The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Noo Nantaphakk, 2023-05-16 03:16:13

เล่มรายงานค่ายโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ครั้งที่่ 2

ครั้งที่่ 2

รายงานผลการดำเนินงาน โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม พ.ศ.2566 โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม


คำนำ โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ครั้งที่ 2 เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา กับ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาและมีทักษะในด้านการปฏิบัติการ พัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มี ความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องถึงระดับอุดมศึกษา ตลอดจนเป็นการปลูกฝังให้ เยาวชนมีความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น รายงานฉบับนี้ได้ รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการผลการดำเนินการ ที่ได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่8-9 พฤษภาคม พ.ศ.2566 โดยให้ความรู้และทักษะการปฏิบัติการด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนผลการดำเนินงานกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ขอขอบพระคุณ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครราชสีมา พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียนโรงเรียนทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ สำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ทุกประการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ท่านและ ประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป คณะผู้จัดทำ พฤษภาคม พ.ศ. 2566


สารบัญ หน้า ส่วนที่ 1 บทนำ 1 ส่วนที่ 2 หลักสูตรการจัดกิจกรรม 5 ส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงาน ส่วนที่ 4 สรุปผลการดำเนินงาน ภาคผนวก 96 108 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้ลงทะเบียน 110 ภาคผนวก ข เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. หนังสือราชการ 2. โครงการ 3. กำหนดการ 4. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 5. คำสั่งแต่งตั้งวิทยากร 6. บันทึกข้อความ ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรม 121 122 123 129 131 133 140 143


1 ส่วนที่ 1 บทนำ 1. หลักการและเหตุผล โครงการค่ายวิทยาศาสตร์เป็นการบริการวิชาการและสร้างความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนและสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชน สังคมและประเทศชาติ โดยให้บริการวิชาการที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและกลุ่มเป้าหมายที่ เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจให้บริการโดยการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งในสถาบันและระดับบุคคลได้ในหลายลักษณะ ดังนั้นตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาขอความร่วมมือสถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษา เพื่อพัฒนา ศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องถึง ระดับอุดมศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้กลุ่มผู้เรียนเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมสอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกฝังความสามารถด้าน วิทยาศาสตร์ อีกทั้งโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย “เป็นผู้นำการศึกษาเพื่อ พัฒนาท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน” เป้าประสงค์ : ชุมชนและสังคมมีศักยภาพในการแข่งขัน มีความเข้มแข็งและ สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ประเด็นยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยข้อที่ 4 : การส่งเสริมยกระดับเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เป้าประสงค์เชิง ยุทธศาสตร์ : ปลูกฝังแนวคิดแก่บุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษาในการอุทิศตนเพื่อชุมชนท้องถิ่นและสังคม กลยุทธ์ : ส่งเสริมการพัฒนาและสร้างระบบบริการวิชาการให้มีความต่อเนื่องและดียิ่งขึ้น จึงมอบหมายให้ศูนย์ วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ เพื่อบริการวิชาการให้กับโรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 96 คน และครูผู้ควบคุม จำนวน 9 คน รวม ทั้งสิ้น 105 คน กำหนดจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เพื่อให้นักเรียนได้รับการฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และฝึกปฏิบัติด้านปฏิบัติการวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนในสาขาวิชาเคมี สาขา ชีววิทยา และสาขาฟิสิกส์ ได้อย่างครบทุกขั้นตอนจากแหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยมีคณาจารย์คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นวิทยากร พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ประจำชั้นปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์ เป็นผู้ช่วยวิทยากรร่วม เพื่อเป็นการพัฒนาความเชี่ยวชาญและศักยภาพในการปฏิบัติงานเชิงวิชาชีพให้เพิ่มมาก ขึ้น อีกทั้งสามารถบูรณาการงานบริการวิชาการกับการเรียนการสอนกับหลักสูตร สนับสนุนให้นักศึกษาประจำ หลักสูตรเป็นผู้ช่วยวิทยากร เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ก่อนออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ครูและฝึกงานต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 1. ผู้รับบริการมีทักษะและความเข้าใจในการเรียนปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น 2. ผู้รับบริการสามารถนำความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมไปประยุกต์ใช้ในการเรียนได้ 3. นักศึกษาได้พัฒนาความรู้และทักษะเชิงปฏิบัติการ


2 3. ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ 5.1 เชิงปริมาณ ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย 11.1.1 ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง มากกว่าหรือเท่ากับ 105 คน ของจำนวนผู้รับบริการทั้งหมด 105 คน 5.2 เชิงคุณภาพ ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย 11.2.1 ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในภาพรวมมากกว่าหรือเท่ากับ ระดับดี ระดับดี 11.2.2 ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 90 ร้อยละ 90 4. สถานที่ดำเนินโครงการ ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ (ศูนย์วิทยาศาสตร์) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา 5. ระยะเวลาดำเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ 6. ผู้เข้าร่วมโครงการ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 96 คน และครูผู้ควบคุม จำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น 105 คน 7. งบประมาณและแหล่งที่มา เงินอุดหนุนโครงการค่ายวิทยาศาสตร์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ครั้งที่ 2 จำนวนเงิน 81,000 บาท (แปดหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน) ***ขอถัวเฉลี่ยจ่ายทุกรายการ*** 8. ผู้รับผิดชอบโครงการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 9. การประเมินผล ตัวชี้วัดความสำเร็จ วิธีวัดประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่าง ถูกต้อง มากกว่าหรือเท่ากับ 105 คน ของจำนวนผู้รับบริการทั้งหมด ผลคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน และแบบหลังเรียน ผู้รับบริการมีทักษะการใช้อุปกรณ์ พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 90 ระดับความพึงพอใจโดยรวม ของผู้รับบริการ แบบประเมินความพึงพอใจ


3


4


5 ส่วนที่ 2 หลักสูตรการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ณ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อให้ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และฝึกปฏิบัติการวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนในหลักสูตรวิชาชีววิทยา หลักสูตรเคมี หลักสูตรวิชา ฟิสิกส์ และหลักสูตรเทคโนโลยีการอาหาร หลักสูตรการจัดกิจกรรม ดังนี้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 1. รับฟังคำบรรยาย เรื่อง ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเคมี 2. รับฟังคำบรรยาย เรื่อง ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการชีววิทยา 3. บทปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย 4. บทปฏิบัติการเคมี เรื่อง การแยกของผสมด้วยวิธีโครมาโทกราฟี 5. บทปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง กล้องจุลทรรศน์ เซลล์และเนื้อเยื่อ มัธยมศึกษาปีที่ 4 1. รับฟังคำบรรยาย เรื่อง ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเคมี 2. รับฟังคำบรรยาย เรื่อง ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการชีววิทยา 3. บทปฏิบัติการชีววิทยา เรื่อง โครงสร้างและการทำงานของระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือด (ปอดและหัวใจ) 4. บทปฏิบัติการเทคโนโลยีการอาหาร เรื่อง การทำหมั่นโถ 5. บทปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง ความจุความร้อน


6 บทปฏิบัติการเรื่อง ความปลอดภัยห้องปฏิบัติการเคมี หน้า 6 - 27


7


8


9


10


11


12


13


14


15


16


17


18


19


20


21


22


23


24


25


26


27


28 บทปฏิบัติการ เรื่อง เทคนิคการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญประเสริฐ พันธุ์ชัย สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น นักเรียนจะได้เรียนทั้งส่วนเนื้อหาสาระเชิงทฤษฎีเพื่อสร้างองค์ความรู้ ทางวิชาการ และเรียนควบคู่ไปกับการลงมือปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ เพื่อฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดความ เข้าใจในเนื้อหา โดยการวางแผนงาน การรู้จักคิดตัดสินปัญหาด้วยความรอบคอบ และทำงานด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติการเรื่องต่างๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการเรียนรู้และมีห้องปฏิบัติการเป็นที่ฝึกฝนทักษะ ความสามารถในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การลงมือทำปฏิบัติการอาจส่งผลให้นักเรียนมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่ ก่อให้เกิดพิษภัยต่างๆ ได้แก่ สารเคมี สารชีวภาพ สารรังสี ตลอดจนอุปกรณ์ และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ส่วนใหญ่การเกิดอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการมีสาเหตุจากการปฏิบัติที่ผิดวิธี นักเรียนจึงควรได้รับความรู้ ความเข้าใจในด้านความปลอดภัยจึงจะสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องและทำงานในห้องปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพ มากที่สุด เช่น นักเรียนจำเป็นต้องรู้จักชื่อ วิธีการใช้งานของอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น 1. กฎและระเบียบในการทำปฏิบัติการ ความรู้ในการทำงานให้เกิดความปลอดภัยจากสารพิษหรือภัยอันตรายจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ในการทดลอง ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนและบุคคลรอบตัว ตลอดจนการให้ความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ ทำงานภายในห้องปฏิบัติการสามารถหลีกเลี่ยงหรือลดความเสี่ยงที่จะทำให้ประสบกับพิษภัยที่จะทำอันตราย ต่อชีวิต ทรัพย์สิน นักเรียนควรปฏิบัติตามกฎและระเบียบดังต่อไปนี้ 1. สวมเสื้อกันเปื้อน (เสื้อกาวน์) ทับชุดนักเรียนขณะทำปฏิบัติการทุกครั้ง และถอดออกเมื่อสิ้นสุด ปฏิบัติการ 2. เข้าทำปฏิบัติการตรงเวลา และห้ามเข้าทำในกลุ่มอื่น 3. ศึกษาบทปฏิบัติการก่อนลงมือทำปฏิบัติการ 4. ห้ามทำการทดลองนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในบทปฏิบัติการ 5. บนโต๊ะปฏิบัติการ ควรมีเฉพาะอุปกรณ์ที่จำเป็นใช้เท่านั้น 6. ห้ามส่งเสียงดัง และนำอาหารเข้ามารับประทานในห้องปฏิบัติการ 7. ห้ามทิ้งเศษกระดาษ ไม้ขีดไฟ เศษแก้วแตก และของแข็งต่างๆ ลงในอ่างน้ำ และลิ้นชักโต๊ะปฏิบัติการ 8. อุปกรณ์สารเคมีและเครื่องใช้ใดที่ใช้ร่วมกันจะวางไว้ที่ชั้นหน้าห้อง ห้ามนำมาใช้ที่โต๊ะปฏิบัติการ 9. ทำความสะอาดโต๊ะปฏิบัติการหลังสิ้นสุดการทดลอง 10. เมื่อทำการทดลองเสร็จแล้วควรล้างอุปกรณ์ที่ใช้ให้สะอาดทุกครั้ง 11. ล้างมือให้สะอาด ปิดไฟ พัดลม และก๊อกน้ำทุกครั้งหลังก่อนออกจากห้องปฏิบัติการ 2. ข้อควรระวังและความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ


29 ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเป็นการทำให้นักเรียนรอดพ้นจากอันตรายหรือการรู้จักวิธีการ การมี ทักษะและเทคนิคในการหลีกเลี่ยงเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ซึ่งเป็นอุบัติเหตุจากการทดลอง ข้อควรระวัง และความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการมีหลายด้านดังต่อไปนี้ ความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า การเกิดอันตรายจากกระแสไฟอาจมีสาเหตุมาจากการติดตั้ง อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ถูกต้อง การดูแลตรวจสอบไม่ทั่วถึง และการใช้งานที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งควรต้องระวังดังต่อไปนี้ 1. อุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟฟ้าต้องเข้าถึงได้ 2. อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้ 3. ห้ามใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า หากสายไฟชำรุด 4. ห้ามจับอุปกรณ์ไฟฟ้า ถ้ามือเปียก 5. ห้ามใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจนเกินขีดความสามารถ 6. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีอาการไม่ปกติต้องหยุดใช้ทันทีและแจ้งอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยในการใช้สารไวไฟ การใช้สารไวไฟจะต้องมีวิธีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพราะ อาจเกิดการไหม้ลุกลามได้ด้วยความรวดเร็ว จึงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้วยความเคร่งครัดดังนี้ 1. เปิดหน้าต่างและประตูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก 2. เขียนฉลากบอกชื่อและสัญลักษณ์เตือนอันตรายของสารไวไฟ 3. ปิดวาลว์/ปิดฝาขวดทุกครั้งหลังการใช้งาน 4. ไม่วางสารไวไฟใกล้กับสิ่งที่ก่อให้เกิดความร้อน ความปลอดภัยจากเชื้อโรค การทำปฏิบัติการทางชีววิทยาที่ใช้สิ่งมีชีวิตในการทดลอง เช่น พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ เป็นต้น สัตว์บางชนิดอาจนำเชื้อโรคแพร่สู่คน จุลินทรีย์อาจทำให้เกิดโรคเป็นอันตราย เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ดังนั้นการทดลองที่ใช้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงต้องระมัดระวังดังนี้ 1. ใช้วัสดุบางประเภทเพียงครั้งเดียว เพื่อป้องการการติดเชื้อ 2. เครื่องแก้วที่ใช้ทดลองเกี่ยวกับเชื้อโรค ต้องฆ่าเชื้อด้วยวิธีการที่เหมาะสมก่อนนำไปล้างทำความสะอาด 3. อุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องปฏิบัติการต้องไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค 4. เมื่อสิ้นสุดการทดลองให้ทำความสะอาดโต๊ะปฏิบัติการและอุปกรณ์ด้วยสารฆ่าเชื้อโรค 5. ล้างมือด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งก่อนและหลังการทดลอง 6. สวมถุงมือ หรือหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ความปลอดภัยจากเพลิงไหม้ อันตรายจากไฟไหม้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ นักเรียนควรมีสติในการ หลบหนีอันตราย และรีบแจ้งอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ตรวจสอบอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ก่อนการใช้งาน 2. หยุดการทดลองทันที และออกจากห้องปฏิบัติการ 3. เปิดหน้าต่างและประตูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก 4. การจุดตะเกียงแอลกอฮอล์จะต้องใช้ไม้ขีดไฟจุดทุกครั้ง ห้ามใช้กระดาษต่อจากตะเกียง ความปลอดภัยจากความร้อน ให้นักเรียนปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ห้ามใช้เปลวไฟให้ความร้อนแก่ของเหลวไวไฟ 2. ใช้อุปกรณ์ให้ความร้อนด้วยความระมัดระวัง 3. ไม่วางของเหลวที่ติดไฟง่ายใกล้เปลวไฟ 4. การให้ความร้อนกับหลอดทดลอง ต้องหันปากหลอดทดลองไปในทิศทางที่ปลอดภัยกับตนเอง และผู้อื่น 5. ปิดอุปกรณ์ให้ความร้อนทันทีที่ไม่ใช้งาน


30 ความปลอดภัยจากสารเคมี ให้นักเรียนปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ขวดสารเคมีต้องมีฉลากชัดเจน 2. อ่านฉลากก่อนใช้ 3. ไม่จับ หรือชิมสารเคมี 4. ไม่ดมกลิ่นสารเคมีโดยตรง ให้ใช้มือพัดไอสารเคมีมาที่จมูก 5. เตรียม หรือรินสารเคมีที่มีควัน หรือกลิ่นไอ ในตู้ดูดควัน 6. ไม่เทน้ำลงกรดเข้มข้น ให้เทกรดลงน้ำ 7. ไม่ทิ้งสารเคมีอันตรายลงท่อน้ำทิ้ง 8. สารละลายกรด-ด่าง ต้องทำให้เป็นกลางก่อนทิ้งลงท่อ และต้องเปิดน้ำตามไป 20-30 เท่า 9. ควรเตรียมสารที่มีไอระเหยเป็นพิษในตู้ดูดควัน เช่น การเตรียมกรดเข้มข้น เพราะไอระเหยของกรดจะ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของร่างกาย 3. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น อุบัติเหตุหรืออันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากนักเรียนขาดสติและความรอบคอบในการลงมือ ปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือสิ่งของเสียหาย ดังนั้นจำเป็นต้องมีการป้องกันและความ ระมัดระวัง และสามารถดูแลความปลอดภัยเบื้องต้นได้ดังนี้ อุบัติเหตุ การปฐมพยาบาล 1. แก้วบาด - ถ้าแก้วบาดเล็กน้อย ให้ห้ามเลือดโดยใช้ผ้าที่สะอาดกดลงบนบาดแผล - กรณีที่มีเลือดไหลออกมาก ควรใช้ผ้าสะอาดรัดเหนือบริเวณบาดแผล และรีบส่งแพทย์ 2. ไฟลวกหรือโดนของร้อน - ใช้น้ำล้างมากๆ หรือประคบด้วยน้ำแข็ง และใช้ผ้าแห้งที่สะอาดปิดพันแผล - ถ้าโดนลวกมาก ให้รีบนำส่งแพทย์ 3. สารเคมีถูกผิวหนัง - ล้างบริเวณนั้นด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากในทันทีเพื่อป้องกันสารซึมเข้าสู่ ผิวหนัง หรือ ทำลายเซลล์ผิวหนัง 4. สารเข้าตา - ล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากในทันทีและเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 15 นาทีเพื่อให้สารเจือจางหรือหมดไป และรีบนำส่งแพทย์ 5. สูดดมไอหรือแก๊สพิษ - ต้องรีบนำออกจากบริเวณนั้น ไปสู่บริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก - หากหมดสติต้องใช้วิธีการผายปอดหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ และนำส่งแพทย์ 6. การกลืนกินสารเคมี - ต้องนำส่งแพทย์ทันที พร้อมทั้งนำตัวอย่างสารหรือฉลากแจ้งแพทย์ให้ ทราบ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง 7. ถูกกระแสไฟฟ้าดูด - รีบตัดกระแสไฟฟ้าทันที โดยการถอดปลั๊กหรือใช้ฉนวนฉุดให้ผู้ที่ได้รับ อันตรายออกจากแหล่งกระแสไฟฟ้า - ห้ามใช้มือเปล่าแตะต้องตัวผู้ที่กำลังได้รับอันตราย เพราะอาจถูกไฟดูดได้ - ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการผายปอดหรือเปล่าปาก แล้วรีบนำส่งแพทย์ 4. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายร่างกายส่วนบุคคล อุปกรณ์ที่สวมใส่ปกคลุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุลดความสูญเสียหรือลดความรุนเเรงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วน บุคคลมีหลายชนิด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดกับผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่


31 1. เสื้อกาวน์(Laboratory Coat) ควรเป็นเสื้อคลุมที่มีเนื้อผ้าทำจากใยฝ้าย / ใยสังเคราะห์ที่ไม่ติดไฟง่าย โดยใช้สวมทับชุดปกติระหว่างปฏิบัติงาน และควรติดกระดุมเสื้อกาวน์ให้ครบเรียบร้อย ไม่ใส่เสื้อกาวน์ที่หลวมหรือ รัดแน่นเกินไป ควรซักทำความสะอาดเสื้อกาวน์สม่ำเสมอ และถอดเสื้อกาวน์ออกทุกครั้งที่ออกจาก ห้องปฏิบัติการ 2. ผ้ากันเปื้อนสารเคมี(Protective Coat) ควรเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากหนัง / PVC ที่ทนต่อสารเคมีใช้สวม ทับเสื้อกาวน์อีกทีใช้ป้องกันการกระเด็นเปื้อนของสารเคมี 3. ถุงมือ (Gloves) ผลิตจากวัสดุหลายแบบ และควรเลือกวัสดุของถุงมือ (vinyl, latex, nitrile) ให้เหมาะกับงาน เช่น ถุงมือกันกรด-ด่าง สารพิษ ถุงมือจับของร้อน / เย็น ถุงมือจับของมีคม ถุงมือสาหรับงานซัก ล้าง ควรตรวจสภาพก่อนใช้ทุกครั้ง ก่อนถอดถุงมือออกควรล้างมือก่อน ถอดถุงมือก่อนออกจากห้องปฏิบัติการ เสมอ ขณะใส่ถุงมือไม่ควรจับ ลูกบิดประตูโทรศัพท์ปากกา เป็นต้น 4. รองเท้า (Shoes) ควรเป็นรองเท้าที่ปกปิดนิ้วเท้า ทำจากวัสดุที่ทนสารเคมีกัดกร่อน ทนตัวทำละลาย และกันน้ำ อาจทำจากหนัง หรือ Polymer เป็นรองเท้าไม่มีส้น / พื้นรองเท้าไม่ลื่น 5. แว่นกันสารเคมี(Goggles) หรือแว่นตานิรภัย (Safety glasses) มีเลนส์ที่ทนการกระแทก แว่นตากัน ไอระเหย (Goggle) และขนาดเหมาะสมกับผู้สวมใส่ 6. หน้ากากคลุมหน้า (Face Shield) ควรเป็นวัสดุที่ทนสารเคมีและทนความร้อน ใช้สำหรับใช้ป้องกัน ดวงตา และใบหน้า 7. หน้ากากป้องกันฝุ่น ไอระเหย และเชื้อโรค (Respiratory mask) ใช้ป้องกันฝุ่น ไอระเหยที่อันตรายต่อ ทางเดินหายใจ หรือเชื้อโรคที่ลอยปะปนในห้องปฏิบัติการ หน้ากากควรกระชับพอดีกับใบหน้า ต้องเลือกชนิดตัว กรองให้เหมาะสมและไม่ควรใช้หน้ากากซ้ำเดิม 5. อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific instrument) คือเครื่องมือหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้งานทางด้าน วิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการวัด การเก็บข้อมูล การบันทึก และการวิเคราะห์ค่าต่างๆ ซึ่งใช้อำนวยความ สะดวกในห้องปฏิบัติการ โดยการใช้ทดสอบและหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ผลิตจาก วัสดุที่แตกต่างกันทั้งแก้ว พลาสติก หรือ โลหะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป เช่น บีกเกอร์ จานอาหารเลี้ยงเชื้อ หลอดทดลอง กระบอกตวง หลอด หยดสาร แท่งแก้วคนสาร ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ผลิตขึ้นจากวัสดุที่เป็นแก้ว เนื่องจากป้องกันการทำปฏิกิริยากับ สารเคมี นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือต่างๆ ได้แก่ เครื่องชั่ง กล้องจุลทรรศน์ ตู้อบลมร้อน เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ วิธีใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของงาน 2. อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์แบบสิ้นเปลือง เป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไปไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก เช่น กระดาษกรอง กระดาษลิตมัส อาหารเลี้ยงเชื้อ สัตว์ทดลอง และสารเคมีต่างๆ เป็นต้น 5.1 ตัวอย่างอุปกรณ์วิทยาศาสตร์พื้นฐานในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยา 1. สไลด์ (Slide) เป็นแผ่นแก้วบาง ใช้สำหรับรองรับตัวอย่าง เหมาะกับการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ 2. กระจกปิดสไลด์(Cover slip หรือ cover glass) เป็นแผ่นแก้วบางที่มีรูปแบบและความหนาที่แตกต่างกัน 3. ถาดตากสไลด์(Slide tray) อุปกรณ์สำหรับวางสไลด์


32 4. กระบอกตวง (Cylinder) ภาชนะทรงกระบอกมีขีดบอกปริมาตรที่ละเอียด ใช้ตวงหรือวัดปริมาตรสารเคมี 5. บีกเกอร์(Beaker) ภาชนะรูปทรงกระบอก เหมาะสำหรับผสมสารหรือละลายสารด้วยความร้อน 6. ปิเปต (Pipette) อุปกรณ์สำหรับตวงสารปริมาณน้อยและต้องการความแม่นยำสูง 7. ลูกยางดูด (Pipette bulb) ลูกยางสีส้ม ใช้ในการดูดสารละลายใส่ปิเปต 8. กระจกนาฬิกา (Watch glass) ใช้ปิดปากภาชนะ หรือใช้วางตัวอย่าง 9. หลอดทดลอง (Test tube) หลอดแก้วทรงยาว ใช้สำหรับใส่สารเพื่อทำการทดลอง 10. ที่วางหลอดทดลอง (Test tube rack) อุปกรณ์ที่ใช้วางหลอดทดลอง 11. กระบอกน้ำกลั่น (Wash bottle) ใช้บรรจุน้ำกลั่นเพื่อใช้ในการทดลองและเตรียมสารละลาย 12. แท่งแก้วคนสาร (Glass rod) ใช้ในการคนสารละลายหรือนำสารละลายขณะเทสาร 13. ตะเกียงแอลกอฮอล์ (Alcohol burner) ใช้ให้ความร้อนเชื้อเพลิงเป็นประเภทแอลกอฮอล์ 14. บิวเรต (Burette) ใช้บรรจุสารละลาย สำหรับการไทเทรตเพื่อหาความเข้มข้น 15. หลอดหยดสาร (Dropper) ใช้ในการหยดสารละลาย 16. กรวยแก้ว (Glass funnel) ใช้ในการกรองสาร เทสาร 17. ปากคีบ (Forcep) ใช้หยิบจับตัวอย่างแทนมือ เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมี หรือป้องกันสารคัดหลั่งจาก ร่างกายที่จะสัมผัสกับตัวอย่าง หรือป้องกันความร้อน 18. มีดผ่าตัด (Scalpel) ประกอบด้วยด้ามมีดและใบมีด ใช้สำหรับตัดชิ้นตัวอย่างให้มีขนาดเหมาะสม 19. เข็มเขี่ย (Needle) ใช้อำนวยความสะดวกขณะผ่าแยกอวัยวะหรือการผ่าตัด นอกจากนี้อาจใช้เข็มหมุด (Pin) ช่วยในการปักยึดซากสิ่งมีชีวิตแล้วตัดเฉพาะโครงสร้างส่วนที่ต้องการศึกษา 20. พู่กัน (Brush) อุปกรณ์ช่วยพยุงหรือขนถ่ายชิ้นส่วนตัวอย่างที่มีความบางแทนการใช้มือ 21. กรรไกรผ่าตัด (Scissors) ผลิตด้วยโลหะ สำหรับตัดตัวอย่างที่แข็ง มีหลายขนาด มีทั้งกรรไกรตัดตัวอย่างสัตว์ และตัดตัวอย่างพืช 22. ช้อนตักสาร (Spatula) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตวงสารที่เป็นของแข็งโดยประมาณเมื่อตักสาร


33 ภาพตัวอย่างอุปกรณ์วิทยาศาสตร์พื้นฐานในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยา


34 5.2 ตัวอย่างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยา


35 1. เครื่องชั่ง (Digital balance) เครื่องมือที่ใช้สำหรับชั่งสารเคมีหรือสิ่งที่ต้องการตรวจวิเคราะห์เพื่อให้การตรวจวิเคราะห์เป็นไปตามขั้นตอนที่ กำหนดเครื่องชั่งสามารถบอกน้ำหนักสาร ได้ละเอียดถึงทศนิยม 2 และ 4 ตำแหน่ง 2. ตู้อบลมร้อน (Hot air oven) ตู้ที่สามารถใช้ในการอบเครื่องแก้วและอุปกรณ์ที่ทนความร้อน เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์โดยสามารถปรับตั้งอุณหภูมิ และเวลาได้ 3. เครื่องวัดความเป็นกรด - ด่าง (pH Meter) เครื่องที่สามารถบอกค่าความเป็นกรด - ด่าง ของสารละลายได้ เครื่องชั่งสาร ทศนิยม 2 ตำแหน่ง ข้อควรระวัง 1. ไม่ควรตักสารหรือตัวอย่างวางบนจานโดยตรง 2. ก่อนชั่งสารเคมีต้องปรับสมดุล 3. ไม่ควรเคลื่อนย้ายเครื่องชั่ง และควรวางบนพื้นราบที่มั่นคง 4. สารที่อาจทำอันตรายต่อเครื่องชั่งต้องปิดให้มิดชิดก่อนนำไปชั่ง การบำรุงรักษา 1. ระวังอย่าให้น้ำหกใส่เครื่อง 2. อย่าปิด-เปิดเครื่องขณะมีของวางอยู่บนเครื่องชั่ง 3. ห้ามวางโดยการกระแทกแรง ๆ โดยเด็ดขาด ข้อควรระวัง 1. ต้องสวมถุงมือหนังทุกครั้ง เพื่อป้องกันความร้อน 2. ใช้ได้กับเครื่องแก้วและอุปกรณ์ที่ทนความร้อนเท่านั้น การบำรุงรักษา หากไม่ได้ใช้งานแล้ว รอให้ตู้อบมีอุณหภูมิลดลง แล้วจึงทำ ความสะอาด


36 ข้อควรระวัง 1. ไม่ควรวัดสารละลายหรือตัวอย่างที่ยังร้อนอยู่ 2. ในการวัดต้องระมัดระวังเพราะหัวอ่านเป็นแก้ว แตกง่าย การบำรุงรักษา 1. หลังใช้งานเสร็จ ต้องทำความสะอาดหัวอ่าน ด้วยน้ำกลั่นให้ เรียบร้อย 2. เติมน้ำกลั่น หรือ KCL ในปลอกแล้วสวมหัวอ่านไว้ ระวังอย่า ให้หัวอ่าน (Electrode) แห้งเด็ดขาด 4. หม้อนึ่งความดันไอ (Autoclave) ใช้สำหรับการนึ่งฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ภายใต้ความดันไอที่ 1 บรรยายกาศ ณ อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส ข้อควรระวัง 1. ตรวจเช็คที่ก๊อกปล่อยน้ำทิ้ง ต้องปิดทุกครั้ง 2. ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อนึ่ง ต้องให้น้ำท่วมแผ่นตะแกรงเหล็ก 3. ห้ามเปิดหม้อนึ่งในขณะที่เครื่องทำงานอยู่และความดันไม่ลดลง เท่ากับศูนย์ จะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้งาน การบำรุงรักษา 1. ทำความสะอาดเครื่องมือหลังการใช้งานทุกครั้ง 2. เปลี่ยนน้ำในหม้อนึ่งเป็นประจำทุกครั้งเมื่อใช้งานที่เกิดความ สกปรก 5. ตู้บ่มเชื้อ (Incubator) ใช้สำหรับการบ่มเชื้อจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย หรือ เชื้อรา เป็นต้น และสามารถปรับตั้งอุณหภูมิได้ ข้อควรระวัง 1. ไม่ควรปรับตั้งอุณหภูมิเกินความสามารถของเครื่อง 2. เปิดเครื่องทิ้งไว้ก่อนใช้งานเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการก่อน การบำรุงรักษา 1. หลังใช้งานให้ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้ง 2. เก็บเชื้อที่ไม่ต้องการออกมาทำลาย เพื่อป้องกันการปนเปื้อน 6. กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) เครื่องมือที่ช่วยในการขยายขอบเขตประสาทสัมผัสทางตา เพื่อ ศึกษาตัวอย่างที่มีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าให้มีขนาดใหญ่ขึ้น มีกำลังขยายสูงสุด 1000 เท่า


37 การเก็บรักษากล้องจุลทรรศน์ 1. ลดแสงปิดไฟ และเก็บสายไฟให้เรียบร้อย 2. ปรับแท่นวางวัตถุให้อยู่ต่ำสุด 3. ปรับเลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำสุด 4. ใช้ผ้าทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของกล้อง 5. เก็บกล้องในตู้ให้เรียบร้อย ข้อควรระวัง ในการศึกษาตัวอย่างที่มีขนาดเล็กมากต้องใช้เลนส์ขนาด 100x ซึ่งต้องใช้น้ำมัน ทำให้น้ำมันติดที่หัวเลนส์หลังใช้เสร็จแล้วต้องใช้ กระดาษเช็ดเลนส์เช็ดน้ำมันออกให้สะอาด การบำรุงรักษา 1. ทำความสะอาดเลนส์เป็นประจำ 2. ให้นำสไลด์ตัวอย่างออกจากกล้องหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน อุบัติเหตุที่เกิดในห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่นั้นมีสาเหตุมาจากตัวบุคคลเป็นผู้กระทำด้วยความประมาทหรือ ความมักง่ายเช่นไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและคำแนะนำ หรือกระทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ผู้ ควบคุม การใช้อุปกรณ์หรือการติดตั้งอุปกรณ์ไม่เหมาะสมถูกต้องกับกระบวนการทดลอง หรือใช้อุปกรณ์ผิด ประเภทก็ตามจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ นอกจากนี้การไม่ใช้เครื่องป้องกันอันตรายก็ถือได้ว่าเป็นสาเหตุของการเกิด อุบัติเหตุด้วย เช่นเดียวกัน ดังนั้นหลักการป้องกันอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการที่สำคัญก็คือ จะต้องให้ความรู้ความ เข้าใจแก่ผู้ทดลอง เป็นประการสำคัญ นอกจากนั้นการขาดความรู้ ขาดจิตสำนึกด้านความปลอดภัย จึงทำให้ขาด การเตรียมพร้อมในการป้องกันได้


38 ปฏิบัติการเทคนิคการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิธีการใช้งานอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อฝึกทักษะการปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และสารเคมี 1. ไปเปต 2. บิวเรตต์ 3. กระบอกตวง 4. บีกเกอร์ 5. ขวดรูปชมพู่ 6. ลูกยางดูดสาร 7. กระดาษทิชชู 8. กระบอกน้ำกลั่น 9. สารละลายต่างๆ ได้แก่ กรดไฮโดรคลอริกความเข้มข้น 0.1 โมลาร์ โซเดียมไฮดรอกไซด์ความเข้มข้น 0.1 โมลาร์โบรโมไทมอลบลู และสารละลายฟีนอล์ฟทาลีน 10. กระดาษ A4 วิธีดำเนินการ กิจกรรมที่ 1 การไปเปตสารละลาย ให้นักเรียนทดลองตวงสารละลายปริมาตร 1 มิลลิลิตร ด้วยไปเปต กิจกรรมที่ 2 การอ่านปริมาตรจากการตวงสาร ให้นักเรียนทดลองตวงสารละลายปริมาตรต่างๆ ด้วยกระบองตวง กิจกรรมที่ 3 อินดิเคเตอร์กับการไทเทรต ให้นักเรียนทดลองไทเทรตสาร เพื่อหาจุดยุติของสารละลาย ในห้องปฏิบัติการ


39 บทปฏิบัติการ เรื่อง วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย


40 ปฏิบัติการฟิสิกส์ เรื่อง วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย วัตถุประสงค์ 1. นักเรียนสามารถบอกความหมายของวงจรไฟฟ้าได้ 2. นักเรียนสามารถต่อวงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่ายแบบอนุกรมและแบบขนานได้ 3. นักเรียนสามารถบอกหน้าที่ของโวลต์มิเตอร์และแอมมิเตอร์ได้ 4. นักเรียนสามารถวัดกระแสไฟฟ้าได้ 5. นักเรียนสามารถวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้ ทฤษฎี วงจรไฟฟ้า (Circuit) คือชุดของอุปกรณ์ทางไฟฟ้าที่นำมาต่อกันเป็นวงปิด แล้วสามารถทำให้เกิด กระแสไฟฟ้าไหลในวงจรได้ วงจรไฟฟ้าที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ทางไฟฟ้าที่นำมาต่อกันเป็นวงจรไฟฟ้า มีจำนวน น้อยชิ้นและต่อแบบไม่ซับซ้อนเรียกว่าวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย วงจรไฟฟ้ากระแสตรง (Direct circuit, DC) เป็นวงจรไฟฟ้าที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านวงจรแบบทางเดียว วงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่ายมีส่วนประกอบแสดงดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แผนภาพวงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่าย แหล่งจ่ายไฟ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นตัวที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรไฟฟ้า มีหลายประเภทเช่นถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่รถยนต์และรถมอเตอร์ไซด์ เซลล์สุริยะ แหล่งจ่ายไฟจะมีขั้วไฟฟ้าชนิด บวกและชนิดลบ สายไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลจากอุปกรณ์ หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่งภายในวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์ทางไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อในวงจรไฟฟ้าเพื่อใช้งาน มีหลายชนิดเช่น หลอดไฟฟ้า พัดลม หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กาต้มน้ำไฟฟ้า ฯลฯ อุปกรณ์ทางไฟฟ้าจะทำงานเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน อุปกรณ์ดังกล่าว โดยปริมาณกระแสไฟฟ้ามีผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า ถ้าปริมาณกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน น้อยเกินไปเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่สามารถทำงานได้ เช่นหลอดไฟฟ้าจะไม่สว่างหรือพัดลมจะไม่หมุน แต่ถ้าปริมาณ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเกินไปเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเกิดการเสียหายได้เช่นไส้หลอดจะขาดหรือพัดลมจะไหม้ เครื่องวัดทางไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดปริมาณทางไฟฟ้า ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้วัด กระแสไฟฟ้าและแรงเคลื่อนไฟฟ้าเท่านั้น สายไฟ ทิศการไหลของ กระแสไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า แหล่งจ่ายไฟกระแสตรง พัดลม ขั้วบวก ขั้วลบ


41 -โวลต์มิเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดค่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าหรือความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดใน วงจรไฟฟ้า การใช้โวลต์มิเตอร์ทำได้โดยการนำอุปกรณ์ดังกล่าวต่อแทรกเข้าไปในวงจรไฟฟ้าแบบขนานกับบริเวณ ที่เราจะวัด ดังภาพที่ 2 ซึ่งเป็นการต่อโวลต์มิเตอร์ในการวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่างขั้วทั้งสองของหลอดไฟฟ้า แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่วัดได้มีหน่วยเป็นโวลต์ ภาพที่ 2 แสดงการต่อโวลต์มิเตอร์เพื่อวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้า - แอมมิเตอร์เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรไฟฟ้าหรือไหลผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้า การใช้ แอมมิเตอร์ทำได้โดยการนำอุปกรณ์ดังกล่าวต่อแทรกเข้าไปในวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมกับบริเวณที่เราจะวัด ดัง ภาพที่ 3 ซึ่งเป็นการต่อแอมมิเตอร์ในการวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่วัดได้มีหน่วยเป็น แอมแปร์ ภาพที่ 3 แสดงการต่อแอมมิเตอร์เพื่อวัดกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์ 1. แหล่งจ่ายไฟกระแสตรงหรือถ่านไฟฉาย จำนวน 4 ก้อน 2. หลอดไฟฟ้า จำนวน 2 หลอด 3. พัดลมขนาดเล็ก จำนวน 1 เครื่อง 4. สายไฟ จำนวน 10 เส้น 5. แอมมิเตอร์จำนวน 1 เครื่อง 6. โวลต์มิเตอร์จำนวน 1 เครื่อง วิธีการทดลอง ตอนที่ 1 การวัดกระแสไฟฟ้าและแรงเคลื่อนไฟฟ้า 1. ให้นักเรียนวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าของถ่านไฟฉายทุกก้อน บันทึกผล V A โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ แหล่งจ่ายไฟ แหล่งจ่ายไฟ หลอดไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า


42 2. ให้นักเรียนต่อวงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่าย ดังภาพที่ 4 โดยใช้ถ่านไฟฉายจำนวน 1 ก้อนเป็น แหล่งจ่ายไฟ 3. สังเกตหลอดไฟฟ้า (สว่างหรือไม่) และพัดลม (หมุนหรือไม่) บันทึกผล 4. วัดปริมาณแรงเคลื่อนไฟฟ้าของหลอดไฟฟ้าโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 5. วัดปริมาณแรงเคลื่อนไฟฟ้าของพัดลมโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 6. ทำการทดลองเหมือนข้อ 2-7 โดยเพิ่มถ่านไฟฉายในวงจรไฟฟ้าดังภาพที่ 4 ให้เป็น 2 ก้อน 3 ก้อน และ 4 ก้อนตามลำดับ 7. เปรียบเทียบปริมาณความต่างศักย์ที่ได้จากถ่านไฟฉายตามข้อ 1 เทียบกับแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ได้จาก การรวมกันของหลอดไฟและพัดลม เสร็จแล้ววิเคราะห์ผลการทดลอง ภาพที่ 4 แผนภาพวงจรไฟฟ้ากระแสตรงสำหรับปฏิบัติการตอนที่ 1 ตารางบันทึกผลการทดลองตอนที่ 1 จำนวนถ่านไฟฉาย 1 ก้อน 2 ก้อน 3 ก้อน 4 ก้อน แรงเคลื่อนไฟฟ้าของถ่านไฟฉาย (โวลต์) ความสว่างของหลอดไฟ การหมุนของพัดลม แรงเคลื่อนไฟฟ้าของหลอดไฟ (โวลต์) แรงเคลื่อนไฟฟ้าของพัดลม (โวลต์) แรงเคลื่อนไฟฟ้าของหลอดไฟ + พัดลม (โวลต์) ตอนที่ 2 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม 1. ให้นักเรียนต่อวงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่ายดังภาพที่ 5 โดยใช้ถ่านไฟฉายจำนวน 2 ก้อน เป็นแหล่งจ่ายไฟ หลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย พัดลม หลอดไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า


43 ภาพที่5 แผนภาพการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง 2. สังเกตการสว่างของหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอด บันทึกผล 3. วัดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดโดยใช้แอมมิเตอร์บันทึกผล 4. วัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่างขั้วทั้งสองของหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 5. วัดแรงเคลื่อนไฟฟ้ารวมของหลอดไฟฟ้าทั้งสองหลอดพร้อมกันโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 6. ดึงสายไฟออกจากขั้วใดขั้วหนึ่งของหลอดไฟหลอดใดหลอดหนึ่ง สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า ทั้งสอง บันทึกผล 7. ทำการทดลองเหมือนข้อ 1-6 โดยเพิ่มถ่านไฟฉายในวงจรไฟฟ้าดังภาพที่ 5 ให้เป็น 4 ก้อน ตารางบันทึกผลการทดลองตอนที่ 2 จำนวนถ่าน ไฟฉาย 2 ก้อน 4 ก้อน ความสว่างของหลอดไฟแต่ละหลอด กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟแต่ละหลอด (แอมแปร์) แรงเคลื่อนไฟฟ้าของหลอดไฟแต่ละหลอด (โวลต์) แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวมของหลอดไฟทั้งสองหลอด (โวลต์) ความสว่างของหลอดไฟทั้งสอง เมื่อดึงสายไฟออกจาก ขั้วใดขั้วหนึ่งของหลอดไฟหลอดใดหลอดหนึ่งออก ตอนที่3 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน 1. ให้นักเรียนต่อวงจรไฟฟ้ากระแสตรงอย่างง่ายดังภาพที่ 6 โดยใช้ถ่านไฟฉายจำนวน 2 ก้อน เป็นแหล่งจ่ายไฟ ถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟ้า


44 ภาพที่ 6 แผนภาพการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง 2. สังเกตการสว่างของหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอด บันทึกผล 3. วัดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดโดยใช้แอมมิเตอร์ บันทึกผล 4. วัดปริมาณกระแสไฟฟ้ารวมที่ไหลผ่านหลอดไฟฟ้าทั้งสองหลอดโดยใช้แอมมิเตอร์ บันทึกผล 5. วัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่างขั้วทั้งสองของหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 6. วัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่างขั้วทั้งสองของหลอดไฟฟ้าทั้งสองหลอดพร้อมกันโดยใช้โวลต์มิเตอร์ บันทึกผล 7. ดึงสายไฟออกจากขั้วใดขั้วหนึ่งของหลอดไฟหลอดใดหลอดหนึ่ง สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า ทั้งสอง บันทึกผล 8. ทำการทดลองเหมือนข้อ 1-7 โดยเพิ่มถ่านไฟฉายในวงจรไฟฟ้าดังภาพที่ 6 ให้เป็น 4 ก้อน ตารางบันทึกผลการทดลองตอนที่3 จำนวนถ่าน ไฟฉาย 2 ก้อน 4 ก้อน ความสว่างของหลอดไฟแต่ละหลอด กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟแต่ละหลอด (แอมแปร์) กระแสไฟฟ้ารวมที่ไหลผ่านหลอดไฟทั้งสองหลอด (แอมแปร์) แรงเคลื่อนไฟฟ้าของหลอดไฟแต่ละหลอด (โวลต์) แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวมของหลอดไฟทั้งสองหลอด (โวลต์) ความสว่างของหลอดไฟทั้งสอง เมื่อดึงสายไฟออกจากขั้วใด ขั้วหนึ่งของหลอดไฟหลอดใดหลอดหนึ่งออก สรุปและอภิปรายผล ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………...........................................................………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………...........................................................…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………..…………….…………… ถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟ้า


45 ……………………………………………………………………………………………………………………………………..…….………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………................................................…………………..........….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………...............................................……………………………………………......……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..............................................…………......………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………....………….………………… คำถาม 1.จากปฏิบัติการตอนที่ 1 ความสว่างของหลอดไฟฟ้าและการหมุนของพัดลม เมื่อเปลี่ยนจำนวน ถ่านไฟฉายต่างกันหรือไม่อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ 2.จากปฏิบัติการตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ถ้าถ่านไฟฉายมีจำนวนก้อนเท่ากัน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบใดให้ ความสว่างมากกว่า ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………......... 3.ถ้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจำนวนหลายชิ้น ควรนำเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวมาต่อแบบอนุกรมหรือ แบบขนาน เพราะเหตุใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….........


46 บทปฏิบัติการ เรื่อง การแยกของผสมด้วยวิธีโครมาโทกราฟี


Click to View FlipBook Version