คู่มือการใช้เครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 - 3
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 - 3
สำ� นกั ทดสอบทางการศกึ ษา
สำ� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
คู่มอื การใชเ้ ครื่องมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผเู้ รียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 - 3
ปที ีพ่ มิ พ์ พ.ศ. 2565
จำ� นวนพิมพ์ 500 เล่ม
จดั ท�ำโดย สำ� นักทดสอบทางการศึกษา
สำ� นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
พิมพท์ ี่ หา้ งหนุ้ สว่ นจำ� กดั โรงพมิ พอ์ ักษรไทย (น.ส.พ.ฟ้าเมอื งไทย)
85-91 ซอยจรัญสนทิ วงศ์ 40 ถนนจรัญสนิทวงศ์
แขวงบางย่ขี ัน เขตบางพลัด กรงุ เทพมหานคร 10700
โทร. 0-2424-4557 โทรสาร 0-2433-2858
ก1
คค�ำานนา�ำ
คู่มือการใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) จัดทาขนึ้ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ครผู สู้ อนมีความรู้
ความเข้าใจ เกี่ยวกับเครื่องมือวัดและประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และเพ่ือให้ครูผู้สอนนาไปใช้เป็น
แนวทางสาหรับการวัดและประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ซ่ึงได้กาหนดไว้ในลักษณะของความสามารถ 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการส่ือสาร
ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถ
ในการใช้เทคโนโลยี
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยสานักทดสอบทางการศึกษาได้นากรอบนยิ าม
ตวั ชวี้ ดั สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนท้ัง 5 ประการ ขา้ งตน้ มาดาเนินการพัฒนาเป็นเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียนตามหลักวิชาการ เพ่ือให้หน่วยงาน ผู้สอน ผู้เรียนและผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย ได้มีตัวอย่างเคร่ืองมือประเมิน
และสามารถนาไประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดสมรรถนะสาคัญได้ตามเป้าหมายของหลักสูตร
โดยดาเนินการพัฒนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะของผู้เรียน ท้ัง 5 ประการ ออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 – 3 ช่วงท่ี 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ช่วงที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 และช่วงท่ี 4
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 – 6 และจัดทาเป็นคู่มอื ประเมินสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี นเพ่ืออานวยความสะดวกให้กับ
ผู้ใช้เครื่องมือ สามารถศึกษารายละเอียดของเครื่องมือประเมินแต่ละสมรรถนะ ซึ่งมีเครื่องมือประเมินท่ี
หลากหลาย ได้แก่ แบบทดสอบ แบบวัดเชิงสถานการณ์ แบบประเมินแบบมาตรประมาณค่า แบบประเมินผลงาน/
ชิ้นงาน แบบสังเกตพฤติกรรม เป็นตน้ ซง่ึ ผเู้ กีย่ วขอ้ งสามารถเลือกเครื่องมือประเมนิ ไปใชป้ ระเมินผเู้ รยี นได้ตาม
ช่วงเวลาท่ีเหมาะสม คู่มือน้ีได้แสดงกรอบโครงสร้างเคร่ืองมือ คาแนะนาการใช้เครื่องมือ วิธีการใช้เคร่ืองมือ
ประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน และแบบสรปุ ผลการประเมินสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน เพือ่ อานวยความสะดวก
ให้กบั ผ้ใู ชเ้ ครอ่ื งมอื สามารถใช้เครื่องมอื ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ ประสิทธิผลสูงสดุ
สานักทดสอบทางการศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียนเล่มน้ี จะอานวยความสะดวกให้ผู้เก่ียวข้องทั้งสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา สถานศึกษา หน่วยงานอ่ืน
ท่ีเกี่ยวข้อง ศึกษานิเทศก์ ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย ได้สร้างความเข้าใจและสามารถใช้เคร่ืองมือ
ประเมินนี้ในการกระตุ้นและพัฒนาผู้เรียน และตดั สินผลการประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ได้ตามเจตนารมณ์
ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ในท่ีสุด การจัดสร้าง
เครื่องมือประเมินและคู่มือการใช้เคร่ืองมือเล่มน้ีสาเร็จได้ ด้วยความอนุเคราะห์และความร่วมมืออย่างดีย่ิง
จากคณะทางานทุกท่าน ซึง่ ตอ้ งขอบคุณเป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสนี้
สานักทดสอบทางการศกึ ษา
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
ข2
สาสราบรบญั ัญ
เนื้อหา
หน้า
คานา ก
ตอนที่ 1 บทนา 1
1.1 หลักการและเหตผุ ล 1
1.2 วัตถุประสงค์ 1
1.3 แนวคดิ การสร้างเครือ่ งมือประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน 2
1.4 แนวทางการใช้เครอ่ื งมือประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 4
1.5 บทบาทของผู้ใชเ้ คร่ืองมือประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 5
1.6 การนาผลการประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี นไปใช้ 5
ตอนท่ี 2 กรอบโครงสร้างและเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 6
2.1 เคร่อื งมือประเมนิ ความสามารถในการสือ่ สาร 6
2.2 เคร่ืองมือประเมนิ ความสามารถในการคดิ 44
2.3 เครอื่ งมือประเมินความสามารถในการแก้ปญั หา 52
2.4 เคร่อื งมือประเมนิ ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ 60
2.5 เคร่ืองมือประเมินความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 68
บรรณานุกรม 86
ภาคผนวก 87
- รายชือ่ คณะทางาน 898
1
ตตบบออททนนนนททา�ำ่ี่ี 11
1.1 หลกั การและเหตุผล ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มุ่งพัฒนา
ผู้เรียนทุกคนให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งทางด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทย
และพลโลกท่ดี ี ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ดั ทกี่ าหนดข้นึ โดยมจี ุดมงุ่ หมายเพือ่ พฒั นาผูเ้ รยี นให้เป็นคนดี
มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ ซ่ึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในข้อ 2 ท่ีมุ่งให้เกิดกับผู้เรียนเม่ือจบการศึกษาข้ันพื้นฐานกล่าวว่า
“มคี วามรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต”
ดังน้ัน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ฉบับนี้ ซ่ึงกาหนดสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนท่ีหลักสูตร
ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนในลักษณะความสามารถไว้ 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการส่ือสาร
ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถ
ในการใช้เทคโนโลยี
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนท้ัง 5 ประการดังกล่าว เป็นส่วนท่ีผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาให้เกิดขึ้น
ภายในตนเองเพ่ือให้รู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในตนเอง เรียนรู้และเติบโต ภาคภูมิใจ
ในความเป็นไทย ใช้ชีวิตอยา่ งเห็นคุณค่าและสร้างสรรค์การทางาน รวมท้งั เขา้ ใจความหลากหลายในสังคม
สานกั ทดสอบทางการศึกษา เปน็ หน่วยงานท่ีมีพนั ธกิจหลักในการสนับสนุนเคร่ืองมือและประเมินผล
ทางการศึกษาท่ีมีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อให้บริการแก่เขตพ้ืนที่การศึกษาและสถานศึกษา ซ่ึงมีอานาจ
หน้าท่ีในการบริการเครื่องมือและประเมินคุณภาพการศึกษาท่ีมีมาตรฐาน และระบบคลัง เคร่ืองมือ
ในการประเมินคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นท่ีการศึกษา ทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ และสมรรถนะของผู้เรียน รวมท้ังให้บริการเครื่องมือแก่หน่วยงานต่าง ๆ กากับติดตาม
และตรวจสอบความรู้ความสามารถพื้นฐาน ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะ
ของผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพื่อการนาผลไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนของครู
และการเรียนรู้ของผู้เรียน จึงได้จัดทาคู่มือการใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) แบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงท่ี 1
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 – 3 ช่วงท่ี 2 ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 – 6 ช่วงที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 และช่วงที่ 4
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ แก่ครูและผู้เก่ียวข้องให้สามารถ
นาเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนไปใช้พัฒนาผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประสิทธิผล
สูงสุดต่อไป
1.2 วัตถปุ ระสงค์
1) เพ่ือให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับเคร่ืองมือวัดและประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 – 3
2) เพ่ือให้ครูผู้สอนนาไปใช้เป็นแนวทางสาหรับการวัดและประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3
คมู่ อื การใช้เครื่องมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผ้เู รยี น 1
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 2
1.3 แนวคิดการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) จะนาเสนอเนื้อหาโดยเร่ิมจากความหมาย
ของสมรรถนะ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
การวัดและประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน และการสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น ตามลาดบั ดงั น้ี
1.3.1 ความหมายของสมรรถนะ
สมรรถนะ หมายถงึ บุคลกิ ลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในปจั เจกบุคคล ซงึ่ ผลกั ดนั ใหบ้ ุคคลน้ันสามารถสร้าง
ผลการปฏิบัติงานที่ดีหรือปฏิบัติงานท่ีได้รับผิดชอบได้ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด โดยความหมายในบริบทของผู้เรียน
สมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่มีผลมาจากความรู้ ทักษะความสามารถและคุณลักษณะอื่น ๆ
ท่ีทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือปฏิบัติงานหรือสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่าเพ่ือนร่วมชั้นเรียน (สานักทดสอบ
ทางการศึกษา, 2555 : 1) สอดคล้องกับท่ีราชบัณฑิตยสภา (2564 : 129) ได้ให้ความหมายของคาว่า สมรรถนะ
หมายถึง ความสามารถที่แสดงออกทางพฤติกรรมและการกร ะทาในการปฏิบัติตนและปฏิบัติงาน
ให้ประสบความสาเร็จ โดยประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ตนมีให้เหมาะสมสอดคล้อง
กับบรบิ ทของสังคมและวัฒนธรรมในสถานการณ์ท่หี ลากหลาย
สาหรับสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน หมายถึง ระดับของความสามารถของพฤติกรรมแต่ละบุคคล
ท่ีแสดงออกถึงความรู้ ทักษะ และเจตคติ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถ
ในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (พรพิชิต ทิทา , 2561 : 7) สอดคล้องกับ
กนั ต์กนษิ ฐ์ ชลสมี ธั ยา (2562 : 5) ที่กลา่ วว่า สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะ
คุณลักษณะท่ีผู้เรียนทุกคนมีและใช้ได้อย่างเหมาะสมเพื่อผลักดันใหผ้ ลการปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพบรรลุตาม
เป้าหมายโดยสมรรถนะท่ีสาคัญของผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน หมายถึง ระดับความสามารถพฤติกรรมของผู้เรียน
ที่มาจากทักษะ ความรู้ และเจตคติท้ังด้านการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิตและการใช้
เทคโนโลยี
1.3.2 สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะสาคัญในลกั ษณะของความสามารถ 5 ประการ ดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551 : 6 - 7)
1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร
และประสบการณ์อนั จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสงั คม รวมทงั้ การเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลดปัญหา
ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วิธกี ารส่อื สารที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบทีม่ ีตอ่ ตนเองและสังคม
2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพอื่ การตดั สินใจเก่ียวกับตนเอง และสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม
2 คู่มือการใชเ้ ครือ่ งมอื ประเมินสมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รียน
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
3 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์
และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข
ปัญหา และมกี ารตัดสนิ ใจทม่ี ปี ระสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบทีเ่ กิดข้ึนตอ่ ตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดล้อม
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ
อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง
พฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อืน่
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร
การทางาน การแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม
1.3.3 การวดั และประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
การวัดและประเมินสมรรถนะสาคัญผู้เรียน เป็นการดาเนินการท่ีมุ่งวัดสมรรถนะอันเป็นองค์รวม
ของความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะต่าง ๆ ไม่ควรใช้เวลามากกับการสอบวัดตามตัวช้ีวัดจานวนมาก
เป็นการวัดจากพฤติกรรมการกระทาการปฏิบัติที่แสดงออกถึงความสามารถในการใช้ความรู้ ทักษะ เจตคติ
และคุณลักษณะต่าง ๆ ตามเกณฑ์การปฏิบัติ (Performance Criteria) ที่กาหนดเป็นการวัดอิงเกณฑ์ มิใช่อิงกลุ่ม
และมีหลักฐานการปฏิบัติ (Evidence) ใช้ตรวจสอบได้ การวัดและประเมินผลสมรรถนะนี้เน้นการใช้
การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) จากส่ิงท่ีผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงและความก้าวหน้า
ในการปฏิบัตงิ าน เชน่ การประเมนิ จากการปฏบิ ัติ (Performance Assessment) หรือการประเมนิ โดยใช้แฟ้ม
สะสมผลงาน (Portfolio Assessment) รวมถึงการประเมินตนเอง (Self-Assessment) และการประเมิน
โดยเพื่อน (Peer Assessment) การวัดและประเมินผลท่ีใช้สถานการณ์เป็นฐาน เพื่อให้บริบทการวัด
และประเมินตรงตามสภาพจริง การประเมินไปตามลาดับข้ันของสมรรถนะที่กาหนด หากไม่ผ่านการประเมิน
จะตอ้ งไดร้ ับการพัฒนาและประเมินอีกคร้ังจนกระท่ังผ่านการประเมิน จึงจะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป สว่ นการรายงานผล
เป็นการให้ข้อมูลพัฒนาการและความสามารถของผู้เรียนรายบุคคลตามเกณฑ์ท่ีกาหนดในแต่ละระดับชั้น
(สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2562 : 25) สอดคล้องกับสานักวิชาการ
และมาตรฐานการศึกษา (2554 : 91) ท่กี ลา่ วว่า การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนควรใช้วิธีการประเมิน
ท่เี นน้ การปฏิบตั ิ และบูรณาการอยูใ่ นกระบวนการเรียนการสอนไม่ควรแยกประเมนิ ตา่ งหาก
ดังนั้น สานักทดสอบทางการศึกษา ในฐานะท่ีมีบทบาทในการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินท่ีได้
มาตรฐาน จึงได้ดาเนนิ การจัดทาเครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นและคู่มอื การใช้เครื่องมือประเมิน
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) เพื่อเปน็ แนวทางใหค้ รูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาตลอดจนผูส้ นใจไดน้ าไปใช้ตอ่ ไป
1.3.4 ข้ันตอนการสร้างและพัฒนาเคร่อื งมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ดาเนินการโดยคณะทางาน
ที่ได้รับการแต่งตั้งประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอน อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
และผู้เชี่ยวชาญของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพื่อช่วยพิจารณาในการสร้างเคร่ืองมือ
และแก้ไขตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการของการสร้าง และพัฒนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรยี น โดยมีขน้ั ตอนดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
คมู่ อื การใชเ้ ครอื่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผู้เรยี น 3
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
สขทชขตสพเเสชสทพเตเสสคคชชอมอมถถ้นัน้ั มมาาฤฤ..รรศศิิงงงงรราามมมมษษรรอ่ืือ่ เเ..ผผรรนนนนัธัธคครรฎฎงงถถ22ู้เเู้ ศศยยรรมมถถ้ื้ืววออีีแแนน55ึึกกียยีมมืออืาานนลลหหะะ66ษษนนศศมมททสสะะ00ะะาาททาากึกึ หหาาคคม่ีมี่))ขขสสษษ้งัคงั้ค564531214623ิิคีีครรลลดดแแออาา))))))ัั)ญ)ญ))))าาออกักัณุณุ55ลลเเคคงงปปสสปปงหหงจจววสสหศศหะะขขเเัั ญญภภสสผผรรคคทีีทิิััดดเเ็็รรททูตตูออนนึึกกาาคคมม้้าาูู้้าาออัับบขขฉฉรรี่่ีงงรรฤฤคคษษงพพงรร11รราาผผื่ื่ออขขบบมมออปปษษเเุุรรณณาานนาาคคู้เ้เู ้้งงออาาัับบ––งงถถรรรรฎฎะะททววรรกกมมภภุุผผงงเเีียนนยแแหหทีทียยื่ื่ออสส33ฤฤเเาาืืออูู้้นนาาเเะะลลคคกก์์กก่ีเ่ีเงงนนหหรรษษพพปปกกแแะะมมรราารรีีททตตยยนนออฎฎี่ยีย่ลลจจรรื่่ืออดดรรืืออออาาี่มีม่นนแแดดสสววะะััีีดดะะงง้้ปาปามมบบรีรีนนหหกกขขถถชชมมแแททเเนนกกรรปููปโโมมรร้ออ้าาะะน้นัั้ลลืืออตตะะรราาคคคคออแแนนิิงงนนขขััออมม่่กกเเคคลลรรววกกมมบโบโบบศศออบบสสััธธูู่่มมสสงงดดะะาาบับัิินนโโบบึึกกยยงงโโสสมมููืืออตตยยชชมมคคคคสสษษผผขขมมรรรรแแ่่โโรรรรววเเรรมมูู้้ออททาาศศดดโ้โ้าาททรรงงตตแแงงงงดดรรงงงงยยกกึึสสรรสสถถ่ี่ียย่่งงออกกรรเเยยเเแแงงษษรรรรไไตตคคนนคคาางงถถนนแแคคา้ดา้ด้าา้ตตาาจจ้ัั้งรงรตตะะรรนนงงงงตตกกุุ้้ณณ่่งงปปคคแแ่อืื่อาา่ื่ืออทสสทรรเเะะ่ต่ตงงลลรรคคณณงงีทีทกกงงงงววสสาา่ีี่กกตตั้ย้ัยงงมมาารร่่มมเเี่ีุุ่ฒฒคคาาะะคคาา้ัั้งง์์มมชชงง44ือือื่อือ่ชชืืคคออหหคคััททญญณณกกิิหหิิแแปปงงงงั้้ั นนัญัญส––สณณนนาามมเเาาลลาาะะรรปปนนงงมมดดขขืือวอวรรผผะะะะทท66ะะาาื้้ืรรรรออิิททศศออปป่่เเาททาผผแาาแนนมมรระะหหึึงงยยนนกกงงรรูู้้ลลาาเเเเถถนินิ ผผถถาชชาาะาะพพงงษษาาะะกกนนนนททูเู้้เลลี่่ีเเาามมยยเเื่่ืออรรรราามมปปโโสสนนัะัะยยหี่ห่ีววศศียียะะบบขขดดินินิดิดรรสสจจชชลลึึนนบบกกั้้ัรรศศนนยย้้สสาโาโาาััดดาาาาออเเรรษษววึึงงกกพพมมเเคคพพกกญญฉฉณณกกเเชชนนษษาารรคคื้ื้ััญญหหนน่ื่ืออบบาาิิญญรราาปปาากกรรสสกกลลจจฐฐัับบขขถถนนธธ่ื่ืออาาีี ผผททใใาาาานนาาอิิอกกแแนนหหิิเเงงรรยยหู้หู้ทที่่ีนนททไไลลาามมงงะะวว้้ผผททดด11นนรรศศรรผผะะืืสสออิิพพทูู้้ทพพ้้เเุุกกดดกกงงกกูู้้เเจจาาปปคค่ีมี่ม––าารรคคุุรรททิิจจกก์์คคััดดรรรรีีกกยยีสีสะะคคุุณณปปรรธธััญญะะททื่่ืออ33ดดนน่ว่วษษรรออรรศศเเาาววงงนนขขููแแบัับมม์์บบแแัับบชชัักกมมคคุุโโฒฒออลลไไิินนชชโลโลดดปป้ัั้ดดนนืืูู่่รรมมอองงะะคคั้นั้นิิตตะะยยส้ส้รราาผผืืปปออนนปปปปรรรรปปุุงงนน่วว่ชชู้เเู้ กกงงรรัักกรรรรรรแแววนนสสรราาะะาาะะววะะียียจจกก22เเััคคบบกกรรรริิชชสเเสนนถถ้้ไไ55สส้าม้ามใใออววปปาายียีขขมมชชงง55ออิิาาบบนนกกแแรรเเ้้เเศศ11มมเเบบคคาาดดสสสสคคุุงงคคึึรรกกรรรร้้ดดววมมแแครรคร((รูู้้จจ่ืื่ออษษยยฉฉงงื่ื่ออกื่กื่สรรสออววคคาางงบบงงรราารร้้างงาไไผผมมกกววมมถถขขมม้้าปปาััมมบบูู้้ออาาืืออกกงงืืออนนืืออเเีี เเททมมปปาาปปเเพพาาททปปปปคคะะคคนน่ี่ี รรรรรรื่่ืออี่่ียรยรรรสสรริิ44ดดววััศศะะบบื่่ืออะะใใะะงงยยาาเเเเึึกกหหปปหหเเงงตมมตเเ––คคกกมมมมษษมมน็น็้้รรไไนิินรราาัั ญญิิิินนนนดดืืาาุุออ66งง44รรงง้้
ศศศกกึึ ึกษษษาาาทททฤฤฤษษษฎฎฎแแีี ีแลลละะะหหหลลลักักกั สสสตููตูตรรร
วววิเิเคคเิ ครรราาาะะะหหหก์์กก์ รรรอออบบบโโโคคครรรงงงสสสรรรา้้า้างงง
สสสรรรา้า้ ้างงงเเคคเครรรือื่อ่ ื่องงงมมมอือื อื ปปปรรระะะเเมมเมินนิ นิ
หหหาาาคคคณุณุ ุณภภภาาาพพพดดด้้าา้านนนคคควววาาามมมเเททเทีย่่ยี ่ยี งงงตตตรรรงงงเเชชเชิิงงิงเเเนนน้ออ้ืื ือ้ หหหาาา
ปปปรรรบัับับปปปรรรุุงงงุเเคคเครรร่อือ่ื ่ืองงงมมมืืออือ
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 จจจััดดัดฉฉฉบบบับบั บั เเคคเครรรือ่อื่ อ่ื งงงมมมืืออือปปปรรระะะเเมมเมิินนนิ แแแลลละะะจจจัดัดัดทททาา�ำคคคูู่ม่มู่มืืออือ
สสถถาานนกกาารรณณขขแแ์์กกอ้้อผผาาจจนนรราาแแภภกกพพาาดััดพพรรใใร่ร่นนแแะะกกสสบบดดาาาารรงงดดสสขขขขรร้นัั้น้้ออาาตตงงงงออแแเเชชนนลล้อ้ืือกกะะไไาาพพววรรัฒฒัรรสสัสสั นนรรโโาา้้าาคคงงเเโโคคแแรรรรลลนน่ื่ืออะะาางงพพมม--ััฒฒืืออ22นน00เเาานน11เเ99ือ่่ือคคงงรรจจจจืื่่ออึงงึ าางงไไกกมมมมกกส่ส่ืืออาาาาปปรรมมรรสสาาะะรรรรเเา้้ามมถถงงิินนนนแแาาสสลลเเมมะะคครรพพรรรร่ื่ืออัฒฒั ถถงงนนนนมมะะาาืออื เเสสไไคคปปาารรคคทท่ื่ืออััญญดดงงมมลลขขือือออออดดงงงงใใผผาาชชู้เเู้เเรรนน้้กกียียบับัินินนนผผกกเูู้้เาารรรรียยี ใในนนนชชไไดด่วว่ ้้งง
ดใ1ใ1ดนนาา..44กกเเนนาาแแนิินรรนนกกจจาาััดดววรรกกททดดาา11กกาางัังรรนน))าางงเเรรศศี้้ีกกรรนนีียยกึกึาาาาษษนนรรเเาาใใกกคคชชรราาวว่ื่ืออ้เ้เรรเิเิ คคคคสสงงมมรรรรออาา่่อือืืืออนนะะปปงงหหมมแแรร์์ ะะลลืออืหหเเะะลลปปมมกกกัักิินนรราาสสสสะะรรตูตูมมเเววมมรรรรััดดิินนรรเเแแปปถถสสลลนนา้า้ มมะะหหะะปปรรมมสสรรรราาาาถถะะยยคคเเนนััญญมมกกะะขขาาิินนสสรรออผผจจงงาาลลดััดผผคคสสกกูู้้เเญญััรรมมาาีียยรรรรขขนนเเรรรรออททถถียียงง่ี่ีพพนนนนผผััฒฒะะกกู้เู้เสสาานนรรรราาียียาาสสคคขขนนออััญญึ้ึ้นนนนขขไไปปออแแใใงงลลชชผผะะ้้นนูู้้เเสส้ัั้นนรรมมีียยรรคคนนรรรรไไถถููผผดดนนูู้้สส้้ ะะออโโสสดดนนาายยสสคคมมาาัญัญมมีีแแขขาานนออรรววถถงงททผผนนาาู้เูเ้าารรงงไไยีียกกปปนนาาใใชชรร้้
4 คมู่ ือการใช้เครอ่ื งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรยี น
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
5
2) ศึกษาคู่มือการใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมิน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนและตดั สินผลการประเมินในแตล่ ะสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
3) เลอื กใชเ้ คร่อื งมือท่ีสอดคล้องกับเปา้ หมายในการพฒั นาผเู้ รยี นในแต่ละดา้ นใหเ้ หมาะสม
4) นาเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนไปใช้ในการวัดและประเมินผลผู้เรียน
ตามชว่ งเวลาทเ่ี หมาะสม
5) นาผลการวัดและประเมินไปพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ซ่อมเสริมผู้เรียน ให้มีระดับความสามารถ
ของสมรรถนะทเ่ี พม่ิ ขึ้น
1.5 บทบาทขในอกงผาร้ใู ชนเ้าคเรคื่อรงอ่ื มงอืมปือรปะรเะมเนิมสนิ มสรมรรถรนถะนสะ�ำสคาญั คขัญอขงอผงเู้ รผยี เู้ รนยี นไปใช้ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ผู้ใช้เครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) อาจแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
และระดับสถานศึกษา ซ่ึงในแต่ละระดบั มีบทบาทในการนาเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนไปใช้ ดงั น้ี
1) ระดับสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เป็นหน่วยงานต้นสังกัดท่ีมีหน้าท่ีสนับสนุน ส่งเสริม
อานวยความสะดวก ให้คาปรึกษา และคาแนะนาแก่สถานศึกษาในการนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียนไปใชเ้ พอื่ เปน็ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลในช้ันเรยี น ดังนี้
- สื่อสาร สร้างความเข้าใจ ให้กับสถานศึกษาเก่ียวกับคู่มือและเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะ
สาคัญของผเู้ รียน
- ประชุม ชี้แจง และวางแผนกับคณะทีมงานเพ่ือนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรยี นไปใช้
- เผยแพร่ค่มู ือและเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนแกส่ ถานศึกษาและผู้สนใจทัว่ ไป
- ให้คาปรึกษา และคาแนะนาเก่ียวกับการใช้เครื่องมือเพ่ือพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน
ทกุ ระดับชนั้
- นิเทศ กากับ ติดตามการจัดการเรียนรู้และการนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรยี นไปใช้ประเมินผเู้ รยี น
2) ระดับสถานศึกษา มีหน้าท่ีหลักในการจัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผู้เรียน
ซ่งึ มบี ทบาทในการนาเครอื่ งมอื ประเมินสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียนไปใช้ ดงั น้ี
- บรหิ ารจัดการใหค้ รูนาเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียนไปใชใ้ นการพัฒนาผู้เรยี น
- เปิดโอกาสให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และสะท้อนคิดจากการนาเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะ
สาคญั ของผู้เรียนไปใช้ เพอ่ื การพัฒนาและยกระดับคณุ ภาพสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
- จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเลือกใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนท่ีเหมาะสม
กับพฤตกิ รรมการเรยี นรแู้ ละเปา้ หมายการพฒั นาผู้เรียน
- พัฒนาและต่อยอดความสามารถของผู้เรียน ด้วยการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผูเ้ รียนตามแนวทางทกี่ าหนดให้
- ส่งเสริมให้นักเรียนเลือกใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของตนเอง และประเมินเพื่อน
ตามความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้
1.6 การนำ�าผลการประเเมมินนิ สไปมรใชรถ้ นะส�ำคญั ของผเู้ รยี นไปใช้
การนาผลการประเมินไปใช้สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 แนวทาง ดงั น้ี
1) ใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการปรบั ปรุงและพฒั นาสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี นใหบ้ รรลสุ มรรถนะสาคัญตาม
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
2) ใช้ในการประเมนิ และตัดสินระดบั คณุ ภาพสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
คู่มอื การใช้เครือ่ งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รียน 5
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
6
ตตออนนทที่ ่ี22
กกรรออบบโคโครรงงสสรร้าา้ งงแแลละะเชเชคค้นั ้นัรรมอ่ื่อืมธังงธั ยมมยมือือมศปปศกึ รรึกษะะษเาเมมาปินปินที สสีท่ี ม1ม่ี 1รร–ร-ร3ถ3ถนนะะสสาำ� คคญั ญั ขขอองงผผู้เร้เู รยี ียนน
การพัฒนาเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 สานักทดสอบทางการศึกษา
ได้ดาเนินการวิเคราะห์กรอบโครงสร้างเพ่ือกาหนดตัวช้ีวัดและสร้างเคร่ืองมือประเมินพร้อมกาหนดเกณฑ์
การประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ท้ัง 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด
ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต และความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
22..11เควราื่อมงมสาือมปารระถเมในิ กคาวราสมอ่ื สสาามรารถในการสอ่ื สาร
กรอบโครงสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ด้านความสามารถในการส่อื สาร
นนิยยิามามสสมมรรรถถนนะะสสำ� าคคัญญั ตัววชช้วี ้วี ดั ัด ลลักกั ษษณณะะเเคครรอ่ื ื่องงมมือือ
ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถ 1. มีความสามารถในการรับสาร - แบบทดสอบ
ในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา อย่างมีสติ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ - แบบประเมนิ
ถา่ ยทอดความคดิ ความร้คู วามเข้าใจ ความรสู้ ึก ด้วยการฟัง การดู และการอ่าน
และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล 2. ใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้ความ
ข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ เข้าใจ ความคิด ความรู้สึก และ
ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการ ทัศนะของตนเองด้วยการพูดและ
เจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้ง การเขียน
ต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมลู ข่าวสารด้วย 3. เลือกใช้กลวิธีในการส่ือสาร
หลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการ อย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงความ
เลือกใช้วิธีการส่ือสารท่ีมี ประสิท ธิภา พ รับผิดชอบต่อสังคมเพ่ือบรรลุ
โดยคานึงถึงผลกระทบท่ีมีตอ่ ตนเองและสงั คม วัตถปุ ระสงคใ์ นการสื่อสาร
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 เครือ่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ดา้ นความสามารถในการสอื่ สาร
จากกรอบโครงสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ด้านความสามารถในการส่ือสาร
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 สามารถนามาสร้างเครื่องมือประเมินแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ทักษะการฟังและดู
ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และกลวิธีการสื่อสาร โดยมีเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผ้เู รยี น ดา้ นความสามารถในการสอื่ สาร ดังน้ี
❖ แบบทดสอบ ประกอบดว้ ย แบบทดสอบเลือกตอบ และแบบทดสอบเขียนตอบสน้ั
❖ แบบประเมนิ ประกอบดว้ ย แบบประเมินการพดู แบบประเมนิ การเขยี น และแบบประเมินการใช้สื่อ
6 คู่มอื การใชเ้ ครื่องมือประเมินสมรรถนะส�ำคญั ของผ้เู รยี น
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
7 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
แบบทดสอบการฟงั ช้ัน ม.1 – ม.3
ชอ่ื ..........................................................................................................ชั้น...................เลขที.่ ............................
โรงเรยี น ............................................................................................................................. ..................................
คาชีแ้ จง ครูอ่านเรื่องตอ่ ไปน้ีใหน้ ักเรยี นฟงั 2 รอบ หลงั จากนนั้ อา่ นคาถามให้นักเรยี นตอบ โดยใหเ้ วลาขอ้ ละ 1 นาที
(ข้อละ 2 คะแนน รวม 40 คะแนน)
อ่านข้อความใหน้ กั เรียนฟังแล้วให้นักเรยี นตอบคาถาม ข้อ 1 – 5
กระทอ่ ม
พืชกระท่อม หลังจากปลดล็อกจากการเป็นยาเสพติดแล้ว เรามองเหมือนกับฟ้าทะลายโจร หรือ
ขม้ินชัน สมุนไพรเหล่านี้เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ ก็จะถูกกากับดูแลภายใต้กฎหมายผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ซ่ึงสมุนไพร
กระท่อมสามารถนาไปเป็นผลติ ภัณฑส์ ุขภาพได้หลากหลาย ทง้ั อาหาร สมนุ ไพร เครื่องสาอางหรือยาแผนปัจจุบัน
โดยอยูภ่ ายใต้การกากบั ของกฎหมายทม่ี ีอยู่ ทาง อย. ไดว้ างแผนการจัดแบง่ ภายใตก้ ฎหมายต่าง ๆ
กรณีการใช้ พืชกระท่อมในครัวเรือน ‘ไม่ได้ใช้ในเชิงพาณิชย์’ จะไม่ได้อยู่ภายใต้การกากับดูแล
ของกฎหมาย สามารถใช้ได้ แต่สาคัญคือคนใช้ต้องมีประสบการณ์ หรือแลกเปล่ียนประสบการณ์กัน เพราะ
หากใช้ ไม่ถกู ตอ้ งกจ็ ะมีผลเสียตอ่ รา่ งกายได้
ส่วน ‘เชิงพาณิชย์’ มีการนามาแปรรปู เป็นน้ากระทอ่ ม ชากระทอ่ ม หรือนาเขา้ ตารบั ยา ซึง่ ในตอนนี้
ตารับของแผนไทย กม็ ีกระทอ่ มเข้ามาเป็นส่วนประกอบอยู่หลายตารับ เชน่ มีสรรพคณุ ชว่ ยในระบบทางเดิน
อาหาร หากนามาบดเป็นแคปซูลจะถูกกากับโดย พ.ร.บ. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซ่ึงองค์การอาหารและยาดูแล
สว่ นนอ้ี ยู่ ในส่วนของการเอาผงบดไปผสมอาหาร หรอื ขนมปงั ก็ต้องอยูใ่ นการกากับดูแลของ พ.ร.บ. อาหาร
สว่ นกรณี ‘สมนุ ไพร’ เราเปดิ โอกาสใหม้ บี รรยายสรรพคณุ ตา่ ง ๆ ทมี่ ีผลตอ่ สขุ ภาพ ขณะท่ี ‘อาหาร’
มีข้อจากัดในการระบุสรรพคุณพอสมควร ข้ึนอยู่กับลักษณะของอาหาร สรรพคุณ และจุดประสงค์ในการอ้างอิง
ซ่งึ จะจัดเข้าไปอยูภ่ ายใตก้ ฎหมายผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ
ในส่วนของ ‘ผลิตภัณฑ์อาหาร’ เดิมทีใบกระท่อมถือว่า เป็นอาหารท่ีห้ามผลิต นาเข้า ขาย
เรามีประกาศห้ามนานมาก ซ่ึงตอนนี้เข้าสู่กระบวนการปลดล็อกส่วนน้ี สามารถที่จะผลิต หรือนาเข้าได้
แตจ่ ะตอ้ งผ่านการประเมินความปลอดภัยกอ่ น จงึ จะสามารถใชเ้ ปน็ อาหารได้
1. จากเรอื่ งที่ฟัง ข้อใดไมไ่ ดร้ ะบุเกีย่ วกับประโยชนข์ องการนาใบกระท่อมไปใช้
1) เป็นส่วนประกอบของอาหาร
2) เปน็ การแปรรปู ผลิตภัณฑ์
3) เป็นสว่ นประกอบของยา
4) เป็นส่วนประกอบของเครื่องดม่ื บารุงกาลงั
2. จากเร่ืองที่ฟัง ข้อใดไม่ได้กล่าวถงึ เก่ียวกบั คาวา่ “ปลดลอ็ ก”
1) สามารถปลกู ได้อยา่ งเสรี
2) สามารถบรโิ ภคในครวั เรือน
3) สามารถนาเขา้ พืชกระท่อม
4) สามารถแปรรูปเป็นเครื่องสาอาง
คมู่ ือการใชเ้ ครอ่ื งมือประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผเู้ รียน 7
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
8
3. จากเรอื่ งที่ฟงั คาว่า “ไม่ได้ใช้ในเชงิ พาณชิ ย์” หมายถงึ สถานการณ์ในข้อใด
1) นายาทไ่ี ด้จากการบดพชื กระท่อมทาเปน็ ยารกั ษาโรคในสถานพยาบาล
2) พืชกระท่อมนาไปเป็นส่วนประกอบน้าชาเพื่อต้อนรบั แขกภายในบา้ น
3) นาไปเป็นสว่ นประกอบของอาหารในภตั ตาคาร
4) เกบ็ ใบสดพชื กระทอ่ มไปขายปลกี ใหก้ บั บุคคลทัว่ ไป
4. จากเรือ่ งที่ฟงั ใบกระท่อมสามารถทาเป็นผลิตภัณฑ์ ยกเว้นขอ้ ใด
1) ผลิตภณั ฑย์ าแผนปจั จบุ นั
2) ผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพร
3) ผลิตภัณฑเ์ คร่ืองสาอาง
4) ผลิตภัณฑอ์ าหารเสรมิ บารงุ สุขภาพ
5. การกระทาในข้อใดตอ้ งไดร้ ับอนญุ าตจากองคก์ ารอาหารและยา
1) การเพาะต้นอ่อนพืชกระท่อมจาหนา่ ย
2) การทาผดั ใบกระท่อมหมูกรอบเปน็ อาหารเย็นในบ้าน
3) การทาแกงป่าใสใ่ บกระท่อมใส่บาตรพระ
4) การทาไอศกรีมจากตน้ กระท่อมจาหนา่ ย
เฉลย
ขอ้ 1 ตอบ 4) ขอ้ 2 ตอบ 1) ข้อ 3 ตอบ 2) ขอ้ 4 ตอบ 4) ข้อ 5 ตอบ 4)
เกณฑก์ ารให้คะแนน ข้อ 1 - 5
ตอบถูกได้ 2 คะแนน
ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 อา่ นข้อความให้นักเรียนฟงั แล้วใหน้ ักเรียนตอบคาถาม ขอ้ 6 – 10
วัยรุ่นไทยสมัยนี้นิยมใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อการติดต่อท่ีรวดเร็วและเนื่องจากความเร็วในการส่ือสาร
และความยากลาบากในการพิมพต์ ัวอักษรทาให้วยั รนุ่ ทาให้คาเหลา่ น้ันสั้นลงจนกลายเป็นภาษาวิบตั ิ
ภาษาวิบัติ เป็นคาเรียกของการใช้ภาษาไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ตรงกับกับหลักภาษา
ในด้านการสะกดคา คาว่า “ภาษาวิบัติ” ใช้เรียกการเขียนท่ีสะกดผิดบ่อย รวมถึงการใช้คาศัพท์ใหม่
หรือคาศัพท์ท่ีสะกดแปลกไปจากเดิม คาว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี หมายถึง พินาศฉิบหาย หรือ
ความคลาดเคล่ือนทาใหเ้ สยี หาย
ในประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติ
ทาให้เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าท่ีควร ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คาว่า
“ภาษาอุบัติ” แทนท่ี “ภาษาวิบัติ” ที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาท่ีเกิดขึ้นมาใหม่
ตอบสนองวัฒนธรรมยอ่ ย เชน่ เดียวกบั ภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศพั ท์สแลง
ช่วงท่ีมีผู้สร้างภาพยนตร์ต้ังช่ือเรื่องว่า “หอแต๋วแตกแหวกชิมิ” กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต
ประเภทวรรณศลิ ป์ สาขาวชิ าภาษาไทย ระบุ คาว่า "ชิมิ" หากเป็นการใชภ้ ายในกลมุ่ กไ็ มม่ ปี ัญหาอะไร เพราะ
เป็นการล้อกันเล่นซึ่งเป็นปกติของภาษา และจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การนามาใช้เชิงสาธารณะ
ดงั ที่ ไปตงั้ เปน็ ช่ือภาพยนตร์ ถอื ว่าไมเ่ หมาะสมนกั นอกจากนี้ กนกวลี ชชู ัยยะ เลขาธกิ ารราชบณั ฑิตยสถาน
กล่าวว่า สถานการณ์ภาษาไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และวัยรุ่นใช้ภาษาแช็ตเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต
และส่อื สารภายในวยั รุ่นเท่านัน้ ยงั ไม่พบนามาใช้ในการเขยี นหรอื การทางานแต่อยา่ งใด
8 ค่มู อื การใชเ้ ครอ่ื งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี น
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
9
ลักษณะและตัวอย่างคาสะกดผิดได้ง่าย มักจะเป็นรูปแบบของคาที่มีการสะกดผิด ซ่ึงเกิดจากคา
ที่มีการผันอักษรและเสียงไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์ คาที่สะกดผิดเพื่อให้แปลกตา คาท่ีสะกดผิดเพื่อแสดง
อารมณ์ คาเลียนเสียง โดยส่วนใหญ่จะเพ่ิมทัณฑฆาต หรือซ้าตัวอักษร ภาษาเหล่านี้เป็นภาษาท่ีวัยรุ่นทาให้
เปล่ียนแปลงมาเรื่อยจนอาจจะทาให้ไม่มีเค้าโครงเดิมของภาษาไทยอีกต่อไป ฉะน้ันแล้ว วัยรุ่นไทยควร
ชว่ ยกนั ถนอมและรักษาภาษาไทยเอาไวใ้ ห้เหมือนอย่างท่ีมันเป็นมาตลอด
6. การใชค้ าวา่ ภาษาอุบัติ แทน ภาษาวบิ ัติ ใช้เพ่อื จดุ ม่งุ หมายใด
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
7. จากเร่อื งที่ฟัง สาเหตุสาคัญใดทีท่ าใหเ้ กดิ ภาษาวิบัติ
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8. นกั วชิ าการบางทา่ นไดร้ ะบุวา่ สถานการณ์การใชภ้ าษาไทยในปัจจุบนั ยังไม่ถึงข้นั วิกฤต โดยมีสงิ่ ใดบง่ ชี้
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
9. จากเรอ่ื งท่ีฟงั ผพู้ ูดมจี ุดมุ่งหมายใดในการเสนอขอ้ ความนี้
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10. หากภาษาทใี่ ชใ้ นการสื่อสารในโซเชยี ลเน็ตเวิร์กได้รับความนิยมมากขน้ึ จะเกดิ ผลกระทบใดต่อไป
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เฉลย/แนวคาตอบ
6. เพ่ือทดแทนความหมายเชงิ ลบ
7. การใชโ้ ซเชียลเน็ตเวิร์กทใ่ี ชค้ าส้นั ลงเพื่อความรวดเรว็ ในการส่ือสาร
8. ในภาษาเขยี นหรือในการทางาน ยงั ไม่พบการนาภาษาท่ีใช้ในการส่ือสารในโซเชียลเน็ตเวิร์กมาใช้
9. รณรงค์การใช้ภาษาไทยให้ถกู ต้อง
10. ภาษาไทยจะถูกเปลยี่ นแปลงและเกดิ ภาษาวบิ ัติ
เกณฑก์ ารให้คะแนน ขอ้ 6 - 10
2 คะแนน ตอบถูกตอ้ ง / ตอบสอดคลอ้ งกบั คาถาม
1 คะแนน ตอบถูกต้องเป็นบางสว่ น ขาดรายละเอยี ดทีจ่ าเปน็
0 คะแนน ไม่ตอบ / ตอบผดิ / คาตอบไม่สอดคล้อง
คู่มอื การใชเ้ คร่อื งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผู้เรยี น 9 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
10
อา่ นข้อความใหน้ ักเรียนฟังแล้วให้นักเรียนตอบคาถาม ขอ้ 11 – 15
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 นอนดกึ เป็นหน่ึงในปัญหาสุขภาพของเด็กเล็ก วยั รนุ่ และผใู้ หญ่ ทอี่ าจทาใหเ้ หนื่อยลา้ หรืองว่ งระหว่างวัน
คนส่วนใหญม่ ักคิดว่าการนอนดึกน้ันไม่ใช่เร่ืองใหญ่ และไม่ทราบถงึ ภัยอันตรายทส่ี ่งผลต่อสุขภาพ ท้งั ที่จริงแล้ว
การนอนดกึ เป็นประจาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งอาจทาใหเ้ ป็นโรคต่าง ๆ เชน่ โรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน บางคนนอนดึก
เพราะเป็นผลข้างเคียงจากโรคหรอื อาการบางอย่าง ในขณะทบี่ างคนนอนดกึ เพราะทากิจกรรมจนเลยเวลา
การนอนดึกอาจเกิดข้ึนได้จากหลายสาเหตุ เช่น นาฬิกาชีวิตแตกต่างไปจากปกติ โดยนาฬิกาชีวิต
หมายถงึ รอบการทางานของร่างกายใน 24 ชั่วโมง ท่ีรา่ งกายเข้าใจอัตโนมตั วิ า่ เวลาใดคือเวลาต่ืน เวลาใดคือ
เวลานอน โดยอาศัยความมืดและความสวา่ ง ดังนั้น ผู้ที่มีนาฬิกาชีวิตแตกตา่ งไปจากปกติอาจมีแนวโน้มท่ีจะ
นอนดึกได้ นอนดึกอาจมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยหรือปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคสมองเส่ือม ภาวะ
ซึมเศร้ารุนแรง โรคนอนไม่หลับ ผู้ท่ีเป็นโรคนอนไม่หลับอาจประสบปัญหาการนอน เช่น นอนไม่หลับทั้ง ๆ ที่
งว่ งมาก ซึง่ อาจสง่ ผลให้นอนดึกหรอื นอนน้อย และรสู้ กึ ไมส่ ดชนื่ เวลาต่ืน
วยั รุน่ เป็นชว่ งวัยท่ปี ระสบปัญหาการนอนดึกค่อนข้างสูง เพราะมักทากจิ กรรมจนดึก เช่น เล่นวดิ โี อเกม
หรือรอดูรายการทีวีที่ฉายในช่วงกลางคืน พฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายเปล่ียนแปลง
เพราะการผลิตเมลาโทนินอาจชะลอ หรืออาจมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเก่ียวข้องด้วย เช่น กิจกรรมที่ต้องเข้าร่วม
ในแตล่ ะวนั
การนอนดึกเป็นประจาอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน ท้ังสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกาย
หากไม่รบี แก้ไข อาจต้องประสบปัญหาหรือเปน็ โรคต่าง ๆ ดงั น้ี
- ปญั หาสุขภาพจิต การนอนดกึ ส่งผลถงึ อารมณ์หลังจากตืน่ นอน เชน่ ความคิดในเชิงลบ ความวิตก
กังวล ภาวะซึมเศร้า โรคย้าคิดย้าทา เป็นต้น โรคอ้วน หากเปรียบเทียบระหว่างชายและหญิง ผู้หญิงมีความ
เสี่ยงมากกว่า เพราะผู้หญิงมีแนวโน้มท่ีจะมีไขมันหน้าท้องและมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นภาวะอ้วนลงพุง
โรคเบาหวาน ร่างกายจาเป็นต้องใช้อินซูลิน เพื่อดูดซึมน้าตาลในกระแสเลือด แต่การนอนดึกอาจส่งผลให้
ร่างกายหยุดการผลิตอินซูลินออกมา ระดับน้าตาลในเลือดจึงสูงขึ้น และอาจทาให้เป็นโรคเบาหวานได้
โรคหัวใจ มีงานวิจัยที่บ่งช้ีว่า ผู้ที่นอนหลังเท่ียงคืน อาจจะเกิดภาวะเส้นเลือดแดงแข็ง ได้มากกว่าผู้ที่นอน
ก่อนเที่ยงคืน แต่ไม่สามารถระบุได้ แน่ชัดว่าการนอนดึกส่งผลให้เป็นโรคหัวใจโดยตรง เพราะผู้ที่เป็น
โรคหัวใจจากการนอนดกึ น้นั มกั มีปจั จัยเส่ียงอน่ื ๆ รว่ มดว้ ย เช่น สูบบหุ ร่ี ดม่ื หนกั หรือกินมากเกนิ ไป เป็นต้น
วิธีแก้ปัญหาการนอนดึกมีหลายวิธี อาจเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือกิจวัตรประจาวัน
บางอยา่ งในเบอื้ งตน้ โดยปญั หาการนอนดึกมีวิธแี กด้ ังน้ี
* ไม่ทากิจกรรมอื่น ๆ บนเตียงนอน เช่น ดูทีวี ใช้เตียงนอนเพียงเพื่อนอนหรือกิจกรรมทางเพศ
เท่านัน้
* สวมแว่นตาเลนส์สีเหลืองหรือสีส้มอ่อนเมื่อต้องทางานดึก เพราะจะช่วยป้องกันแสงสีน้าเงิน
มากระทบดวงตา และเมอื่ ถึงบ้านดกึ ควรรีบเขา้ นอนทันที
* จากดั การบรโิ ภคคาเฟอนี หรอื หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอนี ในช่วงบ่าย
* หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะอาจทาให้ต้องตื่นระหว่างคืน แต่หากด่ืม
แอลกอฮอล์ในตอนเยน็ ๆ ก็อาจชว่ ยใหห้ ลับได้ง่ายข้นึ
อย่างไรก็ตาม หากอาการนอนดึกปรากฏรุนแรงขึ้น เป็นมากขึ้นหรือเป็นติดต่อกันเป็นระยะ
เวลานาน ควรปรกึ ษากับแพทย์
10 คู่มอื การใช้เครือ่ งมือประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผู้เรียน
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
11 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
11. จากเรื่องที่ฟัง ควรตั้งชอ่ื เรอื่ งวา่ อยา่ งไร
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
12. จากเรอ่ื งท่ีฟงั นาฬกิ าชีวิต หมายความว่าอย่างไร
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
13. สาเหตุหน่งึ ของการนอนดึกของวยั ร่นุ คืออะไร
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
14. การนอนดึกเป็นประจามีผลเสียอยา่ งไร (ตอบ 2 คาตอบ)
ตอบ 1) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
15. จากเร่อื งท่ฟี งั ผ้เู ขยี นไดเ้ สนอวิธีแกป้ ญั หาการนอนดึกอย่างไร (ตอบ 2 คาตอบ)
ตอบ 1) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลย/แนวคาตอบ
11. - ภัยเงยี บของการนอนดึก
- ผลเสียของการนอนดึก
12. รอบการทางานของรา่ งกายใน 24 ชวั่ โมง
13. การเลน่ เกมส์และการดรู ายการทอี่ อกอากาศตอนดึก
14. - แนวโนม้ เป็นโรคอว้ น
- โรคเบาหวาน
- โรคหวั ใจ
- เสยี สุขภาพจติ
15. - กาหนดเวลานอนใหเ้ ป็นเวลา
- สวมแวน่ ตาเลนสส์ เี หลอื งหรอื สสี ม้ อ่อนเมื่อต้องทางานดกึ
- หลกี เลย่ี งการบริโภคคาเฟอีนในช่วงบา่ ย
- หลีกเลย่ี งการบรโิ ภคแอลกอฮอล์ก่อนนอน
เกณฑ์การให้คะแนน ขอ้ 11 – 15
2 คะแนน ตอบถูกต้อง / ตอบสอดคลอ้ งกบั คาถาม
1 คะแนน ตอบถูกต้องเปน็ บางส่วน ขาดรายละเอียดทจี่ าเป็น
0 คะแนน ไมต่ อบ / ตอบผดิ / คาตอบไมส่ อดคล้อง
คูม่ ือการใช้เคร่อื งมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผู้เรียน 11
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
12
อ่านข้อความให้นกั เรยี นฟังแล้วให้นกั เรียนตอบคาถาม ข้อ 16 – 20
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 การแกล้งอาจจะฟังดูตลกขาขัน เพราะในหมู่เพื่อน ๆ ย่อมมีการแกล้ง หรือหยอกล้อกันเป็นเร่ืองธรรมดา
แต่การแกล้งจะไม่ใช่เร่ืองธรรมดาอีกต่อไป หากอีกฝ่ายหน่ึงไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วม หรือรู้สึกสนุกกับ
การแกลง้ เล่นนี้ ตรงกนั ข้ามผู้ทีถ่ กู แกล้งอาจจะรูส้ ึกถูกคุกคาม ลามไปถึงส่งผลใหส้ ุขภาพจติ เสยี ซึง่ การกลั่นแกล้งกัน
ในเชงิ นเี้ รียกว่า “การบูลล่ี” นัน่ เอง
การกล่ันแกล้ง (bullying) เป็นคาท่ีมักได้ยินมากขึ้นในสังคมไทย เพราะหลายวันมานี้เราอาจจะ
ได้ยินหรือได้เห็นข่าวที่มีการกลั่นแกล้งกันของเด็กชั้นประถมท่ีจบลงด้วยโศกนาฏกรรมท่ีไม่มีใครอยากให้
เกดิ ขึน้ โดยพฤตกิ รรมเหลา่ น้มี ักจะเกิดขนึ้ ในโรงเรียน การบูลล่จี งึ ไมใ่ ชเ่ รื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เพราะจากสถิติ
ของกรมสุขภาพจิตพบว่า พฤติกรรมการกลั่นแกล้งรังแกกัน หรือบูลล่ี (Bully) ของเด็กไทยติดอันดับ 2
ของโลก รองจากประเทศญ่ีปุ่น และจากการสารวจพบว่า เด็กกว่า 91 % เคยถูกบูลล่ี และอีก 43 %
คิดจะตอบโต้เอาคืน เสี่ยงท่ีจะนาไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงข้ึน แม้สังคมไทยจะเร่ิมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว
แต่ยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยคนที่ถูกกลั่นแกล้งน้ันจะเกิดการส่ังสมความกลัว
ส่งผลใหเ้ กิดความไมม่ ่ันใจ ในตนเอง และอาจเกดิ ปญั หาในการใชช้ ีวติ ประจาวนั หรอื การเขา้ สงั คมตามมา
การบลู ลส่ี ามารถแบง่ ประเภทออกเปน็ 4 ประเภท ดังน้ี
1. การใชก้ าลงั หรอื การทาร้ายร่างกาย เชน่ การตบ ตี ชกตอ่ ย การข่มขู่ ทาลายขา้ วของให้เสยี หาย
2. การใชค้ าพดู เปน็ การพดู ทารา้ ยความรู้สึก เชน่ การพดู จาขม่ ขู่ วิพากษ์วิจารณ์ ลอ้ เลยี น เยาะเย้ย
เปน็ ตน้
3. การบูลลี่ทางสังคม ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจ เช่น กดดันให้ออกจากกลุ่ม กีดกันไม่ให้ใคร
เขา้ ใกล้ หรอื ไมใ่ หอ้ ยใู่ นกล่มุ เพ่ือน
4. การบูลล่ีทางโลกออนไลน์ (Cyber Bullying) เป็นการกลั่นแกล้งในวงกว้างที่รุนแรงมากกว่า
ในรว้ั โรงเรียน หรอื ในกลมุ่ เพ่อื น
ผลกระทบของการกล่ันแกล้ง แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้ที่ถูกกล่ันแกล้งนั้นจะมีผลต่อสภาพจิตใจจนอาจ
นาไปสู่ภาวะซึมเศรา้ ประสิทธิภาพการเรยี นลดนอ้ ยลง สูญเสียความมั่นใจ ชีวิตไม่มีความสุข และอาจนาพา
ไปถึงการฆ่าตัวตาย นอกจากน้ีการกล่ันแกล้ง หรือการบูลล่ีไม่เพียงแต่จะกระทบกับสภาพจิตใจของผู้ท่ีถูก
แกลง้ เท่านัน้ แตพ่ ฤตกิ รรมดังกล่าวยงั ส่งผลต่อผ้ทู ี่กล่ันแกล้งด้วย เช่น เมอ่ื เติบโตเปน็ ผใู้ หญ่มีแนวโน้มที่จะใช้
สารเสพติด มีพฤติกรรมการใชค้ วามรนุ แรง และอาจรา้ ยแรงถึงขนั้ อาจกอ่ เหตอุ าชญากรรมขึน้ ไดใ้ นอนาคต
ในยุคท่ีทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างท่ัวถึงทาให้เกิดไซเบอร์บูลล่ี (cyberbully) หรือ
การกล่ันแกล้งกันผ่านทางสื่อออนไลน์ ทั้งการข่มขู่ วิพากษ์วิจารณ์ การคุกคามทางเพศ โดยในโลกออนไลน์
น้ันข่าวสารต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ท้ังนี้คนที่บูลล่ียังไม่เปิดเผยตัวตน จึงไม่สามารถหาตัวคนบูลล่ีได้
นั่นยิ่งทาให้เกิดแผลทางใจท่ีฝังลึกยากเกินจะเยียวยา อย่างกรณีการเสียชีวิตของฮานะ คิมูระ นักมวยปล้า
สาวญ่ปี ุ่นทถี่ กู บลู ลใ่ี นโลกออนไลน์จนตดั สนิ ใจฆ่าตัวตายในวยั เพยี ง 22 ปี
เม่ือการบูลล่ีไม่ได้เกิดข้ึนเพียงแค่ในโรงเรียน เราจึงต้องหันมาใสใ่ จคนในครอบครัว หรือคนรอบขา้ ง
เพ่ือป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ โดยสัญญาณของผู้ท่ีกาลังเผชิญกับปัญหาการบูลลี่ คือ หงุดหงิด
เกิดความวิตกกงั วล มคี วามกลวั ไม่อยากไปโรงเรียน หรอื ไมอ่ ยากไปทางาน มีรอ่ งรอยการถกู ทาร้าย เปน็ ตน้
ผูป้ กครอง หรอื คนใกลช้ ิดควรพดู คุยเพ่ือหารอื ถงึ แนวทางในการแก้ปัญหา
ส่วนการรบั มือกับปัญหาสาหรับผทู้ ถี่ กู บูลลี่ กรมสุขภาพจติ ไดแ้ นะวิธีการไว้ 5 แนวทาง ดังนี้
1. ไม่ตอบสนองต่อการกลัน่ แกลง้ ไมว่ ่าการกลนั่ แกลง้ นน้ั จะกระทบกับจิตใจของเรามากแค่ไหน
กต็ าม เพราะการตอบสนองจะยิ่งทาใหส้ ถานการณ์แย่ลง
2. ไมต่ อบโต้ดว้ ยความรนุ แรง เพราะอาจจะกลายเป็นผู้กระทาความผิด และกลายเป็นจาเลยสังคม
12 ค่มู อื การใช้เครอื่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรียน
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
13
3. เก็บหลกั ฐานท่ีถูกกล่ันแกลง้ เพื่อปรึกษาผปู้ กครอง หรอื ดาเนินคดี
4. หากเกิดกรณีไซเบอร์บูลลี่ ควรรายงานกบั โซเชียลมเี ดียตน้ ทาง
5. ตดั การตดิ ต่อ หรือบล็อกการเช่อื มตอ่ พรอ้ มระมดั ระวงั ไม่ใหต้ ัวเองเข้าไปย่งุ เกี่ยวกบั กลุม่ นีอ้ กี
การบูลล่ีจะไม่เกิดข้ึนเลยหากถูกปลูกฝังจิตสานึก และทัศนคติท่ีดีให้ต้ังแต่ยังเด็ก ซึ่งเป็นการแก้ไข
ปญั หาในระยะยาว แตก่ ารแกไ้ ขปญั หาในระยะส้ันผู้ทีถ่ ูกบลู ลค่ี วรตอบโต้ความรุนแรงนั้นดว้ ยความ “เฉยชา”
และต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งท้ังทางกายและทางใจให้แก่ตนเอง เพ่ือก้าวผ่านช่วงเวลาท่ียากลาบากนี้
ไปให้ได้
บทความจาก
โรงพยาบาลเพชรเวช. (2563). Bully ปัญหาสังคมทไ่ี ม่ใชเ่ พยี งการแกล้ง. สบื ค้น 24 พฤศจิกายน 2563,
จาก https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/Social_Bullying
16. นักเรยี นจะรณรงคใ์ หห้ ยุดการ Bully ในโรงเรยี นของตนไดอ้ ย่างไร
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
17. บอกประเภทของการกลั่นแกล้งมา 2 ประเภท
ตอบ 1) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
18. ผเู้ ขียนเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาดังกลา่ วไวอ้ ย่างไร (ตอบ 2 คาตอบ)
ตอบ 1) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
19. ผลกระทบของปัญหาดังกล่าวไดแ้ ก่อะไรบ้าง (ตอบ 2 คาตอบ)
ตอบ 1) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
20. จากเรื่องท่ีฟงั ผเู้ ขียนกล่าวถงึ กลมุ่ เป้าหมายใด
ตอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เฉลย/แนวคาตอบ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
16. - ระบุคาตอบท่เี กี่ยวข้องกับการรณรงคผ์ ่านการสอ่ื สาร เชน่ การเขียน การพูด การอธบิ าย การทาโปสเตอร์
การนาเสนอ ฯลฯ
- ระบุผลเสยี และความรู้สึกของผู้ถกู กลั่นแกล้ง
- ระบวุ า่ การ Bully หมายถงึ การคุกคามผอู้ นื่ ทาใหผ้ ู้อ่ืนอบั อาย เสยี สขุ ภาพจติ และไม่อยากไปโรงเรยี น
17. - การใชก้ าลงั
- การใชค้ าพูด
- การบูลลีท่ างสังคม
- การบูลลี่ทางโลกออนไลน์
18. - สร้างความเขม้ แข็งทง้ั กายและใจ
- ไม่ตอบโต้ดว้ ยความรุนแรง
- ใส่ใจคนในครอบครัวและคนรอบข้าง
คมู่ ือการใชเ้ คร่อื งมอื ประเมนิ สมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรียน 13
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
14
19. - รู้สกึ ถูกคกุ คาม
- สขุ ภาพจิตเสีย
- เกดิ ปัญหาในการเขา้ สงั คม
- มแี นวโน้มการใชส้ ารเสพตดิ และใชค้ วามรุนแรงเมอ่ื โตขนึ้
- เกดิ ปญั หาในการใชช้ วี ิตประจาวัน
20. - เดก็
- วยั รุ่น
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ข้อ 16 – 20
2 คะแนน ตอบถูกต้อง / ตอบสอดคลอ้ งกับคาถาม
1 คะแนน ตอบถูกต้องเป็นบางส่วน ขาดรายละเอยี ดท่จี าเปน็
0 คะแนน ไมต่ อบ / ตอบผิด / คาตอบไม่สอดคล้อง
เกณฑ์ตดั สนิ ระดับคณุ ภาพการประเมินผลรวมแบบทดสอบการฟัง
คะแนน ระดับคณุ ภาพ
31 – 40 ดเี ยย่ี ม
21 – 30 ดี
11 – 20 พอใช้
0 – 10 ปรับปรุง
การแปลผลคะแนนแบบทดสอบการฟัง
ระดบั คณุ ภาพ คาอธบิ าย
ดเี ยย่ี ม มีสติและมีมารยาทในการฟังตลอดเวลา สามารถตอบคาถามจากเร่ืองที่
เก่ียวข้องกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมได้ถูกต้องท้ังหมด สรุปประเด็นสาคัญ
ดี ตีความ วิเคราะห์ วิพากษ์ จุดเด่น จุดด้อย และประเมินคุณค่าจากเรื่องที่ฟังใน
พอใช้ มิตคิ วามจรงิ ความดี และความงามได้ถกู ตอ้ งและเหมาะสม
ปรบั ปรงุ มีสติและมีมารยาทในการฟังตลอดเวลา สามารถตอบคาถามจากเรื่องท่ี
เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมได้ถูกต้องทั้งหมด และสรุปประเด็น
สาคัญ ตีความและวิเคราะห์เร่ืองที่ฟังในมิติความจริง ความดี และความงามได้
ถกู ต้องและเหมาะสม
มีสติและมีมารยาทในการฟังตลอดเวลา สามารถตอบคาถามจากเร่ืองท่ี
เก่ียวข้องกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมได้ถูกต้องทั้งหมด และสรุปประเด็น
สาคญั ของเร่อื งท่ีฟังได้ถูกต้อง
มีสติและมีมารยาทในการฟังเป็นบางช่วงเวลา และสามารถตอบคาถามจาก
เรอื่ งทเี่ ก่ยี วข้องกับสถานการณใ์ นชุมชน สังคมไดถ้ กู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 14 คู่มือการใชเ้ ครอื่ งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
15
แบบสรุปแบบทดสอบการฟัง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3
วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี นดา้ นความสามารถในการสื่อสาร
โดยทดสอบจากพฤติกรรมการฟงั
คาชแ้ี จง ใหผ้ ปู้ ระเมนิ ใหค้ ะแนนแบบทดสอบแต่ละตอน และทาเครอื่ งหมาย ในช่องท่ผี ู้เรยี น
มรี ะดบั คุณภาพท่ีสอดคลอ้ งกับเกณฑ์การประเมนิ แบบทดสอบการฟัง
ผปู้ ระเมนิ นกั เรียนประเมินตนเอง ครู
เพอ่ื นนักเรยี น ผู้ปกครอง
ผู้ประเมิน ชอื่ ......................................................................นามสกุล.....................................................................
คะแนนท่ีได้ ระดับคณุ ภาพ
จากการทา
เลขที่ ชือ่ -สกลุ แบบทดสอบ ดีเยี่ยม ดี พอใช้ ปรับปรุง หมายเหตุ
1 (40)
2
3
4
...
วิธีการใชเ้ ครือ่ งมือ
จากเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ด้านความสามารถในการสื่อสารเป็น
แบบทดสอบการฟัง (แบบเลอื กตอบ และ เขยี นตอบสั้น)
การใช้เครื่องมือวัดและประเมินผลข้างต้น สามารถใช้ในการประเมินระหวา่ งเรียน และหลังการจัดการ
เรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และระดับความสามารถของผู้เรียน ตามแนวทางการประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 - 3
การพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้เคร่ืองมือประเมินแบบทดสอบควรอยู่ในระดับดี ข้ึนไป และการประเมิน
ผลรวมแบบทดสอบการฟังและการแปลผลคะแนน ควรมีระดับคณุ ภาพอยูในระดบั ดี ขน้ึ ไป
คูม่ อื การใช้เครื่องมือประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผู้เรยี น 15 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
16
แบบประเมินการพดู ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 (สาหรับครู)
ชื่อ .............................................................................................................ชน้ั ...................เลขท่.ี ............. ............
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นพูดนาเสนอหน้าช้ันเรียนในประเดน็ ทเ่ี กีย่ วกับตนเอง เชน่ การออกกาลังกาย การใช้เวลาว่าง
การเรียน การใชโ้ ทรศัพท์ โดยพจิ ารณาตามเกณฑ์การให้คะแนน ดังต่อไปนี้
เกณฑ์การใหค้ ะแนนการพูด (คะแนนรวม 20 คะแนน โดยนาคะแนนทไี่ ด้มาหารด้วยสอง คดิ เป็น 10 คะแนน)
รายการประเมนิ 4 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
321 0
1. การนาเสนอเน้ือหา (8 คะแนน) มีครบทง้ั 4 มี 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
1.1 ใจความเหมาะสม องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ
1.2 มคี วามต่อเนื่อง (8 คะแนน) (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ทัง้ 4 ขอ้
1.3 มคี วามสอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ (0 คะแนน)
1.4 บอกผลดีและผลเสียของ
เร่ืองท่ีนาเสนอ
2. การใชภ้ าษา (6 คะแนน) มคี รบทั้ง 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
2.1 การออกเสยี งถูกตอ้ งตามอกั ขรวิธี องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
2.2 พูดเปน็ ธรรมชาติ (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ทง้ั 3 ข้อ
2.3 ใช้ภาษาเหมาะสม (0 คะแนน)
3. รูปแบบการนาเสนอ (3 คะแนน) มคี รบท้ัง 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
3.1 ใช้สอื่ ประกอบการนาเสนอ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
3.2 มีการยกตวั อยา่ งประกอบ (3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) ทัง้ 3 ขอ้
3.3 รูปแบบการนาเสนอนา่ สนใจ (0 คะแนน)
4. บุคลกิ ภาพ (2 คะแนน) มคี รบทั้ง 3 มี 1-2 ไม่ปรากฏ
4.1 น้าเสยี ง องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ
4.2 ความมั่นใจ (2 คะแนน) (1 คะแนน) ท้ัง 3 ข้อ
4.3 ท่าทางประกอบ (0 คะแนน)
5. เวลา (1 คะแนน) ใชเ้ วลาพดู ใช้เวลาพดู
เหมาะสม ไม่เหมาะสม
(1 คะแนน) (0 คะแนน)
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 เกณฑ์ตดั สนิ ระดับคณุ ภาพ ระดบั คณุ ภาพ
คะแนน ดีเยี่ยม
9 - 10 ดี
7-8 พอใช้
5-6 ปรบั ปรุง
0-4
16 คมู่ ือการใชเ้ ครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะส�ำคญั ของผเู้ รียน
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
17
แบบประเมนิ การพูด ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 – 3 (สาหรับครู)
ชื่อ .............................................................................................................ชน้ั ...................เลขที่.............. ............
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาชแี้ จง ให้นักเรียนพูดนาเสนอหนา้ ช้ันเรียนในประเด็นทเี่ กี่ยวกับกลุ่มเพื่อน เชน่ การคบเพื่อน การทางานกลุม่
การทากิจกรรมต่าง ๆ รว่ มกัน โดยพิจารณาตามเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังตอ่ ไปนี้
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนการพูด (คะแนนรวม 20 คะแนน โดยนาคะแนนท่ีได้มาหารด้วยสอง คิดเป็น 10 คะแนน)
รายการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน
1. การนาเสนอเนอ้ื หา (8 คะแนน) 43 2 1 0
มคี รบทง้ั 4 มี 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
1.1 ใจความเหมาะสม องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
1.2 มีความต่อเนื่อง (8 คะแนน) (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ท้ัง 4 ขอ้
1.3 มคี วามสอดคลอ้ งกับหวั ข้อ (0 คะแนน)
1.4 บอกผลดแี ละผลเสียของ
มคี รบทง้ั 3 มี 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
เรอ่ื งทน่ี าเสนอ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
2. การใช้ภาษา (6 คะแนน) (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ทง้ั 3 ขอ้
(0 คะแนน)
2.1 การออกเสยี งถกู ตอ้ งตาม
อกั ขรวธิ ี มีครบทง้ั 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ
2.2 พูดเป็นธรรมชาติ (3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) ทัง้ 3 ข้อ
2.3 ใช้ภาษาเหมาะสม มี 1-2 (0 คะแนน)
3. รปู แบบการนาเสนอ (3 คะแนน) มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ไม่ปรากฏ
3.1 ใชส้ ่ือประกอบการนาเสนอ องค์ประกอบ (1 คะแนน) องคป์ ระกอบ
3.2 มกี ารยกตัวอยา่ งประกอบ (2 คะแนน) ใช้เวลาพูด ทง้ั 3 ขอ้
3.3 รปู แบบการนาเสนอน่าสนใจ เหมาะสม (0 คะแนน)
4. บคุ ลกิ ภาพ (2 คะแนน) (1 คะแนน) ใช้เวลาพดู
4.1 นา้ เสยี ง ไมเ่ หมาะสม
4.2 ความม่นั ใจ (0 คะแนน)
4.3 ท่าทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
เกณฑ์ตดั สินระดบั คณุ ภาพ
คะแนน ระดบั คณุ ภาพ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
9 - 10 ดเี ย่ียม
7-8 ดี
5-6 พอใช้
0-4 ปรับปรงุ
คู่มอื การใช้เคร่อื งมือประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผเู้ รยี น 17
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
18
แบบประเมินการพูด ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับคร)ู
ชื่อ .............................................................................................................ชน้ั ...................เลขที่.............. ............
โรงเรียน ...............................................................................................................................................................
คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนพดู นาเสนอหน้าช้ันเรียนในประเด็นที่เกี่ยวกบั ชุมชน เชน่ การพฒั นาชมุ ชน การดแู ล
สงิ่ แวดลอ้ มของชุมชน กจิ กรรมจติ อาสา โดยพิจารณาตามเกณฑ์การให้คะแนน ดงั ต่อไปนี้
เกณฑก์ ารให้คะแนนการพูด (คะแนนรวม 20 คะแนน โดยนาคะแนนท่ีได้มาหารด้วยสอง คดิ เป็น 10 คะแนน)
รายการประเมนิ 4 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 1 0
1. การนาเสนอเนื้อหา (8 คะแนน) มคี รบทั้ง 4 32 ไม่ปรากฏ
องคป์ ระกอบ มี 3 มี 2 มี 1 องคป์ ระกอบ
1.1 ใจความเหมาะสม (8 คะแนน) องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ ทง้ั 4 ขอ้
1.2 มีความต่อเนอื่ ง (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) (0 คะแนน)
1.3 มีความสอดคล้องกบั หัวขอ้
1.4 บอกผลดีและผลเสียของ มีครบทั้ง 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
เร่อื งทีน่ าเสนอ (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ทัง้ 3 ข้อ
2. การใช้ภาษา (6 คะแนน) (0 คะแนน)
2.1 การออกเสยี งถกู ต้องตาม มีครบทง้ั 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
อักขรวธิ ี องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
(3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) ทัง้ 3 ข้อ
2.2 พดู เปน็ ธรรมชาติ (0 คะแนน)
2.3 ใช้ภาษาเหมาะสม มีครบทัง้ 3 มี 1-2 ไม่ปรากฏ
3. รูปแบบการนาเสนอ (3 คะแนน) องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
3.1 ใช้สื่อประกอบการนาเสนอ (2 คะแนน) (1 คะแนน) ทั้ง 3 ข้อ
3.2 มกี ารยกตัวอย่างประกอบ (0 คะแนน)
3.3 รปู แบบการนาเสนอนา่ สนใจ ใช้เวลาพูด ใช้เวลาพูด
4. บุคลิกภาพ (2 คะแนน) เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
4.1 น้าเสยี ง (1 คะแนน) (0 คะแนน)
4.2 ความมัน่ ใจ
4.3 ท่าทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
เกณฑต์ ดั สินระดบั คณุ ภาพ
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 คะแนน ระดับคณุ ภาพ
9 - 10 ดีเยย่ี ม
7-8 ดี
5-6 พอใช้
0-4 ปรบั ปรุง
18 คู่มือการใช้เคร่อื งมือประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรยี น
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
19
แบบประเมนิ การพดู ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับครู)
ช่ือ .............................................................................................................ชัน้ ...................เลขที่.............. ............
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนพดู นาเสนอหนา้ ช้นั เรยี นในประเดน็ ท่เี กี่ยวกบั สงั คม เชน่ การทานุบารงุ ศลิ ปวัฒนธรรม
การปฏิบตั ิตามกฎหมาย การเป็นพลเมอื งดี โดยพิจารณาตามเกณฑ์การให้คะแนน ดงั ต่อไปนี้
เกณฑ์การให้คะแนนการพูด (คะแนนรวม 20 คะแนน โดยนาคะแนนท่ีได้มาหารด้วยสอง คิดเป็น 10 คะแนน)
รายการประเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. การนาเสนอเน้ือหา (8 คะแนน) 43 2 1 0
มคี รบท้งั 4 มี 3 มี 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
1.1 ใจความเหมาะสม องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ
1.2 มีความตอ่ เนือ่ ง (8 คะแนน) (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ท้งั 4 ข้อ
1.3 มคี วามสอดคล้องกับหัวขอ้ (0 คะแนน)
1.4 บอกผลดแี ละผลเสยี ของ
มคี รบทงั้ 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
เรอ่ื งทีน่ าเสนอ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ
2. การใชภ้ าษา (6 คะแนน) (6 คะแนน) (4 คะแนน) (2 คะแนน) ทั้ง 3 ขอ้
2.1 การออกเสียงถกู ต้องตาม (0 คะแนน)
อกั ขรวิธี
มีครบทั้ง 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
2.2 พูดเปน็ ธรรมชาติ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
2.3 ใชภ้ าษาเหมาะสม (3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) ทงั้ 3 ขอ้
3. รปู แบบการนาเสนอ (3 คะแนน)
3.1 ใชส้ อ่ื ป (0 คะแนน)
ระกอบการนาเสนอ
3.2 มกี ารยกตวั อย่างประกอบ มคี รบทัง้ 3 มี 1-2 ไมป่ รากฏ
3.3 รปู แบบการนาเสนอน่าสนใจ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ
4. บุคลกิ ภาพ (2 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) ท้ัง 3 ข้อ
4.1 นา้ เสียง
4.2 ความม่ันใจ (0 คะแนน)
4.3 ทา่ ทางประกอบ ใช้เวลาพูด ใช้เวลาพูด
5. เวลา (1 คะแนน) เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
(1 คะแนน) (0 คะแนน)
เกณฑ์ตดั สินระดับคุณภาพ ระดับคุณภาพ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
คะแนน ดีเย่ยี ม
9 - 10 ดี
7-8 พอใช้
5-6 ปรบั ปรงุ
0-4
คมู่ อื การใช้เคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรียน 19
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
20
เกณฑ์ตัดสินระดบั คุณภาพการประเมินผลรวมแบบประเมินการพดู ระดับคณุ ภาพ
คะแนน ดีเยี่ยม
9 - 10 ดี
7-8 พอใช้
5-6 ปรบั ปรงุ
0-4
การแปลผลคะแนนการประเมนิ การพดู
ระดบั คุณภาพ คาอธบิ าย
ดเี ย่ียม พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมท่ีมีความซับซ้อนผ่านสื่อที่หลากหลาย
ดี โดยปราศจากอคติ สามารถตีความสถานการณ์ วิเคราะห์ วิพากษ์จุดเด่นจุดด้อย
พอใช้ และประเมินค่า อย่างมีศิลปะและสร้างสรรค์ คานึงถึงสิทธิ ประโยชน์ส่วนรวม
ปรับปรุง และสงั คม
พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมผ่านส่ือท่ีหลากหลาย โดยปราศจากอคติ
ตามจุดมุ่งหมาย ตรงประเด็นและวิเคราะห์คุณค่าในมิติต่าง ๆ อย่างมีศิลปะ
คานึงถงึ กฎหมาย ผลกระทบและประโยชน์ตอ่ ตนเอง กลุ่ม และสงั คมของตนเอง
พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในชุมชน สังคมผ่านสื่อที่หลากหลาย โดยปราศจากอคติ
ถูกต้อง ตรงประเด็น มีคุณค่าในมิติต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ มีจุดมุ่งหมายและตรง
ตามวัตถุประสงค์โดยคานึงถึงผลกระทบและการอยู่ร่วมกันในสังคม เกิดประโยชน์
ต่อตนเอง กลุ่ม และสังคม
พูดเก่ียวกับสถานการณ์ในชุมชน สังคม อย่างมีสติ ชัดเจน ถูกต้อง ตรงประเด็น
มีขอ้ คิดท้งั เชิงบวกและลบ ตรงตามวตั ถุประสงค์ เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเอง และกลุ่ม
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 20 ค่มู ือการใชเ้ ครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผูเ้ รยี น
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
21
แบบสรปุ แบบประเมนิ การพูด ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3
วัตถุประสงค์ เพ่ือใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนดา้ นความสามารถในการสื่อสาร
โดยประเมนิ จากพฤติกรรมการพดู
คาชแ้ี จง ใหผ้ ้ปู ระเมนิ ให้คะแนนแบบทดสอบ และทาเครื่องหมาย ในช่องที่ผเู้ รยี น
มีระดบั คุณภาพทสี่ อดคล้องกับเกณฑ์การประเมนิ การพูด
ผูป้ ระเมิน นักเรยี นประเมนิ ตนเอง ครู
เพอ่ื นนักเรียน ผปู้ กครอง
ผปู้ ระเมิน ช่ือ......................................................................นามสกลุ .....................................................................
คะแนนทีไ่ ด้ ระดับคุณภาพ
จากการทา
เลขท่ี ช่อื -สกลุ แบบทดสอบ ดเี ย่ยี ม ดี พอใช้ ปรับปรุง หมายเหตุ
1 (40)
2
3
4
...
วธิ กี ารใชเ้ ครื่องมือ
จากเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ด้านความสามารถในการสื่อสาร เป็นแบบ
ประเมินการพดู
การใชเ้ ครื่องมือวัดและประเมินผลข้างต้น สามารถใชใ้ นการประเมินระหวา่ งเรียน และหลังการจัดการ
เรียนรู้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้และระดับความสามารถของผู้เรียน ตามแนวทางการประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 - 3
การพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้เครื่องมือประเมินแบบทดสอบควรอยู่ในระดับดี ขึ้นไป และการประเมิน
ผลรวมแบบประเมินการพูดและการแปลผลคะแนน ควรมีระดับคุณภาพอยูในระดับดี ขึน้ ไป
คู่มอื การใช้เคร่ืองมือประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผูเ้ รียน 21 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
22
แบบประเมินการพูด ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับนักเรียน)
ช่อื .............................................................................................................ช้ัน...................เลขท่.ี .........................
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนพูดนาเสนอหน้าช้นั เรียนในประเด็นท่ีเกี่ยวกับตนเอง เช่น การออกกาลงั กาย การใช้เวลาว่าง
การเรียน การใชโ้ ทรศพั ท์ โดยพจิ ารณาตามเกณฑก์ ารให้คะแนน ดังตอ่ ไปนี้
รายการประเมิน
1. การนาเสนอเน้ือหา (8 คะแนน)
1.1 ใจความเหมาะสม
1.2 มคี วามตอ่ เนื่อง
1.3 มคี วามสอดคล้องกับหัวข้อ
1.4 บอกผลดีและผลเสยี ของเรอื่ งที่นาเสนอ
2. การใช้ภาษา (6 คะแนน)
2.1 การออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี
2.2 พดู เปน็ ธรรมชาติ
2.3 ใช้ภาษาเหมาะสม
3. รูปแบบการนาเสนอ (3 คะแนน)
3.1 ใช้สื่อประกอบการนาเสนอ
3.2 มีการยกตวั อย่างประกอบ
3.3 รปู แบบการนาเสนอนา่ สนใจ
4. บุคลกิ ภาพ (2 คะแนน)
4.1 น้าเสียง
4.2 ความม่นั ใจ
4.3 ท่าทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 แบบประเมินการพดู ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 – 3 (สาหรับนักเรียน)
ชอ่ื .............................................................................................................ชั้น...................เลขท.ี่ .........................
โรงเรียน ...............................................................................................................................................................
คาชแี้ จง ให้นักเรียนพูดนาเสนอหน้าชนั้ เรียนในประเด็นที่เก่ียวกับกล่มุ เพ่ือน เช่น การคบเพ่ือน การทางานกลมุ่
การทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ร่วมกนั โดยพจิ ารณาตามเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังตอ่ ไปน้ี
รายการประเมนิ
1. การนาเสนอเน้ือหา (8 คะแนน)
1.1 ใจความเหมาะสม
1.2 มคี วามตอ่ เนื่อง
1.3 มคี วามสอดคล้องกบั หัวขอ้
1.4 บอกผลดีและผลเสยี ของเรื่องทีน่ าเสนอ
22 คูม่ ือการใชเ้ ครอื่ งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรยี น
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
23
2. การใช้ภาษา (6 คะแนน) รายการประเมิน
2.1 การออกเสยี งถูกต้องตามอักขรวธิ ี
2.2 พูดเป็นธรรมชาติ
2.3 ใช้ภาษาเหมาะสม
3. รปู แบบการนาเสนอ (3 คะแนน)
3.1 ใชส้ อื่ ประกอบการนาเสนอ
3.2 มีการยกตัวอย่างประกอบ
3.3 รูปแบบการนาเสนอนา่ สนใจ
4. บคุ ลกิ ภาพ (2 คะแนน)
4.1 น้าเสียง
4.2 ความมนั่ ใจ
4.3 ทา่ ทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
แบบประเมนิ การพดู ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 – 3 (สาหรับนักเรยี น)
ชือ่ .............................................................................................................ช้ัน...................เลขท.่ี ......................... ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
โรงเรียน ...............................................................................................................................................................
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนพดู นาเสนอหน้าช้ันเรยี นในประเดน็ ทเ่ี กีย่ วกบั ชมุ ชน เชน่ การพฒั นาชุมชน การดแู ล
สงิ่ แวดล้อมของชมุ ชน กจิ กรรมจิตอาสา โดยพจิ ารณาตามเกณฑก์ ารให้คะแนน ดงั ต่อไปนี้
รายการประเมนิ
1. การนาเสนอเนื้อหา (8 คะแนน)
1.1 ใจความเหมาะสม
1.2 มคี วามต่อเนื่อง
1.3 มคี วามสอดคล้องกับหัวขอ้
1.4 บอกผลดีและผลเสยี ของเรื่องที่นาเสนอ
2. การใชภ้ าษา (6 คะแนน)
2.1 การออกเสยี งถูกต้องตามอักขรวธิ ี
2.2 พดู เปน็ ธรรมชาติ
2.3 ใชภ้ าษาเหมาะสม
3. รปู แบบการนาเสนอ (3 คะแนน)
3.1 ใชส้ อ่ื ประกอบการนาเสนอ
3.2 มีการยกตัวอยา่ งประกอบ
3.3 รปู แบบการนาเสนอนา่ สนใจ
ค่มู ือการใช้เคร่ืองมือประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผเู้ รียน 23
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
24
4. บคุ ลิกภาพ (2 คะแนน) รายการประเมิน
4.1 นา้ เสยี ง
4.2 ความมนั่ ใจ
4.3 ทา่ ทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
แบบประเมนิ การพูด ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 – 3 (สาหรับนักเรยี น)
ช่อื .............................................................................................................ชั้น...................เลขท.่ี .........................
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนพดู นาเสนอหน้าชั้นเรยี นในประเด็นทเ่ี ก่ียวกบั สังคม เชน่ การทานุบารุงศลิ ปวัฒนธรรม
การปฏิบตั ิตามกฎหมาย การเปน็ พลเมอื งดี โดยพิจารณาตามเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังต่อไปน้ี
รายการประเมิน
1. การนาเสนอเน้ือหา (8 คะแนน)
1.1 ใจความเหมาะสม
1.2 มีความต่อเนื่อง
1.3 มคี วามสอดคล้องกับหัวข้อ
1.4 บอกผลดแี ละผลเสียของเร่อื งท่ีนาเสนอ
2. การใชภ้ าษา (6 คะแนน)
2.1 การออกเสียงถูกต้องตามอักขรวธิ ี
2.2 พดู เปน็ ธรรมชาติ
2.3 ใชภ้ าษาเหมาะสม
3. รูปแบบการนาเสนอ (3 คะแนน)
3.1 ใช้สอ่ื ประกอบการนาเสนอ
3.2 มกี ารยกตัวอย่างประกอบ
3.3 รปู แบบการนาเสนอน่าสนใจ
4. บคุ ลิกภาพ (2 คะแนน)
4.1 นา้ เสียง
4.2 ความมั่นใจ
4.3 ทา่ ทางประกอบ
5. เวลา (1 คะแนน)
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 24 คมู่ ือการใช้เคร่ืองมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผเู้ รยี น
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
25 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
แบบทดสอบการอ่าน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 - 3
ช่อื .............................................................................................................ช้นั ...................เลขที่..........................
โรงเรียน ...............................................................................................................................................................
คาช้ีแจง อ่านข้อความแลว้ ตอบคาถาม (ขอ้ ละ 2 คะแนน รวม 40 คะแนน)
อา่ นข้อความต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถามข้อ 1 – 5
การจะเลือกปลูกตน้ ไมส้ ักต้น หลายคนคงตอ้ งคิดหนัก วา่ จะเลือกปลูกอะไรดี ยิง่ ตน้ ไม้นน้ั ต้องวาง
อยู่ในบ้านของเรา บางคนอาจเลือกต้นไม้มงคลมาปลูก แต่บางคนก็อยากมีต้นไม้ที่ปลูกในกระถาง
และนามาวางประดับมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ดังน้ัน “บอนสี” จึงกลายมาเป็นต้นไม้อีกทางเลือกหน่ึง
เพราะความโดดเด่นเรื่องสีสัน และมีการพัฒนาสายพันธ์ุจนมีหลากหลายให้เลือกปลูก อีกทั้งยังปลูกง่าย
จึงกลายเป็นที่สนใจของคนรักต้นไม้ ยิ่งไปกว่าน้ันมีการจัดประกวดแข่งขันความงาม “บอนสี” อีกด้วย
ส่งิ เหล่านี้จึงทาใหบ้ อนสีไดร้ บั การยกย่องเป็น “ราชนิ ีแห่งไม้ใบ”
สาหรับการเล้ียงบอนสี มีวิธีการท่ีไม่ยากแต่ต้องใส่ใจ เพราะโดยธรรมชาติบอนสีเป็นไม้ที่เติบโต
จากหัว ต้องการความช้ืนสูง มีแสงแดดราไร โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน บอนสีจะผลิใบใหม่ และเจริญเติบโตได้ดี
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม บอนสีจะท้ิงใบ เหลือแต่หัวอยู่ใต้ดิน ทาให้หลายคน
มีการประยุกต์วิธีการเลี้ยง มาเลี้ยงในตู้อบแทน ซ่ึงวิธีน้ีจะช่วยรักษาความชื้นและอุณหภูมิให้คงท่ี และถ้า
ผู้ปลูกต้องการนาบอนสีมาไว้ในบ้าน ควรเลือกตาแหน่งวางที่ค่อนข้างมีแสงมาก และหม่ันหมุนกระถาง
เพอ่ื ปอ้ งกนั ต้นเอนหาแสงไปในทศิ ทางเดียว ทางทดี่ คี วรนาออกไปรบั แสงแดดนอกบ้านบา้ ง
นอกจากนี้ความนิยมในการปลูกอาจมาจากความเช่ือเกีย่ วกบั บอนสีวา่ เป็นไมม้ งคลนยิ มปลูกไว้ใน
บ้านพกั อาศยั และเชือ่ วา่ บา้ นใดปลกู ตน้ บอนสไี ว้ประจาบา้ นจะช่วยค้มุ ครองใหเ้ กดิ ความสงบสุข มีความสุข
ความเจรญิ เปน็ สิริมงคลแก่บา้ นพักอาศยั ทาให้คนในบ้านมคี วามสขุ
1. ขอ้ ใดไม่ไดก้ ลา่ วถึงประเดน็ ทท่ี าใหบ้ อนสีไดร้ ับการยกย่องว่าเปน็ “ราชนิ ีแหง่ ไมใ้ บ”
1) ปลกู งา่ ย
2) มีราคาสูง
3) สสี นั สวยงาม
4) มีหลายสายพนั ธุ์
2. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง
1) การขยายพันธบ์ุ อนสใี ชว้ ธิ กี ารแยกหวั
2) การปลกู บอนสีในบ้านจะทาให้ต้นเตบิ โตช้า
3) การเลี้ยงแบบควบคุมอุณหภูมิชว่ ยใหบ้ อนสเี จริญเติบโตตอ่ เน่ือง
4) ความเชอ่ื ในทางที่ดีทาให้บอนสีไดร้ บั ความนยิ ม
3. ข้อใดเป็นความคิดเห็นเก่ยี วกับความนยิ มในการปลกู บอนสี
1) เปน็ ไม้มงคลทีป่ ลูกไว้ในบ้าน
2) สามารถปลกู ไดท้ ุกสถานที่
3) มีการจัดประกวดความงาม
4) มคี วามหลากหลายของสายพนั ธุ์
คู่มือการใช้เครือ่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผู้เรยี น 25
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 26
4. บทอ่านข้างต้นผ้เู ขียนต้องการนาเสนอเร่ืองใดเปน็ สาคัญ
1) วิธกี ารขยายพนั ธุ์
2) การเลือกซอ้ื บอนสี
3) วิธกี ารดูแลบารงุ รักษา
4) ความเชือ่ เกี่ยวกบั บอนสี
5. ขอ้ ใดเปน็ วตั ถุประสงค์ของบทอ่านข้างตน้
1) ใหข้ อ้ คดิ
2) ให้ความรู้
3) ให้กาลังใจ
4) ให้การสนบั สนนุ
เฉลย ข้อ 1 ตอบ 2) ขอ้ 2 ตอบ 2) ขอ้ 3 ตอบ 1) ข้อ 4 ตอบ 3) ขอ้ 5 ตอบ 2)
อา่ นข้อความต่อไปนีแ้ ล้วตอบคาถามข้อ 6 – 10
ทาไมถุงซิปพลาสตกิ จึงได้รบั ความนยิ มมากขึน้ ในธุรกิจอาหารในปจั จบุ ัน
ถุงซิปพลาสติกสามารถปิดปากได้สนิท จึงช่วยรักษาความสะอาดของผลิตภัณฑ์ท่ีบรรจุไว้ได้
นอกจากน้ียังเปิดปิดง่ายและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบด้วย ถุงพลาสติกบรรจุภัณฑ์แบบน้ีมีวางขาย
หลายขนาด สี และรปู รา่ ง แถมยงั มีถุงพลาสตกิ แบบพมิ พ์ลายสวย ๆ ให้ได้เลือกใชก้ ันด้วย สามารถใชเ้ กบ็ ของ
และแช่แข็งผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์และผัก ถุงซิปพลาสติกป้องกันไม่ให้มีออกซิเจนร่ัวไหลเข้ามา
จึงสามารถรกั ษาความสะอาดและสดใหม่ใหก้ ับผลติ ภัณฑต์ ่าง ๆ ได้นานข้ึน นอกจากจะมีประโยชน์ในการใชง้ านแลว้
ถุงซปิ พลาสติกยังสามารถนากลบั มาใชไ้ ดห้ ลายครงั้ แถมได้รับการรับรองจาก FDA และ USDA ดว้ ย
หลังจากท่ีถุงซิปพลาสติกเป็นท่ีนิยม Steven Ausnit ก็ได้พัฒนาถุงดังกล่าวให้เป็นแบบกดเพื่อปิด
แทนที่จะต้องเล่ือนตัวซิปเพ่ือปิด ถุงสไตล์ใหม่น้ีให้ความสะดวกสบายยิ่งข้ึนกับทั้งผู้ใช้และโรงงานผลิตถุงซิป
เพราะสามารถลดราคาวัสดุและการผลิตไปได้พอสมควร ธุรกิจอาหารหลายแห่ง อย่างร้านขายแซนด์วิช
ได้รับประโยชน์จากถุงประเภทนี้มาก จากนั้น Minigrip ก็เปิดตัวถุงซิปพลาสติกแบบเปิดปิดได้หลายคร้ัง
สู่ตลาดผู้บริโภค ถุงพลาสติกบรรจุภัณฑ์แบบใสของ Dow ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งมีราคา
ในการผลิตลดลงไปถึงครึ่งหน่ึงจากเดมิ
ต่อมาซองก้นตั้งติดซิปเป็นรูปแบบถุงที่ค่อนข้างใหม่ ถุงแบบนี้ทาให้บริษัทบรรจุภัณฑ์พลาสติก
มีตัวเลือกในรูปแบบการผลิตทางการตลาดที่มากกว่าถุงแบบดั้งเดิม ซองก้นต้ังติดซิปทาจากชั้นอลูมิเนียม
และพลาสติกหลายช้ัน ทาให้มีพ้ืนผิวสาหรับการพิมพ์โรโตกราววัวร์ ซ่ึงเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ให้สีคมชัด
และสดใส เป็นเคร่ืองดึงดูดลูกค้าท่ีดี คุณสามารถหาซ้ือซองก้นตั้งติดซิปได้ตามท้องตลาดทั่วไป บางรุ่นมี
รูเจาะสาหรับแขวนด้วย ด้วยเหตุน้ผี ผู้ ลติ จึงมตี วั เลอื กในการออกแบบกลอ่ งบรรจภุ ณั ฑท์ ่ีหลากหลายข้นึ
นอกจากน้ีซองก้นต้ังติดซิปยังตอบโจทย์ธุรกิจหลายอย่างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร
ร้านขายของชา และร้านขายยา ซองกั้นต้ังสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ผลิตในการพิมพ์ลาย
ซ่ึงถุงพลาสติกพิมพ์ลายถือเป็นเครื่องมือการตลาดที่มีประสิทธิภาพอย่างหน่ึง เพราะมีตัวซิปท่ีสามารถ
เปิดปิด หรือนามาใช้งานใหม่ได้ ทาให้ผู้บริโภคไม่ต้องกลัวว่าจะบริโภคผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไม่หมดในครั้งเดียว
เพราะถ้ามีถุงแบบน้ี พวกเขาก็สามารถซีลปิดและเปิดใหม่ได้ตามต้องการ ผู้บริโภคสมัยใหม่ให้ความใส่ใจ
เรื่องการใช้งานที่มีประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และพวกเขาก็ไม่ชอบการซ้ืออาหารแช่แข็งที่ต้องไปหาถุงซิป
พลาสติกมาใส่หลังจากเปิดใช้งานแล้วอีกที การใช้ซองก้นต้ังติดซิปจึงเป็นตัวเลือกท่ีดีและคุ้มค่าสาหรับ
ทกุ ฝ่าย กระนัน้ แลว้ ธรุ กิจอาหารแชแ่ ข็งก็เพ่งิ อยู่ในชว่ งต้นของการเร่ิมใชซ้ องกั้นตัง้ ติดซปิ ในการผลติ
26 คมู่ ือการใชเ้ ครอื่ งมือประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผู้เรยี น
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
27
6. ข้อใดไมใ่ ช่เหตผุ ลที่ถุงซปิ พลาสติกได้รับความนยิ ม
1) ถุงซิปปดิ ปากไดส้ นทิ จึงไม่มอี อกซเิ จนเข้าไปได้
2) ถงุ ซปิ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภณั ฑ์
3) ถุงซปิ ย่อยสลายง่ายช่วยรักษาสิ่งแวดลอ้ ม
4) ถุงซิปใช้ไดส้ ะดวกในหลายรปู แบบ
7. จากเร่ืองท่ีอ่านผู้เขียนต้องการนาเสนอสาระสาคญั เรื่องใด
1) ชักชวนให้ใชถ้ ุงซิป
2) อธิบายพัฒนาการของถงุ พลาสติก
3) ช้แี จงเหตุผลท่ีถงุ ซิปถูกใช้อยา่ งแพร่หลาย
4) ประชาสมั พันธ์ผลติ ภณั ฑ์ถุงซปิ
8. จากเรื่องท่ีอา่ น ข้อใดไม่ได้กลา่ วถงึ
1) ถงุ มหัศจรรยร์ ักษาส่งิ แวดล้อม
2) ประโยชน์ของถุงพลาสตกิ
3) พัฒนาการของถงุ พลาสติก
4) ทาไมถุงซปิ จึงเป็นท่นี ิยม
9. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องจากเร่อื งทอี่ า่ น
1) ถงุ ซปิ พฒั นามาจากถงุ แบบกดเพื่อปดิ
2) ถุงแบบกดเพ่ือปดิ มีต้นทนุ การผลติ ที่ตา่ กว่าการผลิตถงุ ซิป
3) ถงุ พลาสติกชว่ ยเก็บออกซิเจนในถงุ เพอื่ รักษาความสดใหม่ของอาหาร
4) ถงุ ซิปเหมาะสาหรับเกบ็ ผกั สดและเนื้อสัตว์สดเท่าน้ัน
10. หากนักเรียนเป็นผู้จาหนา่ ยข้าวโพดคั่ว (ป๊อปคอร์น) นักเรียนควรเลือกใช้บรรจุภณั ฑ์แบบใด
1) ถุงกดเพ่ือปดิ เพราะเหมาะกบั อาหารแหง้ มากกว่าอาหารสด
2) ถงุ แบบเจาะรแู ขวนเพราะจะไดส้ ะดวกในการขนส่งผลิตภณั ฑ์
3) ถุงแบบพิมพ์ลายเพื่อปกปิดผลติ ภณั ฑ์ดา้ นใน
4) ถงุ ก้นตง้ั แบบซิปเพราะตั้งวางจาหนา่ ยและเปิดปดิ บริโภคสะดวก
เฉลย ข้อ 6 ตอบ 3) ข้อ 7 ตอบ 2) ข้อ 8 ตอบ 1) ข้อ 9 ตอบ 4) ข้อ 10 ตอบ 4)
คมู่ อื การใชเ้ ครอื่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผ้เู รียน 27 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
28
อา่ นข้อความต่อไปน้แี ลว้ ตอบคาถามข้อ 11 – 15
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 การรบั ประทานอาหารเช้าเปน็ การเติมพลงั งานให้กบั ร่างกาย เนือ่ งจากพลังงานท่ีรา่ งกายใชจ้ ะได้มา
จากการย่อยสลายอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในรูปของน้าตาลหรือกลูโคส (Glucose) ไว้ในเลือด
เป็นหลัก และบางส่วนถูกเก็บเป็นพลังงานสารองท่ีเรียกว่า ไกลโคเจน (Glycogen) ตามกล้ามเนื้อและตับ
ในขณะหลับ ร่างกายจะไม่ได้รับพลังงานจากสารอาหารท่ีรับประทานอาหาร จึงต้องดึงไกลโคเจนออกมาใช้
ตลอดคืน เพ่ือช่วยคงระดับน้าตาลในเลือดไม่ให้ต่าจนเกินไป หลังการนอนเป็นเวลานาน ร่างกายจึงมีระดับ
ไกลโคเจนค่อนข้างต่าในช่วงเช้า จึงควรได้รับพลังงานเข้าไปเพิ่มเติม หากไกลโคเจนที่เป็นแหล่งพลังงาน
สารองถูกนามาใช้จนหมด ร่างกายจะเริ่มสลายกรดไขมัน เพื่อนาไปเป็นพลังงานแทนช่ัวคราว ซึ่งไม่ค่อยมี
ประสิทธิภาพ ในการนามาใช้เป็นพลังงาน จึงทาให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง ส่งผลต่อการเรียนรู้ หรือทางาน
ไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี
การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเชา้ ตามหลกั โภชนาการจะช่วยให้รา่ งกายได้รับสารอาหารและวติ ามนิ
ที่จาเป็นในแต่ละวันอย่างครบถ้วน มิเช่นนั้นมื้ออาหารที่เหลืออาจต้องรับประทานในปริมาณมาก เพ่ือให้
ร่างกายได้รับสารอาหารท่ีเหมาะสมในแต่ละวัน จึงไปกระจุกรวมเป็นอาหารม้ือใหญ่เพียง 1-2 ม้ือ ซ่ึงอาจ
เป็นผลเสียต่อสุขภาพตามมา การเลือกอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยธัญพืช ไฟเบอร์ และโปรตีน แต่มีน้าตาล
ในระดับทพ่ี อเหมาะจะชว่ ยกระตุ้นสมองใหพ้ ร้อมเรยี นรู้ มีสมาธิจดจ่อและจดจาไดด้ ขี ึ้น
นอกจากน้ี ยังพบว่าคนที่รับประทานอาหารเช้ามักควบคุมน้าหนักได้ดีกว่าคนที่อดอาหารเช้า
โดยทฤษฎหี นึ่งได้อธิบายเหตผุ ลสนบั สนนุ ไวว้ ่า การรบั ประทานม้อื เช้าจะชว่ ยใหค้ วบคุมความหิวได้ค่อนข้างดี
และมีแนวโน้มเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะผู้ท่ีอดอาหารเช้าจะหิวโซเมื่อใกล้ม้ือ
อาหารถัดไป จึงมีโอกาสหยิบขนมรองท้องที่มักมีแคลอรีสูงเข้าปากได้ง่าย และอาจรับประทานอาหาร
ปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย จากงานวิจัยท่ีได้รับการตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการ
ทางการแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Journal of Clinical Nutrition) ได้ติดตามรูปแบบ
การรบั ประทานอาหารท้ังในเด็กและผใู้ หญ่ในชว่ ง 20 ปี ปรากฏว่าผู้ทีม่ พี ฤติกรรมไมร่ ับประทานอาหารเช้าเป็น
ประจาส่วนใหญ่จะมีน้าหนักมากข้ึน รอบเอวขยายกว่าเดิม มีระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มสูง และได้รับประทาน
อาหารท่ีมีประโยชน์น้อย ขณะเดียวกัน อาหารเช้ายังอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจให้น้อยลง
จากการศึกษาของสมาคมหัวใจ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สารวจผู้ชาย อายุ 45-82 ปี จานวน 26,902 คน
ซ่ึงไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเป็นประจา พบว่ามีความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายหรือเสียชีวิตจาก
โรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มมากขน้ึ ถงึ 27%
การเลอื กประเภทอาหารกส็ าคัญไม่แพ้กนั คาร์โบไฮเดรตจัดเปน็ กลุ่มสารอาหารหลกั ทีร่ ่างกายนาไป
เผาผลาญเป็นพลังงานได้ทนั ที จากน้ันจึงเป็นโปรตีน ในขณะที่ไฟเบอรจ์ ะช่วยให้ร้สู ึกอิ่มนานขนึ้ โดยไม่ได้รับ
พลังงานส่วนเกินมากไป อีกท้ังยังช่วยลดอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบการย่อยอาหารเป็นไปตามปกติ
กลุ่มอาหารที่รับประทานเป็นม้ือเช้าจึงควรผสมผสานสารอาหารหลายประเภทเพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญ
ของรา่ งกายเป็นไปอยา่ งมีโปรตีนจากเนือ้ สัตว์ไม่ตดิ มัน ไข่ ถั่ว
คาแนะนาในการรับประทานอาหารเช้า รับประทานโดยไม่รีบเร่ง ปริมาณพอเพียง ควรให้เวลา
ในการรบั ประทานม้ือเช้าอย่างเต็มท่ี ไมร่ ีบเร่ง ไมท่ ากิจกรรมอ่ืนทด่ี ึงดูดความสนใจในขณะรับประทาน เพราะอาจ
ทาให้รับประทานปริมาณมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว รวมถึงสังเกตสัญญาณท่ีบ่งบอกว่าร่างกายกาลังหิวหรืออิ่ม
เพื่อช่วยเตือนให้ทราบว่าควรรับประทานในปริมาณเท่าไร ไม่มากหรือน้อยเกินไป เลือกภาชนะที่เหมาะสม
กรณีท่ีรับประทานอาหารเช้าท่ีบ้านอาจเลือกภาชนะที่ใส่อาหารที่มีขนาดพอดี เพื่อช่วยกะปริมาณอาหารไม่ให้
เยอะเกินไป เน้นรับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ก่อนเสมอ โดยท่ัวไปเวลาหิว คนส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้ม
เลือกอาหารประเภทแป้งและน้าตาลได้ง่าย ลองปรับเปล่ียนประเภทอาหารมาเป็นผัก ผลไม้ ธัญพืช
28 ค่มู ือการใชเ้ ครอ่ื งมือประเมนิ สมรรถนะสำ� คัญของผเู้ รยี น
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
29 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
หรือผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่าก่อนอาหารประเภทอื่น ซ่ึงกลุ่มอาหารเหล่าน้ีจะอุดมไปด้วยสารอาหาร
วิตามิน แร่ธาตุที่จาเป็นต่อร่างกาย อีกท้ังยังช่วยลดปริมาณความต้องการกลุ่มสารอาหารท่ีให้พลังงานสูง
ลงไดบ้ ้าง เปลยี่ นพฤติกรรมการเลอื กอาหาร อาหารเชา้ ทด่ี ีควรมีสัดส่วนของผักและธญั พืชอย่างน้อยคร่ึงหนึ่ง
ในมอื้ อาหาร โดยอาจเลือกผกั ผลไมห้ ลากหลายสี ธัญพืชประเภทต่าง ๆ รวมถึงปรบั อาหารบางชนิดทที่ ดแทน
กันได้และดีต่อสุขภาพมากกว่า เช่น เลือกเป็นนมไขมันต่าหรือไขมัน 0% แทนสูตรปกติ เพราะจะได้รับ
พลังงานและไขมันน้อยกว่า แต่สารอาหารยังคงครบถ้วน รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
ดื่มน้าเปล่าหรือน้าผลไม้สดแทนเคร่ืองดื่มปรุงแต่ง หลีกเล่ียงอาหารที่มีสารปรุงแต่งสูง ลดปริมาณอาหาร
ที่เต็มไปด้วยไขมันอ่ิมตัว เติมน้าตาลหรือเกลือปริมาณมาก เช่น เค้ก ไอศกรีม เครื่องดื่มท่ีมีรสหวาน พิซซ่า
ไส้กรอก เบคอน อาหารกระป๋อง ซงึ่ ไม่ควรรับประทานเป็นมือ้ เชา้ เปน็ ประจา
11. จากเรอื่ งท่ีอา่ น ขอ้ ใดไมใ่ ชป่ ระโยชนข์ องการรบั ประทานอาหารเช้า
1) ลดความเสี่ยงต่อโรคหวั ใจ
2) ทาใหร้ า่ งกายสดชน่ื กระฉับกระเฉง
3) ทาใหม้ ีสมาธิและความจาดี
4) ลดระดบั คอเลสเตอรอลและไขมันในเลอื ด
12. จากเรื่องทอ่ี า่ น ถา้ เราอดอาหารเช้าเป็นประจาจะมผี ลเสยี อย่างไร
1) มแี นวโน้มเปน็ โรคอ้วนได้ง่าย
2) ระบบเผาผลาญไม่สมดุล
3) ระบบย่อยอาหารผดิ ปกติ
4) สูญเสยี ระบบขบั ถ่ายและทาให้ท้องผกู
13. จากคาแนะนาในเน้ือเร่ือง ใครมีพฤตกิ รรมทถ่ี ูกต้องในการรับประทานอาหารเช้า
1) สมชาย รีบไปทางานจึงด่ืมกาแฟดา และขนมปัง 1 แผ่น
2) สมศรี รับประทานเค้กและนา้ อัดลมเพราะสะดวกและทานง่าย
3) สมศกั ดิ์ มักจะทานธญั พชื และข้าวกล้องแทนข้าวขาวเป็นประจา
4) สมหญิง เลือกทานอาหารประเภทฟาสฟดู ส์ เชน่ พซิ ซา่ เพราะให้พลงั งานสงู
14. ข้อมูลใดต่อไปน้ีไม่ปรากฏในเน้ือเรื่อง
1) ในขณะหลบั ร่างกายจะถูกดงึ พลงั งานสารองไปใช้ท้ังคืนทาใหร้ ู้สึกเพลยี ในตอนเช้า
2) การเลือกอาหารเช้าทีเ่ หมาะสมจะชว่ ยกระต้นุ สมองและมสี มาธใิ นการเรยี น
3) การเลือกภาชนะใส่อาหารเช้าท่เี หมาะสมเปน็ ข้อคานึงในการรบั ประทานอาหารเชา้
4) งานวจิ ัยในประเทศสหรัฐอเมรกิ าพบวา่ การไม่รบั ประทานอาหารเช้าท้ังในเด็กและผใู้ หญ่มีความเสย่ี ง
ต่ออาการหัวใจวายหรือเสียชวี ติ จากโรคหลอดเลือดหวั ใจเพม่ิ มากข้นึ
15. ชอื่ เรอื่ งทเี่ หมาะสมทสี่ ดุ ในบทอ่านนี้คอื ขอ้ ใด
1) การเลือกเมนูอาหารเชา้
2) ประโยชนข์ องอาหารเช้า
3) คาแนะนาในการรบั ประทานอาหารเช้า
4) พฤติกรรมที่สาคัญในการรับประทานอาหารเชา้
เฉลย ข้อ 11 ตอบ 2) ขอ้ 12 ตอบ 1) ขอ้ 13 ตอบ 3) ข้อ 14 ตอบ 4) ขอ้ 15 ตอบ 2)
ค่มู อื การใช้เคร่อื งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผเู้ รยี น 29
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
30
อ่านข้อความต่อไปนแี้ ล้วตอบคาถามข้อ 16 – 20
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 พัฒนาการของคนในแต่ละช่วงวัย มีการพัฒนาเป็นระบบข้ันตอน ต้ังแต่เด็กแรกเกิดท่ีต้องการ
ความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ พัฒนาการทางร่างกายที่ต้องการการฝึกใช้กล้ามเน้ือ วัยเด็กตอนกลาง
เป็นวัยท่ีต้องการเข้าโรงเรียน เด็กจึงต้องการการปรับตัว เพ่ือไปอยู่อีกสังคมหนึ่งที่ต่างออกไป บุคคลที่มี
อิทธิพลต่ออารมณ์ของเด็กวัยนี้ คือครูและเพ่ือน วัยเด็กตอนปลายมีการพัฒนาทางด้านความคิดมากขึ้น
รจู้ ักตัดสนิ ใจด้วยตนเอง มเี ปา้ หมายและตอ้ งการการยอมรบั จากผู้อน่ื ว่าเขาทาได้
วยั รุ่นมกี ารเปลีย่ นแปลงทงั้ ทางรา่ งกาย อารมณ์ และสงั คม เพราะเป็นชว่ งวยั ทเ่ี ปลีย่ นจากเดก็ ไปสู่
ความเป็นผู้ใหญ่ วัยนี้จึงเป็นเสมือนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีความต้องการเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
มีความรสู้ ึกสบั สนในตนเอง แสวงหาตวั ตนของตนเอง มคี วามสนใจเก่ียวกบั ตนเอง และความคิดของคนอื่น
ท่ีมีต่อตน มีการรับรู้ในบทบาททางเพศของตน ต้องการแสดงลักษณะและบทบาททางเพศของตน
ให้ถูกต้อง เป็นท่ียอมรับของสังคม มีการเลียนแบบพฤติกรรมตามบุคคลต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่
เพ่อื น หรือแมแ้ ตด่ ารา นกั รอ้ ง
ด้วยเหตุน้ีการแสดงออกของวัยรุ่น ทั้งด้านจิตใจและรูปลักษณ์ภายนอกจึงมีมากกว่าวัยอื่น ๆ
อีกทั้งสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดารงอยู่ก็มีผลต่อความคิด การกระทา จึงพบเห็นได้เสมอว่า เด็กวัยรุ่น
มีการแสดงออกทางสังคมที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มเพ่ือน ทั้งความคิด การพูดจา การแต่งกาย เคร่ืองมือ
ส่ิงของที่ใช้ น่ันก็เพ่ือตอบสนองความต้องการที่พัฒนาไปตามช่วงวัยของเขา และส่ิงที่วัยรุ่นควรจะต้องยึดถือ
เอาเป็นภาระหลัก นั่นก็คือการเรียนหนังสือ เพ่ือเตรียมเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่จะต้องทางาน มีครอบครัว
ตอบสนองพัฒนาการในช่วงวยั ตอ่ ไป แตป่ ัจจบุ นั พบวา่ มวี ัยรุ่นจานวนหนง่ึ ยังขาดความตระหนักในเรอ่ื งนี้
16. จากขอ้ ความ อะไรเปน็ สาเหตุทที่ าให้วยั ร่นุ มีการแสดงออกทใี่ กล้เคียงกนั
1) พัฒนาการของแต่ละคนที่แตกตา่ งกัน
2) ความสนใจท่เี กีย่ วกบั ตนเองคล้ายคลงึ กัน
3) สง่ิ รอบตวั ในสังคมท่ีดาเนินชีวติ อยู่
4) การปรบั ตัวเพ่ือจะอยู่ในสังคมนน้ั ๆ
17. ขอ้ ใดคือสิง่ สาคัญท่ีบทอ่านเสนอแนะใหว้ ยั รุ่นต้องกระทา
1) การแสวงหาเอกลกั ษณ์
2) การเรียนหนังสอื
3) ความสนใจตนเอง
4) การพัฒนาตนเอง
18. จากเร่อื งที่อา่ น ช่วงวยั ใดต้องการการยอมรบั จากผู้อ่ืน
1) วยั เด็กแรกเกดิ
2) วัยเด็กตอนกลาง
3) วยั เด็กตอนปลาย
4) วยั รุ่น
19. ขอ้ ใดเปน็ เหตุผลท่วี ัยรุ่นอาจจะยงั ไม่ได้รบั การยอมรับในสงั คมปัจจุบัน
1) การแต่งตัวเหมือนดารานักรอ้ ง
2) การแสดงเปา้ หมายในสิง่ ที่ทาได้
3) การบ่งบอกเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่น
4) การแสดงบทบาททางเพศของตนเอง
30 คูม่ ือการใชเ้ ครื่องมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรยี น
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
31
20. จากข้อความท่ีขดี เส้นใต้ จะสง่ ผลตามมาหลายประการยกเว้นข้อใด
1) สงั คมได้รับผลกระทบ
2) สรา้ งปัญหาครอบครัว
3) พฒั นาการทางสงั คม
4) สับสนในตนเอง
เฉลย ขอ้ 16 ตอบ 3) ขอ้ 17 ตอบ 2) ข้อ 18 ตอบ 3) ขอ้ 19 ตอบ 4) ข้อ 20 ตอบ 4)
เกณฑต์ ัดสินระดับคณุ ภาพการประเมนิ ผลรวมแบบทดสอบการอา่ น ระดับคณุ ภาพ
คะแนน ดเี ยย่ี ม
31 – 40 ดี
21 – 30 พอใช้
11 – 20 ปรบั ปรงุ
0 – 10
การแปลผลคะแนนแบบทดสอบการอ่าน
ระดับคุณภาพ คาอธบิ าย
ดเี ยีย่ ม ตอบคาถามเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านได้ โดยสรุปประเด็น ตีความ วิเคราะห์ วิพากษ์
ดี วิจารณ์ และประเมินคุณค่าจากเร่ืองท่ีอ่านได้
พอใช้ ตอบคาถามเกี่ยวกับเรื่องท่ีอ่านได้ บอกประเด็นสาคัญแยกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น
บอกขอ้ คิดและประโยชน์ที่ไดร้ ับจากเรื่องท่อี ่านได้
ตอบคาถามเก่ียวกับเรื่องท่ีอ่านได้ บอกวัตถุประสงค์ และอธิบายขยายความ
และจบั ใจความสาคญั จากเรื่องทอี่ ่านได้
ปรับปรุง อ่านแล้วบอกขอ้ มลู และแสดงความรสู้ กึ ได้
คู่มอื การใชเ้ ครื่องมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผ้เู รยี น 31 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
32
แบบสรปุ แบบทดสอบการอา่ น ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 – 3
วัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือในการประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนด้านความสามารถในการสื่อสาร
โดยทดสอบจากพฤติกรรมการอา่ น
คาช้แี จง ให้ผปู้ ระเมินให้คะแนนแบบทดสอบ และทาเครื่องหมาย ในชอ่ งทผี่ เู้ รียน
มรี ะดบั คุณภาพท่สี อดคล้องกับเกณฑ์การประเมินการอา่ น
ผู้ประเมิน นักเรียนประเมนิ ตนเอง ครู
เพอื่ นนักเรยี น ผู้ปกครอง
ผู้ประเมนิ ช่อื ......................................................................นามสกลุ .....................................................................
คะแนนที่ได้ ระดบั คณุ ภาพ
จากการทา
เลขที่ ชื่อ-สกลุ แบบทดสอบ ดเี ยยี่ ม ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ หมายเหตุ
1 (40)
2
3
4
...
วธิ ีการใช้เครอ่ื งมือ
จากเครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ด้านความสามารถในการส่ือสาร เปน็ แบบทดสอบ
การอ่าน (แบบเลือกตอบ)
การใช้เคร่ืองมือวดั และประเมินผลข้างตน้ สามารถใชใ้ นการประเมินระหวา่ งเรียน และหลงั การจัดการ
เรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และระดับความสามารถของผู้เรียน ตามแนวทางการประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผูเ้ รียน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 - 3
การพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้เคร่ืองมือประเมินแบบทดสอบควรอยู่ในระดับดี ข้ึนไป และการประเมิน
ผลรวมแบบทดสอบการอา่ นและการแปลผลคะแนน ควรมรี ะดับคณุ ภาพอยูในระดับดี ข้ึนไป
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 32 คู่มือการใช้เครอื่ งมอื ประเมินสมรรถนะส�ำคัญของผู้เรียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
33
แบบประเมินการเขียน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับคร)ู
ช่ือ ..............................................................................................................ชั้น...................เลขท.่ี .........................
โรงเรยี น ................................................................................................................................................................
คาช้แี จง ให้นักเรยี นเขียนบรรยายในประเด็นทีเ่ กีย่ วกับตนเอง เช่น อาชีพที่ใฝ่ฝนั กจิ กรรมยามวา่ ง สตั วเ์ ลี้ยงทโ่ี ปรดปราน
กีฬาทีช่ อบ กาหนดให้มคี วามยาว 10 – 15 บรรทัด โดยพจิ ารณาตามเกณฑ์การใหค้ ะแนนดงั ต่อไปน้ี
เกณฑ์การให้คะแนน (10 คะแนน)
รายการประเมิน 4 3 คะแนน 1 0
1. เนอ้ื หา มคี รบทัง้ 4 มี 3 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบทั้ง
1.1 ใจความเหมาะสม มี 2 4 ข้อ
1.2 มีความตอ่ เน่อื ง องค์ประกอบ
1.3 มีความสอดคล้องกบั
มีครบทัง้ 3 มี 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
ประเดน็ ท่กี าหนด องคป์ ระกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบทงั้
1.4 ไม่วกวน
2. การใช้ภาษา 3 ข้อ
2.1 ใชภ้ าษาทางการ ไม่ใช้
สะกดถกู ตอ้ งทุก สะกดคาผดิ สะกดคาผิด
ภาษาพูด หรอื ภาษาถนิ่ คาหรอื สะกด ตงั้ แต่ 3-4 คา ตงั้ แต่ 5 คา
2.2 ใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน คาผิดตงั้ แต่ 1-2 ขึ้นไป
คา เขียนไมค่ รบ
เว้นวรรค และยอ่ หน้า ตามท่ีกาหนด
ถกู ตอ้ ง เขยี นความ
2.3 ใช้ประโยคเหมาะสม เชน่ ยาวตามที่
การเช่อื มคา กาหนด
การขยายความ
ไมใ่ ชค้ าฟมุ่ เฟือย
3. การเขยี นสะกดคา
4. ความยาวของเนือ้ หา
เกณฑ์ตัดสินระดบั คุณภาพ ระดับคณุ ภาพ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
คะแนน ดีเยย่ี ม
9 - 10 ดี
7-8 พอใช้
5-6 ปรับปรุง
0-4
ค่มู อื การใชเ้ ครอื่ งมือประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผู้เรียน 33
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
34
แบบประเมนิ การเขยี น ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 (สาหรับคร)ู
ชอื่ ..............................................................................................................ชั้น...................เลขท.่ี .........................
โรงเรียน ................................................................................................................................................................
คาช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเชิญชวนหรือโน้มน้าวใจในประเด็นต่าง ๆ เช่น การรักษาความสะอาดในโรงเรียน
การรักษาสงิ่ แวดลอ้ ม การหลีกเล่ียงจากยาเสพตดิ การออกกาลงั กาย กาหนดให้มีความยาว 10 – 15 บรรทัด
โดยพิจารณาตามเกณฑ์การให้คะแนน ดังตอ่ ไปนี้
เกณฑก์ ารให้คะแนน (10 คะแนน)
รายการประเมิน 4 3 คะแนน 1 0
1. เนื้อหา มคี รบทง้ั 4 มี 3 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
1.1 ใจความเหมาะสม มี 2 ท้ัง 4 ขอ้
1.2 มคี วามต่อเน่อื ง องค์ประกอบ
1.3 มคี วามสอดคล้องกับ
มคี รบทงั้ 3 มี 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
ประเด็นทกี่ าหนด องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ
1.4 ไมว่ กวน
2. การใชภ้ าษา ทัง้ 3 ข้อ
2.1 ใช้ภาษาทางการ ไม่ใช้
สะกดถูกตอ้ ง สะกดคาผิด สะกดคาผิด
ภาษาพดู หรอื ภาษาถน่ิ ทุกคาหรอื ตั้งแต่ 3-4 คา ต้ังแต่ 5 คา
2.2 ใช้เครื่องหมายวรรคตอน สะกดคาผดิ ข้ึนไป
ตั้งแต่ 1-2 คา
เวน้ วรรค และยอ่ หน้าถกู ต้อง เขียนความ เขียนไม่ครบ
2.3 ใช้ประโยคเหมาะสม เชน่ ยาวตามท่ี ตามทีก่ าหนด
การเชอ่ื มคา การขยายความ
ไมใ่ ช้คาฟุ่มเฟอื ย
3. การเขียนสะกดคา
4. ความยาวของเนือ้ หา
กาหนด
เกณฑ์ตัดสนิ ระดับคุณภาพ
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 คะแนน ระดับคุณภาพ
9 - 10 ดเี ย่ียม
7-8 ดี
5-6 พอใช้
0-4 ปรบั ปรุง
34 คู่มอื การใช้เคร่ืองมือประเมนิ สมรรถนะสำ� คญั ของผเู้ รียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
35
แบบประเมินการเขียน ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับครู)
ชื่อ ..............................................................................................................ชั้น...................เลขที่..........................
โรงเรียน ................................................................................................................................................................
คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเขียนเปรียบเทียบหรืออธิบายความแตกต่างในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง เช่น ข้อดีและข้อเสีย
ในการเรียนออนไลน์ การแต่งเครอื่ งแบบนักเรยี น ระเบยี บตา่ ง ๆ ของโรงเรยี น กาหนดใหม้ ีความยาว
10 – 15 บรรทดั โดยพจิ ารณาตามเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดงั ตอ่ ไปน้ี
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (10 คะแนน)
รายการประเมิน 4 3 คะแนน 1 0
1. เน้อื หา มคี รบท้ัง 4 มี 3 2 มี 1 ไมป่ รากฏ
องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบท้ัง
1.1 ใจความเหมาะสม มี 2 4 ข้อ
1.2 มคี วามตอ่ เนอื่ ง องค์ประกอบ
1.3 มคี วามสอดคลอ้ งกบั
มคี รบทงั้ 3 มี 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
ประเด็นทีก่ าหนด องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบท้ัง
1.4 ไม่วกวน
2. การใช้ภาษา 3 ขอ้
2.1 ใชภ้ าษาทางการ ไมใ่ ช้
สะกดถกู ต้อง สะกดคาผิด สะกดคาผิด
ภาษาพดู หรือภาษาถ่ิน ทกุ คาหรอื ต้งั แต่ 3-4 คา ตัง้ แต่ 5 คา
2.2 ใชเ้ ครอื่ งหมายวรรคตอน สะกดคาผดิ ข้นึ ไป
ตง้ั แต่ 1-2 คา
เว้นวรรค และยอ่ หน้าถกู ต้อง เขยี นความ เขียนไมค่ รบ
2.3 ใชป้ ระโยคเหมาะสม เช่น ยาวตามที่ ตามทก่ี าหนด
การเช่ือมคา การขยายความ
ไมใ่ ชค้ าฟุม่ เฟอื ย
3. การเขียนสะกดคา
4. ความยาวของเนอื้ หา
กาหนด
เกณฑ์ตดั สินระดับคุณภาพ
คะแนน ระดบั คณุ ภาพ ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
9 - 10 ดเี ย่ียม
7-8 ดี
5-6 พอใช้
0-4 ปรบั ปรุง
คมู่ ือการใชเ้ คร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรียน 35
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
36
แบบประเมนิ การเขียน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 (สาหรับครู)
ช่อื ..............................................................................................................ชน้ั ...................เลขที่..........................
โรงเรียน ................................................................................................................................................................
คาชี้แจง ให้นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประเด็นหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีน่าสนใจในสังคม เช่น ข้อดี
และขอ้ เสียของการใช้เทคโนโลยี สิทธิสว่ นบุคคล สือ่ สังคมออนไลน์ กาหนดใหม้ คี วามยาว 10 – 15 บรรทดั
โดยพิจารณาตามเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดังตอ่ ไปนี้
เกณฑ์การให้คะแนน (10 คะแนน)
รายการประเมิน 4 3 คะแนน 1 0
1. เน้ือหา มคี รบทั้ง 4 มี 3 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
1.1 ใจความเหมาะสม มี 2 ทั้ง 4 ข้อ
1.2 มีความตอ่ เน่อื ง องค์ประกอบ
1.3 มีความสอดคลอ้ งกบั
มีครบท้ัง 3 มี 2 มี 1 ไม่ปรากฏ
ประเดน็ ท่กี าหนด องค์ประกอบ องค์ประกอบ องค์ประกอบ องคป์ ระกอบ
1.4 ไมว่ กวน
2. การใช้ภาษา ทัง้ 3 ข้อ
2.1 ใช้ภาษาทางการ ไมใ่ ช้
สะกดถกู ต้อง สะกดคาผิด สะกดคาผดิ
ภาษาพูด หรือภาษาถิน่ ทุกคาหรอื ต้งั แต่ 3-4 คา ตั้งแต่ 5 คา
2.2 ใช้เครอื่ งหมายวรรคตอน สะกดคาผดิ ขน้ึ ไป
ตั้งแต่ 1-2 คา
เวน้ วรรค และย่อหน้าถกู ตอ้ ง เขียนความ เขียนไม่ครบ
2.3 ใชป้ ระโยคเหมาะสม เชน่ ยาวตามที่ ตามท่ี
การเชื่อมคา การขยายความ
ไม่ใชค้ าฟุ่มเฟือย
3. การเขียนสะกดคา
4. ความยาวของเน้ือหา
กาหนด กาหนด
เกณฑ์ตัดสินระดบั คณุ ภาพ
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 คะแนน ระดับคุณภาพ
9 - 10 ดีเยย่ี ม
7-8 ดี
5-6 พอใช้
0-4 ปรบั ปรงุ
36 คมู่ ือการใช้เคร่อื งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผู้เรียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
37
เกณฑ์ตัดสินระดับคณุ ภาพการประเมินผลรวมแบบประเมนิ การเขยี น
คะแนน ระดบั คุณภาพ
31 – 40 ดีเยี่ยม
21 – 30 ดี
11 – 20 พอใช้
0 – 10 ปรบั ปรุง
การแปลผลคะแนนการประเมนิ การเขยี น
ระดบั คณุ ภาพ คาอธบิ าย
ดีเยย่ี ม เขียนสื่อสารด้วยเนื้อหาที่มีความซับซ้อนโดยปราศจากอคติ มีการเขียนตีความ
วเิ คราะห์ วพิ ากษ์จดุ เด่น จดุ ด้อย และประเมนิ คุณค่าของเรื่องท่ีเกิดประโยชน์กับ
ดี คนหมู่มากหรือเป็นประโยชน์จริงหรือเป็นไปตามอุดมการณ์ เขียนส่ือสารใน
พอใช้ ทางบวกคานึงถึงกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง สามารถเขียนส่ือสารได้อย่างเหมาะสมกับ
ปรับปรงุ กลุ่มเป้าหมายโดยคานึงถึงสิทธิและประโยชน์ของส่วนรวม และมีความ
รบั ผิดชอบตอ่ สงั คม โดยใชค้ าศัพท์ สานวน โครงสร้างภาษาตามทีก่ าหนดได้อย่าง
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม
เขียนส่ือสารด้วยเน้ือหาโดยปราศจากอคติ มีการเขียนสรุปประเด็น ตีความ
วิเคราะห์ และประเมนิ คณุ ค่าจากเร่ืองทเ่ี ขยี นในมิติความจริง ความดี ความงามท่ี
มีความซับซ้อนมากข้ึน และสอดคล้องกับกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง สามารถเขียน
เน้อื หาท่ีซบั ซอ้ นและสรา้ งสรรค์โดยคานึงถึงประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คม โดยใช้
คาศัพท์ สานวน โครงสรา้ งภาษาตามทกี่ าหนดไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
เขยี นส่ือสารดว้ ยเน้ือหาท่ีถูกต้อง ตรงประเด็น โดยปราศจากอคติ ลาดบั เรอ่ื งราว
อย่างต่อเน่ือง เขียนสรุปประเด็น ตีความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าจากเรื่อง
ท่ีเขียนในมิติความจริง ความดี และความงามแบบง่ายได้ เขียนเน้ือหาได้อย่าง
สร้างสรรค์เพ่ือการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม โดยใช้คาศัพท์ สานวน โครงสร้าง
ภาษาตามท่กี าหนดไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
เขียนสื่อสารเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในชุมชน สังคม อย่างมีสติ เน้ือหามีความ
ถูกตอ้ ง ชัดเจน ตรงประเด็น มรี ายละเอยี ดครบถว้ นสมบูรณ์ ลาดบั เรอื่ งราวอย่าง
ต่อเนื่องไม่สับสนวกวน แลกเปล่ียนประสบการณ์อย่างมีสติกับบุคคลท่ี
หลากหลายขึ้นในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ท้ังโลกจริงและโลกเสมือนได้อย่างมี
มารยาทและจริยธรรม โดยใช้คาศพั ท์ สานวน โครงสร้างภาษาตามท่ีกาหนดได้
คู่มือการใชเ้ ครอื่ งมอื ประเมินสมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี น 37 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
38
แบบสรปุ แบบประเมินการเขียน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 – 3
วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นดา้ นความสามารถในการสื่อสาร
คาชแี้ จง โดยประเมนิ จากพฤติกรรมการเขียน
ผปู้ ระเมนิ ใหผ้ ู้ประเมินให้คะแนนแบบทดสอบ และทาเครื่องหมาย ในช่องที่ผ้เู รียน
มีระดบั คุณภาพท่สี อดคล้องกับเกณฑ์การประเมินการเขยี น
นักเรียนประเมินตนเอง ครู
เพื่อนนักเรียน ผปู้ กครอง
ผู้ประเมนิ ช่ือ......................................................................นามสกุล.....................................................................
คะแนนที่ได้ ระดับคุณภาพ
จากการทา
เลขที่ ช่ือ-สกลุ แบบทดสอบ ดีเยย่ี ม ดี พอใช้ ปรบั ปรุง หมายเหตุ
1 (40)
2
3
4
5
...
วธิ กี ารใชเ้ ครื่องมือ
จากเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ด้านความสามารถในการส่อื สาร เป็นแบบประเมิน
การเขียน (แบบเขยี นตอบอิสระ)
การใช้เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผลข้างตน้ สามารถใช้ในการประเมินระหวา่ งเรียน และหลงั การจัดการ
เรียนรู้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้และระดับความสามารถของผู้เรียน ตามแนวทางการประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 - 3
การพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้เครื่องมือประเมินแบบทดสอบควรอยู่ในระดับดี ขึ้นไป และการประเมิน
ผลรวมแบบประเมินการเขยี นและการแปลผลคะแนน ควรมรี ะดบั คุณภาพอยูในระดบั ดี ขน้ึ ไป
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 38 ค่มู ือการใชเ้ ครอ่ื งมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คญั ของผู้เรยี น
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
39 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
แบบประเมินการเขยี น ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1- 3 (สาหรับนกั เรยี น)
ช่อื .............................................................................................................ช้นั ...................เลขท.่ี .........................
โรงเรียน ...............................................................................................................................................................
คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนเขยี นบรรยายในประเดน็ ที่เกยี่ วกับตนเอง เช่น อาชีพท่ีใฝ่ฝัน กจิ กรรมยามวา่ ง สัตว์เลย้ี ง
ทโ่ี ปรดปราน กฬี าทช่ี อบ กาหนดให้มคี วามยาว 10 – 15 บรรทัด
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................ ..................................
................................................................................................. .............................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเขียนเชิญชวนหรือโน้มน้าวใจในประเด็นต่าง ๆ เช่น การรักษาความสะอาดในโรงเรียน
การรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม การหลีกเล่ยี งจากยาเสพติด การออกกาลังกาย กาหนดให้มีความยาว 10 – 15 บรรทัด
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
คาชแี้ จง ให้นักเรียนเขียนเปรียบเทียบหรืออธิบายความแตกต่างในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง เช่น ข้อดีและข้อเสีย
ในการเรยี นออนไลน์ การแตง่ เครื่องแบบนักเรยี น ระเบยี บต่าง ๆ ของโรงเรียน กาหนดใหม้ คี วามยาว
10 – 15 บรรทัด
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
คาชีแ้ จง ให้นักเรียนเขียนแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกับประเด็นหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทนี่ ่าสนใจในสังคม เช่น ข้อดี
และข้อเสียของการใช้เทคโนโลยี สิทธิสว่ นบุคคล ส่อื สังคมออนไลน์ กาหนดให้มคี วามยาว 10–15 บรรทัด
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................ ..............................
..................................................................................................... .........................................................................
..............................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................... .........................................
คมู่ อื การใช้เครือ่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคญั ของผูเ้ รียน 39
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
40
แบบประเมินการเลือกใช้สอื่ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3 (สาหรับครู)
ชอื่ .............................................................................................................ช้นั ...................เลขที่..........................
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาช้ีแจง ให้นักเรียนเลือกใช้ส่ือเพ่ือนาเสนอสถานท่ีท่องเที่ยวในท้องถ่ินของตนเอง โดยพิจารณาตามเกณฑ์
การประเมินการเลอื กใช้สื่อ ต่อไปนี้
ประเด็นการประเมิน 1 คะแนน 4
1. วตั ถุประสงค์ของส่ือ เลือกใช้ส่อื ไดต้ รง 23 เลือกใชส้ ื่อไดต้ รงตาม
ตามวตั ถปุ ระสงค์ เลือกใช้ส่ือไดต้ รง เลือกใชส้ อ่ื ไดต้ รง วัตถปุ ระสงค์ท่ีเกิด
2. เนื้อหาของสือ่ ของตนเอง ตามวัตถปุ ระสงค์ ตามวตั ถุประสงค์ท่ี ประโยชน์ต่อตนเอง
ของตนเองและ เกิดประโยชน์ต่อ สงั คมและสามารถใช้
3. ความรับผดิ ชอบตอ่ ส่ือ มเี นือ้ หาครบถว้ นมี สงั คม ตนเองสงั คมและ สอื่ เพอื่ สือ่ สาร สรา้ ง
การลาดบั เนอ้ื หา ความเขา้ ใจในสงั คมได้
ไม่ต่อเนอื่ งแตม่ ี ส่วนรวม เนอื้ หาครบถ้วน
ความเหมาะสมตอ่ มีการลาดับเน้อื หา
ตนเอง มีเนือ้ หาครบถว้ น เนอ้ื หาครบถ้วน ตอ่ เนือ่ งมคี วาม
เลือกสอื่ จาก มกี ารลาดับเน้อื หา มีลาดบั เนอ้ื หา เหมาะสมและ
แหลง่ ข้อมลู ท่ี ต่อเน่อื งมีความ ต่อเน่ืองมีความ มีประโยชนต์ อ่ ตนเอง
น่าเชื่อถือ เหมาะสมตอ่ ตนเอง เหมาะสมต่อตนเอง และสงั คม
และสงั คม เลอื กส่ือจาก
แหล่งข้อมูลท่ี
เลือกส่ือจาก เลอื กส่ือจาก น่าเชอื่ ถอื มกี ารอา้ งองิ
แหล่งข้อมูลท่ี แหลง่ ขอ้ มลู ที่ ไม่ละเมดิ สิทธิของผ้อู ่ืน
น่าเช่ือถือ มีการ น่าเช่ือถอื มีการ และไมส่ ร้างผลกระทบ
อา้ งอิง อา้ งอิง ไม่ละเมดิ ตอ่ ผูอ้ ่ืน
สทิ ธขิ องผู้อ่ืน
เกณฑ์ตดั สนิ ระดบั คณุ ภาพการประเมนิ ผลรวมแบบประเมนิ การเลอื กใชส้ ่ือ
คะแนน ระดับคุณภาพ
10 – 12 ดีเยี่ยม
7–9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรบั ปรุง
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 40 ค่มู อื การใชเ้ ครอ่ื งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี น
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
41
การแปลผลคะแนนการประเมินการเลอื กใชส้ ่ือ
ระดบั คณุ ภาพ คาอธิบาย
เลือกใช้ส่ือโดยใช้เทคโนโลยีการส่ือสารได้ตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ ใช้กลวิธี
ในการเลอื กสื่อและสือ่ สารท่เี หมาะสมไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ เกดิ ประโยชนต์ ่อกลุ่มเป้าหมาย
ดีเยยี่ ม สามารถประเมินคุณค่าและวิเคราะห์ผลกระทบของสื่อท่ีจะส่งผลต่อสังคมในเชิงลึกได้
โดยคานงึ ถึงสิทธิและประโยชน์ของสว่ นรวม และมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม
เลือกใช้ส่ือได้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้ โดยใช้กลวิธีในการเลือกส่ือและ
ดี สื่อสารที่เหมาะสมได้อย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม สามารถ
ประเมินคณุ คา่ และวเิ คราะห์ผลกระทบของส่อื ท่จี ะสง่ ผลตอ่ สงั คมในเชิงลึกได้
เลือกใช้ส่ือได้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้ โดยใช้กลวิธีในการเลือกส่ือและ
พอใช้ สื่อสารที่เหมาะสม เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม สามารถวิเคราะห์คุณค่า
และตระหนักถึงผลกระทบของสอ่ื
ปรบั ปรุง เลือกใช้สื่อได้ตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ โดยใช้กลวิธีในการเลือกสื่อและ
ส่อื สารทเี่ หมาะสม และเกิดประโยชน์ต่อตนเอง
แบบสรุปแบบประเมินการเลือกใช้สื่อ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3
วัตถุประสงค์ เพื่อใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือในการประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียนด้านความสามารถในการส่ือสาร
โดยประเมินจากพฤติกรรมการเลอื กใช้สื่อ
คาชีแ้ จง ให้ผ้ปู ระเมนิ ให้คะแนนแบบทดสอบ และทาเครื่องหมาย ในชอ่ งทผี่ ูเ้ รียน
มรี ะดบั คุณภาพทีส่ อดคล้องกับเกณฑ์การประเมินการเลอื กใชส้ ือ่
ผู้ประเมิน นักเรียนประเมินตนเอง ครู
เพ่ือนนักเรียน ผู้ปกครอง
ผปู้ ระเมนิ ช่ือ......................................................................นามสกลุ .....................................................................
คะแนนที่ได้ ระดับคุณภาพ
จากการ
เลขท่ี ช่อื -สกลุ ประเมิน ดเี ยีย่ ม ดี พอใช้ ปรับปรุง หมายเหตุ
1 (40)
2
3
4
... ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
คูม่ อื การใชเ้ ครอ่ื งมอื ประเมนิ สมรรถนะส�ำคัญของผู้เรยี น 41
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
42
วิธีการใช้เคร่อื งมือ
จากเครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ด้านความสามารถในการส่อื สาร เป็นแบบประเมิน
การเลือกใช้สือ่
การใชเ้ คร่อื งมือวดั และประเมินผลข้างต้น สามารถใชใ้ นการประเมินระหวา่ งเรียน และหลังการจัดการ
เรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และระดับความสามารถของผู้เรียน ตามแนวทางการประเมินสมรรถนะสาคัญ
ของผเู้ รยี น ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 - 3
การพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้เครื่องมือประเมินแบบทดสอบควรอยู่ในระดับดี ขึ้นไป และการประเมิน
ผลรวมแบบประเมนิ การเลือกใช้ส่อื และการแปลผลคะแนน ควรมีระดับคณุ ภาพอยูในระดบั ดี ขน้ึ ไป
แบบประเมินการเลอื กใช้ส่อื ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 (สาหรับนกั เรยี น)
ชอ่ื .............................................................................................................ช้นั ...................เลขที่..........................
โรงเรยี น ...............................................................................................................................................................
คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกใช้ส่ือเพื่อนาเสนอสถานท่ีท่องเท่ียวในท้องถิ่นของตนเอง โดยพิจารณาตามเกณฑ์
การประเมินการเลอื กใช้สื่อ ต่อไปนี้
รายการประเมนิ
1. วัตถุประสงค์ของส่ือ (4 คะแนน)
1.1 เลอื กใช้สอ่ื ได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์
1.2 เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเองสังคม
1.3 สามารถใชส้ ือ่ เพ่ือส่อื สารสร้างความเข้าใจในสังคมได้
2. เนอื้ หาของส่อื (4 คะแนน)
2.1 เนือ้ หาครบถ้วน
2.2 การลาดับเน้อื หาต่อเน่ือง
2.3 การลาดับเนอื้ หามีความเหมาะสม
2.4 มีประโยชน์ตอ่ ตนเอง และสังคม
3. ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ส่ือ (4 คะแนน)
3.1 เลือกส่ือจากแหลง่ ข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือ
3.2 มกี ารอ้างอิงข้อมูล
3.3 ไมล่ ะเมดิ สิทธขิ องผู้อืน่
3.4 ไมส่ รา้ งผลกระทบต่อผู้อ่นื
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3 42 คู่มือการใช้เครอื่ งมอื ประเมินสมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
43
เกณฑก์ ารประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ด้านความสามารถในการสื่อสาร
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 – 3
เครื่องมือแต่ละเคร่ืองมือมีการกาหนดเกณฑ์การให้คะแนนและแปลผลคะแนนที่สอดคล้อง
และเหมาะสมกับวิธีการวัดพฤติกรรม โดยกาหนดการแปลผลคะแนนของเคร่ืองมือแต่ละเครื่องมือเป็น 4 ระดับ
ได้แก่ ระดับดีเยี่ยม ระดับดี ระดับพอใช้ และระดับปรับปรุง ซ่ึงการแปลผลคะแนนดังกล่าวใช้ในการตัดสิน
ระหว่างเรยี น
สาหรับเกณฑ์การตัดสินสมรรถนะสาคัญ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ได้กาหนดเกณฑ์เพื่อให้
สอดคลอ้ งกบั ระดับคุณภาพทั้ง 4 ระดบั ได้แก่ ดีเยย่ี ม ดี พอใช้ และปรับปรุง โดยครูผสู้ อนสามารถนาเคร่ืองมือ
ท้ังหมดของแต่ละด้าน ดังปรากฏมาแล้วข้างต้น ซ่ึงประกอบด้วย ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน
ทักษะการเขียน และกลวิธีการสื่อสาร มาใช้ในการตัดสินสมรรถนะสาคัญ โดยมีผลรวมคะแนนท้ัง 5 ด้าน
(172 คะแนน) มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี
ด้านที่ 1 ทกั ษะการฟัง คะแนนเต็ม 40 คะแนน
ดา้ นท่ี 2 ทักษะการพูด คะแนนเต็ม 40 คะแนน
ดา้ นที่ 3 ทกั ษะการอ่าน คะแนนเต็ม 40 คะแนน
ด้านท่ี 4 ทกั ษะการเขียน คะแนนเต็ม 40 คะแนน
ด้านท่ี 5 กลวธิ กี ารสือ่ สาร คะแนนเต็ม 12 คะแนน
เกณฑ์ตัดสินระดับคุณภาพการประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ด้านความสามารถในการส่ือสาร
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 - 3
คะแนน ระดบั คุณภาพ
130 – 172 ดีเย่ยี ม
87 – 129 ดี
44 – 86 พอใช้
ปรบั ปรงุ
0 – 43
คมู่ ือการใช้เคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะสำ� คัญของผ้เู รยี น 43 ้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
44
44
22..22 คคเคววราาอื่ มมงสสมาาอื มมปาารระถถเใใมนนนิ กกคาาวรรคคามดิิดสามารถในการคิด
กเววเปปิิเเาคค็็นนนนรรรคคคคยยิิ คาาววาาววะะิดาามมาามหหมมอมมกสสกส์์ สสสสรรยมมกกมาาออาา่าารรารมมมมบบรรรรงราาคคถถาาโโสถรรคครริิดดนนถถนรรรถถสสะะใใ้งงะาใใัันนสสงงสสนนสงเเาากกรรคคกก�ำสคคาาา้า้รรคาารรรัญัญงงาารรัญคคเเระะคคคคิิดดคหห ิิดดรร์์์่อื่อื งงมมททกกปาาืืออ่่ีีรยยรรปปะาาคคเรรรรกกมดิิดะะะะแแินออเเบบมมลลยยคคุุคนนิิะะา่่าวววสสซซงงาาามมมมััมมบบมออรรวีีวเเเซซขขรรงงจจิิห้้ออถถ้้าาคคาามใในนนน์์ปปรรจจาะะณณรรททะสสตตะะสญญหี่ี่หาาัักกตดดมลลคคาาออวัสสาาขััญญณณบบชิินนกกอ//ขขว้ีหหใใงตตออดัจจลลคััววงง เเาาาชชผผลลยยก้ว้ีวีืืู้เูเ้ออจจรรลััดดกกาาีียย่ากกนนคควสสอาาดดถถ้ตตา้า้าาางออนนนนบบคคพกกววแแาารรราา้อลลณณมมมะะสส์์ าามม----าารแแแแเเรรชชาลลบบบบถถยิงิงกกัั บบใใบบลกสสนนษษปปาททักถถกกณณรรราาษดดาาะะนนสสะะณรรเเมมกกเเออคคคคะิินนาาบบิิดดรรเรรตตคอืื่่อณณรรรงงวว์์ อื่มมจจสสงือือออมบบอื
กแกกไแปลลาาาสะะรรรู่กกกคคคาาาิิดดิดรรรออสคคอยยริิดดย่่้าาาเเปป่งงงาอมม็็นนงงีีววรรสคิิะะจจร์คบบาา้าวบบรรางณณมสเเพพรญญรู้่ืื่ออหราานนรณณคือาา์ ปแปรแปะสสรรรบดดะะะุขจจงงเมกก้ััอกกินาาโษษตรรค์์ แแ้แสสวปปยาาา้งลลมมมทคคาาเหี่สรรววอถถาามมมดลลาหหคะงงขขสลมม้้ออ้มอาาสสยยงขกรรขขอุุปปับ้้อองไไมมสคดดููถลลา้้ออกาแแยยนลลล่่าาก่ะะางงาวหหถถรอลลููกกณ้าัักกตตง์ฐฐ้้ออมาาพงงีคนนแแรวเเ้อลลาชชมมะะิิงง -- รแกชแชาบบิิ้นน้รยะงงบบกบาาาปปนนวรรรน//ะะนนกเเววมมาััตตนิินรกกทผผรราลลรรงงงมมาาาน//นน//
ไสเอเสกกปยาา่ี่ียยสรรา่ ววู่สสกงกกเานนหัับบรเเมสททตตารนนศศะ้าเเเเงสออพพอมงง่ื่ือองกกคแแาาลล์ครระะวตตาสสััมดดัังงคครสสู้หิิมมนนรไไใใดดือจจ้้ กกเเรปปะาา็นน็บรรเเคควุขหหิดิิดเ้อตตคเเโุเุเชชตรปปงิิงา้แ็็นนรระยผผะะ้หงบบลลท์ปกกบบี่สนันััจอจดัยคทล่ี้อเกง่ีกยับวสข้ถอางนกกับารระณบ์ มบีคหวราืมอ กระบวนการทางาน
ชอนั้ ยม่าัธงยเมหจเเจศมคคาาึการรกกษะือ่่อื กกสางงปรรมมมออีทอืือบบี่ปป1โโรรคคะะ-เเรร3มมงงนิินสสสสสารรมมม้้าาารรงงรรรเเคคถถถหชแตแชหสอแรสเเใแใกหสแตอรตสกตแหรรนนนหหหหะะกกนนิจจ้ิ้ื่ื่าาั่าาั่นนรรถถรนรนวรรวื่่ืออาะะมมงงมมรร้้ออืืบบกกืื้ป้ปาาออววแแงงาามมมงงสสาาคควพพงง่่ททททสสาาแแนนุุนนัญญัแแๆๆปปมมาาาาาะะิแแิิดดนนเถถััจจี่ี่าาไไววฒฒสบบืืกกคคออททสสหหรรคบบมมเเสสงงาางงััตตรพพญัญัาามมบบปปววาาดดปปรนนรรนน่่ซซรรบบา้ววกกรรททิิธธตตือื่่อาารรแแา้า้ารรแแขขงกก้้ิิาาาาเเรรจจณณีีกกยยอ่่อววย่ย่ีีะะเบับังงคคะผผใใาาออททรรชชคาาิิเเาาลลสสกกาาคคเเ์์รรปปหมมรรนนงงคค้ิ้ิลลนนรนนมมรรกกเเะะาารรณณรรผผาาแแรร์รรอื่ปขขชชหหออิิรรสสนนแแรรเเงงหหุงุงะะเู้เู้าาลล์ไ์ไอองืื่่ออัใใออคครรงงจรร่ิิ่ลลาางงสสดดะะรรหหมชชะะีียยยียีเเืืออมมงง์์ททะะนนจืืหหออ้้มมพพ้้งงขขอื์์ดดคคนนพพนนซซัโโ่ี่ีาาขขยพพ์์แแรรยยปื่ื่ออขขววยยัับบววววนนฤฤรราานนทาาััดดฒฒรออแแาางงิิััตตธธซซจจตตถถดดยยะววี่า้้าเงงมมจจสสีีนนกกรร้้กกออิิคคนนโกกโกเนนกกััดดดดสสมิิงงนน22รราานนาาววี่รระะาาคคยััหหรรินงงมมตต้้มมาาโโรรรรรรจจสสวววววโโมมดด่่แมมออมมกกพพพพมมหหาาาาคคาาิิขธธจจยยบคคยยาากกววััมมััฒฒนนแแคครรรรีี้าาอใใรริิดดบสสออดดสสใใืืัังงชชลลธธญญออกกนนเเงนน่่ิงงิไไดดตหหปปาาสส์์้้คคเเะะเเนนดดาาททกขขมมชช่าจจกกเเรรลลมมววออชช้้ววัมี่ี่มววงออบิิาา้้งงาาณณมมาาาายี่่ียูู่่หห้ิิ้นนงงััลลรรอีีอตตเเกกงงงงมมีีกกรนนๆคคฑฑหหงงถถรรผผยยาาขขขขกกคคาาะแแาา์์ืืปปออใใ์์แแททตตูู้้หหูู่่ไเเออรรออิดิดนนรรบนนปปดรรกกรรลลุุปปีี่่แแรรกกงงงงททรรีีกกลลยยด้บืออืะะาาะะรรเเววลลรราามม่่ีีแแาางงดดนนังหหนนเเกกะะิิธธะะหหหะะรรแแนปปสสเเิิมมีีกกเเบบาานนออคคผผรพพลลนนมมนนี้ดดลลใใสสาาืบบบบิดดิดดลลอะะ่ื่ืหหิินน้้ดดออออกกาารริ่ิ่งงนน้้ คคววาามมสสาามมาารรถถใในนกกาารรคคิิดด
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 - 3 ส❖❖❖ามารแแแแแแถบบบบบบนบบบบบบาปปทปปทมรรรรดดาะะะะสสสเเเเออรมมมมบบา้นนิินนิิ งเเผผตตชชเคลลรริงิงรววงงสสือ่าจาจถถนนงสสาาม//ออนนชชือบบกก้ินน้ิปรราางงราารราาะยยณณนนเกกม์์//าานนินรรววแัตัตบกกบรรตรร่ามมง//กกๆรรไะะดบบ้ดววังนนนกกี้ าารรททาางงาานน
้ชันมัธยม ึศกษา ีปที่ 1 - 3
44 คมู่ ือการใชเ้ ครอ่ื งมอื ประเมนิ สมรรถนะสำ� คญั ของผเู้ รียน
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)