การพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ นางสาวสุชาดา หาญสุวรรณ 62100106136 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
การพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ นางสาวสุชาดา หาญสุวรรณ 62100106136 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ผู้วิจัย นางสาวสุชาดา หาญสุวรรณ สาขาวิชา การสอนภาษาจีน อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ ครูพี่เลี้ยง นางชมนรินทร์ ไกรลาสบวร อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (อาจารย์ปาริฉัตร พรมสอน) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์นรากร จันลาวงศ์) .................................................................................. กรรมการ (อาจารย์อนงครัตน์ บังศรี) .................................................................................. กรรมการ (นางชมนรินทร์ ไกรลาสบวร) .................................................................................. กรรมการ (นางจันทร์สุดา โสดาดี)
ข ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นปีที่4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ผู้วิจัย นางสาวสุชาดา หาญสุวรรณ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ปาริฉัตร พรมสอน ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการ พัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์จังหวัดอุดรธานีได้จากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน และแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนวิชา ภาษาจีน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ สรุปผลการใช้แผนได้ดังนี้ 1. จากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่าคะแนนสอบก่อนเรียน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.42 คิดเป็นร้อยละ 37.14 และหลังเรียนคะแนนเฉลี่ย 15.81 คิดเป็นร้อยละ 79.05 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 8.39 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 41.91 นั้นคือนักเรียนมีการพัฒนามากขึ้นกว่าก่อน เรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบ คัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 วิชาภาษาจีน มีคะแนนเฉลี่ยความ พึงพอใจที่ 3.90 อยู่ในระดับพึงพอใจมาก สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ค กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งได้กรุณาให้คำแนะนำ จนงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้มีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษา และคณะคุณครูโรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ทุกท่านที่อำนวยความสะดวกให้ความร่วมมือช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจโดยตลอด ขอขอบใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ในการทดลองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย ที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ เพื่อรอคอยผลสำเร็จของผู้วิจัย ขอขอบคุณนางสาวฐรัชญา โยธาภักดี เพื่อนนักศึกษาสาขาวิชาการสอนภาษาจีน ที่ฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครูที่โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ด้วยกัน ที่ให้ความช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ตลอดมา คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่คุณบิดา มารดาผู้เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและผู้มีพระคุณทุกท่าน สืบไป สุชาดา หาญสุวรรณ
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 สมมติฐานของการวิจัย 3 ขอบเขตของการวิจัย 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 ประโยชน์ที่จะได้รับ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 6 การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 10 ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ความหมายของสื่อการสอน 11 13 ความพึงพอใจในการใช้สื่อ 13 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง -งานวิจัยในประเทศ 16 -งานวิจัยต่างประเทศ 21 กรอบแนวคิดการวิจัย 22 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 23 กลุ่มเป้าหมาย 23 รูปแบบในการทดลอง 23 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 24 การเก็บรวบรวมข้อมูล 33 การวิเคราะห์ข้อมูล 34
จ สถิติที่ใช้ในการวิจัย 35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 38 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 41 สรุปผลการวิจัย 43 การอภิปรายผล 43 ข้อเสนอแนะ 46 บรรณานุกรม 47 ภาคผนวก 51 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ 53 ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้ 55 ข้อสอบก่อนเรียน-หลังเรียน 67 การหาคุณภาพเครื่องมือของแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน 70 ภาคผนวก ค ประวัติย่อของผู้วิจัย 77 ภาพประกอบ 78
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ถ้าหากมองถึงความสำคัญของภาษาจีนกลางแล้วนั้นภาษาจีนกลางเป็นภาษาที่สำคัญ ของทวีปเอเชียมาช้านานเนื่องจากประเทศจีนเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่หนึ่งในสองของทวีป ดังนั้นการบันทึกความรู้และวิทยาการต่างๆจึงเป็นภาษาจีน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านปรัชญา ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ต่างๆ ทั้งขนาดของประเทศ จำนวนประชากร การเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาษาจีนกลางเป็นภาษาหนึ่งของเอเชียที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ ยิ่งเพิ่มความสำคัญ ให้กับภาษาจีนกลางเป็นอย่างมากการที่คนต่างประเทศอย่างเช่นคนไทยมีโอกาสที่จะเรียน ภาษาจีนกลางแล้วนั้นย่อมถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั่วไป แล้วเราสามารถใช้ภาษาเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆทั้งในระดับบุคคล และระดับประเทศ เช่น การศึกษาความรู้วิทยาการ การประกอบธุรกิจการลงทุน และการสร้าง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ (สุภิญญา เรือนแก้ว, 2562) เนื่องจากในปัจจุบันมีการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ขณะเดียวกันผู้เรียนภาษาจีนในประเทศไทย ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในการจัดการเรียนการสอนนั้นยังคงมีปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ไวยากรณ์ ตัวอักษรจีน หรือแม้กระทั่ง ด้านการสอนคำศัพท์ภาษาจีนก็ยังคงพบปัญหาอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคสำหรับผู้เรียนชาวไทยที่เรียน ภาษาจีนในฐานะภาษาต่างประเทศ “คำศัพท์ภาษาจีน” เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการเรียนภาษาจีน ที่ขาดไม่ได้ หากผู้เรียนสามารถจำคำศัพท์ภาษาจีนได้และนำไปใช้เป็นก็จะทำให้ผู้เรียนสามารถ นำไปต่อยอดการเรียนภาษาจีนของตนเองได้ และสามารถพัฒนาทักษะต่าง ๆในการเรียนภาษาจีน ได้เป็นอย่างดีในอนาคตดังนั้นการมีพื้นฐานคำศัพท์ที่ดีก็จะทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาองค์ความรู้ ของตนเองได้ในอนาคต (ปิยธิดา สังสีแก้ว, 2564) การพัฒนาตัวอักษรจีน เริ่มจากอักษรกระดองเต่า 甲骨文มาจนถึงอักษรไข่ซู楷书 ซึ่งถือเป็นต้นแบบของอักษรจีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ตัวอักษรจีนแบบเดี่ยวคือตัวอักษรจีนที่ประกอบ ขึ้นจากเส้นขีด ซึ่งแต่ละเส้นขีดไม่สามารถแยกออกจากกันได้เช่น 人、山、毛、水、木 โดยส่วนใหญ่มีที่มาจากตัวอักษรภาพเหมือนและตัวอักษรบ่งชี้เรื่องราวที่สืบทอดมาตั้งแต่ ยุคโบราณกาล การเรียนรู้ตัวอักษรเหล่านี้จึ่งมีเพียงวิธีเดียวคือการท่องจำ อักษรประเภทนี้ จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวอักษรแบบเดี่ยว
2 ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของตัวอักษรแบบผสม ตัวอย่างเช่น ตัวอักษร ที่ใช้木 เป็นส่วนประกอบข้างมีมากถึง 400 กว่าตัว เมื่อเราทำความเข้าใจตัวอักษรแบบเดียว ที่ใช้บ่อยเหล่านี้ได้การเรียนตัวอักษรจีนประเภทอื่น ๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป (จาง จิ้ง, 2562) ทักษะการเขียนอักษรจีนถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จำเป็นสำหรับการเรียนภาษาจีน แต่ผู้เรียนภาษาจีนส่วนใหญ่กลับมีความคิดว่าตัวอักษรจีนนั้นเขียนยาก เรียนรู้ยาก และจำยาก ต้องใช้ระยะเวลานานในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ เนื่องจากอักษรจีนเป็นอักษรที่มีเส้นขีด จำนวนมาก มีวิธีการสร้างตัวอักษรที่หลากหลาย มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน และมีหลักการ เขียนที่หลากหลาย ทำให้ยากต่อการจดจำ ทั้งนี้การเขียนภาษาไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ของตัวอักษรจีน อาจทำให้การสื่อสาร การท่องจำคำศัพท์ภาษาจีน หรือการอ่านภาษาจีน เกิดความคลาดเคลื่อน (นภัสสร พรหมทา, 2560) เนื่องจากผู้วิจัยได้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ เป็นโรงเรียน ที่จัดการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และวิชาภาษาจีนเป็นวิชาหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามหลักสูตร ให้มีความสามารถในการเขียนตัวอักษรจีนได้ถูกต้อง จากการศึกษาและประเมินผลผู้เรียน ในวิชาภาษาจีนในระดับชั้นเรียนที่ผ่านมาพบว่า ผู้เรียนมีผลการประเมินทักษะการเขียน ในระดับที่ไม่น่าพอใจ ซึ่งความสามารถดังกล่าว คือ คุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ในวิชาภาษาจีนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทักษะ การเขียนตัวอักษรจีนเป็นจุดอ่อนที่ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนา จากการศึกษาค้นพบว่ามีรูปแบบการสอนที่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ นั่นก็คือ การแก้ไข ปัญหาการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีนที่ผิดหลัก ด้วยแบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีน ผลการวิจัย พบว่าจากการทําแบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีนหลังเรียนของนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงกว่า ผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ร้อยละ 60 คือร้อยละ 68 และผลจากการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลัง เรียนมีผลคะแนนพัฒนาการจากการทําแบบฝึกก่อนเรียนและหลังเรียนเปรียบเทียบกันแล้วคิดเป็น ค่าเฉลี่ยร้อยละ 36 (ถิระนันทน์วิชาเดช, 2562) จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการเขียนตัวอักษรจีนเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นถึง ความสำคัญของการเขียนตัวอักษรจีน จึงศึกษาค้นคว้าเทคนิคที่สามารถมาช่วยให้นักเรียนสามารถ จดจำวิธีการเขียนตัวจีนที่ถูกต้องและจำคำศัพท์ได้มากขึ้นได้ โดยใช้วิธีการอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ หลักการ ที่มาและโครงสร้างของตัวอักษรจีนประกอบกับแบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด และฝึกทำ แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีดอย่างสม่ำเสมอ
3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด มีผลลัพธ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด มีค่าความพึงพอใจในระดับมากขึ้นไป
4 ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาอุดรธานี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 21 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาภาษาจีน 2 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง มีรายละเอียดดังนี้ 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องผลไม้ จำนวน 1 ชั่วโมง 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเส้นขีด จำนวน 1 ชั่วโมง 3.3 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องลำดับขีด จำนวน 1 ชั่วโมง 3.4 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครงสร้าง จำนวน 1 ชั่วโมง 3.5 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเครื่องดื่ม จำนวน 1 ชั่วโมง 3.6 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชนิดของคำ จำนวน 1 ชั่วโมง 3.7 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำนาม จำนวน 1 ชั่วโมง 3.8 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำสรรพนาม จำนวน 1 ชั่วโมง 3.9 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำกริยา จำนวน 1 ชั่วโมง 3.10 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครสร้างประโยคพื้นฐาน จำนวน 1 ชั่วโมง
5 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 วิชาภาษาจีน 2 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน หมายถึง การที่ผู้เรียนสามารถ เขียนภาษาจีนกลางได้ อย่างถูกต้อง ตามหลักการเขียน 2. แบบคัดตัวอักษรจีน หมายถึง แบบฝึกทักษะ การเขียนภาษาจีน ที่ผู้วิจัยได้สร้าง และพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกเขียนภาษาจีนในระดับพื้นฐานจนถึงระดับสูงได้ อย่างถูกต้องตามลักษณะการเขียนภาษาจีน 3. ลำดับขีด หมายถึง การเขียนต่อเนื่องของบรรทัดในแต่ละครั้งโดยไม่หยุดชะงักเมื่อ เขียนตัวอักษรจีน จังหวะเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของตัวอักษรจีน จังหวะสามารถแบ่ง ออกเป็นแนวนอน แนวตั้ง เอียง จุด พิน และพับ 4. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. นักเรียนได้พัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีนตามลำดับขีดได้ถูกต้อง 2. เป็นแนวทางในการทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการเขียนตัวอักษรจีน
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาภาษาจีน ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ วิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. การจัดการเรียนรู้โดยแบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 2.1 ความหมายแบบคัดตัวอักษรจีน 3. ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน 3.1 ความหมายทักษะการเขียน 4. ความหมายของสื่อการสอน 5. ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ 5.1 ความหมายของความพึงพอใจ 5.2 ทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 งานวิจัยในประเทศ 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ ในโรงเรียนนำร่องและโรงเรียนเครือข่าย ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๕ และใช้ในโรงเรียนทั่วไป ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕' เป็นตันมาจนถึงปัจจุบัน หน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบโดยตรง และมีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้หลักสูตรฉบับดังกล่าวนี้ได้ติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง พบว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ มีจุดดี หลายประการ เช่น หลักสูตรช่วยส่งเสริมการกระจายอำนาจทางการศึก ษา ทำให้ท้องถิ่น และสถานศึกษามีส่วนร่วมและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตนเอง มีแนวคิดและหลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมอย่างชัดเจน อย่างไร ก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าว ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นที่เป็นปัญหาและความไม่ชัดเจน ของหลักสูตรหลายประการทั้งในส่วนของเอกสารหลักสูตร กระบวนการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ และผลผลิตที่เกิดจากการใช้หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษา
7 ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ ที่คาดหวังไว้มาก การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผลต่อปัญหาการจัดทำเอกสาร หลักฐานทางการศึกษาและการเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ดำเนินการทบทวนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ เพื่อพัฒนาไปสู่หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยดังกล่าว และข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) มาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร ให้มีความเหมาะสมชัดเจนยิ่งขึ้นทั้งเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์จุดหมาย สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด โครงสร้าง เวลาเรียนของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปี ตลอดจนเกณฑ์การวัดประเมินผลให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และมีความชัดเจน ต่อการนำไปปฏิบัติเพื่อใช้เป็นทิศทางในการจัดทำหลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละระดับ โดยเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมได้ตามความพร้อมและจุดเน้น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฉบับนี้จัดทำขึ้น เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาทุกสังกัดที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลักสูตร และจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้านความรู้และทักษะที่จำเป็น สำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งภาคเอกชน ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ตลอดจนพ่อแม่ ผู้ปกครองและนักเรียน ซึ่งช่วย ให้การพัฒนาหลักสูตรฉบับนี้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมต่อการจัดการศึกษาเพื่อคนไทยทั้งประเทศ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษา ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ
8 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติมีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ทักษะ เจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น ทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการจัดการเรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
9 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการ เรียนรู้ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ สำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจน การเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อ การตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้าง เสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง ประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การ ทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม
10 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติศาสน์กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ 2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 2.1 ความหมายของแบบคัดจีน กชกร ธิปัตดี (2560) ให้ความหมายของชุดฝึกทักษะและชุดการสอนว่า ชุดการสอน กับชุดฝึกทักษะมีความสัมพันธ์กันในเชิงความหมายว่า เป็นสิ่งที่จัดรวมกันไว้เป็นชุด ด้วยสื่อที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายในการนำไปใช้ที่ชัดเจน เช่น เพื่อการสอน หรือเพื่อการแก้ไข ปัญหา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (อ้างถึงใน สุกัญญา โพธิสุวรรณ 2561) ได้กล่าวถึงชุดฝึก ทักษะว่า ชุดฝึกทักษะมีไว้ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะและความแตกฉาน ในบทเรียน ชัยยง พรหมวงศ์ (2559) ให้ความหมายของชุดฝึกหรือแบบฝึกปฏิบัติว่า หมายถึงคู่มือ นักเรียนที่นักเรียนต้องใช้ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนจากชุดการสอบเป็นส่วนที่นักเรียนบันทึก สาระสำคัญและทำแบบฝึกหัดไปด้วย มีลักษณะคล้ายแบบฝึกหัด แต่ครอบคลุมกิจกรรมที่ผู้เรียน พึงกระทำมากกว่าแบบฝึกหัดอาจกำหนดยกเป็นแต่ละหน่วย เรียกว่า Worksheet หรือกระดาษคำตอบ ซึ่งเวลาเรียนต้องถือติดตัวตลอดเวลาประกอบกิจกรรมต่าง ไพบูลย์ มูลดี (2562) ได้กล่าวว่า ชุดฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกการเรียนรู้ที่ครูสร้างขึ้น ให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้ว เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและช่วยเพิ่มทักษะ ความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมีประ โยชน์ในการสดภาระการสอนให้ครู อีกทั้งพัฒนาความสามารถละทำให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรู้ของตนเอง ได้
11 ราชบัณฑิตยสถาน (2564) ให้ความหมายของชุดฝึกหรือแบบฝึกว่า เป็นตัวอย่างปัญหา หรือคำสั่งที่ตั้งขึ้น เพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ วิมลรัตน์ สุนทรโรชน์ (2560) ได้ให้ความหมายของแบบฝึก ชุดฝึก แบบฝึกหัดหรือแบบเสริม ทักษะว่า เป็นสื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมสำหรับนักเรียนฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและทักษะเพิ่มขึ้น วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2561) ได้กล่าวว่า ชุดฝึกทักษะ เป็นสื่อการสอนที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ ผู้เรียน ได้ศึกษาทำความเข้าใจ และฝึกฝนจะเกิดแนวคิดที่ถูกต้องและเกิดทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้นชุดฝึกทักษะยังเป็นเครื่องขี้บ่งให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้ชุดฝึกทักษะมีความรู้ความ เข้าใจในบทเรียน และสามารถนำความรู้นั้นไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ชุดฝึกทักษะ เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ผู้สอนใช้ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของนักเรียนในวิชาต่างๆ สุดารัช อมตวณิชกุล (2561) ได้สรุปว่า ชุดฝึกทักษะเป็นกิจกรรมหรือสื่อการเรียนการสอน อย่างหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับฝึกทักษะ ตามจุดมุ่งหมายและลักษณะของชุดฝึกที่พัฒนา ขึ้น แต่ว่าในการพัฒนาชุดฝึกนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สร้างจะต้องคำนึงถึงจุดมุ่งหมาย รูปแบบ หรือลักษณะของชุดฝึกทักษะที่สนองตอบกับจุดมุ่งหมาย และเหมาะสมกับผู้ใช้ รวมทั้งทำให้ชุดฝึก ทักษะพัฒนาขึ้น มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ จากความหมายของแบบคัดจีนดังกล่าวข้างต้น แสดงให้ความสอดคล้องด้านความหมาย ของแบบคัดจีนว่า เป็นสื่อการสอนที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียน ได้ศึกษาทำความเข้าใจ และฝึกฝน จะเกิดแนวคิดที่ถูกต้องและเกิดทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้นชุดฝึกทักษะยังเป็นเครื่องชี้บ่ง ให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้ชุดฝึกทักษะมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียน 3. ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน 3.1 ความหมายทักษะการเขียน นิตยา ธัญญพาณิชย์ (2560) กล่าวว่า การเขียนเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญประการหนึ่ง ใช้ในการติดต่อสื่อสารโดยมีตัวหนังสือตลอดจนเครื่องมือต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยค าในภาษา พูดเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ให้ผู้อื่นทราบ นภดล จันทร์เพ็ญ (2564) กล่าวว่า การเขียนคือการแสดงออกในการติดต่อสื่อสารอย่างหนึ่ง ของมนุษย์ โดยอาศัยภาษาตัวอักษรเป็นสื่อเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ และความในใจของเราให้กับผู้อื่นทราบ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน (2562) ให้ความหมายคำว่าเขียนไว้ว่าขีดให้เป็นตัวหนังสือ หรือเลข, ขีดให้เป็นเส้นหรือรูปต่างๆ, วาด, แต่งหนังสือ
12 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (2559) ทักษะการเขียน หมายถึง การถ่ายทอด เรื่องราว ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ตลอดจน ประสบการณ์ต่างๆ ของผู้เขียน ออกมาเป็น ตัวอักษ รหรือสัญลักษณ์ ไปยังผู้อ่านให้เข้าใจ ตาม จุดประสงค์ที่ต้องการ วิจิตรา แสงพลสิทธ์ และคณะ (2560) กล่าวว่า การเขียนคือการแสดงออกเพื่อการสื่อสาร อย่างหนึ่งของมนุษย์ โดยอาศัยภาษาตัวอักษรและอุปกรณ์อื่นๆ เป็นสื่อเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความต้องการและความสนใจทุกอย่างให้ผู้อื่นได้ทราบ สุนีติ์ ภู่จิรฐาพันธุ์ (2561) กล่าวว่า การเขียนคือการถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ความคิด ความต้องการและความรู้สึกของบุคคลด้วยการเรียบเรียงถ้อยค า ข้อความออกมาเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตามที่ประสงค์ สนิท ตั้งทวี (2563) กล่าวว่า การเขียน คือการแสดงความคิด ความรู้สึก ซึ่งอยู่ในใจออกมา ให้ผู้อื่นรับรู้ โดยวิธีการใช้สัญลักษณ์ที่เรียกกันว่าตัวหนังสือหรือตัวอักษร เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเจตนา ของผู้เขียน ผู้อ่านจะสามารถรับรู้ความในใจของผู้เขียนได้ดีหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ว่า ผู้เขียนมีทักษะ ในด้านการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใร สนิท สัตโยภาส (2560) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การติดต่อสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่มนุษย์พยายามถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อื่นอ่านแล้ว เข้าใจตามที่ตนต้องการ โสภณ สาทรสัมฤทธิ์ผล (2565) กล่าวว่า การเขียนหมายถึงทักษะในการใช้ภาษา ที่มุ่งถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ความรู้และข้อมูลต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่าน ได้รับทราบจุดประสงค์ตามเจตนาของผู้เขียน สมบัติ ศิริจันดา (2564) กล่าวว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิดความรู้สึก ความต้องการ ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ จากผู้เขียน ถ่ายทอดผ่านตัวอักษร(ภาษา) ยังผู้รับสาร เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง จากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง และจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง สมพร มันตะสูตร (2560) กล่าวว่า การเขียนคือการสื่อความรู้ ความคิด ทัศนคติและอารมณ์ เป็นตัวอักษรจากผู้เขียนถึงผู้อ่าน จากความหมายของการเขียนดังกล่าวข้างต้น แสดงให้ความสอดคล้องด้านความหมาย ของการเขียนว่า เป็นการสื่อสารที่ถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์อักษรประการที่หนึ่ง ประการที่สอง คือการเขียนถ่ายทอดสารหรือประสบการณ์ต่างๆ ความรู้ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก หรือความต้องการที่มีอยู่ในตัว
13 4. ความหมายของสื่อการสอน ไพฑูรย์ มะณู(2560) สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้เป็น เครื่องมือหรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของครูไปถึงผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ตาม จุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่วางไว้เป็นอย่างดี สื่อที่ใช้ในการสอนนี้ อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของที่มี ตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ เช่น - วัตถุสิ่งของตามธรรมชาติ - ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ - วัตถุ สิ่งของที่คิดประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นสำหรับการสอน คำพูดท่าทาง วัสดุ และเครื่องมือสื่อสาร กิจกรรมหรือกระบวนการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ดวงกมล นามสองชั้น (2565) สื่อมัลติมีเดียกับการสอนภาษาจีน หมายถึง เป็นการใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาบูรณาการสื่อมัลติมีเดียรูปแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันตามองค์ประกอบดังนี้ ข้อความหรืออักษร ภาพกราฟิกเสียง ภาพเคลื่อนไหว และวีดิทัศน์ เพื่อเป็นส่วนประกอบของการ เรียนการสอนภาษาจีน โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการ จัดการเรียนรู้ในภาษาจีนของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ใจ จิระเกษม (2566) สื่อการเรียนการสอนสื่อกลาง ๆ ในการถ่ายทอดความรู้ และเนื้อหาต่าง ๆ จนถึงความรู้และประสบการณ์ไปยังผู้เรียนคำว่า “สื่อการสอน” ในที่สุดอาจ ใช้คำที่สื่อถึงตัวกลางการถ่ายทอดความรู้นี้ว่า สื่อการเรียนรู้สื่อในสื่อการศึกษาหรือสื่อการ เรียนรู้ สื่อความหมายที่มีความหมายเดียวกับเพื่อการเป็นผู้นำการถ่ายทอดความรู้ จากความหมายของสื่อการสอนข้างต้น กล่าวได้ว่าสื่อการสอนคือแหล่งความรู้ หรือตัวกลางที่มีความสำคัญในการเรียนการสอนและการเรียนรู้ซึ่งอาจเป็นแหล่งข้อมูลการ เรียนรู้ที่ต้องการของผู้ป่วยสนับสนุนการศึกษาและการเรียนรู้โดยระบบ ถึงสื่อหลากหลาย ประเภทและสืบสวนสอบสวนหนังสือเอกสารความรู้สื่อประเภทต่าง ๆ มากมายเพื่อตรวจสอบ 5. ความพึงพอใจในการใช้สื่อ 5.1 ความหมายของความพึงพอใจ ศุภศิริ โสมาเกตุ (2560) นักวิชาการและนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของ ความพึงพอใจไว้หลาย ประการดังนี้ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวกดังนั้น ความพึงพอใจในการเรียนรู้จึงหมายถึงความรู้สึกพอใจ ชอบใจ ในการร่วมปฏิบัติกิจกรรม การเรียนการสอน และต้องการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ จนบรรลุผลสำเร็จ
14 Good (2019) ความพึงพอใจหมายถึงระดับความรู้สึกพอใจซึ่งเป็นผลจากความสนใจ และทัศนคติที่ดีต่อบุคคลที่มีต่อสิ่งต่างๆความพึงพอใจจะต้องศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบ ที่เป็นสาเหตุแห่งความพึงพอใจเท่านั้น Morse (2018) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สามารถถอดความเครียดของผู้ที่ทำงานให้ลดน้อยลงถ้าเกิดความเครียดมากจะทำให้เกิด ความไม่พอใจในการทำงาน และความเครียดนี้มีผลมาจากความต้องการของมนุษย์เมื่อมนุษย์ มีความต้องการมากจะเกิดปฏิกิริยาเรียกร้องหาวิธีตอบสนอง ความเครียดจะลดน้อยลง หรือหมดไปความพึงพอใจก็จะมากขึ้น จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น แสดงให้ความสอดคล้องด้านความหมาย ของความพึงพอใจว่า ระดับความรู้สึกพอใจซึ่งเป็นผลจากความสนใจ และทัศนคติที่ดีต่อบุคคล ที่มีต่อสิ่งต่างๆความพึงพอใจจะต้องศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุ แห่งความพึงพอใจเท่านั้น 5.2 ทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจ สมยศ นาวิการ (2565) ได้กล่าวถึงแนวคิดพื้นฐานของความพึงพอใจที่ต่างกัน 2 ลักษณะคือ 1. ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกินแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงกว่าผุ้ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง 2. ผลการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจ และผลการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยกิจกรรมอื่นๆผลการปฏิบัติงานที่ดีจะนำไปสู่ผล การตอบแทนที่เหมาะสมในที่สุดนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับ การตอบสนองในรูปของรางวัลซึ่งแบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายใน( IntrinsicRewards) และผลตอบแทนภายนอก(ExtrinsicRewards)โดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรม ของผลตอบแทนซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณของผลตอบแทนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับ นั่นคือความพึงพอใจ ในงานของผู้ปฏิบัติงานจะถูกกำหนดโดยความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงและการยอม รับรู้เรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนที่รับรู้แล้วความพึงพอใจย่อมเกิดขึ้น Maslow (2018) ได้กล่าวถึงทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจที่ได้ยอมรับ และเชื่อถือที่สุดคือ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการโดยมีข้อสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ 3 ประการ ดังนี้ 1. คนทุกคนมีความต้องการและความต้องการมีอยู่ตลอดเวลาและไม่มีที่สิ้นสุด 2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมอีกต่อไปความต้องการ ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่านั้นที่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรม 3. ความต้องการของคนจะมีลักษณะเป็นลำดับขั้นจากต่ำไปหาสูงก็จะะเรียกร้องให้ตอบสนอง ลักษณะของการจูงใจจากต่ำไปหาสูงมี 5 ขั้นตอนดังนี้
15 1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Need) เป็นความต้องการเบื้องต้น เพื่อความอยู่รอดเช่น ความต้องการด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการพักผ่อน ฯลฯ ความต้องการทางด้านร่างกาย จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน ก็ต่อเมื่อความต้องการทางด้านร่างกายยังไม่ได้รับการตอบสนอง 2. ความต้องการด้านความปลอดภัยหรือความมั่นคง (Security of Safety Need) ถ้าหากความต้องการทางด้านร่างกายได้รับการตอบสนอง มนุษย์จะมีความต้องการในสิ่ง ที่สูงขึ้นต่อไป คือความต้องการความปลอดภัยเพื่อ ให้เกิดความปลอดภัยจากภัยที่เกิดขึ้น 3. ความต้องการด้านสังคม (Social or Belongingness Need) ภายหลังจากที่ตน ได้รับ การตอบสนองในสองขั้นดังกล่าวแล้ว จะต้องมีความต้องการที่สูงขึ้น ความต้องการทาง ด้านสังคมจะเริ่มเป็นสิ่งที่สำคัญต่อพฤติกรรมของคน ความต้องการทางด้านนี้จะเป็น ความต้องการเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันและการได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นและความรู้สึก ว่าตนเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทางสังคมอยู่เสมอ 4. ความต้องการที่จะมีฐานะเด่นในสังคม (Esteem or Status Need) ความต้องการ ขั้นต่อมาเป็นความต้องการที่ประกอบด้วยสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้คือ ความมั่นใจในตนเอง ในเรื่องความสามารถ ความรู้ ความสำคัญตนเองรวมทั้งความต้องการที่จะมีฐานะเด่น เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นหรืออยากให้คนอื่นยกย่องสรรเสริญการดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ในองค์กร 5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิต (Self Actualization or Self Realization) ลำดับความต้องการสูงสุดของมนุษย์ คือ ความต้องการที่จะสำเร็จในชีวิตตามความนึกคิด หรือความคาดหวังทะเยอทะยาน ใฝ่ฝัน ภายหลังที่มนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการ ทั้ง 4 ขั้น อย่างครบถ้วนแล้วความต้องการในขั้นนี้เกิดขึ้นและมักเป็นความต้องการ ที่เป็นอิสระเฉพาะแต่ละคนซึ่งต่างก็มีความนึกคิดใฝ่ฝันที่อยากได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ตน คาดหวังไว้ จากทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจดังกล่าวข้างต้น แสดงให้ความสอดคล้อง ด้านทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนอง ผู้ปฏิบัติงาน จนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกินแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ รับการตอบสนอง
16 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 งานวิจัยในประเทศ ถิระนันทน์วิชาเดช (2562) ได้วิจัยเกี่ยวกับการทําวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหา การเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีนที่ผิดหลัก ด้วยแบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีน สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา จังหวัดขอนแก่น ให้มีผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จํานวน 5 คน โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2562 โดยใช้รูปแบบ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการสอนการเขียนลําดับขีดอักษรจีน (2) แบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีน ก่อนเรียน-หลังเรียน (3) ใบความรู้การลําดับขีดการเขียน ตัวอักษรจีน และเส้นขีดอักษรจีน(4)หนังสือภาษาจีนระดับต้น1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS หาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าจากการทําแบบฝึกการเขียนลําดับขีด ตัวอักษรจีนหลังเรียนของนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ร้อยละ 60 คือร้อยละ 68 และผลจากการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมีผลคะแนนพัฒนาการ จากการทําแบบฝึกก่อนเรียนและหลังเรียนเปรียบเทียบกันแล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 36 ปรีดาวรรณ ถาวร (2563) วิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้เป็นงานวิจัย (ประเภท) การวิจัยอย่างง่าย มีวัตถุประสงค์1. เพื่อเพิ่มทักษะการจดจำวิธีการเขียนตัวอักษรจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนปราจีนกัลยาณี2. เพื่อเพิ่มทักษะการจดจำความหมาย และการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนปราจีนกัลยาณี3. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในรายวิชาภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนปราจีนกัลยาณีกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1. ใบความรู้เรื่องลำดับ ขีด จากหนังสือเรียน 汉语教程 (上) และจากเว็บไซต์ bihua.3312345.com เพื่อพัฒนา ทักษะการเขียนตัวอักษรจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนปราจีนกัลยาณี 2. แบบฝึกหัดประจำบทเรียนในหนังสือเรียน 汉语教程 (上) เพื่อทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนในแต่ ละบทเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนปราจีนกัลยาณี3. แบบประเมินทักษะการ จดจำตัวอักษรจีน ก่อนและหลังใช้แบบฝึกเขียน และการ 听写 ที่ผู้วิจัย จัดทำขึ้นด้วยตนเองโดยใช้ คำศัพท์ภาษาจีน จากหนังสือสัมผัสภาษาจีนเล่ม 1 และหนังสือเรียน 汉语教 程 (上) มา ประกอบการจัดทำ 4. แบบฝึกเขียนตัวอักษรจีน และการ 听写 โดยทำเป็นแบบตารางคัดจีน วิเคราะห์หาข้อมูลเชิงสถิติโดยใช้สถิติ1. หาค่าเฉลี่ย 2.ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. วิเคราะห์ ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อศึกษาความแตกต่างของคะแนนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัย พบว่าสรุปผลการวิจัย จากข้อมูลข้างต้น การวิจัยใน ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาการจดจำตัวอักษรภาษาจีนของนักเรียน และเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการ
17 เรียนภาษาจีนโดยใช้แบบฝึกเขียนตัวอักษร และการ 听写 การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ให้นักเรียน กลุ่มเป้าหมายใช้แบบฝึกเขียนตัวอักษร เพื่อฝึกเขียนตัวอักษรจีนที่เป็นคำศัพท์ใหม่ในแต่ละบทเรียน โดยใช้ใบความรู้แต่ละบท และใบความรู้เรื่องลำดับขีดเป็นสื่อประกอบ มีการสอนเพิ่มเติมสำหรับการ เขียนตัวอักษรที่ซับซ้อน และอธิบายเพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงวิธีการเขียน ความหมายและสามารถ จดจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น หลังจากเรียนนักเรียนสามารถฝึกเขียนตัวอักษรจีนได้เองโดย การดูใบความรู้ เรื่องลำดับขีด ทำให้ได้ฝึกฝน และเรียนรู้ตนเองโดยมีครูเป็นผู้แนะนำ ทดสอบความเข้าใจอีกครั้งก่อน ทำแบบทดสอบด้วยการ 听写 เพื่อส่งเสริม ให้นักเรียนจดจำตัวอักษรจีนได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ต่อตัวนักเรียนมากกว่าการสอนทั่วไป ที่ไม่มีการใช้แบบฝึกเขียนตัวอักษร และการ 听写 ดังนั้นการ เรียนการสอนโดยใช้วิธีการข้างต้นนี้จึงเป็นการส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนสูงขึ้น ผู้วิจัยจึง ได้เลือกนำวิธีนี้มาใช้และวัดและประเมินผลการเรียนรู้โดยการทำแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน จากการวิเคราะห์ผลวิจัย สรุปได้ว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเขียน ตัวอักษร และการ 听写 มีความสามารถในการจดจำตัวอักษรจีน และความหมายได้สูงกว่าก่อน เรียน ภากร นพฤทธิ์(2561) การวิจัย เรื่อง การศึกษาปัญหาการเขียนภาษาจีนของนักศึกษา สาขาวิชาภาษาจีนมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาการเขียนภาษาจีน ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิช ะแนวทางในการจัดการเรียนการสอนการเขียนตัวอักษรแบบบอก ความหมายและเสียงในภาษาจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษา ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่ลงทะเบียน ในปีการศึกษา 2/2561 จำนวน 100 คน โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบการใช้อักษรแบบบอกความหมายและเสียงภาษาจีน ผลการวิจัยพบว่า ข้อผิดพลาดในการใช้อักษรแบบบอกความหมายและเสียงของนักศึกษา ผิดพลาด มากที่สุด คือ ประเภทส่วนแสดงความหมายอยู่ด้านบน ส่วนแสดงเสียงอยู่ด้านล่าง คิดเป็นร้อยละ 69.6 รองลงมา คือ ประเภทส่วนแสดงความหมายอยู่ด้านขวา ส่วนแสดงเสียงอยู่ด้านซ้าย คิดเป็น ร้อยละ 60.8 สาเหตุข้อผิดพลาดแบ่งเป็น 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ สาเหตุจากคำพ้องเสียงของอักษร แบบบอกความหมายและเสียง สาเหตุจากความใกล้เคียงของตัวอักษรจีนทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสน และสาเหตุจากผู้เรียนไม่เข้าใจหลักการเขียนตัวอักษรจีน แนวทางในการจัดการเรียนการสอน (1) ครูผู้สอนควรนำกลวิธีการประดิษฐ์ตัวอักษรจีนดังกล่าวมาช่วยในการอธิบายความหมายของ ตัวอักษรจีน (2) ควรมีการฝึกคัดตัวอักษรภาษาจีนให้มาก และมีรูปแบบการฝึกฝนที่หลากหลาย (3) ควรมีการเน้นย้ำในด้านการสอนลำดับขีด การจำแนกส่วนประกอบของตัวอักษร และรูปแบบการ เขียนที่ได้มาตรฐานในภาษาจีน (4) ควรมีการพัฒนานวัตกรรม หรือสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยในการศึกษา ลำดับขีดหรือการเขียนตัวอักษรจีน และพัฒนาทักษะการจำตัวอักษรจีนของผู้เรียน
18 สุกัญญา ทองแห้ว (2564) การเรียนรู้อักษรจีนถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จำเป็นสำหรับการเรียน ภาษาจีน แต่เนื่องจากอักษรจีนเป็นอักษรที่มีเส้นขีดจำนวนมาก มีวิธีการสร้างตัวอักษรที่หลากหลาย มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน และมีหลักการเขียนที่หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนภาษาจีน ส่วนใหญ่ มีความคิดว่าตัวอักษรจีนนั้นเขียนยาก เรียนรู้ยาก และจำยาก ทั้งนี้ผู้วิจัยจึงมีแนวความคิดและสนใจ ที่จะศึกษาแนวทาง นวัตกรรมหรือเทคนิคต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการจำอักษรจีน ของผู้เรียน ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย การวิจัยการพัฒนาการจำอักษรจีน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนอักษรจีนโครงสร้างอักษรเดี่ยว ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา การจำ อักษรจีน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนอักษรจีนโครงสร้างอักษรเดี่ยว ในรายวิชาความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับอักษรจีน และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดฝึกทักษะการเขียนอักษรจีน โครงสร้างอักษรเดี่ยว โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน จำนวน 24 คน เครื่องมือในการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดทำชุดฝึกทักษะการจำอักษรจีน โครงสร้างอักษรเดี่ยวจำนวน 5 ชุด แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการจำอักษรจีน แบบโครงสร้างอักษรเดี่ยว แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการจำอักษรจีน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียน อักษรจีนโครงสร้างอักษรเดี่ยว และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีนที่มีต่อ ชุดฝึกทักษะการเขียนอักษรจีนโครงสร้างอักษรเดี่ยว มาดำเนินการวิจัย และทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสูตรสถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ ( T-test แบบ one sample test ) จากผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีทักษะการจำอักษรจีนโครงสร้าง อักษรเดี่ยวดีขึ้น สามารถเขียนตัวอักษรจีนได้อย่างถูกต้องตามหลักการเขียน รวมถึงสามารถ บอกความหมายและที่มาของตัวอักษรจีนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาภายหลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนอักษรจีนโครงสร้างอักษร เดี่ยวสูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 นักศึกษามีความพึงพอใจต่อฝึกทักษะการเขียน อักษรจีนโครงสร้างอักษรเดี่ยว ถึงร้อยละ 93.8 ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด สุชนา หลงเจริญ (2562) ปัจจุบันภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีความสำคัญไม่แพ้ ภาษาอังกฤษ ดังนั้น จึงมีประชาชน พ่อแม่ผู้ปกครองอีกจำนวนมากที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับภาษาจีน และพยายามส่งเสริมให้บุตรหลานของตนให้เรียนภาษาจีนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมามีโรงเรียนหลายแห่งเปิดสอนวิชาภาษาจีน แต่ถึงแม้จะมีการเรียนการสอน มาระยะหนึ่ง ทักษะภาษาจีนของผู้เรียนชาวไทยกลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านการฟัง พูด อ่าน หรือเขียน โดยเฉพาะทักษะด้านการเขียนเป็นปัญหาที่สามรถเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก การเขียนของภาษาจีนและไทยนั้นมีจุดที่แตกต่างกันอย่างมากส่งผลกระทบให้เด็กนักเรียนไทย เกิดข้อเข้าใจผิดและข้อผิดพลาดใหญ่ในการเขียนทั้งจากรูปแบบของการเขียนตัวอักษร
19 และการเรียบเรียงประโยค เนื่องด้วยการเขียนภาษาไทยนั้นเน้นเรื่องการใช้การเว้นวรรค ในการแบ่งวรรคตอนเพื่อแยกประโยคย่อยออกจากกัน และไม่ใช้เครื่องหมายวรรคตอนเพราะข้อความ ของภาษาไทยสามารถบ่งบอกความหมายได้ในตัวอยู่แล้ว แต่ภาษาจีนนั้นตรงกันข้ามการเขียน ภาษาจีนให้ความสำคัญกับเครื่องหมายวรรคตอนเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ผู้เรียนชาวไทย ไม่สามารถใช้การเขียนมาเป็นสื่อกลางในการส่งสารได้อย่างถูกต้องแม่นย า และนี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้การเรียนการสอนวิชาภาษาจีนของประเทศไทยเรานั้นยังไม่พัฒนาไปเท่าที่ควร ซึ่งหากเรา สามารถเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุ เราก็จะสามารถพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน ให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น สุพัตรา โกมลมุสิก (2565) การเขียนอักษรจีนถือว่าเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่สำคัญอีกวิธีการ หนึ่ง ผู้เรียนจะสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนภาษาจีนได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนเขียนอักษรจีนได้ถูกต้อง จากการ สังเกตนักเรียนในชั้นเรียนของผู้วิจัย พบว่าผลที่นักเรียนไม่ประสบผลสำเร็จในการเขียนลำดับขีด ตัวอักษรภาษาจีนนั้น เนื่องจากว่าผู้เรียนรู้สึกว่าตัวอักษรจีนมีความซับซ้อน เขียนยากทำให้ส่วนใหญ่ มักท้อถอยในการฝึกฝน ฝึกเขียนน้อย ไม่สนใจท่องจำหลักการเขียนที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นครูผู้สอน ควรเน้นการฝึกเขียน ตั้งแต่พื้นฐานคือ ให้นักเรียนรู้จักเส้นพื้นฐานที่ใช้เขียนบ่อย การเขียนแยกเส้น ต่างๆพร้อมทั้งชื่อเรียกและหลักการง่ายๆในการเขียนตัวอักษร โดยควรทำแบบฝึก ที่มีสีสันหรือหา กลวิธีที่สนุกสนาน ดึงดูดให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะฝึกเขียน และชื่นชมเมื่อผู้เรียน มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ จากการศึกษาปัญหา การเขียนอักษรจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 36 คน โรงเรียนประสาทรัฐประชากิจ ช่วง 2 สัปดาห์แรกของภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 พบว่านักเรียนจำนวน 36 คนนั้นสามารถ จำแนกความสามารถในการเขียนอักษรจีน จากการทำแบบทดสอบวัด การเขียนได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้คือ 1. กลุ่มเขียนถูก สวยงาม เป็นระเบียบ รวดเร็วคล่องแคล่ว มีจำนวน 24 คน 2. กลุ่มเขียนถูก บ้าง ผิดบ้าง คล่องแคล่วแต่ยังเขียนไม่ค่อยสวย มีจำนวน 6 คน 3. กลุ่มเขียนไม่ค่อยได้เขียนผิดมาก ไม่สวยงามเป็นระเบียบและเชื่องช้า มีจำนวน 6 คน โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้เกมและแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรจีนเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน เพื่อฝึกให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้เขียนตัวอักษรจีนได้ถูกต้องและมีผลสำฤทธิ์ทางการเรียน มากยิ่งขึ้น อมราภัสร์บุณยสิทธิ์เศวต (2563) งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดลองใช้ชุดแบบฝึก ทักษะการเขียนตัวอักษรจีนสำหรับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อแก้ไขปัญหานักเรียน เขียนตัวอักษรจีนไม่ถูกต้อง และเพื่อศึกษาผลการพัฒนาการด้านการเขียนตัวอักษรจีนของนักเรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนในระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6 โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ
20 ข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรจีน และ แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ผลการวิจัย พบว่า ชุดฝึกทักษะการเขียน ตัวอักษรจีนได้จัดเนื้อหา และรูปแบบของแบบฝึกทักษะการเขียนอักษรจีนอย่างสวยงาม น่าอ่าน ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกในการฝึกทักษะการเขียน ได้ฝึกเขียนบ่อย ๆ ทำให้ประสิทธิภาพของแบบ ฝึกทักษะการเขียนรายบุคคลมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้การแก้ไขปัญหานักเรียนเขียนตัวอักษรจีน ไม่ถูกต้อง พบว่า เมื่อผู้เรียนเข้าใจในเรื่องลำดับขีด และมีความรู้พื้นฐานในการเขียนอักษรจีน แล้ว นักเรียนส่วนมากมีความสนใจและตั้งใจปฏิบัติกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของแบบฝึกทักษะ ทำให้ผลการเขียนตัวอักษรจีนพัฒนามากยิ่งขึ้น ผลการพัฒนาการด้านการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียน พบว่า คะแนนแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรจีนของนักเรียนมีการพัฒนาขึ้นทุกครั้ง ในการทำแบบฝึก จากการที่กิจกรรมในแบบฝึกทักษะเป็นที่น่าสนใจ ภาษาที่ใช้ในแบบฝึก มีความชัดเจนเข้าใจง่าย ทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาการเขียนของตนเอง
21 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ Zhou (2022) หลาย ๆ คนที่เรียนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ (CFL) ต้องเผชิญ กับความท้าทายในการเขียนตัวอักษร นี่เป็นการศึกษาติดตามผลการศึกษาเชิงปริมาณของเรา ในปี2019 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ปากกา และกระดาษในการเรียนรู้การเขียนตัวอักษรจีนอย่างมาก ผู้เรียน CFL เริ่มต้นสามสิบคนเข้าร่วม ในการศึกษานี้มีการสำรวจและสัมภาษณ์เพื่อค้นหามุมมองเกี่ยวกับบทบาทของความรู้เรื่องลำดับขีด การใช้แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในการเขียนภาษาจีน และวิธีการแนะนำในการสอนการเขียนตัวอักษร จีน ตามที่แสดงในผลลัพธ์ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมตระหนักถึงคุณค่าของแอปในการเรียน รู้ตัวละครของตน พวกเขามองว่าลำดับขีดไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการเขียนภาษาจีนเท่านั้น แต่ยังควรเน้นที่ระดับเริ่มต้นด้วย ถึงแม้จะนิยมใช้แอปนี้แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีกระดาษปากกา แบบเดิม ๆ ก็แนะนำให้ใช้ทั้งสองวิธีแบบผสมสำหรับการฝึกสอน Miao (2022) เอกสารโบราณเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการสืบทอดทางวัฒนธรรม และความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติและมนุษย์ต่อเอกสารโบราณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้มีการรวบรวมรูปภาพตัวอักษรจีนโบราณที่มีสัญญาณรบกวนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบ ร้ายแรงต่อ ความแม่นยำของการจดจำภาพที่ตามมา จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแปลงเอกสาร โบราณให้เป็นดิจิทัล เพื่อจัดการกับความซับซ้อนของโครงสร้างข้อความโบราณ บทความนี้เสนอ วิธีการลดสัญญาณรบกวนรูปภาพข้อความโบราณของจีนโดยอิงตามแบบจำลองมาตรฐานการเขียน ตัวอักษรจีน วิธีแรกจะเพิ่มสาขาท้องถิ่นเพิ่มเติมอีกสี่สาขาโดยอิงจากการแยกสาขาทั่วโลก และใช้ข้อมูลรายละเอียดตัวละครเสริมเพื่อลดปรากฏการณ์จังหวะที่เกาะติดกับสัญญาณรบกวน เนื่องจากขาดรายละเอียดในท้องถิ่น ประการที่สอง แนะนำเสียงจำลองของเอกสารโบราณเพื่อจำลอง สัณฐานวิทยาของภาพตัวละครโบราณที่แท้จริง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการฝึกฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธี นี้ได้ในกระบวนการฝึกอบรม ค่าเบี่ยงเบนค่าสัมบูรณ์ขั้นต่ำ การสูญเสียการปรับให้เรียบ การสูญเสีย ความสม่ำเสมอของโครงสร้าง และฟังก์ชันการสูญเสียที่ได้รับการปรับปรุงซึ่งเกิดจากการสูญเสียฝ่าย ตรงข้ามจะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพารามิเตอร์ซ้ำๆ สุดท้าย การทดลองพิสูจน์ว่าแบบจำลอง ในบทความนี้สามารถเพิ่มอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (PSNR) สูงสุด และความคล้ายคลึงกัน ของโครงสร้าง (SSIM) ของภาพได้อย่างน้อย 23.8% และ 11.4% และดัชนีการประเมินผู้ใช้(UV) มีไปถึงมากกว่า 80% ด้วย
22 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น 1. การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบคัด จีนตามลำดับขีด ตัวแปรตาม 1. ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน
23 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการเขียน ตัวอักษรจีน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบ แผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 21 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)
24 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัด ตัวอักษรจีนตามลำดับขีด จำนวน 10 แผน เวลา 10 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ 1.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียน การสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบคัดอักษรจีนตามลำดับขีด 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ของกระทรวงศึกษาธิการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.3 วิเคราะห์ 2.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 10 แผน แผนละ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องผลไม้ จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.2 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเส้นขีด จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.3 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องลำดับขีด จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.4 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครงสร้าง จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.5 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเครื่องดื่ม จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.6 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชนิดของคำ จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.7 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำนาม จำนวน 1 ชั่วโมง
25 2.1.4.8 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำสรรพนาม จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.9 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำกริยา จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.10 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครสร้างประโยคพื้นฐาน จำนวน 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การ เรียนรู้(รายชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้า กลุ่มสาระที่ปรึกษาแล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชา ภาษาจีน เพื่อตรวจสอบ ความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัด และประเมินผล โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาลงความคิดเห็นแล้วให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบ ของแผนการจัดการเรียนรู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความ สอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1.00 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีนตามข้อเสนอแนะ 2.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย
26 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน จำนวน 10 แผน เวลา 10 ชั่วโมง การตรวจสอบคุณภาพนำไป ให้ผู้ทรงคุณวุติจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง ซึ่งค่าที่ยอบรับได้อยู่ที่ 0.67 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 1 ผลการศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ คนที่1 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่3 รวม IOC แปล ค่า แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องผลไม้ 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเส้นขีด 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องลำดับขีด 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครงสร้าง 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องเครื่องดื่ม 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชนิดของคำ 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำนาม 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำสรรพนาม 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำกริยา 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโครงสร้าง ประโยคพื้นฐาน 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน มีค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นค่าที่ยอมรับได้ และมีค่ามากกว่าคณะผู้วิจัยที่ได้กำหนดไว้
27 2.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาจีน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก และแบบอัตนัย ในการสร้าง แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาจีน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผล วิชาภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้อง เทคนิคการเขียนข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ และแบบอัตนัย 2.2.1 วิเคราะห์เนื้อหา เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นเนื้อหาย่อยๆ แล้วเขียน จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก และแบบอัตนัย จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ การเรียนรู้ตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2.2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การ เรียนรู้แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 2.2.5 นำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาจีน ที่ปรับปรุง แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายต่อไป
28 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน การตรวจสอบคุณภาพนำไปให้ผู้ทรงคุณวุติจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง ซึ่งค่าที่ยอบรับได้อยู่ที่ 0.67 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง หาค่าความเที่ยงตรง อยู่ระหว่าง 0.67-1 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 2 ผลการศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ข้อ คำถาม ผู้เชี่ยวชาญ คนที่1 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่3 รวม IOC แปลค่า 1 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 2 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 3 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 4 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 5 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 6 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 7 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 8 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 9 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 10 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 11 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 12 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 13 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 14 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 15 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 16 1 1 1 3 1.00 ใช้ได้ 17 1 1 0 2 0.67 ใช้ได้ 18 1 1 0 2 0.67 ใช้ได้ 19 1 1 0 2 0.67 ใช้ได้ 20 1 1 0 2 0.67 ใช้ได้ จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เป็นค่าที่ ยอมรับได้
29 หาค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง 0.20-0.80 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 3 ผลการศึกษาหาค่าความยากง่ายของข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 20 ข้อ ข้อ คำถาม ค่าความยากง่าย (P) ความหมายค่า P ประเมินคุณภาพจากค่าความยากง่าย ของข้อสอบ 1 0.65 ค่อนข้างง่าย เป็นข้อสอบที่ดี 2 0.45 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 3 0.60 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 4 0.60 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 5 0.55 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 6 0.60 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 7 0.65 ค่อนข้างง่าย เป็นข้อสอบที่ดี 8 0.70 ค่อนข้างง่าย เป็นข้อสอบที่ดี 9 0.45 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 10 0.65 ค่อนข้างง่าย เป็นข้อสอบที่ดี 11 0.45 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 12 0.40 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 13 0.45 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 14 0.50 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 15 0.40 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 16 0.50 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 17 0.55 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 18 0.55 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 19 0.55 ปานกลาง เป็นข้อสอบที่ดี 20 0.70 ค่อนข้างง่าย เป็นข้อสอบที่ดี จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาค่าความยากง่ายของข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ สามารถนำมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายได้ทั้ง 20 ข้อ
30 หาค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.20-1 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 4 ผลการศึกษาหาค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 20 ข้อ ข้อ คำถาม ค่าอำนาจจำแนก (r) ความหมาย ค่าr ประเมินคุณภาพจากค่าอำนาจ จำแนกของข้อสอบ 1 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 2 0.55 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 3 0.31 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 4 0.31 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 5 0.77 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 6 0.69 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 7 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 8 0.77 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 9 0.69 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 10 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 11 0.30 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 12 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 13 0.69 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 14 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 15 0.64 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 16 0.55 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 17 0.31 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 18 0.31 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 19 0.77 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี 20 0.73 จำแนกได้ เป็นข้อสอบที่ดี จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ สามารถนำมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายได้ทั้ง 20 ข้อ หาค่าความเชื่อมั่น โดยมีเกณฑ์ว่า ค่าความเชื่อมั่นต้องมีค่าเกิน 0.80 ค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบชุดนี้อยู่ที่ 0.92 ซึ่งเป็นมีค่ามากกว่าที่ผู้วิจัยกำหนด และเป็นค่าที่ยอมรับ ได้
31 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด แบบทดสอบความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีลักษณะ เป็นแบบสอบถามที่ใช้เป็นคำถามชนิดประเมินค่า (Rating scale) ในการสร้างแบบทดสอบ ความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาเอกสารทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจ ได้แก่ คู่มือแบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างตารางวิเคราะห์ความพึงพอใจแบบ Reting scale 2.3.2 สร้างแบบสอบถาม แบบสอบถามที่ใช้เป็นคำถามชนิดประเมินค่า (Reting scale) จำนวน 10 ข้อ 2.2.3 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้องเหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การเรียนรู้แล้ว นำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ
32 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่มีต่อการเรียนการสอน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด การตรวจสอบคุณภาพนำไปให้ ผู้ทรงคุณวุติจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง ซึ่งค่าที่ยอบรับได้อยู่ที่ 0.67 มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 5 ผลการศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน จำนวนข้อ ผู้เชี่ยวชาญ คนที่1 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญ คนที่3 รวม IOC แปลค่า 1 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 2 1 1 0 2 0.67 ใช้ได้ 3 1 0 1 2 0.67 ใช้ได้ 4 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 5 1 0 1 2 0.67 ใช้ได้ 6 1 0 1 2 0.67 ใช้ได้ 7 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 8 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 9 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 10 1 1 1 3 1 ใช้ได้ จากตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาค่าความเที่ยงตรงของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน มีค่าเฉลี่ย ที่เป็นค่าที่ยอมรับได้ ทั้ง 10 ข้อ สามารถนำมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายได้ทั้ง 10 ข้อ
33 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการดำเนินการทดลอง และเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาภาษาจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์ แรกก่อนทำการทดลอง 2. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบ วิชาภาษาจีนใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3. ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้น จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบการเรียนวิชาภาษาจีน ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 5. นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนจากแบบวัดความสามารถ ทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด วิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทาง สถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows)
34 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนและจากแบบวัดทักษะการเขียน ตัวอักษรจีน มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการหาค่าร้อยละ ของทักษะการเขียนตัวอักษรจีน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for window) 2. การทดสอบสมมติฐาน นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาจีนและทักษะการเขียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียน การสอนวิชาภาษาจีน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด โดยใช้การ ทดสอบทีแบบไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows)
35 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ ทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.1 ร้อยละ p = × 100 1.2 ค่าเฉลี่ย x̅ = Σx n 1.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S. D. = √ Σ(x−x̅) 2 −1 S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ข้อมูล (ตัวที่ 1,2,3…,n) x̅แทน ค่าเฉลี่ย n แทน จำนวนข้อมูล P แทน ค่าร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นค่าร้อยละ n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด x̅แทน ค่าเฉลี่ย ∑x แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด n แทน จำนวนข้อมูล
36 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาค่าคุณภาพของเครื่องมือ ได้แก่ ค่าความเที่ยงตรง ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น 2.1 ค่าความเที่ยงตรง IOC IOC = ΣR N 2.2 ความยากง่าย p = H+L N 2.3 ค่าอำนาจจำแนก r = RH−RL N 2 r แทน ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ RH แทน จำนวนผู้ตอบถูกในกลุ่มสูง (เก่ง) RL แทน จำนวนผู้ตอบถูกในกลุ่มต่ำ (อ่อน) N แทน จำนวนผู้เข้าสอบ 2.4 ค่าความเชื่อมั่น ∝ = −1 [1 − Σ 2 2 ] IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ p แทน ดัชนีความยาก H แทน จำนวนผู้ตอบถูกในกลุ่มสูง (เก่ง) L แทน จำนวนผู้ตอบถูกในกลุ่มต่ำ (อ่อน) N แทน จำนวนผู้เข้าสอบ ∝ แทน ค่าความเชื่อมั่น K แทน จำนวนข้อ 2 แทน ผลรวมความแปรปรวนแต่ละข้อ 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม
37 3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ttest แบบ dependent และผลการทดสอบแบบกลุ่มเดียวกับเกณฑ์โดยใช้ One sample t-test 3.1 t-test แบบ dependent t = ΣD √ NΣD2 − (ΣD) 2 N − 1 t แทน ค่าที่จะใช้พิจารณา ∑D แทน ผลรวมของความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนแต่ละคน N แทน จำนวนนักเรียน
38 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มุ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการเขียน ตัวอักษรจีน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ตามหลักสูตรสถานศึกษา ของโรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ผู้วิจัยได้ทดลอง กับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ที่ได้จากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษาและเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบคัด ตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ผู้วิจัยได้ดำเนินการทำการทดลองและได้ผลสรุป มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่ 6 ผลการศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ เลขที่ คะแนน ก่อนเรียน หลังเรียน ความก้าวหน้า 12 8 18 10 13 8 18 10 14 11 16 5 15 8 14 6 16 8 16 8 17 9 16 7 18 6 17 11 19 9 18 9 20 4 14 10 21 7 18 11 เฉลี่ย 7.42 15.81 8.39 ร้อยละ 37.14 79.05 41.91 เลขที่ คะแนน ก่อนเรียน หลังเรียน ความก้าวหน้า 1 10 17 7 2 4 14 10 3 7 18 11 4 4 13 9 5 8 13 5 6 9 16 7 7 5 15 10 8 6 15 9 9 9 18 9 10 9 15 6 11 7 13 6
39 จากตารางที่ 6 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน วิชาภาษาจีน ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.42 คิดเป็นร้อยละ 37.14 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 15.81 คิดเป็นร้อยละ 79.05 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 8.39 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 41.91 จากการวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของนักเรียน ก่อนเรียนหลังเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ซึ่งมีคะแนนเต็มก่อนเรียนและหลังเรียน 20 คะแนน และเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ดังแสดงรายละเอียดในตารางที่ 7 ตารางที่ 7 การเปรียบเทียบคะแนนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ S.D. t ก่อนเรียน หลังเรียน 20 20 7.42 15.81 37.14 79.05 0.43 0.40 -19.09 * มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 จากตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบคะแนนของนักเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด มีคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 7.42 คิดเป็นร้อยละ 37.14 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 15.81 คิดเป็นร้อยละ 79.05 และเมื่อเปรียบเทียบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
40 ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ข้อ ข้อความ ระดับความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ย แปลผล มาก ที่สุด 5 มาก 4 ปาน กลาง 3 น้อย 2 น้อย ที่สุด 1 1 นักเรียนพึงพอใจต่อแบบคัด ตัวอักษรจีน 5 7 9 0 0 3.68 พึงพอใจ มาก 2 นักเรียนพึงพอใจต่อการเรียน การสอนแบบคัดตัวอักษรจีน 4 11 6 0 0 3.82 พึงพอใจ มาก 3 นักเรียนมีความรู้ในการเขียน ตัวอักษรจีน 5 8 8 0 0 3.82 พึงพอใจ มาก 4 นักเรียนมีความรู้เรื่องลำดับขีด 3 9 9 0 0 3.73 พึงพอใจ มาก 5 นักเรียนมีพัฒนาการในการ เขียนตัวอักษรจีนตามลำดับขีด 7 7 7 0 0 4.05 พึงพอใจ มาก 6 นักเรียนมีความสนใจในเรื่อง ลำดับขีด 4 8 9 0 0 3.86 พึงพอใจ มาก 7 นักเรียนมีความสนใจในเรื่อง การเขียนตัวอักษรจีน 7 7 7 0 0 4.14 พึงพอใจ มาก 8 นักเรียนอยากต่อยอดเรื่องการ เขียนตัวอักษรจีน 7 6 8 0 0 4.14 พึงพอใจ มาก 9 นักเรียนอยากต่อยอดเรื่อง ลำดับขีด 3 7 11 0 0 3.86 พึงพอใจ มาก 10 นักเรียนอยากต่อยอดเรื่องแบบ คัดจีน 4 7 10 0 0 4 พึงพอใจ มาก ภาพรวมความพึงพอใจ 3.90 พึงพอใจมาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัด ตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 วิชาภาษาจีน มีคะแนนเฉลี่ยความพึง พอใจที่ 3.90 อยู่ในระดับพึงพอใจมาก สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
41 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ในรายวิชาภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงทดลอง สรุปได้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีน ตามลำดับขีด มีผลลัพธ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษร จีนตามลำดับขีด มีค่าความพึงพอใจในระดับมากขึ้นไป วิธีดำเนินการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ จังหวัดอุดรธรรมานุสรณ์ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน 21 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 21 คนเพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้
42 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบ จำนวนทั้งสิ้น 10 แผน รวม 10 ชั่วโมง 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยมี4 ตัวเลือก และแบบอัตนัย จำนวน 20 ข้อ แต่ละข้อมีค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 มีความยากง่ายระหว่าง 0.20-0.80 ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ รายข้อ มีค่าตั้งแต่ 0.20-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับมีค่า 0.80 ขึ้นไป 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการดำเนิน การทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 3.1 เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้น เกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาภาษาจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3.2 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาจีน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3.3 ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 3.4 ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาจีน ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดย ใช้เวลา 2 ชั่วโมง และใช้แบบวัดทักษะการเขียนตัวอักษรจีนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
43 สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่าคะแนนสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.42 คิดเป็นร้อยละ 37.14 และหลังเรียนคะแนนเฉลี่ย 15.81 คิดเป็นร้อยละ 79.05 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 8.39 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 41.91 นั้นคือนักเรียนมีการพัฒนามากขึ้นกว่าก่อน เรียน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัด ตัวอักษรจีนตามลำดับขีด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 วิชาภาษาจีน มีคะแนนเฉลี่ยความพึง พอใจที่ 3.90 อยู่ในระดับพึงพอใจมาก สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การอภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีด วิชาภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 มีประเด็นในการนำมาอภิปรายผลตามลำดับ ดังนี้ จากการวิเคราะห์คะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนนั้นแสดงให้เห็นวาผู้เรียน บางคนยังไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับการเขียนตัวอักษรจีน หรือมีพื้นฐานความรู้มาบ้าง แต่ยังไม่มากพอ แต่หลังจากที่ผู้เรียนได้ฝึกคัดตัวอักษรจีนตามลำดับขีดที่นําไปใช้ในการเรียนการสอน แล้ว เมื่อมาทำการทดสอบอีกครั้ง ผลปรากฏว่าผู้เรียนมีทักษะการเขียนตัวอักษรจีนเพิ่มมากขึ้น สามารถทำแบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับงานวิจัย ของถิระนันทน์วิชาเดช (2562) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทําวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหา การเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีนที่ผิดหลัก ด้วยแบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีน สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา จังหวัดขอนแก่น ให้มีผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จํานวน 5 คน โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2562 โดยใช้รูปแบบ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการสอนการเขียนลําดับขีดอักษรจีน (2) แบบฝึกการเขียนลําดับขีดตัวอักษรจีน ก่อนเรียน-หลังเรียน (3) ใบความรู้การลําดับขีดการเขียน ตัวอักษรจีน และเส้นขีดอักษรจีน(4)หนังสือภาษาจีนระดับต้น1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS หาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าจากการทําแบบฝึกการเขียนลําดับขีด ตัวอักษรจีนหลังเรียนของนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์ร้อยละ 60