The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผู้เรียน โดยใช้รูปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sirirakpremjit1234, 2022-07-26 12:48:37

งานวิจัยทางการศึกษา

งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผู้เรียน โดยใช้รูปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)





รายงานการวจิ ัยในช้ันเรียน

เร่ือง การพฒั นาศักยภาพผู้เรียน โดยใช้รูปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
ผ่านหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) รายวชิ า ง30235 การบริการในโรงแรม

ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนสตรีวทิ ยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

โดย
นางสาวศิริรักษ์ เปรมจติ ต์
รหัสนักศึกษา 5704500163

เสนอ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชนกนาถ ชูพยคั ฆ์

รายงานการวิจัยนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของวิชา HET5004 สัมมนาการสอนและวิจยั ในช้ันเรียนทางคหกรรมศาสตร์
ภาควชิ าคหกรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564



บทคดั ย่อ

ชื่องานวิจยั : การพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รียนโดยใชร้ ูปแบบการศึกษาคน้ ควา้
ดว้ ยตนเอง ผา่ นหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book)
ช่ือผวู้ ิจยั รายวิชา ง30235 การบริการในโรงแรม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
สาขาวิจยั โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนคริน-
ปี การศึกษา ทราบรมราชชนนี
อาจารยท์ ี่ปรึกษางานวจิ ยั : นางสาวศิริรักษ์ เปรมจิตต์
: ศึกษาศาสตรบณั ฑิต (คหกรรมศาสตร์)
: 2564
: ผชู้ ่วยศาสตราจารยช์ นกนาถ ชูพยคั ฆ์

การวิจัยคร้ังน้ี เป็ นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซ่ึงมีวตั ถุประสงค์
คือ เพ่ือสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( e-Book) รายวิชา ง30235 การบริ การในโรงแรม

และ นาไปใช้สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรี ยนสตรี วิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านพุทธิพิสัย

ข้นั สังเคราะห์จากการใช้สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) และศึกษาความพึงพอใจใน
การใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) รายวิชา ง30235 การบริการในโรงแรม สาหรับช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

จานวน 47 คน ในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ 1. แผนการจดั การเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2
เร่ื องการแบ่งส่ วนงานบริ การของโรงแรม รายวิชา ง30235 การบริ การในโรงแรม
2. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เรื่อง หลกั การออกแบบ และหลกั การสร้างกลยุทธ์ทาง
การตลาดในธุรกิจโรงแรม 3. แบบประเมินผลงาน การออกแบบแพกเกจท่องเท่ียว
แผนกการตลาด ส่วนงานบริ การหลังบ้านของโรงแรม 4. แบบประเมินความพึงพอใจ
การใช้รู ปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ผ่านหนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์ (e-Book)
รายวิชา ง30235 การบริการในโรงแรม สาหรับช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2



ในพระราชูปถมั ภส์ มเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซ่ึงผลงานการปฏิบตั ิ ความพึงพอใจ
และปัญหาจากการใช้กิจกรรมการเรียนการสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย (x )̅ และ
คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D)

ผลการวจิ ยั พบว่า
1. จากการทดสอบผลการเรี ยนรู้ด้านพุทธิ พิสัย ข้ันสังเคราะห์จากการใช้สื่ อ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เรื่ อง หลักการออกแบบ และหลักการสร้างกลยุทธ์
ทางการตลาดในธุรกิจโรงแรม จานวนนักเรียนท้ังสิ้น 47 คน พบว่าผูเ้ รียน มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรี ยนรู้ด้านพุทธิพิสัย ข้ันสังเคราะห์ อยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 74.46 รองลงมา
อยใู่ นระดบั ดี ร้อยละ 12.77 และอยใู่ นระดบั ปานกลาง ร้อยละ 12.77

2. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรี ยนต่อการจัดการเรี ยนรู้รู ปแบบ
การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ) เร่ือง หลกั การออกแบบ
และหลักการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดในธุรกิจโรงแรม พบว่าผู้เรี ยนมีความพึงพอใจ
ในภาพรวม และรายข้ออยู่ในระดับมาก โดยข้อท่ีมีค่าเฉล่ียมากท่ีสุดคือ คือ เน้ือหา
มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รองลงมาคือ ใช้ภาษาท่ีเหมาะสม
และเข้าใจง่าย ส่ วนข้อที่มีค่าเฉล่ียน้อยท่ีสุ ด คือ มีความเข้าใจในเรื่ องการออกแบบ
แพกเกจท่องเที่ยว



กติ ติกรรมประกาศ

งานวิจยั ฉบบั น้ีสาเร็จลุล่วงดว้ ยความกรุณาจาก ผูช้ ่วยศาสตราจารยช์ นกนาถ ชูพยคั ฆ์
อาจารยท์ ่ีปรึกษาท่ีไดใ้ ห้คาปรึกษาแนะนา ตลอดจนตรวจสอบแกไ้ ข แนะแนวทางการปรับปรุง
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ผูว้ ิจัยขอขอบพระคุณเป็ นอย่างสูงไว้ ณ ที่น้ี และขอบคุณนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ที่ให้ความร่วมมือเป็ นอยา่ งดีในการทดลองและเก็บขอ้ มูลของการทาวิจยั ใน
คร้ังน้ี

คุณค่าและประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากงานวจิ ยั เล่มน้ี ผวู้ จิ ยั มอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณของบิดา
มารดา ครอบครัว และครูบาอาจารยท์ ุกท่านท่ีได้ประสิทธ์ิประสาทวิชาอบรมสั่งสอน และ
สนบั สนุนการศึกษาใหแ้ ก่ผวู้ จิ ยั มาดว้ ยดีเสมอมา

ศิริรักษ์ เปรมจิตต์



สารบัญ

เร่ือง หน้า

บทคดั ยอ่ ก
กิตติกรรมประกาศ ค
สารบญั ง
สารบญั ตาราง ฉ
สารบญั ภาพ ช
บทท่ี 1 บทนา

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา 1
คาถามการวิจยั 3
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 3
สมมุติฐานการวจิ ยั 4
. ขอบเขตการวจิ ยั 4
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 5
ประโยชน์ที่คาดหวงั วา่ จะไดร้ ับ 6
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง

รูปแบบการเรียนการสอน 8
การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 12
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นามาสนบั สนุนการเรียนรู้รูปแบบการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 21
หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-book) 31
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 41
งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 44
บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินงานวจิ ยั
ประชากรกลุ่มเป้าหมาย 46
รูปแบบการดาเนินการทดลอง 47

สารบญั (ต่อ) จ

เร่ือง หน้า

บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั 47
เครื่องมือที่ใชใ้ นงานวจิ ยั 52
การดาเนินงานวจิ ยั และเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 54
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
58
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 59
ตอนที่ 1 วเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั ข้นั สงั เคราะห์จาก
การใชส้ ื่อหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) 63
ตอนที่ 2 ความพงึ พอใจในการใชห้ นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) 64
66
บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 67
สรุปผลการวจิ ยั
อภิปรายผล 69
ขอ้ เสนอแนะ 78
82
บรรณานุกรม 84
84
ภาคผนวก
ก แผนการจดั การเรียนรู้
ข ตวั อยา่ งผลงานนกั เรียน
ค ตวั อยา่ งแบบประเมินผลงาน
ง แบบประเมินความพงึ พอใจ

ประวตั ผิ ู้วจิ ยั



สารบัญตาราง

ตารางท่ี หน้า

1 ขอ้ ดีของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เม่ือเปรียบเทียบกบั หนงั สือ 40

2 ร้อยละของคะแนนดา้ นพทุ ธิพสิ ัย ข้นั สงั เคราะห์จากการใชส้ ื่อหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์

(e-Book) 58

3 วเิ คราะห์ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 59

4 ความพงึ พอใจในการใชห้ นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) 60



สารบัญภาพ

ภาพที่ หน้า

1 ตวั อยา่ งการสร้างไฟลเ์ อกสาร 37

2 ตวั อยา่ งรูปแบบไฟล์ pdf. 37

3 ตวั อยา่ งสมคั รเขา้ ใชง้ าน www.anyflip.com 38

4 ตวั อยา่ งการเพ่ิมหนงั สือลงบนเวบ็ ไซต์ 38

5 ตวั อยา่ งการเพ่มิ ขอ้ มูลหนงั สือลงบนเวบ็ ไซต์ 39

6 ตวั อยา่ งการเพมิ่ หนงั สือลงบนเวบ็ ไซตส์ าเร็จ 39

7 QR Code หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-book) เร่ือง หลกั การออกแบบ และหลกั การ

สร้างกลยทุ ธ์ทางการตลาดในธุรกิจโรงแรม 40

1

บทที่ 1

บทนา

ท่ีมาและความสาคญั ของปัญหา

การระบาดของเช้ือไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลต่อระบบการศึกษา
เป็ นอย่างมาก ต้ังแต่เช้ือไวรัสเร่ิมระบาดในประเทศจีน จนถึงปัจจุบัน UNESCO รายงานว่า
รัฐบาล 191 ประเทศทว่ั โลก ประกาศปิ ดสถานศึกษาท้งั ประเทศ มีผูเ้ รียนไดร้ ับผลกระทบกว่า
1.5 พนั ลา้ นคน ซ่ึงมากกวา่ ร้อยละ 90 ของผเู้ รียนท้งั หมด (สุวิมล มธุรส, 2563, หนา้ 34)

สาหรับประเทศไทยกาหนดรู ปแบบการเรี ยนการสอนหลังโควิด-19 ใน
การบริหารจดั การใหเ้ กิดความเหมาะสมมี 4 รูปแบบท่ีสอดคลอ้ งกบั New normal ประกอบดว้ ย

1. การเรียนผ่านระบบออนไลน์ 100% รูปแบบดงั กล่าวเหมาะกบั โรงเรียนที่มี
ความพร้อมท้งั ดา้ นระบบการเรียนการสอน และหลกั สูตรสาหรับการเรียนผา่ นระบบออนไลน์

2. การเรียนในห้องเรียน เหมาะสาหรับโรงเรียนที่มีนกั เรียนจานวนไม่มาก และ
พ้ืนท่ีมากพอให้สามารถปฏิบตั ิตามนโยบาย Social Distancing เพ่ือรักษาระยะห่าง และการดูแล
สุขอนามยั ของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งเขม้ ขน้ และเคร่งครัด

3. การเรียนแบบผสมผสานออนไลน์ และออฟไลน์เหมาะสาหรับโรงเรียนขนาด
ใหญ่ท่ีมีจานวนนกั เรียนมาก โดยแบ่งกลุ่มนกั เรียนออกเป็ น 2 กลุ่ม เพ่ือสลบั วนั ให้นกั เรียนมา
เรียนท่ีโรงเรียน

4. การเรี ยนแบบ Home School ซ่ึงมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนในประเทศไทย โดย
ผู้ปกครองจะมีบทบาทเป็ นผู้จัดการเรี ยนการสอนในรู ปแบบท่ีเหมาะสมกับผู้เรี ยน
(เกจ็ กนก เอ้ือวงศ์ และคณะ, 2563, หนา้ 36)

ในรายวิชา ง30235 การบริ การในโรงแรม สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็ นการศึกษา

2

องค์ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับอุตสาหกรรมที่พัก ประกอบด้วย ความหมาย ความสาคัญ
ท่ีมีต่อประเทศ ท้งั ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม ซ่ึงมีการรับอานวยความสะดวก
แก่ลูกค้าในรูปแบบสินค้า และบริการต่างๆ ที่เอ้ือประโยชน์ให้กับธุรกิจโรงแรม รวมถึง
โครงสร้างด้านการแบ่งส่วนปฏิบัติงาน ท่ีแบ่งออกเป็ น 2 ส่วนคือ ส่วนหน้าบ้าน และ
ส่วนหลังบ้าน ตลอดจนการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อจัดแบ่งประเภทท่ีพัก
ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสนับสนุนประสิทธิภาพในการดาเนินงาน
โดยใช้ทักษะการจัดการทางาน กระบวนการแก้ปัญหา และการแสวงหาความรู้ รวมถึง
ฝึ กประสบการณ์การปฏิบัติงานบริการในโรงแรม ท้ังในส่วนที่สร้างรายได้โดยตรง และ
ส่วนสนับสนุน เพ่ือสร้างความตระหนักถึง วิธีการดาเนินงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ
การพฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม และการใชพ้ ลงั งาน รวมถึงทรัพยากรอยา่ งรู้คุณค่า (รณชยั รองประโคน,
2564, หนา้ 2)

จากข้อมูลข้างต้น ทาให้ผูว้ ิจัยจึงเล็งเห็นว่าเช้ือไวรัสโควิด-19 (COVID-19)
ไดส้ ร้างปัญหาใหก้ บั การจดั การเรียนการสอน แต่ท้งั น้ีกเ็ ป็นตวั แปรในการสร้างการเปล่ียนแปลง
ให้กบั การศึกษา และเป็ นตวั ขบั เคลื่อนในการนาเทคโนโลยีเขา้ มาใช้ในระบบการศึกษาไทย
ซ่ึงสอดคล้องกับการบริ หารจัดการระบบการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ท่ีให้ความสาคัญ
กับการปรับตัวไปสู่ “การศึกษายกกาลังสอง” ที่จะเปลี่ยนจาก One-Size-Fits-All ไปสู่
การตอบโจทยก์ ารเรียนรู้ และการพฒั นารายบุคคลมากย่ิงข้ึน นอกจากน้ีในรายวิชา ง30235
การบริ การในโรงแรม ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรี ยนสตรี วิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็ นวิชาเลือกเสรี ซ่ึงไม่มีหนงั สือเรียนที่เป็ นแบบแผน
โดยทว่ั ไปจะจดั ทาในรูปแบบเอกสารประกอบการเรียน ดว้ ยเครื่องพิมพส์ าเนาท่ีใชก้ ระดาษไข
เป็นแม่พิมพ์ หรือโรเนียว (Duplicator) ซ่ึงทาใหข้ าดความน่าสนใจ รวมถึงในสภาวะโรคระบาด
ท่ีจาเป็ นต้องจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ การนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ จึง
ถือเป็ นเคร่ื องมือที่สาคญั

ดงั น้นั ผูว้ ิจยั จึงมีแนวคิดการใชร้ ูปแบบการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองผ่านหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) รายวิชา ง30235 การบริ การในโรงแรม ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อส่งเสริม

3

ศกั ยภาพของผูเ้ รียนให้มี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นพุทธิพิสัย ข้นั สังเคราะห์ โดยแบ่งเป็ น
ดา้ นความรู้ ดา้ นกระบวนการทางาน ดา้ นผลงาน ท่ีเนน้ ความคิดสร้างสรรค์ โดยการลงมือปฏิบตั ิ
ตลอดจนสร้างชิ้นงานการออกแบบแพกเกจท่องเท่ียว แผนกการตลาด ส่วนงานบริการหลงั บา้ น
ของโรงแรม

คำถำมกำรวจิ ยั
1. การใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ช่วยให้นักเรียนรายวิชาเลือกเสรี

ง30235 การบริการในโรงแรม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในข้นั สังเคราะห์
ในระดบั ดีหรือไม่

2. นักเรียนมีความพึงพอใจในการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ใน
รายวิชา ง30235 การบริการในโรงแรม สาหรับช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 หรือไม่

วตั ถุประสงค์กำรวจิ ยั
1.เพื่อสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( e-Book) รายวิชา ง30235 การบริ การ

ในโรงแรม สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรี ยนสตรี วิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์
สมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

2.เพื่อนาส่ือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( e-Book) ใช้เป็ นส่ือการสอนรายวิชา
ง30235 การบริ การในโรงแรม สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรี ยนสตรี วิทยา 2
ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

3.เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านพุทธิพิสัย ข้นั สังเคราะห์จากการใช้
ส่ือหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book)

4.เพ่ือศึกษาระดับความพึงพอใจในการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)
รายวิชา ง30235 การบริการในโรงแรม สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2
ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

4

สมมตฐิ ำนกำรวจิ ยั
ผูเ้ รียนเกิดศกั ยภาพ และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นพุทธิพิสัย ข้นั สังเคราะห์จากการ

ใชส้ ื่อหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) โดยใชร้ ูปแบบการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง

ขอบเขตกำรวจิ ยั
1.ดา้ นประชากร
นักเรี ยนรายวิชา ง30235 การบริ การในโรงแรม ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5

โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จานวน 47 คน
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

2.ดา้ นเน้ือหา
2.1 ความรู้
2.1.1 หลกั การออกแบบและหลกั การสร้างกลยทุ ธ์ทางการตลาดในธุรกิจ
โรงแรม

2.1 กระบวนการ
2.2.1 ทกั ษะการออกแบบแพกเกจท่องเที่ยว แผนกการตลาด ส่วนงาน
บริการหลงั บา้ นของโรงแรม
2.2.2 ทกั ษะการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง

2.3 ผลงาน
2.3.1 ความคิดสร้างสรรค์ ในชิ้นงานการออกแบบแพกเกจท่องเท่ียว
แผนกการตลาด ส่วนงานบริการหลงั บา้ นของโรงแรม

5

3. รูปแบบการวจิ ยั
การวจิ ยั แบบทดลองกล่มุ เดียว วดั ผลหลงั ทดลอง (The One Shot Case Study
Design)

ตัวแปรต้น ตวั แปรตำม

สร้างหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ( e-Book) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นพทุ ธิพิสัย
รายวชิ า ง30235 การบริการในโรงแรม ข้นั สงั เคราะห์ โดยแบ่งเป็น
สาหรับช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
โรงเรียนสตรีวทิ ยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์ -ดา้ นความรู้
สมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี -ดา้ นกระบวนการทางาน
-ดา้ นผลงาน
ในรายวชิ า ง30235 การบริการใน
โรงแรม สาหรับช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์
สมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

นิยำมศัพท์
1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) หมายถึง ส่ิงพิมพ์ซ่ึงเก็บอยู่ในรู ปแบบ

อปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงใชเ้ ป็นสื่อการสอนรายวชิ า ง30235 การบริการในโรงแรม สาหรับช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนสตรีวทิ ยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

2. กำรศึกษำค้นคว้ำด้วยตนเอง หมายถึง การเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนศึกษาหาความรู้
จากแหล่งวชิ าดว้ ยตนเอง (Self-Study) ไดแ้ ก่ หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book)

3.วิชำ ง30235 กำรบริกำรในโรงแรม เป็ นวิชาเลือกเสรี สาหรับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

4. ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน หมายถึง ความสามารถ ความสาเร็จ และสมรรถภาพ
ด้านของผูเ้ รียนด้านพุทธิพิสัย ท่ีได้จากการเรียนรู้จากกิจกรรมการเรียนการสอน รวมถึง

6

การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง โดยแบ่งการประเมิน 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ ความรู้ กระบวนการทางาน
และผลงาน

5. กำรสังเครำะห์ หมายถึง การนาขอ้ มูล เรื่อง หลกั การออกแบบ และหลกั การ
สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดในธุรกิจโรงแรม ที่ได้จากการวิเคราะห์ ผ่านกิจกรรมการเรียน
การสอน และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง สร้างเป็ นแพกเกจท่องเท่ียว แผนกการตลาด
ส่วนงานบริการหลงั บา้ นของโรงแรม

6. ผู้เรียน หมายถึง นกั เรียนที่เลือกลงทะเบียนเรียนรายวิชา ง30235 การบริการ
ในโรงแรม เป็ นวิชาเลือกเสรี สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ใน
พระราชูปถมั ภส์ มเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

7. ควำมพงึ พอใจ หมายถึง ระดบั ความรู้สึกของผเู้ รียนที่มีต่อวิธีการจดั การเรียนรู้
หลงั จากการพฒั นาศกั ยภาพผูเ้ รียน โดยใช้รูปแบบการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ผ่านหนังสือ
อิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book) ซ่ึงวดั คา่ จากการทาแบบประเมินความพึงพอใจ

8. ควำมคิดสร้ำงสรรค์ หมายถึง การคิดเพื่อการเปล่ียนแปลงจากสิ่งเดิมไปสู่
ส่ิง ใหม่ที่ดีกวา่ ดว้ ยความคิดที่ หลากหลาย คิดไดก้ วา้ งไกล หลายแง่หลายมุม

9. กำรตลำดยุคดจิ ทิ ัล (Digital Marketing) หมายถึง การดาเนินการ ทางการตลาด
ที่นาเอาเทคโนโลยมี าช่วย เพือ่ ตอบสนองความจาเป็น และความตอ้ งการใหก้ บั ลูกคา้

10. แพกเกจท่องเทีย่ ว หมายถึง รายการนาเที่ยว ประกอบดว้ ยการจดั หาที่พกั เพื่อ
คา้ งคืน อาหาร ติดต่อสถานที่ท่องเท่ียว (ธรรมชาติ โบราณสถาน วฒั นธรรม ฯลฯ)

ประโยชน์ทคี่ ำดว่ำจะได้รับ
1.ใ ช้ ห นั ง สื อ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ( e-Book) เ ป็ น สื่ อ ก า ร ส อ น ร า ย วิ ช า ง 30235

การบริการในโรงแรม สาหรับช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภ์
สมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี

2. ผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นพุทธิพิสัย อยู่ในระดบั สังเคราะห์ จากการใช้
ส่ือการใชห้ นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book)

3. ส่งเสริมศกั ยภาพดา้ นการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เพ่ือตอบสนองต่อคุณลกั ษณะการใฝ่ เรียนรู้
และมุ่งมน่ั ในการทางาน โดยใชเ้ ทคโนโลยหี นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์

7

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง

การศึกษาการใช้รูปแบบการศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง ผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
( e-Book) ร า ย วิ ช า ง 30235 ก า ร บ ริ ก า ร ใ น โ ร ง แ ร ม ส า ห รั บ ช้ัน มัธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 5
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถมั ภส์ มเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเสริมสร้าง
ศกั ยภาพของผูเ้ รียนให้มีประสิทธิภาพ ผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง
โดยแยกเป็นหวั ขอ้ ดงั น้ี

1. รูปแบบการเรียนการสอน
1.1 ความหมายของการของรูปแบบการเรียนการสอน
1.2 การจดั รูปแบบการเรียนการสอน

2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.1 ความหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.2 ลกั ษณะของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.3 องคป์ ระกอบของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.4 วตั ถปุ ระสงคข์ องการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.5 ประโยชนข์ องการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง

3. ทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีนามาสนบั สนุนการเรียนรู้รูปแบบการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
3.1 ทฤษฎีการเรียนรู้แนวมนุษยน์ ิยม (Humanism)
3.2 ทฤษฎีการเรียนรู้พทุ ธิปัญญา (Cognitive Learning)
3.3ทฤษฎีการเรียนรู้แนวทางการสร้างความรู้ (Information Processing Theory)

4. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-book)
4.1 ความหมาย ความเป็นมา และประเภทของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-book)
4.2 ข้นั ตอนการออกแบบ และกระบวนการจดั ทาหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์
(e-book)

8

4.3 ขอ้ ดีของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เม่ือเปรียบเทียบกบั หนงั สือ
5. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

5.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
5.2 การวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ข้นั สงั เคราะห์ ซ่ึงแบ่งเป็น ดา้ นความรู้
กระบวนการทางาน และผลงาน
6. งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง

1. รูปแบบการเรียนการสอน

1.1 ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน
ความหมายของรู ปแบบการเรี ยนการสอน ในทางศึกษาศาสตร์ มีคาท่ีเกี่ยวข้อง
กับรู ปแบบ คือ รู ปแบบการสอน Model of Teaching หรื อ Teaching Model และรู ปแบบ
การเรี ยนการสอน หรื อรู ปแบบการจัดการเรี ยนการสอน Instructional Model หรื อ
Teaching-Learning Model คาวา่ รูปแบบการสอน มีผอู้ ธิบายไวด้ งั น้ี
- รูปแบบการสอน หมายถึง แบบหรือแผนของการสอน รูปแบบการสอนแบบหน่ึง
จะมีจุดเนน้ ที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหน่ึง รูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบจึงอาจมีจุดหมาย
ที่แตกต่างกนั
-รูปแบบการสอน หมายถึง แผนหรือแบบซ่ึงสามารถใช้การสอนในห้องเรียน หรือ
สอนพิเศษเป็ นกลุ่มย่อย เพื่อจัดสื่อการสอน ซ่ึงรวมถึงหนังสือ ภาพยนตร์ เทปบนั ทึกเสียง
โปรแกรม คอมพิวเตอร์ และหลกั สูตรรายวิชา รูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบจะเป็ นแนวทาง
ในการออกแบบการสอน ท่ีช่วยใหน้ กั เรียนบรรลุวตั ถุประสงคต์ ามท่ีรูปแบบน้นั ๆ กาหนด
-รู ปแบบการสอน หมายถึง แผนแสดงการเรี ยนการสอน สาหรับนาไปใช้สอน
ในหอ้ งเรียน เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไวใ้ ห้มากท่ีสุด แผนดงั กล่าว
จะแสดงถึงลาดับ ความสอดคล้องกันภายใต้หลักการของแนวคิดพ้ืนฐานเดียวกัน
องค์ประกอบท้ังหลายได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เน้ือหา และทักษะที่ต้องการสอน
ยุทธศาสตร์การสอน วิธีการสอน กระบวนการสอน ข้นั ตอนและกิจกรรมการสอน รวมถึง
การวดั และประเมินผล (ชนาธิป พรกลุ , 2544, หนา้ 6)

9

ท้งั น้ีรูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลกั ษณะเดียวกบั ระบบการเรียนการสอน
ซ่ึงนักการศึกษาโดยทว่ั ไปนิยมใช้คาว่า “ระบบ” ในความหมายท่ีเป็ นระบบใหญ่ ครอบคลุม
องค์ประกอบ สาคญั ๆ ของการศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้คาว่า
“รูปแบบ” กบั ระบบที่ย่อยกว่า โดยเฉพาะกบั “วิธีการสอน” ในดา้ นความหมาย ของรูปแบบ
การสอน มีผใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลายแง่มุม ดงั น้ี

-Saylor and others กล่าวว่า รูปแบบการสอน (teaching model) หมายถึง แบบ (pattern)
ของการสอนที่มีการจดั กระทาพฤติกรรมข้ึนจานวนหน่ึงท่ีมีความแตกต่างกัน เพ่ือจุดหมาย
หรือจุดเนน้ ที่เฉพาะเจาะจงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง

-Joyce and Well กล่าวว่า รู ปแบบการสอน คือ แผน (plan) หรื อแบบ (pattern)
ท่ีเราสามารถใชเ้ พ่ือการสอนโดยตรงในห้องเรียน หรือการสอนเป็ นกลุ่มย่อย หรือเพ่ือจดั ส่ือ
การเรียนการสอนซ่ึงรวมถึงหนงั สือ ภาพยนตร์ เทปบนั ทึกเสียง โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน
และหลกั สูตรรายวิชา ซ่ึงแต่ละรูปแบบจะใหแ้ นวทางการออกแบบการเรียนการสอนท่ีจะช่วยให้
ผูเ้ รียนบรรลุวตั ถุประสงคต์ ่างๆ กนั รูปแบบการสอนคือ การบรรยายส่ิงแวดลอ้ มทางการเรียน
รูปแบบการ 2 สอนก็คือ รูปแบบของการเรียนท่ีช่วยผเู้ รียนใหไ้ ดร้ ับสารสนเทศ ความคิด ทกั ษะ
คุณคา่ แนวทางของการคิด

Keeves J. กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนโดยทว่ั ไปจะตอ้ งมีองคป์ ระกอบที่สาคญั
ดงั น้ี
1. รูปแบบจะต้องนาไปสู่การทานาย (prediction) ผลที่ตามมาซ่ึงสามารถพิสูจน์ทดสอบได้
กล่าวคือ สามารถนาไปสร้างเครื่องมือ เพื่อไปพสิ ูจนท์ ดสอบได้
2. โครงสร้างของรูปแบบจะตอ้ งประกอบดว้ ยความสัมพนั ธ์เชิงสาเหตุ (causal relationship)
ซ่ึงสามารถใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์เร่ืองน้นั ได้
3. รูปแบบจะต้องสามารถช่วยสร้างจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด (concept)
และความสมั พนั ธ์ (interrelations) รวมท้งั ช่วยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้
4. รูปแบบควรจะประกอบดว้ ยความสัมพนั ธ์เชิงโครงสร้าง (structural relationships) มากกว่า
ความสมั พนั ธ์เชิงเช่ือมโยง (associative relationships) (วชั รี บรู ณสิงห์, 2526, หนา้ 17)

10

ทิศนา แขมมณี กล่าวว่า รู ปแบบการสอน หมายถึง สภาพหรื อลักษณะของ
การจัดการเรียนการสอนที่จดั ข้ึนอย่างมีระบบระเบียบ มีแบบแผนตามหลกั ปรัชญา ทฤษฎี
หลกั การ แนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยอาศยั วิธีสอน และเทคนิคการสอนเขา้ มาช่วยให้
สภาพการเรี ยนการสอนน้ันเป็ นไปตามหลักการที่ยึดถือ ดังน้ันคุณลักษณะสาคัญ
ของรูปแบบการสอนจึงตอ้ งประกอบดว้ ยสิ่งต่างๆ ต่อไปน้ี
1. มีปรัชญาหรือทฤษฎี หรือหลกั การหรือแนวคิด หรือความเชื่อที่เป็นพ้ืนฐาน หรือเป็นหลกั การ
ของรูปแบบการสอนน้นั ๆ
2. มีการบรรยาย อธิบายสภาพ หรือลกั ษณะของการจดั การเรียนการสอน
3. มีการจดั ระบบ คือ มีการจดั องคป์ ระกอบ และความสัมพนั ธ์ของระบบให้สามารถนาผูเ้ รียน
ไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการพิสูจน์ ทดลองถึงประสิทธิภาพของระบบน้ัน
ดงั น้นั รูปแบบการเรียนการสอนจึง หมายถึง สภาพ หรือลกั ษณะของการจดั การเรียนการสอน
ท่ีจดั ไวอ้ ย่างเป็ นระเบียบตามหลกั ปรัชญา ทฤษฎี หลกั การ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ โดย
มีการจดั กระบวนการ หรือข้นั ตอนในการเรียนการสอน โดยอาศยั วธิ ีสอน และเทคนิคการสอน
เขา้ มาช่วย ทาให้สภาพการเรียนการสอนน้ันเป็ นไปตามหลกั การที่ยึดถือ ซ่ึงไดร้ ับการพิสูจน์
ทดสอบ หรือยอมรับ วา่ มีประสิทธิภาพสามารถใชเ้ ป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุ
วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะของรูปแบบน้ันๆ ซ่ึงแต่ละรูปแบบมีวตั ถุประสงคท์ ่ีแตกต่างกนั กล่าวคือ
เป็ นรู ปแบบการเรี ยนการสอนที่ เน้นการพัฒนาด้านพุทธิ พิสัย ( cognitive domain)
การพฒั นาด้านจิตพิสัย (affective domain) การพฒั นาด้านทกั ษะพิสัย (psychomotor domain)
การพฒั นาดา้ นทกั ษะกระบวนการ (process skills) หรือ การบูรณาการ (integration) ท้งั น้ีรูปแบบ
ดงั กล่าวลว้ นเป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีมีลกั ษณะเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั
(ทิศนา แขมมณี, 2553, หนา้ 97)

1.2 การจดั รูปแบบการเรียนการสอน
รู ปแบบการเรี ยนการสอน (Teaching Learning Model) หรื อระบบการสอน คือ
โครงสร้างองคป์ ระกอบการดาเนินการสอน ท่ีไดร้ ับการจดั เป็ นระบบสัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกบั
ทฤษฏี หลักการเรี ยนรู้ หรื อการสอนท่ีรู ปแบบน้ันยึดถือ และได้รับการพิสูจน์ทดสอบ
วา่ มี ประสิทธิภาพ สามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบน้นั ๆ

11

โดยท่ัวไปแบบแผนการดาเนินการสอนดังกล่าว มักประกอบด้วยทฤษฏีหลักการท่ี
รูปแบบน้ันยึดถือ และกระบวนการสอนท่ีมีลกั ษณะเฉพาะ อนั จะนาผูเ้ รียนไปสู่จุดมุ่งหมาย
เฉพาะรู ปแบบน้ันกาหนด ซ่ึ งผู้สอนสามารถนาไปใช้เป็ นแบบแผน หรื อแบบอย่าง
ในการจัด และดาเนินการสอนอื่นๆ ท่ีมีจุดมุ่งหมายเฉพาะเช่นเดียวกันได้ โดยรูปแบบ
การจดั การเรียนการสอนท่ีใช้กันแพร่หลายมีจานวนมาก แต่ละรูปแบบมีวตั ถุประสงค์เพื่อ
พฒั นาผูเ้ รียนตามจุดเน้นด้วยข้ันตอน วิธีการ องค์ประกอบท่ีแตกต่างกันไป บางรูปแบบ
ใช้ได้ในวงกว้าง บางรูปแบบจะใช้เจาะจงในวงแคบเฉพาะส่วน ผูใ้ ช้ควรศึกษาพิจารณา
เลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั มาตรฐานการเรียนรู้ตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ซ่ึงมีรูปแบบ
การสอน ดงั ต่อไปน้ี
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เนน้ การพฒั นาดา้ นพทุ ธพิสยั
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เนน้ การพฒั นาดา้ นทกั ษะพิสัย
3. รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ การพฒั นาดา้ นกระบวนการคิด
4. รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ การบูรณาการ

การจดั การเรียนการสอนตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2544 เน้นผูเ้ รียน
เป็นสาคญั ไดแ้ ก่ การคานึงถึงการเรียนรู้ของผเู้ รียนสาคญั ท่ีสุด ทาอยา่ งไรจะทาใหผ้ เู้ รียนทุกคน
เกิดการเรียนรู้สูงสุด ตามศกั ยภาพของแต่ละคน จึงตอ้ งมีการศึกษาวิเคราะห์ผเู้ รียน เน้ือหา เวลา
ส่ือ และปัจจยั อ่ืน ๆ เพื่อนามาใช้วางแผนการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสม เอ้ือต่อการเรียนรู้
ของผูเ้ รียนมากท่ีสุด จุดหมายของหลกั สูตรตอ้ งการพฒั นานกั เรียนอยา่ งสมดุลท้งั ดา้ นร่างกาย
สติปัญญา จิตใจ ผา่ นโครงสร้างกลุ่ม สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ปัญญา 8 ดา้ น
ของมนุษยใ์ นแต่ละกลุ่มสาระ ซ่ึงควรจะไดร้ ับการพฒั นา ความรู้ ทกั ษะ จิตพิสัย ท้งั สามดา้ น
จุดเนน้ มากนอ้ ยตามธรรมชาติวิชา และวยั ของเดก็ (ทิศนา แขมมณี, 2553, หนา้ 16)

12

2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
2.1 ความหมายของการเรียนรู้ด้วยตนเอง

นกั วชิ าการทางการศึกษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองไวด้ งั น้ี
เพญ็ สุข ภู่ตระกูล ไดก้ ล่าวถึง ความหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองว่า เป็ นกิจกรรม
การเรียนการสอน ซ่ึงจดั ข้ึนโดยเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนกาหนดวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ ตลอดจน
วิธีการบรรลุถึงวตั ถุประสงคด์ ว้ ยตนเอง กิจกรรมที่จดั ข้ึนมุ่งให้ผูเ้ รียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
โดยครูเป็ นผูแ้ นะนา และจดั เตรียมอุปกรณ์ สถานท่ีศึกษาคน้ ควา้ ท้งั น้ีการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
ทาให้ผู้เรี ยนได้เรี ยน และทางานท่ีใจรักก่อให้เกิดแรงกระตุ้นในการเรี ยน ผู้เรี ยนจะ
เกิดการพัฒนาอย่างค่อยเป็ นค่อยไป และเกิดการปรับปรุ งแก้ไขตนเองจนสามารถ
ศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ไดด้ ว้ ยตนเองในที่สุด
พชั รี พลาวงศ์ ไดก้ ล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองว่า เป็ นวิธีการเรียนรู้
รูปแบบหน่ึง ท่ีมีโครงสร้างอย่างเป็ นระบบ สามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการของผูเ้ รียน
ได้การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยให้ผูเ้ รียนมีอิสระในการเลือกเรียนตามเวลา สถานที่ และ
ระยะเวลาการเรียนแต่ละบทของเน้ือหาในบทเรียน โดยจะตอ้ งอยภู่ ายใตข้ อ้ จากดั ของโครงสร้าง
ของบทเรียนน้นั ๆ ซ่ึงจะมีวธิ ีเรียนท่ีช้ีแนะไวใ้ นคูม่ ือการเรียน (Study Guide)
วิไล องคธ์ นะสุข ไดก้ ล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองวา่ เป็นรูปแบบหน่ึง
ของการเรียนการสอน โดยเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนสามารถเลือกเรียน หรือเรียนตามความสามารถ
ความสนใจของตนเอง โดยคานึงถึงหลกั ความแตกต่างระหว่างบุคคล ไดแ้ ก่ ความแตกต่าง
ในดา้ นความสามารถทางสติปัญญา ความตอ้ งการ และความสนใจในการเรียนรู้ดา้ นร่างกาย
อารมณ์ และสังคมโดยการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นการประยุกต์ร่วมกนั ระหว่างเทคนิค และ
ส่ือการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
สมบัติ สุวรรณพิทักษ์ กล่าวว่าการเรี ยนรู้ด้วยตนเองคือ กระบวนการเรี ยนรู้
ดว้ ยตนเองเป็ นหลกั โดยไดร้ ับการช่วยเหลือ และสนับสนุนจากผูอ้ ื่น เช่น เพื่อน ครู และผูร้ ู้
เท่าท่ีจาเป็น การเรียนรู้ดว้ ยตนเองในท่ีน้ี ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั ดงั น้ี
1. วเิ คราะห์และกาหนดความตอ้ งการของตนเอง
2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน

13

3. การหาแหล่งวทิ ยาการและกิจกรรมการเรียน
4. การเลือกวธิ ีการและกิจกรรมการเรียน
5. การกาหนดวธิ ีการประเมินผลการเรียน

กาเย่ (Gagne) ได้ให้นิยามความหมายของการเรี ยนรู้ด้วยตนเองว่า เป็ นการ
เปลี่ยนแปลงสมรรถภาพ (Capability) หรือความสามารถของมนุษย์ ซ่ึงสามารถสังเกตไดจ้ าก
พฤติ กรรมบางประการท่ี แสดงออก ซ่ึ งการเปลี่ ยนแปลงน้ี เกิ ดจากการท่ี มนุ ษย์
ไดร้ ับประสบการณ์จากสภาพการเรียนรู้ในระยะเวลาหน่ึง

กริฟฟิ น (Griffin) อธิบายวา่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้
เฉพาะของบุคคลใดบุคคลหน่ึง โดยมีเป้าหมายไปสู่การพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ของตนเอง และ
ความสามารถในการวางแผนปฏิบตั ิ หรือคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง เป็นตน้

โนลส์ (Knowles)อไดก้ ล่าวถึงการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-directed learning) ว่าเป็ น
กระบวนการเรียน ซ่ึงผูเ้ รียนแต่ละคนมีความคิดริเร่ิมด้วยตนเอง โดยอาศยั ความช่วยเหลือ
จากผูอ้ ื่น หรือไม่อาศยั ก็ได้ ผูเ้ รียนจัดทาการวิเคราะห์ความต้องการที่จะเรียนรู้ของตนเอง
กาหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ แยกแยะ แจกแจงแหล่งขอ้ มูลในการเรียนรู้ ท้งั ที่เป็ นคน หรือ
อุปกรณ์ คดั เลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม และประเมินผลจากการเรียนรู้น้ัน ๆ ดว้ ยตนเอง
เป็นการเรียนที่เกิดจากความสมคั รใจของผเู้ รียนไม่ใช่การบงั คบั เรียน

ทฟั (Tough) ผูท้ ี่ทาการศึกษาเร่ืองน้ีอย่างจริงจงั ได้กาหนดค่าเปรียบเทียบในการ
จัดปริ มาณการเรี ยนรู้ด้วยตนเองออกเป็ น โครงการเรี ยน (Learning project)โดยกาหนด
ค่าเปรียบเทียบวา่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองเรื่องใดเรื่องหน่ึง ที่ใชเ้ วลารวมกนั ต้งั แต่ 7 ชว่ั โมงข้ึนไป
ถือเป็ นหน่ึงโครงการเรี ยน และเม่ือผู้เรี ยนได้ใช้กระบวนการเรี ยนรู้ด้วยตนเองแล้ว
ควรจะไดร้ ับความรู้ เกิดเจตคติ ทกั ษะ หรือความสามารถที่ก่อใหเ้ กิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง
อนั เป็ นผลมาจากการเรียนรู้น้ัน ๆ ท้งั น้ีการเรียนรู้ดว้ ยตนเองอาจจะเกิดไดจ้ ากการใชบ้ ทเรียน
สาเร็จรูปโดยการศึกษาด้วยตนเอง เช่น การอ่านหนังสือเอง คิดเอง ทดลอง ปฏิบัติ หรือ
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง เป็นตน้

14

บรูคฟิ ลด์ (Brookfield) กล่าวว่าการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง หมายถึง การเป็ นตวั ของตวั เอง
ควบคุมการเรียนรู้ดว้ ยตนเองมีความเป็ นอิสระโดยอาศยั ความช่วยเหลือจากแหล่งภายนอก
นอ้ ยท่ีสุด

สเคเจอร์ (Skager) ไดอ้ ธิบายว่า การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นการพฒั นาการเรียนรู้และ
ประสบการณ์ ตลอดจนความสามารถในการวางแผนการปฏิบัติ และการประเมินผล
ของกิจกรรมการเรียน ท้งั ในลกั ษณะท่ีเป็นเฉพาะบุคคล และในฐานะท่ีเป็ นสมาชิกของกลุ่มการ
เรียนท่ีร่วมมือกนั

สรุปความหมายของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง คือ รูปแบบหน่ึงของการเรียนการสอน
ท่ีสนองต่อความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ในดา้ นความตอ้ งการการเรียนรู้ ความสนใจ ความถนดั
ระดบั การเรียนรู้ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ร่างกาย หรือแมแ้ ต่จิตใจของผูเ้ รียน ท่ีเปิ ดโอกาส
ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ลือกเรียนรู้ตามความตอ้ งการ และความเหมาะสมกบั ตนเองท้งั ในดา้ นเวลา สถานท่ี
และระยะในการเรียนรู้ ให้เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่อเน้ือหาสาระที่ตนสนใจศึกษา
จนสามารถนาวิธี การ หรื อกระบวนการในก ารศึกษาหาความรู้ดังกล่าวไปใช้ใน
การศึกษาเน้ือหาวชิ าอื่น ๆ ต่อไป (สิริรัตน์ สมั พนั ธ์ยทุ ธ, 2540, หนา้ 8)

2.2 ลกั ษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
นกั วชิ าการหลายท่านไดก้ ล่าวถึงการเรียนรู้ดว้ ยตนเองซ่ึงควรมีลกั ษณะดงั น้ี
1. ต้องจัดแผนการเรี ยนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถ และความสนใจ
ของนกั เรียน เช่น จดั แบบเร่งรัดสาหรับผเู้ รียนเก่ง จดั แบบสอบซ่อมเสริมสาหรับผเู้ รียนออ่ น
2. ตอ้ งจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน เพ่ือสนองต่อความตอ้ งการของผูเ้ รียน เช่น
การมอบหมายงานตามระดบั ความสามารถ หรือผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียน
3. ตอ้ งใชส้ ่ือประกอบการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม กบั ระดบั ความสามารถในการเรียนรู้
ของผเู้ รียน
4. ต้องมีการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซ่ึงควรกาหนด หรือจัดสร้างแบบประเมิน
ใหเ้ หมาะสมกบั รายวชิ า หรือเน้ือหา และระดบั การเรียนรู้ของผเู้ รียน

15

เสาวนีย์ สิกขาบณั ฑิต ไดก้ ล่าวถึงรูปแบบของบทเรียนโมดูล (Instructional Module)
เป็นสื่อการเรียนรู้ที่สนองต่อลกั ษณะของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงมีลกั ษณะ ดงั น้ี
1. ให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยตนเอง คือ ผูเ้ รียนสามารถเรียนให้บรรลุวตั ถุประสงคไ์ ดด้ ว้ ยตนเอง
โดยมีครูใหค้ าแนะนา หรือปรึกษาเท่าน้นั
2. วตั ถุประสงค์ และกิจกรรมการเรียนควรจะจดั ให้มีลกั ษณะที่ดี เพื่อให้ผูเ้ รียนสามารถเรียน
ดว้ ยความเขา้ ใจ เกิดความรู้ตามลาดบั ไม่สบั สน เป็นการเพ่ิมพนู ความรู้ตามลาดบั ข้นั
3. จูงใจผู้เรี ยนในทุกๆ กิจกรรมการเรี ยน ซ่ึงจะทาให้ผู้เรี ยนสนใจด้วยความใฝ่ รู้ ซ่ึงจะ
เป็นผลใหก้ ารเรียนน้นั มีความหมายมากข้ึนสาหรับผเู้ รียน
4. ภาษาตอ้ งมีความชดั เจน ถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั ระดบั ความรู้ของผเู้ รียน
5. เน้ือหาตอ้ งมีความถูกตอ้ ง คาอธิบายชดั เจน
6. ผูเ้ รียนได้มีการพฒั นาการหลายๆ ด้านในเน้ือหาของบทเรียนบางเรื่ อง บางตอน หรือ
บางบทบาท อาจจะมีความจาเป็ นตอ้ งให้ผูเ้ รียนไดม้ ีการพฒั นาดา้ นเจตคติ ความซาบซ้ึง และ
เห็นคุณคา่ นอกเหนือจากความรู้และทกั ษะจากบทเรียน

สมคิด อิสระวฒั น์ ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของผเู้ รียนในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ี
1. ผูเ้ รียนมีความสมคั รใจในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ผูเ้ รียนเรียนเพราะความสนใจ ความอยากรู้
ไม่ใช่เรียนเพราะถูกบงั คบั หรือจาใจ
2. การเรียนดว้ ยตนเอง ผูเ้ รียนตอ้ งหาขอ้ มูลของตนเอง (Self-resourceful) คือ ผูเ้ รียนสามารถ
บอกได้ว่าส่ิงที่ตนจะเรียนรู้คืออะไร รู้ว่าทักษะและข้อมูลท่ีต้องการ หรื อจาเป็ นต้องใช้
ในการเรียนมีอะไรบ้าง สามารถกาหนดเป้าหมาย วิธีการรวบรวมข้อมูล และวิธีประเมิน
ผลการเรียนได้ ผูเ้ รียนตอ้ งเป็ นผูจ้ ดั การเปล่ียนแปลงต่างๆ ดว้ ยตนเอง (Manager of Change)
ผูเ้ รียนต้องตระหนักในความสามารถด้านการตัดสินใจ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และ
บทบาทในการเป็นผเู้ รียนที่ดี
3. ผู้เรี ยนต้องรู้ “วิธีการที่จะเรี ยน” (Know How To Learn) ผู้เรี ยนต้องทราบข้ันตอนของ
การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง รู้วา่ จะเรียนใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคไ์ ดอ้ ยา่ งไร

สเคเจอร์ (Skager) ไดอ้ ธิบายลกั ษณะของผเู้ รียนในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ี
1. ผเู้ รียนตอ้ งยอมรับตนเอง หรือมีทศั นะคติในทางบวก

16

2. ผูเ้ รียนตอ้ งมีความสามารถในการวางแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงตอ้ งรู้ถึงความตอ้ งการ
ในการเรียนของตนเอง กาหนดจุดมุ่งหมายที่เหมาะสม และรู้แผนงานท่ีมีประสิทธิภาพ
เพอ่ื บรรลุวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนด
3. ผเู้ รียนมีแรงจูงใจภายใน
4. ผเู้ รียนสามารถประเมินผลการเรียนตนเอง
5. ผเู้ รียนตอ้ งเปิ ดกวา้ งต่อประสบการณ์
6. ผเู้ รียนตอ้ งมีการยดื หยนุ่ ในการเรียนรู้

สรุ ปลักษณะของการเรี ยนรู้ด้วยตนเองประกอบด้วย ลักษณะกระบวนการ
จดั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ลกั ษณะของส่ือสาหรับการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และลกั ษณะของผูเ้ รียน
ในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ตอ้ งเป็ นไปในแนวทางเดียวกนั คือ ในการจดั การเรียนการสอนผเู้ รียน
ตอ้ งเป็ นผูศ้ ึกษาหาความรู้ไดจ้ ากส่ือการเรียนรู้ต่างๆ ไดอ้ ย่างอิสระ มีเน้ือหาสาระในแต่ละวิชา
อย่างครบถว้ น เขา้ ใจง่าย ผูเ้ รียนสามารถเรียนรู้ไดอ้ ย่างเป็ นระบบเป็ นข้นั ตอน ส่ือมีการจูงใจ
หรื อเร้าความสนใจให้ผู้เรี ยน สามารถประสบผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยน สาหรับผู้เรี ยน
ในกระบวนการเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ต้องมีความคิดเปิ ดกว้าง มีแรงขับภายในการเรี ยนรู้
ชอบใฝ่ หาความรู้ดว้ ยความสนใจ หรือตามความถนดั ของตนเอง ยอมรับผลการเรียนของตนเอง
และมีความกระตือรือร้นในการพฒั นาตนเอง (สิริรัตน์ สมั พนั ธ์ยทุ ธ, 2540, หนา้ 53)

2.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้ดว้ ยตนเองมีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ดงั น้ี
โนลล์ (Knowles) ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองไวด้ งั น้ี
1. การวิเคราะห์ความตอ้ งการของตนเอง เร่ิมจากการให้ผูเ้ รียนแต่ละคนบอกความตอ้ งการ
และความสนใจพิเศษของตนเองในการเรียน ให้เพื่อนอีกคนหน่ึงทาหน้าที่เป็ นผูใ้ นคาปรึกษา
หรือคาแนะนา และเพ่ือนอีกคนหน่ึงทาหน้าท่ีจดบนั ทึก กระทาเช่นน้ีหมุนเวียนไปจนครบ
ท้งั 3 คน ได้แสดงบทบาทครบท้งั 3 ด้าน คือ ผูน้ าเสนอความตอ้ งการ ผูใ้ ห้คาปรึกษา และ
ผจู้ ดบนั ทึกสงั เกตการณ์ การเรียนรู้บทบาทดงั กล่าวใหป้ ระโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ในการเรียนร่วมกนั และ
ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ในทุก ๆ ดา้ น

17

2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน โดยเร่ิมตน้ จากบทบาทของผเู้ รียนเป็นสาคญั ดงั น้ี
2.1 ผเู้ รียนควรศึกษาจุดมุ่งหมายของวชิ า และริเร่ิมกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน
2.2 ผเู้ รียนควรเขียนจุดมุ่งหมายใหช้ ดั เจน เขา้ ใจง่าย ไม่คลุมเครือ
2.3 ผเู้ รียนควรเนน้ ถึงพฤติกรรมท่ีคาดหวงั
2.4 ผเู้ รียนควรกาหนดจุดมุ่งหมายท่ีสามารถวดั ได้
2.5 การกาหนดจุดมุ่งหมายของผเู้ รียนในแต่ละระดบั มีความแตกต่างอยา่ งชดั เจน

3. การวางแผนการเรียน โดยให้ผูเ้ รียนกาหนดวตั ถุประสงค์ของวิชา ผูเ้ รียนควรวางแผน
จดั กิจกรรมตามลาดบั ดงั น้ี

3.1 ผเู้ รียนจะตอ้ งเป็นผกู้ าหนดเกี่ยวกบั การวางแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
3.2 การวางแผนการเรียนรู้ของผูเ้ รียน ควรเริ่มตน้ จากการกาหนดจุดมุ่งหมายในการ
เรียนดว้ ยตนเอง
3.3 ผูเ้ รียนเป็ นผูจ้ ดั เน้ือหาให้เหมาะสมกบั สภาพความตอ้ งการ และความสนใจของ
ผเู้ รียน
3.4 ผเู้ รียนเป็นผรู้ ะบุวธิ ีการเรียน เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั ตนเองมากท่ีสุด
4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการ เป็ นกระบวนการศึกษาคน้ ควา้ ท่ีมีความสาคญั ต่อการศึกษา
ในปัจจุบนั อยา่ งมาก ดงั น้ี
4.1 ประสบการณ์การเรียนแต่ละดา้ น ท่ีจดั ให้ผูเ้ รียนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย
และความสาเร็จของประสบการณ์น้นั
4.2 แหล่งวทิ ยาการ เช่น หอ้ งสมุด วดั ถูกนามาใชอ้ ยา่ งเหมาะสม
4.3 เลือกแหล่งวทิ ยาการใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียนแต่ละคน
4.4 มีการจดั สรรอย่างดี เหมาะสมกบั กิจกรรม ผูเ้ รียนจะตอ้ งเป็ นผูจ้ ดั เองตามลาพงั
และบางส่วนเป็นกิจกรรมท่ีจดั ร่วมกนั ระหวา่ งครูกบั ผเู้ รียน
5. การประเมินผล เป็ นข้ันตอนสาคัญในการเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรี ยนทราบถึง
ความก้าวหน้าในการเรี ยนของตนเองเป็ นอย่างดี การประเมินผลจะต้องสอดคล้องกับ
วตั ถุประสงค์ โดยทวั่ ไปจะเก่ียวกบั ความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ ทศั นคติ และค่านิยม ซ่ึงข้นั ตอน
ในการประเมินผลมีดงั น้ี

18

5.1 กาหนดเป้าหมาย วตั ถุประสงคใ์ หแ้ น่ชดั
5.2 ดาเนินการทุกอย่าง เพ่ือให้บรรลุประสงค์ที่วางไว้ ข้ันตอนน้ีสาคัญในการ
ใชป้ ระเมินการผลการเรียนการสอน
5.3 รวบรวมหลกั ฐาน การตดั สินใจจากการประเมินจะตอ้ งอยูบ่ นพ้ืนฐานของขอ้ มูล
ที่สมบูรณ์ และเช่ือถือได้
5.4 รวบรวมขอ้ มูลก่อนเรียน เพือ่ เปรียบเทียบกบั หลงั เรียนวา่ ผเู้ รียนกา้ วหนา้ เพยี งใด
5.5 แหล่งขอ้ มูล จะหาแหล่งขอ้ มูลจากครูและผเู้ รียนเป็นหลกั ในการประเมินผล
(สิริรัตน์ สมั พนั ธ์ยทุ ธ, 2540, หนา้ 92)

2.4 วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรี ยนรู้ด้วยตนเองจะยึดหลักปรัชญาทางการศึกษา และอาศัยพ้ืนฐานจาก
ทฤษฎีจิตวทิ ยาพฒั นาการ และจิตวิทยาการเรียนรู้
เสาวนีย์ สิกขาบณั ฑิต ไดน้ ิยามวตั ถุประสงคใ์ นการจดั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ี
1. มุ่งสนับสนุนให้ผูเ้ รียน รู้จักรับผิดชอบในการเรียนรู้ สามารถแก้ปัญหา และตัดสินใจ
ดว้ ยตนเอง โดยการสอนรายบุคคลจะตอ้ งสอดคลอ้ ง และส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต รวมถึง
การศึกษานอกโรงเรียนซ่ึงสนบั สนุนใหผ้ เู้ รียนแสวงหา ใฝ่ เรียนรู้ในส่ิงท่ีเป็นประโยชนต์ ่อตนเอง
และสงั คม มีความรับผิดชอบ รวมถึงพฒั นาความคิดสร้างสรรค์
2. สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของผูเ้ รียน ให้ไดเ้ รียนบรรลุผล ซ่ึงการสอนรายบุคคล
สนับสนุนแนวคิด คือ คนย่อมมีความแตกต่างกนั ทุกคน อาทิ ดา้ นบุคลิกภาพ สติปัญญา หรือ
ความสนใจ โดยเฉพาะความแตกต่างที่มีผลต่อการเรียนรู้ที่สาคญั 4 ประการ คือ
2.1 ความแตกต่างในเร่ื องอัตราเร็วของการเรี ยนรู้ ผู้เรี ยนแต่ละคนจะใช้เวลา
ในการเรียนรู้ และความเขา้ ใจในส่ิงเดียวกนั ในเวลาที่ต่างกนั
2.2 ความแตกต่างในเรื่องความสามารถ เช่น ความฉลาด ไหวพริบ ความสามารถพิเศษ
2.3 ความแตกต่างในเร่ืองวธิ ีการเรียน ผเู้ รียนจะเรียนรู้ในวถิ ีทางท่ีแตกต่างกนั
2.4 ความแตกต่างในเร่ืองความสนใจ และสิ่งที่ชอบ

19

3. เน้นเสรีภาพในการเรียนรู้ ผูเ้ รียนที่เรียนด้วยความสนใจ ใคร่รู้ จะมีความกระตือรือร้น
ท่ีเกิดข้ึนเอง จะเกิดแรงจูงใจกระตุน้ ให้พฒั นาการเรียนรู้โดยท่ีครูไม่ตอ้ งทาโทษ หรือให้รางวลั
ผูเ้ รียนจะรู้จักตนเอง และมีความมั่นใจในการก้าวไปข้างหน้าตามขีดความสามารถ และ
ความพร้อมของตน
4. ข้ึนอยกู่ บั กระบวนการ และวิธีการที่เสนอความรู้น้นั ให้แก่ผเู้ รียน ซ่ึงการเรียนรู้จะเกิดข้ึนเร็ว
หรื อช้า และจะเกิดข้ึนอยู่กับผู้เรี ยนได้นานหรื อไม่ นอกจากจะข้ึนอยู่กับความสามารถ
ความสนใจแลว้ ยงั ข้ึนอยกู่ บั กระบวนการ หรือวิธีการที่เสนอความรู้น้นั แก่ผเู้ รียน เมื่อเป็ นเช่นน้ี
การกาหนดให้เรี ยนรู้ในระยะเวลาหน่ึงด้วยวิธีการเดียวจึงไม่เป็ นการยุติธรรมแก่ผูเ้ รียน
ท้ังน้ีผู้เรียนควรจะได้กาหนดเวลาเรี ยนด้วยตนเอง มีโอกาสเรียนรู้ หรือมีประสบการณ์
ในการเรียนดว้ ยกระบวนการ และวธิ ีต่าง ๆ
5. มุ่งแก้ปัญหาความยากง่ายของบทเรี ยน เป็ นการตอบสนองที่ว่าการศึกษาควรมีระดับ
ความแตกต่างกันไปตามความยากง่าย หากบทเรียนน้ันง่ายควรทาให้บทเรียนน้ันส้ันข้ึน
หากยากมากกจ็ ดั ยอ่ ยเน้ือหาออกเป็นส่วน ๆ รวมกบั ส่ือที่ทาใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายข้ึน
(วีระ ไทยพานิช, 2529, หนา้ 56)

นอกจากน้ีกาเย่และบริกส์ (Gagne and Briggs) ได้กล่าวถึงการศึกษารายบุคคลว่า
เป็ นการสอนท่ีจัดข้ึน เพ่ือเป็ นแนวทางในการเรียนการสอนรายบุคคล บรรลุจุดมุ่งหมาย
ตามความตอ้ งการ และบุคลิกภาพของผูเ้ รียนแต่ละคน ซ่ึงการสอนแบบน้ีมีจุดมุ่งหมายสาคญั
5 ประการไดแ้ ก่

5.1 เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินทกั ษะท่ีมีอยกู่ ่อนของผเู้ รียน
5.2 เพื่อช่วยในการค้นหาจุดเริ่ มต้นของผูเ้ รียนแต่ละคน ในการลาดับการเรียน
ตามจุดมุ่งหมายที่ต้งั ไว้
5.3 เพ่ือช่วยในการจดั ซ้ือใหเ้ หมาะสมกบั การเรียน
5.4 เพื่อช่วยให้ผู้เรี ยนสามารถเรี ยนรู้ได้ตามอัตราความสามารถของตนเอง
โดยไม่จาเป็นตอ้ งรอซ่ึงกนั และกนั ระหวา่ งผเู้ รียนในกลุ่ม
5.5 เพ่ือสะดวกต่อการประเมินผลได้บ่อยคร้ังเท่าที่ต้องการ และเป็ นการส่งเสริม
ความกา้ วหนา้ ของผเู้ รียนแต่ละคน (สิริรัตน์ สมั พนั ธ์ยทุ ธ, 2540, หนา้ 127)

20

2.5 ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
นกั วชิ าการหลายท่านไดก้ ล่าวถึงประโยชนข์ องการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ี
ไชยยศ เรืองสุวรรณ กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองดงั น้ี
1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้เกิดการจัดหลักสูตร หรือรายวิชาการเรียนรู้อย่างถูกต้อง
และเป็ นระบบ
2. การเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้เกิดการจัดระบบการวดั ผลระดับความรู้ที่จะเรี ยน หรื อ
การสอบก่อนเรียน และการทดสอบหลงั เรียนรู้
3. การเรียนรู้ดว้ ยตนเองเอ้ือประโยชน์ดา้ นบุคลิกภาพใหแ้ ก่ผเู้ รียน
4. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มีกระบวนการสอนเหมาะสมกบั บุคคลหลากหลายลกั ษณะ
5. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทาใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสในการเขา้ ร่วมกิจกรรมไดต้ ามความสนใจ
6. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทาให้ผูเ้ รียนรับขอ้ มูลยอ้ นกลบั ของการเรียนโดยทนั ที เพื่อส่งเสริม
ใหผ้ เู้ รียนเกิดความสนใจในการหาความรู้เพม่ิ เติม
7. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทาใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับการเสริมแรงตลอดเวลา
8. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็นการเรียนการสอนที่เป็นข้นั ตอน

วีระ ไทยพานิช กล่าวถึงประโยชนข์ องการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ี
1. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้ไดต้ ามความสามารถ ความสนใจ และ
ความถนดั ของตนเอง
2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นกระบวนการจดั การเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อความแตกต่าง
ระหวา่ งบุคคล
3. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ช่วยให้ผูเ้ รียนมีอิสระทางการเรียนมากกว่าการสอนแบบปกติ ท่ีมีครู
เป็นผสู้ อน
4. การเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้ครู มีเวลาที่จะทางาน หรื อภารกิจอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้องกับ
การศึกษามากข้ึนโดยเฉพาะการใหค้ วามสาคญั กบั ผเู้ รียนรายบุคคล

สรุ ปการเรี ยนรู้ด้วยตนเองมีประโยชน์ต่อผู้เรี ยน ผู้สอน และกระบวนการ
จดั การเรียนการสอน สาหรับผูเ้ รียนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยตอบสนองต่อความแตกต่าง
ทางดา้ นความสามารถ ความสนใจ สาหรับผูส้ อนการเรียนรู้ดว้ ยตนเองช่วยให้ผูส้ อนมีเวลา

21

ในการปฏิบตั ิภารกิจดา้ นการศึกษาอ่ืน ๆ มากข้ึน นอกจากน้ีกระบวนการจดั การเรียนการสอน
รูปแบบเรียนรู้ดว้ ยตนเองช่วยให้เกิดการออกแบบ และพฒั นาส่ือการเรียนการสอน ที่สนองต่อ
ความแตกต่างระหว่างบุคคล นาไปสู่การจดั ระบบการเรียนการสอน และสาระวิชาต่าง ๆ เพื่อ
ให้ผูเ้ รียนสามารถค้นควา้ หรือศึกษาได้ง่าย ท้ังยงั เป็ นการเพ่ิมระเบียบวิธีการจัดการเรียน
การสอนที่ช่วยใหผ้ เู้ รียน และผสู้ อนมีวธิ ีการเรียนการสอนเพิ่มมากข้ึนอยา่ งมีประสิทธิภาพ
(วาณี ฐาปนวงศศ์ านต,์ 2535, หนา้ 216)

3. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ทนี่ ามาสนับสนุนการเรียนรู้รูปแบบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
3.1 ทฤษฎกี ารเรียนรู้แนวมนุษย์นิยม (Humanism)
ทฤษฎีมนุษย์นิยมมีวิวฒั นาการมาจากทฤษฎีกลุ่มที่เน้นการพฒั นาตามธรรมชาติ

แต่จะมีความเป็นวทิ ยาศาสตร์มากยง่ิ ข้ึน คือเป็นกระบวนการมากยงิ่ ข้ึน
ลกั ษณะสาคญั

นกั ทฤษฎีกลุ่มน้ีเชื่อว่ามนุษยม์ ีอิสระท่ีจะเรียนรู้ในสภาพแวดลอ้ มที่ดี จากการสนบั สนุน
หรือส่งเสริมของผูส้ อน ผูน้ าความคิดที่สาคญั ได้แก่ Rogers และ Maslow Rogers ได้พฒั นา
แนวคิดแห่งการเรียนรู้ตามทฤษฎีมนุษยน์ ิยม วา่ จะเรียนไดด้ ีในบรรยากาศ หรือสภาพแวดลอ้ ม
ที่สบาย (Comfortable) ไม่มีการคุกคาม (Threatened) จากองค์ประกอบภายนอก ส่วนผูส้ อน
ทาหนา้ ที่อานวยความสะดวก (Facilitator)

หลกั การ หรือความเชื่อของทฤษฎี คือ
1. มนุษยม์ ีธรรมชาติแห่งความกระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้
2. มนุษยม์ ีสิทธิในการต่อตา้ น หรือไม่พอใจในผลที่เกิดข้ึนจากสิ่งต่าง ๆ แมส้ ิ่งน้ันจะไดร้ ับ
การยอมรับวา่ จริง
3. การเรียนรู้ที่สาคญั ท่ีสุดของมนุษย์ คือการที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด หรือมโนทศั น์
ของตนเอง

Maslow ไดพ้ ฒั นาแนวคิดทฤษฎีมนุษยน์ ิยมจากความเชื่อท่ีว่า มนุษยไ์ ม่ไดต้ อ้ งการ
เรี ยนรู้เน่ืองมาจากส่ิงเร้าภายนอก หรื อไม่ได้ต้องการเรี ยนรู้เน่ืองมาจากสัญชาติญาณ
ของจิตไร้สานึก แต่มนุษยต์ อ้ งการที่เรียนรู้เพอ่ื กา้ วไปสู่การเป็นคนที่สมบูรณ์ (Fully Functioning

22

Person) ซ่ึง Maslow ใช้คาว่า Self-actualizing Person Maslow ไดพ้ ฒั นาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกบั
ลาดบั ข้นั ตอนของความตอ้ งการของมนุษยไ์ ว้ 5 ข้นั คือ
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological needs) คือ ความต้องการในการดารงชีวิต
เช่น ความตอ้ งการอาหาร อากาศ น้า และอุณหภูมิ เป็นตน้
2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Need) คือ ความต้องการที่จะมีความม่ันคง หรื อ
ปลอดภยั ในชีวิต
3. ความต้องการความรัก ความชอบ และการเป็ นเจ้าของ (Need of Love, Affection and
Belongingness)
4.ความต้องการความภาคภูมิใจ (Need for Esteem) คือ ความต้องการที่จะมีความภาคภูมิใจ
ในตนเอง และความภาคภูมิใจท่ีจะไดร้ ับจากผอู้ ่ืนดว้ ยการเคารพตนเอง รวมถึงไดร้ ับความเคารพ
จากผอู้ ่ืน
5. ความตอ้ งการเป็ นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์ (Need for Self-Actualization) คือ ความตอ้ งการท่ีจะเป็ น
(Be) หรือ ทา (Do) ในส่ิงท่ีบุคคลเกิดมาใหส้ มบูรณ์ หรือไปถึงจุดสูงสุด

ส่วนของ Chapman มีหลกั การคลา้ ยๆ กนั กบั Maslow แต่ไดอ้ ธิบายเพิ่มข้ึนมา คือ
- ข้นั ที่ 5 ความตอ้ งการทางสติปัญญา (Cognitive Need) คือ ความตอ้ งการในการเรียนรู้

และสามารถในการตีความหมาย
- ข้ันท่ี 6 ความต้องการทางสุ นทรี ยภาพ (Aesthetic Needs) คือ ความต้องการ

ความซาบซ้ึงใจในความงาน ความสมดุล และความสมบูรณ์แบบ
- ข้นั ที่ 7 ความตอ้ งการในการเป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์
- ข้ันท่ี 8 ความต้องการในการเป็ นมนุษย์เหนือมนุษย์ (Transcendence Needs) คือ

ความตอ้ งการที่เป็นผชู้ ่วยเหลือผอู้ ื่นใหพ้ ฒั นาไปถึงขีดสูงสุด และเป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์
การประยกุ ต์ใช้ครูผู้สอน

1. ผสู้ อนควรเป็นคนใจกวา้ ง ไม่ยดึ ติดกบั ความคิด หรือความเชื่อของตนเอง
2. ผสู้ อนควรรับฟังผเู้ รียนมากยง่ิ ข้ึน โดยเฉพาะเร่ืองเก่ียวกบั ความรู้สึก
3. ใหค้ วามสาคญั กบั ผเู้ รียนเท่ากบั ความสาคญั ของเน้ือหาท่ีนามาสอน
4. ยนิ ดีรับฟังขอ้ เสนอแนะท้งั ทางบวก และทางลบ

23

5. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนมีความรับผดิ ชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง
6. จดั การเรียน กิจกรรม สื่อการเรียนการสอนใหห้ ลากหลาย
7. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจวา่ การประเมินผลท่ีมีคุณค่า คือการประเมินตนเองของผเู้ รียน

การประยุกต์ในการจดั การเรียนรู้
1. ควรจดั การเรียนตามสภาพจริง หรือสภาพท่ีแตกต่างกนั ของแต่ละบุคคล
2. ควรจดั การเรียนรู้โดยไม่ยดึ ติดกบั เง่ือนไข หรือขอ้ จากดั ทางวฒั นธรรมของสงั คม
3. ควรจดั การเรียนรู้ตามความตอ้ งการ หรือเสียงเรียกของผเู้ รียน
4. ควรจดั ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้วา่ ชีวติ เป็นส่ิงมีคา่
5. ควรเป็นคนร่าเริง และสนุกสนานในทุกสถานการณ์
6. ควรใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากลกั ษณะภายใน หรือความตอ้ งการของตน
7. ควรใส่ใจวา่ ความตอ้ งการข้นั พ้ืนฐานของผเู้ รียนไดร้ ับการสนองแลว้ หรือยงั
8. ควรกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเห็นคุณคา่ ของความงาม และส่ิงที่ดีท่ีเกิดข้ึนในชีวติ
9. ควรตระหนกั วา่ การควบคุมดูแลผเู้ รียนเป็นสิ่งท่ีดี แต่การปล่อยปะละเลยต่อ เป็นสิ่งที่ไม่ควร
ปฏิบตั ิ เพราะการควบคุมดูแลผเู้ รียนจะช่วยพฒั นาคุณภาพชีวติ ผเู้ รียน
10. ควรฝึ กให้ผูเ้ รียนมองขา้ มปัญหาเล็กนอ้ ย แต่ควรฝึ กให้จริงจงั ต่อการแกป้ ัญหาท่ีจะนามาซ่ึง
ความไม่ยตุ ิธรรม ความเจบ็ ปวด และถึงแก่ชีวติ
11. ควรทาตวั เป็ นผูเ้ ลือกท่ีดีดว้ ยการฝึ กสร้างทางเลือกอยา่ งหลากหลาย แลว้ นาทางเลือกไปใช้
ในการดารงชีวติ

สรุ ป ทฤษฎีมนุษย์นิยมให้ความสาคัญต่อผู้เรี ยนในลักษณะของการให้อิสระ
ในการเรียนรู้ คือการเรียนรู้ควรเกิดจากความต้องการ หรือเสียงเรียกร้องภายในตวั ผูเ้ รียน
การเรียนรู้จะเกิดไดด้ ีภายใตบ้ รรยากาศที่สบายไม่มีสิ่งคุกคามภายนอก และผูส้ อนจะทาหนา้ ที่
เป็ นผูอ้ านวยความสะดวกท่ีจะคอยส่งเสริมสนบั สนุน และควบคุมดูแลให้ผูเ้ รียนพฒั นาตนเอง
ให้เป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์บนพ้ืนฐานของความตอ้ งการท้งั 5 ข้นั ซ่ึงครูควรเอาใจใส่ความตอ้ งการ
ข้นั พ้ืนฐานของผูเ้ รียนไดร้ ับการตอบสนองแลว้ หรือยงั เพื่อใหผ้ เู้ รียนพฒั นาตนเองไปสู่ข้นั ที่สูง
จนเป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์แบบในที่สุด (วีระ ไทยพานิช, 2529, หนา้ 85)

24

3.2 ทฤษฎกี ารเรียนรู้พทุ ธิปัญญา (Cognitive Learning)

แนวคดิ และทฤษฎี
บนั ดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษยส์ ่วนมาก เป็ นการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือ
การเลียนแบบ เนื่องจากมนุษยม์ ีปฏิสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ มท่ีอยู่รอบ ๆ ตวั อยู่เสมอ ซ่ึงผูเ้ รียน
ต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดี หรื อไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุม
พฤติกรรมของตนเองไดด้ ว้ ย บนั ดูราจึงสรุปว่าการเรียนรู้โดยการสังเกตจึงเป็ นกระบวนการ
ทางการรู้คิดหรือพทุ ธิปัญญา
ข้นั ตอนการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือเลยี นแบบมี 2 ข้นั
ข้นั ท่ี 1 ข้นั การไดร้ ับมาซ่ึงการเรียนรู้ (Acquisition) ทาใหส้ ามารถแสดงพฤติกรรมได้
ข้นั ท่ี 2 เรียกวา่ ข้นั การกระทา (Performance) ซ่ึงอาจจะกระทาหรือไม่กระทากไ็ ด้
ปัจจยั ทส่ี าคญั ในการเรียนรู้โดยการสังเกต
1. กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention) ความใส่ใจของผูเ้ รียนเป็ นสิ่งสาคญั มาก ถา้ ผูเ้ รียน
ไม่มีความใส่ใจการเรียนรู้กจ็ ะไม่เกิดข้ึน
2. กระบวนการจดจา (Retention) ผูเ้ รียนสามารถจดจาสิ่งที่ตนเองสังเกต และไปเลียนแบบได้
ถึงแมเ้ วลาจะผา่ นไปกต็ าม
3. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction) เป็ นกระบวนการที่ผูเ้ รียน
สามารถแสดงออกมาเป็นการการกระทา หรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกบั ตวั แบบ
4. กระบวนการจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจของผเู้ รียนท่ีจะแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบ
ที่ตนสังเกต เนื่องจากความคาดหวงั วา่ การเลียนแบบจะนาประโยชน์มาให้
การทดลอง
- บนั ดูราและผรู้ ่วมงานไดแ้ บ่งเดก็ ออกเป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มหน่ึงใหเ้ ห็นตวั อยา่ งจากตวั แบบท่ีมีชีวติ แสดงพฤติกรรมกา้ วร้าว
- เดก็ กลุ่มท่ีสองมีตวั แบบท่ีไม่แสดงพฤติกรรมกา้ วร้าว
- เดก็ กลุ่มท่ีสามไม่มีตวั แบบแสดงพฤติกรรมใหด้ ูเป็นตวั อยา่ ง
- ผลการทดลองพบวา่ เดก็ ท่ีอยใู่ นกลุ่มที่มีตวั แบบแสดงพฤติกรรมกา้ วร้าว จะแสดงพฤติกรรม
ที่กา้ วร้าว ซ่ึงเป็นพฤติกรรมเหมือนกบั ท่ีสงั เกตจากตวั แบบ
คุณสมบตั ขิ องผู้เรียน
- ผเู้ รียนจะตอ้ งมีความสามารถท่ีจะรับรู้ส่ิงเร้า

25

- สามารถสร้างรหสั หรือกาหนดสญั ลกั ษณ์ของส่ิงที่สงั เกตเกบ็ ไวใ้ นความจาระยะยาว
- สามารถเรียกใชใ้ นขณะที่ผสู้ งั เกตตอ้ งการแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบ

การนาทฤษฎมี าประยกุ ต์ในการเรียนการสอน
1.บ่งช้ีวตั ถุประสงคท์ ี่จะใหผ้ เู้ รียนแสดงพฤติกรรม หรือเขียนวตั ถุประสงคเ์ ป็นเชิงพฤติกรรม
2. แสดงตวั อยา่ งของการกระทาหลาย ๆ อยา่ ง
3. ใหค้ าอธิบายควบคูก่ นั ไปกบั การใหต้ วั อยา่ งแต่ละอยา่ ง
4. ช้ีแจงข้นั ตอนของการเรียนรู้ โดยการสงั เกตแก่นกั เรียน
5. จดั เวลาใหน้ กั เรียนมีโอกาสท่ีแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบ
6.ใหเ้ สริมแรงแก่นกั เรียนท่ีสามารถเลียนแบบไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

สรุป เน้นความสาคัญของการเรียนรู้แบบการสังเกต หรื อเลียนแบบจากตัวแบบ
ซ่ึงอาจจะเป็ นได้ท้ังตัวบุคคลจริ งๆ เช่น ครู เพ่ือน หรื อจากภาพยนตร์โทรทัศน์ การ์ตูน
การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบดว้ ย 2 ข้นั คือ ข้นั การรับมาซ่ึงการเรียนรู้เป็ นกระบวนการ
ทางพุทธิปัญญา และข้นั การกระทา ตวั แบบท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลมีท้งั ตวั แบบ
ในชีวติ จริง และตวั แบบที่เป็นสญั ลกั ษณ์ (วีระ ไทยพานิช, 2529, หนา้ 71)

3.3 ทฤษฎกี ารเรียนรู้แนวทางการสร้างความรู้ (Information Processing Theory)
ทฤษฎีการเรียนรู้แนวทางการสร้างความรู้ หรือทฤษฎีกระบวนการทางสมอง
ในการประมวลข้อมูล (Information Processing Theory) เป็ นทฤษฏีท่ีสนใจศึกษาเก่ียวกับ
กระบวนการพฒั นาสติปัญญาของมนุษย์ โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทางานของสมอง
ทฤษฎีน้ีเริ่มไดร้ ับนิยมมาต้งั แต่ปี ค.ศ.1950 จวบจนปัจจุบนั โดยมีผูเ้ รียกช่ือในภาษาไทย เช่น
ทฤษฎีการประมวลขอ้ มูลข่าวสาร ทฤษฎีการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศ ฯลฯ ในที่น่ีจะเรียกวา่
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลขอ้ มูล เพราะมีความหมายตรงกบั หลกั ทฤษฎี และ
เขา้ ใจไดง้ ่าย ทฤษฎีน้ีมีแนวคิดว่า การทางานของสมองมนุษยม์ ีความคลา้ ยคลึงกบั การทางาน
ของเครื่องคอมพวิ เตอร์
คลอสเมียร์ ไดอ้ ธิบายการเรียนรู้ของมนุษยโ์ ดยเปรียบเทียบการทางานของ
คอมพวิ เตอร์กบั การทางานของสมอง ซ่ึงมีการทางานเป็นข้นั ตอนดงั น้ีคือ
1. การรับขอ้ มูล โดยผา่ นทางอุปกรณ์หรือเคร่ืองรับขอ้ มูล

26

2. การเขา้ รหสั โดยอาศยั ชุดคาสงั่ หรือซอฟตแ์ วร์
3. การส่งขอ้ มูลออก โดยผา่ นทางอุปกรณ์

คลอสไมเออร์ ไดอ้ ธิบายกระบวนการประมวลขอ้ มูล โดยเริ่มตน้ จากการที่มนุษย์
รับสิ่งเร้าเขา้ มาทางประสาทสัมผสั ท้งั 5 สิ่งเร้าท่ีเขา้ มาจะได้รับการบนั ทึกไวใ้ นความจาส้ัน
ซ่ึงการบนั ทึกน้ีจะข้ึนอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือการรู้จักและความใส่ใจของบุคคล
ท่ีไดร้ ับสิ่งเร้า

การประยุกต์ใช้ทฤษฎใี นการเรียนการสอน
สยมุ พร ศรีมุงคุณ ไดร้ วบรวมทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลขอ้ มูลวา่
เป็ นทฤษฏีท่ีสนใจศึกษาเกี่ยวกบั กระบวนการพฒั นาสติปัญญาของมนุษย์ โดยให้ความสนใจ
เกี่ยวกบั การทางานของสมอง ทฤษฏีน้ีมีแนวคิดวา่ การทางานของสมองมนุษยม์ ีความคลา้ ยคลึง
กบั การทางานของคอมพิวเตอร์ หลกั การจดั การเรียนการสอนตามทฤษฏีน้ี คือ การนาเสนอ
ส่ิงเร้าท่ีผูเ้ รียนรู้จัก หรือมีข้อมูลอยู่จะสามารถช่วยให้ผูเ้ รี ยนหันมาใส่ใจ และรับรู้ส่ิงน้ัน
การจัดส่ิงเร้าในการเรี ยนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรี ยน สอนให้ฝึ กการจาโดยใช้
วิธีการที่หลากหลาย หากต้องการให้ผู้เรี ยนจดจาเน้ือหาสาระใด ๆ ได้เป็ นเวลานาน
สาระน้ันจะต้องได้รับการเข้ารหัส (encoding) เพ่ือนาไปเข้าหน่วยความจาระยะยาว
วิธีการเข้ารหัสสามารถทาได้หลายวิธี เช่น การท่องจาซ้ าๆ การทบทวน หรื อการใช้
กระบวนการขยายความคิด
สมจิตต์ สินธุชยั ไดร้ วบรวมทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลขอ้ มูลไวว้ า่
ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ (Information Processing Theory) เป็ นทฤษฎีท่ีได้รับความนิยม
ต้งั แต่ปี ค.ศ.1950 จนกระทงั่ ปัจจุบนั มีช่ือเรียกในภาษาไทยหลายชื่อ เช่น ทฤษฎีประมวลขอ้ มูล
และข่าวสาร ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ เป็ นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)
ท ฤ ษ ฎี ท้า ท า ย แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง ก ลุ่ ม พ ฤ ติ ก ร ร ม นิ ย ม จึ ง ไ ม่ ส น ใ จ เ งื่ อ น ไ ข ปั จ จัย ภ า ย น อ ก
(External condition) แต่ให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการภายในซ่ึงเป็ นกระบวนการ
ทางปัญญา ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ผูเ้ รียนเป็ นผูแ้ สวงหา และประมวลสารสนเทศ
ด้วยตนเองโดยการเลือก ให้ความสนใจ เปล่ียนรู ป และทาซ้ าข้อมูลสารสนเทศ
เชื่อมโยงความรู้ใหม่กบั ความรู้เดิม และการจดั ระเบียบความรู้ เพื่อท่ีจะทาให้มีความหมาย

27

(Mayer,1996 อา้ งถึงใน Schunk) ทฤษฎีน้ีมีแนวคิดวา่ การทางานของสมองมีความคลา้ ยคลึงกบั
การทางานของเครื่ องคอมพิวเตอร์ เป็ นทฤษฎีที่พยายามอธิบายให้เข้าใจว่าคนรับข้อมูล
หรือรับความรู้ใหม่อยา่ งไร เมื่อรับแลว้ จะเก็บสะสมไวใ้ นลกั ษณะใด และจะสามารถดึงความรู้
มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งไร ซ่ึง Biehler & Snowman (1990) กล่าววา่ ในปัจจุบนั ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ
เป็ นทฤษฎีการเรียนรู้ที่สาคญั ทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ซ่ึงมีคุณค่าอย่างย่ิงในการพฒั นา
ความสามารถในการเรียนรู้ของผเู้ รียน

ความคดิ พืน้ ฐานในการใช้ทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ
ตามทศั นะของนกั จิตวิทยาพุทธินิยม ความคิดพ้ืนฐานในการใช้ ทฤษฎีประมวลผล
สารสนเทศ มีดงั ต่อไปน้ี
1. การเรียนรู้สิ่งใดก็ตามผูเ้ รียนสามารถควบคุมอตั ราความเร็วของการเรียนรู้ และข้นั ตอน
การเรียนรู้ได้
2. การเรี ยนรู้เป็ นการเปลี่ยนแปลงความรู้ของผู้เรี ยน ท้ังทางด้านปริ มาณ และคุณภาพ
ซ่ึงหมายความว่า นอกจากผูเ้ รียนจะเพิ่มจานวนของส่ิงที่เรียนรู้ ผูเ้ รียนจะสามารถเรียบเรียง
และรวบรวมใหเ้ ป็นระเบียบ เพื่อจะเรียกใชใ้ นเวลาที่ตอ้ งการได้
การประมวลข้อมูลตามแนวความคดิ ของทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ
คลอสเมียร์ (Klausmeire) ไดอ้ ธิบายการเรียนรู้ของมนุษยโ์ ดยเปรียบเทียบการทางาน
ของคอมพิวเตอร์กบั การทางานของสมอง ซ่ึงมีการทางานเป็นข้นั ตอนดงั น้ี คือ
1. การรับขอ้ มูล (Input) โดยผา่ นทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับขอ้ มูล
2. การเขา้ รหสั (Encoding) โดยอาศยั ชุดคาสง่ั หรือซอฟตแ์ วร์ (Software)
3. การส่งขอ้ มูลออก (Output) โดยผา่ นทางอปุ กรณ์
กระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ
กระบวนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศ เป็ นกระบวนการทางสมองในการจดั การ
เก็บข้อมูลข่าวสารที่เป็ นสิ่ งแวดล้อมภายนอกตัวบุคคล ผ่านการรับรู้เข้ามาในสมอง
นาไปเข้ารหัสข้อมูล จัดข้อมูลเป็ นหมวดหมู่ แล้วเก็บบันทึกไว้ในสมอง ซ่ึงสามารถ
เรียกกลับมาใช้ใหม่ได้ เรียกว่าเป็ นกระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ (Information
processing) ขอ้ มูลจากส่ิงแวดล้อมที่ผ่านกระบวนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศของสมอง

28

จะถูกจดั เก็บในรูปความจา และเปลี่ยนรูปแบบความจาไปในแต่ละข้นั ตอนของกระบวนการ
จาแนกรูปแบบความจาไดเ้ ป็น 3 รูปแบบ คือ
1. ความจาจากการสมั ผสั (Sensory Memory)

เป็ นการจดั เก็บขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ท่ีตรงตามสภาพความเป็ นจริงตามธรรมชาติของสิ่งเร้า
ขอ้ มูลน้ีจะอยู่ระยะส้ันเพียง 1-3 วินาที เพื่อรอการตดั สินใจว่า จะให้ความสนใจต่อหรือไม่
ถา้ สนใจก็จะเขา้ รหัสเก็บไวใ้ นความจาระยะส้ัน (STM) ซ่ึงกระบวนการควบคุมให้เกิดความจา
ระยะน้ีคือ การระลึกได้ (Recognition) ถึงส่ิงที่ได้เรียนรู้มาแลว้ และความใส่ใจ (Attention)
ต่อขอ้ มูลท่ีรับรู้
2. ความจาระยะส้นั (Short-term Memory หรือ STM)

ความจาระยะส้ันมีความสาคญั ต่อส่ิงท่ีจะเรียนรู้มาก เป็ นความจาที่เกิดข้ึนหลงั จาก
การรับรู้ส่ิงเร้าที่ไดเ้ ขา้ รหัสแลว้ จะคงอยู่ในความจาระยะส้ัน และมีความจุไดใ้ นปริมาณจากดั
หากไม่ไดร้ ับการจดั กระทาใดๆ เช่น การท่องหรือการทบทวน ข่าวสารขอ้ มูลน้ันก็จะหายไป
ในเวลาไม่ก่ีวนิ าที นกั จิตวทิ ยาศึกษาเก่ียวกบั ความจาระยะส้นั พบวา่ อยา่ งมากจาไดเ้ พยี ง 20 วินาที
หรือระหว่าง 15-30 วินาที บางคร้ังเรียกความจาระยะส้ันว่า ความจาปฏิบตั ิการ (Working
memory) เพราะเป็ นความจาเก่ียวกับสิ่ งที่เราต้องการใช้ในขณะหน่ึง ในช่วงท่ีกาลัง
ทาการประมวลสาระสนเทศเท่าน้นั โดยก่อนท่ีสมองจะบนั ทึกขอ้ มูลในความจาระยะยาว (LTM)
สมองจะทาการจดั หมวดหมู่ของขอ้ มูลท่ีจะบนั ทึกเสียใหม่ เพื่อใหเ้ ขา้ กบั หมวดหมู่ของขอ้ มูลเก่า
ท่ีไดบ้ นั ทึกไวแ้ ลว้ เพอ่ื ความสะดวกในการเรียกขอ้ มูลมาใชใ้ นอนาคต
3. ความจาระยะยาว (Long-term Memory หรือ LTM)

ถา้ ตอ้ งการเก็บขอ้ มูลที่รับเขา้ มาในความจาระยะส้ันไวใ้ ชภ้ ายหลงั ขอ้ มูลน้นั จะตอ้ ง
ประมวลและเปลี่ยนรูป (Processed and Transformed) จากความจาระยะส้ัน (STM) ไปใช้
ในความจาระยะยาว (LTM) กระบวนการท่ีใชเ้ รียกว่าการเขา้ รหัส (Encoding) ซ่ึงอาจเกิดข้ึน
โดยการท่องซ้ า ๆ หลังจากข้อมูลเข้ามาท่ี ความจาระยะส้ัน (STM) และการท่องจาอย่าง
ไม่ใชค้ วามคิด (Rote Learning) เช่นการท่องสูตรคูณ การท่องซ้าหลายๆคร้ังก็จะเขา้ ไปเก็บไว้
ในความจาระยะยาว (LTM) ซ่ึงเป็นความจาที่มีความคงทนถาวร นอกจากการท่องซ้าจะช่วยให้
สิ่งท่ีเรียนรู้ได้ไปเก็บไวใ้ นความจาระยะยาว (LTM) มีวิธีการกระบวนการขยายความคิด

29

(Elaborative operations process) ที่ใชใ้ นการเรียนรู้ส่ิงที่มีความหมาย (Meaningful learning) คือ
วิธีการที่ผเู้ รียนจะตอ้ งพยายามท่ีจะนาความสมั พนั ธ์ของสิ่งท่ีเรียนรู้ใหม่กบั ส่ิงที่เคยรู้มาก่อนท่ีจะ
เกบ็ ในความจาระยะยาว (LTM) ซ่ึงส่ิงที่เคยเรียนรู้มาก่อนและเก็บไวท้ ่ีความจาระยะยาว (LTM)
จะมีอิทธิพลต่อส่ิงที่เรียนรู้ใหม่ ความจาระยะยาวสามารถจดั เก็บขอ้ มูลไดไ้ ม่จากดั จานวน โดยมี
การจดั เก็บเรียงลาดบั เป็นระบบเครือข่าย (Network) ถา้ เป็นขอ้ มูลใหม่ท่ีไม่สมั พนั ธ์กบั ขอ้ มูลเดิม
ก็จะไม่ไดร้ ับการจดั รวมกบั เครือข่ายเดิม แต่จะจดั ระบบเพ่ิมเครือข่ายใหม่ข้ึนเอง ขอ้ มูลใน
ความจาระยะยาวจะจดั เกบ็ เป็นภาษาและภาพโดยจดั เกบ็ แยกจากกนั แต่มีความสมั พนั ธ์กนั

ข้นั ตอนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ
เม่ือข้อมูลผ่านเข้าไปในสมองของมนุษย์ โดยผ่านประสาทสัมผสั ท้ังห้า จะเกิด
การแปลขอ้ มูล เพื่อเตรียมนาไปเก็บไวใ้ นความจารูปแบบต่าง ๆ และพร้อมที่จะให้เรียกกลบั
ข้ึนมาใชไ้ ดอ้ ีก ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ข้นั การเขา้ รหสั (Encoding)
เมื่อสมองรับรู้ขอ้ มูลที่จะจาแลว้ ก็จะผ่านขอ้ มูลท่ีรับรู้ไปยงั สมอง สมองไม่ไดบ้ นั ทึก
ขอ้ มูลท่ีรับสัมผสั โดยตรง แต่จะเปล่ียนเป็ นรหัสเสียก่อน เช่น เม่ือนกั เรียนไดย้ ินเสียงครูสอน
เสียงครูไม่ได้ถูกบันทึกเข้าไปในสมองจริง แต่เสียงน้ันจะถูกเปลี่ยนให้เป็ นรหัสเสียก่อน
จึงจะนาเขา้ ไปจาไวใ้ นสมองส่วนความจาระยะส้นั ต่อไป
2. ข้นั เกบ็ รหสั (Storage)
เป็ นการบันทึกข้อมูลที่เปล่ียนแปลงเป็ นรหัสเรียบร้อยแล้วในความจาระยะส้ัน
บันทึกลงบนสมองให้เป็ นความจาระยะยาว โดยสมองจะนาการจัดหมวดหมู่ของข้อมูล
ท่ีบันทึกใหม่ เพื่อให้เข้ากับหมวดหมู่ของข้อมูลเก่าที่ได้บันทึกไว้แล้วทุกคร้ัง และเพื่อ
ความสะดวกในการระลึกขอ้ มูลน้นั ในอนาคต เช่น จะบนั ทึกขอ้ มูล ปากกา แกว้ น้า จาน ยางลบ
ชาม ดินสอ ถาด ไมบ้ รรทดั สมองจะจดั หมวดหมู่ขอ้ มูลเป็ น 2 ชุด คือ ชุดเคร่ืองเขียน ไดแ้ ก่
ปากกา ยางลบ ดินสอ ไมบ้ รรทดั และชุดภาชนะ คือ แกว้ น้า จาน ชาม ถาด จากน้ันสมองจึง
ทาการบนั ทึกความจาโดยสร้างรอยความจา (Memory trace) ไวใ้ นสมอง

30

3. ข้นั การถอดรหสั (Retrieval)
เป็นการคิดคน้ หรือการคืนมาของขอ้ มูลที่บนั ทึกเอาไวใ้ นความจาระยะยาว กลบั เขา้ มา

สู่ความจาระยะส้นั หากขอ้ มูลท่ีระลึกไดต้ รงกบั ขอ้ มูลที่บนั ทึกไวแ้ สดงวา่ จาได้ แต่ถา้ ขอ้ มูล
ที่ระลึกไดไ้ ม่ตรงกบั ขอ้ มูลที่บนั ทึกไว้ แสดงวา่ มีการลืมเกิดข้ึน

องค์ประกอบของกระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ
การท่ีบุคคลจะมีกระบวนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพน้นั จะตอ้ ง
มีระบบความจาขอ้ มูลท่ีดี การจาขอ้ มูลไดม้ ากนอ้ ยเพียงใดก็ข้ึนกบั กระบวนการทางปัญญา
ของบุคคลน้นั ซ่ึงประกอบดว้ ย
1. การใส่ใจ (Attention) ความใส่ใจเป็ นปัจจยั สาคญั ในการรับขอ้ มูล เพ่ือเขา้ รหัส
เกบ็ ไวใ้ นความจาระยะส้นั (STM) เป็นลกั ษณะของการเลือกใหค้ วามสนใจเฉพาะขอ้ มูลบางส่วน
ท่ีอยู่ในความสนใจ Biehler กล่าวว่า “แมส้ ิ่งเร้าจะมีมากมาย แต่เราจะให้ความใส่ใจเพียงหน่ึง
ในสามเท่าน้นั ”ผูเ้ รียนจะให้ความใส่ใจเฉพาะสิ่งท่ีเขามีความคิดเกี่ยวกบั เรื่องน้นั อยู่แลว้ และ
จะละเลยท่ีจะให้ความสนใจกับเร่ื องอื่น หากบุคคลมีความใส่ใจในข้อมูลท่ีได้รับเข้ามา
ทางประสาทสัมผัส (SM) ข้อมูลน้ันก็จะถูกนาเข้าไปสู่ความจาระยะส้ัน (STM) ต่อไป
หากไม่ไดร้ ับความใส่ใจ ขอ้ มูลน้นั กจ็ ะเลือนหายไปอยา่ งรวดเร็ว
2. การรับรู้ (Perception) เม่ือบุคคลใส่ใจในขอ้ มูลใดท่ีรับเขา้ มาทางประสาทสัมผสั
บุคคลก็จะรับรู้ขอ้ มูลน้ัน และนาขอ้ มูลน้ีเขา้ สู่ความจาระยะส้ัน (STM) ต่อไป ขอ้ มูลท่ีรับรู้น้ี
จะเป็นความจริงตามการรับรู้ (Perceived reality) ของบุคคลน้นั ซ่ึงอาจไม่ใช่ความจริงเชิงปรนยั
(Objective reality) เนื่องจากเป็นความจริงท่ีผา่ นการตีความจากบุคคลน้นั มาแลว้
3. การทาซ้า (Rehearsal) หากบุคคลมีกระบวนการรักษาขอ้ มูลโดยการทบทวนซ้าแลว้
ซ้าอีก ขอ้ มูลน้นั กจ็ ะยงั คงถูกเกบ็ รักษาไวใ้ นความจาระยะส้นั (STM) หรือความจาปฏิบตั ิการ
4. การเข้ารหัส (Encoding) หากบุคคลมีกระบวนการสร้างตัวแทนทางความคิด
(Mental representation) เกี่ยวกบั ขอ้ มูลน้นั โดยมีการนาขอ้ มูลน้นั เขา้ สู่ความจาระยะยาว (LTM)
และเช่ือมโยงเขา้ กบั สิ่งที่มีอยแู่ ลว้ ในความจาระยะยาว การเรียนรู้อยา่ งมีความหมายกจ็ ะเกิดข้ึน

31

5. การเรียกคืน (Retrieval) การเรียกคืนข้อมูลท่ีจาไวใ้ นความจาระยะยาว (LTM)
เพ่ือนาออกมาใช้ มีความสัมพนั ธ์อยา่ งใกลช้ ิดกบั การเขา้ รหัส หากการเขา้ รหัสทาให้เกิดการจา
ไดด้ ีมีประสิทธิภาพ การเรียกคืนกจ็ ะมีประสิทธิภาพตามไปดว้ ย

อาจกล่าวได้ว่า ส่ิงสาคัญของการประมวลข้อมูลสารสนเทศอยู่ท่ีความสามารถ
ในการเก็บบนั ทึกขอ้ มูลที่รับเขา้ มาในสมองส่วนความจาระยะยาว และสามารถเรียกข้ึนมา
ใชป้ ระโยชน์ได้ ซ่ึงจะส่งผลต่อการเรียนรู้ส่ิงใหม่ไดม้ ีประสิทธิภาพ ท้งั น้ีเพราะมีความจาเป็นต่อ
องคป์ ระกอบพ้ืนฐานของการเรียนรู้ทุกชนิด ไม่วา่ จะเป็นการเรียนรู้ลกั ษณะใดความจาจะเป็นตวั
เช่ือมต่อระหวา่ งการเรียนรู้กบั การคิดของบุคคลน้นั ๆ

สรุป ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลขอ้ มูลเป็ นทฤษฏีที่สนใจศึกษา
เกี่ยวกับกระบวนการพฒั นาสติปัญญาของมนุษย์ โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทางาน
ของสมอง ทฤษฏีน้ีมีแนวคิดวา่ การทางานของสมองมนุษยม์ ีความคลา้ ยคลึงกบั การทางานของ
คอมพิวเตอร์ คือ มีการรับข้อมูล โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล, มีการเข้ารหัส
โดยอาศยั ชุดคาสง่ั หรือซอฟตแ์ วร์ และมีการส่งขอ้ มูลออก โดยผา่ นทางอุปกรณ์
(สุรางค์ โควต้ ระกลู , 2554 หนา้ 13)

4. หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
4.1 ความเป็ นมา ความหมาย และประเภทของหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-book)
ความหมายของหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
e-Book ย่อมาจากคาว่า Electronic Book หมายถึง หนังสือท่ีสร้างข้ึนด้วยโปรแกรม

จากคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็ นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็ นแฟ้มข้อมูล
ท่ีสามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ท้ังในระบบออฟไลน์ และออนไลน์
คุณลกั ษณะของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์สามารถเช่ือมโยงจุดไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของหนงั สือ หรือ
เว็บไซต์ ตลอดจนมีปฏิสัมพนั ธ์และโต้ตอบกบั ผูเ้ รียนได้ นอกจากน้ีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคล่ือนไหว แบบทดสอบ และสามารถส่ังพิมพเ์ อกสารที่ตอ้ งการ
ออกทางเคร่ืองพิมพไ์ ด้ อีกประการหน่ึงที่สาคญั ก็คือ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุง
ใหท้ นั สมยั ไดต้ ลอดเวลา ซ่ึงคุณสมบตั ิเหล่าน้ีจะไม่มีในหนงั สือธรรมดาทวั่ ไป

32

นอกจากน้ียงั มีผใู้ หค้ วามหมายของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ไวห้ ลายความหมายไดแ้ ก่
ครรชิต ได้ให้ความหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไวว้ ่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง รูปแบบของการจดั เก็บ และนาเสนอขอ้ มูลหลากหลายรูปแบบ ท้งั ที่เป็นขอ้ ความตวั เลข
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงต่างๆ ขอ้ มูลเหล่าน้ีมีวธิ ีเก็บในลกั ษณะพิเศษคือจากแฟ้มขอ้ มูล
ซ่ึงผูอ้ ่านสามารถเลือกดูขอ้ มูลอ่ืนๆ ที่เก่ียวขอ้ งได้ทนั ทีโดยขอ้ มูลอาจจะอยู่ในแฟ้มเดียวกนั
หรือไม่ก็ได้ ขอ้ มูลที่กล่าวเป็นขอ้ ความ ตวั อกั ษร หรือตวั เลข เรียกวา่ ไฮเปอร์แทก็ ซ์ (Hypertext)
และถา้ หากขอ้ มูลน้ันรวมถึงเสียง และภาพเคล่ือนไหวดว้ ยก็เรียกว่าสื่อประสมไฮเปอร์มีเดีย
(Hypermedia)
บุปผชาติ ได้ให้ความหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไวว้ ่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การคลิกเปิ ดเอกสารไฮเปอร์แท็กซ์ หรือไฮเปอร์มีเดีย ได้ทาให้ผูใ้ ช้เข้าถึงขอ้ มูล
ที่เกี่ยวข้อง เช่ือมโยงได้อย่างสะดวกรวดเร็ วพรั่งพร้อมด้วยข้อมูลมัลติมีเดียในรู ป
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงจะเป็ นสื่อในการเรียนรู้ท่ีผูเ้ รียนสามารถเลือกเรียนได้ตามเวลา
และสถานที่ที่ตนสะดวก
ปิ ลนั ธนา ไดใ้ ห้ความหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไวว้ ่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
เป็ นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนาเสนอขอ้ มูลได้ท้งั ขอ้ ความ ภาพน่ิงภาพเคลื่อนไหว
และเสียงผ่านคอมพิวเตอร์โดยการเช่ือมโยงขอ้ มูลท่ีสัมพนั ธ์ของเน้ือหาที่อยู่ในแฟ้มเดียวกนั
หรื ออยู่ในแฟ้มเข้าด้วยกันโดยไม่จากัดว่าจะเป็ นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในรู ปแบบใด
หากเป็ นการเช่ือมโยงขอ้ ความท่ีเป็ นตวั อกั ษร หรือตวั เลขเรียกว่า ไฮเปอร์แท็กซ์ (Hypertext)
และถ้าหากข้อมูลน้ันรวมถึงเสียง และภาพเคลื่อนไหวเรี ยกว่า สื่อประสมไฮเปอร์มีเดีย
(Hypermedia)
อคั รเดช ไดใ้ ห้ความหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไวว้ ่า เป็ นรูปแบบการนาเสนอ
ขอ้ มูลผ่านสื่อที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็ นฐานการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ
ข้อมูลในลักษณะ e-Contest เป็ นสื่อการถ่ายทอดที่เปิ ดโลกการเรียนรู้แบบใหม่ ท่ีสามารถ
เสนอข้อมูลด้วยตัวอักษรจากการคลิกเปิ ดเอกสารในรูปแบบ ไฮเปอร์แท็กซ์ (Hypertext)
และขอ้ มูลภาพน่ิง เสียง รวมถึงภาพเคลื่อนไหวเรียกวา่ ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) การประสาน
และการเช่ื อมโยงสัมพันธ์เน้ื อหาอย่างไร้ รอยต่อของข้อมูลที่อยู่ในแฟ้ มเดี ยวกัน

33

หรืออยู่คนละแฟ้มเขา้ ด้วยกันเป็ นหน่ึงเดียว ซ่ึงผูเ้ รียนสามารถท่ีจะเลือกเรียนได้ตามความ
ต้องการไม่จากัดเวลา และสถานที่ทาให้ค้นหาข้อมูลท่ีต้องการได้อย่างรวดเร็ว และ
มีประสิทธิภาพ

ดงั น้นั จากความหมายท่ีกล่าวมาหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ หมายถึง การนาเอกสารหน่ึงเล่ม
หรือหลาย ๆ เล่มมาออกแบบใหม่ให้อยใู่ นรูปของอิเลก็ ทรอนิกส์ สามารถนาเสนอขอ้ มูลไดท้ ้งั
ตวั อกั ษร หรือตวั เลข เรียกวา่ ไฮเปอร์แทก็ ซ์ (Hypertext) และถา้ หากขอ้ มูลน้นั รวมถึงภาพ เสียง
และภาพเคลื่อนไหวจะเรียกว่า ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) โดยการประสานเชื่อมโยงสัมพนั ธ์
ของเน้ือหาท่ีอยใู่ นแฟ้มเดียวกนั หรืออยคู่ นละแฟ้มเขา้ ดว้ ยกนั ทาให้ผูใ้ ชส้ ามารถคน้ หาขอ้ มูล
ที่ตอ้ งการไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพซ่ึงผเู้ รียนสามารถเลือกเรียนไดต้ ามความตอ้ งการ
ไม่จากดั เวลา และสถานท่ี (อดิศกั ด์ิ สามหมอ, 2551, หนา้ 9)

ความเป็ นมาของหนังสืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
แนวความคิดเกี่ยวกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์เกิดข้ึนภายหลงั ปี ค.ศ. 1940 โดยปรากฏ
ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ต่อมาไดม้ ีการพฒั นาโดยนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เขา้ มาช่วยสแกน
หนังสือจัดเก็บขอ้ มูล เป็ นแฟ้มภาพตวั หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และนาแฟ้มภาพตวั หนังสือ
มาผ่านกระบวนการแปลงภาพเป็ นขอ้ ความดว้ ยการทา OCR (Optical Character Recognition)
โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อแปลงภาพ ตัวหนังสือให้เป็ นขอ้ ความที่สามารถแก้ไข
เพ่ิมเติมได้ โดยการถ่ายทอดขอ้ มูลจะถ่ายทอดผ่านทางแป้นพิมพ์ และประมวลผลออกมาเป็ น
ตวั หนังสือ รวมถึงขอ้ ความด้วยคอมพิวเตอร์ ดังน้ันหน้ากระดาษจึงเปลี่ยนรูปแบบไปเป็ น
แฟ้มข้อมูลแทนท้ังยงั มีความสะดวกต่อการเผยแพร่และจัดพิมพ์เป็ นเอกสาร (Documents
printing) ทาให้รูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ยุคแรก ๆ มีลกั ษณะเป็ นเอกสารประเภท
ไฟล์ .doc .txt .rtf และ .pdf
เ ม่ื อ มี ก า ร พัฒ น า ภ า ษ า HTML (Hypertext Markup Language) ข้ อ มู ล ต่ า ง ๆ
จึงถูกออกแบบ และตกแต่งในรูปของเวบ็ ไซต์ โดยปรากฏในแต่ละหนา้ ของเวบ็ ไซต์ ซ่ึงเรียกวา่
“web page” ผอู้ ่านสามารถเปิ ดดูเอกสารเหล่าน้นั ไดด้ ว้ ยเวบ็ เบราวเ์ ซอร์ (Web browser) ซ่ึงเป็ น
โปรแกรมประยุกต์ที่สามารถแสดงผลขอ้ ความภาพ และการปฏิสัมพนั ธ์ผ่านระบบเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต ต่อมาเม่ืออินเทอร์เน็ตไดร้ ับความนิยมมากข้ึน บริษทั ไมโครซอฟท์ ไดผ้ ลิตเอกสาร

34

อิเล็กทรอนิกส์เพ่ือให้คาแนะนาในรูปแบบ HTML Help ข้ึนมา มีรูปแบบของไฟล์เป็ น .CHM
โดยมีตัวอ่าน คือ Microsoft Reader และหลังจากน้ันมีบริษทั ผูผ้ ลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์
จานวนมาก ได้พฒั นาโปรแกรมจนกระท่ังสามารถผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็ น
ลกั ษณะเหมือนกบั หนงั สือทวั่ ไป กล่าวคือ สามารถแทรกขอ้ ความ แทรกภาพ จดั หนา้ หนงั สือได้
ตามความตอ้ งการของผผู้ ลิต และที่พิเศษกวา่ น้นั คือ หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์เหล่าน้ี สามารถสร้าง
จุดเช่ือมโยงเอกสาร (Hypertext) ไปยงั เว็บไซต์ท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืน ๆ ท้งั ภายใน และภายนอกได้
อีกท้ังยงั สามารถแทรกเสียง ภาพเคล่ือนไหวต่าง ๆ ลงไปในหนังสือได้ คุณสมบัติเหล่าน้ี
ไม่สามารถทาไดใ้ นหนงั สือทวั่ ไป (อดิศกั ด์ิ สามหมอ, 2551, หนา้ 15)

ประเภทของหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น 10 ประเภท ดงั น้ี คือ (อดิศกั ด์ิ สามหมอ, 2551,
หนา้ 32)
1. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ หรือแบบตารา (Textbook)
มีรูปแบบหนังสือปกติที่พบเห็นทว่ั ไป เป็ นการแปลงหนังสือจากสภาพสิ่งพิมพป์ กติ
เป็ นสัญญาณดิจิตอล เพิ่มศักยภาพเดิมการนาเสนอ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่าน
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้วยศกั ยภาพของคอมพิวเตอร์ข้นั พ้ืนฐาน เช่น การเปิ ดหน้าหนังสือ
การสืบคน้ การคดั เลือก เป็นตน้
2. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือเสียงอา่ น
เมื่อเปิ ดหนังสือ จะมีเสียงคาอ่าน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทน้ีเหมาะสาหรับ
ห นั ง สื อ เ ด็ ก เ ริ่ ม เ รี ย น ห รื อ ห นั ง สื อ ฝึ ก อ อ ก เ สี ย ง ห รื อ ฝึ ก พู ด ( Talking Book )
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ชนิดน้ีเป็ นการเน้นคุณลกั ษณะดา้ นการนาเสนอเน้ือหาที่เป็ นตวั อกั ษร
และเสียงเป็ นคุณลกั ษณะหลกั นิยมใช้กับกลุ่มผูอ้ ่านท่ีมีระดบั ลกั ษณะทางภาษาโดยเฉพาะ
ดา้ นการฟังหรือการอ่านค่อนขา้ งต่า เหมาะสาหรับการเริ่มตน้ เรียนภาษาของเด็ก ๆ หรือผูท้ ี่
กาลงั ฝึกภาษาที่สอง หรือฝึกภาษาใหม่ เป็นตน้
3. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือภาพนิ่ง หรืออลั บ้มั ภาพ (Static Picture Book)
เป็ นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ที่มีคุณลกั ษณะหลกั เน้นจดั เก็บขอ้ มูล และนาเสนอขอ้ มูล
ในรูปแบบภาพน่ิง(Static picture) หรืออัลบ้ัมภาพเป็ นหลัก เสริมด้วยการนาศักยภาพของ

35

คอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการนาเสนอ เช่น การเลือกภาพที่ตอ้ งการ การขยายหรือยอ่ ขนาดภาพของ
คอมพิวเตอร์ การขยายหรือย่อขนาดของภาพหรือตวั อกั ษร การสาเนาหรือการถ่ายโอนภาพ
การแต่งเติมภาพ การเลือกเฉพาะส่วนของภาพ (cropping) หรือเพ่ิมขอ้ มูล เช่ือมโยงภายใน
(Linking information) เช่น เช่ือมขอ้ มูลอธิบายเพิม่ เติม เช่ือมขอ้ มูลเสียงประกอบ เป็นตน้

4. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือภาพเคล่ือนไหว (Moving Picture Book)
เป็ นหนังสื ออิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นการนาเสนอข้อมูลในรู ปแบบภาพวีดีทัศน์

(Video Clips) หรือภาพยนตร์ส้ันๆ (Films Clips) ผนวกกบั ขอ้ มูลสนเทศที่อยู่ในรูปตวั หนงั สือ
(Text Information) ผู้อ่านสามารถเลือกชมศึกษาข้อมูลได้ ส่วนใหญ่นิยมนาเสนอข้อมูล
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ หรื อเหตุการณ์สาคัญ เช่น ภาพเหตุการณ์สงครามโลก
ภาพการกล่าวสุนทรพจน์ของบุคคลสาคญั ๆ ของโลกในโอกาสต่างๆ ภาพเหตุการณ์ความสาเร็จ
หรือสูญเสียของโลก เป็นตน้
5. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือส่ือประสม (Multimedia Book)

เป็ นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นเสนอขอ้ มูลเน้ือหาสาระ ในลกั ษณะแบบส่ือประสม
ระหว่างสื่อภาพ (Visual Media) เป็ นท้ังภาพนิ่งและภาพเคล่ือนไหวกับส่ือประเภทเสียง
(Audio Media)ในลักษณะต่าง ๆ ผนวกกับศักยภาพของคอมพิวเตอร์ อ่ืนเช่นเดียวกับ
หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์อ่ืน ๆ ที่กล่าวมาแลว้
6. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือสื่อหลากหลาย (Polymedia book)

เป็ นหนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับหนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์
แบบสื่ อประสม แต่มีความหลากหลายในคุณลักษณะด้านความเช่ือมโยงระหว่าง
ขอ้ มูลภายในเล่มที่บนั ทึกในลกั ษณะต่างๆ เช่น ตวั หนงั สือภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสียงดนตรี
และอื่น ๆ เป็นตน้
7. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือเชื่อมโยง (Hypermedia Book)

เป็ นหนังสือท่ีมีคุณลักษณะสามารถเช่ือมโยงเน้ือหาสาระภายในเล่ม (Internal
Information Linking) ซ่ึ งผู้อ่านสามารถคลิ กเพื่อเชื่ อมไปสู่ เน้ื อหาสาระท่ี ออกแบบ

36

เชื่อมโยงกนั ภายใน การเช่ือมโยงเช่นน้ีมีคุณลกั ษณะเช่นเดียวกบั บทเรียนโปรแกรมแบบแตกกิ่ง
( Branching Programmed Instruction) นอกจากน้ียงั สามารถเช่ือมโยงกบั แหล่งเอกสารภายนอก
(External or Information Sources) เม่ือเช่ือมต่อระบบอินเตอร์เน็ต
8. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สืออจั ฉริยะ (Intelligent Electronic Book)

เป็ นหนงั สือประสม แต่มีการใชโ้ ปรแกรมช้นั สูงท่ีสามารถมีปฏิกิริยา หรือ ปฏิสัมพนั ธ์
กบั ผูอ้ ่านเสมือนหนงั สือมีสติปัญญา (อจั ฉริยะ) ในการไตร่ตรอง หรือคาดคะเนในการโตต้ อบ
หรือปฏิกิริยากบั ผอู้ า่ น
9. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบสื่อหนงั สือทางไกล (Tele media Electronic Book)

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทน้ีมีคุณลักษณะหลักต่างๆ คล้ายกับ Hypermedia
Electronic Books แต่เน้นการเช่ื อมโยงกับแหล่งข้อมูลภายนอกผ่านระบบเครื อข่าย
(Online Information Sources) ท้งั ที่เป็นเครือข่ายเปิ ด และเครือขา่ ยเฉพาะสมาชิกของเครือข่าย
10. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือไซเบอร์สเปซ (Cyberspace book)

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทน้ีมีลกั ษณะเหมือนกบั หนังสืออิเล็กทรอนิกส์หลาย ๆ
แบบที่กล่าวมาแลว้ ผสมกนั สามารถเช่ือมโยงแหล่งขอ้ มูลท้งั จากแหล่งภายใน และภายนอก
สามารถนาเสนอขอ้ มูลในระบบสื่อท่ีหลากหลาย สามารถปฏิสมั พนั ธ์กบั ผอู้ า่ นไดห้ ลากหลาย

37

4.2 ข้นั ตอนการออกแบบ และกระบวนการจดั ทาหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-book)
เรื่อง หลกั การฮอกแบบ และหลกั การสร้างกลยทุ ธ์ทางการตลาดในธุรกจิ โรงแรม

1. สร้างไฟลเ์ อกสาร โดยออกแบบดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint

ภาพท่ี 1 : ตวั อยา่ งการสร้างไฟลเ์ อกสาร
ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ ิจยั )
2. บนั ทึกไฟลเ์ อกสารท่ีออกแบบไวใ้ นขอ้ ที่1. รูปแบบไฟล์ pdf.

ภาพท่ี 2 : ตวั อยา่ งรูปแบบไฟล์ pdf.
ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ จิ ยั )

38

3. เขา้ เว็บไซต์เพื่อทา E-book ออนไลน์ ท่ีเว็บ www.anyflip.com แลว้ คลิกที่ Sign Up ทาการ
เขา้ สู่ระบบ โดยเลือกเขา้ ระบบผา่ น Google หรือ Facebook

ภาพท่ี 3 : ตวั อยา่ งสมคั รเขา้ ใชง้ าน www.anyflip.com
ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ ิจยั )
4. เมื่อเขา้ สู่ระบบเรียบร้อยแลว้ จะปรากฏหนา้ แรกของเวบ็ เลือกท่ี ADD NEW BOOK

ภาพที่ 4 : ตวั อยา่ งการเพิ่มหนงั สือลงบนเวบ็ ไซต์
ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ จิ ยั )

39

5. กรอกข้อมูลหนังสือ เลือกประเภทหนังสือ และคลิกที่ UPLOAD YOUR PDF เมื่อไฟล์
ทาการอพั โหลดเรียบร้อยแลว้ จะปรากฏหนา้ หนงั สือ คลิกที่ Save and Close

ภาพที่ 5 : ตวั อยา่ งการเพ่ิมขอ้ มูลหนงั สือลงบนเวบ็ ไซต์
ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ จิ ยั )
6. เมื่อเพิ่มหนังสื อเรี ยบร้อย สามารถคลิกดูช้ันหนังสื อที่ Link หรื อ แชร์ช้ันหนังสื อ
ผา่ น QR Code

ภาพที่ 6 : ตวั อยา่ งการเพิ่มหนงั สือลงบนเวบ็ ไซตส์ าเร็จ
ท่ีมา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ จิ ยั )

40

7. นาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง หลกั การออกแบบ และหลกั การสร้างกลยุทธ์ทาง
การตลาดในธุรกิจโรงแรม ใชเ้ ป็ นส่ือการเรียนการสอน โดยผูเ้ รียนสามารถเขา้ ใชง้ านไดง้ ่าย
ท้งั คอมพวิ เตอร์ โนต้ บุก๊ และสมาร์ตโฟนโดยไม่ตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่าย หรือติดต้งั โปรแกรม

ภาพที่ 7 : QR Code หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง หลกั การออกแบบ
และหลกั การสร้างกลยทุ ธ์ทางการตลาดในธุรกิจโรงแรม

ที่มา : ศิริรักษ์ เปรมจิตต์ (ผวู้ จิ ยั )

4.3 ข้อดขี องหนังสืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เม่ือเปรียบเทยี บกบั หนังสือ

หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ หนังสือทวั่ ไป
1.ไม่ใชก้ ระดาษ (อนุรักษท์ รัพยากรป่ าไม)้ 1. ใชก้ ระดาษ

2.สามารถสร้างใหม้ ีภาพเคลื่อนไหวได้ 2. มีขอ้ ความและภาพประกอบธรรมดา
3.สามารถใส่เสียงประกอบได้ 3. ไม่มีเสียงประกอบ
4.สามารถแกไ้ ขและปรับปรุงขอ้ มูล (update) 4. สามารถแกไ้ ขปรับปรุงไดย้ าก
ไดง้ ่าย

5.สามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (links) 5. มีความสมบูรณ์ในตวั เอง
ออกไปยงั ขอ้ มูลภายนอกได้ 6. มีตน้ ทุนการผลิตสูง
6.มีตน้ ทุนในการผลิตหนงั สือต่า

41

หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หนงั สือทว่ั ไป
7.ไม่มีขีดจากดั ในการจดั พิมพ์ 7. มีขีดจากดั ในการจดั พมิ พ์
สามารถทาสาเนาไดง้ ่ายไม่จากดั
8.สามารถอ่านผา่ นคอมพิวเตอร์ 8. สามารถเปิ ดอา่ นจากเล่ม
และสงั่ พิมพผ์ ลได้ โดยอ่านไดอ้ ยา่ งเดียว
9.หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ 1 เล่ม 9. สามารถอ่านได้ 1 คนต่อหน่ึงเล่ม
สามารถอา่ นพร้อมกนั ไดจ้ านวนมาก
(ออนไลนผ์ า่ นระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต) 10. สามารถพกพาลาบาก และตอ้ งเดินทาง
10.สามารถพกพาสะดวกไดค้ ร้ังละจานวนมาก ไปใชท้ ่ีหอ้ งสมุดและศูนยส์ ารนิเทศต่าง ๆ
ในรูปแบบของไฟลค์ อมพวิ เตอร์ และสามารถ
เขา้ ถึงโดยไม่จากดั เร่ืองสถานที่และเวลา

ท่ีมา : กิดานนั ท์ มะลิทอง ( 2540, หนา้ 61)

5. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน

5.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็ นความสามารถของนกั เรียนในดา้ นต่าง ๆ ซ่ึงเกิดจาก
ผูเ้ รียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของผู้สอน โดยผูส้ อนต้องศึกษา
แนวทางในการวดั และประเมินผล การสร้างเครื่องมือวดั ให้มีคุณภาพน้นั ไดม้ ีผใู้ ห้ความหมาย
ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนไวด้ งั น้ี
สมพร เช้ือพันธ์ สรุปว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง
ความสามารถ ความสาเร็จและสมรรถภาพดา้ นต่างๆของผูเ้ รียนท่ีไดจ้ ากการเรียนรู้อนั เป็ นผล
มาจากการเรียนการสอน การฝึ กฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซ่ึงสามารถวดั ไดจ้ ากการ
ทดสอบดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ
พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยนิ ดีสุข กล่าววา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง
ขนาดของความสาเร็จที่ไดจ้ ากกระบวนการเรียนการสอน


Click to View FlipBook Version