1
“ศลิ ปะลา้ นนา : ประวตั ิศาสตร์ อัตลกั ษณ์ และการสร้างสรรค”์
การสงั เคราะห์องค์ความรูศ้ ลิ ปกรรมในล้านนา (Synthesis of Art knowledge in Lanna)
ภายใต้แผนงานวิจัย The City of Arts: การพัฒนาเมอื งศลิ ปะเชงิ สร้างสรรค์ในล้านนา
ผู้เขยี น ผศ.ปฏิเวธ เสาวค์ ง ประธานหลกั สตู รสาขาวิชาพทุ ธศิลปกรรม
ดร. พรศลิ ป์ รตั นชเู ดช อาจารยป์ ระจำ� สาขาวชิ าพทุ ธศลิ ปกรรม
ธรี ะพงษ์ จาตุมา อาจารยป์ ระจ�ำสาขาวิชาพทุ ธศิลปกรรม
อ�ำนาจ ขดั วิชยั นักวชิ าการ/อาจารย์สาขาวชิ าพุทธศิลปกรรม
พระครธู รี สตุ พจน์, ดร.
ผศ.ดร.สุรสทิ ธ์ิ เสาว์คง
ผศ.พรี ะพงษ์ ดวงแกว้
ท่ีปรึกษา ภัชรบถ ฤทธิเ์ ต็ม สวุ ิน มกั ได้
ศิริ ศิรปิ ัญญา อำ� นาจ ขัดวชิ ัย
ศริ ิ ศิรปิ ัญญา, Siam Manophap
พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓
๕๐๐ เลม่
ประสานงาน มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม่
ถา่ ยภาพ บริษทั สยามมโนภาพ จำ� กัด
จัดรูปเลม่
พิมพค์ ร้ังแรก
จำ� นวนพมิ พ์
จดั พมิ พโ์ ดย
พิมพท์ ่ี
ข้อมลู ทางบรรณานุกรมหนังสอื
“ศิลปะล้านนา : ประวัตศิ าสตร์ อัตลกั ษณ์ และการสรา้ งสรรค์”
การสงั เคราะหอ์ งค์ความร้ศู ลิ ปกรรมในลา้ นนา (Synthesis of Art knowledge in Lanna)
ภายใตแ้ ผนงานวจิ ัย The City of Arts : การพัฒนาเมืองศิลปะเชิงสร้างสรรค์ในล้านนา
ผเู้ ขียน : ผศ.ปฏิเวธ เสาว์คง ดร. พรศิลป์ รตั นชูเดช ธีระพงษ์ จาตุมา อำ� นาจ ขดั วชิ ัย. เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ๒๕๖๓. ๑๐๐ หนา้
ISBN: ๙๗๘-๖๑๖-๓๐๐-๔๕๘-๑
จรญู โกมทุ รตั นานนท์. สนุ ทรยี ศาสตร์ : ปัญหาเบื้องต้นในปรัชญาศลิ ปะและความงาม. พมิ พ์คร้ังท่ี ๒.นนทบรุ ี: มหาวิทยาลัยรงั สิต, ๒๕๔๐.
มณี พะยอมยงค์. วัฒนธรรมพ้นื บ้าน: คติความเช่อื . กรุงเทพมหานคร: สำ� นักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๖.
สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวตั ศิ าสตรล์ ้านนา. โครงการขอ้ สนเทศล้านนาคดศี ึกษา: โครงการศนู ย์สง่ เสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรม: มหาวิทยาลัยเชยี งใหม,่ ๒๕๒๙.
ฮนั ส์ เพนธ.์ ความเป็นมาของลา้ นนาไทยในล้านนาไทย อนสุ รณพ์ ระราชพธิ เี ปดิ พระบรมราชานุเสาวรียส์ ามกษัตริย์ เชียงใหม,่ ๒๕๒๖.
2
สารจากผ้ทู รงคณุ วุฒิ
ชดุ องคค์ วามรู้เร่อื งศิลปะลา้ นนา : ประวตั ศิ าสตร์ อัตลกั ษณ์ และการสร้างสรรค์น้ี ในการคิดและการเขียน
รวมถึงการสร้างสรรค์ศิลปกรรมใหมๆ่ ต้องเกิดจากความศรัทธา ซ่งึ หมายถึง ความเช่ือ, ความเลอ่ื มใส มี ๒ แบบ คอื
ศรัทธาตอ่ ธรรมชาติ จติ วิญญาณทอ้ งถ่ินทไ่ี มป่ ระกอบดว้ ยปัญญา และศรทั ธาทีป่ ระกอบด้วยปัญญาในทางพระพทุ ธ
ศาสนา น�ำไปสู่การพฒั นาสติ ปัญญา มเี อกลักษณ์เฉพาะ เนือ่ งจากผสมผสานศรทั ธาความเชือ่ แบบดัง่ เดมิ มาสู่ความ
เชื่อในพระพทุ ธศาสนากอ่ เกิดเป็นวถิ แี หง่ วฒั นธรรม ประเพณี และพิธีกรรมตา่ งๆ ท่มี รี ูปแบบเฉพาะของลา้ นนา
พฒั นาการการสร้างงานศลิ ปกรรมในลา้ นนา งานศลิ ปกรรมแขนงตา่ ง ๆ น้นั ต่างสามารถรวมกนั อยใู่ นงาน
สถาปัตยกรรม อตั ลกั ษณศ์ รทั ธานเี้ ป็นศาสตร์และศิลปเ์ ฉพาะถน่ิ ท่ีไมป่ รากฏวา่ มีที่ใดมาก่อน แมจ้ ะมกี ารกล่าวถงึ วา่
เปน็ “มายาภาพ” แหง่ ศรทั ธาและความเชอื่ ทางศาสนา เปน็ เพยี งการสรา้ งเครอื ขา่ ยทางวฒั นธรรม (Cultural Network)
แตก่ ลบั พบประเด็นทนี่ ่าสนใจว่า การสร้างศลิ ปกรรมในแตล่ ะยุคแตล่ ะสมยั กอ่ ให้เกดิ คุณคา่ ขึ้นในสงั คมอยา่ งนอ้ ย ๓
ประการ คือ ๑. สลายความเหลี่ยมล้ำ� ทางเชอ้ื ชาติ ๒. ไม่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม และ ๓. ลดความขัดแย้ง
ทางการเมอื ง เพราะตั้งแตป่ ระชาชนธรรมดาถึงเจา้ ฟา้ เจ้าแผ่นดิน หากได้สร้างกุศลในดา้ นศิลปกรรมทเ่ี กดิ ขึ้นจาก
พระพทุ ธศาสนากจ็ ะมีศูนยร์ วมดวงจิตดวงเดียวกัน
ศรทั ธาในพระพุทธศาสนาท่มี ีอทิ ธิพลต่อสร้างงานศลิ ปกรรมในลา้ นนา พบวา่ การสร้างงานศลิ ปกรรมแสดง
ถึงความเชอ่ื เก่ยี วกับพระพทุ ธศาสนาท่แี ฝงอยู่ ด้วยการหลอมรวมกบั ความเชอ่ื ดัง่ เดิมของท้องถ่ิน ก่อให้เกิดเปน็ อัต
ลกั ษณ์ศรัทธาเฉพาะถนิ่ มั่นคงในภมู ปิ ญั ญาดงั่ เดิม ส่งเสริมศรัทธาภูมิปญั ญาใหม่ สรา้ งงานศิลปกรรมใหเ้ ป็นส่อื ผสาน
น�ำจติ วญิ ญาณเข้าถงึ พระรตั นตรยั ด้วย จนเข้าถงึ พระนพิ พานและอตั ลกั ษณ์ศลิ ปกรรมจากศรทั ธาน้ีเอง สง่ ผลให้เกิด
การสรา้ งงานศิลปกรรมล้านนาข้ึนมากมาย กลายเป็นต้นนำ้� สายธารแห่งสติปัญญาสรา้ งความชมุ่ เย็นให้กบั ผ้คู น ทั้งกอ่
เกิดวัฒนธรรมท่ีงดงามหลากหลายในแผ่นดินล้านนามาถึงปัจจุบันและท้ายน้ีอนุโมทนาบุญกับผู้เขียนท่ีได้สังเคราะห์
ความรูอ้ อกมาเป็นวิทยาทานแกช่ มุ ชน สังคม และประเทศชาติ ขอให้เจรญิ งอกงามทกุ ด้านทางสายวิชาการเทอญ
พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓
3
ค�ำนำ�
ศิลปกรรมในล้านนามีการศึกษาวิจัยเป็นจ�ำนวนมากแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการศึกษาโดยใช้กรอบแนวคิด
ทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ ประวัตศิ าสตร์ สงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา เป็นแบบเฉพาะเจาะจงเปน็ สว่ นๆ ไป
โดยมไิ ดใ้ ชก้ รอบแนวคิดทางศาสนาเป็นศูนยก์ ลาง ในการทำ� ความเข้าใจงานศลิ ปกรรมทางล้านนาที่รวบรวมให้อยู่ใน
แขนงเดียวกัน ทง้ั ๆ ท่ีงานเหลา่ นนั้ สรา้ งข้นึ ในบริบทของพทุ ธศาสนาโดยตรงแทบท้งั สน้ิ และมเี ปา้ หมายหลักในการ
สรา้ งเพื่ออทุ ศิ แกพ่ ระพทุ ธศาสนาในแผน่ ดนิ ล้านนา
ในชดุ องค์ความรู้น้ีม่งุ เน้นศึกษาประวัติความเป็นมา รูปแบบ ลกั ษณะ คตคิ วามเชอื่ ของศลิ ปกรรมลา้ นนาใน
ช่วงพทุ ธศตวรรษตา่ งๆ อันปรากฏหลักฐานทางศิลปกรรมจ�ำนวนมาก และเปน็ ชว่ งทีพ่ ทุ ธศาสนาลัทธิเถรวาท ลงั กา
วงศม์ บี ทบาทมาก่อนการรบั วัฒนธรรมตะวนั ตก นอกจากน้ันยงั ได้ศกึ ษาถงึ แนวคิดในการสร้างงานศิลปกรรมล้านนาวา่
พทุ ธศาสนามีอทิ ธติ อ่ แนวคดิ และรปู แบบของศิลปกรรมลา้ นนา รวมถึงบทบาทของศิลปกรรมล้านนาที่มตี ่อผู้คนใน
ทอ้ งถิ่นช่วงเวลาดงั กล่าว ในดา้ นความเชื่อ ด้านวฒั นธรรมประเพณี และการเมอื งการปกครอง เพื่อทำ� ให้ไดอ้ งคค์ วามรู้
ทางวิชาการของศิลปกรรมล้านนาในสังคมไทยในด้านท่ียังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ทาง
ศลิ ปกรรมล้านนายคุ ปัจจุบนั
งานศิลปะต่างๆ ท่มี นษุ ยส์ ร้างขึ้น กค็ ือสนุ ทรยี ศาสตรท์ ่ีแฝงอยู่กบั สิ่งๆน้นั ศิลปกรรมทางล้านนา กเ็ ปน็ หนง่ึ
ในศลิ ปะท่มี เี อกลกั ษณ์เฉพาะตัวที่โดดเดน่ ของประเทศไทยเช่นกนั ซึง่ ถอื ไดว้ ่า มีความสำ� คัญและมคี ุณค่าทางจิตใจ ใน
ทางพุทธศาสนาเอง ทางล้านนาจะเหน็ ไดว้ า่ ศิลปวตั ถกุ ็สามารถท�ำหนา้ ทน่ี ้ไี ด้ ถ้านำ� พาให้คนตระหนักถึงศีลธรรมอนั ดี
เพราะว่าศลิ ปกรรมลา้ นนาเปน็ ส่ือทอี่ ธบิ าย ถ่ายทอดอดุ มคตติ ่างๆ รวมถึงจริยธรรมได้อย่างมีประสิทธภิ าพที่ดที ส่ี ุดทาง
หนึ่ง การสรา้ งสรรค์งานศิลปะเป็นอัจฉรยิ ภาพ หรอื ความสามารถสว่ นตัวของศลิ ปินท่ีไม่สามารถสอนกนั ได้และไม่
เหมือนวิทยาศาสตร์ งานศิลปะสามารถรับใช้ศีลธรรมไดใ้ นแงข่ องสญั ลักษณ์ (Symbol) แตเ่ นอื่ งในสังคมปัจจุบนั เป็น
สังคมทเ่ี น้นเรื่องการศึกษา การรอบรู้ในทางวิชาการ สรา้ งสญั ลักษณ์ใหเ้ ห็นเปน็ รปู รา่ งนน้ั ถูกสร้างขน้ึ ดว้ ยความเข้าใจ
อ่ิมเอมใจ และรคู้ ณุ คา่ ด้วย มใิ ช่สัญลักษณ์ท่มี คี วามหมายคลมุ เครอื จงึ ต้องให้ผู้อา่ นชุดองคค์ วามรนู้ ีไ้ ดค้ ดิ ตามมมุ มอง
ของผู้เขียนวา่ มจี ุดมงุ่ หมายทท่ี ำ� ใหค้ วามหมายของศิลปกรรมล้านนาน้ันมองได้ง่ายขน้ึ
ผศ.ดร.สรุ สิทธ์ิ เสาวค์ ง
ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ/ที่ปรกึ ษาดา้ นศลิ ปกรรมลา้ นนา
4
สารบัญ
สารจากผทู้ รงคุณวุฒิ
ค�ำนำ�
๗ สารบัญ
บทท่ี ๑ ประวตั ิศาสตร์ศิลปกรรมยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
[สมยั หนิ กลาง – สมยั หนิ ใหม่ ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปี และยคุ โลหะ ๑,๐๐๐ ปกี อ่ นพทุ ธศกั ราช]
๑.๑ แหลง่ โบราณคดีดอยเวยี ง – ดอยวง อำ� เภอแมส่ รวย จงั หวัดเชียงราย
๑.๒ แหล่งโบราณคดีผาคนั นา อำ� เภอจอมทอง จงั หวดั เชียงใหม่
๑.๓ แหล่งโบราณคดีวงั ไฮ อำ� เภอเมอื งล�ำพนู จงั หวัดล�ำพูน
๑.๔ แหล่งโบราณคดปี ระตูผา อำ� เภอแม่เมาะ จังหวดั ลำ� ปาง
๑.๕ แหลง่ โบราณคดเี วยี งบวั อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดพะเยา
๑.๖ แหลง่ โบราณคดเี วียงเทพ อ�ำเภอลอง จงั หวดั แพร่
๑.๗ แหล่งโบราณคดีเขาหินแกว้ อำ� เภอเมือง จงั หวดั น่าน
๑.๘ แหลง่ โบราณคดีถ้ำ� น�้ำลอด ถ้ำ� ผีแมน อำ� เภอปางมะผ้า
จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน
๒๘ บทที่ ๒ ประวัติศาสตรศ์ ิลปกรรมยุคประวตั ศิ าสตร์
๒.๑ ศลิ ปกรรมล้านนาก่อนประวัตศิ าสตร์
๒.๒ ประวัตศิ าสตรเ์ วยี งเจ็ดลิน
๒.๓ ประวตั ศิ าสตร์อาณาจักรเชียงแสน
๒.๔ ประวตั ิศาสตรเ์ มืองหริภุญชัย
๒.๕ ประวัตศิ าสตร์ล้านนาเมอื งเชียงใหม่
๔๓ บทที่ ๓ อตั ลักษณ์ของศิลปกรรมอดตี ในลา้ นนา
๓.๑ ราชกฏุ าคาร พระอารามหลวงแบบโบราณเชยี งใหม่
๓.๒ ลำ� พูน ผ่านกลอ้ ง มองอดตี
๓.๓ วัดปา่ เยยี ะ (ป่าไผ)่ พ.ศ. ๑๙๗๗ (ค.ศ.๑๔๓๔)
ในอดตี ทผี่ ่านกาลเวลามายาวนาน
๓.๔ ศลิ ปกรรมลา้ นนาในอดตี สูเ่ อกลกั ษณ์สอ่ื ความการสับหมึก
5
สารบัญ
๕๔ บทท่ี ๔ การสร้างสรรค์ศลิ ปกรรมลายเสน้ ในลา้ นนา
๔.๑ ลายดอกล้านนา
๔.๒ ลายนาคทนั ต์ลา้ นนา
๔.๓ ลายเครือดอกบัวสวรรค์
๔.๔ ลายหน้าจดี
๔.๕ ลายเมฆ
๔.๖ ลายโก่งคว้ิ
๔.๗ ลายนกแซมเครอื ดอกพดุ ตาน
๔.๘ ลายเศยี รมกร
๔.๙ ลายมัจฉาเวยี งบัว มจร.พะเยา
๖๙ บทท่ี ๕ ศิลปะกบั ชมุ ชน [กรณศี กึ ษาหม่บู ้าน]
๕.๑ ศิลปะกับชุมชนจังหวดั เชียงใหม่
๕.๒ ศลิ ปะกบั ชมุ ชนจังหวัดเชยี งราย
๕.๓ ศลิ ปะกบั ชุมชนจงั หวดั พะเยา
๕.๔ ศลิ ปะกบั ชุมชนจงั หวัดแพร่
๕.๕ ศลิ ปะกับชุมชนจังหวดั นา่ น
๕.๖ ศลิ ปะกับชุมชนจงั หวัดลำ� พูน
๕.๗ ศลิ ปะกบั ชมุ ชนจงั หวัดลำ� ปาง
๕.๘ ศิลปะกบั ชมุ ชนจังหวัดแม่ฮอ่ งสอน
๘๕ บทที่ ๖ องคค์ วามรู้ศลิ ปกรรมในล้านนาสู่การสร้างสรรคใ์ หม่
ประวตั ผิ ้เู ขียน
6
บทที่ ๑
ประวตั ิศาสตร์ศลิ ปกรรมยุคก่อนประวัตศิ าสตร์
[สมยั หนิ กลาง – สมยั หนิ ใหม่ ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปี และยคุ โลหะ ๑,๐๐๐ ปกี อ่ นพทุ ธศกั ราช]
ชุดองคค์ วามรใู้ นบทแรกน้ีจะกล่าวถึงประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปกรรมยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ [สมัยหินกลาง –
สมยั หินใหม่ ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปี และยคุ โลหะ ๑,๐๐๐ ปกี ่อนพุทธศักราช] เพื่อเปน็ การส�ำรวจศึกษาแหลง่
โบราณคดแี ตล่ ะแหง่ เป็นแหล่งมรดกชุมชนในรูปแบบพพิ ธิ ภณั ฑธ์ รรมชาตทิ ม่ี ชี วี ิต เปดิ เปน็ แหลง่ ท่องเทีย่ วทาง
วฒั นธรรมและธรรมชาติ แหลง่ มรดกวัฒนธรรมใหม่ มพี ้ืนที่ส่วนกลางใหม่ของชุมชน สรา้ งกิจกรรมการอนรุ ักษแ์ ละ
ฟน้ื ฟูปา่ ไม้และธรรมชาติ จดั ต้งั พพิ ิธภณั ฑช์ มุ ชน มหี น่วยงาน วัด สถาบันการศกึ ษาและองค์กรตา่ งๆ เข้าไปทำ� กิจกรรม
การพัฒนาทางกายภาพและจิตวิญญาณในพ้ืนที่มากมายเป็นการสร้างความเข้มแข็งด้านการจัดการมรดกวัฒนธรรม
และธรรมชาตดิ ้วยตวั เอง ซึง่ จำ� แนกข้อมลู ออกเป็นแต่ละแหล่งแต่ละสมยั ดงั น้ี
๑.๑ แหล่งโบราณคดดี อยเวยี ง – ดอยวง อำ� เภอแม่สรวย จงั หวัดเชียงราย
๑.๒ แหล่งโบราณคดผี าคันนา อ�ำเภอจอมทอง จงั หวดั เชียงใหม่
๑.๓ แหล่งโบราณคดีวงั ไฮ อ�ำเภอเมืองลำ� พูน จังหวัดลำ� พูน
๑.๔ แหล่งโบราณคดีประตูผา อ�ำเภอแมเ่ มาะ จงั หวดั ลำ� ปาง
๑.๕ แหล่งโบราณคดีเวยี งบัว อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดพะเยา
๑.๖ แหลง่ โบราณคดคี ุ้มวชิ ัยราชา อ�ำเภอเมือง จังหวัดแพร่
๑.๗ แหลง่ โบราณคดเี ขาภูซาง อำ� เภอเมอื ง จังหวดั นา่ น
๑.๘ แหลง่ โบราณคดถี �้ำนำ้� ลอด ถ้ำ� ผแี มน อ�ำเภอปางมะผา้ จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน
๑.๑ แหล่งโบราณคดีดอยเวยี ง – ดอยวง อ�ำเภอแม่สรวย จงั หวัดเชียงราย
ดอยเวียงและดอยวง เป็นภูเขาลกู เตี้ยๆ ทีต่ ้ังอยใู่ นเขตบ้านเหลา่ พฒั นา ต.ป่าแดด อ.แมส่ รวย จ.เชยี งราย
ความสำ� คญั ของดอยเวียงและดอยวงคือเปน็ ชมุ ชนโบราณทถ่ี อื เป็นแหลง่ โบราณคดใี นยุคหนิ ใหม่ คอื มอี ายอุ ยู่ในชว่ ง
ประมาณ ๕,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปี เดมิ ชมุ ชนบา้ นเหล่าพัฒนาสว่ นใหญป่ ระกอบอาชีพท�ำเกษตรกรรม ปลูกขา้ ว และทำ�
สวนส้ม คุณไพบลู ย์ สมใจ หนงึ่ ในผมู้ สี ว่ นก่อต้งั พพิ ธิ ภณั ฑ์ชมุ ชนดอยเวียงดอยวง เล่าใหฟ้ ังวา่ เมอื่ ราวปี พ.ศ. ๒๕๕๓
ชาวบา้ นที่ท�ำไรไ่ ถนามักจะพบเศษภาชนะดนิ เผา จงึ มกี ารพดู คุยและสันนิษฐานกนั ในหม่บู ้านวา่ บริเวณบา้ นเหลา่
พัฒนาในบริเวณดอยเวียงและดอยวง อาจจะเป็นแหล่งโบราณคดีคล้ายๆ กับแหล่งโบราณคดีเตาเผาเวียง
กาหลง อ.เวยี งปา่ เปา้ จ.เชียงราย ทีข่ ุดพบเครื่องปน้ั ดนิ เผาโบราณ กลมุ่ ชาวบ้านจำ� นวนหน่งึ ทีส่ นใจศึกษาดา้ น
โบราณคดี จงึ เรมิ่ คน้ หาแหลง่ เตาเผาโบราณในพืน้ ท่ีป่าพืน้ ท่ีดอยภายในหมูบ่ า้ น โดยได้สอบถาม “ลงุ วงศ์” หรอื ลุง
สมพร อบอนุ่ ซ่งึ เป็นคนเฒา่ คนแก่ทม่ี ีอาชีพหาของปา่ ในหมู่บา้ น ว่าเคยพบแหล่งเศษภาชนะดินเผาในปา่ ท่ีไหนหรือ
ไม่ ลุงวงศ์จงึ พาคณุ ไพบลู ยแ์ ละชาวบา้ น ไปส�ำรวจในป่ารกชัฏบนเขาลูกหน่งึ ในหม่บู ้าน การสำ� รวจป่าครั้งน้นั ชาวบา้ น
ลงความเห็นวา่ น่าเป็นพนื้ ท่ีแหล่งโบราณคดีท่เี ปน็ เตาเผาเพราะผนื ดินดผู ดิ แผกจากดนิ ธรรมชาติ โดยมเี ศษดินสแี ดง
7
คล้ายๆ ดนิ เผาโผลม่ าจากดนิ ซ่ึงตอ่ มาชุมชนไดต้ ัง้ ช่อื ดอยลูกน้นั ตามช่อื ลุงวงว่า “ดอยวง” ทง้ั น้ีเพอื่ ยนื ยนั ว่าบรเิ วณ
ป่าบนเขาดงั กลา่ วเปน็ แหล่งโบราณคดี และสามารถเป็นแหล่งศึกษาเรียนรขู้ องชุมชนและทางวิชาการตอ่ ไป ชาวบา้ น
จึงได้ตดิ ต่ออาจารยส์ ายนั ต์ ไพรชาญจติ ร์ นักโบราณคดี มาส�ำรวจขุดค้นบรเิ วณดอยเวียงและดอยวง ชาวบา้ นได้รวม
กลมุ่ กนั เพ่ือรักษาและปกปอ้ งแหลง่ โบราณคดี สรา้ งกิจกรรมใหเ้ กิดความรักและหวงแหนแหล่งโบราณคดีในชุมชน
รวมถงึ การอนุรกั ษ์ป่าตน้ น�้ำ มีการกอ่ ต้ังกล่มุ ยุวมคั คุเทศก์ ก่อตั้งกลุ่มพพิ ิธภณั ฑท์ ีก่ ำ� ลังอย่ใู นระหวา่ งการพัฒนาทั้ง
เรื่องการจดั แสดง การศึกษาหาความรู้ รวมถงึ การเขา้ รว่ มเป็นเครือขา่ ยการท่องเทีย่ วในชุมชนป่าแดด ร่วมกับองคก์ ร
ชมุ ชนอืน่ ๆ อาทิ ศูนย์การเรียนรู้ด้วงกวา่ ง พพิ ิธภัณฑ์เล่นได้ เพื่อใหค้ นรูจ้ กั แหลง่ เรยี นรู้ทางวัฒนธรรมในตำ� บล
ปา่ แดดมากขนึ้ อยา่ งไรกด็ ีในปจั จบุ นั ชาวบา้ นประสบปญั หาการใชพ้ ื้นทีบ่ ริเวณดอยเวียง ที่เดิมบรเิ วณพ้นื ท่ีดอยเวยี ง
ชาวบา้ นเชอื่ กนั ว่าเป็นพ้ืนที่ศักดส์ิ ทิ ธิ์ ใชเ้ ปน็ ท่ีประกอบพธิ กี รรมเลีย้ งผเี ปน็ ประจำ� ทกุ ปี มีตำ� นานเล่าตอ่ กนั มาว่า พ้ืนท่ี
ดอยเวยี งมีถ้�ำท่เี กบ็ ทรพั ยส์ มบัติไว้ ชาวบา้ นสามารถเขา้ ไปยืมข้าวของเครอื่ งใช้มาใชใ้ นพิธตี า่ งๆ ได้ แตต่ อ้ งน�ำมาคนื
ตอ่ มามคี นยืมของแลว้ ไม่คนื วญิ ญาณทีร่ กั ษาถ�้ำจึงบนั ดาลใหห้ นา้ ผาถลม่ ปดิ ปากถ�้ำไว้ ท�ำให้ไมม่ ใี ครไดเ้ หน็ สมบัติในถ�้ำ
อีกเลย แตเ่ ชอื่ กนั ว่าถำ้� จะเปดิ ออกอีกคร้งั โดยผู้มบี ุญญาธิการ ตามความเช่อื ดังกลา่ วชมุ ชนจึงจัดพธิ ีบวงสรวง แตห่ ลงั
จากที่ส�ำรวจแหล่งโบราณคดดี อยเวียงดอยวงได้ไม่นาน พื้นทบ่ี ริเวณดอยเวียงถกู กว้านซอื้ และครอบครองโดยเอกชน
ท�ำใหช้ ุมชนไมส่ ามารถประกอบพธิ กี รรมบนดอยอย่างทีเ่ คยท�ำมาได้ ชาวบ้านจงึ แก้ปัญหาโดยจัดพิธบี วงสรวงเลก็ ๆ
บรเิ วณทางขนึ้ ดอยเวียงแทนเพราะเกรงว่าถา้ ไมท่ ำ� พิธีบวงสรวงจะเกดิ เภทภยั แก่หมู่บา้ น และไดร้ ่วมกันสรา้ ง
พระพุทธรูปพระเจ้าทันใจประดษิ ฐานไว้บริเวณหลุมขดุ ค้นบนดอยวง เพื่อเปน็ เครอ่ื งยึดเหนย่ี วจติ ใจ และทีมคณะนัก
วจิ ัยก็ไดล้ งพน้ื ทเ่ี พ่อื หาขอ้ มลู ณ ปัจจุบนั เพอื่ นำ� ข้อมลู มาสงั เคราะห์รูปแบบการสร้างสรรคง์ านศิลปกรรมขน้ึ มาใหม่
โดยได้จัดท�ำขอ้ มลู ในการส�ำรวจลงทางส่ือโซเซยี ลเพ่อื เป็นการประชาสัมพนั ธ์ตามลิงคน์ ้ี
๑. https://www.youtube.com/watch?v=dpgKsSmGoK๐
๒. FACEBOOK: https://www.facebook.com/profile.php?id=๑๐๐๐๐๓๙๙๘๖๕๗๑๑๓
๓. รว่ มไปถงึ งานวจิ ยั ทผ่ี า่ นมาทไ่ี ดส้ ำ� รวจในเบอื้ งตน้ โดยสบื คน้ หาตามลงิ คน์ ้ี
http://www.sure.su.ac.th/xmlui/handle /๑๒๓๔๕๖๗๘๙/๒๖๐๖
อา้ งองิ
มวิ เซียมไทยแลนด์, พิพิธภัณฑ์ชมุ ชนดอยเวยี ง-ดอยวง, [ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า:
Reference : http : //elanna.chiangmai.ac.th / [๑ เมษายน ๒๕๖๓].
https://www.museumthailand.com/th/museum/Doi-Viang-Doi-vong-Community-Museum
8
รูปท่ี ๑ พิพิธภัณฑช์ ุมชนดอยเวียงดอยวง
(ท่ีมา www.sac.or.th)
รูปท่ี ๒ วัตถโุ บราณในพิพธิ ภัณฑช์ ุมชนดอยเวียงดอยวง
(ทีม่ า www.sac.or.th)
9
๑.๒ แหลง่ โบราณคดผี าคันนา อ�ำเภอจอมทอง จงั หวัดเชียงใหม่
แหลง่ โบราณคดผี าคันนา อำ� เภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มที ีต่ ้ังน�้ำตกแม่กลาง ดอยหวั ช้าง อ.จอมทอง
จ.เชียงใหม่ พิกดั ภมู ศิ าสตร์ เส้นรุง้ ที่ ๑๘o ๒๙’ ๕๒” เหนือ เสน้ แวงท่ี ๙๘o ๔๐’ ๒๐” ตะวนั ออก พิกัดกรดิ ท่ี ๔๗
QMA ๖๕๔๔๕๑ ระวางท่ี ๔๗๔๕ IV สภาพทีต่ ้งั หา่ งจาก จ.เชียงใหม่ ทางใต้ ๖๕ กม. หา่ งจาก อ.จอมทองไปทางทิศ
ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ๘ กม. ตามเส้นทางจอมทอง - ดอยอนิ ทนนท์ ไปถึงศูนย์บริการข้อมลู นักทอ่ งเท่ียวน�้ำตกแมก่ ลาง
เดนิ เท้าเข้าไปตามเสน้ ทางท่องเทยี่ วนำ�้ ตกแมก่ ลางประมาณ ๒๐๐ เมตร เปน็ แนวสนั เขาท่หี นั หนา้ สลู่ ำ� น�้ำแมก่ ลาง การ
คน้ พบ สำ� รวจโดยโครงการโบราณคดปี ระเทศไทย (ภาคเหนอื ) กรมศลิ ปากร ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และส�ำรวจอีกครง้ั ใน
ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส�ำนกั งานโบราณคดีและพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตทิ ่ี ๖ เชียงใหม่ หลกั ฐานทางโบราณคดี พบเศษ
ภาชนะดนิ เผาเนื้อดนิ ลายเชอื กทาบและแบบผวิ เรยี บ จำ� นวนเลก็ น้อย ลกั ษณะของถ้�ำและภาพเขียนสี ผาคนั นาเป็น
หน้าผาช้นั บนของนำ�้ ตกแมก่ ลาง เป็นเพงิ หิน Granodiorite หนั หนา้ ไปทางทิศตะวันตก ยาว ๓๑ เมตร สงู ๑๒ เมตร
ภาพเขยี นสมี คี ราบหนิ ปนู เกาะจบั แนน่ อยู่ บรเิ วณทพี่ บภาพเขยี นสสี งู จากพนื้ ประมาณ ๑.๕ - ๕.๐ เมตร เขยี นดว้ ยสแี ดง
ประกอบดว้ ยภาพ ๓ ประเภท คอื ภาพคน ๑ ภาพ ภาพสตั วค์ ลา้ ยชา้ ง ๑ ภาพ และภาพสญั ลกั ษณเ์ ปน็ ลายเสน้ รปู ตา่ ง ๆ
รปู ที่ ๓ ลกั ษณะภาพลายเส้นและ
ภาพเขยี นสแี หล่งโบราณคดีผาคนั นา
(ทีม่ า: อำ� นาจ ขัดวิชยั นักวจิ ัย ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
10
๑.๓ แหลง่ โบราณคดวี ังไฮ อำ� เภอเมอื งล�ำพูน จงั หวัดล�ำพูน
สาระสำ� คัญทางโบราณคดี: แหล่งโบราณคดีบา้ นวงั ไฮ เป็นแหล่งฝงั ศพ กำ� หนดอายอุ ยูใ่ นช่วงสมยั เหลก็
ตอนปลาย หรอื อายรุ าว ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยก�ำหนดอายจุ ากกระดูกเผาไฟโดยวธิ ี Tandetron ไดค้ ่าอายุ ๑๔๙๐
±๕๐ ปี แหลง่ โบราณคดีบ้านวงั ไฮ ไดร้ ับการคน้ พบโดยบงั เอิญเมอ่ื ปี พ.ศ.๒๕๒๙ จากการขดุ บ่อเลย้ี งปลาในทด่ี ินของ
ชาวบ้าน โดยพบหลกั ฐานโบราณวัตถุต่างๆ อยรู่ ว่ มกับโครงกระดกู มนษุ ย์ ตอ่ มาเมอ่ื กรมศิลปากรดำ� เนนิ การขดุ คน้
ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ โดยนายวิชัย ตันกิตตกิ ร นักโบราณคดปี ระจำ� หน่วยศิลปากรท่ี ๔ กองโบราณคดี พบหลักฐานทาง
โบราณคดไี ด้แก่ โครงกระดกู มนุษย์ ภาชนะดินเผา ลูกปัดแกว้ เครอื่ งมอื หนิ กะเทาะ เครื่องมือสะเก็ดหิน แหวนดินเผา
และเครอ่ื งมอื เหล็ก ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๕๓๙ มกี ารขดุ ค้นโดยโครงการกอ่ นประวตั ิศาสตรไ์ ทย-ฝรง่ั เศส ภายใตค้ วามรว่ ม
มือของฝา่ ยวชิ าการสำ� นกั งานโบราณคดีและพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติที่ ๖ เชียงใหม่ และคณะนักโบราณคดีฝรง่ั เศส
(ฌอง-ปแิ ยร์ โปโทร และคณะ, ๒๕๔๖) โดยในปีเดยี วกันมีการขดุ ค้นโดยฝ่ายวชิ าการ สำ� นกั งานโบราณคดแี ละ
พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติที่ ๖ เชยี งใหม่ โดยนายสายนั ต์ ไพรชาญจติ ร์ หลังจากนมี้ ีการขดุ ค้นโดยโครงการความรว่ ม
มอื ไทย-ฝรั่งเศสด�ำเนนิ การทางโบราณคดที ีบ่ า้ นวงั ไฮอย่างตอ่ เน่อื งในปี พ.ศ.๒๕๔๐ และ ๒๕๔๑
การดำ� เนินการทางโบราณคดที บ่ี ้านวงั ไฮตัง้ แต่ปี พ.ศ.๒๕๓๐ และ พ.ศ.๒๕๓๙-๒๕๔๑ พบโครงกระดกู
ทง้ั หมด ๓๓ โครง สามารถวเิ คราะหไ์ ดว้ า่ หลมุ ฝงั ศพเหล่านน้ั เปน็ โครงกระดกู ผู้ใหญ่ ๒๐ โครง เป็นโครงกระดูกเดก็
และทารกแรกเกิด ๑๑ โครง และอกี ๒ โครง ไม่พบข้อมูลและมสี ภาพผพุ ังมากจนไม่สามารถศึกษารายละเอยี ดได้
ส่วนขนาดและขอบเขตของแหล่งฝังศพบ้านวังไฮไม่สามารถก�ำหนดได้แน่ชัดโดยเม่ือมีการส�ำรวจเพ่ิมเติมเพ่ือศึกษา
ขอบเขตท่แี นน่ อน ไดท้ ำ� การขุดคน้ พืน้ ทีโ่ ดยรอบของแหล่งขุดคน้ เดมิ ตามแนวเขตที่สันนษิ ฐานว่านา่ จะเป็นแหล่งฝัง
ศพ ทำ� ใหไ้ ดพ้ บลูกปัดหนิ คารเ์ นเล่ียน พบก�ำไลขอ้ มือสำ� ริดอกี หลายอันในนาขา้ วทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ และพบ
ก�ำไลแขนสำ� รดิ เศษภาชนะดินเผาทางด้านทิศเหนือ ประกอบกบั ค�ำบอกเลา่ ของชาวบา้ น สนั นษิ ฐานในเบอ้ื งตน้ ว่า
ขอบเขตพ้นื ที่แหลง่ ฝังศพของแหล่งโบราณคดบี ้านวงั ไฮมีเนือ้ ท่ี ไกลออกไปอกี หลายสบิ เมตรในทางทศิ ใต้ ทิศเหนือ
และทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากบรเิ วณท่ีท�ำการขดุ คน้ ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ และ พ.ศ.๒๕๓๙-๒๕๔๑ เปน็ พืน้ ท่ีประมาณ
๕๐๐ x ๕๐๐ เมตร
อา้ งอิง
ฌอง-ปแิ ยร์ โปโทร และคณะ, บา้ นวงั ไฮ แหลง่ ฝงั ศพโบราณยคุ เหลก็ ในภาคเหนอื ของประเทศไทย, (เชียงใหม่: ซลิ คเ์ วอร์ม, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๔๓.
กรมศลิ ปากร, แหล่งโบราณคดปี ระเทศไทย เลม่ ๖ (ภาคเหนือ), (กรุงเทพมหานคร: ไอเดยี สแควร,์ ๒๕๓๔), หนา้ ๑๐.
สายนั ต์ ไพรชาญจติ ร์ และสภุ มาศ ดวงสกุล, โบราณคดลี า้ นนา ๑, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนกั พมิ พ์สมาพนั ธ,์ ๑๕๔๐), หน้า ๗๓.
11
สรปุ ช้นั ดนิ ในการขุดคน้ ทางโบราณคดีบา้ นวังไฮมี ๕ ชัน้ ดนิ
ชน้ั ดนิ ที่ ๑ เปน็ ชนั้ ดนิ ระดบั ลา่ งสดุ เปน็ ชน้ั ทบั ถมของดนิ ตะกอนแมน่ ำ้� มาแตด่ งั้ เดมิ เปน็ ชนั้ ทไ่ี มม่ กี จิ กรรมมนษุ ย์
ชนั้ ดนิ ท่ี ๒ เปน็ ชนั้ ดินทีย่ ังคงมีรอยการทบั ถมของดินตะกอนแมน่ ้ำ� และพบเครอื่ งมือหิน และสะเกด็ หนิ
หลายชิน้ สันนษิ ฐานวา่ อาจถกู น�ำ้ พดั พามา
ชน้ั ดนิ ท่ี ๓ เป็นชัน้ ดินท่มี กี ารปรบั พนื้ ทีเ่ พือ่ การเกษตรกรรม ปรากฏร่องรอยคูน�ำ้ โบราณ พบหลมุ ฝงั ศพถกู
ขุดในระดับความลกึ ประมาณ ๗๐ เซนติเมตร และ ๑.๒ เมตรโดยวัดจากผิวดินทีม่ ีการไถปรบั หนา้ ดนิ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑
เป็นหลุมฝงั ศพยุคเหล็กตอนปลาย อายุราว ๑,๕๐๐ ปมี าแลว้
ชน้ั ดนิ ที่ ๔ พบรอ่ งรอยหลุมเสา พบหลุมฝงั ศพ เศษกระดูกที่ผา่ นการเผา พบภาชนะดนิ เผาสมยั หริภญุ ไชย
โดยสนั นิษฐานว่าชุมชนบ้านวงั ไฮในระยะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ น้ีอาจมกี ารเปล่ยี นแปลงประเพณีการฝงั ศพมาเป็น
การฝังศพตามพธิ กี รรมทางพุทธศาสนาท่ผี คู้ นในวฒั นธรรมหรภิ ุญไชยนับถือ
ชน้ั ดนิ ที่ ๕ เปน็ ชน้ั ดนิ สดุ ทา้ ยระดบั บนสดุ พบโบราณวตั ถปุ รมิ าณนอ้ ยและมลี กั ษณะคลา้ ยกบั ทพี่ บในปจั จบุ นั
เชน่ เศษภาชนะสมยั ใหม่ จงึ อาจเปน็ ไปไดว้ า่ หลกั ฐานทางโบราณคดอี าจถกู รบกวนโดยการใชพ้ นื้ ทที่ ำ� นาขา้ วและเพาะปลกู มา
อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
โดยสรปุ ผลการศึกษาเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ไดว้ ่า แหล่งโบราณคดบี ้านวังไฮแสดงใหเ้ หน็ กลุ่มชนทม่ี ีลกั ษณะ
สังคมด้ังเดมิ ทมี่ อี ายุตง้ั แต่สมัยกอ่ นประวัติศาสตร์ ยคุ เหลก็ ตอนปลาย หรอื ราว ๑,๕๐๐ ปมี าแล้วสมยั หนึ่ง และสมัย
ประวตั ิศาสตรท์ ร่ี บั วัฒนธรรมหรภิ ุญชัยราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ อกี สมัยหนึ่ง ทง้ั นใี้ นสมยั หลงั นแ้ี สดงใหเ้ หน็ ว่ากลมุ่ ชน
ท่ีบา้ นวงั ไฮไมไ่ ดอ้ ยู่อยา่ งโดดเดี่ยว แต่เปน็ สังคมท่ยี ังคงมีประเพณกี ารฝงั ศพแบบสังคมด้ังเดมิ แต่มีการรับวฒั นธรรม
ภาย นอกไดแ้ ก่วฒั นธรรมทวารวดีจากภาคกลาง เช่น เครื่องประดบั ก�ำไลแก้ว ลกู ปดั คารเ์ นเล่ยี น ลกู ปดั แก้ว เปน็ ต้น
นอกจากน้ี การวเิ คราะหโ์ บราณวตั ถทุ ฝ่ี งั รว่ มกับศพทแ่ี หล่งโบราณคดบี า้ นวงั ไฮ พบโบราณวตั ถปุ ะปนกัน
ตั้งแต่เครื่องมือหินทีเป็นของสังคมด้ังเดิมจนถึงแก้วท่ีถือว่าเทคโนโลยีสูงกว่าท�ำให้สันนิษฐานได้ถึงโครงสร้างทางสังคม
ที่มีการคลี่คลายผสมผสานจากลักษณะความเป็นแบบด้ังเดิมจนถึงรูปแบบสังคมท่ีมีความซับซ้อนขึ้นมีกลุ่มช่างฝีมือ
เฉพาะทางมากขน้ึ โดยกลมุ่ ชนทีบ่ า้ นวงั ไฮคงเป็นกลุ่มชนด้งั เดมิ ทตี่ ้ังถ่ินฐานบรเิ วณฝ่งั ตะวนั ออกของแมน่ ้ำ� กวง นอก
เหนอื ไปจากกลุ่มชนแถบดอยสเุ ทพ โดยกลุ่มแถบแมน่ ้ำ� กวงนี้คงอยูเ่ ป็นกลุม่ ริมน�ำ้ ต้งั แตต่ น้ น้�ำแถบอำ� เภอดอยสะเกด็
ถึงบา้ นยางทองใต้ ลงมายงั บา้ นสนั ปา่ คา่ อำ� เภอสนั กำ� แพง ทง้ั นที้ งั้ สามกลมุ่ นคี้ งเปน็ กลมุ่ รว่ มสมยั กนั ดงั พบหลกั ฐาน
โบราณวตั ถสุ มั พนั ธก์ นั กลา่ วคอื ในชน้ั วฒั นธรรมแรกของบา้ นวงั ไฮพบภาชนะดนิ เผาเปน็ ชามกน้ กลมทานำ้� ดนิ สขี น้ แดง
ซง่ึ เปน็ แบบทพี่ บรว่ มกบั โครงกระดกู ทแ่ี หลง่ โบราณคดบี า้ นยางทองใตแ้ ละแหลง่ โบราณคดบี า้ นสนั ปา่ คา่ และระบบความ
เชอื่ เรอื่ งความตายกเ็ ปน็ ลกั ษณะของสงั คมดง้ั เดมิ เหมอื นกนั ไดแ้ ก่ การใสส่ ง่ิ ของฝงั รว่ มกบั ศพ ทศิ ทางการหนั ศรี ษะไปทาง
เดยี วกนั คอื ทศิ ตะวนั ออก รวมถงึ การทำ� ลายสง่ิ ของทฝ่ี งั รว่ มกบั ศพ ทง้ั นบ้ี า้ นวงั ไฮเปน็ กลมุ่ ทร่ี บั รปู แบบวฒั นธรรมหรภิ ญุ
ไชยมากกวา่ สองกลมุ่ แรก ซงึ่ คงเนอื่ งจากอยใู่ กลก้ บั เมอื งหรภิ ญุ ไชยมากกวา่ แหลง่ โบราณคดอี กี สองแหลง่
12
ปจั จยั สำ� คญั ทส่ี นบั สนนุ การเกดิ ชมุ ชนดง้ั เดมิ บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ กวง ไดแ้ ก่ บรเิ วณนม้ี ลี กั ษณะภมู สิ ณั ฐาน ระยะหา่ งจากแหลง่ นำ้�
ทเี่ หมาะสม เนอ่ื งจากแหลง่ นำ�้ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ในการดำ� รงชวี ติ ของผคู้ นทง้ั เปน็ แหลง่ อปุ โภค บรโิ ภค แหลง่ อาหาร การใช้
ประโยชนใ์ นการเกษตรกรรม และแหลง่ นำ�้ นำ� มาซงึ่ สภาพธรณวี ทิ ยา พชื พรรณทสี่ มบรู ณ์ และยงั เปน็ เสน้ ทางคมนาคมที่
ตดิ ตอ่ กบั ภายนอกไดส้ ะดวก ทงั้ ตดิ ตอ่ กบั ทร่ี าบลมุ่ เชยี งราย จนี พมา่ อนิ เดยี และทรี่ าบภาคกลางซง่ึ เปน็ แหลง่ วฒั นธรรม
ทวารวดใี นภาคกลาง สง่ ผลใหช้ มุ ชนบรเิ วณแหลง่ โบราณคดบี า้ นวงั ไฮและชมุ ชนรมิ แมน่ ำ้� กวงซง่ึ มรี ปู แบบชมุ ชนเกษตรกรรม
ตั้งถิ่นฐานถาวรสามารถมีพัฒนาการคล่ีคลายเข้าสู่สังคมสมัยประวัติศาสตร์ในระยะแรกเริ่มของพื้นที่ภาคเหนือของ
ประเทศไทยได้
13
รูปที่ ๔ โบราณวตั ถทุ ่ีฝังร่วมกบั ศพทแ่ี หลง่ โบราณคดีบา้ นวงั ไฮ
(ทม่ี า: https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/812744/)
๑.๔ แหลง่ โบราณคดปี ระตผู า อำ� เภอแมเ่ มาะ จังหวดั ลำ� ปาง
ภาพเขยี นสแี หง่ นเี้ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ โดย ร.อ. มโี ฉม ชเู กยี รติ นายทหารสงั กดั กองพนั ฝกึ รบพเิ ศษที่ ๓ ประตู
ผา จากการฝกึ โรยตวั ลงมาจากหนา้ ผาแลว้ สงั เกตเหน็ ภาพเขยี นสแี ดงหลายภาพบรเิ วณหนา้ ผา จากนนั้ มกี รมศลิ ปากร นำ�
โดย ชนิ ณวฒุ ิ ชลิ ยาลยั เขา้ มาทำ� การสำ� รวจ ขดุ คน้ ศกึ ษาในดา้ นตา่ งๆ ตอ่ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ มกี ารพบภาพเขยี นสกี ระจาย
อยหู่ ลายกลมุ่ เปน็ ระยะๆ พบตงั้ แตภ่ าพทม่ี คี วามสงู อยใู่ นระดบั ประมาณเอวไปจนถงึ ระยะ ๑๐ เมตร
จากการศกึ ษาของกรมศลิ ปากร พบวา่ ภาพทง้ั หมดมมี ากกวา่ ๑,๘๗๒ ภาพ โดยแบง่ ออกเปน็ ๗ กลมุ่ ตาม
ลกั ษณะการเวา้ ของหนา้ ผา โดยแตล่ ะกลมุ่ ภาพมรี ายละเอยี ดดงั น้ี
กลมุ่ ที่ ๑ ผาเลยี งผา ประกอบไปดว้ ยภาพเลยี งผา ววั เตา่ นก มา้ ปะปนกบั ภาพมอื ทงั้ แบบเงาทบึ และกง่ึ เงา
ทบึ ท่ีมีการตกแตง่ ลวดลายภายในมือเป็นลายเสน้ แบบตา่ งๆ อีกทง้ั ยงั พบภาพเครื่องมอื เครอื่ งใช้ของมนษุ ยใ์ นยุคกอ่ น
ประวัตศิ าสตร์
กลมุ่ ที่ ๒ ผานกยงู ประกอบไปด้วยภาพคนเพศชาย ภาพสัตวค์ ล้ายนกยงู ภาพสตั ว์เลือ้ ยคลาน ประเภท
ตะกวด พังพอน กระรอก บา่ ง ภาพสญั ลกั ษณค์ ลา้ ยดอกไม้ ภาพววั ภาพท่ีเปน็ รปู ส่ีเหล่ียมและมีการตกแตง่ ภายใน
พบภาพทมี่ ลี ักษณะคลา้ ยภาชนะทท่ี ำ� ด้วยโลหะ อีกท้งั ยงั พบภาพมอื แบบก่งึ เงาทบึ และการพน่ การวาดแบบอิสระ
กลมุ่ ท่ี ๓ ผาววั ประกอบไปด้วยภาพเงาทึบและภาพโครงรา่ งของสตั ว์คล้ายววั กระจง เกง้ หรอื กวาง บาง
ภาพเปน็ โครงรา่ งขนาดใหญข่ องสตั วม์ เี ขาคลา้ ยววั มภี าพมอื ประทบั และตกแตง่ ดว้ ยสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ ดา้ นหนา้ ววั ปรากฏ
ภาพคน ๗ คน ยนื รายลอ้ มอยู่ จงึ ทำ� ใหส้ นั นษิ ฐานไดว้ า่ พน้ื ทแ่ี หง่ นเี้ ปน็ แหลง่ ประกอบพธิ กี รรมฝงั ศพวาดภาพเขยี นสี
กลมุ่ ที่ ๔ ผาเตน้ ระบำ� ประกอบไปดว้ ยภาพคน ๕ คน และสตั ว์ มคี นในภาพนงุ่ ผา้ ทรงกระบอกโปง่ พอง ถอื
อาวธุ คลา้ ยธนู ดา้ นหลงั ของคนดงั กล่าวมีภาพคนอีก ๒ คน กำ� ลังเคล่อื นไหวกา้ วเท้าไปขา้ งหน้า และมีภาพเงาทบึ ของ
วัวหันหน้าเข้าหากันในลักษณะต่อสู้และมีภาพบุคคลแสดงกิริยาเคล่ือนไหวในท่าวิ่งเข้ามาอยู่ระหว่างวัวท้ังสองตัว
คล้ายกบั การห้ามวัว
14
กลุ่มท่ี ๕ ผาหนิ ตัง้ สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วน โดยส่วนแรกจะตอ่ เนอื่ งกบั กลุ่มภาพที่ ๔ โดยปรากฏ
เปน็ ภาพกล่มุ คน ๙ คน วาดแบบตดั ทอนส่วน ภาพสตั วค์ ลา้ ยเก้ง ภาพสัญลกั ษณ์ อกี ส่วนหน่งึ เปน็ ภาพท่แี สดงราย
ละเอยี ดของบคุ คลนอนหนั ศีรษะไปทางทิศใต้ ร่างของบุคคลถูกวาดตามแนวขวางตลอดทงั้ ตัว และมีเครื่องหมาย
กากบาททับไว้ในบริเวณบริเวณสว่ นทรวงอก ซง่ึ อาจหมายถงึ รา่ งของคนทีเ่ สยี ชวี ติ ไปแล้ว
กลุ่มที่ ๖ ผานางกางแขน ปรากฏภาพบุคคลคลา้ ยสตรที มี่ ีส่วนทอ้ งคอ่ นขา้ งใหญ่ แขนท้งั สองขา้ งกางออก
ไปด้านขางของลำ� ตวั ปลายแขนงอลง ในระดบั บนของกลุ่มภาพยังพบภาพคลา้ ยบุคคลทม่ี ีศีรษะกลม ช่วงล่างของ
ศีรษะในระดบั หมู ตี ง่ิ ยื่นออกมาทงั้ ๒ ขา้ ง คลา้ ยหมวกปกี หนา แขนขนาดเล็กทง้ั ๒ ข้างกางออกตัง้ ฉากกับล�ำตัวทม่ี ี
ส่วนทอ้ งขนาดใหญ่ มกี ารใช้เทคนิคการวาดภาพโครงร่างและใช้ลายเสน้ เลก็ ๆขดี ทับในบริเวณส่วนล�ำตวั ซ่ึงอาจ
เปน็ การสือ่ ความหมายให้เหน็ รายละเอยี ดของขนสัตว์
กลมุ่ ที่ ๗ ผาลา่ สตั ว์ เปน็ ภาพกลุ่มสุดท้ายทพ่ี บ จากลักษณะเพงิ ผาท่ตี ัดตรง ทำ� ใหภ้ าพเขียนสีลบเลอื น
ภาพที่ปรากฏเปน็ ภาพบุคคล ๒ คน น่งุ ผา้ ปลอ่ ยชายยาว บุคคลทางด้านขวาของภาพถอื อปุ กรณ์วงกลมลักษณะคล้าย
หว่ ง แสดงการเคลอื่ นไหวคล้ายจะคล้องจบั เอาวัว ส่วนบคุ คลอีกคนหนง่ึ ถือวตั ถคุ ลา้ ยไม้ในลักษณะเงือ้ ง่า คล้ายอาการ
ตีวัว ซงึ่ อาจแสดงถงึ กจิ กรรมการจบั หรือฝึกฝนสตั ว์
การเขียนเขียนด้วยสแี ดงทม่ี คี วามเขม้ จางของสตี า่ งกนั ในแตล่ ะภาพ สีแดงนา่ จะมาจากดนิ เทศ เพราะพบ
หลักฐานจากการขุดค้นบรเิ วณเพิงผาใตภ้ าพเขยี นสกี ลุม่ ท่ี ๑ ทพ่ี บกอ้ นดนิ เทศมีรอ่ งรอยการขัดฝนจนเรียบ แหลง่
วตั ถดุ บิ ของดนิ เทศนา่ จะมาจากภายในพน้ื ท่ี เพราะในแอง่ ประตผู า โดยเฉพาะบรเิ วณเนนิ เขาตา่ งๆ พบกอ้ นดนิ เทศหรอื
หนิ สแี ดงขนาดตา่ งๆกระจายอยทู่ ว่ั ไป อปุ กรณผ์ สมสแี ละใสส่ ี นา่ จะเปน็ เปลอื กไมห้ รอื ผลไม้ เชน่ กะลามะพรา้ ว นำ้� เตา้
กระบอกไมไ้ ผ่ หรอื อาจเปน็ ภาชนะดนิ เผา อปุ กรณร์ ะบายสี ภาพบางภาพมลี ายเสน้ ขนาดเลก็ มาก จงึ สนั นษิ ฐานไดว้ า่ นา่
จะใชพ้ กู่ นั วาด ซงึ่ พกู่ นั อาจทำ� จากกง่ิ ไมห้ รอื แทง่ ไมท้ บุ ปลายจนนมิ่ สามารถซมึ ซบั นำ�้ สไี ด้ หรอื อาจเปน็ ดอกหญา้ หรอื ขน
สตั วห์ รอื อนื่ ๆ มดั รวมเปน็ จกุ สว่ นการระบายหรอื ลงสที บึ ของภาพแบบเงาทบึ อาจใชท้ ง้ั พกู่ นั หรอื นว้ิ มอื
15
รูปท่ี ๕ ภาพเขยี นสแี ดงบนเพงิ ผาที่ประตูผา ซ่งึ สว่ นใหญเ่ ป็นรปู ฝ่ามอื สีแดง
และที่สำ� คัญเห็นสตั ว์เล้ยี งหรือสตั ว์ปา่ ทีเ่ ปน็ รปู ควายหรอื ววั และกิจกรรมอืน่ ๆ
(ทม่ี า: https://๒.bp.blogspot.com/-FMi๙k๒_VURM/U๕FTkdsV๙CI/AAAAAAAAJSo/iLCtsNua๘_w/s๑๖๐๐/DSCN๙๔๐๘.JPG)
๑.๕ แหล่งโบราณคดีเวยี งบวั อ�ำเภอเมือง จงั หวัดพะเยา
เมอื งโบราณเวยี งบวั เปน็ แหลง่ โบราณคดี คน้ พบเตาเผาโบราณ ซงึ่ มอี ายกุ วา่ ๗๐๐ ปี ซง่ึ เปน็ เตาเผาโบราณ
ทเี่ กา่ แกท่ สี่ ดุ ในลา้ นนา คน้ พบเตาเผาและเศษเครอื่ งจานชามอยตู่ ามทลี่ าดเนนิ ตามรมิ ลำ� นำ้� หว้ ยแมต่ ำ๋� ตามไรน่ า และ
สวนของชาวบา้ น เตาเผาทพี่ บนนั้ อยใู่ นกลมุ่ ของเตาเกา๊ มะเฟอื ง
การขดุ พบหลกั ฐานการผลติ เครอื่ งจานชามเนอื้ แกรง่ ชนดิ เคลอื บ อยปู่ ระมาณปี พ.ศ.๑๘๒๓-๑๘๔๓ ในสมยั
พระยางำ� เมอื ง แหง่ เมอื งพะเยา พบลวดลายภมู จิ กั รวาลทเี่ ปน็ อตั ลกั ษณข์ องเครอื่ งจานชามทเ่ี วยี งบวั หลาย
16
แบบมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตวั คือ การกดทบั ลายดว้ ยดวงตรา การพิมพ์กดลาย การขดู เส้น ขดู สี เซาะรอ่ ง แกะ
สลกั ลายเปน็ รปู ตา่ งๆ สว่ นใหญจ่ ะตกแต่งลวดลายตรงกลางชามดา้ นใน
ลายลักษณ์ท่ีส�ำคัญท่ีพบได้แก่ ปลา สิงห์ ช้าง ม้า ดวงอาทิตย์ ธรรมจักร ก้นหอย ขวัญ อนันตวัฏฏะ
ศรวี ัตสะ นกหงส์ นกยงู นกสแี ดงหรือฟีนิกส์ ซ่ึงสว่ นมากเปน็ ลายลกั ษณ์แบบใหมท่ ่ียังไม่เคยพบเครื่องจานชามของ
แหล่งเตาอื่นๆ ในประเทศไทยหรอื ตา่ งประเทศมาก่อน
หลักฐานโบราณวตั ถทุ ่พี บในการขดุ ค้นเตาเกา๊ มะเฟือง ทั้งหมดเปน็ เคร่ืองปั้นดินเผา ท่สี �ำคญั มี ๔ กลมุ่
๑. ภาชนะประเภทจานชาม
๒. ภาชนะประเภทไห
๓. ก๋ีแผ่นกลมแบบสำ� หรับท�ำลวดลาย
๔. ตราประทับส�ำหรบั ท�ำลวดลาย
เคร่ืองปั้นดินเผาที่คน้ พบในกล่มุ เตาเกา๊ มะเฟือง เป็นเครื่องจานชามชนดิ เนอ้ื แกรง่ เคลือบผิวอยา่ งสวยงาม
ส่วนใหญ่เคลอื บผวิ เฉพาะด้านใน ไมท่ าดินรองพน้ื สขี าวที่ดา้ นนอก มีการเคลือบและเผาซ�้ำ ท�ำให้จานชามเน้ือแกรง่ ยิง่
ขึ้น สที เ่ี คลอื บส่วนมากเป็นโทนสเี ขยี ว เชน่ สเี ขียวอ่อน สีเขยี วแกมเหลือง และสขี าวนวล เนื้อดินทีใ่ ช้ในการปั้นส่วน
มากเป็นเนอ้ื ดินสีด�ำ และมีเนอ้ื ดินละเอยี ดสขี าว และสขี าวนวลปะปนอยู่ดว้ ย แตม่ จี �ำนวนนอ้ ย แหล่งเตาพะเยามี
หลายพน้ื ท่ี ส่วนมากอย่ใู นพื้นท่ลี ุม่ น้ำ� แม่ต๋�ำทอี่ ยู่ทางทศิ ใต้ของกว๊านพะเยา โดยเฉพาะในท้องท่ีตำ� บลแมก่ า อ�ำเภอ
เมอื ง จงั หวัดพะเยา แหลง่ โบราณคดีที่ข้าพเจา้ ศึกษาและน�ำเสนอผลการศกึ ษาในบทน้ีอยทู่ ่ีเมืองโบราณเวียงบัว ทอ้ งท่ี
หม่ทู ่ี ๗ ตอ่ เน่ืองกบั หมู่ที่ ๓ ต�ำบลแม่กา อำ� เภอเมือง จังหวัดพะเยา ปจั จบุ ันอยู่หา่ งจากชุมชนใหม่ริมถนนพหลโยธนิ
หน้ามหาวิทยาลยั พะเยา ไปทางทศิ ตะวันออก ๓ กโิ ลเมตร
17
รปู ที่ ๖ แหลง่ โบราณคดีเมอื งโบราณเวยี งบัว
(ท่มี า: อำ� นาจ ขดั วิชัย นกั วิจยั ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
รูปที่ ๗ ภาพตัดฝานตามยาว ผังพ้นื แสดงขนาดและสดั สว่ นของเตาเกา๊ มะเฟือง ๑ หลักฐานชามและจานลาย สิงห์สามใบหลอมติดกนั และ
จินตภาพสังเคราะห์ แสดงลกั ษณะการตงั้ เรียงจาน/ชามในหอ้ งภาชนะ ของเตาในลกั ษณะปากประกบปาก-ก้นซอ้ นกน้ เป็นเทคนคิ ทใ่ี ชก้ นั
แพรห่ ลายในหมู่ชา่ งป้นั หม้อและ ศิลปินดนิ เผาของกลุ่มชาติพันธ์ุไท-ลาวในอนภุ ูมภิ าคลุม่ แมน่ ำ�้ โขง
ลมุ่ แม่น�ำ้ กก แมน่ ำ้� อิง และลมุ่ แมน่ ้�ำ ปงิ -วัง-ยม-น่าน
(ทีม่ า: อ�ำนาจ ขดั วชิ ยั นักวจิ ยั ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
18
รูปที่ ๘ แผนภาพรายงานผลการก�ำหนดอายุตัวอย่างถา่ นจากเตาเกา๊ มะเฟือง ๑ ดว้ ยวิธคี าร์บอน-๑๔ มี
ค่าอายุ การใชเ้ ผาภาชนะระหว่างปี พ.ศ. ๑๘๒๓-๑๘๔๓ ตรงกบั รชั สมัยพญาง�ำเมืองแห่งแควน้ พะเยา
(ท่มี า: อ�ำนาจ ขดั วิชยั นักวิจยั ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
รูปที่ ๙ ชามตะไลเวยี งบวั เคลอื บสเี ขยี วแกมเหลอื ง มีลายรปู สงิ หอ์ ยู่ตรงกลางธรรมจกั ร หรอื สรุ ยิ จกั ร/สรุ ิยมณฑล
สภาพชำ� รุด ชามลายสิงห์ลักษณะน้ไี ม่เคยพบทีไ่ หนมากอ่ น ชาวบา้ นบวั พบชามชดุ นี้ ในการมสี ว่ นร่วมขดุ ค้นศึกษา
พ้นื ทีก่ องขยะเตา (kiln wastes) ของกลมุ่ เตาเกา๊ มะเฟอื งเม่อื เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
(ทมี่ า: อ�ำนาจ ขดั วชิ ยั นกั วจิ ัย ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
19
รูปที่ ๑๐ ภาพถา่ ยชิ้นสว่ นชามเวยี งบวั ชนิดเคลือบตกแต่งด้วยลายภูมิจกั รวาลระบบสรุ ิยจักร/ธรรมจักร และภาพลาย
เสน้ สังเคราะหเ์ ต็มรปู ของชามและจานในกลมุ่ นี้ เป็นลายอตั ลักษณ์เฉพาะของแหลง่ เตาพะเยาที่ เวยี งบวั
(ท่มี า: อ�ำนาจ ขดั วิชยั นักวิจยั ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
รปู ท่ี ๑๑ ดวงตราพมิ พ์ลายและลายรปู ลักษณม์ งคลต่างๆ ทพ่ี บในแหล่งเตาพะเยาท่ีเวยี งบวั ความหลากหลาย และ
ความสวยงามของลายลักษณแ์ สดงให้เหน็ วา่ ศิลปนิ ดนิ เผาที่แคว้นพะเยาเมอื่ พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐ มีภมู ิธรรมท่ีลกึ
ซ้ึงและมภี ูมปิ ญั ญาเป็นเลิศด้านวัฒนธรรมสุนทรีย์
20 (ทมี่ า: อ�ำนาจ ขดั วชิ ัย นักวิจัย ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
รปู ท่ี ๑๒ ชามเชลยี ง หรอื ชามมอญ ผลติ จากแหลง่ เตาสมยั เชลยี งทเ่ี มอื งศรสี ชั นาลยั เนอื้ แกรง่ เคลอื บเฉพาะ ดา้ น
ใน ตกแตง่ ดว้ ยชดุ ลายลายภมู จิ กั รวาลทเ่ี ปน็ ระบบผสมระหวา่ งระบบสรุ ยิ จกั รกบั ระบบเขา พระสเุ มรุ ชามใบทาง
ซา้ ยมอื ถกู นำ� ไปใชเ้ ปน็ ฝาครอบไหบรรจพุ ระพมิ พฝ์ งั ไวใ้ นกรเุ จดยี ร์ ายองคห์ นงึ่ ที่ กลางเมอื งสโุ ขทยั อายรุ าวพทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๒๐ (ปจั จบุ นั อยใู่ นพนื้ ทพี่ พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตริ ามคำ� แหง) สว่ นชามใบทางขวาเปน็ ขยะเตาเพราะ
สภาพบดิ เบย้ี วเสยี รปู ทรงไดม้ าจากแหลง่ เตาสมยั เชลยี งทบ่ี า้ น หนองอออ้ ทางเหนอื ของเมอื งศรสี ชั นาลยั
(ทมี่ า: อำ� นาจ ขดั วชิ ยั นกั วจิ ยั ๑๖ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
๑.๖ แหล่งโบราณคดคี ุม้ วชิ ยั ราชา อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดแพร่
คมุ วชิ ยั ราชา เรือนไม้สักทรงมะนิลา หลังงามน้ีมาเป็นทพี่ กั อาศัยแทนหลังเกา่ ที่ช�ำรุดทรดุ โทรมไปตามกาล
เวลา จากขอ้ มูลเหลา่ น้ีคาดว่าบา้ นหลงั นี้คงสร้าง ขน้ึ ระหวา่ งปี พ.ศ.๒๔๓๔-๒๔๓๘ อยา่ งไรกต็ าม ถงึ แม้วา่ บ้านหลงั นี้
จะมีอายุเก่าแก่เกินร้อยปีแต่ยังมีโครงสร้างที่ม่ันคงแข็งแรงท้ังยังได้รับการออกแบบอย่างสวยงามเหมาะเจาะกลมกลืน
มีความงามท่ี โดดเดน่ พรอ้ มท้งั ลวดลายฉลทุ ่ีสวยงามดอู อ่ นช้อย ท้ังทีจ่ ่วั บ้าน บงั ลม ระเบียงตลอดจนไมช้ อ่ งลมเหนือ
บานประตูและหน้าต่างลว้ นเป็นศลิ ปะสวยงาม และหายาก สมควรอนรุ ักษไ์ วเ้ ปน็ อย่างยงิ่ และถงึ แมว้ า่ พ่อเจ้าพระฯ
จะเป็นคลังจังหวดั ทีม่ ีฐานะและไดร้ ับสมั ปทานท�ำป่าไม้ แต่บ้านท่านไม่ได้ใช้ไม้ฟมุ่ เฟือยเกนิ ความจำ� เปน็ ของโครงสรา้ ง
และน้ำ� หนักทรี่ ับ แตอ่ ย่างไรแม้แตเ่ สาที่รบั น�ำ้ หนกั ท้ังหมด ยังใช้เสาไมข้ นาด ๘ น้ิว x ๘ นิว้ มิได้ใช้เสาใหญซ่ ง่ึ แสดงให้
เห็นถึงค่านิยมและภูมิปัญญาของชาวเมืองแพร่ในยุคสมัยก่อนได้เป็นอย่างดีในเรื่องการทนุถนอมทรัพยากรธรรมชาติ
และการรซู้ ้ึงถงึ ความพอดี บา้ นหรือคุ้มของพระวิชัยราชาหลงั นี้
21
รูปที่ ๑๓ คมุ้ ของพระวชิ ัยราชา
(ที่มา: อ�ำนาจ ขัดวิชัย นักวิจยั ๑๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
22
๑.๗ แหลง่ โบราณคดีเขาภูซาง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั นา่ น
รูปท่ี ๑๔ มนษุ ยย์ ุคโบราณของดอยภซู าง
(ท่มี า: อำ� นาจ ขดั วิชยั นกั วิจัย ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
จากการสำ� รวจแหลง่ โบราณคดใี นจงั หวดั นา่ น ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๒๗ – ๒๕๔๖ พบหลกั ฐานการผลติ เครอื่ งมอื หนิ
สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ อายรุ าว ๔,๐๐๐ ปี ในพน้ื ทต่ี อ่ เนอื่ งมากกวา่ ๑๐ ตารางกโิ ลเมตร และพบแหลง่ ผลติ เครอื่ งถว้ ยชามเคลอื บ
เนอ้ื แกรง่ สมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ – ๒๒ ในพน้ื ทอ่ี กี ราว ๓ ตารางกโิ ลเมตรทางตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ นา่ น ในเขตอำ� เภอเมอื ง ตาม
แนวเทอื กเขานอ้ ย เขาหนิ แกว้ เขาชมพู และดอยปแู่ กว้ ทโี่ อบลอ้ มแอง่ ทร่ี าบขนาดใหญข่ องลมุ่ แมน่ ำ้� สมนุ และลมุ่ นำ้� ซาว ครอบคลมุ
พน้ื ทป่ี ระมาณ ๘๐ ตารางกโิ ลเมตร
นอกจากนน้ั ยงั สำ� รวจพบเครอื่ งมอื หนิ สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ อกี หลายชนดิ ไดแ้ ก่ คอ้ นหนิ ซงึ่ ทำ� จากกรวดทอ้ งนำ�้
มคี วามแขง็ แรงทนทาน ใชส้ ำ� หรบั ทบุ หรอื ตอ่ ยกอ้ นหนิ อนื่ ทตี่ อ้ งการกระเทาะ ตกแตง่ ใหเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื รปู ตา่ งๆ
รูปที่ ๑๕ เคร่ืองมอื หินยคุ โบราณของดอยภซู าง 23
(ทมี่ า: อำ� นาจ ขัดวิชยั นกั วิจยั ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
จากคณุ ค่าการเป็นแหล่งอตุ สาหกรรมผลติ เคร่อื งมอื ยคุ หนิ ท่ียิง่ ใหญแ่ ละยงั คงความสมบูรณ์ ท�ำให้จังหวัด
น่านไดด้ ำ� เนินการขอข้นึ ทะเบยี นดอยภซู าง ให้เป็นแหล่งมรดกโลก และได้ทำ� การบวงสรวงเทพยดาปกปอ้ งรกั ษาและ
วิญญาณของบรรพชนซึ่งไดเ้ คยตงั้ ถิน่ ฐานอยใู่ นบรเิ วณดอยภูซาง เพอื่ ความเปน็ สิรมิ งคลสำ� หรับการเริ่มตน้ ขดุ ค้นหลกั
ฐานทางประวตั ิศาสตร์ โดยชาวบ้านรว่ มกบั สำ� นักงานโบราณคดี ไดท้ ำ� การขุดค้นในบรเิ วณไร่ขา้ วโพดรมิ ฝ่งั แมน่ ้ำ� ซาว
ทางทศิ ตะวันตกของดอยภซู าง ซง่ึ คาดว่าจะพบหลกั ฐานชนิ้ ส�ำคญั ทางประวัตศิ าสตร์ ซึ่งอาจสามารถน�ำไประบุถงึ การ
ตง้ั ถน่ิ ฐาน รวมถงึ การกำ� หนดอายุของแหลง่ โบราณคดแี หง่ นี้
๑.๘ แหล่งโบราณคดีถ้�ำน้ำ� ลอด ถำ�้ ผแี มน อ�ำเภอปางมะผ้า จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน
รอ่ งรอยหลกั ฐานของมนษุ ยโ์ บราณท่ีพบบรเิ วณเพิงผาถ้�ำลอดทเี่ กา่ ทส่ี ุด คือ โครงกระดูกมนุษย์ปัจจุบนั ยุค
แรกเรม่ิ หรือ Archaic Homo sapiens sapiens อย่างนอ้ ย ๔ คน โครงที่เกา่ ท่สี ุดอายปุ ระมาณ ๑๓,๖๔๐ ปมี าแลว้
เป็นโครงกระดกู เพศหญงิ อายุเมื่อตายประมาณ ๒๕-๓๕ ปี อีกโครงหน่ึงอายุ ๑๒,๑๐๐ ปีมาแล้ว อยใู่ นวยั ผูใ้ หญ่ ไม่
สามารถระบุเพศได้ โดยขนาดและลักษณะกระดกู ขากรรไกรล่างหรือสว่ นคาง แสดงลักษณะของความเป็น “ดั้งเดิม”
ชัดเจน โครงกระดูกที่พบจากแหลง่ โบราณคดีเพิงผาถ้�ำลอดนับว่าเปน็ โครงกระดกู มนุษย์ปัจจุบันท่ีเก่าแกท่ ่ีสดุ ท่พี บใน
พืน้ ทีภ่ าคเหนอื ของไทย โครงกระดกู เหล่านถี้ กู ฝงั อย่ใู ตด้ นิ ของเพิงผาโดยไม่มีพธิ ีรีตองมากนัก มีเพยี งก้อนหินขนาด
คอ่ นขา้ งใหญ่วางทับอยู่บนหลมุ ฝงั ศพเทา่ นนั้
ความเชือ่ ที่ปรากฏเด่นชดั ที่สดุ คือ ความเชอ่ื เกี่ยวกับความตายและประเพณีการฝังศพทา่ นอนงอตัว และ
มกี ารนำ� กอ้ นหินวางเหนอื หลุมฝังศพ โดยโครงกระดกู โครงท่ี ๑ ซึ่งมีอายปุ ระมาณ ๑๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ ฝงั ศพโดยการ
ขุดหลุมและฝังรา่ งผู้ตายในท่างอตวั และหันหน้าเข้าเพิงผา มีของเซน่ ท่ีพบรว่ มกับโครงกระดูกมเี พยี งชนิ้ ส่วนกระดูก
สตั ว์และก้อนหนิ กรวดทีอ่ าจจะเป็นกอ้ นหนิ สว่ นเหนือหลมุ ฝังศพกจ็ ะมีการน�ำก้อนหนิ กรวดและหินปนู ขนาดใหญว่ าง
ทับโดยรอบเสมอื นกบั เป็นสญั ลกั ษณท์ ี่บอกต�ำแหนง่ การฝัง ซง่ึ การพิธกี รรมปลงศพในลักษณะน้เี ป็นลักษณะที่พบโดย
ทว่ั ไปในสมัยปลายยคุ น้�ำแขง็ และต้นยคุ น�ำ้ ทว่ ม
อ้างองิ
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลนาซาว, แหล่งท่องเที่ยวทางดา้ นโบราณคดดี อยภซู าง, [ออนไลน]์ ,
แหล่งทม่ี า: Reference : http://www.nashawnan.go.th/tour-detail_๔๔ [ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓]
นัทธมน ภ่รู พี ฒั น์พงศ.์ “ตามรอยคนโบราณในอำ� เภอปางมะผ้า: ภาพรา่ งของช้นิ ส่วนทห่ี ายไป.” ใน พลวตั ทางสังคม วฒั นธรรมและส่งิ
แวดล้อมบนพน้ื ทีส่ ูงในอ�ำเภอปางมะผา้ จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน: งานวิจยั บูรณาการโบราณคดีเชงิ พ้ืนทแ่ี บบครบวงจร, ๓-๒๙, รศั มี ชทู รงเดช,
บรรณาธกิ าร. กรงุ เทพมหานคร: โครงการโบราณคดบี นพนื้ ทสี่ ูงในอ�ำเภอปางมะผ้า จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ระยะทีส่ อง, ๒๕๕๐.
24
การก�ำหนดอายุด้วยวิธวี ทิ ยาศาสตร์
การกำ� หนดอายุดว้ ยวธิ ีวทิ ยาศาสตร์ โดยวิธคี าร์บอน-๑๔ จ�ำนวน ๑๒ ตัวอยา่ ง และวธิ ีเทอรโ์ มลูมิเนสเซนส์
จำ� นวน ๗ ตัวอย่าง มรี ายละเอยี ดดังนี้
๑. การก�ำหนดอายดุ ว้ ยวิธีคาร์บอน-๑๔ จ�ำนวน ๑๒ ตัวอย่าง ที่หอ้ งปฏบิ ัตกิ าร Beta Analytic Inc., USA
แบ่งเปน็ ก�ำหนดดว้ ยวิธีเรดิโอคารบ์ อน ๓ ตัวอย่าง และ AMS ๙ ตัวอยา่ ง
๒. วิธีเทอร์โมลมู เิ นสเซนส์ จ�ำนวน ๗ ตวั อยา่ ง คือดนิ ในพื้นท่ีขุดค้นที่ ๒ และ ๓ วิเคราะห์โดย Chawalit
Khaokhiew and Prof. Dr.Isao Takashima ที่ Research Institute of Material and Resources, Faculty of
Engineer and ResearchScience, Akita University, Japan
จากการศกึ ษาพบว่า
๑. โครงกระดกหมายเลข ๑ ท่ีอยู่ลกึ ลงจากผวิ ดนิ ปัจจบุ ัน ๕๐ เซนตเิ มตร (ระดับสมมติที่ ๑๙๐-๑๙๖
cm.dt.) ก�ำหนดอายไุ ด้ ๑๒,๑๐๐±๖๐ ปมี าแลว้ (BP) (Beta-๑๖๘๒๒๓)
๒. โครงกระดูกหมายเลข ๒ ทอ่ี ยลู่ กึ ลงจากผวิ ดนิ ปจั จบุ นั ๘๐ เซนติเมตร (ระดบั สมมติท่ี ๒๑๐-๒๓๔
cm.dt.) กำ� หนดอายไุ ด้ ๑๓,๖๔๐±๘๐ ปีมาแล้ว (BP) (Beta-๑๖๘๒๒๔)
๓. เปลอื กหอยจากช้ันสมมติท่ี ๒๑ กำ� หนดอายุได้ ๒๒,๑๙๐±๑๖๐ ปีมาแลว้ (BP) (Beta-๑๗๒๒๖)
๔. เปลอื กหอยจากชั้นสมมติท่ี ๒๘ ก�ำหนดอายไุ ด้ ๑๖,๗๕๐±๗๐ ปีมาแล้ว (BP) (Beta-๑๗๒๒๗)
๕. ตะกอนดนิ รอยตอ่ ระหวา่ งชนั้ ทบั ถมท่ี ๒ และ ๓ พนื้ ทขี่ ดุ คน้ ที่ ๓ กำ� หนดอายไุ ด้ ๙,๙๘๐±๑๒๐ ปมี าแลว้
ผลการก�ำหนดค่าอายุทัง้ หมด จัดอยใู่ นสมัยไพลสโตซนี ตอนปลาย (๒๒,๑๙๐-๑๐,๐๐๐ ปีมาแลว้ ) และสมัยโฮโลซีน
ตอนต้น (ประมาณ ๙,๘๐๐ ปีมาแล้ว) แสดงว่ามกี ารเร่มิ ใช้พนื้ ที่ของมนุษยใ์ นบรเิ วณพ้ืนท่นี ้มี าไมน่ ้อยไปกว่า ๒๒,๐๐๐
ปีมาแล้ว
อา้ งองิ
ชวลิต ขาวเขียว. “ธรณวี ทิ ยาทางโบราณคด:ี กระบวนการกอ่ ตวั ทางโบราณคดี แหลง่ โบราณคดเี พงิ ผาถ้ำ� ลอด อ�ำเภอปางมะผา้ จังหวดั
แมฮ่ อ่ งสอน.” วทิ ยานิพันธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (โบราณคดีกอ่ นประวัติศาสตร)์ บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร, ๒๕๔๖.
25
รูปที่ ๑๗ บริเวณถำ�้ ลอด
(ทมี่ า: อ�ำนาจ ขดั วชิ ยั นกั วจิ ยั ๑๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
ถ�ำ้ ผีแมน
วัฒนธรรมการฝังศพในยุคดั้งเดิมเมื่อราว ๓,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปีมาแลว้ เราอาจเคยได้ยนิ ถงึ การฝงั ศพครง้ั ท่ี ๒
ดว้ ยการบรรจุกระดกู ใส่ในภาชนะดนิ เผาหรอื แคปซูล ในวฒั นธรรมที่โดดเดน่ ของแถบอสี านของไทย โดยเฉพาะเขตทุง่
กลุ ารอ้ งไห้ ในอกี สว่ นหนง่ึ ของดนิ แดนไทย บนเขตพ้ืนที่สูงทางภาคเหนอื ในอ�ำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน กม็ ี
วฒั นธรรมเกา่ แกท่ ใ่ี นเรือ่ งของวฒั นธรรมการฝังศพ ท่เี รียกว่า “วัฒนธรรมโลงไม”้ โครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงใน
อ�ำเภอปางมะผา้ จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน ของรองศาสตราจารย์ ดร.รัศมี ชทู รงเดช อาจารยป์ ระจำ� ภาควชิ าโบราณคดี
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศลิ ปากร ได้นำ� ทมี สำ� รวจพ้ืนท่บี ริเวณ อ. ปางมะผา้ และขดุ ค้นแหล่งโบราณคดเี พิงผา
บา้ นไร่ และเพิงผาถำ้� ลอดหรอื ทชี่ าวบ้านเรยี กว่า ถำ้� ผีแมนไดผ้ ลการวจิ ยั ท่แี สดงถงึ การอยอู่ าศัยตอ่ เนอ่ื งของชุมชน
แถบนี้ ตงั้ แตเ่ มือ่ ๓๐,๐๐๐ กวา่ ปีมาแลว้ จนถึงเมอ่ื ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วทีม่ ีการใช้ถ้ำ� และเพิงผาในการประกอบ
พธิ กี รรมฝงั ศพ โดยใช้ทน่ี ่ีเปน็ เสมอื นสุสาน ที่พบกระจายตัวตามล่มุ นำ�้ ลาง ลมุ่ นำ�้ ของ ลมุ่ น�ำ้ ละนา และลุ่มน�้ำกด๊ึ
สามสิบ
ในบรเิ วณที่เป็นเพงิ ผา หรือถ้�ำ ในเขต จ.แม่ฮอ่ งสอนดังกล่าวเป็นแหลง่ ทีพ่ บร่องรอยหลกั ฐานวฒั นธรรม
ของผ้คู นยคุ โบราณทที่ �ำพธิ กี รรมความตาย ซึ่ง สินนี าฏ วรรณศรี ผู้ชว่ ยนักวจิ ัยดา้ นวงปไี มแ้ ละละอองเรณู ของโครง
การฯ ไดก้ ำ� หนดอายุของกลุ่มวัฒนธรรมโลงไม้ไวใ้ นช่วงราว ๒,๖๐๐ – ๑,๑๐๐ ปีมาแลว้
ลกั ษณะทวั่ ไปของโลงไมท้ พี่ บ ท�ำจากท่อนซงุ ผา่ ครึ่งตามยาว ขุดเน้อื ไมด้ ้านในออก โลงไมจ้ ะประกบกนั
เปน็ คู่โลงชนิ้ บนทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ฝาปดิ ประกบ ตัวโลงมักวางพาดบนคานไมท้ ่มี ีเสาไมร้ องรับ มีของอทุ ิศฝังร่วมกับผตู้ าย
หัวโลงได้รับการแกะเปน็ รปู ทรงต่างๆ ซงึ่ สามารถจ�ำแนกไดเ้ ป็นกล่มุ อายตุ ามรปู แบบ โดยหัวโลงทแี่ กะเปน็ แทง่
26
ไม้สองแท่ง มีอายุเก่าสุดในกลุ่ม แมว้ า่ โครงกระดูกที่พบมกั กระจายอยู่ตามพ้นื ดินใตโ้ ลงไม้ ท่ีอาจเกดิ จากการรบกวน
ของชาวบา้ นทเี่ ข้าถึงแหลง่ มากอ่ นแล้ว
นอกจากในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว วัฒนธรรมโลงไม้ ยังพบในจังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณลุ่ม
แม่น�้ำแควน้อย แควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรีที่น่าจะมีความเชื่อมโยงถึงกันตามแนวเทือกเขาหินปูนด้านตะวันตกท่ี
ต่อเน่ืองจากเหนือลงมาและวัฒนธรรมโลงไม้ยังอาจเป็นวัฒนธรรมที่มีการติดต่อกับกลุ่มคนภายนอก โดยได้รบั รปู
แบบการฝังศพโดยเฉพาะจากทางเหนือ หรือจากยูนานในประเทศจนี กเ็ ป็นได้ อ.ปางมะผา้ จ.แมฮ่ อ่ งสอน ชาวบา้ นมัก
เรียกถำ้� ทีพ่ บโรงศพของมนษุ ย์กอ่ นประวัติศาสตร์วา่ ถ้�ำผแี มน ซ่ึงพบถึง ๗๔ แห่ง ใน อ. ปางมะผา้ แตถ่ ้ำ� ผแี มนแหง่ นี้
เป็นท่ีรู้จักอย่างกว้างขวางและเข้าถึงได้ง่ายท่ีสุดโดยไม่ต้องมีคนน�ำทางเพราะมีการติดตั้งไฟฟ้าภายในถ้�ำให้ชมได้อย่าง
สะดวก
รูปที่ ๑๘ บริเวณถ�้ำผีแมน
(ทมี่ า: อำ� นาจ ขัดวิชยั นักวจิ ัย ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓)
27
บทที่ ๒
ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ปกรรมยุคประวัตศิ าสตร์
ชดุ องคค์ วามรใู้ นบทน้จี ะกลา่ วถึงประวัติศาสตรศ์ ลิ ปกรรมยคุ ประวัตศิ าสตรใ์ นล้านนาที่มีคุณค่าเชงิ หลกั
ฐานในชว่ งหวั เล้ียวหัวต่อของการรบั วัฒนธรรมจากภายนอกของภาคเหนือตอนบน ซงึ่ เปน็ ดนิ แดนทไ่ี ดรบั พุทธศาสนา
หลังสดุ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ หลักฐานในการขดุ พบ คอื ระฆังส�ำรดิ เคร่อื งโลหะ เป็นยคุ โลหะตอนปลายท่บี ้านวัง
ไทย อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั ล�ำพูน และพบโครงกระดูกก่อนประวตั ศิ าสตร์ พบลกู ปัดหินสี ซึง่ เป็นศิลปะท่ที �ำข้นึ ท่อี ินเดีย
การเขา้ สู่ยุคประวตั ิศาสตรข์ องทางเหนอื คือ การรับเอาพทุ ธศาสนาเขา้ มามีบทบาททางศลิ ปะต่างๆ ซ่ึงจ�ำแนกออก
เปน็ แตล่ ะยุคแตล่ ะสมยั ดังน้ี
๒.๑ ศิลปกรรมล้านนากอ่ นประวตั ศิ าสตร์
๒.๒ ประวัตศิ าสตร์เวยี งเจ็ดลิน
๒.๓ ประวตั ศิ าสตรอ์ าณาจักรเชยี งแสน
๒.๔ ประวตั ศิ าสตร์เมอื งหรภิ ญุ ชัย
๒.๕ ประวัตศิ าสตรล์ า้ นนาเมืองเชียงใหม่
๒.๑ ศิลปกรรมลา้ นนาก่อนประวตั ศิ าสตร์
๒.๑.๑ ล้านนายคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์ สถาปตั ยกรรมในยคุ กน่ ประวตั ศิ าสตรน์ ีป้ ัจจบุ ันยังไม่มหี ลักฐานท่ี
เด่นชัดแน่นอนทีจ่ ะสามารถศกึ ษาได้ อย่างไรก็ตาม ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดี เราพบหลักฐานทั้งเครอ่ื งมอื หิน
เครือ่ งส�ำรดิ เปน็ ตน้ อนั บ่งถึงว่าควรมีการอยูอ่ าศัยมาอยา่ งต่อเน่อื งของกลุ่มชนเหลา่ น้ี ดงั น้นั สถาปัตยกรรมยคุ แรก
เริม่ ในสมยั นี้ คงเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ตามถำ้� เพิงผา หรือาจสร้างข้นึ ดว้ ยวัสดุตามธรรมชาติที่ไม่คงทนถาวร
หลักฐานถำ�้ ท่อี าจมรี อ่ งรอยการใช้สอยพ้นื ที่ ดังเชน่ ถ�้ำผีแมน ในเขตแมฮ่ อ่ งสอน เป็นตน้ ดงั นัน้ เราจึงอาจ
กล่าวไดเ้ พียงเบอื้ งต้นเป็นขอ้ สนั นิษฐานว่า งานสถาปตั ยกรรมในช่วงน้คี งเป็นงานแบบด้งั เดิม เกย่ี วเนอ่ื งกบั พืน้ ท่ยี ู่
อาศยั และการดำ� รงชพี เปน็ สว่ นใหญ่
๒.๑.๒ สมัยก่อนลา้ นนา รปู แบบสถาปตั ยกรรมล้านนา ทสี่ รา้ งขน้ึ กอ่ น พ.ศ.๑๘๓๙ หรอื ก่อนการรวม
อาณาจกั รลา้ นนา คือ “สมยั หริภุญไชย” สถาปตั ยกรรมท่สี รา้ งข้นึ ในน้ปี รากฏมากในพน้ื ท่เี มอื งลำ� พูน อนั เป็น
ศูนยก์ ลางการปกครอง ได้แก่ เจดยี ์กู่กุด ซึง่ เปน็ เจดยี ์สเ่ี หล่ยี ม และรัตนเจดยี ์เปน็ เจดยี แ์ ปดเหลย่ี มในวัดเดยี วกัน คอื
วดั ทเ่ี รยี กกันในชัน้ หลงั ว่า วัดจามเทวี เจดียท์ ้งั สององค์น้ีกอ่ เป็นทรงปราสาท ค�ำวา่ ปราสาทหมายถึงเรือนหลายช้ัน แต่
เมอ่ื เปน็ สิ่งก่อสร้างทางศาสนาในรปู ของสถูปเจดยี ์ เพื่อประดิษฐานพระบรมธาตุ หรือประดิษฐานพระพุทธรปู ก็ไม่
จ�ำเป็นต้องท�ำเป็นช้ันซ้อนจริงเพราะมิได้ใช้พ้ืนที่ภายในเพื่อประกอบศาสนกิจการท�ำซ้อนช้ันจึงเป็นรูปแบบสัญลักษณ์
เท่านั้น ต่อเนอ่ื งจากชนั้ ซอ้ นย่อมเคยมยี อดแหลม อยปู่ ระเภทเรอื นยอด หรอื กุฎาคาร กเ็ ปน็ ประสาทอกี ดว้ ย
28
ในเมอื งลำ� พนู ยงั พบหลักฐานเจดยี ์ทรงปราสาท ๕ ยอดคอื เจดีย์วัดเชียงยืน (หรือเรียกว่า เชียงยนั ) อยู่ในวดั พระธาตุหริ
ภุญไชยในอำ� เภอเมืองเชน่ กัน และปรากฏเจดียท์ รงลอมฟาง คอื เจดยี ก์ ู่ช้าง ทน่ี ักวชิ าการกลา่ วว่าน่าจะเปน็ รูปแบบท่ี
รบั จากสถาปตั ยกรรมแบบพมา่ สมยั พกุ าม นอกจากนน้ั ในเขตป่าซางก็มวี ดั หนองดู่ เจดยี ์ของวดั นีใ้ ช้เทคนิคการกอ่ โดย
ใช้เสารับนำ้� หนกั สว่ นยอดกลาง อันเปน็ รปู แบบและเทคนคิ ทน่ี ิยมอยใู่ นสถาปตั ยกรรมแบบพม่าสมยั พกุ าม และเจดยี ์
เชยี งยืน เจดยี ท์ ง้ั สองแห่งข้างตน้ ล้วนเป็นเจดยี ท์ รงปราสาทอีกรูปแบบหนงึ่ แต่ยงั มีปญั หาทางดา้ นก�ำหนดอายกุ าร
สรา้ ง วา่ ควรเป็นรูปแบบของศิลปะหรภิ ญุ ไชยตอนปลาย หรือเปน็ รปู แบบของล้านนาตอนตน้
ตวั อยา่ งหลักฐานสถาปัตยกรรมดงั กลา่ วขา้ งต้นชีใ้ ห้เห็นความเกี่ยวเนือ่ งกบั รปู แบบทรงปราสาท อนั เป็น
หลักฐานท่ีหลงเหลือมาในปัจจุบัน คงเหลือเฉพาะสถาปัตยกรรมเจดยี ์ (ใชว้ ัสดทุ ่ีเป็นอิฐหรือศลิ าแลงใหเ้ หมาะสมกับ
โครงสร้าง) รปู แบบเจดยี ์จึงมแี รงบนั ดาลใจส�ำคัญจากสถาปัตยกรรมสมัยหริภุญไชยที่ยงั คงมี ลกั ษณะบางประการที่
เกย่ี วเนอื่ งกบั สถาปตั ยกรรมแบบทวารวดดี ว้ ยเช่นกนั พรอ้ มๆกับแรงบันดาลใจจากศลิ ปะพม่าแบบพกุ าม และลกั ษณะ
บางประการท่เี ป็นเอกลกั ษณ์ของงานชา่ งพน้ื ถ่นิ ในชว่ งกอ่ นการต้งั อาณาจกั รล้านนา
อนึ่ง รูปแบบสถาปตั ยกรรมในสมยั นี้จะส่งอทิ ธพิ ลหรอื เปน็ ต้นแบบให้กบั สถาปตั ยกรรมล้านนาทจี่ ะพฒั นา
ขน้ึ ในยคุ ตอ่ มาด้วย
ส�ำหรบั สิ่งก่อสรา้ งอ่นื ๆ เชน่ วหิ าร อโุ บสถ หอไตร หรอื บา้ นเรือน ย่อมล้วนมีโโครงหลังคาเครือ่ งไม้ น่าจะ
มงุ ด้วยแป้นเกล็ด (แผน่ ไม้แทนกระเบอื้ ง) หรือมุงด้วยกระเบื้องดินเผาจึงช�ำรุดเสียหายไปหมดไมเ่ หลอื หลกั ฐานให้
ศึกษาไดแ้ ลว้ ในสภาพปจั จบุ นั
๒.๑.๓ สมยั ลา้ นนายคุ ทอง ความเจรญิ ของลา้ นนาเรมิ่ ปรากฏอยา่ งเดน่ ชดั นบั ตงั้ แตส่ มยั พญากอื นาเปน็ ตน้
มา ดว้ ยการทำ� ใหเ้ ชยี งใหมเ่ ปน็ ศนู ยก์ ลางศาสนาแทนหรภิ ญุ ชยั พระองคท์ รงรบั พทุ ธ ศาสนานิกายลงั กาวงศ์จากสโุ ขทัย
และอาราธนาพระสุมนเถระมาจำ� พรรษาทวี่ ัดสวนดอก ในระยะน้นี กิ ายวดั สวนดอกในเชยี งใหม่ ไดร้ ุ่งเรอื งมากและ
มีช่อื เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “นกิ ายรามัญ” หรือตัง้ แตร่ าวชว่ งพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เปน็ ต้นมา
ในช่วงเวลาน้ีหลักฐานส�ำคัญคือจารึกวัดพระยืนกล่าวถึงการอัญเชิญพระธาตุโดยพระสุมนเถระจากสุโขทัย
ข้ึนมา เชยี งใหม่ในรชั กาลพระเจา้ กอื นารปู แบบสถาปัตยกรรมได้ปรากฏเจดียท์ รงกลม ดังตวั อยา่ งสำ� คัญที่ เจดยี ์วดั
สวนดอก เชยี งใหม่ เป็นทพ่ี ระเจ้ากอื นาโปรดให้สรา้ งขนึ้ เป็นท่ีประทับของพระสมุ นเถระ เปน็ ตน้ และเจดยี ์ที่ใช้รปู
แบบเจดียส์ โุ ขทัย ดงั ตวั อยา่ งส�ำคญั ที่นกั วชิ าการเช่อื ว่าน่าจะปรากฏในชว่ งน้คี ือ เจดยี ์กู่ม้า ล�ำพนู เป็นตน้
สถาปัตยกรรมในช่วงเวลาข้างต้นถือได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเผยแพร่พุทธศาสนาลังกาวงส์
หรือที่เรยี กกนั ทัว่ ไปว่า “นกิ ายรามญั ” เม่อื ลว่ งถึงรัชกาลพระเจ้าแสนเมอื งมา และสามประหยาฝั่งแกน สถาปตั ยกรรม
คงถอื ไดว้ า่ เป็นชว่ งที่สง่ ผา่ นให้งานสถาปตั ยกรรมเจริญอย่างสูงใน รชั กาลต่อมาคอื รัชกาลพระเจ้าตโิ ลกราช พระองค์
ได้แผข่ ยายพ้ืนที่ครอบคลมุ พ้ืนทีเ่ มืองแพร่และน่านได้ ดังนนั้ ความเปน็ ปกึ แผน่ ของอาณาจกั ร รวมทัง้ การสบื ศาสนา
ลังกาวงศ์ใหม่ นำ� ไปสู่ความมน่ั คงทัง้ ดา้ นอาณาจกั รและศาสนจกั ร จงึ ท�ำใหต้ ั้งแตร่ ชั กาลนเ้ี ป็นต้นมา สง่ ผลให้ถือเป็น
ยคุ รุง่ เรอ่ื งทางด้านสถาปัตยกรรมด้วย
29
พระเจ้าตโิ ลกราชทรงให้มกี ารท�ำสังคายนาพระไตรปิฏกคร้งั ท่ี ๘ ที่ “วัดมหาโพธาราม” หรอื วดั เจ็ดยอด สถาปัตยกรรม
ในวดั เจด็ ยอดจึงอาจถอื เป็นตัวแทนของงานช่างสถาปตั ยกรรมในพื้นท่ี เชยี งใหมใ่ นสมัยนี้ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ดงั ตัวอยา่ ง
ของวิหารมหาโพธ์ิที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการถ่ายแบบจากประเทศอินเดียอนิมิสเจดีย์มณฑปพระแก่นจัทร์แดง
เป็นตน้
สบื เน่ืองถงึ รัชกาลพระเมืองแกว้ ผลดีจากรชั กาลก่อนจึงส่งใหก้ บั รัชกาลนเี้ ช่นกนั ทงั้ ในรัชกาลพระเจา้ ติ
โลกราชและรัชกาลพระเมืองแก้วสถาปัตยกรรมในช่วงเวลาข้างต้นถือได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเผยแพร่
พุทธศาสนาลงั กาวงส์ ใหม่หรอื ทีเ่ รียกวา่ “สีหลภกิ ขุ” รปู แบบเจดีย์ เจดีย์ที่สืบทอดรูปแบบในชว่ งกอ่ น ตัวอย่างส�ำคญั
ที่ เจดียว์ ดั พญาวัด เมอื งน่าน คงสบื ทอดรูปแบบเจดียท์ รงปราสาทแบบเจดีย์ก่กู ุดและกคู่ ำ� อาจถอื เปน็ สัญลักษณ์ทาง
อำ� นาจของพระเจ้าตโิ ลกราชท่แี ผ่ขยายไปส่เู ขตลา้ นนาตะวนั ออก เจดยี ์ทพี่ ัฒนาขนึ้ มีตัวอย่างสำ� คญั คือ เจดียห์ ลวงท่ี
พระเจา้ ติโลกราชโปรดให้ “รวบเปน็ กระพมุ่ ยอดเดยี ว” นักวิชาการบางท่านกลา่ วว่าอาจเปน็ การปรบั เปลี่ยนรูปแบบ
จากเจดีย์ ๕ ยอดเป็นเจดยี ์ยอดเดยี วหรือเจดยี ์ทรงปราสาทยอด แม้ส่วนยอดเจดีย์หลวงจะหักหายแต่เชอ่ื ว่าสว่ นยอด
เดิมน่าจะเก่ยี วเนอื่ งกับ สว่ นยอดเจดยี ์วัดเชยี งม่ันซึง่ จารึกวดั เชียงม่ันกล่าววา่ เปน็ ท่แี รกทพ่ี ญา มังรายโปรดใหส้ ถาปนา
ขึน้ เป็นแหง่ แรกเม่ือต้ังเมืองเชียงใหมน่ น้ั แตอ่ งค์ท่เี ห็นในปัจจบุ ันนั้น จารึกวัดเชยี งมั่นกลา่ ววา่ พระเจ้าติโลกราชโปรด
ให้สรา้ งขน้ึ ในปี พ.ศ.๒๐๑๖ โดยได้สร้างเป็นทรงกระพุ่มยอดเดียว
นอกจากนน้ั ยงั พบกลุ่มเจดียท์ รงระฆังทเี่ รมิ่ ปรับรปู แบบจากผังกลมไปเป็นผงั หลายเหลีย่ ม ดงั ตวั อย่างของ
เจดยี ว์ ดั พระธาตดุ อยสเุ ทพฯ เปน็ ตน้ และเจดยี ท์ รงปราสาทยอดทรงระฆงั ดงั ตวั อยา่ งขงเจดยี บ์ รรจอุ ฐั พิ ระเจา้ ตโิ ลกราช
วัดเจด็ ยอด ทส่ี รา้ งในรัชกาลพระเมืองแก้ว เจดียท์ ร่ี ับอิทธิพลจากรูปแบบภายนอก ในชว่ งเวลาน้พี ระเจ้าติโลกราชได้
ยึดครองเมืองเชลียงหรือศรีสัชชนาลัยอันเป็นฐานอ�ำนาจส�ำคัญของสุโขทัยก่อนท่ีพระองค์จะท�ำสงครามยืดเยื้อกับ
อยุธยาในรัชกาลพระบรมไตรโลกนาถดังนั้นจึงอาจเป็นท่ีมาของอิทธิพลสถาปัตยกรรมสุโขทัยดังตัวอย่างส�ำคัญท่ีเจดีย์
วัดปา่ แดง เชยี งใหมแ่ ละวดั ป่าแดงบุนนาค เมืองพะเยา ทีเ่ ดน่ ชัดทางรปู แบบเจดยี ์ทรงระฆังแบบสุโขทัย การผสาน
อทิ ธิพลสถาปตั ยกรรมสุโขทัยกบั ล้านนาเดน่ ชดั อยา่ งมากในรัชกาลนี้ ดังตวั อย่างส�ำคญั ที่เจดียว์ ัดพระธาตุล�ำปางหลวง
เมืองลำ� ปาง มจี ารกึ ระบุสรา้ ง พ.ศ. ๒๐๓๙ ปรากฏอทิ ธพิ ลสถาปตั ยกรรมสโุ ขทัยเด่นชัดท่รี ปู แบบช้นั ฐานรองรบั องค์
ระฆงั แบบบัวถลา
รปู แบบของวิหารในชว่ งยคุ ทองนี้ปรากฏหลกั ฐานอาคารหลงั คาคลมุ มตี ัวอย่างส�ำคญั ได้แก่วหิ ารพระพุทธ
และวหิ ารหลวง วัดพระธาตลุ �ำปางหลวง นักวิชาการบางท่านเสนอว่ารูปแบบสำ� คัญของวหิ ารลา้ นนาคอื การยกเก็จ
อันสมั พันธก์ บั การซ้อนช้นั หลังคา โครงสร้างหลักของวิหารไดแ้ ก่ วหิ ารแบบเปดิ หรือท่เี รยี กว่า “วหิ ารปว๋ ย” และวิหาร
แบบปิดโดยวิหารส่วนใหญ่ให้ความส�ำคัญกับการใช้ระบบม้าต่างไหมในส่วนหน้าบันนอกจากน้ันยังปรากฏวิหาร
ปราสาท คอื การกอ่ รปู ปราสาทต่อทา้ ยวหิ าร ใชป้ ราสาทเป็นทป่ี ระดษิ ฐานพระพุทธรปู มตี วั อย่างสำ� คญั ท่วี ิหารลายคำ�
วดั พระสิงห์ เชียงใหมท่ เ่ี ชอื่ ว่าน่าจะใชเ้ ปน็ ท่ปี ระดิษฐานพระพทุ ธสหิ ิงส์ เป็นต้น อนั น่าจะเก่ียวขอ้ งกับสถาปัตยกรรม
สุโขทยั หรือพม่าสมัยพุกามดว้ ย
30
ในช่วงยคุ ทองนี้ จงึ อาจกลา่ วได้วา่ สถาปัตยกรรมประเภทตา่ งๆ แสดงความหลากหลายทางด้านรปู แบบอนั ลว้ นไดแ้ รง
บนั ดาลใจทงั้ จากงานสถาปตั ยกรรมในยคุ ก่อน อทิ ธิพลจากสถาปตั ยกรรมภายนอกดงั เช่นสโุ ขทัย พม่าสมัยพุกาม
เปน็ ต้น จนกระทง่ั มพี ฒั นาการทีล่ งตวั และรปู แบบสถาปัตยกรรมในช่วงเวลานีจ้ ะได้รับการสืบทอดไปในยคุ ต่อมา แต่
จะเรม่ิ แสดงถงึ ความเสอื่ มของงานชา่ งลงมาเปน็ ล�ำดับในสมยั ต่อมา
๒.๑.๔ สมยั ล้านนาตอนปลาย หลงั จากรชั กาลพระเมอื งแกว้ แลว้ ถอื ไดว้ า่ สงั คมลา้ นนาไดถ้ งึ จดุ อม่ิ ตวั ทง้ั
ทางดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม สง่ ผลใหง้ านสถาปตั ยกรรมในชว่ งเวลานเ้ี ปน็ การสบื ทอดรปู แบบเดมิ จากงาน
สถาปตั ยกรรมในยคุ ทอง ปลายชว่ งเวลานส้ี ภาพสงั คมในลา้ นนาไดเ้ รม่ิ เขา้ สคู่ วามวนุ่ วายเนอื่ งจากผลกระทบดา้ นความ
สมั พนั ธร์ ะหวา่ งลา้ นนากบั พมา่
อย่างไรกต็ ามผลกระทบทางสังคมนี้คงไม่มปี จั จยั ตอ่ การสรา้ งงานสถาปตั ยกรรมมากนกั ดังตัวอยา่ งสำ� คญั
ท่ี เจดยี ว์ ดั โลกโมฬี ทเ่ี ช่อื วา่ สร้างขน้ึ เพอ่ื บรรจอุ ัฐิพระนางจริ ประภาเทวี ใน พ.ศ. ๒๐๗๑
รูปแบบเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดยังให้วามส�ำคัญกับสวนยอดที่เป็นหลังคาเอนลาดอันเป็นรูปแบบส�ำคัญ
ทช่ี ่วยชีใ้ ห้เหน็ วา่ นา่ จะสืบทอดจากเจดยี ท์ รงปราสาทในยคุ ทองเฉกเชน่ เจดียห์ ลวง เป็นต้น
ในช่วงนยี้ ังปรากฏงานช่างทเ่ี ปน็ งานบูรณะปฏิสงั ขรเพ่ิมเติม ดงั ตวั ย่างกลมุ่ เจดียใ์ นเขตพื้นทเ่ี มอื งโบราณ
ดงั เช่นเวยี งกุมกาม อาทเิ จดีย์วัดปู่เป้ีย เจดีย์วดั อก่ี ้าง เปน็ ต้น และเวียงทา่ กาน อาทิเจดยี ว์ ดั ต้นกอก เจดยี ์วัดกลางเวียง
เป็นต้น สถาปัตยกรรมในชว่ งนม้ี ีทงั้ รูปแบบท่ยี ้อนกลับไปเลยี นแบบเจดียใ์ นชว่ งยุคกอ่ นๆ และมีรปู แบบที่แสดงฝีมอื
งานชา่ งทเ่ี รมิ่ เสอื่ มลง
๒.๑.๕ สมัยล้านนาสมยั พม่าปกครอง ช่วงเวลานกี้ ษตั รยิ ์พมา่ คงสง่ เฉพาะผูม้ ีอ�ำนาจแทนมาปกครองหาก
แตย่ งั คงระเบยี บและวิถีวฒั นธรรมแบบเดิมไว้จึงไม่ส่งผลกระทบให้กับสังคม ล้านนามากนัก และคงไม่ส่งผลให้กับ
การสร้างงานสถาปัตยกรรมแต่อย่างใด
ตัวอย่างส�ำคญั ของงานสถาปตั ยกรรมในชว่ งน้ี (ราวตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ ถึงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔)
มณฑประเจา้ ล้านทอง วัดพระธาตุล�ำปางหลวง เมืองล�ำปาง เปน็ รปู แบบงานสถาปัตยกรรมทพี่ ฒั นาข้นึ จากรปู แบบ
โขงปราสาทหรอื ที่ชาวล้านนา ท่วั ไปเรยี กวา่ “โขงพระเจ้า” มณฑปพระเจา้ ล้านทองนีส้ ันนิษฐานว่า นา่ จะเปน็ งาน
สร้างในราว พ.ศ. ๒๑๐๖ มรี ูปแบบส�ำคญั คือการใช้ซุ้มจระนำ� ทม่ี ีหางนาคเกีย้ วกระหวดั เปน็ ยอดกลางซุ้ม และการ
ซ้อนชน้ั หลังคาทีล่ ดหล่นั กัน ๓ ช้ัน นอกจากน้ี โขงปราสาทยังปรากฏที่วัดพระสงิ ห์ เชยี งใหม่ด้วย รูปแบบ
สถาปัตยกรรมโขง นา่ จะชี้ให้เหน็ ถึงพัฒนาการหลงั จากโขงมณฑปพระแก่นจนั ทรแ์ ดง ท่วี ดั เจด็ ยอดมหาโพธาราม
เป็นตน้
๒.๑.๖ สมัยเมอื งประเทศราช และเมอื งขน้ึ ของสยาม ศูนย์กลางอำ� นาจเดิมยังคงอยู่ท่ีเชียงใหม่ แตอ่ ยา่ ง
ใรก็ตามอำ� นาจของเมืองต่าง ๆ คือ เมืองลำ� ปาง ลำ� พูน พะเยา แพร่ น่าน คงมีเท่าเทยี มเป็นอสิ ระตอ่ กันดังน้ันจงึ ถอื ได้
วา่ งานสถาปัตยกรรมในช่วงน้ีมี ความหลากหลายทางด้านรูปแบบละคงเอกลกั ษณเ์ ป็นงานสถาปัตยกรรมพน้ื ถนิ่ ไว้
อยา่ งมาก หลกั ฐานงานสถาปัตยกรรมในช่วงนี้ปรากฏทง้ั งานสถาปัตยกรรมเนอ่ื งในพทุ ธศาสนา ทง้ั เจดยี ์ วิหาร
อโุ บสถ หอไตร โขงพระเจ้า เปน็ ต้น และสถาปตั ยกรรมทีอ่ ยู่อาศัย อาทสิ ถาปัตยกรรมชนชั้นปกครอง เชน่ หอค�ำ เคา้
สนามหลวง คมุ้ เจ้านาย เป็นต้น และบ้านเรอื นที่อยอู่ าศัย เปน็ ต้น
31
สถาปตั ยกรรมเน่ืองในศาสนาชว่ งเวลานมี้ ตี วั อย่างส�ำคญั เช่น เจดยี ์ เจดยี ว์ ัดพระธาตจุ อมยอง เมืองล�ำพูน ทม่ี รี ปู แบบ
ทเี่ กีย่ วข้องกับเจดยี ท์ ่เี มอื งยอง ในเขตรฐั ฉาน ประเทศพม่า ทง้ั น้เี ป็นผลจากการอพยพชาวยองหรือชาวลอ้ื เขา้ มาอยู่ใน
ดินแดนลา้ นนา วหิ าร วหิ ารจามเทวี วัดปงยางคก เมอื งล�ำปาง ในเขตเชยี งใหม่พบวิหารจ�ำนวนมาก เช่น วิหารวดั ต้น
แกว๋น วหิ ารวดั ป่าแดด วิหารวัดบวกครกหลวง เป็นตน้ วิหารเหลา่ นยี้ งั คงสืบทอดรูปแบบวหิ ารแบบเดิม โดยใชห้ ลงั คา
ซอ้ นกนั เป็นตับ ระบบโครงสรา้ งม้าตา่ งไหม และประดับตกแต่งด้วยงานลายคำ� งานแกะไม้ และงานปูนป้นั
งานประดับสถาปตั ยกรรมในช่วงนี้นิยมใชก้ ระจกจืนหรอื กระจกเกรียบประดบั นอกจากนน้ั ยังปรากฏรูป
แบบวหิ ารทรงปราสาท ดงั ตวั อยา่ งเชน่ วหิ ารวดั ปงสนุก เมืองล�ำปาง , วหิ ารวดั ปราสาท เมืองเชียงใหม่ เปน็ ตน้ อุโบสถ
อุโบสถสองสงฆ์ วดั พระสงิ ห์ เมอื งเชยี งใหม่ ยังคงสบื ทดรปู แบบวหิ ารสกุลชา่ งเชยี งใหม่ไว้ยา่ งลงตัว หอไตร หอไตรวัด
ดวงดี, หอไตรวดั ฟอ่ นสร้อย เมอื งเชียงใหม่ เปน็ ตน้ หอไตรเหลา่ น้ีใชเ้ ป็นท่ีเก็บรกั ษาคมั ภีรใ์ บลานและพับสาต่างๆ
นอกจากน้ยี งั ปรากฏหอไตรกลางน�ำ้ ดว้ ย ดังเชน่ หอไตรวดั พุทธเอิ้น แมแ่ จ่ม เชียงใหม่ เปน็ ตน้
หอคำ� หอคำ� ลำ� ปาง ( พบหลกั ฐานจากภาพถา่ ยเก่า ปัจจบุ ันไม่ปรากฏแลว้ ) หอค�ำพระเจา้ มโหตรประเทศ
เมืองเชียงใหม่ ไดย้ า้ ยจากที่เดิมมาเป็นวิหารวัดพันเตาในปัจจุบนั ค้มุ เจ้านาย ปรากฏท่ัวทุกเมืองในลา้ นนาชว่ งเวลานี้
ส่วนใหญ่ปรากฏหลักฐานเปน็ คุ้มเจ้านายในสมยั หลงั ใช้อาคารก่ออฐิ ถือปูน ดงั ตวั อยา่ งส�ำคัญท่คี มุ้ เจ้าบุรีรัตน์ เมอื ง
เชยี งใหม่
นอกจากน้นั ในชว่ งเวลาน้ยี งั คงปรากฏสงิ่ ก่อสรา้ งเน่ืองในวัฒนธรรมการถือผี ด้วย กล่าวคือ คงมีการสร้าง
หอผอี ันเป็นความเชอื่ ในเร่อื งผรี ักษาพ้นื ที่ อาจแบ่งได้เป็น ๒ ลกั ษณะใหญ่ๆ คอื หอผใี นพนื้ ทสี่ าธารณะ โดยมักจะเรียก
ว่า “หอเส้ือ” ดงั เช่น หอเสือ้ วัด หอเส้อื ธาตุ (ผรี ักษาพระเจดีย)์ เปน็ ตน้ นิยมกอ่ สรา้ งเปน็ งานกอ่ อฐิ ถือปนู อาจมหี รอื
ไมม่ กี ารประดบั ตกแตง่ กไ็ ด้ และหอผใี นทอี่ ยูอ่ าศยั อันเก่ียวขอ้ งกับผีบรรพบุรุษ หรอื ที่เรยี กว่า “ผีปยู่ า่ ” โดยส่วนใหญ่
ใชเ้ ป็นอาคารหลงั คาคลมุ มีรูปแบบคล้ายกบั เรือนทีอ่ ยู่อาศัยจริง
สถาปัตยกรรมในวามเชื่อเรอ่ื งผีนคี้ งเร่ิมปรากฏหลักฐานอย่างเดน่ ชัดในสมยั นี้ และนา่ จะสง่ อิทธพิ ลหรือมี
การสืบทอดรปู แบบมาสู่ยคุ ปัจจบุ นั ดว้ ย ส�ำหรบั อาคารท่ีอยอู่ าศัยของชนชั้นปกครองระดบั ลา่ ง (พญาตา่ งๆ, พอ่ แคว่ น
แกบ่ า้ นเปน็ ต้น) หรอื ผู้คหบดีหรือ คงเปน็ บา้ นเรือนที่ใช้ไมแ้ ขง็ แรงสร้าง โดยนยิ มเป็นเรอื นใหญ่และเรอื นเลก็ อยู่ใน
พืน้ ทเ่ี ดยี วกนั นิยมประดับกาแลในสว่ นยอดจ่ัว และหำ� ยนตใ์ นส่วนเหนอื กรอบประตู ดงั เช่น เรอื นพญาวงศ์ เปน็ ตน้
สถาปัตยกรรมท่อี ย่อู าศัยเหลา่ นีม้ ีการรวบรวมไวท้ ีส่ �ำนกั ส่งเสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ สว่ นชนชั้นล่าง
นนั้ คงอาศยั บา้ นเรือนขนาดเลก็ หรอื ใช้วัสดทุ ห่ี างา่ ยละไม่เสียค่าใช้จา่ ยมากนกั ตามวถิ ชี ีวติ ของชาวลา้ นนา
32
๒.๑.๗ สมยั เปล่ียนแปลงการปกครอง ถงึ ปัจจุบนั ในช่วงเวลาน้ีลา้ นนาได้ถูกปรบั เปลีย่ นจากหวั เมือง
ประเทศราช มณฑลตา่ งๆ ปรบั เปลีย่ นเป็นการปกครองในรปู แบบจังหวัดผกู พนั อย่กู ับการสรา้ งความเป็นสยาม หรอื
การสรา้ งประเทศ งานสถาปัตยกรรมจึงผสานอิทธพิ ลท้ังจากตะวนั ตก ท่แี สดงความม่ันคงแขง็ แรงจากวสั ดกุ ารกอ่ อิฐ
ถือปูน รวมทงั้ รูปแบบสถาปตั ยกรรมทีร่ ับอิทธิพลจากงานสถาปตั ยกรรมในยคุ ปลายรตั นโกสินทร์
ในยคุ นมี้ กี ารปรบั เปลยี่ นสถาปตั ยกรรมเนอ่ื งในศาสนาทสี่ ำ� คญั คอื สถาปตั ยกรรมในกระบวนการทสี่ รา้ งและ
บรู ณะโดยครบู าเจา้ ศรวี ชิ ยั เปน็ งานปรบั เปลย่ี นรปู แบบอโุ บสถ วหิ าร เจดยี ์ ใหเ้ ปน็ แบบสถาปตั ยกรรมรตั นโกสนิ ทร์ ดงั
ตวั อยา่ งเชน่ วหิ ารหลวงวดั พระสงิ ห์ เชยี งใหม,่ วหิ ารหลวง วดั ศรโี คมคำ� (วหิ ารพระเจา้ ตนหลวง) เมอื งพะเยา , วหิ ารหลวง
วดั พระธาตหุ รภิ ญุ ไชย เมอื งลำ� พนู เปน็ ตน้
สถาปตั ยกรรมในกระบวนการทสี่ รา้ งและบรู ณะโดยครบู าเจา้ ศรวี ชิ ยั สง่ อทิ ธพิ ลใหก้ บั การสรา้ งและออกแบบ
อาคารตา่ งๆ ในสมยั ตอ่ มาดว้ ยเมอื่ กา้ วเขา้ สพู่ ทุ ธศตวรรษนงี้ านสถาปตั ยกรรมจงึ ปรบั เปลย่ี นไปเปน็ แบบรตั นโกสนิ ทรม์ าก
ขนึ้ และยง่ิ แสดงความหลากหลายทงั้ ทางดา้ นรปู แบบ วสั ดุ และงานประดบั
๒.๒ ประวัติศาสตรเ์ วียงเจ็ดลิน
เวียงเจ็ดลินเปน็ เวยี งเล็กๆ ทไ่ี มค่ ่อยมีใครรู้จักแม้วา่ จะผา่ นไปมาเป็น ประจ�ำทุกวนั ก็ตาม ปญั หาหลกั ก็คือ
ความรู้เร่อื งเวียงเจ็ดลินมไี ม่มาก และไม่แพร่หลายเทา่ เวียงเชยี งใหม่ หรือเวยี งกมุ กาม หรอื ไมอ่ าจจะเปน็ ไปได้ทตี่ วั
เวยี งอยูใ่ กล้ชดิ กบั แหล่งทอ่ งเทยี่ ว อ่นื ทีผ่ ู้คนให้ความสนใจมากกว่า เชน่ ดอยสุเทพ หรอื สวนสัตว์เป็นตน้
คำ� ว่า “ลนิ ฯ”(ลิน) น้ี ก็หมายถงึ รางริน และ ค�ำวา่ “เจด็ ลนิ ” กค็ อื รางรนิ ทง้ั เจด็ ดว้ ยวา่ มกี ารพบรางไม้
จากเวยี งเจด็ ลินหน่ึงรางทมี่ ขี นาดใหญ่และยาวพอสมควร ปจั จบุ นั เกบ็ ไว้ ท่ีสาขาประวตั ศิ าสตร์ คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ส่วนอกี ประเด็น ค�ำว่า “เจด็ ลนิ ” จะหมายถึงสายน้ำ� ที่หล่อเล้ียงในเมืองมี ๗ สาย หากพิจารณา
แผนทีข่ องเวียงเจ็ดลนิ แล้ว กพ็ อจะเห็นสายน้�ำหลายสายท้งั ทีไ่ หลผา่ นเวียงและขนาบเมอื งทงั้ ดา้ นทิศเหนือและทิศใต้
อ.จ�ำเหลาะ สมจิตต์ ผู้ทอ่ี าศยั อยูบ่ รเิ วณเวยี งเจด็ ลินมากว่า ๕๐ ปี ได้เลา่ ให้ฟงั ว่า น�้ำหว้ ยสายตา่ งๆ นัน้ มคี รบเจด็ สาย
ทเี่ ขา้ ส่เู มือง โดยนำ�้ ห้วยแก้ว แบ่งเปน็ สามสาย คือ
๑. คอื ตานำ�้ กลางเวยี ง อน้ เปน็ จดุ ศนู ยก์ ลางของรปู วงกลมตามกำ� แพงเมอื งและคนู ำ้� ไหลลงคเู มอื งของเวยี ง
เจด็ ลนิ ดา้ นใต้
๒. ห้วยแก้ว ที่แบ่งน�ำ้ ส่วนหนง่ึ ลงมายังคูเมอื งด้านทศิ ใต้
๓. ปจั จุบนั ได้แหง้ ไปแลว้ เปน็ ร่องน�้ำหว้ ยแกว้ ตดั ผา่ นพน้ื ท่สี วนรกุ ขชาติห้วยแกว้
๔. นำ้� ห้วยบรเิ วณด้านหลังวดั ศรีโสดาเป็นสาย
๕. น�้ำจากด้านหลังจดุ วัดแรงส่ันสะเทือน โดยสายที่ ๔ และที่ ๕ น้ี ไหลรวมกันกนั เปน็ สายเดยี วตัดผา่ น
ตัวเวยี งเจ็ดลนิ โดยปัจจบุ นั ทางปศุสตั วไ์ ดก้ ้ันเป็นอ่านเกบ็ น้ำ� สำ� หรบั ใช้ ในพ้นื ที่
๖. น�้ำท่ไี หลเขา้ คเู มอื งเวียงเจด็ ลินด้านเหนือ หรือปัจจุบันเรียกเรียกตดิ ปากกันว่าห้วย คอหล่อน
๗. หว้ ยชา่ งเคี่ยน ทไี่ หลออ้ มเวยี งด้านทศิ เหนอื และวกลงมาทางตะวนั ออก รบั น�ำ้ จากคูเมืองและในเวียง
เจด็ ลนิ ออกไป รวมเป็น “เจด็ ลนิ ”
33
เวียงเจ็ดลินอยู่เชิงดอยสุเทพทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเชียงใหม่อันเป็นเวียงท่ีมีความส�ำคัญ
ในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันมีถนนห้วยแก้วตัดผ่านและเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่งด้วยกันไม่ว่าจะ
เป็น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, สวนสัตว์เชียงใหม่, สถานีบ�ำรุงพันธุ์สัตว์
เชียงใหม่, สถานีต�ำรวจภูธรภูพิงค์ราชนิเวศน์ สวนรุกขชาติห้วยแก้ว เป็นต้น การเข้ามาของสถานที่ราชการ
โดยเฉพาะสถานีบ�ำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่นั้นมีพ้ืนท่ีครอบคลุมพ้ืนที่ส่วนใหญ่ของเวียงเจ็ดลินท�ำให้สามารถรักษา
สภาพของเวียงโบราณมิให้ถูกท�ำลายไปตามการขยายตัวของเมืองได้พอสมควร
ลกั ษณะกายภาพของตัวเวยี งเป็นทีร่ าบเชิงเขา มีพ้ืนทสี่ งู ดา้ นตะวันตกและลาดเทมาทางตะวันออก พ้ืนท่ี
ด้านตะวนั ตกสงู กว่าบริเวณอืน่ มาก ทำ� ให้ดา้ นน้ีไม่จำ� เปน็ ต้องมีคันดนิ สว่ นดา้ นอ่นื ๆ เป็นคันดินสองช้นั มีคนู ้ำ� อยู่
ระหวา่ งกลาง แต่ปัจจบุ นั บางส่วนได้ถกู ทำ� ลายลงแต่คันดินทสี่ มบรู ณท์ ส่ี ดุ จะอยู่บรเิ วณสวนรกุ ขชาติห้วยแกว้ ส่วนคัน
ดินชนั้ นอกถกู ทำ� ลายลงไป มากแตย่ ังพอเหน็ ได้ในบางชว่ ง
รูปร่างของเวียงเจด็ ลนิ เปน็ รูปวงกลม มีแนวคันดินสองช้ัน มีคนู ำ�้ ค่ันกลาง มีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ
๙๐๐ เมตร การทสี่ ร้างเมืองเปน็ รปู วงกลมนี้ ไกรสนิ อุน่ ใจจินต์ให้ ความเห็นวา่ ไม่น่าเก่ยี วข้องกบั คติจักรวาลดังกลา่ ว
แต่น่าจะเปน็ รปู แบบการก่อสร้างท่มี าจาก ภมู ปิ ญั ญาของคนพน้ื เมอื งในท้องถ่นิ ที่มีพัฒนาการการก่อสร้างมาตงั้ แตร่ นุ่
ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙
๒.๒.๑ เวยี งเจด็ ลินยุคกอ่ นลา้ นนาและยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์ การแบง่ ยุคทางประวัตศิ าสตร์นนั้ มกั ใชต้ ัว
หนงั สอื เปน็ ตวั แบง่ กอ่ นและหลงั ประวตั ศิ าสตร์ แต่ละพ้นื ท่ขี องโลก การเข้าสยู่ ุคประวตั ศิ าสตร์แตกต่างกนั ไป ส�ำหรบั
ในดนิ แดนล้านนานน้ั การใช้ตวั อกั ษรบนั ทึกเร่ืองราวตา่ งๆ นัน้ จะอย่ใู นสมยั หรภิ ุญไชยแลว้ โดยใชอ้ กั ษรมอญและภาษา
มอญในการบันทึกในท่ีน้ีจะขอกล่าวถึงสังคมยุคโบราณก่อนที่จะเข้าสู่ยุคที่ในต�ำนานกล่าวย้อนไปถึงในอาณาบริเวณ
เวยี งเจด็ ลินและใกลเ้ คียง
ลักษณะทางกายภาพของเวยี งเจ็ดลนิ นนั้ มสี ายน�้ำหลายสายไหลจากตะวนั ตกสตู่ ะวันออก และพืน้ ทกี่ ็
ลาดเทไปทางตะวันออก กอปรกบั มีน�ำ้ ผุดอยู่ในบรเิ วณน้ัน ท้งั หมดนีอ้ ยเู่ ชงิ ดอยสเุ ทพท้งั สิ้น อนั เปน็ แหล่งทอ่ี ยู่อาศัย
และเกบ็ ของป่าล่าสัตว์ของคนยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์กระจายอยูท่ ่ัวไปบริเวณโดยรอบดอยสุเทพ
โบราณสถานใกลจ้ ุดชมวิว ลึกประมาณ ๒๑๐ – ๒๔๐ เซนติเมตร พบเครือ่ งมอื หินกระเทาะหน้าเดยี วที่ใช้
งานจนหมดสภาพ และลึกลงไป ๒๔๐ – ๒๗๐ เซนตเิ มตร พบเครื่องมอื สะเก็ดหนิ ซงึ่ จากหลุมขดุ ค้นบรเิ วณนท้ี ่ีพบ
เครื่องมือหินสันนษิ ฐานวา่ น่าจะมอี ายุอย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ ปีขน้ึ ไปนา่ จะตรงกับสมัยไพลสโตซีน๖ นอกจากนี้ยงั พบ
หลักฐานยคุ หินใหม่ (Neolithic) ในบรเิ วณเพิงผาใกลถ้ ้าฤๅษี โดยพบก�ำไลหินขดั ภาชนะดนิ เผาลายเชอื กทาบและช้ิน
ส่วนชองภาชนะดินเผาแบบตกแตง่ สันท่ีส่วนไหล่ ท้ังหมดนี้ชีใ้ ห้เห็นถงึ วา่ บริเวณโดยรอบดอยสุเทพเปน็ แหลง่ ใช้
ประโยชน์มาต้งั แต่ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ดงั พบหลกั ฐานเครื่องมือหนิ กระเทาะท้งั ในเขตเวยี งเจด็ ลินและบนดอยสุเทพ
34
๒.๒.๒ เวียงเจ็ดลนิ ...ก่อนหริภุญไชย-ชนพื้นเมอื ง ตำ� นานท่กี ล่าวถงึ การสร้างเวียงเจด็ ลิน คอื ต�ำนาน
สวุ รรณคาแดง และตำ� นานเชยี งใหม่ปางเดิม ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายถึงการกอ่ รา่ งสรา้ งเมอื งของชนพื้นเมอื งในแถบดอยสุเทพ
ซ่งึ ในต�ำนานดังกล่าวย้อนไปถงึ เรอ่ื งราวของเจา้ หลวงค�ำแดง อนั เปน็ อารักษ์ของเมืองเชยี งใหม่ ว่าไดเ้ ดนิ
ทางตามเนือ้ ทรายทอง มาถึงดอยสเุ ทพ และไดม้ ลี กู กบั นางผมเฝอื และนางสาดกวา้ ง จากน้นั กส็ รา้ งเมือง “ล้านนา”ให้
ลูกไดอ้ ยู่จากนัน้ ก็ได้กลบั ไปยังดอยหลวงเชียงดาว
เมืองท่ีเจ้าหลวงคำ� แดงไดส้ รา้ งนั้นต่อมาได้ล่มเป็นหนองใหญ่ แลว้ ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอกี เมอื ง ชอ่ื ว่า
“เมอื งนารฏั ฐะ” โดยมีเจ้าเมืองชอื่ วา่ “มินนราช” สบื มาจนถงึ สมยั ของ “พระยามนุ ินทพชิ ชะ” คนไม่มีศีลไมม่ สี ัจ เจา้
เมอื งขาดคณุ ธรรม ทาใหอ้ ารกั ษ์และเชน บา้ นเชนเมืองไมพ่ อใจ บนั ดาลใหเ้ มอื งลม่ ลงเป็นคารบสอง
ถัดมาก็ไปสร้างเมืองอีกเมืองหน่ึงอยู่ทางตะวันออกของตีนดอยอุสุปัพพตาโดยมีฤๅษีมาช้ียังดอยเจ็ดลินให้
สรา้ งเวยี ง นามวา่ “เวยี งเชฏฐปรุ ”ี หรอื “เวยี งเจด็ ลนิ ” ซงึ่ ขณะนน้ั มที งั้ ไทและลวั ะอยดู่ ว้ ยกนั ฝา่ ยขา้ งไท มพี ระยาสะเกต
เป็นหัวหนา้ ฝา่ ยลัวะมพี ระยาวีวอเป็นหวั หน้า
การที่พบคนในรอยเทา้ สัตว์ และฤๅษีสรา้ งเมอื งตา่ งๆ น้ันปรากฏว่ามกี ารทบั ซอ้ นกนั กบั ตำ� นานมลู ศาสนา
ทมี่ กี ารกลา่ วคลา้ ยๆ กนั ว่า หลังจากท่ีฤๅษีวาสเุ ทพ เหน็ คนชายหญงิ ในรอยเท้าช้าง แรด และววั ก็ใหแ้ ต่งงานกันและ
สืบลูกสืบหลาน ต่อมาฤๅษีก็รับลูกแม่เน้ือท่ีมาดื่มน้�ำปัสสาวะของฤๅษีแล้วต้ังครรภ์คลอดลูกทิ้งไว้ก็นามาเล้ียงให้
แตง่ งานกันพร้อมท้งั สร้างเมืองใหน้ ามวา่ “มคิ สงั ครนคร” ตอ่ มาฤๅษกี ็สร้างเมืองอมรปุรนครขนึ้ มาอกี เมืองหนงึ่ เพอ่ื ให้
เช้อื สายแห่งลูกเนื้อนั้นครอง แต่วา่ ในเมืองอมรปรุ นครนนั้ เกิดการตดั สนิ คดลี กู ทบุ ตแี ม่นนั้ ผดิ พลาดท�ำให้เทวดาลงโทษ
โดยการลม่ เมอื งนกี้ ลายเปน็ หนองนำ้� ถดั นนั้ จงึ คอ่ ยสรา้ งเมอื งลำ� พนู ในเวลาต่อมา
ส่วนเวียงเชฏฐปรุ ีหรือเวยี งเจ็ดลินนม้ี ผี ู้ปกครองสืบมา ๑๕ ท้าวพระญา ก็ถกู ผีขอกฟ้าตายืน มาล้อมเวยี ง
ทำ� ใหช้ าวเมืองเดอื ดเนือ้ ร้อนใจเปน็ อันมาก ยามน้นั เจ้ารสี จึงขึ้นไปขอความชว่ ยเหลอื จากพระยาอินทาธริ าช พระยา
อินทจ์ งึ ใหช้ าวลัวะทง้ั หลายถอื ศีล ๕ ศีล ๘ เมื่อน้นั ผีทงั้ หลายก็ไม่มาเบียดเบียนอีกต่อไป และนอกจากน้ี พระอินทร์ก็
ยังให้ลวั ะ ตระกูลดูแลรักษา บอ่ เงนิ บอ่ ทอง และบ่อแก้ว บา้ นเมอื งเจริญและขยายตัวมากขน้ึ
จากเวยี งเชฏฐปรุ จี งึ ขยายไปสรา้ งเวยี งใหมอ่ กี สองแหง่ คอื “เวยี งสวนดอกไมห้ ลวง” และ “เมอื งลา้ นนานพบรุ ”ี
ตามลำ� ดบั สำ� หรบั ตำ� นานจะกลา่ วถงึ เวยี งเจด็ ลนิ หรอื เวยี งเชฏฐปรุ เี พยี งเทา่ นี้ จากนนั้ จะเปน็ เรอ่ื งราวของเสาอนิ ทขลี ตอ่ ไป
นอกจากตำ� นานนแี้ ลว้ เวียงเจ็ดลิน หรือเวยี งเชฏฐปุรี ยงั กล่าวถึงในต�ำนานของขนุ หลวงวริ ังคะ อันเปน็ เจา้
แหง่ ลัวะบรเิ วณเชิงดอยสเุ ทพ ทท่ี �ำการสรู้ บกบั หรภิ ญุ ไชย ดว้ ยเหตทุ ่ีพระนางจามเทวีไมต่ อบรบั จติ ปฏิพทั ธซ์ ้ายังดู
หม่นิ จงึ ยกทพั เพ่ือจะมาตอ่ ท้ากบั เมืองหริภุญไชย แตส่ ุดท้ายก็พา่ ยใหก้ ับสองโอรสฝาแฝดของพระนางจามเทวที ่ีทรง
ช้างปู๊ก่างาเขียว การที่ลวั ะพา่ ยแกอ่ านุภาพของช้างปู๊ก่างาเขียวนี้ มกี ารเล่าลือกนั ในกลุ่มชาวลัวะ แมก้ ระทัว่ ชาวลัวะท่ี
อยู่ในบา้ นแง็ก เมอื งเชียงตงุ
35
จากตำ� นานต่างๆ ท่ีเกีย่ วข้องนี้ ชี้ให้เห็นวา่ แถบเชิงดอยสเุ ทพ เปน็ เขตท่ีมีการพฒั นาและเจรญิ มาในระดบั
หนงึ่ มกี ารตง้ั ถ่ินฐานของผู้คนในดินแดนนมี้ าเนน่ิ นานแลว้ โดยมกี ารรวมกันเปน็ กล่มุ ตา่ ง ๆ ทใี่ นตานานจะใช้
สัญลักษณ์ในรปู แบบของคนในรอยเทา้ สตั ว์ หรือใชส้ ตั ว์เปน็ สญั ลกั ษณ์ประจ�ำกลุ่มตา่ ง ๆ โดยภาพของแต่ละกล่มุ นัน้ ก็
อาจจะสง่ ผลทำ� ใหก้ ารรวมตวั กันของกลมุ่ ชนต่างๆ บรเิ วณน้ีไมเ่ ขม้ แข็งเท่าที่ควร จนลม่ สลายลงเม่ืออาณาจกั รหริภญุ
ไชยขยายตัว ด้วยการอยู่เป็นกลมุ่ ต่างๆ ยากต่อการรวมกนั เปน็ ปกึ แผน่ กอปรกับลกั ษณะแต่ละกลุม่ กม็ ีความแตกต่าง
กนั การติดต่อส่อื สารกม็ ีดว้ ยความยากล�ำบาก ดงั เชน่ กลุ่มลวั ะหรอื ละว้าในปจั จุบัน กจ็ ะพบว่าชาวลวั ะในแต่ละเขตมกั
จะมีภาษาเฉพาะและส่อื สารกนั ด้วยความลำ� บาก
ส�ำหรับในต�ำนานทีก่ ลา่ วถงึ ฤๅษวี าสุเทพนั้น ก็มีการกล่าวถึงท่มี าทแี่ ตกต่างกัน แตท่ ุกตำ� นานก็กลา่ วไม่หนี
ไปจากทวี่ ่าฤๅษีวาสเุ ทพเปน็ ชนพ้ืนเมอื งแถบดอยสเุ ทพ – ดอยคำ� และนับว่าเปน็ บุคคลท่มี ีอทิ ธิพลต่อดินแดนแถบนี้
อยา่ งสงู ดว้ ยตัวฤๅษเี องนนั้ ก็เปน็ ตวั ชใ้ี ห้เหน็ ถึงว่ามบี างกลุ่มทไ่ี ดร้ ับวัฒนธรรมจากภายนอก ทำ� ให้มอี านาจต่อการ
ปกครองแถบนสี้ ูง มกี ารกอ่ รา่ งสรา้ งเมอื งข้ึนมา ในต�ำนานกล่าวว่าไดส้ ร้างเมอื งหลายครง้ั เนือ่ งจากเมืองลม่ นน่ั อาจจะ
แสดงถึงการเรียนรู้ ลองผดิ ลองถูกในการสร้างเมอื งหรอื ชุมชนขนาดใหญ่โดยชนพนื้ เมือง ท่เี กดิ จากกลมุ่ ตา่ งๆ ท่ไี ม่มี
เสถยี รภาพ ทำ� ให้เมอื งสดุ ท้ายทฤี่ ๅษสี ร้าง คอื เมืองหริภุญไชย ท่ีจะต้องพงึ่ สหายจากตา่ งถิน่ และการไปอญั เชิญพระนาง
จามเทวีจากละโว้มาครองก็ถือว่าการเลือกท่ีจะรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้แทนที่ความเช่ือด้ังเดิม
ทำ� ใหก้ อ่ ให้เกดิ การปะทะระหว่างสองวฒั นธรรมเกิดขน้ึ ดังทส่ี ะทอ้ นออกมาในตำ� นานของจามเทวี–วิรังคะ
จากตำ� นานตา่ งๆ ของการสรา้ งบ้านแปลงเมอื งบรเิ วณเชงิ ดอยสุเทพมาจนถงึ สมยั ตน้ หรภิ ุญไชยนน้ั กม็ หี ลัก
ฐานสนับสนุนความเปน็ ไปไดว้ า่ มีการสรา้ งเมืองในแถบนอ้ี ยู่จริง น่นั คอื เมือ่ ประมาณ ๑๔๔๐ ปีก่อน หรอื ประมาณต้น
พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ มีการสรา้ งก�ำแพงเวียงเจด็ ลิน โดยส�ำนักโบราณคดีที่ ๘ เชยี งใหม่ กรมศิลปากรจากการนาดนิ จาก
กำ� แพงเวยี งเจด็ ลนิ ไปตรวจสอบหาอายุ โดยผลที่ออกมานั้นมอี ายุเกา่ กว่าเมอื งหริภญุ ไชยท่ีสร้างราว พ.ศ. ๑๓๑๐ –
๑๓๑๑ หรือตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๔
๒.๓ ประวัตศิ าสตรอ์ าณาจกั รเชยี งแสน
อาณาจกั รโยนกเชียงแสน (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๖) เป็นอาณาจกั รเก่าแก่ของชนชาติไทยมาตั้งแต่
พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ ต้ังอยบู่ ริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ปจั จบุ ันคอื อำ� เภอเชียงแสน จงั หวัดเชียงราย เป็น
สถานทต่ี ั้งถนิ่ ฐานครงั แรกหลังจากทช่ี นชาตไิ ทยได้อพยพหนกี ารรกุ รานของจนี ลงมา โดยพระเจา้ สงิ หนวัติ โอรสของ
พระเจา้ พลี อ่ โกะ๊ ไดเ้ ปน็ ผกู้ อ่ ตง้ั อาณาจกั รโยนกเชยี งแสน หรอื โยนกนาคนคร ขน้ึ นบั เปน็ อาณาจกั รทมี ยี งิ่ ใหญแ่ ละสงา่
งาม จนถงึ สมยั ของพระเจา้ พงั คราช จงึ ตกอยภู่ ายใตอ้ ารยธรรมและการปกครองของพวก “ลอม” หรอื “ขอมดำ� ” ซงึ่
เปน็ ชนชาตทิ อี่ าศยั อยใู่ นบรเิ วณน้ี กอ่ นทจ่ี ะมกี ารกอ่ ตง้ั อาณาจกั รโยนกเชยี งแสน ไดเ้ ขา้ ยดึ ครองโยนกเชยี งแสน
36
๑. อาณาจักรโยนกเชยี งแสน ตั้งข้นึ เมือ่ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นแหล่งกำ� เนิดศลิ ปะสกลุ ช่าง
เชียงแสน ซึง่ มลี กั ษณะชา่ งชน้ั สงู สดุ สกุลหนึ่งของไทย อาณาจักรน้สี ญู เสียอำ� นาจใหแ้ กข่ อมถึง ๒ คร้ัง และลม่ สลายไป
เม่อื ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕
๒. ต�ำนานสงิ หนวัติ ได้กล่าวถึง อาณาจกั รโยนกเชียงแสนวา่ พระเจา้ สิงหนวัติ ได้อพยพผูค้ นเดินทางลงมา
จากทางตอนใต้ของจีน และมาสรา้ งเมืองช่อื นาคพันธ์ุสิงหนวตั นิ คร ข้นึ ในทซี่ ่ึงเปน็ อ�ำเภอเชียงแสนจังหวดั เชียงราย
ปจั จบุ ันน้ี มีเมืองเชียงแสนเป็นราชธานี ตอ่ มากลายเปน็ อาณาจักรใหญร่ อบคลุมดินแดนกวา้ งขวาง ทางทศิ ตะวนั ออก
ตั้งแต่แคว้นตังเกี๋ยของเวียดนามปัจจุบันไปจดแม่น�้ำสาละวินเขตรัฐฉานในประเทศพม่าทางเหนือจากบริเวณเมือง
หนองแส มณฑลยูนนานของจนี ลงมาถึงที่ราบลมุ่ แมน่ �้ำเจ้าพระยาตอนบน ถงึ สมยั พระเจ้าพังคราช อาณาจกั รโยนก
เชียงแสนถกู ขอมรกุ รานจนต้องอพยพราษฎรไปสร้างเมอื งใหมท่ ีเ่ วยี งสีทอง รมิ ฝง่ั แม่น้�ำแม่สาย ตอ่ มา เจา้ ชายพรหม
กุมาร ราชโอรสขับไล่ขอมไดส้ �ำเรจ็ จึงเชิญเสด็จพระเจ้าพงั คราชกลับไปครองเชยี งแสนตามเดิม ส่วนพระองค์ไดพ้ า
ผคู้ นไปสรา้ งเมืองไชยปราการทางใต้ของเชยี งแสน เพือ่ ให้เป็นเมืองหนา้ ด่านปอ้ งกันขอมกับมาขึน้ ไปรุกราน
37
๒.๔ ประวัติศาสตรเ์ มอื งหรภิ ุญชยั
จากต�ำนาน จะคาบเก่ียวมาจนถงึ สมยั หริภุญไชย จากเร่อื งราวของจามเทวี และขุนหลวงวริ ังคะ สื่อใหเ้ ห็น
ถึงชัยชนะของกลุ่มวฒั นธรรมใหมท่ ี่เหนือกวา่ กลมุ่ เดิมในแถบลมุ่ นา้ ปิงในบางเรื่องเล่า ยังมกี ารสบื ตอ่ ไปอีกว่า เมื่อขนุ
หลวงวริ งั คะพา่ ยต่อพระนางจามเทวี มีการผนวกของสองกล่มุ เข้าดว้ ยกนั เมื่อมีการแตง่ งานระหวา่ งโอรสแฝดของ
พระนางจามเทวี กับธิดาแฝดของขนุ หลวงวิรงั คะ อนั เปน็ ตัวแทนวา่ กลุ่มลัวะไดถ้ ูกผนวกเขา้ สู่ยงั วัฒนธรรมของหรภิ ุญ
ไชย เมอ่ื เวลาล่วงเลยมาชว่ งสมัยหรภิ ุญไชย การสถาปนาความเช่อื แบบพทุ ธ ในแถบที่ราบลมุ่ แมน่ �้ำปงิ ก็เจริญร่งุ เรอื ง
ขึ้นมาก ท�ำใหม้ กี ารสรา้ งวดั และส่งิ ก่อสรา้ งต่างๆ ต้งั แต่เชงิ ดอย ไปจนถงึ สันกู่ ดังปรากฏหลกั ฐานศลิ ปะหรภิ ญุ ไชยเช่น
วัดกดู่ นิ ขาว อยู่บรเิ วณหลังคอกช้างภายในสวนสัตวเ์ ชียงใหม่ ต.สเุ ทพ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ เป็นวดั เดียวของเวยี งเจด็ ลิ
นทค่ี งสภาพสมบูรณ์ทีส่ ุด ไดม้ ีการบรู ณะขึน้ ในปี พ.ศ.๒๕๔๓ หลกั ฐานสว่ นใหญ่มีตั้งแต่สมยั หรภิ ุญไชยและสมยั ล้าน
นาสงิ่ หนง่ึ ทนี่ ่าสนใจท่วี ดั กู่ดินขาวนี้ คอื เทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมการก่อสรา้ งวดั มีการใช้อิฐเผาแกรง่ ขนาดใหญม่ าก
และด้านโครงสรา้ งรับน้�ำหนักในส่วนของเจดยี ์ประธานของวดั ทย่ี งั ไม่พบหลักฐานแบบนี้ใดโบราณสถานอน่ื
หลักฐานสมยั หรภิ ุญไชยถงึ กอ่ นสมัยล้านนาน้ัน มอี ย่หู ลายอยา่ ง เช่น เจดยี ์องคป์ ระธาน ที่เป็นทรงมณฑป
รนุ่ เก่า แมว้ ่าสว่ นมณฑปและเรอื นยอดจะไม่ปรากฏใหเ้ ห็น แตส่ ่วนฐานยังปรากฏใหเ้ ห็นลกั ษณะเปน็ หอ้ งส่ีเหล่ยี มตาม
ทรงมณฑป และเป็นทรงมณฑปกอ่ นสมัยล้านนา ดว้ ยสว่ นฐานคลา้ ยกบั เจดียก์ ่กู ดุ วดั จามเทวี เมอื งลาพนู พรอ้ มกัน
น้ันก็มกี ารพบพระพมิ พด์ ินเผาแบบหรภิ ญุ ไชย (พระสบิ สอง) ท�ำใหอ้ ายนุ ัน้ ไลเ่ รยี งข้ึนไปถึงสมยั หริภุญไชย
วัดหมบู นุ่ เปน็ วัดเดียวท่ีพบในเขตก�ำแพงเวยี งเจด็ ลนิ ปจั จุบันมกี ารกอ่ สร้างอาคารหลายหลงั ในพื้นที่ไป
แลว้ แตก่ ่อนการปรบั พน้ื ท่ีสร้างอาคาร ก็ยงั พบเศษอฐิ สีแดงขนาดใหญ่และเศษกระเบอื้ งดนิ ขอ กระจายอยมู่ ากมาย
ส�ำหรับเจดยี น์ ั้นไดถ้ ูกทำ� ลายไปตอนปรับเป็นสถานท่เี ลี้ยงสตั ว์ อ.จ�ำเหลาะ สมจติ ต์ ได้เลา่ ใหฟ้ งั เกี่ยวกับเจดยี ์ทวี่ ัดหมู
บนุ่ น้วี ่า เป็นเจดยี ์ทรงมณฑปคล้ายกบั เจดีย์วดั กู่กดุ วดั จามเทวี จ.ลำ� พนู ตอนนั้นมีผ้ไู ด้พระเคร่ืองกรวุ ัดหมูบุน่ และ
พระพิมพแ์ บบหรภิ ญุ ไชย เหมือนกับท่ีพบที่วัดกดู่ นิ ขาวอยู่จ�ำนวนมาก
ท�ำให้เช่อื ได้วา่ ในบริเวณเวียงเจ็ดลินตลอดไปถงึ ดอยสเุ ทพ มีการพัฒนาการของชุมชนสบื มาโดยชนพ้ืน
เมืองทอ่ี าศัยอย่ใู นแถบนี้มาก่อนคอื ชาวลวั ะ ตอ่ มาอาจด้วยภัยสงครามจึงอพยพย้ายถน่ิ หรอื อาจผสมกลมกลืนกบั ชาว
โยนกที่อพยพมามากขน้ึ และก็มีการสืบทอดความเป็นชมุ ชนสืบต่อมา จนถึงสมยั ลา้ นนา แมว้ า่ ในชว่ งแรกของลา้ นนา
จะไมม่ กี ารกลา่ วถึงเวยี งเจด็ ลินแต่ก็เชอ่ื วา่ ยังมีการใชป้ ระโยชนใ์ นพื้นทอ่ี ยู่
๒.๔.๑ เวยี งเจ็ดลนิ สมยั ลา้ นนา ตัง้ แตส่ มยั ราชวงศ์มังราย – สมัยเจ้าเจด็ ตน เวียงเจ็ดลินทเี่ ห็นใน
ปัจจบุ นั น้ี สร้างในสมัยของพระญาสามฝั่งแกน ในปี พ.ศ.๑๙๕๔ เพือ่ เปน็ ปอ้ มปราการปอ้ งกนั เมอื งเชยี งใหม่ ในคราว
ทท่ี ้าวยก่ี ุมกามพ่ีชาย ไดช้ กั ชวนพระญาไสลอื ไทแห่งสุโขทัยยกทัพมาตีเชียงใหมแ่ ละมาตั้งทัพอยู่บรเิ วณเชิงดอยเจ็ดลิน
อนั เป็นบริเวณเวยี งเจด็ ลิน ปีพ.ศ.๑๙๕๔ อันเปน็ ปที ่ีสรา้ งเวียงเจ็ดลนิ น้ัน ปรากฏในศลิ าจารึกกษัตริยร์ าชวงศม์ ังราย
หรอื ลพ.๙ อันตอนตน้ กล่าวถึงลำ� ดับแหง่ ราชวงศม์ ังราย ปัจจุบนั จารึกหลักนีอ้ ยทู่ ่ีพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติเชียงแสน
สว่ นท่กี ลา่ วถึงปีที่สรา้ งเวียงเจด็ ลินนัน้ อยู่ในด้านที่ ๓ กลา่ วว่า “เจ้ามหาราชมสี รทาหยดนำ�้ ใหน้ าแกพ่ ระสุวรรณมหา
วหิ ารไซร้ ให้พอปีแปลงเวยี งเจ็ดรนิ ผจิ าถวิลด้วยปไี ทยไซร้ปีรว้ งเหมา้ เข้ามาในเดนิ ๑๑ ออก ๖ คำ่� วันจนั ทร์ ทันยาม
ตะวันเทีย่ งแท้ แมจ้ ะนับศาสนาอันพน้ ไปได้ ๑๙๕๔ ปี
ทางเมืองเชียงใหม่ จงึ ท�ำการตั้งกองทัพ โดยใชเ้ กวยี น ๒๐๐ เล่มตั้งเรยี งรายจากแจง่ หัวลินไปทางเชิงดอย
เจ็ดลนิ ทำ� ใหพ้ ญาไสลือไทยมีความเกรงกลัวจงึ ยกทัพหนีกลับไปยงั สโุ ขทัย ท�ำให้พระญาสามฝง่ั แกนเอาเหตุอันท่พี ระ
ญาไสลือไทพ่ายกลบั ไป จงึ สร้างเวียงยังทต่ี งั้ ทพั นั้นเอง ดังในตำ� นานกล่าวว่า “เม่อื น้ัน เจา้ สามประหญาฝ่ังแกนเอานิ
มิตต์อนั พระญาไสลือเอาพลเสกิ ไ็ พตงั้ อยู่ตีนดอย ๗ ลิน แลว้ ขนึ้ ไพดาหัวสรงเกสยงั ผาลาดหลวง มใี จกลวั ริพลชาว
เชียงใหม่มากนัก เจา้ สามประหญาฝง่ั แกนจง่ิ ห้อื ส้างเวียง ๗ ลินไว้เปนที่ชัยชนะแกข่ า้ เสิกส็ ตั รคู ็มหี น้ั แล”
38
การสร้างเวียงเจ็ดลินใช้ผังเมืองเป็นรูปวงกลมเพราะเวลามีข้าศึกจากศูนย์กลางไปยังก�ำแพงเมืองจะใช้
เวลาพอๆ กนั ทกุ ทศิ ทาง ทำ� ให้การป้องกันเมืองทำ� ไดส้ ะดวกยิง่ ขนึ้
นอกจากน้ี การศึกบรเิ วณดอยเจ็ดลินครง้ั นี้ ท�ำให้ก่อเกดิ ตำ� แหน่งขุนนาง หนง่ึ ในส่ีขนุ นางส�ำคญั นั่นคอื
ต�ำแหนง่ “เด็กชาย” ( เดก็ ฯชายฯ /เดก็ -จาย/ ) นอกเหนอื จากต�ำแหน่ง “แสนหลวง – สามล้าน – จ่าบา้ น” ด้วยเหตุ
ที่มีหนมุ่ วัย ๑๖ ผหู้ น่งึ นาม เพก็ ยส มีความกลา้ หาญไปสอดแนมทพั ของท้าวยีก่ ุมกามและพระญาไสลือไท และไดต้ ัด
หวั ข้าศึกมาถวายพระญาสามฝ่งั แกนจงึ ให้ต�ำแหน่งเป็น “เดก็ ชาย” สบื มาถึงสมัยยกเลกิ ต�ำแหนง่ เจา้ ผู้ครองนคร
เม่ือพระญาสามฝ่งั แกนสร้างเวียงเจ็ดลนิ แล้ว กใ็ ช้เป็นทปี่ ระทับพักผ่อน และได้ประทบั ทีเ่ วยี งนีม้ ากกว่าที่
จะประทับอยใู่ นเวยี งเชียงใหม่ จนเปน็ เหตุให้ทา้ วลก ได้ลุกมาชงิ อานาจเปน็ พระเจ้าติโลกราชได้
เวียงเจด็ ลนิ ก็ยังมคี วามส�ำคญั อยเู่ สมอมา ด้วย “น�้ำ” ทเี่ วยี งเจด็ ลนิ นี้ ถือว่าเปน็ น้�ำศกั ดิ์สทิ ธิ์ อนึ่ง ได้รับน้�ำ
จากดอยสุเทพ และ ศูนย์กลางของเมืองก็ยงั เป็นแหลง่ น้ำ� ผดุ และมรี สชาตโิ อชา จนพระญาไสลือไททีย่ กทพั มาตั้งที่
ดอยเจ็ดลนิ เอ่ยปากชมว่า “คูได้กินนา้ ๗ ลินลำ� แก่ใจนัก นา้ ท่ใี ดยงั จกั เปนด่ังน้า ๗ ลินนั้นชา”
๒.๔.๒ โบราณสถานแหง่ หริภุญชัย ในสมัยของพระญายอดเชยี งราย ในปหี นึง่ ปรากฏว่าเมอื งเชียงใหม่
เกิดภาวะฝนแล้งแต่เมืองเชียงแสนกลับมีฝนฟ้าตกไม่เคยแล้งเลยสักปีเดียวด้วยท่ีเมืองนั้นมีพระธาตุดอยตุงอัน
ศกั ดิส์ ิทธิ์ หากคราใดทฝ่ี นไม่ตกก็จะมกี ารสรงนำ้� พระชินธาตเุ จา้ ดอยตงุ ในครั้งนน้ั เพอื่ ให้ฝนฟ้าตกในเมืองเชียงใหม่
บรรเทาความแหง้ แลง้ มหาเทวี หรอื พระราชมารดาของพระญายอดเชียงราย จงึ นำ� ความมาบอกแก่พระญายอด
เชยี งราย พระญายอดเชยี งรายจงึ ได้ทำ� พธิ ีขอฝน ในครง้ั น้นั ได้นำ� น้าจากเวยี งเจ็ดลิน มาใชใ้ นการประกอบพิธอี ธษิ ฐาน
ขอฝนแล้วนำ� นำ�้ ไปสรงพระธาตุเจ้าดอยตงุ ด้วย ดังในตำ� นานวา่ ไว้ว่า “ที่น้นั พระยายอดเมอื งก็ปงราชอาชญาพระองค์
ตน ห้ือคนทังหลายฝงู หยู่ไซ้ หือ้ เอาน�้ำเจด็ รนิ มาอบดว้ ยมธุรสคันธตา่ งๆ ในไหจีนแลว้ เคร่ืองสัพบูชาปการนาทงั มวน
แล้วแม่ราชมารดากก็ ะทาสัจอธถิ านขอหอื้ ฝนตกทัว่ เมอื งเชยี งใหม่ทังมวนในเดอื นวิสาขปุรนมเี พงวา่ อัน้ ทีนน้ั พลพวก
ดาบรบั ราชอาชญาพิทูรสารชอู่ ันข่ีมา้ เอาคราวผดั ๑๐ วันหือ้ รอดดอยทงุ ในเดอื น ๘ เพง ได้สงมหาธาตเุ จา้ วา่ ดง่ั นี้ พล
พวกดาบเอาน้าอบและเครอ่ื งบชู าปกรนทงั มวนลาดับคราวทางมาเถิงมหาธาตุเจา้ แลว้ อธิถานบชู าสงดว้ ยน้าสุคนธ
อทุ กราชเจตนา อนภุ าวชนิ ธาตเุ จ้า ฝนก็ตกท่ัวเมืองเชียงใหมใ่ นเดอื น ๘ เพงแล”
ในสมัยของพระมหาเทวีจิรประภา ปี พ.ศ. ๒๐๘๘ พระไชยราชากษตั ริย์แห่งอยธุ ยาได้ยกทพั เพ่อื ที่จะมาตี
เมอื งเชียงใหม่ แตด่ ว้ ยนโยบายทางการเมอื งของพระมหาเทวี จึงไดผ้ กู ไมตรเี ปน็ พนั ธมิตรกับพระไชยราชา และได้พา
เสดจ็ มายังเวยี งเจ็ดลินน้ดี ้วย
สว่ นโบราณสถานหลายแหง่ ก็มกี ารก่อสรา้ งตอ่ เติม ในยุคล้านนา เช่นวัดกู่ดนิ ขาว ท่ีหลกั ฐานสมยั หลัง พบ
ว่า ที่ฐานชกุ ชมี ีการกอ่ สรา้ งทบั ซ้อนกนั มาถงึ สามสมยั พระประธานประดิษฐานในมณฑปหรอื โขงพระเจ้า มลี วดลาย
ปนู ป้นั แบบพรรณพฤกษาและสัตว์ป่าหิมพานต์อีกดว้ ย ท่สี ำ� คัญมีการพบช้นิ สว่ นพระอุระของพระพุทธรปู แบบสิงหร์ นุ่
หลังราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ อีกดว้ ย ส่วนหลักฐานชิ้นอืน่ เชน่ เครอื่ งปน้ั ดินเผา กม็ ีทัง้ ประเภทเน้อื ดิน (Earthenware)
และ ประเภทเนือ้ เคร่อื งหิน (Stoneware) ทเ่ี ป็นผลิตภณั ฑ์ในท้องถ่นิ ล้านนาในระยะพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – ๒๑ ลงมา
39
ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ มีการคน้ พบอฐิ มีลายดอกไม้พบใหม่ (ขนาด ๑๘ x ๓๖ x ๕ ซม.) ทเี่ วียงเจด็ ลิน บรเิ วณ
อาคารผลติ ภณั ฑ์นม หรือควอแดรนท์ตะวันตกเฉียงใตภ้ ายในตวั เวียงนา่ จะเป็นพ้ืนทวี่ ัดแตเ่ ดมิ ตอนนท้ี างปศสุ ตั วเ์ ปน็
ผูเ้ กบ็ รักษาไวอ้ ยู่ ลกั ษณะของกอ้ นอฐิ ทพี่ บนา่ จะทำ� จากเทคนิคกดพมิ พล์ ายแลว้ เผา ซ่งึ อาจจะเป็นอิฐประดบั ในศาสน
สถาน หรอื ในเขตทีป่ ระทบั ของกษัตริย์กเ็ ป็นได้ ซ่ึงต้องศึกษากันตอ่ ไป
อญิ ลายดอกไม้ทีพ่ บเจอบรเิ วณเวยี งเจ็ดลิน ภาพจากสำ� นักศลิ ปากรท่ี ๘ เชยี งใหม่
เวยี งเจด็ ลินยังมคี วามส�ำคัญมาจนถงึ สมัยของเจ้าเจด็ ตน ดงั สมัยของเจ้าหลวงพุทธวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๖๙ – ๒๓๘๙) ก็มา
ประทับทเ่ี วยี งเจด็ ลนิ ในระหวา่ งท่ีมีเคราะห์ จนมกี ารเปลยี่ นแปลงการใชท้ ดี่ ินเมือ่ มีการรวมเขา้ กับสยามในเวลาตอ่ มา
40
๒.๕ ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนาเมอื งเชยี งใหม่
“เชียงใหม”่ มชี ่ือปรากฏกลา่ วถึงในเอกสารประวตั ิศาสตร์ตำ� นานสิบห้าราชวงศอ์ ยา่ งเปน็ ทางการว่า “นพ
บุรศี รนี ครเชียงใหม”่ โดยทีเ่ มืองเชยี งใหม่ท�ำหนา้ ที่เปน็ ราชธานีของอาณาจกั รล้านนามาต้งั แต่สมัยทพี่ ญามังรายทรง
สถาปนาเมืองเชียงใหม่ขึน้ อยา่ งเป็นทางการเมอ่ื ปี พ.ศ.๑๘๓๙ และไดม้ พี ัฒนาการสบื เนอ่ื งมากระทัง่ ถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามก่อนท่ีพญามังรายจะทรงสถาปนาเมืองเชียงใหม่ขึ้นนั้นก็ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีและ
ประวตั ศิ าสตร์แสดงให้เห็นวา่ พ้นื ทบ่ี รเิ วณโดยรอบของล้านนานม้ี บี ้านเมอื งและชุมชนใหญเ่ กิดขึ้นกอ่ นหน้าแล้ว อาทิ
เมอื งหิรญั นครเงนิ ยางเชียงแสน เมืองหรภิ ุญไชย เมอื งพะเยา เปน็ ตน้
ตามเอกสารทางประวัตศิ าสตรก์ ล่าวว่าพญามังรายไดเ้ สด็จข้ึนครองราชย์ทเี่ มอื งเงนิ ยางเชยี งแสน ตง้ั แตใ่ น
ราวปี พ.ศ.๑๘๐๕ ในการนน้ั พระองค์ทรงมพี ระประสงคท์ ่จี ะรวบรวมแวน่ แคว้นบา้ นเมืองต่างๆ ทอ่ี ยู่ขา้ งเคยี งซึ่งต่างก็
เป็นอิสระจากกัน ทว่ากม็ คี วามสมั พันธ์ในเชงิ เครอื ญาติให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอนั เดยี วกัน ในการนัน้ พระองคไ์ ด้ทรง
ขยายอ�ำนาจลงมาจากลุ่มน้�ำกกมาทางใต้ยังบริเวณลุ่มแม่น้�ำกวง-ปิงและพยายามขยายลงไปถึงบริเวณลุ่มน้�ำ
เจา้ พระยาและสาละวิน บริเวณลมุ่ แมน่ ้�ำปิงขณะนั้นมีเมอื งหรภิ ุญไชยเป็นเมอื งสำ� คญั และมคี วามอุดมสมบูรณม์ ่งั คง่ั
ทางเศรษฐกจิ พญามงั รายมีพระประสงค์จะยึดครองเมอื งหริภญุ ไชยไว้ในอ�ำนาจจงึ ทรงย้ายเมอื งหลวงหรือทรงมาส
ร้างเมืองอกี เมืองหน่ึง คอื เมอื งเชยี งรายทางใตล้ งมาในราว พ.ศ. ๑๘๐๖ แตพ่ ระองค์พบว่าภมู ิประเทศไมเ่ หมาะแก่
การขยายอำ� นาจลงมาทางใต้ จงึ ทรงย้ายไปประทบั ที่เมอื งฝางราว พ.ศ. ๑๘๑๗ ท่เี มอื งน้ีอยไู่ มไ่ กลจากเมืองหรภิ ญุ ไชย
มากนัก พระองคท์ ราบถึงความม่นั คงและความม่ังคัง่ ของเมอื งหรภิ ุญไชยดี จงึ ด�ำเนินนโยบายแบบบ่อนทำ� ลาย โดยให้
อ้ายฟ้าอ�ำมาตย์ของพระองคไ์ ปเป็นไสศ้ กึ ในเมอื งหรภิ ญุ ไชย โดยใช้เวลาดำ� เนนิ การอยู่ ๒ ปีเศษ อา้ ยฟ้าใชเ้ ภโทบาย
ทำ� ให้ประชาชนในเมืองนี้ไม่พอใจพระยายีบา เม่อื มีศกึ พญามังรายมาประชดิ ประชาชนจงึ ไม่กระตือรือรน้ จะชว่ ยรบ
กบั ผู้ปกครอง ในทีส่ ดุ พญามงั รายจึงยึดหรภิ ุญไชยไวใ้ นอ�ำนาจไดส้ ำ� เร็จเม่ือ พ.ศ. ๑๘๒๔
เมื่อพญามังรายไดเ้ มอื งหรภิ ญุ ไชยแลว้ ได้ประทับอยู่ ๒ ปีกท็ รงแตง่ ต้ังอา้ ยฟา้ เป็นพญาปกครองเมืองหริ
ภุญไชย ส่วนพญามงั รายเสดจ็ ไปต้ังเมอื งใหม่ชื่อเมอื งชะแวซ่ึงอยู่ดา้ นตะวันออกเฉียงเหนอื ขอเมืองหริภญุ ไชยได้เพียง
๑ ปีก็เกิดน้�ำทว่ ม จงึ ได้ยา้ ยมาสร้างเมอื งอีกเมอื งหน่ึง คอื เวยี งกุมกาม ใน พ.ศ. ๑๘๒๙ พญามงั รายอยู่ทเี่ วียงกุมกาม
ได้ ๕ ปกี ็สร้างเมอื งใหมเ่ น่ืองจากเวียงกุมกามนำ้� ท่วมบอ่ ยครั้ง พญามังรายเลอื กบริเวณท่ีราบลมุ่ แมน่ �ำ้ ปงิ ตอนเหนอื
ของเวียงกมุ กาม บรเิ วณเชงิ ดอยสุเทพ โดยสร้างเปน็ เมืองชว่ั คราวกอ่ น จากนัน้ จงึ ได้ทูลเชิญพระยารว่ งและพระยาง�ำ
เมอื งมาใหค้ ำ� ปรกึ ษาเกี่ยวกับการวางผังเมอื งซึ่งพื้นที่ตัง้ เมืองแห่งใหมน่ ้ีปรากฏลักษณะมงคลของเมอื ง ๗ ประการ ดงั
ในต�ำนานพื้นเมอื งเชยี งใหม่ ความว่า “ดรู า เจา้ สหายเราพรอ้ มกันจักต้งั เวยี งที่นี้เผอื ขา้ หันเป็นไชยมงคล ๗ ประการ
ดงั น้ี อนั แต่ก่อนไดย้ ินสืบมาวา่ กวางเผอื ก ๒ ตัวแมล่ ูกลกุ แตป่ ่าใหญ่หนเหนือมาอยไู่ ชยภมู ิทนี่ ้ีคนทงั หลายยอ่ มกระท�ำ
บชู าเปน็ ไชยมงคลปถมกอ่ นแล อัน ๑ วา่ ฟานเผอื ก ๒ ตวั แมล่ กู มาอยูไ่ ชยภูมทิ ่นี ้รี บหมา หมาทงั หลายพา่ ยหนบี อ่ าจ
จกั จั้งไดส้ ักตัวเปน็ ไชยมงคลถว้ น ๒ อัน ๑ เล่าเราทังหลายได้หันหนูเผอื กกับบรวิ าร ๔ ตวั ออกมาแต่ไชยภูมิทน่ี เี้ ป็นไชย
มงคลอนั ถว้ น ๓ อนั ๑ ภูมิ
อ้างอิง
ตำ� นานสิบห้าราชวงศฉ์ บับสอบชำ� ระ, (เชยี งใหม:่ โรงพมิ พม์ ิ่งเมือง, ๒๕๔๐), หนา้ ๓๙-๔๑.
41
ฐานเราจกั ต้งั เวียงนสี้ งู วนั ตกหลิง่ วันออกเป็นไชยมงคลอันถ้วน ๔ แล อันอย่ทู นี่ ้ีหนั นำ้� ตกแต่อุจสุบัพพตั ตาดอยสุเทพ
ไหลมาเป็นแม่น้�ำไหลข้ึนไปหนเหนือแล้วไหลกระวัดไปหนวันออกแล้วไหลไปใต้แล้วไหลไปวันตกเกี้ยวเวียงกุมกาม
แม่น้ำ� นเ้ี ปน็ นครคณุ เกี้ยวเมืองอนั นเี้ ป็นไชยมงคลถ้วน ๕ แมน่ ำ้� อันน้ีไหลแต่ดอยลงมาทขี่ นุ น้ำ� ไดช้ ือ่ วา่ แม่ข่าไหล เมือ
วันออกแลว้ ไหลไปใต้เทยี บขา้ งแมพ่ งิ ไปไดช้ อื่ วา่ แม่โทต่อเท้าบดั น้แี ล อันหนึง่ หนองใหญม่ วี ันออกซ้วยเหนอื แห่งไชย
ภูมิได้ช่อื ว่าอสี าเนราชบรุ วี า่ หนองใหญ่มีหนอีสาน ท้าวพญาต่างประเทสจักมาปูชาสักการมากนักเป็นไชยมงคลถ้วน ๖
แล อัน ๑ แมร่ ะมงิ ไหลมาแตม่ หาสระอันพระพุทธเจ้าเมื่อยงั ธรมานได้มาอาบในดอยอ่าวสรงไหลออกมาเป็นขุนนำ้� แม่
ระมิงพายวันออกเวยี งเปน็ ไชยมงคลถว้ น ๗ แล”
เมอื่ สรา้ งเมอื งแลว้ เสร็จใน พ.ศ. ๑๘๓๙ “พญาทงั สามก็เบิกนามเมืองวา่ นพบรุ ีศรนี ครเชยี งใหม”่
เชียงใหม่จงึ ท�ำหน้าทีเ่ ป็นศนู ย์กลางการเมืองการปกครอง และศูนย์กลางความเจริญของลา้ นนาตลอดมา
ภาพประติมากรรมอนุสาวรีย์สามกษัตริย์แสดง เม่ือพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์เม่ือคร้ังพ่อขุนรามค�ำแหงและพญาง�ำ พระองค์ได้ทรงปกครองและประทับอยู่เมืองน้ีตลอด
เมืองร่วมกันให้ค�ำปรึกษาแก่พญามังรายในการสร้าง พระชนม์ชีพ ทง้ั นี้ พญามงั รายตอ้ งอสนุ ีบาตทตี่ ลาดกลาง
เมืองเชียงใหม่ เมืองเชยี งใหมส่ ิ้นพระชนมใ์ น พ.ศ. ๑๘๖๐ เมอ่ื ส้นิ สมยั
พญามงั รายแล้ว พญาไชยสงคราม (ขนุ คราม) พระ
ราชโอรสของพญามังรายได้อภิเษกท้าวแสนภูพระ
ราชโอรสองคใ์ หญ่ของพระองค์ข้ึนเปน็ กษัตรยิ ์ ในเวลาตอ่
มาขุนเครือผู้เป็นอาของท้าวแสนภูจะท�ำการก่อกบฏแต่
ท้าวแสนภูหลบหนีไปได้ท้าวน�้ำท่วมได้น�ำกองทัพจาก
เมืองฝางมาเชียงใหม่และสามารถจับตัวขุนเครือไว้ได้
พญาไชยสงครามจึงอภิเษกให้ท้าวน้�ำท่วมข้ึนเป็นกษัตริย์
เชยี งใหม่ ตอ่ มาอีก ๒ ปี พญาไชยสงครามไม่ไว้ใจทา้ วนำ้�
ทว่ มจึงใหไ้ ปปกครองท่ีเมืองแขม ในทน่ี ี้ สันนษิ ฐานว่าคอื
เมืองเชียงตงุ พญาคำ� ฟพู ระราชโอรสของทา้ วแสนภูไดข้ น้ึ
ค ร อ ง ร า ช ย ์ เ มื่ อ พ ญ า ค� ำ ฟู ส้ิ น พ ร ะ ช น ม ์ ใ น เ อ ก ส า ร
ประวัติศาสตร์ต�ำนานสิบห้าราชวงศ์ได้ให้ข้อมูลว่าพญา
คำ� ฟมู ีสหายคนหนึ่งชือ่ งัวหง ซง่ึ เปน็ คหบดีมฐี านะร่ำ� รวย
ทง้ั สองไดใ้ หค้ �ำสาบานแกก่ นั ว่า ถ้าใครจงใจไมซ่ อื่ สัตว์ต่อ
กันขอให้มีอันเป็นไปต่อมาไม่นานพญาค�ำฟูได้ลักลอบ
เปน็ ช้กู ับภรรยาของงวั หง ด้วยบาปกรรมน้ัน พระยาค�ำฟู
จึงถูกเงือกคาบไป)ท้าวผายูได้อภิเษกเป็นพญาผายู
ปกครองเมืองเชียงใหม่สบื ต่อมา
อ้างองิ
อรณุ รตั น์ วิเชยี รเขยี ว และ ดร.เดวิด เค. วัยอาจ, ตำ� นานพ้นื เมืองเชียงใหม่, พิมพ์คร้งั ท่ี ๒, (เชยี งใหม่: ซิลค์เวอรม์ บคุ ส,์ ๒๕๔๗), หน้า ๔๕.
ตำ� นานสบิ หา้ ราชวงศฉ์ บบั สอบชำ� ระ, หนา้ ๓๕.
อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขียว และ ดร.เดวดิ เค. วยั อาจ, ต�ำนานพนื้ เมืองเชียงใหม,่ หนา้ ๕๕.
42
บทท่ี ๓
อตั ลักษณ์ของศิลปกรรมอดีตในล้านนา
อตั ลกั ษณร์ ปู แบบการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปกรรมในลา้ นนา จดั แสดงและสรา้ งขึ้นเก่ียวกับวถิ กี ารด�ำรงชวี ิตของ
ชาวลา้ นนาผ่านพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ยสถานทสี่ ำ� คัญทางศาสนา และเครือขา่ ยพิพิธภัณฑ์ตา่ งๆ ดงั น้ี
๓.๑ ราชกฏุ าคาร พระอารามหลวงแบบโบราณเชยี งใหม่
วดั เจดียห์ ลวง มีชอ่ื เรียกหลายชื่อ ไดแ้ ก่ ราชกฏุ าคาร , วดั โชติการาม สรา้ งขนึ้ ในรัชสมยั ของพระเจ้าแสน
เมอื งมา กษตั ริยล์ �ำดับที่ ๗ แห่งราชวงศม์ งั ราย ไม่ปรากฏปีทส่ี รา้ งแนช่ ัด สนั นษิ ฐานวา่ วดั แห่งน้นี ่าจะสร้างในปี พ.ศ.
๑๙๓๔ ถ้านบั จนถึงปัจจบุ นั มอี ายุ ๖๒๙ ปี
๑. เจดียห์ ลวงในอดีต
43
๒.ภาพโบราณเจดีย์หลวง
44 ๓.วดั เจดยี ์หลวงในอดีต
๔. ภาพปจั จบุ นั ของเจดีย์หลวง
45
๕. การสงั เคราะห์การจ�ำลองลักษณะรปู ทรงขององคพ์ ระเจดยี ห์ ลวงบริเวณดา้ นหนา้ โดยรอบประดบั รปู ช้างโผล่
ออกมาคร่งึ ตัว ปจั จบุ นั ช้างพังเกอื บหมดแล้ว ร่องรอยการประดับช้างรอบฐานนี้นบั ได้ถึง ๒๘ ตัว บนั ไดนาคท่ี
ทอดลงมาจรดพ้ืนดิน มนี าคเปน็ ราวบันไดอยทู่ ศิ ละ ๒ ตัว เชงิ บนั ไดดา้ นลา่ งท�ำเป็น”มกร”คาบนาคท่ชี ูตัง้ ข้ึนสูง
บันไดมีลักษณะก่ออฐิ แบบปูนเรยี บ แสดงใหเ้ หน็ ว่าเจาะจง”มใิ ห”้ ใชป้ ระโยชนเ์ ปน็ บนั ไดทางขน้ึ จะมรี อ่ งรอยของ
บนั ไดทางข้ึนส่รู ะเบยี งชนั้ บนได้เพยี งทางด้านทิศตะวันออกเทา่ นัน้
๓.๒ ลำ� พนู ผา่ นกล้อง มองอดตี
คณะวิจัยได้พยายามหาภาพของช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่ได้ถ่ายภาพเมืองล�ำพูนไว้ขณะท่ีท�ำกิจการค้าขายใน
เมอื งเชยี งใหมร่ วมทงั้ ไดเ้ ปิดรา้ นถา่ ยรูปชอื่ วา่ ยากี ย่ปี ุน่ ซึง่ อย่หู นา้ วัดอุปคตุ จริงๆ แลว้ นายทาเคชิ ยากี เป็นพ่อคา้
ชาวญ่ปี นุ่ คา้ ขายในเมอื งเชียงใหม่มาตัง้ แตส่ มยั รัชกาลท่ี ๕ กอ่ นจะมารู้จกั นายเอม็ ทานากะ ชาวญ่ปี ุน่ ทเี่ ปน็ ชา่ งภาพ
และเปิดร้านถ่ายรูปในเมืองเชียงใหม่โดยย้ายร้านมาจากเมืองล�ำปางทั้งสองสนิทสนมกันเนื่องจากเป็นคนชาติเดียวกัน
จึงส่งผลให้นายทาเคชิ ยากี จงึ มาสนใจในการถ่ายรูปโดยมีนายเอ็มทานากะเป็นผถู้ ่ายทอดความรใู้ นการถ่ายภาพจน
น�ำไปสูก่ ารเปดิ รา้ นถา่ ยรปู ยากี ยป่ี นุ่ เนื่องจากนายทาเคชิทำ� การคา้ ขายอยู่
46
แล้วจึงสั่งกระดาษ น้ำ� ยาอัดลา้ งรูปถา่ ยจากบางกอกอย่างสะดวกในยคุ นั้น ลกั ษณะภาพถา่ ยของนายทาเคชิ มักจะมี
ขอ้ ความอย่ใู นภาพเสมอนายทาเคชิ ยากี เสียชวิ ติ ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ดว้ ยโรคชรา เรือ่ งราวบางส่วนทีน่ �ำมา
เล่านไ้ี ดร้ บั ความกรุณาจากทายาทของ นายทาเคชิ ยากี เจา้ ของห้างยากี ยีป่ ุ่น รา้ นถา่ ยรูปในอดีตเมืองเชียงใหม่ท่ไี ด้
ให้ขอ้ มลู และความอนเุ คราะหส์ �ำเนาภาพถา่ ยเกา่ ของห้างยากี ยป่ี ่นุ ทไ่ี ด้บนั ทกึ ภาพเก่าเมอื งลำ� พูน เมอื งเลก็ ๆท่นี ่า
สนใจขอขอบพระคุณทายาททุกทา่ นพรอ้ มทั้งคุณสุคนธ์ ยากีเเละคุณวชิ ติ ยากี ที่ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั จะได้
อนรุ กั ษเ์ พือ่ เผยแพรเ่ ป็นสาธารณะกุศลในโอกาสตอ่ ไปครับ
๑. ดา้ นหน้าวดั พระธาตุหริภญุ ชัยวรมหาวหิ าร เมอื งล�ำพูน ถ่ายภาพนายทาเคชิ ยากี ชา่ งภาพชาวญป่ี ุ่น
ภาพถา่ ยประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๒ สำ� เนาภาพจากคณุ สคุ นธ์ ยากี
๒. หอธรรม เจดยี ์ เขาพระสุเมรุ วัดพระธาตหุ รภิ ุญชัยวรมหาวิหาร เมอื งลำ� พูน ถ่ายภาพโดย นายทาเคชิ ยากี
ช่างภาพชาวญ่ีปุ่น ภาพถา่ ยประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๒ สำ� เนาภาพจากคณุ สุคนธ์ ยากี
47
๓. พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุ
หรภิ ุญชยั วรมหาวิหาร เมืองลำ� พูน
ถ่ายภาพโดย นายทาเคชิ ยากี ช่าง
ภาพชาวญปี่ ุน่ ภาพถ่ายประมาณ
พ.ศ. ๒๔๖๒ สำ� เนาภาพจากคณุ
สคุ นธ์ ยากี
๔. กกู่ ุด วัดจามเทวี เมืองลำ� พูน
ถา่ ยภาพโดย นายทาเคชิ ยากี ช่าง
ภาพชาวญ่ีปนุ่ ภาพถ่ายประมาณ
พ.ศ. ๒๔๖๒ สำ� เนาภาพจากคุณ
สุคนธ์ ยากี
48
๕. ภาพถา่ ยประตมู หาวัน ด้านในเมืองและกำ� แพงเมอื งล�ำพนู ด้านทศิ ตะวนั ตก ถ่ายภาพโดยนายทาเคชิ
ยากี ชา่ งภาพชาวญ่ปี ุ่นภาพถ่ายประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๒ ส�ำเนาภาพจากคุณสุคนธ์ ยากี
๖. ภาพถา่ ยเสน้ ทางรถไฟและสะพานขาวทาชมภู อำ� เภอแมท่ า เมืองล�ำพูน ถา่ ยภาพโดยนายทาเคชิ ยากี
ช่างภาพชาวญีป่ ุ่น ภาพถา่ ยประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๒ ส�ำเนาภาพจากคณุ สคุ นธ์ ยากี
49
๓.๓ วดั ปา่ เยียะ(ป่าไผ่) เม่ือ พ.ศ. ๑๙๗๗ (ค.ศ.๑๔๓๔)
ในอดีตทีผ่ ่านกาลเวลามายาวนาน
๗. วดั พระแก้ว จ.เชียงราย ในอดตี
วัดพระแก้วแต่เดิมชื่อวัดป่าเยียะ
(ปา่ ไผ่) เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๗ (ค.ศ.
๑๔๓๔) ฟา้ ผ่าพระเจดยี ์จึงไดพ้ บ
พระแก้วมรกต (ปจั จบุ นั ประดษิ ฐาน
ณ วดั พระศรรี ตั น ศาสดาราม พระบรม
มหาราชวัง)ชาวเมืองเชียงราย
จึงได้เรียกช่ือวัดน้ีว่า“วัดพระแก้ว”
จนกระทั่งปจั จบุ นั
50