Brai1n0M0edia
ถาม สาเนาตน้ ฉบบั เต็มไปดว้ ย ข้อผิดพลาด
ตอบ 4 (ขอ้ ผิดพลาด) 1. ตัวเลือก 2. ความประหลาดใจ 3. ความถกู ต้อง
97. To scan is to look briefly.
(1) slowly (2) carefully (3) shortly (4) long
ถาม การอ่านคร่าวๆ คือ การดู อย่างรวบรดั
ตอบ 3 (อย่างรวบรัด) 1. อย่างช้าๆ 2. อย่างระมดั ระวงั 4. ยาว,นาน
98. The rain brought a cold wind.
(1) warm (2) hot (3) boiling (4) cool
ถาม ฝนตกได้นาเอา ลมหนาวมาดว้ ย
ตอบ 4 (เยน็ ) 1. อบอนุ่ 2. รอ้ น 3. เดอื ด
99. I think it is made of real leather.
(1) true (2) false (3) genuine (4) fake
ถาม ฉนั คดิ วา่ มนั ทามาจากหนงั แท้
ตอบ 3 (แท)้ 1. ถูกต้อง 2. ผดิ 4. ปลอม
100. What will be the main topic?
(1) novel (2) attraction (3) tradition (4) subject
ถาม หัวใจหลักจะเปน็ เรื่องอะไร
ตอบ 4 (หัวข้อ,เร่อื ง) 1. นวนิยาย 2. การดงึ ดูดความสนใจ 3. ธรรมเนยี ม
เจา้ หนา้ ท่บี ริหารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 101
แนวข้อสอบความรู้เบอื้ งตน้ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ ( Microsoft office )
แนวข้อสอบ Microsoft Words
1. วธิ ีการเรยี กใชโ้ ปรแกรม Microsoft Words วธิ ีใดคือวธิ ีท่ถี ูกต้องและนิยมใช้มากทส่ี ุด
1. กดผา่ นที่ปุ่ม Start
2. ใชผ้ ่าน เวบ็ เบราว์เซอร์ Chrome
3. ก และ ข เป็นวธิ ีทน่ี ยิ มใช้มากที่สุด
4. ถกู ทุกข้อ
ตอบ. ข้อที่ 1 กดผา่ นที่ปุ่ม Start
2. แถบ (Title bar)
1.เป็นแถบแสดงชอ่ื โปรแกรมและชื่อไฟลท์ เ่ี ปิดอยู่
2. เป็นแถบทแ่ี สดงสถานะการทางานในขณะนั้นๆ
3.เป็นแถบแสดงชอื่ โปรแกรมและชอ่ื ไฟล์ท่ปี ดิ อยู่
4. ก และ ค ถกู
ตอบ. ข้อท่ี 1.เป็นแถบแสดงชื่อโปรแกรมและชื่อไฟล์ท่เี ปิดอยู่
3. แถบ (Menu bar)
1.เปน็ แถบแสดงช่อื โปรแกรมและชื่อไฟล์ทเ่ี ปิดอยู่
2. เป็นแถบท่ีแสดงสถานการณท์ างานในขณะนั้นๆ
3.เป็นแถบแสดงชอ่ื โปรแกรมและช่ือไฟลท์ ี่ปิดอยู่
4. เป็นแถบทีใ่ ช้เก็บคา สงั่ ทั้งหมดในโปรแกรม
ตอบ.ข้อที่ 4. เปน็ แถบท่ใี ช้เกบ็ คาสง่ั ท้ังหมดในโปรแกรม
4. แถบ (Toolbar)
1. เป็นแถบแสดงช่ือโปรแกรมและชอ่ื ไฟล์ท่เี ปิดอยู่
2. เป็นแถบที่แสดงสถานการณท์ างานในขณะนน้ั ๆ
3.เป็นแถบทใ่ี ช้เกบ็ คา ส่ังทัง้ หมดในโปรแกรม
4.เปน็ แถบที่ใชเ้ ก็บปมุ่ คา ส่งั ซ่งึ ปมุ่ เหลา่ นจ้ี ะแทนคา สง่ั ทีถ่ ูกเรียกใช้งานบ่อยๆ
ตอบ. ข้อที่ 4.เป็นแถบท่ใี ชเ้ ก็บป่มุ คา สง่ั ซึ่งปุ่มเหล่านจี้ ะแทนคา ส่ังทถี่ ูกเรียกใช้งานบ่อยๆ
5. แถบ(Status bar)
เจา้ หน้าท่บี ริหารงานทั่วไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n0M2edia
1.เป็นแถบที่ใชเ้ ก็บคา สง่ั ท้งั หมดในโปรแกรม
2.เปน็ แถบที่ใชเ้ กบ็ ปุม่ คา สง่ั ซึง่ ปมุ่ เหล่านจี้ ะแทนคา ส่ังทถี่ ูกเรยี กใชง้ านบ่อยๆ
3. เปน็ แถบท่ีแสดงสถานการณท์ างานในขณะน้ันๆ
4. เป็นแถบแสดงช่ือโปรแกรมและชื่อไฟลท์ ีเ่ ปิดอยู่
ตอบ. ข้อที่ 3 เปน็ แถบทีแ่ สดงสถานการณ์ทางานในขณะน้นั ๆ
6. ข้อใดคือประโยชนข์ องโปรแกรม Microsoft Words
1. สรา้ งเว็บเพจ
2. หนังสอื แผน่ พับ แผน่ ปลิว โปสเตอร์
3. คานวณหาดอกเบี้ย เงินฝาก
4. เก็บฐานขอ้ มูล
ตอบ. ข้อท่ี 2. หนังสอื แผน่ พบั แผ่นปลวิ โปสเตอร์
7. แถบรบิ บอน (Ribbon Bar) หมายถึงขอ้ ใด
1. คอื ชดุ ของแถบเครอื่ งมือท่ีอยดู่ า้ นบนสดุ ของหนา้ ตา่ งในโปรแกรม Office
2. แสดงช่ือโปรแกรมและแฟ้มขอ้ มลู ทีก่ าลงั ทางาน
3. แสดงรายละเอียดปุ่มควบคุม
4. แสดงรายละเอยี ดคา สั่งตา่ งๆ
ตอบ. ข้อที่1. คอื ชดุ ของแถบเคร่อื งมือทอี่ ยดู่ ้านบนสดุ ของหน้าต่างในโปรแกรม Office
8. แถบใดใช้ในการเลือ่ นขน้ึ ลงในกรณีท่ีพิมพเ์ อกสารมากกวา่ 1 หน้า
1. ใชส้ าหรบั เลอ่ื นดขู ้อความบนจอภาพไปทางซ้ายหรอื ขวาหรือแนวนอน (Vertical Scroll Bar)
2. ใชส้ าหรบั เลอื่ นดขู อ้ ความบนจอภาพข้ึนลงหรือแนวต้งั (Herizntal Scroll Bar)
3. แถบริบบอน
4. แถบมุมมอง
ตอบ. ข้อท่ี 2. ใชส้ าหรบั เล่ือนดูขอ้ ความบนจอภาพขึ้นลงหรือแนวตัง้ (Herizntal Scroll Bar)
9.ถ้าต้องการสร้างแฟ้มเอกสารใหมต่ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนในขอ้ ใด
1. เลือกเมนแู ฟม้ , สรา้ ง
2. เลอื กเมนแู ทรก, สร้าง
3. เลือกเมนหู น้าแรก, สร้าง
4. เลือกเมนูเค้าโครงหนา้ กระดาษ, สรา้ ง
ตอบ. ข้อท่ี 1.เลอื กเมนแู ฟม้ , สรา้ ง
10. ข้อใดคอื วิธีการต้ังคา่ หน้ากระดาษ A 4
1. คลกิ ท่เี มนูเค้าโครงหนา้ กระดาษ ขนาด A 4
เจา้ หนา้ ท่บี รหิ ารงานทั่วไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 103
2.คลกิ ทเ่ี มนเู คา้ โครงหน้ากระดาษ ระยะขอบ ขนาด A 4
3. คลิกทเ่ี มนูแทรก ขนาด A 4
4.คลกิ ที่เมนหู น้าแรก ขนาด A 4
ตอบ.ข้อที่ 1. คลกิ ท่เี มนเู ค้าโครงหนา้ กระดาษ ขนาด A 4
11.ข้อใดคือวธิ ีการวางแนวกระดาษแนวตั้ง
1. คลิกท่เี มนูเค้าโครงหนา้ กระดาษ การวางแนว แนวตงั้
2.คลกิ ทเ่ี มนูเค้าโครงหน้ากระดาษ ระยะขอบ แนวต้ัง
3. คลิกทีเ่ มนแู ทรก การวางแนว แนวตั้ง
4.คลกิ ทเ่ี มนหู น้าแรก การวางแนว แนวตัง้
ตอบ.ข้อท่ี 1. คลิกที่เมนเู ค้าโครงหน้ากระดาษ การวางแนว แนวตั้ง
12.ขอ้ ใดคือวิธีการสรา้ งคอลมั น์ 2 คอลมั น์
1.คลิกที่เมนูแทรก ตาราง คอลัมน์ 2
2.คลกิ ทเ่ี มนูมุมมอง คอลมั น์ 2
3.คลกิ ท่ีเมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ คอลัมน์ 2
4.คลกิ ทเ่ี มนหู นา้ แรก คอลมั น์ 2
ตอบ.ข้อท่ี 3.คลกิ ที่เมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ คอลัมน์ 2
13. คีย์ลดั เรยี กใช้ New เอกสารขน้ึ มาใหม่ ใชค้ า ส่ังใด
1. ใชป้ ุ่ม Ctrl + P
2. ใชป้ ่มุ Ctrl + V
3.ใชป้ ุม่ Ctrl + N
4.ใช้ปมุ่ Ctrl + S
ตอบ.ข้อท่ี 3.ใช้ป่มุ Ctrl + N
14.คียล์ ดั ในการสั่งปรน้ิ เอกสารใชค้ าส่งั ใด
1. ใชป้ มุ่ Ctrl + P
2. ใชป้ ่มุ Ctrl + V
3.ใช้ปมุ่ Ctrl + N
4.ใช้ปมุ่ Ctrl + S
ตอบ.ข้อท่ี 1. ใชป้ ่มุ Ctrl + P
15.ถา้ ตอ้ งการบันทกึ แฟม้ ข้อมูลตอ้ งปฏบิ ัตติ ามข้ันตอนในข้อใด
1. เลือกเมนแู ฟม้ , บนั ทกึ
2. เลอื กเมนแู ทรก, บนั ทึก
3. เลือกเมนเู ค้าโครงหนา้ กระดาษ, บันทึก
เจา้ หน้าทบี่ รหิ ารงานท่วั ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n0M4edia
4. เลือกเมนูหน้าแรก, บนั ทึก
ตอบ.ข้อท่ี 1. เลอื กเมนแู ฟม้ , บันทึก
16.ขอ้ ใดคือนามสกุ ลไฟลโ์ ปรแกรม MS-Word
1. DOC
2. XLS
3. PPT
4. DOCX
ตอบ.ข้อท่ี 4. DOCX
17. คาส่ังการพิมพ์เอกสาร หน้า 1, 8,20 หมายความว่าอย่างไร
1. พิมพ์หน้าปัจจบุ นั
2. พิมพห์ น้า 1, 8, 20
3. พมิ พ์หน้า 1, 8, 9, 10 - 20
4. พมิ พห์ น้า 8, 20
ตอบ.ข้อที่ 2. พิมพห์ นา้ 1, 8, 20
18. การดูตัวอย่างก่อนปลิ้นใชค้ าสงั่ ใด
1.คลกิ เมนูไฟล์ พิมพ์
2. คลิกเมนแู ฟ้ม พิมพ์
3.คลิกเมนูแทรก พมิ พ์ ตัวอยา่ งก่อนพิมพ์
4.ถกู ทุกข้อ
ตอบ.ข้อท่ี 1.คลกิ เมนไู ฟล์ พิมพ์
19.ถา้ ตอ้ งการขน้ึ บรรทัดใหม่ กดปมุ่ ใด บนคียบ์ อด
1. Enter
2. shift
3. Esc
4. Caps Lock
ตอบ.ข้อที่ 1. Enter
20. การทา ให้ตวั อักษรหนาข้ึนคือข้อใด
1.
2.
3.
4.
เจา้ หนา้ ทบ่ี ริหารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 105
ตอบ.ข้อท่ี 1
21. การทา ใหต้ ัวอักษรเอียงคือข้อใด
1.
2.
3.
4.
ตอบ.ข้อท่ี 2
22.การขดี เส้นใต้ให้ข้อความคือข้อใด
1.
2.
3.
4.
ตอบ.ข้อที่ 3
23.การจัดข้อความใหช้ ิดซา้ ยคอื ข้อใด
1.
2.
3.
4.
ตอบ.ข้อที่ 1
24.การจัดข้อความใหก้ ่ึงกลางคือข้อใด
1.
2.
3.
4.
ตอบ.ข้อที่ 2
เจ้าหน้าท่บี ริหารงานท่วั ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n0M6edia
25.การจดั ข้อความใหช้ ดิ ระยะขอบท้ังซ้ายขวาคือข้อใด
1.
2.
3.
4.
ตอบ.ข้อท่ี 4
26.ขนาดของตวั อักษรท่ใี ช้ในโปรแกรม word นิยมใชข้ นาดเทา่ ใด
1.10-20 pt.
2.15-20 pt.
3.20-30pt.
4.16-20 pt.
ตอบ.ข้อที่ 4 16-20 pt.
27.การคลกิ้ เมา้ ส์ 2 คร้งั เรยี กวา่ อะไร
1.การคลิก๊ 2.การคลิก๊ คลกิ้
3.การดับเบิล้ คลก๊ิ 4.ถูกทกุ ข้อ
ตอบ.ข้อท่ี 3 การดบั เบลิ้ คลิ๊ก
28. ข้อใดคอื ข้ันตอนการปดิ เครื่องท่ีถูกต้อง
1.Icon -> start ->program 2. Start -> shutdown -> ok
3.shutdown -> start -> ok 4. Start -> Icon -> shutdown
ตอบ.ข้อท่ี 2 Start -> shutdown -> ok
29.API (Application Programming Interface)ของ Windows คืออะไร
1.โปรแกรมประยุกต์ต่างๆ เช่นโปรแกรมบัญชี
2.โปรแกรมสาหรบั Hacker ทม่ี ีไว้เจาะระบบใน windows โดยเฉพาะ
3.กลุ่มโปรแกรมวินโดว์เตรียมไว้ให้ Application ใช้กับวินโดว์ ไดง้ า่ ย
4.กลมุ่ โปรแกรมวนิ โดว์ เขียนข้นึ แต่ไม่ไดน้ ามาใช้
ตอบ.ข้อที่ 3 กล่มุ โปรแกรมวินโดวเ์ ตรยี มไวใ้ ห้ Application ใช้กบั วนิ โดว์ ได้ง่าย
30. Ctrl + V ใน Microsoft Word คืออะไร
1. Vector 2.Virtual
เจ้าหนา้ ท่ีบรหิ ารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 107
3. Paste 4.Visible
ตอบ.ข้อท่ี 3 Paste
31. ปุ่มกากบาท ทีม่ ุมขวาใน Windows หมายความว่าอะไร
1. Save 2. Print
3. Maximize 4. Close
ตอบ.ข้อท่ี 4 Close
32. แฟ้มที่มีสว่ นขยายเป็น PDF ต้องใช้โปรแกรมอะไรเปิด
1. Microsoft Word 2. Page Document Flying
3. Photoshop 4. Acrobat Reader
ตอบ.ข้อท่ี 4 Acrobat Reader
33. ใชต้ วั พพิ ม์ใหญ่ของอักษรภาษาอังกฤษ ต้องกดปมุ่ ใดบนแปน้ พมิ พ์
1. Num Lock 2. Caps Lock
3. Scroll Lock 4. Home
ตอบ.ข้อท่ี 2 Caps Lock
34. ชือ่ ใดไม่เป็นชอื่ Font
1. Panda 2. Symbol
3. MS Sans Serif 4. AngsanaUPC
ตอบ.ข้อท่ี 1 Panda
35. คาวา่ RGB เกี่ยวข้องกบั เร่ืองใด
1. ขนาด 2. สี
3. ความกว้าง 4. ความยาว
ตอบ.ข้อท่ี 2. สี
36. คาวา่ Pixel หมายถึงอะไร
1. Mouse 2. Pointer
3. จุด 4. กลอ้ งดจิ ติ อล
ตอบ.ข้อที่ 3 จดุ
เจ้าหนา้ ทบ่ี ริหารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n0M8edia
37. คาใดหมายถึง ตวั อยา่ งก่อนพิมพ์
1. Preview 2. Print Screen
3. Touch Screen 4. Printer
ตอบ.ข้อท่ี 1. Preview
38. อุปกรณ์ใดใชเ้ ลื่อนลูกศรบนจอภาพในระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows
1. keyboard 2. Mouse
3. Scanner 4. Modem
ตอบ.ข้อท่ี 2. Mouse
39. เครือ่ งหมาย ) เรยี กวา่ อะไร
1. Dollar Sign 2. Colon
3. Period 4. Parentheses
ตอบ.ข้อท่ี 4. Parentheses
40. เครือ่ งหมาย / เรยี กว่าอะไร
1. Period 2. Slash
3. Hyphen 4. Dollar Sign
ตอบ.ข้อที่ 2. Slash
41. เครอื่ งหมาย $ เรียกว่าอะไร
1. Ohms 2. Semicolon
3. Hyphen 4. Dollar Sign
ตอบ.ข้อท่ี 4. Dollar Sign
42. ปุ่ม Esc ใน keyboard ทา หน้าทอี่ ะไร
1. ออกจากโปรแกรม 2. ลบตัวอักษร
3. ป้อนข้อมลู 4. เว้นวรรค
ตอบ. ข้อท่ี 1ออกจากโปรแกรม
43. เคอร์เซอร์ คือสญั ลักษณ์ของอะไร
เจา้ หน้าทบี่ รหิ ารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brain Media 109
1. คา ส่ังพมิ พ์ 2. คาส่ังปิดโปรแกรม
3. การเลือกการทา งาน 4. ตวั ชี้ตาแหนง่ การพิมพ์บนจอภาพ
ตอบข้อท่ี 4 ตวั ช้ีตาแหน่งการพิมพบ์ นจอภาพ
44. ข้อใดไม่เกี่ยวกับการใช้เมาส์ (Mouse)
1. คลิก 2.บันทกึ
3. ดบั เบิลคลิก 4. ลากและวาง
ตอบ ข้อที่ 2. บนั ทึก
45. จอภาพ (Monitor) ทาหน้าทเ่ี หมอื นอปุ กรณใ์ ด
1. keyboard 2. Mouse
3. Scanner 4. Printer
ตอบข้อที่ 4 Printer
46. DOS ย่อมาจากอะไร
1. Disk Operating System 2. Door Of System
3. Disk of System 4. Direct – Opening Systematic
ตอบข้อที่ 1 Disk Operating System
47. การลบขอ้ ความดา้ นหน้าเคอรเ์ ซอร์ใช้แป้นพมิ พใ์ ดบนคียบ์ อร์ด
1. Enter 2. Backspace
3. Home 4. End
ตอบข้อที่ 2. Backspace
48. เมื่อเรากดปุม่ shift บนคียบ์ อรด์ คา้ งไวแ้ ล้วพิมพต์ วั อักษรภาษาอังกฤษจะเกดิ ผลอย่างไร (ไมเ่ ปดิ Caps
Lock)
1. จะได้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ 2. จะไดต้ วั อักษรพมิ พเ์ ลก็
3. จะไดต้ ัวอักษรเอียง 4. จะได้ตัวอกั ษรตัวหนา
ตอบข้อท่ี 1. จะไดต้ วั อกั ษรพิมพใ์ หญ่
49. คีย์บอรด์ (Keyboard) เปน็ องคป์ ระกอบของหน่วยงานใด
1. หนว่ ยรับขอ้ มลู 2. หนว่ ยแสดงขอ้ มลู
3. หนว่ ยประมวลผล 3. ถกู ทง้ั 1 และ 2
เจา้ หนา้ ทบ่ี ริหารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n1M0edia
ตอบข้อที่ 1. หน่วยรับข้อมลู
50. ถา้ ต้องการขีดเส้นใต้ตวั อักษรหรือขอ้ ความทาอย่างไร
1. เลือกตัวอกั ษร แล้วคลกิ ปุ่ม B บนแถบเคร่ืองมือ
2. เลอื กตัวอกั ษร และคลกิ ปุ่ม U บนแถบเครื่องมือ
3. เลอื กตัวอกั ษร แลว้ คลิกปุ่ม I
4. ไมม่ ีข้อถูก
ตอบข้อท่ี 2. เลอื กตัวอักษร และคลิกปุม่ U บนแถบเครอื่ งมอื
51. ถ้าตอ้ งการยบุ โปรแกรมท่ีเปดิ ใช้งานอยู่ ลงมาไว้บน Taskbar ต้องกดปุ่มใด
1. คาสง่ั Restore Down 2. ปุ่ม Close
3. ปมุ่ Minimize 4. Radio
ตอบ 3. ปุ่ม Minimize
52. อะไรเปน็ ข้อแตกตา่ งระหว่าง Click และการ Drag
1. Click ใช้เลือกคา ส่งั ส่วน Drag ใชเ้ ลือกท้ังข้อความและคาสัง่
2. Click คือการกดปมุ่ ของเมาสห์ น่ึงครง้ั แลว้ ปลอ่ ยทนั ทสี ว่ น Drag คือการกดปมุ่ เมาส์ค้างไว้
3. Click คือการกดปุม่ ของเมาส์หน่ึงครั้งส่วน Drag คือการปล่อยปุม่ เมาส์
4. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ข้อที่ 2. Click คอื การกดปุ่มของเมาสห์ นึ่งครั้งแล้วปล่อยทันทีส่วน Drag คือการกดปุ่มเมาส์คา้ ง
ไว้
53. ไฟล์ EBook.pdf เปิดได้จากโปรแกรมใด
1. Microsoft Word 2. Notepad
3. Acdsee 4. Adobe Acrobat
ตอบข้อท่ี 4. Adobe Acrobat
54. การคลิกเมาสป์ ุ่มขวา โดยสว่ นใหญจ่ ะใชเ้ พ่ืออะไร
1. ส่ังงานใหโ้ ปรแกรมทางาน 2. เรยี กเมนูลดั
3. เพอื่ ตัดลอกไฟล์ 4. เพือ่ ลบไฟล์
ตอบข้อที่ 2. เรยี กเมนลู ัด
เจ้าหนา้ ทีบ่ ริหารงานท่วั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
Brain Media 111
55. โปรแกรมใดไม่ไดอ้ ยู่ใน MS – Office
1. Word 2. Exccl
3. Foxpro 4. Power point
ตอบข้อที่ 3. Foxpro
56. ขนาดกระดาษท่ีใช้พิมพง์ านท่วั ไป
1. Letter 8 ⁄ 11 นิว้ 2. Letter 8 ⁄ x 14 น้ิว
3. A4 210 x 297 mm. 4. B5 182 x 297 mm.
ตอบข้อท่ี 3. A4 210 x 297 mm.
57. หวั กระดาษ – ท้ายกระดาษมไี ว้สาหรับ 2. กาหนดระยะหา่ งด้านบนล่าง
1. กาหนดความแตกตา่ งของหน้ากระดาษ 4. ขอ้ ความกากบั เอกสาร
3. แสดงข้อความท่ีซา้ ๆกันทุกหนา้
ตอบข้อที่ 2. กาหนดระยะหา่ งดา้ นบนลา่ ง
58. แป้นคาสั่งใดสาหรับใช้ / ยกเลกิ รูปแบบอกั ษรตวั หนา
1. ALT + B 2. ALT + C
3. CTRL + B 4. CTRL + E
ตอบ ขอ้ ท่ี 3. CTRL + B
59.การกดแป้น CTRL + F
1. การกระโดดข้างไปหน้าทต่ี ้องการ 2. การไปยังทคี่ ่ันหนงั สือที่ต้องการ
3. การคน้ คว้าข้อความท่ีกาหนด 4. การค้นหาความหมายของข้อความท่ีกาหนด
ตอบ ข้อที่ 3. การค้นคว้าขอ้ ความทก่ี าหนด
60. การสร้างอักษรตัวหนาเอียง ใช้คา สงั่
1. CTRL + B และ CTRL + I 2. CTRL + C และ CTRL + R
3. CTRT + X และ CTRL + J 4. CTRL + J และ CTRL + I
ตอบ ขอ้ ที่ 1. CTRL + B และ CTRL + I
61. ข้อใดเปน็ ขัน้ ตอนการแทรกตารางท่ีถกู ต้อง
1. ตาราง -> วาดตาราง 2. ตาราง –> เลอื กตาราง
3. ตาราง -> แยกตาราง 4. ตาราง -> แทรกตาราง
ตอบ ข้อท่ี 4. ตาราง -> แทรกตาราง
เจ้าหนา้ ทบ่ี ริหารงานทั่วไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n1M2edia
แนวข้อสอบ Microsoft Excel
1. ขอ้ ใดกล่าวถงึ Microsoft Excel ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
ก. เป็นโปรแกรมประเภท Spreadsheet ซ่ึงออกแบบมาสาหรับบนั ทึกวิเคราะห์ และนาแสดง
ขอ้ มูลเกี่ยวกับตัวเลขอย่างมีประสทิ ธิภาพ
ข. เปน็ โปรแกรมท่ีเหมาะกับงานดา้ นเอกสารสานักงาน มีความสามารถดีกว่า Word ท่ัวๆไป
เนือ่ งจากมอี ุปกรณ์มากมายเป็นเคร่ืองมอื ในการชว่ ยทาให้เอกสารสมบรู ณ์
ค. เปน็ โปรแกรมช่วยทางด้านการนาเสนอข้อมูล (Presentation) เพื่อใชป้ ระกอบคาบรรยาย
แทนการใช้แผน่ ใส หรือแผน่ ภาพนง่ิ งานนาเสนอที่ได้จะมีความสวยงามในรปู แบบที่ทันสมัย
ง่ายต่อการใช้งาน
ง. เปน็ โปรแกรม Personal Information System หรอื PIS เป็นโปรแกรมท่ใี ช้จัดการกับตาราง
การทางานประจาวันของแตล่ ะบุคคล
2. ข้อใดคอื ประโยชน์ของ Microsoft Excel
ก. นาเสนอผลงานบนแผ่นใสด้วยคอมพวิ เตอร์
ข. จดั การกบั ตารางการทางานประจาวนั ของแตล่ ะบุคคล
ค. การนาข้อมลู ที่อย่เู ป็นจานวนมาก มาจดั เก็บให้เป็นระเบยี บ
ง. ใช้ในการคานวณตา่ งๆ และจัดระเบียบข้อมลู ออกมาเปน็ รูปแบบของตาราง
3. ทกุ คร้ังทีเ่ ราเปิดใช้ Microsoft Excel จะปรากฏสมุดงาน ซึง่ มชี อ่ื ว่าอะไร
ก. Sheet 1
ข. Cell 1
ค. Ex1
ง. Excel 1
4. ทุกครง่ั ทเี่ ปดิ สมดุ งานใหม่ จะประกอบไปด้วย แผ่นงานกแี่ ผ่นเสมอ
ก. 1 แผน่
ข. 2 แผน่
ค. 3 แผ่น
ง. 4 แผ่น
5. ขอ้ ใดคอื ความหมายของคาวา่ “สมุดงาน”
ก. หมายถงึ แฟ้มสมุดของ Excel ซ่ึงประกอบดว้ ยหลายๆ แผ่นงาน
ข. หมายถงึ หลายๆเซลลร์ วมกนั เปน็ 1 แผ่นงานซึ่งเปน็ พ้นื ทีท่ างานท่ีสารมารถมองเห็นได้
ทงั้ หมด
ค. หมายถึง เสน้ ของแถว และเส้นของคอลัมนต์ ัดกันทาใหเ้ กิดตารางเป็นชอ่ งๆ แตล่ ะชอ่ งจะ
มีชอื่ กากับไว้
เจ้าหนา้ ทีบ่ ริหารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 113
ง. หมายถงึ พืน้ ท่ีสาหรับใช้ในการสร้างแฟม้ เอกสารต่างๆ
6. โปรแกรมคานวณ ของ Microsoft office คอื โปรแกรมใด
ก. Microsoft PowerPoint
ข. Microsoft Outlook
ค. Microsoft Word
ง. Microsoft Excel
7. ถ้าเราตอ้ งการพมิ พเ์ อกสารแบบง่าย คะแนนนักศึกษา หรือตารางรายจา่ ย เราสามารถใช้
โปรแกรมใด โดยไม่ตอ้ งเขยี นโปรแกรมใหม่
ก. Microsoft PowerPoint
ข. Microsoft Excel
ค. Microsoft Word
ง. Microsoft Outlook
จากรูปคือส่วนประกอบของหนา้ จอ Excel 2010ใช้ตอบคาถามข้อ 8 -15
8. ส่วนประกอบท่ี 1 คอื อะไร
ก. แถบสตู ร (Formula bar)
ข. กลอ่ งชอื่ (Name Box)
ค. แถบสถานะ (Status bar)
ง. แถบชอ่ื เรอื่ ง (Title bar)
9. สว่ นประกอบท่ี 2 คืออะไร
ก. ปุม่ ควบคมุ หนา้ ต่างโปรแกรม (Control Box)
ข. แถบเครื่องมือด่วน (Quick Access toolbar)
เจา้ หน้าทบี่ ริหารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n1M4edia
ค. แถบสถานะ (Status bar)
ง. แถบชอ่ื เรื่อง (Title bar)
10. ส่วนประกอบที่ 3 คืออะไร
ก. ปมุ่ ควบคมุ หน้าต่างโปรแกรม (Control Box)
ข. แถบเครื่องมือดว่ น (Quick Access toolbar)
ค. แถบสถานะ (Status bar)
ง. แถบชือ่ เรื่อง (Title bar)
11. ส่วนประกอบท่ี 4 คอื อะไร
ก. แถบสตู ร (Formula bar)
ข. กลอ่ งช่อื (Name Box)
ค. รบิ บอน (Ribbon)
ง. แถบชอ่ื เรอ่ื ง (Title bar)
12. ส่วนประกอบที่ 5 คืออะไร
ก. แถบสตู ร (Formula bar)
ข. กลอ่ งชื่อ (Name Box)
ค. ริบบอน (Ribbon)
ง. แถบชือ่ เร่อื ง (Title bar)
13. สว่ นประกอบที่ 6 คืออะไร
ก. แถบสถานะ (Status bar)
ข. แถบเครื่องมือด่วน (Quick Access toolbar)
ค. กลอ่ งชือ่ เซลล์ (Name Box)
ง. พืน้ ทท่ี าการ (Worksheet)
14. ส่วนประกอบท่ี 7 คืออะไร
ก. แถบสถานะ (Status bar)
ข. แถบเคร่ืองมือดว่ น (Quick Access toolbar)
ค. กล่องชื่อ (Name Box)
ง. พ้ืนทที่ าการ (Worksheet)
15. สว่ นประกอบที่ 8 คอื อะไร
ก. แถบสถานะ (Status bar)
ข. แถบเคร่ืองมือดว่ น (Quick Access toolbar)
ค. กลอ่ งช่ือ (Name Box)
ง. พื้นทีท่ าการ (Worksheet)
เจ้าหนา้ ที่บรหิ ารงานทั่วไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 115
16. ขอ้ ใดคือคาส่ังในการปิดสมดุ งาน
ก. File + Exit
ข. File + New
ค. File + Open
ง. File + Close
17. ข้อใดคือการจดั กลุ่มโปรแกรม ได้ถกู ต้องท่สี ดุ
ก. Excel, Foxpro, Page Maker
ข.Microsoft word, AutoCAD, Fortran
ค.Basic, C, CorelDraw, Pascal
ง.Windows, Lotus, Dbase, Cobol
18. ขอ้ ใดถูกต้อง ถ้าเราต้องการเปลยี่ นหนา้ กระดาษจากแนวต้ัง ใหเ้ ป็นแนวนอน
ก. แฟม้ => สร้าง => เลอื กแนวนอน => ตกลง
ข. แทรก => ตาราง => คลกิ คาว่า แนวนอน
ค. ไปทเี่ คา้ โครงหน้ากระดาษ ใหค้ ลิก => การวางแนว => แล้วคลกิ แนวนอน
ง. มมุ มอง => ตั้งค่าหน้ากระดาษ => แนวนอน => ตกลง
19. ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง
ก. คลิกที่รูป เพอื่ จดั ข้อความกึ่งกลาง
ข. คลิกที่รูป เพอ่ื จัดขอ้ ความใหช้ ดิ ซ้าย
ค.คลิกที่รปู เพื่อเพ่ิมความหนาของข้อความ
ง. ถูกทุกขอ้
20. กรณที ่ีผู้ใชจ้ ะบันทึกขอ้ มูลท่ีทาไว้ แตย่ งั ไมไ่ ด้ต้ังชื่อ โปรแกรมจะระบุช่ืออัตโนมัติว่าอยา่ งไร
ก.Sheet 1 (สมดุ งาน1)
ข.งาน 1
ค.Copy 1
ง.Doc 1
จากรูปภาพ ตอ่ ไปน้ี ใช้ประกอบการตอบคาถาม
ขอ้ 21 – 24
21. คือคาส่ังอะไร
ก. ใชส้ าหรบั เลอ่ื นไปยังเอกสารแผ่นแรกสดุ
ข.ใช้สาหรบั เลอ่ื นไปขา้ งหนา้ ทลี ะแผน่
ค.ใช้สาหรบั เลอื่ นกลับทีละแผ่นงาน
ง.ใช้สาหรับเลือ่ นไปยงั เอกสารแผ่นสุดทา้ ย
เจ้าหนา้ ท่บี รหิ ารงานทวั่ ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n1M6edia
22 คือคาสง่ั อะไร
ก. ใชส้ าหรับเลื่อนไปยงั เอกสารแผ่นแรกสุด
ข.ใชส้ าหรบั เล่ือนไปข้างหน้าทีละแผน่
ค.ใช้สาหรับเล่ือนกลบั ทีละแผ่นงาน
ง.ใช้สาหรับเลอื่ นไปยังเอกสารแผ่นสดุ ทา้ ย
23. คือคาสง่ั อะไร
ก. ใช้สาหรับเล่อื นไปยงั เอกสารแผน่ แรกสดุ
ข.ใช้สาหรบั เลอ่ื นไปข้างหนา้ ทลี ะแผน่
ค.ใช้สาหรบั เล่อื นกลบั หลังทลี ะแผน่ งาน
ง.ใชส้ าหรบั เลอ่ื นไปยงั เอกสารแผน่ สดุ ท้าย
24. คือคาส่งั อะไร
ก.ใช้สาหรบั เล่อื นไปยังเอกสารแผน่ แรกสดุ
ข.ใชส้ าหรับเล่อื นไปขา้ งหน้าทีละแผ่น
ค.ใช้สาหรบั เล่ือนกลับทีละแผน่ งาน
ง.ใช้สาหรับเล่ือนไปยังเอกสารแผ่นสดุ ทา้ ย
25. หากมีข้อมูลจานวนมาก ผู้ใช้ตอ้ งการดูขอ้ มูลในเซลล์สดุ ทา้ ย จะใชว้ ิธใี ดดูไดร้ วดเรว็ ทีส่ ดุ
ก. Control + Shift
ข. Control + End
ค.ใชเ้ มาสค์ ลิก ลูกศรท่ีมุมล่างขวาของแผ่นงานแล้วเล่อื นลง
ง.ไม่มีข้อถูก
26. หากผูใ้ ช้อยใู่ นตาแหน่งข้อมลู เซลลล์ ่างสุด แลว้ ตอ้ งการกลับไปยังข้อมูลเซลลบ์ นสุดอย่างรวดเรว็
ควรใช้วิธีใด
ก. Control + End
ข. Control + Shift
ค. Control + Home
ง Control +Delete
27. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเกี่ยวกบั โปรแกรม SPSS
ก.ซอฟท์แวรก์ ราฟฟิกส์ (Graphic software)
ข.ซอฟท์แวรค์ านวณ (Calculation software )
ค. ซอฟท์แวร์วิเคราะหข์ ้อมูลทางสถติ ิ และการจดั การข้อมูลต่าง ๆ (Statistical Package for the
Social Science for Windows)
เจ้าหนา้ ท่ีบริหารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 117
ง.ซอฟทแ์ วร์ระบบฐานข้อมูล (Database management software)
28. ในการเก็บข้อมูลเงนิ เดือนของพนกั งาน ควรกาหนดรูปแบบของข้อมูลเป็นแบบใด
ก.ทว่ั ไป
ข.ตวั เลข
ค.บัญชี
ง.กาหนดเอง
29. เมื่อผู้ใช้เขา้ โปรแกรม Excel 2010 รปู แบบของตวั อกั ษร จะเป็นรูปแบบใด
ก Angsana New (หัวเรอื่ งแบบ CS)
ข. Cordia New (เน้ือความแบบ CS)
ค. calibri
ง. Arial Narrow
30. ผู้ใช้ตอ้ งใส่เครื่องหมายใด เพ่ือเร่มิ ตน้ ในการสร้างสตู ร
ก. =
ข. +
ค. -
ง. *
31. เม่อื ผู้ใชต้ อ้ งการแทรก รปู ร่าง เรขาคณิต สามารถทาตามขั้นตอนใด
ก.เลอื กเมนู แทรก ไปที่ ภาพประกอบ , รปู รา่ ง เลือก รูปร่างที่ตอ้ งการ
ข.เลอื กเมนู แทรก ไปที่ ภาพตดั ปะ เลอื ก รูปร่างท่ตี ้องการ
ค.เลือกเมนู แทรก ไปท่ี รูปภาพ เลอื ก รปู รา่ งทต่ี ้องการ
ง.เลอื กเมนู แทรก ไปท่ี แผนภมู ิ เลือก รูปรา่ งท่ีต้องการ
32. ผู้ใช้สามารถสรา้ งสมดุ งานใหมอ่ ย่างรวดเร็ว บนคีย์บอรด์ ไดด้ ้วยวิธใี ด
ก. Control + N
ข. Control + C
ค. Control + U
ง. Control +V
33. เมอ่ื ต้องการเลือ่ นเซลลไ์ ปด้านขวามือ ให้กดปุม่ ใด
ก.Caps Lock
ข.Shift
ค. Control
ง.Tab
34. เมอ่ื ต้องการเลือ่ นเซลลไ์ ปดา้ นซ้ายมือ ให้กดปุ่มใด
ก.Caps Lock
เจา้ หน้าท่ีบริหารงานท่วั ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n1M8edia
ข.Shift
ค. Shift + Tab
ง.Tab
35. Microsoft Excel 2010 มรี ปู แบบการจัดเกบ็ ข้อมูลเปน็ รปู แบบของ Xml โดยนามสกลุ ทีไ่ ด้จะเป็น
แบบใด
ก. .xls
ข. .xlsx
ค. .doc
ง. .docx
36. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกยี่ วกบั รูปแบบนามสกลุ ไฟล์ ของ Microsoft Excel 2010
ก. Excel Workbook .xlsx
ข. Excel Macro-enabled Workbook .xltx
ค. Excel Macro-enabled Template .xlxm
ง. Excel Template .xltm
37. ผใู้ ชส้ ามารถสร้างกราฟได้ง่ายและรวดเรว็ ได้ดว้ ยวธิ ีใด
ก. คลิกทเ่ี ซลลข์ ้อมลู ที่จะนาไปสรา้ งกราฟ คลิกแท็บ Insert (แทรก) ทกี่ ลุ่มChart
(แผนภมู )ิ คลกิ ประเภทกราฟทตี่ ้องการ
ข. คลกิ ทเ่ี ซลล์ข้อมลู ท่ีจะนาไปสร้างกราฟ คลิกแทบ็ Page Layout ทีก่ ลุ่มChart คลิก
ประเภทกราฟท่ีต้องการ
ค.คลกิ ท่ีเซลล์ข้อมลู ที่จะนาไปสรา้ งกราฟ คลิกแท็บ Formulas ท่ีกลุ่มChart คลิก
ประเภทกราฟทตี่ ้องการ
ง.คลกิ ที่เซลลข์ ้อมูลท่จี ะนาไปสรา้ งกราฟ คลิกแทบ็ Review ทกี่ ลุ่มChart คลกิ ประเภท
กราฟที่ต้องการ
38. ถา้ ต้องการเรยี งลาดบั ข้อมลู ของพนักงานโดยเรยี งจากชอื่ พนกั งานจากตัว A ไป Z สามารถทาได้
โดยวิธใี ด
ก.คลกิ ทค่ี อลัมน์ท่ตี อ้ งการ คลิกเลือกแทบ็ Data ทกี่ ลุ่มSort & Filter คลิกป่มุ ขอ้ มูลจะ
เรียงลาดับใหมโ่ ดยเรียงจากพยญั ชนะเป็นหลัก
ข.คลกิ ทคี่ อลัมน์ทต่ี อ้ งการ คลิกเลือกแท็บ Data ท่ีกลุ่มSort & Filter คลิกปุ่ม ขอ้ มูล
จะ เรียงลาดับใหม่โดยเรยี งสระเปน็ หลัก
ค.คลิกที่คอลัมน์ทต่ี ้องการ คลิกเลอื กแท็บ Data ทีก่ ลมุ่ Sort & Filter คลิกปุ่ม ขอ้ มลู จะ
เรยี งลาดบั ใหม่โดยเรียงจากพยัญชนะเปน็ หลัก
ง.คลกิ ที่คอลัมนท์ ่ตี ้องการ คลิกเลือกแท็บ Data ท่กี ลุ่ม Sort & Filter คลกิ ป่มุ ขอ้ มูล
จะ เรยี งลาดบั ใหมโ่ ดยเรียงจากสระเปน็ หลกั
เจ้าหนา้ ทีบ่ ริหารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
Brain Media 119
39. Microsoft Excel 2010 ไดเ้ ตรียมพืน้ ท่ีการทางานเพื่อรองรับขอ้ มลู ได้จานวนมาก โดยแต่ละ
Worksheet จะแบ่ง แถว (Row) และ คอลมั น์ (Column) ไว้จานวนเท่าไหร่
ก. ในแต่ละWorksheet จะแบง่ แถว (Row)จานวน 16,384 แถว และ คอลัมน์ 1,048,576
(Column)
ข. ในแตล่ ะWorksheet จะแบง่ แถว (Row)จานวน 148,576 แถว และ 1,384 คอลัมน์
(Column)
ค. ในแตล่ ะWorksheet จะแบง่ แถว (Row)จานวน 1,648,576 แถว และ 10,384 คอลมั น์
(Column)
ง. ในแต่ละWorksheet จะแบ่งแถว (Row)จานวน 1,048,576 แถว และ 16,384 คอลัมน์
(Column)
40. Sparklines คืออะไร
ก. การนาข้อมูลไปสร้างกราฟ
ข.การแทรกภาพตดั ปะ
ค.การสรา้ งกราฟเลก็ ๆ ภายในช่องเซลลเ์ พ่ือใชแ้ สดงความแตกต่างของข้อมูลที่เราสนใจ
ง.การแทรกสญั ลักษณ์
41. ข้อมูลท่ีจะป้อนลงแผน่ งาน มีกีป่ ระเภท
ก. 3 ประเภท
ข. 4 ประเภท
ค. 5 ประเภท
ง. 6 ประเภท
42. การเลอื่ นพอยเตอร์เมาสไ์ ปยงั จดุ ใดจดุ หนง่ึ ทตี่ ้องการให้เป็นจดุ เริ่มต้นของกลมุ่ เซลล์ แลว้ คลิกเมาส์
1 ครั้ง ค้างไว้ แลว้ ลากเมาสไ์ ปให้ครอบคลุมตาแหน่งทีต่ ้องการแลว้ ปล่อยมือจากเมาส์ คือการทาอะไร
ก. การกาหนดขอบเขตของเซลล์
ข. การป้อนข้อมูลลงในเซลล์
ค. การป้อนข้อมลู ลงบนแผ่นงาน
ง. การปอ้ นข้อมลู อัตโนมตั ิ
43. หากผูใ้ ช้เผลอลบข้อมูลผิด สามารถเรียกข้อมูลเกา่ กลบั คนื มาไดโ้ ดยวิธใี ดโดยไม่ต้องทาใหม่ให้
เสียเวลา
ก. ไม่สามารถทาได้
ข. คลิกที่
ค. กดปมุ่ Ctrl+Z
เจ้าหนา้ ที่บริหารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n2M0edia
ง. ถูกทง้ั ข้อ ข และ ขอ้ ค
44. การคานวณถือว่าเป็นความสาคญั สาหรบั โปรแกรม Spreadsheet โดยจะเรียกการคานวณตวั เลข
ว่าอะไร
ก. Number
ข. Formula
ค. Address
ง. Function
45. หากเครื่องหมายคานวณมีความสาคัญเท่ากนั Microsoft Excel จะใช้วธิ กี ารคานวณแบบใด
ก. เริ่มจากซ้ายไปขวา
ข. เรมิ่ จากขวาไปซ้าย
ค. เริ่มจากกลางไปหน้า
ง. เรมิ่ จากกลางถอยหลงั
46. เอกสารที่จดั ทาใน Microsoft Excel 10 จะไมส่ ามารถนาไปเปดิ ในเครื่อง เวอร์ชั่นเกา่ ได้ ผใู้ ช้มี
วธิ ีแกไ้ ขปญั หาอย่างไร
ก. ต้ังคา่ เอกสารใหเ้ ป็น ใชส้ ุมดงานร่วมกนั
ข. แชรเ์ อกสารไว้ในเซฟิ เวอร์
ค. บนั ทึกเอกสารให้เป็นชนิด Excel97-2003 Workbook
ง. ไม่สามารถทาได้
47. ภายใน 1 Formula สามารถป้อนตัวเลขหรือเครื่องหมายในการคานวณไดไ้ มเ่ กินเท่าไหร่
ก. 250 ควั อกั ษร
ข. 255 ตัวอกั ษร
ค. 260 ตัวอกั ษร
ง. 265 ตวั อกั ษร
48. การเปล่ียนชอ่ื Sheet สามารถทาไดด้ ้วยวธิ ใี ด
ก. คลกิ ขวาที่ Sheet แล้วเลอื ก เปลี่ยนช่อื
ข. ดบั เบิลคลกิ ที่ Sheet แลว้ เปล่ียนชอ่ื
ค. ถกู ท้งั ข้อ ก และ ข้อ ข
ง. ไมม่ ขี ้อถกู
49. ฟังก์ชัน มีกีป่ ระเภท
ก. 7 ประเภท
ข. 8 ประเภท
เจ้าหน้าที่บริหารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 121
ค. 9 ประเภท
ง. 10 ประเภท
50. วิธีการกาหนดกล่มุ เซลลต์ ้องใชเ้ ครื่องหมายอะไร
ก. ,
ข. “—“
ค. :
ง. ;
51. ในการป้อนขอ้ มูลลงในแผ่นงานแต่ละคร้ัง ตวั เลข จะชิดมุมใดโดยอตั โนมัติ
ก. ชิดซ้าย
ข. ชิดขวา
ค. กึ่งกลาง
ง. ชดิ มมุ บน
52. วธิ ีใดคอื การหาผลรวมอตั โนมัติอย่างรวดเรว็
ก.
ข.
ค.
ง.
53. คาส่ังใดเป็นคาส่งั เก่ียวกับการจดั การแฟ้มสมุดงาน
ก. Edit
ข. Insert
ค. File
ง. Format
54. หากผใู้ ชต้ อ้ งการจัดรปู แบบข้อมูลบนแผน่ งาน เช่นการเปลี่ยนแบบตวั อกั ษร ตอ้ งใชค้ าสง่ั ใด
ก. Edit
ข. Insert
ค. File
ง. Format
55. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ดุ ม่งุ หมายของการใชโ้ ปรแกรม Excel
ก. ใชง้ านด้านบัญชี
ข. การคานวณเกยี่ วกับตัวเลขตา่ งๆ
ค. ผลรวมของการขายสนิ ค้า
ง. พิมพเ์ อกสารรายงานการประชุม
เจ้าหนา้ ทบี่ รหิ ารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n2M2edia
56. ถา้ ผู้ใช้ตอ้ งการยอ่ ขนาดของวินโดวสใ์ ห้มขี นาดเลก็ สดุ ตอ้ งกดป่มุ ใด
ก. ปุ่ม Restore Down
ข. ปมุ่ Minimize
ค. ปมุ่ Maximize
ง. ปุ่ม Close
57. ถา้ ผู้ใช้ต้องการหมนุ ตวั อักษร ตอ้ งใชเ้ ครื่องมือใด
ก.
ข.
ค.
ง.
58. จากรปู
ผ้ใู ชส้ ามารถเติมสีไดด้ ้วยวธิ ีใด
ก. เลอื กSheet ที่ต้องการแล้ว คลิก
ข. เลือกSheet ทตี่ อ้ งการแล้ว คลกิ
ค. เลอื กSheet ทตี่ อ้ งการ คลิกขวา เลือกสีแทบ็ แลว้ เลือกสีทีต่ อ้ งการ
ง. เลอื กSheet ทีต่ อ้ งการแลhว คลกิ
59. ฟังก์ชั่นใดใช้สาหรบั การหาผลรวม
ก. SUM
ข. AVERAGE
ค. MIN
ง. COUNT
60. ฟังกช์ ั่นใดใช้สาหรับการหาคา่ เฉลยี่
ก. SUM
ข. AVERAGE
ค. MIN
ง. COUNT
เจ้าหน้าที่บรหิ ารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 123
เฉลยแนวขอ้ สอบ Microsoft Excel
ข้อที่1 ก. ขอ้ ท่ี21 ก. ขอ้ ท่ี 41 ค.
ขอ้ ท่ี2 ง. ข้อท่ี22 ข. ข้อที่ 42 ก.
ขอ้ ท่ี3 ก. ขอ้ ท่ี23 ค. ข้อที่ 43 ง.
ข้อที่4 ก. ขอ้ ที่24 ง. ขอ้ ท่ี 44 ข.
ข้อที่5 ก. ข้อที่25 ข. ขอ้ ท่ี 45 ก.
ข้อท่ี6 ง. ข้อท่ี26 ค. ขอ้ ท่ี 46 ค.
ขอ้ ที่7 ข. ข้อที่27 ค. ข้อที่ 47 ข.
ข้อที่8 ง. ขอ้ ที่28 ข. ข้อท่ี 48 ค.
ข้อท่ี9 ข. ขอ้ ที่29 ค. ขอ้ ท่ี 49 ง.
ขอ้ ที่10 ก. ขอ้ ที่30 ก. ขอ้ ที่ 50 ก.
ข้อที่11 ค. ข้อท่ี 31 ก. ขอ้ ท่ี 51 ข.
ขอ้ ท่ี12 ก. ข้อท่ี 32 ก. ขอ้ ท่ี 52 ง.
ขอ้ ที่13 ค. ข้อที่ 33 ง. ข้อท่ี 53 ค.
ข้อท่ี14 ง. ข้อที่ 34 ค. ข้อที่ 54 ง.
ขอ้ ท่ี15 ก. ข้อที่ 35 ข. ขอ้ ที่ 55 ง.
ข้อที่16 ง. ขอ้ ท่ี 36 ก. ข้อที่ 56 ก.
ข้อที่17 ก. ขอ้ ท่ี 37 ก. ข้อท่ี 57 ง.
ขอ้ ท่ี18 ค. ขอ้ ท่ี 38 ก. ข้อที่ 58 ค.
ขอ้ ท่ี19 ง. ขอ้ ที่ 39 ง. ข้อที่ 59 ก.
ข้อที่20 ก. ขอ้ ท่ี 40 ค. ขอ้ ที่ 60 ข.
เจ้าหนา้ ทบ่ี ริหารงานทวั่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n2M4edia
แนวขอ้ สอบเจ้าหนา้ ท่บี ริหารงานทั่วไป
การประกนั คุณภาพการศึกษา
การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา หมายถึง การดาเนินกิจกรรมและภารกิจตา่ ง ๆ ท้ังดา้ นวิชาการ การ
บริการ / การจดั การ เพือ่ สรา้ งความมัน่ ใจใหผ้ รู้ บั บรกิ ารทางการศึกษา ทั้งผูร้ บั บริการโดยตรง คอื ผเู้ รยี น
ผปู้ กครอง และผรู้ บั บริการทางอ้อม คือ สถานประกอบการ ประชาชน และสังคมโดยรวม ว่าการ
ดาเนินงานของสถานศกึ ษาจะมีประสทิ ธภิ าพ และทาให้ผู้เรียนมีคุณภาพหรอื คุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคต์ าม
มาตรฐานการศึกษาท่ไี ด้กาหนดไว้ การประกันคุณภาพมีแนวคดิ อยบู่ นพ้ืนฐานของการ "ปอ้ งกัน" ไมใ่ หเ้ กิด
การทางานท่ไี ม่มีประสิทธิภาพและผลผลิตท่ีไมม่ ีคณุ ภาพ
ระบบและกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา
ระบบการประกันคณุ ภาพการศกึ ษาไทยตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา
47 ประกอบด้วย 2 ระบบคอื
1. ระบบการประกนั คุณภาพภายในและ
2. ระบบการประกนั คุณภาพภายนอก
ภาพวงจรการประกนั คุณภาพการศกึ ษา
กระบวนการประกันคณุ ภาพภายใน
ระบบการประกันคุณภาพภายใน หมายถงึ ระบบการประเมนิ ผล และการติดตามตรวจสอบ
คุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษาจากภายในโดยบุคลากรของสถานศึกษานัน้ เองหรอื โดย
หนว่ ยงานต้นสงั กดั ที่มีหนา้ ท่ีกากับดูแลสถานศึกษานั้น สถานศกึ ษาจะต้องพฒั นาระบบการประกันคุณภาพ
ภายในให้เปน็ ส่วนหน่งึ ของกระบวนการบรหิ ารและการ ปฏิบัตงิ าน โดยคานงึ ถึงหลักการและกระบวนการ
ดงั ต่อไปนี้
เจ้าหนา้ ทบ่ี รหิ ารงานทั่วไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 125
1. หลักการสาคัญของการประกันคุณภาพภายในของสถานศกึ ษามี 3 ประการคอื
- จุดมงุ่ หมายของการประกันคณุ ภาพภายใน คือ การท่สี ถานศึกษาร่วมกนั พัฒนาปรบั ปรงุ
คณุ ภาพใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา ไม่ใชก่ ารจบั ผิดหรือทาให้บุคลากรเสียหนา้ โดย เปา้ หมายสาคญั
อยู่ที่ การพฒั นาคุณภาพใหเ้ กิดขน้ึ กับผเู้ รียน
- การท่จี ะดาเนนิ การใหบ้ รรลเุ ป้าหมายตามจุดมุ่งหมายการประกันคุณภาพภายใน ต้องทาให้
การ ประกันคุณภาพการศึกษาเปน็ ส่วนหน่งึ ของกระบวนการบรหิ ารจดั การและการทางานของ บุคลากรทุก
คนในสถานศึกษาไม่ใช่เป็นกระบวนการที่แยกสว่ นมาจากการดาเนินงานตามปกติ ของสถานศึกษาโดย
สถานศึกษาจะต้องวางแผนพัฒนาและแผนปฏิบตั ิการท่ีมีเปา้ หมายชดั เจน ทาตามแผนตรวจสอบ
ประเมินผลและพฒั นาปรบั ปรุงอยา่ งต่อเนื่อง เป็นระบบทม่ี ีความ โปร่งใสและมจี ติ สานึกในการพฒั นา
คณุ ภาพการทางาน
- การประกันคณุ ภาพเป็นหน้าทขี่ องบคุ ลากรทกุ คนในสถานศึกษา ไมว่ ่าจะเป็นผู้บริหาร ครู
อาจารยแ์ ละบุคลากรอืน่ ๆ ในสถานศึกษาโดยในการดาเนินงานจะต้องใหผ้ ู้เกย่ี วข้อง เช่น ผู้เรียน ชุมชน
เขตพ้นื ท่ีการศึกษา หรอื หนว่ ยงานทกี่ ากับดแู ลเข้ามามีส่วนร่วมในการกาหนด เป้าหมาย วางแผน ตดิ ตาม
ประเมินผลพฒั นาปรับปรุง ชว่ ยกนั คดิ ช่วยกนั ทา ชว่ ยกนั ผลกั ดันให้ สถานศึกษามีคุณภาพ เพ่ือให้ผู้เรียน
ได้รบั การศึกษาที่ดีมีคณุ ภาพ เป็นไปตามความต้องการของ ผู้ปกครอง สังคม และประเทศชาติ
2. กระบวนการการประกันคุณภาพภายในตามแนวคดิ ของการประกนั คณุ ภาพ มี 3 ขนั้ ตอนคือ
- การควบคุมคุณภาพ เปน็ การกาหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษาเพื่อพฒั นา
สถานศกึ ษาใหเ้ ข้าสมู่ าตรฐาน
- การตรวจสอบคณุ ภาพ เป็นการตรวจสอบ และตดิ ตามผลการดาเนินงานของสถานศกึ ษาให้
เปน็ ไปตามมาตรฐานท่ีกาหนด
3. กระบวนการประกันคุณภาพภายในตามแนวคิดของหลักการบรหิ ารทีเ่ ปน็ กระบวนการครบวงจร (PDCA)
ประกอบด้วย 4 ขัน้ ตอนคือ
- การรว่ มกันวางแผน (Planning)
- การร่วมกันปฏบิ ตั ิตามแผน (Doing)
- การรว่ มกันตรวจสอบ (Checking)
- การร่วมกันปรับปรุง (Action)
การควบคุมคณุ ภาพและการตรวจสอบคุณภาพก็คือกระบวนการบริหารเพ่ือพฒั นาคุณภาพตาม
หลกั การบริหารน่นั เอง โดยการควบคุมคุณภาพ คือ การท่ีสถานศกึ ษาต้องรว่ มกันวางแผนและดาเนินการ
ตามแผน เพ่ือพฒั นา สถานศึกษาให้มคี ณุ ภาพตามเป้าหมายและมาตรฐานการศึกษา สว่ นการตรวจสอบ
คุณภาพ คือ การที่สถานศึกษาต้องร่วมกนั ตรวจสอบเพื่อพัฒนาปรบั ปรุงคุณภาพให้เป็นไปตามเปา้ หมาย
และมาตรฐานการศึกษาเม่ือ สถานศึกษามีการตรวจสอบตนเองแล้วหนว่ ยงานในเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาและต้น
เจ้าหนา้ ที่บริหารงานทั่วไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n2M6edia
สงั กดั ก็เข้ามาชว่ ยตดิ ตามและ ประเมินคุณภาพเพอื่ ให้ความชว่ ยเหลือในการพฒั นาปรบั ปรุงสถานศกึ ษา ซ่ึง
จะทาใหส้ ถานศกึ ษามีความอุ่นใจ และเกดิ ความตนื่ ตัวในการพัฒนาคุณภาพอยู่เสมอ
การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก
การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก คือ การประเมนิ คุณภาพการจดั การศกึ ษา การติดตาม การ
ตรวจสอบคณุ ภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษา โดยผู้ประเมนิ ภายนอกทีไ่ ด้รับการรับรองจาก
สานกั งานรบั รองมาตรฐาน และประเมินคณุ ภาพการศึกษา โดยผูป้ ระเมินภายนอกท่ไี ด้รับการรบั รองจากสา
นักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมนิ คุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. เพื่อมงุ่ ให้มคี ณุ ภาพดี
ยงิ่ ข้ึน ผูป้ ระเมินภายนอกมีความเปน็ อสิ ระ และเป็นกลาง ไม่มีผลประโยชนข์ ัดแย้งกันการประเมนิ คุณภาพ
ภายนอกจะ นาไปสู่การเขา้ ถึงคุณภาพการศึกษาดว้ ยความเป็นกลาง เพ่ือสรา้ งสรรค์พฒั นาคณุ ภาพและ
มาตรฐานการศึกษา อยา่ งแท้จริง
แนวคดิ และหลักการของการประเมนิ คณุ ภาพภายนอก
การประเมนิ ภายนอกของ สมศ. เปน็ การประเมินโดยใชร้ ูปแบบ “ กลั ยาณมติ รประเมิน” โดยมี
วัตถุประสงคเ์ พื่อ
1. เพ่อื ตรวจสอบ ยนื ยันสภาพจริงในการดาเนินงานของสถานศกึ ษาและประเมนิ คุณภาพ
การศกึ ษาตาม มาตรฐานการศึกษาทก่ี าหนด
2. เพื่อให้ไดข้ ้อมูลซึ่งชว่ ยสะท้อนให้เหน็ จุดเด่น-จุดดอ้ ยของสถานศกึ ษา เง่อื นไขของความสาเร็จ
และ สาเหตขุ องปญั หา
3. เพื่อช่วยเสนอแนะแนวทางปรบั ปรงุ และพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาแก่สถานศึกษาและหน่วยงาน
ตน้ สงั กดั
4. เพื่อสง่ เสริมให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพและประกนั คณุ ภาพภายในอย่างตอ่ เน่ือง
5. เพอ่ื รายงานผลการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษาต่อหนว่ ยงานที่
เกยี่ วขอ้ งและสาธารณชน
ความสาคญั ของการประเมินคุณภาพภายนอก
การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก มคี วามสาคญั และมีความหมายต่อสถานศกึ ษาหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง
และสาธารณชน ดังตอ่ ไปนี้
1. เปน็ การสง่ เสริมใหส้ ถานศึกษาพฒั นาเขา้ สู่เกณฑม์ าตรฐานและพัฒนาตนเองใหเ้ ต็มตาม
ศักยภาพอยา่ งต่อเน่ือง
เจา้ หน้าท่ีบรหิ ารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brain Media 127
2. เพม่ิ ความม่นั ใจและคมุ้ ครองประโยชนใ์ หผ้ ู้รบั บรกิ ารทางการศกึ ษาวา่ สถานศึกษาไดจ้ ดั
การศกึ ษามุง่ สู่ คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาทีเ่ น้นใหผ้ ู้เรยี นเป็นคนดี มีความสามารถ และมคี วามสุขเพื่อ
เป็นสมาชิกทีด่ ขี องสังคม
3. สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีกากับดูแล เช่น คณะกรรมการสถานศกึ ษา หนว่ ยงานต้นสังกัด
สานักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษา รวมทงั้ หน่วยงานทเี่ กีย่ วข้องและชุมชนท้องถิน่ มีข้อมลู ทีจ่ ะชว่ ยตดั สนิ ใจใน
การ วางแผนและดาเนินการเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษาใหเ้ ป็นไปในทิศทางทีต่ ้องการและ
บรรลเุ ปา้ หมายตามท่ีกาหนด
4. หน่วยงานทเี่ ก่ยี วข้องในระดับนโยบายมีข้อมลู สาคญั ในภาพรวมเกี่ยวกบั คณุ ภาพและมาตรฐาน
ของ สถานศกึ ษาทุกระดับทุกสังกัด เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการกาหนดแนวนโยบายทางการศกึ ษาและการ
จดั สรรงบประมาณเพ่ือการศึกษาอย่างมีประสทิ ธิภาพ
เจ้าหนา้ ท่บี ริหารงานท่ัวไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n2M8edia
การบรหิ ารทรพั ยากรบุคคล
1. การบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์ HUMAN RESOURCE MANAGEMENT
ทรัพยากรมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งกลายเป็นผลผลิต หรือการบริการ
ตามแต่ละประเภทขององค์การ ซึ่งนาไปสู่ความสาเร็จและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์การ โดยทั่วไป
มนุษย์แต่ละคนมีลักษณะหลากหลายแตกต่างกันในด้าน ความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบที่
ทาหน้าท่ีในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ให้องค์การบรรลุเป้าหมาย การดาเนินการให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์
งานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยคุณภาพทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ (พะยอม วงศ์สาร
ศรี. 2538 : 2) ดังนั้นผู้บริหารองค์การทุกคนสมควรต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซ้ึงถึงหลักการ
บริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อใหเ้ กิดประสทิ ธผิ ลแก่องค์การ
1.1 ภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนษุ ย์
“การบริหารงานบุคคล” ซึ่งเป็นคาเดิมท่ีเคยใช้มาในอดีตนั้น เป็นคาที่ส่ือถึงการดาเนิน
กิจกรรมพื้นฐานดั้งเดิม กล่าวคือ การสรรหา บรรจุ แต่งต้ัง การเลื่อนข้ันเงินเดือน การดาเนินการทาง
วินยั ฯลฯ
ในปัจจุบันความหมายของ “คน” ในองค์กรไปไกลกว่าน้ันมาก ด้วยถือว่าคนเป็น
“ทรัพยากร” ท่มี ีค่าจงึ เกิดคาว่า “การบรหิ ารทรัพยากรมนษุ ย์” ขนึ้ หรือในบางองค์กรมองไกลกว่าน้ันอีก
กล่าวคือมองเห็นว่าคนเป็น “ต้นทุน” ที่สาคัญขององค์กร จึงเกิดคาใหม่ขึ้นมาว่า “การบริหารทรัพยากร
บุคคลท่ีเป็นต้นทุน” หรือ “การบริหารทุนมนุษย์” หรือ “Human Capital Management” ขึ้นอีก
หนงึ่ คา
ดังน้ัน คาว่า “การบริหารทุนมนุษย์” หรือ “การบริหารทรัพยากรมนุษย์” จึงมี
ความหมายใกลเ้ คยี งกนั เน่อื งจากมองคนเปน็ “ต้นทุน” หรอื เป็น “ทรัพยากร” ท่ีสาคัญขององคก์ ร
หากต้นทนุ มีนอ้ ย กต็ อ้ งเติมใหเ้ ต็มหรอื ทาให้มมี ากเพยี งพอ
หากต้นทุนมีจุดบกพร่อง ก้ต้องพัฒนา แก้ไข หรือเพ่ิมคุณค่าเพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อน
อยา่ งแท้จริง
หากต้นทุนมีลักษณะที่เข้าข่ายที่เรียกว่า “เส่ือม” หรือพัฒนาไม่ขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด
กต็ อ้ งหาทางปรับเปล่ียน โยกย้าย หรือแม้กระท่ังต้องดาเนนิ การผ่องถา่ ยออกไป
1.2 ความหมายและความสาคัญของการบริหารทรพั ยากรมนษุ ย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ดาเนินงานด้าน
บุคลากร ตั้งแต่การสรรหา คัดเลือก และบรรจุบุคคลท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมให้ปฏิบัติงานในองค์การ
พร้อมท้ังการพัฒนา ธารงรักษาให้สมาชิกที่ปฏิบัติงานในองค์การได้เพ่ิมพูนความรู้ ความสามารถ มี
สุขภาพกายและสขุ ภาพจิตที่ดใี นการทางาน และยังรวมไปถึงการแสวงหาวิธีการท่ีทาให้สมาชิกในองค์การ
เจา้ หนา้ ทบ่ี รหิ ารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brain Media 129
ท่ีต้องพ้นจากการทางานด้วยเหตุทุพพลภาพ เกษียณอายุหรือเหตุอ่ืนใดในงาน ให้สามารถดารงชีวิตอยู่ใน
สงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข
ความสาคัญของการบรกิ ารทรพั ยากรมนุษย์นั้น มีอย่มู ากมายหลายประการแต่โดยส่วน
จะเข้าใจกันเฉพาะในด้านขององค์กรผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ท่ีมี
ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ธัญญา ผลอนันต์ (2546:17) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการบริหาร
ทรัพยากรมนุษย์ ท่ีนอกเหนือจากด้านองค์กรแล้ว ยังมีผลต่อด้านบุคลากรตลอดจนสังคมส่วนรวมด้วย
ซ่งึ ได้อธิบายถึงสาคัญไว้ในแตล่ ะ 3 ดา้ น ดังต่อไปน้ี
(1) ด้านบุคลากร ช่วยให้พนักงานในองค์การได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง และได้
พัฒนาตนเองให้มีความสามารถเชิงสมรรถนะในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ มีความผาสุกและความพึง
พอใจในงาน เกดิ ความก้าวหน้า สามารถทางานทีใ่ หผ้ ลการดาเนินการที่ดมี ปี ระสทิ ธผิ ล
(2) ด้านองค์กร ช่วยพัฒนาองค์กร พนักงานที่มีคุณภาพก็จะดาเนินการตาม
แผนปฏิบัติการ ตามแนวทางที่ผู้นาระดับสูงวางไว้อย่างมีประสิทธิผล ทาให้เกิดผลการดาเนินงานท่ีเป็น
เลศิ ทั้งด้านบรกิ ารและการผลติ สนิ ค้า องคก์ รก็ย่อมจะเจริญกา้ วหนา้ มคี วามมน่ั คงและขยายงานออกไปได้
ด้วยดี
(3) ดา้ นสังคม ช่วยเสรมิ สรา้ งความม่ันคงให้แก่สังคมและประเทศชาติ เมื่อองค์กรซ่ึง
เป็นหน่วยหน่ึงของสังคมเจริญก้าวหน้าและม่ันคงดี ก็ส่งผลไปถึงสังคมโดยรวมด้วยเม่ือพนักงานได้พัฒนา
ตนจนมีความสามารถหารายได้มาชว่ ยให้ครอบครวั มั่นคงกส็ ่งผลดตี อ่ ชุมชน
1.3 ปรชั ญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์
โดยปกตมิ นุษยจ์ ะตดั สนิ ใจทาสง่ิ ใดสิ่งหนึ่งนั้นตามความคิด ความเช่ือ และค่านิยมที่อยู่ใน
ตวั ของเขา โดยมีแนวความคิดที่เป็นพ้ืนฐานว่าสิ่งที่เลือกทาเป็นสิ่งท่ีมีค่ามากที่สุด ซ่ึงสิ่งที่เป็นพ้ืนฐานของ
ความคิดก็คือ ปรัชญาประจาตัวนั้นเอง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นกัน ผู้บริหารหรือผู้จัดการก็
จะต้องมปี รัชญาการบรหิ ารทรัพยากรมนษุ ยเ์ ป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ
ปรัชญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ประกอบดว้ ย
1) หลักคุณธรรม (Merit - Based)
2) หลกั สมรรถนะ (Competency - Based)
3) หลกั ผลงาน (Performance - Based)
4) หลักการกระจายอานาจและความรบั ผดิ ชอบ (HR Decentralization)
5) หลกั คณุ ภาพชวี ติ ในการทางาน (Quality of Work Life)
เจ้าหนา้ ท่ีบรหิ ารงานท่วั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n3M0edia
1) หลักคุณธรรม (Merit - Based) : หลักคุณธรรมหรือระบบคุณธรรมใช้ในการบริหาร
ทรัพยากรบคุ คลท้ังภาครฐั และภาคธรุ กิจ หลักคุณธรรมประกอบด้วย 4 หลกั ใหญ่ คอื
(1) หลักความเสมอภาค คือ เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่คานึงถึงผิวพรรณ เช้ือชาติ
เพศ ฯลฯ
(2) หลกั ความสามารถ การบริหารคนหมู่มากตอ้ งมวี ธิ ีวดั ความสามารถ ซึ่งปัจจับันเปลี่ยน
มาเป็นหลกั ผลงาน และหลกั สมรรถนะ
(3) หลักความเป็นกลาง หมายถึง การปฏบิ ตั ิหนา้ ทโี่ ดยไม่คานึงถึงฝ่ายใด ข้าราชการเป็น
กลไกรัฐ ต้องทางานตามนโยบายของรัฐบาล แต่บางคร้ังถูกมองว่ารับใช้หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซ่ึง
อาจมผี ลกระทบกับความม่นั คงในอาชีพราชการ
(4) หลักความมนั่ คง หมายถึง การรบั รองการเป็นอาชีพ มีทางก้าวหน้า มีค่าตอบแทน
และสวสั ดิการท่เี หมาะสม ท่เี กยี รติและศักด์ศิ รี
2) หลักสมรรถนะ (Competency - Based) : หมายถึง ใช้คนให้ตรงกับความรู้ความสามารถ
(Put the Right Man on the Right Job) โดยการศึกษา และกาหนดความรู้ความสามารถที่ต้องการ
สาหรับตาแหนง่ ตา่ งๆ แลว้ นาไปสรรหาพฒั นาให้ได้บคุ คลที่เหมาะสมมาดารงตาแหนง่
3) หลักผลงาน (Performance - Based) : คอื การบริหารโดยยึดผลงานเป็นหลัก หมายความ
ว่าจะให้คุณให้โทษใครให้ดูท่ีผลงาน ตรงน้ีมาจากภาคธุรกิจ ถามว่าราชการยึดผลงานอย่างเดียวได้ไหม
คาตอบคือคงไมไ่ ด้ จะต้องมปี ัจจัยอน่ื ๆ หรอื แม้แต่ทางธุรกิจเหมือนกันต้องมองท้ัง Input ที่ใส่เข้าไปในการ
ทางาน Output ทเี่ กดิ ขึ้น รวมท้งั ทศั นคติ (Attitude) และวธิ ีการทางานของเขา ต้องโปร่งใส แต่อย่างไรก็
ตาม ก็ให้เนน้ ผลงาน ให้ยดึ ผลงานเปน็ หลกั
4) หลักการกระจายอานาจและความรับผิดชอบ (HR Decentralization) : คือให้ร่วมกัน
รับผิดชอบ เวลาถามว่าใครเป็น HR Manager ใครเป็น Personnel Manager ถ้าเป็นยุคก่อนคาตอบคือ
หัวหน้าการเจ้าหน้าท่ี แต่คาตอบยุคนี้คือผู้บริหารน้ันเอง หรือ Line Manager น้ันเอง ท่ีเป็น HR
Manager ในตวั เอง ตอ้ งรหู้ ลักตอ้ งบรหิ ารได้
5) หลักคุณภาพชีวิตในการทางาน (Quality of Work Life) : คือ ในการทางานมี Work Life
กบั Home Life ทาอยา่ งไรให้สมดุลกัน (Balance)
1.4 เปา้ หมายของการบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์
เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มี 4 วัตถุประสงค์หลัก คือ
สรรหา พัฒนา รกั ษาไว้ ใช้ประโยชน์
สรรหา คือ หาคนดีคนเก่งเข้ามาทางาน การสรรหาประกอบด้วยการสรรหาแบบตั้งรับ
หรอื แบบดงั้ เดมิ และการสรรหาเชงิ รุก
พฒั นา คือ รับเข้ามาแล้วพัฒนาให้เป็นคนดี คนเก่งย่ิงๆ ขึ้นไปอีก การท่ีจะพัฒนาให้เก่งขึ้น
ไปอีกตอ้ งร้วู ่าเขาเป็นใคร เข้ามคี วามถนัด มีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร ก็ต้องไปทาส่ิงที่
เรียกว่า Career Planning ทา IDP หรือ Individual Development Plan ระบบ
เจา้ หนา้ ทบ่ี ริหารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 131
พัฒนาเป็นเรื่องท่ีจาเป็นในการสร้างคน ต้องพัฒนาอย่างทั่วถึงท้ังองค์กร พัฒนา
อยา่ งต่อเนือ่ ง เป็นต้น
รักษาไว้ คือ รักษาไว้ให้อยู่กับเราเป้นเรื่องการจัดการทางก้าวหน้าใน อาชีพ การมี
คา่ ตอบแทนทีเ่ หมาะสม การสรา้ งความพงึ พอใจและเปน็ ผู้รกั องคก์ ร
ใชป้ ระโยชน์ คือ การใช้คนให้ตรงกับงาน ให้ความเป็นอิสระและมีส่วนร่วม ให้ทางานได้อย่าง
เตม็ ศกั ยภาพ
1.5 ภารกจิ 10 ประการของการบริหารทรัพยากรมนษุ ย์
หลกั วชิ าหรือศาสตร์ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อาจจาแนกได้เป็น 10 กลุ่มภารกิจ
ดงั นี้
1. โครงสร้างองค์กร (Organization Structure) จะเก่ียวกับการออกแบบองค์กรและ
การจัดระบบงานในองค์กรซ่ึงในราชการไทยปัจจุบัน มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ คือ กพร. จะ
ช่วยดูแลเกย่ี วกบั การจัดต้งั ปรบั ปรุงองคก์ ร
โครงสร้างองค์กร คือ แผนภูมิแสดงตาแหน่งทั้งหมดในองค์กร แสดงความสัมพันธ์ของ
อานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน หรือแสดงความเชื่อมโยงท้ังแนวต้ังและแนวนอนของตาแหน่งทั้งหมด
รูปแบบของการจัดองค์กรรวมและของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลเองก็ขึ้นกับปัจจัยภายในและภายนอก
หลายอย่าง และ ไม่จาเป็นต้องเหมือนกันในทุกองค์กร นอกจากน้ีการจัดทาโครงสร้างองค์กร จะ
สามารถระบุได้ว่าตาแหน่งใดในองค์กรมีหน้าท่ีอะไรต่อไป ซ่ึงจะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานที่สาคัญในการออกแบบ
กระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรให้สอดคล้องต่อโครงสร้างองค์กรไม่ว่าจะเป็นโครงส ร้าง
อานาจหน้าที่ โครงสร้างการบังคับบัญชา และโครงสร้างอัตรากาลัง เพื่อให้การกระบวนการบริหาร
ทรัพยากรบุคคลขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เป็นอุปสรรคในการการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละ
บทบาทภารกิจของทรัพยากรบคุ คล
2. การวางแผนกาลังคนและการสรรหาบุคลากร (Workforce Planning and
Recruitment) เกยี่ วขอ้ งกับ
(1) Redeployment of resource เกล่ียทรัพยากร อาจใช้วิธีเกล่ียตาแหน่ง
หรอื เกลี่ยคนไปทางานท่ีเหมาะสม
(2) Retirement Bubble คือ การรักษาผู้อยู่ในช่วงวัยกาลังจะเกษียณอายุไว้ใน
องคก์ ร จะถ่ายทอดอย่างไรหรอื จะรักษาเขาไว้ได้อยา่ งไร
(3) Organization Size เป็นการพิจารณาว่าขนาดขององค์กรควรจะมีขนาดเล็ก
หรือขนาดใหญ่ หรืออาจวา่ จ้างจากภายนอก
(4) War for Talent การรักษากาลังคนในสาขาท่ีขาดแคลนหรือหายากไว้ใน
องคก์ ร จะตอ้ งมกี ารสรรหาในเชงิ รุก และการเพิม่ พูนแรงจูงใจ
3. การฝึกอบรม การพัฒนา และการจัดการความรู้(HRM–Training and
Development /Knowledge Management) กลุ่มนี้สอดคล้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคล คือ สรร
เจ้าหนา้ ท่ีบรหิ ารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n3M2edia
หา พัฒนา รักษาไว้ ใช้ประโยชน์ และเพ่ิมเร่ือง Knowledge Management – KM เข้าไป ยุคปัจจุบัน
พูดถึงการบริหารองค์ความรู้ การจัดการความรู้ เน่ืองจากความรู้ทุกด้านไม่ใช่เฉพาะด้าน HR เท่านั้น
ความรใู้ นแต่ละด้านมกี ารเคลอ่ื นตวั ไปเร็วมาก บางเรอ่ื งเคลอ่ื นตวั ไปจนกระทั่งความรู้เดิมท่ีมีอยู่ใช้ไม่ได้เลย
จึงตอ้ งสร้างบรรยากาศแหง่ การเรยี นรู้และการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเป็นคุณคา่ หลกั ในการทางาน
4. การวางแผนทดแทนตาแหน่ง/การหมุนเวียนงาน (Succession Plan/Staff
Rotation) การบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กรควรมีการวางแผนทดแทนตาแหน่ง หรือพูกง่ายๆ คือ มี
แผนสืบทอดตาแหน่งหรือการสร้างตัวตายตัวแทนนั่นเอง โดยจะต้องมีการพิจารณาผู้ท่ีมีคุณสมบัติท่ี
เหมาะสมกับตาแหน่วนั้นๆ เคร่ืองมือท่ีช่วยในการวางแผนทดแทนตาแหน่ง ก็คือฐานข้อมูลกาลังคน
(Talent Inventory HR Database) มีการบริหารจัดการผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถ (Talent
Management)
5. การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) หรือ PM เป็นการ
บริหารทรัพยากรบุคคลโดยยึดผลงานเป็นหลัก มีการกาหนดเป้าหมายและตัวช้ีวัด ถือเป็นกลไกสาคัญใน
การขบั เคล่อื นองค์กรให้ทางานบรรลุเปา้ หมาย
6. การกาหนดภารกจิ อยา่ งมีเป้าหมายและการวัดผลงานบุคคล (Individual KPI) หลัก
เบื้องต้นของการบริหารผลการปฏิบัติงานน้ันใช้กับองค์กร กล่าวคือ องค์กรต้องมีเป้าหมายว่าต้องทาอะไร
ให้เสร็จ ในระดับไหน มีคุณภาพอย่างไร จากน้ันก็นามาใช้กับบุคคล มีตัวช้ีวัดผลการปฏิบัติงาน
รายบุคคล (Individual KPI) และนาผลไปใช้ในการใหค้ ุณใหโ้ ทษ ตลอดจนการพัฒนาบคุ คล
7. การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ (Pay Administration) ต้องคานึงถึงความ
เสมอภาคภายนอก (Ex-ternal Equity) และความเสมอภาคภายใน (Internal Equity) รวมถึงต้องใช้กลไก
ตลาด (Market Mechanism) เข้ามาพจิ ารณาดว้ ย
8. การสอื่ สารความรู้ความเขา้ ใจทัว่ ท้ังองค์กร ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารด้านทรัพยากร
บุคคล (HR Manager) ที่ต้องส่ือสารเรื่องราวต่างๆ ท้ังหลายที่เก่ียวข้องกับบุคคลในองค์กรให้ท่ัวถึง
โดยเฉพาะเรื่องสทิ ธปิ ระโยชน์ ทางกา้ วหน้าหรือเง่อื นไขในการทางาน
9. คุณภาพใหบ้ รกิ าร ถือเป็นหนา้ ที่ของ HR Manager ด้วยท่ตี ้องให้ความสาคัญต่อลูกค้า
หรือผรู้ ับบริการและเนน้ ย้าหลกั การเร่อื งนี้ต่อผปู้ ฏิบตั ิงานทัว่ ท้ังองคก์ ร
10. การพฒั นาและใช้ขอ้ มลู อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เพ่ือให้องค์กรทันสมัยและใช้ข้อมูลบน
ฐานเดียวกันในการบรหิ ารงาน
1.6 กระบวนการบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง องค์ประกอบท่ีใช้ในการดาเนินงาน
ต่างๆ เกย่ี วกับบุคลากร ซงึ่ ประกอบไปด้วย
เจา้ หน้าทีบ่ รหิ ารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brain Media 133
1) การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การคาดคะเนความต้องการกาลังคนขององค์กร
ล่วงหน้าว่าต้องการคนประเภทใด ระดับใด จานวนเท่าไร และต้องการเม่ือไร และมีปัจจัยใดบ้างเป็น
เครื่องกาหนดการวางแผนกาลงั คน
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นกระบวนการในการพิจารณากาหนดทิศทางและ
วเิ คราะหค์ วามต้องการทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ ท้ังในปัจจุบันและอนาคต เพ่ือให้สอดคล้องกับแผนกล
ยุทธ์และสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์การได้ ดังน้ันการวางแผนทรัพยากรมนุษย์จึงเปรียบเสมือนเข็ม
ทิศนาทางในการดาเนินงานด้านทรพั ยากรมนุษย์ใหถ้ งึ จุดหมายอยา่ งมีประสิทธิภาพและไมห่ ลงทาง
1.1) ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนษุ ย์ (พะยอม วงศ์สารศรี. 2538 : 51 – 52)
(1) ชว่ ยใหอ้ งคก์ ารสามารถวางแผนพัฒนาการใชท้ รัพยากรมนษุ ยใ์ หเ้ กิดประโยชน์สงู สุด
(2) ชว่ ยให้กิจกรรมด้านทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้อง
กนั
(3) ช่วยให้กิจกรรมด้านทรพั ยากรมนษุ ยเ์ ป็นไปอย่างระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน
กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์ ไมเ่ กดิ ปญั หาการขาดแคลนบคุ ลากร
(4) ชว่ ยใหก้ ารจ้างพนักงานใหมเ่ ป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
(5) ส่งเสริมและพัฒนาโอกาสความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ของ
องค์การ
(6) เป็นแนวทางสาหรับองค์การที่มีหน้าท่ีผลิตจะได้ผลิตกาลังคนให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของหนว่ ยงาน
1.2) กระบวนการในการวางแผนทรพั ยากรมนุษย์
อย่างไรกต็ ามการวางแผนทรัพยากรมนุษย์น้ัน เป็นการคาดการณ์สิ่งท่ีจะเกิดขึ้นหรือส่ิงที่ควร
จะเปน็ ในอนาคตขององค์กร ซึ่งการคาดการณไ์ ดอ้ ยา่ งแม่นยานนั้ ต้องอาศัยกระบวนการในพิจารณาอย่าง
รอบด้าน เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับองค์กรในอนาคต ดังน้ันพะยอม วงศ์สารศรี ( 2538 :
52 – 57) จึงไดส้ รุปขั้นตอนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ไว้ ดงั นี้
(1) การพิจารณาเป้าหมาย และแผนขององค์การ (Goals and plans of
Organization) งานขั้นแรกสาหรับนักวางแผนทรัพยากรมนุษย์จะกระทา คือ การศึกษาและพิจารณาแผน
กลยุทธ์ท่ีองค์การได้กาหนดไว้ศึกษานโยบายสาธารณะ แนวโน้มทางด้านการเมือง สภาพเศรษฐกิจ สังคม
ตลอดจนความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีต่างๆ เพ่ือที่จะนาผลของการศึกษาเหล่าน้ีมาจัดวางข้อมูลด้านบุคคล
ทคี่ วรจะเป็นในอนาคตไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
(2) การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน(Current Human
Resource Situation) สารวจจานวนพนักงานท้ังหมดที่มีอยู่ โดยจาแนกออกตามประเภทต่างๆ เช่น ตาม
ลักษณะของงาน ตามแผนก ตามอายุ ตามระดับการศกึ ษา เปน็ ตน้
เจา้ หน้าทีบ่ รหิ ารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brai1n3M4edia
(3) การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Forecast) ในข้ันนี้ นัก
วางแผนทรัพยากรมนุษย์จะพิจารณาถึงจานวน และประเภทของพนักงานท่ีองค์การต้องการ พร้อมทั้ง
จานวนและประเภทของคนท่ีต้องจ้างใหม่ ในขั้นน้ีจะต้องพิจารณาให้ละเอียด ตรวจสอบพนักงานท่ีจะครบ
เกษยี ณอายุ การโยกย้าย การเลื่อนตาแหน่ง จะได้ทราบจานวนและประเภทของพนักงานที่มีอยู่จริงๆ ว่ามี
จานวนเทา่ ไร แล้วนามาเปรยี บเทียบกับจานวนที่องค์การท้ังหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงาน
ใหมใ่ นกลุม่ ใดบา้ ง และในระยะเวลาใด
(4) การกาหนดแผนปฏิบัติการ (Implementation Programs) หลังจากได้มีการ
คาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกาหนดออกมาเป็นแผนปฏิบัติการของฝ่ายทรัพยากร
มนุษย์ เช่น แผนการสรรหาพนักงาน แผนการคัดเลือกและบรรจุพนักงาน แผนการประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงาน แผนการโอนยา้ ย การเลื่อนตาแหนง่ การฝึกอบรม และพฒั นา เปน็ ตน้
(5) การตรวจสอบและการปรับปรุง (Audit and Adjustment) ในขั้นน้ีเป็นการ
ตรวจสอบความเหมาะสมและความก้าวหน้าของแผนปฏิบัติงาน การเปรียบเทียบแผนต่างๆ การแก้ไข
ปรับปรุงข้อบกพร่อง การเปลี่ยนแปลงแผนทรัพยากรมนุษย์ และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแผนขององค์การ
การจัดทาดชั นีแรงงานที่ทันสมัยควรได้รบั การพิจารณาศกึ ษา ทั้งนี้เพราะข้อมูลท่ีเชื่อถือได้เป็นสิ่งสาคัญของ
การวางแผน
2) การสรรหาและการคัดเลอื ก
การสรรหาและการคัดเลือก หมายถึง กระบวนการการดาเนินงานขององค์กรจัดทาขึ้น
เพ่ือมุ่งจูงใจผู้สมัครที่มีคุณภาพเข้ามาทางานในองค์กรของตน อันได้แก่ แหล่งที่ใช้ในการสรรหา
ระยะเวลาในการสรรหา วิธีการท่ีใช้ในการสรรหาบคุ ลากร และการตดั สนิ ใจคัดเลอื กบุคลากรเข้าทางาน
การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรเป็นวิธีการท่ีจะให้ได้บุคลากรมาร่วมงาน จึงถือเป็น
ข้ันตอนท่ีสาคัญท่ีสุด ทั้งนี้เพราะว่าการได้มาซ่ึงคนดี มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงานมาทางานก็
จะทาให้องค์กรประสบความสาเร็จ ดงั น้นั องคก์ ารแตล่ ะองค์การจงึ ต้องให้ความสนใจในการสรรหาบุคคลที่
มีความรู้ ความสามารถ จากแหล่งต่างๆ โดยเพ่ือทาการคัดเลือกบุคคลท่ีเหมาะสมกับตาแหน่งงานให้เข้า
มารว่ มงานกับองคก์ ารได้อยา่ งเหมาะสม
การสรรหา หมายถึง กระบวนการในการแสวงหาบุคคล การชักจูงบุคคลที่มีความรู้
ความสามารถ มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ และมีทัศนคติที่ดีต่อองค์การเข้ามาสู่องค์การ โดยให้เกิดความ
สนใจมาสมคั รงานในตาแหนง่ ที่ตอ้ งการกบั องคก์ าร เพ่ือองคก์ ารจะได้คดั เลือกบุคคลทเ่ี หมาะสมท่สี ุด
การคัดเลือก หมายถึง กระบวนการในการหาวิธีการกล่ันกรองที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้ใน
การตัดสนิ ใจเลือกบุคคลท่ีเช่ือถือว่าจะให้ได้บุคคลท่ีเหมาะสมกับตาแหน่งงานมากท่ีสุด รวมท้ังให้เกิดความ
ยุตธิ รรมในการคัดเลอื กบคุ ลากร
Niglo Felix A (1959 : 134 - 136) อธิบายว่า ในการสรรหาบุคลากรน้ัน องค์การมี
นโยบายในการสรรหาซ่ึงแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท คอื
เจ้าหนา้ ทีบ่ ริหารงานทั่วไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 135
(1) นโยบายแบบเปดิ ซง่ึ มีสาระสาคัญคือ
- เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสมตามตาแหน่งท่ีว่าง
เข้ามางานไดโ้ ดยเสมอภาค
- เปิดรับสมัครงานทุกวันและเวลาที่องค์การเปิดทาการ ไม่ว่าในขณะนั้นจะมีตาแหน่ง
วา่ งหรือไมก่ ็ตาม
- เปิดโอกาสให้บุคคลเข้ามาสมัครได้ทุกระดับช้ัน ถ้ามีคุณสมบัติตามที่ต้องการไม่จากัด
ว่าตอ้ งไปเร่ิมต้นทางานท่ขี น้ั ตน้ หรอื ขัน้ ต่าสุดกอ่ น สามารถเร่มิ ตน้ ทางานในขนั้ สงู ไดเ้ ลย
- เปิดโอกาสให้บุคคลท่ีมีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความชานาญในงาน
สมัครเข้าทางานได้ ถึงแมว้ า่ ระดับการศกึ ษาจะไม่ถงึ มาตรฐานขัน้ ตา่ ของตาแหน่งทีก่ าหนดเอาไว้
(2) นโยบายแบบปดิ ซ่งึ มีสาระสาคญั ดงั น้ี
- เปิดโอกาสให้ผสู้ าเร็จการศึกษาตามระดับที่กาหนดไว้เป็นมาตรฐานเท่าน้ันเข้ามาสมัคร
ในตาแหนง่ ต่าสุดของระดบั น้นั กอ่ น แล้วจึงเลอ่ื นไปสขู่ นั้ สงู ต่อไป
- เปดิ รับสมคั รบคุ คลเข้าทางานเฉพาะตาแหน่งวา่ งเทา่ นั้น
2.1) หลกั เกณฑข์ องการสรรหา
ศิวาพร มัณฑุกานนท์ (2528 : 52) ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ท่ีเป็นที่นิยมใช้ในการบริหาร
ทรัพยากรมนุษย์กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เพื่อใช้ในการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถในการ
ปฏิบัตงิ านมีอยู่ 4 ประการ คอื
(1) หลักความสามารถ (Competence) หมายถึงการยึดถือความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์
ในการเลือกสรรบุคคลเข้าทางาน การสอบแข่งขัน การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การพิจารณาความดี
ความชอบ และการเลื่อนขัน้ เลอื่ นตาแหน่ง
(2) หลักความเสมอภาค (Equality of Opportunity) หมายถึง การเปิดโอกาสเท่าเทียม
กันแก่ผู้ท่ีคุณสมบัติตามความต้องการ หรือที่กาหนดไว้ในการรับสมัครเข้าทางาน โดยไม่คานึงถึงชาติ
ตระกูล ศาสนาหรือผิวพรรณ และกาหนดเงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน ยึดหลักการที่ว่า งานท่ีมี
ลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบเท่าเทียมกันหรือคล้ายคลึงกัน ควรได้รับค่าตอบแทนเท่ากันและได้สัดส่วน
เท่ากับปรมิ าณงาน
(3) หลักความมั่นคง (Security on Tenure) หมายถึง การมีหลักประกันท่ีจะสามารถ
ยึดถือเป็นอาชีพตลอดไป จนกว่าจะเกษียณอายุ หรืตราบเท่าท่ียังคงรักษาระดับมาตรฐานหรือ
ความสามารถในการปฏิบตั ิงานไว้ได้ การให้ออกจากงานต้องมเี หตุผล
(4) หลักความเป็นกลางทางการเมือง (Political Neutrality) หลักข้อน้ีไม่มีความสาคัญ
สาหรับการบริหารธุรกิจ แต่มีความสาคัญมากสาหรับข้าราชการ ข้าราชการประจาจะต้องปฏิบัติงานเพื่อ
ประโยชน์สว่ นรวมของประชาชนเท่านน้ั
เจ้าหนา้ ท่ีบริหารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n3M6edia
2.2) แหลง่ ทีม่ าในการสรรหาบคุ ลากร
ณฎั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ (2547 : 93-94) ได้จาแนกแหล่งท่ีมาในการสรรหาบุคคลได้ 2 แหล่ง
คอื
(1) การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การ องค์การสามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้
ทักษะ และประสบการณ์จากภายในองค์การเพอ่ื เขา้ ปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ว่างลง หรือตาแหน่งที่เปิดข้ึน
ใหม่ โดยทีก่ ารสรรหาบคุ ลากรจากภายในองคก์ ารจะมีขอ้ ดีและขอ้ เสยี ที่ตอ้ งพจิ ารณาดังต่อไปน้ี
ข้อดี ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
- สรา้ งขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงานใหแ้ กพ่ นักงาน
- ประหยัดค่าใชจ้ ่ายในการสรรหาบคุ ลากรขององค์การ
ข้อเสยี ของการสรรหาบคุ ลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปน้ี
- ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ในการประเมินโอกาส การแก้ปัญหา
และการสรา้ งนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางธุรกจิ
- ไม่สามารถสรรหาบุคคลท่ีมีความเหมาะสมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งท่ีมีความ
ต้องการบคุ ลากร
- ก่อใหเ้ กิดปญั หาการขาดแคลนบคุ ลากรข้ึนภายในองคก์ าร
(2) การสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การ องค์การจะทาการสรรหาบุคลากรที่มีความ
เหมาะสมจากภายนอกองค์การเพ่ือเข้าปฏิบัติงานในตาแหน่งงานท่ีว่าง โดยการสรรหาบุคลากรจาก
ภายนอกองค์การจะมีขอ้ ดี และขอ้ เสยี ทต่ี อ้ งพิจารณาดังตอ่ ไปน้ี
ขอ้ ดี ของการสรรหาบคุ ลากรจากภายนอกองค์การมีดงั ต่อไปน้ี
- สร้างความหลากหลายในการวิเคราะห์ โอกาส การแก้ปัญหา และการพัฒนา
นวัตกรรมทางธุรกิจ
- สร้างโอกาสในการคัดเลอื กบุคลากรท่มี คี วามเหมาะสมในแต่ละหนา้ ทีง่ าน
- แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรภายในองค์การท้ังในด้านของจานวนและ
คุณสมบตั ิ
ข้อเสีย ของการสรรหาบคุ ลากรจากภายนอกองค์การมดี ังต่อไปน้ี
- ส้ินเปลืองเวลาและค่าใช้จา่ ยในการเตรียมการขององคก์ าร
- มีผลกระทบต่อขวัญและกาลังใจของบคุ ลากร
- ไมเ่ ปน็ ผลดีตอ่ บรรยากาศในการปฏิบัตงิ านขององค์การ
2.3) ระบบการคัดเลือกบุคคล เข้าทางานซ่ึงสามารถจาแนกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ (พะยอม
วงศส์ ารศรี. 2538 : 162) คือ
(1) ระบบคุณธรรม (Merit System) หรอื ระบบความรู้ความสามารถ หรือระบบความ
ดี ความสามารถ เป็นวิธีการท่ีต้องการให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน วิธีการสาคัญของ
ระบบคุณธรรม คอื การทดสอบ
เจา้ หนา้ ทบ่ี รหิ ารงานทั่วไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 137
(2) ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) เป็นระบบท่ีตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม
เปน็ ระบบพรรคพวก ระบบชุบเล้ยี ง ระบบสืบสายโลหิตเดยี วกัน
2.4) กระบวนการในการคัดเลอื กบุคลากรเข้าทางาน
การใหไ้ ดม้ าซ่ึงบุคลากรท่ีเหมาะสมเข้ามาทางานในองค์กรถือเป็นสิ่งสาคัญ เพราะหากได้คน
ที่ไม่เหมาะสมเข้ามาในองค์กรย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวองค์กรเอง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสีย
ค่าใช้จ่าย เวลา ผลผลิต และประสิทธิภาพในการดาเนินกิจกรรมแล้ว ยังส่งผลต่อขวัญกาลังใจของ
บุคลากรในการทางานอีกด้วย ดังน้ันกระบวนการในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทางานนั้นจาเป็นที่จะต้อง
ดาเนนิ การอยา่ งรัดกุม โดยไดล้ าดบั ขั้นตอนไว้ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) การเรม่ิ ต้นการรับสมัคร
(2) การสัมภาษณ์ขั้นต้น
(3) การกรอกใบสมัคร
(4) การสอบคดั เลอื ก หรอื การทดสอบการทางาน
(5) การสอบสมั ภาษณ์ เขา้ ทางานโดยฝ่ายบุคคล
(6) การสอบประวตั ิเดิมของผสู้ มัคร
(7) การตรวจสุขภาพ
(8) การคดั เลือกข้นั สุดท้าย โดยฝ่ายบริหารหรือผู้บงั คับบญั ชา
Mondy R. Wayne et al. (1996 : 223 - 238) ได้อธิบายถึงการคัดเลือกบุคลากร
สามารถดาเนินการด้วยวธิ ีการดังตอ่ ไปนี้
(1) การทดสอบความสามารถสติปัญญา
(2) การทดสอบความรเู้ ฉพาะตาแหน่ง หรือการทดสอบความสาเรจ็
(3) การทดสอบใหป้ ฏบิ ัติงานย่อยๆ
(4) การทดสอบความสนใจในงาน
(5) การทดสอบบุคลิกภาพ
(6) การสมั ภาษณ์
3) การพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการท่ีจัดทาขึ้นเพื่อให้บุคลากรได้เรียนรู้
ปรับทัศนคติในการทางาน และให้มีความชานาญในการปฏบิ ัตงิ านมากข้นึ
ดนัย เทียนพุฒ (2545 : 26) ได้ให้ความหมายของ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
หมายถึง การดาเนินงานที่จะส่งเสริมให้พนักงานมีความความสามารถ ทัศนคติ และประสบการณ์ที่
เพ่ิมข้ึน เพื่อให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานในตาแหน่งปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมท่ีจะ
รับผิดชอบในตาแหน่งท่ีสูงข้ึน ทั้งนี้การพัฒนาพนักงานมิได้มีวัตถุประสงค์เพียง เพื่อให้พนักงานมีความรู้
ความชานาญในงานปัจจุบันเท่านั้น แต่มีความมุ่งหมาย เพื่อให้พนักงานได้ก้าวหน้าและเติบโตต่อไปใน
อนาคตดว้ ย
เจา้ หนา้ ท่บี ริหารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n3M8edia
ดังนั้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะครอบคลุมใน 3 เรื่องด้วยกันคือ การฝึกอบรม
(training) การศกึ ษา (education) และการพัฒนา (development)
3.1) ความสาคัญของการพัฒนาบุคลากร มี 6 ประการ (กุลธน ธนาพงศธร. 2532 : 169–
171) คอื
(1) ช่วยทาให้ระบบ และวิธีการปฏิบัติงานมีสมรรถภาพดียิ่งขึ้นมีการติดต่อ
ประสานงานดียิ่งขึน้ ทั้งนี้ เพราะการพฒั นาบุคคลจะช่วยเรง่ เร้าความสนใจในการปฏบิ ัติงานของบุคลากรให้
มีความสานกึ รบั ผดิ ชอบในการปฏิบัตหิ น้าท่ขี องตนให้ได้ผลดีย่ิงข้ึน
(2) ช่วยทาให้เกดิ การประหยดั ลดความสน้ิ เปลืองของวัสดุท่ีใช้ในการปฏิบัติงานท้ังนี้
เพราะเม่ือบคุ คลใดได้รบั การพัฒนามาเป็นอย่างดีแลว้ ย่อมสามารถปฏบิ ตั งิ านได้อย่างถูกต้อง
(3) ช่วยลดระยะเวลาของการเรียนรู้งานให้น้อยลง อีกท้ังยังเป็นการช่วยลดความ
เสยี หายต่างๆ ท่อี าจจะเกดิ ขนึ้ จากการทางานแบบลองถูกลองผดิ อีกด้วย
(4) ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ในการ
ตอบคาถามหรือให้คาแนะนาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ในกรณีที่มีบุคลากรเข้าทางานใหม่ หรือเข้ารับ
ตาแหนง่ ใหม่ในหน่วยงาน
(5) ช่วยกระตุ้นบุคลากรต่างๆ ให้ปฏิบัติงานเพ่ือความเจริญก้าวหน้าในตาแหน่ง
หน้าที่ การงาน ทั้งน้ี เพราะโดยท่ัวไปแล้ว เมื่อมีการพิจารณาเล่ือนตาแหน่งใดๆ ในองค์การก็ตาม มักจะ
คานึงถึงความรู้ความสามารถท่ีบุคคลนั้นจะสามารถปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ได้รับการเลื่อนข้ึนได้ ซึ่งผู้ท่ี
ไดร้ ับการพฒั นาแล้ว ย่อมมโี อกาสมากกว่าผ้ทู ี่มไิ ดเ้ ขา้ รับการพฒั นา
(6) ช่วยทาให้บุคคลน้ันๆ มีโอกาสได้รับความรู้ ความคิดใหม่ๆ ทาให้เป็นคนทันสมัย
ทนั ตอ่ ความเจริญกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีใหมๆ่
ขั้นตอนการพฒั นาบุคลากร มี 5 ข้นั ตอน ดงั ต่อไปน้ี
(1) การสารวจความตอ้ งการ
(2) การกาหนดวตั ถุประสงค์ของการพัฒนาบุคลากร
(3) การกาหนดรูปแบบในการพฒั นาบุคลากร
(4) การดาเนนิ การพัฒนา
(5) การประเมนิ ผล
นอกจากน้ี รูปแบบวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์น้ัน มีรูปแบบที่หลากหลายในการ
พัฒนา การเลือกใช้รูปแบบใด เวลากับบคุ ลกรระดบั ใด ผูบ้ ังคับบัญชาต้องพิจารณาอย่างเหมาะสมเพื่อให้
เกดิ ประสิทธภิ าพมากทีส่ ดุ รปู แบบท่ีสาคัญได้แก่
(1) การศึกษาในสถาบันการศึกษา
(2) การฝกึ อบรมก่อนหรอื ในขณะปฏิบัติงาน
(3) การปฐมนเิ ทศผปู้ ฏิบตั งิ านใหม่
(4) การสอนแนะนางาน
(5) การฝึกปฏิบตั หิ รอื การดงู าน
(6) การประชุมสมั มนา
(7) การย้ายสับเปลีย่ นหมุนเวียนตาแหน่ง
เจ้าหน้าทีบ่ รหิ ารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brain Media 139
(8) การมอบหมายภารกจิ ใหมๆ่
(9) การเล่ือนตาแหน่ง
(10)กจิ กรรมอน่ื ๆ ทนี่ าไปสกู่ ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
4) การบรหิ ารค่าตอบแทน
การบริหารค่าตอบแทน หมายถึง การกาหนดปัจจัยตา่ งๆ เปน็ หลักเกณฑ์กาหนดค่าจ้าง
เงินเดอื น รวมถงึ การจดั สวัสดิการให้แกบ่ ุคลากร
การบริหารค่าตอบแทนถือเป็นกลไกสาคัญในการธารงรักษาทรัพยากรมนุษย์ให้อยู่กับ
องคก์ ร นอกจากนคี้ ่าตอบแทนยังถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรและความ
พงึ พอใจในการทางานอกี ด้วย
ค่าตอบแทน (Compensation) เป็นคากว้างๆ หมายถึง ค่าแรง ค่าจ้าง เงินเดือน หรือ
ผลประโยชน์อ่ืนๆ ทีอ่ งคก์ รให้แก่พนักงาน เพื่อตอบแทนการทางาน หรืออาจหมายถึง ค่าทดแทนที่องค์กรจ่าย
เป็นค่าตอบแทนความสูญเสียต่างๆ ของพนักงาน ซึ่งรวมทั้งจ่ายทางตรงและทางอ้อมเป็นตัวเงินและไม่เป็นตัว
เงิน
ธัญญา พลอนันต์ (2546 : 36)ได้ให้ความหมายของ การบริหารค่าตอบแทน ว่า
หมายถงึ การกาหนดนโยบาย การวางแผนและกิจกรรมต่างๆ ท่ีเก่ียวกับการจ่ายค่าตอบแทน ทั้งทางตรง
และทางออ้ มให้แก่พนักงาน
ดังน้ันการบริหารค่าตอบแทน จึงมีความหมายรวมถึง ค่าจ้างเงินเดือน ผลประโยชน์และ
บรกิ าร และคา่ ตอบแทนทางสงั คม
4.1) สว่ นประกอบของคา่ ตอบแทน (พะยอม วงศส์ ารศร.ี 2538 : 180 – 185) คือ
(1) ค่าตอบแทนท่ีเป็นรูปเงิน (Money Pay) การจ่ายค่าจ้างเป็นเงินได้ถือปฏิบัติกันมาเป็น
ปกติ วิสยั เพราะเงินคือสื่อกลางแหง่ การแลกเปลยี่ นท่ที ุกคนทางานก็หวังจะได้เงนิ มา
เงินจึงเป็นสินจ้างรางวัลล่อใจ ก่อให้เกิดความพอใจและส่งเสริมให้เกิดการทางาน นัก
บริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเคร่ืองมือสาหรับใช้ในการบริหารค่าตอบแทน
ในรูปแบบของเงนิ เดือน และค่าจา้ ง
เงินเดือน หมายถึง ค่าตอบแทนท่ีเป็นรายได้ประจาท่ีบุคลากรจะได้รับในอัตราคงที่
ภายในช่วงระยะเวลาท่ีกาหนด โดยรายได้น้ีจะไม่เปลี่ยนแปลงตามจานวนช่ัวโมงทางาน หรือปริมาณของ
ผลผลติ ของบุคลากร
ค่าจ้าง หมายถึง ค่าตอบแทนที่บุคลากรได้รับโดยถือจากเกณฑ์ระยะเวลาในการ
ปฏิบตั งิ านเป็นหลัก เช่น ค่าจา้ งรายวัน คา่ จ้างรายชัว่ โมง เป็นตน้
(2) ค่าตอบแทนที่เป็นรูปความสาคัญของงาน (Power Pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงิน
ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม คอื จา่ ยค่าตอบแทนพนักงานในรูปความสาคัญของงานท่ีเขาปฏิบัติอยู่ เพราะงาน
เจ้าหนา้ ที่บริหารงานท่วั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n4M0edia
นั้นคือหัวใจของบริษัท เป็นงานท่ีจะต้องทาให้เสร็จหรือไม่มีใครจะสามารถทาได้ เม่ือมอบอานาจการ
ตัดสินใจให้เขาเพ่ือให้เขาทางานให้สาเร็จ พนักงานผู้น้ันจะต้องตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ท่ีเขาประกอบขึ้นมี
ความสาคัญอยา่ งย่งิ ยวด ซง่ึ เราถือว่าพนกั งานผู้นัน้ ได้รบั คา่ จ้างเป็นรปู ความสาคัญของงาน
(3) ค่าตอบแทนที่เป็นรูปตาแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น (Authority Pay) ผู้ท่ีได้รับ
อานาจและตาแหน่งหน้าที่ใหม่ที่ได้รับเล่ือนขั้นมานี้ถือว่าบริษัทได้จ่ายค่าตอบแทนทางสังคมให้อย่างหน่ึง
ซง่ึ ในบางคร้ังมีความสาคญั มากกว่าเงินและเป็นทีใ่ ฝ่หาของพนักงานท่ีจะก้าวข้ึนไปสู่ระดับบริหาร และสร้าง
ความพงึ พอใจใหเ้ กดิ ขึน้ แกพ่ นักงานได้เป็นอย่างดี
(4) ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง (Status Pay) ฝ่ายบริหารจะให้
ความสาคัญยกย่องแก่พนักงานในตาแหน่งหน้าท่ีการงานที่เขาประจาอยู่สอดคล้องกับค่านิยมและการ
ยอมรับทางสังคม ทั้งน้ีย่อมข้ึนอยู่กับฝ่ายบริหารว่าจะมีความนึกคิดในการจ่ายค่าจ้างในรูปค่าฐานะ ค่า
เกียรติและศกั ดศิ์ รีใหเ้ ปน็ กาลังใจแกพ่ นักงานของตนแค่ไหนเพยี งใดด้วย
(5) ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการท่ีดี (Meta-goals Pay) พนักงานท่ีเลือกทางานใน
บริษัทท่ีมั่นคงและทันสมัย ซ่ึงมีวัตถุประสงค์และหลักการดีเย่ียม (Supra-goals) ก็เท่ากับพนักงานผู้น้ัน
ไดร้ ับคา่ จ้างตอบแทนในรูปความมน่ั คงและกา้ วหน้า ได้แก่
(5.1) หลักความพอเพียง (Adequacy)คือ การจ่ายค่าจ้างข้ันต่าให้เป็นไปตาม
กฎหมายกาหนด กลา่ วคอื จะตอ้ งพอเพียงท่ลี ูกจ้างจะยงั ชีพอยู่ได้โดยเฉลยี่ ทั่วๆ ไป
(5.2) หลักความยุติธรรม (Equity)ซึ่งบางคร้ังรวมไปถึงจริยธรรมของมนุษย์ท่ียาก
จะควบคุมได้ เพราะถอื เป็นการสร้างความพงึ พอใจและรักษาไว้พนกั งานให้อยู่กับองค์กร
(5.3) หลักดุลยภาพ (Balance) หลักดุลยภาพ หมายถึง ความเหมาะสมระหว่าง
คา่ จ้างและผลประโยชนอ์ น่ื ๆ ระหว่างค่าจ้างท่ีเป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม กลุ่มงานที่มีลักษณะคล้ายกัน
ควรได้ค่าจ้างเทา่ กัน
(5.4) หลักควบคุม (Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นส่ิงจาเป็น เพราะ
การลดค่าใช้จ่ายฟมุ่ เฟอื ยและการประกอบการอย่างมปี ระสทิ ธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึง
เปน็ หลกั การของการวางแผนและบริหารเงนิ เดือน และเป็นเครื่องมือนาทางไปสูจ่ ุดหมายท่ตี ้ังใจไวไ้ ด้
(5.5) หลักความมั่นคง (Security) หลักความม่ันคงหรือเสถียรภาพในความหมาย
ของค่าจ้างเงินเดือนน้ัน หมายถึง การปรับปรุงส่ิงที่จะมาคุ้มครองลูกจ้างต่อภยันตรายและความเส่ียงภัย
ต่างๆ ให้ดีขน้ึ เชน่ การประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเน่ืองจากอุบัติเหตุ
ในงาน การวา่ งงาน เปน็ ต้น
(5.6) หลักล่อใจให้ทางาน (Incentives) ระบบค่าจ้างท่ีดีจะล่อใจให้พนักงานขยัน
ขันแข็งสร้างงานให้บริษัทเจริญ ค่าจ้างมีความหมายโดยตรงต่อการกระตุ้นให้ลูกจ้างทางานให้บรรลุ
มาตรฐานและเกินมาตรฐานท่ีกาหนดไว้
(5.7) หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหน่ือย (Pay-and-Effort Bargain) หลักล่อใจ
ให้ทามกั จะผกู พันอยา่ งใกลช้ ดิ กับการทีล่ กู จ้างจะเรียกร้องผลตอบแทนหรือค่าจ้างแลกกับค่าเหน่ือยของเขา
ทลี่ งแรงไป
เจ้าหน้าท่บี ริหารงานท่ัวไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brain Media 141
(5.8) หลักการยอมรับ (Acceptability) หลักการท่ีดีอันสุดท้ายได้แก่หลักการ
ยอมรับการวางแผนและบริหารค่าจ้างในองค์การของโลกเสรีจะต้องให้พนักงานได้มีโอกาสศึกษาและรับรู้
ด้วยเขาอาจจะเห็นจุดอ่อนและจุดแข็ง ติชมและวิพากษ์วิจารณ์ แสดงข้อคิดและเสนอแนะเพ่ือประมวล
ความพอใจเข้าดว้ ยกนั และอย่างถูกต้องตามหลกั วชิ า เพ่อื วา่ เขาจะไดย้ อมรับและยึดถือปฏิบัติต่อไปหากเม่ือ
การยอมรับมีมากขน้ึ การต่อตา้ นทีค่ ่อยๆ ลดลง
4.2) วตั ถุประสงคใ์ นการให้คา่ ตอบแทน
(1) เพื่อสรรหาบุคคลเข้าทางานในองค์การ (To recruit people to the organization)
เพราะการกาหนดอัตราค่าจ่าง และเงินเดือนเป็นส่ิงจูงใจให้บุคคลมาสมัครทางาน ทาให้สามารรถเลือก
บคุ คลท่ีมีความเหมาะสมเข้าปฏิบัตงิ าน
(2) เพื่อควบคุมต้อนทุนค่าใช้จ่าย (To control payroll costs) การกาหนดอัตราค่าจ้าง
เป็นไปตามการประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยตารางค่าจ้างและประเภทของงานประกอบ ซ่ึงสิ่ง
เหลา่ นีจ้ ะเป็นเคร่ืองมือใหผ้ ูบ้ ริหารสามารถควบคมุ การจา่ ยเงนิ ค่าจ้างและเงินเดือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ท่ี
กาหนดไว้
(3) เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน (To satisfy employees) การกาหนดอัตรา
ค่าจ้างเงินเดือนอย่างยุติธรรมเสมอภาพ จะเป็นการสร้างความพึงพอใจในการทางานของผู้ปฏิบัติงาน
กอ่ ใหเ้ กิดขวญั และกาลังใจในการทางาน
(4) เพื่อจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานทากันอย่างมีประสิทธิภาพ (To motivate employees to
superior performance) การกาหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนที่เหมาะสม จะเป็นการจูงใจให้คนงาน
ทางานอย่างมีประสทิ ธิภาพให้แก่องค์การ
4.3) หลกั ในการกาหนดคา่ ตอบแทน
การประเมินค่างานเป็นกระบวนการสาคัญในการกาหนดค่าตอบแทน ผู้มีหน้าท่ีกาหนด
คา่ ตอบแทนจะตอ้ งทาการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินค่างาน ตลอดจนนาข้อมูลท่ีม่ีอยู่มาใช้ประกอบการ
จัดเรียงลาดับงานตามความสาคัญ โดย ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์(2547 : 223 - 225)ได้อธิบายว่าเพ่ือ
กาหนดคา่ ตอบแทนที่เหมาะสมและยตุ ิธรรม โดยที่การประเมินคา่ งาน สามารถกระทาได้ 2 วธิ ี ดงั ต่อไปน้ี
- การประเมินค่างานเชิงคุณภาพ วิธีการน้ีผู้ทาหน้าท่ีประเมินค่างานจะทาการ
จาแนก เปรียบเทียบ และจดั ลาดบั งานตามความสาคัญ
- การประเมินค่างานเชิงปริมาณ วิธีการน้ีผู้ทาหน้าท่ีประเมินค่างานจะทาการ
วิเคราะห์ความแตกต่างของแตล่ ะงานในรปู ของตวั เลข
ข้อมูลที่ได้จากการประเมินค่างานถือเป็นปัจจัยสาคัญในการกาหนดค่าตอบแทนของ
บคุ ลากรเน่อื งจากการประเมินค่างานจะทาการเปรียบเทียบและจดั เรียงงานตามลาดับความสาคัญ โดยผู้ทา
หน้าทกี่ าหนดค่าตอบแทนสามารถนาขอ้ มลู มาใช้งานได้โดยตรง
เจา้ หนา้ ทบี่ รหิ ารงานทวั่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brai1n4M2edia
5) สวสั ดกิ าร
สวัสดกิ าร หมายถงึ ผลประโยชน์อื่นๆ ของบุคลากรท่อี งคก์ รจา่ ยนอกเหนือจากเงินเดือน
และคา่ จา้ ง ผลประโยชน์ดงั กล่าวอาจจ่ายเป็นเงินสด สงิ่ ของ หรือบริการ เช่น อาหาร ค่าพาหนะ ภาษี
เงินไดท้ อี่ งค์กรออกให้ เสือ้ ผา้ ท่ีพกั อาศยั เป็นต้น
สวสั ดกิ ารเป็นส่ิงท่ีองค์การหรือนายจ้างเป็นผู้จัดหาให้แก่บุคลากร เช่น ท่ีอยู่อาศัย ค่าเล่า
เรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาล อาหารกลางวัน และวันหยุดพิเศษ เป็นต้น ซ่ึงเป็นการจัดหาในส่ิงท่ี
นอกเหนอื จากคา่ จ้างทจี่ า่ ยให้โดยตรง โดยถือเสมือนเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง ซ่ึงถือเป็น
ส่ิงท่อี งคก์ ารสมควรปฏิบัติ เพ่ือธารงรักษาและจูงใจบุคคลท่ีมีความสามารถให้ร่วมงานกับองค์การ ปัจจุบัน
การจัดสวัสดิการในองค์การมีความสาคัญต่อขวัญ กาลังใจ การธารงรักษาบุคลากร และความทุ่มเทที่
บุคลากรมีใหก้ บั องคก์ าร (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์. 2547 : 238 – 245)
5.1) ประเภทของสวสั ดกิ าร จาแนกออกเป็น 2 ลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) สวัสดกิ ารตามกฎหมาย หมายถึง สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการท่ีองค์การจัดสรรให้กับ
บุคลากรตามข้อกาหนดของกฎหมาย เช่น บริการด้านสุขอนามัย ห้องพยาบาล และห้องสุขา เป็นต้น การ
จัดสวัสดิการตามข้อกาหนดของกฎหมายมีวัตถุประสงค์เพ่ือตอบสนองต่อความต้องการพ้ืนฐานของ
บุคลากรในสถานประกอบการ ส่งเสริมสวัสดิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของบุคลากร
ตลอดจนส่งเสรมิ คณุ ภาพชีวติ ทีด่ ขี องประชากร
(2) สวัสดิการนอกเหนือจากท่ีกฎหมายกาหนด หมายถึง สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการท่ี
องคก์ ารจดั ให้กบั บุคลากรด้วยความเตม็ ใจองค์การ ความร่วมมือระหว่างองค์การและบุคลากร หรือการร้อง
ขอจากบุคลากร โดยสวัสดิการท่ีให้จะอยู่นอกเหนือจากข้อกาหนดของกฎหมาย เช่น รถรับส่ง ท่ีอยู่อาศัย
เงินชว่ ยเหลือพิเศษ กจิ กรรมนันทนาการและกีฬา เปน็ ต้น
5.2) หลกั การจัดสวสั ดกิ าร
(1) ตอบสนองความต้องการ เนื่องจากระบบสวัสดิการมีวัตถุประสงค์สาคัญในการตอบสนอง
ต่อความต้องการด้านต่างๆ ของสมาชิก ดังน้ันผู้ที่มีหน้าท่ีจัดการด้านสวัสดิการจึงต้องพยายามค้นหา
วางแผนใหส้ วสั ดิการ ประโยชน์และบริการในสว่ นที่บคุ ลากรต้องการ เพ่ือให้เขาสามารถนาสิ่งที่ได้รับไปใช้
ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ทั้งตนเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความร้สู กึ ผกู พันกบั หน่วยงาน
(2) การมสี ว่ นร่วม เนอ่ื งจากบคุ ลากรจะเป็นผู้ได้รบั ผลประโยชนโ์ ดยตรงจากระบบสวัสดิการที่
องค์การธุรกิจจัดให้ ดังน้ันการจัดสวัสดิการท่ีมีประสิทธิภาพสมควรเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการ
กาหนดแนวทางการดาเนินงาน เพ่ือให้บุคลากรเกิดความเข้าใจ การยอมรับ และได้รับประโยชน์สูงสุด
ประการสาคัญ จะทาใหร้ ะบบสวัสดิการสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการของสมาชกิ ได้อยา่ งแท้จรงิ
(3) ความสามารถในการจ่าย ระบบสวัสดิการของธุรกิจจะมีค่าใช้จ่ายท้ังโดยทางตรงและ
ทางอ้อมแก่องค์การ ต้องมีความเหมาะสมกับความสามารถในการลงทุนและการดาเนินงานขององค์การ
ธุรกิจด้วย มิฉะนั้น อาจก่อให้เกิดภาระทางการเงินและการดาเนินงาน ตลอดจนผลกระทบทางด้าน
ความรู้สึกต่อบุคลากรท้งั ในระยะสั้นและระยะยาว
(4) ความยืดหยุ่น ความต้องการท่ีหลากหลายในสังคมปัจจุบัน ทาให้ระบบสวัสดิการที่มี
ประสิทธิภาพต้องถูกจัดข้ึนให้สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกแต่ละคนมากที่สุด ตลอดจนสามารถ
เจา้ หนา้ ที่บรหิ ารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brain Media 143
ปรบั ไดต้ ามความเหมาะสมของสถานการณ์ เพ่อื ให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งบุคลากรและองค์การตลอดจนไม่สูญ
เปล่าในการลงทุน
(5) ประสิทธิภาพของการทางาน เนื่องจากสวัสดิการมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้บุคลากร
ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ ดังน้ันการจัดระบบสวัสดิการจึงต้องคานึงถึงผลลัพธ์ท่ีได้จากการ
ดาเนินงาน เช่น ลดภาระทางเศรษฐกจิ ช่วยให้การดารงชีวิตง่ายข้ึน ส่งเสริมสุขภาพและพลานามัย เป็นต้น
ซ่งึ จะทาใหบ้ คุ ลากรไม่ตอ้ งกังวลกบั ส่ิงแวดล้อม และสามารถปฏบิ ตั ิงานไดอ้ ยา่ งเต็มความสามารถ
สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการที่องค์การจัดให้กับพนักงานทั้งตามท่ีกฎหมายกาหนด
และจัดขึน้ ด้วยความสมัครใจ จะเปรียบเสมือนกุญแจสาคัญท่ีจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตลอดจน
ช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์การและพนักงานในการพัฒนากิจการขององค์การให้มั่นคงและ
กา้ วหน้าต่อไป อย่างไรก็ตามชนดิ ของสวสั ดิการ มีดังตอ่ ไปน้ี
(1) บริการด้านสุขภาพ (Health Services)
(2) บรกิ ารด้านความปลอดภยั (Safety Services)
(3) บรกิ ารด้านความม่ันคง (Security Services)
(4) การจ่ายค่าตอบแทนในวันหยุดตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต (Payment for
Entitle leave)
(5) บรกิ ารดา้ นการศึกษา (Education Services)
(6) บรกิ ารด้านเศรษฐกจิ (Economic Services)
(7) บรกิ ารนนั ทนาการ (Recreational Services)
(8) บริการใหค้ าปรกึ ษา (Counseling Services)
(9) โบนสั และเงนิ สวสั ดกิ าร (Bonuses and Award)
(10) บริการอนื่ ๆ (Other Services)
6) การประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ าน
การประเมินผลการปฏิบัติงาน หมายถึง ระบบท่ีองค์กรจัดทาขึ้นมา เพ่ือหาคุณค่าของ
บุคลากรในแง่ของการปฏิบัติงาน อันได้แก่ การกาหนดบุคคลท่ีทาหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติงาน
วิธีการประเมินผลการปฏบิ ัติงาน และวัตถุประสงค์ของการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงาน
Dwivedi R.S. (1985 : 159) ได้ให้กล่าวเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้ว่า
เป็นหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องพิจารณาว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ได้รับ
มอบหมายได้มีประสิทธิภาพเพียงไร มีจุดอ่อนท่ีต้องปรับปรุงเรื่องใดบ้าง ตลอดจนศักยภาพเพียงพอที่จะ
ได้รบั การแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ท่ีสูงข้ึนหรือไม่
การประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นระบบ (Systematic Process) ที่ถูกพัฒนาข้ึนเพื่อทา
การวัดคุณค่าของบุคลากรในการปฏิบัติงานภายในช่วงระยะเวลาท่ีกาหนด ว่าเหมาะสมกับมาตรฐานที่
กาหนดและเหมาะสมกับรายได้ท่ีบุคลากรได้รับจากองค์การหรือไม่ ตลอดจนใช้ประกอบการพิจารณา
ศักยภาพของบุคลากรในการปฏิบัติงานในตาแหน่งท่ีสูงขึ้นไป และณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547 : 194-
204) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงคข์ องการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานมีดงั ต่อไปนี้
เจ้าหนา้ ท่บี รหิ ารงานท่วั ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n4M4edia
(1) ใช้พิจารณาความเหมาะสมในการให้ผลตอบแทนแก่บุคลากร เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง
หรอื ผลตอบแทนในรูปแบบตา่ ง ๆ ว่ามคี วามสอดคล้องกบั งานท่ีบคุ ลากรปฏบิ ัติเพยี งใด
(2) ใช้พิจารณาความเหมาะสมในการปฏิบัติงานในตาแหน่งงานของบุคลากร ว่ามีความ
เหมาะสมเพยี งใด ต้องมีการปรับปรงุ พัฒนา ฝึกอบรม หรือปรับย้ายอย่างไร เพื่อให้เกิดความเหมาะสม
และสามารถดาเนนิ งานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
(3) ใชป้ ระกอบการพจิ ารณาการเปลีย่ นตาแหน่งของบุคลากร การประเมินผลการปฏิบัติงาน
จะแสดงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร ซ่ึงถือเป็นปัจจัยในการพิจารณาความดีความชอบ
ของบคุ ลากร
(4) ใช้ประกอบการพิจารณาเพ่ือการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร ผลลัพธ์ท่ีได้จากการ
ประเมินผลการปฏิบัติงานจะเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่าบุคลากรสมควรที่จะได้รับการฝึกอบรมและการพัฒนาใน
รปู แบบใด
(5) ใชป้ ระกอบการจดบันทึกข้อมูลส่วนตัวของบุคลากร ผลลัพธ์ท่ีได้จากการประเมินผลการ
ปฏิบัติงานจะถูกบันทึกลงในทะเบียนประวัติของบุคคล เพ่ือให้ฝ่ายบริหารสามารถนาข้อมูลที่ได้รับไปใช้
ประโยชนไ์ ด้ตรงตามความตอ้ งการ
(6) ใช้ประกอบในการบริหารงานในด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างความยุติธรรม และการ
แก้ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์การ เป็นต้น เพ่ือก่อให้เกิดบรรยากาศในการปฏิบัติงานท่ีดีและ
เสรมิ สร้างศักยภาพโดยรวมขององคก์ าร
อน่ึง ผลลัพธ์ของการประเมินผลการปฏิบัติงานจะมีผลเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของบุคลากร
ภายในองค์การ อันจะส่งผลกระทบถึงขวัญและกาลังใจของบุคลากร ตลอดจนประสิทธิภาพในการ
ดาเนินงานขององค์การในอนาคต ผู้ท่ีมีหน้าที่ทาการประเมินผลสมควรต้องมีความเข้าใจในหลักการ
ประเมินผลการปฏิบตั งิ าน ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ทาการประเมินผลการปฏิบัติงานต้องมีความเข้าใจในหลักการและเคร่ืองมือที่ใช้ในการ
ประเมินผล ว่ามีข้อดี ข้อเสีย และขอบเขตอย่างไร เพ่ือให้สามารถนามาใช้ประกอบการประเมินผลการ
ปฏบิ ตั งิ านแต่ละชนดิ ไดถ้ ูกตอ้ งตามวัตถุประสงค์
(2) การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นกระบวนการต่อเนื่องท่ีต้องกระทาอยู่ตลอดเวลาตาม
ความเหมาะสม เพอ่ื ให้เกิดความถูกตอ้ งและเป็นธรรมต่อผถู้ ูกประเมินทุกคน
(3) การประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานเป็นการประเมนิ ค่าของผลการปฏิบัติงาน มิใช่การประเมิน
ค่าบุคคล ดังนั้นผู้ทาการประเมินต้องให้ความสนใจกับคุณลักษณะท่ีสาคัญของแต่ละงานและผลลัพธ์ท่ีได้
เป็นสาคัญ
(4) การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นหน้าท่ีและความรับผิดชอบของหัวหน้างานทุกคน
ตลอดจนบุคคลทไ่ี ดร้ บั มอบหายจากองค์การ
(5) การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีท้ังความเที่ยงตรง (Validity) และมีความเชื่อถือ
ได้ (Reliability) เพ่อื ให้ได้ผลลัพธส์ อดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ทีต่ ้งั ไว้ และมคี วามยตุ ธิ รรมกบั ทกุ ฝา่ ย
(6) การประเมินผลการปฏิบตั ิงานจะต้องมีการแจ้งผลลัพธ์ของการประเมิน (Feedback) แก่
บุคคลที่เก่ียวข้อง เพื่อให้บุคลากรที่ถูกประเมินได้รับทราบถึงผลการปฏิบัติงานของตนในช่วงระยะเวลาท่ี
ผา่ นมาว่าเป็นไปตามความต้องการขององคก์ ารหรอื ไม่ และสมควรต้องพฒั นาปรบั ปรงุ อยา่ งไร
เจ้าหน้าทบ่ี รหิ ารงานท่ัวไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 145
ธัญญา พลอนันต์ (2546 : 33-35) ได้จาแนกวิธีการวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้
ดงั ตอ่ ไปนี้
- กระจายตามหลักสถติ ิ (Statistical Distribution)
- จดั ลาดับตามผลการทางาน (Ranking)
- ตรวจสอบรายการตามระยะเวลา (Check List)
- เทียบกบั ผลการปฏิบัติงานมาตรฐาน (Field Review)
- เทียบกับแผนงานหรือรายงานผลการดาเนนิ การ (Work Report)
- ประเมินโดยกลุ่ม (Group Appraisal)
- ประเมินโดยใช้เหตกุ ารณส์ าคัญ (Critical Incidents)
- ประเมินตามผลงานเทียบกบั เป้าทีต่ ้ังไวล้ ่วงหนา้ (Appraisal by Results)
- ประเมินตามวัตถุประสงคท์ ว่ี างไว้ล่วงหนา้ (Appraisal by Objectives)
- ประวัตกิ ารมาปฏิบัติงาน (Attendance Report)
- เปรยี บเทยี บมาตราสว่ น (Graphic Rating Scale)
- แบบผสมหลากหลายประเดน็ (Mixed Appraisal)
อย่างไรก็ตามการประเมินผลการปฏิบัติงานน้ันจะส่งผลดีกับองค์การได้ก็ต่อเมื่อ มีการนา
ผลลพั ธ์จากการประเมินผลการปฏิบตั งิ านไปใช้
ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547 : 209) ได้อธิบายรูปแบบของการนาผลลัพธ์ที่ได้จากการ
ประเมินผลการปฏิบตั ิงานไปใช้ ดังตอ่ ไปน้ี
(1) การนาผลไปใช้ตามวตั ถปุ ระสงค์ การนาผลท่ีได้จากการประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานไปใช้ใน
ลกั ษณะนี้ สามารถกระทาไดเ้ ปน็ 4 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
- การกาหนดคา่ ตอบแทน
- การเปลยี่ นแปลงตาแหนง่
- การปรบั ปรุงการปฏิบัติงาน
- การจา้ งงาน
(2) การแจ้งผลการประเมิน การแจ้งผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นการ
ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่พนักงาน เพ่ือให้รับทราบว่าตนองปฏิบัติงานอยู่ในระดับใดสมควรที่
จะต้องมกี ารพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัตงิ านหรือไม่เพยี งใด
7) การพ้นออกจากงาน
การพ้นออกจากงาน หมายถึง ขั้นตอนกระบวนการที่องค์กรจัดทาข้ึนเพ่ือ เตรียมความ
พรอ้ มในการเกษยี ณอายุหรอื การต้องออกจากงานทีม่ ิใชก้ ารกระทาผดิ วนิ ยั อย่างรา้ ยแรง
เจ้าหนา้ ที่บรหิ ารงานท่วั ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ
Brai1n4M6edia
ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ท่ีสาคัญอีกประการหนึ่ง คือ การพ้นออกจากงานของ
บุคลากร การท่ีบุคลากรได้พ้นสภาพการทางานในองค์การ เป็นแนวความคิดด้านพฤติกรรมศาสตร์ที่มี
การตระหนักถงึ ความสาคญั ของคนมากข้ึน
ภิญโญ สาธร (2517 : 453) ได้ให้ความหมายของการให้พ้นจากงานไว้ว่า หมายถึง
การท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีพ้นจากการงานและหมดสิทธิท่ีจะได้รับเงินเดือนของหน่วยงานตลอดไป และ
ภญิ โญ สาธร ไดร้ ะบุสาเหตุสาคญั ในการพ้นจากงาน มีดงั ตอ่ ไปน้ี
- ปัญหาทางดา้ นเศรษฐกิจ
- ปญั หาดา้ นวนิ ยั
- การให้ออกจากงานเพราะหย่อนสมรรถภาพ
- การให้ออกจากงานเมือ่ คราวใหเ้ กษยี ณอายุ
- การใหอ้ อกจากงานเมือ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทีก่ ระทาความผิดอยา่ งหนัก
ดงั นนั้ การให้พน้ จากงานของบุคลากรจงึ เป็นกระบวนการที่จะทาให้บุคลากรท่ีปฏบิ ัติงาน
พน้ จากอานาจหน้าที่ ความรับผดิ ชอบจากหนว่ ยงานท่สี งั กัดไป อนั มสี าเหตุทแี่ ตกต่างกันไป มที ้งั สมัคร
ใจและไมส่ มัครใจ พ้นจากการทางานชว่ั คราวหรือถาวรก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อองค์กรแล้ว เมื่อบุคคลได้
อุทิศเวลาท้ังชีวิตทางานให้แก่องค์การแล้ว ยามท่ีเขาเล้ียงดูตัวเองไม่ได้เน่ืองจากทุพพลภาพอัน
เนื่องมาจากการปฏิบตั ิงานหรอื จากเกษียณอายุบุคคลเหล่านั้นควรได้รับการตอบแทนจากองค์การ เพ่ือทา
ให้ชีวิตบ้ันปลายมีความสุข พะยอม วงศ์สารศรี (2538 : 252 - 253) ได้ให้ความหมายของการพ้นจาก
งานอกี ดา้ นหน่งึ ก็คอื
การพ้นจากงาน หมายถึง การพ้นออกจากสภาพการทางาน เน่ืองจากการลาออก
ทพุ พลภาพ และเกษยี ณอายุ
ดังนั้นองคก์ รและฝา่ ยบริหารทรพั ยากรมนษุ ยจ์ ะตอ้ งคานงึ ถงึ บุคคลทีท่ างานกับองค์กรจนครบ
เกษียณ หรือจาเปน็ ตอ้ งออกจากงานด้วยเหตุผลบางประการ ยกเว้นการกระทาผิดวินัยร้ายแรง โดยการ
จัดเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เช่น การให้บาเหน็จ
บานาญ ทุนสารองเล้ยี งชีพ เงนิ ทดแทน หรอื ผลตอบแทนในรปู อืน่
ผลประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั จากการสรา้ งแนวทางการพ้นจากงานแกอ่ งคก์ ร มีดังนี้
(1) ภาพพจน์ขององค์กรในสายตาของบุคคลทวั่ ไปเป็นไปในทางบวก เพราะส่ิงท่ีเช่ือมโยงต่อ
แนวความคดิ อื่นๆ ตามมาอกี มากมาย เชน่ ความศรัทธาองค์กร การสนใจอดุ หนนุ ผลผลติ ขององค์กร
(2) พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่มีขวัญและกาลังใจ เพราะได้รับรู้ว่าองค์กรไม่ทอดทิ้ง พิทักษ์
คุ้มครอง ถึงแม้จะไม่ได้ทางานให้แก่องค์กรแล้ว ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีได้ก่อให้เกิดผลในด้านความตั้งใจในการ
ปฏบิ ตั งิ านของพนักงานนัน้
เจา้ หนา้ ที่บริหารงานทวั่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ
Brain Media 147
(3) จูงใจใหผ้ ูท้ ่มี คี วามสามารถเขา้ มาปฏบิ ัติงานในองคก์ ร เพราะมองว่าองค์กรน้ีมีความม่ันคง
ในดา้ นการจัดสวัสดิการต่างๆ แกพ่ นักงาน
เจ้าหน้าที่บริหารงานทัว่ ไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลสวุ รรณภมู ิ
Brai1n4M8edia
ความรเู้ ก่ียวกบั งานธุรการ งานสารบรรณ งานบริหารทว่ั ไป
หน้าท่แี ละความรับผิดชอบงานธุรการ
ปฏบิ ตั งิ านเกยี่ วกับการจัดการด้านธุรการท่ัวไป การจดั การดา้ นการผลิตเอกสาร การจัดการดา้ นพสั ดุ
การจดั การดา้ นการเงนิ การจัดการดา้ นสารบรรณ และการประสานงานด้าน ต่าง ๆ ของฝ่าย การเจ้าหนา้ ที่
งานทีต่ ้องทา
1. งานสารบรรณ
1.1 งานรบั - สง่ และลงทะเบยี นหนงั สือราชการ
1.2 งานคัดแยกหนงั สอื และการเสนอหนังสอื
1.3 งานร่างโตต้ อบหนงั สือราชการ
1.4 งานเกบ็ รักษา ยมื และทาลายหนงั สือราชการ
1.5 งานแจง้ เวียนหนังสือราชการ คาสง่ั ประกาศ ใหห้ นว่ ยงานและผเู้ กยี่ วข้องรับทราบเพ่ือถอื ปฏบิ ัติ
1.6 นาแฟม้ เสนออธิการบดี / รองอธิการบดี เพื่อลงนาม หรอื ส่ังการ
1.7 งานคน้ หาเอกสารตา่ ง ๆ ให้กับงานตา่ ง ๆ ในฝา่ ย
1.8 งานลงเวลา และตรวจสอบการปฏบิ ัตริ าชการ
1.9 งานเดินหนงั สอื
2. งานเอกสารการพิมพ์
2.1 การพิมพ์หนงั สือราชการ
2.2 การพมิ พ์แบบฟอรม์ ต่าง ๆ
2.3 การทาสาเนาหนงั สือ เชน่ ถา่ ยเอกสาร อัดสาเนา
2.4 การเรียบเรยี ง และจัดทารปู เลม่
2.5 การจัดพิมพ์คาส่ัง
3. งานประชมุ
3.1 การจัดทาหนงั สือเชิญประชมุ และเชิญประชมุ
3.2 การประสานด้านสถานทแี่ ละอาหารในการประชุม
3.3 การจัดเตรยี มเอกสารในการประชมุ
3.4 การบนั ทึกการประชุม
3.5 การจัดส่งรายงานการประชุม
เจ้าหน้าทบ่ี รหิ ารงานทัว่ ไป มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ
Brain Media 149
4. งานประชาสัมพันธ์
4.1 การจดั ทาและพัฒนาโฮมเพ็จของฝ่าย
4.2 การนาเสนอข้อมลู ข่าวสารผา่ นโฮมเพจ็
4.3 การจัดทาเอกสาร วารสาร เผยแพร่ขอ้ มลู ขา่ วสารทั้งภายในและภายนอก
4.4 การประสานงานกบั หนว่ ยงานภายในและภายนอกในการประชาสัมพนั ธ์
5. งานพัสดุ
5.1 งานประสานการจดั ซื้อจดั จ้าง
5.2 งานทะเบียนคุมพัสดุ และรายงานการเบกิ จา่ ยพสั ดุ
5.3 งานเบกิ จา่ ยพัสดุ
6. งานการเงนิ ( เบิกจ่ายคา่ ตอบแทน )
6.1 การเบกิ จา่ ยคา่ ตอบแทนในการปฏบิ ตั งิ านของคณะกรรมการอานวยการศึกษาเพื่อปวงชน
6.2 การเบกิ จ่ายค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการดาเนนิ งาน
6.3 การเบิกจา่ ยคา่ ตอบแทนนักศึกษาช่วยปฏบิ ัติงานของมหาวิทยาลยั
6.4 การเบกิ จา่ ยคา่ ตอบแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒใิ นการตรวจผลงานทางวิชาการ
6.5 การเบิกจา่ ยค่าคุมสอบและออกข้อสอบกรรมการสอบคัดเลือกบุคลากรเข้าปฏบิ ตั ิงาน
6.6 การเบิกจ่ายเงนิ รางวัลกรรมการและเจา้ หนา้ ที่คมุ สอบคัดเลือกบุคลากรเข้าปฏิบัตงิ าน
6.7 การเบิกจ่ายเงนิ สมนาคุณกรรมการสอบวนิ ัยขา้ ราชการ ลกู จา้ งประจา และพนักงาน มหาวิทยาลัย
6.8 การเบิกจา่ ค่าตอบแทนการปฏบิ ตั งิ านลว่ งเวลาและนอกเวลาราชการของฝา่ ย
6.9 การเบกิ จา่ ยคา่ บรกิ ารรถรับสง่ บตุ รหลาน
6.10 การเบกิ จ่ายคา่ ตอบแทนอ่นื ๆ ทเี่ กี่ยวข้อง
7. งานงบประมาณ
7.1 การจัดทาคาขอตัง้ งบประมาณ
7.2 การจดั ทาแผนการใช้จ่าย
7.3 การควบคุม ดูแล และกากับการเบิกจา่ ยงบประมาณ
7.4 การติดตามและประเมินผลการดาเนนิ งานตามโครงการของฝา่ ย
8. งานรายงานผลการดาเนินงาน
8.1 การรายงานผลการดาเนนิ งานของฝ่ายประจาปี
8.2 การรายงานการใช้จ่ายงบประมาณของฝา่ ยประจาปี
เจา้ หนา้ ทบี่ ริหารงานทว่ั ไป มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ