The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้ประกันภัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by earthzabanma, 2021-05-14 23:30:00

ใบความรู้ประกันภัย

ใบความรู้ประกันภัย

ใบความรู้ ชื่อวิชา การประกนั ภัย
รหัสวิชา 2202 – 2107 สอนครัง้ ที่ 1-2 ช่ัวโมงท่ี 1-8
หน่วยท่ี 1 ความร้ทู ั่วไปเกี่ยวกบั การประกนั ภยั
ชอื่ เร่อื ง ความรทู้ ั่วไปเกย่ี วกับการประกันภยั จานวน 8 ช่ัวโมง

1. สาระสาคญั
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความต้องการต่างๆ มากมาย ท่ีจะทาให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอด ไม่ว่า

จะเป็นความต้องพ้ืนฐานในการดารงชีวิต และความต้องการทางสังคมอื่นๆ หนึ่งในความต้องการ
ท่ีมนุษย์ได้เรียนรู้เมื่ออยู่ในสังคม คือ ความต้องการมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและปลอดภัย ซ่ึงในความ
เป็นจริงของการดารงชีวิตมนุษย์ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดภัยต่อทรัพยแ์ ละชีวิตเมื่อใด ดังน้ันมนุษย์
จงึ พยายามหาวิธีการต่างๆ ทจี่ ะทาให้ภัยท่ีอาจเกิดขึ้นมาน้ันมีผลกระทบต่อตนเองให้นอ้ ยท่ีสดุ เมื่อภัย
บางอย่างมนุษย์ไม่สามารถห้ามมิให้เกิดข้ึนได้ แต่มนุษย์พยายามหาวิธีการท่ีจะทาให้ภัยเหล่านนั้นมี
ผลกระทบต่อตนเองให้น้อยท่ีสุด จึงได้คิดค้นวิธีการเฉล่ียความรับผิดชอบต่อภัยท่ีเกิดข้ึน ด้วยการ
นาเอาชีวิต และทรัพย์ไปทาประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย โดยการให้บริษัทประกันภัยนั้นมาร่วม
รับผิดชอบในความเสยี หายของภยั ทีอ่ าจจะเกดิ ขน้ึ

ภัยท่ีอาจเกิดข้ึนกับมนุษยน์ ั้น อาจเป็นภัยท่ีมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด ลมพายุ น้าท่วม เป็นต้น หรืออาจเกิดมาจากสาเหตุท่ีเป็นการกระทาของมนุษย์ เช่น
การลักขโมย การวางเพลิง เป็นต้น ซ่ึงภัยเหล่านี้ จัดเป็นสาเหตุทางตรง และยังมีภัยท่ีเกิดจากสาเหตุ
ทางอ้อม ได้แก่ ภัยที่เกิดขึ้นจากความเสียหายของเศรษฐกิจ เม่ือมนุษย์รับรู้เก่ียวกับความเส่ียงภัย
เหล่านั้นจึงได้หาวิธีขจัดความเส่ียงภัยเหล่าน้ันออกไป วิธีการขจัดความเสี่ยงภัยท่ีดีท่ีสุดคือ การโอน
ความเสี่ยงภัยไปให้แก่ผู้อ่ืน ซ่ึงได้แก่บริษัทประกันภัยน่ันเอง ปัจจจุบันมีบริษัทรับประภันภัย และมี
แบบของการประกันภัยมากมาย ที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการตัดสินใจจะทา
ประกันภัยแบบใดน้ัน ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลและแบบของการประกันภัยให้ดีเสียกอ่ น โดยผ้บู ริโภค
ควรมีความรู้เก่ียวกับการประภัย ได้แก่ ความหมายของการประกันภัย ประเภทของการประกันภัย
ประวัติความเป็นมาของการประกันภัย ประโยชน์ของการประกนั ภยั และคาศัพท์ท่ีควรทราบเกยี่ วกับ
การประกนั ภัย

2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2.1 จุดประสงค์ท่วั ไป
เพือ่ ให้ผู้เรยี นมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับการประกัยภัย
2.2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
2.2.1 อธิบายความหมายของการประกนั ภัยได้
2.2.2 อธิบายประเภทของการประกันภัยได้
2.2.3 บอกถึงประวัตคิ วามเป็นมาของการประภยั ได้
2.2.4 อธบิ ายประโยชน์ของการประกนั ภัยได้
2.2.5 อธบิ ายคาศัพท์ที่ควรทราบเก่ียวกบั การประกันภัยได้

3. สมรรถนะประจาหนว่ ยการเรยี นรู้
1. แสดงความรเู้ กี่ยวกบั หลักการประกนั ภัย
2. แสดงเจตคตทิ ดี่ แี ละกจิ นสิ ยั ท่ดี ีตอ่ การศึกษาการประกนั ภยั

4. สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายของการประกันภัย

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของการประกันภัยไว้ว่า
การประกันภัยเป็นคากริยา แปลว่า การรับรองว่าจะรับผิดเม่ือเกิดความเสียหายหรือเหตุอย่างใด
อยา่ งหน่ึงตามทร่ี ะบไุ วใ้ นสญั ญา

Willets กล่าวว่า การประกันภัยเป็นเคร่ืองมือของสังคมเพื่อสะสมเงินไว้จ่ายแก่ผู้โชคร้าย
ที่ได้รับความเสียหายจากภัยที่ระบุไว้ โดยการโอนภัยที่ไม่แน่ว่าจะเกิดข้ึนหรือไม่ จากบุคคลที่เป็น
สมาชิกไปยังบุคคลอกี คนหนึง่ หรอื อีกคณะหน่ึง

Miller กล่าวว่า การประกันภัยเป็นเครื่องมือของสังคมที่ช่วยให้ความไม่แน่นอนในภัย
ที่เกิดข้ึนของแต่ละคนให้บังคับความแน่นอนโดยกลุ่มคนท่ีเข้ามาร่วมกันช่วยเปล่ียนความไม่แน่นอน
เป็นความแน่นอน และสามารถช่วยกันแบง่ เบาความเสยี หายโดยอาศัยสมาชกิ ท้ังหลาย

Piffier กล่าวว่า การประกันภัยเป็นเคร่ืองมือลดความไม่แน่นอนของบุคคลฝ่ายหน่ึง
ซง่ึ เรียกว่าผู้เอาประกัน โอนภยั ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหน่ึง เรียกว่าผู้รับประกัน ซึ่งเป็นฝ่ายที่สัญญาว่าจะ
ทาใหค้ วามเสยี หายหรือสญู หายน้ันคนื สภาพเดมิ ซึง่ อาจจะทง้ั หมดหรอื เพียงบางสว่ น

Kulp C.A. กล่าวว่า การประกันภัยเป็นเครื่องมือของสังคมเพ่ือทาหน้าท่ีให้เกิดความ
แน่นอนในภยั ทีเ่ กดิ ขึน้ โดยวธิ เี สี่ยงภยั ด้วยกัน

สรุป การประกันภัย หมายถึง การกระจายความเสี่ยงภยั ที่อาจเกิดขึ้น ไปยงั สมาชิกท่ีมีความ
เสี่ยงภยั คลา้ ย ๆ กัน โดยสมาชิก จะต้องจ่ายเงนิ คนละเลก็ คนละน้อย ไว้เป็นกองทุนกลาง เม่ือสมาชิก
คนใดเกิดภัยและได้รับความเสียหายจากภัยท่ีระบุไว้ในสัญญา สมาชิกคนนั้นจะได้รับการชดใช้ตาม
มูลค่าความเสียหายจากเงนิ กองกลางน้นั โดยมคี นกลางเป็นผู้ทาหน้าที่จดั การกองทนุ

ขอบเขตของการประกนั ภยั
1. การเสียหายเกี่ยวกับพลังในการหารายได้ หมายถึง ภยันตรายใดๆ ก็ตามหาก เกิดข้ึน
แล้วจะทาใหเ้ สียพลังในการหารายได้ไป เช่นนี้ผู้ได้รับการสูญเสียจะต้องได้รับการชดใช้ไม่ ว่ารายได้ท่ี
สูญเสียนนั้ จะอยู่ในรูปค่าแรงงาน กาไร คา่ เช่า หรอื ประโยชน์อื่นๆ ก็ตาม การเสียหาย เกีย่ วกับพลังใน
การหารายได้ ได้แก่

1.1 การสญู เสียพลังในการหารายได้ของบุคคลธรรมดา ความสญู เสียนอ้ี าจเกิด จากการ
มรณกรรม การเจ็บปว่ ย ความชรา อุบตั ิเหตุ การไม่มีงานทา เปน็ ต้น

1.2 การสูญเสียพลังในการหารายได้ของธุรกิจ เป็นภัยท่ีหากเกิดข้ึนแล้วทาให้
สถานประกอบธุรกิจต้องเสียหายและทาให้รายได้ของธุรกิจน้ันต้องสูญเสียไป สาเหตุของความ
เสยี หายนน้ั เชน่ ไฟไหม้ นา้ ทว่ ม พายุ การระเบดิ เป็นต้น

2. การเสียหายเก่ียวกับทรัพย์สิน โดยสาเหตุของความเสียหายของทรัพย์สินน้ันอาจจะ
มาจากการถูกทาลายหรืออาจเกิดจากภัยธรรมชาติ ซ่ึงเม่ือเกิดขึ้นแล้วทาให้ทรัพย์สินต้องเสียหาย
ท้งั หมดหรอื เพยี งบางสว่ น การเสยี หายของทรพั ย์สินเกิดจาก

2.1 ภัยโดยแท้ เช่น แผ่นดนิ ไหว ไฟไหม้ พายุ การระเบดิ เรอื อบั ปาง การจลาจล รวมไปถึง
อุบตั ิเหตุต่างๆ

2.2 การกระทาอันไม่สุจริต เช่น การโจรกรรม การปลอมแปลงเอกสาร การฉ้อโกง
การยกั ยอก เปน็ ตน้

2.3 การผิดนัดหรือการผิดข้อตกลง เช่น ลูกหน้ีไม่ชาระหน้ีตามกาหนด ผู้รับเหมา
กอ่ สรา้ งปฏิบัติการไมเ่ สร็จส้ินตามสญั ญา

2.4 การรับผิดชอบตามกฎหมาย เช่น นายจ้างต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้าง ในกรณีลูกจ้าง
ถึงแก่กรรม บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เน่ืองมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือนายจ้างต้องจ่ายเงินให้ ลูกจ้าง
เม่อื ครบเกษยี ณอายุ เป็นต้น

2.5 ค่าใช้จ่ายท่ีอาจเกิดข้ึนในอนาคต เช่น ค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยในอนาคต
ค่าใชจ้ ่ายในการเปลย่ี นแปลงธรุ กจิ อนั เน่ืองมาจากไฟไหม้ เปน็ ต้น
2. ประเภทของการประกนั ภยั

การประกนั ภัยแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่
1. การประกันชีวิต (Life Insurance) หมายถึง การประกันภัยที่บริษัทผู้รับประกันภัย
จะชดใช้เงินให้น้ัน อาศัยเหตุแห่งการเสียชีวิต หรือการมีชีวิตรอดอยู่ ภายในกาหนดเวลาที่ตกลงกนั ไว้
ตัวอย่างเช่น นายบันเทิง นาชีวิตของตนเองไปทาประกันภัยไว้ เมื่อเกิดเหตุที่ทาให้นายบันเทิงต้อง
เสยี ชีวิต บริษทั ผู้รบั ประกันภัยจะตอ้ งจ่ายเงินกอ้ นหน่งึ ให้แกท่ ายาทของนายบนั เทิง ตามที่ระบุไว้
2. การประกันวินาศภัย (Non-life Insurance) หมายถึง การประกันภัยท่ีบริษัทผู้รับ
ประกันภัยตกลงจะชดใช้เงินจานวนหน่ึงให้แก่ผู้เอาประกันวินาศภัย เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นซ่ึง
รวมถึงความสูญเสียในสิทธิ ผลประโยชน์หรือรายได้ ท่ีอาจจะประมาณความเสียหายหรือความ
สูญเสียเหล่านั้นเป็นเงนิ ได้ ตัวอย่างเช่น นางสาวเรวดี ซื้อรถยนต์มาคันหนึ่ง ได้นารถยนต์คันนั้นไปทา
ประกันภัย เม่ือเกิดอุบัติเหตุ ทาให้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหาย บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องจ่ายเงิน
จานวนหนึ่งเพ่ือทาใหร้ ถกลับมสี ภาพดังเดิม
3. ประวตั คิ วามเป็นมาของการประกันภัย
จุดเร่ิมต้นของแนวคิดท่ีเก่ียวกับการประกันภัย ระบุไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลเก่ียวกับคาทานาย

ของโจเซฟ และฟาโรหแ์ ห่งอียปิ ซ่ึงถือวา่ เป็นโครงการประกันภัยอันแรกเท่าที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

เล่ากันว่า คืนวันหนึ่ง ฟาโรห์ทรงพระสุบินว่า มีวัวอ้วนเจ็ดตัวกาลังถูกวัวผอมเจ็ดตัวกัดกิน โจเซฟ

ทานายฝันวา่ ประเทศอยี ิปต์จะมีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์เป็นเวลาเจ็ดปี และต่อจากนั้นจะเกิด

ความแห้งแล้ง ประชาชนจะอดอยากปากแห้งเป็นเวลาเจ็ดปี ดังน้ัน จึงทูลเสนอต่อกษัตริย์ฟาโรห์

ให้สะสมธัญญาหารในปีท่ีสมบูรณ์ไว้สาหรับเล้ียงประชาชนในปีท่ีข้าวยากหมากแพง วิธีน้ีเรียกได้ว่า

เป็นหลักประกันภัยพนื้ ฐาน กลา่ วคือ เกบ็ ออมตงั้ แต่วันน้ีเพ่อื ไวใ้ ชใ้ นอนาคตซ่ึงหาความแนน่ อนไม่ได้

แนวคิดเก่ียวกับการประกันภัยในประเทศจีน ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล พ่อค้า
ชาวจีนได้พัฒนาวิธีการประกันภัยข้ึนสาหรับการขนส่งสินค้าตามลาน้าแยงซี ซึ่งมีสายน้าท่ีเชี่ยวกราก

และเรือบรรทุกสินค้ามกั อบั ปางลงอยูเ่ สมอ เนื่องจากมีหินใตน้ ้าและเกาะแกง่ ท่ีคดเค้ยี วซึ่งเป็นอันตราย
ต่อการเดินเรือ มีปรากฏอยู่เสมอว่าสินค้าได้รับความเสียหายหมด ดังนั้น ด้วยความกลัว พ่อค้าเปล่า
นั่นจึงหาวิธีการกระจายความเส่ียงภัยออกไป โดยนาสินค้าของตนบรรทุกไว้ในเรือลาอ่ืนหลายลา
เฉล่ียกันไปจนครบหีบห่อสินค้า ซึ่งถ้าเรือลาใดลาหน่ึงจมลง ก็หมายความว่า สินค้าของพ่อค้าแตล่ ะคน
สูญเสียเพียงคนละ 1 หีบห่อเท่านั้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้เป็นท่ีมาของการประกันภัยในปัจจุบัน
ราวก่อนศตวรรษท่ี 13 และปรากฏว่ามีการประกันภัยทางทะเลกันอย่างแพร่หลายตามเมืองต่างๆ
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน สัญญาการประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลฉบับแรกของโลกเท่าท่ีมี
ปรากฏเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบันน้ี คือ แบบลงวันท่ี 23 ตุลาคม ค.ศ. 1347 ออกให้ ณ เมืองเจนัว
ประเทศอิตาลี

การประกันภัยทางทะเลมีต้นกาเนิดท่ีกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่วนสัญญาประกันภัย
ฉบับแรกของอังกฤษ เท่าท่ีปรากฏตามหลักฐานซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ถึงปัจจุบัน คือ “Broke Sea
Insurance Policy” ปี ค.ศ. 1547 วิธีทาประกันภัยสมัยน้ันคือเจ้าของเรือ หรือพ่อค้าท่ีต้องการซ้ือ
ประกันภัยจะทาบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่างๆ ทจี่ ะบรรทุกลงเรือ ใต้รายการเหล่านี้ นายธนาคาร
หรือบุคคลอื่นๆ ท่ีประสงค์จะรับประกันภัยจะลงช่ือพร้อมกับระบุจานวนเงินท่ีตนจะรับเสี่ยงแล้วลง
ลายมือช่ือไว้ (และนี่คือท่ีมาของคาว่า Underwriter) และเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเข้ารับเสี่ยงภัย
ผลู้ งนามข้างใต้ (Underwriter) แต่ละคนจะไดร้ บั ค่าตอบแทน เรยี กว่า เบ้ยี ประกันภัย

ในช่วงเวลาน้ัน สัญญาประกันภัยส่วนมากเป็น สัญญาประกันภัยทางทะเล ต่อมาก็ขยาย
ออกไปคุ้มครองถึงการเสียชีวิตของนายเรือและลูกเรือ รวมทั้งพ่อค้าที่คุมสินค้าไปกับเรือตลอดจน
คมุ้ ครองจานวนเงนิ ทีจ่ ะเปน็ ค่าไถ่ตัวเมื่อถูกโจรสลัดจับตวั ด้วย

การประกันภัยในประเทศไทย
ไม่ปรากฏหลกั ฐานชันเจนว่าการประกันภัยเข้ามาในประเทศไทยในสมัยใด สันนิษฐานว่าเข้า
มาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งช่วงเวลาน้ันประเทศไทยมีความเจริยรุ่งเรืองด้านการค้าขายกับชาว
ตา่ งประเทศโดยเฉพาะชาวยุโรป ในสมัยน้ันประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่นปิดประเทสไม่ค้าขายกับชาว
ยุโรป กรุงศรีอยุธยาจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้า พ่อค้าชาวกรุงศรีอยุธยามีเรื่องใบสาหรับข่นส่ง
สินค้า ค้าขายโดยตรงกบั ประเทศญี่ปุ่น การค้าในสมัยนั้นใชเ้ รือสาเภาบรรทุกสินค้า เพ่ือประกันความ
เสียหายระหว่าการเดินทาง ชาวต่างชาติท่ีเข้ามาทาการค้าจึงร่วมมือกันดาเนินการเกี่ยวกับการ
ประกนั ภัย โดยเฉพาะการประกนั ภัยทางทะเลและการขน่ ส่ง
ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์มีหลกั ฐานทป่ี รากฏเกย่ี วกบั การประกนั ภัย ดังน้ี
สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระน่ังเก้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่ังซ้ือเครื่องพิมพ์ดีดจากประเทศ
อังกฤษ เกรงวา่ จะเกดิ ความเสียหายในระหวา่ งการขนส่ง จึงประกนั ภัยการขนสง่ ไว้
สมัยรัชกาลที่ 4 จากหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีกิจการการประกันภัยของชาวต่างชาติเข้ามา
เปดิ กิจการในฐานะตวั แทนของบรษิ ทั ตา่ งประเทศ
สมัยร้ัชกาลท่ี 5 ประเทศอังกฤษขอพระบรมราชานุญาตขยายกิจการค้ามายังประเทศไทย
และในขณะน้ัน บริษัท อีสต์เอเชียติก จากัด ซ่ึงเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท Equitable
Insurance Co., Ltd. ได้เข้าเข้ามาเสนอขายประกันแบบตลอดชีพ และต่อมาบริษัท อีสต์เอเซียติก
จากัด ได้เสนอขอพระบรมราชานุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต เม่ือคณทูตได้นาความกราบบังคม

ทูลพระกรุณาและช้ีแจงรายละเอียด ขณะนั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงค์ เอกอัครเสนาบดี
ได้ร่วมปรึกษาอยู่ด้วย พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพนะราชทานพระบรม
ราชานุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยได้โดยให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้เอา
ประกนั คนแรกของประเทศไทย

สมัยรัชกาลท่ี 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีธุรกิจการประกันภัยเกิดขึ้น
แพรห่ ลาย จึงได้ดาเนินการเก่ียวกับพระราชบัญญตั ิและออกประกาศเงื่อนไขควบคุมธุรกิจประกยั ชวี ิต
พ.ศ. 2472 และเง่ือนไขควบคมุ ธรุ กจิ ประกันอัคคีภยั พ.ศ. 2472 ถอื ได้วา่ เป็นจดุ เร่ิมต้นของการกากับ
ดแู ลธุรกิจประกันภัย โดยมี กองประกนั ภยั เกิดขึ้นเมอ่ื วันที่ 16 สงิ หาคม 2472

เร่ิมแรกกองการประกันภัยอยู่ภายใต้สังกัดสานักปลัดกระทรวงพาณิชยื และคมนาคม
มีหน้าที่จะทะเบียนและควบคุมการดาเนินงานของกิจการประกอบธุรกิจประกันภัย ต่อมา
ปี พ.ศ. 2476 เปลี่ยนชื่อเป็น แผนกควบคุมบริษัทประกันภัย สังกัดกรมทะเบียนการค้า กระทรวง
เศรษฐการ และภายหลังเปล่ียนชื่อกลับมาเป็น กองการประกันภัย และในปี พ.ศ. 2510 ได้มีพราะ
ราชบญั ญัตปิ ระกันวนิ าศภัย พ.ศ. 2510 และพระราชบญั ญตั ปิ ระกันชีวติ พ.ศ. 2510 จัดเปน็ กฎหมาย
ควบคุมธุรกิจประกันภัยฉบับแรก ที่นาเอา หลักเกณพ์และแนวทางสากลมาใช้ ในปี
พ.ศ. 2515 กองการประกันภยั ไดเ้ ปล่ียนช่ือมาเปน็ สานักงานประกันภยั และเปล่ียนมาเปน็ กรมการ
ประกันภัย เม่ือวันท่ี 23 มิถุนายน พ.ศ. 2533 ปัจจุบันกรมการประกันภัยเป็นหน่วยงานราชการ
สงั กดั กระทรวงพาณิชย์ ตง้ั อยู่ตาบลบางกระสอ จงั หวดั นนทบุรี

การรเิ รม่ิ ก่อต้ังบริษทั ประกนั ภัยของคนไทย
ในปี พ.ศ. 2472 มีบริษัทประกันภัยของคนไทย คือ บริษัท เตียอัน เป๋าเฮียม จากัด เกิดข้ึน
เป็นบริษัทแรก และมีบริษัทประกันภัยท่ีเกิดขึ้นตามมา ได้แก่ บริษัทเซ่งเชียงหลีประกันภัยธนากิจ
และพาณิชยการ จากดั บริษทั ชียงอานรบั ประกนั ภัยอคั คีภัยและอุทกภัย จากัด ซง่ึ ลว้ นแต่เป็นบรษิ ัท
ประกนั วินาศภัยท้ังสิน้
4. ประโยชน์ของการประกันภัย
ประโยชน์ของการประกันภยั แยกพจิ ารณาไดด้ ังนี้
1. ประโยชนต์ ่อผู้เอาประกนั สามารถจาแนกเปน็ ขอ้ ๆ ไดด้ ังนี้

1.1 ผู้เอาประกันหรือผู้นาชีวติหรือทรัพย์สินไปทาประกันจะได้รับประโยชน์โดยตรงท่ีเห็น
ผลได้อย่างชัดเจน คือเม่ือเกิดความเสียหายข้ึนต่อทรัพย์สินที่นาไปทาประกัน ก็จะได้รับผลประโยชน์
โดยสมาชิกในกลุ่มร่วมกันเฉลี่ยความรับผิดชอบในความเสียหายให้ผู้เอาประกันได้ บรรเทาความ
เดอื ดรอ้ น ในส่วนของการประกนั ชวี ติ เม่ือเกิดความเสยี หายหรอื สญู เสยี ชีวิตของ ผูเ้ อาประกัน ทายาท
ที่อยขู่ ้างหลังก็จะได้เงินกอ้ นหน่ึงมาบรรเทาความเดือดร้อนเช่นเดียวกนั

1.2 เสริมสร้างนิสัยประหยัดและส่งเสริมการเก็บออม เมื่อเริ่มทาประกันผู้เอาประกัน
จะต้องส่งเงินจานวนหน่ึงให้กับบริษัทรับประกันเพื่อให้เกิดความคุ้มครอง ดังนั้นผู้เอาประกันจึงต้อง
มกี ารวางแผนด้านการใช้เงิน รู้จกั เก็บออมเพือ่ ใหเ้ หลือเงินจานวนหน่ึงไว้รองรบั ค่าใช้จ่ายดงั กลา่ วส่วน
ในเร่ืองของผลตอบแทน การประกันชีวิตบางประเภทเมื่อส่งเบ้ียประกันไปได้ระยะหน่ึงจนครบ
กาหนดสัญญากจ็ ะได้รับผลประโยชน์กลับคืนมา ทาให้มีเงินก้อนสาหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน ยามชรา
หรอื ยามที่หัวหน้าครอบครัวเสียชวี ติ

2. ประโยชน์โดยตรงต่อการดาเนินธุรกิจการค้า เม่ือกิจการค้ามีการประกันภัยก่อให้เกิด
ประโยชนด์ ังนี้

2.1 ช่วยให้ธุรกิจเกิดความม่ันคง หากกิจกรรมไม่ได้ทาประกันไว้ เม่ือเกิดภัยขึ้นกิจการ
จะต้องรับผิดชอบความเสียที่เกิดข้ึนน้ันเพียงผู้เดียว ในทางตรงกันข้าม หากกิจการได้มี การทา
ประกันภัย เมื่อเกิดภัยขึ้นก็จะได้รับเงินทดแทนมาช่วยบรรเทาทุกข์ สามารถสร้างกิจการ ให้กลับมา
เหมือนเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น การประกันภัยจึงช่วยให้เกิดความม่ันคงในการ ประกอบธุรกิจได้
เป็นอย่างดี

2.2 ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการดาเนินธุรกิจ การประกันภัยเป็นการโอนภาระการเสียง
ให้ผู้อื่นได้ร่วมกันรับผิดชอบ ผู้บริหารจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภัยท่ีอาจจะเกิดข้ึนต่อกิจการ ทาให้
มเี วลาที่จะไปสรา้ งสรรค์งานด้านการบริหารให้มีประสิทธภิ าพมากยง่ิ ขึ้น

2.3 ช่วยให้เกิดเสถียรภาพด้านต้นทุนการผลิต นักธุรกิจย่อมท่ีจะรับรู้ถึงการเส่ียงภัย
ในการดาเนินกิจการจึงต้องหาวิธีการมาจัดการกับความเสี่ยงภัยน้ัน เช่น เมื่อเจ้าของกิจการเกรงว่า
สินค้าจะสูญหาย หรือถูกโจรกรรม จึงตอ้ งตัดสินใจ ว่าจะหาวิธีการมาจัดการกับภัยที่อาจจะเกิดข้ึนได้
อย่างไรวิธีหนึ่งคือการทาประกันภัย หากมองในแง่เสถียรภาพแล้ว การทาประกันภัยจะทาให้เกิด
เสถยี รภาพหรือความแน่นอนในต้นทุนการผลิตมากกว่า เน่อื งจากการจ่ายค่าค้มุ ครองหรือเบ้ียประกัน
ไมว่ ่าภยั จะเกิดข้ึนหรือไมเ่ กดิ ขน้ึ กจ็ ะเป็นจานวนที่เท่ากันและ ตายตวั ตามทต่ี กลงกนั ไว้

2.4 ช่วยในการขยายเครดิต เม่ือกิจการต้องการขยายกิจการ อาจต้องมีการกู้ยืมเงิน
จากสถาบนั การเงิน หากสถาบันการเงินทราบว่ากิจการได้มกี ารทาประกนั ภยั ไว้แลว้ ยอ่ มทจี่ ะ พิจารณา
อนุมัติให้กู้ง่ายกว่ากิจการที่ไม่ได้ทาประกันภัย หรือกรณีของบุคคลที่ต้องขอกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ ที่อยู่
อาศัย หากได้มีการทาวินาศภัยให้กับทรัพย์สินที่อยู่อาศัยน้ันแล้ว ความเสี่ยงภัยด้านหนี้สูญ
มนี อ้ ยลง สถาบนั การเงินจงึ ยินดที จ่ี ะอนุมตั ิเงินกู้

2.5 ช่วยสง่ เสริมธุรกิจบางประเภทใหก้ ้าวหน้า ธรุ กิจบางประเภทต้องเผชิญกับ ความเส่ียง
ภัยมากๆ เช่น ธุรกิจการขนส่งสินค้าจากประเทศหน่ึงไปยังอีกประเทศหน่ึง เป็นต้น การ ขนส่งที่มี
ระยะทางไกล หรือการขนส่งทต่ี อ้ งใช้เวลานานย่อมเสี่ยงภยั มากกว่า ดังน้นั เมอ่ื ผู้ประกอบ การได้มีการ
ทาประกันภยั ไว้ ทาใหม้ ีผเู้ ข้ามารว่ มรับภาระความเส่ียง กิจการกจ็ ะสามารถดาเนนิ ต่อ ไปได้

3. ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม การประกันภัยก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
และสังคม ดังตอ่ ไปน้ี

3.1 ช่วยระดมทุนเพ่ือพัฒนาประเทศ บริษัทประกันภัยเป็นสถาบันหนึ่งที่มีส่วนช่วย
ในการระดมทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ กล่าวคือเม่ือผู้เอาประกันทาประกันภัย ก็จะต้องจ่ายค่าเบ้ีย
ประกันให้แก่บริษัท เม่ือรวมกันหลายๆ รายทาให้บริษัทประกันภัยมีจานวนเงินมากมายมหาศาล
ซ่ึงบริษัทอาจแบ่งเงินจานวนนี้ โดยส่วนหน่ึงสารองไว้สาหรับภัยพิบัติท่ีอาจจะเกิดขึ้น อีกส่วนหน่ึง
อาจนาไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อหุ้นกู้ เป็นต้น จากการลงทุน
ในรูปแบบต่างๆ นี้ทาให้ภาครัฐบาลและเอกชนได้มีเงินทุนสาหรับการขยายกิจการ ซ่ึงจะส่งผลดี
ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

3.2 ช่วยลดภาระแก่สังคมและรัฐบาล การประกันภัยช่วยให้บุคคลมีความม่ันคงใน
ชีวิตมากขึ้น เช่น บางครอบครัวเมื่อหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต หากได้มีการทาประกันชีวิตไว้ผู้ท่ี

อยู่ข้างหลังก็จะได้เงินก้อนหน่ึงมาใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวิตต่อไป ไม่ต้องก่ออาชญากรรม
ลักขโมย ให้เปน็ ภาระของรัฐบาลท่ีจะต้องแก้ไข
5. คาศพั ทท์ คี่ วรทราบเกี่ยวกับการประกนั ภัย

คาศัพทท์ เ่ี กี่ยวขอ้ งกับการประกนั ภยั ทตี่ อ้ งทราบรายละเอียด มดี ังต่อไปน้ี
1. ผู้เอาประกันภัย (The Insured) คือ ผู้เอาประกันเป็นคู่สัญญาฝ่ายท่ีต้องส่งเงินจานวน
หน่ึงตามท่ีตกลงกันไว้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้เอาประกัน คอื ผทู้ ี่นาเอาชีวติ และร่างกาย หรือทรัพย์สิน
ไปทาประกันนั่นเอง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ สรปุ หน้าทแี่ ละสทิ ธิของผูเ้ อาประกันไว้
ดงั ตอ่ ไปนี้
หน้าทขี่ องผ้เู อาประกนั ภยั
1. เปดิ เผยข้อความจริง
2. ชาระเบีย้ ประกัน
3. ปอ้ งกนั รักษาทรพั ย์ทเี่ อาประกนั
4. บอกกล่าวการเกดิ วนิ าศภยั
สิทธขิ องผเู้ อาประกันภยั
1. สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือจานวนเงินตามท่ีตกลงกันไว้ในสัญญาหรือ
กรณีทีเ่ กดิ วนิ าศภยั ขน้ึ เพราะเหตใุ ดเหตหุ น่งึ ตามสญั ญา
2. สิทธิในการลดเบ้ียประกันภัย เมื่อทาประกันภัยหากทรัพย์สินอยู่ในภาวะที่เสี่ยงมาก
ย่อมเสียค่าเบี้ยประกันสูง หากต่อมาภาวะความเสี่ยงของทรัพย์สินน้ันมีน้อยลง ผู้เอาประกันภัย
ยอ่ มขอลดค่าเบย้ี ประกนั ลงได้
3. สิทธิในการบอกเลิกสัญญา หากผู้เอาประกันภัยไม่ประสงค์จะโอนความเส่ียงภัยให้กับ
ผู้รับประกันภัยอีกต่อไป ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตัวอย่างเช่น การประกันภัยรถยนต์ หากผู้เอา
ประกันภัยต้องการจะยกเลิกสัญญาก็แจ้งผู้รับประกันภัยเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีสิทธิได้รับ
ค่าเบ้ียประกันคืนอีกด้วย กรณีของการประกันชีวิต ผู้เอาประกันภัยสามารถยกเลิกสัญญาได้ด้วยการ
งดส่งเบ้ียประกัน หากผู้เอาประกันภัยได้ส่งเบ้ียประกันมาแล้วอย่างน้อยเป็นเวลา 3 ปี ก็มีสิทธิได้รับ
เงนิ คา่ เวนคืนกรมธรรม์ประกันภัยจากผรู้ บั ประกันภยั ดว้ ย
2. ผู้รับประกันภัย (The Insurer) คือ คู่สัญญาที่มีภาระแห่งนี้ท่ีจะต้องผูกพันกับสัญญา
ประกนั ภยั ซ่งึ มีหนา้ ท่แี ละสทิ ธิ ดังต่อไปนี้
หนา้ ที่ของผู้รับประกันภัย
1. ใช้ความระมัดระวังในการทาประกันภัย ผู้รับประกันภัยเป็นผู้รับโอนความเส่ียงภัยจาก
ผู้เอาประกันภัย ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่มีความฉลาดรอบคอบ ที่จะรับฟังข้อความจริงจากผู้เอา
ประกนั ภยั
2. ส่งมอบกรมธรรม์ เมื่อมีการประกันภัย ผู้รับประกนั ภัยจึงต้องส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย
ท่ีมขี อ้ ความตกลงกันตามสัญญา ใหแ้ ก่ผเู้ อาประกันภยั
3. คืนเบ้ียประกันภัย ผู้รับประกันภัยจะคืนค่าเบี้ยประกันแก่ผู้เอาประกันภัยได้หลายกรณี
ด้วยกนั เช่น การบอกเลกิ การลดค่าเบี้ยประกนั ของผ้เู อาประกันภยั เป็นต้น

4. สารวจความเสียหาย เมอ่ื เกดิ ภัยข้ึนผู้รบั ประกนั ภัยจะตอ้ งพิสูจนจ์ านวนของความ เสยี หาย
ทเี่ กิดขึ้นและชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนไปตามจานวนของวินาศภยั นน้ั

5. จ่ายค่าสินไหมทดแทน เมื่อได้มีการสารวจความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้รับประกันภัย
กจ็ ะต้องชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตามจานวนทเี่ สยี หายจริงแตไ่ ม่เกินกว่าจานวนที่ตกลงกนั ไว้

สทิ ธขิ องผรู้ บั ประกันภัย
1. สิทธิท่ีจะได้รับค่าเบ้ียประกัน เม่ือเร่ิมมีการทาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่าย
ค่าเบ้ียประกันทันที โดยไม่คานึงวา่ ภยั จะเกิดขึ้นหรือไม่
2. ขอลดจานวนค่าสินไหมทดแทน เม่ือผู้รับประกันภัยพิสูจน์ได้ว่า จานวนเงินที่ขอเอา
ประกันมีมูลค่าสูงเกินกว่าราคาทรัพย์สินท่ีแท้จริงผู้รับประกันภัยจะต้องลดจานวนเงินค่าสินไหม
ทดแทนที่จะต้องจ่ายลง ซึ่งในกรณีเช่นน้ีผู้รับประกันภัยก็จะต้องคืนค่าเบี้ยประกันให้ผู้เอาประกันภัย
ตามสว่ นพร้อมดอกเบีย้ ด้วย
3. ปฏิเสธการรับผิดชอบตามสัญญา ผู้รับประกันภัยมีสิทธิท่ีจะปฏิเสธการรับผิดชอบเมื่อ
ทราบวา่ สาเหตุแห่งการเกดิ วนิ าศภยั มาจากการประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรงของผูเ้ อาประกนั
4. สิทธิเลิกสัญญา ผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา เม่ือผู้เอาประกันมือ , แต่จะต้อง
ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญา โดยผู้รับประกันภัยอาจบอกเลิกสัก ประกันภัยไม่ได้ชาระเบี้ยประกัน
ก็ได้
5. สิทธิในการรับช่วงสิทธิ ซ่ึงเป็นหลักสาคัญในสัญญาประกันวินาศภัยการรับช่วงสิทธิ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 บัญญัติไว้ว่า ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้น เพราะ
การกระทาของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ไปจานวนเพียงใด
ผรู้ ับประกนั ภยั ย่อมเขา้ รับช่วงสทิ ธขิ องผู้เอาประกันภยั และของผรู้ ับประโยชน์ นอกเพียงนนั้
3. ผู้รับประโยชน์ (Beneficiary) คือ บุคคลภายนอกสัญญาประกันภัยท่ีผู้เอาประกันภัย
และผู้รับประกันภัยตกลงกันว่าจะให้เป็นผู้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดภัยขึ้น ในการประกันวินาศภัย
ผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประโยชน์อาจเป็นบุคคลคนเดียวกันได้ ในส่วนของการประกันชีวิตนั้น ผู้เอา
ประกันภัยจะเปน็ บคุ คลคนเดยี วกนั ไม่ได้ จะต้องกาหนดผรู้ ับประโยชนอ์ ย่างชดั เจน
4. ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทาของผู้เอาประกัน (The Injured Person)
คือ บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายเน่ืองจากการกระทาของผู้เอาประกันภัย บุคคลภายนอกนี้
มีสิทธิท่ีจะเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภยั ของผู้รับประกนั ภยั โดยตรง และตอ้ งเป็น
ทาการประกันวินาศภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น และผู้รับประกันภัยจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแกบ่ ุคคลภายนอกน้นั แทนผเู้ อาประกนั ภยั
5. กรมธรรม์ประกันภัย (Policy) คือ หลักฐานแห่งสัญญาประกันภัยที่มีเนื้อความตรงกับ
เจตนาของคสู่ ญั ญาทั้งสองฝ่าย ในกรมธรรมป์ ระกันภัยจะต้อลงลายมอื ชื่อผูร้ บั ประกนั ภัยเอาไวด้ ้วย
6. เบี้ยประกันภัย (Premium) คือ เป็นจานวนเงินท่ีฝ่ายผู้เอาประกนั ภัยจะตอ้ งจา่ ยแก่ผู้รับ
ประกันภยั เป็นสญั ญาต่างตอบแทนว่าผรู้ ับประกนั ภัยสัญญาวา่ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหากเกิดขึ้น
ต่อส่ิงท่ีนามาทาประกัน อัตราค่าเบี้ยประกันจะมากหรือน้อยนั้นจะต้องมีการคิดคานวณจากข้อมูล
ตัวเลขของการเกดิ ความเสยี หาย ความเสย่ี งภยั ความคาดหมายและผลความเปน้ จริงทเี่ กิดข้ึน

7. ค่าสินไหมทดแทน (Indemnity) คือ จานวนเงินที่ฝา่ ยผู้รับประกันภัยตกลงจะจ่ายให้แก่
ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ เม่ือเกิดภัยข้ึนต่อส่ิงท่ีนาไปทาประกันภัย การชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนมกั จะจา่ ยตามความเสียหายจริงแตไ่ ม่เกินจานวนเงนิ ทเ่ี อาประกัน

8. จานวนเงินที่เอาประกันภัย (Sum Insured) คือ จานวนเงินที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
ประกันภัยว่า หากเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายขึ้น ภายในระยะเวลาที่สัญญาประกันภัยมีผล
บังคบั ผู้รับประกันภยั จะชดใช้คา่ สินไหมทดแทนตามสัญญา

9. ค่าบาเหน็จตอบแทน (Commission) คือ จานวนเงินท่ีบริษัทผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่
บุคคลท่เี ปน็ นายหน้า ตามอตั ราท่ีกฎหมายกาหนด

10. ตัวแทนประกันภัย (Agents) นายหน้าประกันภัย (Brokerage) คือ เป็นผู้ที่บริษัท
ประกันภัยมอบหมายให้ทาการชักชวนให้บุคคลทาสัญญาประกันภัย มีสิทธิในการรับค่าเบี้ยประกัน
แล้วนามาส่งยังบริษัทผู้รับประกันภัย ส่วน นายหน้าประกันภัย คือ ผู้ที่บริษัทมอบหมายให้ทาการ
ชกั ชวนให้บคุ คลทาสญั ญาประกันภัยเทา่ นน้ั

ใบความรู้

รหัสวิชา 2202 – 2107 ชื่อวชิ า การประกนั ภยั
หน่วยท่ี 2 สัญญาประกนั ภยั สอนคร้ังท่ี 3-4 ช่วั โมงที่ 9-20
ช่ือเร่อื ง สัญญาประกันภยั
จานวน 12 ช่ัวโมง

1. สาระสาคญั
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาท่ีประกอบไปด้วย บุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหน่ึงตกลงจะใช้เงิน

จานวนหนึ่งให้ในกรณีเกิดวินาศภัย หรือเหตุอย่างใดอย่างหน่ึงในอนาคตซึ่งเป็นเหตุท่ีได้ระบุไว้ใน
สญั ญา และอกี ฝ่ายหนงึ่ ตกลงจะสง่ เงนิ ทีเ่ รียกวา่ เบยี้ ประกัน การตกลงนีถ้ า้ เป็นการตกลงด้วยวาจาจะ
ไม่มีผลต่อการฟ้องร้อง เนื่องจากขาดการลงช่ือของทั้งสองฝ่าย ดังน้ัน กฎหมายจึต้องบัญญัติให้ฝ่าย
ผรู้ ับประกันภัยตอ้ งออกกรมธรรม์ประกันภัยแก่ผู้เอาประกนั ข้อความในกรมมธรรม์ตอ้ งมสี าระสาคัญ
ท่ีบ่งบอกหน้าที่ของคู่สัญญาท้ังสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ตลอดจนการทา
สัญญาประกันภัยนั้นต้องมีหลักเกณฑ์ต่างๆ ท่ีต้องเป็นไปตามบทบัญญัติตามกฎหมาย และต้องมีการ
ลงลายมือชือ่ ผู้รบั ประกนั ภยั ดว้ ย

2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
2.1 จุดประสงคท์ ว่ั ไป
เพ่ือให้ผเู้ รียนมีความร้คู วามเขา้ ใจเกี่ยวกับสัญญาประกนั ภยั
2.2 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
2.2.1 บอกความหมายของสญั ญาประกนั ภยั ได้
2.2.2 บอกประเภทของสัญญาประกันภัยได้
2.2.3 บอกบุคคลท่เี กย่ี วข้องในสญั ญาประกนั ภัยได้
2.2.4 อธิบายสาระสาคัญของสัญญาประกนั ภัยได้

2.2.5 อธบิ ายสว่ นได้เสียในสญั ญาประกันภยั ได้
2.2.6 อธบิ ายหลักเกณฑใ์ นการทาสญั ญาประกนั ภยั ได้

2.2.7 อธบิ ายลกั ษณะพเิ ศษของสญั ญาประกนั ภัยได้
2.2.8 อธบิ ายข้อแตกตา่ งของสัญญาประกนั ภยั กบั สัญญาอื่นๆ ได้

3. สมรรถนะประจาหนว่ ยการเรยี นรู้
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับประเภทของสัญญาประกนั ภัยได้
2. แสดงเจตคตทิ ี่ดีและกจิ นิสยั ทดี่ ตี อ่ การศึกษาการประกันภยั

4. สาระการเรียนรู้
1. ความหมายของสัญญาประกนั ภัย

สัญญาประกันภัย หมายถึง สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงิน
จานวนหน่ึงให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอ่ืนในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา และ
ในการนี้บคุ คลอกี คนหนึง่ ตกลงจะส่งเงนิ ซึ่งเรียกว่า เบ้ียประกันภัย

2. ประเภทของสัญญาประกนั ภัย
1. สัญญาประกันวินาศภัย หมายถึง สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ให้ในกรณีวินาศภัยเกิดข้ึน และในการนี้บุคคลอีกคนหน่ึงตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบ้ียประกันภัย
จากความหมายดังกล่าวสามารถสรุปสาระสาคญั ของสัญญาประกันวนิ าศภยั ไดด้ งั น้ี

1.1 ฝ่ายท่ีจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนคือผู้รับประกันภัย โดยจะจ่ายให้เป็นจานวนเงิน
ตามความเสียหายที่เกิดข้ึนจริงแต่ไม่เกินจานวนเงินที่ตกลงกันไว้ และนอกจากจะจ่ายเป็นจานวนเงิน
แล้วยังสามารถชดใชด้ ้วยวิธีอื่นได้อกี ไดแ้ ก่ การซอ่ มแซมใหท้ รัพย์สินนน้ั กลับคืนสภาพเดิม หรือชดใช้
เป็นทรัพย์ชนิดเดียวกันกับท่ีเสียหายไป ซึ่งในการชดใช้เหล่านี้เป็นการชดใช้ตามที่ เสียหายจริง มิได้
เป็นการคา้ กาไร

1.2 เงื่อนไขแห่งการใช้เงินคือมีเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในอนาคต อันเป็นวินาศภัย แสดงให้
เห็นลักษณะไม่แน่นอนของหน้ขี องฝา่ ยผู้รับประกันภัยว่าจะเกิดข้ึนหรือไม่ แต่หนข้ี องผู้เอา ประกนั ภัย

คือค่าเบ้ียประกันนั้นเกิดข้ึนแน่นอน ตัวอย่างเช่น นายธันวานาบ้านไปทาประกันอัคคีภัย นายธันวา
จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเม่ือเกิดวินาศภัยหรือเมื่อบ้านถูกไฟไหม้ หากไม่เกิดวินาศภัย ก็จะไม่ได้
แต่ท่ีแน่นอนคอื เมอ่ื นายธนั วาเริ่มทาประกันนายธันวาจะต้องจา่ ยคา่ เบ้ยี ประกนั

2. สัญญาประกันชีวิต หมายถึง สัญญาประกันภัยอันกาหนดจานวนเงินแน่นอน คือ
เป็นสัญญาซ่ึงบุคคลหน่งึ ตกลงใชเ้ งินจานวนหนงึ่ ให้ในเหตุอย่างอน่ื (ความตาย) ในอนาคตดังระบุ ไว้ใน
สัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า ค่าเบี้ยประกัน จากข้อความข้างต้น
มิได้หมายถึงการประกันชีวิตเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการประกันภัย อย่างอ่ืนด้วย เช่น การเกิด
อบุ ตั ิเหตตุ ่อร่างกายจนทาใหบ้ ุคคลนัน้ ถึงตาย พิการ หรือสญู เสียอวัยวะ โดยผูร้ บั ประกนั ภัยตกลงจะใช้
เงินจานวนที่แน่นอนตามทก่ี าหนดไว้ เชน่ หากสญู เสยี แขนทั้งสอง ข้างจะจา่ ยเปน็ เงนิ จานวนหนึง่ หาก
สูญเสยี ตาจะจา่ ย 50% ของจานวนเงินที่เอาประกนั เป็นต้น

3. สัญญาประกันภยั ทางทะเล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 บญั ญัติว่า
“อันสัญญาประกันภัยทางทะเล ท่านให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทางทะเล” หมายความว่า
บทบัญญัติว่าด้วยประกนั ภยั ในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ จะไม่ใชบ้ งั คับ แกส่ ัญญาประกนั ภัย
ทางทะเล ซึ่งความจริงแล้วการประกันภัยทางทะเลเป็นการประกันวินาศภัย ประเภทหน่ึง
แต่เน่ืองจากประเทศไทยยังไมม่ ีการประกันภัยทางทะเลมากนัก เท่าทท่ี ากันอยู่เป็น การติดตอ่ ค้าขาย
ของพ่อค้าท่ีมีคู่ค้าอยู่ต่างประเทศ ไม่จาเป็นต้องบัญญัติเร่ืองนี้ไว้ในมาตรา 868 เก่ียวกับเรื่องการ
ประกันภยั ทางทะเล

3. บุคคลที่เก่ยี วขอ้ งในสญั ญาประกันภยั
1. ผู้รับประกันภัย หมายถึง คู่สัญญาที่ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจานวนหน่ึง

ให้เม่ือเกิดภัยข้ึน ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติ ประกันชีวิต
พ.ศ. 2510 ต้องเป็นบรษิ ัทจากดั

2. ผู้เอาประกันภัย หมายถึง คู่สญั ญาฝ่ายท่ีตกลงจะสง่ เบยี้ ประกันภัย จะเป็นบุคคล ธรรมดา
หรือนิตบิ ุคคลก็ได้ ผู้เอาประกนั ภัยมกั เป็นผู้ยื่นคารอ้ งให้บรษิ ัทประกันภัยพิจารณาวา่ จะรบั ประกันภัย
หรือไม่ ผู้เอาประกันภัยจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความสามารถตามกฎหมาย หากเป็นผู้เยาว์ต้อง ได้รับความ
ยนิ ยอมจากผ้แู ทนโดยชอบธรรม หากเปน็ นติ บิ คุ คลกต็ ้องดาเนนิ การโดยผ้มู อี านาจ กระทาการแทนนิติ
บคุ คลนั้น หรอื โดยตัวแทนของนิตบิ ุคคลนั้น

3. ผู้รับประโยชน์ หมายถึง บุคคลฝ่ายที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือเงินจานวนหนง่ึ หรือ
อาจเป็นตัวของผู้เอาประกันภัยเอง หรืออาจเป็นบุคคลอ่ืนท่ีได้ระบุไว้ในสัญญา เกี่ยวกับสิทธิของผู้รับ
ประโยชนน์ ั้นสามารถแยกพจิ ารณาได้ดงั น้ี

3.1 ในสัญญาประกันภัยระบุให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ สิทธิของบุคคล
ภายนอกนั้นจะเกิดขึ้นเม่ือเขาได้แสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัย และเม่ือเขาได้แสดงเจตนาแล้ว
ผเู้ อาประกนั ภยั จะเปลีย่ นแปลงหรอื ระงบั สทิ ธินั้นภายหลงั ไมไ่ ด้

3.2 กรณที ่ีผรู้ ับประโยชน์เสียชีวติ กอ่ นผู้เอาประกันภัย จะต้องดูว่าผู้รับประโยชนไ์ ด้ มกี าร
แสดงเจตนาจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้วหรือไม่ หากแสดงแล้วสิทธิของผู้รับ
ประโยชน์จะตกแก่ทายาทของผู้รับประโยชน์ หากยังไม่ได้แสดงเจตนา จะถือว่าสิทธิ ของผู้รับ
ประโยชน์นั้นยังไม่เกิด ผู้เอาประกันภัยยังมีสิทธิรับค่าสินไหมทดแทนหรือเป็นมรดกตกทอดไปยัง
ทายาทของผู้เอาประกันภัยตอ่ ไป

3.3 อายุความในการแสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย หากเป็น การ
ประกันวินาศภัยผู้รับประโยชน์ต้องแสดงเจตนาภายใน 2 ปีนับต้ังแต่วันเกิดวินาศภัย แต่ถ้า เป็นกรณี
ประกันชวี ิตจะตอ้ งแสดงเจตนาภายใน 10 ปนี บั แตว่ นั มรณะของผู้เอาประกนั ภัย

4. สาระสาคัญของสัญญาประกันภยั
สญั ญาประกันภัยเป็นสง่ิ ซ่ึงผ้ทู ี่เก่ียวข้องจะต้องปฏิบัติตาม สัญญาประกันภัยมลี ักษณะ พิเศษ

5 ประการ ดังน้ี

1. เป็นสัญญาตา่ งตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 บัญญตั ิวา่

“ในสัญญา ต่างตอบแทนน้นั คู่สัญญาฝา่ ยหน่งึ จะไม่ยอมชาระหนีจ้ นกวายชาระหนี้ แต่ข้อความนท้ี ่าน
มใิ ห้ใช้บังคับถ้าหน้ีของคู่สัญญาอีกฝ่ายยังไมถ่ ึงกาหนด” เมอ่ื เอาประกันภัย และผู้รับประกันภัยต่างมี
เจตนาจะเอาประกันหรือรับประกัน และมีคาเสนอและคาสนอง ที่ถูกต้องตรงกัน สัญญาประกันภัย
ยอ่ มเกดิ ข้ึน โดยเมื่อเร่ิมทาสญั ญาประกันภัย ผู้รับประกันภัยมี สิทธิที่จะเรียกเก็บค่าเบ้ียประกันจากผู้
เอาประกันภัย และเมื่อเกิดภัยขึ้น ผู้เอาประกันภัยก็มีสิทธิท่ี จะเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชาระค่า
สนิ ไหมทดแทนแก่ตน

เก่ียวกบั สัญญาตา่ งตอบแทน มีขอ้ สงั เกต ดังนี้
- เป็นสัญญาทค่ี ู่กรณีทง้ั สองฝ่ายต่างเป็นหนซ้ี ่ึงกนั และกัน หนข้ี องผู้เอาประกันภยั คือ การส่ง
เบี้ยประกัน สว่ นหนขี้ องผรู้ บั ประกันคอื จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรอื เงนิ จานวนหน่ึงเม่อื เกดิ ภัย

- ตามปกติของสัญญาต่างตอบแทนนัน้ หน้ขี องทั้งสองฝา่ ยเปน็ เงอื่ นไขซ่งึ กันและกัน กล่าวคือ
ถ้าฝ่ายหน่ึงไม่ยอมชาระหน้ีของตน อีกฝ่ายหน่ึงก็ย่อมมีสิทธิไม่ชาระหน้ีของตนได้ แต่กรณีของสัญญา
ประกันภัย ผเู้ อาประกนั ภัยจะไม่ส่งเบ้ียประกันโดยอ้างวา่ ผู้รบั ประกันภัยไม่ยอมจา่ ยค่าสินไหมทดแทน
ไม่ได้ เพราะหน้ีของผู้รับประกันมีเงื่อนไขและมีลักษณะท่ีไม่แน่นอนตราบใดท่ียังไม่เกิดภัย หนี้ของ
ผ้รู บั ประกันภัยกย็ งั ไมเ่ กิด แต่หนข้ี องผู้เอาประกนั ภยั นน้ั เกดิ แต่แรก

- เมื่อเกิดสัญญาขึ้นแล้ว ถ้าหน้ีของฝ่ายหนึ่งตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุพฤติการณ์ท่ีโทษฝ่าย
นัน้ ไมไ่ ด้ หนข้ี องอีกฝ่ายหนึง่ ก็เป็นอันพ้นไป คือ ฝ่ายแรกไมม่ สี ทิ ธไิ ด้รบั ชาระหนต้ี อบแทน

2. เป็นสัญญาท่ีมีผลบังคับไม่แน่นอน กล่าวคือเม่ือผู้เอาประกันภัยได้จ่ายค่าเบียประกัน
ไปแล้วก็มิใช่ว่าจะได้รับผลตอบแทนตามท่ีหวังไว้ หากไม่เกิดภัยขึ้นก็จะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน
เช่นเดียวกับฝ่ายของผู้รับประกันภัย เม่ือได้รับค่าเบ้ียประกันไปแล้วก็มิใช่ว่าจะนามาใช้ประโยชน์
ได้อย่างเต็มที่ เพราะอาจจะต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีเหตุการณ์เกิดข้ึน จึงจัดว่าผลบังคับ
ของสัญญาน้ันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายบางท่านเรียกว่าเป็นสัญญาเสี่ยงโชค
หรือเสีย่ งภัย

3. เป็นสัญญาที่ต้องการความซ่ือสัตย์อย่างยิ่ง ตามธรรมดาสัญญาทั่วๆ ไปต้องอาศัย
ความซ่ือสัตย์ สุจริตของคู่สัญญาอยู่แล้ว ซึ่งหากทาสัญญาแล้วฝ่ายหน่ึงไม่ซ่ือสัตย์ จะถือเป็นการฉ้อฉลได้
และจะทาให้สัญญาน้ันเป็นโมฆยะ ในการทาสัญญาประกันภัยต้องการความซ่ือสัตย์ย่ิงกว่าน้ัน การที่
ผู้เอาประกันภัยไม่ยอมเปิดเผยความจริงท้ังหมด เน่ืองจากเกรงว่าจะส่งผลทาให้ค่าเบ้ีย ประกันสูงข้ึน
หรือผ้รู บั ประกันภัยอาจไมร่ ับทาประกันเลย เม่อื ความจรงิ ปรากฏขึน้ สัญญานน้ั จะตก เปน็ โมฆียะได้

4. เป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ สัญญาประกันภัยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 867
ว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มหี ลักฐานเป็นหนังสอื อย่างใดอย่างหน่ึง ลงลายมือชือ่ ฝ่ายทตี่ ้อง
รับผดิ หรอื ลายมือช่อื ตวั แทนของฝา่ ยน้นั เป็นสาคัญ ท่านวา่ จะฟอ้ งรอ้ งให้บังคบั คดีหาได้ ไม่” กฎหมาย
ต้องการเพียงแต่ว่า ให้มีหลักฐานเป็นลายมือชื่อของฝ่ายท่ีจะต้องรับผิด มิฉะนั้นจะนาคดีมาฟ้องร้อง
กันไม่ได้ ในทางปฏิบัติเม่ือผู้เอาประกันภัยประสงค์จะทาประกันละ ต้องส่งใบคาขอเอาประกันแสดง
รายละเอียดต่างๆ ของสิ่งทจ่ี ะนามาทาประกันเสนอใหบ้ รี ประกันภัยพิจารณาว่าสมควรจะรับประกัน
หรือไม่ หากพิจารณาแล้วสมควรจะยอมรับประกัน จึงออกกรมธรรม์ประกนั ภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
เปน็ การสนองคาเสนอของผู้เอาประกันภัย

รายการต่างๆ ทีต่ ้องปราฏในกรมธรรมป์ ระกันภยั มดี งั น้ี

1. วัตถุท่ีเอาประกันภัย ได้แก่ ชีวิตของผู้เอาประกันภัยในกรณีท่ีเอาประกันชีวิตของตนเอง
หรือชีวิตของบุคคลที่ถูกเอาประกัน เช่น กรณีท่ีบตรนาชีวิตของบิดา มารดา มาทาประกัน เป็นต้น
นอกจากนีวตั ถทุ ี่เอาประกันในการประกันวนิ าศภัย ไดแ้ ก่ บา้ น รถยนต์ เป็นตน้

2. ภยั ซ่งึ ผู้รับประกนั ภยั รบั เสยี่ ง คือเงื่อนไขแหง่ การจา่ ยคา่ สินไหมทดแทนเม่ือเกิดภัยแกว่ ัตถุ
หรือชีวิตท่ีเอาประกันภัยไว้ เช่น เม่ือไฟไหม้หรือน้าท่วมทาลายทรัพย์สินที่นามาทาประกัน เมื่อเกิด
เหตทุ ่ีทาให้ผเู้ อาประกันภยั เสยี ชวี ติ เปน็ ต้น

3. ราคาแห่งมูลประกันภัย คือราคาของส่วนได้เสีย หรือมูลค่าของวัตถุที่เอาประกันภัย หาก
คู่กรณที ั้งสองฝ่ายตกลงกนั แลว้ กจ็ ะระบุไวใ้ นกรมธรรม์ประกันภัย แตอ่ าจไมม่ กี ารระบกุ ็ได้ การกาหนด
ราคามูลค่าแห่งการประกันภัยหากสงเกินกว่าความเป็นจริง เม่ือผู้รับประกันภัยมาทราบ ภายหลัง
ก็จะตอ้ งขอลดจานวนคา่ สนิ ไหมทดแทนลง โดยคืนเบย้ี ประกันภัยตามส่วนพร้อมดอกเบี้ย การกาหนด
ราคาแหง่ มลู ประกนั ภัยตา่ มักจะไม่เกดิ ขึน้ เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดแกผ่ ูเ้ อาประกันภัยเลย

4. จานวนเงินซึ่งเอาประกัน คือจานวนเงินท่ีกาหนดไว้เพ่ือผู้รับประกันภัยจะต้องใช้หาก
เกิดภัยตามท่รี บั เสยี ง จานวนเงนิ ที่เอาประกนั ภยั นีจ้ ะมมี ลู ค่าไมเ่ กนิ ราคาแห่งมูลประกนั ภัย

5. จานวนเบ้ียประกันและวิธีการส่งเบ้ียประกัน เบี้ยประกันคือจานวนเงินที่ผู้เอาประกันภัย
จะต้องจ่ายเมอ่ื เร่ิมทาประกนั ภัยเป็นการตอบแทนการรบั เสีย่ ง โดยจะจา่ ยงวดเดยี วหรอื หลายงวดก็ได้

6. ถ้าหากสัญญาประกันภัยมีการกาหนดเวลาตอ้ งลงเวลาเรมิ่ ตน้ และเวลาสิ้นสดุ ดว้ ย
7. ชอ่ื หรอื ยหี่ ้อของผรู้ บั ประกนั ภยั
8. ชื่อหรือยีห่ อ้ ของผ้เู อาประกนั ภยั
9. ชอื่ ของผู้รบั ประโยชน์
10. วันทาสัญญาประกันภัย คือวันที่เกดิ สัญญาขนึ้ ไมใ่ ชว่ นั ที่ทากรมธรรม์ประกันภัย ซ่ึง อาจ
เป็นวันเดียวกนั หรือวนั ใดวนั หนึง่ หลังจากวันทาสัญญากไ็ ด้
11. สถานที่และวันที่ในการทากรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งไม่จาเป็นต้องเป็นวันเดียวกันกับ วัน
ทาสญั ญาประกันภัย
5. เปน็ สัญญาทีท่ างราชการควบคุม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ได้กาหนด กฎเกณฑ์
หน้าที่ ท่ีผรู้ ับประกนั ภัยพ่ึงปฏบิ ัติ แตใ่ นทางปฏิบัติแล้วผรู้ ับประกันภยั ซ่ึงเป็นผูก้ าหนด รายละเอียดใน
กรมธรรม์ประกันภัยมักจะกาหนดให้ฝ่ายตนเองน้ันได้รับประโยชน์มากกว่าโดย ผู้เอาประกันภัยไม่มี
สิทธิต่อรอง ดังน้ันทางราชการจึงเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมการออก กรมธรรม์ประกันภัย
โดยกรมธรรม์ประกันภัยก็ดี เอกสารประกอบหรือแนบท้ายกรมธรรม์ ประกันภัยก็ดีต้องได้รับความ
เปน็ ชอบจากนายทะเบยี นเสียกอ่ น

5. สว่ นได้เสียในสญั ญาประกนั ภัย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น
ถ้าผู้เอาประกันมิได้มีส่วนได้เสียเหตุที่ประกันภัยไว้น้ันไซร์ ท่านว่าย่อมไม่ผู้กันคู่สัญญาแต่อย่างหน่ึง
อย่างใด” ผู้เอาประกันภยั ต้องมีสว่ นได้เสียในส่งิ ที่นาไปทาประกัน โดยจะได้ ผลกระทบกระเทือนหาก
เกิดภัยขึ้น เน่ืองจากส่ิงท่ีนามาทาประกันมีท้ังทรัพย์สิน และชีวิต จึงขอ แยกส่วนได้เสียในสัญญา
ประกันภยั ดงั น้ี

1. ส่วนได้เสยี ในกรณปี ระกนั วนิ าศภัย บคุ คลผมู้ ีส่วนได้เสยี ในทรพั ยส์ ินทีจ่ ะนาไปทา ประกัน
วนิ าศภัยได้นั้น จะต้องมีความสัมพันธ์อยูก่ ับทรัพย์ หรือสิทธิหรือผลประโยชน์ หรอื รายได้ใดๆ ซึ่งหาก
มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะทาให้ผู้น้ันต้องเสียหาย โดยความเสียหายนั้นจะต้องประมาณ เป็นเงินสดได้
ผมู้ สี ่วนได้เสยี ในการประกันวนิ าศภัยได้แก่

1.1 ความสมั พันธใ์ นฐานะเปน็ ผ้มู สี ทิ ธิตามกฎหมาย ซงึ่ ได้แก่
- เจ้าของทรพั ยส์ ิน
- ผทู้ รงสิทธติ ่างๆ เช่น ผ้รู ับจานอง ผูร้ บั จานา เจา้ หนี้ผู้มีบรุ ิมสทิ ธิ ผู้เชา่ ซ้อื เปน็ ต้น

- ผู้ครอบครองทรพั ย์สิน เช่น ผเู้ ชา่ ผู้รบั ฝาก ผยู้ ืม เปน็ ตน้

- ผู้ที่ต้องรบั ผิดชอบตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยแก่
ทรัพย์ท่รี ับมอบให้ดูแลรักษา และจะตอ้ งชดใชค้ วามเสียหายหากเกิดภยั ขนึ้ เชน่ ผู้รับขนส่ง ผู้รบั เหมา
เปน็ ตน้

- ตวั แทนหรือผทู้ ไ่ี ด้รับมอบอานาจจากเจา้ ของ

1.2 ความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นเพียงความคาดหวัง ท่ีมีความสัมพันธ์กับทรัพย์ในฐานะ
ความคาดหวัง กรณีแรก ผู้เป็นทายาทของเจ้าของทรัพย์สินจะได้รับทรัพย์สินน้ันตาม กฎหมายหาก
เจ้าของเสียชีวิต สาหรับอีกกรณีหนึ่งเป็นความคาดหวังในบางส่ิง บางอย่างท่ีเกิดขึ้นแน่นอน เช่น
คาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินต่างๆ ท่ีมีอยู่ หรือ ผลกาไรจากการดาเนินงาน เช่นน้ี
จดั เปน็ สว่ นไดเ้ สยี ท่ีสามารถเอาประกันได้

2. ส่วนได้เสียในกรณีประกันชีวิต ผู้เอาประกันชีวิตต้องมีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้ท่ี ตนเอง
ประกันไว้ ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือของผู้อื่นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 863 แยกพจิ ารณาเปน็ 2 กรณี

2.1 การประกนั ชีวติ ตนเอง

2.2 การเอาประกันชีวิตบุคคลอ่ืน การเอาประกันชีวิตของบุคคลอื่นนั้นจะต้องมี
ความสัมพันธ์กันถึงขนาดท่ีจะเรียกได้ว่ามีส่วนได้เสียในบุคคลน้ัน ความสัมพันธ์ท่ีจัดว่ามีส่วนได้เสีย
น้ันได้แก่ บพุ การี คู่สมรส ญาติ และผูม้ คี วามสัมพันธ์กันทางธรุ กิจ ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้

- บุพการี และผู้สืบสันดาน ท้ังสองฝ่ายมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ
บดิ ามารดากบั บุตร จัดว่ามีสว่ นไดเ้ สยี ในชวี ิตของกนั และกันอยา่ ง ใกล้ชิด

- คู่สมรส เกี่ยวกับเรื่องของสามีภรรยาท่ีจะเอาประกันชีวิตกันนั้น มีข้อที่จะต้อง
พจิ ารณา ดงั นี้

• สามีภรรยาขณะอยู่ด้วยกนั และได้เอาประกันชีวิตกันไว้ ต่อมาภายหลังหย่ากัน การหย่า
น้ไี ม่มผี ลตอ่ สัญญาประกันชีวติ เนอื่ งจากว่าสญั ญาเกิดข้นึ ขณะทท่ี ง้ั สองยังคงมีสว่ นได้เสียในชีวิตกัน

• สามีภรรยาอยู่ร่วมกันโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ถือว่ามีส่วนได้เสียในชีวิตซึ่งกัน แต่ใน
ประเทศไทยเราพฤตกิ รรมการอยู่รว่ มกนั โดยมิชอบด้วยกฎหมายน้ีเป็นเรื่องขัดต่อธรรมเนียม ประเพณี
แต่อย่างไรก็ตามการตายของสามที าใหฝ้ ่ายภรรยาต้องเดือดรอ้ น จงึ น่าจะพออนุโลมให้ ชายหญิงท่ีอยู่
รว่ มกันโดยมชิ อบดว้ ยกฎหมายมสี ว่ นไดเ้ สียในชีวิตกันได้

- ญาติ บุคคลท่ีจัดว่าเป็นญาติได้แก่ พ่ีน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดา
หรือมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย และลุง ป้า น้า อา มีสิทธิได้รับมรดกใน ฐานะทายาทโดยธรรม
ตามหลกั ของสังคมไทยจดั วา่ บุคคลเหลา่ น้ีเป็นญาติ จึงน่าจะยอมใหเ้ อาประกันชวี ติ กันได้

- ผู้มีความสัมพันธ์กันทางธุรกิจ เจ้าหนี้มีส่วนได้เสียในชีวิตของลูกหนี้ หุ้นส่วนก็มีส่วน
ได้เสียต่อกนั รวมไปถงึ นายจ้างก็มีส่วนไดเ้ สียตอ่ ชวี ติ ของลูกจ้างเช่นเดียวกัน

6. หลกั เกณฑใ์ นการทาสญั ญาประกนั ภยั
การทาสัญญาประกันภัยไม่ว่าจะเป็นวินาศภัย หรือการประกันชีวิต คู่กรณีต้องเป็นบุคคล

ตามกฎหมาย มีความสามารถในการทานิติกรรม หากความสามารถถูกจากัดโดยกฎหมายจะต้อง
แก้ไขให้สมบูรณ์ตามวิธีการทก่ี ฎหมายบัญญัตไิ ว้ หลกั เกณฑ์ในการทาสัญญาประกันภัยมี รายละเอียด
ดังต่อไปนี้

1. การก่อให้เกิดสัญญาประกันภัย คู่กรณีในสัญญาประกันภัยจะมีสองฝ่ายได้แก่ ฝ่ายผู้รับ
ประกันภยั กับฝา่ ยผู้เอาประกนั ภยั สญั ญาประกันภัยจะเกดิ ขึ้นเมอื่ ฝ่ายผูเ้ อาประกันภยั ยื่นใบคาขอเอา
ประกันต่อผู้รับประกันภัย ในใบคาขอเอาประกันจะเป็นรายละเอียดของสุขภาพของ ผู้เอาประกันภัย
หรือเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จะนามาทาประกัน ทางบริษัทผู้รับประกันภัยจะพิจารณา รายละเอียดว่า
สมควรรับประกันหรือไม่ หากเห็นสมควรก็จะเรียกเก็บค่าเบ้ียประกัน และออกใบ กรมธรรม์
ประกนั ภยั ให้กับผู้เอาประกันภยั

2. สญั ญาประกันภยั เป็นสัญญาไมม่ แี บบ กฎหมายมิได้บังคบั วา่ สญั ญาประกันภัยจะ ต้องทา

แบบอย่างใด ซึ่งต่างกับสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ท่ีจะต้องทาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ
หน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ สญั ญาประกันภัยน้ันเพียงแต่เป็นการตกลงกันด้วยวาจา ระหว่างคู่กรณีก็จัด
วา่ เปน็ สญั ญาประกันภัยที่สมบรู ณแ์ ลว้ เพยี งแตจ่ ะฟอ้ งร้องให้บังคับสัญญาตามสญั ญาไม่ไดเ้ ท่านนั้

3. สญั ญาประกันภยั เป็นสญั ญาท่ีต้องมหี ลกั ฐานเปน็ หนังสือ ตามประมวลกฎหมาย แพ่ง

และพาณชิ ยม์ าตรา 867 วรรคหน่ึง บัญญัติวา่ “อันสัญญาประกันภัยนัน้ ถ้ามิได้มีหลักฐาน เป็นหนังสือ
อย่างใดอย่างหนงึ่ ลงลายมือช่ือฝ่ายท่ีต้องรับผิดหรือลายมือชือ่ ตัวแทนของฝ่ายนั้นเปน็ สาคัญ ท่านว่า
จะฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีหาไดไ้ ม่”

4. กรมธรรม์ประกันภัย กฎหมายมิได้กาหนดให้สัญญาประกันภัยต้องทาเป็นหนังสือ
เพียงแต่ต้องมีหลักฐานที่แสดงลายมือช่ือฝ่ายที่ต้องรับผิด แต่ก็ได้บังคับให้ฝ่ายของผู้รับประกันภัย
ออกกรมธรรม์ประกันภัยและส่งมอบให้แก่ผู้เอาประกันภัยและกาหนดให้ลงลายมือช่ือของ
ผรู้ ับประกนั ภยั และมีรายการทีจ่ าเป็นตามสมควร ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี

4.1 ลักษณะของกรมธรรม์ประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารที่ลงลายมือช่ือ ของ
ผู้รบั ประกันภัย ในกรมธรรม์ ประกนั ภัยน้นั จะตอ้ งมรี ายการตา่ งๆ ตามทก่ี ฎหมายกาหนด

4.2 หากผู้รับประกันภัยไม่ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัย ถือว่าผู้รับ
ประกันภัยผิดสัญญาอาจถูกบังคับให้ออกกรมธรรม์ หรือเลิกสัญญา หรือเรียกค่าเสียหายทดแทน
ดงั น้นั หากต้องการบงั คับให้ผู้รบั ประกนั ภัยออก กรมธรรม์ประกันภัยจะต้องหาหลกั ฐานท่ีแสดงลายมือ
ช่ือของผรู้ บั ประกนั ภยั มาแสดง เชน่ ใบเสรจ็ รบั เงนิ คา่ เบ้ยี ประกนั เป็นต้น

4.3 กรณอี อกกรมธรรมแ์ ต่มขี ้อความไม่ตรงตามสัญญาประกันภัย ในทางปฏิบตั ิ ตวั แทน
อาจมีการช้ีชวนให้เอาประกนั ภัย โดยเงื่อนไขที่แจ้งน้ันไม่ตรงกบั ระเบยี บที่ทางบริษัท กาหนดขึ้น เมอ่ื ผู้
เอาประกันภัยตกลงจะเอาประกันโดยย่ืนใบคาขอเอาประกัน และชาระค่าเบีย ประกัน บริษัทผู้รับ
ประกันภัยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัย โดยเงื่อนไขไม่ตรงกับท่ีได้รับแจง้ เช่นน้ี ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิ
ที่จะเรยี กร้องใหบ้ รษิ ทั ผ้รู ับประกันภยั แก้ไขให้ถกู ต้องได้

4.4 หลักในการตีความในกรมธรรม์ประกันภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์
มาตรา368 บัญญัติว่า “สัญญานั้นท่านได้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดย พิเคราะห์ถึง
ปกติประเพณีด้วย กล่าวคือการตีความในทางคุ้มครองภัยตามเจตนารมณ์ของผู้เอา ประกันภัยและ
ผู้รับประกันภัยในระดับความรู้ท่ีเท่าเทียมกันโดยสุจริต ไม่มีการฉ้อฉลปิดบังหรือ ปกปิดข้อความจริง
ต่อกัน”

4.5 ข้อกาหนดให้การต้ังอนุญาโตตุลาการ การตั้งอนุญาโตตุลาการเป็นความ ประสงค์
ของบริษัทผู้รับประกันภัยท่ีต้องการให้เรื่องการโต้เถียงหรือการฟ้องร้องต่างๆ ยติในช้ัน
อนุญาโตตุลาการ เพ่อื จะได้ไม่สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย

7. ลกั ษณะพิเศษของสญั ญาประกันภยั
สัญญาประกันภัยเป็นการตกลงกันของคู่กรณีสองฝ่าย ฝ่ายของผู้เอาประกันภัยต้องการให้

บริษทั ผู้รบั ประกนั ภัยร่วมเสยี่ งในชีวติ หรือทรัพย์สินท่เี อาประกัน โดยจายคาเบยบระ ตอบแทน อตั รา
ค่าเบี้ยประกันจะสูงหรอื ต่าขึ้นอยู่กับภาวะความเสีย่ ง เชน่ บ้านที่ตั้งอยู่ใกลก้ ับรา้ น จาหน่ายแก๊ส ย่อม
เสียคา่ เบ้ยี ประกันสูงกว่าบา้ นทต่ี ง้ั อยู่ในเขตท่ีไกลออกไป เปน็ ต้น

1. การเปิดเผยข้อความจริง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 บัญญัติ
เกยี่ วกับการเปดิ เผยความจริงพอสรุปได้ว่า หากผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผยความจรงิ ทงั้ หมด ด้วยเกรง
ว่าจะต้องชาระค่าเบ้ียประกันสูง หากความจริงปรากฏขึ้นภายหลังจะมีผลให้สัญญา น้ันเป็นโมฆียะ
ผูท้ ี่มีหน้าที่เปิดเผยความจรงิ น้ัน หากเป็นการประกันวินาศภัย หากเป็นการประกันชวี ติ ผูเ้ ปิดเผยความ
จริงคือ ผู้เอาประกันชีวิต กรณีที่เอา ชีวิตของผู้อื่นไปทาประกันนั้น ผู้ถูกเอาชีวิตไปทาประกันจะต้อง
เป็นผู้เปิดเผยความจรงิ

2. เวลาที่จะต้องเปิดเผยความจริง เวลาท่ีผู้เอาประกันภยั จะต้องเปิดเผยความจริงเริ่มตง้ั แต่
ข้ันตอนของการเสนอ หรือยื่นใบคาขอเอาประกัน และตลอดมาจนถึงผู้รับประกันภัยออก กรมธรรม์

ประกันภัย จากนั้นก็จะหมดหน้าที่ท่ีจะเปิดเผยความจริง แม้ว่าภายหลังจะมีความจริง บางอย่าง
ปรากฏข้นึ มาก็ไม่จาเปน็ ต้องเปดิ เผยอกี

3. ผลของการไม่เปิดเผยความจริง ผลที่เกิดข้ึนหากผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผยความจริง
กค็ อื สัญญาประกันภัยนน้ั จะเป็นโมฆยี ะ และมกี ารบอกลา้ งดังนี้

3.1 ผู้มีสทิ ธิบอกล้างไดแ้ ก่ ผู้รับประกนั ภยั
3.2 กาหนดเวลาการบอกลา้ งจะตอ้ งกระทาภายใน 1 เดอื น หลงั จากทราบความจรงิ หรือ
ภายใน 5 ปีนับแตว่ ันทาสัญญานน้ั

3.3 ผู้ทจี่ ะรับการบอกลา้ ง ผู้เอาประกนั ภัย หากผเู้ อาประกันภัยเสียชวี ิตแล้ว ให้บอกล้าง
แก่ผู้รับประโยชน์ ถ้าผู้รับประโยชน์ยังเป็นผู้เยาว์ให้บอกล้างแก่ผู้แทนโดยชอบธรรม ของผู้รับ
ประโยชนน์ นั้

3.4 ผลของการบอกล้าง
- ในการประกันวินาศภัยเมื่อมีการบอกล้างผู้รับประกันภัยจะต้องคืนค่าเบ้ียประกัน

แกผ่ ู้เอาประกนั ภยั และถา้ เกดิ ภยั ขน้ึ ผ้รู บั ประกนั ภัยกไ็ ม่ต้องจ่ายค่าสนิ ไหมทดแทน

- ในการประกันชีวิต เม่ือมีการบอกล้างผู้รับประกันภัยจะต้องคืนค่าไถ่ถอนกรมธรรม์
ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือทายาทของผู้นั้น โดยไม่ต้องจ่ายคืนค่าเบ้ียประกันภัยเหมือนกับ
การประกนั วินาศภัย

4. ความรู้ของผู้รับประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยไม่เปิด เผยความจริง หรือแถลงข้อความ
อนั เป็นเทจ็ และผู้รับประกนั ภัยมาทราบความภายหลังจะส่งผลให้ สัญญาเปน็ โมฆียะได้

8. ข้อแตกต่างของสัญญาประกันภัยกับสัญญาอน่ื ๆ

สัญญาประกนั ภัยน้ันจะมีลักษณะ และสาระสาคัญต่างจากสัญญาประเภทอ่นื ดังต่อไปนี้
1. สญั ญาประกนั ภัยกบั การพนนั ขนั ตอ่ ต่างกันดงั น้ี

1.1 การพนันน้ันผู้เล่นการพนันมีจุดประสงค์ที่จะเส่ียงโชคในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง หรือใน
เหตกุ ารณ์ที่อาจจะเกดิ หรือไม่เกิด สว่ นการประกนั ภัย ผูเ้ อาประกนั ภยั มจี ุดประสงคจ์ ะหาทาง บรรเทา
ความเสียหายท่ีตนเองจะไดร้ บั หากเกิดเหตกุ ารณ์ขึ้น

1.2 การพนันนั้นจะพนันกันในเร่ืองใดก็ได้ หากมีผู้เล่นด้วย ส่วนสัญญาประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยจะทาไดก้ ต็ ่อเม่อื ตนเองมสี ่วนไดเ้ สยี ในส่ิงนั้นเท่าน้นั

1.3 การพนันผู้เล่นจะเล่นวิธีใดก็ได้ และจานวนเงินเท่าใดก็ได้ ส่วนการประกันภัย
ผเู้ อาประกันภัยจะทาสัญญาประกนั ภัยได้เพียงเพ่ือความเสียหายที่แท้จริง หรือไม่เกนิ จานวนเงินท่ีเอา
ประกนั เทา่ นั้น

2. สัญญาประกันภัยกับการค้าประกัน สัญญาประกันภัยกับการค้าประกันมีลักษณะที่
ใกล้เคียงกันคือ “การประกันลูกหน้ีไม่ใช้หน้ี” ในสัญญาประกันภัยหากผู้เอาประกันไม่ชาระหน้ีแก่
บุคคลภายนอก ผู้รับประกันจะเข้ามาเสี่ยงภัยแทน เช่น ขณะท่ีนายบาเรอกู้เงินจากธนาคารเพ่ือซ้ือ
บ้าน ธนาคารอาจบังคับให้นายบาเรอนาบ้านไปทาประกันอัคคีภัย โดยธนาคารเป็นผู้รับประโยชน์
เพราะหากบ้านเกิดไฟไหม้ นายบาเรอหยุดผ่อนส่ง ธนาคารก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท
ผู้รับประกันภัย เป็นการสร้างความอุ่นใจให้แก่เจ้าหน้ี เช่นเดียวกับการค้าประกัน หาก เจ้าหนี้ให้
ลกู หนีก้ เู้ งินแลว้ บุคคลภายนอกเข้ามาผูกพนั ในการชาระหนีด้ ้วย เจา้ หนี้ยอ่ มเกดิ ความ อนุ่ ใจเชน่ กัน

2.1 ในการประกันภัยผู้รบั ประกันภัยจะต้องเป็นบริษัทท่ีไดร้ ับอนุญาตใหป้ ระกอบ กิจการ
ประกันภยั สว่ นการค้าประกนั ผคู้ ้าประกันเปน็ ใครก็ได้ท่ีเจ้าหนย้ี อมรับ

2.2 การชาระหนี้ของการประกันภัย ใช้หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนในการค้า
ประกันหากลูกหน้ไี ม่ชาระหน้ี ผคู้ ้าประกันอาจมขี ้อตอ่ รอง หรอื บอกปัดให้เจา้ หนบี้ งั คับเอาจาก ลูกหนี้
ก่อน

3. สัญญาประกันภัยกับการเก็งกาไร การเก็งกาไรเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับ
เหตกุ ารณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเมื่อเกดิ เหตุการณ์น้ันข้ึนแลว้ ผู้เก็งกาไรอาจจะได้กาไรหรือ ขาดทุน
ก็ได้ การเก็งกาไรมักจะเกิดข้ึนเก่ียวกับการคา้ ขาย มองดูผิวเผินอาจจะกล่าวได้ว่าสัญญา ประกันภัยก็
เหมอื นกบั การเก็งกาไร หากพิจารณาแลว้ การเกง็ กาไรมขี ้อแตกต่างจากสญั ญาประกนั ภัย ดงั นี้

3.1 การเก็งกาไรเป็นการโอนความเสียหายไปยงั ผ้อู นื่

3.2 ในการซื้อขายสินคา้ การเปล่ียนแปลงหรือการขึน้ ลงของราคาสินค้าเปน็ เรื่อง ธรรมดา
จึงไมถ่ ือว่าเปน็ การเสย่ี งภัย

3.3 การทาสัญญาซอ้ื ขายเป็นเรอ่ื งของการซื้อขายสนิ ค้า ไม่ใช่เรื่องชดเชยความเสยี หาย

ใบความรู้

รหสั วิชา 2202 – 2107 ชอื่ วิชา การประกันภัย
หน่วยท่ี 3 การประกันวินาศภัย สอนครง้ั ท่ี 6-7 ชว่ั โมงที่ 27-28
ช่อื เรือ่ ง การประกันวินาศภัย
จานวน 8 ชว่ั โมง

1. สาระสาคัญ
1. นกั เรยี นอธยิ ายความหมายของการประกันวินาศภยั ได้
2. นกั เรียนอธิบายหลักเกณฑ์ท่ีใชใ้ นการประกันวินาศภัยได้
3. นักเรียนอธบิ ายรายละเอยี ดของการประกนั ภัยค้าจุนได้
4. นักเรยี นอธบิ ายรายละเอยี ดของการประกันภัยรับขนได้
5. นักเรียนอธิบายรายละเอียดของการประกันภยั ตอ่ ได้

2. สมรรถนะประจาหน่วยการเรียนรู้
2.1 จดุ ประสงค์ทวั่ ไป
เพอ่ื ให้ผู้เรยี นมีความรู้ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การประกันวนิ าศภัย
2.2 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
2.2.1 เลือกประเภทของการทาวนิ าศภยั ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
2.2.2 แสดงเจตคติทด่ี ีและกจิ นิสัยทดี่ ตี อ่ การศึกษาการประกันภยั

3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรยี นอธยิ ายความหมายของการประกนั วินาศภยั ได้
2. นักเรียนอธิบายหลักเกณฑ์ทใ่ี ช้ในการประกนั วนิ าศภัยได้
3. นกั เรยี นอธิบายรายละเอยี ดของการประกนั ภยั ค้าจุนได้
4. นกั เรยี นอธบิ ายรายละเอยี ดของการประกนั ภัยรับขนได้
5. นกั เรียนอธบิ ายรายละเอียดของการประกนั ภยั ต่อได้

4. สาระการเรียนรู้
1. ความหมายของการประกันวนิ าศภยั

ตามพระราชบญั ญตั ิการประกนั วนิ าศภัย มาตรา 4 ได้ให้ความหมายของการประกันวนิ าศภัย
ไว้ว่า หมายถึง “ความเสียหายอย่างใดๆ บรรดาท่ีจะพึงประมาณเป็นเงินได้ และหมายความรวมถึง
ความสญู เสยี ในสิทธิ ผลประโยชนห์ รือรายไดด้ ้วย”

เม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 861 กับมาตรา 869 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย
มาตรา 4 แล้ว กล่าวได้ว่า “สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาซ่ึงผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหม ทดแทน
ให้แก่ผู้เอาประกันวินาศภัยเมื่อมีความเสียหายใดๆ เกิดข้ึน ซึ่งรวมถึงความสูญเสียในสิทธิ

ผลประโยชน์หรือรายได้ ที่อาจจะประมาณความเสยี หายหรือความสูญเปล่าเหล่านั้นเปน็ เงินได้ โดยผู้
เอาประกันวินาศภัยตกลงจะส่งค่าเบ้ียประกันให้แก่ผู้รับประกันภัยเป็นการตอบแทน" สัญญา
ประกันภัยท่ีทากันมาก ได้แก่ การประกันอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเล การประกันภัยขนส่ง การ
ประกันอุบัตเิ หตตุ า่ งๆ ฯลฯ
2. หลกั เกณฑ์ท่ีใชใ้ นการประกันวนิ าศภัย

หลักเกณฑ์ท่ีใช้ในการประกันวินาศภัยทุกแบบจะใช้หลักเกณฑ์ท่ีเหมือนกัน โดยแยกเป็น
หวั ข้อใหญ่ๆ ดงั นี้

1. สิทธิของผู้รับประกันวินาศภัย ผู้รับประกันภัยเป็นผู้ยอมรับเข้าเสี่ยงภัยแทนผู้เอา
ประกันภัย ตามสัญญาประกนั ภยั มสี ทิ ธิทจี่ ะกระทาได้ พอสรปุ ดังน้ี

1.1 สิทธิในการขอรับค่าเบี้ยประกัน สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน เม่ือผู้รับ
ประกันภัยยอมรับการเสี่ยงภัยแทนผู้เอาประกันภัยโดยยินดีจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเม่ือ เกิดภัยข้ึน
ฝ่ายของผู้เอาประกนั ภยั จะต้องจ่ายค่าเบีย้ ประกันเป็นการตอบแทน สิทธใิ นการรับ คา่ เบ้ยี ประกนั เป็น
สิทธิเด็ดขาด ถึงแม้ว่าในอนาคตจะไม่มีภัยเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยก็ไม่ต้องคืน ค่าเบ้ียประกันแก่ผู้รับ
ประกันภยั

1.2 สิทธิใหผ้ ู้เอาประกนั ภยั หรือผรู้ บั ประโยชนใ์ ช้ค่าสนิ ไหมทดแทน ตามทกี่ ลา่ วมา ขา้ งต้น
นั้น เราจะเข้าใจว่าผู้ที่มีหน้าท่ีจ่ายค่าสินไหมทดแทนมีเพียงฝ่ายของผู้รับประกันภัยเท่านั้น แต่ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 881 วรรค 2 บัญญัติว่า “ถ้ามิได้ปฏิบัติตาม บทบัญญัติท่ี
กล่าวมาในวรรคก่อน ผู้รับประกันภัยอาจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสีย หายอย่างใดๆ อัน
เกิดแต่การนั้นได้ เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้" นั่นหมายถึงว่า ผู้รับ
ประกันภัยก็มีสิทธิให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ หากการบอกกล่าว
วินาศภยั ไมเ่ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์ท่กี าหนด บอกกล่าวลา่ ช้า อันทาให้ฝา่ ย ของผู้รบั ประกันภัยเสียหาย
ซ่ึงความเสียหายนนั้ เป็นความเสียหายที่เปน็ ตัวเงนิ หรืออาจคานวณ เปน็ ตวั เงนิ ได้

1.3 สิทธใิ นการรบั ช่วงสิทธิของผู้เอาประกนั ภัยและผู้รบั ประโยชน์ เมื่อเกิดภัยข้นึ เนอ่ื งจาก
การกระทาของบุคคลภายนอก และผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอา ประกันภัยแล้ ว
ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ในการ เรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากบคุ คลภายนอกนน้ั

1.4 สิทธิเรียกให้ผู้เอาประกันภัยหาประกัน หากผู้เอาประกันภัยต้องคาพิพากษา
ให้เป็นบคุ คลล้มละลาย ผู้รับประกันภัยมสี ิทธทิ ี่จะให้ผู้เอาประกันภัยหาประกัน แต่กฎหมายไม่ไดร้ ะบุ
ว่าประกนั ที่จัดหามาน้ันได้แก่อะไร ให้พิจารณาจากหน้ีของฝ่ายผู้เอาประกันภยั ให้พอสม้นา้ สมเนื้อกัน
อกี กรณีหนึ่งของการเป็นบุคคลล้มละลายของผู้เอาประกนั ภัยนี้ ผรู้ ับประกันภัยมีสิทธิ บอกเลิกสัญญา
ได้ แต่ถ้าหากว่าผู้เอาประกันภัยส่งเบ้ียประกันแล้วเต็มจานวน จะบอกเลิกสัญญา ไม่ได้ต้องรอให้
ระยะเวลาในสญั ญาสนิ้ สดุ เอง

1.5 สิทธิเก่ียวกับซากทรัพย์ เม่ือผู้รับประกันภัยได้จ่ายสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอา
ประกันภัยครบจานวนตามความเสียหายแล้ว ผู้รับประกันภัยมีสิทธิที่จะนาซากทรัพย์นั้นมาใช้
ประโยชนไ์ ด้

1.6 สทิ ธิบอกเลกิ สัญญาประกันวนิ าศภยั สทิ ธิการบอกเลิกสญั ญาประกันวนิ าศภัย จาแนก
ได้ 2 ประการ ได้แก่

- สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นการบอกเลิกเม่ือผู้เอา ประกันภัย
ตอ้ งคาพิพากษาให้เปน็ บุคคลล้มละลาย (กรณที ่ผี ู้เอาประกันภยั ส่งเบย้ี ประกนั ไปแล้วเตม็ จานวน ผู้รับ
ประกันภยั จะบอกเลกิ สญั ญากอ่ นท่ี ระยะเวลาน้ันส้ินสุดลงไม่ได้)

- สิทธิที่กาหนดอยู่ในสัญญาประกันวินาศภัย เป็นการบอกเลกิ สัญญาในกรณีทเ่ี ปน็ ไป
ตามกฎเกณฑ์และวิธีการท่ีระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ท้ังน้ีจะ ต้องกล่าวให้ผู้เอาประกันภัยทราบ
ล่วงหนา้ เช่น บา้ นที่เอาประกนั อคั คีภัย เกิดไฟไหมบ้ อ่ ยๆ เป็นตน้

2. หน้าท่ีและความรับผิดชอบของผู้รับประกันภัย ตามสัญญาประกันวินาศภัย ผู้รับ
ประกันภัยมหี น้าทีแ่ ละความรับผิดชอบ ดงั ตอ่ ไปนี้

2.1 หน้าท่ีใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามข้อตกลงของสัญญาประกันภัย ผู้รับประกันภัยมี
หน้าทที่ ่ีจะตอ้ งจ่ายค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกดิ ภยั ขน้ึ ต่อส่งิ ที่มาทาประกนั

วิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ในวิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนนั้น ให้จ่ายตามท่ี
เสียหายจริง แต่ไม่เกินวงเงินท่ีเอาประกัน เช่น นายบูรณะ ได้นาบ้านราคา 500,000 บาท ไปทา
ประกันอัคคีภัย จานวนเงินท่ีเอาประกัน 400,000 บาท เกิดไฟไหม้เสียหาย 200,000 บาท ผู้รับ
ประกนั ภัยก็ตอ้ งจ่ายคา่ สนิ ไหมทดแทน 200,000 บาท หรือหากเกดิ ไฟไหม้เสียหายหมดทั้งหลัง มูลค่า
500,000 บาท ผู้รับประกนั ภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท ตามจานวนเงินท่ีเอา ประกัน
ไวแ้ มจ้ ะเสยี หายมากกว่าน้กี ็ตาม

การจ่ายค่าสินไหมทดแทนนั้น นอกจากจะจ่ายให้กับความเสียหายโดยตรงแล้ว
ยัง ตอ้ งจา่ ยคา่ สินไหมทดแทนในกรณดี งั ต่อไปน้ดี ้วย

- ค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินน้ัน เช่น กรณีท่ีนาย
บูรณะได้นาบ้านไปทาประกันอัคคีภัยไว้ แล้วเกิดไฟไหม้บ้านใกล้ๆ นายบูรณะต้องรื้อฝาบ้านเพ่ือการ
ลุกไหม้ของไฟทาให้ตัวบ้านรอดพ้นจาก ไฟไหม้ เช่นนี้ผู้รับประกันภัยก็จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ตามท่เี สยี หายจริง

- ค่าสินไหมทดแทนสาหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้วินาศ เช่น
กรณีของนายบูรณะไดน้ าบ้านไปทาประกันอัคคภี ัยไว้ แล้วเกิดไฟไหม้บ้าน ใกล้ๆ นายบูรณะยืมเคร่ือง
ดับเพลิงของเพ่ือนบ้านมาฉีดเพ่ือระงับเพลิงไม่ ให้มาถึงบ้าน เช่นนี้ผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้
ค่าใชจ้ ่ายที่เกดิ ขน้ึ

กรณีที่ผู้เอาประกันภัยทาสัญญาประกันภัยไว้หลายรายในวัตถุเดียวกัน หรือที่เรียกว่า
“การประกนั ภัยซ้อน” ได้วางหลักปฏิบัตไิ ว้ดังนี้ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 870
และมาตรา 871)

1. หากเป็นวัตถุสิ่งเดียวกันถือเป็นการประกันภัยซ้อน เช่น นางสุภาภรณ์ นาบ้านไปทา
ประกันอัคคภี ัยไว้กับบรษิ ัท ก แล้วไดน้ าบ้านหลังเดียวกันนไี้ ปทาประกันอัคคภี ัยกับบริษัท ข อีก เช่นน้ี
ถือว่าเป็นการประกันภัยซ้อน แตห่ ากว่านาบา้ นไปทาประกนั อคั คีภยั กบั บริษัท ก แล้วนา เฟอร์นิเจอร์
ในบา้ นไปทาประกันอัคคภี ยั กับบริษัท ข เชน่ น้ไี ม่ถือว่าเป็นการประกันภัยซ้อน

2. การประกันภัยซ้อนน้ันเกิดข้ึน หากผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลคนเดียวกันถือเป็น การ

ประกันภัยซ้อน หากผู้เอาประกันภัยเป็นคนละคนกันแม้จะเป็นวัตถุเดียวกันก็ไม่จัดเป็นการ

ประกนั ภยั ซอ้ น

3. ในการประกนั ภัยซอ้ นนั้น เหตุแห่งความเสียหายเดียวกนั เช่น นาง สุภาภรณน์ าบ้านไป

ทาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทหนึ่ง และนาทรัพย์สินเดียวกันนี้ไปทาประกัน โจรกรรมไว้กับอีกบริษัท

หนึง่ ไม่ถอื เปน็ การประกนั ภัยซ้อน เพราะเป็นการประกันภัยคนละเร่อื งกัน

4. การประกันภัยไว้กับผู้รับประกันภัยเพียงรายเดียวแม้จะเอาประกันเกินมูลค่า ของ

ทรัพย์สิน ก็ไม่ถือว่าเป็นการประกันภัยซ้อน ซึ่งจะต่างจากการนาทรัพย์สินเดียวกันไป ประกันภัยกับ

หลายบรษิ ัทจะถือเป็นการประกนั ภยั ซอ้ น

5. หากมีสัญญาประกันภัยเพียงรายเดียวท่ีอยู่ในระหว่างอายุสัญญา ส่วนสัญญา

ประกนั ภัยอืน่ ยังไม่ถงึ เวลาเร่ิมต้นหรือพ้นเวลาสิ้นสดุ ไปแล้ว เชน่ น้ไี มถ่ อื เปน็ สญั ญาประกันภยั ซ้อน

ผลบงั คบั ของการทาสัญญาประกันภยั ซอ้ น ให้ถอื ปฏิบัตติ ามมาตรา 871 ดงั น้ี

1. ถ้าได้เอาประกันภัยไว้พร้อมกัน หรือในวันเดียวกัน ผู้รับประกันแต่ละรายต้องร่วมกัน

ชดใช้ค่าเสยี หายตามส่วนความรบั ผิดท่ีรับประกันไว้ เช่น นายสมชาย นาบ้านไปทาประกันอัคคีภัย ไว้

กับบริษทั ก จานวน 100,000 บาท บริษทั ข จานวน 200,000 บาท บริษัท ค จานวน 300,000 บาท

รวมเป็นเงินประกันภัยท้ังส้ิน 600,000 บาท เมื่อเกิดไฟไหม้เสียหาย 300,000 บาท บริษัทผู้รับ

ประกนั ภัยจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ดังน้ี

บรษิ ทั ก ต้องชดใช้ 300,000x100,000 = 50,000 บาท

600,000

บรษิ ทั ข ต้องชดใช้ 300,000x200,000 = 100,000 บาท

600,000

บริษัท ค ต้องชดใช้ 300,000x300,000 = 150,000 บาท

600,000

2. ถ้าได้ประกันภัยไว้ต่างวันกัน ให้ลาดับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามลาดับการทา

ประกันภัย ตามจานวนเงินที่รับประกันภัยไว้ เช่น นายสมชาย นาบ้านไปทาประกันอัคคีภัยไว้กับ

บริษัท ก จานวน 100,000 บาท บริษัท ข จานวน 200,000 บาท บริษัท ค จานวน 300,000 บาท

รวมเป็นเงินประกันภัยทั้งส้ิน 600,000 บาท โดยวันที่ทาประกันภัยน้ัน ได้ทากับบริษัท ก ก่อน

จากนั้นจึงทากับบริษัท ข และบรษิ ัท ค ตามลาดบั เมื่อเกดิ ไฟไหมเ้ สยี หาย 300,000 บาท บริษทั ผ้รู ับ

ประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ บริษัท ก ชดใช้ 100,000 บาท บริษัท ข ชดใช้ 200,000

บาท รวมเป็น 300,000 บาท เท่ากับจานวนความเสียหาย ดังนั้น บริษัท ค ไม่ต้อง ชดใช้เนื่องจากผู้

เอาประกนั ภยั ไดร้ ับการชดใช้ตามจานวนทเี่ สียหายจริงแลว้

การขอลดค่าสนิ ไหมทดแทน ผูร้ ับประกนั ภยั มีสิทธทิ จี่ ะขอลดคา่ สินไหมทดแทนเม่ือ สามารถ

พิสูจน์ไดว้ ่าราคาแห่งมลู ประกันภยั น้นั สูงมากเกนิ ไป แต่ทง้ั นี้ผู้รับประกันภัยก็จะตอ้ งคืน คา่ เบ้ยี ประกัน

ให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามส่วนของจานวนค่าสินไหมทดแทนท่ีจะขอลด ในการ คืนค่าเบ้ียประกันน้ี

กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 7 บังคบั ให้คดิ ดอกเบย้ี รอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี ใหแ้ กผ่ ้เู อาประกันภยั ด้วย

ขอยกเว้นในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน บางกรณีท่ีผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใชค้ ่า สินไหม
ทดแทน ซึง่ แยกเป็น 2 กรณี คือ

- ภัยทเ่ี กิดขึ้นนน้ั เกดิ เพราะความประมาทเลินเล่ออยา่ งรา้ ยแรงของผู้เอา ประกันภัย หรือ
ผูร้ ับประโยชน์

- ภัยท่ีเกดิ ข้ึนนั้นเกิดจากความไม่สมประกอบในเนือ้ แห่งวตั ถุทเี่ อาประกันภัย เช่น บ้านที่
เอาประกันพังเพราะเนื้อไม้ที่ใช้ก่อสร้างนั้นเป็นไม้ที่ผุ และใน สัญญาประกันภัยก็มิได้ระบุไว้ว่าผู้รับ
ประกันภัยจะต้องรับผิดชอบความไม่ สมประกอบของเน้ือวัตถนุ ั้นด้วย

2.2 หน้าทส่ี ่งมอบกรมธรรม์ประกนั ภัย
2.3 หนา้ ทค่ี ืนค่าเบีย้ ประกนั การคนื ค่าเบ้ยี ประกนั ของผูร้ ับประกนั ภัย แบง่ ออก ดงั น้ี

- ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยใ์ หค้ นื ได้ในกรณีดังน้ี
1. การเลกิ สญั ญาท่ัวๆ ไป
2. ผูเ้ อาประกันภัยขอเลิกสัญญาตามมาตรา 872
3. ผู้เอาประกนั ภยั ขอลดจานวนเงนิ ท่ีเอาประกันภัยตามมาตรา 873
4. ผรู้ บั ประกันภยั ขอลดคา่ สนิ ไหมทดแทนตามมาตรา 874
- ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย 2510 บัญญัติไว้ในมาตรา 21 วรรค 4 ให้ผู้รับ
ประกันภัยคืนประกันภัยขอเลิกสัญญาเพราะมีการกาหนด จานวนเงินท่ีเอาประกันภัยไว้สูงกว่าราคา
ทรพั ย์สนิ มาก จนถงึ กับทาง ราชการมีคาสัง่ ใหล้ ดจานวนค่าเบย้ี ประกนั
- ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ฉบับมาตรฐานได้กาหนดการ คืนเบี้ย
ประกนั ไว้ 2 กรณี คือ
1. คู่สญั ญาฝ่ายใดฝา่ ยหนึ่งขอบอกเลิกสัญญา
2. ระหวา่ งเวลาทเี่ อาประกันภยั ได้มกี ารเรียกร้องค่าเสียหายเกดิ ขนึ้
2.4 หน้าที่ออกค่าใช้จ่ายในการตีราคาทรัพย์ ตามความจริงแล้วไม่มีกฎหมาย บังคับว่า
จะต้องทาสัญญาเก่ียวกับค่าใช้จ่ายในการตีราคาทรัพย์ ปล่อยให้เป็นสิทธิของคู่สัญญาที่จะ ใช้ดุลย
พินิจเอาเองว่าจะทาหรือไม่ทา หากผู้รับประกันภัยยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ตามท่ี ผู้เอา
ประกันภัยเรียกร้องคร้ังแรกก็ไม่จาเป็นต้องมีการตีราคา แต่ถ้าหากว่าตกลงค่าเสียหายกันไม่ ได้ ผู้รับ
ประกันภัยจะต้องทราบราคาวินาศภัยท่ีแท้จริงเพ่ือสนับสนุนข้ออ้างประมวลกฎหมายแพ่ง และ
พาณิชย์ มาตรา 878 ที่บัญญัติไว้ว่า “ค่าใช้จ่ายในการตีราคาวินาศภัยนั้น ผู้รับประกันภัยต้อง เป็นผู้
ออก”
3. สิทธิของผู้เอาประกันวินาศภัย ผู้เอาประกันวินาศภัยเป็นผู้ท่ีนาทรัพย์สินมาทา ประกัน
มีสิทธิดังตอ่ ไปน้ี
3.1 สิทธิเรียกให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทน การทาสัญญาประกันภัยของ
ผู้เอาประกันภัย สิ่งท่ีสาคัญที่สุดคือการได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเม่ือเกิดภัยข้ึนต่อทรัพย์ที่
นาไปทาประกัน แต่อย่างไรก็ดี สิทธิในการเรยี กรอ้ งคา่ สินไหมทดแทนน้อี าจถูกระงับหากสืบทราบ ว่า
วนิ าศภัยทเี่ กดิ ข้นึ นน้ั ได้เกดิ จากความทุจรติ ของผู้เอาประกนั ภยั หรือผรู้ ับประโยชน์
3.2 สทิ ธิขอลดเบ้ียประกันภยั

- สิทธิขอลดเบี้ยประกันตามมาตรา 864 หมายถึงกรณีทใ่ี นการตกลงสัญญา คู่กรณีได้
ยกเอาภัยบางอย่างข้ึนมาเป็นหลักในการกาหนดค่าเบี้ยประกัน ต่อมาความเสี่ยงภัยน้ันได้หมดไปแต่
ยังคงอยู่ในอายุของสัญญา ผู้เอาบ กันภัยมีสิทธิท่ีจะขอลดค่าเบี้ยประกันได้ เช่น ขณะที่ทาประกันภัย
รถยน น้ัน ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์คันนั้นสาหรับการแข่งขัน แต่ภายหลังเมื่อใช้เป็นรถแข่งแล้วก็
สามารถขอลดค่าเบี้ยประกันได้ เป็นตน้

- สิทธิขอลดเบ้ียประกันตามมาตรา 873 เป็นการขอลดเบ้ียประกk ปรากฏว่าราคา
ของทรัพย์ที่เอาประกนั น้ันลดลงไปมากถงึ ขนาดทวา ทา ทรัพย์สินน้ันไดร้ ับความเสียหายโดยส้นิ เชิง ผู้
เอาประกนั ไมอ่ าจคตคา 88 หายไดส้ ูงเหมอื นกับตอนทีท่ าสัญญาใหม่ ๆ

3.3 สิทธิขอลดจานวนเงินซึ่งเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภยั มีสิทธิที่จะขอลด จานวนเงิน
ซ่ึงเอาประกันได้ เมื่อมลประกันภัยได้ลดลงเป็นจานวนมาก ซึ่งนอกจากจะขอลดจานวน เงินที่เอา
ประกันภัยแล้วยังจะขอลดค่าเบี้ยประกันได้อีกด้วย สาหรับกรณีท่ีมูลประกันภัยลดลง จานวนไม่มาก
จะไม่สามารถขอลดจานวนเงินทเ่ี อาประกันภัย และเบยี้ ประกนั ได้

3.4 สิทธิเรียกให้ผู้รับประกันภัยหาหลักประกัน เมื่อผู้รับประกันภัยต้อง คาพิพากษาให้
เป็นบุคคลล้มละลาย ก็เท่ากับวา่ ผู้รับประกันภัยจะไม่มีความสามารถในการจา่ ยค่า สินไหมทดแทนได้
ผู้เอาประกันภัยสามารถท่ีจะให้ผู้รับประกันภัยหาหลักประกันตามสมควรแก่หน้ี ที่ผู้รับประกันภัย
จะต้องจ่ายเมื่อเกิดภัยขึ้น หรือหากไม่ให้หาหลักประกัน ผู้เอาประกันภัยก็มีสิทธิ บอกเลิกสัญญาได้

3.5 สิทธิบอกเลิกสัญญาประกันวินาศภัย สิทธิการบอกเลิกสัญญาประกันภัยนั้น มี 3
ประการ ดงั น้ี

• สิทธบิ อกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
- มาตรา 782 บัญญัตวิ ่าผู้เอาประกันภยั สามารถบอกเลิกสัญญาใด ตราบใดท่ยี ังไม่

ถงึ กาหนดเวลาเริ่มต้นของสัญญา
- มาตรา 786 บัญญัติว่าผู้เอาประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญา เม่ือศาลพิพากษา

ให้ผู้รับประกันภัยเป็นบคุ คลล้มละลาย
• สทิ ธิบอกเลกิ สัญญาตามพระราชบญั ญตั ิประกันภัย พ.ศ. 2510
- มาตรา 21 วรรค 4 บัญญัติว่าผู้เอาประกันภยั สามารถบอกเลกิ สญั ญา ไดเ้ ม่อื ผู้รับ

ประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันภัยโดยใช้แบบหรือข้อความ ท่ีนายทะเบียนยังมิไดใ้ ห้ความเหน็ ชอบ
- มาตรา 30 (1) เมื่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้ามีคาส่ังให้ลดจานวนเงิน ซึ่งเอา

ประกันภยั หรอื ลดทุนประกนั ภัยลง หลังจากที่ตรวจพบว่าราคา ทรัพยส์ ินทีเ่ อาประกันภยั มีมลู ค่าน้อย
กวา่ จานวนเงินซ่งึ เอาประกันมาก กฎหมายเปิดโอกาสให้ผเู้ อาประกนั ภยั ตดั สินใจวา่ จะบอกเลิกสัญญา
หรือจะทาประกันภัยตอ่ ไป

• สทิ ธบิ อกเลกิ สัญญาตามท่รี ะบุไว้ในกรมธรรมป์ ระกนั ภยั
4. หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้เอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่และความ
รับผดิ ชอบ ดงั ต่อไปน้ี

4.1 หน้าที่ชาระเบ้ียประกนั ภัย ผูเ้ อาประกันภยั มีหน้าทีท่ ีจ่ ะต้องชาระคา่ เบี้ยประกัน ให้แก่
ผู้รับประกันภัยตามจานวนและกาหนดเวลา รวมไปถึงวิธีการส่งตามท่ีระบุไว้ในกรมธรรม์ ประกันภัย
เพือ่ เป็นการตอบแทนการเสีย่ งภยั ให้แก่ฝา่ ยผรู้ บั ประกนั ภัย

4.2 หน้าที่บอกกล่าวผู้รับประกันภัยเม่ือเกิดวินาศภัย เมื่อเกิดภัยขึ้น ผู้เอา ประกันภัย
จะต้องรีบแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบทันทีหรือภายในเวลาอันสมควร หากบอกกล่าว ล่าช้าจะทาให้
ร่องรอย หรือหลักฐานอันเป็นสาเหตุของความเสียหายสูญหายไปทาให้ไม่สามารถ พิสูจน์สาเหตุที่
แทจ้ ริงได้

4.3 หน้าท่ีปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญา ผู้เอาประกันภัยจะต้องปฏิบัติ ตามข้อกาหนดท่ีมี
อยใู่ นกรมธรรมป์ ระกนั ภยั

5. สิทธิและความรับผิดในส่วนท่ีเก่ียวกับการโอนวัตถุท่ีเอาประกันภัยและการโอ
กรมธรรม์ประกันภัย เก่ียวกับการโอนวัตถุท่ีเอาประกันภัยและการโอนกรมธรรม์ประกันภัย
มี รายละเอียดดังนี้

5.1 การโอนวัตถุที่เอาประกัน กฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับการโอนวัตถุท่ีเอาประกันไว้
ดงั น้ี

- เมื่อผู้เอาประกันภัยได้ทาพินัยกรรมยกวัตถุที่เอาประกันให้แก่ผู้ใดผู้นั้นสามารถ
เข้ารับสิทธิตามสัญญาประกันภัยของผู้ทาพินัยกรรมทุกประการ การโอนเช่นนี้จัดเป็นการโอนทาง
พนิ ยั กรรม

- หากผู้เอาประกันภัยต้องการโอนวัตถุท่ีเอาประกันให้แก่ผู้ใดต้องแจ้งให้ผู้รับ
ประกนั ภยั ทราบอาจดว้ ยวาจาหรือลายลกั ษณ์อักษรตามแต่ผู้เอาประกนั ภัยจะเลอื กปฏิบัติ ซึ่งการโอน
เชน่ นีจ้ ัดเป็นการโอนทางนิติกรรม

5.2 การโอนกรมธรรม์ประกันภัย การโอนกรมธรรม์ประกันภัย หมายถึง การเปลี่ยนตัว
ผรู้ บั ประกนั ภัยคนเดิม มาเปน็ ผู้รบั ประกนั ภยั คนใหม่ ผู้รับประกันภัยคนใหม่จะต้องเข้ารบั ชว่ งความรับ
ผิดต่อผ้เู อาประกันภยั ตามสญั ญาประกันภยั ทมี่ อี ย่เู ดมิ

6. สิทธแิ ละความรับผิดของผู้รับประโยชน์ ผู้รับประโยชน์ หมายถึง บุคคลผู้จะพึงได้ รับค่า
สินไหมทดแทนหรือรับจานวนเงินท่ีผู้รับประกันภัยใช้ให้ กรณีของการประกันวินาศภัยส่วนใหญ่ผู้เอา
ประกันภัยจะเป็นผู้รับประโยชน์เสียเอง หากกรณีท่ีในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้ระบุผู้เอา ประกันภัย
เป็นผู้รับประโยชน์ แต่ให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ก็ถือได้ว่าสัญญาประกัน วินาศภัยนี้เป็น
สัญญาเพอ่ื ประโยชน์ของบุคคลภายนอก สาหรบั สทิ ธิและความรบั ผิดของผ้รู บั ประโยชน์มดี ังนี้

6.1 สิทธิของผรู้ ับประโยชน์ สิทธขิ องผู้รับประโยชน์น้นั มอี ยปู่ ระการเดียวคอื การได้รบั ค่า
สินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเม่ือเกิดภัยข้ึน การใช้สิทธิของผู้รับประโยชน์จะต้อง ปฏิบัติตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 374 ได้แก่

- ต้องแสดงเจตนาไปยังผู้รับประกันภัยว่าตนจะถือเอาประโยชน์จากสัญญา
ประกันภัย

- เรียกร้องคา่ สินไหมทดแทน โดยการเรียกรอ้ งค่าสินไหมทดแทนนจ้ี ะกระทาไปพรอ้ ม
กับการแสดงเจตนาตามทีก่ ลา่ วขา้ งต้น

6.2 ความรับผิดของผู้รับประโยชน์ ความรับผิดหรือหน้าที่ที่ผู้รับประโยชน์จะต้องกระทา
คือจะต้องบอกกล่าววินาศภัยแก่ผู้รับประกันภัย กรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นคนละคนกับผู้รับ
ประโยชน์ ถึงแม้ว่าผู้เอาประกันภัยจะได้แจ้งวินาศภัยแก่ผู้รับประกันภัยแล้ว ผู้รับประโยชน์ก็ยังต้อง
แจ้งอีกโดยไม่ต้องคานึงว่าผู้เอาประกันภัยได้แจ้งไว้แล้ว ทั้งนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าท่ีของผู้รับ
ประโยชน์

7. อายคุ วาม สทิ ธเิ รียกร้องทีม่ ีอายุความ 2 ปี มีดังต่อไปนี้
- การเรยี กร้องขอค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกนั ภัย (นับแตว่ นั เกิดวินาศภยั )
- การเรยี กร้องของผู้รับประกนั ภัยให้ผูเ้ อาประกันภยั จา่ ยค่าเบ้ยี ประกนั (โดยเริม่ นับ ต้ังแต่

วนั ท่ีถึงกาหนดชาระ)
- การเรียกคืนค่าเบี้ยประกันของผู้เอาประกันภัย ซึ่งอาจเน่ืองด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น

สญั ญาเป็นโมฆะ มกี ารบอกเลิกสญั ญา เป็นต้น
3. การประกันค้าจุน

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “การประกนั ภัย
ค้าจุน คือสัญญาประกันภัยซ่ึงผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนาม ของผู้เอา
ประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอนั เกิดข้ึนแกบ่ ุคคลอีกคนหน่ึงและซงึ่ ผเู้ อาประกันภยั จะตอ้ งรับผิดชอบ”
จึงอาจกล่าวได้ว่า ประกันภัยค้าาจุนเป็นการประกนั วินาศภัยอย่างหนึ่งท่ีมิได้มีวัตถุ ในการประกันภัย
เป็นทรพั ย์สินเท่าน้นั แต่เปน็ การประกันความรบั ผิดท่ีผเู้ อาประกนั ภยั จะต้อง รบั ผดิ ชอบด้วย

จากข้อความข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การประกันภัยค้าจุนต่างจากการประกันวินาศภัย
ทั่วไปตรงท่ีว่าสัญญาการประกันวินาศภัยท่ัวไปผู้รับประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอา
ประกันภัยเมื่อมีวินาศภัยเกิดขึ้น หากเป็นสัญญาประกันภัยค้าจุนผู้รับประกันภัยจะเข้ามารับผิดท่ี
ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดแก่บุคคลอ่ืน โดยการชดใช้ของผู้รับประกันภัย
จะต้องเป็นความรับผิดที่เก่ียวกับกฎหมายเท่าน้ัน หากเป็นเร่ืองหนี้ทางศีลธรรมหรือเป็นเร่ืองให้กัน
โดยเสน่หาน้ันไม่ต้องรับผิดชอบ เก่ียวกับความรับผิดของผู้รับประกันภัยน้ันในสาระสาคัญของการ
ประกันภัยค้าจุน กาหนดให้ผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกในนาม
ของ ผู้เอาประกันภัย ดังนั้นหากเกิดภัยขึ้นแล้วผู้รับประกันภัยไม่ปฏิบัติตามสัญญาคือไปต่อ
บคุ คลภายนอกผ้เู อาประกนั ภัยมีสิทธิทจ่ี ะฟอ้ งร้องใหผ้ ู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาได้ เงินที่ได้จาก
การฟ้องรอ้ งนีก้ ็เพือ่ นาไปชดใชแ้ กบ่ ุคคลภายนอกนนั่ เอง

การรับช่วงสิทธิในการประกันภัยค้าจุน เม่ือผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล
บุคคลอื่นไปแล้ว ผู้รับประกันภัยไม่มีสิทธิในการไล่เบี้ยเอากับผู้เอาประกันภัยเพราะผู้เอาประกันน้ัน
ได้ชาระค่าเบี้ยประกันแล้ว แต่กรณีท่ีผู้อ่ืนเป็นผู้ก่อความผิดโดยท่ีผู้เอาประกันจะต้องร่วมรับผิดด้วย
ผู้รับประกันภัยก็มีสิทธิไล่เบ้ียได้ เช่น นายจ้างเป็นผู้เอาประกัน ลูกจ้างไปกระทาผิดต่อบุคคลอ่ืน
หลังจากที่ผู้รับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลอื่นไปแล้ว ผู้รับประกันภัยมีสิทธิ ไล่เบี้ยเอา
แกล่ ูกจ้างได้

ผู้เสียหายเองก็มีสทิ ธิทจ่ี ะเรียกร้องค่าเสียหายโดยตรงจากผูร้ ับประกนั ภัยได้ โดยการฟ้องร้อง
น้ันผู้เสียหายจะต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาด้วย โดยจานวนค่าสินไหม
ทดแทนท่ผี ู้เสียหายมสี ทิ ธิเรยี กร้องนน้ั จะตอ้ งไม่เกนิ จานวนเงนิ ทีผ่ ูเ้ อาประกันภัยได้เอาประกันไว้

4. การประกันภัยรับขน
การประกันภัยรับขน เป็นสัญญาประกันภัยท่ีผู้รับประกันภัยให้ความคุ้มครองวินาศภัย

ทุก อย่างที่จะเกิดขึ้นแก่ของที่ขนส่งตั้งแต่ผู้ขนส่งได้รับของไปจนของนั้นถึงมือผู้รับตราส่ง (ผู้รับของ)
โดยจานวนค่าสินไหมทดแทนน้ันใหก้ าหนดตามราคาของที่ขนสง่ ณ ตาบลปลายทาง

สัญญาประกันภัยรับขนแตกต่างจากสัญญาประกันวินาศภัยทั่วไปตรงที่ว่า สัญญาประกัน
วินาศภัยจะระบุประเภทของภัยที่รับเสียงไว้ เช่น ประกันเฉพาะวินาศภัยฟ้าผ่า ประกันวินาศภัย
เฉพาะอัคคีภัย เป็นต้น แต่การประกันภัยรับขนจะให้ความคุ้มครองทุกภัยท่ีจะเกิดซ่ึงจะทาให้ของ ที่
ขนส่งได้รับความเสียหาย นับต้ังแต่ท่ีผู้ขนส่งได้รับของไปจนของนั้นถึงมือผู้รับตราส่ง จานวนค่า
สนิ ไหมทดแทนนน้ั ใหก้ าหนดตามราคาสินค้า ณ ตาบลท่นี าของไปส่ง

การตกลงมูลประกันภัยหรือราคาแห่งส่วนได้ส่วนเสียเพ่ือกาหนดจานวนค่าสินไหมทดแทนน้ัน
ใหค้ านวณจากราคาของท่ีต้นทาง บวกด้วยค่าระวางจนของถึงปลายทาง บวกด้วยค่าใช้จ่าย อนื่ ๆ เช่น
คา่ บรรจุหีบห่อเพื่อให้สะดวกและปลอดภัยในการขนส่ง เป็นต้น และยังอาจรวมกาไรท่ี อาจได้รับเข้า
ไปกับมูลประกันภยั ด้วย
5. การประกันภยั ต่อ

การประกันภัยต่อเป็นการประกันภัยความรับผิดของผู้รับประกันภัยคนแรก ท่ีมีการโอน
สว่ นหน่ึงหรือท้ังหมดของการประกันภัยนั้นให้บริษัทอ่ืน ด้วยอาจมีเหตุผลที่ว่าการประกันภัยบางราย
มีจานวนเงินท่ีเอาประกันหลายพันล้าน บริษัทไม่สามารถรับการเส่ียงภัยไว้เองได้ท้ังหมด
จึง จาเป็นต้องหาบริษัทผู้รับประกันรายอื่นเข้ามาร่วมรับภาระการเสี่ยงด้วย บริษัทท่ีโอนการเส่ียงให้
บริษัทอ่ืน เรียกว่า “บริษัทผู้เอาประกันภัยต่อ (Ceding Company)” ส่วนบริษัทที่ยอมรับโอนการ
เสี่ยงภัยไว้ เรียกว่า “บริษัทผู้รับประกันภัยต่อ (Reinsurer)” ในการประกันภัยต่อนี้บริษัทผู้รับ
ประกันภัยต่อจะได้รับผลตอบแทนในรูปของค่าบาเหน็จจากผู้เอาประกันภัยต่อ ซ่ึงอัตราค่า บาเหน็จ
จากการประกันภัยต่อขึ้นอยู่กับประเภทของการประกันภัย เช่น การประกันอัคคีภัย การประกันภัย
ทางทะเล การประกนั ภัยรถยนต์ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของการประกนั ภัยตอ่
1. ช่วยใหบ้ รษิ ัทกระจายการเส่ียงภัยเพมิ่ ขึน้ และสามารถรับประกนั ภัยรายใหญ่ๆ ได้
2. ช่วยใหค้ วามคุ้มครองแก่ผู้ถอื กรมธรรมม์ ากขึ้น
3. ช่วยในการปรับปรงุ จานวนเบยี้ ประกัน
4. ช่วยใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นธุรกิจระหว่างบรษิ ทั รบั ประกนั ภัย
5. ช่วยในการจดั สรรเงินสารองสาหรบั เบ้ยี ประกนั ภัยทย่ี ังไมถ่ ือเป็นรายได้

ใบความรู้ ชอ่ื วิชา การประกนั ภยั
รหสั วิชา 2202 – 2107 สอนคร้งั ที่ 8–9 ชัว่ โมงท่ี 29-36
หนว่ ยท่ี 4 ประเภทของการประกันวนิ าศภยั
ช่อื เรื่อง ประเภทของการประกนั วนิ าศภยั จานวน 8 ชัว่ โมง

1. สาระสาคญั
การประกนั วินาศภยั เป็นการประกนั ภยั ทุกประเภททน่ี อกเหนือจาก การประกนั ชวี ติ โดยผู้รับ

ประกันภัยตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ผู้เอาประกันภัยหากทรัพย์สินที่ทาประกันภัยไว้เกิด
ความสูญเสีย หรือเสียหายจากภัยต่างๆ ซึ่งความเสียหายนั้นสามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้วิธีการ
หน่ึงท่ีเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ประกอบธุรกิจจะแบ่งเบาภาระความเสียหายท่ีอาจจะเกิดขึ้นเน่ืองจาก
ภัยต่างๆ ก็คือ การทาประกัยภัยไว้กับบริษัทประกันภัย สัญญาการประกันภัยวินาศภัยท่ีนิยมทากัน
มีหลายชนิด เช่น การประกันอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเล การประกันภัยขนส่ง การประกันภัย
อุบัตเิ หตุ การประกนั ภยั เบ็ดเตลด็ ต่างๆ เปน็ ตน้

2. สมรรถนะประจาหนว่ ยการเรยี นรู้
2.1 จดุ ประสงคท์ ั่วไป
เพ่ือใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับประเภทของการสัญญาประกันภยั
2.2 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
2.2.1 เลือกประเภทของการทาวนิ าศภยั ไดอ้ ย่างถูกต้อง
2.2.2 แสดงเจตคติทดี่ แี ละกิจนิสัยทีด่ ตี อ่ การศึกษาการประกนั ภัย

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรยี นอธิบายรายละเอียดของการประกนั อัคคภี ัยได้
2. นักเรยี นอธบิ ายรายละเอยี ดของการประกันภัยทางทะเลและการขนสง่ ได้
3. นกั เรียนอธิบายรายละเอียดของการประกันภยั รถยนต์ได้
4. นักเรียนอธบิ ายรายละเอยี ดของการประกันภยั อสิ รภาพได้
5. นักเรยี นอธบิ ายรายละเอียดของการประกนั ภัยเบด็ เตลด็ ได้
6. นักเรยี นอธิบายรายละเอียดของการประกันอุบัตเิ หตเุ อื้ออาทรได้

4. สาระการเรยี นรู้
1. การประกันอัคคีภัย

การประกันอัคคีภัยเป็นการประกันวินาศภัยอย่างหน่ึงท่ีมีความแตกต่างไปจากการประกัน
วินาศภัยท่ัวไปในบางเร่ือง บทบัญญัติในมาตรา 27 ถึงมาตรา 30 กาหนดวิธีการควบคุมการ ประกัน
อคั คภี ยั ไวด้ ังนี้

1. เมื่อบริษัทผู้รับประกันได้รับทาประกันอัคคีภัยรายใดแล้วให้ย่ืนรายการเก่ียวกับการ
ประกันภัยตามแบบที่นายทะเบียนกาหนด ต่อเจ้าหน้าท่ีภายใน 3 วัน นับจากวันท่ีรับทาสัญญา
ประกนั อัคคภี ัย

2. เม่ือพนกั งานเจ้าหน้าท่ไี ด้รับรายการแล้วถา้ เห็นสมควรจะทาการตรวจสอบราคาทรพั ย์ สิน
ทีเ่ อาประกนั กส็ ามารถกระทาได้

3. ถ้าผู้เอาประกันภัยหรือผู้ท่ีเกี่ยวข้องไม่ให้ความสะดวก ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีรายงาน ต่อ
อธิบดี ถา้ อธิบดีเหน็ สมควรจะมคี าสัง่ ระงบั สญั ญาประกันอัคคีภัยนัน้

4. ถ้าพนักงานเจ้าหน้าท่ีตรวจสอบพบว่าจานวนเงินท่ีเอาประกันน้ันมากกว่าราคาทรัพย์สิน
ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีรายงานต่ออธิบดี เพ่ือให้อธิบดีสั่งให้ลดจานวนเงินที่เอาประกันภัยลงมาเท่าก
อธิบดเี ห็นสมควร

5. เม่ืออธิบดีส่ังให้ลดจานวนเงินท่ีเอาประกันลงแล้ว หากผู้เอาประกันภัยไม่พอใจ บอกเลิก
สญั ญาประกันอคั คีภัยได้ โดยให้กระทาภายใน 3 วัน นับแตว่ ันทีไ่ ดร้ ับแจ้งจากอธิบดี

6. เม่ือผู้เอาประกันภัยได้รับทราบการลดจานวนเงินที่เอาประกันภัยแล้วไม่บอกเล็ก สัญญา
ภายในเวลาทีก่ าหนด (3 วัน) ใหถ้ อื ว่าการประกันภยั รายนั้นมีจานวนเงนิ ซ่ึงเอาประกันภัย ตามจานวน
ที่อธิบดีส่ัง และให้บริษัทผู้รับประกันภัยลดจานวนเงินค่าเบ้ียประกันลงตามจานวนเงิน ที่เอาประกัน
และคนื คา่ เบี้ยประกันส่วนทเ่ี กินให้แกผ่ ูเ้ อาประกันภัย

กรมธรรม์ประกนั อัคคีภยั ถอ้ ยคาและคาบรรยายในกรมธรรมป์ ระกันอัคคีภัยมีคาจากัดความ
ดังต่อไปน้ี

1. กรมธรรม์ประกันภัย หมายความถึง ใบคาขอเอาประกันภัย ตารางกรมอ 3 เง่ือนไข
ขอ้ ยกเว้น ขอ้ กาหนด เอกสารแนบท้าย ขอ้ ระบพิเศษ ข้อรับรอง และใบสลักหลังกรมธรรม์ ประกันภัย
ซึ่งถอื เปน็ สว่ นหนงึ่ แหง่ สญั ญาประกนั ภัยเดยี วกนั

2. บรษิ ทั หมายความถึง ผรู้ บั ประกนั ภัยตามกรมธรรมป์ ระกันภยั ฉบับน้ี
3. ผเู้ อาประกันภัย หมายความถึง บุคคลหรือนิติบุคคล ตามที่ปรากฏชื่อเป็นผเู้ อา ประกันภัย
ในหน้าตารางกรมธรรม์ ซ่ึงตกลงจะชาระเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัท
4. ความเสียหาย หมายความถึง การสูญเสียหรือเสียหายไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน อันเกิด
จากภัยทไ่ี ดร้ ับความค้มุ ครองท่ีเกดิ ข้ึนแก่ทรัพยส์ ินทเ่ี อาประกนั ภยั ภายใตก้ รมธรรม์ ประกันภัยฉบบั นี้
5. ความเสียหายสืบเนื่อง หมายความถึง ความเสียหายทางการเงินซึ่งเป็นผลสืบเน่ือง และ
นอกเหนอื จากความเสียหายทางวัตถุอันเกิดจากภยั ท่ีเอาประกนั ภยั ไว้
6. อัคคีภัย หมายความถึง ไฟไหม้ หรือฟ้าผ่า หรือการระเบิดของแก๊สเฉพาะที่ได้ กาหนดไว้
วา่ ไดร้ บั ความค้มุ ครองตามกรมธรรมป์ ระกนั ภยั ฉบับนี้
ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย เพื่อเป็นการตอบแทนเบี้ยประกันภัยที่ ผู้เอา
ประกันภัยต้องชาระให้แก่บริษัทในการเอาประกันภัยทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
ฉบบั นี้ บริษัทให้สัญญาตอ่ ผเู้ อาประกันภัยทรัพย์สนิ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ หากว่า
ทรัพยส์ ินท่ีเอาประกันภัยไว้ได้รบั ความเสียหาย เนอ่ื งจาก
1. ไฟไหม้ แตไ่ มร่ วมถงึ ความเสยี หาย

• จากแรงระเบิด อันเป็นผลมาจากไฟไหม้ เว้นแต่แรงระเบิดของแก๊สท่ีใช้สาหรับทา แสง
สวา่ งหรือประโยชนเ์ พ่อื การอยอู่ าศยั

• จากโดยตรงหรือโดยอ้อมจากแผน่ ดินไหว
• ต่อทรัพย์สินที่เอาประกันอันเกิดจากการบูดเน่าหรือการระอุตามธรรมชาติหรือการ ลุก
ไหม้ข้ึนเองเฉพาะที่เกิดจากตัวทรัพย์สินน้ันเองเท่าน้ัน หรือการที่ทรัพย์สินน้ันอยู่ ในระหว่างกรรมวิธี
ใดๆ ซงึ่ ใช้ความร้อนหรือการทาใหแ้ ห้ง
2. ฟ้าผา่
3. แรงระเบิดของแก๊สที่ใช้สาหรับทาแสงสว่างหรือประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่าน้ัน แต่ไม่
รวมถงึ ความเสียหายจากการระเบิดของแก๊สจากแผ่นดนิ ไหว
4. ความเสียหายเนอ่ื งจากภัยเพิ่มพเิ ศษทไ่ี ดร้ ะบุไว้ชัดเจนในกรมธรรมป์ ระกันภัย
ความรบั ผิดชอบของบริษทั ภายใตก้ รมธรรมฉ์ บับนีจ้ ะไม่เกิน
1. จานวนเงินท่ีเอาประกันภัยไว้ท้ังหมด หรือจานวนเงินท่ีเอาประกันไว้ตามรายการแต่ละ
รายการในขณะทีเ่ กิดความเสียหาย
2. จานวนเงินเอาประกันภัยที่คงเหลืออยู่ภายหลังจากหักมูลค่าความเสียหายท่ีเกิดข้ึนใน
ระหว่างระยะเวลาท่ีเอาประกันภัยเดียวกัน เว้นแต่บริษัทได้เคยตกลงไว้ก่อนแล้วในกรมธรรม์
ประกันภัยฉบับนี้ ให้จานวนเงินท่ีเอาประกันภัยท่ีคงเหลืออยู่น้ันกลับเต็มจานวนดังเดิมโดยผู้เอา
ประกนั ภัยตกลงท่ีจะชาระเบ้ียประกันภัยเพม่ิ เตมิ
ภัยท่ีไมไ่ ด้รบั ความคมุ้ ครอง กรมธรรม์ประกันอัคคภี ยั จะไมค่ มุ้ ครองภยั ดังต่อไปน้ี
1. ความเสียหายซึ่งเกิดจากสงคราม การรุกราน การกระทาท่ีมุ่งร้ายของศัตรูต่างชาติ
หรือการกระทาที่มุ่งร้ายคล้ายสงคราม ไม่ว่าจะมีการประกาศสงครามหรือไม่ก็ตาม หรือสงคราม
กลางเมือง การแข็งข้อ การกบฏ การจลาจล การนัดหยุดงาน การก่อความวุ่นวาย การกระทาของ
ผู้ก่อการรา้ ย การปฏิวัติ การรัฐประหาร การประกาศกฎอัยการศึก หรือเหตุการณใ์ ดๆ ซึ่งจะเป็นเหตุ
ใหม้ กี ารประกาศหรือคงไวซ้ ึง่ กฎอัยการศึก
2. ความเสยี หายทเี่ ปน็ ผลโดยตรง หรือโดยออ้ มจากสาเหตุดังน้ี
3. การแผร่ ังสี หรือการแพร่กัมมันตรังสีจากเชื้อเพลิง นิวเคลยี ร์หรือจากการนิวเคลียร์เด อัน
เนือ่ งมาจากการเผาไหมข้ องเชอื้ เพลงิ นิวเคลยี ร์
4. การระเบิดของกัมมันตรังสี หรือส่วนประกอบของนิวเคลียร์หรือทรัพย์อันตรายอน” อาจ
เกิดจากการระเบิดในกระบวนการนวิ เคลยี ร์ได้
5. ความเสียหายต่อทรัพยสินซ่ึงเกิดขึ้นในขณะที่ผ็เอาประกันสามารถเรียกร้องค่าเสียหาย
หรอื มีสทิ ธไิ ดร้ ับการชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนจากกรมธรรมป์ ระกันทางทะเล
6. ทรพั ย์สนิ ต่อไป เว้นแต่จะไดร้ ะบไุ วโ้ ดยชัดแจง้ เป็นอยา่ งอ่ืนในกรมธรรมป์ ระกันภยั ฉบับน้ี
7. สินคา้ ทีอ่ ยใู่ นการดแู ลรกั ษาของผเู้ อาประกันในฐานะผรู้ ับฝากทรัพย์
8. เงนิ แทง่ หรือเงนิ รู้ประพรรณ หรือทองคาแท่ง หรือทองรู้ประพรรณ หรืออัญมณี
9. โบราณวัตถุหรือสาเนาเอกสาร แบบแปลน แผนผัง ภาพเขียน รูปออกแบบ ลวดลายแบบ
หรือแบบแมพ่ มิ พ์หรอื แมพ่ ิมพ์

10. ต้นฉบับหรือสาเนาเอกสาร แบบแปลน แผนผัง ภาพเขียน รูปออกแบบ ลวดลายแบบ
หรือแบบพมิ พห์ รอื แมพ่ ิมพ์

11. หลักประกันหนีส้ ิน หลักทรัพย์ เอกสารสาคัญต่างๆ ไปรษณยี ากร อากรแสตมป์ เงินตรา
ธนบัตร เชค็ สมุดบัญชี หรอื สมดุ หนังสือเก่ียวกบั ธรุ กิจใดๆ

12. วัตถุระเบดิ
13. ไดนาโม หม้อแปลงไฟฟ้า เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า แผงควบคุมไฟฟ้า อุปกรณ์
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ หรือเคร่อื งใช้ไฟฟ้าอ่ืนๆ ซ่ึงได้รับความเสยี หายเน่ืองจากหรือเพราะการ เดินเครือ่ งเกิน
กาลัง หรอื การได้รับกระแสไฟฟา้ เกนิ กาลงั หรือไฟฟ้าลดั วงจร รวมถึงไฟฟ้าลัดวงจร จากฟ้าผา่ เฉพาะ
เครอื่ งทเี่ กิดการเสียหายในกรณดี งั กลา่ ว
14. ความเสียหายต่อเนื่องใดๆ ทุกชนิด เว้นแต่การสูญเสียรายได้จากค่าเช่าที่ได้ระบุไว้ใน
กรมธรรมป์ ระกนั ภัยฉบบั นว้ี า่ ได้รบั ความคมุ้ ครอง
15. ความเสียหายจากการเผาทรัพย์สิน โดยคาสั่งเจ้าหน้าท่ี หรือพนักงานผู้มีอานาจตาม
กฎหมาย
เงอื่ นไขท่ัวไปในการรบั ประกนั ภัย มดี งั ต่อไปน้ี
1. การประกันทรัพย์สินต่ากว่ามูลค่าแท้จริง ในกรณีที่เกิดความเสียหายข้ึนแก่ทรัพย์ สินท่ี
เอาประกันภยั และปรากฏว่าทรัพยส์ ินนั้นมูลคา่ สงู กว่าจานวนเงนิ ท่ีได้เอาประกนั ภยั ไว้ สว่ นท่ี เหลือผู้
เอาประกนั ภัยจะต้องรบั ภาระเอง
2. การตกเป็นโมฆียะของกรมธรรม์ประกันภัย ถ้าได้มีการบรรยายคลาดเคลื่อนใน
สาระสาคัญแห่งทรัพย์สินท่ีเอาประกันภัยหรือในสาระสาคัญแห่งส่ิงปลูกสร้างหรือสถานที่ต้ังของ
ทรัพย์สินหรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หรือในข้อความอันเป็นสาระสาคัญอันจาเป็นต้องรู้เพื่อการ
ประเมินความเสี่ยงภัย หรือเพ่ือการกาหนดเบ้ียประกันหรือมีการละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง
ดังกล่าวนั้นให้ถือว่าสัญญาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ตกเป็นโมฆ์ยะและบริษัททะ ไว้
ซึ่งสทิ ธใิ นการบอกล้างสญั ญาประกนั ภัยนภ้ี ายในระยะเวลาทก่ี ฎหมายกาหนด
3. หน้าท่ีในการรักษาสิทธิของบริษัทเพ่ือรับช่วงสิทธิ โดยค่าใช้จ่ายของบริษัทน้ัน ผู้เอา
ประกันภัยจะต้องกระทาทุกอย่างเท่าท่ีจาเป็นหรือเท่าที่บริษัทจะร้องขอให้ทาตามสมควร ไม่ว่า ก่อน
หรือหลังการรับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทเพื่อรักษาสิทธิของบริษัทในการเรียกร้องค่าเสียหายจาก
บุคคลภายนอก
4. การผิดคารบั รอง เม่ือผู้เอาประกันภยั มีหนา้ ท่ีท่ีจะต้องปฏิบัตติ ามข้อรับรองต่างๆ ท่ี แนบ
ท้ายกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ แต่เจตนาไม่ปฏิบัติตามข้อรับรองดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินที่
เอาประกันภัยน้ันมีความเสี่ยงสูงขึ้น บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สาหรับความ
เสียหายอันเน่อื งมาจากความเส่ียงภัยท่สี งู ข้ึนนั้น
5. เงอื่ นไขการเรียกร้องและชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทน

5.1 หน้าทขี่ องผ้เู อาประกนั ภัยในการเรยี กร้องค่าสนิ ไหมทดแทน เมื่อเกดิ ความเสียหายขึ้น
มีดังนี้

- เม่ือเกิดภัยข้นึ ตอ้ งแจ้งให้บริษทั ทราบพร้อมกบั ส่งหลักฐานและเอกสาร คาเรยี กร้อง
เป็นหนังสือเกี่ยวกับความเสียหายตามท่ีเสียหายจริง และ เอกสารการประกันภัยอ่ืนๆ ท่ีผู้เอา

ประกันภัยได้ประกันภัยไว้กับบริษัทอ่ืน ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับทรัพย์สินท่ีเอาประกันภัยในกรมธรรม์

ฉบับน้ี โดยให้ ส่งเอกสารทกี่ ลา่ วขา้ งตน้ ให้บรษิ ทั ภายใน 30 วัน นบั แตว่ ันเกิดความ

- ต้องแสดงหรือจัดหาหรือแจ้งหรือมอบให้บริษัท ซ่ึงพยานหลักฐานและ รายการ

เพ่ิมเติม เช่น แผนผัง รายละเอียด สมุดบัญชี ใบสาคัญการบัญชี ใบกากับสินค้าต้นฉบับ คู่ฉบับ หรือ

สาเนาแห่งเอกสารน้ันๆ ข้อพิสูจน์และข้อความเกี่ยวกับการเรียกร้องและดับเพลิงหรือสาเหตุท่ีทาให้

เกิดอัคคีภัย และพฤติการณ์ที่ทาให้เกิดความเสียหายตามท่ีบริษัทต้องการตามสมควร แก่กรณี ท้ังน้ี

ดว้ ยคา่ จา่ ยของผเู้ อาประกันภยั เอง

- จะต้องดาเนินการและยินยอมให้บริษัทหรือตัวแทนกระทาการใดๆ ท่ีเหมาะสม ใน

การปอ้ งกันความเสยี หายอนั อาจเพ่ิมขนึ้

5.2 การชดใชโ้ ดยการเลือกทา การสร้างให้ใหม่หรือจัดหาทรัพย์สินมาทดแทน บริษัทอาจ

เลือกทาการสร้างใหใ้ หม่ หรอื จัดหาทรัพย์สนิ มาทดแทนทรัพย์สินทสี่ ูญหาย และเสียหาย

ท้งั หมด หรือส่วนใดสว่ นหน่ึงแทนการจา่ ยเงินชดใช้การสูญเสยี หรือการเสยี หายทเี่ กิดข้นึ หรอื อาจ จะ

ร่วมกับบรษิ ทั ประกันภยั อ่ืนๆ ทีเ่ ก่ยี วข้องกระทาการดังกล่าวได้

5.3 การประกันภยั ซ้าซ้อนและการร่วมเฉลี่ยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้เอา ประกันภัย

ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้บริษัททราบถึงการประกันภัยซ่ึงได้ทาไว้แล้วหรือท่ีจะมีข้ึนภายหลัง หาก

ทรัพย์สินท่ีได้เอาประกันภัยไว้ได้มีการประกันภัยกับบริษัทประกันภัยอื่น ซึ่งให้ความ คุ้มครองในภัย

เดยี วกันกับกรมธรรม์ประกันภยั ฉบับนไี้ มว่ ่าท้งั หมด หรือบางส่วน

ถ้าในขณะที่เกดิ ความเสียหายขึ้นและปรากฏว่าทรัพย์สินรายเดียวกันได้เอาประกันภัย ไว้

กับบรษิ ัทอน่ื ไมว่ ่าโดยผู้เอาประกันภัยเอง หรือโดยบุคคลอื่นใดที่กระทาในนามผู้เอาประกันภัย บริษัท

จะร่วมเฉล่ียชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกินกว่าส่วนเฉลี่ยตามจานวนเงินท่ีบริษัทได้รับ ประกันภัย

ต่อจานวนเงินเอาประกันภัยรวมทั้งส้ิน แต่ไม่เกินกว่าจานวนเงินเอาประกันภัยที่บริษัท ได้รับ

ประกันภัยไว้ และเป็นที่ตกลงว่าการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเช่นนี้บริษัทจะไม่ยกเอาลาดับการ รับ

ประกันภัยกอ่ น-หลงั ขึน้ เปน็ ขอ้ อา้ งในการเข้ารว่ มเฉล่ยี ชดใช้ความเสียหายดังกล่าว

5.4 สิทธิของบริษัทในซากทรัพย์สินท่ีได้รับความเสียหาย เม่ือมีความเสียหายใดเกิดข้ึน

แก่ทรัพย์สินท่ีเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะละท้ิงทรัพย์สินท่ีเอาประกันภัยนั้นไม่ได้และบริษัท

อาจจะ

- เรยี กร้องให้สง่ มอบทรัพย์สินท่ไี ดเ้ อาประกนั ภัยแกบ่ ริษัท

- เข้ายดึ ถอื ครอบครองทรัพยส์ ินที่ไดเ้ อาประกันภยั แก่บริษทั

- ขายหรือจาหน่ายซึ่งทรัพย์สินท่ีได้เอาประกันภัย เพ่ือประโยชน์แก่บุคคลท่ี

เกีย่ วขอ้ ง

5.5 การทุจริต บริษัทมีสทิ ธิปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหาย เนื่องจาก

การทุจรติ ของผู้เอาประกนั ภยั ในกรณดี ังต่อไปนี้

- ความเสยี หายนั้นเกดิ ขึน้ จากการกระทาโดยเจตนาหรอื การสมรู้ของผเู้ อา ประกันภัย

หรือผู้รับประโยชน์หรือบุคคลใดท่ีกระทาในนามของผู้เอา ประกันภัยหรือผู้รบั ประโยชน์ เพ่ือให้ได้รับ

ผลประโยชนจ์ ากกรมธรรมป์ ระกันภยั ฉบบั น้ี

- ผู้เอาประกันภัยหรือผู้แทนของผู้เอาประกันภัยได้กระทาการใดหรือแสดง ข้อความ
หรือเอกสารใดอันเปน็ เท็จ เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซ่งึ ผลประโยชน์ตาม กรมธรรมป์ ระกันภยั ฉบับนี้

5.6 การระงับข้อพพิ าทโดยอนญุ าโตตุลาการ
6. การระงบั ไปแห่งสัญญาประกนั ภัย ความคมุ้ ครองตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบบั น้ี เปน็ อัน
ต้องระงบั ไปทนั ทเี ม่อื

9.1 การคา้ หรือการผลิต
9.2 ทรัพยส์ นิ ซึ่งเอาประกันภยั ไว้
9.3 กรรมสิทธ์ใิ นทรัพย์สินซ่งึ เอาประกนั ภยั ไว้
9.4 สง่ิ ปลกู สรา้ งท่รี ะบไุ ว้ในตารางกรมธรรม์
9.5 ผเู้ อาประกันภัยไม่ชาระเบีย้ ประกนั ภยั เมอื่ พ้นกาหนด 60 วนั
10. การบอกเลกิ กรมธรรมป์ ระกันภยั เป็นดังนี้
7.1 บริษัทอาจบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับน้ีโดยไม่จาเป็นต้องคืนเบ้ีย ประกันภัย
หากผเู้ อาประกันภยั ทจุ ริต
7.2 บริษัทอาจบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า
เปน็ หนงั สอื ไมน่ อ้ ยกวา่ 15 วนั โดยทางไปรษณยี ์ลงทะเบียนถึงผู้เอาประกันภัย ตามทีอ่ ยคู่ ร้ัง สุดทา้ ยท่ี
แจ้งให้บริษัททราบ ในกรณีน้ีบริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยหักเบี้ยประกันภัย
สาหรบั ระยะเวลาทก่ี รมธรรมป์ ระกันภัยฉบบั นไี้ ดใ้ ชบ้ งั คบั มาแล้วออกตามสว่ น
7.3 ผู้เอาประกันภัยอาจบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับน้ีได้ โดยแจ้งให้บริษัท ทราบ
เป็นหนังสือและมีสิทธิได้รับเบี้ยประกันภัยคืน หลังจากหักเบี้ยประกันภัยสาหรับระยะเวลาท่ี
กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนไี้ ด้ใช้บงั คับมาแล้วออก โดยคิดตามอัตราเบ้ียประกันภัยระยะสั้น หรือ หาก
ยังไม่ได้ชาระเบี้ยประกันภัย ผู้เอาประกันจะต้องชาระโดยคิดตามระยะเวลาและอัตราเบ้ีย ประกันใน
ทานองเดยี วกัน
8. อายุความ
9. การบอกกล่าว
การประกันอคั คีภยั สาหรบั ที่อยอู่ าศัย
ความเป็นมา กรมธรรม์ประกันภัยสาหรับที่อยู่อาศัยได้มีการจัดทาข้ึนด้วยความร่วมมือ
ระหว่างกรมการประกันภัยและสมาคมประกันวินาศภัย โดยเป็นการพัฒนารูปแบบกรมธรรม
ประกันภัยและแยกออกมาจากกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยท่ีใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ให้มี
กรมธรรม์สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มมากย่ิงขึ้น ซึ่งในท่ีน้ีหมาย เจ้าของที่อยู่
อาศัย และเพ่ือใหส้ อดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภยั ของทอี่ ยู่อาศัย ซึ่งมีความ เม่ือเทียบกับลักษณะภัย
อื่นๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม สานกั งาน เปน็ ต้น ผู้ เจา้ ของท่อี ยู่อาศยั จะได้รบั ประโยชนจ์ าก
การทาประกันอัคคภี ัยสอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภยั
ความคุ้มครอง กรมธรรม์ประกันอัคคีภยั สาหรับท่ีอยู่อาศัยจะให้ความคมุ้ ครองความเสียหาย
ทีเ่ กดิ จาก
1. ไฟไหม้ รวมถงึ ไฟปา่ พมุ่ ไม้ พงรก และการเผาป่าเพอื่ ปราบพนื้ ที่

2. ฟ้าผ่า รวมถึงความเสียหายท่ีเกิดข้ึนต่อเคร่ืองไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกิดจากการ
ลดั วงจรเนือ่ งจากฟ้าผ่า

3. การระเบิดทุกชนิด
4. ภัยจากยานพาหนะ จากการชนโดยยานพาหนะต่างๆ รวมถึงช้าง ม้า วัว ควาย แต่ต้อง
ไมใ่ ชย่ านพาหนะของผเู้ อาประกนั ภยั เอง
5. ภัยจากอากาศยานหรือวัตถุท่ตี กจากอากาศยาน (หมายรวมถงึ จรวดและยานอวกาศ ด้วย)
ดว้ ยการชนหรือตกใส่
6. ภัยเน่ืองจากน้า
7. เกดิ ขนึ้ โดยอบุ ตั ิเหตุ
8. จากการปล่อย ร่ัวไหล ล้น
9. จากทอ่ นา้ ถงุ นา้ รวมถึง้น้าฝนท่ีผา่ นเขา้ ทางอากาศทชี่ ารุด
10. ไมร่ วมถงึ นา้ ทว่ ม และท่อประปาทแี่ ตกนอกอาคาร
ภัยท่ีซอื้ เพิ่มเติมได้
1. ภัยจากลมพายุ
2. ภัยจากลกู เห็บ
3. ภัยจากควนั
4. ภัยจากแผน่ ดินไหว
5. ภัย้น้าท่วม
6. ภัยจลาจลและนัดหยุดงาน
7. ภยั เนือ่ งจากปา่ เถอื่ นและการกระทาด้วยเจตนารา้ ย
8. ภัยระอุ
9. ภยั ระอทุ ี่มีการลกุ ไหม้ ระเบดิ
10. ภยั ต่อเครื่องไฟฟา้
การกาหนดจานวนเงินเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกการกาหนดจานวน เงิน
เอาประกันภัยได้ 2 แบบ คอื
1. แบบปกติ โดยการกาหนดจานวนเงินเอาประกนั ตามมลู คา่ ท่ีแท้จริงของทรพั ยส์ ิน (Actual
Cash Value)
2 แบบการชดใช้ตามมูลค่าทรัพย์สินท่ีเป็นของใหม่ (Replacement Cost Valuation New
For Old)
การชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทน
1. การกาหนดจานวนเงินเอาประกันภัยตามมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน บริษัทจะชดใช้
คา่ สินไหมทดแทนตามมลู คา่ ทแี่ ท้จริงของทรัพย์สิน (มูลค่าท่ีแท้จริงของทรัพย์สนิ = มูลค่าทรพั ย์ สนิ ท่ี
เปน็ ของใหม่ หกั ดว้ ยค่าเสือ่ มราคา ณ เวลาและสถานทีท่ ีเ่ กดิ ความเสียหาย)
2. การกาหนดจานวนเงินเอาประกันภัยตามมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นของใหม่ บริษัท
จะ ชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนตามมูลค่าทรพั ยส์ ินทีเ่ ปน็ ของใหม่ ณ เวลาและสถานทีท่ เ่ี กดิ ความเสียหาย
ประโยชน์เพิ่มเตมิ จากกรมธรรมป์ ระกนั อัคคีภยั มีดังนี้

1. ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองพ้ืนฐานเพ่ิมข้ึนจากกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยซ่ึงให้
ความคุ้มครองพ้ืนฐานเพียง 3 ภัย ได้แก่ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้สาหรับทา แสง
สว่างหรือประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสาหรับท่ีอยู่อาศัยให้ ความ
คุม้ ครองพืน้ ฐานเพมิ่ เปน็ 6 ภัย ดังไดก้ ล่าวไว้แลว้ ขา้ งตน้

2. ใหป้ ระโยชนก์ รณีกาหนดจานวนเงนิ เอาประกนั ภัยคลาดเคลื่อน
3. เพ่ิมเง่ือนไขให้บริษัทต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมทั้งดอกเบี้ยในฐานะลูกหน้ี ผิดนัด
ในอตั รารอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี
4. ข้อดที ีเ่ ห็นได้ชดั เจนของกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสาหรับทอ่ี ยู่อาศัยคอื เรื่องเบย้ี ประกัน
2. การประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง
การประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง หมายถึง การประกันความเสียหายแก่เรือ
และทรัพย์สินหรือสินค้าท่ีอยู่ในระหว่างการขนส่งทางทะเล และยังขยายขอบเขตความคุ้มครองไปถึง
การขนสง่ สนิ คา้ ทางอากาศและทางบก ซ่งึ ต่อเน่ืองกบั การขนส่งทางทะเลดว้ ย
ประเภทของการประกันภัยทางทะเล การประกันภัยทางทะเลและการขนส่งแบ่งออก
เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1. การประกันภัยตวั เรอื (Hull Insurance)
2. การประกนั ภยั สินคา้ (Cargo Insurance)
วัตถุที่เอาประกันภัยได้ บทบัญญัติมาตรา 3 แห่ง The Marine Insurance Act 1906 ใน
กาหนดเก่ยี วกบั วตั ถทุ ่ีสามารถเอาประกันภยั ทางทะเลได้ มดี ังน้ี
1. เรือ สินค้า และอสังหารมิ ทรัพยอ์ ื่นๆ ซ่ึงตกอยู่ภายใต้การเสย่ี งภัยทางทะเล
2. คา่ ระวาง รายได้ หรือค่าจา้ งที่ไดจ้ ากการขนสง่
3. ความรบั ผดิ ที่เจ้าของหรือผู้มีส่วนไดเ้ สียในตวั เรือหรือสินค้าอาจต้องรับผดิ ชดใช้ตอ่ บุคคลท่ี
สาม เนื่องจากเรือ สินค้า และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและ ร่างกาย
ของบคุ ลภายนอก
บุคคลผู้มีสิทธิหรือมีส่วนได้ส่วนเสียท่ีอาจเอาประกันภัยทางทะเลได้ ผู้ท่ีจะเอา ประกันภัย
ได้ต้องมีส่วนได้ส่วนเสียในเหตุที่เอาประกันภัย และย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทชดใช้ ค่าสินไหม
ทดแทนให้กับตนเองได้ ซ่งึ ผมู้ สี ่วนไดส้ ว่ นเสียดังกลา่ ว ไดแ้ ก่
1. เจ้าของ หมายถึง เจา้ ของทรัพยส์ ิน ไม่วา่ จะเป็นเจ้าของเรือ หรือเจ้าของสินคา้ ก็ สามารถ
ที่จะทาประกันได้ โดยให้เท่ากับจานวนกรรมสิทธิท์ ตี่ นมีอยูใ่ นขณะนั้น
2. ผู้ครอบครอง หมายถึง ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลทรัพย์ ซ่ึงทรัพย์น้ันปกติจะ หมายถึง
ตัวเรือ ในฐานะผู้เช่า ผู้รับมอบให้ทาการขนส่ง ผู้ยืมเพื่อใช้ในการทาธุรกิจ ซ่ึงจะต้องมี หน้าท่ี
รบั ผดิ ชอบต่อความเสยี หายที่จะเกิดขน้ึ ต่อทรัพยท์ ี่อยูใ่ นความรบั ผดิ ชอบของตน
3. ผู้รับจานอง จานา หมายถึง ผู้รับจานองเรือ เจ้าหนี้ของผู้เป็นเจ้าของเรือหรือสินค้า ท่ีอยู่
ในระหว่างการขนส่ง ย่อมมีส่วนได้ส่วนเสียเท่าจานวนท่ีตัวเองเป็นเจ้าหนี้ แต่อาจประกันเต็ม ค่าของ
ทรัพย์สนิ นั้นก็ได้

4. ผู้ขนส่ง ผู้ขนส่งเป็นผู้ท่ีมีความรับผิดในความสูญเสียหรือเสียหายที่เกิดข้ึนแก่ทรัพย์ ตน
กาลังขนส่งอยู่ จึงมีส่วนได้ส่วนเสียเท่ากับราคาทรัพย์นั้น และอาจประกันค่าระวาง ค่าขนส่ง และค่า
นายหน้าที่ไดร้ บั จากการขนส่งดว้ ย

5. ผู้รักษาผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินอาจเป็นบุคคลล้มละลาย ผู้พิทัก
ทรัพย์ทีถ่ กู แต่งตง้ั ขึน้ ยอ่ มมีสว่ นได้สว่ นเสยี ในทรัพย์นนั้ จงึ ทาการเอาประกันได้

6. ตัวแทน หมายถึง ผู้ท่ีเข้าทาสัญญาประกันภัยในนามของตัวการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย * แต่
ต้องระบวุ ่า ทาการแทนตัวการตามอานาจท่ีได้รบั มอบไว้

7. ผู้รับตราส่ง ผู้รับตราส่งหรือผู้ซื้อ อาจเป็นผู้รับผิดชอบเองในความเสียหายที่เกิดข้ึน แก
ทรัพย์ท่ีถูกส่งมาให้ ส่วนได้ส่วนเสียน้ีอาจเท่ากับจานวนเงินท่ีจ่ายไปล่วงหน้าแก่ผู้ขาย หรือ เท่ากับ
ราคาทรพั ยแ์ ลว้ แตก่ รณี

ภัยทีค่ ุม้ ครองและเง่อื นไขความค้มุ ครองในกรมธรรม์ มดี ังน้ี
1. ภัยทางทะเล (Peril Of The Sea)
2. อคั คภี ยั (Fire)
3. การทิ้งทะเล (Jettisons) หมายถงึ การเอาของทิ้งทะเลเพ่อื ใหเ้ รือเบาลง
4. โจรกรรม (Thieves) หมายถงึ การโจรกรรมอย่างรุนแรงโดยใชก้ าลังเพอ่ื ช่วงชิงทรัพย์

5. การกระทาโดยทุจรติ ของคนเรือ (Barratry) หมายถงึ การกระทาโดยมิชอบของ คนเรือ
โดยเจตนากล่ันแกล้งทุจริต ตั้งแต่นายเรือจนกระท่ังถึงลูกเรือในอันที่จะทาให้เกิดความเสีย หายแก่
ทรพั ย์สนิ และการกระทาน้นั ต้องปราศจากการรเู้ ห็นเป็นใจของเจ้าของทรัพย์

การเลือกซื้อความคุ้มครอง การเลือกซื้อความคุ้มครองมีให้เลือก 3 แบบ โดยในแต่ละ แบบ
จะใหค้ วามคมุ้ ครองไม่เท่ากนั ดังนี้

1. EP.A. (Free From Particular Average)
2. W.A. (Wirh Average)
3. All Risk
ประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเล ผู้เอาประกันสามารถเลือกซื้อกรมธรรง
ประกนั ภยั ทางทะเลได้ ดงั นี้
1. กรมธรรม์เพ่ือความคุ้มครองแก่ตัวเรือ สินค้า และค่าระวาง (Hulls , Cargoes And
Bright)
2. กรมธรรม์ที่กาหนดระยะเวลา (Time Policy) และกรมธรรมท์ ี่คุ้มครองเพ่อื การ ขนส่ง
เฉพาะคร้ัง (Voyage Policy)
3. กรมธรรม์ที่กาหนดราคาของวัตถุท่ีเอาประกันภัย (Voyage Policy) และ กรมธรรม์ท่ี
ไมก่ าหนดราคาของวัตถุทเ่ี อาประกนั ภัย (Unvalued Policy)
4. กรมธรรม์ที่กาหนดระยะเวลาแบบพเิ ศษ (Special Time Policy)
5. กรมธรรมเ์ พื่อความคุ้มครองแกเ่ รือหลายลา (Fleet Policy)
6. กรมธรรม์ท่รี ะบุช่ือเรอื (Named Policy)
7. กรมธรรม์ที่ไม่กาหนดระยะเวลา (Open Cargo Form)
8. กรมธรรมท์ ีค่ ุ้มครองทรพั ยส์ นิ ท่ีอยกู่ ระจายกนั (Blanked Policy)

9. กรมธรรมท์ ี่ใหค้ วามคุม้ ครองเปน็ พเิ ศษ (Special Hazard Policy)
ประโยชน์ของการประกนั ภัยทางทะเล
1. ทาให้พ่อค้าผู้ส่งออกไม่ต้องเส่ียงต่อการขาดทุนหรือการสูญเสียกาไรเน่ืองจากสินค้า สูญ
หายหรือเสียหายจากการขนสง่
2. จาเปน็ สาหรบั ผสู้ ่งั ซ้อื สนิ คา้ ในการขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดติ กับธนาคาร
3. ผู้รับการขนส่งมักรับผิดชอบในการขนส่งอย่างมีเงื่อนไขและจากัด การประกันภัยทาง
ทะเลจะทาให้พ่อค้าได้รับความสะดวกกว่าและได้ผลดีกว่า อีกทั้งเบี้ยประกันจะถูกกว่าค่าใช้จ่าย
และเวลาท่ีตอ้ งใชไ้ ปกับการเรียกร้องค่าชดใช้จากผรู้ ับการขนสง่ ด้วย
4. เป็นการช่วยระดมทุนเพ่ือการพัฒนาประเทศ กล่าวคือบริษัทผู้รับประกันภัยจะนาค่าเบี้ย
ประกนั ไปลงทนุ เพ่อื หาผลประโยชนท์ าให้มเี งนิ ตราท่ีจะพัฒนาประเทศไดด้ ขี ้ึน
5. เกิดการค้าขายระหวา่ งประเทศมากข้ึนพอ่ ค้าเห็นวา่ ความเส่ยี งในการขนสง่ น้อยลง
6. หากไม่มีการประกันภัย ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนเป็นความเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ แต่
หากมีการประกนั ภัยก็จะทาใหบ้ รษิ ัทประกันภัยเข้ามาแบ่งเบาภาระความเสียหาย .
7. การประกันภัยทางทะเลช่วยให้ประชาชนซอ้ื ของท่ีไมม่ ีในประเทศได้โดยแน่ใจว่าสินค้า น้ัน
จะไม่สูญหายระหวา่ งการขนสง่ ซ่ึงชว่ ยใหเ้ กิดการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
3. การประกันภยั รถยนต์
การประกันภัยรถยนต์เป็นการให้ความคุ้มครองเจ้าของรถยนต์ท่ีต้องเส่ียงภัยกับความเสีย
หายต่างๆ เช่น ไฟไหม้ ถูกขโมย เป็นต้น และนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการท่ีเจ้าของรถยนต์ได้ กระทา
ความเสียหายแก่บุคคลอื่นด้วยการทาประกันภัยรถยนต์มีทั้งภาคบังคับ ซึ่งออกมาในรูปของ การทา
ประกนั ภัยรถยนต์ตามพระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองผู้ประสบภัยจากรถ และการทาประกนั ภัย รถยนต์ภาค
สมัครใจ
ประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ แบ่ง ความ
ค้มุ ครองเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. การประกันประเภทหนึ่ง (Comprehensive Cover) ให้ความคุม้ ครองความเสียหายทเ่ี กิด
ข้ึนต่อความเสียหายของรถท่ีเอาประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยท่ีเกิดจากการชน การคว่า การโจรกรรม
การจลาจล อัคคีภัย น้าท่วม ภัยจากการลักทรัพย์อุปกรณ์ส่วนควบของรถยนต์ ความ เสียหายของ
เคร่ืองประดับตกแต่งทีเ่ พ่ิมขึ้น รวมไปถงึ ความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินของ บุคคลภายนอก
ดว้ ย การประกนั ประเภทหนึง่ ใหค้ วามคุ้มครองกว้างจึงเสยี เบยี้ ประกนั แพงกว่า ประเภทอื่น
2. การประกนั ประเภทสอง (Third Party Fire and Theft Cover) ให้ความคุ้มครองตวั รถ
คัน ท่ีเอาประกันท่ไี ดร้ บั ความเสียหายเน่ืองจากถกู ไฟไหม้ และถูกขโมย รวมไปถึงความเสียหายทเี่ กิด
ขน้ึ แก่ชวี ติ และทรัพย์สนิ ของบุคคลภายนอกเนื่องจากรถคันที่เอาประกนั ด้วย
3. การประกนั ประเภทสาม (Third Party Cover) ใหค้ วามค้มุ ครองชีวติ และทรพั ย์สินของ
บุคคลภายนอกเนื่องจากรถคันทเ่ี อาประกันภยั ในสว่ นความเสยี หายของเจา้ ของรถคนั ท่เี อา
ประกนั ภยั เจ้าของรถจะต้องรับผดิ ชอบเอง นอกจากนบ้ี างบริษทั จะให้ความคุ้มครองเพ่ิมไปถงึ การ
ประกันตัวผขู้ บั ขก่ี รณีถกู ดาเนินคดอี าญาดว้ ย

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติคุ้มครอง
ผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานเบกษา เม่ือวันท่ี 9 เมษายน 2559 มี
รายละเอยี ดดังนี้

วัตถปุ ระสงค์
ปัจจุบันรถเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของมนุษย์ ท้ังในด้านการขนส่งและการเดินทาง
เม่ือมีการขนส่งและการเดินทางมากขึ้นเท่าใดอุบัติเหตุย่อมเกิดข้ึนมามากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพื่อ เป็น
การบรรเทาความเสียหายที่เกิดแก่ผู้ประสบภัยจึงได้มีการใช้กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องมี
หลักประกันความเสียหายสาหรับผู้ประสบภัยจากรถ รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติคุ้มครอง
ผูป้ ระสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ข้ึน โดยมวี ัตถุประสงคด์ ังนี้
1. เพื่อให้ผู้ประสบภัยจากรถทุกคนได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและร่างกาย "
อย่างแนน่ อนและรวดเร็ว
2. เพ่ือเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลท่ีรับผู้ประสบภัยเข้ารักษาพยาบาลว่าจะได้รับ เงิน
ค่ารักษาพยาบาลอยา่ งแน่นอนและรวดเรว็
3. เพ่ือเป็นการสร้างหลักประกันที่ม่ันคงแก่ครอบครัวของผู้ประสบภัย ด้วยการให้ธุรกิจ
ประกันภัยรับภาระในการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และยังเป็นการแบ่งเบาภาระของ
รฐั บาลในด้านสวัสดกิ ารสงเคราะห์อกี ดว้ ย
รถท่ตี ้องทาประกันภยั ตามพระราชบญั ญตั ิ
รถท่ีตอ้ งทาประกันภัยตามพระราชบัญญตั ิคือรถทกุ ประเภททจี่ ดทะเบยี นกับกรมการ ขนสง่
ทางบก ซึง่ ไดแ้ ก่
- รถยนตเ์ กง๋ นั่งสว่ นบคุ คล
- รถยนต์โดยสารสว่ นบคุ คล และรับจา้ ง
- รถยนตบ์ รรทุกส่วนบุคคล และรับจา้ ง
- รถยนตส์ ่วนบคุ คล หัวรถลากจูง รถพ่วง
- รถแทรกเตอร์ รถอีแตน๋ รถบดถนน
- รถจกั รยานยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรอื รถเครือ่ ง
- รถสามลอ้ เครื่อง หรือรถตกุ๊ ตุ๊ก
- รถทีจ่ ดทะเบยี นในต่างประเทศและนาเขา้ มาใชใ้ นประเทศไทย
- รถอนื่ ๆ ที่จดทะเบยี นกบั กรมการขนสง่ ทางบก
รถท่ไี ดร้ ับการยกเวน้ ไดแ้ ก่
- รถสาหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และรถสาหรับ ผู้สาเร็จ
ราชการแทนพระองค์
- รถของสานักพระราชวังท่ีจดทะเบียน และมีเคร่ืองหมายตามระเบียบที่เลขาธิการ
พระราชวังกาหนด
- รถของกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล
กรงุ เทพมหานคร เมืองพัทยา และราชการสว่ นท้องถนิ่ ทเี่ รยี กว่ารถราชการ
- รถยนตท์ หารตามกฎหมายวา่ ดว้ ยรถยนตท์ หาร

วธิ ีการทาประกนั ภยั พระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
หากเจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถ จะทาประกันภัยตามกฎหมายนี้สามารถทาได้ท่ีบริษัท
ประกันภัยหรือสาขาของบริษัทประกันภัยทุกแห่ง รถประเภทเดียวกันจะเสียเบี้ยประกันเท่ากัน
เม่ือชาระเบี้ยประกันเรียบร้อยแล้วผู้เอาประกันภัยจะได้รับกรมธรรม์ประกันภัย ใบเสร็จรับเงิน
และเครื่องหมายท่ีแสดงว่ามีการประกันภัยแล้ว และจะต้องนาเคร่ืองหมายน้ันไปติดที่กระจกหน้ารถ
(สาหรบั รถยนต์) หรือทที่ ส่ี ามารถมองเหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน
การทาประกันภัยผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งข้อมูลเก่ียวกับเจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อ ทะเบียน
รถ สรี ถ ยหอ้ ประเภท และขนาดของรถ และลกั ษณะการใช้รถดว้ ย
วงเงินที่เอาประกัน
1. วงเงนิ ท่ีเอาประกนั ภยั รวมตอ่ ครง้ั เป็นดังนี้

- หา้ ลา้ นบาท สาหรบั รถท่นี ง่ั ไมเ่ กิน 7 คน หรือใช้บรรทกุ ผโู้ ดยสารรวมทัง้ ผ้ขู ับข่ี ไม่เกิน 7
คน รวมทง้ั จักรยานยนตด์ ว้ ย

- สบิ ล้านบาท สาหรบั รถที่มที ่ีน่งั เกนิ 7 คน หรือใช้บรรทกุ ผู้โดยสารทัง้ ผู้ขับข่ีเกนิ 7 คน
2. ความคุม้ ครองสาหรบั ความเสยี หายตอ่ คนตอ่ ครง้ั

- ห้าหมื่นบาทต่อคนสาหรับความเสียหายต่อรา่ งกาย
- หนึ่งแสนบาทต่อคนสาหรับความเสียหายต่อร่างกาย ซึ่งได้แก่ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้
หรือเสียความสามารถในการพูดหรือลิ้นขาต สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรือ
อวยั วะอ่ืนใด จติ พิการ และทพุ พลภาพอยา่ งถาวร
- หน่งึ แสนบาทต่อคนสาหรับความเสยี หายต่อชีวิต
บทกาหนดโทษ
หากเจ้าของรถหรือผเู้ ช่าซอ้ื รถไมป่ ฏิบตั ติ ามกฎหมาย จะต้องโทษดังต่อไปน้ี
1. หากเจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อไม่จัดให้มีการประกันภัยต้องระวางโทษปรับต้ังแต่ 10,000 -
50,000 บาท
2. หากผู้ใดนารถที่ไม่มีการจัดให้มีการประกันภัยไปใช้ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000 -
50,000 บาท
3. หากเจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถไม่ติดเครื่องหมาย ไม่ส่งคืนเคร่ืองหมาย ไม่ทาลาย
เครอ่ื งหมายเม่ือบอกเลกิ กรมธรรม์ ตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กิน 2,000 บาท
4. หากผู้ใดปลอมแปลงเครื่องหมาย ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับ
ตัง้ แต่ 10,000 บาท - 100,000 บาท
5. เจ้าของรถใดติดหรือแสดงเครื่องหมายที่ต้องส่งคืนต่อนายทะเบียนเมื่อยกเลิก กรมธรรม์
ต้องระวางโทษปรบั ตั้งแต่ 5,000 - 20,000 บาท
4. การประกนั ภยั อิสรภาพ
การประกันภัยอิสรภาพ เป็นการประกันภัยที่จัดข้ึนโดยมีแนวความคิดมาจากการที่ศาล
ยุติธรรมจะจัดระบบการประกันตัวผู้ต้องหาหรือจาเลย โดยเพ่ิมทางเลือกให้ประชาชนสามารถใช้
หนงั สอื รับรองความผดิ ของผู้รับประกนั ภัยเปน็ หลักประกันมาวางศาลได้

ศาลยุติธรรม สานักงานอัยการสูงสุด สานักงานตารวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ โดย
กรมการประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัย จึงได้ร่วมกันจัดทากรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพข้ึน เมื่อ
ประชาชนได้ซ้อื ประกนั ภัยอิสรภาพแล้ว บริษัทประกันภัยจะออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้เอา ประกันภัย
ถือไว้ หากผู้เอาประกันภัยได้ทาผิดและตกเปน็ ผตู้ ้องหาหรือจาเลยระหวา่ งระยะเวลา ประกนั ภัย ผ้เู อา
ประกันภยั จะได้รบั ความสะดวกอย่างย่ิงทีส่ ามารถใชห้ นังสือรบั รองน้ียืนแก่ เจ้าพนักงานเพ่ือใช้ในการ
ประกันตวั โดยไม่ตอ้ งหาหลักทรพั ยอ์ ่นื มาใช้เปน็ หลกั ประกนั

รูปแบบของการประกนั ภยั อิสรภาพ มี 2 รูปแบบ ดังตอ่ ไปน้ี
แบบท่ี 1 กรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพก่อนกระทาความผิด (ใช้กับบุคคลทั่วไป) ให้ความ
คมุ้ ครองกรณีที่ผู้เอาประกนั ภยั ถูกดาเนินคดีและถูกควบคุมตวั ในคดอี าญา ในฐานความผิดอันเกิด จาก
การประทาโดยประมาท บริษัทประกันภัยจะออกหนังสือรับรองตามจานวนเงินเอาประกันภัย พร้อม
กับกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยนาไปใช้เป็นหลักประกันในการขอประกันตัว ต่อเจ้า
พนักงาน และหากผเู้ อาประกันภยั ได้ใช้หนังสือรบั รองเพ่ือประกันตัวไปแล้ว แต่ยังไม่เต็ม วงเงินท่รี ะบุ
ไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย ผ้เู อาประกันภยั สามารถขอหนงั สอื รบั รองฉบบั ใหม่ ซงึ่ มวี งเงนิ ประกัน
ตวั เทา่ กับจานวนเงินเอาประกนั ภยั ทคี่ งเหลืออยู่
แบบท่ี 2 กรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพหลังกระทาความผิด (ใช้กับผู้ตกเป็นผู้ต้องหา หรือ
จาเลย) ให้ความคุ้มครองกรณีท่ีผู้เอาประกันภัยถูกดาเนินคดีและถูกควบคุมตัวในคดีอาญาในทุก
ลกั ษณะฐานความผดิ บริษัทประกันภัยจะออกหนังสือรับรองตามจานวนเงนิ เอาประกนั ภยั ให้แก่ ผู้เอา
ประกันภัย เพื่อนาไปใช้เป็นเอกสารประกันในการขอประกันตัวต่อเจ้าพนักงานตามคดีที่ระบุ ไว้ใน
ตารางกรมธรรมป์ ระกันภยั
ผซู้ อ้ื กรมธรรม์ประกนั ภัย
1. ผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยแบบท่ี 1 คือบุคคลท่ัวไป เช่น พยาบาล แม่บ้าน พนักงาน ขับรถ
ครู ทนายความ นักบญั ชี เป็นตน้
2. ผู้ซ้อื กรมธรรมป์ ระกันภัยแบบที่ 2 คือผู้ท่ีตกเปน็ ผตู้ ้องหาหรือจาเลย
ระยะเวลาความค้มุ ครอง
แบบท่ี 1 ให้ความคุ้มครองตามท่ีระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย หรือจนกว่าคดีจะถึง
ที่สดุ สว่ นแบบที่ 2 ใหค้ วามคุ้มครองนับแต่เวลาที่ไดเ้ ริ่มประกนั ตวั จนศาลชัน้ ตน้ มีคาพิพากษา หรือนับ
แต่เวลาท่ีได้เริ่มประกันตัวจนศาลอุทธรณ์มีคาพิพากษา หรือนับแต่เวลาที่ได้เร่ิมประกันตัว จนศาล
ฎกี ามคี าพพิ ากษา หรอื นบั แตเ่ วลาทไี่ ดเ้ รมิ่ ประกันตัวจนถงึ คดีทสี่ ดุ
เบย้ี ประกันภัย
- อัตราเบี้ยประกันสาหรับแบบท่ี 1 ขน้ั ต่า 0.5% ขันสูง 1% * *เอา ประกันเท่ากับ 100,000
บาท ผูเ้ อาประกนั ภยั จะจา่ ยค่าเบีย้ ประกัน 500 - 1,000 บาท
- อัตราเบ้ียประกันสาหรับแบบท่ี 2 ข้ันต่า 5% ข้ันสูง 20% เช่น หากวงเงินเอา ประกันภัย
เทา่ กบั 100,000 บาท ผ้เู อาประกนั ภยั จะจา่ ยค่าเบี้ยประกนั ภยั อยู่ระหว่าง 500 – 2,000 บาท
สว่ นลดเบี้ยประกันภยั
- หากผู้เอาประกนั ภยั มบี ุคคลค้าประกนั ตอ่ บรษิ ทั จะไดร้ บั สว่ นลด 10% ของเบยี ประกนั ภัย

- หากผู้เอาประกันภัยมีหลักทรัพย์มาวางประกันภัยร่วม จะได้รับส่วนลดค่าเบี้ย ประกันภัย
ลดลงตามสัดส่วนหลกั ประกัน

การบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย
ทั้งฝ่ายผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย ไม่สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยใน
ระหว่างระยะเวลาประกนั ภัย
การคืนเบ้ยี ประกันภัย บรษิ ัทจะคนื เบยี้ ประกันภยั ให้แกผ่ ู้เอาประกันภัย ในกรณีดังนี้
- กรมธรรมป์ ระกันภัยแบบที่ 1 เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระหว่างระยะเวลา ประกนั ภัย
โดยไม่มีการเรียกร้องให้ประกันตวั บริษัทจะคืนเบ้ียประกันภัยให้ตามอัตราเบ้ีย ประกันภัยระยะส้ันที่
กาหนดในกรมธรรมป์ ระกนั ภัย การ
- กรมธรรมป์ ระกันภยั แบบท่ี 2 เม่ือผู้เอาประกันภัยเสียชวี ิตในระหว่างระยะเวลา ประกนั ภัย
โดยไม่ผิดสัญญาประกันตวั บรษิ ทั จะคนื เบ้ียประกันภยั คร่ึงหนง่ึ ใหแ้ ก่ทายาทของผเู้ อา ประกันภยั หรือ
เม่ือเจ้าพนักงานไม่อนุญาตให้ประกันตัว บริษัทประกันภัยจะคืนเบ้ียประกันภัยให้ เต็มจานวนโดยหัก
ค่าดาเนินการ 500 บาท หรือเม่ือเจ้าพนักงานอนุญาตให้ประกันตัว แต่ภายหลัง มีคาสั่งถอนหรือ
ยกเลิกการใหป้ ระกนั ตัว หรือผู้เอาประกนั ภยั ไมต่ อ้ งการทจ่ี ะเอาประกันภัยอกี ต่อ ไป บริษัทประกันภัย
จะคืนเบี้ยประกันภัยให้ร้อยละ 20 หรือผู้เอาประกันภัยไม่ผิดสัญญาประกัน ตัวจนส้ินสุดระยะเวลา
ประกนั ภัย บริษทั ประกันภยั จะคืนเบี้ยประกนั ภัยใหร้ อ้ ยละ 20
การใช้หนงั สือรับรอง
- กรมธรรม์ประกันภัยแบบท่ี 1 กรณีไม่มีการกระทาผิดในระหว่างระยะเวลาประกันภัย
หนังสอื รับรองจะสิ้นอายตุ ามระยะเวลาประกันภัยตามระบไุ ว้ในหนา้ ตารางกรมธรรม์ประกันภัย กรณี
มีความผิดผู้เอาประกันภัยกระทาความผิดในระหว่างระยะเวลาประกันภัย แต่ยังมิได้อมตัว บริษัท
ประกันภยั จะขยายเวลาการใช้หนังสือรับรองที่แนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยออกไป 1 ปี นับแต่ส้นิ สุด
ระยะเวลาประกันภัยที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยนา ไปใช้
ประกันความผิดที่ได้กระทาข้ึนภายในระยะเวลาประกันภัยนั้น และเม่ือหนังสือรับรองได้ใช้ เป็น
หลักประกันแล้วจะมีผลผูกพันบรษิ ัทจนกว่าคดีจะถึงทีส่ ดุ
- กรมธรรม์ประกันภัยแบบท่ี 2 จะมีผลผูกพันบริษัทและใช้เป็นหลักประกันสาหรับการ
ประกนั ตัวในฐานความผิดทางอาญาจนกว่าศาลจะพิพากษา
5. การประกนั ภัยเบ็ดเตล็ด
การประกันภัยเบด็ เตลด็ เป็นการประกนั ภยั นอกเหนือจากท่ีกลา่ วมาแล้วขา้ งต้น ซึง่ ปัจจุบันมี
อยมู่ ากมาย ดงั จะยกตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
1. การประกันภัยสาหรับเงิน เม่ือผู้เอาประกันภัยต้องเส่ียงกับการดาเนินธุรกิจที่เก่ียว ข้อง
กับเงิน ไม่วา่ จะเป็นการเก็บเงินไว้ในสถานทที่ างาน หรือการเคลื่อนย้ายเงินจากท่ีหน่ึงยังอีกที่ หนึ่ง ซ่ึง
อาจจะก่อให้เกิดอันตรายและการสูญหายด้วยสาเหตุต่างๆ จึงให้ผู้รับประกันภัยเข้ามาคุ้ม ครองเงินท่ี
อาจสญู หายดว้ ยสาเหตจุ าก
- การถูกชิงทรัพย์ ซึ่งหมายถึง การลักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญ การ ใช้กาลัง
ประทุษร้ายน้ันเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์น้ันไป หรือให้ยื่นให้ซึ่ง ทรัพย์นั้น
หรอื ยึดถือเอาทรัพยน์ ้นั ไว้ หรือปกปิดการกระทาความผิดนน้ั หรอื ให้พน้ จากการจบั กุม

- การลักทรพั ยโ์ ดยใชก้ าลงั ทาลายกระจกหนา้ รา้ นเพื่อพาทรพั ยน์ ัน้ ไป
- การลักทรัพยไ์ ปจากตวั พนักงานรบั ส่งเงนิ หรอื ผู้รักษาทรัพย์ซง่ึ ถูกฆ่าหรือถกู ทารา้ ยร่างกาย
ให้ส้ินสติ
- การปลน้ ทรัพย์ ซึ่งหมายถึงการชิงทรัพย์โดยร่วมกนั กระทาตง้ั แต่ 3 คนข้ึนไป
- การโจรกรรมเงินจากตู้นิรภัยหรือห้องนิรภัย หรือการโจรกรรมตู้นิรภัยไปท้ังตู้จาก สถานที่
เอาประกันภัย
2. การประกนั ภัยโจรกรรม ตามกรมธรรมป์ ระกันภัยโจรกรรม ผเู้ อาประกนั ภยั จะได้รบั ความ
คมุ้ ครอง ดังน้ี

2.1 ความสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรพั ย์สินที่เอาประกันภยั ผู้เอาประกันภัย สามารถ
เลือกเอาประกนั ภัยได้ 3 แบบ คอื

- แบบ จร.1 คุ้มครองการลักทรัพย์ที่ปรากฏร่องรอยงดั แงะ โดยบคุ คลใดๆ ที่มิได้ ระบุ
ในข้อยกเว้นซึ่งได้เข้าไปหรือออกจากสถานท่ีที่เอาประกันภัย โดยใช้กาลังอย่างรุนแรงและทา ให้เกิด
ร่องรอยความเสียหายทเี่ ห็นได้อย่างชัดเจนต่อสถานท่ีที่เอาประกันภัยจากการเช้เครื่องมือ วัตถุระเบิด
ไฟฟ้า เคมี รวมทัง้ ความสูญเสียหรอื ความเสียหายอนั เนอื่ งมาจากความพยายาม กระทาการดังกลา่ ว

- แบบ จร.2 คุ้มครองการลักทรัพย์ท่ีปรากฏร่องรอยงัดแงะ การชิงทรัพย์ หรือการ
ปล้นทรัพย์ ความคุ้มครองแบบ จร.2 จะกว้างกว่าแบบ จร.1 โดยรวมถึงการซึ่งทรัพยและการปล้น
ทรพั ย์ด้วย

- แบบ จร.3 คุ้มครองการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ แบบ จร.3 น้ีจะกว้าง
ท่ีสุด โดยรวมถึงการลักทรัพย์ (ลักขโมย) การลักทรัพย์ หมายความว่า การเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนหรือ ท่ี
ผอู้ ่นื เป็นเจ้าของรวมอยู่ดว้ ย ไปโดยทจุ ริต

2.2 ความเสยี หายต่อตวั อาคารซงึ่ เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัย บริษัทจะชดใช้ค่า สินไหม
ทดแทนเพ่ือความเสียหายต่อส่วนใดส่วนหน่ึงของตัวอาคาร อันเกิดจากการกระทาซ่ึงได้รับ ความ
คุ้มครองตามความคมุ้ ครองข้อ 1

3. การประกันภัยความรับผิดชอบของกรรมการและเจ้าหน้าท่ีของบริษัท เป็นการ
ประกันภยั ท่ีให้ความคุ้มครองกรรมการ และเจ้าหน้าท่ีระดบั สูงหรือเจา้ หน้าท่รี ะดบั บรหิ ารของ บริษัท
สาหรับความสูญเสียหรือค่าเสียหายทางการเงินอันเน่ืองมาจากการละเมิดหรือการกระทา ผิดท่ี
กรรมการหรือเต้าหน้าที่กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุสาหรับนักเรียน นิสิต และนักศึกษา เป็นการทา
ประกันภัยกลุ่มโดยที่สถาบันการศึกษาเป็นผู้จัดทาให้แก่นักเรียนนักศึกษาในสังกัดผิดท่ีกรรมการหรือ
เจ้าหน้าท่ีของบริษัทต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังให้ความคุ้ม ครองตัวบริษัทในกรณีที่
บริษัทได้รับอนุญาตหรือผูกพันท่ีจะต้องชดใช้ให้กรรมการและหรือเจ้าหน้า ท่ีสาหรับการกระทาผิดท่ี
กรรมการหรือเจ้าหน้าท่ีน้ันต้องรับผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากมองในมุมของ การประกันภัยความรับผิด
ทางวิชาชีพ อาจกล่าวได้ว่าความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าท่ีก็คือ ความรับผิดทางอาชีพการ
บริหารจัดการนนั่ เอง

4. การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์ เป็นการประกันภัยท่ีมีความสาคัญมาก
โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์เป็นการประกันภัยท่ี ให้
ความคุ้มครองความรับผิดเน่ืองจากผลิตภัณฑ์หลังจากท่ีผลิตภัณฑ์ได้ออกจากสถานประกอบ การไป

แล้วและอยู่ภายใต้การควบคุมหรือการใชข้ องบุคคลอ่ืนท่ีมิใช่ผู้เอาประกันภัย กรมธรรม์ ประกันภัยจะ
ให้ความคุ้มครองความรับผิดท่ีผู้เอาประกันภัยมีต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ หากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ได้รับบาดเจ็บ
ทางร่างกายหรือเกิดความสูญเสียหรือเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเน่ืองมาจากผลิตภัณฑ์นั้น
การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์ก่อให้เกิดประโยชน์สองทางคือประโยชน์ทางตรง ได้แก่
ผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองและชดใช้เม่ือได้รับบาดเจ็บหรือประสบความเสียหายอันเนื่อง มาจาก
การใช้ผลิตภัณฑ์ และประโยชน์ทางอ้อม ได้แก่ ทาให้ผู้ผลิตเพ่ิมความระมัดระวังในขั้นตอน ของการ
ผลิตสินค้า มีการทดสอบสินค้าก่อนนาออกจาหน่าย ทาให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีมี มาตรฐานและ
คุณภาพดขี นึ้

5. การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันอุบัติเหตุเป็นการประกันภัยท่ีให้ความ
คมุ้ ครองต่อผู้เอาประกนั ภัยในกรณีท่ีผเู้ อาประกันภัยประสบอบุ ัติเหตุได้รับความบาดเจ็บทาง ร่างกาย
และหากผลของการบาดเจ็บน้ันส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึง
ข้นั ทพุ พลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือสญู เสียชีวิต บริษัทประกันภัยจะเข้ามารับภาระ ค่าใชจ้ ่ายท่เี กดิ ข้ึน
จากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย หรือจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เอา ประกันภัยหากผู้เอา
ประกนั ภยั ต้องสญู เสยี อวัยวะ ทพุ พลภาพ หรอื เสียชีวิต

ประเภทของกรมธรรมป์ ระกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรมธรรมป์ ระกันอุบตั เิ หตแุ บ่งออก เป็น
1. กรมธรรมป์ ระกันอบุ ัตเิ หตสุ ่วนบคุ คล ใชส้ าหรบั การประกันอุบัตเิ หตบุ คุ คลเพียงคนเดยี ว
2. กรมธรรมป์ ระกันอบุ ัตเิ หตุกล่มุ ใช้สาหรบั กลมุ่ บคุ คลที่รวมตวั กัน เชน่ กลมุ่ พนกั งานราชการ
ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง พนักงานบริษัทใดบริษทั หนึง่ เปน็ ต้น
3. กรมธรรมป์ ระกันอบุ ัติเหตสุ าหรับนักศกึ ษา นิสติ และนักศึกษา
แบบของความคุ้มครองในการประกันอบุ ตั ิเหตุ การประกันอบุ ัตเิ หตุมีแบบใหเ้ ลือก คมุ้ ครอง
ดังนี้
1. แบบ อบ.1 มีความคมุ้ ครองใหเ้ ลอื ก 4 ความคุ้มครอง ได้แก่

- การเสยี ชวี ติ สูญเสียอวยั วะ/สายตา การทพุ พลภาพถาวรส้ินเชงิ
- การทพุ พลภาพชว่ั คราวส้ินเชงิ
- การทพุ พลภาพชั่วคราวบางส่วน
- การรักษาพยาบาล
กรมธรรมป์ ระกันอบุ ัตเิ หตุสาหรบั นักเรียน นสิ ิต และนักศกึ ษาจะใช้แบบ อบ.1 เท่านัน้
2. แบบ อบ.2 ให้ความคุ้มครอง 4 ความคุ้มครองตามแบบ อบ.1 และเพิ่มเติมขึ้นมาอีก คือ
การสูญเสียน้วิ การสญู เสียการรับฟงั เสยี ง/การพูดออกเสยี ง และการทพุ พลภาพถาวรบางส่วน
โดยปกติแล้วการประกันอุบัติเหตุจะให้ความคุ้มครองรวมถึงการถูกฆ่า หรือการถูกทาร้าย
รา่ งกายด้วย ไมว่ ่าการถกู ฆ่าหรือถูกทาร้ายร่างกายจะเป็นโดยเจตนาหรือไมก่ ็ตาม อย่างไรกต็ าม หากผู้
เอาประกันภัยเห็นว่าตนไม่มีความเสี่ยงภัยในการถูกฆ่าหรือถูกทาร้ายร่างกาย ก็สามารถที่ จะไม่เอา
ประกนั ภยั ในสว่ นน้ไี ด้ โดยผเู้ อาประกนั ภยั ก็จะได้รบั ส่วนลดเบีย้ ประกันภัยไป
6. การประกันสุขภาพ คือการประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายท่ี
เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลน้ันจะเกิดข้ึนจากการ
เจ็บป่วยจากโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การประกันสุขภาพแบ่งออกเป็นการประกัน

อบุ ัติเหตแุ ละสขุ ภาพหมู่ และการประกันอบุ ัติเหตแุ ละสขุ ภาพส่วนบคุ คล โดยทัง้ สองประเภทให้ ความ
คุ้มครองเหมือนกนั ไดแ้ ก่

1. ให้ความคุ้มครองเม่ือผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะการ
บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการป่วยไข้ โดยจะชดเชยค่าห้องและค่าอาหาร ค่าบริการทั่วไป และ เช้จ่าย
ในกรณที ่มี ีการรักษาพยาบาลฉกุ เฉิน หลงั การเกดิ อุบตั ิเหตุ

2. คา่ ใช้จา่ ยอนั เกิดจากการผา่ ตดั คา่ ปรกึ ษาแพทย์เกี่ยวกบั การผา่ ตัด
3. ค่าใช้จา่ ยอนั เกิดจากการใหแ้ พทย์มาดแู ล
4. คา่ ใช้จา่ ยสาหรบั การรักษาทคี่ ลินกิ หรอื แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล
5. คา่ ใช้จา่ ยในการคลอดบตุ ร
6. ค่าใช้จา่ ยในการรกั ษาฟัน
7. การชดเชยค่าใช้จา่ ย
อตั ราคา่ เบยี้ ประกนั ในการประกันสขุ ภาพขน้ึ อยู่กับ
1. อายขุ องผ้เู อาประกนั ภยั
2. เพศ เพศหญงิ มีความอ่อนแอ และต้องใชเ้ วลาในการฟ้นื ตัวเมอ่ื เจ็บไข้ได้ป่วยนาน กว่า
เพศชาย จงึ เสียค่าเบย้ี ประกนั สูงกว่า
3. สุขภาพของผเู้ อาประกันภัย
4. อาชพี ของผู้เอาประกันภัย
5. การดาเนนิ ชีวิต
6. การประกันภยั หมู่ หากมจี านวนคนมากจะทาให้อัตราเบ้ียประกนั ต่าลง
7. การประกันอุบัติเหตกุ ารเดินทาง การประกันภัยการเดินทางเป็นการประกันภัย ใหค้ วาม
คุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุ และผลของอุบัติเหตุนั้น ส่งผลให้ผู้
เอาประกันภัยบาดเจ็บต้องได้รับการรักษาพยาบาล หรือสูญเสียอวัยวะ มือ เท้า และ สายตา หรือ
เสียชีวิต แต่ท้ังน้ีอุบัติเหตุที่เกิดข้ึนจะต้องเกิดข้ึนภายในระยะเวลาระหว่างการเดินทาง ที่กาหนดไว้
เท่านั้น เช่น คุ้มครองต้ังแต่วันท่ี 1 ธันวาคม 2548 ถึงวันท่ี 15 ธันวาคม 2548 ตลอด ระยะเวลาท่ีผู้
เอาประกนั ภยั เดนิ ทางไป-กลับกรุงเทพฯ-ออสเตรเลยี เป็นต้น
การจ่ายค่าสินไหมทดแทน แบง่ ออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีทผ่ี เู้ อาประกนั ภัยเสยี ชวี ติ หรือสูญเสียมือ เทา้ และสายตา บริษทั จะจ่ายค่า สินไหม
ทดแทนใหเ้ ป็นวงเงินก้อนแกผ่ ู้เอาประกันภัยหรอื ทายาท ดงั น้ี
1.1 การเสยี ชวี ติ จา่ ย 100% ของวงเงนิ ทเ่ี อาประกัน
1.2 สญู เสียมือ เท้า และ/หรือสายตา รวม 2 ขา้ ง จา่ ย 100% ของวงเงนิ ท่ีเอา ประกนั ภยั
1.3 การสูญเสยี มอื เท้า หรือสายตาหนง่ึ ขา้ ง จา่ ย 50% ของวงเงนิ ทเี่ อาประกันภยั
2. กรณีท่ผี ู้เอาประกันภัยไดร้ ับบาดเจบ็ บรษิ ัทประกนั ภัยจะจา่ ยเงนิ ชดเชยคา่ รักษา พยาบาล
ตามค่าใช้จ่ายที่เกดิ ขนึ้ จรงิ แต่ไมเ่ กนิ จานวนเงนิ ท่เี อาประกันภัยปัจจบุ นั บริษทั ประกันภยั หลายบริษัท
ได้มกี ารคิดคน้ และพฒั นารูปแบบการรับประกนั ภัยการเดินทางใหม่ๆ ขน้ึ เพ่ือความ สะดวกโดยให้ผู้
เอาประกันภัยมที างเลอื กและได้รบั ความค้มุ ครองมากข้ึนจากกรมธรรม์ประกนั ภยั มาตรฐาน ความ
คมุ้ ครองท่ีเพมิ่ ขึน้ ดังกล่าว เช่น การชดเชยคา่ ใชจ้ า่ ยเมอื่ มีเหตุการณด์ ังนี้

2.1 การสูญเสียและความเสียหายของกระเปา๋ เดินทาง ความล่าช้าของกระเปา๋ เดินทาง
2.2 การยกเลิก การหยุดชะงักการเดินทาง หรือการเดินทางล่าช้า ความล่าช้าของ
เทยี่ วบนิ
2.3 การสูญเสียเงินส่วนตัว การสูญเสียเอกสารเดินทาง 24 ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย
และการส่งกลับประเทศเพ่ือรักษาพยาบาล 2.5 การส่งศพหรือกระดูก หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
2.6 ความรบั ผิดชอบต่อบุคคลภายนอก เปน็ ตน้
8. การประกันภัยผู้โดยสารเรือโดยสารรับจ้าง ปัจจุบันมีกฎหมายกาหนดให้เจ้าของ เรือ
โดยสารที่บรรทุกผู้โดยสารเกินกว่า 12 คน ต้องจัดให้มีการประกันภัยแก่ผู้โดยสารเพ่ือเป็นหลัก
ประกันให้กับผู้โดยสารเรือว่า ในกรณีท่ีมีอุบัติเหตุใดๆ เกิดข้ึนซึ่งส่งผลให้ผู้โดยสารเรือได้รับบาด เจ็บ
จะมีผู้ท่ีรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้โดยสารเรืออย่างน้อยที่สุดจานวนหน่ึงเพื่อบรรเทา ความ
เดอื ดรอ้ นทางการเงินของทัง้ ผปู้ ระสบภัยและเจา้ ของเรอื
9. การประกันภัยสาหรับเจ้าบ้าน การประกันภัยสาหรับเจ้าบ้านเป็นการประกันภัยที่มี
จุดประสงค์เพ่ือใหค้ วามคุ้มครองต่อผูเ้ ปน็ เจ้าของอาคาร ประเภทบ้านอยู่อาศยั สานักงานในบ้าน หรือ
ห้องชุดอยู่อาศัยในแฟลต แมนช่ัน หรือคอนโดมิเนียมให้ได้รับความคุ้มครองหลายอย่างไว้ใน
กรมธรรม์เดียวกัน กรมธรรม์ประกันภัยสาหรับเจ้าบ้านมีหลายรูปแบบ ซ่ึงแต่ละบริษัทอาจเลือก ขาย
ความคุม้ ครองแตกต่างกนั ออกไป โดยท่วั ไปคุ้มครองดงั น้ี
ความคุ้มครองต่ออาคารและทรัพยส์ ินในอาคาร บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ ผู้เอา
ประกันภัยสาหรับความสูญเสียหรือความเสียหายต่ออาคาร หรือต่อทรัพย์สินในอาคารท่ีเอา
ประกันภัย อันเนื่องมาจากอัคคีภัย ฟ้าผ่า การระเบิด อากาศยานหรือสิ่งท่ีหล่นมาจากอากาศยาน
น้าทว่ ม การไหลล้นหรอื การระเบิดของแท็งก์น้าหรือท่อนา้ การลักทรัพย์โดยใช้กาลงั รุนแรงเพ่ือเข้าไป
หรือออกจากอาคาร การชิงทรัพย์ การปล้นทรัพย์ หรือความพยายามกระทาการดังกล่าว อาคารถูก
ชนโดยพาหนะทางบก ม้าหรือปศุสัตว์ ท่ีไม่ได้เป็นของหรืออยู่ในความควบคุมของผู้เอา ประกันภัย
หรือของสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันกับผู้เอาประกันภัย แผ่นดินไหว พายุเฮอริเคน พายุไซโคลน
พายใุ ต้ฝนุ่ หรือลมพายุ
ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสาหรับค่าเช่าท่ีพักอาศัยชั่วคราวและการสูญเสียค่าเช่า ในกรณี
ที่อาคารที่พักอาศัยที่ทาประกันน้ันได้รับความเสียหายจากภัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจน
ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จะต้องทาการซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นมาใหม่ และในระหว่างการรอการ
ซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่น้ัน ผู้เอาประกันภัยต้องหาท่ีพักอาศัยช่ัวคราว เช่น บ้านเช่า โรงแรม
อพาร์ตเมนต์ เป็นต้น บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยเพื่อเป็นค่าเช่าท่ีพัก
อาศัยชั่วคราวดังกลา่ ว กรณที ่ีผ้เู อาประกันภัยเปน็ เจ้าของอาคารและมรี ายไดจ้ ากการให้เช่าอาคาร น้ัน
เช่น เจ้าของบ้านเช่า เจ้าของหอพัก เจ้าของอพาร์ตเมนต์ เป็นต้น หากเกิดความเสียหายต่อ อาคาร
จากภัยที่คุ้มครองตามกรมธรรมจ์ นทาให้เจ้าของอาคารต้องขาดรายได้ซง่ึ เคยได้รับ บริษัท จะชดใช้ค่า
สินไหมทดแทนให้แกผ่ เู้ อาประกันภัยตามจานวนเงนิ เอาประกนั ภัยทีร่ ะบไุ วใ้ นตาราง
คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอา
ประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกในฐานะเจ้าของอาคารท่ี
เอาประกันภัย หรือในฐานะผู้เช่าซ่ึงพักอาศัยในอาคารที่เอาประกันภัย โดยความรับผิดชอบต่อ

บุคคลภายนอก แบ่งเป็น 2 กรณี คือ ความรับผิดชอบต่อร่างกายของบุคคลภายนอก เช่น การเสีย
ชีวติ คา่ ใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาล ความบาดเจ็บตอ่ รา่ งกาย (เช่น บุคคลภายนอกเขา้ มาในบ้าน ของ
ผเู้ อาประกันภัยแล้วล่ืนล้มในห้อง้น้าหัวฟาดพื้น) และความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภาย นอกอัน
เน่ืองมาจากอบุ ัตเิ หตุที่เกดิ ข้ึนในอาคารหรือเกย่ี วกับอาคาร (เชน่ รถของบคุ คลภายนอก จอดไว้ในบา้ น
ของผเู้ อาประกันภยั แลว้ ของจากทสี่ งู ตกใส่หลังคารถแล้วทาใหร้ ถได้รับความเสยี หาย)

ความคุ้มครองสาหรับเงินชดเชยการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอา ประกันภัย
ประสบอุบัติเหตุขณะท่ีอยู่ในอาคารท่ีทาประกันภัยและเป็นเหตุให้เสียชีวิตทันทีหรือได้ รับบาดเจ็บ
อนั มีสาเหตุมาจากภัยภายใตค้ วามคุ้มครองต่ออาคารและทรัพย์สนิ ในอาคารดังกล่าวมา แล้วน้ัน และ
มีผลทาให้ผู้เอาประกันภัยต้องเสียชีวิตภายใน 180 วัน นับจากวันเกิดอุบัติเหตุ บริษัท จะจ่าย
คา่ ชดเชยใหแ้ ก่ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบชุ ่อื ไว้ในกรมธรรม์

ความคมุ้ ครองทสี่ ามารถซื้อเพม่ิ เตมิ ได้ ผเู้ อาประกนั สามารถซอื้ ความเพิม่ เติมไดอ้ ีก ดงั น้ี
1. ความเสียหายต่อกระจก หมายถึง การแตกของกระจกที่เป็นเสมือนผนังอาคารและ
กระจกประตูหน้าต่างที่เอาประกันภัยไว้ โดยบริษัทจะชดใช้โดยเลือกกระจกอ่ืนมาทดแทนหรือ
ซอ่ มแซม
2. ความคุ้มครองเงินชดเชยการเสียชีวิตของคู่สมรสและสมาชิกในครอบครัวของผู้เอา
ประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยต้องการได้รับเงินชดเชย กรณีคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวของ ผู้
เอาประกันภัยตามที่ระบุช่ือไว้ ได้รับบาดเจ็บอันมีสาเหตุมาจากภัยท่ีระบุภายใต้ความคุ้มครองต่อ
อาคารและทรัพย์สินในอาคาร และทาให้ผู้เอาประกนั ภัยต้องเสียชีวติ ภายใน 180 วัน นับจากวัน เกิด
อุบัติเหตุ บริษัทกจ็ ะจา่ ยคา่ ชดเชยให้แก่ผเู้ อาประกนั ภัย
10. การประกันภัยความรับผิดต่อสาธารณะ หรือการประกันภัยความรับผิดตาม หมายต่อ
สาธารณชน จัดเป็นการประกันวินาศภัยประเภทหน่ึงซึ่งให้ความคุ้มครองต่อความเสีย เรียที่จะเกิด
ข้ึนกับบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความบาดเจ็บทาง กาย ตลอดจน
กระท่ังการเสียชีวิตของบุคคลภายนอกซ่ึงผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชดใช้ตาม ฎหมาย แต่ไม่ให้ความ
คุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดข้ึนโดยตรงต่อทรัพย์สินหรือร่างกายของ เอาประกัน การประกันภัย
ความรับผิดต่อสาธารณะแบ่งออกได้กว้าง ๆ ดังน้ี

10.1 การประกันภัยความรับผิดต่อสาธารณชนส่วนบุคคล ได้แก่
- ความรับผิดของแพทย์ ศัลยแพทย์ และทนั ตแพทย์ต่อคนไข้ โดยการประกันภัยนี้

จะให้ความคุ้มครองแก่แพทย์ ศัลยแพทย์ และทันตแพทย์ ซึ่งรวมท้ังพยาบาลและผู้ช่วยแพทย์ ท่ีทา
ตามคาส่ังแพทย์ในกรณีที่เกิดความเสียหายแก่คนไข้เน่ืองมาจากความบกพร่องพลั้งพลาด ใน การ
รักษาพยาบาลไม่ว่าการปฏิบัติจะอยู่ต่อหน้าแพทย์หรือไม่ก็ตาม รวมถึงความเสียหายที่ทาให้ คนไข้
ต้องสญู เสยี รายได้ดว้ ย

- ความรับผิดของเภสัชกรต่อผู้ซ้ือยา ให้ความคุ้มครองแก่เภสัชกรเม่ือผู้ซ้ือยาได้รับ
ความเสียหายเน่ืองจากรับประทานยาที่ผสมผิดส่วน หรือผู้ขายยาหยิบยาให้ผิดประเภท ไม่ว่าจะ
เกิดขึ้นทันทีหรือภายหลังจากใช้ยาน้ันติดต่อสืบเน่ืองมาเป็นเวลานานก็ตาม แต่ต้องเกิดข้ึนระหว่าง
สัญญามีผลใชบ้ ังคบั

- ความรับผิดของโรงพยาบาลต่อคนไข้ ให้ความคุ้มครองโรงพยาบาลในการดูแล
รักษาคนไข้ รวมถึงการให้อาหารอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของแพทย์ พยาบาล หรือ
คนงานประจาโรงพยาบาลหรือคลินกิ ไม่วา่ ความเสยี หายจะเกิดขึ้นภายในหรอื ภายนอกโรง พยาบาลก็
ตาม

- ความรับผิดของจักษุต่อคนไข้ ให้ความคุ้มครองความบกพร่อง ประมาทเลินเล่อ
ในการปฏิบตั หิ นา้ ทขี่ องจักษแุ พทยเ์ ทา่ นน้ั ไมร่ วมถึงการกระทาของลูกจา้ ง

- ความรับผิดของรา้ นเสริมสวยตอ่ ลูกคา้ ให้ความคุ้มครองในความประมาทเลนิ เล่อ
ของร้านเสริมสวยหรือความเสียหายบาดเจ็บที่เกิดแก่ลูกค้า ในการให้หรือบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ซ้ือ จาก
รา้ นเสริมสวย

- ความรับผิดของผู้ทาบัญชีและผู้สอบบัญชีต่อผู้ว่าจ้าง ให้ความคุ้มครองในความ
ประมาทเลนิ เลอ่ ของผู้ทาบญั ชใี นการกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายต่อผ้วู า่ จา้ ง

10.2 การประกันความรับผิดตามกฎหมายต่อสาธารณชนของผู้ประกอบการหรือโร
บคุ คล ได้แก่

- การประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอกของเจ้าของ ผู้ให้เช่า และผู้เช่าสถานท่ี
การประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอกอันเกิดจากอุบัติเหตุที่เกิดข้ึนต่อบุคคลภายนอก อันเนื่อง
จากการบารุงรักษาและดแู ลสถานที่ยงั ผลให้เกิดความสญู เสียหรอื เสียหายต่อทรัพย์สินและหรอื ความ
บาดเจ็บทางร่างกาย การประกันภัยประเภทน้ีเหมาะสาหรบั เจ้าของโรงงาน เจ้าของหา้ ง สรรพสินค้า
เจ้าของอาคารพาณชิ ย์ ผเู้ ช่าโรงงาน เปน็ ต้น

- การประกันความรับผิดของผ้ทู าการผลติ และผรู้ บั เหมา คือการประกนั ความรับผิด
ต่อบคุ คลภายนอกอนั เกิดจากอุบัตเิ หตุท่ีเกิดขึ้นตอ่ บุคคลภายนอก เนื่องจากการปฏบิ ัติงานและยัง ผล
ให้เกดิ ความสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรัพย์สนิ และหรอื ความบาดเจบ็ ทางร่างกาย การ ประกันภัย
ประเภทน้ีเหมาะสาหรับผู้รับเหมางานก่อสร้างต่างๆ เช่น งานก่อสร้างทางโครง การรถไฟฟ้า
ผปู้ ระกอบการผลิต เป็นตน้

- การประกันความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ หมายถึงความคุ้มครองผู้ผลิตสินค้าเม่ือมี
การเสยี หายเกิดข้ึนกบั ผ้บู ริโภคสินค้า

- การประกันความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง หมายถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแก่
ลูกจ้าง และลูกจ้างสามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของนายจ้าง การ
ประกนั ภยั ดงั กลา่ วจะใหค้ วามคมุ้ ครองแก่นายจา้ ง

- การประกันความรับผิดตามสัญญา หมายถึงการให้ความคุ้มครองความรับผิดอัน
เกิดจากสัญญา เช่น บริษัทที่ประกอบธุรกิจดูแลและบารุงรักษาลิฟต์ ได้ทาสัญญากับผู้ว่าจ้าง
ขณะเดียวกันได้ขอทาประกันภัยความรับผิดอันเกิดจากสัญญาว่าจ้างบารุงรักษาดูแลลิฟต์ ว่าถ้า เกิด
ความเสียหายตอ่ ผูใ้ ช้ลฟิ ต์ท้ังทางรา่ งกายและทรัพย์สิน ผ้ใู ช้ลิฟต์สามารถเรียกร้องคา่ สนิ ไหมทดแทนได้
การประกันความรับผิดอย่างกว้างขวางของผู้ประกอบธุรกิจต่อบุคคลอ่ืน การ ประกันประเภทน้ีให้
ขอบเขตความคุ้มครองหลายประเภทในสถานที่ประกอบการแห่งเดียว เช่น โรงแรม จะมีความรับผิด
ต่อผู้มาใช้บริการต่างๆ ในโรงแรม เช่น สระว่าย้น้า บันไดเลื่อน ห้อง อาหาร ห้องออกกาลังกาย
สถานทจี่ อดรถ ทรัพยส์ ินในหอ้ งพักเสียหาย เปน็ ตน้


Click to View FlipBook Version