The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by namphetnplcs, 2021-06-07 13:45:22

ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

แผนงบประมาณ ยุทธศาสตร์เสริมสร้างพลังทางสังคม

ผลผลิต ยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น


(พ.ศ. 2560-2579)

โครงการ เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชนตามพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562

ในเขตพื้นที่อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา







หลักการและเหตุผล

พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 ฉบับนี้ ถือเป็นกฎหมายที่จะช่วยให้หน่วย
งานของรัฐ และภาคประชาชนสามารถอํานวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่

ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าทนาย ค่าธรรมเนียมศาล เป็นการดําเนินการให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลงกัน
ในการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีและปราศจากการวินิจฉัยข้อพิพาท และให้ข้อตกลงอันเกิดจาก

ความตกลงยินยอมของคู่กรณีมีสภาพบังคับตามกฎหมาย ประชาชนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงความ
ยุติธรรมได้อย่างแท้จริง ทําให้ปริมาณคดีที่ขึ้นสู่ศาลลดน้อยลง ลดปัญหาความขัดแย้ง และเกิด

ความสมานฉันท์ในการยุติข้อพิพาท และกลไกที่สําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการดําเนินงาน
ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ “ผู้ไกล่เกลี่ย” ซึ่งได้บัญญัติคุณสมบัติของบุคคลที่ประสงค์จะขึ้น

ทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยต้องผ่านการฝึกอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมการ
พัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรม

แห่งชาติรับรอง กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ทําการเปิดอบรมเตรียม
ความพร้อมผู้ไกล่กลี่ย เพื่อขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 จึง

ต้องมีการเตรียมความพร้อมให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
กฎหมายเบื้องต้นที่เกี่ยวข้อง ความสามารถและทักษะการเป็นคนกลางเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวม

ถึงจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ย ดังนั้น เพื่อให้ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนที่
สามารถดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างเป็นระบบมาตรฐาน รวมถึงสร้างผู้ไกล่เกลี่ยที่มีความ

รู้ความเชี่ยวชาญ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้
เครือข่ายภาคประชาชนและทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อ

จัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี และเป็นมิติใหม่ในการไกล่เกลี่ยของกระทรวงยุติธรรม ที่มีระบบขึ้น
ทะเบียนโดยจัดทําบัญชีผู้ไกล่เกลี่ยครอบคลุมทั่วประเทศ โดยยกระดับผู้ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน

ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความสามารถและประสบการณ์ในการระงับข้อขัดแย้งในชุมชนขึ้นมาเป็นผู้ไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทโดยวิชาชีพ

เมื่อตําบลพระพุทธ อําเภอเฉลิมพระเกียรติ เป็นตําบลนําร่องในการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทภาคประชาชนตามพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 แห่งแรกของจังหวัด

นครราชสีมาเพื่อเป็นต้นแบบให้กับตําบลหรืออําเภออื่นๆ ในจังหวัดนครราชสีมา หลักสูตรนิติศาสตร

บัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ทีเป็นมหาวิทยาลัย
เพื่อพัฒนาท้องถิ่น และมียุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (พ.ศ. 2562-2565) ที่ว่า
“การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม” จึงต้องการที่จะบริการวิชาการ

ด้านกฎหมายเพื่อพัฒนาท้องถิ่นเกี่ยวกับการสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนเกี่ยวกับ

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ประชาชนในชุมชน หมู่บ้าน ตําบลมีความพร้อม
ในการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพาทภาคประชาชนตามพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
พ.ศ.2562 และเพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างหน่วยงานด้านกฎหมาย ได้แก่ ศาลยุติธรรม สํานักงาน

อัยการจังหวัด กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สํานักงานยุติธรรมจังหวัด และมหาวิทยาลัยราชภัฏ

นครราชสีมา ร่วมกับกรมการปกครองส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัด อําเภอ ตําบลและหมู่บ้าน นอกจาก
นี้ยังเป็นการบูรณการการเรียนการสอนกับการบริการวิชาการแก่ชุมชนในรายวิชากฎหมายของ
หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ได้แก่ วิชาการว่าความและศาลจําลอง วิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย วิชา

กฎหมายสิทธิมนุษยชน วิชากฎหมายแพ่งลักษณะบุคคล วิชากฎหมายแพ่งว่าด้วยทรัพย์สิน วิชา

กฎหมายแพ่งลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ วิชากฎหมายแพ่งลักษณะนิติกรรมและ
สัญญา วิชากฎหมายมหาชนเบื้องต้น วิชากฎหมายปกครอง วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1
วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 อีกทั้งนักศึกษานิติศาสตร์ยังจะได้เรียนรู้กฎหมายจาก

สถานการณ์จริงอันเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองและพัฒนาบัณฑิตทางนิติศาสตร์ให้เป็นผู้มีคุณลักษณ์

อันพึ่งประสงค์ต่อไป


วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อทําข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านกฎหมายเพื่อประสานความร่วมมือทาง
วิชาการด้านไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562

2. เพื่อสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจในกระบวนการแก้ปัญหาข้อพิพาทในชุมชนตามพระ

ราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562
3. เพื่อส่งเสริมพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชน ลดความเหลื่อมลํ้าด้านความเป็นธรรมทาง
สังคม กระจายความยุติธรรมไปให้ประชาชนในระดับชุมชน/หมู่บ้านอันจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน

ให้สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก และรวดเร็ว



ผู้รับผิดชอบโครงการ
หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ

นครราชสีมา



งบประมาณ
งบยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ประจําปีงบประมาณ 2564

คณะกรรมการโครงการเตรียมความเพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
ตามพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.๒๕๖๒ ในเขตพื้นที่อําเภอเฉลิมพระเกียรติ

จังหวัดนครราชสีมา



กรรมการที่ปรึกษา
1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชีสีมา

2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สกุล วงษ์กาฬสินธุ์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์



คณะกรรมการดําเนินงาน
1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถิต จําเริญ ประธานกรรมการ

2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ชัย เดชอุดม กรรมการ

3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์มงคล เจริญจิตต์ กรรมการ
4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญนํา โสภาอุทก กรรมการ
5.อาจารย์วลัยรัตน์ โพธิสาร กรรมการ

6. อาจารย์ฐิตารีย์ เปรมวิไลศักดิ์ บุญศักดิ์ กรรมการ

7. อาจารย์ตวงพร ปิยวิทย์ กรรมการและเลขานุการ

“ข้อพิพาท”








อพิพาททางแพ่ง คือ เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่


ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง หรือมีความจําเป็นต้อง

ข้ ใช้สิทธิทางศาล ข้อพิพาททางแพ่งหรือคดีแพ่งจึงเป็น

เรื่องเกี่ยวกับการผิดข้อสัญญาของอีกฝ่ายหนึ่ง ทางแพ่งด้วย










เช่น ลูกหนี้ในสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ยอมใช้หนี้เงินกู้ยืม เจ้าหนี้จึงสามารถไปฟ้องศาล

เพื่อเรียกร้องให้ลูกหนี้ใช้เงินคืนได้ หรือคดีละเมิดที่ผู้ทําละเมิดประมาทเลินเล่อขับ

รถยนต์ด้วยความเร็วชนผู้ที่เดินทางจนได้รับความเสียหายแก่กายขาหัก ก็สามารถ


ฟ้องคดีต่อศาลเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ หรือการฟ้องหย่าระหว่างสามีภริยาที่

มีเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายแพ่งก็เป็นข้อพิพาท







ส่วนคดีแพ่งที่มีความจําเป็น ข้อพิพาททางอาญา คือ คดีที่ฟ้องร้องกัน


ต้องใช้สิทธิทางศาล เช่น การ เนื่องจากมีการกระทําความผิดทางอาญาที่มี

ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษ

การครอบครองปรปักษ์ที่มีคํา ของความผิดนั้นไว้ด้วย เช่น การลักทรัพย์


สั่งศาล ขอให้ศาลสั่งว่าบุคคล ของผู้อื่นไปย่อมเป็นความผิดตามประมวล

ใดเป็นผู้ไร้ความสามารถ ขอให้ กฎหมายอาญาฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สั่งบุคคลที่ไปจากภูมิลําเนา และมีโทษปรับ จําคุกหรือทั้งจําทั้งปรับ หรือ

ไม่มีใครรู้เห็นว่าเป็นตายร้ายดี การฆ่าผู้อื่นตายย่อมเป็นความผิดตาม

กว่า 5 ปีให้เป็นคนสาบสูญ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา

288 และต้องรับโทษสูงสุดถึง


ประหารชีวิต เป็นต้น

ซึ่งคดีอาญา

“วิธีการระงับข้อพิพาท”










เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น
สามารถที่จะยุติหรือระงับข้อ

พิ พ า ท ไ ด้ โดยใ ช้ วิ ธี ก า ร
ประนีประนอมยอมความ การ

อนุญาโตตุลาการ การฟ้องร้อง
คดีต่อศาล หรือการไกล่เกี่ย

ข้อพิพาท





1. การประนีประนอมยอมความ

คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงทําสัญญา
ประนีประนอมยอมความ เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอัน
หนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อน
ทั้งนี้การประนีประนอมยอม
ผันให้แก่กัน มีผลผูกพันตามสัญญาใหม่ที่ทําขึ้นส่วนข้อ
ความแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
พิพาทเดิมเป็นอันระงับสิ้นไป




1) การประนีประนอมยอมความนอกศาล คือ การประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทที่
เกิดขึ้นแล้วและยังมีอยู่ โดยที่คู่กรณีมิได้นําข้อพิพาทไปฟ้องคดีต่อศาลหรือมีข้อพิพาทที่เป็นคดีอยู่ในศาล
เช่น ลูกหนี้ไม่มีเงินพอที่จะชําระหนี้ได้ภายในระยะเวลาที่ตกกันไว้และเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื่อ

ไวรัสโควิด – 19 ทําให้รายได้น้อยลง จึงสามารถที่จะมาตกลงกับเจ้าหนี้เพื่อที่จะทําสัญญาประนีประนอม

และลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของอีกฝ่ายนั้นเป็นสําคัญ เพื่อเป็นหลักฐานใน
การฟ้องร้องบังคับคดี สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวส่งผลให้ข้อพิพาทเดิมระงับไปและเกิด
สิทธิขึ้นใหม่ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ หากคู่สัญญาบิดพลิ้วไม่ยอมปฏิบัติตาม

สัญญาที่ทําขึ้นใหม่ ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายก็สามารถนําสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไป

ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งที่บิดพลิ้วปฏิบัติตามสัญญาได้


2) การประนีประนอมยอมความในศาล คือ เป็นกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นและได้นําคดีขึ้นฟ้อง
ร้องต่อศาล ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ศาลกําลังพิจารณาคดีดังกล่าวอยู่ ซึ่งคู่กรณีพิพาทที่ได้ตกลงกันทํา

สัญญาประนีประนอมยอมความแล้วเสนอให้ศาลพิจารณาโดยไม่ต้องถอนคําฟ้อง และหากสัญญา
ประนีประนอมยอมความดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ศาลก็จะจดรายงานพิสดารแสดงข้อความ

ตกลงและพิพากษาให้เป็นไปตามที่ได้ยอมความกัน เรียกว่า “พิพากษาตามยอม” หากคู่กรณีพิพาทฝ่าย
ใดบิดพลิ้วไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่กรณีพิพาทฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมี

สิทธิยื่นคําร้องต่อศาลขอให้บังคับคู่กรณีพิพาทอีกฝ่ายที่บิดพลิ้วให้ปฏิบัติตามสัญญานั้นทันที โดยไม่ต้อง
นําคดีฟ้องร้องต่อศาลอีก

2. การอนุญาโตตุลาการ

อนุญาโตตุลาการ คือ วิธีการระงับข้อพิพาทที่คู่กรณีตกลงกันเสนอข้อพิพาทที่เกิด
ขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้บุคคลภายนอกซึ่งเรียกว่า อนุญาโตตุลาการ ทําการ

พิจารณาชี้ขาด โดยคู่กรณีผูกพันที่จะปฏิบัติตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ การระงับข้อ
พิพาทวิธีนี้นิยมในการสัญญาทางธุรกิจต่างๆ สัญญาระหว่างประเทศ และสัญญาสัมปทาน

เป็นต้น ซึ่งมีหลักเกณฑ์เฉพาะตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545







3. การระงับข้อพิพาททางศาล

การดําเนินการพิจารณาในศาล เป็นวิธีการระงับข้อพิพาทโดยผ่านกระบวนการ

ยุติธรรมของศาล ซึ่งดําเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความ
เมื่อศาลมีคําพิพากษาแล้ว คู่พิพาทสามารถดําเนินการขอให้ศาลบังคับคดีตามคําพิพากษา





3.1 คดีแพ่งจึงเป็นคดีที่เกี่ยวกับ 3.2 คดีอาญา เป็นคดีที่เมื่อเกิดขึ้นจะกระทบ

 
เรื่องส่วนตัวของบุคคล  2 ฝ่าย ที่มีการทําผิด กระเทือนถึงสาธารณชนในบ้านเมือง เช่น มี
สัญญาหรือโต้แย้งสิทธิกัน เป็นเรื่องที่ผู้ได้รับ การฆ่าคนตายเกิดขึ้น มีการลักทรัพย์ ชิง

การโต้แย้งสิทธิ จะฟ้องร้องอีกฝ่ายที่ทําการโต้ ทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ มีการหมิ่นประมาท ดู
แย้งสิทธิ หรือทําผิดสัญญา หมิ่นซึ่งหน้า มีการยักยอก ฉ้อโกง หรือโกง

การฟ้องร้องคดีแพ่ง  ต้องมีการจ้าง เจ้าหนี้ เป็นต้น
ทนายความเพื่อฟ้องร้อง ต้องมีการเสียค่าขึ้น

ศาล ค่าส่งหมายให้ฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ทราบ
ถึงการฟ้องร้องนั้น ค่าคําร้อง และอื่นๆ ตามที่

กฎหมายกําหนดไว้ ซึ่งค่าธรรมเนียมต่างๆ จะ
มีการรวบรวมไว้ และเมื่อชนะคดีแล้ว ศาลจะ

พิพากษาให้จําเลยใช้เงินค่าธรรมเนียมต่างๆ
นั้น แทนโจทก์ และเมื่อชนะคดีโจทก์ก็ต้องนํา

ยึดทรัพย์สินของจําเลย (ถ้ามี) เพื่อนําออก
ขายทอดตลาด  และนําเงินที่ได้จากการขาย

ทอดตลาดมาชําระหนี้คืนให้แก่โจทก์

การฟ้องร้องคดีอาญา

เมื่อมีการกระทําความผิดทางอาญาเกิดขึ้นจะมี 2 กรณี คือ












กรณีแรก มีการแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ซึ่งจะต้องเป็นคดี

อาญาแผ่นดิน กล่าวคือเมื่อมีการทําความผิดเกิดขึ้น จะมีการแจ้งความต่อ

เจ้าหน้าที่ตํารวจ และเมื่อเจ้าหน้าที่ตํารวจทําการสอบปากคําและจัดทํา
สํานวนเสร็จแล้ว จะมีความเห็นว่าควรส่งฟ้องหรือไม่ และมีการเสนอสํานวน
ไปยังพนักงานอัยการเมื่อพนักงานอัยการตรวจดูสํานวนแล้ว ถ้ามีความเห็น

ควรส่งฟ้อง ก็จะดําเนินการฟ้องคดีอาญา เพื่อให้จําเลยได้รับโทษต่อไป













กรณีที่สอง มีการว่าจ้างทนายความฟ้องร้องเอง กล่าวคือเมื่อมีการกระ
ทําความผิดเกิดขึ้น ผู้เสียหายจะจ้างทนายความเพื่อฟ้องร้องคดีเอง โดยจะ

มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจหรือไม่ก็ได้ หรือกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า

คดีจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในชั้นตํารวจ เนื่องจากผู้กระทําความผิดมีการ
วิ่งเต้น หรือมีอิทธิพล หรืออาจเป็นคดีเล็กน้อย เช่น คดีฉ้อโกง คดียักยอก
ทําร้ายร่างกายที่ไม่ได้รับอันตรายแก่กาย หรือคดีคเช็คเด้งหรือความผิด

4. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ลักษณะของการระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อาจแยกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1)
การไกล่เกลี่ยโดย เช่น ผู้ประนีประนอมประจําศาล เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เจ้าหน้าที่ของ

กรมบังคับคดี นายอําเภอ คณะกรรมการหมู่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ที่กําหนดให้มี
การนํากระบวนการไกล่เกลี่ยมาใช้บังคับ 2) การไกล่เกลี่ยโดยภาคประซาชน คือ อาสาสมัครคุ้มครอง

สิทธิและเสรีภาพ ตามระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วย เครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพ พ.ศ. 2548 ด้วยการจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมขน โดยมีสํานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นผู้ประสาน

งานภายในพื้นที่แต่ละจังหวัด แต่การดําเนินการดังกล่าวไม่มีกฎหมายรองรับผลของการไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทไว้ ทําให้เมื่อมีการทําข้อตกลงระงับข้อพิพาทต้องกลับไปบังคับใช้ตามหลักกฎหมายสัญญา

ประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีหลายกรณีคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตาม ส่งผลให้ต้องมีการฟ้องร้องเป็นคดีอีก
โดยเริ่มกระบวนการฟ้องคดีใหม่ ส่งผลให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยภาคประชาชนขาดประสิทธิภาพ

เพราะไม่สามารถนําข้อสัญญาตามที่ตกลงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าวนั้นไปบังคับคดีได้ เนื่องจากมิใช่
สัญญาประนีประนอมยอมความในขั้นการพิจารณาโดยศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

แพ่ง มาตรา 138
ปัจจุบันมีการตราพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 ขึ้นเพื่อเป็นกฎหมายหลัก

เฉพาะเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อให้นํามาใช้ในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งที่มีทุน
ทรัพย์ไม่มากนักและข้อพิพาททางอาญาบางประเภท เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ พนักงานสอบสวน หรือ

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใช้ในการยุติหรือระงับข้อพิพาทดังกล่าว โดยคํานึงถึงความ
ยินยอมของคู่กรณีเป็นสําคัญซึ่งจะทําให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม ทําให้ปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลลด

น้อยลง ลดปัญหาความขัดแย้ง ลดงบประมาณแผ่นดินและเสริมสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข


วิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน กฎหมายกําหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิและ

เสรีภาพ ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน และอุดหนุนค่าใช้
จ่ายในการดําเนินการ ซึ่งคดีที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน จะดําเนินการไกล่เกลี่ยในข้อพิพาททั้ง

ทางทางและทางอาญา ดังนี้
1) ข้อพิพาททางแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 500,000 บาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดใน

พระราชกฤษฎีกา และข้อพิพาททางแพ่งอื่นตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้าเป็นการพิพาท
กันเรื่องที่ดินต้องไม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ถ้าเป็นเรื่องมรดกก็เป็นเรื่องการพิพาทระหว่างทายาท โดย

จะไม่สามารถไกล่เกลี่ยเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือกรรมสิทธิ์ใน
อสังหาริมทรัพย์

2) ข้อพิพาททางอาญาที่ไกล่เกลี่ยได้ คือ ความผิดอันยอมความได้หรือความผิดลหุโทษ
ตามมาตรา390 ถึงมาตรา 395 และมาตรา 397 หรือความผิดลหุโทษอื่นที่ไม่กระทบต่อส่วนรวม

ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา เมื่อมีการตกลงตามข้อไกล่เกลี่ยและกรมคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพออกหนังสือรับรองให้แล้ว ข้อตกลงระงับข้อพิพาทนั้นใช้บังคับกันได้ ถ้าเป็นคดีอาญาสิทธิ

นําคดีอาญามาฟ้องให้เป็นอันระงับ

“กระบวนการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท


ภาคประชาชน”




1. การรวมตัวของประชาชนเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน





กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ส่งเสริมการมีส่วน
ร่วมกับภาคประชาชนในรูปแบบของเครือข่ายและอาสาสมัคร

คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ภาย

ใต้ระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัคร
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พ.ศ. 2548 โดยเครือข่ายและอาสา
สมัครได้รวมตัวกันเป็นศูนย์ประสานงานในชุมชน เพื่อดําเนิน

งานเกี่ยวกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือจัดการรณรงค์

และให้ความรู้ การให้คําปรึกษา ช่วยเหลือเป็นผู้ดําเนินการหรือ
ประสานงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิและ
เมื่อพระราชบัญญัติการไกล่
เสรีภาพและการจัดการความขัดแย้ง การระงับข้อพิพาทชุมชน
เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 มีผลใช้
เสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายในการทํางานด้านสิทธิเสรีภาพ
บังคับแล้ว กรมคุ้มครองสิทธิและ
ตลอดจนดําเนินการหรือให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนากลไก
เสรีภาพมีหน้าที่ในการส่งเสริม
การจัดการความขัดแย้งในชุมชน และประสานงานหน่วยงานที่
สนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็น
เกี่ยวข้องในกรณีที่มีเหตุความไม่เป็นธรรมในชุมชน
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน

เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทภาคประชาชนได้ โดย ลักษณะต้องห้าม

ประชาชนจํานวนไม่น้อยกว่า 5 คน ที่ (1) เป็นบุคคลล้มละลาย
ประสงค์จะดําเนินการเกี่ยวกับการไกล่ (2) เป็นบุคคลที่ศาลมีคําสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคน

เกลี่ยข้อพิพาท ต้องมีคุณสมบัติและ เสมือนไร้ความสามารถหรือคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สม
ไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ประกอบ

(3) เป็นผู้เคยรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือ
คุณสมบัติ
ความผิดลหุโทษ
(1) เป็นบุคคลธรรมดาที่มี

สัญชาติไทย
ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะดําเนินการตรวจสอบ
(2) เป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะทํางานบริหารประจํา
(3) มีภูมิลําเนา หรือถิ่นที่อยู่ใน
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน จากเอกสารหลักฐาน
เขตที่จะขอขึ้นทะเบียนศูนย์ไกล่
และฐานข้อมูลของทางราชการ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนจึงมี
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
คําสั่งแต่งตั้งเป็นคณะทํางานบริหารประจําศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทภาคประชาชน

2. การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน








เมื่อภาคประชาชนรวมตัวกันเป็น

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน (ศกช.)
ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562
และคัดเลือกกันเอง เพื่อทําหน้าที่เป็นคณะทํางานบริหารประจํา

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ประกอบด้วย ประธาน รอง

ประธาน เหรัญญิกและเลขานุการ ทั้งนี้ ประธานควรมีคุณสมบัติเป็นผู้นํา
ชุมชน ผู้นําท้องที่หรือท้องถิ่น หรือเป็นผู้นําภาคประชาสังคมที่ดําเนินการ
อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่แสวงหาผลประโยชน์ โดยมีผู้ผ่านการ

อบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมการ

พัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วย
การพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับรอง อย่าง
น้อย 1 คน และอาจแต่งตั้งที่ปรึกษาคณะทํางาน

ได้ตามความเหมาะสม







คณะทํางานบริหารประจําศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารประจําศูนย์

พิพาทภาคประชาชนมีวาระดํารงตําแหน่ง คราวละ 3 ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน พ้นจาก

ปี มีหน้าที่และอํานาจ ดังนี้ ตําแหน่ง เมื่อ
(1) ประสานจัดกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (1) ตาย

(2) จัดทําแผนการดําเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ (2) ลาออก
ของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน (3) นายทะเบียนให้ออก เพราะบกพร่องไม่สุจริต

(3) เสนอขอรับเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อน
ดําเนินการของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ความสามารถ

(4) ส่งเสริมการรับรู้เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและ (4) เป็นบุคคลล้มละลาย
การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน (5) เป็นบุคคลที่ศาลมีคําสั่งให้เป็นคนไร้ความ

(5) ประสานการดําเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อ สามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือคน
พิพาททางแพ่งและทางอาญาระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

(6) รายงานผลการดําเนินงานต่อกรมคุ้มครองสิทธิและ (6) ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จํา
เสรีภาพเป็นประจําทุกเดือน คุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทําโดย
ประมาทหรือความผิดลหุโทษ

3. การขึ้นทะเบียนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน





ขั้นตอนที่ 1 ประธานคณะทํางานยื่นคําขอ ขั้นตอนที่ 2 กองส่งเสริมการระงับข้อพิพาทหรือผู้ที่ได้
ขึ้นทะเบียนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค รับมอบหมาย รับคําขอขึ้นทะเบียน และดําเนินการตรวจ

ประชาชนต่ออธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและ สอบข้อความในคําขอและเอกสารหลักฐานประกอบ
เสรีภาพตามแบบคําขอพร้อมแนบเอกสาร คําขอ เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ลงทะเบียน

ประกอบคําขอให้ครบถ้วน รับคําขอและออกใบรับคําขอให้แก่ผู้ยื่นคําขอ หาก
ข้อความในคําขอและเอกสารหลักฐานประกอบคําขอไม่

ถูกต้องครบถ้วนให้มีหนังสือแจ้งผู้ยื่นคําขอทราบเพื่อ
ระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและ ดําเนินการแก้ไข ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ใด้

เสรีภาพ ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รับหนังสือหากพ้นระยะเวลาดังกล่าวให้จําหน่ายคําขอ
ของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชน พ.ศ. 2562 หมวด 3 ศูนย์ไกล่
ขั้นตอนที่ 3 ศูนย์ไกล่ เ ก ลี่ ย ข้ อ พิ พ า ท ภ า ค
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ส่วนที่ 2
ประชาชน ที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนต้องได้รับการตรวจ
การขึ้นทะเบียนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน โดยผ่านเกณฑ์
ภาคประชาชน กําหนดขั้นตอนการขึ้น
ตามที่นายะเบียนกําหนด คือ ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
ทะเบียนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ไม่น้อยกว่าร้อย
ประชาชน ดังนี้
ละ 50 โดยแบ่งเกณฑ์การ ประเมิน 4 ด้าน




ขั้นตอนที่ 5 กรณีผ่านมาตรฐาน อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและ ขั้นตอนที่ 4 กรมคุ้มครองสิทธิ

เสรีภาพในฐานะนายทะเบียน มีประกาศขึ้นทะเบียนเป็นศูนย์ไกล่ และเสรีภาพ โดยอนุกรรมการตรวจ
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมาย ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ ประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทภาคประชาชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ย พิพาทภาคประชาชน ซึ่งมีผู้อํานวย
ข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมาย มีภารกิจ ดังนี้ การกองส่งเสริมการระงับข้อพิพาท

(1) รับคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือผู้อํานวยการสํานักงานยุติธรรม
(2) ดําเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน จังหวัด หรือยุติธรรมจังหวัด เป็น

ตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ประธาน ดําเนินการตรวจมาตรฐาน
(3) ประสานงานและสนับสนุนการดําเนินงานไกล่เกลี่ยข้อ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน

พิพาท สรุปและรายงานผลการตรวจประเมิน
(4) ส่งเสริม และเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ย เสนอนายทะเบียน

ข้อพิพาท
(5) ดําเนินงานอื่นๆ ตามที่นายทะเบียนกําหนด

4. การประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน












ระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ว่าด้วยการ

ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
พ.ศ. 2562 กําหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและกํากับการ

ดําเนินงานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน โดยอธิบดี
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานกําหนดมาตรฐาน

และประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
และข้อ19 กําหนดให้นายทะเบียนจัดให้มีการประเมิน

มาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนอย่างน้อย
ปีละหนึ่งครั้งหรือตามที่คณะกรรมการกําหนด อธิบดีกรม

คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในฐานะประธานคณะกรรมการส่ง
เสริมและกํากับการดําเนินงานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชน จึงมีประกาศ เรื่อง มาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทภาคประชาชน กําหนดมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทภาคประชาชน แบ่งเป็น 4 ด้าน จํานวน 35 ตัวชี้วัด



5. การขอรับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน








ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนที่มีผลการดําเนินงานเกี่ยวกับการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และ
ผ่านการประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนประจําปี คณะ

ทํางานบริหารประจําศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนอาจกําหนดให้มีการ

ประชุมเพื่อพิจารณาเสนอขอรับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายการดําเนินการของศูนย์ไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนเช่น โครงการเกี่ยวกับการดําเนินงานตามกฎหมาย
ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน หรือ

การพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของคณะทํางาน หรือพัฒนาความร่วมมือ

ระหว่างหน่วยงานอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือโครงการ
ด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม

คณะกรรมการส่งเสริมและกํากับการดําเนินงาน


ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน






1. องค์ประกอบคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยกรรมการโดยตําแหน่ง รวม 5 คน

และผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 4 คน ดังนี้



อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ประธานกรรมการ
รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รองประธานกรรมการ

ผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุด กรรมการ
ผู้แทนสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ

ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมการระงับข้อพิพาท กรรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 4 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

ผู้อํานวยการกองส่งเสริมการระงับข้อพิพาท กรรมการและเลขานุการ
เจ้าหน้าที่ในกองส่งเสริมการระงับข้อพิพาท ผู้ช่วยเลขานุการ




2. หน้าที่และอํานาจของคณะกรรม แผนภาพ การยื่นคําขอจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน

การฯ ดังนี้
(1) กําหนดนโยบายการส่งเสริมและ

สนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็น จํานวนไม่น้อยกว่า 5 คน
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ประชาชนยื่นคําขอ มีคุณสมบัติ/ไม่มีลักษณะต้องห้าม
จัดตั้ง
เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทภาคประชาชน

(2) กํากับดูแลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมายว่า
รับเรื่องและตรวจสอบคุณสมบัติ
ด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ตรวจประเมินความพร้อมก่อนจัดตั้งศกช.
(3) กําหนดมาตรฐานและประเมิน
กรม คุ้ มครอง ไม่เห็นควจัดตั้งแจ้งให้ผู้ยื่นคําขอทราบ
มาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค 1)จําหน่ายคําขอ
สิทธิและเสรีภาพ
2)หากประสงค์พัฒนาเพื่อยื่นขอจัดตั้งใหม่
ประชาชน
(4) พิจารณาการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของ
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน

ตามระเบียบที่อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพกําหนดโดยความเห็นชอบ ดําเนินงานตามภารกิจที่กําหนด
เห็นควรจัดตั้ง
ของกระทรวงการคลัง จัดให้มีการประเมินมาตรฐาน ศกช.
ขึ้นทะเบียนเป็น
(5) จัดให้มีฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับการ อย่างน้อยปีละ1ครั้ง
ศกช.
ดําเนินงานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค
ประชาชน

“ข้อพิพาทที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค


ประชาชนไกล่เกลี่ยได้”









ห ลั ก ก า ร ส ํา คั ญ ต า ม พ ร ะ ร า ช

บัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.

2562 กําหนดไว้ในมาตรา 68 มาตรา 69

และมาตรา 70 โดยสรุป ดังนี้












• กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็น

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชน

• ผู้ไกล่เกลี่ยของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนต้องมีคุณสมบัติและไม่มี
ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10

• อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นนายทะเบียนของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทภาคประชาชน

• กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมีหน้าที่และอํานาจกํากับดูแลการไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้













ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนมีอํานาจหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดย
มาตรา 69กําหนดให้ภายใต้บังคับมาตรา 20 และระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ว่าด้วยการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ใกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ประกาศ ณ วันที่ 19

พฤศจิกายน 2562 เพื่อรองรับข้อกําหนดของพระราชบัญญัตินี้ด้วย การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดย

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้กระทําได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (1) ข้อพิพาททางแพ่งที่มีทุน
ทรัพย์ไม่เกิน 500,000 บาทหรือไม่เกินจํานวนตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา (2) ข้อพิพาททาง
แพ่งอื่นนอกจาก (1) ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา (3) ข้อพิพาททางอาญาตามมาตรา 35

1. ข้อพิพาททางแพ่ง (มาตรา 20)









คําว่า “ข้อพิพาททางแพ่ง” หมายถึง ข้อโต้

แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสองฝ่ายหรือมากกว่า เกี่ยว
กับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง โดย

บุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิจะต้องนําคดีไปสู่ศาลที่มีเขต
อํานาจเพื่อให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสิน

และบังคับตามข้อพิพาทนั้น ซึ่งเป็นการดําเนินคดีตาม
กระบวนการยุติธรรมกระแสหลักในการนี้พระราช

บัญญัติได้กําหนด









ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 กําหนดให้ข้อพิพาททาง

แพ่งบางกรณีสามารถไกล่เกลี่ยได้ด้วยความสมัครใจของคู่กรณีทุกฝ่าย โดยศูนย์ไกล่เกลี่ย

ข้อพิพาทภาคประชาชนหรือ ศกช. สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งได้ 4 กรณี ดังนี้









กรณีที่ 1 ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับที่ดินที่ไม่ใช่
ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ หมายความว่า ข้อ

พิพาทที่ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งความเป็นเจ้าของ

ทรัพย์สิน และไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนชื่อเจ้าของใน
เอกสารกรรมสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น สัญญาขายฝาก
สัญญาจํานอง

สิทธิในที่ดินตามความหมายของกฎหมายที่ดิน

มี 2 ประการ คือ

ประการแรก กรรมสิทธิ์ หมายถึง ความเป็นเจ้าของ
ซึ่งบุคคล อาจเป็นเจ้าของที่ดินได้โดยการมีกรรมสิทธิ์ โดยรัฐจะ

ออกหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ให้ ได้แก่ โฉนดที่ดิน โฉนด
แผนที่ โฉนดตราจองและตราจองที่ตราว่าได้ทําประโยชน์แล้ว

ดังนั้น กรณีการแย่งการครอบครองที่ดินโดยสงบ เปิดเผย และ
เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์

(กรณีดังกล่าวไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้)
ประการที่สอง สิทธิครอบครอง หมายถึง สิทธิครอบ

ครองในฐานะเป็นเจ้าของ โดยการทําประโยชน์หรือการยึดถือ
ครองเพื่อ โดยรัฐจะออกหนังสือรับรองการทําประโยชน์หรือ

หลักฐานที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้ เช่น หนังสือรับรองการทํา
ประโยชน์ (น.ส.3, น.ส. 3 ก., น.ส. 3 ข.), ใบเหยียบยํ่า ตราจอง

รวมถึงที่ดินที่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)
เป็นต้น ดังนั้น กรณีการแย่งการครอบครองที่ดินโดยมีเจตนา

ยัดถือเพื่อตน เจ้าของเดิมไม่ฟ้งเอาคืนภายใน 1 ปี ผู้นั้นจึงจะได้
ไปซึ่งสิทธิครอบครอง (กรณีดังกล่าวไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้)







กรณีที่ 2 ข้อพิพาทระหว่างทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก คําว่า “ทรัพย์
มรดก” คือ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายที่ตกทอดแก่ทายาทเมื่อผู้ตายถึงแก่

ความตาย รวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ ที่ผู้ตายมีอยู่ เว้นแต่ตาม
กฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ซึ่งทายาทผู้

มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามกฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ประเกท คือ
ทายาทโดยพินัยกรรม และ ทายาทโดยธรรม ซึ่งทายาทโดยธรรมมี 6

ลําดับ ดังนี้ 1) ผู้สืบสันดาน คือบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอก
กฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม 2) บิดามารดา ในกรณีบิดา

นั้นเฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่มีสิทธิรับมรดก 3) พี่น้องร่วม
บิดามารดาเดียวกัน 4) พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน หรือที่เรียก

กันว่าพี่น้องต่างพ่อหรือต่างแม่ 5) ลุง ป้า น้า อา และ 6) ปู่ ย่า ตา ยาย

กรณีที่ 3 ข้อพิพาทอื่นตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยกฎหมายเปิดช่องทางให้

สามารถแก้ไขเพิ่มเติมข้อพิพาททางแพ่งอื่นนอกจากที่กําหนดในกรณีที่ 1 และที่ 2 ได้สะดวกและ
เหมาะสมตามสภาวะการณ์



กรณีที่ 4 ข้อพิพาทอื่นนอกจากกรณีที่ 1-2 และกรณีที่ 3 ที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 500,000

บาท หรือไม่เกินจํานวนตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ ข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญาชื่อ

ขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาเช่าซื้อ สัญญากู้ยืม สัญญาคํ้าประกัน สัญญาจํานอง สัญญา
จํานํา เป็นต้น โดยกฎหมายเปิดช่องทางให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมจํานวนทุนทรัพย์ในข้อพิพาท

ทางแพ่งอื่นตามที่กําหนด ได้สะดวกและเหมาะสมตามสภาวะการณ์
แต่มีข้อพิพาททางแพ่งบางกรณีที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน (ศกช.) ที่ไม่มีอํานาจไกล่

เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งได้ รวม 3 กรณี ดังนี้



กรณีที่ 1 ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล คําว่า สิทธิแห่งสภาพบุคคล

หมายถึง สิทธิต่างๆ เกี่ยวกับสถานะภาพ และความสามารถของบุคคลตามที่
บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 2 หมวด 1 เช่น

การใช้ชื่อใช้นาม การร้องขอให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้
อนุบาลการทําการแทนผู้ไม่อยู่หรือคนสาบสูญ การถือสัญชาติ ข้อพิพาทความ

เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือต่างด้าว เป็นต้น

กรณีที่ 2 ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว คําว่า สิทธิในครอบครัว หมายถึง
สิทธิที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา หรือบิดามารดากับบุตร เช่น ภริยา

เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี สามีหรือภริยาฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทน
จากหญิงอื่นหรือจากชายอื่นที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับภริยาหรือสามีของตน

การขอให้การสมรสเป็นโมฆะ ข้อพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์และอํานาจปกครองบุตร
การขอหย่าและแบ่งสินสมรส หรือการรับผิดฐานะเป็นทายาทของผู้ตาย เป็นต้น


กรณีที่ 3 ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ คําว่า อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ที่ดิน

ทรัพย์อันติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน รวมทั้งสิทธิทั้งหลายอัน
เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย อสังหาริมทรัพย์ออกได้ ดังนี้

- ที่ดิน พื้นดินทั่วไป รวมถึงภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นต้น
- ทรัพย์อันติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร ได้แก่ ไม้ยืนต้น อาคาร โรงเรือน หรือ สิ่งก่อสร้างบน

ที่ดิน เช่น บ้าน ทาวน์เฮาส์ โรงงาน อาคารพาณิชย์ เป็นต้น
- ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ได้แก่ แม่นํ้า ลําคลอง แร่ธาตุ กรวด ดินทรายที่มีอยู่ตาม

ธรรมชาติ หรือทรัพย์ที่มนุษย์นํามารวมไว้กับที่ดินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินตามธรรมชาติ
- สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีโฉนด สิทธิครอบครองใน

ที่ดินที่ไม่มีโฉนด ภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ คือ สิทธิในความเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือ

อํานาจกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มี 5
ประการ คือ 1) สิทธิใช้สอยทรัพย์สิน 2) สิทธิจําหน่ายทรัพย์สิน 3) สิทธิได้ดอกผลแห่ง
ทรัพย์สิน 4) สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากผู้ที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือได้ 5) มีสิทธิขัด

ขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ตัวอย่าง คดีพิพาทที่เกี่ยวกับการพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่
สามารถจะนํามายื่นคําขอให้ไกล่เกลี่ยได้ เช่น
• ผู้จะซื้อฟ้องบังคับให้ผู้จะขายโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ตน (อ้างสิทธิตามสัญญา)

• นายดําอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของนายขาว เกิน 10 ปี

• การอ้างว่าเป็นที่งอกริมตลิ่ง
• การอ้างให้เปิดทางจําเป็นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ
• การขอให้รื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกสร้างรุกลํ้ามาในที่ดิน

• เจ้าของที่ดินขอให้ขับไล่ผู้เช่าที่ดินผู้อาศัย หรือผู้อื่นที่เข้ามาอยู่ในที่ดิน

• การขอฟ้องบังคับจํานองอสังหาริมทรัพย์อันมีผลบังคับแก่ทรัพย์จํานองที่เป็นประกัน
ให้ต้องถูกนําออกขายทอดตลาด
• กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ (สิทธิครอบครอง) หากมีข้อโต้เถียงเรื่องความเป็นเจ้าของ

ที่ดินหรือขอให้เปิดทางจําเป็นในที่ดิน

2. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา









กรณีที่ 1 ความผิดอันยอมความได้ หมายความว่า คดี
ความผิดที่ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยตรง

(ความผิดต่อส่วนตัว) สังคมไม่ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนจาก
การกระทําผิดนั้นด้วย ดังนั้น ผู้เสียหายจึงมีสิทธิเข้าดําเนินคดีได้เอง

หรือมอบให้รัฐดําเนินคดีแทนก็ได้ และมีสิทธิยุติคดีเมื่อใดก็ได้ไม่ว่าจะ
ด้วยการถอนคําร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือตกลงประนีประนอมยอม

ศู น ย์ ไก ล่ ความได้ เช่น ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (มาตรา 352) ความผิด

เกลี่ยข้อพิพาทภาค ฐานฉ้อโกง (มาตรา 341) ความผิดฐานหมิ่นประมาท (มาตรา 326)
ประชาชน หรือ ศกช. ความผิดฐานบุกรุก (มาตรา 362) เป็นต้น (ความผิดต่อส่วนตัวนั้น

สามารถไกล่เกลี่ยข้อ สังคมไม่ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนจากการกระทําผิดนั้นด้วย)
พิพาททางอาญาได้

ตามมาตรา 35 ได้ 2 กรณีที่ 2 ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดที่มีโทษเล็กน้อยซึ่งมี
กรณี ดังนี้ อัตราโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้ง

จําทั้งปรับ และด้วยเหตุเป็นความผิดมีอัตราโทษเล็กน้อย จึงมีกระบวน
พิจารณาพิเศษ ได้แก่ ความผิดลหุโทษแม้กระทําโดยไม่มีเจตนาก็เป็น

ความผิด เว้นแต่ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็น

เป็นอย่างอื่น ส่วนผู้พยายามกับผู้สนับสนุนกระทําความผิดลหุโทษ แม้
มีความผิดก็ไม่ต้องรับโทษ

ตามพระราชบัญญัตินี้กําหนดให้ความผิดลหุโทษในคดีระหว่างบุคคล

ที่สามารถไกล่เกลี่ยได้ ซึ่งแบ่งความผิดลหุโทษออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้





ส่วนที่ 2 ความผิดลหุโทษอื่นที่ไม่
ส่วนที่ 1 ความผิดลหุโทษ ตามประมวล
กระทบต่อส่วนรวมตามที่กําหนดในพระ
กฎหมายอาญา มาตรา 390 มาตรา 391 มาตรา
ราชกฤษฎีกา กล่าวคือพิจารณาจาก
392 มาตรา 393 มาตรา 394 มาตรา 395 และ
หลักการกระทําความผิดที่ผลกระทบต่อ
มาตรา 397 ได้แก่
ปัจเจกบุคคลเป็นการส่วนตัวและเป็น
มาตรา 390 ประมาทเป็นเหตุให้บุคคล
เรื่องเล็กน้อยซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมาย
อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิยุติคดีได้เอง
มาตรา 391 ทําร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็น
เหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ
มาตรา 392 ทําให้ผู้อื่นเกิดความกลัว
ผลของการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์
หรือตกใจโดยการขู่เข็ญ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน คือ ใน
มาตรา 393 ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือ
กรณีที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ด้วยการโฆษณา
เห็นว่าการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์
มาตรา 394 ไล่ต้อนหรือทําให้สัตว์เข้า
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในเรื่อง
สวนไร่นาของผู้อื่นที่แต่งดินไว้ เพาะพันธุ์ไว้หรือมี
ใดได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
พืชพันธุ์ หรือผลผลิตอยู่
และออกหนังสือรับรองให้แล้วส่งผลให้
มาตรา 395 ปล่อยปละละเลยให้สัตว์
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทนั้นบังคับกันได้
เข้าในสวนไร่นาของผู้อื่นที่แต่งดินไว้เพาะพันธุ์ไว้หรือมี
เกิดมูลหนี้ใหม่ตามบันทึกข้อตกลงหรือ
พืชพันธุ์ หรือผลิตผลอยู่
ทําให้สิทธินําคดีอาญามาฟ้องระงับไป
มาตรา 397 กระทําด้วยประการใดๆ
หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามบันทึก
อันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่นหรือกระทําให้ผู้อื่นได้
ข้อตกลง สามารถนําบันทึกข้อตกลงไป
รับความอับอายหรือเดือดร้อนรําคาญในที่สาธารณะ
ร้องขอให้ศาลออกคําบังคับได้



บันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท
ผลของการ เกิดมูลหนี้ใหม่ตามบันทึกข้อตกลง
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องระงับไป


หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง


หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง

สามารถนําบันทึกข้อตกลงไปร้องขอให้ศาลออกคํา

บังคับได้

“การเป็นผู้ไกล่เกลี่ย”







คุณสมบัติ ดังนี้
1) ผ่านการอบรมการไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมกาพัฒนา
กําหนดให้บุคคลที่ประสงค์จะขึ้น การบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตาม

ทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยให้ยื่นคําขอต่อนาย กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการบริหารงาน
ทะเบียน (มาตรา 9 วรรคหนึ่ง) เพื่อให้อํานาจ ยุติธรรมแห่งชาติรับรอง (มาตรา 10 ก. (1))

แก่หน่วยงานซึ่งดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อ 2) เป็นผู้มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ
พิพาทสามารถดําเนินการรับขึ้นทะเบียนและ อันจะเป็นประโยชน์แก่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

อบรมผู้ไกล่เกลี่ยด้วยตนเองได้ โดยให้ (มาตรา 10 ก. (2))
หัวหน้าหน่วยงานของรัฐแต่ละหน่วยงานเป็น ลักษณะต้องห้าม ดังนี้

นายทะเบียนและให้นายทะเบียนมีอํานาจ 1 ) เ ค ย รั บ โ ท ษ จ ํา คุ ก โ ด ย ค ํา
สรรหาบุคคลซึ่งมีความเหมาะสมซึ่งจะขึ้น พิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษ

ทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยได้ แต่ต้องได้รับความ สําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท หรือ
ยินยอมจากบุคคลนั้น (มาตรา 9 วรรคสอง) ความผิดลหุโทษ (มาตรา 10 ข. (1))

2) เป็นคนไร้ความสามารถ คน

เสมือนไร้ความสามารถ หรือคนวิกลจริตจิต
ฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือ (มาตรา 10 ข.
(2))

3) เคยถูกเพิกถอนการเป็นผู้ไกล่
1. การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและจัด
เกลี่ยตามพระราชบัญญัตินี้และยังไม่พ้น 5 ปี
ทําบัญชีรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย
นับถึงวันยื่นคําขอรับหนังสือรับรองการขึ้น
ระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย (มาตรา 10 ข. (3))
ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ย
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ไกล่เกลี่ยมีมาตรฐานเดียวกันและ
ข้อพิพาทภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ได้กําหนดให้
ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายทะเบียนจัดให้มีทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยศูนย์ไกล่

เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนขึ้นในกรมคุ้มครอง
2. การรับสมัครเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยการ
สิทธิและเสรีภาพ โดยคํานึงถึงความพร้อมและ
ดําเนินงาน รวม 4 ขั้นตอน ดังนี้
ความจําเป็น เมื่อมีทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยให้กรม
ขั้นตอนที่ 1 ประกาศรับสมัครบุคคลที่
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจัดให้มีบัญชีรายชื่อผู้
ประสงค์ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ไกล่เกลี่ยทั้งกรุงเทพมหานครและจังหวัด ทั้งนี้ ให้
ขั้นตอนที่ 2 บุคคลที่ประสงค์ยื่นคําขอขึ้น
ทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยสิ้นผล 3 ปีนับแต่วันมีประกาศ
ทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามแบบที่กําหนด
ขึ้นทะเบียน
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบคุณสมบัติและ

ลักษณะต้องห้ามรวมทั้งเอกสารหลักฐานประกอบ

คําขอ

เอกสารหลักฐานประกอบคําขอ ดังนี้

1) ทะเบียนบ้าน และบัตรประจําตัวประชาชนหรือบัตรประจําตัวเจ้าหน้าที่
ของรัฐ

2) แนบเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สําเนาแสดงคุณวุฒิพร้อมแสดงต้นฉบับ
รูปถ่ายสีปัจจุบันไม่สวมแว่นดํา ขนาด 1.5 นิ้ว จํานวน 2 รูป เอกสารหลักฐานแสดง

ประสบการณ์ปฏิบัติงานด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในหน่วยงานภาครัฐหรือภาคประชาชนที่
ดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่น้อยกว่า 5 เรื่อง หรือหนังสือรับรองประสบการณ์ด้านต่าง ๆ อัน

จะเป็นประโยชน์ต่อการไกล่เกลี่ย
ทั้งนี้ หากถูกต้องให้ลงทะเบียนรับคําขอพร้อมออกหลักฐานแสดง การรับให้แก่ผู้ยื่น

คําขอและดําเนินการต่อไปขั้นตอนที่ 4 การพิจารณาคําขอขึ้นทะเบียน โดยเจ้าหน้าที่ทําความเห็น
เสนอนายทะเบียนประกอบการพิจารณา และมีผลการพิจารณา ดังนี้

กรณีนายทะเบียนมีคําสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนผู้ยื่นคําขอเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและให้แสดงเหตุผลใน
การมีคําสั่งดังกล่าวด้วย พร้อมมีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคําขอทราบคําสั่งภายใน 7 วันนับแต่วันที่มี

คําสั่ง
กรณีนายทะเบียนมีคําสั่งรับขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และให้บันทึกไว้ในทะเบียนผู้ไกล่

เกลี่ยด้วย พร้อมออกหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน และบัตรประจําตัวผู้ไกล่เกลี่ยไว้เป็น ห ลั ก
ฐาน ในการนี้นายทะเบียนจะดําเนินการต่อทะเบียน แก้ไขข้อความกรณีที่ผู้ไกล่

เกลี่ยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนประสงค์จะแก้ไขข้อความในทะเบียนหนังสือ
รับรองการขึ้นทะเบียนหรือบัตรประจําตัวให้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือ









3. การสรรหาผู้ไกล่เกลี่ย ขั้นตอนที่1 คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม ซึ่งมีคุณสมบัติ และไม่มี
ให้นายทะเบียนมีอํานาจ ลักษณะ ต้องห้ามจะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกลเกลี่ย ตามที่กฎหมาย

สรรหาบุคคลซึ่งมีความเหมาะสมที่ กําหนด
จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยด้วย
ขั้นตอนที่2 ขอความยินยอมบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกตามขั้น
แต่ต้องได้รับความยินยอมจาก
ตอนที่1 หากประสงค์ที่จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ยื่นคําขอ
บุคคลนั้น บุคคลซึ่งมีความเหมาะ
พร้อมเอกสาร ประกอบตามที่กาหนด
สมดังกล่าว ให้หมายความรวมถึง
ผู้ไกล่เกลี่ยที่ขึ้นทะเบียนตามพระ ขั้นตอนที่3 รับแบบคําขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย (ตามแบบที่

ราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อ กําหนด)
พิพาท พ.ศ. 2562 โดยการดําเนิน
ขั้นตอนที่4 พิจารณามีคําสั่งรับขึ้นทะเบียน และให้ออกหนังสือ
งานรวม 4 ขั้นตอน ดังนี้
รับรองการขึ้นทะเบียนพร้อมบัตรประจําตัวให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยไว้เป็น

หลักฐาน

4. การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ย
4.1 หน้าที่และอํานาจของผู้ไกล่เกลี่ย (ตามมาตรา 11)

(1) กําหนดแนวทางและจัดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(2) ช่วยเหลืออํานวยความสะดวกและเสนอแนะคู่กรณีในการหาแนวทางยุติข้อพิพาท

(3) ดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยความเป็นกลาง
(4) จัดทําข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

4.2 ผู้ไกล่เกลี่ยกระทําการตามหน้าที่โดยสุจริต ได้รับการคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทางทั้งทาง
แพ่งและทางอาญา เพื่อให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้ไกล่เกลี่ย เนื่องจากการเปิดเผยข้อเท็จจริงของ

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอาจไปกระทบต่อชื่อเสียงของบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในขณะดําเนินการไกล่เกลี่ย
และจะทําให้ผู้มาขอขึ้นทะเบียนและทําหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมากขึ้น

5. จริยธรรมของผู้ไกล่เกลี่ย (ตามมาตรา 12)

(1) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง อิสระ ยุติธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
(2) เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททุกครั้งในกรณีที่ไม่อาจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทได้ต้องแจ้งเหตุและความจําเป็นล่วงหน้าให้หน่วยงานซึ่งดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ทราบ

(3) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็วไม่ทําให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทล่าช้าเกินสมควร
(4) ซื่อสัตย์สุจริต และไม่เรียกหรือรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด จากคู่กรณีหรือ

บุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท
(5) ปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยความสุภาพ

(6) รักษาความลับที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(7) ไม่กระทําการในลักษณะเป็นการชี้ขาดข้อพิพาท หรือบีบบังคับให้คู่กรณีฝ่าย

หนึ่งฝ่ายใดลงลายมือชื่อในข้อตกลงระงับข้อพิพาท
(8) กรณีอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกําหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้

เพื่อให้ผู้ไกล่เกลี่ยมีความระมัดระวังในพฤติกรรมของตนที่ไม่เหมาะสมในการทําหน้าที่เป็นผู้
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


6. การเปิดเผยข้อเท็จจริง ที่อาจเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลาง
และความเป็นอิสระของผู้ไกล่เกลี่ย กฎหมายกําหนดให้ผู้ไกล่เกลี่ยต้องแจ้งข้อเท็จ
จริงให้คู่กรณีทราบโดยเฉพาะในเรื่อง ดังนี้

(1) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรส

(2) เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ หรือเป็นพี่น้อง หรือลูกพี่
ลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งานนับได้เพียง
สองชั้น

(3) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือ

ตัวแทน
(4) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้หรือเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง

7. การคัดค้าน การถอดถอน การสิ้นสภาพ และการ
เพิกถอนผู้ไกล่เกลี่ย



7.1 การคัดค้าน

1) เหตุแห่งการคัดค้านผู้ไกล่เกลี่ย ตามมาตรา 13 ได้แก่ (1) เป็น คู่หมั้น
หรือคู่สมรส (2) เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูก
น้องนับได้เพียงภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น

(3) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์ หรือผู้แทนหรือตัวแทน (4) เป็น

เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง


7.2 การถอดถอน
1) เหตุแห่งการถอดถอน ตามมาตรา 15 ได้แก่ (1) กระทําฉ้อฉล

หรือข่มขู่คู่กรณี หรือ บุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท (2) ไม่มาปฏิบัติ
หน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยเกินสองครั้งโดยไม่มีเหตุอันควร (3) ขาดจริยธรรมตามมาตรา

12 และ (4) ถูกตั้งข้อรังเกียจตามมาตรา 14
2) คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคําขอถอดถอนหรือหน่วยงานซึ่ง

ดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเห็นเองว่ามีเหตุดังกล่าว และให้นายทะเบียนรับคํา
ขอถอดถอน แล้วแจ้งให้ผู้ไกล่เกลี่ยทราบโดยเร็ว พร้อมทําคําชี้แจง เมื่อเจ้าหน้าที่

ได้รับคําชี้แจงแล้วให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และทําความเห็นเสนอนายทะเบียน
พิจารณา

3) นายทะเบียนพิจารณาคําขอถอดถอน ต้องตรวจสอบข้อเท็จ
จริงและรับฟังคําชี้แจง หากไม่ปรากฎเหตุอันควรถอดถอนให้มีคําสั่งยก

คําขอถอดถอน และให้ผู้ไกล่เกลี่ยปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เว้นแต่ได้มีการ
แต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยคนอื่นแล้วในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเหตุอัน

สมควรถอดถอนให้นายทะเบียนมีคําสั่งถอดถอน และให้ผู้ไกล่เกลี่ยสิ้น
สุดการปฏิบัติหน้าที่ในข้อพิพาทนั้น พร้อมแจ้งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง



7.3 การสิ้นสภาพ และการเพิกถอน
1) เมื่อมีเหตุแห่งการสิ้นสภาพและเพิกถอนตามกฎหมายนาย
ทะเบียนมีคําสั่งถอดถอนผู้ไกล่เกลี่ยดังกล่าว

2) เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเอกสาร

หลักฐานแล้วทําความเห็นเสนอนายทะเบียนพิจารณามีคําสั่งต่อไป
3) นายทะเบียนพิจารณามีคําสั่งให้ผู้ไกล่เกลี่ยสิ้นสภาพหรือ
เพิกถอน หากปรากฎข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่กําหนดในกฎกระ

ทรวงฯ และให้จําหน่ายชื่อออกจากบัญชีรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย กรณีเพิกถอน

ยื่นคําร้องขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้เมื่อครบ 5 ปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคําสั่ง

8. การสิ้นสุดการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
8.1 เหตุแห่งการสิ้นสุดของผู้ไกล่เกลี่ยตามกฎหมาย ดังนี้

(1) ตาย
(2) ลาออก

(3) สิ้นสภาพการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือถูกเพิกถอนการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10

8.2 เมื่อได้รับทราบเหตุแห่งการสิ้นสุดดังกล่าวข้างต้น ให้รวบรวมข้อเท็จจริงและ
เอกสารหลักฐานแล้วทําความเห็นเสนอนายทะเบียนเพื่อพิจารณามีคําสั่งคัดรายชื่อผู้ไกล่

เกลี่ยนั้นออกจากทะเบียนและบัญชีรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย และแจ้งผลผู้ที่เกี่ยวข้อง

“การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน”











พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.
2562 บัญญัติรับรองผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ภาคประชาชน โดยมีเจตนารมณ์ในการลดจํานวนคดีที่
ขึ้นสู่การพิจารณาของศาล เพื่อยุติข้อพิพาทตั้งแต่

ต้นทาง โดยเฉพาะข้อพิพาทระหว่างคนในชุมชน สร้าง
ความเป็นธรรมทางสังคมและเป็นกระบวนการยุติธรรม

ทางเลือกที่เปิดโอกาสให้คู่กรณีหรือคู่ขัดแย้งสามารถ
เยียวยาหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยมี “ผู้ไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาท” ทําหน้าที่ช่วยเหลือให้ข้อแนะนําในการไกล่เกลี่ย
แต่ไม่ใช้ผู้ชี้ขาดข้อพิพาท โดยลักษณะของข้อพิพาทนั้น

หากเป็นข้อพิพาททางแพ่งต้องมีทุนทรัพย์ไม่มาก และ
กรณีที่เป็นข้อพิพาททางอาญาบางประเภทตามที่

กฎหมายกําหนด โดยบัญญัติบทนิยามศัพท์ที่สําคัญ
ได้แก่















“การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท” หมายความว่า การดําเนินการเพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลงกันระงับข้อ

พิพาททางแพ่งและทางอาญาโดยสันติวิธีและปราศจากการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท ทั้งนี้ไม่รวม
ถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดําเนินการในชั้นศาลและในชั้นการบังคับคดี

“ผู้ไกล่เกลี่ย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนและได้รับการแต่งตั้งให้ทําหน้าที่ใน
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

“ข้อตกลงระงับข้อพิพาท” หมายความว่า ข้อตกลงที่คู่กรณีตกลงให้มีผลผูกพันโดยชอบ
ด้วยกฎหมายเพื่อระงับข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องใด ๆ ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ และให้คู่กรณีแต่ละ

ฝ่ายต่างมีสิทธิหน้าที่ หรือความรับผิดเพียงเท่าที่กําหนดไว้ในข้อตกลงนั้น

โดยกฎหมายฉบับนี้ได้บัญญัติรับรองการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนและ

กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน การส่งเสริม และการกํากับดูแลศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชนซึ่งกําหนดให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ทําหน้าที่ในการส่งเสริมและ

สนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน โดยการจัดตั้งและการดําเนินการของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชน ต้องปฏิบัติตามระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ซึ่งกําหนดให้ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประขาชนต้องมี

คุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกําหนด ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนมี
อํานาจหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้เฉพาะที่กําหนดไว้ในกรณีต่อไปนี้









(1) ข้อพิพาททางแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 500,000 บาท หรือไม่เกินจํานวนตามที่
กําหนดในพระราชกฤษฎีกา









(2) ข้อพิพาททางแพ่งอื่นนอกจาก (1) ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา










(3) ข้อพิพาททางอาญาตามมาตรา 35

ประชาชนยื่นคําร้อง
ขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ประการสําคัญได้บัญญัติให้

ข้อตกลงระงับข้อพิพาทที่จัดทําขึ้น
หากกรมคุ้มครองสิทธิและสรีภาพ
ให้การรับรองว่าการไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น
ภาคประชาชนในเรื่องดังกล่าวนั้นได้
ดําเนินการตามที่กฎหมายกําหนด และ

ออกหนังสือรับรองให้แล้ว จะส่งผลให้
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทนั้นบังคับกัน

ได้หรือให้สิทธินําคดีอาญามาฟ้อง
ไกล่เกลี่ยไม่ได้ส่งต่อ ไกล่เกลี่ยได้สอบถามคู่
ระงับไปตามพระราชบัญญัตินี้
หน่วยงานอื่น กรณี







สมัครใจเข้าสู่กระบวนการ ไม่สมัครใจเข้าสู่

แต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย จากบัญชี กระบวนการจําหน่าย
ผู้ไกล่เกลี่ย คําร้อง





จะให้คู่กรณีแต่งตั้ง หรือ ศูนย์ไกล่เกลี่ย

ข้อพิพาทแต่งตั้งก็ได้




*ข้อพิพาท
ทางอาญา แจ้ง ดําเนินการจัดกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อ

พนง.อัยการ ศาลแล้ว พิพาท
แต่กรณี*







ตกลงกันไม่ได้
ตกลงกันได้ จัดทําบันทึกข้อ ผลการไกล่เกลี่ย

ตกลงระงับข้อพิพาท

กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชน (ศกช.) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 การยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ขั้นตอนที่ 2 การแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย
ขั้นตอนที่ 3 การดําเนินการไกล่เกลี่ย

ขั้นตอนที่ 4 การสิ้นสุดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ขั้นตอนที่ 5 การออกหนังสือรับรองบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท





ขั้นตอนที่ 1 การยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท





บุคคลที่ประสงค์จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทยื่นต่อศูนย์

ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน (ข้อ 40)





ประธานคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริงและ
เอกสารหลักฐานพร้อมทําความเห็น (ข้อ 42)




ไม่เข้าหลักเกณฑ์นาย
เข้าหลักเกณฑ์
ทะเบียนยกคําร้อง




พิจารณามีคําสั่ง

รับคําร้อง/ไม่รับคําร้อง






ลงทะเบียนรับคําร้องในสารระบบ







สอบถามความสมัครใจของคู่กรณี






แจ้งผลคู่กรณีทุกฝ่ายทราบและกําหนดนัดวัน

การยื่นคําร้องขอและการรับคําร้อง

เมื่อมีข้อขัดแย้ง ข้อโต้เถียง ข้อโต้
สามารถยื่นคําร้องต่อศูนย์ไกล่
แย้งระหว่างคู่กรณี ที่ทั้งสองฝ่ายไม่
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ดังนี้
สามารถตกลงกันได้ ไม่ว่าทั้งทางแพ่งหรือ
(1) ยื่นคําร้องด้วยตนเองโดยทําเป็น
ทางอาญาซึ่งประสงค์จะเจรจาตกลงกัน
หนังสือ
ระงับข้อพิพาททางแพ่งหรือทางอาญาโดย
(2) ยื่นคําร้องโดยทางไปรษณีย์
สันติวิธีปราศจากการวินิจฉัยชี้ขาดข้อ
อิเล็กทรอนิกส์
พิพาทและให้ข้อตกลงระหว่างคู่กรณีมีผล
(3) โดยช่องทางอื่นที่นายทะเบียน
ผูกพันโดยชอบด้วยกฎหมาย









คําร้องต้องมีรายละเอียด ดังนี้
(1) ชื่อ สกุล ที่อยู่ ของผู้ยื่นคําร้อง

(2) ชื่อ สกุล ที่อยู่ ของคู่กรณี และผู้ที่เกี่ยวข้อง
(3) สรุปข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาท

(4) ความประสงค์ในการขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
เช่น คําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์หรือจํานวนเงินที่เรียกร้อง

(5) หนังสือแสดงความสมัครใจเข้าร่วมการไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทของคู่กรณีอีกฝ่าย (ถ้ามี)







สถานที่ยืนคําร้อง

ให้ยื่นต่อศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ซึ่งคู่
กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลําเนา หรือสถานที่เกิดข้อพิพาท

หรือตามที่คู่กรณีตกลงกัน หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
เมื่อประธานคณะทํางาน หรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบ

หมายได้รับคําร้องแล้วให้ตรวจสอบข้อความในคําร้องและ
เอกสารหรือหลักฐานที่ยื่นประกอบคําร้องว่าถูกต้องครบถ้วน

หรือไม่ หากเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนให้ลงทะเบียนรับคําร้อง
พร้อมลงรายละเอียดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในแฟ้มเอกสารและ

แบบการตรวจสอบ (Checklist) ด้วย

การพิจารณามีคําสั่งรับคําร้องหรือไม่รับคําร้อง

กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ 40 วรรคสอง ให้นายทะเบียนยกคําร้อง (ประธานคณะ

ทํางานทําหนังสือแจ้งไปยังนายทะเบียน)
กรณีคําร้องมีข้อความหลักฐานครบถ้วน ให้ศูนย์ฯออกหลักฐานแสดงการรับคําร้อง
กรณีคําร้องไม่ถูกต้องหรือมีรายการไม่ครบถ้วน ให้คืนคําร้องนั้นไปให้ทํามาใหม่หรือแก้ไข

เพิ่มเติมให้ถูกต้องภายในระยะเวลา 30 วัน หากผู้ยื่นคําร้องไม่แก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องภายในเวลา

ที่กําหนด ให้ถือว่าผู้ยื่นคําร้องไม่ประสงค์จะยื่นคําร้อง









การลงทะเบียนรับคําร้อง

เมื่อประธานคณะทํางานหรือบุคคลที่นาย
ทะเบียนมอบหมายตรวจสอบหลักเกณฑ์ข้อพิพาท

และข้อความและเอกสารประกอบแล้ว ให้ลงทะเบียน

รับคําร้องในสารระบบที่จัดทําไว้









การสอบถามความสมัครใจคู่กรณีอีกฝ่าย

เมื่อศูนย์ฯ ดําเนินการลงทะเบียนรับคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแล้ว ให้จัดทําหนังสือ
สอบถามความสมัครใจไปยังคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้คู่กรณีและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (ถ้ามี)

ตอบรับการ เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยให้คู่กรณีตอบกลับมาภายใน 15 วันนับแต่วันที่
ได้รับสําเนาคําร้อง เว้นแต่ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายร่วมกันยื่นคําร้อง

- กรณีคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจหรือไม่ตอบรับภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้จําหน่าย
คําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น

- กรณีคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจ ให้แจ้งผู้ยื่นคําร้องทราบ และให้ประธานคณะทํางาน
หรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมายเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาเพื่อให้กําหนดวัน และเวลานัดไกล่

เกลี่ยและเสนอรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อกําหนดจํานวนผู้ไกล่เกลี่ยและเลือกผู้ไกล่เกลี่ย รวมทั้งชี้แจง
คู่กรณีเกี่ยวกับกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ผลทางกฎหมายในการไกล่เกลี่ย และสิทธิในการ

ยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ทั้งนี้ ถ้ามีคู่กรณีมากกว่าสองฝ่าย และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สมัครใจให้ดําเนินการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีที่สมัครใจเข้าร่วมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่อไปได้

ให้แจ้งผู้ยื่นคําร้องทราบ และให้ประธานคณะทํางานหรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมาย
เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาเพื่อให้กําหนดวัน และเวลานัดไกล่เกลี่ยและเสนอรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย

เพื่อกําหนดจํานวนผู้ไกล่เกลี่ยและเลือกผู้ไกล่เกลี่ย รวมทั้งชี้แจงคู่กรณีเกี่ยวกับกระบวนการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ผลทางกฎหมายในการไกล่เกลี่ย และสิทธิในการยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท









การแจ้งผลให้คู่กรณีทุกฝ่ายทราบและกําหนดนัดวันแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย
กรณีคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจหรือไม่ตอบรับภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้ประธาน

คณะทํางานหรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมาย ดําเนินการแจ้งให้ผู้ยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ย
ทราบ

กรณีคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจ ให้ประธานคณะทํางานหรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบ
หมายดําเนินการแจ้งคู่กรณีทุกฝ่ายทราบ และกําหนดวัน เวลา สถานที่นัดหมายให้คู่กรณีทุก

ฝ่ายมาพร้อมกัน เพื่อร่วมกันแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย

ขั้นตอนที่ 2 การแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย








การแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย










ประชุมกําหนดจํานวนผู้ไกล่เกลี่ยและเลือกผู้ใกล่เกลี่ย








คู่กรณีตกลงรวมกัน การแต่งตั้งผู้ใกล่ คู่กรณีประสงค์ให้ศูนย์ฯแต่งตั้งผู้ไกล่
เกลี่ยรวมกันร่วมกันได้ เกลี่ย










เลือกผู้ใกล่เกลี่ยตามความเหมาะสมและ
สอบถามความยินยอมผู้ไกล่เกลี่ย
สอบถามความยินยอมผู้ใกล่เกลี่ย










พิจารณาแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย พิจารณาแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย










แจ้งผลและกําหนดวันจัดกระบวนการไกล่ แจ้งผลและกําหนดวันจัดกระบวนการไกล่
เกลี่ย เกลี่ย

การประชุมกําหนดจํานวนและเลือกผู้ไกล่เกลี่ย
เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายตกลงยินยอมเข้าสู่

กระบวนการไกล่เกลี่ยศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชน จะแจ้งเป็นหนังสือให้คู่กรณี ทุก

ฝ่ายทราบ พร้อมกําหนดวันเวลาสถานที่ ให้คู่
กรณีมาพร้อมกันเพื่อกําหนดจํานวนและเลือกผู้

ไกล่เกลี่ย เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายมาพร้อมกันตาม
กําหนดนัดให้เจ้าหน้าที่จัดให้คู่กรณีร่วมกัน

กําหนดจํานวนผู้ไกล่เกลี่ย และเลือกผู้ไกล่เกลี่ย
จากบัญชีผู้ไกล่เกลี่ยที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ภาคประชาชนจัดทําไว้

กรณีไม่สามารถเลือกผู้ไกล่เกลี่ยได้
ก. คู่กรณีไม่สามารถตกลงแต่งตั้งผู้ไกล่

เกลี่ยได้ และคู่กรณีตกลงกันขอให้ศูนย์ฯแต่งตั้ง
ผู้ไกล่เกลี่ยจากบัญชีผู้ไกล่เกลี่ย ให้ศูนย์ฯ

พิจารณาแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยต่อไป
ข. คู่กรณีไม่สามารถตกลงแต่งตั้งผู้ไกล่

เกลี่ยได้ และไม่ร้องขอให้ศูนย์ฯ แต่งตั้งผู้ไกล่
เกลี่ย ให้ศูนย์ฯ จัดทําบันทึกเสนอความเห็นต่อ

นายทะเบียนเพื่อจําหน่ายคําร้อง



กรณีเลือกผู้ไกล่เกลี่ยได้ให้ดําเนินการดังนี้

ก. กรณีผู้ไกล่เกลี่ยหนึ่งคน ให้คู่กรณีร่วมกันแต่งตั้งผู้
ไกล่เกลี่ย
ข. กรณีผู้ไกล่เกลี่ยสองคน ให้คู่กรณีแต่ละฝ่ายแต่งตั้งผู้

ไกล่เกลี่ย ฝ่ายละหนึ่งคน

ค. กรณีผู้ไกล่เกลี่ยสามคน ให้คู่กรณีแต่ละฝ่ายแต่งตั้งผู้
ไกล่เกลี่ย ฝ่ายละหนึ่งคนและให้คู่กรณีทุกฝ่ายร่วมกันแต่งตั้งผู้
ไกล่เกลี่ยคนที่สามในการดําเนินการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยนั้น

ศูนย์ฯ อาจจัดให้คู่กรณีเลือกผู้ไกล่เกลี่ยในลําดับสํารองไว้ 2

ลําดับ กรณีผู้ไกล่เกลี่ยหลักที่คู่กรณีร่วมกันแต่งตั้งไม่สามารถ
เข้าร่วมการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ในข้อพิพาทนั้นการแต่ง
ตั้งผู้ไกล่เกลี่ยคนหนึ่งหรือหลายคนเกิดจากการที่คู่กรณีร่วม

กันตกลงกันแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย

- ผู้ไกล่เกลี่ยให้ความยินยอมที่

จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้
ประธานคณะทํางานแจ้งให้คู่กรณีทุก

เมื่อคู่กรณีทุกฝ่ายร่วมกันกําหนด ฝ่ายทราบถึงจํานวนผู้ไกล่เกลี่ย และผู้

จํานวนผู้ไกล่เกลี่ยและร่วมกันเลือกผู้ไกล่ ไกล่เกลี่ยที่ให้ความยินยอมในการเข้า
เกลี่ยจากบัญชีผู้ไกล่เกลี่ยที่ศูนย์ฯ จัดทําไว้ ร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย

เรียบร้อยแล้ว หรือ ศูนย์ฯเลือกผู้ไกล่เกลี่ย  
ตามความเหมาะสมแล้ว ศูนย์ฯจะมีหนังสือ
- ผู้ไกล่เกลี่ยไม่ยินยอมที่จะถูก
สอบถามความยินยอมไปยังผู้ไกล่เกลี่ยใน
แต่งตั้งเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ให้ประธานคณะ
การเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยใน
ทํางานแจ้งให้คู่กรณีทุกฝ่ายทราบ และจะ
ข้อพิพาทนั้น ดังนี้
ดําเนินการสอบถามความยินยอมของผู้

ไกล่เกลี่ยในลําดับรองที่คู่กรณีเลือก

สํารองไว้ เพื่อจะได้แต่งตั้งเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ต่อไป หรือดําเนินการจัดให้คู่กรณีเลือกผู้
ไกล่เกลี่ยคนใหม่เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้

ไกล่เกลี่ยในข้อพิพาทนั้น











การพิจารณามีคําสั่ง
เมื่อผู้ไกล่เกลี่ยที่คู่กรณีร่วมกันตกลงแต่งตั้งตอบรับเข้าร่วมการ

ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว ให้ประธานคณะทํางาน จัดทําบันทึก

เสนอนายทะเบียนเพื่อมีหนังสือแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย






 
แจ้งผลและกําหนดวันจัดกระบวนการไกล่เกลี่ย

เมื่อดําเนินการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว ให้ประธานคณะทํางานแจ้งผล

การ แต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีทุกฝ่ายและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ไกล่เกลี่ย
ทุกคนทราบพร้อมทั้งประสานผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อกําหนด วัน เวลา นัดคู่กรณีทุก
ฝ่ายมาพร้อมกันเพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนัดแรก

ขั้นตอนที่ 3 การดําเนินการไกล่เกลี่ย









ดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท





การประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผู้ไกล่เกลี่ยเปิดประชุม (นัดแรก)






การค้นหาประเด็นข้อพิพาทและความต้องการที่แท้จริง





ผู้ใกล่เกลี่ยสรุปประเด็นทั้งหมด





การแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในประเด็นข้อพิพาท






การดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

เป็นขั้นตอนการดําเนินการไกล่เกลี่ย โดยผู้ที่มีบทบาทสําคัญในขั้น

ตอนนี้ คือ ผู้ไกล่เกลี่ยที่ต้องทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับข้อ
พิพาทแล้วนํามาวิเคราะห์พิจารณาข้อพิพาท เพื่อออกแบบการไกล่เกลี่ยและ

กําหนดแนวทางการไกล่เกลี่ย โดยกําหนดขั้นตอนวิธีการว่าจะไกล่เกลี่ย
อย่างไร ดังนี้



1. รวบรวมข้อมูลของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย

2. กําหนดตัวผู้เกี่ยวข้องในการร่วมประชุม เช่น คู่กรณี ตัวแทน
3. ประเมินสไตล์ บุคลิกภาพ รวมถึงอํานาจที่มีของคู่กรณีแต่ละฝ่าย

4. ตรวจสอบความเข้าใจของคู่กรณีเกี่ยวกับกระบวนการไกล่เกลี่ย
5. การจัดสถานที่ไกล่เกลี่ย กําหนดรูปแบบและแนวทางการไกล่เกลี่ยให้

เหมาะสมกับข้อพิพาทและคู่กรณี
6. ช่วยเหลือและอํานวยความสะดวก และเสนอแนะคู่กรณีในการหาแนวทาง

ยุติข้อพิพาท

การประชุมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท  

วันนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นขั้นตอนการประชุมการไกล่เกลี่ยร่วมกันนัดแรก เมื่อคู่กรณีทุก

ฝ่ายมาพร้อมกันตามนัดประธานคณะทํางาน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญคู่กรณีและผู้ที่
เกี่ยวข้องเข้าสู่ห้องไกล่เกลี่ยที่ได้จัดเตรียมไว้ และรวบรวมเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดของคู่กรณีทุก
ฝ่ายเพื่อให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะ

กรณี ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาในการดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คณะทํางานมีหน้าที่อํานวยความ

สะดวกโดยให้คู่กรณีทุกฝ่ายแสดงความสมัครใจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วย


1. กล่าวเปิดประชุม กล่าวต้อนรับและแนะนําตนเอง

2. อธิบายให้คู่กรณีทราบถึงข้อดีและประโยชน์ของการไกล่เกลี่ย

3. อธิบายให้คู่กรณีทราบถึงสิทธิในการคัดค้านถอดถอนการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และสิทธิในการถอนตัวออก
จากกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
4. เปิดเผยถึงความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตนเอง ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้คู่กรณี

ทราบโดยเฉพาะที่เกี่ยวพันกับคู่กรณีไม่ว่าฝ่ายใดในเรื่อง ดังนี้

(1) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรส
(2) เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้น
หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น

(3) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทน

(4) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง


5. ตกลงกับคู่กรณีเพื่อกําหนดกรอบระยะเวลา และแผนการดําเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

6. สอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาท ความประสงค์ของคู่กรณีในการระงับข้อพิพาท และข้อเท็จจริง

อื่นที่เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
7. อธิบายให้คู่กรณีเข้าใจซึ่งกันและกันหรือผ่อนปรนเข้าหากันอันนําไปสู่การตกลงระงับข้อพิพาทกันได้
8. แจ้งให้คู่กรณีทราบว่าต้องดําเนินการไกล่เกลี่ยต่อหน้าคู่พิพาทเว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทในบางสถานการณ์ อาจมีการดําเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทลับหลังคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้

และผู้ไกล่เกลี่ย มีหน้าที่แจ้งการดําเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น ให้คู่กรณีที่มิได้เข้าร่วมทราบด้วย
ลูกจ้าง
9. แจ้งให้คู่กรณีทราบว่ากระบวนการไกล่เกลี่ยนั้นเป็นความลับ อนุญาตให้ทนายความหรือที่ปรึกษาของ

คู่กรณีหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยก็ได้ ได้แก่ ผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ผู้แทนหรือ

ผู้รับมอบอํานาจ หรือบุคคลที่คู่กรณียินยอมให้เข้าร่วมด้วยเท่านั้น
10. ตรวจสอบผู้เข้าร่วมประชุมว่า ได้รับมอบอํานาจมาถูกต้องและมีอํานาจตัดสินใจหรือไม่
11. อธิบายให้คู่กรณีทราบและตระหนักว่าการไกล่เกลี่ย เป็นวิธีการค้นหาทางออกด้วยการแก้ไขปัญหา

ร่วมกันโดยอิสระ

 

ข้อพึงปฏิบัติของผู้ไกล่เกลี่ยที่สําคัญ

พิจารณาว่าคู่กรณีฝ่ายใดควรเริ่มก่อน
- คู่กรณีผู้ยื่นคําร้อง

- คู่กรณีอีกฝ่าย
- ให้คู่กรณีตกลงกันเอง

บทบาทของผู้ไกล่เกลี่ย
- ฟังอย่างตั้งใจ ไม่ขัดจังหวะระหว่างการกล่าวข้อเท็จ

จริง
- ถามคําถามในกรณีที่ต้องการความชัดเจนและช่วย

ให้เนื้อหาอยู่ในประเด็น
- ควบคุมการไกล่เกลี่ยให้เป็นไปตามกติกาที่วางไว้

- สรุปคํากล่าวข้อเท็จจริงของทั้งสองฝ่ายด้วย
ถ้อยคําที่เหมาะสม











การค้นหาประเด็นข้อพิพาทและ


ความต้องการที่แท้จริง
ขั้นตอนหลังจากที่ผู้ไกล่เกลี่ยได้
กล่าวเปิดประชุมเรียบร้อยแล้ว ผู้ไกล่ สรุปได้ ดังนี้
เกลี่ยมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อกําหนด

ประเด็นข้อพิพาท โดยผู้ไกล่เกลี่ยขอให้คู่

กรณีกล่าวเปิดการเจรจาโดยให้กล่าวใน
หัวข้อต่อไปนี้ เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร
มีที่มา หรือเบื้องหลังอย่างไร ผลของข้อ

พิพาทที่กระทบถึงตน ความวิตกกังวล
ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น เคยพยายามแก้ไข
1. ให้คู่กรณีเสนอเรื่องราวและสิ่งที่
ปัญหาด้วยวิธีการใดแล้วบ้าง มีข้อเสนอ
เป็นทางเลือกในการยุติข้อพิพาท หรือมี
2. กระตุ้นให้คู่กรณีทุกฝ่ายพูดและเสนอ
ข้อเสนอในการเยียวยาแก้ไขความเสีย
เรื่องราวและสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
3. เป็นผู้รวบรวมรับฟังข้อเท็จจริง และ
หายอย่างไรบ้าง ต้องการโดยย่อ
เป็นนักฟังจับประเด็นที่ดี
4. จําแนกจุดยืนและความต้องการของ
แต่ละฝ่ายว่ามีความต้องการอะไรบ้าง

การสรุปประเด็นทั้งหมด
หลังจากการค้นหาประเด็นข้อพิพาทและ

ความต้องการที่แท้จริงแล้ว ผู้ไกล่เกลี่ยมีหน้าที่
สรุปประเด็นที่ได้จากคู่กรณีทุกฝ่าย โดย













กําหนดประเด็นในการ
เจรจา การเสนอทางเลือก

1. กําหนดประเด็นที่จะเจรจา 1. กําหนดให้คู่กรณีร่วมกันหา

ไกล่เกลี่ยในเชิงบวกและมีลักษณะ ทางออกของปัญหา
เป็นกลาง 2. ช่วยให้คู่กรณีมุ่งเน้นไปที่

2. อาจใช้อุปกรณ์เพื่อช่วย การแก้ปัญหาในประเด็นที่ตรงกับ
แยกแยะประเด็น เช่น ไวท์บอร์ด หรือฟ ความต้องการที่แท้จริงมากกว่าการ

ลิปชาร์จ ให้ความสําคัญกับจุดยืนของแต่ละ
3. อนุญาตให้แต่ละฝ่ายเริ่ม ฝ่าย

เสนอประเด็นได้ แต่ถ้าไม่มีใครเสนอให้ 3. ช่วยให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย
ผู้ไกล่เกลี่ยกําหนดประเด็นเอง คิดแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์

2-3ประเด็น จากนั้นขอให้คู่กรณีช่วย 4. ช่วยให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย
ร่วมกันหาทางออกที่สามารถนําไป

ปฏิบัติได้จริง

การแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในประเด็น

ข้อพิพาท

เป็นขั้นตอนที่ผู้ไกล่เกลี่ยหยิบยกเอา
ประเด็นและทางเลือกในแต่ละประเด็นขึ้นมา

ประเมินหาทางออกที่ละเรื่องตามลําดับ โดยขอ
ให้คู่กรณีเน้นเจรจาที่ผลประโยชน์หรือความ

ต้องการที่แท้จริง ซึ่งขั้นตอนนี้อาจมีการแยก
ประชุมไกล่เกลี่ย หรือผู้ไกล่เกลี่ย เป็นผู้เสนอ

ทางเลือกให้คู่กรณีพิจารณาก็ได้















1. ผู้ไกล่เกสี่ยจะต้องสรุปประเด็นทั้งหมด ทั้งประเด็นหลัก และประเด็นย่อย
ว่ามีข้อพิพาทมากน้อยเพียงใด

2. ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องค้นหาความต้องการที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายว่า
ต้องการอะไร

3. ผู้ไกล่เกลี่ยขจัดทางเลือกที่คู่กรณีรับไม่ได้ออกไป
4. ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้แก่คู่กรณีโดยหาทางเลือก

หลาย ๆ ทางที่มีทางเป็นไปได้มากที่สุด ให้แก่คู่กรณี
ทั้งนี้ ในการดําเนินการประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในแต่ละครั้งต้องมีการ

จัดทํารายงานการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททุกครั้ง ถึงข้อสรุปร่วมกันของการไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อให้ทราบว่าคู่กรณีทุกฝ่ายสามารถตกลงกันไว้อย่างไร เช่น

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสําเร็จ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่สําเร็จ เลื่อนการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทไปอีกครั้ง หรือการเลื่อนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไปปฏิบัติตามเงื่อนไขที่

ตกลงกันไว้ก่อน เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 4 การสิ้นสุดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท










การสิ้นสุดการไกล่

เกลี่ยข้อพิพาท













คู่กรณีถอนตัวจากการไกล่ ผู้ไกล่เกลี่ยเห็นว่าการไกล่เกลี่ย
คู่กรณีระงับข้อพิพาทกันได้
เกลี่ย ไม่เป็นประโยชน์








รับหนังสือขอถอนตัวและ
จัดทําบันทึกข้อตกลง รับหนังสือขอยุติและตรวจสอบ
เสนอนายทะเบียน







คู่กรณีและผู้ไกล่เกลี่ยลง
พิจารณามี คําสั่ง พิจารณาอนุมัติ/ไม่อนุมัติ
ลายมือชื่อ






ลงทะเบียนคุมและจัดเก็บ
แจ้งผลผู้ที่เกี่ยวข้อง แจ้งผลผู้ที่เกี่ยวข้อง
เป็นระบบ









ยุติการไกล่

เกลี่ยข้อพิพาท

คู่กรณีระงับข้อพิพาทกันได้
เมื่อคู่กรณีสามารถหาข้อยุติร่วมกันได้แล้วผู้ไกล่

เกลี่ยสรุปผลการเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นลายลักษณ์อักษร
และจัดทําบันทึกข้อตกลงการระงับข้อพิพาทบันทึกข้อ

ตกลงระงับข้อพิพาทอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดัง
ต่อไปนี้

1. ชื่อและที่อยู่ของคู่กรณี
2. ข้อพิพาทตามกฎหมาย

3. ความสมัครใจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
4. สาระสําคัญของข้อตกลงอันเป็นผลของการ

ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เช่น การชดใช้เยียวยาความเสียหาย
เงื่อนไขที่คู่กรณีต้องปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติระยะ

เวลาดําเนินการ หรือ ข้อตกลงไม่ติดใจที่จะรับการชดใช้
เยียวยาความเสียหาย












ผู้ไกล่เกลี่ยอ่านบันทึกข้อตกลงให้คู่กรณีฟัง เพื่อยืนยันความถูกต้องของ

ข้อความและความเข้าใจที่ตรงกันและผู้ไกล่เกลี่ย พร้อมด้วยคู่กรณีลงลายมือชื่อ
รับรองในบันทึกข้อตกลง และให้ประธานคณะทํางานหรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบ

หมายดําเนินการส่งบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
เมื่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเห็นว่าการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ฯ ได้

ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาท และออกหนังสือรับรองให้แล้ว ให้ข้อตกลง

ระงับข้อพิพาทนั้นบังคับกันได้ หรือให้สิทธินําคดี
อาญามาฟ้องระงับ

ประธานคณะทํางาน จะนําบันทึกข้อตกลงการ
ระงับข้อพิพาทส่งมอบให้คู่กรณีทุกฝ่ายยึดถือไว้ฝ่าย

ละหนึ่งฉบับและศูนย์ฯ ยึดถือไว้หนึ่งฉบับ

ศูนย์ฯ นําบันทึกข้อตกลงที่คู่กรณีไกล่เกลี่ยระงับ
ข้อพิพาทกันแล้วนั้น จัดเก็บเข้าสารบบเรื่องเสร็จพร้อมทํา

บันทึก รายงานนายทะเบียน พร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งผลการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาท

อันอยู่ระหว่างการดําเนินการสอบสวนหรือระหว่าง
พิจารณาคดี

อีกทั้งให้คู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องตอบแบบสอบถาม
ความพึงพอใจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วย

 





คู่กรณีถอนตัวจากการไกล่เกลี่ย

ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิขอถอนตัว
จากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยทําเป็นหนังสือแจ้งต่อผู้ไกล่เกลี่ยได้

เมื่อคู่กรณียื่นหนังสือขอถอนตัวออกจากกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทแล้ว ให้ประธานคณะทํางานรับหนังสือขอถอนตัวแล้วจัดทํารายงาน

เสนอนายทะเบียนเพื่อมีคําสั่งพิจารณาต่อไป
เมื่อนายทะเบียน มีคําสั่งประการใดแล้ว ให้ประธานคณะทํางานแจ้งผล

ให้คู่กรณีทุกฝ่ายและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ไกล่เกลี่ยและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องทราบ

ทั้งนี้ ให้ถือว่ากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลง นับตั้งแต่วันที่
นายทะเบียนมีคําสั่ง เว้นแต่คู่กรณีประสงค์จะดําเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทต่อไปให้คู่กรณีตกลงแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยคนใหม่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป





ทั้งนี้ให้ถือว่ากระบวนการ
ผู้ไกล่เกลี่ยเห็นว่าการไกล่เกลี่ยไม่เป็น
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลงนับ
ประโยชน์ ตั้งแต่วันที่นายทะเบียนมีคําสั่ง เว้น
เมื่อนายทะเบียนมีคําสั่ง ให้ประธานคณะ แ ต่ คู่ ก ร ณี ป ร ะ ส ง ค์ จะด ํา เ นิ น

ทํางานดําเนินการแจ้งผลให้คู่กรณีทุกฝ่ายและผู้มี กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่อ

ส่วนเกี่ยวข้องและผู้ไกล่เกลี่ยและหน่วยงานที่ ไปให้คู่กรณีตกลง แต่งตั้งผู้ไกล่
เกี่ยวข้องทราบ เกลี่ยคนใหม่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

ขั้นตอนที่ 5 การออกหนังสือรับรองบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท







ศูนย์ไกล์เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
จัดทําบันทึกข้อตกลงที่คู่กรณีตกลงร่วมกัน



ส่งให้กรมฯ




ไม่ถูกต้อง ครบถ้วน/ ไม่รับรองบันทึก
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ข้อตกลง










ตรวจสอบ












ถูกต้อง/ครบถ้วนเป็นไปตามกฎหมาย












ออกหนังสือรับรอง












แจ้งผลไปยังศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ

 

 

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนส่งบันทึกข้อตกลงให้

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท มาตรา 69 วรรคสอง

กําหนดให้ในกรณีที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเห็นว่าการไกล่เกลี่ยข้อ
พิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในเรื่องใดได้ดําเนินการ

ตามพระราชบัญญัตินี้ และออกหนังสือรับรองให้แล้ว ให้ข้อตกลงระงับข้อ
พิพาทนั้นบังคับกันได้หรือให้สิทธินําคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามพระราช

บัญญัตินี้ การออกหนังสือรับรองนั้นให้ประธานคณะทํางานของศูนย์ไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน หรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมายดําเนินการ

ส่งบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท มายังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเพื่อให้
พิจารณารับรองข้อตกลงระงับข้อพิพาท ซึ่งสามารถส่งทางไปรษณีย์ หรือ

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือช่องทางอื่นที่นายทะเบียนกําหนด














 

การตรวจสอบรายละเอียดของบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท

เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้รับบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ ในเรื่อง
ที่ทําการไกล่เกลี่ยสําเร็จแล้วให้พิจารณาว่าการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค

ประชาชนในเรื่องที่ส่งมาได้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือไม่
โดยมีขั้นตอนรายละเอียดดังนี้

(1) ต้องตรวจสอบรายชื่อและที่อยู่ของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ได้ยื่น
คําร้องขอไกล่เกลี่ยไว้หรือไม่ หรือเป็นบุคคลได้รับมอบอํานาจมาอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจําเป็นที่จะต้อง

ขอตรวจหรือเรียกดูเอกสารมอบอํานาจตามกฎหมายด้วยทุกครั้งที่มีการดําเนินการไกล่เกลี่ย โดย
สามารถตรวจได้ตั้งแต่ชั้นยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยของคู่กรณี หรือในวันที่มีการจัดกระบวนการไกล่เกลี่ย

เนื่องจากอาจมีบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมไกล่เกลี่ยแทน เมื่อถึงกําหนดนัดเพราะเรื่องอํานาจและ
ความสามารถของผู้เข้าไกล่เกลี่ยมีผลทางกฎหมายที่อาจถูกศาลปฏิเสธ หรือคู่กรณีใช้กล่าวอ้างถึง

ความบกพร่องในเรื่องความสามารถที่จะเข้าทําข้อตกลงระงับข้อพิพาทได้ หากต้องพิสูจน์กันในชั้น

(2) ต้องตรวจสอบข้อพิพาทหรือข้อหาตามกฎหมาย เช่น ประเภทคดีแพ่ง คดีอาญา

หรือความผิดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือประเด็นเดียวกันกับเนื้อหาที่ได้จัดทําบันทึก
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทนั้นหรือไม่รวมทั้งต้องตรวจสอบมูลเหตุที่มาของข้อพิพาท ว่ามี

ลักษณะต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือไม่เป็นการพ้นวิสัยหรือไม่เป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่

(3) ต้องตรวจสอบเอกสารแสดงถึงความสมัครใจเข้าร่วมไกล่เกลี่ย เช่น หนังสือหรือใบ
ตอบรับเข้าร่วมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (ถ้ามี) หรือบันทึกการขอเข้าร่วมไกล่เกลี่ยด้วยความสมัคร

ใจ และในบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทนี้ จะต้องปรากฏถ้อยคําที่แสดงถึงความสมัครใจของ
คู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่ตกลงกันจัดทําบันทึกนี้โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกบังคับ ขู่เข็ญ หลอก

ลวง หรือมีการฉ้อฉลหรือกระทําการโดยมิชอบด้วยประการใดในการจัดทําบันทึกดังกล่าว
(4) ต้องตรวจถ้อยคําเนื้อหาในบันทึกข้อตกลงในสาระสําคัญ เช่น การชดใช้

เยียวยาค่าเสียหายมีหรือไม่จํานวนเท่าใด กําหนดระยะนัดจ่ายชดใช้กัน
เมื่อใดด้วยวิธีการใดเงื่อนไขที่กําหนดให้ปฏิบัติ หรืองดเว้นการปฏิบัติ

ต้องระบุให้ชัดเจน ระยะเวลาดําเนินการ หรือแม้แต่หากคู่กรณีไม่ติดใจที่
จะรับการชดใช้เยียวยาความเสียหาย ก็ให้จดบันทึกไว้ในข้อตกลงอย่าง

ชัดแจ้งด้วย



 
การออกหนังสือรับรอง

ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ การแจ้งผลการพิจารณา
ดําเนินการตรวจรูปแบบของบันทึกข้อตกลง และการ เมื่อผู้มีอํานาจของกรมคุ้มครองสิทธิ
ตรวจข้อกฎหมายของเรื่องที่พิพาทกัน ว่าเป็นไปตาม และเสรีภาพ ได้มีคําสั่งรับรอง หรือไม่รับรอง

กฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือไม่ บันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องที่ส่งมา

เรียบร้อยแล้ว ให้แจ้งผลการพิจารณาไปยังศูนย์ฯเพื่อทราบ
1) กรณีเห็นว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์ เป็นไป ภายใน 7 วัน

ตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้เสนอ
เรื่องต่อผู้มีอํานาจของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ

พิจารณาสั่งรับรอง และออกหนังสือรับรองให้
2) กรณีเห็นว่าบันทึกข้อตกลงมีความ

บกพร่องไม่สมบูรณ์และไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วย
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เสนอเรื่องต่อผู้มีอํานาจของ

กรมคุ้มครองสิทธิสมบูรณ์และไม่เป็นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เสนอเรื่องต่อผู้มี

อํานาจของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพพิจารณาสั่ง
ไม่รับรอง

“การบังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท”






คู่กรณีฝ่ายที่เรียกร้อง






ยื่นคําร้องขอต่อศาล พร้อมหนังสือบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทที่กรมคุ้มครองสิทธิและ

เสรีภาพรับรองแล้ว
ร้องขอภายใน 3 ปี
-ยื่นต่อศาลที่มีการทําช้อตกลงระงับข้อพิพาทในเขตศาล
นับแต่วันที่อาจ
-ยื่นต่อศาลที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิสําเนาอยู่ในเขตศาล
{ บังคับตามข้อตกลง
- ยื่นต่อศาลที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาข้อพาทยิ่งได้มีการไกล่เกลี่ย
ระงับข้อพิพาทได้





เสียคําขึ้นศาลในอัตราเดียวกับคําร้องขอให้บังคับ
ตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศ






ศาลตรวจคําร้อง







ตรวจแล้วเห็นว่าถูกต้อง ตรวจแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้อง








ส่งสําเนาคําร้องขอให้สู่กรณีอีกฝ่ายทํา
ส่งคืน ให้แก้ไข
คําคัดค้าน







ไม่แก้ไขภายในเวลา
เป็นหนังสือ ภายใน 15 วัน ส่งคืน ให้แก้ไข
ที่ศาลกําหนด






ให้ศาลกําหนดวันนัดไต่สวนโดยเร็วแต่ ศาลมีคําสั่งบังคับ ไม ร บค ร องขอ
 
ต้องไม่เกิน 45 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคําสั่ง ตามข้อตกลง
 
รับคําร้องขอ
แผนภูมิ  แผนผังขั้นตอนการบังคับตามข้อตกลง

ระงับข้อพากกรณีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพาทภาคประชาชน

ขั้นตอนการยื่นคําขอบังคับตามบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท

(ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน)








กรณีข้อพิพาททางแพ่ง





ในกรณีของศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชนในหมวด 5

ได้บัญญัติถึงผลเมื่อการไกล่เกลี่ยได้กระทําลงเป็นผลสําเร็จ

ในมาตรา 69 วรรคสอง ว่า “ในกรณีที่กรมคุ้มครองสิทธิและ

เสรีภาพเห็นว่าการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อ

พิพาทภาคประชาชนในเรื่องใดได้ดําเนินการตามพระราช
บัญญัตินี้และออกหนังสือรับรองให้แล้ว ให้ข้อตกลงระงับข้อ

พิพาททางแพ่งนั้นบังคับกันได้”







กรณีข้อพิพาททางอาญา








ในกรณีของศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชนในหมวด 5 ได้บัญญัติ

ถึงผลเมื่อการไกล่เกลี่ยได้กระทําลงเป็นผลสําเร็จในมาตรา 69 วรรค

สอง ว่า “ในกรณีที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเห็นว่าการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในเรื่องใดได้

ดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้และออกหนังสือรับรองให้แล้ว ให้สิทธิ

นําคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามพระราชบัญญัตินี้ โดยแจ้งผลการไกล่
เกลี่ยข้อพิพาทให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการหรือศาลทราบ

โดยให้ส่งสําเนาบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไปด้วย”

โดยมีขั้นตอน ดังนี้







ขั้นตอนที่ 1






คู่กรณีฝ่ายที่เรียกร้องยื่นคําร้องขอต่อศาลให้บังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท การ

ร้องขอให้ศาลมีคําสั่งบังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท ให้ยื่นคําร้องขอต่อศาลที่มีการทําข้อ
ตกลงระงับข้อพิพาทในเขตศาล หรือศาลที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาลหรือ

ศาลที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซึ่งได้มีการไกล่เกลี่ยนั้น ภายใน 3 ปีนับแต่วันที่
อาจบังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาทได้

ผู้ร้องต้องยื่นคําร้องขอพร้อมกับต้นฉบับบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามมาตรา 30
แห่งพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 หรือสําเนาที่รับรองถูกต้องของบันทึก

ข้อตกลงดังกล่าวและหนังสือรับรองการไกล่เกลี่ยที่ออกโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอัตราเดียวกับคําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของ

อนุญาโตตุลาการในประเทศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ทุนทรัพย์ไม่เกินห้า
สิบล้านบาทเสียอัตราร้อยละ 0.5 ของจํานวนที่ร้องขอให้ศาลบังคับแต่ไม่เกิน 50,000 บาท)








ขั้นตอนที่ 2




ศาลตรวจคําร้องขอ

ศาลมีอํานาจตรวจคําร้องขอว่าเป็นการขอให้บังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาททาง

แพ่งซึ่งเป็นผลมาจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการไกล่เกลี่ยเป็นไปตามพระราชบัญญัติการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 เมื่อตรวจแล้วเห็นว่าถูกต้อง ให้ส่งสําเนาคําร้องขอให้คู่กรณีอีก
ฝ่ายทําคําคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน


Click to View FlipBook Version