กาพย์เหเ่ รือ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖
คาอธบิ ายศัพทแ์ ละข้อความ
คาศพั ท์/ข้อความ คาอธบิ าย
กราย เคลอ่ื ไหวอย่างมีทา่ ทเี นิบชา้
กาหล แตรงอน
กิ่ง เรือพระทนี่ ัง่ กง่ิ
ขําเพราคม สวยซ้งึ นา่ มอง
ฆ้องยามย่ํา การตีฆ้องเพอื่ บอกเวลาตอนกลางคนื
งา่ เทา้ โผน ยกเท้าเตรยี มกระโจน
ชยั เรอื พระท่นี ง่ั ชัย
ดา้ ว แดน
ตาด ชื่อผ้าชนดิ หนึ่ฃ ทอด้วยไหมควบกับเงนิ แลง่ หรอื ทองแล่ง
ทิพากร ดวงอาทติ ย์
ทผี าดเผน่ ทา่ ทางเหมือนกระโจน
เทา่ ถึง จนกระทงั่ ถึง
บหุ งารําไป ดอกไมท้ ีป่ รุงดว้ ยเคร่อื งหอม แลว้ บรรจุในถุงผา้ โปร่งทาํ เปน็ รปู ทรงตา่ งๆ
ปิ้ม ราวกับ
พลพาย ทหารทพ่ี ายเรือ
เพรางาย เวลาเยน็ และเวลาเช้า (เพรา...>>เย็น, งาย...>>เช้า)
เพล็ด ผลิ
โพยม ทอ้ งฟูา
มี่ เสยี งดงั
เมรุ ภูเขา /เมน/
ยอ่ งเย้อื ง เดนิ เบาๆอย่างไวท้ า่
ย่ําอก ตอี ก แสดงอาการทุกข์โศก
แยง่ มงั กร แย่ง...>>ลายก้านแยง่ เป็นลายชนิดหนึง่ มีรปู โครงเป็นตาข่าย มีลายดอก
และกา้ นเฉียงทแยงกนั แยง่ มังกร...>>ลายกา้ นแย่งที่มีลวดลายเป็นรูปมงั กร
ระหง สงา่ งาม
รตั นพิมาน ช่อื เรอื พระทน่ี ่ังกิ่ง
เรอื ต้น เรือของพระเจ้าแผน่ ดนิ
ลําพอง ฮกึ หา้ ว
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๕๐
กาพยเ์ หเ่ รอื ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖
คําศัพท/์ ข้อความ คาํ อธบิ าย
ลินลาศ ไป, เย้อื งกรายด้วยทที ่าอนั งาม (ลลี าศ)
ศรเี สาวภาคย์ สวยงาม
เสา้ ไม้กระทุ้งจังหวะ
แสนยากร หมู่ทหาร กองทัพ
ห่มท้ายเย่ิน ห่ม...>>ขย่ม เย่นิ ...>>เนบิ หมายถึง ทา้ ยเรือไหวขึ้นลงเป็นจังหวะจาก
การออกแรงพายอย่างพร้อมเพรียง
หอมห่นื หอมมาก
เหิมหืน่ ยนิ ดีอยา่ งแรงกล้า ฮึกเหิม
ออ่ นหยบั ข้ึนลงอย่างเนบิ ๆ
องึ อล ดงั ล่นั
บทวิเคราะห์ กาพยเ์ หเ่ รอื
กาพย์เห่เรือ พรรณนาถึงรูปลักษณ์สวยงามแปลกตาและสมรรถนะของเรือพระที่น่ังและเรือลํา
ต่างๆทใี่ ชใ้ นกระบวนเห่เรือ ตลอดจนความสามัคคพี รกั พรอ้ มของพลพายทร่ี ่วมกระบวน
๑. คณุ ค่าดา้ นเน้อื หา
๑.๑ รูปแบบ กาพย์เห่เรือพระนิพนธ์ในเจ้าฟูาธรรมธิเบศร เป็นบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่เรือ
ใช้คาํ ประพนั ธ์สองประเภทแต่งร่วมกัน คือ โคลงส่ีสุภาพกับกาพย์ยานี ๑๑ ซ่ึงมีลักษณ์สําคัญ คือ เนื้อหาแต่
ละตอนข้ึนต้นด้วยโคลงสี่สุภาพ ๑ บท ตามด้วยกาพย์ยานี ๑๑ แต่งเลียนความและขยายความโคลงบทนํา
จะแต่งอีกกี่บทก็ได้ไม่จํากัดจํานวนบท โดยกาพย์ยานีบทแรกจะมีใจความเดียวกับโคลงส่ีสุภาพบทนํา ดัง
ตัวอย่าง ความว่า
โคลงสส่ี ุภาพ คลึงกัน
แจํมหนา๎
พิศพรรณปลาวํายเคลา๎ พิศวาส
ถวิลสดุ าดวงจันทร๑ ชวดเคล๎าคลงึ ชม
มัตสยายอํ มพวั พัน
ควรฤพรากนอ๎ งชา๎
โคลงส่ีสภุ าพตอนต้นกบั กาพย์ยานี ๑๑ บทแรก มีเนือ้ ความเลยี นกนั ดังตัวอยา่ ง ความวา่
กาพยย๑ านี ๑๑
พศิ พรรณปลาวาํ ยเคลา๎ คิดถึงเจ๎าเศร๎าอารมณ๑
มตั สยายังร๎ชู ม สมสาใจไมํพามา
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลัง เจะยามา ๕๑
กาพยเ์ หเ่ รอื ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖
บทประพันธ์แตล่ ะตอนขนึ้ ตน้ ด้วยโคลงสีส่ ภุ าพ ๑ บท และตามด้วยกาพย์ยานี ๑๑ ไม่จํากัดจํานวน
บท เพียงบทแรกจะต้องเลยี นความจากโคลงส่ีสุภาพท่ีข้ึนตน้ ทาํ ใหผ้ อู้ ่านเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน เพราะ
ได้สรุปใจความสําคัญไว้เบ้ืองต้น แล้วมีการให้รายละเอียดเพิ่มเติม จึงช่วยขยายความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งข้ึน
นอกจากน้ีการใช้คําประพันธ์ท้ังโคลงสี่สุภาพและกาพย์ยานี ๑๑ ทําให้มีความหลากหลายน่าสนใจ เมื่อ
นํามาขับเหต่ ามจงั หวะพายเรือช่วยประกอบการสรา้ งจนิ ตภาพได้เปน็ อยา่ งดี
๑.๒ องคป์ ระกอบของเรือ่ ง
๑.๒.๑ สาระ บทเหเ่ รือเจา้ ฟาู ธรรมเบศรทรงพระนพิ นธ์เป็นบทเหช่ มเรือ ในบทเร่ิมต้นเน้น
พรรณนาความสวยงามแปลกตาและสมรรถนะของเรือพระท่ีนั่งและเรือต่างๆ ในกระบวนเรือและธรรมชาติ
ซึ่งประกอบด้วยเห่ชมปลา เห่ชมไม้ และเห่ชมนกขณะที่ชมธรรมชาติก็จะเปรียบส่ิงที่พบกับนางผู้เป็นที่รัก
ดว้ ยความคิดคะนงึ หา และจบด้วยบทเห่ครวญ พรรณนาอารมณ์รักเศร้าที่ต้องห่างนางผเู้ ป็นทร่ี ัก
๑.๒.๒ โครงเรือ่ ง มีการจัดลําดับความโดยยึดเวลาเป็นสําคัญ เริ่มตั้งแต่ในเวลาเช้า
แสงแดดส่องประกายเรืองรอง กล่าวชมกระบวนเรือในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เวลากลางวันชม
ปลาและชมไม้นานาชนิดในระหวา่ งทางเสด็จฯ เวลาเย็นช่วงนกกาเริ่มบินกลับจึงมีการชมนกมากมายหลาย
ชนิด จนกระท่ังเวลาค่ํามีบรรยากาศเงียบเหงาอ้างว้าง เปล่าเปล่ียวจึงเป็นการพรรณนาครํ่าครวญอารมณ์
ความรสู้ กึ ความรัก ความทุกข์ อนั เกิดจาการพลัดพรากจากนางผู้เป็นทรี่ ัก
๑.๒.๓ กลวิธีการแต่ง เจ้าฟูาธรรมธิเบศรทรงพระนิพนธ์สิ่งท่ีพบเห็นในระหว่างทางก็จะ
ทรงพรรณนารําพึงรําพันถึงนางผู้เป็นที่รักไปด้วย มีการชมธรรมชาติระคนกับการคร่ําครวญมีการ
เปรียบเทียบอารมณ์ผู้แต่งกับตัวเอกในวรรณคดี กาพย์เห่เรือเจ้าฟูาธรรมธิเบศรจึงมีลักษณะเป็นนิราศ ซ่ึง
กลวิธกี ารแตง่ เช่นน้ใี ชเ้ ปน็ แบบอย่างในการแตง่ กาพย์เห่เรอื ในสมัยต่อมา
๒. คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์
๒.๑ การสรรคา เจ้าฟูาธรรมธิเบศรทรงมีพระปรีชาสามารถในการเลือกสรรคํามาใช้ได้อย่าง
เหมาะสมกับชนิดของคําประพันธ์และเน้ือความที่บรรยาย มีความประรีตในกระบวนการใช้คํา สามารถ
เลอื กใช้คําท่ใี ห้ความรสู้ กึ ตามต้องการ
๒.๑.๑ การเลือกใช้คาได้ถูกตอ้ งตรงตามความหมายทีต่ ้องการ ผู้แต่งต้องการจะกล่าวถึง
นางผู้เป็นที่รัก ผู้แต่งจึงเลือกเฟูนท้ังเสียงและความหมายให้เหมาะสมแก่คณะและสัมผัสตามข้อบังคับของ
ฉนั ทลกั ษณ์น้ันๆ ดงั ตัวอยา่ ง ความว่า
มะลิวัลยพ๑ ันจกิ จวง ดอกเปน็ พวงรํวงเรณู
หอมมานาํ เอ็นดู ชชู น่ื จติ คดิ วนิดา
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลัง เจะยามา ๕๒
กาพยเ์ ห่เรือ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๖
๒.๑.๒ การเลอื กใช้คาทีเ่ หมาะแก่เน้ือเรือ่ งและฐานะของบุคคล ผแู้ ต่งเลือกคามาใช้ให้
เหมาะสมแก่เนอ้ื เรือ่ ง เหน็ ได้ในสานวนว่า เจา้ ฟูาธรรมธเิ บศรทรงพระนิพนธ์สาํ หรบั เหเ่ รอื พระที่นงั่ ในการ
ตามเสดจ็ ทางชลมารค จากพระนครศรีอยุธยาเพื่อข้ึนไปยงั พระพุทธบาท สระบุรี ในเวลาเช้า ความวา่
พระเสดจ็ โดยแดนชล ทรงเรือต๎นงามเฉดิ ฉาย
กิ่งแก๎วแพร๎วพรรรณราย พาํ ยออํ นหยับจับงามงอน
กาพย์เห่เรือใช้คําได้เหมาะกับการชมธรรมชาติ ชมไม้ ชมนก ชมปลา ชมกระบวนเรือ โดยใช้คํา
ไทยง่ายๆ มีความหมายแจ่มแจ้ง แสดงความรู้สึกและอารมณ์ได้ชัดเจน เช่น คําว่า “ต้อง” เป็นคําไทย
แปลว่า ถูก ในกาพย์เห่เรือหมายถึง สัมผัส แต่เป็นสัมผัสท่ีแผ่วเบา ถ่ายทอดความรู้สึกหวงแหน แสดงถึง
ความละเมียดละไมของผทู้ ํากริ ิยาไดช้ ัดเจน ดังบทประพันธ์ ความว่า
เนื้อออํ นอํอนแตํชือ่ เนือ้ นอ๎ งฤาออํ นท้ังกาย
ใครตอ๎ งขอ๎ งจิตชาย ไมวํ ายนึกตรึกตรึงทรวง
๒.๑.๓ การใชค้ าโดยคาถึงเสยี ง
๑) การเล่นเสียงสัมผัส ทําให้เกิดความไพเราะ โดยใช้สัมผัสสระและสัมผัส
พยัญชนะ ทําให้เสียงของกาพย์รื่นหู มีสัมผัสคล้องจองกัน ให้ความรู้สึกถึงความราบรื่น ไพเราะ ดังบท
ประพนั ธ์ ความวา่
สมรรถชยั ไกรกาบแก๎ว แสงแวววับจบั สาคร
เรียบเรียงเคยี งคจํู ร ด่ังรอํ นฟ้ามาแดนดิน
กาพย์บทนี้มีสัมผัสระและสัมผัสพยัญชนะครบทุกวรรคในบทเดียว สัมผัสสระได้แก่ ชัย-ไกร,
วับ-จบั , เรียง-เคยี ง, ฟาู -มา, สัมผัสพยญั ชนะ ได้แก่ กาบ-แก้ว, แวว-วับ, แสง-สา, เรียบ-เรยี ง, เคียง-คู่,
ดง่ั -แดน-ดิน
๒) การเลน่ คาพ้องเสียง เลน่ คาํ ในลกั ษณะพ้องรปู พ้องเสียง ความวา่
แก๎มชา้ํ ช้ําใครต๎อง อันแกม๎ น๎องชาํ้ เพราะชม
ปลาทุกทกุ ข๑อกกรม เหมือนทกุ ข๑พ่ีท่จี ากนาง
กาพย์บทน้ีผู้แต่งเล่นคําว่า ช้ํา ซึ่งหมายถึงปลาชนิดหน่ึงช่ือ แก้มชํ้า พ้องเสียงกับคําว่า ช้ํา และคํา
วา่ ทกุ ท่เี ปน็ ชอื่ ปลา พ้องเสียงกับคาํ วา่ ทุกข์ ซึ่งใหค้ วามรสู้ ึกวา่ การจากนางอนั เปน็ ทรี่ กั มาทําใหก้ วเี ป็นทุกข์
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๕๓
กาพยเ์ ห่เรอื ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖
๓) การซ้าคา เปน็ การสรา้ งสุนทรียภาพให้เกิดขนึ้ ทั้งในดา้ นภาพและเสยี งโดย
การใชค้ ําๆเดียวกนั แทรกไปเปน็ ระยะๆ ในช่วงที่กวีตอ้ งการสร้างความรู้สกึ ชนดิ หน่ึง หรอื ต้องการจะเน้น
คําๆน้ัน ดงั ตัวอยา่ ง ความวา่
รอนรอนสุริยโอ๎ อสั ดง
เร่ือยเร่ือยลับเมรุลง คํ่าแล๎ว
รอนรอนจิตจํานง นุชพ่ี เพียงแมํ
เรอ่ื ยเรอ่ื ยเรยี มคอยแก๎ว คลบั คลา๎ ยเรยี มเหลยี ว
กาพยบ์ ทนผี้ ูแ้ ต่งคําขึ้นตน้ คําวา่ รอนรอน และ เร่ือยเร่ือย ในโคลงส่ีสุภาพ สองบาทแรกทําใหเ้ หน็
ภาพพระอาทิตยท์ ่ีกาํ ลงั อ่อนแสงลงทีละน้อย ในบาททีส่ ามและสผ่ี ู้แต่งรสู้ กึ ใจหายและคอยคะนงึ หานางผู้
เป็นท่รี กั ทําใหเ้ กดิ ความร้สู กึ เหงาเศรา้ ตามผ้แู ต่ง
๔) การใช้คาไวพจน์ ทําให้เห็นสติป๎ญญาของผู้แต่งที่เลือกใช้คําได้หลากหลาย
โดยไม่เสียความ และทาํ ใหบ้ ทประพนั ธ์มีสมั ผัสคล้องจองเกิดความไพเราะ ดงั ตัวอย่าง ความวา่
พิศพรรณปลาวาํ ยเคลา๎ คิดถงึ เจ๎าเศร๎าอารมณ๑
มตั สยายังรช๎ู ม สมสาใจไมํพามา
มัตสยา, ปลา หมายถึงปลา คําไวพจน์ของปลาได้แก่ มัจฉา, มัสยา, มัจฉาชาติ, มิต, ชลจร,
วารีชาติ, อมั พุชา, มีน, มีนา, ปุถุโลม
๒.๒ การใช้ภาพพจน์ มีการแสดงความหมายไดอ้ ย่างชัดเจนลกึ ซงึ้ กนิ ใจ
๒.๒.๑ การใช้ภาพพจน์อุปมา เป็นการเปรียบเทียบส่ิงหนึ่งว่าเหมือนอีกสิ่งหนึ่งโดยใช้
คําเชื่อมท่ีแสดงความหายว่าเหมือนกัน เช่น คําว่า เหมือน ดัง เพียง เป็นต้น เช่น บทที่เปรียบเทียบเรือ
สุวรรณหงส์พาหนะของพระพรหม เปรียบเทียบการเคลื่อนไหวอย่างงามสง่าของเรือสุวรรณหงส์กับการ
เคลื่อนไหวของหงส์ ซ่งึ ชว่ ยสรา้ งมโนภาพเป็นอยา่ งดี ดังตวั อยา่ ง ความวา่
สวุ รรณหงส๑ทรงพํูห๎อย งามชดช๎อยลอยหลงั สนิ ธ๑ุ
เพียงหงสท๑ รงพรหมินทร๑ ลนิ ลาศเลอื่ นเตือนตาชม
๒.๒.๒ การใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบโยงความคิดอย่างหน่ึงไปสู่
ความคิดหน่ึง โดยใช้คําว่า คือ เป็น อยู่ในประโยค เช่น “น้ําเงินคือเงินยวง” เป็นการใช้อุปลักษณ์เพ่ือบอก
ว่าปลาน้ําเงินนั้นมีเกล็ดเป็นสีนํ้าเงินงามเช่นเงินยวง (เงินบริสุทธ์ิท่ีย้อยลงมา) การใช้อุปลักษณ์ทําให้นึกถึง
ภาพว่าเกล็ดปลานาํ้ เงินท่เี ปน็ สเี งินบรสิ ุทธน์ิ ั้น ยงั เทียบไม่ได้กับผวิ กายของนางที่มีผิวพรรณดูผุดผ่องเร่ือเรือง
งามย่ิงนกั
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหสั ลงั เจะยามา ๕๔
กาพย์เห่เรือ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
๒.๒.๓ การใช้ภาพพจน์สทั พจน์ หรอื การใช้คําเลียนเสียงธรรมชาติ เป็นการใช้คําบ่งบอก
หรือเลียนเสียงท่ีเกดิ ขึ้นทําใหผ้ ู้อา่ นและผู้ฟ๎งเห็นภาพและเกดิ ความรู้สึก ดงั ตวั อยา่ ง ความวา่
เรอื ครฑุ ยุดนาคหิ้ว ลว่ิ ลอยมาพาผันผยอง
พลพายกรายพายทอง ร๎องโหํเหํโอเ๎ หมํ า
๒.๓ ลีลาการประพันธ์หรือรสวรรณคดี เป็นช้ันเชิงการแต่งคําประพันธ์ของผู้แต่งที่มุ่งให้เกิด
อารมณ์ความรูส้ กึ อย่างลกึ ซ้ึงกนิ ใจ
๒.๓.๑ เสาวรจนี บทชมความงามทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ
กาพย์เห่เรือเจ้าฟูาธรรมธิเบศร ในเน้ือเรื่องมีทั้งบทเห่ชมกระบวนเรือ บทเห่ชมปลา บทเห่ชมไม้ บทเห่ชม
นก ล้วนแลว้ แตช่ มความงามได้อยา่ งไพเราะ ดงั ตวั อย่าง ความว่า
สวุ รรณหงส๑ทรงพํหู ๎อย งามชดช๎อยลอยหลงั สนิ ธุ๑
เพยี งหงสท๑ รงพรหมินทร๑ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม
๒.๓.๒ สัลลาปังคพิสัย บทแสดงความเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ ผู้แต่งรําพันความรู้สึก
ความรักอาลัยที่มีต่อนางผู้เป็นที่รัก เช่นบที่ผู้แต่งบรรยายว่าการจากนางเพียงวันเดียว ทําให้มีความทุกข์
เหมือนกับจากนางเป็นปี ซึ่งเป็นการยํ้าว่าความทุกข์ของพระองค์นั้นมีมากเพียงใด เป็นการแสดงความรู้สึก
ของผ้ทู ่ีตกอยใู่ นความทกุ ขจ์ ากการพลดั พรากไดอ้ ย่างเหมาะสม ดงั ตวั อยา่ ง ความว่า
เรียมทนทุกขแ๑ ตํเชา๎ ถงึ เยน็
มาสสูํ ขุ คนื เขญ็ หมนํ ไหม
ชายใดจากสมรเป็น ทกุ ข๑เทํา เรียมเลย
จากคํวู ันเดียวได๎ ทกุ ข๑ปม้ิ ปานปี
๓. คณุ ค่าด้านสังคม
๓.๑ สะท้อนวิถีชวี ติ ความเปน็ อยู่ของคนในสังคม
๓.๑.๑ ความสาคัญของการคมนาคมทางน้า กาพย์เห่เรือของเจ้าฟูาธรรมธิเบศรสะท้อน
ให้เห็นถึงความผูกพันกับสายนํ้า การคมนาคมทางน้ําทําได้โดยสะดวก คนไทยจึงอาศัยการคมนาคมทางน้ํา
เปน็ สว่ นใหญ่ ดงั บทประพันธ์ ความว่า
พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรอื ตน๎ งามเฉดิ ฉาย
กงิ่ แกว๎ แพร๎วพรรณราย พายอํอนหยบั จบั งามงอน
กรธี าหมนํู าเวศ จากนครเรศโดยสาชล
เหมิ หื่นชื่นกระมล ยลมจั ฉาสารพนั มี
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลัง เจะยามา ๕๕
กาพย์เหเ่ รือ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖
๓.๑.๒ การเทียบเวลาในสมัยก่อน สมัยโบราณใช้ฆ้องและกลองตีบอกเวลา ซ่ึงฆ้องบอก
สญั ญาณเปน็ “โมง” ค่กู บั กลองท่ตี บี อกสัญญาณเปน็ “ทุ่ม”
ยามสองฆอ๎ งยามย่ํา ทุกคนื คํ่าย่าํ อกเอง
เสียงปีม่ ่ีครวญเครง เหมอื นเรยี มครํา่ ราํ่ ครวญนาน
๓.๒ สะทอ้ นขนบธรรมเนียมประเพณขี องคนไทย กาพยเ์ ห่เรือของเจ้าฟาู ธรรมธิเบศรแสดงให้เห็น
ถงึ ขนบธรรมเนียมประเพณขี องไทยไดอ้ ยา่ งชดั เจน
๓.๒.๑ ประเพณีการเห่เรือ เป็นการเห่เรือเล่นในคราวที่เจ้าฟูาธรรมธิเบศรตามเสด็จ
พระราชบิดาทางชลมารคเพื่อไปนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ทําให้เห็นภาพการจัดกระบวน
พยุหยาตราทางชลมารค ช่ือเรือ และรูปลักษณ์ของเรือ ซ่ึงเป็นศิลปกรรมอันเยี่ยมยอดในกระบวน
พยุหยาตรา ได้แก่
๑) เรอื ต้น หรอื เรือกิง่ มี ๔ ลํา คือ เรือครุฑ เรือสุพรรณหงส๑ เรือสมรรถชัย เรือ
ไกรสรมุข
๒) เรอื ชยั มีการกระทงุ้ เสา้ ให้จังหวะประกอบการพายเรือ
๓) เรอื รปู สตั ว์ หรอื เหลา่ แสนยากร ไดแ้ ก่ คชสีห๑ ราชสหี ๑ ม๎ า สิ ง ห๑ น า ค
มงั กร เลียงผา อินทรี
๔) เรือรว้ิ คือ เรอื ประกอบกระบวนแห่ จัดเปน็ หลายๆสาย แล่นเรยี งขนาบกนั
๓.๒.๒ การแต่งกายของสตรีไทยในอดีต นิยมใช้ผ้าสไบห่มคลุมไหล่ทําด้วยผ้าท่ีทอด้วย
ไหมกับทองแล่งหรือเงินแล่ง แบบผ้าทองหรือผ้าเงิน คนที่จะสวมใส่ต้องเป็นผู้มียศ มีศักด์ิ มีเช้ือชาติตระกูล
สูงเทา่ นน้ั ทาํ ให้ทราบว่าสมัยโบราณใชผ้ า้ ที่ทอควบกบั เส้นเงินหรอื เส้นทองจรงิ ๆ ดงั บทประพันธ์ ความว่า
เพียนทองงามดัง่ ทอง ไมเํ หมือนนอ๎ งหมํ ตาดพราย
กระแหแหหํางชาย ด่งั สายสวาทคลาดจากสม
๓.๒.๓ การไว้ทรงผมของสตรี สตรีไทยในอดีตนยิ มไว้ผมยาวประบ่าและเก็บไรผมหรือผม
อ่อนที่ล้อมกรอบหน้า คนโบราณนิยมกันไร คือจะถอนผมอ่อนที่ล้อมกรอบหน้าออกทําให้หน้านวลผ่อง ดู
เด่นชดั ยง่ิ ขึน้ ดงั บทประพนั ธ์ ความวา่
หาํ งไกํวํายแหวกวําย หางไกคํ ล๎ายไมํมีหงอน
คดิ อนงค๑องคเ๑ อวอร ผมประบาํ อาํ เอ่ยี มไร
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลงั เจะยามา ๕๖
กาพยเ์ ห่เรอื ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖
๓.๒.๔ การทาเคร่ืองหอมจากดอกไม้ เช่น มะลิ กระดังงา กุหลาบ เป็นต้น ท่ีปรุงด้วย
เครื่องหอม แล้วบรรจุถุงผ้าโปร่งเล็กๆ ทําเป็นรูปร่างต่างๆ ให้กิล่นหอมติดกายและเส้ือผ้าของหญิงสาว ดัง
บทประพนั ธ์ ความวา่
ลาํ ดวนหวนหอมตรลบ กิลํนอายอบสบนาสา
นึกถวลิ กล่นิ บหุ งา รําไปเจา๎ เศร๎าถงึ นาง
๓.๒.๕ การร้อยกรองดอกไม้ สตรีจะมลี กั ษณะเป็นแม่บ้านแม่เรือน มีฝีมือในการประดิษฐ์
โดยเฉพาะงานดอกไม้จะมีฝีมือในการร้อยกรองดอกไม้เป็นอุบะมาลัย และใช้มาลัยแสดงความรักแทนตัว
ดังบทประพันธ์ ความวา่
ประยงค๑ทรงพวงหอ๎ ย ระยา๎ ย๎อยพวงกรอง
เหมือนอบุ ะนวลละออง เจา๎ แขวนไว๎ใหเ๎ รยี มชม
กาพย๑เหํเรือเจ๎าฟ้าธรรมธิเบศร เป็นกาพย๑เรือที่มีคุณคําด๎านวรรณศิลป์เป็นอยํางยิ่งเพราะมีการใช๎
ถ๎อยคําบรรยายให๎เกิดภาพ เห็นความโอํอําของกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ใช๎คําพรรณนาให๎เกิด
อารมณ๑คล๎อยตาม ใช๎ถ๎อยคํากระชับ ชัดเจน ไพเราะทั้งเสียงและมีความหมายอันลึกซ้ึง มีประโยชน๑ให๎
ความร๎ูเก่ียวกับกระบวนเรือ ช่ือปลา ชื่อพรรณไม๎ และพรรณนาถึงชื่อนกนานาชนิด อักทั้งยังสอดแทรกให๎
เห็นสภาพสังคมในสมัยที่ประพันธ๑ได๎อยํางแนบเนียน กาพย๑เหํเรือเจ๎าฟ้าธรรมธิเบศรจึงเป็นต๎นแบบในการ
แตํงกาพย๑เหํในยุคตํอๆมาอีกหลายสํานวน แตํก็ยังไมํมีฉบับใดที่ดีเดํนกวํา จึงนับวํากาพย๑เหํเรือเจ๎าฟ้า
ธรรมธเิ บศรป็นวรรณคดีอันมีคุณคําอยํางยิ่งตํอประเทศชาติที่ควรศึกษาและสืบทอดด๎วยความภาคภูมิใจใน
ขนบธรรมเนียมและประเพณีไทยโบราณ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลงั เจะยามา ๕๗
กาพย์เหเ่ รือ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
เรอื พระทนี่ งั่ ในกระบวนเสด็จพระยหุ ยาตราทางชลมารคในรชั กาลปัจจบุ ัน
“สุวรรณหงส๑ทรงพหูํ อ๎ ย งามชดช๎อยลอยหลงั สินธ๑ุ
เพียงหงสท๑ รงพรหมินทร๑ ลนิ ลาศเลอื่ นเตือนตาชม”
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลําป๎จจุบัน เป็นเรือพระท่ีนั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกลา้ ฯใหต้ ่อข้ึนใหม่ สร้างเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนชื่อเป็น
เรือพระท่นี ัง่ สพุ รรณหงส์
เรือพระท่ีนั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลท่ี ๙ เป็นเรือพระท่ีนั่งก่ิงประเภทเรือรูปสัตว์ หน่ึงในเรือ
พระราชพิธีในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค นําโขนเรือพระท่ีน่ังนารายณ์ทรงสุบรรณที่สร้างข้ึนในสมัย
รัชกาลท่ี ๓ และรัชกาลที่ ๔ มาเป็นต้นแบบ รัชกาลท่ี ๕ มีพระราชดําริให้เสริมรูปพระนารายณ์ยืน ประทับ
บนหลังพญาสุบรรณ เพอ่ื ความเป็นสงา่ งามของลําเรือ
เรือพระท่ีน่ังอเนกชาติภุชงค์ สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดเป็นเรือพระที่น่ังศรีในลําดับช้ันรอง ใช้ในการเสด็จพระราชดําเนินลําลอง เรียกว่า เรือพระท่ีนั่งรอง
นับเปน็ เรอื พระท่ีน่ังลําเดยี วทสี่ รา้ งในรชั กาลที่ ๕ โขนเรอื จําหลกั ปดิ ทองเปน็ รูปพญานาคเลก็ ๆ จาํ นวนมาก
เรือพระท่ีน่ังอนันตนาคราช เป็นเรือพระท่ีน่ังบัลลังก์ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค สร้างขึ้น
ต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี ๕ ลําป๎จจุบันมีการสร้างใหม่ ในสมัยรัชกาลท่ี ๖ โขนเรือเป็น “พญาอนันตนาคราช”
หรือนาค ๗ เศียร ใช้เป็นเรือพระที่นั่งรอง หรือเรือเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานบุษบกสําหรับ
พระพทุ ธรูปสาํ คญั
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๕๘
เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา
การอ่านออกเสียงบทเสภาเร่ือง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา จะต้องอ่านอย่างถูกต้อง
ไพเราะเหมาะสม วิเคราะห์วิจารณ์ตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น และลักษณะเด่น โดยเชื่อมโยงกับการ
เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ในฐานะที่เป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมของชาติ สังเคราะห์ข้อคิด เพ่ือนําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจําบทอาขยานท่ีมีคุณค่า
เพอื่ นําไปใช้อา้ งอิง
มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชว้ี ดั อ่านออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ
ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑ และเหมาะสมกบั เรอื่ งทีอ่ า่ น
ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑ วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวจิ ารณ์
ม.๔-๖/๒ เบ้อื งต้น
ม.๔-๖/๓ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชอื่ มโยงกับการเรยี นรู้ทาง
ม.๔-๖/๔ ประวัตศิ าสตรแ์ ละวถิ ีชวี ติ ของสังคมในอดตี
ม.๔-๖/๖ วเิ คราะหแ์ ละประเมินคุณค่าด้านวรรณศลิ ป์ของวรรณคดแี ละ
วรรณกรรมในฐานะทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือนําไปประยกุ ต์
ใช้ในชีวิตจริง
ทอ่ งจาํ และบอกคุณคา่ บทอาขยานตามท่ีกําหนด และบทร้อยกรอง
ท่ีมคี ณุ ค่าตามความสนใจและนําไปใชอ้ ้างองิ ประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลงั เจะยามา ๕๙
วรรณคดวี ิจักษ์ ๓
เสภาเรอ่ื งขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า
ความเปน็ มา
การขบั เสภาได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากอนิ เดีย ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยขับเป็นลํานําเร่ือง
นิทานเฉลิมพระเกียรติพระเป็นเจ้า บทท่ีขับเป็นกลอนสดยังไม่ได้ขับเรื่องขุนช้างขุนแผน มีการนําเร่ืองขุน
ช้างขุนแผนมาขับเป็นเสภาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเล่าเป็นนิทาน ภายหลังจึงมีการขับ
เป็นทํานองลาํ นาํ ประกอบการเล่านิทาน ตอ่ มาจึงไดใ้ ชก้ รับประกอบทํานองขับ ต่อมาได้มีผู้แต่งเป็นบทเสภา
ให้ผู้ขับทีม่ เี สยี งดี แตไ่ ม่ชํานาญการแต่งกลอน และแต่งเปน็ กลอนนทิ านทง้ั ตอนในเวลาต่อมา
ขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณกรรมอมตะไทย ตามประวัติกล่าวว่านักขับเสภาครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้
แต่ง (เสภาคือหนังสือกลอนโบราณ ที่นําเอานิทานมาแต่งเป็นกลอนสําหรับขับลํานํา) แต่เหลือมาถึงกรุง
รัตนโกสินทร์บางตอน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จึงโปรดให้เหล่ากวีใน
พระราชสํานักแต่งขึ้นใหม่ รวมทั้งพระองค์ท่านเองทรงพระราชนิพนธ์ ตอน "พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม"
ตอน "ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง" และตอน "เข้าห้องแก้วกิริยาและพาวันทองหนี" รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราช
นิพนธ์ตอน "ขุนช้างตามวันทอง" บรมครูสุนทรภู่แต่งตอน "กําเนิดพลายงาม" ต่อมาครูแจ้งในรัชกาลที่ ๔
แต่งตอน "กําเนิดกุมารทอง" ตอน "ขุนแผน พลายงามแก้พระท้ายนํ้า" และตอน "ขุนแผน พลายงามสะกด
เจา้ เมอื งเชียงใหม"่
ที่มาของเรื่อง กล่าวกันว่าเป็นจริงตามนิทานพื้นบ้าน เกิดข้ึนในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒
ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ - ๒๐๗๒ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ ถูกสมมุติพระนามในเสภาว่า "พระพันวษา" เนื้อ
เรื่องเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนไทยทําสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกเข้ากับวิถีชีวิตของ
ชาวเมืองสพุ รรณและกาญจนบรุ ี โดยเฉพาะการชงิ รักหักสวาทของ ๑ หญิง ๒ ชาย คือ นางพิมพิลาไลยหรือ
นางวันทอง ขุนแผนหรือพลายแก้ว และขุนช้าง อรรถรสทางด้านภาษาและเนื้อหา เป็นวิถีชีวิตวัฒนธรรม
ของคนยุคสมยั นน้ั จนเป็นวรรณกรรมอมตะมาจนถงึ ทกุ วันน้ี
เรื่องขุนช้างขุนแผนเขียนข้ึนโดยมีเค้าโครงเรื่องจริง ตามหนังสือคําให้การชาวกรุงเก่า กล่าวว่า มี
กษัตริย์ใน สมัยกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพันวษา ครั้งหน่ึงเกิดสงครามกับนคร
เชียงใหม่ เนื่องจากพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร เจ้าเมืองเชียงใหม่ ไม่ชอบที่พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตลาน
ช้าง มาเป็นมิตรกับอยุธยา จึงยกทัพมาแย่งชิงพระธิดาแห่งลานช้างไป พระพันวษาทรงพระพิโรธ จึงมีราช
โองการสั่งให้เตรียมทัพและตรัสกับพระหม่ืนศรีมหาดเล็ก ให้เลือกทหารที่มีฝีมือมารบ ซึ่งในบัดนั้นผู้ท่ีจะ
เกง่ กลา้ เกินกวา่ ขุนแผนนนั้ ไมม่ ี แตพ่ ระหมื่นศรีมหาดเลก็ ทลู พระพนั วษาว่า ขุนแผนยังอยู่ในคุก พระพันวษา
ก็ทรงระลึกได้ถึงขุนแผนท่ีถูกจองจําอยู่ในคุก จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ขุนแผนพ้นโทษโดยเร็ว และแต่งต้ัง
ขุนแผนเปน็ แม่ทพั ออกรบ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๖๐
เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ก่อนท่ขี นุ แผนจะออกรบไดแ้ วะท่เี มอื งพจิ ติ ร เพือ่ รบั ดาบและม้าวเิ ศษประจําตัวขุนแผน ที่ฝากไว้กับ
พระพจิ ิตร และขนุ แผนกส็ ามารถตีกองทพั เชียงใหม่จนแตกพา่ ย คาํ ให้การชาวกรุงเก่า มีเรื่องขุนช้างขุนแผน
ปรากฏอย่เู ท่านี้ เห็นได้ว่าไม่ตรงกับเร่ืองขุนช้างขุนแผนท่ีเราขับเสภา เพราะเรื่องนี้นํามาเล่าเป็นนิทานนาน
แล้วและยงั แตง่ เปน็ กลอนเสภาอีก สันนิษฐานไดว้ า่ คงมีการตกแต่งเร่ืองใหแ้ ปลกสนุกสนานและยาวย่ิงข้นึ
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผนเป็นคําประพันธ์ ประเภทกลอนเสภา ๔๓ ตอน โดยวรรณคดีสโมสรได้ยก
ยอ่ งใหเ้ สภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน ให้เป็นยอดของกลอนสุภาพท่ีมีความไพเราะดีเลิศท้ังเนื้อเร่ืองและกระบวน
กลอน และมจี ํานวน ๘ ตอน ที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคม อันมีสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ทรงเปน็ ประธาน โดยลงมติเมือ่ พ.ศ. ๒๔๗๔ ไดแ้ ก่
๑. ตอน พลายแกว้ เปน็ ช้กู ับนางพมิ ๒. ตอน ขนุ ชา้ งขอนางพมิ
๓. ตอน ขนุ แผนขึน้ เรือนขุนชา้ ง ๔. ตอน ขนุ แผนพานางวันทองหนี
๕. ตอน กาํ เนิดพลายงาม ๖. ตอน ขุนช้างถวายฎีกา
๗. ตอน ฆ่านางวันทอง ๘. ตอน พระไวยถกู เสนห่ ์
ประวัตผิ ู้แตง่
วรรณคดีเร่ืองขุนช้างขุนแผนมีกวีแต่งกันหลายคน ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และในสมัย
รตั นโกสินทร์ตอนตน้ ตอนที่ไพเราะสว่ นมากแต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่
๒) การแต่งเสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผนไม่นิยมบอกนามผู้แต่ง มีเพียงการสันนิษฐานผู้แต่งโดยพิจารณาจาก
สาํ นวนการแตง่ เท่านนั้ เสภาขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาจึงไมท่ ราบนามผ้แู ตง่ ท่ีแนช่ ัด
ลักษณะคาประพนั ธ์
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่งด้วยลักษณะคําประพันธ์ประเภทกลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภา
เปน็ กลอนขัน้ เลา่ เรอื่ งอย่างเล่านิทาน จึงใช้คํามากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟ๎ง และมุ่งเอาการขับได้
ไพเราะเป็นสําคัญ สัมผัสของคําประพันธ์ คือ คําสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคําใดคําหนึ่งใน ๕ คํา
แรกของวรรคหลังสมั ผสั วรรคอืน่ และสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอนสภุ าพ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลัง เจะยามา ๖๑
เสภาเรื่องขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
เร่อื งย่อ
ณ เมืองสุพรรณบรุ ี
กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายรับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ
นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันช่ือ พลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี
รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาช่ือ นางเทพทอง มีลูกชายชื่อ ขุนช้าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กําเนิด
และครอบครัวของพันศรโยธา เปน็ พ่อคา้ ภรรยาช่อื ศรปี ระจัน มีลกู สาวหนา้ ตางดงามชือ่ นางพมิ พิลาไลย
วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายปุา จึงส่ังให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อน
ควายเตรียมไว้ แต่ควายปุาเหล่านั้นแตกต่ืนไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่
รอดชีวิตก็หนีเข้าปุาไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบ
พาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัย
และฆา่ ขนุ ศรวี ิชัยตาย ส่วนพนั ศรโยธาเดนิ ทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลบั มาถึงบ้านกเ็ ป็นไข้ปุาตาย
เม่อื พลายแกว้ อายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยูท่ วี่ ัดสม้ ใหญ่ แลว้ ย้ายไปเรยี นต่อที่วัดปุาเลไลยก์
ต่อมาท่ีวัดปุาเลไลยก์จัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของ
กัณฑ์เทศน์ นางพมิ เลอื่ มใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็นเช่นน้ันก็เปลื้องผ้าห่มของตนวาง
เคยี งกับผ้าสไบของนางพิม อธฐิ านขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทําให้นางพิมโกรธ ต่อมาเณรพลายแก้วก็สึกแล้ว
ใหน้ างทองประศรีมาสขู่ อนางพมิ และแต่งงานกัน
ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซ่ึงเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระพันวษาถามหาเช้ือสายของขุนไกร ขุนช้างซ่ึงเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเร่ืองราวความเก่งกล้า
สามารถของพลายแก้ว เพ่อื หวังจะพรากพลายแกว้ ไปให้ห่างไกล นางพิม สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัว
มาแล้วแต่งตัง้ ให้เป็นแม่ทัพไปรบกบั เมอื งเชยี งใหม่และได้ชัยชนะ นายบา้ นแสนคําแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง
เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ไดเ้ บยี ดเบียนใหช้ าวบ้านเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้เป็น
ภรรยาของพลายแก้ว
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๖๒
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
สว่ นนางพิมพิลาไลย เม่ือสามีจากไปทัพได้ไม่นานก็ปุวยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดปุาเล
ไลยแนะนําให้เปล่ียนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทําอุบายนําหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรี
ประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตาม
กฎหมาย นางวันทองไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้
นางวนั ทองแตง่ งานกบั ขุนช้าง นางวันทองจาํ ต้องตามใจแมแ่ ต่นางไม่ยอมเขา้ หอ
ขณะนนั้ พลายแก้วกลบั มาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักด์ิเป็นขุนแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พา
นางลาวทองกลับสุพรรณบุรีนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาว
ทองและลืมตวั พดู ก้าวรา้ วขุนแผน ทําให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยทู่ กี่ าญจนบรุ ี สว่ นนางวันทองก็ตก
เปน็ ภรรยาของขุนชา้ งอย่างจําใจ
ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหน่ึงนาง
ทองประศรีใหค้ นมาสง่ ข่าวว่า นางลาวทองปวุ ยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนาง
ลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกําแพงวังหนีไปหาภรรยา
สมเด็จพระพนั วษาโกรธจงึ สั่งใหน้ ําตวั นางลาวทองมากกั ไว้ในวงั สว่ นขนุ แผนให้ไปตระเวนด่านห้ามเข้าวังอีก
ทําให้ขุนแผนแค้นขุนช้างมากคิดช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา จึงออกหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ
กมุ ารทอง และมา้ ฝีเท้าดี ขนุ แผนเดินทางไปถึงซอ่ งโจรของหมื่นหาญกส็ มัครเข้าเปน็ สมนุ วันหน่ึงได้ช่วยชีวิต
หม่นื หาญใหร้ อดพน้ จากการถกู ววั แดงขวิดตาย หมื่นหาญจงึ ยกนางบวั คลล่ี กู สาวของตนให้เปน็ ภรรยา
ต่อมาหมื่นหาญเห็นขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่าตนก็คิดกําจัด โดยสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่า
ขนุ แผน แต่โหงพรายมาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคล่ีนอนหลับ ขุนแผนก็ผ่าท้องนางควักเอาเด็ก
ไปทําพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากนั้นก็ทําพิธีตีดาบฟูาฟื้นและไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ช่ือ ม้าสี
หมอก แล้วขุนแผนก็ไปท่ีบ้านของขุนช้างสะกดคนให้หลับหมดแล้วข้ึนไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิด จึงพบนาง
แกว้ กริ ิยาและได้นางเป็นภรรยา จากนน้ั ก็ไปปลุกนางวันทองพาขน้ึ มา้ หนีเขา้ ปุาไป
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลงั เจะยามา ๖๓
เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ขุนช้างไปฟูองสมเด็จพระพันวษา พระองค์ให้ทหารตามจับขุนแผน แต่ถูกขุนแผนฆ่าตายไปหลาย
คน ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนอยู่ในปุาจนนางตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้างจนชนะ
คดี ขุนแผนนางวันทอง และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุข แต่ขุนแผนนึกถึงนางลาวทองจึง
ขอร้องจมนื่ ศรเี สาวรักษใ์ ห้ขอตัวนางจากสมเด็จพระพันวษาทําให้พระองค์โกรธว่าขุนแผนกําเริบจึงส่ังจําคุก
ขนุ แผนไว้ นางแกว้ กิริยาตามไปปรนนบิ ตั ิขนุ แผนด้วย สว่ นนางวันทองพักอยทู่ ี่บา้ นของหม่นื ศรี ขุนช้างจึงพา
พรรคพวกมาฉดุ นางวนั ทองไปเป็นภรรยาอีก
ต่อมานางก็คลอดลูกชาย แล้วต้ังช่ือให้ว่าพลายงาม ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนก็เกลียดชัง วันหน่ึง
จึงหลอกพาเขา้ ไปในปาุ ทุบตจี นสลบแล้วเอาทอ่ นไมท้ ับไว้ โหงพรายของขุนแผนมาช่วยได้ทัน นางวันทองจึง
ให้ลูกไปอยูก่ บั นางทองประศรที ่ีกาญจนบุรีพลายงามไดร้ ่ําเรยี นวชิ าของพ่อเช่ียวชาญ ขุนแผนจึงพาไปฝากไว้
กับหมืน่ ศรี เพ่ือหาโอกาสใหเ้ ขา้ รบั ราชการ
ทางฝุายพระเจา้ เชยี งอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้ทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาพระเจ้าล้านช้าง
ระหว่างท่เี ดนิ ทางไปยงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เพราะพระเจา้ ลา้ นช้างตอ้ งการเป็นไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัวแล้ว
พระเจ้าเชียงอินทร์ยังส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย พลายงามได้โอกาสจึงอาสาออกไปรบ
และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันทําศึก ขุนแผนจึงพ้นโทษ ในขณะที่กําลังเตรียม
ทพั นางแก้วกิรยิ าก็คลอดลูกเปน็ ชาย ขนุ แผนต้งั ชือ่ วา่ พลายชมุ พล
แล้วขนุ แผนกบั พลายงามก็คุมทัพมุ่งสู่เชียงใหม่ ขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซ่ึงเคย
ใหค้ วามช่วยเหลอื เมอื่ ครงั้ ขนุ แผนกบั นางวนั ทองเข้ามอบตัว พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางเป็น
ภรรยา จากน้ันก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่ได้ชัยชนะ คร้ันกลับถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนแผนได้เป็นพระสุรินฤา
ไชย เจา้ เมอื งกาญจนบุรี พลายงามได้เป็นจม่ืนไวยวรนาถ และสมเด็จพระพันวษาก็ยกนางสร้อยฟูาธิดาของ
พระเจ้าเชียงอนิ ทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพรอ้ ม ๆ กับนางศรมี าลา
พระไวยอยากให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงไปลักพานางวันทองมา ขุนช้างเคืองมากไปฟูอง
สมเดจ็ พระพนั วษา จงึ มีการไต่สวนคดกี นั อีกครั้งหน่งึ ในทีส่ ดุ สมเด็จพระพันวษาก็ถามความสมัครใจของนาง
ว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาหาว่านางเป็นหญิงสองใจจึงส่ังให้นําตัวไป
ประหารชีวิต พระไวย พยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามการประหารไม่ทนั
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลัง เจะยามา ๖๔
เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ครอบครัวของพระไวยก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะนางสร้อยฟูาไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรัก
นางศรมี าลามากกวา่ จึงมักจะมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ นางสร้อยฟูาเจ็บใจจึงให้เถรขวาดทําเสน่ห์ให้
พระไวยหลงรัก แล้วนางสรอ้ ยฟาู ก็หาเรอ่ื งใหพ้ ระไวยตนี างศรีมาลา พลายชุมพลเขา้ ไปหา้ มกถ็ ูกตไี ปด้วย
พลายชุมพลน้อยใจจงึ หนีออกจากบา้ นไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรีเล่าเรื่องให้ฟ๎ง แล้วหนีต่อไปหายาย
ท่สี ุโขทัย ได้บวชเณรและเลา่ เรียนอยู่ท่ีน้ัน ฝุายขุนแผนรีบไปที่บ้านของพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่า
ถูกทําเสน่ห์ แต่พระไวยไม่เชื่อหาว่าพ่อเล่นกลให้ดู และพูดลําเลิกบุญคุณที่ช่วยพ่อออกมาจากคุก ขุนแผน
แค้นมากประกาศตัดพ่อตดั ลกู แลว้ กลบั กาญจนบรุ ีทนั ที
พลายชุมพลเรียนวิชาสําเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผน เพ่ือท่ีจะแก้แค้นพระไวย โดยพลายชุมพล
สกึ จากเณรปลอมเป็นมอญ ใชช้ อ่ื สมิงมตั รา ยกกองทพั หุ่นหญ้าเสกมาถึงสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษา ให้
ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถูกจับได้พระไวยจึงต้องยกทัพไปและต่อสู้กับพลายชุมพล
ระหว่างที่กําลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจหนีกลับไปฟูอง
สมเด็จพระพนั วษา พระองศ์จึงให้นางศรมี าลาไปรับตวั ขุนแผนกบั พลายชมุ พลเข้าวงั
พลายชุมพลอาสาจับคนทท่ี าํ เสนห่ ์ โดยขอหม่ืนศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับ
เณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปป้๎นลงอาคมท่ีฝ๎่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้ เสน่ห์จึงคลาย ตกดึกเถรขวาดกับเณรจ๋ิวสะเดาะโซ่
ตรวนหนีไป ในการไตส่ วนคดี นางสร้อยฟูาไมย่ อมรับว่าเป็นคนทําเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับ
พลายชมุ พล พอนางจบั ได้พลายชมุ พลก็หนีไปยยุ งขุนแผน
ในท่ีสุดก็มีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟ นางสร้อยฟูาแพ้ถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรี
มาลาไม่เป็นอะไร สมเด็จพระพันวษาส่ังประหารนางสร้อยฟูา แต่นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษ จึงเพียงถูก
เนรเทศกลบั ไปอยเู่ ชียงใหม่ ระหว่างเดนิ ทางก็พบเถรขวาดกบั เณรจิว๋ จึงเดนิ ทางไปด้วยกัน ถึงเชียงใหม่ได้ไม่
นานนางกใ็ ห้กาํ เนิดลูกชาย ชอื่ พลายยง สว่ นนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายขุนแผนตั้งช่ือให้ว่า พลายเพชร
พระเจ้าเชียงอินทร์ ตั้งเถรขวาด เป็นพระสังฆราชเพ่ือตอบแทนความดีท่ีพานางสร้อยฟูากลับ
บ้านเมอื งได้อย่างปลอดภยั แต่เถรขวาดยังแค้นพลายชุมพล จึงเดินทางมาท่ีกรุงศรีอยุธยา แปลงเป็นจระเข้
อาละวาดฆา่ คนและสตั วม์ ากมาย พลายชมุ พลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสําเร็จ ได้ตัวเถรขวาดมาประหาร
ชวี ิต พลายชุมพลไดบ้ รรดาศักด์ิเป็นหลวงนายฤทธ์ิ นับจากนนั้ เป็นตน้ มาทกุ คนกอ็ ยูก่ นั อย่างมีความสุข
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ ัสลัง เจะยามา ๖๕
เสภาเรอ่ื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
แผนผงั ตัวละคร เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน
ขุนไกร + นางทองประศรี พันศรโยธา + นางศรีประจนั ขุนศรีวชิ ยั + นางเทพทอง
พลายแก้ว พิมพิลาไลย ขนุ ช้าง
(ขนุ แผน) (วนั ทอง)
นางลาวทอง พลายงาม นางแกน่ แกว้
(จม่ืนไวย)
นางบวั คลี่ นางศรีมาลา พลายเพชร
กมุ ารทอง
นางแก้วกิรยิ า นางสร้อยฟูา พลายยง
พลายชมุ พล
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ ัสลัง เจะยามา ๖๖
เสภาเรอื่ งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
เสภาเรอ่ื งขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เม่ือเป็นความชนะขุนช้างนน่ั
กลับมาอยบู่ ้านสาํ ราญครัน เกษมสนั ตส์ องสมภิรมย์ยวน
พรอ้ มญาติขาดอยู่แตม่ ารดา นกึ นกึ ตรึกตราละห้อยหวน
โอ้วา่ แม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขนุ ช้าง
เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมนํามาผดิ นา่ อายมติ รหมองใจไมห่ ายหมาง
ฝาุ ยพ่อมีบุญเปน็ ขนุ นาง แตแ่ ม่ไปแนบข้างคนจัญไร
รูปร่างวิปรติ ผดิ กวา่ คน ทรพลอปั รยี ์ไมด่ ีได้
ท้งั ใจคอชว่ั โฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรกั ใครไ่ ดเ้ ปน็ ดี
วนั น้ันแพ้กูเม่ือดาํ นํา้ ก็กร้ิวซํ้าจะฆา่ ให้เป็นผี
แสนแคน้ ด้วยมารดายังปรานี ใหไ้ ปขอชีวีขุนช้างไว้
แคน้ แมจ่ าํ จะแก้ใหห้ ายแค้น ไม่ทดแทนอา้ ยขุนชา้ งบ้างไม่ได้
หมายจิตคิดจะให้มนั บรรลัย ไม่สมใจจําเพาะเคราะห์มนั ดี
อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยดู่ ้วยบิดาเกษมศรี
พรากให้พ้นคนอบุ าทวช์ าตอิ ัปรีย์ ยง่ิ คดิ กย็ ่ิงมคี วามโกรธา
อัดอดึ ฮดึ ฮัดด้วยขัดใจ เมือ่ ไรตะวันจะลับหล้า
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จวนสุริยาเลย้ี วลับเมรุไกร
เงยี บสัตว์จัตบุ ททวบิ าท ดาวดาษเดือนสวา่ งกระจา่ งไข
นาํ้ ค้างตกกระเซน็ เย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พดู จา
ไดย้ นิ เสยี งฆ้องยาํ่ ประจาํ วัง ลอยลมลอ่ งดังถึงเคหา
คะเนนับยาํ่ ยามได้สามครา ดเู วลาปลอดหว่ งทักทนิ
ฟูาขาวดาวเด่นดวงสวา่ ง จนั ทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซน่ เหล้าข้าวปลาใหพ้ รายกิน เสกขมน้ิ ว่านยาเข้าทาตวั
ลงยันตร์ าชะเอาปะอก หยบิ ยกมงคลขน้ึ ใส่หัว
เปุามนตรเ์ บื้องบนชอมุ่ มวั พรายยั่วยวนใจใหไ้ คลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสรจ็ ครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รบี มาถงึ บ้านขนุ ช้างพลนั
ประตลู ่ันมั่นคงขอบรั้วกน้ั
เหน็ คนนอนล้อมอ้อมเปน็ วง หมายสําคญั ตรงมาหน้าประตู
กองไฟสว่างดังกลางวนั เสอ่ื มหมดอาถรรพณ์ท่ีฝ๎งอยู่
จึงร่ายมนตรามหาสะกด คนผใู้ นบ้านกซ็ านเซอะ
ภตู พรายนายขุนช้างวางว่งิ พรู
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ ัสลัง เจะยามา ๖๗
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ทัง้ ชายหญิงงว่ งงมลม้ หลับ นอนทับควาํ่ หงายกา่ ยกนั เปรอะ
จปี่ ลาคาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงยุ งมไมส่ มประดี
ใช้พรายถอดกลอนถอนลิม่ รอยท่ิมถอดหลุดไปจากที่
ยา่ งเทา้ กา้ วไปในทนั ที มิได้มีใครทักแตส่ กั คน
มีแตห่ ลับเพ้อมะเมอฝน๎ ท้ังไฟกองปูองกนั ทุกแห่งหน
ผูค้ นเงยี บสําเนยี งเสยี งแต่กรน มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง
จุดเทียนสะกดขา้ วสารปราย ภูตพรายโดดเรอื นสะเทอื นผาง
สะเดาะดาลบานเปดิ หน้าต่างกาง ยา่ งเทา้ ก้าวขึน้ ร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผชาติ เบิกบานกา้ นกลาดก่ิงไสว
เรณฟู รู ่อนขจรใจ ยา่ งเทา้ กา้ วไปไมโ่ ครมคราม
ข้าไทนอนหลบั ลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนล่ันถึงชนั้ สาม
กระจกฉากหลากสลบั วบั แวมวาม อร่ามแสงโคมแกว้ แววจบั ตา
มา่ นม่ลู มี่ ีฉากประจําก้ัน อัฒจันทร์เคร่ืองแก้วกห็ นกั หนา
ชมพลางย่างเย้ืองชําเลืองมา เปดิ ม้งุ เห็นหน้าแมว่ ันทอง
นิง่ นอนอย่บู นเตยี งเคยี งขุนชา้ ง มนั แนบข้างกอดกลมประสมสอง
เจบ็ ใจดงั หวั ใจจะพงั พอง ขยับจอ้ งดาบง่าอยากฆ่าฟ๎น
จะใคร่ถีบขนุ ชา้ งที่กลางตวั นกึ กลวั จะถูกแมว่ ันทองนัน่
พลางนั่งลงนอบนบอภวิ นั ทน์ สะอ้นื อั้นอกแค้นนํ้าตาคลอ
โอแ้ ม่เจ้าประคณุ ของลูกเอย๋ ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ
เวรกรรมนําไปไม่ร้ังรอ มพิ อทจ่ี ะตอ้ งพรากก็จากมา
มันไปฉุดมารดาเอามาไว้ อ้ายหวั ใสข่มเหงไม่เกรงหนา้
ทีท่ ําแคน้ กจู ะแทนให้ทันตา ขอษมาแม่แล้วกข็ ับพราย
เปุาลงดว้ ยพระเวทวทิ ยา มารดาก็ฟื้นตนื่ โดยง่าย
ดาบใสฝ่ ก๎ ไวไ้ ม่เคลื่อนคลาย วนั ทองร้สู กึ กายกล็ ืมตา
ตอ้ งมนตร์มวั หมองเป็นหนกั หนา
ครานัน้ จึงโฉมเจ้าวนั ทอง เหน็ ลกู ยานั้นยนื อยรู่ ิมเตียง
ต่ืนพลางทางชาํ เลืองนัยน์ตามา กอดผัวรอ้ งดนั จนส้ินเสียง
สาํ คญั คดิ ว่าผูร้ า้ ยให้นึกกลัว พระหม่ืนไวยเขา้ เคยี งหา้ มมารดา
ซวนซบหลบลงมาหมอบเมยี ง ลูกร้อนราํ คาญใจจึงมาหา
อะไรแม่แซ่ร้องทง้ั ห้องนอน สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ
จะร้องไยใช่โจรผรู้ า้ ยมา
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหัสลงั เจะยามา ๖๘
เสภาเรอื่ งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ครานัน้ วันทองผ่องโสภา ครน้ั รู้วา่ ลูกยาหากลวั ไม่
ลกู ออกมาพลันด้วยทันใด พระหมน่ื ไวยเขา้ กอดเอาบาทา
วันทองประคองสอดกอดลูกรัก ซบพักตรร์ ้องไห้ไม่เงยหน้า
เจ้ามาไยปุานนน้ี ีล่ ูกอา เขารักษาอยู่ทุกแหง่ ตาํ แหนง่ ใน
ใสด่ าลบ้านชอ่ งกองไฟรอบ พ่อช่างลอบเข้ามากระไรได้
อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย น่พี อ่ ใช้ฤาว่าเจา้ มาเอง
ขุนช้างตน่ื ข้ึนมิเปน็ การ เขาจะรุกรานพาลข่มเหง
จะเกดิ ผิดแมค่ ดิ คะนึงเกรง ฉวยสบเพลงพลาดพลํา้ มเิ ป็นการ
มธี ุระส่งิ ไรในใจเจ้า พอ่ จงเล่าแก่แม่แลว้ กลับบ้าน
มิควรทาํ เจา้ อยา่ ทําใหร้ ําคาญ อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ
ลกู มาผิดจริงหาเถียงไม่
จมน่ื ไวยสารภาพกราบบาทา ก็หักใจเพราะรักแม่วนั ทอง
รักตัวกลัวผดิ แต่คิดไป พร้อมหมดเมยี มิ่งก็มสี อง
ทุกวันน้ลี ูกชายสบายยศ พ่นี อ้ งข้างพอ่ กบ็ รบิ ูรณ์
มีบ่าวไพร่ใชส้ อยท้งั เงนิ ทอง เปน็ อยูก่ เ็ หมือนตายไปหายสูญ
ยงั ขาดแต่แม่คุณไมแ่ ลเห็น ถ้าพร้อมมลู แม่ดว้ ยจะสาํ ราญ
ขอ้ นที้ ี่ทกุ ข์ยงั เพิ่มพนู เชิญแม่วันทองกลบั คนื ไปบา้ น
ลกู มาหมายว่าจะมารบั ประการใดก็ตามแต่เวรา
แม้จะบังเกดิ เหตุเภทพาล แสนอบุ าทวใ์ จจิตริษยา
มาอยู่ไยกับอ้ายหนิ ชาติ หน้าตาดําเหมือนมนิ หม้อมอม
ดังทองคาํ เล่ียมปากกะลา มาเกลือกกลว้ั ปทุมมาลย์ทีห่ วานหอม
เหมอื นแมลงวันว่อนเคล้าทีเ่ น่าชว่ั ว่านกั แม่จะตรอมระกําใจ
ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
แม่เลยี้ งลกู มาถงึ เจ็ดขวบ ฤาหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย
จะคิดถึงลูกบ้างฤาอย่างไร แมท่ ูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย
ถ้าคิดเหน็ เอ็นดูว่าลกู เตา้ เหมือนเมื่อครัง้ แม่เคยเล้ยี งลกู มา
ใหล้ กู คลายอารมณ์ไดช้ มเชย เศรา้ หมองด้วยลูกเป็นหนักหนา
แมโ่ ศกาเกือบเจยี นจะบรรลยั
ครานน้ั จงึ โฉมเจา้ วันทอง มิใชข่ องตัวทํามาแตไ่ หน
พอ่ พลายงามทรามสวาดิของแม่อา ไม่รักใครเ่ หมือนกับพ่อพลายงาม
ใช่จะอมิ่ เอิบอาบดว้ ยเงินทอง มีแตท่ ุกขเ์ จ็บดงั เหน็บหนาม
ท้ังผู้คนช้างม้าแลข้าไท จะขืนความคดิ ไปก็ใช่ที
ทกุ วันน้ใี ชแ่ มจ่ ะผาสกุ
ต้องจาํ จนทนกรรมท่ตี ิดตาม
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ ัสลัง เจะยามา ๖๙
เสภาเร่อื งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
เม่ือพ่อเจา้ เขา้ คุกแม่ท้องแก่ เขาฉุดแมใ่ ช่จะแกลง้ แหนงหนี
ถงึ พ่อเจา้ เลา่ ไมร่ วู้ า่ ร้าย เป็นหลายปแี ม่มาอยู่กับขนุ ชา้ ง
เมอ่ื พอ่ เจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่เพ็ดทลู สง่ิ ไรแต่สกั อยา่ ง
เมอื่ คราวตัวแมเ่ ป็นคนกลาง ท่านกว็ างบทคนื ใหบ้ ิดา
เจา้ เป็นถงึ หวั หม่ืนมหาดเล็ก มิใชเ่ ดก็ ดอกจงฟ๎งคําแมว่ า่
จงเร่งกลบั ไปคิดกับบิดา ฟูองหากราบทูลพระทรงธรรม์
พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉดิ ฉนั
อนั จะมาลักพาไม่ว่ากัน เชน่ นน้ั ใจแม่มเิ ต็มใจ
ฟ๎งความเหน็ วา่ แม่หาไปไม่
ครานนั้ จึงโฉมเจา้ พลายงาม เพราะรักอา้ ยขนุ ช้างกวา่ บดิ า
คดิ บ่ายเบย่ี งเลีย่ งเลยี้ วเบีย้ วบิดไป แม่ยังกลบั ทัดทานเปน็ หนักหนา
จึงว่าอนจิ จาลกู มารบั อุตสา่ หม์ ารับแล้วยงั มิไป
เหมอื นไม่มรี ักใครใ่ นลูกยา จะพาแม่ไปเรอื นใหจ้ งได้
เสยี แรงเปน็ ลกู ผู้ชายไม่อายเพื่อน จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที
แม้นมไิ ปใหง้ ามกต็ ามใจ ท้งิ แต่ตวั ไวใ้ ห้อยู่นี่
จะตัดเอาศีรษะของแมไ่ ป จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป
แมอ่ ยา่ เจรจาใหช้ า้ ที เหน็ ลูกยากดั ฟ๎นมนั ไส้
ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟน๎
คราน้นั วนั ทองผ่องโสภา อยา่ ฮึกฮักว่าวุ่นทําหนุ หนั
ถอื ดาบฟาู ฟนื้ ยนื แกวง่ ไกว แม่นีพ้ รนั่ กลวั แตจ่ ะเกดิ ความ
จงึ ปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรกั เห็นเบ้ืองหน้าจะอึงแมจ่ ึงห้าม
จงครวญใครใ่ หเ้ หน็ ข้อสาํ คัญ กต็ ามเถดิ มารดาจะคลาไคล
ด้วยเปน็ ขา้ ลกั ไปไทลักมา เศรา้ หมองโศกานา้ํ ตาไหล
ถ้าเจ้าเหน็ เป็นสุขไมล่ กุ ลาม พอรงุ่ แจง้ แสงใสกถ็ ึงเรือน
ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง นอนครางหลบั กรนอยปู่ นุ เปื้อน
พระหม่ืนไวยก็พามารดาไป วา่ ขีเ้ รอ้ื นขนึ้ ตัวทัว่ ทั้งนั้น
มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น
จะกล่าวถงึ เจา้ จอมหม่อมขุนช้าง ฟน๎ ฟางกห็ กั จากปากตวั
อัศจรรย์ฝ๎นแปรแชเชือน ร้องว่าแม่คณุ แมช่ ่วยผัว
หาหมอมารักษายาเขา้ ปรอท ให้นึกกลวั ปรอทจะตอดตาย
ท้ังไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน
ตกใจต่นื ผวาคว้าวันทอง
ลุกขึ้นงกงันตัวส่ันรวั
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลัง เจะยามา ๗๐
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
ลืมตาเหลยี วหาเจ้าวนั ทอง ไมเ่ ห็นนอ้ งห้องสว่างตะวันสาย
ผา้ ผอ่ นล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเร่ยี รายประหลาดใจ
ตะโกนเรยี กในห้องวนั ทองเอ๋ย หาขานรบั เช่นเคยซักคําไม่
ทัง้ ขา้ วของมากมายก็หายไป ปากประตเู ปดิ ไว้ไมใ่ ส่กลอน
พลางเรยี กหาขา้ ไทอยูว่ ้าวนุ่ ออี ุ่นออี ่ิมอีฉิมอสี อน
อีมีอมี าอสี าคร น่ิงนอนไยหวามาหากู
บา่ วผหู้ ญงิ วง่ิ ไปอย่งู กงัน เหน็ นายนั้นแก้ผา้ กางขาอยู่
ตา่ งคนทรุดนัง่ บังประตู ตกตะลงึ แลดไู ม่เข้ามา
ขุนช้างเหน็ ขา้ ไม่มาใกล้ ขัดใจลกุ ขึ้นทั้งแก้ผา้
แหงนเถ่อเปูอป๎งยืนจงั กา ย่างเท้ากา้ วมาไมร่ ู้ตวั
ยายจันงันงกยกมือไหว้ นน่ั พอ่ จะไปไหนพ่อทูนหวั
ไมน่ งุ่ ผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขนุ ช้างมองดูตัวก็ตกใจ
สองมือปิดขาเหมอื นท่าเปรต ใครมาเทศน์เอาผา้ กูไปไหน
ให้นกึ อดสูหมู่ข้าไท ยายจันไปเอาผา้ ใหข้ ้าที
ยายจันตกใจเตม็ ประดา เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่
หยบิ ยืน่ ส่งไปให้ทนั ที เมินหนีอดสูไมด่ นู าย
ขุนช้างตัวสัน่ เทาบอกบา่ วไพร่ เจ้าวนั ทองไปไหนอยา่ งไรหาย
เอ็งไปดใู หร้ ้ซู ึง่ แยบคาย พบแล้วอย่าวนุ่ วายให้เชิญมา
ต่างเทย่ี วค้นดน้ ไปจะเอาหน้า
ขา้ ไทได้ฟ๎งขนุ ชา้ งใช้ ท่วั เคหาแล้วไปค้นจนแผน่ ดิน
ทงั้ ห้องนอกห้องในไม่พบพา ผคู้ นนอนสลา้ งไม่ต่ืนส้ิน
เห็นประตรู ั้วบา้ นบานเปดิ กว้าง กินใจกลบั มาหาขุนช้าง
เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน แล้วเลา่ แจ้งเหตุไปส้ินทุกอยา่ ง
บอกว่าได้คน้ ควา้ หาพบไม่ ท่นี วลนางวนั ทองนน้ั หายไป
ข้าเหน็ วิปรติ ผิดทา่ ทาง เหงื่อออกโซมล้านกระบาลใส
ชา่ งทําได้ต่างตา่ งทุกอย่างจริง
ครานนั้ ขุนช้างฟ๎งบ่าวบอก พลัง้ ทลี งไมร่ อดนางยอดหญิง
คดิ คดิ ให้แคน้ แสนเจบ็ ใจ นีค่ ราวน้หี นีวง่ิ ไปตามใคร
สองหนสามหนกน่ แตห่ นี ยังสาระแนหลบลห้ี นไี ปไหน
คราวนน้ั อ้ายขนุ แผนมนั แง้นชิง ไมเ่ อากลับมาได้ไม่ใชก่ ู
ไมค่ ดิ ว่าจะเปน็ เหน็ ว่าแก่
เอาเถดิ เปน็ ไรก็เป็นไป
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลัง เจะยามา ๗๑
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
จะกล่าวถงึ โฉมเจ้าพลายงาม เกรงเนือ้ ความน่งั นึกตรกึ ตรองอยู่
อา้ ยขนุ ช้างสารพดั เปน็ ศัตรู ถ้ามันรูว้ า่ ลักเอาแม่มา
มันกจ็ ะสอดแนมแกมเทจ็ ไปกราบทูลสมเดจ็ พระพนั วษา
ดจู ะระแวงผิดในกิจจา มารดาก็จะต้องซึง่ โทษภัย
คดิ แล้วเรียกหมนื่ วเิ ศษผล เอ็งเปน็ คนเคยชอบอชั ฌาสยั
จงไปบา้ นขุนช้างด้วยทนั ใด ไกล่เกล่ยี เสียอยา่ ให้มนั โกรธา
บอกว่าเราจับไขม้ าหลายวนั เกรงแมจ่ ะไมท่ ันมาเห็นหนา้
เมอ่ื คนื นี้ซา้ํ มีอนั เป็นมา เราใช้คนไปหาแมว่ นั ทอง
พอขณะมารดามาส่งทุกข์ รอ้ งปลุกเขา้ ไปถึงในห้อง
จงึ รีบมาเรว็ ไวดงั ใจปอง รกั ษาจนแสงทองสว่างฟาู
ไม่ตายคลายคนื ฟืน้ ขนึ้ ได้ กขู อแม่ไว้พอเห็นหน้า
แตพ่ อให้เคล่ือนคลายหลายเวลา จงึ จะส่งมารดานน้ั คืนไป
รีบมาบา้ นขุนช้างหาช้าไม่
หมื่นวิเศษรบั คําแลว้ อาํ ลา เห็นผูค้ นขวกั ไขว่ทงั้ เรือนชาน
ครัน้ แอบดูอยแู่ ต่ไกล ดหู น้าเฝื่อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน
ขนุ ชา้ งน่ังเยยี่ มหนา้ ตา่ งเรอื น คิดแลว้ ลงคลานเข้าประตู
จะด้ือเดนิ เข้าไปไม่เป็นการ นัง่ คาหนา้ ตา่ งเยย่ี มหนา้ อยู่
น่ีมาหลอกกหู รืออย่างไร
ครานั้นเจา้ หมอ่ มขุนช้าง เด็กหวาจับถองให้จงได้
เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู ทุดอา้ ยไพร่ขค้ี รอกหลอกผดู้ ี
อะไรพอสว่างวางเข้ามา ยกมือไหวไ้ ม่วง่ิ หนี
ลกุ ข้นั ถกเขมรร้องเกนไป คนดดี อกข้าไหว้ใช่คนพาล
เป็นขุนหมนื่ รบั ใชอ้ ยู่ในบา้ น
คราน้ันวิเศษผลคนวอ่ งไว ขอประทานคนื นพี้ ระหม่ืนไวย
รอ้ งตอบไปพลันในทนั ที กไ็ ขก็เหน็ หาหายไม่
ข้าพเจา้ เปน็ บ่าวพระหม่นื ไวย จงึ ใช้ให้ตวั ข้ามาแจ้งการ
ท่านใช้ใหก้ ระผมมากราบกราน ข้าพเจ้าร้องปลกุ ไปในบ้าน
เจบ็ จุกประจุบันมีอันเป็น ท่านจึงรบี ไปในกลางคืน
ร้องโอดโดดดิ้นเพยี งสิ้นใจ คณุ อย่าสงสยั วา่ ไปอน่ื
พอพบทา่ นมารดามาส่งทกุ ข์ พอหายเจบ็ แลว้ จะคนื ไม่นอนใจ
จะกลบั ขึน้ เคหาเหน็ ช้านาน
พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้
ใหค้ ํามนั่ สั่งมาว่ายง่ั ยนื
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๗๒
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ครานน้ั ขุนชา้ งได้ฟ๎งวา่ แค้นดงั เลือดตาจะหล่ังไหล
ดับโมโหโกรธาทาํ วา่ ไป เรากไ็ ม่ว่าไรสดุ แต่ดี
การเจ็บไขล้ ้มตายไม่วายเวน้ ประจุบนั เปน็ ทง้ั กรุงศรี
ถ้าขดั สนสงิ่ ไรทไี่ มม่ ี กม็ าเอาทนี่ ี่อยา่ เกรงใจ
ว่าแลว้ ปดิ บานหนา้ ต่างผาง ขุนช้างเดอื ดดาลทะยานไส้
ทอดตัวลงกบั หมอนถอนฤทัย ดดู เู๋ ปน็ ไดเ้ จยี ววนั ทอง
เพราะกูแพค้ วามจมืน่ ไวย มันจงึ เหมิ ใจทาํ จองหอง
พอ่ ลูกแมล่ กู ถูกทํานอง ถงึ สองครง้ั แล้วเปน็ แตเ่ ชน่ นี้
อา้ ยพ่อไปเชียงใหมม่ ีชัยมา ตั้งตวั ดังพญาราชสหี ์
อา้ ยลูกเป็นหมน่ื ไวยทําไมมี เห็นกูนีค้ นผิดตดิ โทษทณั ฑ์
มันจึงข่มเหงไมเ่ กรงใจ จะพึ่งพาใครได้ท่ไี หนน่นั
ขนุ นางนอ้ ยใหญ่เกรงใจกัน ถึงฟูองมันกจ็ ะปิดใหม้ ดิ ไป
ตามบุญตามกรรมไดท้ ํามา จะเฆยี่ นฆ่าหาคดิ ชวี ิตไม่
ยงิ่ คดิ เดือดดาลทะยานใจ ฉวยได้กระดานชนวนมา
รา่ งฟอู งท่องเทยี บใหเ้ รยี บร้อย ถอ้ ยคําถีถ่ ว้ นเปน็ หนักหนา
ลงกระดาษพบั ไว้มไิ ด้ช้า อาบนํา้ ผลัดผา้ แล้วคลาไคล
วันนน้ั พอป่นิ นรนิ ทร์ราช เสด็จประพาสบวั ยังหากลบั ไม่
ขนุ ข้างมาถงึ ซ่ึงวังใน ก็คอยจ้องทใี่ ตต้ าํ หนักน้ํา
เสด็จคืนนเิ วศน์พอจวนค่าํ
จะกล่าวถงึ พระองค์ผ้ทู รงเดช เรือประจาํ แหนแห่เซ็งแชม่ า
ฝีพายรายเล่มมาเตม็ ลํา ขนุ ชา้ งกร็ ล่ี งตีนทา่
พอเรือพระท่นี ั่งประทับที่ ผดุ โผลโ่ งหนา้ ยึดแคมเรอื
ลอยคอชูหนังสือด้ือเข้ามา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผเี สอ้ื
เขา้ ตรงบโทนอ้นตน้ กญั ญา ร้องวา่ เสอื ตัวใหญว่ ่ายน้ํามา
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลดั ตกเรือ มิใชเ่ สือกระหม่อมฉานล้านเกศา
ขุนชา้ งดึงด้อื มอื ยึดเรอื แคน้ เหลอื ปญ๎ ญาจะทนทาน
สู้ตายของถวายซ่งึ ฎีกา ทรงพระโกรธาโกลาหล
บนบกบนฝ่๎งดังไม่มี
คราน้ันสมเดจ็ พระพันวษา ฤๅอ้ายชา้ งเปน็ บา้ กระมงั นี่
ทุดอา้ ยจัญไรมใิ ช่คน ตเี สยี สามสบิ จึงปลอ่ ยไป
ใช่ท่ใี ชท่ างวางเข้ามา
เฮย้ ใครรบั ฟอู งของมนั ที
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหสั ลงั เจะยามา ๗๓
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
มหาดเลก็ ก็รบั เอาฟอู งมา ตํารวจคว้าขุนช้างหางวางไม่
ลงพระราชอาญาตามวา่ ไว้ พระจงึ ใหต้ ั้งกฤษฎกี า
ว่าตงั้ แต่วนั นี้สบื ไป หน้าทขี่ องผู้ใดให้รกั ษา
ถา้ ประมาทราชการไม่นําพา ปล่อยให้ใครเข้ามาในลอ้ มวง
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวติ เป็นผยุ ผง
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ แล้วลงจากพระทีน่ ่งั เข้าวังใน
เรอื งฤทธลิ์ อื จบพิภพไหว
จะกลา่ วถึงขนุ แผนแสนสนทิ สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง
อยู่บา้ นสุขเกษมเปรมใจ ปรนนิบัตวิ ัตถาไมห่ ่างข้าง
ลาวทองกับแก้วกริ ยิ า คนื น้ันในกลางซ่ึงราตรี
เพลดิ เพลินจําเริญใจไม่เว้นวาง ขนุ แผนกลบั ผวาตื่นฟ้นื จากที่
นางแกว้ ลาวทองทง้ั สองหลบั พระพายพัดมาลีตรลบไป
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี นจิ จาเจา้ เหนิ ห่างรา้ งพิสมยั
คิดคะนงึ มติ รแต่ก่อนเก่า ดังเด็ดใจจากรา่ งกร็ าวกัน
ถึงสองครั้งต้ังแต่พรากจากพไี่ ป ละวางใหว้ ันทองน้องโศกศัลย์
กกู ็ชั่วมัวรักแต่สองนาง จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คลอ่ งใจ
เมอ่ื ตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน อ้ายขุนชา้ งไหนจะโต้จะตอบได้
สารพัดท่จี ะว่าไดท้ ุกอย่าง บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลยั เจา้ วนั ทองจะคอยละห้อยหา
จาํ กจู ะไปสสู่ วาทน้อง นํา้ อบทาหอมฟุูงจรงุ ใจ
คดิ พลางจดั แจงแตง่ กายา ถึงเรือนลกู ยาหาช้าไม่
ออกจากห้องย่องเดนิ ดําเนินมา เห็นนางหลบั ใหลน่ิงนิทรา
เขา้ หอ้ งวันทองในทันใด เตือนต้องด้วยความเสนห่ า
ลดตวั ลงนงั่ ขา้ งวันทอง พ่ีมาหาแล้วอย่านอนเลย
สัน่ ปลกุ ลกุ ข้นึ เถิดน้องอา หมายใจว่าผวั ก็ทําเฉย
จะรักจรงิ ฤๅจะเปรยเป็นจําใจ
นางวันทองตน่ื อยรู่ สู้ ึกตัว หาวา่ ขานตอบโต้อยา่ งไรไม่
นิง่ ดอู ารมณ์ทช่ี มเชย ความอาลัยป๎น่ ปวุ นยวนวิญญา
แต่นิง่ ดูกริ ยิ าเปน็ ช้านาน
ท้ังรกั ท้ังแค้นแน่นฤทยั
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหสั ลัง เจะยามา ๗๔
เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
โอเ้ จา้ แกว้ แววตาของพี่เอย๋ เจ้าหลบั ใหลกระไรเลยเปน็ หนักหนา
ดงั นม่ิ น้องหมองใจไมน่ ําพา ฤๅขดั เคืองคิดว่าพี่ทอดทงิ้
ความรกั หนักหนว่ งทรวงสวาท พ่ีไม่คลาดคลายรักแต่สกั ส่งิ
เผอญิ เป็นวิปริตที่ผิดจริง จะนอนน่ิงถอื โทษโกรธอยู่ไย
วา่ พลางเอนแอบลงแนบข้าง จูบพลางชวนชดิ พิสมัย
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ เปน็ ไรจึงไม่ฟ้นื ต่นื นิทรา
โอนออ่ นวอนไหว้พิไรว่า
เจา้ วนั ทองน้องตื่นจากที่นอน ใช่ตัวข้าน้ีจะงอนค่อนพิไร
หม่อมน้อยใจฤๅท่ีไมเ่ จรจา อันตวั น้องมลทินหาสิน้ ไม่
ชอบผิดพอ่ จงคิดคะนงึ ตรอง พบไหนก็เปน็ แต่เช่นน้ัน
ประหนงึ่ วา่ วนั ทองนสี้ องใจ คงคดิ คืนที่หม่อมเปน็ แมน่ มัน่
ทจี่ รงิ ใจถงึ ไปอยู่เรือนอ่นื คราวนั้นกไ็ ปอย่เู พราะจําใจ
ด้วยรักลกู กรักผวั ยังพวั พนั ยามมีทีเ่ ชยเฉยเสียได้
แค้นคิดดว้ ยมติ รไมร่ ักเลย กนิ ผลไม้ตา่ งข้าวทกุ เพรางาย
เสียแรงรว่ มทกุ ขย์ ากกันกลางไพร ก็เพราะหากหม่อมมีซ่ึงที่หมาย
พอไดด้ มี สี ุขลมื ทุกข์ยาก เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอกี เลย
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เหมอื นลืมน้องหลงเลือนทาํ เชือนเฉย
เงยหนา้ เถดิ จะเล่าอยา่ เฝาู แค้น
พีผ่ ิดจรงิ แล้วเจ้าวนั ทอง ตอ้ งกลนื กลํา้ โศกเศรา้ นน้ั เหลอื แสน
ใชจ่ ะเพลิดเพลนิ ช่นื เพราะอน่ื เชย มันดูแคลนวา่ พน่ี ี้ยากยบั
เม่อื ติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเชา้ ค่ํา คดิ จะหนีไปตามเอาเจา้ กลับ
ซาํ้ ขุนช้างคิดคดทําทดแทน แตข่ ยบั อยจู่ นได้ไปเชยี งอนิ ทร์
อาลยั เจ้าเทา่ กับดวงชีวติ พี่ พอเจ้าไวยเปน็ ความก็คา้ งสิน้
เกรงจะพากนั ผิดเขา้ ติดทับ ไมเ่ ดือดดิ้นเทา่ พ่ีกบั วันทอง
กลบั มาหมายว่าจะไปตาม เหน็ ชา้ กวา่ จะได้มารว่ มห้อง
หัวอกใครได้แคน้ ในแผน่ ดนิ จึงใหล้ กู รับนอ้ งมารว่ มเรือน
คดิ อยวู่ า่ จะทลู พระพนั วษา จะฟมู ฟ๎กเหมือนเมื่ออยู่ในกลางเถอื่ น
จะเปน็ ความอกี กต็ ามแต่ทาํ นอง เจา้ เพอ่ื นเสนหาจงอาลยั
จะเป็นตายงา่ ยยากไม่จากรัก จะคมุ โกรธคุมแค้นไปถึงไหน
ขอโทษทพี่ ่ผี ดิ อยา่ บดิ เบือน อย่าตดั ไมตรีตรึงให้ตรอมตาย
พผ่ี ดิ พ่ีกม็ าลุแก่โทษ ประคองยกของสาํ คัญม่ันหมาย
ความรกั พีย่ งั รักระงมใจ ขอสบายสกั หน่อยอย่าโกรธา
วา่ พลางทางแอบเขา้ แนบอก
เจา้ เน้อื ทิพยห์ ยบิ ชนื่ อารมณช์ าย
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลัง เจะยามา ๗๕
เสภาเรื่องขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ใจนอ้ งมิให้หมองอารมณ์หม่อม ไม่ตดั ใจใหต้ รอมเสนหา
ถ้าตัดรกั หักใจแลว้ ไม่มา หม่อมอย่าว่าเลยฉนั ไมค่ นื คดิ
ถงึ ตวั ไปใจยังนับอยูว่ ่าผัว นอ้ งนี้กลวั บาปทับเมือ่ ดบั จติ
หญงิ เดียวชายครองเป็นสองมิตร ถ้ามปิ ลิดเสียใหเ้ ปลื้องไม่ตามใจ
คราวนน้ั เมือ่ ตามไปกลางปุา หน้าดําเหมือนหนงึ่ ทามนิ หม้อไหม้
ชนะความงามหน้าดงั เทียนชยั เขาฉดุ ไปเหมือนลงทะเลลกึ
เจ้าพลายงามตามรบั เอากลับมา ทนี หี้ น้าจะดาํ เปน็ น้ําหมกึ
กําเริบใจด้วยเจ้าไวยกาํ ลงั ฮึก จะพาแม่ตกลึกใหจ้ ําตาย
มิใชห่ นุ่มดอกอย่ากล้มุ กําเริบรัก เอาความผิดคดิ หักให้เหอื ดหาย
ถ้ารักน้องปอู งปดิ ให้มิดอาย ฉันกลบั กลายแลว้ หม่อมจงฟาดฟน๎
ไปเพด็ ทูลเสียใหท้ ูลกระหม่อมแจง้ นอ้ งจะแตง่ บายศรีไวเ้ ชญิ ขวัญ
ไม่พักวอนดอกจะนอนอย่ดู ว้ ยกัน ไมเ่ ชน่ นัน้ ฉันไม่เลยจะเคยตวั
ดังเอากรชิ แกระกรีดในอกผวั
นจิ จาใจเจา้ จะให้พี่เจ็บจติ พนี่ ้ชี ว่ั เพราะหม่ินประมาทความ
เกรงผิดคดิ บาปจึงหลาบกลวั น่ีเจ้าวา่ ดอกจะยัง้ ไว้ฟ๎งห้าม
อ่ืนไกลไหนพ่จี ะละเลา่ อยา่ หวงห้ามเสน่หาให้ช้าวนั
เสียแรงมาว่าวอนจงผ่อนตาม จูบพลางทางปลอบประโลมขวัญ
ว่าพลางคลึงเคล้าเข้าแนบขา้ ง วนั ทองกั้นกดี ไว้ไม่ตามใจ
กา่ ยกอดสอดเก่ยี วพลั วัน เบอื นบดิ แบ่งรักหารว่ มไม่
พลิกผลักชักชวนใหช้ ่นื จติ พระพายพัดมาลัยตลบลอย
สยดสยองพองเสยี วแสยงใจ ไม่เบิกบานกา้ นกลดั เกสรสร้อย
แมลงภ่เู ฝาู เคลา้ ไมใ้ นไพรชัฏ พรมพร้อยท้องฟาู นภาลัย
บันดาลคงคาทิพย์กระปริบกระปรอย น้ําฟูาหาต้องดอกไม้ไม่
อสนคี รน้ื ครัน่ สน่นั ก้อง หววิ ใจแลว้ ก็หลับกับเตยี งนอน
กระเซ็นรอบขอบสระสมุทรไท ใบไม้แห้งแกรง่ เกรยี บระรุบรอ่ น
พระจนั ทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง
ครนั้ เวลาดกึ กาํ ดัดสงดั เงียบ ระฆังฆ้องขานแขง่ ในวังหลวง
พระพายโชยเสาวรสขจายขจร จติ ง่วงระงบั สูภ่ วังค์
ดเุ หว่าเรา้ เสียงสาํ เนียงก้อง เลื่อนเปอื้ นไมร่ ้ทู จ่ี ะกลับหลัง
วนั ทองน้องนอนสนทิ ทรวง ยงั มีพยัคฆ์รา้ ยมาราวี
ฝ๎นว่าพลดั ไปในไพรเถื่อน
ลดเลีย้ วเทีย่ วหลงในดงรงั
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหัสลงั เจะยามา ๗๖
เสภาเรือ่ งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ท้ังสองมองหมอบอย่รู ิมทาง พอนางด้ันปาุ มาถึงท่ี
โดดตะครุบคาบค้ันในทนั ที แล้วฉดุ ครา่ พารี่ไปในไพร
ส้ินฝ๎นครน้ั ต่นื ตกประหมา่ หวีดผวากอดผวั สะอนื้ ไห้
เลา่ ความบอกผวั ด้วยกลัวภยั ประหลาดใจนอ้ งฝ๎นพร่นั อรุ า
ใต้เตยี งเสยี งหนกู ็กุกกก แมงมุมทมุ่ อกทร่ี มิ ฝา
ยงิ่ หวาดหวน่ั พรั่นตวั กลวั มรณา ดังวญิ ญานางจะพรากไปจากกาย
ฟ๎งความตามนมิ ติ กใ็ จหาย
คราน้นั ขนุ แผนแสนสนิท ฝน๎ รา้ ยสาหัสตดั ตาํ รา
ครั้งนน้ี ่าจะมอี ันตราย ก็บันดาลฤกษแ์ รงเปน็ หนักหนา
พิเคราะห์ดูทงั้ ยามอัฐกาล กอดเมยี เมินหนา้ นาํ้ ตากระเด็น
มิรู้ท่จี ะแถลงแจ้งกจิ จา ฝ๎นอย่างนม้ี ใิ ช่จะเกิดเขญ็
จงึ แกล้งเพทบุ ายทํานายไป เน้อื เยน็ อยู่กบั ผัวอยา่ กลัวทุกข์
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เปน็ แล้วทํามิง่ สง่ิ ขวัญใหเ้ ปน็ สุข
พร่งุ น้ีพ่จี ะแก้เสนยี ดฝน๎ อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ
มใิ ห้เกิดราคีกลียคุ สรุ ิยาแยม้ เย่ยี มเหลี่ยมไศล
เนาในพระที่นงั่ บลั ลงั ก์รัตน์
ครน้ั วา่ ร่งุ สางสว่างฟูา หมอบประนมเฝาู แหนแนน่ ขนดั
จะกล่าวถึงพระองคผ์ ้ทู รงชัย ทรงเคืองขดั ขนุ ชา้ งแต่กลางคืน
พร้อมด้วยพระกํานลั นักสนม ทุกอย่างทีจ่ ะชั่วอา้ ยหัวลืน่
ประจาํ ตง้ั เครื่องอานอยงู่ านพัด นาํ้ ยืนหยงั่ ไม่ถึงยังดึงมา
แสนถ่อยใครจะถอ่ ยเหมอื นมันบา้ ง นมี่ นั ฟูองใครอกี อ้ายชาติขา้
เวียนแต่เป็นถอ้ ยความไม่ข้ามคนื ออกมาพระท่ีนั่งจักรพรรดิ
คราวน้ันฟอู งกันดว้ ยวันทอง ขุนนางกราบลงเป็นขนดั
ดําริพลางทางเสด็จยาตรา หมอบอัดถดั กันเปน็ หลัน่ ไป
พระสตู รรูดกรา่ งกระจ่างองค์ เออใครเอาฟูองมนั ไปไวไ้ หน
ท้ังหนา้ หลงั เบยี ดเสียดเยยี ดยัด รับไวค้ ลท่ี อดพระเนตรพลนั
ทอดพระเนตรมาเหน็ ขนุ ช้างเฝาู ก็โกรธาเคอื งขุ่นหุ่นหัน
พระหม่นื ศรถี วายพลันในทนั ใด อีวันทองคนเดียวไมร่ ู้แลว้
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา หรอื อวี ันทองน้ันมนั มีแก้ว
มันเค่ียวเขญ็ ทําเปน็ อย่างไรกัน ไมเ่ หน็ แววทว่ี ่ามันจะรกั
ราวกับไม่มีหญิงเฝาู ชิงกนั
รปู อา้ ยชา้ งชั่วช้าตาบอ้ งแบว๋
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๗๗
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ใครจะเอาเปน็ ผวั เขากลัวอาย หัวหูดเู หมือนควายท่ตี กปลกั
คราวน้นั เป็นความกูถามซัก ตกหนกั อยู่กบั เฒ่าศรีประจนั
วนั ทองกูสิให้กับไอ้แผน ไยแล่นมาอยูก่ ับอ้ายช้างน่นั
จม่ืนศรีไปเอาตวั มันมาพลนั ท้งั วันทองขนุ แผนอ้ายหมืน่ ไวย
ถอยหลงั ออกมาไม่ชา้ ได้
ฝุายพระหมนื่ ศรีได้รบั ส่ัง ตาํ รวจในวิ่งตะบงึ มาถงึ พลัน
ส่ังเวรกรมวงั ในทันใด แจง้ ขอ้ รับส่งั ไปขมขี มนั
ขน้ึ ไปบนเรือนพระหมนื่ ไวย ให้หาท้งั สามท่านนน้ั เข้าไป
ขุนชา้ งฟูองร้องฎกี าพระทรงธรรม์ ไดฟ้ ๎งความครา้ มครนั่ หวั่นไหว
ไม่ไวใ้ จจึงเสกดว้ ยเวทมนตร์
ครานน้ั วนั ทองเจ้าพลายงาม ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
ขนุ แผนเรียกวันทองเข้าห้องใน เคยคุ้มขังบงั ตนแต่ไรมา
สขี ้ผี ึง้ สปี ากกนิ หมากเวทย์ คนเหน็ คนทักรกั ทุกหน้า
นํา้ มนั พรายน้าํ มันจนั ทนส์ รรเสกปน เสร็จแลว้ กพ็ าวนั ทองไป
แลว้ ทําผงอทิ ธิเจเข้าเจมิ พักตร์ คร้นั ไดแ้ จง้ กิจจาไมน่ ิง่ ได้
เสกกระแจะจวงจันทร์นา้ํ มันทา ลงบันไดงันงกตกนอกกชาน
กูมใิ ชช่ า้ งขี่ดอกลูกหลาน
ครานั้นทองประศรผี ู้มารดา ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
เด็กเอย๋ ว่งิ ตามมาไวไว ผู้รับสงั่ เรง่ รุดไม่หยดุ ได้
พลายชมุ พลกอดกน้ ทองประศรี เข้าไปเฝูาองค์พระภูมี
ลกุ ขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน ปนิ่ ป๎กนคเรศเรืองศรี
ครนั้ ถึงยั้งอยู่ประตูวงั พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ขุนแผนวนั ทองพระหมื่นไวย เผอิญคิดรักใคร่พระทยั อ่อน
ฮ้าเฮย้ ดกู ่อนอวี ันทอง
คราน้ันพระองค์ผูท้ รงเดช กูสใิ หอ้ ้ายแผนประสมสอง
เห็นสามราเขา้ มาอญั ชลี ตวั ของมึงไปอย่แู ห่งไร
ดว้ ยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธ์ิ แลน่ ไปอยู่กบั อ้ายชา้ งใหม่
ตรัสถามอย่างความราษฎร คร้ันยกใหเ้ ต้นกลบั เล่นตวั
เม่ือมึงกลบั มาแตป่ าุ ใหญ่ เกดิ รังเกียจเกลียดใจด้วยชงั หัว
ครัน้ กูขัดใจใหจ้ ําจอง ตกว่าชั่วแล้วมึงไมไ่ ยดี
ทาํ ไมไม่อยู่กบั อ้ายแผน
เดิมมึงรักอา้ ยแผนแลน่ ตามไป
อยกู่ บั อ้ายช้างไมอ่ ยู่ได้
ดูยกั ใหม่ย้ายเกา่ เฝูาเปลยี่ นตัว
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลงั เจะยามา ๗๘
เสภาเรอ่ื งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
ครานนั้ วันทองได้รับสง่ั ละลา้ ละลงั ประนมก้มเกศี
หัวสยองพองพรนั่ ทันที ทูลคดพี ระองคผ์ ทู้ รงธรรม์
ขอเดชะละอองธุลีพระบาท องคห์ รริ ักษร์ าชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อรญั ครั้งนั้นโปรดประทานขนุ แผนไป
ครน้ั อยู่มาขนุ แผนต้องจําจอง กระหม่อมฉันมีท้องนน้ั เติบใหญ่
อยู่ทเี่ คหาหน้าวดั ตะไกร ขนุ ช้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสัง่ โปรดประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปกห็ ักหาญ
ยื้อยดุ ฉดุ คร่าทาํ สามานย์ เพ่อื นบา้ นจะชว่ ยกส็ ดุ คิด
ดว้ ยขุนชา้ งอ้างว่ารบั สง่ั ให้ ใครจะขดั ขืนไว้ก็กลวั ผดิ
จนใจมไิ ปก็สุดฤทธิ์ ชีวติ อยใู่ ต้พระบาทา
ฟง๎ จบกริ้วขนุ ชา้ งเปน็ หนักหนา
ครานน้ั พระองคผ์ ู้ทรงภพ อ้ายบ้าเย่อหยงิ่ อ้ายลงิ โลน
มีพระสิงหนาทตวาดมา มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
ตกวา่ กหู าเป็นเจา้ ชีวิตไม่ เท่ียวทาํ โจรใจคะนองจองหองครนั
เป็นไม่มีอาชญาสทิ ธค์ิ ิดถงึ โดน ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
เลี้ยงมึงไม่ได้อา้ ยใจรา้ ย เออเม่อื มนั ฉดุ คร่าพามึงไป
แลว้ กลบั ความถามขา้ งวันทองพลนั ครง้ั นที้ าํ ไมมงึ จึงมาได้
กช็ ้านานประมาณได้สบิ แปดปี หรือวา่ ใครไปรับเอามงึ มา
นีม่ ึงหนีมนั มาหรือว่าไร บังคมคัลประนมก้มเกศา
พระอาญาเป็นพ้นลน้ เกลา้ ไป
วันทองฟ๎งถามใหค้ รา้ มครน่ั กระหม่อมฉันจึงกลบั คนื มาได้
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา ขนุ แผนกม็ ิไดป้ ระเวณี
ครง้ั น้ีจม่นื ไวยนน้ั ไปรับ ขนุ ชา้ งจึงหาความว่าหลบหนี
มใิ ชย่ ้อนยอกทํานอกใจ ชีวอี ยูใ่ ตพ้ ระบาทา
แต่มานน้ั เวลาสกั สองยาม ฟ๎งเหตขุ ุ่นเคอื งเป็นหนักหนา
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี ตกวา่ บ้านเมืองไม่มนี าย
จงึ ทาํ ตามนํ้าใจเอางา่ ยง่าย
ครานน้ั พระองค์ผู้ทรงเดช อนั ตรายไพรเ่ มืองกเ็ คืองกู
อา้ ยหมืน่ ไวยทําใจอหังการ์ อา้ ยชา้ งบังอาจใจทําจลู่ ู่
จะปรกึ ษาตราสนิ ให้ไม่ได้ ตะคอกข่อู วี นั ทองใหต้ กใจ
ถา้ ฉวยเกิดฆ่าฟ๎นกันลม้ ตาย
อีวนั ทองกูให้อ้ายแผนไป
ฉุดมนั ข้นึ ชา้ งอ้างถงึ กู
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลงั เจะยามา ๗๙
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
ชอบตบใหส้ ลบลงกบั ท่ี เฆ่ียนตเี สียใหย้ ับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากใหส้ าใจ อ้ายหมน่ื ไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มงึ ถือว่าอีวนั ทองเปน็ แมต่ วั ไมเ่ กรงกลวั เว้โว้ทาํ โมหนั ธ์
ไปรบั ไยไม่ไปในกลางวนั อ้ายแผนพ่อน้นั กเ็ ป็นใจ
มนั เหมอื นววั เคยขาม้าเคยขี่ ถึงบอกกวู า่ ดหี าเช่ือไม่
อ้ายชา้ งมันก็ฟูองเปน็ สองนัย วา่ อ้ายไวยลกั แม่ใหบ้ ดิ า
เปน็ ราคขี ้อผดิ มตี ิดตวั หมองมัวมลทินอยูห่ นักหนา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา ชวนพอ่ ฟูองหาเอาเปน็ ไร
อัยการศาลโรงก็มีอยู่ หรือวา่ กูตัดสนิ ให้ไม่ได้
ชอบทวนด้วยลวดใหป้ วดไป ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้
มนั เกดิ เหตทุ ั้งนกี้ เ็ พราะหญิง จงึ หงึ หวงชว่ งชงิ ยุ่งยิง่ อยู่
จําจะตดั รากใหญ่ให้หลน่ พรู ใหล้ ูกดอกดกอยู่แต่ก่งิ เดยี ว
อีวนั ทองตัวมนั เหมือนรากแก้ว ถา้ ตัดโคนขาดแลว้ กใ็ บเห่ยี ว
ใครจะควรสสู่ มอยู่กลมเกลียว ใหเ้ ดด็ เดี่ยวรกู้ ันแตว่ ันนี้
เฮย้ อวี ันทองวา่ กระไร มึงตง้ั ใจปลดปลงให้ตรงท่ี
อยา่ พะวงั กงั ขาเปน็ ราคี เพราะมงึ มผี ัวสองกตู ้องแค้น
ถ้ารกั ใหม่ก็ไปอยู่กบั อา้ ยช้าง ถา้ รกั เก่าเขา้ ขา้ งอา้ ยขุนแผน
อยา่ เวยี นวนไปใหค้ นมันหมนิ่ แคลน ถา้ แม้นมึงรักไหนให้ว่ามา
ให้ละลา้ ละลังเปน็ หนักหนา
คราน้ันวนั ทองฟง๎ รบั ส่ัง ขนุ ชา้ งแลดูตายักคิ้วลน
ครนั้ จะทลู กลัวพระราชอาญา บุ้ยปากตรงบดิ าเป็นหลายหน
พระหม่นื ไวยใชใ้ บ้ใหแ้ ม่วา่ เปน็ จนใจนิง่ อยู่ไม่ทลู ไป
วันทองหมองจิตคิดเวยี นวน หาได้ยินวนั ทองทูลข้ึนไม่
หรอื มงึ ไม่รักใครใหว้ ่ามา
ครานน้ั พระองคท์ รงธรณนิ ทร์ จะอยดู่ ้วยลูกชายก็ไมว่ ่า
พระตรสั ความถามซกั ไปทันใด แต่น้ีเบื้องหนา้ ขาดเดด็ ไป
จะรักชู้ชงั ผัวมงึ กลวั อาย ใหบ้ ันดาลบงั จติ หาคิดไม่
ตามใจกจู ะให้ดังวาจา ดว้ ยสน้ิ ในอายทุ ่ีเกิดมา
ดังตวั ตกพระสเุ มรภุ ูผา
นางวันทองรบั พระราชโองการ เกรงผิดภายหน้าก็สดุ คดิ
อกศุ ลดลมวั ให้ช่ัวใจ
คิดคะนึงตะลงึ ตะลานอก
ให้อธุ ัจอดั อั้นตนั อรุ า
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหัสลัง เจะยามา ๘๐
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
จะว่ารักขนุ ชา้ งกระไรได้ ทีจ่ รงิ ใจมไิ ดร้ กั แต่สักหนิด
รกั พ่อลูกห่วงดงั ดวงชวี ิต แมน้ ทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน
อยา่ เลยจะทูลเปน็ กลางไว้ ตามพระทยั ท้าวจะแยกใหแ้ ตกฉาน
คดิ แลว้ เท่าน้นั มิทันนาน นางกม้ กรานแลว้ ก็ทูลไปฉบั พลนั
ความรกั ขุนแผนก็แสนรัก ดว้ ยรว่ มยากมานกั ไมเ่ ดียดฉนั ท์
สลู้ ําบากบุกปาุ มาด้วยกัน สารพนั อดออมถนอมใจ
ขุนชา้ งแตอ่ ยู่ด้วยกันมา คาํ หนกั หาไดว้ ่าใหเ้ คืองไม่
เงนิ ทองกองไว้มิให้ใคร ข้าไทใชส้ อยเหมือนของตัว
จม่ืนไวยเล่ากเ็ ลือดท่ใี นอก ก็หยบิ ยกรักเท่ากนั กบั ผัว
ทูลพลางตวั นางเริม่ ระรัว ความกลวั อาญาเปน็ พ้นไป
ฟ๎งจบแคน้ ค่ังดังเพลิงไหม้
ครานัน้ พระองค์ผูท้ รงภพ ดดู เู๋ ปน็ ได้อวี นั ทอง
เหมอื นดินประสิวปลิวติดกบั เปลวไฟ นาํ้ ใจจะประดงั เข้าท้งั สอง
จะว่ารักข้างไหนไมว่ ่าได้ ยง่ิ กวา่ ทอ้ งทะเลอนั ล้ําลกึ
ออกนัน่ เข้านี่มีสาํ รอง จะทอดถมเท่าไรไม่รสู้ ึก
จอกแหนแพเสาสําเภาใหญ่ น้าํ ลกึ เหลือจะหยั่งกระทัง่ ดนิ
เหมอื นมหาสมุทรสุดซง้ึ ซึก ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดส้ิน
อฐิ ผาหาหาบมาทุ่มถม ดงั เพชรนลิ เกิดขึ้นในอาจม
อแี สนถ่อยจญั ไรใจทมิฬ ใจไม่ซ่ือสมศักดเิ์ ท่าเสน้ ผม
รูปงามนามเพราะนอ้ ยไปหรือ สมาคมก็แตถ่ ึงฤดมู นั
แตใ่ จสัตว์มันยังมีท่ีนิยม จะเอาเรื่องไม่ไดส้ ักสง่ิ สรรพ์
มงึ นถ่ี ่อยยิ่งกว่าถ่อยอที ้ายเมอื ง สกั รอ้ ยพนั ให้มงึ ไมถ่ ึงใจ
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมนั หาตามตอมกนั เกรยี วเหมือนมึงไม่
ว่าหญิงช่ัวผัวยงั คราวละคนเดียว อา้ ยไวยมงึ อยา่ นบั ว่ามารดา
หนกั แผ่นดนิ กูจะอยู่ไย คนอ่นื รู้วา่ แม่กข็ ายหนา้
กูเลีย้ งมงึ ถึงให้เป็นหวั หม่ืน กจู ะหาเมยี ให้อยา่ อาลัย
อ้ายขุนช้างขนุ แผนทั้งสองรา มนั ไม่นา่ เชยชดิ พิสมัย
หญงิ กาลกิณีอแี พศยา มงึ ตัดใจเสยี เถดิ อีคนน้ี
ทรี่ ูปรวยสวยสมมีถมไป ไปฟ๎นฟาดเสยี ให้มนั เปน็ ผี
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช อย่าใหม้ โี ลหติ ตดิ ดนิ กู
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี ตกดินจะอปั รียก์ าลอี ยู่
เอาใบตองรองไวใ้ ห้หมากนิ ส่ังเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย
ฟน๎ ใหห้ ญิงชายท้ังหลายดู
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๘๑
เสภาเรอ่ื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
คาอธบิ ายศัพทแ์ ละข้อความ คาอธบิ าย
คาศพั ท์/ขอ้ ความ ผงเครอ่ื งหอมต่างๆท่ีผสมกันสาํ หรบั ทาหรอื เจมิ โดยปกตมิ เี ครือ่ ง
ประสม คือ ไม้จนั ทน์ ชะมดเชยี ง เป็นต้น
กระแจะ เตา้ นม
ข้าวสารทเี่ สกแล้วซัดให้กระจาย
ของสาํ คญั ลกู ของขา้ ทาส
ขา้ วสารปราย เหตุ ; เร่ืองราว
ขคี้ รอก เครื่องกิน
เครอื่ ง แสดงอาการโกรธแย่งชงิ ทง้ั ๆท่ีไมส่ มควรจะได้ (แง่น แยกเข้ยี วจะกัด)
เครอ่ื งอาน เคร่ืองหอมท่เี จือด้วยไม้จวงและไม้จันทน์
แงน้ ชิง เปน็ ลกั ษณะยนื ถ่างขาตั้งทา่ เตรียมสู้
จวงจนั ทร์ สี่เท้า สองเทา้
จงั กา หุนหันพลันแล่น
จัตบุ ททวิบาท บังเอญิ ถูกจงั หวะ
จู่ลู่ คาํ รอ้ งทุกข์ทย่ี น่ื ถวายพระเจา้ แผ่นดิน
ฉวยสบเพลง ราวกับวา่
ฎกี า แจ้งความไวเ้ พอ่ื เปน็ หลกั ฐาน
ตกว่า ตลอดสันหลัง
ตราสนิ การนุง่ ผา้ หยักร้ังข้นึ ไปใหพ้ น้ หัวเขา่ ถึงง่ามกน้
ตลอดสนั ผเู้ ป็นทีร่ ัก
ถกเขมร เฆี่ยนตดี ้วยหนงั ท่ีทําเปน็ เสน้ ยาวๆ เรียกว่าลวดหนงั
ทรามสวาดิ วนั ชั่วรา้ ยตามความเช่อื ในตําราโหราศาสตร์ /ทกั -กะทิน/
ทวนด้วยลวด นาํ้ ลึกเกินกวา่ เทา้ จะหยงั่ ถึง
ทักทิน บโทน...>>พนักงานคอยให้จังหวะสัญญาณให้ฝีพายพายเรือช้าหรือ
นํา้ ยนื หย่ังไม่ถึง เร็ว สว่ นตน้ กัญญา...>>เรอื หลวงยาว มีเคร่อื งบังแดดเป็นรูปหลังคา
บโทนออ้ นต้นกัญญา และคําว่า อ้น ...>>สันนิษฐานเปน็ ช่ือของบโทน
สาํ รวมใจร่ายมนต์หรอื เสกคาถาซ้ําๆหลายๆหน เพื่อให้เกิดความขลัง
บรกิ รรม ศักด์ิสิทธิ์
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลัง เจะยามา ๘๒
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖
คาศัพท/์ ข้อความ คาอธบิ าย
บายศรี เครื่องเชิญขวัญหรือรับขวัญ ทําด้วยใบตอง รูปคล้ายกระทงเป็นช้ันๆ
มีขนาดใหญ่เล็กสอบกันขึ้นไปตามลําดับอาจเป็น ๓, ๕, ๗, ๙ ช้ัน มี
ปรนนิบตั ิวัตถา เสาป๎กตรงกลางแกน มีเคร่ืองสังเวยวางอยู่ในบายศรีและมีไข่ขวัญ
ประจุบัน เสยี บอย่บู นยอด
ปรบั ไหม เอาใจใสค่ อยปฏบิ ัติรับใช้ (ปรนนิบัตวิ ัตถาก)
โรคภยั ทเ่ี กิดขนึ้ ในทันทีทนั ใด, มีอาการจุกเสียดข้นึ มาทันที
ผงอทิ ธเิ จ ให้ผกู้ ระทําผดิ ชาํ ระเงิยทดแทนความผิดท่ีได้กระทําแก่ผู้เสียหาย หรือ
ผเี สอ้ื บดิ ามารดาหรอื ผูป้ กครองผเู้ สยี หาย
พระสงิ หนาท เป็นผงดนิ สอที่นาํ มาผัดหน้าสําหรบั เป็นเสน่ห์ทาํ ให้คนรัก
เพรางาย เทวดาที่รักษาน่านนาํ้ (ผีนาํ้ )
มงคล เสยี งตวาดของผู้มอี าํ นาจ ซ่ึงดังราวกับเสียงคาํ รามของราชสหี ์
มนิ หม้อ เวลาเยน็ และเวลาเชา้ (เพรา...>>เยน็ , งาย...>>เช้า)
เมรไุ กร สง่ิ ท่ที ําเป็นวง ใช้สวมศีรษะเพ่ือความเปน็ สิรมิ งคล ทําดว้ ยด้าย
แมงมมุ ทุม่ อก เขมา่ ดาํ ที่ตดิ กน้ หมอ้
ยวน ภูเขาใหญ่
ยาเขา้ ปรอท ตอี ก ; เช่อื กนั วา่ เป็นลางร้าย
ย่ํายาม ทาํ ใหก้ าํ เริบรัก (ภริ มยย์ วน)
ยาท่ปี ระสมสารปรอท ซงึ่ อาจทาํ ใหเ้ ป็นพิษได้
รอ้ งเกน ตีกลองหรือฆ้องถ่ีๆ หลายครง้ั เพ่ือบอกเวลาสาํ หรบั เปล่ียนยามในเวลา
ร้านดอกไม้ กลางคนื
ลอ่ นแกน่ ร้องตะโกนดังๆ
วันน้นั แพก้ ูเมื่อดําน้ํา ชานเรอื นโบราณทปี่ ลูกไม้ดอกไว้
ววั เคยขาม้าเคยขี่ ส้นิ เนือ้ ประดาตวั ไม่มีติดตัว
จมื่นไวยเทา้ ความถงึ ตอนที่ขุนช้างดาํ นาํ้ พิสจู นโ์ ทษ เมื่อเปน็ คดีกบั ตน
วางบท คุ้นเคยกันมาอย่างดี รู้ทีกัน เข้าใจในทํานองของกันและกัน มักใช้กับ
สง่ ทกุ ข์ คนท่เี คยเปน็ สามภี รรยากัน
ถกู กําหนดใหแ้ สดงไปตามบท คอื หนา้ ที่ทีก่ ําหนดไว้
เขา้ สว้ ม
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหัสลงั เจะยามา ๘๓
เสภาเรือ่ งขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖
คาศพั ท์/ข้อความ คาอธบิ าย
สะเดาะกลอน ทําใหก้ ลอนประตหู ลุดออกได้ด้วยคาถาอาคม
เสด็จประพาสบัว ไปเทยี่ วชมสระบวั
เสนียด ไมเ่ ปน็ มงคล
แสงศรี แสงอาทิตย์ (แสงสุรยี ์ศรี)
หวั หมนื่ มหาดเล็ก ตําแหน่งข้าราชการหมาดเล็กถัดจากตําแหน่งจางวาง ซ่ึงเป็น
ตาํ แหนง่ หวั หนา้ ข้ารับใชข้ องเจ้านายชน้ั บรมวงศห์ รือทรงกรมลงมา
แหงนเถอ่ ค้างอยู่
อัฐกาล อัฐเคราะห์ ...>> ตาํ แหนง่ ดาวเคราะหท์ งั้ ๘ ตามตําราโหราศาสตร์
อฒั จนั ทร์ ชั้นทตี่ ง้ั เครอ่ื งแก้วซง่ึ เปน็ ของประดับบ้าน
อาถรรพณ์ ของทลี่ งเลขยันต์คาถาแล้วฝ๎งไว้ในดินโดยวิธีใส่ก้นหลุมเสา เช่น เสา
ประตูบา้ น สาํ หรับปูองกนั อันตราย
อุธัจ ตกประหม่า
บทวิเคราะห์ เสภาเรอื่ งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา
เสภาเรอ่ื งขุนช้างขนุ แผน เป็นวรรณคดไี ทยเร่ืองเอกที่คนไทยจํานวนมากรู้จัก และได้รับการยกย่อง
จากวรรณคดสี โมสรวา่ เปน็ ยอดของกลอนเสภาทมี่ ีความไพเราะ
๑. คุณค่าด้านเน้อื หา
๑.๑ รูปแบบ เสภาเร่ือง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา แต่งด้วยคําประพันธ์ประเภท
กลอนเสภา ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ กลอนเสภาอาจจะมีบางวรรคท่ีมีจํานวนคําไม่เท่ากัน ท้ังนี้
ขึน้ อยูก่ บั เนือ้ ความหรือกระบวนกลอนและจังหวะในการขบั เสภา
๑.๒ องค์ประกอบของเรอ่ื ง
๑.๒.๑ สาระ เสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เสนอข้อคิดว่าการตกเป็น
ทาสของอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความหลง ย่อมทําให้มนุษย์ขาดสติกระทําสิ่งต่างๆ
โดยไม่คํานึงผลที่ตามมาว่าจะดีหรือร้ายแต่ตนหรือผู้อื่น เม่ือเกิดความพลั้งพลาดจากการตัดสินใจก็นําไปสู่
หายนะได้ เตอื นเราใหค้ รองชวี ิตดว้ ยสติ
๑.๒.๒ โครงเร่ือง เนอื้ เร่ืองเป็นเร่อื งราวความรักของชายสองกับหญิงหนึ่งคน ชายคนหนึ่ง
เป็นคนรูปงาม มีวิชาอาคมแต่เจ้าชู้ ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์แต่มีฐานะร่ํารวย ทั้งสองคน
ปรารถนาผหู้ ญิงคนเดียวกันจึงเกิดการแยง่ ชิง เพราะความรักความใคร่จึงสร้างความทุกข์ใจให้กับท่ังสามคน
ปมป๎ญหาของเรือ่ งนี้ คอื นางผนู้ ้ันจะตกเป็นของชายใด
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๘๔
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
เสภาเร่ือง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เป็นตอนที่สําคัญที่สุดของเร่ืองเพราะ
เป็นตอนคลี่คลายปญ๎ หาวา่ นางวนั ทองจะตกเป็นของผู้ใด ระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง เร่ิมเร่ืองจากพลายงาม
อยากให้มารดามาอยู่ด้วย จึงได้ลอบข้ึนเรือนขุนช้างแล้วพานางวันทองไปกับตน เมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทอง
อยู่กับพลายงามก็โกรธมากไปถวายฎีกาพระพันวษา เรื่องได้หักมุมจบลงตรงที่นางวันทองถูกประหารชีวิต
นับเร่ืองท่นี ่าสลดใจและสรา้ งความสะเทอื นอารมณ์ให้แก่ผู้อา่ นเป็นอย่างยิง่
๑.๒.๓ ฉากและบรรยากาศ ฉากที่ปรากฏในเรื่อง คือ สภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรี
อยุธยาและรตั นโกสินทรต์ อนตน้ ของชาวบ้าน ชาววดั และชาววงั
๑.๒.๔ ตัวละคร เสภาเรอ่ื ง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ปรากฏบุคลิกลักษณะ
ทชี่ ัดเจนของตัวละครสําคัญ ดงั น้ี
๑) นางวันทอง เดิมเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่ค่อยมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อ
เติบใหญ่ผ่านความทุกข์มากมาย นางวันทองมีความสุขุมรอบคอบ รู้จักยับยั้งช่ังใจ คิดก่อนทํา เช่น ตอนที่
ขุนแผนเขา้ มาหานางในหอ้ งวนั ทองมิได้ยินยอมที่จะมีความสัมพันธ์ และนางยังกล่าวถึงเร่ืองควรไม่ควรและ
เตอื นใหข้ ุนแผนกราบทูลพระพันวษาใหท้ รงทราบเร่ืองก่อน
๒) พลายงาม เป็นต้นเหตุสําคัญท่ีทําให้ขุนช้างถวายฎีกา ซ่ึงส่งผลให้นางวันทอง
ถูกประชีวิตในที่สุด พลายงามเป็นผู้ท่ีใช้อารมณ์เหนือเหตุผล กระทําทุกอย่างเพ่ือตอบสนองความต้องการ
ของตนโดยไม่คํานึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เช่น ตอนที่พลายงามข้ึนเรือนขุนช้างเพื่อบังคับพาตัวนางวัน
ทองไป
๓) ขุนช้าง รูปร่างและหน้าตาไม่น่าพึงใจแก่ผู้พบเห็น ท้ังยังมีจิตใจโหดร้าย คับ
แคบ สิ่งท่ีทําให้ขุนช้างมีดีอยู่บ้างคือ ความรักเดียวใจเดียวที่มีให้นางวันทอง แต่ความรักของขุนช้างเป็น
ความรกั ทเี่ หน็ แกต่ วั คดิ เอาแต่ได้ หวงั ครอบครองเป็นเจ้าของโดยไม่คํานึงถึงความถูกต้อง แม้นางวันทองจะ
มีสามีแล้ว ขนุ ช้างก็ยงั ทําทุกวิธีทางให้ได้นางมาครอบครอง คร้ันถูกแย่งนางไปขุนช้างก็โกรธแค้น ขุนช้างจึง
เปน็ ตวั ละครทต่ี กเป็นทาสของความรักและคามโกรธแค้นตลอดเวลา สามารถสร้างความทุกข์ให้กับทุกคนที่
เก่ยี วขอ้ งไมเ่ ว้น แม้กระทั่งนางวนั ทองซ่งึ เป็นหญิงทข่ี นุ ช้างรกั ความรักและความแคน้ กป็ รากฏให้เหน็ ชัด
๔) ขุนแผน เป็นผู้เก่งกล้าในวิชาอาคม มีความกล้าหาญและจงรักภักดีต่อ
พระมหากษตั รยิ ์ แต่ขุนแผนกเ็ ปน็ ชายเจา้ ช้มู ีภรรยาหลายคน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เห็นได้ว่าท้ังท่ีนางแก้ว
กิริยากับนางลาวทองอยดู่ ้วย ขุนแผนก็ยงั ลอบเข้าห้องนางวันทอง โดยไม่คํานึงถึงผลที่จะตามมาภายหลัง ซึ่ง
เปน็ พฤติกรรมท่ีแสดงใหเ้ ห็นว่าขนุ แผนมักจะทําอะไรตามใจตนเอง
๕) พระพนั วษา สมเดจ็ พระพันวษามีนิสัยโกรธง่าย จะเห็นได้จากตอนที่ ให้นาง
วันทองเลอื กวา่ จะอยกู่ ับใคร นางวนั ทองมคี วามลงั เล เลอื กไม่ได้ว่าจะอยกู่ ับใคร พระพันวษากริ้ว จึงรับส่ังให้
ประหาร ชีวิต แต่ขณะเดียวกันพระองค์ก็นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีมีความยุติธรรมต่อทหาร เสนา
อํามาตย์ และราษฎรพอสมควร เม่ือมคี ดีฟอู งร้องกนั กจ็ ะให้มีการไตส่ วน และพิสจู น์ความจริง
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลัง เจะยามา ๘๕
เสภาเร่อื งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
๑.๒.๕ กลวิธีการแต่ง การนําเสนอเร่ืองราวผ่านตัวละครโดยการเล่าด้วยถ้อยคําภาษาที่
ไพเราะงดงาม ท้ังการใช้คําที่ทําให้เห็นภาพและการใช้ความเปรียบสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของคนไทย
สมยั กอ่ น สภาพความเป็นอยู่ การพิพากษาคดี รวมทั้งการตัดสินประหารชีวิต ผู้แต่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวได้
สมจริงน่าประทบั ใจและชวนติดตาม
๒. คุณคา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์
เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ใช้กลอนเสภาเล่าเร่ืองนับว่ามีความเหมาะสมกับเน้ือเร่ือง เพราะเสภา
เร่อื งมลี กั ษณะเปน็ นทิ าน ความงามในด้านรอ้ ยกรอง จึงปรากฏอยมู่ ากท้ังความไพเราะลึกซ้งึ กินใจ ดังน้ี
๒.๑ การสรรคา การเลือกใช้คําในลักษณะต่างๆ เพื่อให้เกิดความไพเราะ สื่อความคิด ความรู้สึก
และอารมณไ์ ด้ ดังนี้
๒.๑.๑ การเลอื กใชค้ าได้ถูกตอ้ งตรงตามความหมายที่ต้องการ การใช้คําไวพจน์แสดงให้
เหน็ สตปิ ญ๎ ญาของผแู้ ต่งที่เลอื กใชค้ ําได้หลากหลายโดยไม่เสียความ และทําให้บทประพันธ์มีสัมผัสคล้องจอง
เกดิ ความไพเราะ ดังบทประพันธต์ ่อไปน้ี
อดั อึดฮดึ ฮัดด้วยขัดใจ เมอ่ื ไรตะวันจะลับหลา้
เข้าหอ้ งหวนละห้อยคอยเวลา จนสุริยาเลีย้ วลับเมรไุ กร
ตะวันและสุรยิ า หมายถงึ พระอาทติ ย์ คาํ ไวพจน์ของพระอาทิตย์ไดแ้ ก่ ทพิ าพร ทวิ ากร
ทินกร ภาสกร รวิ รวี รพิ ระพี อาภากร สุริยะ สุริยากร สุริเยศ สุริโย สูร สูรยะ สุริยะ สุริยัน
สุริยน สรุ เิ ยนทร์ สุรยิ ง ภาณุ ภาณุมาศ อุษณรศมัย ทยุมณี อหัสกร ประภากร ไถง พันแสง ภากร
รงั สมิ ันต์ รังสิมา ราํ ไพ วรณุ สหัสรังสี อกั กะ อังศธุ ร อังศุมาลี อุษณรัศมี อษุ ณรจู ี อษุ ณกร
๒.๑.๒ การเลือกใช้คาท่ีเหมาะแก่เน้ือเร่ืองและฐานะของบุคคลในเร่ือง เช่นคําว่า
“พระองค์ผู้ทรงเดช” “เสด็จนิเวศน์” “เรือพระที่น่ัง” “ประทับ” ใช้กับพระมหากษัตริย์ ส่วนคําว่า “รี่”
“ตีนท่า” “ลอยคอ” “ช”ู “ผุดโผล่” “โงหน้า” จะใช้กบั ขุนชา้ ง ดงั บทประพนั ธต์ ่อไปน้ี
จะกลา่ วถงึ พระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จตนื นิเวศนพ์ อจวนคํ่า
ฝพี ายรายเลม่ มาเตม็ ลาํ เรอื ประจาํ แหนแหเ่ ซ็งแซ่มา
พอเรือพระที่น่งั ประทับที่ ขุนช้างกร็ ีล่ งตีนทา่
ลอยคอชหู นงั สือดื้อเข้ามา ผดุ โผล่โงหน้ายึดแคมเรือ
รวมท้ังผู้แต่งใช้คําเหมาะกับเนื้อเรื่องเกี่ยวกับบ่าวตกใจยกมือไหว้แล้วบอกขุนช้างว่าจะไป
ไหนทาํ ไมไมน่ ุง่ ผา้ ขนุ ชา้ งดูตวั เองกต็ กใจเชน่ กัน ความวา่
ยายจนั งันงกยกมอื ไหว นน่ั พอ่ จะไปไหนพ่อทูนหัว
ไม่นงุ่ ผ่อนนุ่งผา้ ดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๘๖
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
๒.๑.๓ การเลือกใชค้ าไดเ้ หมาะสมกับลกั ษณะคาประพันธ์ เนื้อเรอ่ื งแมจ้ ะมีขนาดใหญ่แต่
กใ็ ช้คําง่ายๆ เป็นคําไทยแท้ สามารถเข้าใจคาํ ที่ผแู้ ตง่ ใช้ไดด้ ี โดยไม่ต้องตีความหมายอย่างลกึ ซง้ึ ดงั ตอนที่
พลายงามข้นึ เรอื นขุนชา้ งเพื่อพานางวนั ทองมาอยูด่ ้วย จงึ ได้พยายามพูดโนม้ นํ้าวใหแ้ ม่เห็นใจ ความว่า
แมเ่ ล้ยี งลูกมาถึงเจ็บขวบ เคราะหป์ ระจวบจากแมห่ าเห็นไม่
จะคดิ ถึงลูกบา้ งฤาอยา่ งไร ฤาหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย
ถ้าคิดเห็นเอน็ ดวู ่าลูกเตา้ แมท่ นู เกลา้ ไปเรือนอยา่ เชือนเฉย
ใหล้ กู คลายอารมณ์ไดช้ มเชย เหมอื นเมื่อครง้ั แม่เคยเล้ียงลกู มา
ผู้แต่งใช้คําง่ายๆ เล่าเรื่องโดยไม่ต้องตีความหมายก็เข้าใจถึงเร่ืองได้ว่าต้องการส่ืออย่างไร
ดังตอนท่พี ลายงามให้คนไปบอกขนุ ช้างเพื่อไม่ใหข้ นุ ช้างโกรธและเปน็ ความกัน ความว่า
บอกวา่ เราจับไขม้ าหลายวนั เกรงแมจ่ ะไมท่ ันมาเหน็ หน้า
เมอ่ื คืนน้ซี า้ํ มอี ันเป็นมา เราใชค้ นไปหาแมว่ ันทอง
๒.๑.๔ การเลือกใช้คาโดยคานึงเสียง
๑) การเล่นคา การนําคําคําเดียวมาเรียงร้อย เพื่อท่ีจะย้ําความหมายของ
เนือ้ ความให้หนกั แน่นมากขน้ึ ดังตอนทเ่ี ลน่ คําว่า “แคน้ ” เพือ่ จะเนน้ ความหมายให้เหน็ ว่าพลายงามคิดเคือง
แค้นขุนช้างอยู่ตลอดเวลา และเป็นความแคน้ ทีฝ่ ๎งใจ ความวา่
วนั น้ันแพก้ ูเม่ือดาํ นํา้ ก็กร้วิ ซา้ํ จะฆา่ ใหเ้ ปน็ ผี
แสนแค้นดว้ ยมารดายังปรานี ให้ไปขอชวี ขี ุนช้างไว้
แคน้ แมจ่ ําจะแก้ให้หายแคน้ ไมท่ ดแทนอา้ ยขุนช้างบ้างไม่ได้
หมายจิตคดิ จะใหม้ นั บรรลัย ไม่สมใจจําเพาะเคราะห์มนั ดี
๒.๒ การใช้ภาพพจน์ เป็นการใช้กลวิธีการเรียบเรียงถ้อยคําลักษณะต่างๆที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจใช้
เพอ่ื ใหเ้ กิดผลทางจินตภาพหรอื ทําให้เกิดความซาบซง้ึ ใจไดม้ ากกวา่ การเขียนธรรมดา
๒.๒.๑ ภาพพจน์อุปมา เป็นภาพพจน์ท่ีใช้การเปรียบเทียบอธิบายลักษณะของส่ิงใดส่ิง
หน่ึง โดยส่ิงที่นํามาใช้เป็นความเปรียบนั้นเป็นส่ิงท่ีรู้จักกันดี นํามาเปรียบเทียบเพ่ือให้เห็นลักษณะใด
ลกั ษณะหน่ึงเพียงด้านเดียว ดงั เช่นบทประพันธต์ ่อไปน้ี ความวา่
ครานัน้ ขนุ ชา้ งได้ฟง๎ ว่า แค้นดงั เลอื ดตาจะหลงั่ ไหล
ดับโมโหโกรธาทําว่าไป เรากไ็ มว่ ่าไรสดุ แตด่ ี
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหัสลงั เจะยามา ๘๗
เสภาเรอ่ื งขุนช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
๒.๒.๒ ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นภาพพจน์ท่ีใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงเป็นอีกส่ิงหน่ึง
หรือเรียกว่าการเปรียบเป็น ดังเช่นบทประพันธ์ต่อไปนี้ เปรียบหน้าของนางวันทองท่ีมีความอับอายจน
หมองคล้ําจนดําเปน็ น้ําหมกึ ทําใหจ้ ินตนาการได้ว่าจะอบั อายขายหน้าเพียงใด ความว่า
เจา้ พลายงามตามรบั เอากลบั มา ท่นี ้หี น้าจะดาํ เปน็ น้ําหมึก
กาํ เริบใจดว้ ยเจา้ ไวยกาํ ลังฮึก จะพาแม่ตกลกึ ให้จําตาย
๒.๓ ลลี าการประพนั ธ์หรือรสวรรณคดี เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน มีเนื้อความท่ีพรรณนาได้งดงาม
หลายตอน ทั้งนผี้ แู้ ตง่ สามารถดาํ เนินเรอ่ื งไดส้ มจรงิ และแทรกรสวรรณคดีต่างๆ เข้าถงึ อารมณไ์ ดเ้ ปน็ อย่างดี
๒.๓.๑ เสาวรจนี เป็นบทชมความงามท่ีผู้แต่งเลือกใช้ถ้อยคําที่ไพเราะกล่าวถึงความงาม
จากเสภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีบทชมความงามของเรอื นขุนช้างสัน้ ความว่า
จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทอื นผาง
สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ยา่ งเท้ากา้ วขึน้ รา้ นดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานกา้ นกลาดกิ่งไสว
เรณูฟรู ่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม
๒.๓.๒ นารีปราโมทย์ เป็นบทเกี้ยว บทโอ้โลม แสดงความรักใคร่ ตอนท่ี ขุนแผนเข้าหา
นางวนั ทอง แลว้ นางวันทองคิดถงึ ความหลงั เกิดนอ้ ยใจจงึ แกลง้ หลบั ขนุ แผนจงึ โอ้โลมแสดงความรักใคร่และ
ยอมรับผดิ เพอื่ ใหน้ างวนั ทองยอมพูดจาด้วย ความว่า
โอ้เจ้าแกว้ แววตาของพ่ีเอ๋ย เจา้ หลบั ใหลกระไรเลยเปน็ หนกั หนา
ดงั นิ่มนอ้ งหมองใจไมน่ าํ พา ฤๅขัดเคืองคิดว่าพ่ีทอดทิ้ง
ความรักหนักหนว่ งทรวงสวาท พีไ่ ม่คลาดคลายรักแตส่ กั สิง่
เผอญิ เป็นวิปรติ ทผี่ ิดจรงิ จะนอนนงิ่ ถือโทษโกรธอยู่ไย
วา่ พลางเอนแอบลงแนบข้าง จูบพลางชวนชดิ พสิ มยั
ลบู ไลพ้ ิไรปลอบให้ชอบใจ เป็นไรจงึ ไม่ฟนื้ ตน่ื นิทรา
๒.๓.๓ พโิ รธวาทัง การตัดพ้อต่อว่า หึงหวง โกรธ ประชดประชัน เช่น ตอนท่ีนางวันทอง
กลา่ วคําตดั พอ้ ตอ่ ว่าขุนแผน ขุนแผนพยายามขอโทษขอคืนดี ผู้แต่งใช้สํานวนโวหารท่ีไพเราะคมคาย แสดง
ถงึ ความน้อยเนอื้ ตาํ่ ใจ ความขมข่นื ใจท่ตี ้องทนทุกข์ทรมานมาโดยตลอดก็ไดร้ ะบายออกมา ความวา่
ทีจ่ ริงใจถงึ ไปอยเู่ รือนอน่ื คงคิดคืนท่ีหม่อมเป็นแม่นมัน่
ดว้ ยรักลูกกรกั ผวั ยงั พวั พนั คราวนั้นกไ็ ปอยเู่ พราะจําใจ
แค้นคิดด้วยมติ รไม่รักเลย ยามมที ี่เชยเฉยเสียได้
เสยี แรงรว่ มทุกขย์ ากกันกลางไพร กนิ ผลไม้ตา่ งข้าวทกุ เพรางาย
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหัสลัง เจะยามา ๘๘
เสภาเร่อื งขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
๒.๓.๔ สัลลาปงั คพิสยั แสดงความเศร้าโศก ครํ่าครวญ ตอนที่พลายงามไปหานางวันทอง
พลายงามอ้อนวอนแมใ่ หไ้ ปอยดู่ ว้ ย โดยเท้าถึงความหลงั ท่ีตวั เองต้องจากแม่ตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตรับราชการ
มียศศักด์ิจึงอยากให้แม่มาอยู่ด้วย ตัดพ้อว่าแม่คงไม่รักลูกไม่คิดถึงลูก นางวันทองได้ฟ๎งจึงครํ่าครวญเศร้า
โศกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจเป็นได้ดังใจคิดอยากได้ให้พลายงามเข้าใจ ผู้แต่งได้แสดงให้เห็นความเศร้าโศก
และความอดึ อดั ลําบากใจของผ้เู ปน็ แม่ และให้เห็นความจาํ เปน็ จึงตอ้ งทนอยกู่ ับคนทไี่ มไ่ ดร้ ัก ความว่า
ครานน้ั จงึ โฉมเจา้ วันทอง เศรา้ หมองดว้ ยลูกเปน็ หนกั หนา
พ่อพลายงามทรามสวาดขิ องแมอ่ า แมโ่ ศกาเกอื บเจยี นจะบรรลยั
ใช่จะอ่ิมเอิบอาบด้วยเงนิ ทอง มใิ ช่ของตวั ทํามาแตไ่ หน
ท้ังผู้คนช้างมา้ แลข้าไท ไม่รกั ใครเ่ หมือนกับพ่อพลายงาม
ทกุ วนั น้ีใชแ่ ม่จะผาสุก มแี ต่ทุกขเ์ จ็บดังเหนบ็ หนาม
ต้องจําจนทนกรรมทต่ี ิดตาม จะขนื ความคดิ ไปก็ใชท่ ี
๓. คณุ ค่าดา้ นสงั คม
เสภาเรื่องขนุ ชา้ งขุนแผน เป็นนิทานพนื้ บ้านของจงั หวัดสุพรรณบุรี สถานทีต่ ่างๆในเรอื่ งเป็นสถานที่
จริง เป็นวรรณคดีที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ การ
ปกครอง การศึกษา ศาสนา การคมนาคม จริยธรรม และภูมิศาสตร์ของไทยในอดีต ทําให้เห็นสิ่งท่ี
เก่ียวข้องกับชีวิตประจําวันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายของคนในสังคมไทยสมัยอยุธยาตอนปลายและสมัย
รตั นโกสินทรต์ อนต้นได้เปน็ อย่างดี สามารถพจิ ารณาคณุ คา่ ดา้ นสงั คม ดังนี้
๓.๑ สะท้อนสภาพชีวิตความเปน็ อยู่ของคนในสังคม
๓.๑.๑ ฐานะความเป็นอยู่ สภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่มีฐานะรํ่ารวย จะประดับประดา
บ้านเรือนอย่างสวยงาม พรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร และตกแต่งต้นไม้ดอกไม้อย่างสวยงาม เรือนจะลง
กลอนไวแ้ น่นหนาถึงสามชั้น ภายในเรือนมีกระจกเป็นฉากก้ัน มีโคมไฟประดับ ม่านมู่ลี่จัดแต่งเป็นฉากและ
เครอื่ งแกว้ วางเปน็ ช้ันๆมากมาย
๓.๑.๒ การบอกเวลา ในสมยั โบราณจะตีฆ้องเพอื่ บอกเวลา “คะเนนับยํ่ายามได้สามครา”
เปน็ การบอกเวลาสามยามหรอื ตสี าม
๓.๒ สะท้อนความเชอื่ ของคนในสังคม
๓.๒.๑ ความเช่ือเรื่องไสยศาสตร์ ตอนท่ีพลายงามคิดที่จะข้ึนเรือนขุนช้างเพ่ือพานางวัน
ทองมาอยู่ด้วย พลายงามต้องเตรียมตัวหลายประการ เร่ิมจากดูเวลาฤกษ์ยาม เซ่นพราย เสกขมิ้น ลงยันต์
ใส่มงคล เปาุ มนตร์ และบริกรรมคาถากอ่ นท่ีจะลงจากเรอื นของตน
๓.๒.๒ ความเช่ือเกี่ยวกับความฝัน ก่อนที่นางวันทองจะถูกประหารชีวิต นางวันทองฝ๎น
ว่าตนพลัดหลงเขา้ ปาุ และหาทางกลับไม่ได้ จนกระทั่งมีเสอื ตะครุบพานางเข้าไปในปาุ นางจึงตกใจต่ืนผวา
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหัสลงั เจะยามา ๘๙
เสภาเรอ่ื งขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
๓.๒.๓ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องกรรม ตัวละครในเสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน เมื่อประสบ
ชะตากรรมท่ีทาํ ใหต้ นเองพบกับความทุกข์ มกั ลงความเห็นว่าเป็นเร่ืองของเวรกรรม เช่น พลายงามท่ีเช่ือว่า
สาเหตุทีท่ ําให้นางวันทองตอ้ งไปครองคู่กับขนุ ชา้ งเปน็ เพราะเคราะหก์ รรม
๓.๓ สะทอ้ นค่านยิ มของคนในสังคม
๓.๓.๑ ค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ ตอนท่ีพลายงามแสดงความเคารพนบน้อมมี
สัมมาคารวะ แมจ้ ะอยใู่ นสถานการณ์ที่ทําใหข้ ุ่นเคืองใจ แตเ่ ม่อื มาเห็นมารดากย็ ังระลกึ พระคุณ
๓.๓.๒ ค่านยิ มเก่ียวกับผู้หญงิ ตอ้ งมสี ามีคนเดยี ว ไม่นยิ มผหู้ ญงิ ทีม่ ีพฤติกรรมเย่ียงนางวัน
ทอง คือ มีสามีสองคนในเวลาเดียวกัน แม้โดยจริงแท้แล้วการที่นางต้องมีสามีสองคนนั้นมิใช่เกิดจากความ
ปรารถนาของนางเอง แต่ในจุดนี้สังคมก็มองข้าม เห็นแต่เพียงผิวเผินว่านางเป็นคนท่ีไม่น่านิยม น่ารังเกียจ
คําพิพากษาให้ได้รับพระราชอาญาถึงประหารชีวิตย่อมเป็นเคร่ืองยืนยันถึงผลของค่านิยมด้านน้ีของสังคม
แต่ในทางตรงกันข้าม ค่านิยมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกันกลับปรากฏอยู่ในหมู่คนช้ันสูง
โดยเฉพาะผู้ยศถาบรรดาศักด์ิ สังคมกลับให้ความนิยมและยกย่อง เพราะค่านิยมกําหนดลักษณะเช่นน้ีเป็น
เคร่อื งเสรมิ บารมแี ละความเปน็ บุรุษชาติอาชาไนยใหม้ ากยงิ่ ขนึ้
๓.๔ สะท้อนขนบธรรมเนยี มประเพณีและวัฒนธรรม
๓.๔.๑ บทบาทของพระมหากษัตริย์ต่อประชาชนในสังคม พระพันวษาแม้จะเป็นเจ้า
ชีวิต มีพระราชอํานาจล้นพ้น แต่ก็มิได้ทรงใช้พระราชอํานาจอย่างปราศจากเหตุผล ทรงปฏิบัติพระองค์
อย่างเหมาะสม ทรงเมตตาครอบครัวขุนแผน เพราะเห็นแก่ความดีความชอบท่ีเคยสร้างไว้ให้แก่บ้านเมือง
นอกจากน้ที รงดาํ รงพระองค์อยู่ในฐานะกษัตริย์ปกครองประเทศ ซึ่งจะต้องแก้ป๎ญหาระดับประเทศแล้ว ยัง
ต้องแก้ป๎ญหาระดับครอบครัวมีเร่ืองเดือดร้อนหรือเกิดเหตุการณ์วุ่นวายมาฟูองร้อง พระองค์ทรงมีหน้าท่ี
ตดั สินคดีคล่คี ลายป๎ญหา
๓.๔.๒ บทบาทของสตรีในสังคม นางวันทองเป็นตัวอย่างของสตรีไทยโบราณโดยแท้ คือ
เกิดมาเพ่ือรบั บทบาทของสตรี ภรรยา และมารดา ตามท่ีธรรมชาติและสังคมเป็นผู้กําหนด และเมื่อต้องรับ
บทพลเมอื งตามที่ผู้ปกครองพึงปรารถนาให้เป็น ทั้งบทบาทและการปฏิบัติตามบทดังกล่าว นางวันทองไม่มี
โอกาสไดเ้ ลือก อาจเปน็ เพียงแตค่ ดิ แต่ไม่เคยปฏิบัติตามใจคิด ความไม่เคยเป็นตัวของตนเองของนางวันทอง
น้ัน จะเห็นไดจ้ ากตอนทนี่ างกลา่ วกับจมน่ื ไวย
เสภาเร่ืองขุนช๎างขุนแผน ตอน ขุนช๎างถวายฎีกา เป็นตอนที่ได๎รับยกยํองวําแตํงได๎ดีเย่ียมตอนหน่ึง
แตํเป็นกลอนเสภาท่ีสื่ออารมณ๑สะเทือนใจและแฝงด๎วยข๎อคิดเรื่องความรักของแมํที่มีตํอลูก พร๎อมที่จะ
เสียสละความสุขของตนให๎แกํลูก สะท๎อนให๎เห็นความเป็นธรรมชาติของมนุษย๑ คํานิยม และความเช่ือมั่น
ของคนในสังคมสมัยกํอน สะท๎อนวิถีชีวิตของครอบครัว ขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร๑วํามี
ความจงรักภักดีตํอพระมหากษัตริย๑ และผู๎แตํงยังเลือกสรรถ๎อยคําและสํานวนโวหารได๎อยํางไพเราะ มีการ
เปรยี บเทยี บให๎เห็นภาพอยาํ งชัดเจน
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๙๐
สามัคคเี ภทคาฉนั ท์
การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองเร่ือง สามัคคีเภทคําฉันท์ จะต้องอ่านอย่างถูกต้อง ไพเราะ
เหมาะสม วิเคราะห์วิจารณ์ ตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น วิเคราะห์ลักษณะเด่น โดยเช่ือมโยงกับการ
เรยี นรทู้ างประวตั ิศาสตร์และวิถีชวี ิตของสังคม ในอดีต คณุ ค่าดา้ นวรรณคดีศิลป์ในฐานะท่ีเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมของชาติ และยังต้องมีการสังเคราะห์ข้อคิดท่ีได้จากเร่ือง เพ่ือนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
ในการดาํ เนินชวี ิตประจําวนั และทอ่ งจําบทอาขยานที่มีคุณค่า เพื่อนําไปใช้อ้างองิ
มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้ีวดั อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองได้อยา่ งถูกต้อง ไพเราะ
ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑ และเหมาะสมกับเร่อื งทอ่ี ่าน
ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑ วเิ คราะห์และวจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมตามหลกั การวิจารณ์
ม.๔-๖/๒ เบ้ืองตน้
ม.๔-๖/๓ วิเคราะห์ลักษณะเดน่ ของวรรณคดเี ช่ือมโยงกับการเรียนรทู้ าง
ม.๔-๖/๔ ประวัตศิ าสตร์และวิถีชีวติ ของสงั คมในอดีต
ม.๔-๖/๖ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดีและ
วรรณกรรมในฐานะท่ีเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
สงั เคราะหข์ ้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนาํ ไปประยุกต์
ใชใ้ นชวี ิตจรงิ
ท่องจาํ และบอกคุณค่าบทอาขยานตามท่ีกาํ หนด และบทร้อยกรอง
ทมี่ คี ณุ คา่ ตามความสนใจและนําไปใช้อ้างองิ ประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จริง
ภาษาไทย ม.๖ ครูนิหสั ลงั เจะยามา ๙๑
วรรณคดีวิจักษ์ ๔
สามคั คเี ภทคาฉนั ท์
ความเป็นมา
คําวา่ สามคั คีเภท เป็นคําสมาส เภท มีความหมายว่า การแบ่ง การแตกแยก การทําลาย ดังนั้นคํา
ว่า “สามัคคเี ภท” มีความหมายว่า การแตกความสามัคคี หรอื การทาํ ลายความสามัคคี
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เกิดวิกฤตการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น เกิดสงครามโลกคร้ังท่ี ๑
เกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ประกอบกับคนไทยในสมัยน้ันได้รับการศึกษามากข้ึน ทําให้เกิดความตื่นตัวทาง
ความคิด มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินกิจการบ้านเมืองแตกต่างกันเป็นหลายฝุาย ซ่ึงส่งผลกระทบต่อ
ความมั่นคงของบา้ นเมือง ในช่วงภาวะดังกล่าวเกิดความนิยมแต่งวรรณคดีปลุกใจให้รักชาติข้ึนเป็นจํานวน
มาก สามัคคีเภทคาํ ฉนั ท์ ก็เป็นเรอ่ื งหนึง่ ทส่ี อดคลอ้ งกบั สถานการณข์ องบ้านเมืองในขณะนัน้
นายชิต บรุ ทัต ได้แต่งเรื่องสามัคคีเภทคําฉันท์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เพ่ือมุ่งช้ีความสําคัญของการ
รวมกันเปน็ หมู่คณะ เป็นน้ําหนึง่ ใจเดียวกนั เพอ่ื ปูองกันรกั ษาบา้ นเมืองใหม้ ีความม่ันคงเปน็ ปึกแผ่น มาถึงทุก
วันน้ี ความสามัคคกี ็ยงั คงสําคัญและเป็นธรรมะท่ีจําเป็นในการทํางานและอยู่รวมกัน สามัคคีเภทคําฉันท์จึง
เป็นวรรณคดที ี่มีเนื้อหาเปน็ คตสิ อนใจทท่ี ันสมัยเสมอ
ประวัตผิ ู้แต่ง
นายชิต บุรทัต กวีในรัชกาลท่ี ๖ ในขณะท่ีบรรพชาเป็นสามเณร อายุเพียง ๑๘ ปี ได้เข้าร่วมแต่ง
ฉนั ทส์ มโภชพระมหาเศวตฉัตรในงานราชพิธฉี ตั รมงคล รัชกาลท่ี ๖ เมอื่ อายุ ๒๒ ปี ได้ส่งกาพย์ปลุกใจลงใน
หนังสือพิมพ์ สมุทรสาร นายชิต มีนามสกุลเดิมว่า ชวางกูร ได้รับพระราชทานนามสกุล “บุรทัต” จาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ เมื่ออายุ ๒๓ ปี ใช้นามปากกาว่า เจ้า
เงาะ เอกชน และแมวคราว
ลักษณะคาประพันธ์
สามัคคีเภทคําฉันท์แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนําฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับ
เน้ือหาแต่ละตอน ประกอบดว้ ยคาํ ประพันธ์ประเภทฉนั ท์ ๑๘ ชนิด ประกอบด้วย
๑. สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ เป็นฉันท์ที่มีลีลาการอ่านสง่า เคร่งขรึม มีอํานาจดุจเสือผยอง
ใช้แต่งสาํ หรับบทไหว้ครู บทสดุดี ยอพระเกียรติ
๒. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เป็นฉันท์ท่ีมีลีลาไพเราะ งดงาม เยือกเย็นดุจเม็ดฝน ใช้สําหรับ
บรรยายหรอื พรรณนาช่ืนชมส่ิงทีส่ วยงาม
๓. อปุ ชาตฉิ นั ท์ ๑๑ นิยมแต่งสําหรับบทเจรจาหรอื บรรยายความเรียบๆ
ภาษาไทย ม.๖ ครนู หิ สั ลงั เจะยามา ๙๒
สามัคคีเภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
๔. อีทิงสังฉันท์ ๒๐ เป็นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระท้ัน เกร้ียวกราด โกรธแค้น และ
อารมณร์ ุนแรง เช่น รักมาก โกรธมาก ตืน่ เต้น คกึ คะนอง หรือพรรณนาความสบั สน
๕. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสวยงามประดุจสายฟูาพระอินทร์ มีลีลา
อ่อนหวาน ใช้บรรยายความหรือพรรณนาเพื่อโน้มน้ําวใจให้อ่อนโยน เมตตาสงสาร เอ็นดู ให้อารมณ์เหงา
และเศรา้
๖. วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๘ หมายถึง ระเบียบแห่งสายฟูา เป็นฉนั ทท์ ใี่ ช้ในการบรรยายความ
๗. อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ท่ีมีลีลาตอนท้ายไม่ราบเรียบคล้ายกลบทสะบัดสะบ้ิง ใช้
ในการบรรยายความหรอื พรรณนาความ
๘. สงั สัฏฐฉันท์ ๑๒ เปน็ ฉันทท์ ่ีมีสําเนยี งอนั ไพเราะเหมือนเสียงปี่
๙. มาลนิ ีฉนั ท์ ๑๕ เป็นฉนั ท์ทีใ่ ช้ในการแต่งกลบทหรือบรรยายความทีเ่ ครง่ ขรึม เป็นสง่า
๑๐. ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ท่ีมีลีลางามสง่าดุจงูเล้ือย นิยมใช้แต่งบทท่ีดําเนิน
เรอ่ื งอย่างรวดเรว็ และคกึ คกั
๑๑. มาณวกฉันท์ ๘ เปน็ ฉนั ท์ที่มีลลี าผาดโผน สนุกสนาน ร่าเรงิ และตนื่ เตน้ ดจุ ชายหนมุ่
๑๒. อเุ ป็นทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๑๑ เปน็ ฉันท์ที่มีความไพเราะใช้ในการบรรยายบทเรียบๆ
๑๓. สัทธราฉันท์ ๒๑ เป็นฉันท์ที่ใช้สําหรับแต่งคํานมัสการ อธิษฐาน ยอพระเกียรติ หรือ
อญั เชญิ เทวดา ใช้แตง่ บทสัน้ ๆ
๑๔. สาลนิ ีฉนั ท์ ๑๑ เปน็ บททมี่ ีคําครุมาก ใชบ้ รรยายบททเ่ี ป็นเน้ือหาสาระเรียบๆ
๑๕. อุปฏ๎ ฐติ าฉนั ท์ ๑๑ เป็นฉนั ท์ท่ีเหมาะกับบรรยายเรยี บๆ แตไ่ มใ่ คร่นยิ มแตง่ มากนกั
๑๖. โตฎกฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ท่ีมีลีลาสะบัดสะบ้ิงเหมือนประตักแทงโค ใช้แต่งกับบทที่
แสดงความโกรธเคอื ง ร้อนรน หรอื สนุกสนาน คกึ คะนอง ตน่ื เตน้ และเรา้ ใจ
๑๗. กมลฉันท์ ๑๒ หมายถึง ฉันท์ท่ีมีความไพเราะงดงามเหมือนดอกบัว ใช้กับบทที่มี
ความตื่นต้ ่นเล็กนอ้ ยและใช้บรรยายเรอ่ื ง
๑๘. จิตรปทาฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่เหมาะสําหรับบทที่น่ากลัว เอะอะ เกรี้ยวกราด ต่ืนเต้น
ตกใจและกลัว
และคาํ ประพนั ธป์ ระเภทกาพย์ ๒ ชนดิ ประกอบด้วย
๑. กาพย์ฉบงั ๑๖ เปน็ กาพย์ที่มีลีลาสง่างาม ใช้สําหรับบรรยายความงามหรือดําเนินเรื่อง
อย่างรวดเร็ว
๒. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ เป็นกาพย์ที่เหมาะสําหรับข้อความที่คึกคึกสนุกสนาน โลดโผน
ต่นื เตน้
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลงั เจะยามา ๙๓
สามคั คีเภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
เรื่องย่อ
พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ทรงมีวัสสการพราหมณ์ผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลป
ศาสตร์เป็นท่ีปรึกษา มีพระประสงค์จะขยายอาณาจักรไปยังแคว้นวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ซ่ึงปกครอง
แคว้นโดยยึดมั่นในอปริหานิยธรรม (ธรรมอันไม่เป็นท่ีต้ังแห่งความเส่ือม) เน้นสามัคคีธรรมเป็นหลัก การ
โจมตีแคว้นน้ีให้ได้จะต้องทําลายความสามัคคีนี้ให้ได้เสียก่อน วัสสการพราหมณ์ปุโรหิตท่ีปรึกษา จึงอาสา
เป็นไส้ศึกไปยุแหย่ให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคี โดยทําเป็นอุบายกราบทูลทัดทานการไปตีแคว้น
วัชชี พระเจ้าอชาตศัตรแู สรง้ กริ้ว รบั สงั่ ลงโทษใหเ้ ฆี่ยนวสั สการพราหมณ์ อยา่ งรุนแรงแลว้ เนรเทศไป
ข่าวของวัสสการพราหมณ์ไปถึงนครเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี กษัตริย์ลิจฉวีรับส่ังให้
วัสสการพราหมณเ์ ข้ารับราชการกบั กษัตริย์ลจิ ฉวี ด้วยเหตุท่เี ป็นผมู้ ีสติป๎ญญา มีวาทศิลป์ดี มีความรอบรู้ใน
ศิลปะวิทยาการ ทําให้กษัตริย์ลิจฉวีรับไว้ในพระราชสํานัก ให้พิจารณาคดีความและสอนหนังสือ
พระโอรส วัสสการพราหมณ์ได้ทําหน้าท่ีอย่างเต็มความรู้ความสามารถ จนกษัตริย์ลิจฉวีไว้วางพระทัย ก็
ดําเนินอุบายข้ันต่อไป คือสร้างความคลางแคลงใจในหมู่พระโอรส แล้วลุกลามไปถึงพระบิดา ซ่ึงต่างก็เชื่อ
พระโอรส ทําให้ขุ่นเคืองกันไปทั่ว เวลาผ่านไป ๓ ปี เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็แตกความสามัคคีกันหมด แม้
วัสสการพราหมณ์ตีกลองนัดประชุม ก็ไม่มีพระองค์ใดมาร่วมประชุม วัสสการพราหมณ์จึงลอบส่งข่าวไปยัง
พระเจ้าอชาตศัตรู ใหท้ รงยกทพั มาตแี ควน้ วชั ชไี ดอ้ ย่างง่ายดาย
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหัสลัง เจะยามา ๙๔
สามคั คเี ภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
สามคั คีเภทคาฉนั ท์
เรื่มเรื่องด๎วยบทนมัสการพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ บูชาคุณพระบิดามารดา ครู อาจารย๑ และ
อาศริ วาทพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล๎าเจ๎าอยหูํ วั และบอกจุดประสงค๑การแตงํ
สทั ทลุ วิกกีฬิต ฉนั ท์ ๑๙
๏ พรอ้ มเบญจางคประดิษฐ์สฤษฎสิ ดุดี
กายจติ รวจีไตร ทวาร
๏ กราบไหวค้ ุณพระสุคตอนาวรณญาณ
ยอดศาสดาจารย์ มนุ ี
๏ อีกคุณสนุ ทรธรรมคมั ภริ วธิ ี
พทุ ธพจน์ประชุมตรี ปิฎก
๏ ท้ังคณุ สงฆพสิ ทุ ธิศาสนดิลก
สัมพทุ ธสาวก นกิ ร
๏ นอบนอ้ มคุณพระคเณศวเิ ศษศลิ ปธร
เวทางคบวร กวี
๏ เป็นเจา้ แห่งวิทยาวราภรณศรี
สุนทรสวุ าท วิธาน
๏ สรวมชีพหัตถประณาม ณ เบอื้ งพระบทมาลย์
หมายโพธิสมภาร พระองค์
๏ สมเดจ็ อัครมหาจุฑาธปิ พระมง
กุฎเกล้าพสิ ิฐพงศ์ กระษัตรยิ ์
๏ บานบําเทิงพระเถลิงถวัลยอธปิ ๎ตย์
ทห่ี กดลิ กรัฐ ประชา (ฯลฯ)
๏ เพียรเพ็ํูในมนเผอื และเพ่ือพริ ิยจอง
เจตนค์ ดิ ลขิ ิตปอง ประพนั ธ์
๏ สามัคคภี ทิ โทษนิทานคตธิ รรม์
ถอ้ ยพิศดารอัน แถลง
๏ เชิงบรรพ์ฉันทเลบงเชลงพจนแปลง
บรรจงประสงคแ์ จง ประโยชน์
๏ บชู าศาสนพากย์สภุ าษิตวโิ รจน์
เริงปรีติปราโมทย์ ประมวล
๏ ไหนบทบาทผิวคลาดเพราะผดิ นติ ขิ บวน
โกวทิ กวคี วร อภัย
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหัสลงั เจะยามา ๙๕
สามัคคีเภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
กลาํ วถงึ ความเจริญรํุงเรอื งของแคว๎นมคธและความเกรียงไกรของพระเจ๎าอชาตศัตรู
วสนั ตดดิ ก ฉนั ท์ ๑๔
๏ โบราณกาลบรมขตั ตยิ รัชเกรยี งไกร
ท้าวทรงพระนามอภิไธ ยอชาตศตั รู
๏ ครอบครองมเหศวรเอก อภิเษกประสิทธิภ์ ู
อาณาปวัตนบ์ รบิ ู รณบรรพ์ประเพณี
๏ แว่นแคว้นมคธนครรา ชคฤหร์ าชบรู ี
สืบราชวัตวิธทวี ทศธรรมจรรยา
๏ เล่ืองหล้ามหาอุดมลาภ คณุ ภาพพระเมตตา
แผเ่ พียงชนกกรณุ อา ทรบุตรธดิ าตน
๏ โปร่งปรีตปิ ราศอริรปิ ู ภพภูมิมณฑล
เปรมโสตถิภาพพิพธิ ผล สุขภัทรนานา
๏ อําพนพระมณทริ พระราช สุนิวาศน์วโรฬาร์
อัพกันตรไพจติ รและพา หิรภาคกพ็ งึ ชม
๏ เล่ห์เล่อื นชะลอดุสติ ฐา นมหาพิมานรมย์
มารงั สฤษดิ์พิศนิยม ผิจะเทยี บก็เทยี มทนั
๏ สามยอดตลอดระยะระยบั วะวะวบั สลบั พรรณ
ช่อฟาู ตระการกลจะหยนั จะเยาะยวั่ ทิฆมั พร
๏ บราลีพิลาศศภุ จรํู ู นพศูลประภัสสร
หางหงสผ์ จงพจิ ิตรงอน ดจุ กวักนภาลยั
๏ รอบด้านตระหงา่ นจตุรมุข พิศสกุ อร่ามใส
กาญจนแ์ กมมณีกนกไพ ฑรุ ยพ์ รา่ งพะแพรวพราย
๏ บานบัฏพระบญั ชรสลัก ฉลลุ ักษณเ์ ฉลาลาย
เพดาลกด็ ารกะประกาย ระกะดาษประดิษฐ์ดี
๏ เพง่ ภาพตลอดตละผนัง ก็มลังเมลืองศรี
มองดสู ิเด่นประดุจมี ชวิ แม้นกมลครอง
๏ ภาพเทพประนมพนิ ิศ นรสงิ หลําผอง
ครฑุ ยตุ ภชุ งคว์ ิยผยอง และเผยอขยบั ผนั
๏ ลวดลายระบายระบกุ ระหนาบ กระแหนภาพกระหนกพัน
แผเ่ กย่ี วผกาบษุ ปวลั ลแิ ละวางระหวา่ งเนือง
ฯลฯ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ ัสลัง เจะยามา ๙๖
สามัคคเี ภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
กลําวถงึ ความเข๎มแขง็ และการยึดหลักธรรมของกษัตรยิ ล๑ จิ ฉวีในการปกครองบา้ นเมือง
กาพย์ฉบงั ๑๖
๏ ด้วยเหตุพระองคท์ รงเสา วนศพั ทส์ ําเนา
ระเบง็ ระบือลือชา
๏ ว่ากษัตรยิ ์วัชชบี รรดา บดสี ีมา
เกษตรประเทศทกุ องค์
๏ อปริหานยิ ธรรมธํารง ท้ังนัน้ มนั่ คง
มิโกรธมกิ า้ วรา้ วฉาน
๏ เพื่อธรรมดําเนินเจรญิ การณ์ ใช่เหตแุ ห่งหานิย์
เจ็ดขอ้ จะคดั จัดไข
๏ หนึง่ . เมอื่ มีราชกิจใด ปรกึ ษากนั ไป
บ่ วาย บ่ หนา่ ยชมุ นมุ
๏ สอง. ยอ่ มพร้อมเลิกพร้อมประชมุ พร้อมพรกั พรรคคุม
ประกอบ ณ กจิ ควรทํา
๏ สาม. นน้ั ถอื ม่นั ในสมั มาจารีตจํา
ประพฤติมิตัดดัดแปลง
๏ สี่. ใครเป็นใหญได้แจง โอวาทศาสน์แสดง
ก็ยอมและน้อมบูชา
๏ ห้า. น้นั อันบตุ รภริยา แห่งใครไปุปรา
รภประทษุ ข่มเหง
๏ หก. ทเี่ จดยี ์คนเกรง มยิ ่าํ ยาํ เยง
กเ็ ซ่นกส็ รวงบวงพลี
๏ เจด็ . พระอรหนั ต์อนั มี ในรัฐวัชชี
ก็คุ้มกค็ รองปูองกัน
๏ สัปดพิธนิติคตนิ ิรันดร์ สามัคคีธรรม์
ณ ราชยน์ ริศลจิ ฉวี
๏ อชาตศัตรูภมู ี สดบั สรรพคดี
ดั่งนนั้ กค็ รนั่ คร้ามขาม
๏ ศึกใหญ่ใคร่จะพยายาม รบเร้าเอาตาม
กาํ ลงั กห็ นักนักหนา
๏ จําจักหกั ด้วยป๎ญญา รอก่อนผอ่ นหา
อุบายทําลายมลู ความ
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหัสลัง เจะยามา ๙๗
สามคั คเี ภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖
พระเจ๎าอชาตศัตรูมีพระราชดําริจะทําลายแคว๎นวัชชี จึงทรงวางแผนกับวัสสการพราหมณ๑ โดย
ให๎วสั สการพราหมณ๑ทําทคี ดั ค๎าน ทําให๎พระเจ๎าอชาตศตั รกู ท็ ําทีวาํ ทรงพิโรธ ลงโทษอยาํ งรุนแรง
อที สิ ัง ฉนั ท์ ๒๐
๏ ภูบดสี ดบั อปุ ายะตาม
ณ วาทวสั สการพราหมณ์ ณ บงั อาจ
๏ เกินประมาณเพราะการณ์ละเมิดประมาท
มคิ วรจะขัดบรมราช วโรงการ
๏ ท้าวกท็ รงแสดงพระองค์ ธ ปาน
ประหนง่ึ พระราชหทัยลุดาล พโิ รธจึง
๏ ผนั พระกายกระทืบพระบาทและอึง
พระศพั ทสหี นาทพึง สยองภัย
๏ เอออเุ หมน่ ะมงึ ชิชา่ งกระไร
ทุทาสสถลุ ฉะนไี้ ฉน กม็ าเป็น
๏ ศึก บ ถงึ และมึงกย็ ังมเิ หน็
จะน้อยจะมากจะยากจะเยน็ ประการใด
๏ อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยั้นมิทนั อะไร ก็หมิน่ กู
๏ กลกะกากะหวาดขมังธนู
บ หอ่ นจะเหน็ ธวัชรปิ ู สลิ า่ ถอย
๏ พ่ายเพราะภัยพะตวั และกลัวจะพลอย
พนิ าศชพิ ิตประดดิ ประดอย ประเด็นขดั
๏ กูก็เอกอุดมบรมกษตั รยิ ์
วจิ าระถว้ น บ ควรจะทัด จะทานคํา
๏ น่ีนะเห็นเพราะเป็นอมาตย์กระทํา
พระราชการมาฉนาํ สมยั นาน
๏ ใช่กระนั้นละไซรจ้ ะให้ประหาร
ชวิ าตม์และหัวจะเสยี บประจาน ณ ทันที
๏ นคั ราภิบาลสภาบดี
และราชบรุ ษุ แน่ะเฮย้ จะรี จะรอไย
๏ ฉดุ กระชากกลอี ปรีย์เถอะไป
บ พกั จะตอ้ งกรุณอะไร กะคนคด
ภาษาไทย ม.๖ ครนู ิหสั ลัง เจะยามา ๙๘
สามัคคีเภทคาฉันท์ ภาษาไทย ท ๓๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๖
๏ ลงพระราชกรรณกรณบท และโกนผม
พระอยั การพพิ ากษกฎ บุรใี ด
บ หา้ มกัน
๏ ไล่มใิ ห้สถติ ณ คามนคิ ม
นครมหาสิมานยิ ม
๏ มันสมัครสวามิภักดใิ น
อมติ รลจิ ฉวีก็ไป
ฯลฯ
วัสสการพราหมณ๑ถกู ลงโทษโดยการโกนศรี ษะ เฆ่ยี นตี และขบั ไลํออกจากเมือง
อินทรวิเชียร ฉนั ท์ ๑๑
๏ ควรสดุ จะสมเพช ภยเวทนาการ
ดว้ ยทา่ นพฤฒาจารย์ พะกระทบประสบทัณฑ์
๏ โดยเต็มกตัํํู ู กตเวทิตาครนั
ใหญย่ ิ่งและยากอัน นรอื่นจะอาจทน
๏ หยั่งชอบนยิ มเช่ือ สละเนีอ้ และเลอี ดตน
ยอมรบั ทุเรศผล ขรการณ์พะพานกาย
๏ ไปุเหน็ กะเจ็บแสบ ชีวแทบจะทําลาย
มอบสตั ย์สมรรถหมาย มนมน่ั มิหว่ันไหว
๏ หวังการ ณ แผ่นดนิ ผิถวิลสะดวกใด
เก้ือกจิ สฤษฏไ์ ป บ มเิ ลี่ยงจะเบี่ยงเบือน
๏ ยากทีจ่ ะมใี คร หฤทัยประทกั ษ์เหมือน
กดั ฟน๎ บ ฟ่น๎ เฟือน สติอดสะกดเอา
๏ พวกราชมัลโดย พลโบยมใิ ช่เบา
สดุ หตั ถแหง่ เขา ขณะหวดสิพงึ กลวั
๏ บงเนือ้ กเ็ น้ือเต้น พศิ เสน้ สรรี ์รวั
ท่ัวรา่ งและท้งั ตวั กร็ ะรกิ ระรวิ ไหว
๏ แลหลังละลามโล หติ โอเ้ ลอะหล่งั ไป
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะรอ่ ยเพราะรอยหวาย
๏ เนีอ่ งนับอเนกแนว ระยะแถวตลอดลาย
เฆีย่ นครบสยบกาย สิรพบั พะกับคา
๏ หมู่ญาตอิ มาตย์มิต รสนทิ และเสนา
สังเวช ณ เหตสุ า หสล้วนสลดใจ
ภาษาไทย ม.๖ ครูนหิ สั ลงั เจะยามา ๙๙