfred J Harvey :AVA National Conference October 16 – 19, 2012 San Antonio, TX 1.2 Site selection (Infusion Therapy Standards of Practice 2016, 2016, p. S51) 2016 Infusion Therapy Standards of Practice: Section Five: Vascular Access Device (VAD) Selection and Placement. SITE SELECTION S51 1.3 Insertion technique (RN.com, 2005, p. 9) IV Essentials: First Published: March 1, 2005,p.9 1.4 KISSS method (Know Inspect the Site Stabilize and Secure it) Nursing2017.Vol.47,Number6.p.64(The KISSS method for I.V. Catheter care)
NSKnowledge Management [134] Workshop 2: All about Needless connector NO. CONTENT REFERENCE 2 2.1 Open and Close system 1.Rosenthal VD, Maki DG. Prospective study of the impact of open and closed infusion systems on rates of central venous catheter-associated bacteremia. Am J Infect Control. 2004 May;32(3):135–141. 2.Indwell times, complications and costs of open vs closed safety peripheral intravenous catheters: a randomized study Journal of Hospital Infection, Volume 86, Issue 2, February 2014, Pages 117-126 2.2 Needless connector types -Negative displacement -Neutral displacement -Positive displacement Health care-associated bloodstream infections associated with negative - or positive - pressure or displacement mechanical valve needleless connectors: William R. Jarvis 2.3 How to use needless connector -BD Q-syte application,3WSC+Qsyte BD Q-Syte™ Closed Luer Access: Points to Practice 2.4 Scrub the hub by alcohol pad / alcohol ball /betadine pad 2016 Infusion Therapy Standards of Practice: SECTION SIX: VASCULAR ACCESS DEVICE (VAD) MANAGEMENT. Needleless Connectors S68-S69
NSKnowledge Management [135] Workshop 3: All about Bundle care NO CONTENT REFERENCE 3 3.1 Before and After procedural care - Bundle care International Nosocomial Infection Control Consortium (INICC) Care Bundles to Prevent Central and Peripheral Line-Related Bloodstream Infections. January 1, 2017 3.2 Flushing technique -Compare manual vs Prefilled syringe - Push and Pause technique - ACL technique - SASH technique 2016 Infusion Therapy Standards of Practice: SECTION SIX: VASCULAR ACCESS DEVICE (VAD) MANAGEMENT. Flushing and Locking S77 3.3 Complication - Infiltration - Extravasation 2016 Infusion Therapy Standards of Practice: SECTION SEVEN:VASCULAR ACCESS DEVICE (VAD)-RELATED COMPLICATIONS. Infiltration and Extravasation S98 3.4 Phlebitis scale -Question 2016 Infusion Therapy Standards of Practice: SECTION SEVEN:VASCULAR ACCESS DEVICE (VAD)-RELATED COMPLICATIONS. Phlebitis S95
NSKnowledge Management [136] Share & Learn คุยเพลินๆ กับครผู ู้มากประสบการณ์ปี 2561 รองศาสตราจารย์ดร.นารีรัตน์ จิตรมนตรีวิทยากร นางสาวดารานิตย์กิ่งวัน ผู้ลิขติ คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ ผู้เกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ Share & Learn คุยเพลินๆ กับครูผู้มาก ประสบการณ์ปี 2561 เมื่อวันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30-15.30 น. ณ ห้องประชุมสงวนสุข ฉันทวงศ์ชั้น 11 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีรองศาสตราจารย์ดร.นารีรัตน์จิตรมนตรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลรากฐาน เป็นวิทยากร และมีรองศาสตราจารย์พัสมณฑ์คุ้มทวีพร อาจารย์ประจํา ภาควิชาการพยาบาลรากฐาน เป็นผู้ดําเนินรายการ ซึ่งสรุปประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจได้ดังนี้ ผลงานที่เปนความภาคภ็ูมิใจ สําหรับความภาคภูมิใจของรองศาสตราจารย์ดร.นารีรัตน์จิตรมนตรีอาจารย์เล่าว่าได้จบปริญญาตรี เมื่อปีพ.ศ. 2523 เป็นพยาบาลอยู่ที่ตึก 84 ปีและได้ทํางานอยู่อายุรศาสตร์ 2 ปีหลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์ พยาบาลที่คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล จนถึงปัจจุบันระยะเวลาการทํางานยาวนานถึง 38 ปี แต่ถ้ารวมถึงการเข้ามาเรียนที่คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2518 รวมทั้งสิ้น 43 ปี ที่อาจารย์ได้ผูกพันกับคณะพยาบาลศาสตร์ผลงานที่ภาคภูมิใจในช่วงอายุการทํางานของอาจารย์ก็คือ 1) อาจารย์มีโอกาสได้รับเกียรติให้ร่วมเป็นผู้นิพนธ์บทความในหนังสือ “สารานุกรมไทย ฉบับผู้สูงวัย” ตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 2) อาจารย์ได้รับเกียรติจาก สภาการพยาบาลให้เข้าร่วมเป็นกรรมการกําหนดนโยบายระดับชาติด้านการดูแลผู้สูงอายุ 3) อาจารย์ยังมี ผลงานที่ได้ตีพิมพ์นานาชาติคือ Jitramontree, N. (2010). Evidence-Based Practice Guideline Exercise Promotion: Walking in Elders. Schoenfelder, D. P. (Ed.). Journal of Gerontological Nursing, 36(11), 10-18. ได้รับยกย่องว่าเป็นบทความที่ติดอับดับ 1/10 มาเป็นเวลา 10 ปีและ ได้รับเชิญ เป็นวิทยากรการประชุมนานาชาติสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 4) การได้แทนคุณแผ่นดินที่ให้ทุนไปเรียนปริญญา เอกต่างประเทศอย่างเต็มที่โดยได้ทําการพัฒนาหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาล ผู้สูงอายุร่วมกับอาจารย์ในภาควิชาการพยาบาลรากฐานและอีกหลายภาควิชา อีกทั้งอาจารย์ยังได้ทุ่มเทงาน ด้านวิจัย ซึ่งเป็นนักวิจัยหน้าใหม่ ได้ทุนวิจัยชุดโครงการที่มีโครงการย่อย 8 โครงการ โดยได้รับเงินจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นเงิน 2.8 ล้าน และอีกสิ่งที่ภาคภูมิใจคือ การได้รับรางวัล พยาบาลดีเด่น สาขาการวิจัยทางการพยาบาล จากสมาคมศิษย์เก่าพยาบาลศิริราชในพระราชูปถัมภ์สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีพ.ศ. 2558 และเป็นกรรมการสมาคมพฤฒาวิทยาและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุไทย โดยรับหน้าที่เป็นเหรัญญิกนานกว่า 10 ปี
NSKnowledge Management [137] ความประทับใจในการทํางาน ระยะเวลาในการทํางาน 38 ปีซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากกับชีวิตการทํางาน อาจารย์ก็ได้รับ ความร่วมมือจากผู้ร่วมงานหลายๆ ระดับซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่มีให้กันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความ เคารพที่มีให้กัน ความร่วมมือในการทํางานต่างๆ เวลาทํางานด้วยกันก็เหมือนกับลิ้นกับฟันอาจมี กระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เป็นโดยไม่ได้เจตนา อาจารย์รู้สึกเสมอว่า “เศษแก้วนั้นบาดคม เศษอารมณ์นั้น บาดใจ” อาจารย์ต้องขออภัยด้วยนะคะ สิ่งที่อยากฝากไว้กับคณะพยาบาลศาสตร์และน้องๆ รองศาสตราจารย์นารีรัตน์จิตรมนตรีได้ฝากแง่คิดไว้ดังนี้อยากให้ทุกคนร่วมกันพัฒนาคณะฯ โดยใช้ “หมูป่าโมเดล” ของท่าน ศาสตราจารย์นพ.ประเวศ วะสีโดยถอดบทเรียนว่า มรรค 8 แห่งความสําเร็จของ “หมูป่าโมเดล” 1 ใน 8 คือ รวมใจเป็นหนึ่งเดียวมีความมุ่งมั่นร่วมกัน การช่วยชีวิตมนุษย์ที่ไม่มุ่งผลประโยชน์ ของกลุ่ม ของพรรค ของพวก ขัดแย้งทอนกําลังกันใน “หมูป่าโมเดล” ไม่ใช้ความคิดเชิงปฏิปักษ์ขอฝากคือ ให้เราร่วมใจกัน ทําอย่างไรให้คณะฯ ผ่านพ้นวิกฤติที่มีปัญหาด้านบุคลากรขาดแคลน ถ้าเราร่วมแรง ร่วมใจ ช่วยเหลือกันก็เปรียบเสมือน “หมูป่าโมเดล” สุดท้ายคือ ต้องสร้างกําลังใจให้กับตนเอง “Looking for something Right instead of Looking for Something wrong” บางทีคนเราชอบมองหาจุดที่ไม่ดีพยายามเปลี่ยนมุมมองเราให้มองหา จุดดีของบางสิ่งบางอย่างที่จะสร้างกําลังใจให้กับเรา ถ้าเรามองแต่สิ่งไม่ดีก็จะบั่นทอนกําลังใจของเรา ในช่วงท้ายอาจารย์ได้ฝากข้อคิดกับทุกๆ คนว่า “มีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วมันก็ผ่านไป” มีสติเพื่อให้ ปัญญาเกิด แล้วก็อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
NSKnowledge Management [138] Share & Learn คุยเพลินๆ กับครผู ู้มากประสบการณ์ปี 2561 รองศาสตราจารย์ดร.ศิริอร สินธุวิทยากร นายกณพ คาสํุข ผลู้ิขิต คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้จัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ ผู้เกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ Share & Learn คุยเพลินๆ กับครูผู้มาก ประสบการณ์ปี 2561 เมื่อวันพุธที่ 19 กันยายน 2561 เวลา 13.30 - 15.00 น. ณ ห้องประชุมสงวนสุข ฉันทวงศ์ ชั้น 11 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล บางกอกน้อย โดยมีรองศาสตราจารย์ดร.ศิริอร สินธุ เป็นวิทยากร และมีอาจารย์คัทลียา คงเพ็ชร อาจารย์ประจําภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์เป็นผู้ดําเนิน รายการ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจดังนี้ ประวัติโดยย่อก่อนจะเข้ามาทํางานที่คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ดร.ศิริอร สินธุได้เล่าถึงประวัติของท่านถึงการศึกษาพยาบาลได้ถึงชั้นปีที่ 3 ท่าน ก็ได้ตัดสินใจลาจากการเป็นนักศึกษาพยาบาล เนื่องจากท่านได้เห็นพี่พยาบาลท่านนึงหลับขณะเฝ้าไข้ผู้ป่วยที่ ทางญาติจ้างพิเศษมา ท่านมีความคิดว่าถ้าท่านเรียนจบไปแล้วทํางานหนักแบบนี้รู้สึกสงสารตัวเอง เลยตัดสินใจลาออกไปเรียนต่อคุรุศาสตร์แล้วจะไม่กลับมาที่ศิริราชอีก พอท่านเรียนจบได้ไปสมัครงานที่ ขสมก ตอนนั้นมีการเปิดรับสมัครแพทย์และพยาบาล Infirmary สอบคัดเลือกผ่าน พอถึงรอบสัมภาษณ์ หมอเป็นผู้สัมภาษณ์ถามว่า ทําไมถึงเติมคําในช่องว่าง 10 ข้อ สามารถตอบได้ 8 ข้อ ท่านตอบไปว่า ท่านได้ เรียนมาถึงตอบได้แต่ในการออกข้อสอบครั้งนั้นเป็นภาษาลาติน ผู้สัมภาษณ์ก็เลยบอกกับท่านว่า ถ้าท่านตอบ คําถามได้ท่านไม่ควรที่จะมาทํางานที่นี้ผลการสอบครั้งนั้นจึงให้ท่านเป็นแค่ตัวสํารอง หลังจากวันนั้นท่านก็ได้มาเห็นเพื่อนเรียนสูติศาสตร์กัน ท่านก็มีความคิดที่ว่าจะกลับไปเรียน สูติศาสตร์พอท่านเรียนสูติศาสตร์จนจบก็ยังไม่มีงานทํา จนกระทั่งมีรุ่นพี่ท่านนึงมาชวนให้ไปทํางาน ที่ห้องคลอดโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซ่ึงท่านได้เริ่มทํางานที่ห้องคลอดตั้งแต่เริ่มต้น ทํางานไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเบื่อ และเห็นทางคณะพยาบาลศาสตร์เปิดรับสมัครอาจารย์พยาบาล ก็เลยกลืนคําพูดตัวเองที่ว่า จะไม่กลับมาที่คณะพยาบาลศาสตร์อีก จึงได้มาสมัครและเป็นอาจารย์พยาบาลของคณะพยาบาลศาสตร์ พอทํางานได้สักระยะนึงก็ขอหัวหน้าภาควิชาฯ ไปดูงานต่างประเทศที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา การไปดูงานครั้งนี้ทําให้ชีวิตของท่านพลิกผัน เพราะท่านอยากอยู่ซานฟรานซิสโกมาก ท่านก็เลยคิดหาวิธีที่ จะทํายังไงให้ได้อยู่ที่เมืองนี้มีทางเดียว คือ สมัครเรียนปริญญาเอกอย่างเดียว ตอนนั้นท่านไม่มีคุณสมบัติที่จะ ได้เรียนต่อที่ซานฟรานซิสโกเลย เพราะท่านไม่ได้จบปริญญาโทที่เมืองนิวยอร์กยอมรับ สอบ TOEFL ไม่ถึง 600 และก็ยังไม่ได้สอบ GRE ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั่วไปที่จะสมัครเรียนปริญญาเอก ซึ่งท่านไม่มีคุณสมบัติ ดังกล่าวเลย ท่านก็ได้ไปปรึกษา adviser โดยให้คําแนะนําว่า คนที่ตัดสินใจว่าท่านอาจารย์ใจได้เรียนปริญญา เอกก็คือ รองคณบดีทั้ง 5 ท่าน adviser จึงให้ชื่อท่านมา 4 ท่าน ให้ท่านไปคุยกับบุคคลเหล่านี้
NSKnowledge Management [139] รองคณบดีท่านแรกที่คุยด้วย เค้าได้ถามว่าท่านอาจารย์กับใครมาบ้าง ท่านได้ตอบว่า ท่านทํางานอยู่ ที่หอผู้ป่วยอุบัติเหตุคําถามต่อไป คือ ที่ ward มีผู้หญิงมั๊ย ท่านตอบไปว่ามีประมาณ 10% แล้วคุณจะมา ทํางานกับชั้นได่อย่างไรในเมื่อคุณไม่เคยอ่านผลงานของฉัน และไม่ได้ทํางานกับผู้หญิง รองคณบดีก็เลยบอกว่า งั้นไม่เป็นไร GPA ของท่านอาจารย้ยัเดียวท่านรองคณบดีก็จะช่วย รองคณบดีท่านที่สอง นิสัยดีมาก ท่านสนใจเกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย ท่านบอกว่าให้ไปเขียนบทความ มา จะช่วยดูให้ตอนนั้นท่านอาจารย์คัดลายมือ 5 หน้า สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้กันอย่างแพร่หลายใน ปัจจุบัน ท่านรองคณบดีเมื่อได้ดูบทความของท่านอาจารย์ก็บอกว่า ดีมาก เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ท่านรอง คณบดีได้ปรับเนื้อหาให้ท่านอาจารย์จนทําให้ท่านอาจารย์ได้เรียนปริญญาเอก จนสําเร็จการศึกษาปริญญา เอกที่ University of California, San Francisco รางวัล Centennial of fame University of California ค.ศ. 2007 รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นปีพ.ศ.2550 จํานวน 100 คน ครบรอบ 100 ปีที่ก่อตั้ง University of California, San Francisco ที่จะถูกบรรจุชื่อผลงานและรูปภาพ ท่านอาจารย์ได้เล่าถึงการได้มาซึ่งรางวัลนี้ ท่านทํางานกับคนที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย โดยมีอาจารย์ที่ดึงตัวท่านไปทํางานต่างประเทศตลอดเวลา ท่าน บอกว่าท่านอยู่กับคนที่เก่งกว่าท่านมาโดยตลอด เลยทําให้ท่านได้รับรางวัล Centennial of fame University of California รางวัลศิษยเก์ ่าพยาบาลศริิราชดีเดน่สาขาการวิจัยทางการพยาบาล จากสมาคมศษยิ ์เก่าพยาบาลศิรราชิ ในพระราชูปถมภั ์สมเด็จพระศรีนครนทราบรมราชชนนิ ี ท่านได้รับรางวัลนี้มาจากคณะฯ เป็นผู้ผลักดันที่ให้อาจารย์ทุกคนทําตามตัวชี้วัดที่คณะฯ ให้ไว้กับ อาจารย์ทุกท่าน เพื่ออาจารย์ทุกท่านมีแนวทางความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ จึงทําให้ได้รางวัลศิษย์เก่า พยาบาลศิริราชดีเด่น สาขาการวิจัยทางการพยาบาล จากสมาคมศิษย์เกาพยาบาลศ่ ิริราชในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรนครี ินทราบรมราชชนนี ความประทับใจที่ได้เข้ามาทางานํ ท่านกับ รศ.ดร.ฟองคํา ติลกสกุลชัย ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่สมัยนั้น รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง เป็น คณบดีเป็นช่วงที่คณะฯ จัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติปีละ 3 ครั้ง เป็นช่วงที่ทํางานหนักมาก ตอนนั้น ท่านบอกว่าท่านก็ยังสอนหนังสือไม่ค่อยเก่ง ท่านเลยไปปรึกษา อ.เพ็ญศรีซึ่งท่านไม่ได้จบการศึกษาระดับ ปริญญาเอก แต่สอนหนังสือเก่งมาก ท่านได้กลับมามองตัวเองว่าทําไม ท่านถึงสอนหนังสือแล้วเหนื่อยมาก การทํางานที่มีผู้บริหารที่ชัดเจน ทําตามแนวทางที่คณะฯ วางไว้ท่านได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจาก คณะฯ มันคือความลงตัว มีหลายๆ องค์ประกอบจนอธิบายเป็นคําพูดไม่ได้ท่านได้กล่าวว่าท่านไม่ได้เก่ง ภาษาองกฤษถั ึงท่านจะจบจาก University of California, San Francisco ก็ตาม แต่ท่านมาเก่งภาษาอังกฤษ จากการที่ได้มาทํางานที่คณะฯ ถ้าย้อนเวลากลับไปที่ท่านได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะท่านอยู่กับคนที่ทํางานหนัก กว่าตัวท่าน และอีกอย่างที่ท่านประทับใจคือ การได้สอนนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก เพราะนักศึกษา เหล่านี้ให้ประสบการณ์กับท่านมากมาย
NSKnowledge Management [140] รางวัลศรสีังวาลย์สาขาการพยาบาลในสถานบริการ ประจําปี 2559 ตอนแรกท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นรางวัลอะไร รางวัลนี้เป็นรางวัลที่ได้มาจากการทําหลักสตรู Case manager ที่ทานปฏ ่ ิบัติหน้าที่นอกเวลา โดยทําเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ซึ่งจากประโยชน์ตรงนั้นทําให้คนใน ประเทศจํานวนมากควบคุมเบาหวานได้อีกทั้งท่านยังทําให้ EMP อยู่ในนโยบายของกระทรวงสาธาณสุข ซึ่ง เป็นที่มาของการได้รางวัลศรีสังวาลย์สาขาการพยาบาลในสถานบริการ ประจําปี 2559 ข้อคิด และสิ่งที่อยากฝากถึงน้องๆ ท่านเห็นว่าบุคลากรทุกคนในคณะพยาบาลศาสตร์เป็นคนเก่งที่สุดในประเทศไทย เป็นคนที่ทํางาน ถูกต้องชัดเจน และทํางานหนักมาก อยากจะฝากให้พวกเราทุกคนออกนอกกรอบบ้าง เพราะพวกเราอยู่แต่ใน กรอบมากเกินไป คนภายนอกมองเรารู้จักเราว่าเราเป็นอาจารย์พยาบาลศิริราช แต่ไม่รู้จักว่าเราเป็นอาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล หัดที่จะเผชิญโลก บาดเจ็บบ้าง เพื่อได้ประสบการณ์ที่ดี
NSKnowledge Management [141] กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “แชร์ประสบการณ์บอกเลาความประท ่ บใจ ั ” นางจินตนา หนูล้อมทรัพย์และนายประพันธ์จั่นลา วิทยากร นายกณพ คําสขุและนางสาวปริชาติแก้วสําราญ ผู้ดําเนินรายการ นางสาวดารานิตย์กิ่งวัน ผู้ลิขติ คณะกรรมการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ร่วมกับงานทรัพยากรบุคคล คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “แชร์ประสบการณ์บอกเล่าความ ประทับใจ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสายสัมพันธ์...บุคลากรสายลูกจ้าง จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์แคว รีสอร์ท แอนด์สปา จังหวัดกาญจนบุรีโดยเชิญคุณจินตนา หนูล้อมทรัพย์ และคุณประพันธ์จั่นลา มาร่วมบอกเล่าความประทับใจในการทํางานที่คณะพยาบาลศาสตร์จนใกล้ครบวาระ เกษียณอายุราชการ และมีนายกณพ คําสุข และนางสาวปริชาติแก้วสําราญ เป็นผู้ดําเนินรายการ เรื่องราวดีๆ ที่ทั้งสองท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ ผลงานที่เปนความภาคภ็ูมิใจ คุณจินตนา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าทํางานที่คณะพยาบาลศาสตร์เมื่อ 38 ปี 1 เดือน 12 วัน เมื่อปีพ.ศ. 2523 โดยเริ่มเข้าทํางานในสมัยของคุณหญิงดวงใจ สิงหเสนีเป็นคณบดีอยู่ในสมัยนั้น และต่อมา ในสมัยของรองศาสตราจารย์ดร.ทัศนา บุญทอง เป็นคณบดีคุณจินตนาได้รับการคัดเลือกให้ศึกษาดูงานที่ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ซึ่งคุณจินตนาได้กล่าวว่า ผู้ใหญ่ยังเห็นความสําคัญของพนักงานสายลูกจ้างได้มอบ โอกาสให้ไปศึกษาดูงานข้างนอก เหตุการณ์นี้ทําให้คุณจินตนาซาบซึ้งใจถึงความกรุณาที่ผู้ใหญ่มีให้และยังมีสิ่ง ที่น่าภาคภูมิใจอีก 1 เรื่อง คือผู้ช่วยศาสตรจารย์ฉันทิกา จันทร์เปีย ท่านเป็นอาจารย์ที่ได้มอบความรู้สอนงาน ฝีมือด้านการแกะสลัก การจัดอาหารให้สวยงาม ซึ่งเป็นความรู้ที่ติดตัว และสามารถนํามาใช้ได้จนถึงปัจจุบนนั ี้ คุณจินตนาได้กล่าวว่า “งานทุกอย่างที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ทําและประสบความสําเร็จ เป็นสิ่งที่ทําให้ตัวข้าพเจ้า มีความภาคภูมิใจมากที่สุดแล้ว” คุณประพันธ์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทํางานที่คณะพยาบาลศาสตร์เมื่อ 35 ปี 5 เดือน เมื่อปี พ.ศ. 2525 คุณประพันธ์ได้เข้ามาสมัครทํางานเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525 ซึ่งเป็นวันที่ปิดรับสมัครพนักงานไป แล้ว 2 วัน (วันที่ 15 มีนาคม 2525) สมัยนั้น อาจารย์สุวรรณได้ให้คุณประพันธ์ทํางานอยู่ห้อง AV (ปัจจุบัน คืองานเทคโนโลยีสารสนเทศ) การฝึกงานของคุณประพันธ์ภายใน 1 เดือนแรกนั้น คุณประพันธ์ต้องแบกบันได ขึ้น-ลง ชั้น 8 ทุกวัน จนอาจารย์เจ้าหน้าที่เกิดข้อสงสัยจึงมีคําถามว่าทําไมถึงไม่ขึ้น-ลงลิฟท์คุณประพันธ์ ตอบว่า บันไดมีความยาวมากจึงไม่สามารถนําขึ้น-ลงลิฟท์ได้เหตุผลที่คุณประพันธ์แบกบันไดขึ้น-ลงทุกวัน ตั้งแต่ชั้น 1 – ชั้น 8 นั้น ได้สร้างความภาคภูมิใจในการทํางานครั้งแรกให้กับคุณประพันธ์คือ คุณประพันธ์ได้ ทําการติดตั้งพัดลมของภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และภาควิชาการพยาบาลกุมารเวช ศาสตร์คนเดียวเสร็จสิ้นภายในเวลา 1 เดือนเต็ม และสิ่งสําคัญที่คุณประพันธ์ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของการ ทํางานที่นี่คือ การได้เป็นบุคลากรของคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลยมหั ิดล นั่นเอง
NSKnowledge Management [142] ความประทับใจในการทางานํ คุณจินตนา ก็พูดถึงความรู้สึกและความประทับใจในการทํางานว่า ที่ทํางานแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็น บ้านอีกหลังโดยมีเพื่อนร่วมงานซึ่งเปรียบเป็นพี่เป็นน้อง ที่น่ารักทุกคน โดยมีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่วน ใครที่ไม่รู้งานอะไรก็มาปรึกษาขอคําแนะนําจากคุณจินตนา ซึ่งได้สร้างความรู้สึกประทับใจให้แก่คุณจินตนาที่ สามารถได้ถ่ายทอดความรู้ที่คุณจินตนามีให้กับคนรุ่นหลังได้เรียนรู้และรับรู้ต่อไป คุณจินตนาได้กล่าวว่า “คนเราไม่สามารถทํางานได้อย่างเดียว แต่ต้องทํางานให้เป็นได้หลายๆ อย่าง” ในช่วงสุดท้าย ในวาระที่ทั้งสองท่านใกล้จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ทั้งสองท่านได้ฝาก ข้อคิดดีๆ ไว้ให้กับน้องๆ ทุกคน โดยเริ่มจากคุณจินตนา ฝากข้อคิดดีๆ ไว้ให้กับน้องๆ ทุกคน คือ “จงทําตัวให้ เหมือนมด คือ มีความขยัน อดทน สามัคคีช่วยเหลือกัน ไม่ย่อท้อต่อความลําบาก” ส่วนคุณประพันธ์ก็ได้ ฝากข้อคิดดีๆ ไว้ให้กับน้องๆ ทุกคน คือ “ความมีมนุษยสัมพันธ์ต้องมาก่อน เจอกันทักทายกัน สนุกและ รับผิดชอบกับงานที่ทําถ้าเรามีความสามัคคีกันความเป็นศัตรูก็จะไม่เกิดขึ้น และอย่าใส่หัวโขนใส่กัน” นี่คือสิ่ง ที่อยากฝากไว้กับน้องๆ ทุกคน