ผลของโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น Effects of Dengue Hemorrhagic Fever Disease Prevention Programin Secondary ยุคนธ์ เมืองช้าง จรูญลักษณ์ ป้องเจริญ จารุวรรณ สนองญาติ ศิริธิดา ศรีพิทักษ์ อุษณียาภรณ์ จันทร งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี สถาบันพระบรมราชชนก สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
ก กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเนื่องจากความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากผู้ทรงคุณ วุฒิทั้ง 3 ท่าน พว.ฉันทนา ป้องเจริญ พญ.ธัญญกร นันทิยกุลและนายประสิทธิ กล้าหาญ ที่กรุณา ตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหาของเครี่องมือ และช่วยชี้แนะให้คำปรึกษาตลอดจนแก้ไขข้อบก พร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดียิ่ง ขอขอบพระคุณวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีที่สนับสนุนเงินทุนวิจัยและเวลา ในการดำเนินการวิจัย ขอขอบพระคุณอาจารย์ผู้ร่วมวิจัยทุกท่าน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการ เก็บข้อมูล รวมทั้งคุณครู นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนสองพี่น้องวิทยาและโรงเรียน บรรหารแจ่มใสวิทยา 5 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สุดท้ายนี้ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่มีส่วนผลักดันเป็นกำลังใจและช่วย สนับสนุนส่งเสริมให้มีการศึกษาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง คณะผู้วิจัย
ข ผลของโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น : ยุคนธ์ เมืองช้าง จรูญลักษณ์ ป้องเจริญ จารุวรรณ สนองญาติ ศิริธิดา ศรีพิทักษ์ และอุษณียาภรณ์จันทร : วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา ผลของการจัดโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2)เปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่ม ทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุม และ3) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกหลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 76 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย(Simple random sampling) โดย วิธีจับฉลากเลือกกลุ่มทดลองเป็นโรงเรียนสองพี่น้องและกลุ่มควบคุมเป็นโรงเรียนบรรหารวิทยา เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง ได้แก่โปรแกรมสุขภาพใน โรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก คือ 1) กิจกรรมการการสอนสุขศึกษา 2) การจัดสิ่งแวดล้อมใน โรงเรียนและที่บ้าน 3) กิจกรรมการบริการสุขภาพ 4) กิจกรรมความร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัว และ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบวัดการปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ค่าความเชื่อมั่น ของแบบวัดเท่ากับ .830 เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 –มิถุนายน 2564 วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติที(t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่ม ทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังทดลองเพิ่มมากกว่ากลุ่ม ควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01(t=-14.779,df=37) 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของ ผู้ปกครองหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ. 01(t=-9.768 ,df=37) และ 3)พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกตามการประเมินของผู้วิจัยหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพใน โรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ. 01(t=-30.495,df=37) คำสำคัญ: โปรแกรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก/นักเรียน
ค Abstract The purposes of this study were to study the effects of school health program to prevent dengue fever disease of high school students. The sample was 76 high school students in Songphinongwitthaya and Banhanjamsaiwitthaya School. Divided into 2 groups with 38 students in the experimental group (Songphinongwitthaya School) received the school health program to prevent dengue fever disease and 38 students in the control group(Banhanjamsaiwitthaya School) not received the school health program. The research instruments were composed of the school health program to prevent dengue fever disease ,had the reliability was 0.830. The data were then analyzed by means, standard deviations and t-test. The research findings were as follows: 1) The mean score of the practices for dengue fever disease prevention of the experimental group students after received the school health program were significantly more than the control group students at .01 levels. 2) The mean score of the practices for dengue fever disease prevention of the experimental group students follow to parents assessment after received the school health program were significantly more than the control group students at .01 levels. And The mean score of the practices for dengue fever disease prevention of the experimental group students follow to researchers assessment after received the school health program were significantly more than the control group students at .01 levels The research finding suggests that school health program to prevent dengue fever disease was effective to prevent dengue fever disease of high school students.
สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อภาษาไทย ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์การวิจัย 3 กรอบแนวคิด 3 ขอบเขตการวิจัย 4 นิยามศัพท์ 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 5 โรคไข้เลือดออก 5 การป้องกันไข้เลือดออกในชุมชน 10 โปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก 19 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 27 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 27 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 27
สารบัญ(ต่อ) หน้า การเก็บรวบรวมข้อมูล 29 การพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่าง 30 การวิเคราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 4 ผลการวิจัย 34 บทที่ 5 การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 53 บรรณานุกรม 58 ภาคผนวก 60 ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 61 ข การพิทักษ์สิทธ์ผู้เข้าร่วมวิจัย 69 ค รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ 73 ง. ประวัติผู้วิจัย 74
1 บทที่1 บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา ไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เป็นอันตรายร้ายแรงทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นปัญหาสำคัญทั้ง ทางด้านสาธารณสุขและด้านการแพทย์สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า อัตราป่วย ด้วยโรคไข้เลือดออกยังคงสูง เมื่อศึกษาสถิติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2562 ณ วันที่ 10 เมษายน 2562 พบว่ามีอัตรา การป่วย 8.39,12.74,22.6,12.05,9.97 และ22.36 ต่อประชากรแสนคนและมีอัตราป่วยตายร้อยละ 0.06,0.06,0.08,0.14,0.14 และ 0.13 ตามลำดับ(สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง,2562)สำหรับสถานการณ์ ไข้เลือดออกในปี 2562 จากข้อมูลระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506ของสำนักระบาดวิทยา ณ วันที่ 10 เมษายน 2562 มีรายงานจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกมากกว่าปี 2561 ณ ช่วงเวลาเดียวกัน 2.3 เท่า ผู้ป่วยเสียชีวิต 19 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.13การกระจายการเกิดโรคส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 5-14 ปีมีอัตราป่วยสูงสุดคือ 75.52 ต่อประชากรแสนคน อัตราป่วยตาย 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.10สำหรับภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคการอยู่ในชุมชนที่ มีผู้ป่วยไข้เลือดออกเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกสำหรับจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีสถานการณ์การเกิดโรค ไข้เลือดออกสูง ในปี 2561 ตั้งแต่เดือนมกราคม มีผู้ป่วยไข้เลือดออก 915 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 108.3 ต่อ ประชากรแสนคน รายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่พบสูงสุด คือ 5-14 ปี อาชีพที่ป่วยสูงสุด คือนักเรียนจำนวน 449 ราย อำเภอที่มีอัตราการป่วยต่อประชากรแสนคน สูงสุด คือ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี รองลงมาคือ อำเภอบาง ปลาม้า และอำเภอสองพี่น้อง ตามลำดับ และพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การระบาดอาจมีไปจนถึงปลายปีนับจากสภาพแวดล้อมภายหลังฝนตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป (สำนักงาน ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุพรรณบุรี, 2561)สอดคล้องกับการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสุพรรณบุรี ครั้งที่ 3/2562 สรุปรายงานสถานการณ์ไข้เลือดออกพบสูงสุดที่อายุ 10-14 ปี มีอำเภอเสี่ยง จำนวน 3 อำเภอคือ อำเภอ สองพี่น้อง อำเภออู่ทอง และอำเภอหนองหญ้าไซ(สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุพรรณบุรี, 2562) ดังนั้น อำเภอสองพี่น้องถือเป็นพื้นที่เสี่ยงทั้งปี 2561และ 2562 โดยมีตำบลบางตาเถร มีอัตราป่วยสูงสุดอยู่ที่ 293 คนต่อ ประชากรแสนคน อาชีพนักเรียน อายุ 10-14 ปีมีอัตราการป่วยสูงสุด อยู่ที่ 350คนต่อประชากรแสนคน (สาธารณสุขอำเภอสองพี่น้อง,2562) โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่(Dengue virus)มีพาหะนำโรคที่สำคัญเป็นยุงลายบ้าน (AedesAegypti) ยุงชนิดนี้มีขนาดเล็ก สีดำ มีลายขาวที่ขา ท้องและลำตัว ทำให้เห็นเป็นปล้องสีขาวสลับดำ และมี ทางขาวคู่อยู่ที่ด้านหลัง ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านและรอบๆ บ้าน เพาะพันธุ์ในน้ำนิ่ง ใส ค่อนข้างสะอาด แหล่งเพาะพันธุ์ ที่สำคัญได้แก่เครื่องใช้ที่มีน้ำขังทิ้งไว้เป็นเวลานาน เช่น จานรองขาตู้กับข้าว กระถาง หรือแจกันที่ใช้เลี้ยงไม้ใบต่าง ๆ หรือโอ่งน้ำที่ใช้ปลูกบัว ตุ่ม ไห หม้อ ขวด กระป๋อง กะลา ยางรถยนต์และสิ่งอื่น ๆ การระบาดของโรคเกิดจาก ยุงลายไปกัดและดูดเลือดผู้ป่วยไข้เลือดออกทำให้ไวรัสเข้าไปอยู่ในตัวยุงซึ่งเชื้อจะยังคงอยู่ไปตลอดจนชั่วอายุของยุง นั้นหรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1-2 เดือน ระยะฟักตัวในยุงประมาณ 8-10 วัน เมื่อยุงได้รับเชื้อไวรัสนี้ไปกัดคนจะ ปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคน ระยะฟักตัวประมาณ 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน นานที่สุด14 วัน)ไข้เลือดออกมีอาการของโรคที่สำคัญและเป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิด ก่อนหลังคือ 1) ไข้สูงลอย 2-7 วัน 2) เลือดออกซึ่งส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง 3) มีตับโตกดเจ็บ และ 4) มีภาวะ
2 ไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจนเกิดภาวะช็อกได้ การดำเนินของโรคมี 3 ระยะเรียงตามลำดับการเกิดคือ1)ระยะไข้ซึ่งจะ มักจะมีไข้สูงเกิน 38.5o C2)ระยะวิกฤต/ช็อก มีอาการรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตจากภาวะการไหลเวียนล้มเหลว ซึ่งจะเกิดพร้อมๆกับไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว pulse pressure แคบเท่ากับหรือน้อยกว่า 20มิลลิเมตรปรอท ซึ่งจะพบ มากในวันที่ 3-5 และจะช็อกประมาณ 24-48 ชั่วโมง 3)ระยะฟื้นตัว ระยะนี้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นใช้เวลา 2-3 วัน สัญญาณชีพจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ(ศิริเพ็ญ กัลยาณรุจและคณะ,2561 )ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการปรับแนวคิดการปฏิบัติงานโดยกำหนดเป็นนโยบายเชิงรุกและใช้ยุทธศาสตร์การ มีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงสภาพของปัญหาในชุมชนของตน ดังนั้นการดำเนินงาน ที่สำคัญจึงต้องเน้นให้ชุมชนเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกให้มากที่สุด เพื่อให้โรคไข้เลือดออกลดลงหรือหมดไปจากชุมชนอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเน้นให้ทุกคนถือว่าเป็นภารกิจของ ตนและเป็นความภาคภูมิใจในการพึ่งตนเอง โรงเรียนเป็นชุมชนที่รวมนักเรียนจำนวนมากซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของ โรงเรียน คือ การจัดกิจกรรมทั้งในเวลาเรียนและนอกเวลาเรียนเพื่อดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับนักเรียน จาก ปัญหาการระบาดของโรคไข้เลือดออกที่พบมากในเด็กวัยเรียน จึงเป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่จะต้องดูแลสุขภาพของ นักเรียนโดยการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาสุขภาพของนักเรียนโดยใช้แนวคิดการจัด โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายให้นักเรียนมีสุขภาพดีองค์ประกอบที่สำคัญในการจัดโปรแกรม สุขภาพมี3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ 2) การจัดบริการสุขภาพใน เรียน และ 3) การสอนสุขศึกษา (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553ก)การจัดสิ่งแวดล้อมทางสุขภาพในโรงเรียน (School Health Environment) มีความมุ่งหมายเพื่อจะสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศทั่ว ๆ ไปใน โรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ ได้แก่ การจัดอาคารสถานที่ให้ถูกหลักสุขาภิบาล การขจัดเหตุรำคาญและสิ่งรบกวนต่าง ๆการจัดน้ำดื่มน้ำใช้ การรักษาความสะอาดทั่วไป เป็นต้นทั้งนี้การที่เด็กมีโอกาสได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศ ที่ดีเหล่านี้ ย่อมจะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย สมอง อารมณ์และสังคมอันจะเป็นผลรวมช่วยให้ เด็กมีสุขภาพดี นอกจากนี้โรงเรียนยังเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านสุขภาพให้แก่ชุมชน การจัดสิ่งแวดล้อมทางสุขภาพใน โรงเรียนและชุมชนในการป้องกันไข้เลือดออกมีด้วยกันหลายวิธีได้แก่การป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่และกำจัด ลูกน้ำยุงลายโดยปิดฝาภาชนะที่เก็บน้ำ เช่น โอ่ง ถังทุกครั้งยางรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้ควรหาผ้าคลุมตรวจสอบไม่ให้มีน้ำ ขังรอบๆบริเวณโรงเรียนและบ้าน ใสทรายอเบทในแจกันดอกไม้ หรือเมื่อปลูกต้นไม้ในน้ำ เช่น พลูด่าง หรือเลี้ยง ปลานกยูงในอ่างบัว และป้องกันไม่ให้ยุงกัดควรนอนกางมุ้ง หรือนอนในห้องที่ติดมุ้งลวด การจัดบริการสุขภาพใน โรงเรียน (School Health Service) มีความมุ่งหมายเพื่อค้นหาความบกพร่องทางด้านสุขภาพของนักเรียนตั้งแต่ ระยะเริ่มแรก เพราะจะช่วยให้การรักษาทำได้โดยง่ายและเป็นการป้องกันมิให้โรคติดต่อระบาดแพร่หลายออกไป รวมทั้งยังช่วยจูงใจหรือกระตุ้นเตือนให้นักเรียนเกิดความสนใจในการที่จะปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพของตนเองให้ดี อีกด้วย การตรวจสุขภาพสามารถกระทำได้โดยบุคคลหลายฝ่าย เช่น ผู้ปกครอง ครู แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ อนามัยอื่น ๆ หรือได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานราชการ องค์กร สมาคม มูลนิธิเอกชน ต่างๆ ฯลฯ อีกทั้งการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน ครูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถให้ความรู้ คำแนะนำเกี่ยวกับ การป้องกันโรคไข้เลือดออกในโรงเรียนได้อย่างถูกต้อง (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553) การสอนสุขศึกษาใน โรงเรียน มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ 3 ประการ คือ การให้นักเรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องสุขภาพ มีทัศนคติที่ ดีเรื่องสุขภาพ และมีสุขปฏิบัติที่ดี การสอนสุขศึกษาอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ การสอนในชั่วโมงวิชาสุข
3 ศึกษาประมาณสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงและอีกแบบหนึ่งคือ การสอนให้สัมพันธ์หรือสอดแทรกผสมผสานเข้าไปในวิชา หรือกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งในและนอกหลักสูตรการที่ต้องสอนสุขศึกษานอกชั่วโมงวิชาสุขศึกษาด้วยนั้น ก็เพราะเรื่อง สุขภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก ทั้งนี้วิธีสอนและอุปกรณ์ต่างๆ ครูควรจัดขึ้นเพื่อ สนองความสนใจและความต้องการของเด็กโดยมุ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การที่นักเรียนมีโอกาสได้ เรียนรู้วิชาสุขศึกษาจะช่วยให้นักเรียนมีความรู้และทัศนคติที่ดีนำไปสู่การปฏิบัติไปในทางที่ดีอันจะเป็นแนวทาง นำไปสู่สุขภาพที่ดีได้อีกทั้งทำให้นักเรียนเกิดการตระหนักที่จะป้องกันโรค และดูแลสุขภาพตนเองในครอบครัว โรงเรียนกระทั่งถึงในชุมชน (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553) จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกที่มีมาอย่างต่อเนื่องและรุนแรง รวมทั้งแนวคิดการจัด โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีพื้นฐานความคิดว่าโรงเรียนเป็นสถานที่รวมของนักเรียนที่อยู่ในวัยกำลัง เจริญเติบโตโรงเรียนจึงต้องให้การดูแลนักเรียนให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา ผลของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นในพื้นที่ที่มีความ เสี่ยงสูงในการเกิดโรคไข้เลือดออก วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาผลของการจัดโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ก่อนและหลัง การทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุม 3. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก หลังการ ทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม กรอบแนวคิดในการวิจัย โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการสอน 2) การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและที่บ้าน 3) กิจกรรมการบริการสุขภาพ 4) กิจกรรมความร่วมมือของโรงเรียนและ ครอบครัว ผลของโปรแกรม -คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกของนักเรียน -คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกของนักเรียนตามการ ประเมินของผู้ปกครอง -คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกของนักเรียนตามการ ประเมินของผู้วิจัย
4 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi-experimental research) แบบ 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม โดยทำการศึกษาผลของการจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้น โดยทำการเก็บข้อมูลและดำเนินการทดลองตั้งเดือน กรกฎาคม 2563 จนถึงเดือนมิถุนายน 2564 นิยามคำศัพท์ โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก หมายถึง โปรแกรมที่ผู้วิจัยได้ประยุกต์จาก แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้เด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นมีความรู้ในการป้องกัน ไข้เลือดออกและมีพฤติกรรมการดูแลตนเองและให้ความรู้ในชุมชนใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์ประกอบด้วย1) กิจกรรมการสอน 2) การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและที่บ้าน 3) กิจกรรมการบริการสุขภาพ 4) กิจกรรมความ ร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัว การป้องกันโรคไข้เลือดออก หมายถึง การปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ได้แก่1)การนำความรู้ เรื่องโรคไข้เลือดออกไปใช้ในการป้องกันโรคไข้เลือดออกของตนเองและครอบครัว 2) การจัดสิ่งแวดล้อมทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียนไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยหรือเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของยุงลาย 3)การดูแลสุขภาพของตนเองและบุคคลใน ครอบครัว 4)ความร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัวเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก วัดได้จากแบบวัดการปฏิบัติใน การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่พัฒนามาจากการศึกษาของธนัชชา นทีมหาคุณ (2556) เด็กมัธยมศึกษาตอนต้น หมายถึงเด็กนักเรียนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หรือ 2 ที่มีอายุ 12-14 ปี ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก 2. นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นสามารถป้องกันไม่ให้ตนเองเป็นโรคไข้เลือดออกได้ 3. ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้วางแผนเพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออกได้อย่างถูกวิธีและลด การเกิดโรคไข้เลือดออกในกลุ่มนักเรียน
5 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของการจัดโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลังการทดลองของ นักเรียนกลุ่มทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุม และ3)เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออก หลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม คณะผู้วิจัยได้ ค้นคว้า ตำรา เอกสาร บทความและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1) โรคไข้เลือดออก 2) การป้องกันไข้เลือดออกในชุมชน 3) โปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก 4) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. โรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก(DengueHemorrhagicFever,DHF) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ (Dengue virus) มีความผิดปกติของผนังหลอดเลือดฝอยทำให้น้ำซึมออกนอกเส้นเลือด ปริมาณพลาสมาลดลง เกิดความ ไม่สมดุลย์ของสารน้ำอาจทำให้เกิดภาวะช็อก และยังมีการทำลายเกล็ดเลือด (platelet) ทำให้เลือดออกง่าย สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี มี 4 serotype คือ DEN1, DEN2, DEN3 และDEN4 ถ้าเป็นครั้งแรก อาการไม่ค่อยรุนแรงเพราะร่างกายสร้างแอนติบอดี(Antibody)ต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นและจะมีภูมิต่อเชื้อนั้น ตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิต่อเชื้อเดงกีชนิดอื่นเพียง 6-12 เดือนเท่านั้นแต่ถ้าเป็นทุติยภูมิอาการจะรุนแรง เลือดออก หรือช็อก การติดต่อเกิดจากยุงลาย Aedes aegypti ตัวเมียที่มีเชื้อไวรัสเดงกีกัด ซึ่งปกติจะออกหากินเวลา กลางวัน จะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสเดงกีจะไป ที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วัน ในช่วงที่มีไข้หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะ รับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น พยาธิสรีรภาพ เชื้อไวรัสในกระแสเลือดจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้เกิดการตอบสนอง ทั้งแบบAntibody,Cytokine และแบบพึ่งเซลล์ทำให้มีการสร้างDengue specific antibody(IgG,IgM,IgE) antiplatelet antibody ร่วมกับการหลั่งไซโตคีนชนิดต่าง ๆ มีผลกระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์, coagulation และfibrinolysis ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของผนังเส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย จำนวนเกล็ดเลือดลดลงการ ทำหน้าที่บกพร่องและอายุสั้นลงมากในระยะวิกฤติการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง(coagulopathy) และมีDIC (dissminted Intravascular Coagulation) ทำให้เลือดออกมากมีการรั่วของพลาสมาออกมานอกหลอดเลือด เลือดมีความหนืดเพิ่มขึ้นทำให้ค่าฮีมาโตรคริตสูง หัวใจต้องทำงานหนักและถ้ามีการรั่วของพลาสมามากก็จะทำ ให้เกิดภาวะ Hypovolemic shock อาการและอาการแสดง ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีแบ่งเป็นไม่มีอาการพบร้อยละ90 ส่วนผู้ที่มีอาการจะพบ หลังรับเชื้อ2-7วันโดยจะมีอาการดังนี้ 1. Undifferentiate fever พบในเด็กเล็ก มาด้วยอาการไข้ 2-3 วัน อาจพบ maculopapular rash 2. Dengue fever ไข้ ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก อาจพบจุดเลือดออก ผล TT + ,WBC ต่ำและPlateletต่ำกว่าปกติพบในเด็กโตอาการไม่รุนแรง
6 3. Dengue hemorrhagic fever ไข้สูงลอย มีจุดเลือดออก ตับโต และมีภาวะ shock จากการมี พลาสมารั่วออกนอกหลอดเลือด (Dengue Shock Syndrome,DSS) การดำเนินโรคของไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ 1. ระยะไข้(Febrile stage) ไข้สูงลอย 2-7 วันซึม หน้าแดง(Flushed face)อาจชักได้ ในเด็กโตปวด ศีรษะ, ปวดรอบกระบอกตา อาจมีอาการปวดท้องทั่ว ๆ ไปหรือปวดบริเวณตับตรวจพบตับโต กดเจ็บ เบื่อ อาหาร , อาเจียนอาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน มีผื่นแดงตามผิวหนังที่คอและตัว มีจุดเลือดออก ตามแขน รักแร้ ลำตัว บริเวณที่เจาะเลือด มีรอยช้ำเกิดจ้ำเลือดง่าย หลังจากนั้นไข้จะลดลงอย่างรวดเร็วจนถึง ปกติห รือใกล้เคียงกับ ป กติ ถ้าอาการไม่รุน แรงจะดีขึ้น แต่ถ้าอาการรุน แรงจะเข้าสู่ระช็อก 2. ระยะวิกฤติหรือภาวะช็อก(Toxic หรือShock stage) อยู่ในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังจากไข้ลดลง (วันที่4-5) มีการรั่วของพลาสมาและมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปวดท้องมาก มีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาเจียนเป็นเลือดเก่าๆ(coffee ground) ถ่ายดำ (Melena) การรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด(Plasma leakage) ทำให้เกิดน้ำท่วมปอด(pleural effusion) ท้องอืด(ascites) อัลบูมินในกระแสเลือดต่ำ(hypoalbuminemia), Plaetlet Count น้อยกว่า 100,000/cu.mm Hematocrit เพิ่มมากกว่าหรือเท่ากับ20% อาจมีภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป 1 ใน 3 ของ ผู้ป่วย DHF มีภาวะ Hypovolemic shock ถ้าแก้ไขระบบการไหลเวียนล้มเหลวทันก็จะเข้าสู่ระยะพักฟื้นแต่ ถ้าไม่ทันก็จะทำให้เสียชีวิต ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกระยะช็อกแบ่งเป็น 4 ระดับ Grade 1 ผู้ป่วยไม่ช็อก ไม่มีอาการเลือดออก ทำ tourniquet test ให้ผลบวก( +) Grade 2 ผู้ป่วยไม่ช็อก มีอาการเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดา อุจจาระ สีดำ อาเจียนหรือ อุจจาระเป็นเลือด Grade 3 ผู้ป่วยช็อก impending shock คือ มีชีพจรเบาเร็ว ความดันชีพจร(pulse pressure)แคบ น้อยกว่า 20 mmHg และมีอาการช็อก เช่น เหงื่อออก กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น Grade 4 ผู้ป่วยช็อกรุนแรง profound shock จับชีพจรและวัดความดันโลหิตไม่ได้ 3. ระยะฟื้นตัว (Convalescence stage)ช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังช็อคถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนอาการ ทั่วไปดีขึ้นกลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว เริ่มอยากรับประทานอาหาร(Appetite) ปัสสาวะใสขึ้นออกมากขึ้น (Diuresis) ตับโต(Hepatomegaly)ลดลง Hct ลดลงมาคงที่ ชีพจรช้าลงและชัดขึ้น(Bradycardia) ความดัน โลหิตปกติและจะมีผื่นลักษณะเฉพาะของไข้เลือดออกคือเป็นวงกลมเล็ก ๆ สีขาวของผิวหนังปกติท่ามกลางผื่น สีแดงเรียกผื่นconfluent petechial rash (Convalesescent rash) การวินิจฉัยโรค 1. ซักประวัติ จากอาการ การถูกยุงกัด คนใกล้ชิดหรือบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นไข้เลือดออก 2. ตรวจร่างกาย อาการมีไข้ หน้าแดง มักไม่ไอไม่มีน้ำมูก มีเลือดออกอวัยวะต่าง ๆ เช่น มีจุด petechiae ตามผิวหนังมีเลือดกำเดาไหล (epitaxis) เลือดออกตามไรฟัน มีผื่นแดง มีถ่ายดำ(melena) - การสังเกตอุณหภูมิให้ระวังเมื่อไข้ลดต่ำกว่า 38.5 องศาเซลเซียส (ไข้ต่ำ ๆ 37.6-38.3 องศาเซลเซียส ไข้สูงปานกลาง 38.4-39.0องศาเซลเซียส,ไข้สูง 39.1-40.0 องศาเซลเซียส ไข้สูงมาก > 40.1 องศาเซลเซียส) - ชีพจรดูลักษณะการเต้น ความแรงว่าfull เร็ว คลำได้ไหม(ผู้ใหญ่60-80ครั้งต่อนาทีเด็ก80-100ครั้งต่อ นาทีทารก100-120 ครั้งต่อนาที - อัตราการหายใจดูอัตรา ลักษณะการหายใจ ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก(เด็กโตและผู้ใหญ่16-24 ครั้งต่อนาทีเด็กเล็ก 30-40 ครั้งต่อนาทีทารก40-60ครั้งต่อนาที
7 - ความดันโลหิตดูว่า BP แคบหรือเริ่มแคบโดย PP(Pulse pressure) ไม่น้อยกว่า 20mmHg (ระมัด ระวังการใช้cuff ให้เหมาะสมตามอายุประมาณ 2 ใน 3 ของแขนช่วงบน) 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 3.1 CBC ( Complete Blood Count)(ควรทำทุกวันถ้าทำได้ และติดตามอย่างใกล้ชิดจนกว่าไข้จะ ลดลงครบ24ชั่วโมง) - Hemoconcentration (Hctเพิ่มขึ้นกว่าเดิม) ถ้าระยะ shock Hctสูง >20% ถ้าเลือดออก Hct จะ ต่ำ(ค่าเฉลี่ย Hct เด็กไทยถ้าอายุ < 1ปี 30-35% อายุ1-10ปี 35-40% อายุ >10 ปี 40-45%) - leucopenia ( WBC< 5,000เซลล์/ลบ.มม. ) ไข้จะลดลงภายในเวลา 24 ชั่วโมง - Thrombocytopenia (platelet count < 100,000 cu/mm3 ) วันที่3-4ของโรค (ต่ำประมาณ3- 4วัน) - PMN ลดลง Lymphocyte สูงขึ้น - Atypical Lymphocyte สูงขึ้น(เป็นจุดสังเกตว่าอีก24 ชม.ข้างหน้าจะเกิดplasma leakage( Hct >20%) - ESR ลดลงในช่วงระยะช็อกซึ่งใช้แยกกับ septic shock 3.2 Abnormal coagulogram (การแข็งตัวของเลือดผิดปกติพบในอาการรุนแรงมีภาวะprolonged prothrombin time ในภาวะ shock บ่งว่ามีภาวะ Disseminated Intravascular Clot :DIC) 3.3 Blood chemistryพบ protein ในเลือดลดลง Albumin ต่ำ SGPT และ SGOT สูงเล็กน้อย ถ้า ตับวายสูงมาก 3.4. การตรวจภูมิคุ้มกันไข้เลือดออกเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค 3.4.1 ตรวจ Hemagglutination Inhibition test (HI) ถือเป็นGold standardเจาะเลือด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมีอาการ เรียกระยะ Acute Blood ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 1-4wk. เรียกconvalescent blood ระดับ Antibody มี4 fold rising หรือมากกว่า 3.4.2 การตรวจด้วยวิธี ELISA(Enzyme linked Immunosorbent Assay) ตรวจเลือดดู Antibody M(IgM) .และ Antibody G(IgG) โดยตรวจเพียงครั้งเดียวหลังไข้ลงวันที่ 5-7 3.4.3 ตรวจ SN1 Antigen( Dengue nonstructural protein 1 antigen) ตรวจหาAntigenของ ไวรัสเด็งกี 3.5.ตรวจปัสสาวะและหน้าที่ไต ค่าความถ่วงจำเพาะจะสูงขึ้น อาจพบโปรตีนและRBCในปัสสาวะ เล็กน้อย ถ้าช็อกBUN ,Cr., Uric acidสูง 3.6.ระดับคอมพลีเมนต์และฮีสตามีน C3 ต่ำลงและมากสุดในระยะช็อก พบฮีสตามีนในปัสสาวะมาก 4. การทดสอบ tourniquet testโดยการวัดBPแล้วนำค่า systolic และ diastolic มาบวกกันหารสอง รัดไว้นาน 5 นาที อ่านผลบวกโดยดูจุด petechiae มากกว่าหรือเท่ากับ10จุดต่อตารางนิ้วโดยวันแรกจะให้ ผลบวก 50% วันที่สอง 80% และวันที่สาม >90% และต้องระวังการให้ผลลบลวงในผู้ป่วยอ้วนหรือผอม เทคนิคการวัดไม่ดี(รัดแขนไม่กระชับ,ความดันไม่คงที่) หรือกำลังอยู่ในภาวะช็อก 5. CXR : Pleural effusion จะพบในระยะ Shock ตอนปลายหรือระยะพักฟื้นเนื่องจาก Load IV Fluid มากเกินไป
8 การรักษา เน้นการให้สารน้ำน้อยสุดที่จะรักษาระบบการไหลเวียนให้ปกติและรักษาตามอาการหลีกเลี่ยงการ ให้ยาที่ไม่จำเป็นทุกชนิดรวมทั้ง Antibiotic หลีกเลี่ยง Invasive procedure ที่ไม่จำเป็นและให้ระวังเลือด ออกภายใน 1. ระยะไข้แนะนำดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ไม่แนะนำดื่มน้ำเปล่า อาหารเน้นอาหารที่สีไม่คล้าย เลือดคือแดง ดำ น้ำตาล ยาลดไข้ไม่ให้aspirin เพราะขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือดและระคายเคือง กระเพาะอาหารทำให้เลือดออกเพิ่มจะให้Paracetamol 10 mg/kg/dose if T>39๐ c และ Tepid sponge ระยะนี้ไม่จำเป็นจะไม่ให้IV Fluid แต่ถ้ารับประทานอาหารไม่ได้หรืออาเจียนมากให้IV Fluid ไม่เกินครึ่ง Maintenanceและไม่ให้ล่วงหน้า IVfluid 5%D/N/2 ในเด็กโต และ 5%D/N/3 ในเด็ก< 1 ปีและหยุดให้เมื่อ กินได้ 2. ระยะ Shock ถ้ายังไม่ shock ให้เป็น crystaloid solution ในเด็กโต และผู้ใหญ่ให้ 5%D/NSS, 5% DAR ในเด็กอายุ< 6 เดือน ให้ 5%D/N/2 แต่ถ้า shock ในเด็กอายุ <6 เดือน ให้5%D/NSS, 5%DAR ใน เด็กโตและผู้ใหญ่ให้เป็น colloidal solution จำพวก Plasma expander เช่น Dextran 40 สลับกับ crystaloid solution โดยคิดIV FluidจากIdeal Body Weight{ถ้าอายุ ≤6 ปี=(อายุเป็นปีX2)+8kg) ถ้า อายุ>6 ปี=(อายุเป็นปีX 3kg) และถ้าผู้ใหญ่(อายุ>15 ปีใช้น้ำหนัก 50 kg )} จำนวน IV Fluid ที่ให้เท่ากับ M+5% Deficit ใน 24-48 ชั่วโมงแรก (MคือMaintenanceเป็นIV Fluidที่คำนวณได้จากน้ำหนักของผู้ป่วยซึ่ง คำนวณโดย10 kg แรกคูณ 100 cc.,10 kg ที่สองคูณ 50 cc. และหลังจากนั้นคูณ 20cc.) การให้IVfluid ผู้ป่วย Grade3 ถ้าv/sเปลี่ยนแปลงและช็อก BP หรือชีพจรเบาให้5%D/NSS,5%DAR เร็วๆ 10cc/kg/hr. ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ1/2- 1 ชั่วโมงแล้วจึงค่อยๆลด Rateเป็น 7,5,3 และ KVO แล้วจึง off แต่ในผู้ป่วยGrade 4 ถ้าวัด BP หรือจับชีพจรไม่ได้ให้IVfluid ที่ไม่มี Dextrose เช่น NSS 10cc/kg. หรือ push หรือ Free flow 10-15 min.หรือจนกว่าจะวัด BP หรือจับ Pulseได้ แล้วจึงค่อยๆลด Rate และถ้าไม่สามารถลด Rate ได้ต่ำ กว่า10 cc/kg/hr.หลังช็อก 2 ชั่วโมง หรือ5 cc/kg/hr.หลังช็อก 6 ชั่วโมง ต้องเจาะ Hct. ถ้า Hct เพิ่มขึ้นต้อง ให้Dextran-40 ถ้า Hct ลดลงนึกถึงภาวะเลือดออกภายใน ให้นำเลือดมาให้เร็วสุด ระยะที่ยังไม่ช็อก Grade 1&2 ถ้า Hct ไม่สูงให้เริ่มที่ M/2 แต่ถ้า Hct สูงเริ่มที่ M หรือ M+5% Deficit 3.ระยะพักฟื้น หยุดการให้สารน้ำ ให้ผู้ป่วยได้พักดูแลไม่ให้กระทบกระแทกหรือทำหัตถการที่รุนแรง หากผู้ป่วยยังไม่อยากรับประทานอาหารเนื่องจาก Bowel Ileus จากการที่มีK ต่ำแนะนำให้รับประทานผลไม้ ดื่มน้ำผลไม้ หรือให้KCL solution ถ้ามีหัวใจวาย มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดแพทย์ให้ยาขับปัสสาวะและอาจต้อง ใส่สายสวนปัสสาวะแต่ต้องระวังเลือดออก ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่electrolyte imbalance และภาวะน้ำเกิน - ถ้าน้ำเกินไตขับปัสสาวะไม่ทันมีภาวะหัวใจวาย มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด( Pulmonary edema) หายใจลำบากและเร็ว ท้องแข็งตึง ชีพจรเบาเร็ว ฟังปอดมีเสียงcrepitation ไอ การไหลเวียนของเลือดส่วน ปลายลดลง( Poor tissue perfusion)ทำให้หัวใจล้มเหลว( Heart failure) -Electrolyte imbalance ได้แก่ โซเดียมต่ำ(Hyponatremia) จากการดื่มน้ำเปล่าและให้ Hypotonic Solution แคลเซียมต่ำ(Hypocalcemia) Blood Sugar ต่ำ(Hypoglycemia) Keep Blood Sugar≥60mg%, โปตัสเซียมต่ำ(Hypokalemia) - มีภาวะ Metabolic acidosis ผล Electrolyte มีCO2ต่ำ ต้องให้7.5% NaHco3 - ช็อกนานและอาการรุนแรงทำให้ตับวายจาก(prolong shock ขาดเลือดไปเลี้ยง) ในผู้เป็นโรคตับ เรื้อรัง ธาลัสซีเมีย อาการจะรุนแรงขึ้นอาจมีเลือดออกในสมองทำให้ชักและหมดสติทำให้มีภาวะ
9 encephalopathy - ติดเชื้อที่สมอง (encephalitis) สาเหตุการตายใน DHF 1. ช็อครุนแรง / นาน(prolong shock)ก่อนได้รับการรักษาที่ถูกต้องDHFgrade IVหรือ DHF grade IIIที่ช็อคนานกว่า 6 ชั่วโมง 2. ภาวะน้ำเกิน(fluid overload)(> 50 % ของผู้เสียชีวิต) 3. เลือดออกมาก(massive bleeding) 4. Unusual manifestations eg. encephalopathy,hepatic failure, renal failure,dual Infection การพยาบาล 1. ช่วยลดไข้ โดยเช็ดลูบเบาๆเข้าหาตัวเพื่อป้องกันผนังหลอดเลือดแตก แต่ถ้าไข้สูงให้paracetamol ทุก4ชม.ร่วม และวัดไข้ซ้ำ30นาทีหลังเช็ดตัว 2. บรรเทาอาการปวดท้อง ตับโต ให้นอนศีรษะสูง เข่างอเล็กน้อย ปลายเท้าสูง หรือนอนตะแคงขวา เพื่อให้กระบังลมหย่อนตัว 3. ป้องกันภาวะไม่สมดุลสารน้ำและเกลือแร่ จากอาเจียน เบื่ออาหาร ไข้สูง โดยเน้นอาหารย่อยง่าย แคลอรีสูง น้ำเกลือแร่หรือผลไม้โดยให้ครั้งละน้อย ๆ บ่อย ๆ ครั้ง เน้นความสะอาดปากฟัน และทำI/O ไม่ให้ ดื่มน้ำเปล่า 4. ป้องกันภาวะช็อกจากการที่ผนังcapillaryยอมให้น้ำซึมผ่าน โดยประเมินv/sทุก 15,30นาทีหรือ1 ชม. ทำI/o ผู้ป่วยต้องปัสสาวะไม่น้อยกว่า0.5-1cc/kg/hr และสังเกตอาการช็อกเช่นBPต่ำ ชีพจรเบาเร็ว หายใจไม่สม่ำเสมอ มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย สับสนไม่รู้สึกตัวปัสสาวะลดลงหรือไม่ปัสสาวะซึ่งระยะนี้ต้องให้ ออกซิเจนเพื่อป้องกันสมองขาดออกซิเจน 5. เสี่ยงต่อภาวะเสียเลือดเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ(เลือดออกในระบบต่าง ๆ ถ้าGI มีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ,RI เลือดกำเดาไหลให้ประคบเย็นหว่างคิ้ว 5-10 นาทีและนอนศีรษะสูงถ้าไม่หยุดรายงานแพทย์ เพื่อให้Adrenaline pack ,Neuro.ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ ซึมหรือชัก, Uro.ปัสสาวะมีRBC) 6. เสี่ยงต่อน้ำเกินจากน้ำและโปรตีนไหลกลับสู่กระแสเลือด เน้นการดูแลให้IV Fluid ไม่ให้ Load (บันทึกและนับเปลี่ยนrateทุกครั้ง,ใช้set.ใหม่เมื่อให้colloid,ลงเวลาเริ่มให้และเลิกรวมจำนวนที่ได้,ในเวรดู ปรับหยดอย่างน้อย3ครั้งต่อเวร) 7. การสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรายงานแพทย์คือ Hct เพิ่มกว่าเดิม, vital signsผิดปกติ ,คลื่นไส้ อาเจียนเลือดกำเดาไหล ถ่ายดำ,ซึมลงกระสับกระส่าย หงุดหงิด,ไม่ดื่มน้ำและรับประทานอาหาร นอนซึม,เริ่ม โวยวายระดับความรู้สึกตัวสับสนพูดไม่สุภาพ หมายเหตุการพยาบาลเน้นการสังเกตอาการและวัด v/s บ่อย ๆ ให้ใช้เครื่องวัดความดันชนิดวัดเองวัดเท่านั้น และควรเป็นคนที่วัดคนเดียวกัน ข้อพิจารณาก่อนกลับบ้าน - ไข้ลดลง 24ชม. อาการดีขึ้นอย่างชัดเจน - รับประทานอาหารได้ ปัสสาวะมาก (1-2cc/kg/hr) - ไม่ปวดท้อง ไม่แน่นอึดอัด เดินคล่อง
10 - Hct ลดลงสู่ค่าปกติ platelet >50,000เซลล์/ลบ.ซม. - ไม่เหนื่อยหอบ หายใจปกติ การป้องกัน 1. ไม่ให้ยุงกัด 2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง อย่าให้น้ำขัง ใส่ทรายอะเบทในอัตราส่วน10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร 3. ให้ความร่วมมือในการฉีดพ่นละอองฝอยเพื่อกำจัดยุง 2.การป้องกันไข้เลือดออกในชุมชน การดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก โรงพยาบาลลานกระบือโรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อ ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้ในทุกกลุ่มอายุพบมากในเด็กวัยเรียนโรค ไข้เลือดออกระบาดใหญ่ครั้งแรกที่ฟิลิปปินส์ ในปี พ.ศ. 2497 ในประเทศไทยระบาดครั้งแรกในปีพ.ศ. 2501 ที่ กรุงเทพฯ จากนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ที่มีการคมนาคม สะดวกสถานการณ์ ของโรคมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด ต่างจากอัตราป่วยตายลดลงอย่างมาก แสดงว่าพัฒนาการ ด้านการ รักษาพยาบาลดีขึ้น แต่ประชาชนยังขาดความร่วมมือต่อการป้องกันควบคุมโรคสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus)มี4 serotypes คื อ DEN-1, DEN-2, DEN-3 แ ละ DEN-4 ทั้ งนี้4 serotype มีAntigen บางส่วนร่วมกัน ดังนั้นถ้ามีการติดเชื้อชนิดใดแล้วจะท าให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนั้นไปตลอดชีวิต และ จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่ อีก 3 ชนิดในช่วงสั้นๆ ไม่ถาวร ประมาณ 6- 12 เดือนหลังจากระยะนี้แล้ว คนที่ เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่ ชนิดหนึ่งอาจติดเชื้อไวรัสเดงกี่ ชนิดอื่นที่ต่างไปจาก ครั้งแรกได้ เป็นการติดเชื้อซ้าซึ่งถือ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก (DHF) การติดต่อโรคไข้เลือดออกติดต่อถึงกันได้โดยมียุงลาย บ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยในระยะไข้สูง และฟักตัว ในยุงประมาณ 8-12 วัน จากนั้นเมื่อยุงตัวนี้ไปกัดคนปกติ ก็จะปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ ร่างกายคน และผ่านระยะฟักตัวประมาณ 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) ก็จะทำให้เกิดอาการ ของโรคได้ สำหรับเชื้อเดงกี่นี้จะอยู่ในตัวยุงนั้นตลอดชีวิตของยุง คือ ประมาณ 45 วันอาการหลังจากได้รับเชื้อ จากยุงประมาณ 5-8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ ดังนี้ 1. ไข้สูงเฉียบพลัน (38.5 – 40 องศาเซลเซียส) ประมาณ 2-7 วัน หน้าแดง ปวดกระบอกตาเบื่อ อาหาร อาเจียน ส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูกไม่ไอ ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกจากโรคหัดและไข้หวัด 2. อาการเลือดออก เส้นเลือดเปราะ แตกง่าย (tourniquet test ให้ผลบวก ตั้งแต่ 2-3 วันแรก) มีจุด เลือดออกเล็ก ๆ ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ มีเลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาจมีอาเจียนและอุจจาระสีดำ 3. ตับโต กดเจ็บ ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย 4.ภาวะช็อก ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมา ออกไปยัง ช่องปอด/ช่องท้อง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว pulse pressure แคบ ส่วนใหญ่ จะรู้สติ พูดรู้เรื่อง กระหาย น้ำ อาจมีอาการปวดท้องกะทันหันก่อนเข้าสู่ภาวะช็อกถ้ารักษาไม่ทันจะมีอาการ ปากเขียว ผิวสีม่วง ๆ ตัวเย็นชืด จับชีพจรและวัดความดันไม่ได้ ความรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตภายใน 12 - 24 ชั่วโมง ใน รายที่ไม่รุนแรง เมื่อให้การรักษาในช่วงระยะสั้นๆ ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว -2- การรักษาไม่มีการรักษาที่เฉพาะ และไม่มีวัคซีนป้องกัน ให้การรักษาแบบประคับประคอง ตามอาการ โดยให้ยาลดไข้แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตา มอล ให้น้ำให้เพียงพอ และพักผ่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้ส่งต่อผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อ ผู้ป่วยไข้เลือดออก จะมีไข้ สูง 4-5 วัน (พบร้อยละ 70) ซึ่งวันที่เป็นระยะวิกฤต/ช็อกจะตรงกับวันที่ไข้ลง หรือไข้ต่ำกว่าเดิมจึงพึงระลึก
11 เสมอว่าวันที่ 3 ของโรค เป็นวันที่เร็วที่สุดที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกมีโอกาสช็อกได้และระหว่าง ที่ผู้ป่วยมีอาการช็อก จะมีสติดีสามารถพูดจาโต้ตอบได้ จะดูเหมือนผู้ป่วยที่มีแต่ความอ่อนเพลียเท่านั้น ให้รีบนำ ผู้ป่วยส่งต่อ โรงพยาบาลระดับสูงทันทีการป้องกันโรคโรคไข้เลือดออกสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว การป้องกัน ควบคุมโรคที่สำคัญ จึงต้องไม่ให้ยุงกัดโดยเฉพาะในผู้ป่วย โดยการลดจำนวนยุงตัวเต็มวัย และกำจัดแหล่ง เพาะพันธุ์ ซึ่งจะต้องทำให้ครอบคลุมทุกครัวเรือน ต่อเนื่องและสม่ำเสมอตลอดทั้งปี มีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 1. วิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายคือ สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อลดจำนวนยุงตัว เต็มวัยและแหล่งเพาะพันธุ์ให้ได้มากที่สุด โดยมีข้อแนะนำสำหรับสถานศึกษา ได้แก่ - ดำเนินการท าลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในสถานศึกษา ทุก 7 วัน - ให้ความรู้และคำแนะนำแก่นักเรียนเกี่ยวกับ วงจรชีวิตของยุง การแพร่เชื้อและวิธีป้องกัน 1.1 ทางกายภาพ ได้แก่ การปิดภาชนะกักเก็บน้ำด้วยฝาปิดเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้าไป วางไข่ อาจจะใช้ผ้ามุ้ง ผ้ายางหรือพลาสติกปิดและมัดไว้ ภาชนะที่ยังไม่ใช้ประโยชน์ควรจะคว่ำ มิให้รองรับน้ำ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้สะอาด สิ่งของเหลือใช้ เช่น กะลา กระป๋องควรเผาหรือฝัง แจกันดอกไม้สดควรเปลี่ยน น้ำทุก 7 วันวิธีการเหล่านี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดทั้งปี 1.2 ทางชีวภาพ คือ การปล่อยปลากินลูกน้ำลงในภาชนะเก็บกักน้ำ เช่น โอ่งตุ่ม 2-4 ตัว หมั่นดูแล อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง วิธีนี้ง่ายประหยัดและปลอดภัย 1.3 ทางเคมี โดยใส่ทรายทีมีฟอสในภาชนะเก็บน้ำใช้ ควรใช้เฉพาะภาชนะที่ไม่สามารถปิดหรือใส่ปลา กินลูกน้ำได้ 2. วิธีการลดยุงตัวเต็มวัย มีดังนี้ 2.1 ใช้ไม้ตียุง ใช้น้ำผสมน้ำสบู่หรือผงซักฟอก ฉีดพ่นให้ถูกตัวยุง 2.2 การพ่นเคมีกำจัดยุงตัวเต็มวัย เป็นวิธีควบคุมยุงที่ให้ผลดี แต่ให้ผลระยะสั้น ราคาแพง ผู้ปฏิบัติ ต้อง มีความรู้ เพราะเคมีภัณฑ์ อาจเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง จึงควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น 3. การป้องกันยุงกัด โดยนอนในมุ้ง ทายากันยุง ใช้สมุนไพร/พัดลมไล่ยุง ใส่เสื้อให้มิดชิด หลีกเลี่ยงที่ มืด ทึบ อับ ชื้น 3. ยุทธศาสตร์โรคไข้เลือดออกเริ่มที่ลูกน้ำ และการควบคุมการระบาด โดยมีขอบเขตในการจัดทำแผน ยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้องตามผลการประชุม The strategic plan for prevention and control of Dengue in Asia-Pacific (2007- 2015) ดังนี้ 1. การเพิ่มความเข้มแข็งในการพยากรณ์การระบาด และการค้นหาผู้ป่วยอย่างฉับไว มีแนวทางในการ ดำเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพในระบบเตือนภัยการระบาด โดยใช้ความร่วมมือจากอาสาสมัคร ผู้นำชุมชนและผู้ ปฏิบัติในการดำเนินงาน มีการเฝ้าระวังทางกีฏวิทยาและ Dengue serotype 2. ปรับปรุงมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก โดยการเพิ่มขีดความสามารถของสถานพยาบาล ใน การรักษา DSS/DHF และจัดระบบการส่งต่อผู้ป่วยผ่านสถานบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน ฝึกอบรมผู้ปฏิบัติทางแพทย์และมีแนวทางมาตรฐานการปฏิบัติ 3. สนับสนุนการป้องกันโรคไข้เลือดออกผ่านกระบวนการจัดการพาหะนำโรคแบบบูรณาการ (Integrate Vector Management - IVM) มีแนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ การวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานใน แต่ละพื้นที่สนับสนุนให้มีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการป้องกันโรคโดยผ่านนโยบายสาธารณะ พัฒนาคู่มือ IVM และ เผยแพร่ รวมทั้งผลักดันให้ชุมชนองค์กรท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการป้องกันโรค เน้น โครงการบ้านสะอาดน่าอยู่รณรงค์ กำจัดภาชนะที่มีศักยภาพในการขังน้ำอันจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้
12 เมื่อมีฝนตกหรือน้ำท่วมขังรวมทั้งสนับสนุนให้หน่วยงานท้องถิ่นเกิดความตระหนักในการเก็บกวาดล้างวัสดุ และกองขยะที่อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย 4. สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก รวมทั้งการปรับนโยบาย สาธารณะที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น มีการกำกับดูแลและเฝ้าระวังพาหะในสถานพยาบาล โรงเรียน และศาสนา สถานสร้างเครือข่ายสำหรับผู้ประกอบการยางรถยนต์และประสานให้มีการกำจัด หรือ Recycle ยางรถยนต์ ซึ่ง เป็น Key Container ที่สำคัญแนวทางการควบคุมโรค 1. การป้องกันโรคล่วงหน้าก่อนช่วงระบาด เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อไวรัสในหน้าแล้ง เป็นการ ดำเนินงาน ระยะที่ 1 (Phase 1) ที่สำคัญที่สุดในการควบคุมไข้เลือดออก ตั้งแต่ปลายปีถึงต้นปี (เดือน ตุลาคม - มีนาคม ) รวม 6 เดือน คือ การลดโรคไข้เลือดออกให้น้อยที่สุด หากเกิดการระบาดแล้วการ ควบคุมจะทำได้ ยากและสูญเสียงบประมาณเพิ่มมากขึ้น พื้นที่เป้าหมาย คือ หมู่บ้าน ชุมชน มีขั้นตอนที่ต้อง พิจารณา ดังนี้ ขั้นที่ 1. วิเคราะห์ต้นตอการระบาดสืบค้นแหล่งรังโรคและพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ไข้เลือดออก เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการจัดการ สำหรับข้อที่ 2 และ 3 ต่อไป เกณฑ์พิจารณ์พื้นที่เสี่ยงต่อการ ระบาดไข้เลือดออกระดับจังหวัดและระดับอำเภอ โดยคำนวณจากข้อมูล แล้วให้คะแนน ใช้ข้อมูลดังนี้ 1.1 การเกิดโรคซ้ำซาก หมายถึง อัตราป่วยในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา จำนวนปีที่มีอัตราป่วยสูงกว่า ค่า MEDIAN ของประเทศอย่างน้อย 2 ปี โดยค่า MEDIAN ของประเทศในแต่ละปี= MEDIAN ของอัตราป่วยของ 76 จังหวัดรายปี รอบ 5 ปีที่ผ่านมา 1.2 สำหรับเกณฑ์พิจารณาพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดไข้เลือดออก ระดับชุมชนหรือ หมู่บ้าน โดย คำนวณ จากข้อมูล อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก สูงกว่า ค่า Median 5 ปีย้อนหลัง ของพื้นที่นั้น ขั้นที่ 2 กำจัดศักยภาพของแหล่งแพร่โรค - กำจัดภาชนะเสี่ยงสำคัญ - จัดการแหล่งเพาะพันธุ์ - กวาดล้างลูกน้ำยุงลายให้ลดลงต่ำที่สุด HI ~0, CI =0 ขั้นที่ 3ระงับการแพร่เชื้อ - เฝ้าระวังไข้ ค้นหาผู้ป่วย ส่งตรวจวินิจฉัย และควบคุมพาหะ - ป้องกันยุงกัด 2. การควบคุมโรคช่วงระบาด ระยะที่ 2 (Phase 2) ตั้งแต่เดือนเมษายน – พฤษภาคม เป็นการ ป้องกันโรค โดยการเร่งรัดในการ ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในชุมชน โรงเรียน สถานบริการสถานสุข/โรงพยาบาล วัด มัสยิด แหล่ง ท่องเที่ยว - ระบบการรายงาน ที่รวดเร็ว - ความทันเวลาในการควบคุมโรค - มาตรฐานการควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ 3. การควบคุมการระบาดของโรคให้เกิดน้อยที่สุด ระยะที่ 3 (Phase 3) ตั้งแต้เดือนมิถุนายน– กันยายน เป็นช่วงที่ต้องมีควบคุมการระบาดของโรคให้ เกิดน้อยที่สุด (น้อยกว่าค่า Target line) ต้องระงับการแพร่เชื้อ เฝ้าระวังโรค ค้นหาผู้ป่วย ส่งตรวจ วินิจฉัย และควบคุมยุงพาหะ • ระบบการรายงาน ที่รวดเร็ว
13 • การสอบสวนโรค • ความทันเวลาในการควบคุมโรค • มาตรฐานการควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ • ประเมินผลการดำเนินงาน ได้แก่ การประเมินค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย • การประเมินประสิทธิภาพของการควบคุมโรคระดับอำเภอ Baseline หมายถึง ข้อมูลจำนวนป่วย ต่ำสุดรายเดือนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา Median line หมายถึง ข้อมูลจำนวนป่วยจากการหาค่ากลางทางสถิติ (Median) รายเดือนจากข้อมูล 5 ปีที่ผ่านมา Target line หมายถึง ค่าข้อมูลที่เป้าหมายของการควบคุมโรค ไข้เลือดออกกิจกรรมควบคุมโรคไข้เลือดออก 1. การเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค · Passive Surveillance o เน้นคุณภาพการรายงานที่ ถูกต้อง ทันเวลา o การวิเคราะห์รายงาน จากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค ที่ศูนย์ควบคุมโรคระดับอำเภอและ ตำบล o พัฒนาการใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยา เพื่อการเตือนภัยในทุกระดับ (การปฏิบัติงานตาม ยุทธศาสตร์3 ระยะ การใช้Target line, Base line และ Median) รวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ภูมิศาสตร์(GIS) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพยากรณ์และการเตือนภัยทางระบาดวิทยา Active Surveillance o การเฝ้าระวังผู้ป่วยมีไข้ระดับ PCU (Fever Alert) โดยให้ทีมควบคุมโรคระดับพื้นที่เข้าดำเนินการ สอบสวนและควบคุม (กำจัดทำลายแหล่ง) โรคในพื้นที่ผิดปกติSerological Surveillance o สุ่มตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจ โดยเฉพาะในช่วงฤดูก่อนการระบาด เพื่อประเมินสถานการณ์การ ระบาด ของโรค · Vector Surveillance o กำหนดมาตรการป้องกันโรคโดยให้มีการลดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในทุกชุมชนของเขต เมือง และทุกหมู่บ้าน o จัดระบบการสุ่มสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อติดตามกำกับ และประเมินผลการดำเนินงาน ตาม มาตรการป้องกันโรคของพื้นที่การควบคุมการระบาด o การสอบสวนโรคเพื่อหาแหล่งโรค ในพื้นที่ระบาดและดำเนินการควบคุมการแพร่โรค o พัฒนาศักยภาพของ SRRT ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล สถานการณ์ระบาด และดำเนินการควบคุม โรค ได้ตามมาตรฐานอย่างมีประสิทธิภาพ o การพัฒนาทีมปฏิบัติการควบคุมการระบาดในพื้นที่ โดยการสอบสวน ทำลายแหล่งยุงลาย โดยเน้น การใช้บุคลากรที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานสาธารณสุข ร่วมกับบุคลากรท้องถิ่น o พัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่าย และชุมชนในการป้องกันควบคุมโรค o พัฒนาศักยภาพชุมชนแบบเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เทคนิคประชาคมและใช้บทสรุป ของ ประชาคม ในการป้องกันควบคุมโรค o สนับสนุนการสร้างชุมชนเข้มแข็งโดยดำเนินการบ้านปลอดลูกน้ำยุงลายยั่งยืนโดยใช้การประกวด และ การรณรงค์เพื่อการกำจัดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในระดับครัวเรือน โดยใช้มาตรการทาง กายภาพชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น o สนับสนุนกิจกรรมการป้องกันและควบคุมโรคในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ โดยให้ นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในโรงเรียน ชุมชน และบ้าน
14 o ประสานงานและสนับสนุนหน่วยงาน และองค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อก าหนดแนวทางและ มาตรการ ด้านกฎหมายในการป้องกันควบคุมโรค 2. การพัฒนาระบบบริหารจัดการในพื้นที่ o ผลักดันให้เป็นนโยบายระดับอำเภอ เพื่ออำนาจการสั่งการผ่าน นายอำเภอ o จัดประชุมเครือข่ายระดับ อำเภอ ตำบล อปท. เพื่อกำหนดพื้นที่เสี่ยง ทิศทาง บทบาทและเกณฑ์ การ ติดตามประเมินผล ให้มีการดำเนินงานแบบ Partnership o จัดระบบการควบคุมคุณภาพและประเมินผลการป้องกันโรค โดยใช้ค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (House Index, Container Index) และการประเมินประสิทธิภาพการควบคุมโรค o สรุปวิเคราะห์และแนวทางการแก้ไขของ War room เครือข่ายระดับพื้นที่ และการใช้ประโยชน์ จาก ระบบการวิเคราะห์รายงาน 4. การประชาสัมพันธ์ และแจ้งข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างความตระหนักและการให้ความร่วมมือใน การ ป้องกันควบคุมโรค ผ่านหอกระจายข่าว และสื่อท้องถิ่นมาตรการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกขอให้ เครือข่ายทุกแห่งได้รณรงค์“ชาวอำเภอลานกระบือ ไล่ล่าลูกน้ำยุงลาย ตอนบ่าย 4 โมง” ร่วมกับนโยบายและ มาตรการสั่งการจากกระทรวงสาธารณสุข โดยก าหนดมาตรการรองรับ 5 ส ดังนี้ 1.การป้องกัน ด้วยมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค คือ เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพัก เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย และเก็บน้ำปิดให้มิดชิดหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกสัปดาห์ไม่ให้ ยุงลาย วางไข่ซึ่งสามารถป้องกันได้3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิก้า และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย พร้อม เพิ่มมาตรการ 5 ส. โดยกำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศรณรงค์ให้โรงพยาบาล สถานที่ ทำงาน โรงงาน บ้าน ชุมชนโรงเรียน และวัดดำเนินการทุกวันศุกร์ส่วนในวันเสาร์อาทิตย์- หรือวันหยุดราชการ ให้ บุคลากรกลับไปดำเนินการที่บ้าน 2.การเฝ้าระวังและตรวจจับการระบาด เฝ้าระวังพิเศษเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยงสูง ในด้านการดูแลรักษา ตามอาการ ให้แพทย์สั่งยาทากันยุงให้ผู้ป่วยเพิ่มเติม หากมีการแพร่ระบาดต้องส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวน เคลื่อนที่เร็วดำเนินการควบคุมโรคในชุมชนเพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำและกำจัดยุงลายตัวแก่ ตาม มาตรการควบคุมโรคปรับเป็นโมเดลลานกระบือการป้องกันโรค การป้องกัน ด้วยมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค คือ เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพัก เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและเก็บ น้ำปิดให้มิดชิดหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกสัปดาห์ไม่ให้ยุงลาย วางไข่ซึ่งสามารถป้องกันได้3 โรค คือ ไข้เลือดออก พร้อมเพิ่มมาตรการ 5 ส. โดยกำชับให้อำเภอลานกระบือ รณรงค์ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงงาน บ้าน ชุมชน โรงเรียน และวัด ดำเนินการทุกวันศุกร์ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ให้บุคล ากรกลับไปดำเนินการที่ บ้าน พร้อมทั้งทำหนังสือขอความ ร่วมมือ หน่วยราชการอื่น ๆ และประชาชนร่วมมือรณรงค์ในรูปแบบประชา รัฐ เพื่อป้องกันควบคุมโรคที่มียุงลาย เป็นพาหะมาตรการควบคุมโรค พบผู้ป่วยให้ใช้มาตรการ 3-3-1-5-14-28 อย่างต่อเนื่อง คือแจ้งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วภายใน 3 ชั่วโมง ทีมสอบสวนโรคลงสอบสวนโรคภายใน 3 ชั่วโมง และดำเนินการควบคุมโรคด้วยการพ่นสารเคมีกำจัดยุงลายในรัศมีอย่างน้อย 100 เมตร 1 วัน ต่อมา ต้องดำเนินการเพื่อให้การควบคุมป้องกันโรคได้ผลไม่กระจายไปในวงกว้าง โดยประเมินจาก ค่าดัชนีลูกน้ำ ยุงลายภายใน 5 วัน ค่าดัชนีความชุกลูกน้ำยุงลาย (HI, CI) ต้องเป็นศูนย์คือ ไม่พบลูกน้ำยุงลาย ไม่พบผู้ป่วย รายใหม่หลัง 14 วัน (นับจากวันเริ่มป่วยของผู้ป่วยรายแรก) และควบคุมการระบาดของโรค ให้ได้ภายใน 28 วันโดยเน้นในพื้นที่ 6 โรง คือ โรงพยาบาล โรงงาน โรงแรม โรงเรียนด้วยการปฏิบัติ6 ป คือปิด ปิดภาชนะน้ำ ดื่มน้ำใช้ทุกชนิดให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงลายวางไข่เปลี่ยน เปลี่ยนน้ำในแจกัน ดอกไม้จานรองขาตู้กับข้าว และ ภาชนะใส่นำที่ให้สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ภายใน บ้านเรือน เช่น นกไก่สุนัข แมว ทุกสัปดาห์ หรือใส่เกลือแกง
15 น้ำส้มสายชูล้างภาชนะน้ำดื่ม น้ำใช้ทุก ๆ ๗ วัน เพื่อป้องกันยุง ลายวางไข่ปล่อย ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลา กระดี่ ปลาหางนกยูง ในโอ่งน้ำบ่อน้ำ เพื่อกินลูกน้ำยุงลายปรับปรุง ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในบ้าน นอก บ้าน ที่สาธารณะไม่ให้มีแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เก็บ คว่ำ ทำลายภาชนะน้ำขังที่ไม่ใช้เช่น กระป๋องยางรถ เศษ วัสดุกักน้ำอื่น ๆ หมั่นทำความสะอาดบริเวณบ้าน และ รอบบ้าน ที่อาจเป็นแหล่งน้ำขังและแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ได้ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด โดยทาโลชั่นป้องกันยุงกัด หรือการนอนกางมุ้งปฏิบัติปฏิบัติตามมาตรการ 5 ป ทุก วัน เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์และลูกน้ำยุงลาย เพื่อตัดวงจรยุงลายที่ เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกมาตรการ เฝ้าระวังโรคการพัฒนาโปรแกรมกำกับติดตามการสุ่มสำรวจค่าดัชนีความชุกลูกน้ำยุงลาย โดยให้โรงพยาบาล สำนักสาธารณสุขอำเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บันทึกข้อมูลผลการสุ่มลูกน้ำผ่านระบบ ออนไลน์หน้าเว็ปไซด์ของกลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อการประเมินระบบเฝ้าระวังโรคและประเมินความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคในระดับพื้นที่ โดยจัดทีมปฏิบัติการ สุ่มลูกน้ำยุงลายระดับอำเภอและตำบล เพื่อสุ่มสลับอำเภอกัน ในแต่ละเดือนประเมิน และรายงานผลการ ดำเนินงานในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจังหวัด ซึ่งทีมจังหวัด จะลงติดตามในพื้นที่ที่ระบาดซ้ำมาตรการเพิ่มเติมโดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งพบผู้ป่วยในบ้านเดียวกันจำนวนมาก โดย ให้พื้นที่ ได้ใช้มาตรการเดิม คือการทำประชาคมและประยุกต์ใช้IVM อย่างเข้มข้นแล้ว แต่ประชาชนยังไม่ให้ ความร่วมมือที่จะดูแลกำจัดลูกน้ำด้วย ตนเอง ยังพึ่งพาจนท. สาธารณสุข แกนนำ และ อบต.เท่านั้น ซึ่งไม่ เพียงพอต่อการรับมือการ ระบาดดังนั้นจึงควรเพิ่มมาตรการทางกฎหมู่บ้าน หรือกฎหมาย เพื่อกระตุ้นให้ ประชาชนมีส่วนร่วมกันจัดลูกน้ำ และยุงตัวเต็มวัยในครัวเรือนตนเองทุกหลังคาเรือน โดยการออกกฎหมู่บ้าน หรือการใช้ข้อบัญญัติและอาจ ประยุกต์ใช้พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ 2558 โดยการแจ้งให้ชาวบ้านรู้ว่ามี กฎหมายฉบับนี้ที่สามารถให้โทษ สำหรับครัวเรือนที่ไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความยำเกรงมาตรการเร่งรัด การดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก ตามการระบาดอำเภอลานกระบือ1.หมู่บ้าน/ชุมชนที่มีการ ระบาด generation ที่ 2 - ทบทวนการจัดทำประชาคมหมู่บ้านข้อตกลงร่วมกันในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก -ทำ Big Cleaning Day ทุกสัปดาห์ และรายงานผล Big Cleaning Day เป็นรูปภาพทุกสัปดาห์ระบุ วันที่ด้วย - พ่นเคมี ทำลายยุงตัวเต็มวัย ต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์ อย่างน้อย 4 สัปดาห์ - แต่งตั้งทีมประเมิน การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ระดับอำเภอ ตำบล - ส่งผลการสุ่มประเมินดัชนีความชุกลูกน้ำ ทุกสัปดาห์ จากทีมระดับอำเภอ ให้จังหวัด 2. หมู่บ้าน/ ชุมชนที่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก - จัดทำประชาคมหมู่บ้านข้อตกลงร่วมกันในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก - ทำBig Cleaning Day ทุกสัปดาห์ รายงานผล Big Cleaning Day เป็นรูปภาพทุกเดือน ระบุวันที่ ด้วย - พ่นเคมี ทำลายยุงตัวเต็มวัย ในพื้นที่เกิดโรค พ่นสารเคมี 2 ครั้งห่างกัน 7 วันหรือพ่น 3 ครั้ง โดยครั้ง ที่ 1และ 2 ติดต่อกัน และ ครั้งที่ 3 ห่างอีก 7 วัน (รัศมีอย่างน้อย 100 เมตร) - แต่งตั้งทีมประเมิน การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ระดับอำเภอ ตำบล - ส่งผลการสุ่มประเมินดัชนีความชุกลูกน้ำทุกสัปดาห์ จากทีมระดับอำเภอ ให้จังหวัด 3. หมู่บ้าน/ ชุมชนที่ไม่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก - จัดทำประชาคมหมู่บ้านข้อตกลงร่วมกันในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก - ทำBig Cleaning Day ทุกสัปดาห์
16 - แต่งตั้งทีมประเมิน การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ระดับอำเภอ ทีมอำเภอสุ่มประเมิน สถานบริการทุกแห่ง อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง พร้อมรายงานให้จังหวัดทราบ และจังหวัด จะออกสุ่มประเมิน โดยเฉพาะสถานบริการที่มีหมู่บ้าน/ชุมชน ที่ค่า HI >๑๐, CI >๐ - ส่งผลการสุ่มประเมินดัชนีความชุกลูกน้ำ ทุกสัปดาห์ ให้จังหวัดมาตรการควบคุมป้องกันโรค ไข้เลือดออก กรณีเกิดโรค 1. หน่วยงานที่รับการรักษาต้องแจ้งโรคหลังจากแพทย์วินิจฉัย ให้พื้นที่และ สสอ. ทราบภายใน 3 ชั่วโมงรายงาน ทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง 2. สอบสวนเฉพาะราย ค้นหาผู้ป่วยรายแรกและผู้ป่วย CASE Finding ในชุมชน (ทีม SRRT สอบสวน ตามแบบฟอร์มสอบสวนผู้ป่วยสงสัยโรคไข้เลือดออกเบื้องต้น รายงาน ให้ส านักงานสาธารณสุขจังหวัด รับทราบภายในเวลา ๔๘ ชั่วโมงหลังได้รับแจ้ง ทาง E-Mail หรือ ไลน์เท่านั้น) 3. ดำเนินการควบคุมโรค (ออกควบคุมโรคหลังได้รับแจ้งลงพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมง/อย่างช้าไม่เกิน 24 ชั่วโมง) 3.1 ประเมินความชุกลูกน้ำ (HI,CI ) ก่อนดำเนินการ 3.2 แจ้งชุมชน เน้นให้ชุมชน /อบต./โรงเรียน รับทราบข้อมูลผู้ป่วยทุกราย และการควบคุม โดย ประชาชนให้มีส่วนร่วมมากที่สุด 3.3 ท าลายแหล่งโรคพาหะ - ตัวแก่ (พ่นเคมี) ทำลายยุงตัวเต็มวัย ในพื้นที่เกิดโรค พ่นสารเคมี 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน หรือพ่น 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และ 2 ติดต่อกัน และครั้งที่ 3 ห่างอีก 7 วัน (รัศมีอย่างน้อย 100 เมตร) - ลูกน้ำ (กายภาพ/ชีวภาพ/เคมี) ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์ประสานงานกับอบต./ เทศบาล,โรงเรียน,วัด ในการจัดกิจกรรมรณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์โดยให้ค่า (HI/CI) = ๐ ทุกสัปดาห์ ดังนั้นจึงขอให้พื้นที่เกิดโรค ดำเนินการรณรงค์ทุกสัปดาห์อย่างเข้มข้นและตรวจสอบให้ค่า (HI/CI) = ๐จำนวน 3 ครั้ง เท่ากับระยะเวลา ในการเฝ้าระวังโรค ๓.๕ ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ทางหอกระจายข่าว/รถประชาสัมพันธ์(เน้นย้ำเฝ้า ระวังผู้ที่มีอาการไข้ สูงไม่ลด 2 วัน หรือไข้ลด มีอาการซึม อาเจียน ปวดท้องให้รีบไปรับการรักษาที่รพ.สต./โรงพยาบาล ใกล้บ้าน) ๓.๖ ควบคุมโรคให้สงบภายใน 2Generation(ไม่เกิน 28 วัน)นับจากวันเริ่มป่วยในผู้ป่วยราย แรก 4. เฝ้าระวังโรค - เฝ้าระวังโรคระยะเวลา 28 วัน โดยดำเนินกิจกรรมต่อเนื่อง ประชาสัมพันธ์ กำจัด ลูกน้ำตัวเต็มวัย ทุกสัปดาห์ - ประเมินผล/ตรวจสอบความชุกลูกน้ำ (HI/CI) สำรวจทุกสัปดาห์หลังมีผู้ป่วย และครั้ง สุดท้ายครั้งที่ 4 เมื่อครบ 4 สัปดาห์(28 วัน) รายงานสรุปผล การสอบสวน/ควบคุมโรค เบื้องต้น ภายใน 2 สัปดาห์หลังพบ ผู้ป่วยให้ส านักงานสาธารณสุขอำเภอลานกระบือ -9- มาตรการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออก กรณีเฝ้าระวัง โรค 1. การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้เอื้อต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย - รณรงค์ใหญ่รณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายพร้อมกันทั้งอำเภอ จำนวน 2 ครั้ง/ปีครั้งที่ 1 เดือน พฤษภาคมของทุกปีครั้งที่ 1 เดือนสิงหาคมของทุกปี - รณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์(ทุกวันศุกร์) ในหมู่บ้านอย่างเข้มข้น โดย ประสาน อปท โรงเรียน, วัด ชุมชน จนกว่าค่า (HI) <10 ค่า (CI) = ๐ – หากดำเนินการแล้ว (HI) >10 ค่า (CI) >๐ ให้ ดำเนินการจัดประชุมในหมู่บ้านหา มาตรการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น ใช้บ้านข้างเคียงสลับกันใน การสำรวจลูกน้ำยุงลาย หรือมีการเสีย ค่าปรับในกรณีที่มีบ้านที่พบลูกน้ำ
17 - สำรวจความชุกลูกน้ำ (HI/CI) ทุกสัปดาห์ส่ง อำเภอ - ดำเนินการตรวจสอบค่า (HI/CI) 2. การเฝ้าระวัง - รายงานผู้ป่วยและผู้ป่วยสงสัยทางโทรศัพท์/วิทยุสื่อสาร/ Line /E-Mail ทุกวัน ไม่เว้น วันหยุดราชการ - มีWar Room ทั้งในระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วย ทีมเคลื่อนที่เร็วในการ ออก สอบสวนและควบคุมโรค มีข้อมูลจำนวน ผู้ป่วย/ตาย อัตราป่วย อัตราป่วยตาย ค่า HI, CI และพื้นที่การเกิด โรครวมทั้งพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค อาจเป็น Spot Map ที่เห็นได้ชัดเจน เพื่อการเตือนภัยล่วงหน้า - มีทีมเคลื่อนที่เร็ว จังหวัด, อำเภอ และตำบล มีผู้รับผิดชอบชัดเจน - มีทีมนิเทศติดตามเฉพาะกิจ อำเภอ และ ตำบล - จัดเตรียมสารเคมี,อุปกรณ์การพ่น ให้เพียงพอพร้อมใช้งานโดยประสานของบประมาณ จาก อบต., เทศบาล.ในพื้นที่ - อสม. ดูแลการควบคุมดัชนีลูกน้ำภายในคุ้มตนเอง - เจ้าหน้าที่ รพ.สต. กำกับดูแลหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอและพยายามหากลวิธีหรือ แรงจูงใจเพื่อให้แกนนำหมู่บ้าน และประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด - ทุกหมู่บ้านถือว่าเสี่ยง แต่ในการบริหารจัดการทรัพยากร อาจกำหนดพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูล ผู้ป่วย ย้อนหลัง เป็นพื้นที่เขตเทศบาล อบต.หมู่บ้าน/ชุมชนที่มีความแออัด หรือหมู่บ้าน/ชุมชนที่ยังไม่เคยมีผู้ป่วย หรือมีผู้ป่วยเกิดมานาน และมีผู้ป่วยในพื้นที่หมู่บ้านใกล้เคียงในปีที่ผ่านมา หรือในปีนี้เป็นต้น 3. การให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม - เน้นย้ำ แก้ไข ข้อตกลงข้อปฏิบัติหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ทุก หมู่บ้าน/ ชุมชน (โดยมีป้ายข้อปฏิบัติหมู่บ้าน/ชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ติดไว้ที่ศาลา กลางบ้าน หรือสถานที่ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน อย่างน้อย 1 ป้าย (ป้ายขนาด 1 ม.x2 ม.) เพื่อให้มีการปฏิบัติร่วมกัน - มีการประชุมชาวบ้านทุกหมู่บ้านเพื่อการรณรงค์ควบคุม/กำจัดลูกน้ำยุงลาย - จัดทำโครงการ ประกวดคุ้ม/หลังคาเรือน สะอาด เป็นระเบียบน่าอยู่อาศัย โดยของบประมาณจาก เทศบาล หรือ อบต. - จัดทำโครงการประกวดโรงเรียน/หมู่บ้าน ดีเด่นด้านป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยขอ งบประมาณจาก จากเทศบาล อบต.หรืองบ UC - ประสานแกนนำหมู่บ้าน, เจ้าหน้าที่ อบต., ครู นักเรียน เพื่อการมีส่วนร่วมในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก - ประชาสัมพันธ์/แจ้ง กรณีมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในหมู่บ้าน - เฝ้าระวังผู้ที่มีอาการ ไข้สูงไม่ลด 2 วัน หรือไข้ลด มีอาการซึม อาเจียน ปวดท้องให้รีบไปรับการ รักษาที่ โรงพยาบาล รพ.สต.ใกล้บ้านการจัดแบ่งพื้นที่ในการป้องกันควบคุมไข้เลือดออกการจัดแบ่งพื้นที่ใน การดำเนินการให้เหมาะสมเพื่อหน่วยงานระดับพื้นที่ วางแผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นการจัดแบ่งพื้นที่ปฏิบัติงาน (Area Stratification) โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อนำโดย แมลง ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งโดยปกติยุงลายมักจะหากินบริเวณในบ้านและรอบ ๆ บ้านผู้ป่วย ดังนั้น ข้อมูลที่ใช้ในการจัดแบ่งพื้นที่ ได้แก่ จำนวนผู้ป่วย และค่าดัชนีความ ชุกชุมของลูกน้ำยุงลายได้แก่ค่า House
18 Index (HI) เป็นค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายที่พบในหมู่บ้าน คือ ร้อยละของการ พบลูกน้ำยุงลายในบ้านที่ทำการ สำรวจในพื้นที่การจัดแบ่งพื้นที่เป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1. หมู่บ้านที่พบผู้ป่วยไข้เลือดออก (Dengue Haemorrhage Fever Transmission Area: DTA) หมายถึงหมู่บ้านหรือชุมชนที่ในรอบปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 1.1 พื้นที่สีแดง หมายถึง พื้นที่ควบคุมโรค เป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องภายใน 28 วันที่ผ่านมาหรือพบผู้ป่วยใหม่ 1.2 พื้นที่สีเหลือง หมายถึง พื้นที่เฝ้าระวัง เป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่เคยพบผู้ป่วยมาตั้งแต่ 29 วัน -2 เดือน 1.3 พื้นที่สีเขียว หมายถึง พื้นที่โรคสงบ เป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่เคยพบผู้ป่วย แต่ไม่พบผู้ป่วย มากกว่า 2 เดือนขึ้นไป 2. หมู่บ้านที่ยังไม่พบผู้ป่วย (Non Dengue Haemorrhage Fever Transmission Area: NDTA) หมายถึงหมู่บ้านหรือชุมชนที่ในรอบปีที่ผ่านมาไม่พบผู้ป่วย แบ่งตามค่าดัชนีลูกน้ำ (House Index : HI) ดังนี้ 2.1 พื้นที่สีดำ หมายถึง พื้นที่เสี่ยงสูงเป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่ไม่พบผู้ป่วยในรอบปีที่ผ่านมา และมีค่า HI > 20 2.2 พื้นที่สีเทา หมายถึง พื้นที่เสี่ยงปานกลางเป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่ไม่พบผู้ป่วยในรอบปีที่ผ่านมา และ มีค่า HI > 10-20 2.3 พื้นที่สีขาว หมายถึง พื้นที่เสี่ยงต่ำเป็นหมู่บ้านหรือชุมชนที่ไม่พบผู้ป่วยในรอบปีที่ผ่านมา และมีค่า HI < 10 ทั้งนี้โดยใช้หลักเกณฑ์การสุ่มสำรวจลูกน้ำยุงลายโดยใช้แบบ กอ.1/1 โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ ทีม SRRT ดังนี้ 1. หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีหลังคาเรือนน้อยกว่า 150 หลังคาเรือน สุ่มสำรวจร้อยละ 30 ของหลังคา เรือน 2. หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีหลังคาเรือนระหว่าง 150-500 หลังคาเรือน สุ่มสำรวจร้อยละ 20 ของ หลังคา เรือน 33 3. หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีหลังคาเรือนมากกว่ากว่า 500 หลังคาเรือน สุ่มสำรวจ 3. หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีหลังคาเรือนมากกว่ากว่า 500 หลังคาเรือน สุ่มสำรวจร้อยละ 10 ของ หลังคาเรือน มาตรการสำคัญในการควบคุมไข้เลือดออกเมื่อมีผู้ป่วยในพื้นที่ 1. ต้องประสานผู้นำชุมชนเพื่อทำประชาคมให้เร็วที่สุด การท าประชาคมหมู่บ้าน ตำบล ถือเป็นความ รับผิดชอบร่วมกันของ สาธารณสุขอำเภอ และผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่า ตนเองมี ความเสี่ยงแล้วและหารือข้อตกลงที่ต้องร่วมมือกันทำเพื่อควบคุมโรคให้ได้ก่อนการระบาด ต้องคิดเสมอว่า ไข้เลือดออกเป็นปัญหาของชุมชน ชาวบ้านจะได้เข้าใจและให้ความร่วมมือ เฉพาะกำลังเจ้าหน้าที่และ อสม. จะไม่ สามารถจัดการได้ทั่วถึง ในการทำประชาคมเจ้าหน้าที่ต้องให้ความรู้ ให้ข้อมูลทางวิชาการ ที่ถูกต้อง ครบถ้วน เมื่อทำประชาคมแล้วต้องได้ข้อตกลง มติ ข้อสรุป แนวทาง มีความชัดเจนว่าจะทำอะไร โดยใคร อย่างไร เมื่อไหร่ และหากเกิดระบาด ก็ต้องทำประชาคมอีกเพราะการจัดการจะเปลี่ยนไป 2. สำรวจและทลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านผู้ป่วยและรัศมี 100 เมตร เร็วที่สุด ทำทุกวัน ติดต่อกันสอง สัปดาห์ (ถ้ามีผู้ป่วยจำนวนมาก ต้องทำทั้งหมู่บ้าน) โดยต้องให้H ICI เท่ากับ 0 (ค่าHI)
19 3. โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน 1.3 ความหมายโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553c, สุชาติโสมประยูร, 2525e) โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน หมายถึง การดำเนินงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทางด้านสุขภาพ ทั้งทางความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติ เพื่อการดำรงรักษาไว้และการปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพ ของนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน ความมุ่งหมายเบื้องต้นของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน เพื่อต้องการให้ ทุก ๆ คนในโรงเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ทั้งทางด้านความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ และความ มุ่งหมายสูงสุดก็คือ ต้องการให้ทุก ๆ คนในโรงเรียนมีสุขภาพดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยทั่วไปการ ปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพนี้ย่อมจัดเป็นความมุ่งหมายพื้นฐานที่สำคัญมากของการศึกษาแผนใหม่ จึงอาจกล่าวได้ ว่าโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนเป็นโปรแกรมทางการศึกษาที่สำคัญยิ่งโปรแกรมหนึ่งในบรรดาโปรแกรมทั้งหมด ของโรงเรียน และตลอดชีวิตการเรียนของนักเรียนเรื่องการปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพควรถือเป็นเป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ที่จำเป็นยิ่งอย่างหนึ่งของโปรแกรมการเรียน กิจกรรมที่ใช้ในการดำเนินงานของโปรแกรมสุขภาพ ในโรงเรียนแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การจัดบริการ สุขภาพในโรงเรียนและการสอนสุขศึกษา ในการแบ่งลักษณะกิจกรรมออกเป็น 3 ประเภท เช่นนี้ก็เพื่อ ประโยชน์ของการบริหารงานของโรงเรียนเป็นหลัก ความจริงแล้วกิจกรรมทั้ง 3 ประเภท เหล่านี้มีความ เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันมาก อีกทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละประเภทยังได้แทรกเข้าไปในเรื่องของการปฏิบัติ อย่างใกล้ชิด กล่าวโดยสรุปความหมายของการจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สุขภาพและความมุ่งหมายสูงสุด เพื่อต้องการให้ทุกคนในโรงเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึ่งประสงค์ทั้ง ด้านความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติ โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนจึงจัดว่าเป็นโปรแกรมทางการศึกษาที่มี ความสำคัญมาก 1.4 ความมุ่งหมายของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน (สุชาติโสมประยูร, 2525c) ความมุ่งหมายเบื้องต้นของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน เพื่อต้องการให้ทุก ๆ คนในโรงเรียนมี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ทั้งทางด้านความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ และความมุ่งหมายสูงสุดก็คือ ต้องการให้ทุก ๆ คนในโรงเรียนมีสุขภาพดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยทั่วไปการปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพนี้ ย่อมจัดเป็นความมุ่งหมายพื้นฐานที่สำคัญมากของการศึกษาแผนใหม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าโปรแกรมสุขภาพใน โรงเรียนเป็นโปรแกรมทางการศึกษาที่สำคัญยิ่งโปรแกรมหนึ่งในบรรดาโปรแกรมทั้งหมดของโรงเรียน และตลอดชีวิตการเรียนของนักเรียน เรื่องการปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพควรถือเป็นเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ จำเป็นยิ่งอย่างหนึ่งของโปรแกรมการเรียน กิจกรรมที่ใช้ในการดำเนินงานของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนแบ่ง ออกได้เป็น 3 ประเภท คือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน และการสอนสุขศึกษา ในการแบ่งลักษณะกิจกรรมออกเป็น 3 ประเภทเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของการ บริหารงานของโรงเรียนเป็นหลัก ความจริงแล้วกิจกรรมทั้ง 3 ประเภทเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์ กันมาก อีกทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละประเภทยังได้แทรกเข้าไปในเรื่องของการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด 2. องค์ประกอบของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน จากประวัติความเป็นมาทางด้านสุขศึกษาในโรงเรียนของประเทศสหรัฐฯนั้น ระยะแรกๆที่เริ่มงาน สุขศึกษาในโรงเรียนแม้จะเริ่มด้วยการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม บริการสุขภาพและการสอนสุขศึกษาก็ตาม แต่ก็ ยังไม่ได้แบ่งองค์ประกอบอย่างชัดเจน เมื่อค.ศ. 1935 จึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการศึกษาว่า โปรแกรม สุขศึกษาในโรงเรียนควรจะมีองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ สิ่งแวดล้อมบริการสุขภาพ และการสอน
20 สุขศึกษา ต่อมา ค.ศ. 1966 Prof. Dr. C. E. Turner (ผู้ซึ่งภายหลังได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาสุข ศึกษา) ได้พยายามเสนอความคิดให้เพิ่มเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน โรงเรียน และชุมชน” เข้าไปอีกหนึ่ง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นว่าปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญของงานสุขศึกษาในโรงเรียนคือ การขาด ความร่วมมือร่วมใจอย่างแท้จริงจากทางบ้านและชุมชนนั่นเอง อันที่จริงความร่วมมือดังกล่าวนั้นเป็นเรื่อง สำคัญและจำเป็นมากทางด้านการบริหารจัดการในทุก ๆ วิชาหลักสูตรการศึกษาโดยรวมจึงจะ ประสบความสำเร็จ แต่นักวิชาการและผู้เขียนตำราสุขศึกษาส่วนใหญ่ในสหรัฐฯก็ยังคงเน้น 3 องค์ประกอบอยู่ อย่างเดิม เพราะถือว่าความร่วมมือเป็นเรื่องของการบริหารซึ่งไม่น่าจะจัดเป็นองค์ประกอบของโปรแกรม (Kilander, 1970; จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553d; โสมประยูร, 2525; เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, 2542d) หลังจากนั้นโปรแกรมสุขศึกษาในโรงเรียนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนโดยเฉพาะใน ปี ค.ศ.1973 Edward B. Johns นักสุขศึกษาในโรงเรียนคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศสหรัฐฯ เริ่มเรียก โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนว่า “โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนแบบผสม” (Comprehensive School Health Program) ต่อมาแนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบที่มีความหลากหลายและขยายขอบเขตให้กว้างขวางขึ้นอีกมาก จนกระทั่งในปี ค.ศ.1991 องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ร่วมด้วยองค์การ UNESCO และ UNICEF ได้เสนอ รูปแบบโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนเพื่อเผยแพร่แก่นานาชาติ (School Health Program Model for International Dissemi-nation) ซึ่งมีองค์ประกอบถึง 8 องค์ประกอบ ดังนี้ 1)โครงการร่วมระหว่างโรงเรียน และชุมชน 2)การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อสุขภาพ 3)การบริการอนามัยโรงเรียน 4)สุขศึกษา ในโรงเรียน 5)โภชนาการและอาหารที่ปลอดภัย 6) การออกกำลังกาย กีฬาและสันทนาการ 7)การให้ คำปรึกษาและสนับสนุนทางสังคม 8)การส่งเสริมสุขภาพบุคลากรในโรงเรียน 2.1 การจัดสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะ การจัดสิ่งแวดล้อมทางสุขภาพในโรงเรียน (School Health Environment) การจัดสิ่งแวดล้อมใน โรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ มีความมุ่งหมายเพื่อจะสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศทั่ว ๆ ไปในโรงเรียนให้ ถูกสุขลักษณะ คำว่าสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศในโรงเรียนนั้นมีความหมายกว้างมาก มีทั้งสิ่งแวดล้อมที่ เกี่ยวกับสภาพทางกายภาพและจิตภาพ ซึ่งอยู่ภายในรั้วโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียง ตัวอย่างในการจัด สิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะนั้น ได้แก่ การจัดอาคารสถานที่ ทั้งอาคารเรียนและอาคารประกอบให้ถูกหลัก สุขาภิบาล การขจัดเหตุรำคาญและสิ่งรบกวนต่าง ๆ การจัดน้ำดื่มน้ำใช้ การรักษาความสะอาดทั่วไป การซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม การจัดตกแต่งห้องเรียน การจัดโปรแกรมการเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน การจัดโปรแกรมการเรียนทั้งในและนอกห้องเรียนให้เหมาะสมกับสุขภาพ การป้องกันอุบัติเหตุหรืออันตราย ต่าง ๆ และการจัดให้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างทุก ๆ คนในโรงเรียน การที่เด็กมีโอกาสได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีเหล่านี้ ย่อมจะช่วยให้เด็กมีความเจริญงอก งามทั้งด้านร่างกาย สมอง อารมณ์และสังคม อันเป็นผลรวมช่วยให้เด็กมีสุขภาพดีและเป็นคนดี นอกจากนี้ โรงเรียนยังเป็นตัวอย่างของสุขศึกษาที่ดีต่าง ๆ ให้แก่ทางบ้านหรือชุมชนอีกด้วย ในเรื่องการจัดสิ่งแวดล้อมให้ ถูกสุขลักษณะนี้ ถ้าจะพิจารณากันให้รอบคอบตามลักษณะที่เป็นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่ไม่สามารถจัด สิ่งแวดล้อมล้อมให้มีสุขลักษณะที่ดีได้ดังที่ควรจะเป็นนั้นอุปสรรคสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือขาดงบประมาณ ในการก่อสร้างอาคารสถานที่หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่มักถืออ้างเป็นข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานาเพียงอย่างเดียว เรื่องสำคัญนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการรู้จักใช้ความคิดริเริ่มพัฒนา ปรับปรุง ซ่อมแซมและระวัง รักษาสิ่งที่มีอยู่นั้นให้คง สภาพดีมีสุขลักษณะอีกด้วย (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553a; สุชาติ โสมประยูร, 2525a; เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, 2542a)
21 2.2 การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน(School Health Service) การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน มีความ มุ่งหมายเพื่อที่จะช่วยปรับปรุงและส่งเสริมสุขภาพ ทั้งทาง ด้านร่างกายและจิตใจของนักเรียนทุก ๆ คน ในโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งรักษาระดับสุขภาพที่ดีอยู่แล้วให้คงดีอยู่ตลอดไปโดยการจัดแบ่งแยกกิจกรรม ออกไปได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น การชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง การตรวจสุขภาพและการตรวจโรคต่าง ๆ การปฐมพยาบาล การช่วยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความพิการทางด้านสุขภาพ การจัดบริการอาหารกลางวัน การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ การติดตามผลเหล่านี้เป็นต้น การที่นักเรียนทุก ๆ คนในโรงเรียนมีโอกาส ได้รับบริการสุขภาพอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนจะช่วยทำให้ทุกคนมีสุขภาพดี หากมีโรคภัยไข้เจ็บหรือความพิการ บกพร่องต่าง ๆ เกิดขึ้นก็ยังมีโอกาสได้รับการตรวจรักษาและแก้ไขได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที นอกจากนั้นยัง เป็นการช่วยสร้างสุขนิสัยที่ดีในการสำรวจตรวจสอบร่างกายตนเองเพื่อให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บอยู่อย่าง สม่ำเสมออีกด้วย การจัดบริการสุขภาพโรงเรียนนี้ ปัญหาสำคัญอยู่ที่การเอาใจใส่และการเห็นคุณค่าในการจัดบริการ สุขภาพของโรงเรียนหรือคณะครูในโรงเรียน โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการจัดโปรแกรมสุขภาพใน โรงเรียนโดยตรง ซึ่งได้แก่ ครูอนามัย ครูสุขศึกษา ครูพลศึกษาหรือครูคนอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย บริการ สุขภาพที่จัดขึ้นนี้โรงเรียนอาจมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานราชการ องค์กร สมาคม มูลนิธิเอกชนต่าง ๆ ฯลฯ ขอเพียงแต่ให้โรงเรียนกระตือรือร้นเอาใจใส่และเห็นคุณค่าเท่านั้น ก็จะทำให้ การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียนดีขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าโรงเรียนนั้นจะตั้งอยู่ใน เมืองหรือชนบทที่ทุรกันดารก็ตาม (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553a, สุชาติ โสมประยูรและเอมอัชฌา วัฒนบุ รานนท์, 2542) 2.3 การสอนสุขศึกษา การสอนสุขศึกษาในโรงเรียน มีความมุ่งหมายที่สำคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การให้นักเรียนมีความรู้ และความเข้าใจในเรื่องสุขภาพมีทัศนคติที่ดีเรื่องสุขภาพ และมีสุขปฏิบัติที่ดี ปกติการสอนสุขศึกษานั้นอาจ ออกแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ การสอนในชั่วโมงวิชาสุขศึกษา ซึ่งมีอยู่ประมาณสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงและอีกแบบ หนึ่งคือ การสอนให้สัมพันธ์หรือสอดแทรกผสมผสานเข้าไปในวิชาหรือกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งในและนอกหลักสูตร การที่ต้องสอนสุขศึกษานอกชั่วโมงวิชาสุขศึกษาด้วยนั้น ก็เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นในการเรียนวิชาหรือกิจกรรมอื่น ๆ จึงควรแทรกการอบรมสั่งสอน แนะนำความรู้และการปฏิบัติในเรื่องสุขศึกษาให้กับนักเรียนบ้างตามควรแก่โอกาสสำหรับวิธีการสอนสุขศึกษา นั้นมีอยู่มากมายหลายวิธีเช่นเดียวกับการสอนวิชาอื่น ๆ ทั่วไป ทั้งนี้วิธีสอนและอุปกรณ์ของวิชาอื่น ๆ ก็ตาม ครูควรจัดขึ้นเพื่อสนองความสนใจและความต้องการของเด็กเสมอ โดยมุ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้เป็นสำคัญ การที่นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้วิชาสุขศึกษาตรงตามหลักการของวิชานี้จะช่วยให้นักเรียนได้มี การเปลี่ยนแปลงความรู้และทัศนคติ ในที่สุดก็จะมีสุขปฏิบัติไปในทางที่ดีอันจะเป็นแนวทางนำไปสู่สุขภาพ ที่ดีได้ (จินตนาสรายุทธพิทักษ์, 2553c, สุชาติโสมประยูร, 2525b; เอมอัชฌาวัฒนบุรานนท์, 2542b) 2.4. ความร่วมมือของครอบครัวและชุมชน 2.4.1 การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนบ้านและชุมชน โรงเรียนเป็นสถานที่ตั้งขึ้นเพื่อรับใช้ชุมชน และเป็นหน่วยงานหนึ่งของชุมชน จึงมีผู้กล่าวว่า “โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของชุมชน” เมื่อเป็นเช่นนี้ โรงเรียนกับชุมชนจึงต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันต้องให้ ความร่วมมือกันอย่างดีในทุก ๆ ด้านในการแก้ปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ ความสำเร็จ ก็คือ ความร่วมมือระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชน งานโครงการสุขภาพในโรงเรียนจะได้ผลดีนั้น
22 ทางโรงเรียนจะต้องได้รับความร่วมมือจากทางบ้านและชุมชนเป็นอย่างดี บิดามารดาผู้ปกครองจะต้องมา ติดต่อกับทางโรงเรียนเสมอ โครงการด้านสุขภาพของโรงเรียนจะต้องสัมพันธ์กับโครงการสุขศึกษาของชุมชน นักเรียนควรจะได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทางกีฬา และชุมชนทางสุขภาพหรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวกับสุขภาพ อนามัยซึ่งจัดขึ้นในชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการดำเนินงานโครงการสุขภาพของโรงเรียน ส่วนหนึ่ง นั้นควรประกอบไปด้วย บิดามารดา ผู้ปกครอง ในชุมชนนั้น ๆ ด้วย การแก้ปัญหาสุขภาพนั้นจะหวังแต่โรงเรียน ครู เป็นฝ่ายแก้ไขฝ่ายเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ครู หรือทางโรงเรียนเป็นเพียงศูนย์กลางที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับชุมชนเมื่อทางโรงเรียนจัด กิจกรรมใดขึ้นควรจะได้เชิญผู้ปกครองนักเรียนรวมทั้งบุคคลต่าง ๆ ในชุมชนใกล้โรงเรียนมามีส่วนในกิจกรรม นั้น ๆ เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นมีความรู้สึกว่าตัวเขาได้มีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมนั้นด้วย จะช่วยทำ ให้บุคคลเหล่านั้นเห็นความสำคัญของกิจกรรมนั้น พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ คือ ช่วยเหลือทั้งกำลังกาย และ กำลังทรัพย์ กิจกรรมบางอย่างอาจจะต้องใช้งบประมาณหรือความช่วยเหลือในด้านอื่นอื่น ๆ บางครั้งต้อง พึ่งพาเจ้าหน้าที่อนามัยหรือพยาบาล หรือหากผู้ปกครองของนักเรียนบางคนเป็นแพทย์หรือพยาบาลก็จะมีส่วน ช่วยเหลือกิจกรรมบางอย่างที่ต้องการผู้มีความรู้ทางด้านนี้โดยเฉพาะ ถ้าทำได้อย่างนี้นับว่าเป็นการเชื่อม ความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง การดูแลสุขภาพของเด็กนั้น โรงเรียนน่าจะร่วมมือกับชุมชน ในการให้นักเรียนทำงานเป็น อาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือองค์การด้านสาธารณสุข เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ปัจจุบันจุดมุ่งหมายของการศึกษาต้องการให้เด็กได้รู้จักตนเอง ดูแลตนเอง รับผิดชอบตนเอง และสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปสู่บ้าน และชุมชนได้ด้วย ดังนั้นนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนจะเป็นสื่อกลางที่ สำคัญยิ่งที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ในการให้ความรู้ในด้านสุขภาพแก่บ้านและชุมชน การให้ความรู้แก่เด็ก การให้เด็กได้ฝึกสังเกตตนเอง ดูแลตนเองรับผิดชอบตนเองในด้านความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ และการที่เด็กได้เห็น ตัวแบบที่ดีจากโรงเรียน จะทำให้สามารถไปถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นแก่บ้านและชุมชนได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่โรงเรียนจะต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็กและจะต้องสร้างความสัมพันธ์เหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เมื่อโรงเรียน บ้าน และชุมชน ให้ความร่วมมืออันดีระหว่างกันแล้ว การแก้ปัญหาสุขภาพก็จะประสบ ความสำเร็จ (จินตนา สรายุทธพิทักษ์, 2553b; สุชาติโสมประยูรและเอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, 2542) 3. โรคไข้เลือดออก การป้องกันโรคไข้เลือดออก (กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข, 2556c) ได้กล่าวว่า เนื่องจากโรค ไข้เลือดออกยังไม่มียารักษา และไม่มีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วยการ ป้องกันการแพร่ของยุง โดยป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่ หรือป้องกันไม่ให้ ไข่กลายเป็นยุง เน้นที่การควบคุมลูกน้ำ ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ เนื่องจากสามารถทำลาย ได้ง่ายและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ การควบคุมและกำจัดในระยะลูกน้ำและระยะตัวโม่งสามารถกระทำได้ง่ายและสะดวกที่สุดเนื่องจาก ลูกน้ำยุงลายและตัวโม่งอยู่ในภาชนะทั้งน้ำต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกบ้าน โดยจากการสำรวจแหล่ง เพาะพันธุ์ยุงลายของกองโรคติดต่อทั่วไปปี 2533 พบร้อยละ 64.52 เป็นภาชนะเก็บขังน้ำที่อยู่ภายในบ้าน และร้อยละ 35.53 เป็นภาชนะเก็บขังน้ำที่อยู่นอกบ้านภาชนะที่พบลูกน้ำยุงลายมากคือ โอ่งน้ำดื่มน้ำใช้ (พบร้อยละ 70.82) จานรองขาตู้กันมด (พบร้อยละ 15.68) ที่เหลือเป็นภาชนะอื่น ๆ เช่น ไห ถังน้ำมัน แจกัน ยางรถยนต์เก่า จานรองกระถางต้นไม้ อ่างบัว อ่างล้างเท้า ภาชนะใส่น้ำเลี้ยงสัตว์ เศษภาชนะ เช่น โอ่งแตก เศษกระป๋อง กะลาเป็นต้น การลดหรือทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ ได้แก่
23 1) ปกปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาอย่างมิดชิด ถ้าหากปิดไม่สนิทยุงลายจะแทรกตัวลงไปวางไข่ได้ ควรปิด ภาชนะด้วยผ้ามุ้ง ผ้ายาง พลาสติกก่อนชั้นหนึ่งแล้วจึงปิดฝาชั้นนอก 2) ภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้ เช่น บ่อซีเมนต์ในห้องน้ำ ให้ใส่ทรายอะเบทเพื่อกำจัดลูกน้ำ หรือหมั่นขัดล้าง เปลี่ยนถ่ายน้ำทุก ๆ 7 วัน หรือเลี้ยงปลาหางนกยูงเพื่อให้ช่วยกินลูกน้ำ ทรายอะเบทเป็นทรายที่เคลือบสารเคมี ในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟท ใช้ใส่ในน้ำเพื่อกำจัดลูกน้ำยุงลายอัตราส่วนที่แนะนำให้ใช้คือ ทรายอะเบทที่มีสาร กำจัดแมลงทีมีฟอส (temephos) 1%โดยน้ำหนัก จะต้องใส่ทรายอะเบท 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร แต่ถ้า ทรายอะเบทที่มีทีมีฟอส 2% โดยน้ำหนัก จะต้องใส่ทรายอะเบท 0.5 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร มีฤทธิ์ในการป้องกัน การเกิดลูกน้ำยุงลายได้ 3 เดือน ทรายอะเบทองค์การอนามัยโลกยอมรับให้ใช้ในน้ำดื่มได้เพราะจะมีความ ปลอดภัยสูงในคนและสัตว์ (สีวิกา แสงธาราทิพย์, 2542) 3) การใส่แบคทีเรียลงไปในภาชนะใส่น้ำใช้ คือ ใช้ Bacillus Thuringensis H-14 (BT) โดยแบคทีเรีย นี้จะทำให้เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารของลูกน้ำในแผล และกระเพาะอาหารแตกภายใน 24 ชั้นโมงไม่อันตราย ต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ใช้แบคทีเรียแบบเคลือบเม็ดทราย 1 เม็ดหนัก 1 กรัม เท่ากับ 500 ITU/มก. (Internatinional Toxic Unit) ต่อน้ำ 200 ลิตร (1 โอ่ง) 4) ควรคว่ำภาชนะที่ยังไม่ใช้ประโยชน์ เป็นการป้องกันไม่ให้รองรับน้ำและมีน้ำขังหลงเหลืออยู่ 5) การเผา ฝัง ทำลายหรือกลบทิ้งเศษวัสดุที่อาจเก็บขังน้ำและเป็นแหล่งเพราะพันธุ์ยุงลายได้ เช่น ไหแตก กะลามะพร้าว ยางรถยนต์เก่า กระป๋อง ขวด ฯลฯ 6) ใส่เกลือครึ่งช้อนชา หรือน้ำส้มสายชู 2 ช้อนชาหรือผงซักฟอกครึ่งซ้อนชาลงจานรองของตู้ลงกันมด จะทำให้ยุงลายไม่ว่างไข่ (ต้องเปลี่ยนน้ำและใส่สารทุกเดือน) หรือเทน้ำทุก 7 วันเพื่อฆ่าลูกน้ำที่อาจเกิดขึ้นหรือ ใสชันหรือขี้เถ้าแทนการใส่น้ำ 7) จานรองใส่กระถางต้นไม้ให้ใส่ทรายธรรมดาลงไป 3 ใน 4 ของความลึกของจาน เพื่อให้ทรายดูดซับ น้ำส่วนเกินจากการรดน้ำต้นไม้ 8) หมั่นเปลี่ยนน้ำในแจกันหรือภาชนะที่ใส่พลูด่างทุก 7 วันต้องขัดล้างแจกันทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำด้วย หรืออาจใช้กระดาษนิ่ม ๆ อุดปากแจกันไว้ 4. การป้องกันโรคไข้เลือดออก 1. การใช้สารเคมี 1.1 การพ่นละอองฝอย หรือการพ่นแบบ Ultra Low Volume (ULV) เป็นการพ่นน้ำยาเคมีจาก เครื่องพ่นโดยใช้แรงอัดอากาศผ่านรูพ่นกระจายน้ำยาออกมาเป็นละอองฝอยที่มีขนาดเล็กมากเครื่องพ่นยาเคมี ทั้งแบบสะพายหลังและแบบติดตั้งบนเครื่องยนต์ 1.2 การพ่นหมอกควัน (Thermal Fogging) เป็นการพ่นน้ำยาเคมีจากเครื่องพ่นโดยใช้อากาศร้อน พ่นเป็นหมอกควันให้น้ำยาฟุ้งกระจายในอากาศ มีทั้งมีทั้งแบบหิ้วและแบบติดตั้งบนเครื่องยนต์การใช้สารเคมี ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เช่นใช้ในการตัดวงจรการแพร่โรคเมื่อเริ่มตรวจพบผู้ป่วย โดยต้องรีบไปทำการพ่นใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับรายงานผู้ป่วยในการควบคุมโรคการใช้เคมีต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากอาจเป็น พิษต่อคนหรือสัตว์เลี้ยงได้ ผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ต้องมีความรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับสารเคมีและวิธีการใช้เครื่องพ่นให้ ถูกเทคนิคการพ่นต้องให้ละอองฝอยหรือหมอกควันเข้าไปสัมผัสยุงภายในบ้านถึงจะได้ผล เนื่องจากยุงลาย เกือบทั้งหมดจะอยู่ในบ้าน 2. การใช้กับดัก เป็นการล่อยุงให้มาติดกับดักเพื่อทำให้ตายต่อไป เช่น กับดักแบบใช้แสงล่อ (Black Light) กับดักยุงไฟฟ้าใช้แสงล่อยุงเข้ามา เมื่อยุงบินเข้ามากระทบถูกซี่กรงที่มีไฟฟ้าก็จะตายไป หรือกับดักยุง แบบใช้เครื่องเสียงเป็นต้น
24 3. การป้องกันไม่ให้ยุงกัด 3.1 นอนในมุ้ง ใช้มุ้งธรรมดาหรือใช้มุ้งเคมี ถ้านอนในห้องมุ้งลวดต้องแน่ใจว่าไม่มียุงเล็ดลอดเข้าไปได้ 3.2 ใช้ยาทากันยุง มีชนิดน้ำ ผง และครีม ส่วนให้มีคุณสมบัติไม่ให้ยุงมาใกล้ หรือการใช้เครื่องไล่ยุง ไฟฟ้าซึ่งในการใช้ยาทากันยุงควรใช้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากกระดาษชุบเคมีไล่ยุงนั้นอาจเป็นอันตรายต่อ เด็กอ่อนและทารกได้ และอาจก่อให้เกิดระคายเคืองเมื่อสัมผัสถูกผิวหนัง ในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออกในระยะยาวนั้น ต้องปรับเปลี่ยน สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อ การแพร่พันธุ์ของยุงลาย เช่น การจัดบ้าน/โรงเรียนให้สะอาด ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่มืดทึบและอับชื้น รางระบายน้ำบนหลังคาไม่อุดตัน ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคให้เหมาะสม เช่น จัดให้มีระบบประปาที่ดีเพื่อ เป็นการลดการกักเก็บน้ำในภาชนะ ไว้ในบ้าน และการกำจัดขยะที่อยู่นอกบ้าน ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นวิธีการควบคุมลูกน้ำยุงลายเพื่อลดอัตราการป่วยด้วยโรค ไข้เลือดออกโดยการใช้มาตรการ 5 ป.1ข. โดยนำมาใช้เป็นแนวทางป้องกันก่อนการระบาด 5 ป. โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ป ปิด คือการควบคุมการวางไข่ของยุงลายโดยการปิดภาชนะที่ใส่น้ำใช้น้ำดื่มทุกชนิดไม่ให้ยุงลงไป วางไข่ได้ และสามารถป้องกันยุงที่เป็นตัวเต็มวัยออกมาจากภาชนะได้อีกด้วย การปิดภาชนะโดยการกักเก็บน้ำ จนเต็มแล้วใช้ฝาโอ่งที่มิดชิดปิดทับหรือรองด้วยพลาสติกอีกชั้นผูกปากให้แน่นเหมาะสาหรับภาชนะที่เก็บน้ำไว้ ใช้ยามหน้าแล้ง 2. ป เปลี่ยน คือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรการเป็นตัวของลูกน้ำยุงลายที่จะวางไข่และ เป็นตัวได้ภายใน 7 วัน และควรขัดล้างภาชนะที่ถ่ายน้ำด้วยแปรงทุกครั้งเพื่อเอาไข่ยุงที่วางไว้ออกไปด้วยเพราะ ยุงจะวางไข่ที่ผิวด้านในภาชนะ 3. ป ปล่อย คือ การปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลากัด ปลาหางนกยูง หรือปลากินลูกน้ำอื่น ๆ เพื่อช่วย กำจัดลูกน้ำโดยวิธีธรรมชาติ เหมาะกับแหล่งน้ำนิ่ง น้ำใส เช่น ถังอาบน้ำรวมในห้องน้ำ ภาชนะเก็บน้ำใบใหญ่ที่ หาฝาปิดยาก และร่องน้ำที่มีน้ำขังไม่เน่าเสีย 4. ป ปรับ คือ การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เช่น คว่ำกะลา ยางรถยนต์หรือ ภาชนะที่ไม่ได้ใช้งาน 5. ป. ปฏิบัติคือเจ้าของบ้านต้องลงมือปฏิบัติเอง จนเป็นนิสัย ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งการ ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดโดยเฉพาะเวลากลางวัน เช่น กางมุ้งเวลานอน จุดยากันยุงหรือทายากันยุง 1 ข. โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1 ข ขัด คือ ขัดภาชนะที่อาจมีคราบไข่ยุงเกาะอยู่และให้ความรู้คำแนะนำประชาชนในการป้องกัน ไม่ให้ยุงกัดด้วยการนอนในมุ้งและทายากันยุง สรุป การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุด คือการป้องกันการแพร่ของยุง โดยป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่ และป้องกันไม่ให้ไข่กลายเป็นยุงโดยการควบคุมลูกน้ำ ซึ่งทำได้ง่ายและใช้งบประมาณไม่มาก ดังนั้นผู้วิจัยได้นำ หลัก 5ป1ข มาใช้ในในการวิจัยป้องกันการระบาดของไข้เลือดออกในนักเรียนซึ่งง่ายต่อการจดจำ ตามนโยบาย ของกระทรวงสาธารณสุข 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จารุณี ชัยชาญชีพ (2543) ได้ศึกษาเรื่องการประยุกต์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการควบคุมลูกน้ำ ยุงลายในชุมชน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 74 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 35 คน กลุ่ม
25 เปรียบเทียบจำนวน 39 คน โดยจัดกิจกรรมสุขศึกษาให้กับกลุ่มทดลองที่กำหนดไว้ 8 สัปดาห์ ประกอบด้วย การบรรยายประกอบสไลด์ เทปวีดีทัศน์ ภาพโปสเตอร์ แผ่นพับ แผนภูมิ การอภิปรายกลุ่ม การระดมสมอง การสาธิต การฝึกปฏิบัติ การควบคุมกำกับการฝึกปฏิบัติ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบสำรวจ ก่อนและหลังการทดลอง แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Students t-test และ Paired sample t-test ผลการวิจัยพบว่าภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีความรู้เรื่องโรค ไข้เลือดออกและยุงลาย การรับรู้ความรุนแรงและโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมากกว่าก่อน การทดลอง และมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่าดัชนีร้อยละของบ้านที่สำรวจพบลูกน้ำ ยุงลายกับบ้านที่สำรวจลูกน้ำยุงลาย (H.1.) ลดลงกว่าก่อนการทดลองและลดลงมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ แต่ไม่พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อนำค่าส่วนต่างของสัดส่วนบ้านที่สำรวจพบลูกน้ำ ยุงลายกับบ้านที่สำรวจลูกน้ำยุงลายทั้งหมดทดสอบทางสถิติ พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ จากผลการวิจัย แสดงว่าการจัดโปรแกรมสุขศึกษาโดย ประยุกต์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการควบคุม ลูกน้ำยุงลาย มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการควบคุมและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ ลูกน้ำยุงลายในกลุ่มทดลองได้ ซึ่งสามารถนำไปสอดแทรกในกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียน เพื่อให้ เกิดพฤติกรรมการควบคุมและ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย และควรเพิ่มแรงสนับสนุนจากครู ผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปด้วย พัชราภรณ์ หมื่นจงและรองรัตน์ อองกุลนะ (2550) ได้ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการป้องกันโรค ไข้เลือดออกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 โรงเรียนบ้านนาสร้างและโรงเรียนวัดวังตะกู อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 144 คน ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 52.1 ซึ่งมีอายุระหว่าง 10-11 ปี ร้อยละ 51.4 การศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ร้อยละ 50.7 ไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกร้อยละ 83.3 ได้รับความรู้ร้อยละ 97.9 ได้รับการสนับสนุนใน การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ร้อยละ 99.3 มีความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกระดับปานกลาง มีเจตคติในการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกระดับสูง ปัจจัยเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การเป็นไข้เลือดออก การได้รับ ความรู้ การได้รับการสนับสนุนในการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เจตคติในการป้องกันโรคไข้เลือดออกและ ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแตกต่างกันมีพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 องค์อร ประจันเขตต์ (2554) ได้ทำการศึกษาเรื่องความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก ของนักเรียนโรงเรียนเขาเพิ่มนารีผลวิทยา อ.บ้านนา จ.นครนายก กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 4-6 โรงเรียนเขาเพิ่มนารีผลวิทยา ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 120 ราย เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรู้ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 63.33, 82.50 และ 53.33 ตามลำดับ ดังนั้น โรงเรียนหรือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบล รวมไปถึงผู้ปกครอง ควรให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกโดยเร็ว และปลูกฝังให้นักเรียนรวมทั้ง ประชาชนมีทัศนคติ เห็นความสำคัญของโรคไข้เลือดออกโดยชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากโรคไข้เลือดออก ให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการแก้ไขเมื่อเกิดโรคแล้ว และสร้างความตระหนักในการช่วยกันกำจัด แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนในชุมชนที่ต้องร่วมมือกัน มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับ การควบคุมลูกน้ำยุงลายในกลุ่มของนักเรียน และประชาชนให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นแกนนำในการ
26 รณรงค์ป้องกันไข้เลือดออกในชุมชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย นำไปสู่การป้องกันการเกิดโรค ไข้เลือดออกในชุมชนได้อย่างยั่งยืน Bohra and Andrianasolo (2001) ได้ทำการศึกษาเรื่อง Application of GIS in Modeling on Degue Risk based on Socio Cultural Data: Case of Jalor, Rajasthan India ปัจจัยเสี่ยงทางด้าน วัฒนธรรมทางสังคมที่ส่งผลต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก กลุ่มตัวอย่างประชากร 77 หน่วย โดยการสัมภาษณ์ ตามแบบสอบถาม เกี่ยวกับรายละเอียดเบื้องต้นของครอบครัว ความเป็นอยู่ อาชีพ ความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน โรคไข้เลือดออก พฤติกรรมการป้องกันยุง การกำจัดขยะมูลฝอย การดูแลสุขภาพ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัย ที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ ได้แก่ ความถี่ของการทำความสะอาดภาชนะเก็บกักน้ำ รูปแบบบ้าน การใช้ภาชนะเก็บของเย็น ความถี่ของการทำความสะอาดคูลเลอร์ การป้องกันดูแลภาชนะ เก็บกักน้ำ มาตรการการป้องกันยุงความถี่ของการได้รับบริการน้ำ และความถี่ของการกำจัดขยะมูลฝอย
27 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาผลของการจัดโปรแกรมสุขภาพต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2)เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุม และ3)เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนน การปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียน กลุ่มควบคุมดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 –มิถุนายน 2564 ประชากรที่ศึกษา นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จากตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีปีการศึกษา 2563 จำนวน 2 โรงเรียน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดไข้เลือดออก สูงสุด กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนสองพี่น้องวิทยาและโรงเรียนบรรหาร แจ่มใสวิทยา5 เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย(Simple random sampling) โดยวิธีจับฉลาก เลือกโรงเรียนเป็นกลุ่มทดลองได้โรงเรียนสองพี่น้องวิทยาและกลุ่มควบคุมได้โรงเรียนบรรหารแจ่มใส วิทยา 5 กลุ่มทดลองโรงเรียนสองพี่น้องวิทยามีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ห้องและมัธยมศึกษาปี ที่ 2 จำนวน 4 ห้อง และเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย(Simple random sampling) โดยวิธี จับฉลากเลือกห้อง กลุ่มควบคุมโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยามีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1จำนวน 4 ห้องและ มัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 4 ห้อง และเลือกกลุ่มควบคุมที่มีความใกล้เคียงกับกลุ่มทดลอง เกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Inclusion criteria) 1.สมัครใจเข้าร่วมตลอดโครงการวิจัย 2.เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 3.อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ เกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) 1.นักเรียนเข้าร่วมโครงการได้ไม่ครบ 3 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือเครื่องมือที่ ใช้ในการดำเนินการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออก คือ 1) กิจกรรมการการสอนสุขศึกษา2) การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและที่ บ้าน 3) กิจกรรมการบริการสุขภาพ 4) กิจกรรมความร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัว 1.1 การพัฒนาโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกผู้วิจัย ดำเนินการพัฒนาโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามขั้นตอนดังนี้
28 1) ศึกษาการจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก จาก ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยศึกษาจากโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกที่เคยมีการทำการทดลองใช้มาก่อนหน้านี้ของ ธนัชชา นทีมหาคุณ (2556) ที่พัฒนา มาจากโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนของ WHO UNESCO และUNICEF (1991) และนำมาพัฒนา ปรับปรุงตามความเหมาะสมของพื้นที่และตามสถานการณ์ในปัจจุบัน 2) ดำเนินการพัฒนาโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 3) นำโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ ประกอบด้วยกิจกรรม 4 กิจกรรม ใช้เวลาในการดำเนินกิจกรรม 3 ครั้ง ในเดือนที่ 1 เดือนที่ 2 และ เดือนที่ 3 ไปให้ที่ปรึกษาโครงการวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิตรวจพิจารณาเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข 4) นำโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ปรับปรุง แก้ไขแล้วไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไข้เลือดออก พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไข้เลือดออก และนักสุขศึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องไข้เลือดออกตรวจพิจารณาความตรง ตามจุดประสงค์และความเหมาะสมของกิจกรรมในโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก นำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง(Index of Congruence: IOC) โดยกำหนดค่าดัชนี ความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 5) แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกให้มีความสมบูรณ์ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ 6) นำโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกไปทดลอง ใช้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน แต่มีบริบท ใกล้เคียงกับโรงเรียนของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อดูความเหมาะสมในเรื่องการจัดกิจกรรมและเวลาที่ใช้ใน การจัดกิจกรรมและนำมาปรับปรุงโปรแกรมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำไปใช้จริง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบวัดการปฏิบัติในการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 2.1 การพัฒนาแบบวัดการปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออกผู้วิจัยได้ดำเนินการตาม ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนและเรื่องโรค ไข้เลือดออก 2) ดำเนินการพัฒนาแบบวัดการปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย 2.2 สร้างแบบวัดการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) มี 3 ระดับ คือ ปฏิบัติเป็นประจำ หมายถึง นักเรียนมีการปฏิบัติ 5-7 วันต่อสัปดาห์ ปฏิบัติเป็นบางครั้ง หมายถึง นักเรียนมีการปฏิบัติ 1-4 วันต่อสัปดาห์ ไม่เคยทำเลย หมายถึง นักเรียนไม่มีการปฏิบัติเลย โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนการปฏิบัติในแต่ละข้อความในแบบวัดการปฏิบัติที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนดังนี้ ในข้อความการปฏิบัติที่เป็นข้อความทางบวก กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
29 ปฏิบัติเป็นประจำ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติเป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ไม่เคยปฏิบัติ ให้ 1 คะแนน ในข้อความการปฏิบัติที่เป็นข้อความทางลบ กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ ปฏิบัติเป็นประจำ ให้ 1 คะแนน ปฏิบัติเป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ไม่เคยปฏิบัติ ให้ 3 คะแนน 2.2) นำแบบวัดการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ลักษณะการใช้คำถามและความถูกต้องด้านภาษาเพื่อนำมาปรับปรุง แก้ไข 2.3) นำแบบวัดการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ผ่านความเห็นชอบของผู้ร่วม วิจัยไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม(Index of Congruence หรือ IOC) คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 2.4) นำแบบวัดการปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออกไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จำนวน 30 คน นำผลการทดสอบมาตรวจให้คะแนน และหาค่าความเที่ยงโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าคอนบาค(Cronbach Alpha Coefficient)ได้ เท่ากับ .830 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. การดำเนินการก่อนทดลองจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 1.1 ผู้วิจัยทดสอบวัดการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมด้วยแบบวัดการปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นก่อนการทดลอง 1.2 นำผลการการทดสอบก่อนการทดลองมาเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยการ ทดสอบค่าที (t-test) เพื่อทดสอบว่านักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีการปฏิบัติต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกแตกต่างกันหรือไม่ 2. การดำเนินการทดลองโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ผู้วิจัยดำเนินการจัดโปรแกรมให้กับนักเรียนในกลุ่มทดลอง 3 ครั้ง โดยให้ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 1 เดือนและครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่ 2 เป็นเวลา 1 เดือน โดยโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย 4 กิจกรรมได้แก่ 1) กิจกรรมการให้ความรู้2) กิจกรรมการจัด สิ่งแวดล้อมที่บ้าน/ในโรงเรียน 3) กิจกรรมการบริการสุขภาพ 4) กิจกรรมความร่วมมือของโรงเรียน และครอบครัว 3. การดำเนินงานหลังการทดลองทดสอบวัดการปฏิบัติการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลอง (Post-Test) ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้แบบวัดการปฏิบัติฉบับเดียวกันกับแบบ วัดการปฏิบัติก่อนการทดลอง
30 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนสองพี่น้องวิทยาและโรงเรียนแจ่มใสวิทยา 5 เพื่อ ขออนุญาตเก็บข้อมูลวิจัย 2. ผู้วิจัยนัดกลุ่มตัวอย่างนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยแนะนำตนเอง อธิบายวัตถุประสงค์ของการทำวิจัย ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและขอความร่วมมือในการทำวิจัย พร้อมทั้งพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่างในการเข้าร่วมวิจัย 3. ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มทำแบบทดสอบ pre-test (ผลคะแนนทั้งสองกลุ่มใกล้เคียง กัน) 4. ผู้วิจัยดำเนินการจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกให้กับ นักเรียนในกลุ่มทดลองตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ 5. ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลวิจัยหลังดำเนินการจัดโปรแกรม โดยทำทดสอบ post-test กับ ทั้ง 2 กลุ่ม 6. ผู้วิจัยตรวจสอบความสมบูรณ์ครบถ้วนของข้อมูลแล้วนำไปวิเคราะห์ การพิทักษ์สิทธิผู้ให้ข้อมูล การศึกษาครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้คำนึงถึงจริยธรรมของการทำการศึกษาในการพิทักษ์สิทธิ ผู้เข้าร่วมศึกษาเป็นสำคัญ โดยปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้ 1. การใช้หลักเอกสิทธิ์(Autonomy) หมายถึง การคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและความมี อิสระในการตัดสินใจของผู้เข้าร่วมวิจัยในการเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมในกิจกรรมการวิจัยโดยไม่ถูก บังคับด้วยการให้ข้อมูลหรืออธิบายให้เข้าใจในวัตถุประสงค์ และการทำกิจกรรมก่อนการตัดสินใจหรือ การอาสาสมัครเข้าร่วมในการวิจัย มีการแนะนำตัวผู้วิจัยและกลุ่มตัวอย่าง ชี้แจงให้วัตถุประสงค์ใน การดำเนินกิจกรรม และอธิบายให้กลุ่มตัวอย่างทราบข้อมูลที่เก็บไปทุกอย่างจะเก็บเป็นความลับและ ชี้แจงว่าสามารถถอนตัวจากการวิจัยได้ตลอดเวลาเมื่อไม่ต้องการเข้าร่วมวิจัยหรือรู้สึกไม่สบายใจ 2. หลักการไม่ทำให้เกิดอันตราย(Non-maleficent) หมายถึง การระมัดระวังในการที่ จะไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงหรือทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เข้าร่วมศึกษา รวมทั้งการปกปิดความลับ ของกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ระบุชื่อ-สกุลกลุ่มตัวอย่างและมีการนำเสนอผลการวิจัยในภาพรวม การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังนี้ 1. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติมีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย ทำการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ก่อนและหลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (xˉ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) และใช้สถิติทดสอบ ค่าที่ (Paired Samples t-test) 2. ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกหลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติทดสอบ ค่าที่ (Independent Samples t-test)
31 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องผลของโปรแกรมสุขภาพโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของ นักเรียนประถมศึกษา ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งเป็น 5 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคใช้เลือดออกก่อนและ หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกและ ของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการ ประเมินของผู้ปกครองก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออกและของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออก ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการ ประเมินของผู้วิจัยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกกับของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก ตอนที่ 4 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกกับของ นักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตอนที่ 5 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองตามการประเมินของผู้ปกครองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกกับนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก ตอนที่ 6 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองตามการประเมินของผู้วิจัยของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกกับของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและ หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก และของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกและของ นักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกดังแสดงในตารางที่ 4.1,4.2 และ 4.3
32 ตารางที่ 4.1 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันไข้เลือดออกก่อนและหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุม (n=38 ) n ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง t P ̅ SD ̅ SD กลุ่มทดลอง 38 38.158 .166 51.079 .215 -16.974 .000 กลุ่มควบคุม 38 38.189 .119 41.378 .169 -4.14 .000 *p<.01 จากตารางที่ 4.1 พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่ม ทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังทดลองเพิ่มมากกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนการทดลอง เท่ากับ 38.158 .คะแนน..(SD=.166) คือ มีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้หลัง การทดลองเท่ากับ 51.079 คะแนน (SD=2148) คือ มีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกใน ระดับดี ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับ โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดหลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยค่าเฉลี่ยก่อนการทดลองเท่ากับ 38.189. คะแนน.(SD=.119) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มี ต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้ หลังการทดลองเท่ากับ 41.378 คะแนน (SD=.169) คือมีคะแนนการ ปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้ ตารางที่ 4.2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลัง การทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลอง จำแนกเป็นรายข้อ (n= 38) ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 1.9211 .35880 2.2105 .52802 2 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง 2.2368 .43085 2.2895 .65380 3 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 2.8421 .36954 2.6053 .54720 4 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 2.0526 .46192 2.4211 .55173 5 นักเรียนไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ เกิดน้ำขังและเกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย 2.6579 .48078 2.5263 .50601 6 นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่ง เพาะพันธุ์ยุงลาย 1.5000 .55750 2.5000 .50671 7 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำ 1.9211 .48666 2.3947 .49536
33 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 8 นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็นการกำจัด ลูกน้ำ 1.8947 .68928 2.2368 .48958 9 นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของ นักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 1.6579 .48078 2.6316 .48885 10 นักเรียนสามารถทำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยตนเอง เช่น การทำน้ำมันตะไคร้หอม 1.9474 .65543 2.5526 .50390 11 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้นเอง นำมา ใช้ ป้องกันยุงลาย 1.2368 .43085 2.6053 .49536 12 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัด 2.5263 .55687 2.3421 .48078 13 นักเรียนใส่ทรายลงไปในกระถางต้นไม้ เพื่อเป็นการ ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย 1.7895 .57694 2.6053 .49536 14 เมื่อนักเรียนเห็นยุงลายนักเรียนจะกำจัดทันที เช่น ตบ หรือใช้ไม้ช็อตยุง 2.7105 .51506 2.8421 .36954 15 นักเรียนไม่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความมืดและอบ ชื้น 2.4211 .64228 2.5263 .50601 16 เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้ง ทันที 1.1842 .51230 2.5000 .55750 17 ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้งขยะเป็นประจำทุกวัน 1.8421 .36954 2.7368 .44626 18 นักเรียนไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานใน ห้องเรียน .9474 .51713 2.8684 .34257 19 นักเรียนไม่ทิ้งขยะ เครื่องดื่มภายในห้องเรียน 1.0263 .67731 2.7632 .43085 20 นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน 1.8421 .36954 2.9211 .27328 จากตารางที่ 4.2 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้อง กัน โรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองก่อนการทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุก ครั้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.8421 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ นักเรียนไม่นำอาหารแลเครื่องดื่มมารับประทาน ในห้องเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ .9474 และภายหลังทดลอง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้อง กัน โรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองก่อนการทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.9211
34 ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลัง การทดลองของนักเรียนกลุ่มควบคุม จำแนกเป็นรายข้อ (n=38) ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 1.8919 .31480 2.5135 .50671 2 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง 1.9730 .16440 2.6486 .48398 3 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 1.9189 .27672 2.9189 .27672 4 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 1.8108 .39706 1.6216 .49167 5 นักเรียนไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ เกิดน้ำขังและเกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย 1.5135 .50671 1.7568 .43496 6 นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่ง เพาะพันธุ์ยุงลาย 1.0270 .16440 1.5676 .50225 7 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำ 1.1622 .37368 2.5135 .50671 8 นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็นการกำจัด ลูกน้ำ 2.1892 .39706 2.6486 .48398 9 นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของ นักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.0000 .33333 2.9189 .27672 10 นักเรียนสามารถทำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยตนเอง เช่น การทำน้ำมันตะไคร้หอม 2.1081 .39326 1.9189 .27672 11 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้นเอง นำมาใช้ ป้องกันยุงลาย 2.1081 .39326 1.9189 .27672 12 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัด 1.9459 .52419 1.8649 .34658 13 นักเรียนใส่ทรายลงไปในกระถางต้นไม้ เพื่อเป็นการ ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย 2.1081 .65760 1.8378 .37368 14 เมื่อนักเรียนเห็นยุงลายนักเรียนจะกำจัดทันที เช่น ตบ หรือใช้ไม้ช็อตยุง 1.9459 .52419 1.8919 .31480 15 นักเรียนไม่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความมืดและอบ ชื้น 2.0811 .36350 1.8649 .34658 16 เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้ง ทันที 2.1081 .31480 1.8649 .34658 17 ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้งขยะเป็นประจำทุกวัน 2.1622 .37368 1.8378 .37368 18 นักเรียนไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานใน 1.8108 .65988 1.8108 .39706
35 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD ห้องเรียน 19 นักเรียนไม่ทิ้งขยะ เครื่องดื่มภายในห้องเรียน 2.1351 .34658 1.7297 .45023 20 นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน 2.1892 .39706 1.7297 .45023 จากตารางที่ 4.3 พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้อง กันโรคไข้เลือดออกของกลุ่ม ควบคุมก่อนการทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.1892 และข้อ ที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.0270 และภายหลังทดลอง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้อง กันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองก่อน การทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของนักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบ เรียบร้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.9189 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการ ประเมินของผู้ปกครองก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่ มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกกับของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออก ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของ ผู้ปกครองก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกกับของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกดังแสดงในตารางที่ 4.4,4.5 และ 4.6 ตารางที่ 4.4 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันไข้เลือดออกก่อนและหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุมตามการประเมินของผู้ปกครอง (n=38) n ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง t P ̅ SD ̅ SD กลุ่มทดลอง 38 36.974 .100 50.680 .190 -19.399 .000 กลุ่มควบคุม 38 37.354 .301 40.105 .272 -2.814 .008 *p<.01 จากตารางที่ 4.4 พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่ม ทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของผู้ปกครองหลัง การทดลองเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยค่าเฉลี่ยก่อนการทดลองเท่ากับ 36.974 คะแนน (SD= .1003) คือมีคะแนนปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้หลังการทดลองเท่ากับ 50.680 คะแนน (SD=.190) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับดีส่วนค่าเฉลี่ยของ
36 คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพใน โรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของผู้ปกครองหลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการ ทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ. 01 โดยค่าเฉลี่ยของก่อนการทดลองเท่ากับ 37.354 .คะแนน (SD=.301)คือมี คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้หลังการทดลองเท่ากับ 40.105 คะแนน (SD= .272) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้ ตารางที่ 4.5 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมิน ของผู้ปกครองก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองจำแนกเป็นรายข้อ(n=38) ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัด เช่น นอนกางมุ้งหรือติดมุ้งลวดภายในห้องนอน 2.0000 .00000 2.8649 .34658 2 นักเรียนทำความสะอาดและจัดเก็บของในห้องหรือ มุมสำหรับเก็บของที่บ้านของนักเรียนไม่ให้อับชื้น 2.0000 .00000 2.5405 .50523 3 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง ภายในบ้าน 2.0000 .00000 2.6216 .49167 4 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 2.0000 .00000 2.5676 .50225 5 นักเรียนป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามาในบ้าน เช่น ติดมุ้งลวดรอบบ้าน 1.9474 .22629 1.6486 .48398 6 นักเรียนแจ้งผู้ปกครอง เมื่อพบว่ามุ้งลวดฉีกขาดหรือ ชำรุด 1.7368 .44626 1.6216 .54525 7 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่ปิดฝา นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 1.5789 .50036 1.3684 .48885 8 บ้านของนักเรียนมีการกำจัดยุงลาย 2.0000 .00000 2.8684 .34257 9 นักเรียนสำรวจบริเวณบ้านเพื่อหาแหล่งเพาะพันธ์ ยุงลาย 1.9474 .22629 2.8684 .34257 10 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำใช้ 2.0000 .00000 2.8684 .34257 11 นักเรียนเปลี่ยนน้ำในแจกันเป็นประจำทุกวัน 1.9474 .22629 2.8684 .34257 12 ที่บ้านนักเรียนเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ภายในบ้านเป็น ระเบียบเรียบร้อย 1.6316 .48885 2.8684 .34257 13 ที่บ้านนักเรียนกำจัดยุงด้วยการพ่นยากันยุง 1.6053 .49536 2.5263 .50601 14 นักเรียนนำผลิตภัณฑ์ไล่ยุง มาใช้ไล่ยุงภายในบ้าน 1.8947 .31101 2.6053 .49536 15 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้น ใช้ไล่ยุงภายใน บ้าน 1.8684 .34257 2.5526 .50390
37 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 16 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงมากัด 1.3684 .48885 2.8684 .34257 17 นักเรียนใส่น้ำส้มสายชูหรือเกลือ ไว้ในภาชนะ เช่น ขาตู้กับข้าว, จานรองกระถางต้นไม้ 2.0000 .00000 2.8684 .34257 18 นักเรียนทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ 1.9474 .22629 2.5263 .50601 19 นักเรียนทำความสะอาดภาชนะที่มีน้ำขังและ นักเรียนคว่ำภาชนะตักน้ำเมื่อไม่ใช้ 1.8947 .31101 2.6053 .49536 20 นักเรียนไม่นำเสื้อผ้าที่อบชื้น เข้าไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า 1.6053 .49536 2.5526 .50390 จากตารางที่ 4.5 พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่ม ทดลองก่อนการทดลองตามการประเมินของผู้ปกครองมากที่สุดได้แก่เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัด นักเรียน ทำความสะอาดและจัดเก็บของในห้องหรือมุมสำหรับเก็บของที่บ้านของนักเรียนไม่ให้อับชื้น นักเรียนปิดภาชนะที่ ใส่น้ำดื่มหลังการใช้งานทุกครั้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.000 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่นักเรียนทายากันยุง เพื่อ ป้องกันไม่ให้ยุงมากัดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.8947 และภายหลังทดลองข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองหลังการทดลองมากที่สุดได้แก่เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัดเช่นนอน กางมุ้งหรือติดมุ้งลวดภายในห้องนอน ที่บ้านนักเรียนเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.8684 ตารางที่ 4.6 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมิน ของผู้ปกครองก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มควบคุมจำแนกเป็นรายข้อ (n=38) ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัด เช่น นอนกางมุ้งหรือติดมุ้งลวดภายในห้องนอ 1.6216 .54525 1.7632 .67521 2 นักเรียนทำความสะอาดและจัดเก็บของในห้องหรือ มุมสำหรับเก็บของที่บ้านของนักเรียนไม่ให้อับชื้น 1.5676 .50225 1.8947 .64889 3 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง ภายในบ้าน 1.5405 .55750 1.4211 .59872 4 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 1.6216 .49167 1.7105 .61106 5 นักเรียนป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามาในบ้าน เช่น ติดมุ้งลวดรอบบ้าน 1.6486 .48398 1.8947 .55941 6 นักเรียนแจ้งผู้ปกครอง เมื่อพบว่ามุ้งลวดฉีกขาดหรือ ชำรุด 1.4595 .64956 2.1579 .36954
38 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 7 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่ปิดฝา นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 1.8947 .50881 2.0263 .67731 8 บ้านของนักเรียนมีการกำจัดยุงลาย 1.7895 .62202 2.1053 .68928 9 นักเรียนสำรวจบริเวณบ้านเพื่อหาแหล่งเพาะพันธ์ ยุงลาย 1.6579 .74530 2.2368 .58974 10 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำใช้ 1.7632 .67521 2.1579 .63783 11 นักเรียนเปลี่ยนน้ำในแจกันเป็นประจำทุกวัน 1.9211 .74911 1.8421 .63783 12 ที่บ้านนักเรียนเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ภายในบ้านเป็น ระเบียบเรียบร้อย 1.9474 .65543 2.0526 .76925 13 ที่บ้านนักเรียนกำจัดยุงด้วยการพ่นยากันยุง 2.0263 .49248 2.1842 .65162 14 นักเรียนนำผลิตภัณฑ์ไล่ยุง มาใช้ไล่ยุงภายในบ้าน 2.1316 .52869 2.3158 .66191 15 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้น ใช้ไล่ยุงภายใน บ้าน 2.2105 .66405 2.0000 .65760 16 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงมากัด 2.0263 .71610 2.1579 .63783 17 นักเรียนใส่น้ำส้มสายชูหรือเกลือ ไว้ในภาชนะ เช่น ขาตู้กับข้าว, จานรองกระถางต้นไม้ 2.2368 .58974 2.1842 .56258 18 นักเรียนทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ 2.2368 .63392 1.9737 .54460 19 นักเรียนทำความสะอาดภาชนะที่มีน้ำขังและ นักเรียนคว่ำภาชนะตักน้ำเมื่อไม่ใช้ 2.1842 .60873 2.0526 .51713 20 นักเรียนไม่นำเสื้อผ้าที่อบชื้น เข้าไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า 1.8684 .52869 1.9737 .71610 จากตารางที่ 4.6 พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของ กลุ่มควบคุมก่อนการตามการประเมินของผู้ปกครองมากที่สุดได้แก่ เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัด นักเรียน ทำความสะอาดและจัดเก็บของในห้องหรือมุมสำหรับเก็บของที่บ้านของนักเรียนไม่ให้อับชื้น นักเรียนปิดภาชนะที่ ใส่น้ำดื่มหลังการใช้งานทุกครั้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.000 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่นักเรียนทายากันยุง เพื่อ ป้องกันไม่ให้ยุงมากัดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.8947 และภายหลังทดลองข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มควบคุมหลังการทดลองมากที่สุดได้แก่เวลานอนนักเรียนมีวิธีป้องกันยุงกัดเช่นนอน กางมุ้งหรือติดมุ้งลวดภายในห้องนอน ที่บ้านนักเรียนเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยมี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.8684
39 ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการ ประเมินของผู้วิจัยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออกและกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออก ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของ ผู้วิจัยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกกับของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ของนักเรียนประถมศึกษาดังแสดงในตารางที่ 4.7,4.8 และ 4.9 ตารางที่ 4.7 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนและหลัง การทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและของนักเรียนกลุ่มควบคุมตามการประเมินของผู้วิจัย (n=38) n ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง t P ̅ SD ̅ SD กลุ่มทดลอง 38 36.053 .101 50.184 .066 -45.380 .000 กลุ่มควบคุม 38 36.251 .099 42.763 .082 -15.312 .000 *p<.01 จากตารางที่ 4.7 พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมินของ ผู้วิจัยของกลุ่มทดลองที่ได้รับการโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลอง เพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ. 01 โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกก่อนการทดลองเท่ากับ 36.053 คะแนน (SD= .101.) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกในระดับพอใช้หลังการทดลองเท่ากับ. 50.184. คะแนน (SD= .066) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้ ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตามการประเมินของผู้วิจัยของกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกหลังการทดลองแตกต่างกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ. 01 โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนการ ปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกก่อนการทดลองเท่ากับ 36.053 คะแนน (SD=.101)คือมีคะแนนการ ปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้หลังการทดลองเท่ากับ. 42.763 คะแนน (SD=082) คือมี คะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับพอใช้ ตารางที่ 4.8 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมิน ของผู้วิจัยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกัน โรคไข้เลือดออกจำแนกเป็นรายข้อ (n=38)
40 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 2.0000 .00000 2.8649 .34658 2 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง 2.0000 .00000 2.5405 .50523 3 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 2.0000 .00000 2.6216 .49167 4 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 2.0000 .00000 2.5676 .50225 5 นักเรียนไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ เกิดน้ำขังและเกิดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย 1.9474 .22629 1.6486 .48398 6 นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่งเพาะ พันธ์ยุงลาย 1.7368 .44626 1.6216 .54525 7 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำ 1.5789 .50036 1.3684 .48885 8 นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็น การกำจัดลูกน้ำ 2.0000 .00000 2.8684 .34257 9 นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของ นักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 1.9474 .22629 2.8684 .34257 10 นักเรียนสามารถทำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยตนเอง เช่น การทำน้ำมันตะไคร้ การทำเทียนหอมไล่ยุง 2.0000 .00000 2.8684 .34257 11 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้นเอง นำมาใช้ป้องกันยุงลาย 1.9474 .22629 2.8684 .34257 12 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัด 1.6316 .48885 2.8684 .34257 13 นักเรียนใส่ทรายลงไปในกระถางต้นไม้ เพื่อเป็นการ ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย 1.6053 .49536 2.5263 .50601 14 เมื่อนักเรียนเห็นยุงลายนักเรียนจะกำจัดทันที เช่น ตบ หรือใช้ไม้ช็อตยุง 1.8947 .31101 2.6053 .49536 15 นักเรียนไม่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความมืดและอบ ชื้น 1.8684 .34257 2.5526 .50390 16 เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้ง ทันที 1.3684 .48885 2.8684 .34257 17 ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้งขยะเป็น ประจำทุกวัน 2.0000 .00000 2.8684 .34257 18 นักเรียนไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานใน ห้องเรียน 1.9474 .22629 2.5263 .50601 19 นักเรียนไม่ทิ้งขยะ เครื่องดื่มภายในห้องเรียน 1.8947 .31101 2.6053 .49536
41 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 20 นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน 1.6053 .49536 2.5526 .50390 จากตารางที่ 4.8 พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่ม ทดลองก่อนการทดลองตามการประเมินของผู้วิจัยมากที่สุดได้แก่ นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็นการกำจัดลูกน้ำมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.000 และข้อที่ได้ คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้งทันที มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.3684 และ ภายหลังทดลองข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองหลังการ ทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็นการกำจัดลูกน้ำ ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้ง ขยะเป็นประจำทุกวัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.8684 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่นักเรียนใส่ทรายอะเบทใน ภาชนะที่เก็บน้ำ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.3684 ตารางที่ 4.9 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกตามการประเมิน ของผู้วิจัยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการ ป้องกันโรคไข้เลือดออกจำแนกเป็นรายข้อ (n=38 ) ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 1 นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก 2.2368 .43085 3.0000 .00000 2 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง 2.1053 .31101 3.0000 .00000 3 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 1.8421 .36954 3.0000 .00000 4 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 1.8421 .36954 3.0000 .00000 5 นักเรียนไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ เกิดน้ำขังและเกิดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย 1.8947 .31101 3.0000 .00000 6 นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่งเพาะ พันธ์ยุงลาย 1.5000 .55750 2.1579 .49464 7 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำ 1.4211 .50036 1.0263 .16222 8 นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็น การกำจัดลูกน้ำ 1.5263 .50601 1.0000 .00000 9 นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของ นักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 1.5263 .50601 1.1579 .49464
42 ข้อ คำถาม ก่อนทดลอง หลังทดลอง ̅ SD ̅ SD 10 นักเรียนสามารถทำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยตนเอง เช่น การทำน้ำมันตะไคร้, การทำเทียนหอมไล่ยุง 1.6579 .48078 1.3947 .78978 11 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้นเอง นำมาใช้ ป้องกันยุงลาย 1.5526 .50390 2.1316 .34257 12 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัด 1.6053 .49536 2.1579 .59395 13 นักเรียนใส่ทรายลงไปในกระถางต้นไม้ เพื่อเป็นการ ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย 1.6842 .47107 2.2105 .62202 14 เมื่อนักเรียนเห็นยุงลายนักเรียนจะกำจัดทันที เช่น ตบ หรือใช้ไม้ช็อตยุง 1.7632 .43085 2.1842 .39286 15 นักเรียนไม่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความมืดและอบ ชื้น 1.8947 .31101 2.1842 .39286 16 เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้ง ทันที 2.0000 .00000 1.3158 .47107 17 ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้งขยะเป็นประจำทุกวัน 2.0000 .00000 2.1316 .34257 18 นักเรียนไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานใน ห้องเรียน 2.0000 .00000 2.3158 .47107 19 นักเรียนไม่ทิ้งขยะ เครื่องดื่มภายในห้องเรียน 2.0000 .00000 2.3421 .48078 20 นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน 2.0000 .00000 2.0526 .22629 จากตารางที่ 4.9 พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่ม ควบคุมก่อนการทดลองตามการประเมินของผู้วิจัยมากที่สุดได้แก่ นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.2368 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บ น้ำ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.421 และภายหลังทดลองข้อที่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรค ไข้เลือดออกของกลุ่มควบคุมหลังการทดลองมากที่สุดได้แก่ นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ไข้เลือดออก นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.000 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงใน อ่างบัวเพื่อเป็นการกำจัดลูกน้ำ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ตอนที่ 4 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกและ ของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก
43 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลอง ระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกและของนักเรียน กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกและนักเรียน กลุ่มควบคุมดังแสดงในตารางที่ 4.10 และ 4.11 ตารางที่ 4.10 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและควบคุม(n=38) n หลังการทดลอง t P ̅ SD กลุ่มทดลอง 38 51.079 .215 -14.779 .000 กลุ่มควบคุม 38 41.378 .164 *p<.01 จากตารางที่ 4.10 พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลอง ระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นกว่า นักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 (t=-14.779,df=37) โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อ การป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักเรียนกลุ่มทดลองเท่ากับ 51.079 คะแนน (SD=.215) คือมีคะแนนการปฏิบัติที่ มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกในระดับดีส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้เลือดออกของ นักเรียนกลุ่มควบคุมเท่ากับ 41.378 คะแนน (SD=.164)คือมีคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ในระดับพอใช้ ตารางที่ 4.11 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการ ทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุมจำแนกเป็นรายข้อ (n=38) ข้อ คำถาม กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม ̅ SD ̅ SD 1 นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน โรคไข้เลือดออก 2.2105 .52802 2.5135 .50671 2 นักเรียนทำลายหรือคว่ำภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง 2.2895 .65380 2.6486 .48398 3 นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง 2.6053 .54720 2.9189 .27672 4 เมื่อพบภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด นักเรียนจะหา วัสดุหรือฝามาปิดโดยทันที 2.4211 .55173 1.6216 .49167 5 นักเรียนไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ เกิดน้ำขังและเกิดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย 2.5263 .50601 1.7568 .43496 6 นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่งเพาะ พันธ์ยุงลาย 2.5000 .50671 1.5676 .50225
44 ข้อ คำถาม กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม ̅ SD ̅ SD 7 นักเรียนใส่ทรายอะเบทในภาชนะที่เก็บน้ำ 2.3947 .49536 2.5135 .50671 8 นักเรียนใส่ปลาหางนกยูงในอ่างบัวเพื่อเป็น การกำจัดลูกน้ำ 2.2368 .48958 2.6486 .48398 9 นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของ นักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.6316 .48885 2.9189 .27672 10 นักเรียนสามารถทำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยตนเอง เช่น การทำน้ำมันตะไคร้, การทำเทียนหอมไล่ยุง 2.5526 .50390 1.9189 .27672 11 นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผลิตขึ้นเอง นำมาใช้ป้องกันยุงลาย 2.6053 .49536 1.9189 .27672 12 นักเรียนทายากันยุง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัด 2.3421 .48078 1.8649 .34658 13 นักเรียนใส่ทรายลงไปในกระถางต้นไม้ เพื่อเป็นการ ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย 2.6053 .49536 1.8378 .37368 14 เมื่อนักเรียนเห็นยุงลายนักเรียนจะกำจัดทันที เช่น ตบ หรือใช้ไม้ช็อตยุง 2.8421 .36954 1.8919 .31480 15 นักเรียนไม่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความมืดและอบชื้น 2.5263 .50601 1.8649 .34658 16 เมื่อพบเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ นักเรียนจะเทน้ำทิ้ง ทันที 2.5000 .55750 1.8649 .34658 17 ห้องเรียนของนักเรียนมีการทิ้งขยะเป็น ประจำทุกวัน 2.7368 .44626 1.8378 .37368 18 นักเรียนไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานใน ห้องเรียน 2.8684 .34257 1.8108 .39706 19 นักเรียนไม่ทิ้งขยะ เครื่องดื่มภายในห้องเรียน 2.7632 .43085 1.7297 .45023 20 นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน 2.9211 .27328 1.7297 .45023 จากตารางที่ 4.11 พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลอง ระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองข้อที่ได้คะแนนมากที่สุดได้แก่ นักเรียนช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.9211 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่ นักเรียนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้เลือดออก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.2105 ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติที่มีต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลอง ระหว่างนักเรียนกลุ่มควบคุมข้อที่ได้คะแนนมากที่สุดได้แก่นักเรียนปิดภาชนะที่ใส่น้ำดื่ม หลังการใช้งานทุกครั้ง นักเรียนจัดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนในโต๊ะเรียนของนักเรียนให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.9189 และข้อที่ได้คะแนนน้อยที่สุดได้แก่นักเรียนสำรวจบริเวณโรงเรียนเพื่อหาแหล่งเพาะพันธ์ยุง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 1.567