ส ุ ขภาพจ ิ ต : ม ุ มมองผ ้ ู ส ู งอาย ุ โรงเร ี ยนผ ้ ู ส ู งอาย ุ เทศบาลตา บลโพธ์ิ พระยา จังหวัดสุพรรณบุรี Mental Health: Attitudes of Aged People in Elderly School of Tambon Pho Phraya Municipality, Suphanburi Province นางสาวสุพัตรา จันทร์สุวรรณ นางสุนทรี ขะชาตย์ นางปวิดา โพธ์ิทอง นางเสาวลกัษณ ์ ศรีโพธ์ิ การวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจาก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ประจ าปี งบประมาณ 2564
สุขภาพจิต : มุมมองผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธ์ิพระยา จังหวัดสุพรรณบุรี Mental Health: Attitudes of Aged People in Elderly School of Tambon Pho Phraya Municipality, Suphanburi Province นางสาวสุพัตรา จันทร์สุวรรณ นางสุนทรี ขะชาตย์ นางปวิดา โพธ์ิทอง นางเสาวลักษณ์ศรีโพธ์ิ การวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจาก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ประจ าปี งบประมาณ 2564
(3) กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี ้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี คณะผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ ดร.พิศิษฐ์ พลธนะ ผู้อ านวยการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี และขอขอบคุณคณะกรรมการงานวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ให้ค าแนะน าในการวิจัยครั้งนี ้ งานวิจัยนี ้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจาก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี คณะผู้วิจัย ขอขอบผู้สูงอายุทุกท่านที่ให้ความร่วมมือเสียสละในการให้ข้อมูล และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการ วิจัยครั้งนี ้ คณะผู้วิจัย มิถุนายน 2564
(4) ชื่องานวิจัย สุขภาพจิต : มุมมองผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อผู้วิจัย นางสาวสุพัตรา จันทร์สุวรรณ, พย.ม. นางสุนทรี ขะชาตย์, พย.ม. นางปวิดา โพธิ์ทอง, พย.ม. นางเสาวลกัษณ์ศรีโพธิ์, พย.ม. หน่วยงาน ภาควิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและการพยาบาลสุขภาพจิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี บทคัดย่อ การวิจัยเชิงคุณภาพนี ้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสุขภาพจิตในมุมมองของผู้สูงอายุโรงเรียน ผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้สูงอายุที่อายุตั ้งแต่อายุ 60-69 ปี จ านวน 10 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เจาะลึก การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการ บันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื ้อหา ตรวจสอบความเชื่อถือได้ด้วยวิธีการ ตรวจสอบสามเส้า ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา ให้ความหมาย ของสุขภาพจิตที่ครอบคลุมจิตใจที่เป็นสุข และจิตใจที่สงบ ข้อค้นพบการดูแลสุขภาพจิตในมุมมองของ ผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 3 ประเด็น ดังนี ้ 1) การรักษาสมดุลกายใจ ได้แก่ การกินพอดีการออกก าลังกาย สม ่าเสมอ การมองโลกในแง่ดี การปล่อยวาง การผ่อนคลาย และการมีความภาคภูมิใจในตนเอง 2) การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจากกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ กิจกรรมจิตอาสา กิจกรรมประเภทอื่นๆ ที่ผู้สูงอายุ สนใจ และ 3) การสนับสนุนที่ดี ได้แก่ ครอบครัว เพื่อน และองค์กรต่างๆ การค้นพบมุมมองสุขภาพจิต และการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุนี ้ เป็นข้อมูลให้ กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุ ร่วมกันวางแผนการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุมี สุขภาพที่ดี มีความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีตรงกับตามความต้องการของผู้สูงอายุต่อไป ค าส าคัญ: ผู้สูงอายุ, สุขภาพจิตผู้สูงอายุ, โรงเรียนผู้สูงอายุ
(5) Title: Mental Health: Attitudes of Aged People in Elderly School of Tambon Pho Phraya Municipality, Suphanburi Province Author : Supattra Chansuvarn, MNS Soontaree Khachat, MNS Prawida Photong, MNS Saowalak Sripho, MNS Organization: Department of Psychiatry, Boromarajonani College of Nursing Suphanburi Abstract The purpose of this qualitative research is to study the attitude toward mental health of aged people in the elderly school of Tambon Pho Phraya Municipality, Suphanburi Province. The main informants are ten elder persons aged between 60-69 years old. The data are collected by an in-depth interview, non-participant observation and field survey. Content analysis, along with triangulation methods, are used. The research reveals that the aged people in the elderly school of Tambon Pho Phraya Municipality define the word mental health as happiness and calmness in mind. According to their viewpoints, there are three ways to take care of ones’ mental health 1) to keep physical and psychological balance by partaking nutritious food in an adequate degree, having enough exercise, being optimistic, getting rid of tension and anxiety as well as being proud of ones’ own selves 2) to have positive interaction with others from being volunteers or joining any interested activities 3) to gain good support from family, friends and corresponding organizations. The research revelation, both the definition of mental health and the practical ways mentioned in the aforesaid, becomes necessary information for every section with corresponding responsibility in order to plan any activities that helps the elder have good health, happiness and good life quality as they need. Keywords: Aged persons, Elderly mental health, Elderly school
(6) สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ สารบัญ สารบัญตาราง บทที่ 1 บทน า ความส าคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ค าถามการวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา ขอบเขตของการศึกษา นิยามศัพท์ปฏิบัติการ บทที่ 2 การตรวจเอกสาร บริบทของผ้สูงูอายชุมุชนโพธิ์พระยา ผู้สูงอายุ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผู้สูงอายุ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลและพื ้นที่ที่ศึกษาและการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การพิทกัษ์สิทธิ์ผ้ใูห้ข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูล ความน่าเชื่อถือของข้อมูล (3) (4) (5) (6) (8) 9 10 11 11 11 11 12 13 13 14 31 33 35 40 40 41 43 48 49
(7) สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของผู้ให้ข้อมูล ความหมายสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพจิตในมุมมองของผู้สูงอายุ บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ เอกสารและสิ่งอ้างอิง ภาคผนวก 52 53 53 56 65 65 68 70 74
(8) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ประเด็นในมุมมองสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ 52
บทที่1 บทน า ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) และก าลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใน โครงสร้างทางประชากรครั้งส าคัญของประเทศ โดยจ านวนผู้สูงอายุในสังคมไทยเพิ่มมากขึ ้น ส่งผล ต่อสัดส่วนจ านวนประชากรในวัยท างาน และวัยเด็กลดลงตามล าดับ จากข้อมูลประชากรของ ประเทศไทยปีพ.ศ.2561 มีจ านวนประชากรจ านวน 69 ล้านคน และมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ ้นไปถึง 11.7 ล้านคน และสัดส่วนผู้สูงอายุได้เพิ่มเป็นร้ อยละ18 ในปีพ.ศ.2561 และประมาณการณ์จ านวน ผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ ้นเป็นร้ อยละ 30 ในปีพ.ศ.2581 (ส านักงานสถิติแห่งชาติ,2561) การเข้าสู่วัย ผู้สูงอายุย่อมเกิดการเจ็บป่ วยทั ้งด้านร่างกายและจิตใจ มีความยากล าบากในการปรับตัวต่อการ เจ็บป่วย ส่งผลกระทบต่อจิตใจ และอารมณ์ และมักประสบกับภาวะหลายอย่างพร้อมกัน ส่งผลต่อ การเจ็บป่ วยด้วยภาวะทางสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ และต้องการดูแลจากครอบครัวและสังคม ตามมา จึงพบว่าปัญหาสุขภาพจิตมักเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากขึ ้นในผู้สูงอายุ โดยปัญหา สุขภาพจิตในผู้ สูงอายุเป็ นปั ญหาทางด้ านสาธารณสุขที่ส าคัญทั่วโลก (World Health Organization, 2016) ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตได้ง่าย เนื่องจากร่างกายของผู้สูงอายุมี ความเสื่อมมากขึ ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการท างานของร่างกาย จนเจ็บป่ วยด้วยโรค ประจ าตัวที่เรื ้อรัง รวมทั ้งสังคม และเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วใน ปัจจุบัน จึงท าให้ผู้สูงอายุในปัจจุบัน ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้นในโลกปัจจุบัน หากผู้สูงอายุไม่สามารถปรับตัวได้ ก็อาจเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้ ซึ่งปัญหาสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์กัน ถึงแม้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดี แต่หากมีปัญหา สุขภาพกาย และไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้น ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ตามมา (สุจริต สุวรรณชีพ, นันทนา รัตนากร, กาญจนา วณิชรมณีย์, พรรณี ภาณุวัฒน์สุข, และนันท์นภัส ประสานทอง, 2558) ผู้สูงอายุที่ดูแลตนเองได้ดีอย่างต่อเนื่องทั ้งร่างกาย และจิตใจ ย่อมสามารถท างานหารายได้มาเลี ้ยงตนเองได้ และมีศักยภาพในการท าสิ่งต่างๆ ที่ยังสามารถท า ได้ ถึงแม้ผู้สูงอายุเจ็บป่ วยด้วยโรคประจ าตัวเรื ้อรัง ก็สามารถด าเนินชีวิตได้ดีร่วมกับการอยู่ใน ชุมชนที่พักอาศัยของตนเองอย่างมีความสุข ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามมา ดัง การศึกษาที่พบว่า แหล่งที่มาของรายได้การพักอาศัยร่วมกันท านายพฤติกรรมการดูแลตนเองด้าน
10 สุขภาพจิตของผู้ สูงอายุได้(สุพัตรา จันทร์สุวรรณ, สุนทรี ขะชาตย์, ปวิดา โพธิ์ทอง, และ เสาวลกัษณ์ศรีโพธิ์, 2563) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2561) รายงานสถิติการฆ่าตัวตายส าเร็จในผู้สูงอายุ สูงเป็ นอันดับ 2 จึงเป็ นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางจิตใจได้ ง่ายกว่ากลุ่มวัยอื่น ๆ ได้ แก่ ความเครียด วิตกกังวล สมองเสื่อม ซึมเศร้า เป็นต้น จากปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ และการเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงท าให้ประเทศไทยทั ้งภาครัฐ และเอกชนร่วมกันวางแผนการดูแล ผู้สูงอายุ โดยในแต่ละชุมชนได้มีการจัดตั ้งโรงเรียนผู้สูงอายุขึ ้น เพื่อจัดการศึกษาขึ ้นส าหรับผู้สูงอายุ เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาทักษะ และการศึกษา ตามอัธยาศัยของผู้สูงอายุช่วยเพิ่มพูนความรู้ ทักษะชีวิตที่จ าเป็น ขณะเดียวกันก็เป็นพื ้นที่ที่ผู้สูงอายุ สามารถแสดงศักยภาพของตนเอง โดยการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ที่สั่งสมให้แก่บุคคลอื่นใน ชุมชน (ปราโมทย์ ประสาทกุล, 2562) ดังนั ้น ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมในโรงเรียนผู้สูงอายุ มักเป็น ผู้สูงอายุที่มีความสนใจในกิจกรรมการเรียนรู้ รวมทั ้ง ความรู้ ในการดูแลตนเองด้านสุขภาพจิตที่ หน่วยงานต่าง ๆ ได้น าความรู้มาให้กับผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ โดยสุขภาพจิตมีแนวคิดที่เชื่อมโยงกับความสุขทั ้ง 5 มิติของผู้สูงอายุ คือ สุขสบาย (health) สุขสนุก (recreation) สุขสง่า (integrity) สุขสว่าง (cognition) และสุขสงบ (peacefulness) (ส านักพัฒนา สุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต, 2555) จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับสุขภาพจิตผู้สูงอายุ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี เป็นหน่วยงานที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ในโรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธิ์พระยา อ าเภอเมือง จงัหวดัสุพรรณบุรีโดยทีมผู้วิจัยได้เข้าไปจัดกิจกรรมเกี่ยวกับ การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถท ากิจวัตร ประจ าวันได้ ด้ วยตนเอง และมีอารมณ์ที่แจ่มใส ดังนั ้น ทีมผู้ วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษา ความหมาย และการดูแลสุขภาพจิตตนเองของผู้สูงอายุ เพื่อได้ทราบถึงมุมมองความหมาย และ ประสบการณ์การดูแลสุขภาพจิตตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุใน โรงเรียนเป็นผู้สูงอายุที่สนใจเรียนรู้ และได้รับความรู้จากหน่วยงานต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ผล การศึกษานี ้ จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคล องค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ และเป็น แนวทางในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาพจิตอย่างยั่งยืนของผู้สูงอายุในชุมชนต่อไป
11 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาสุขภาพจิตในมุมมอง ของผู้สูงอายุโรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธิ์ พระยา จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เพื่อทราบแนวทางการดูแลสุขภาพจิตตนเอง ของผู้สูงอายุโรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาล ต าบลโพธิ์พระยา จงัหวดัสพุรรณบุรี ค าถามการวิจัย ความหมายของสุขภาพจิต และแนวทางการดูแลสุขภาพจิตตนเอง ในมุมมองของผู้สูงอายุ โรงเรียนผ้สูงูอายเุทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จงัหวดัสพุรรณบุรีเป็นอย่างไร ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มุมมองที่สะท้อนความเห็น ของผู้สูงอายุจากการให้ความหมาย การดูแลสุขภาพจิตและ ความต่อเนื่องในการดูแลสุขภาพจิต เพื่อน าไปสู่การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุได้ถูกต้องตรง ตามความต้องการ และจากการท าความเข้าใจดังกล่าว ย่อมท าให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถออกแบบ และวางแผน เพื่อน าไปสู่ความเข้มแข็งในการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุในชุมชนอย่างต่อเนื่องและ ยั่งยืน ขอบเขตของการศึกษา ขอบเขตด้านพื ้นที่ ศึกษาเฉพาะพื ้นที่โรงเรียนผ้สูงูอายเุทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จงัหวดัสพุรรณบุรี ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (ผู้ให้ข้อมูล) ศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุชุมชนโพธิ์พระยา มีอายุตั ้งแต่อายุ 60 ปีขึ ้นไป ขอบเขตด้านเนื ้อหา ศึกษาเฉพาะเฉพาะสุขภาพจิตและการดูแลสุขภาพจิต ในมุมมองของผู้สูงอายุ โรงเรียนผ้สูงูอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยาจงัหวดัสพุรรณบุรี ขอบเขตด้านเวลา ธันวาคม 2563 ถึง สิงหาคม 2564
12 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ เพื่อให้เข้าใจความหมายของค าบางค าให้ตรงกัน จึงก าหนดความหมายของศัพท์ที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี ้ ไว้ดังนี ้ 1. การดูแลสุขภาพจิต หมายถึง การดูแลสภาพจิตใจที่เป็นสุข สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับ ผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ปรับตัวภายใต้ภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงทั ้งทางสังคมในปัจจุบัน และปราศจากปัญหาทางสุขภาพจิต 2. ผู้สูงอายุหมายถึง ผู้สูงอายุที่อายุตั ้งแต่อายุ 60 ปีขึ ้นไป ไม่จ ากัดเพศ อายุ การศึกษา และมีสุขภาพที่ดี และสามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมได้ 3. โรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธิ์พระยา หมายถึง ผู้สูงอายุที่เป็นนักเรียนในโรงเรียน ผู้สูงอายุ เทศบาลต าบลโพธิ์พระยาอ าเภอเมืองจงัหวดัสพุรรณบุรี
13 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องสุขภาพจิต : มุมมองผู้สูงอายุ โรงเรียนผ้สูงูอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรีผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเอกสารต่างๆและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ ครอบคลุมเนื ้อหาซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย 1. บริบทของผ้สูงูอายชุมุชนโพธิ์พระยา 2. ผู้สูงอายุ 3. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 4. สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. บริบทของผู้สูงอายุชุมชนโพธ์ิพระยา ต าบลโพธิ์พระยาเป็นต าบลเก่าแก่มีต้นโพธิ์อยู่มาก เนื่องจากบริเวณนีเ้ป็น แนวทางเดินทัพ ในสมัยอยุธยา มีแม่ทัพพวกท้าวพระยาหมื่น ได้เดินทางประพาสป่ามาจากอยุธยา และจะมาหยุดพักผ่อนอยู่ตามใต้ต้นโพธิ์เมื่อมาพักค้างแรมและพักผ่อนสบายก็จะอยู่กันเป็น เวลานาน มีเจ้าพระยานาหมื่น บางท่านได้ครอบครัวอยู่ที่บ้านใต้ต้นโพธิ์นี้จากต้นโพธิ์ชาวบ้านจึง เรียกว่า “บ้านโพธิ์พระยา” เนื่องจากมีต้นโพธิ์มาก และเจ้าพระยามาพักแรมกันมากจึงเรียก “ต าบลโพธิ์พระยา” มาจนถึงปัจจบุนั ดั ้งเดิมเป็นชุมชนชนบทแต่ปัจจุบันเริ่มมีสภาพเป็นชุมชนเมือง ส าหรับเป็นที่อยู่ อาศัยและธุรกิจค้าขาย / บริการ มากขึ ้น เนื่องจากเป็นพื ้นที่ในเขตชานเมืองสุพรรณบุรี เนื่องจากได้ มีการย้ายศูนย์ราชการ มาตั ้งอยู่ติดเขตเทศบาลฯ จึงท าให้เกิดการกระจายตัวของเมืองเข้าในพื ้นที่ และมีโครงการปลูกสร้างบ้านจัดสรร ที่อยู่อาศัยอาคารพาณิชย์มากขึ ้น เทศบาลต าบลโพธิ์พระยา ตงั้อย่ทูางทิศเหนือของอ าเภอเมืองสพุรรณบุรีจงัหวดั
14 สุพรรณบุรี ระยะทางห่างจากศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี (ศูนย์ราชการ) ประมาณ 2.5 กิโลเมตร เทศบาลต าบลโพธิ์พระยา มีพืน้ที่6.25 ตารางกิโลเมตร หรือ3,828 ไร่ ครอบคลุมพื ้นที่ หมู่ที่ 1,3,6 และ 7 ต าบลโพธิ์พระยา ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื ้นที่ของเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา เป็น ที่ราบลุ่ม พื ้นที่ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร ดินอุดมสมบูรณ์ มีระบบการชลประทานใน พื ้นที่ เหมาะกับการท านา ท าไร่ ท าสวน นับเป็นพื ้นที่อุดมสมบูรณ์พื ้นที่หนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี ด้านทรัพยากรน ้า มีแม่น ้าสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ไหลผ่านชุมชนเทศบาล จ านวน 1 สาย ซึ่งมีประตูระบายของกรมชลประทานกั ้นอยู่ในพื ้นที่ของเทศบาลฯ มีคลองวังกุ่มอยู่ทางด้าน ตะวันตก ของเทศบาล 1 สาย มีคลองส่งน ้าชลประทาน บางปลาม้าอยู่ทางด้านตะวันออกของ เทศบาล จ านวน 1 สาย และมีคลองส่งน ้า ชลประทานสองพี่น้อง ผ่านเทศบาลฯ ในบริเวณพื ้นที่ฝั่ง ตะวันตกของแม่น ้าสุพรรณบุรี อีก 1 สาย 2. ผู้สูงอายุ ความหมายของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุหรือบางคนเรียกว่า ผู้สูงวัย เป็นค าที่บอกถึงตัวเลขของอายุว่า มีอายุมาก โดยนิยมนับตามอายุตั ้งแต่แรกเกิด (Chronological age) หรือทั่วไปเรียกว่า คนแก่ หรือ คนชรา โดยพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของค าว่า คนแก่ คือ มีอายุมาก หรืออยู่ในวัยชรา และ ให้ความ หมายของค าว่า ชรา คือ แก่ด้วยอายุ ช ารุดทรุดโทรม นอกจากนั ้น ยังมีการเรียกผู้สูงอายุว่า ราษฎรอาวุโส (Senior citizen) ส่วน องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) และองค์การสหประชาชาติ (United Nations, UN) ใช้ค าในภาษาอังกฤษ ของผู้สูงอายุว่า Older person or elderly person แต่เท่าที่ผู้เขียนอ่านจากเอกสารต่าง ๆ ของจาก ทั ้งองค์การอนามัยโลก และองค์การสหประชาชาติมักใช้ค าว่า Older person มากกว่า Elderly personในทางการแพทย์ สาขาวิชาเฉพาะทางที่ให้การรักษาผู้สูงอายุหรือวิทยาการด้านการแพทย์ เกี่ยวกับผู้สูงอายุเรียกว่า Geriatrics หรือ Geriatric medicine โดยรากศัพท์มาจากภาษา กรีก Geron แปลว่าคนแก่และ iatrosแปลว่า ผู้รักษา แต่บางท่านเรียกว่า Medical Gerontology และ เรียก การศึกษาเกี่ยว กับผู้สูงอายุหรือวิทยาการว่าด้วยผู้สูงอายุว่า Gerontology เรียกการ
15 พยาบาลเฉพาะทางผู้สูงอายุว่า Geriatric nursing หรือ Gerontological Nursing (รศรินทร์ เกรย์ และคนอื่นๆ, 2556) องค์การสหประชาชาติได้นิยามว่า "ผู้สูงอายุ" คือ ประชากรทั ้งเพศชายและเพศ หญิงซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ ้นไป (60+) โดยเป็นการนิยามนับตั ้งแต่อายุเกิด ส่วนองค์การอนามัย โลก ยังไม่มีการให้นิยามผู้สูงอายุ โดยมีเหตุผลว่า ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีการนิยามผู้สูงอายุ ต่างกัน ทั ้งนิยามตามอายุเกิด ตามสังคม (Social) วัฒนธรรม (Culture) และสภาพร่างกาย (Functional markers) เช่น ในประเทศที่เจริญแล้ว มักจัดผู้สูงอายุนับจากอายุ 65 ปีขึ ้นไป หรือบาง ประเทศอาจนิยามผู้สูงอายุตามอายุก าหนดให้เกษียณงาน (อายุ 50หรือ 60หรือ 65 ปี) หรือนิยาม ตามสภาพของร่างกาย โดยผู้หญิงสูงอายุอยู่ในช่วง 45-55 ปี ส่วนชายสูงอายุ อยู่ในช่วง 55-75 ปี ส าหรับประเทศไทย "ผู้ สูงอายุ" ตามพระราชบัญญัติผู้ สูงอายุ พ.ศ.2546 หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุเกินกว่าหกสิบปีบริบูรณ์ขึ ้นไป และมีสัญชาติไทยซึ่งเป็นนิยามที่ใช้ ในการวิจัยนี ้(ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2557) อุบลรัตน์ เพ็งสถิต (2546) กล่าวว่า “ผู้สูงอายุในสังคมไทย หมายถึง บุคคลที่มี อายุ 60 ปีขึ ้นไป มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในลักษณะของการเสื่อมถอยการเจริญเติบโต ของร่างกายและความต้านทานโรคน้อยลง ความสามารถด้านการปรับตัวและบทบาททางสังคม ของแต่ละบุคคลจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป” ทวีศักดิ์หล้าภูเขียว (2547) ให้ความหมายไว้ว่า “ผู้สูงอายุหมายถึง บุคคลที่ สังคมได้ก าหนดกฎเกณฑ์อายุเมื่อมีชีวิตอยู่ในช่วงวัยสุดท้ายของชีวิตซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทั ้ง ร่างกาย จิตใจ และสังคม ทิพววรรณ สุธานนท์ (2556) ได้สรุปความหมายของ ผู้สูงอายุ ไว้ว่า “ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลที่อยู่ในวัยสุดท้ายของวงจรชีวิต ที่มีอายุตั ้งแต่ 60 ปี บริบูรณ์ขึ ้นไป ซึ่งมีการ เปลี่ยนแปลงทางด้ายร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม รวมถึงเป็นผู้ที่ลูกหลานและสังคมควรจะ ให้การยกย่องดูแลเอาใจใส่”
16 จากความหมายของผู้สูงอายุที่กล่าวมาข้างต้น สรุปว่า ผู้สูงอายุ หมายถึง ผู้ที่มี อายุมากคือตั ้งแต่ 60 ปีขึ ้นไป มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมทั ้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ความสามารถในการใช้ศักยภาพลดลง ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมภายนอกล าบากมาก ขึ ้น การเปลี่ยนแปลงในผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้นในแต่ละช่วงวัยของชีวิต เริ่มตั ้งแต่วัยเด็ก ตลอดจน เข้า สู่วัยผู้สูงอายุ เปรียบเป็นช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นลักษณะเฉพาะ แต่ก็ แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ตามเงื่อนไขสภาพแวดล้อม ความสามารถ ประสบการณ์หรือการ ตัดสินใจของบุคคล วันทนีย์ นวลละออง (2556) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ที่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การมีผิวหนังเหี่ยวย่น ความบกพร่องทางสายตาและการ ได้ยิน ด้านจิตใจที่เกิดจากการสูญเสียทางสัมพันธภาพ การถูกทอดทิ ้ง เกิดความผิดปกติภายใน ร่างกาย ภาวะของระบบสมองที่ถดถอย ความจ าแย่ลง เกิดอาการหลงลืม มีผลต่อสภาพจิตใจที่ สับสน และซึมเศร้ า ด้านสังคม เกิดการเปลี่ยนแปลงทางบทบาท สถานภาพ ทั ้งทางครอบครัว สังคม ภายนอก หน้าที่การท างาน และด้านเศรษฐกิจ เกิดจากการไม่ได้ประกอบอาชีพ รายได้ ลดลง หรือไม่มีรายได้ วัยสูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเสื่อมถอย เนื่องจากอวัยวะ ต่าง ๆ ของร่างกายถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั ้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ประกอบกับ การปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ท าให้พบการเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ ดังนี ้ 1.ด้านร่างกาย ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คือ เกิดความเสื่อมถอย น ามา ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ แม้ว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลท าให้เกิดความเสื่อมถอยดังกล่าว ปัจจัยหนึ่ง คือ ปัจจัย ด้านพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปัจจัยที่ส าคัญอีกประการหนึ่ง ที่มีอิทธิพลอย่าง มากต่อภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ คือ แบบแผนในการด าเนินชีวิต หรือสิ่งที่ผู้สูงอายุประพฤติ
17 ปฏิบัติเป็นประจ านั่นเอง ซึ่งปัจจัยนี ้ผู้สูงอายุสามารถก าหนดและควบคุมได้ ในวัยผู้สูงอายุร่างกาย มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังนี ้ (จรัสวรรณ เทียนประภาส และพัชรี ตันศิริ, 2536) 1. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก กล้ามเนื ้อมีอาการเหี่ยวฝ่อ มีเยื่อพังผืด มากขึ ้นกล้ามเนื ้ออ่อนก าลัง ท าให้สูญเสียความแข็งแรงว่องไวและการทรงตัวที่ดี กระดูกจะบางลง ผุและหักง่าย หมอนรองกระดูกสันหลังจะเหี่ยวเสียความยืดหยุ่น ท าให้ตัวเตี ้ยลง 1 เซนติเมตร ทุก 20 ปี ข้อเสื่อมตามวัยปวดตามข้อ และท าให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างเคลื่อนไหวได้ง่าย 2. ระบบสัมผัส มีการเสื่อมลง ได้แก่ การเห็นเสื่อมลง เลนส์ตาเกิดต้อ กระจก สายตายาวขึ ้น กล้ามเนื ้อลูกตาเสื่อม การปรับสายตาช้า ท าให้เวียนหัวได้ง่าย ประสาทรับ เสียงเสื่อม ท าให้หูตึงได้ยินเสียงต ่าหรือเสียงสูงกว่าธรรมดา มีการเสื่อมของหูที่เกี่ยวกับระบบการ ทรงตัวท าให้ผู้สูงอายุเดินโซเซได้จมูกมีประสาทรับกลิ่นเลวลง ลิ ้มรสได้น้อยลง การรับสัมผัสบริเวณ ปลายมือ ปลายเท้าเสื่อมลง ท าให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวดสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เช่น ผิวหนังพองจากความร้อนเป็นจมูกมีประสาทรับกลิ่นเลวลง ลิ ้มรสได้น้อยลง การรับสัมผัสบริเวณ ปลายมือ ปลายเท้าเสื่อมลง ท าให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวดสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เช่น ผิวหนังพองจากความร้อน เป็นต้น 3. ผิวหนังจะบางและเหี่ยวย่น สีของผิวหนังน้อยลง ท าให้เกิดจุดด่าง ขาว แต่บางครั้งเกิดตกกระจากการมีสีเพิ่มขึ ้น ต่อมน ้ามันขับน ้ามันน้อย ท าให้ผิวแห้ง คัน ต่อม เหงื่อขังเหงื่อได้น้อยลงส่วนผมจะร่วงและเปลี่ยนเป็นสีขาว 4. ระบบหายใจ ปอดมีสมรรถภาพลดลง ความจุและความยืดหยุ่นของ ปอดลดลง เลือดจับออกซิเจนขณะผ่านปอดได้น้อยลง ท าให้เหนื่อยง่าย นอกจากนี ้ กลไกการไอ ท างานได้น้อยลงท าให้มีเสมหะสะสมภายในปอดมากขึ ้น 5. ระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต เยื่อผุผนังด้านในของหัวใจ หนาขึ ้น และมีคอเลสเตอรอลแทรกในผนังหลอดเลือด ท าให้หลอดเลือดแข็งตัวขาดความยืดหยุ่น การไหลเวียนของเลือดช้าลง ท าให้หัวใจต้องท างานหนักมากขึ ้น เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจ วายได้ง่ายนอกจากนี ้ผู้สูงอายุยังมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ง่าย เกิดจากเลือดไปเลี ้ยงสมองไม่ทัน ขณะที่มีการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถของร่างกาย
18 6. ระบบประสาท สมองมีขนาดเล็กลงเสื่อมหน้ าที่ท าให้ มีการ เคลื่อนไหวช้า มีอาการสั่นตามร่างกายได้ จะเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ ได้ยากแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ไม่ดี นอกจากนี ้ผู้สูงอายุยังขี ้ลืมง่ายโดยเฉพาะเหตุการณ์ในปัจจุบัน แต่สามารถจาเรื่องราวเก่า ๆ ได้ดี 7. ระบบทางเดินอาหาร ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ฟันจะหัก ต่อมน ้าลายขับ น ้าลายออกมาน้อยลงท าให้ปากแห้ง การผลิตน ้าย่อยน้อยลง การเคลื่อนตัวของกระเพาะอาหาร และล าไส้ช้าลง ท าให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย นอกจากนี ้การดูดซึมอาหารไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ท าได้ น้อยลง จึงท าให้ผู้สูงอายุขาดสารอาหารได้ง่าย 8. ระบบขับถ่ายปัสสาวะเกิดการเสื่อมหน้าที่ ท าให้ไตขับถ่ายของเสีย ได้น้อยลง ถ่ายปัสสาวะบ่อยเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลง ผู้สูงอายุโดยเฉพาะเพศ ชายมีภาวะต่อมลูกหมากโต ส่วนในเพศหญิงอาจมีอาการกลั ้นปัสสาวะไม่อยู่ 9. ระบบขับถ่ายอุจจาระ ผู้สูงอายุมักจะท้องผูกจากระบบการย่อย อาหารไม่ปกติ 10.ระบบต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนลดลง ท าให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเป็น เบาหวานได้ง่ายกว่าวัยอื่น 11. ระบบภูมิคุ้มกัน ในผู้สูงอายุจะมีภูมิคุ้มกันเสื่อมลง ส่งผลให้ความ ต้านทานโรคต่างเกิดภูมิแพ้ และมีโอกาสเกิดมะเร็งได้ ปณิธาน วัฒนพานิชกิจ (2548) กล่าวถึง พัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้า สู่วัยผู้สูงอายุดังนี ้ 1. ระบบโครงสร้างร่างกายผู้สูงอายุระบบอายุทุกอย่างเสื่อมลง ทั ้ง ผิวหนัง รูปร่างโครงกระดูกและข้อ จะเปลี่ยนรูปมีลักษณะโก่งงอ ส่วนสูงจะลดลง ไขมันใต้ผิวหนัง และความยืดหยุ่นลดลงเนื่องจากความเสื่อมของต่อมไขมัน ส่งผลให้ผิวหนังของผู้สูงอายุมีลักษณะ
19 เหี่ยวย่นและตกกระ การท างานภายในร่างกายมีประสิทธิภาพลดลง จึงส่งผลออกมาให้เห็นใน ภายนอก เส้นผมบางลงเปลี่ยนสีเป็นสีขาวมากขึ ้น 2. ระบบกล้ามเนื้อ การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ที่พบในกล้ามเนื ้อ มักมี ลักษณะแบบที่ไม่ได้ใช้งานเมื่อสูงอายุ ที่พบเห็น คือ การสูญเสียน ้า เกลือและอนินทรีย์ส่งผลต่อ กล้ามเนื ้อมีขนาดเล็กลง การเปลี่ยนแปลงของเอมไซม์กระบวนการของเอมไซม์ที่จะฟื ้นคืนจะท าได้ ช้าลงกว่าวัยอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงในโปรตีนหดตัว ส่งผลต่อเส้นใยกล้ามเนื ้อหดลง และการ เปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดที่ไหลผ่านกล้ามเนื ้อที่ลดลงแต่การออกก าลังกายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ สามารถท าให้ภาวะที่เปลี่ยนของกล้ามเนื ้อสามารถกลับคืนมาได้ 3. ระบบสมองและประสาท เซลล์ประสาทเป็นสาเหตุให้น้าหนักและ ปริมาณสมองลดลง ส่งผลให้เกิดสมองตายและสูญเสียไป ระบบรับความรู้สึกที่ควบคุมการได้ยิน การรับรู้การทรงตัวจะเสื่อมลง ความสมดุลลดลง การรับรู้การได้กลิ่น การรับรส ก็จะเสื่อมลงไป การเปลี่ยนแปลงประสาทอัตโนมัติ ที่ส่งผลต่อสภาพร่างกายที่ท าให้การควบคุมดุลยภาพของ ร่างกายลดลง จะท าให้ตัวเย็นจากภายใน เกิดอาการหนาวสั่นได้ง่าย 4. ระบบหัวใจและหลอดเลือด หากระบบนี ้ล้มเหลวจะส่งผลต่อชีวิต ของมนุษย์สิ ้นสุดลงผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงของ ระบบหลอดเลือด 5. ระบบหายใจ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางสรีระวิทยา ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้ างกระดูก ส่งผลต่อการท างานของระบบหายใจ เนื่องจากต้องใช้กล้ามเนื ้อหน้าท้องเพื่อการหายใจ การหายใจออกถูกจ ากัด และเคลื่อนไหวช้ากว่า การหายใจเข้า รวมถึงถุงลมในผู้สูงอายุจะมีการขยายและยืดหยุ่นได้น้อยลง เกิดเป็นโรคถุงลมโป่ ง พอง การหายใจจะหอบและเหนื่อยง่ายขึ ้น 6. ระบบทางเดินอาหาร มีความส าคัญต่ออวัยวะอื่น ๆ เมื่อระบบ ทางเดินอาหารมีการเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลต่อระบบอื่น ๆ เป็นอย่างมากเริ่มจากด่านแรกของการ เปลี่ยนแปลง คือ ฟัน ที่ท าหน้าที่บดเคี ้ยวอาหารเมื่อหมดสภาพ ประสิทธิภาพการท างานลดลง ประกอบกับการหมดสภาพของฟันก็จะมาพร้อมกับโรคเหงือกตามมา ต่อมาการเปลี่ยนแปลงของ
20 กระเพาะอาหารและล าไส้ เมื่อผ่านเส้นทางการล าเลียงอาหารมาเพื่อย่อยในกระเพาะอาหาร แต่ เมื่อความเสื่อมสภาพส่งผลให้การลดของกรด และน้าย่อย สมรรถภาพการย่อยก็จะลดลง การดูด ซึมในล าไส้ลดลง ผู้สูงอายุจึงมีอาการท้องผูก มากขึ ้นการเปลี่ยนแปลงอีกประการ คือ ตับ ตับอ่อน และน ้าดีที่ส่งผลให้ความสามารถในการท าลาย พิษของตับลดลง ก็คือ ไขมันที่เข้ามาแทรกซึมใน ตัว น ้าดีจึงมีปริมาณของไขมันเข้มข้น ภาณุ อดกลั ้น (2558) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของบุคคลนั ้น มี 2 ระยะ คือระยะแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงตั ้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 40 ปีโดยมีลักษณะในทางเจริญเติบโต (Growth) และเข้าสู่ระยะที่ 2 หลังอายุ 40 ปีขึ ้นไป จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเสื่อมโทรม จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้สูงอายุ ท าให้เกิด โรคได้ง่ายมากขึ ้น ดังรายงานส ารวจสุขภาวะผู้สูงอายุ (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2558: 44) พบว่า เป็นโรคความดันโลหิตสูงสุด รองลงมาเป็นโรคเบาหวาน และข้อเข่าเสื่อม 2.ด้านจิตใจ จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ย่อมส่งผลไปสู่พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของ ผู้สูงอายุรวมทั ้งสภาพจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งดังกล่าว เนื่องจากต้องเผชิญกับการปรับตัวใน การเข้าสู่วัยผู้สูงอายุจากที่เคยปฏิบัติหรือมีพฤติกรรมที่ปกติสามารถท าอะไรได้ตามที่ต้องการ แต่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงไว้ว่าจากที่แสดงออกชัดจากร่างกาย อาการหูตึง ตาพร่ามั่ว การ เคลื่อนไหวที่ช้าลงและล าบากมากขึ ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ อาจเกิดอาการหงุดหงิด ความเครียด หรือคิดกังวล ค านึงถึงความไร้ค่า ไร้ประโยชน์ของตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การ เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจนั ้นไม่สามารถแยกจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายได้หรือแม้แต่ ทางสังคมและเศรษฐกิจก็เช่นกัน “การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและสังคมมีผลต่อโดยตรง ต่อสภาพจิตใจและ อารมณ์ของผู้สูงอายุ” (เกษม ตันติผลาชีวะ และกุลยา ตันติผลาชีวะ, 2558) การเปลี่ยนแปลง ทางด้านจิตใจและอารมณ์ในวัยนี ้ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ ได้แก่ “การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น คู่ชีวิตหรือญาติสนิท การสูญเสียสัมพันธภาพในครอบครัวจากบุตรหลานแยกย้ายกันไป การ สูญเสียสมรรถภาพทางเพศท าให้ผู้สูงอายุวิตกกังวล”
21 (อัมพร โอตระกูล, 2558) และความคับข้องในทางสังคมก็เป็นสาเหตุหนึ่งของ ปัญหาด้านจิตใจ อันเนื่องมาจากการถูกปลดเกษียณต้องหยุดรับผิดชอบงานต่าง ๆ ทั ้งที่ผู้สูงอายุ บางรายยังไม่พร้อมที่จะหยุดท างาน จึงมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้สูงอายุนั ้นเป็นอย่างมาก เพราะ ผู้สูงอายุนั ้นไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้หมดสมรรถภาพในการท างานแต่สังคมก าหนดให้เป็ น เช่นนั ้น ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบครอบครัว จากครอบครัวขยายไปเป็น ครอบครัวเดี่ยวจึงเป็นสาเหตุหนึ่ง จึงท าให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกว่าถูกทอดทิ ้ง หรือบางรายก็ถูก บุตรหลานทอดทิ ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตามลาพัง ขาดการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีให้อยู่ดีกินดี จึงเกิด ปัญหาด้านสุขภาพและจิตใจ “บางครั้งบุตรหลานเห็นว่า ผู้สูงอายุเป็นภาระความรับผิดชอบ ที่เกิน ความสามารถของครอบครัวท าให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งต้องพึ่งสถานสงเคราะห์คนชรา และมีปัญหา ทางจิตใจเกิดขึ ้นได้” (เกษม ตันติผลาชีวะ และกุลยา ตันติผลาชีวะ, 2558) ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของผู้สูงอายุที่พบมาก ได้แก่ การแสดงออกถึง ความว้าเหว่ ช่วยตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หรือถูกรังเกียจทอดทิ ้งจากครอบครัว ตลอดจน ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัวและอาจมีผลไปถึงความไม่ใยดี และ เพิกเฉยต่อกิจกรรมทางสังคม โดยมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เพราะความเสื่อม ของระบบอวัยวะทั ้งหลายล้วนมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ โดยจะเป็นอุปสรรคต่อการ ติดต่อกับบุคคลและการปรับตัวเข้ ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงด้านจิตใจของผู้สูงอายุ ได้แก่ 1.ความจ าเสื่อม จ าชื่อคนหรือสถานที่ได้ยากขึ ้น จ าเหตุการณ์ในอดีตได้ ดี แต่ลืมเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ ้นกระบวนการจดจาท าได้ในระยะสั ้น การ คิดค านวณท าได้ยากขึ ้น เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุรู้สึกสับสน หงุดหงิด และขาดความมั่นใจในตนเอง 2. ความหว้าเหว่ เศร้ าหมอง เป็นปัญหาส าคัญของผู้สูงอายุ จาก สภาพที่ผู้สูงอายุต้องประสบกับการสูญเสียต่าง ๆ ทั ้งสภาวะสุขภาพ บทบาททางสังคม การต้องอยู่ อย่างโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ ้งและความกระทบกระเทือนใจ ท าให้จิตใจเปลี่ยนใจเปลี่ยนแปลงไป เกิด ความรู้สึกท้อแท้ในชีวิต บางคนอาจมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย
22 3. ความสามารถในการเรียนรู้จะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยแวดล้อม ที่เกี่ยวข้อง รวมทั ้งแรงกระตุ้นต่างๆ ช่วงความสนใจ และการแปลความหมายสู่ระบบประสาท การ ลดภาวการณ์รับรู้ หรือการแปลความ ซึ่งจะท าให้ความพร้ อมในการเรียนรู้ ลดลง ต้องอาศัย ประสบการณ์ ในอดีตช่วยในการแก้ปัญหาแทนการค้นหาด้วยเทคนิคใหม่ 4. สติปัญญาและความสามารถทางสมองจะลดลง ความสามารถ ทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์จะค่อย ๆ ลดลง แต่ประสบการณ์และความรู้ที่มีในอดีต จะช่วย ให้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ 3. ด้านสังคม สังคมปัจจุบันที่มีการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมใกล้ตัวของ ผู้สูงอายุที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเกษียณอายุการท างาน ท าให้เกิดการลดสถานภาพ บทบาท จากการท างานส่งผลให้การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อยลง รวมทั ้งรายได้ที่ลดลงหรือหายไปจากการ หยุดท างาน ก็ท าให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุด้วยหากปรับตัวได้ดีในการเข้า สู่การเป็นผู้สูงอายุก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีได้แต่ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวได้จะเกิดปัญหาทางสภาพ จิตใจ ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ (2559) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง ทางด้านสถานภาพและบทบาททางสังคมของผู้สูงอายุดังนี ้ 1. การสูญเสียการงานหรืออาชีพ ท าให้รู้สึกถึงการหมดคุณค่า ท าให้ ผู้สูงอายุสูญเสียอานาจและบทบาททางสังคม ที่เคยมีแต่จากการสูญเสียหากมองเชิงบวก ผู้สูงอายุ ก็จะมีเวลาส าหรับการพักผ่อน 2. การสูญเสียอนาคต หมดอ านาจ หมดเกียรติคนนับถือลดลงและรู้สึก ถึง ความตายที่ใกล้เข้ามา 3. การสูญเสียบทบาทในครอบครัว คู่ชีวิตตายจากกัน เพื่อนที่ เหลืออยู่น้อยลง การสูญเสียในการเป็นผู้น าครอบครัว และเกิดความรู้สึกเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้
23 4. การถูกทอดทิ้งแยกเป็น 2 กรณีระหว่างสังคมชนบทและสังคมเมือง คือ สังคมชนบทวัยแรงงาน หนุ่มสาวมีการย้ายถิ่นฐานเพื่อมาหางานทา ผู้สูงอายุก็ถูกทอดทิ ้งอยู่ใน ถิ่นเดิม ส่วนสังคมเมือง ผู้สูงอายุก็อยู่กันตามลาพัง จากสาเหตุที่ลูกหลานต้องออกมาท างานนอก บ้าน ไม่มีเวลาเอาใจใส่ 5. การเสื่อมความเคารพ คนส่วนใหญ่มักมองว่าผู้สูงอายุมีสมรรถภาพ ความสามารถที่น้อยลง และคิดว่าผู้สูงอายุไม่ทันต่อเหตุการณ์ท าให้ผู้สูงอายุที่เคยได้รับความ เคารพ นับถือจากการมีประสบการณ์กลายเป็นการเสื่อมความเคารพแทน แต่อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์ชีวิตของคนเมื่ออายุสูงขึ ้น ก็ สามารถแตกต่างกันได้แม้จะเป็นวัยเดียวกันก็ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงและทันสมัยใน ปัจจุบันก็จะเป็นตัวก าหนดให้บทบาทของคนเปลี่ยนแปลงไปตาม จนท าให้ผู้สูงอายุก้าวตามไม่ทัน แนวโน้มของบทบาทสัมพันธภาพ รวมทั ้งการปรับตัวในสังคมของผู้สูงอายุจึงขึ ้นอยู่กับบริบททาง สังคม ประกอบอยู่ด้วยหากแต่ผู้สูงอายุที่ยังคงต้องการมีบทบาทและสถานภาพทางสังคม เฉกเช่น ตอนอยู่ในช่วยวัยกลางคนผู้สูงอายุก็จะแสวงหาการเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่สนใจ เปรียบเป็นการ แสวงหาความสุขและการมีชีวิตที่ดีเหมือนตอนวัยผู้ใหญ่และเพื่อให้ตัวเองยังคงมีบทบาทต่อสังคม อยู่ ก็จะส่งผลให้บุคคลเหล่านี ้เกิดความรู้ สึกที่ตนยังมีคุณค่า คุณประโยชน์ต่อสังคมอยู่ได้แต่ ผู้สูงอายุบางคนก็จะยอมรับสภาพร่างกายที่มีความสามารถลดลง เกิดความเสื่อมสมรรถภาพ จะ ถอยหนีจากสังคม เพื่อลดบทบาทตัวเองต่อสังคมลง และแยกตัวออกจากสังคม ซึ่งก็ขึ ้นอยู่กับว่า ก่อนการเข้าสู่วัยผู้สูงอายุแต่ละบุคคลเคยมีแบบแผน บุคลิกภาพ หรือประสบการณ์ในสังคมมาเป็น เช่นไร ก็จะส่งผลต่อการด าเนินชีวิตในวัยผู้สูงอายุด้วย (ภาณุ อดกลั ้น, 2558) การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมของผู้สูงอายุ เช่น การสูญเสียบทบาททางสังคม การเป็ นผู้ น า การต้ องออกจากต าแหน่งหน้ าที่การงาน รายได้ ลดลง ท าให้ ผู้ สูงอายุมีการ เปลี่ยนแปลงวีถีการด าเนินชีวิตใหม่ที่ใช้เวลาในการเตรียมตัวและการปรับตัว การเปลี่ยนแปลงทาง สังคม ความเครียดทางสังคม ปฏิกิริยาของสังคมมีอิทธิพลต่อผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ทางสังคม เดิมผู้สูงอายุเคยมีฐานะเป็นผู้น าให้ความรู้ถ่ายถอดวิชาการ ได้รับการยอมรับนับถือ เมื่อ สังคมเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมมากขึ ้น ผู้สูงอายุจะไม่มีบทบาทเหมือน สังคมเดิม ที่เป็นสังคมเกษตรกรรม ท าให้ผู้สูงอายุขาดการยอมรับจากสังคมและบุตรหลาน ก่อให้เกิดความว้าเหว่ได้ การลดความสัมพันธ์กับชุมชนผู้สูงอายุ จึงต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ และ
24 ความรับผิดชอบจากผู้ที่ลงมือท างานใช้ความคิดกลายเป็นผู้คอยรับค าปรึกษา การยอมรับและ พิจารณามอบหมายงานของชุมชนให้ผู้สูงอายุน้อยลงท าให้ผู้สูงอายุขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้า แสดงออก สมรรถภาพลดลง นอกจากนั ้น การยอมรับของครอบครัวที่มีต่อผู้สูงอายุก็ลดลงกว่าแต่ ก่อนไปด้วย ดังนั ้น กิจกรรมต่าง ๆ ในวัยผู้สูงอายุจึงลดลง ความสัมพันธ์กับคนอื่น ก็ลดลงและหยุด ตามไปด้วย ลูกหลานต่างโตขึ ้น และเป็นตัวของตัวเอง ต่างก็มีความสัมพันธ์กับคนอื่นต่อไป ส าหรับ ผู้สูงอายุ บางรายคู่ชีวิตอาจจากไปโดยถึงแก่กรรมหรือหย่าร้าง ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์กับ คนอื่นที่ยังมีอยู่ก็ค่อยๆ ขาดหายไปตามธรรมชาติ เช่น คนในครอบครัว เพื่อนฝูง คนรู้จักคุ้นเคย แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือตายจากไป ด้วยเหตุนี ้ ผู้สูงอายุจึงจ าเป็นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับ บุคคลอื่น และหาทางคงสภาพไว้ พร้อมทั ้งสร้างสัมพันธภาพใหม่ๆ ขึ ้นมา เพราะผู้อื่นจะเป็นเพื่อน คลายเหงา ท าให้ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีอารมณ์ดีขึ ้นและช่วยทากิจกรรมบางอย่างที่ทาคน เดียวไม่ได้ ท าให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ และไม่ถูกปฏิเสธจากสังคม (วิจิตร บุณยะโห ตระ, 2558) สรุปได้ว่า ผู้สูงอายุควรหาเพื่อนที่อยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกันและอยู่ในวัยเดียวกัน ซึ่ง เมื่อมีปัญหาอะไรที่เหมือน ๆ กันจะได้ร่วมกันปรึกษาหารือ มีส่วนร่วมและช่วยกันแก้ไขได้ ผู้สูงอายุ บางรายที่สนใจทางด้านศาสนา อาจเข้าวัดฟังธรรม ศึกษาธรรม หรือมีส่วนร่วมในการค ้าจุนพระ ศาสนา หรือบางรายมีสุขภาพดีที่แข็งแรงพอที่จะเข้าชมรมสมาคมเพื่อบาเพ็ญประโยชน์ต่อ สาธารณะ ก็จะท าให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าอยู่ ปัญหาในด้านสังคมที่ผู้สูงอายุ ในปัจจุบันก าลังประสบอยู่ จึงเป็นไปในลักษณะของการสูญเสียในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. การสูญเสียบุคคลอันเป็ นที่รัก เนื่องจากเพื่อน บุคคลที่เป็นญาติ สนิท หรือคู่ชีวิตเสียชีวิตหรือย้ายไปอยู่ที่อื่น ท าให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกถูกพรากจากบุคคลอันเป็น ที่รัก 2. การสูญเสียสถานภาพทางสังคม เนื่องจากถึงวัยเกษียณอายุ หรือ หมดเวลาท างานท าให้ผู้สูงอายุหมดภาวะติดต่อทางด้านธุรกิจการงาน ภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ หรือเคยท าอยู่ความสัมพันธ์ทางสังคมลดน้อยลง ขาดรายได้หรือมีรายได้น้อยลง เกิดความรู้ สึก สูญเสียต าแหน่งหน้าที่เกียรติยศ ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตา ความภาคภูมิใจ และเสียคุณค่าใน ตัวเอง (Self esteem) รู้ สึกหมดหวังขาดเสถียรภาพความมั่นคงทางจิตใจ (Insecure) เกิด ความรู้สึกไม่มั่นใจ
25 3. การสูญเสียสัมพันธภาพในครอบครัว เนื่องจากบุตรธิดามักจะมี ครอบครัว และแยกออกไปตั ้งครอบครัวใหม่ ซึ่งสังคมปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมาก ขึ ้น ท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้สูงอายุกับบุตรหลานของตนลดลง โดยต่างคนต่าง อยู่หรือมีการติดต่อร่วมกิจกรรมกันน้อยลงกว่าแต่ก่อน บทบาททางด้านการให้ค าปรึกษาดูแลและ สั่งสอนจึงน้อยลง สรุปได้ว่า ผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทั ้งทางด้านร่างกาย จิตใจและสังคม อันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทางเสื่อม คือ ร่างกายจากที่เคยแข็งแรงไม่ เจ็บป่วยก็อ่อนแอลง เจ็บป่วยมากขึ ้น ทางด้านจิตใจ จากที่เคยเข้มแข็ง ก็กลายเป็นหดหู่ วิตกกังวล ซึมเศร้าและขาดความกระตือรือร้น และทางด้านสังคม จากที่เคยอยู่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากอัน เนื่องมาจากบทบาทและหน้าที่ ก็กลับกลายมาเป็นผู้ที่ว่างงาน ท าให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลและ ชีวิตไม่มั่นคง ทั ้งนี ้การเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมของผู้สูงอายุเป็นภาวะที่ทางพระพุทธศาสนา มองว่าเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ที่ผู้ทุกนามต้องประสบพบเจอเป็นธรรมดา สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้ างประชากรของประเทศใน อนาคตจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553–2558 โดยใช้ข้อมูลจากส ามะ โนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 เป็นฐานในการค าดประมาณประชากรไป 30 ปีข้างหน้าและใช้ สมมติฐานว่า ภาวะเจริญพันธุ์จะลดลงตลอดช่วง 30 ปี พบว่า ในปี 2553 ประเทศไทยมีประชากร 63.8 ล้านคน และจะเพิ่มขึ ้นสูงสุดเป็น 66.4 ล้านคน ในปี 2569 จากนั ้น จะค่อยๆ ลดลงเหลือ 63.9 ล้านคนในปี 2583 โดยพบว่าจ านวนและสัดส่วนประชากรวัยสูงอายุ (60ปีขึ ้นไป) เพิ่มขึ ้นอย่าง ต่อเนื่องจาก 1.7 ล้านคนหรือร้อยละ 4.9 ของจ านวนประชากรรวมในปี 2513 เป็น 8.4 ล้านคนหรือ ร้อยละ 13.2 ในปี 2553 และเพิ่มขึ ้นเป็น 17.6 ล้านคนหรือร้อยละ 26.6 ในปี 2573 และ 20.5 ล้าน คนหรือร้อยละ 32.1 ในปี 2583 (ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, 2555) การลดลงของ จ านวนและสัดส่วนของประชากรวัยเด็กและประชากรวัยแรงงานในขณะที่จ านวนและสัดส่วนของ ประชากรสูงอายุยังคงเพิ่มขึ ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในช่วง 30 ปีข้างหน้าจะท าให้โครงสร้างทาง อายุของประชากรไทยเป็นประชากรสูงวัยอย่างชัดเจนยิ่งขึ ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้ าง ประชากรดังกล่าวข้างต้นผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมจะมีดังนี ้ 1. ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ โครงสร้ างประชากรในประเทศที่มีสัดส่วน แรงงานลดลงและเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุได้ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ 3 ประเด็น ได้แก่
26 1.1 ผลกระทบต่อขนาดของตลาดประเทศไทยก าลังจะก้าวเข้าสู่จุดที่ ขนาดตลาดจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อพิจารณาจากจ านวนผู้บริโภคที่จะอยู่ในระดับคงที่ 66 ล้านคน จึงส่งผลต่อข้อจ ากัดในการขยายตัวของตลาดภายในประเทศ 1.2 ผลกระทบต่อขนาดของแรงงานจ านวนแรงงานที่ลดลง จะส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ลดลงและส่งผลกระทบต่อการลงทุนของประเทศและ มาตรฐานการด ารงชีวิตของประชากรจะเป็นข้อจ ากัดต่อการพัฒนาประเทศ 1.3 ผลกระทบต่อการออมจากอัตราส่วนการเป็นภาระที่เพิ่มขึ ้นการมีอายุ ยืนยาวขึ ้น มีความจ าเป็นจะต้องมีการออมทรัพย์เพื่อเลี ้ยงดูตนเองหลังวัยท างานซึ่งควรจะต้องมี การเตรียมเงินออมให้เพียงพอกับจ านวนปีที่คนเราค าดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณดังนั ้นจึงต้องเร่ง ส่งเสริมการออมทรัพย์ให้สามารถดูแลตนเองได้ในยามชรา 2. ผลกระทบทางด้านสังคม 2.1 ด้านสาธารณสุขการสูงวัยของประชากร จะท าให้รูปแบบของการ เจ็บป่ วยของประชากรเปลี่ยนไปความชุกของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเสื่อมถอยของอวัยวะจะ เพิ่มขึ ้นโรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นโรคเรื ้อรังที่ต้องการการดูแลระยะยาวในอนาคตการให้บริการ ดูแลรักษาสุขภาพอนามัยในสังคมสูงวัยจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างมาก นอกจากนั ้น ค่าใช้จ่ายของ รัฐในการดูแลสุขภาพจะต้องเพิ่มสูงขึ ้นตามการสูงวัยของประชากรด้วย 2.2 ด้านสวัสดิการผู้สูงอายุการเพิ่มจ านวนประชากรสูงอายุอย่างรวดเร็ว เช่นนี ้เป็นประเด็นท้าทายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรสูงอายุและการพัฒนา อย่างยั่งยืนของประเทศการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยรัฐจะต้องมีนโยบายรณรงค์ให้สังคม ตระหนกัถึงคณุค่าและศกัดิ์ศรีของผู้สูงอายมุาตรการการค้มุครองและพิทักษ์สิทธิของผู้สงูอายุการ ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบหลอกลวงฉ้อฉลต่อผู้สูงอายุรวมทั ้งนโยบายส่งเสริมให้ชุมชนและ ท้องถิ่นเข้ามีส่วนร่วมดูแลผู้สูงอายุสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวรวมกับข้อเสนอนโยบาย ประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ที่ได้เน้นย ้า ในเรื่องการส่งเสริมให้ประชากรไทยทุกคนเกิดมาอย่างมีคุณภาพได้รับการพัฒนาในทุกช่วงวัยมี การเตรียมความพร้ อมประชากรไทยเข้ าสู่สังคมผู้ สูงอายุที่มีสวัสดิการทางสังคมที่ยั่งยืน
27 ขณะเดียวกันข้อเสนอจากการติดตามประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545-2564) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ.2552 ได้ระบุว่า ประเทศไทยต้องเร่งด าเนินการตามแผนผู้สูงอายุเพื่อให้ สามารถรองรับกับอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมสูงวัยในปี พ.ศ.2546 เกิด พระราชบัญญัติผู้สูงอายุขึ ้น กล่าวถึงสิทธิที่ผู้สูงอายุได้รับความคุ้มครอง การส่งเสริม และการ สนับสนุนในด้านต่าง ๆ รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ และการสาธารณสุขที่จัดไว้ อย่าง สะดวกและรวดเร็ว และในปี พ.ศ.2550 เกิดพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติกล่าวถึงการมีสิทธิ์ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะขอรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดระยะเวลาในวาระสุดท้าย ของชีวิตตน หรือเพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่ วย รวมถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 กล่าวถึง ผ้สูงูอายทุี่มีรายได้ไม่เพียงพอมีสิทธิ์ได้รับสวสัดิการ และความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ และรัฐ ต้องด าเนินนโยบายด้านสังคม สาธารณสุข การศึกษาและวัฒนธรรมให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อให้มี คุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งตนเองได้สภาพของวัยสูงอายุ ปัญหาหลักของผู้ที่เข้าสู่วัยสูงอายุก็คือ การเจ็บป่ วย โดยเฉพาะโรคเรื ้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ปัญหาข้อเข่าเสื่อม ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อการด าเนินชีวิตประจ าวันรวมไป ถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยส านักส่งเสริมสุขภาพได้จัดท าโครงการ ประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ และมีการส ารวจสถานการณ์ปัญหาสุขภาวะของ ผู้สูงอายุ รวมทั ้ง ติดตามผลการด าเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามแผนงานส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุและผู้พิการ โดยส ารวจข้อมูลผู้สูงอายุจ านวน 14,000 คนจาก 28 จังหวัดเป็นตัวแทน ครอบคลุมทั ้ง12 เครือข่ายบริการสุขภาพ และส ารวจระบบการให้บริการของสถานพยาบาลใน พื ้นที่ที่ส ารวจสุขภาวะผู้สูงอายุจ านวน 500 แห่ง โดยมุ่งหวังเพื่อค้นหาน าข้อมูลจากการด าเนินงาน ตามแผนงานดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การด าเนินงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการต่อไปผลการศึกษาที่ส าคัญแสดงให้เห็นว่า 1. ผู้สูงอายุ 5.8% (140 คน) ที่ขึ ้นทะเบียนเป็นคนพิการ ซึ่งความพิการสามล าดับ แรกได้แก่ ความพิการทางการเคลื่อนไหว การเห็น และการได้ยินและสื่อความหมาย (ร้อยละ 43, 27 และ 4.6 ตามลาดับ) ในจ านวนคนพิการเหล่านี ้ร้อยละ 14 ยังไม่เคยได้รับเบี ้ยคนพิการมีร้อยละ 4 ที่ระบุว่าตนจ าเป็นต้องใช้เครื่องช่วยความพิการแต่กลุ่มดังกล่าวมีร้อยละ 42 ที่ระบุว่าไม่ได้ใช้ผู้ พิการส่วนใหญ่ได้รับการฟื ้นฟูสมรรถภาพโดยเฉพาะการฝึกทากิจวัตรประจ าวัน/ทักษะการ ด ารงชีวิตการท ากายภาพบeบัดเป็นต้น
28 2. ถึงแม้การให้สมุดคู่มือดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุจะเป็นกิจกรรมส าคัญของ โครงการแต่พบว่า มีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 7 เท่านั ้นที่ระบุว่ามีสมุดคู่มือฯทั ้งยังพบว่าผู้สูงอายุกลุ่มที่ มีร้อยละ 45 ที่ไม่ได้ใช้สมุดคู่มือเลย 3. พบผู้สูงอายุมีภาวะอ้วนประมาณถึง 1 ใน 3 (ร้อยละ 30) โดยพบเพศหญิงมี ภาวะอ้วนมากกว่าเพศชายอย่างชัดเจน (ร้อยละ 18.3 และ 11.2) นอกจากนั ้น ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มี ภาวะอ้วนและมีรอบเอวมากกว่าปกติถึงร้อยละ 17.5 4. ผู้สูงอายุประมาณ 4 ใน 10 คนมีฟันใช้งานน้อยกว่า 20 ซี่หรือ 4 คู่สบ (ร้อยละ 39) ซึ่งกลุ่มเหล่านี ้มีความเกี่ยวข้องกับการมีค่า BMI ที่ต ่ากว่าปกติและยังพบว่ากลุ่มเหล่านี ้มี พฤติกรรมการรับประทานผักหรือผลไม้น้อยกว่าผู้สูงอายุที่มีฟันใช้งานอย่างน้อย 20 ซี่หรือ 4 คู่สบ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหญิงจะพบมากกว่าชายอย่างชัดเจน 5. พบผู้สูงอายุมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพในสัดส่วนที่สูง คือพบว่ามีประมาณ 6 ใน 10 คน ที่ออกก าลังกายหรือออกแรงอย่างน้อย 15 นาทีต่อครั้ง/สัปดาห์ละ 3 วัน ทานผักผลไม้ เป็นประจ าและดื่มน ้าวันละ 8 แก้ว (มากกว่าร้อยละ 60) 6. การเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองและตรวจประเมินติดตามอาการของโรคที่ ส าคัญได้แก่โรคเบาหวานความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มที่ดีโดยโรคเบาหวานพบว่าร้อยละ 72 (ของ ทั ้งผู้ป่วยเก่าและไม่เคยป่วย) ได้รับการคัดกรองหรือตรวจประเมินติดตามอาการในรอบ 12 เดือนที่ ผ่านมา โดยเฉพาะผู้เป็นโรคเบาหวานเกือบทั ้งหมดได้รับการตรวจประเมินติดตามอาการในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (ร้อยละ 95) เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูงและยังพบว่าการตรวจคัดกรองและ ตรวจประเมินติดตามอาการในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาของโรคความดันโลหิตสูงมีมากกว่า โรคเบาหวาน 7. การประเมินระดับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อมและการคัดกรองผู้ที่มีแนวโน้ม เป็นโรคซึมเศร้ามีค่อนข้างน้อยมากคือ ร้อยละ 12.3 และ 27.7 ตามลาดับทั ้งนี ้การประเมินความ รุนแรงข้อเข้าเสื่อมอาจเป็นเรื่องใหม่ทั ้งรายงานผลการศึกษาเบื ้องต้น โครงการส ารวจสุขภาวะ ผู้สูงอายุไทยปี2556 ด้านการบริหารจัดการเครื่องมือและความเชี่ยวชาญของผู้ประเมิน ที่อาจคัด กรองด าเนินการได้ไม่มากนัก และการคัดกรองผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าสามารถด าเนินการโด
29 ยอสม.หรือรพ.สต.และมีระยะเวลาของการด าเนินงานมาระยะหนึ่งซึ่งอาจมีข้อจ ากัดหรือปัญหา อุปสรรคในระดับพื ้นที่หรือระดับอื่น ๆ เกี่ยวข้องกัน 8. แม้บริการตรวจคัดกรองและตรวจประเมินติดตามอาการของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงจะมีแนวโน้มที่ดีแต่พบว่า คุณภาพของการแจ้งผลการตรวจเพื่อสร้ างความ ตระหนักในการติดตามภาวะของผู้สูงอายุไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการแจ้ง ผลของเจ้าหน้าที่โดยสอบถามจากผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุสามารถบอกผลไม่ปกติและสามารถ ระบุค่าได้ถูกต้องร้อยละ55 (โรคความดันโลหิตสูง) และร้อยละ 56 (โรคเบาหวาน) ซึ่งนั ้นอธิบายได้ ว่า มีคนเกือบครึ่งหนึ่งที่มีผลปกติแต่ไม่ทราบว่าตนเองผิดปกติ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงถึงการ ให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่เน้นด้านปริมาณหรือจ านวนผู้สูงอายุที่ต้องมารับการคัดกรองแต่ไม่ได้ให้ ความส าคัญต่อความเข้าใจหรือการท าให้ผู้สูงอายุเกิดความตระหนักและทราบค่าการตรวจเพื่อ ประเมินและติดตามอาการของตนเองเช่นเดียวกับอาการหรือสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้าที่ ผู้สูงอายุควรรู้เพื่อเตือนและหาทางออกที่เหมาะสม หากเกิดอาการหรือความรู้สึกอย่างใดอย่าง หนึ่ง แต่จากการส ารวจพบว่า มีผู้สูงอายุมากถึง3 ใน 4 ไม่ทราบว่าอาการหรือความรู้สึกดังกล่าว เป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้าอีกทั ้งแม้ผลส ารวจพบว่า ผู้สูงอายุได้รับค าแนะนาให้หลีกเลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค (มากกว่าร้อยละ 90) แต่ยังพบว่ามีร้อยละ 10.8 สูบบุหรี่เป็นประจ า ร้ อยละ 3.0 ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจ าซึ่งข้อมูลพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้แตกต่างจากการ ส ารวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยครั้งที่ 4 ในปีพ.ศ. 2554 9. ด้านการมีส่วนร่วมกับชุมชนของผู้สูงอายุในรอบ 12 เดือนที่ผ่านพบว่า มีร้อย ละ 60 ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ แต่ส่วนใหญ่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่มีในหมู่บ้านหรือ ชุมชนไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมงานที่หน่วยงานในหมู่บ้านหรืองานอื่น ๆ ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านจัดขึ ้นก็ ตามแต่ก็ยังพบว่ามีถึงร้อยละ 14 ที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ในหมู่บ้านในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาเลย 10. ส าหรับการปรับปรุงทางกายภาพสถานพยาบาลเพื่ออ านวยความสะดวก ส าหรับผู้สูงอายุและคนพิการพบว่า ผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 60 ระบุว่า สถานพยาบาลโดยเฉพาะ รพ.สต. มีทางลาดชันมีราวจับพยุงเดิน นอกจากนั ้น ยังระบุว่าร้อยละ 77.7 เคยใช้บริการส้วมนั่ง ราบห้อยขาซึ่งส้วม ต่าง ๆ ในสถานพยาบาลที่เคยใช้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เห็นว่า มีความปลอดภัย การติดตามประเมินผลการด าเนินงานโครงการโดยภาพรวมพบว่า ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเข้าถึงบริการ สุขภาพด้านการคัดกรองโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ ้นโดยพบว่า กลุ่มผู้ไม่ป่วยทั ้ง 2 โรคได้รับการคัดกรองมากกว่าร้ อยละ 80 แต่มีเพียงโรคความดันโลหิตสูงที่ด าเนินการตาม
30 เป้าหมายการคัดกรองที่ร้อยละ 90 ส่วนการคัดกรองโรคเบาหวานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในกลุ่ม ผู้ป่วยทั ้ง 2 โรคได้รับการติดตามประเมินอาการรวมทั ้งพัฒนาทักษะทางกายและจิตใจเพื่อป้องกัน และควบคุมอาการรุนแรงของโรคดีขึ ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าผู้ป่ วยประมาณร้อยละ 15-19 มี ภาวะแทรกซ้อน โดยภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวานส าคัญคือโรคเบาหวานขึ ้นจอประสาทตา โรค ไต มีแผลเรื ้อรัง ส าหรับภาวะแทรกซ้อนผู้ป่ วยความดันโลหิตสูงส าคัญคือ โรคไต กล้ามเนื ้อขาด เลือดหลอดเลือดสมอง อีกทั ้งยังมีผู้สูงอายุหนึ่งที่ซื ้อยาชุดรับประทานเองส าหรับการคัดกรองโรค หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้แก่ โรคซึมเศร้ าประเมินความสามารถในการทากิจวัตรประจ าวัน (ADL) ประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม จากการสอบถามผู้สูงอายุพบการคัดกรองน้อย มากไม่เป็นไปตามรายงานผลการศึกษาเบื ้องต้นโครงการส ารวจสุขภาวะผู้สูงอายุไทย ปี 2556 เป้าหมายที่ก าหนด นอกจากนั ้นยังพบการติดตามอาการหรือการพัฒนาทักษะเพื่อควบคุมและ ป้องกันความรุนแรงของโรคของผู้ป่ วยกลุ่มนี ้ค่อนข้างน้อยผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึง ประสงค์ทั ้ง 5 ด้าน คือเป็นผู้สูงอายุที่ออกก าลังกาย รับประทานผัก ผลไม้สด และดื่มน ้าสะอาดวัน ละ 8 แก้วหรือมากกว่าเป็นประจ าต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุรี่เป้าหมายที่ก าหนด ไว้คือร้ อยละ 30 พบผู้สูงอายุมีเพียงร้ อยละ 24.5 มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ซึ่งต ่ากว่า เป้าหมายที่ก าหนดโดยผู้สูงอายุผู้หญิงมีสัดส่วนพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์สูงกว่าผู้สูงอายุ ชายระบบจัดบริการสุขภาพที่บ้าน (Home health care) ที่ได้จากการส ารวจคือการประเมินอาการ และออกเยี่ยมบ้านโดยบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งพิจารณาในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงจะเห็นได้ว่าผู้ป่ วย ติดเตียงส่วนใหญ่ได้รับการเยี่ยมบ้านแต่มีประมาณร้ อยละ 12 ที่ระบุว่าในรอบ 12 เดือนที่ผ่าน มายังไม่เคยได้รับการเยี่ยมบ้านจากบุคลากรทางการแพทย์เลย การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการเกษียณอายุจากการท างาน ท าให้รายได้ที่ เคยมีอยู่กลับขาดหายไป จากเป็นผู้ที่หารายได้ด้วยตนเองต้องกลับกลายมาพึ่งพิงบุคคลอื่น โดย ส่วนใหญ่มาจากบุตร รองลงมาได้จากการท างานเบี ้ยยังชีพ เงินบ านาญ คู่สมรส เงินออม ดอกเบี ้ย เงินออม ญาติพี่น้อง และอื่น ๆ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แหล่งรายได้หลักที่ได้รับจากบุตรมี แนวโน้มลดลงและในทางกลับกันรายได้จากการท างานกลับเพิ่มสูงขึ ้น เนื่องจากวัยผู้สูงอายุ ตอนต้นจะยังคงท างานอยู่มากกว่าครึ่งของวัยผู้สูงอายุทั ้งหมด ถึงแม้ว่าผู้สูงอายุจ านวนหนึ่งยังคง ท างานอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและเข้าสู่วัยที่สูงขึ ้นเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถท างานได้อีก และภาวะ ทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุก็จะต ่าลง ประกอบกับข้อมูลส ารวจสถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน
31 ผู้สูงอายุก็ยังมีรายได้ ต ่ากว่าเส้นยากจน มีจ านวนถึงร้อยละ 34.3 (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุไทย, 2558) จึงเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงได้ส่งผลถึงผู้สูงอายุ ทั ้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคมและเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุจึงเกิดจากปัจจัยที่ผสมรวมกันออกมา เป็นผู้สูงอายุแต่ละคน ที่ด าเนินชีวิตในสังคมต่อไป 3. แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 1. แนวคิดเชิงทฤษฎีสังคมวิทยาเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ทฤษฎีกิจกรรมทางสังคม (Active Theory) เสนอโดย Robert Havighurst (1969) ได้ อธิบายถึง สถานภาพบทบาทของผู้สูงอายุทางสังคม และถือว่าทฤษฎีนี ้นามาเป็นหลักในการ อธิบายผู้สูงอายุ เป็นการเน้นสัมพันธภาพในเชิงบวก ในการท ากิจกรรมกับความพึงพอใจของ ผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าบุคคลที่การท ากิจกรรมที่หลากหลายก็จะสามารถปรับตัวได้มากขึ ้น และความพึง พอใจก็จะสูงขึ ้นตาม ท าให้เกิดความสุขในด าเนินชีวิตต่อไป ผู้สูงอายุจะมีสถานภาพและบทบาททางสังคมที่ลดลง แต่ก็ยังมีทัศนะต่อตนในเชิงบวกจึง มีความกระตือรือร้น ในความต้องการที่จะเข้าสังคมเหมือนบุคคลวัยกลางคน จึงมีความต้องการที่ จะเข้าร่วมกิจกรรม และหาบทบาทใหม่ ๆ ที่ตนเองสนใจและเข้าร่วม เพื่อหาความสุข และการมี ชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับวัยกลางคน โดยการทากิจกรรมจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ทั ้งเพื่อนฝูง สังคม หรือชุมชน ท าให้รู้สึกมีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี ้กิจกรรมจะยังช่วยพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสม เมื่อเข้าวัยสูงอายุจึงมีเวลาว่างมาก สามารถหากิจกรรมต่าง ๆ และเรียนรู้สิ่งใหม่ สร้าง ความมีชีวิตชีวา และมีความหมายความเป็นจริงนั ้น กายและจิตใจเจริญงอกงาม ขึ ้นอยู่กับแรง กระตุ้นของกิจกรรมต่าง ๆ จึงควรที่จะน ากิจกรรมมากระตุ้นชีวิตของเราให้เจริญงอกงาม โดยการ ค านึงถึงกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยผู้สูงอายุควรมีปัจจัย ทั ้งสภาพสังคมปัจจุบัน และความ เปลี่ยนแปลง ซึ่งว่าด้วยบทบาทของสังคมที่เปลี่ยนแปลง การเชื่อมโยงบุคคลในแต่ละวัย จึงน ามา เป็นปัจจัยในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
32 สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย (2544) อธิบายถึงการท า กิจกรรมในยามว่าง ออกเป็น 3 ประการ คือ นันทนาการ การเรียนรู้และการบริการผู้อื่น 1. กิจกรรมนันทนาการ โดยผู้สูงอายุทุกช่วงวัยสามารถท าได้อีกทั ้งท าให้ ร่างกายสดชื่น ท้าทายและกระตุ้นแนวคิด เกิดการปรับเปลี่ยน และได้มีสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดย ท าให้มีการตื่นตัวอยู่เสมอผู้สูงอายุควรทาในสิ่งที่ตนเองชอบ และมีทักษะ หรือความถนัด อาจจะ น ามาใช้กับกิจกรรมนันทนาการได้ เช่น งานอดิเรก เกม กีฬา ดนตรี การเข้าชมรมต่าง ๆ หรือการ ท่องเที่ยว 2. กิจกรรมการเรียนรู้ผู้สูงอายุควรมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองตอบ ความอยากรู้อยากเห็น เพื่อที่จะดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้รับความส าเร็จ การเรียนรู้จะเป็นการ กระตุ้นจิตใจและแลกเปลี่ยนความสนใจกับผู้อื่น การเรียนรู้ก็เช่น การศึกษานอกระบบ การเรียนใน มหาวิทยาลัยเปิด หรือการอบรมระยะสั ้น 3. กิจกรรมบริการผู้ อื่น การเสียสละและการสร้ างประโยชน์ต่อสังคมที่ นอกเหนือจากตนเองและครอบครัว ผ่านการท างานเป็นอาสาสมัคร โดยพิจารณาตนเองว่าเหมาะ กับอาสาสมัครในรูปแบบใด เช่น บริการทางสุขภาพอนามัย องค์กรการกุศล สมาคมหรือองค์กรที่ ท างานเกี่ยวกับเด็กและวัยรุ่น กลุ่มการเมือง หรือบทบาทตามวิชาชีพ โดยประโยชน์ที่เกิดขึ ้นจาก การจัดกิจกรรมบริการผู้อื่น ได้ทั ้งความเสียสละ การทาประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นการแสดงให้เห็นถึง ความต้องการในตัวผู้สูงอายุนั ้น ๆ การช่วยเหลือผู้อื่นให้สามารถแก้ปัญหาได้ก็เท่ากับตัวผู้สูงอายุก็ จะมีปัญหาลดลงได้โดยอัตโนมัติการที่ติดต่อกับบุคคลที่มีสภาพอันเลวร้ายกว่า ย่อมท าให้เกิด ความรู้สึกที่พอใจในตนเองมากขึ ้นว่ายังมีคนที่แย่กว่าตนเอง เพื่อลดความท้อแท้ในชีวิตลงได้และ การเสียสละ ทั ้งส่วนตัวและ สังคม ท าให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ ้น 2. ทฤษฎีบทบาททางสังคม (Role Theory) สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย (2544) อธิบายว่าอายุเป็น องค์ประกอบที่ก าหนดบทบาทของแต่ละบุคคล เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุก็จะปรับบทบาทและสภาพ ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่บทบาทเดิม และละทิ ้งบทบาททางสังคมและความสัมพันธ์เป็นไปตามที่วัยผู้ใหญ่ที่ ผ่านมา การปรับตัวต่อการเป็นผู้สูงอายุได้ดีเพียงใดนั ้น ก็ขึ ้นอยู่กับการยอมรับในบทบาทของ ตนเอง ในแต่ละช่วงอายุ การสร้างบทบาทใหม่ในสังคมเพื่อมาแทนที่บทบาทที่สูญเสียไปขึ ้นอยู่กับ
33 การมองเห็นคุณค่าในตนเอง การส่งเสริมของครอบครัวในการสร้างบทบาทอื่น ๆ เช่น การเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และลูกหลานควรให้ความส าคัญต่อผู้สูงอายุ บทบาททางด้านสังคม จะสามารถ ช่วยเหลือผู้สูงอายุได้มากขึ ้น เช่น การจัดตั ้งชมรมผู้สูงอายุจะท าให้ผู้สูงอายุจะได้พบปะกับบุคคล วัยเดียวกัน สามารถที่จะปรึกษาหารือในการช่วยเหลือกันและกัน และสังคมได้ด้วย สิ่งเหล่านั ้นจะ ส่งผลให้ผู้สูงอายุอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรียังเป็นผู้รับประโยชน์จากสังคมได้เหมือนบุคคลวยั อื่น ๆ ในสังคม ซึ่งผู้สูงอายุแต่ละคนก็จะมีความสามารถแตกต่างกันไป เลือกที่จะท างานได้ตาม ความถนัด และความสนใจของตน ซึ่งจะท าให้บทบาทของผู้สูงอายุในสังคมมีได้อย่างต่อเนื่อง 4.สุขภาพจิตผู้สูงอายุ 4.1 สภาวะแห่งความสมบูรณ์ทางร่างกาย จิตใจ และสุขภาวะทางสังคม ไม่ใช่เพียงการ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเท่านั ้น (WHO 2001) สุขภาพจิต (Mental Health) หมายถึง ภาวะจิตใจที่ เป็นสุข สามารถปรับตัวแก้ปัญหา สร้างสรรค์ท างานได้ มีความรู้ สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความ มั่นคงทางจิตใจ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ อยู่ในสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ (กรม สุขภาพจิต,2545) สุขภาพจิตหรือสุขภาพกายไม่สามารถคงอยู่ได้ด้วยตัวเองเพียงล าพัง สุขภาพจิต สุขภาพกาย และการท าหน้าที่ทางสังคมมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ยิ่งไปกว่า นั ้น สุขภาพและความเจ็บป่ วยอาจเกิดร่วมกันได้ เว้นแต่การให้ค าจ ากัดความจะแคบอยู่เพียงว่า การมีสุขภาพดีเท่ากับการไร้ซึ่งโรคภัยเท่านั ้น (Sartorius, 1990) 4.2 องค์ประกอบสุขภาพจิต สุขภาพจิตเป็นความสามารถของจิตใจในการสร้ างความ สมดุลของบุคคล สังคมและสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิต จึงประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี ้ 1) องค์ประกอบด้านคุณภาพของจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติภายในของบุคคล ที่ประกอบด้วย การรู้จักและยอมรับตนเอง วิธีคิดและทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว เช่น คน สิ่งของ ศาสนา เหตุการณ์ และความเป็นไปของสังคมและโลก เป็นต้น 2) องค์ประกอบด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว ได้แก่ ความสามารถในการ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ ้นและมีผลกระทบต่อตนเอง ความสามารถในการ ตอบสนองความต้องการของตนเอง การรู้จักและการเข้าใจผู้อื่น และสามารถสร้างความสัมพันธ์ กับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง ท าตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม 3) องค์ประกอบด้านสังคม สิ่งแวดล้อมทางสัมคมต่างๆ มีบทบาทและความส าคัญต่อการ ก าหนดค่านิยมและครรลองชีวิตของคนในสังคม โดยเริ่มตั ้งแต่ครอบครัว รูปแบบการเลี ้ยงดู อบรม
34 ของพ่อแม่ หรือผู้เลี ้ยงดู สัมพันธภาพของคนในครอบครัว ค่านิยมและการด าเนินชีวิตของคนใน ครอบครัว เหล่านี ้ล้วนปลูกฝังและสร้ างบุคลิกภาพเฉพาะตนของแต่ละบุคคล และจากระบบ การศึกษาและกระบวนต่างๆของสังคม ล้วนมีบทบาทในการก าหนดค่านิยมและครรลองชีวิตของ คนในสังคม 4.3 ปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ 1) สังเกตอาการง่ายๆ จากการด าเนินชีวิตประจ าวันได้กา การกินผิดปกติ อาจจะกินมาก ขึ ้นกว่าเดิม ยิ่งไม่สบายใจก็ยิ่งกินมาก หรือบางคนก็ตรงข้าม คือกินน้อยลง เบื่ออาหาร ซูบผอมลง ทั ้งๆ ที่ไม่มีปัญหาทางร่างกาย บางคนมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ 2) การนอน อาจจะมีการนอนหลับมากกว่าปกติ เช่น มีอาการง่วง เหงา ซึม เซื่อง อยาก นอนตลอดเวลา หรือบางคนก็ตรงข้ามคือ นอนไม่หลับ ตกใจตื่นตอนดึกแล้วไม่สามารถหลับต่อได้ อีก บางคนอาจมีอาการฝันร้ายติดต่อกันบ่อยๆ 3) อารมณ์ผิดปกติ หงุดหงิดบ่อยขึ ้น เศร้ าซึม เคร่งเครียด ฉุนเฉียว วิตกกังวลมากขึ ้น กว่าเดิมจนสังเกตเห็นได้และสร้างความล าบากใจให้กับคนรอบข้าง 4) พฤติกรรมการแสดงออกที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เคยเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างพูด ช่าง คุย ก็กลับซึมเศร้า เงียบขรึม ไม่พูดไม่จา บางคนก็หันไปพึ่งยาเสพติด เหล้า บุหรี่ เป็นต้น บางคน อาจเคยพูดน้อยก็กลายเป็นคนพูดมากหรือแสดงความสนใจในเรื่องเพศอย่างผิดปกติ เป็นต้น 5) มีอาการเจ็บป่ วยทางกาย ซึ่งหาสาเหตุไม่พบ เช่น ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ ปวด กระดูก วิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง เป็นต้น 6) ผู้สูงอายุที่มาใช้บริการที่คลินิกโรคเรื ้อรัง แม้จะมาตรวจตามนัดหลายครั้ง คุ้นชินกับ สถานที่ แต่ลึกๆแล้วบางรายก็มีอาการตื่นเต้น บางรายก็หวาดกลัวกับหัตถการทางการแพทย์ สิ่งที่ แสดงออก เช่น มีความดันโลหิตสูงขึ ้น เดินไปเดินมา ลุกขึ ้นถามโน่น ถามนี่ บุคลากรสาธารณสุข จ าเป็นต้องจับความรู้ สึกเหล่านี ้ให้ได้ ต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออก การ ซักถามทั ้งผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ใกล้ชิด (ส านักพัฒนาสุขภาพจิต, 2555)
35 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นริศรา วงศ์พนารักษ์ (2556) ศึกษาภาวะสุขภาพจิต ความหวังและพฤติกรรมการดูแล ตนเองด้านสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในเทศบาลเมืองมหาสารคาม พบว่า ผู้สูงอายุ 283 คน (ร้อยละ 65.5) ไม่มีปัญหาภาวะสุขภาพจิตและผู้สูงอายุ 149 คน (ร้อยละ 34.5) มีปัญหาสุขภาพจิต ผู้สูง อายส่วนใหญ่มีความหวังในระดับปานกลาง 310 คน (ร้อยละ 71.8) และมีความหวังในระดับสูง 118 คน (ร้อยละ 27.3) ผู้สูงอายุมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและการเจ็บป่วยมากที่สุด 169 คน (ร้อยละ 53.6) เรื่องครอบครัว ลูกหลาน 89 คน (ร้อยละ 28.0) และเรื่องเงิน 57 คน (ร้อยละ 18.4) ตามล าดับ สุภาวดี ไชยเดชาธร, ทัศนีย์ ทิพย์สูงเนิน, กชกร แก้วพรหม (2558) สุขภาพจิตของ ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างแกนน าาชมรมผู้สูงอายุ จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัยพบว่า ระดับภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่เป็นแกนน าาชมรมฯส่วนใหญ่ 48.3% มีสุขภาพจิตเท่ากับคน ทั่วไป และ 37% มีสุขภาพจิตดีกว่าคนทั่วไป มีเพียง 14.7% ที่มีสุขภาพจิตต ่ากว่าคนทั่วไป ลักษณะผู้สูงอายุที่มีระดับสุขภาพจิตต ่ากว่าบุคคลทั่วไป ส่วนใหญ่อายุ 70-79 ปี พบทั ้งผู้หญิงและ ผู้ชายมีสัดส่วนความเท่าๆกัน ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพค้าขาย มีรายได้น้อย กว่า 6,000 บาท ดังนั ้นการด าาเนินกิจกรรมในชมรมผู้สูงอายุ ควรให้ความส าาคัญกับการส่งเสริม สุขภาพจิตกับบุคคลเหล่านี ้ และข้อมูลพื ้นฐานของผู้สูงอายุที่มีระดับสุขภาพจิตต ่า สามารถน าไป ประยุกต์ใช้ในการวางแนวทางการสร้างพลังอ าานาจในตนเองให้มีสุขภาพจิตที่ดี ยุวดี พนาวรรต และจ าลอง ดิษยวณิช (2558) ศึกษาการสร้างเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุวัย ไทยด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ผลการศึกษาพบว่าภายหลังฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นระยะเวลา 7วัน กลุ่มตัวอย่างมีจิตพยาธิวิทยา 3 ด้านหลัก ได้แก่ อาการย ้าคิด ย ้าท า ความไวในสัมพันธภาพ ระหว่างบุคคล และอาการซึมเศร้า ลดลงกว่าเดิมอย่างมีนัยส าคัญที่สถิติ (p<0.05) นอกจากนี ้ยังมี ข้อย่อยของบางอาการ เช่น วิตกกังวล รู้สึกไม่เป็นมิตร อาการกังวล อาการหวาดระแวง และอาการ ของโรคจิตเป็นต้น
36 อทิยา ใจเตี ้ย (2558) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองด้าน สุขภาพจิตของผู้สูงอายุในเขตเมือง ผลการศึกษาพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแล สุขภาพจิตของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.16) รายได้ต่อเดือนใน ปัจจุบัน และการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองด้าน สุขภาพจิตของผู้สูงอายุอย่างมีนัยส าคัญที่สถิติ (p<0.05) เกสร มุ้ยจีน (2558) ปัจจัยที่มีผลต่อระดับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ผลการวิจัยพบว่าระดับ คะแนนค่าสุขภาพจิตของกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยระดับสุขภาพจิตเท่ากับ 43.48 คะแนน S.D. เท่ากับ 3.968แปลผลอยู่ในเกณฑ์สุขภาพจิตเท่ากับคนทั่วไป (fair) จ าแนกออกเป็น ด้านปัจจัย2 ปัจจัย พบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ของตนเองมีระดับคะแนนสุขภาพจิตเท่ากับ 43.63ซึ่งเป็น คะแนนระดับสุขภาพจิตที่สูงกว่า กลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีรายได้ เป็นของตนเองมีระดับคะแนน สุขภาพจิตเท่ากับ 43.19และ(2) สถานภาพสมรสโสดมีระดับคะแนนสุขภาพจิตเท่ากับ 43.92 ซึ่ง เป็นระดับคะแนนสุขภาพจิตที่สูงที่สุด รองลงมาคือสถานภาพคู่ หย่าร้างและหม้าย โดยมีระดับ คะแนนสุขภาพจิตเท่ากับ 43.77, 43.40, และ 43.21ตามล าดับ ทุกสถานภาพสมรสสามารถแปล ผลอยู่ในเกณฑ์สุขภาพจิตเท่ากับคนทั่วไป (fair) น ามาหาความสัมพันธ์พบว่าปัจจัยด้านสถานภาพ สมรสส่งผลให้ระดับสุขภาพจิตแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยด้าน รายได้ส่งผลให้ระดับสุขภาพจิตแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05ข้อเสนอแนะใน การน าผลวิจัยไปใช้คือควรจัดให้มีการจัดโครงการส่งเสริมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุใน ชุมชนทั ้งในเรื่องการวางแผนการใช้ชีวิตต่อไป การจัดหาแหล่งหารายได้เสริมของผู้สูงอายุที่ไม่มี รายได้เป็นของตนเองเท่าที่ความสามารถของผู้สูงอายุนั ้นมี เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุคงไว้/ส่งเสริม การปฏิบัติตัวเพื่อการมีสุขภาพจิตที่ดี เมธี วงศ์วีระพันธ์ (2559) ศึกษาการส่งเสริมสุขภาพจิตส าหรับผู้สูงอายุของชุมชนต้นแบบ ในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า กระบวนการส่งเสริมสุขภาพจิตแบบมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุของชุมชน ต้นแบบ ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการด าเนินการร่วมกันของเจ้าหน้าที่และผู้สูงอายุในชุมชน เครือข่าย โดยการมีส่วนร่วมและสอบถามความต้องการก่อนการด าเนินการ 2) การจัดตั ้งกองทุน
37 เพื่อช่วยเหลือ 3) การจัดตั ้งศูนย์ฟื ้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุและจัดกิจกรรมให้แก่ผู้สูงอายุ และ 4) การมีจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุรวมทั ้งส่งเสริมให้เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน พยาม การดร (2559) ศึกษาการรับรู้ แรงสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุในชนบท ภาคเหนือตอนบน พบว่าการรับรู้ของผู้สูงอายุต่อแรงสนับสนุนทางสังคมตามการรับรู้ของผู้สูงอายุ ในเขตชนบท มุ่งเน้นไปที่จิตใจและต้องใช้ใจในการดูแล ทั ้งด้านความต้องการและการตอบสนอง พบแรงสนับสนุนทางสังคมมาจาก 3 แหล่ง คือ ครอบครัว คือศูนย์รวมความรัก วัดคือศูนย์กลางพัก ใจ และโรงพยาบาลคือศูนย์รวมความช่วยเหลือ พิมพิสุทธิ์บัวแก้ว และรติพร ถึงฝั่ง (2559) ศึกษางานวิจัย เรื่อง การดูแลสุขภาพและ ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุไทย พบว่า ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุไทยอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัย ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล การสนับสนุนทางสังคมและการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุร่วมกัน ท านายภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุไทยได้ร้อยละ 11.2 ตัวแปรที่ส าคัญที่สุด คือ รายได้โดยพบว่า ระดับรายได้เฉลี่ยต่อปีตั ้งแต่ 50,000 บาทขึ ้นไป สามารถท านายภาวะสุขภาพผู้สูงอายุได้มากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยมาตรฐาน เท่ากับ .174 รองลงมาคือการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยมีค่าสมั ประสิทธิ์ถดถอยมาตรฐาน เท่ากบั.164 การศึกษานี ้เสนอแนะว่าภาครัฐควรที่จะคงไว้ ซึ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของผู้สูงอายุโดยเฉพาะอย่างยิ่งเบี ้ยยังชีพผู้สูงอายุและปรับปรุง ช่องทางการเข้าถึงสิทธิดังกล่าวให้ครอบคลุมและทั่วถึง รวมทั ้งส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ของผู้สูงอายุ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของครอบครัว พีรสันต์ ปั้นก้ อง (2560) ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ อ าเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ การศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจ านวน 259 คน คิดเป็นร้ อยละ 64.8 สถานะ สุขภาพ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี ้ 1) กลุ่มผู้สูงอายุที่สามารถช่วย เหลือตัวเองได้จ านวน 248 คน คิด เป็นร้อยละ 62.0 2) กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้บางเรื่องและต้องการพึ่งพาผู้อื่นบางเรื่อง จ านวน 143 คน คิดเป็นร้อยละ 35.7 3) กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จ านวน 9 คน คิดเป็น ร้อยละ 2.2 ผู้สูงอายุส่วนมากเจ็บป่ วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง จ านวน 213 คน คิดเป็นร้อยละ
38 53.2 โรคเบาหวาน จ านวน 89 คน คิดเป็นร้อยละ 22.2 มีปัญหาทางด้านการเคลื่อนไหว ล าบาก จากข้อเข่าเสื่อม จ านวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 และปัญหาด้านจิตใจพบว่า ปัญหาการนอน หลับไม่สนิท จ านวน 350 คน คิดเป็นร้อยละ 87.5 ด้านความต้องการในการดูแลด้านสุขภาพของ สูงอายุมีความต้องการการตรวจสุขภาพ การเพิ่มเบี ้ยยังชีพ การดูแลจากลูกหลาน สิ่งอ านวยความ สะดวกในชุมชน และการได้รับการยอมรับจากครอบครัว สังคม อาริยา สอนบุญ และคณะ (2560) ศึกษางานวิจัย เรื่อง วิถีการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุใน ชุมชน: ความหมายและการจัดการ พบว่า ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุมองว่าการดูแลสุขภาพเป็นความ รับผิดชอบส่วนตัวที่ต้องดูแลตนเองให้ดีที่สุด มากกว่าการหวังพึ่งพาลูกหลาน โดยมีเงื่อนไขสังคม วัฒนธรรมอันเป็นวิถีชีวิตที่อธิบายภาวะสุขภาพปัจจุบัน มี3 กลุ่ม ได้แก่ “แข็งแรงดี” “เสื่อมตาม วัย” และ “เจ็บป่ วยแต่ยังดูแลเองตนได้” ทั ้ง 3 กลุ่มนี ้มีความพยายามในการดูแลตนเองให้ดีที่สุด คือ “เบิ่งเจ้าของเอา” “ย่านเขายาก” ส่วนกลุ่มที่ป่ วยมีความต้องการการช่วยเหลือดูแลที่ขึ ้นกับ บริบทของผู้ดูแล ซึ่งท าให้ผู้สูงอายุรับรู้ ได้ถึงวิธีการจัดการที่เหมาะสมระหว่างตนเองกับผู้ดูแล ได้แก่ “ซ่างมัน” “แล้วแต่เขาสิเบิ่ง” ซึ่งเป็นความหมาย ที่เป็นไปตามวิถีสังคมของผู้สูงอายุในชุมชน 4 วิถีได้แก่อยู่กับลูกหลาน อยู่กับญาติอยู่กับคู่และอยู่คนเดียว ที่สะท้อนภาพ ของการจัดการดูแล สุขภาพของผู้สูงอายุใน 3 ระดับ ดังนี ้ผู้สูงอายุดูแลตนเอง ครอบครัวและชุมชนที่ต้องดูแลกัน ที่ เป็น เงื่อนไขการจัดการสุขภาพผู้สูงอายุในพื ้นที่ที่มีความสัมพันธ์กับวิถีการด าเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ในชุมชน สิ่งที่สะท้อนภาวะ สุขภาพที่ดีของผู้สูงอายุขึ ้นอยู่กับสัมพันธภาพของสมาชิกในครัวเรือน และชุมชน ในการเอาใจใส่ช่วยเหลือดูแลกัน “อุ่นอกอุ่นใจ” ทั ้งในภาวะปกติและเจ็บป่วย บุญวาส สมวงศ์และปริญญา หรุ่นโพธิ์(2560) ศึกษางานวิจัย เรื่อง การดูแลสุขภาพด้าน ร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ เขตบางแค จังหวัดกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้สูงอายุสามารถ ปรับตัวเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุโดยการเข้าใจถึงภาวะเฉพาะที่จะเกิดขึ ้นผู้สูงอายุมีการติดต่อสื่อสารกับ บุคคลอื่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ท าให้ไม่มีภาวะซึมเศร้า ผู้สูงอายุขจัดความเครียดของตนเองโยท า ความเข้าใจกับปัญหาที่ต้องเผชิญและใช้สติแก้ไขปัญหาท าให้ไม่ส่งผลต่อสุขภาพจิตใจ และ ผู้สูงอายุยังได้รับข่าวสารในการดูแลสุขภาพจากสื่อมวลชน
39 ชุติมา สินชัยวนิชกุลและจิราพร เกศพิชญวัฒนา (2561) ศึกษางานวิจัย เรื่อง ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์ต่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะของผู้สูงอายุในชุมชนเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า (1) ผู้สูงอายุมีระดับการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะอยู่ในระดับสูง ( = 4.25, SD = 0.72) (2) ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์ต่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ เพศ (Eta = .484) รายได้ (r = .199) ความสามารถในการท างานของร่างกาย (r = .197) ภาวะโภชนาการ (r = .265) และการเห็นคุณค่าในตนเอง (r = .499) (3) ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีระดับการสูงวัย อย่างมีสุขภาวะไม่แตกต่างกัน สุนิสา ค้ าขึ ้น และคณะ (2563) ภาวะสุขภาพจิตและปัจจัยที่เกี่ยวข้ องในผู้ สูงอายุ ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 57.75) มีคะแนนสุขภาพจิตดีกว่าคนปกติ ผลรวม คะแนนสุขภาพจิตเท่ากับ 51.16 คะแนน (SD. = 5.85) พบความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสุขภาพจิต ของผู้สูงอายุกับปัจจัยส่วนบุคคลที่ p < .05 ได้แก่ ระดับการศึกษา (χ2=17.19) ความเพียงพอของ รายได้ (χ2 = 36.50) อาชีพ (χ2 = 19.86) การประกันสุขภาพ (χ2 = 14.85) โรคประจ าาตัว (χ2 = 6.71) และประวัติการหกล้มในรอบ 6 เดือน (χ2 = 5.80) สรุปได้ว่าปัจจัยด้านสุขภาพจิต สุขภาพกาย และสุขภาพการเงินของผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์กัน จึงควรออกแบบโปรแกรมสร้าง ความตระหนักและเตรียมความพร้อมทั ้งสามประการก่อนวัยสูงอายุ เพื่อให้มีความพร้อมในการ เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัย สขุภาพจิต : มมุมองผ้สูงูอายุโรงเรียนผ้สูงูอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยาจงัหวดั สุพรรณบุรีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เพื่อศึกษามุมองของผู้สูงอายุ เกี่ยวกับ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยท าความเข้าใจความหมาย วิธีการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ทั ้งนี ้มี รายละเอียดของวิธีด าเนินการวิจัย ดังนี ้ 1. ผู้ให้ข้อมูลและพื้นที่ที่ศึกษาและการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลหลัก (key informant) ผู้วิจัยคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) ตามเกณฑ์คุณสมบัติ โดยพิจารณาถึงความสามารถในการถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั ้งเวลาที่มีให้ในการสัมภาษณ์ เพื่อสัมภาษณ์แบบเจาะลึกจนข้อมูลอิ่มตัว (data saturation) คือข้อมูลที่เริ่มได้ประเด็นซ ้าๆ เมื่อน ามาพิจารณาแล้วไม่สามารถค้นหาข้อสรุปเพิ่มขึ ้นได้ ผู้วิจัย ก าหนดคุณสมบัติผู้ให้ข้อมูลดังนี ้ ผู้สูงอายุโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยาจังหวัดสุพรรณบุรีมีอายุตั ้งแต่อายุ 60 ปีขึ ้นไป สามารถเข้าใจ สนทนาโต้ตอบรู้เรื่องและสื่อสารภาษาไทยได้ ยินดีเข้าร่วมและให้ความ ร่วมมือในการศึกษา จ านวนผู้ให้ข้อมูลหลักขึ ้นอยู่กับความอิ่มตัวของข้อมูล ซึ่งในการศึกษาครั้งนี ้ พบว่า ข้อมูลอิ่มตัวเมื่อสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลทั ้งหมด 10 ราย การเลือกพื ้นที่ส าหรับการวิจัยครั้งนี ้ ผู้วิจัยได้เลือกผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้สูงอายุโรงเรียน ผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรีโดยประชาชนผู้สูงอายุตั ้งแต่ 60 ถึง 69 ปี ซึ่งมีแนวโน้มที่ประชากรจะมีอายุยืนยาวขึ ้น และได้เข้าสู่สังคมสังคมผู้สูงวัย และมีเทศบาลต าบล โพธิ์พระยา จังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งมีด าเนินการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุแบบองค์รวม เห็นการ ด าเนินชีวิตที่มีความสุขของผู้สูงอายุ เหมาะในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ และ เพื่อขอความร่วมมือในการสอบถามความสนใจและขอความร่วมมือจากผู้ให้ข้อมูล เมื่อผู้ให้ข้อมูล สนใจเข้าร่วมในการสัมภาษณ์ผู้วิจัยจะขอพบ ท าการแนะน าตัวเอง อธิบายวัตถุประสงค์ของการ วิจัย ขั ้นตอนการด าเนินการวิจัยและการพิทักษ์สิทธิของผู้ให้ข้อมูลตาม ข้อความในค าชี ้แจงและ การคุ้มครองสิทธิส าหรับผู้เข้าร่วมวิจัย และเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูลซักถามข้อสงสัยและท าการนัด
41 วัน เวลา สถานที่ในการเก็บข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลมีความสะดวกในการสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์ เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากนั ้นจึงเริ่มการสนทนา เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยจึงเป็นเครื่องมือส าคัญในกระบวนการวิจัยคุณภาพนี ้ เพื่อแสดงถึงความมั่นใจใน คุณภาพของผู้วิจัย ผู้วิจัยได้ผ่านการเตรียมตัวทั ้งด้านความรู้และทักษะในการท าวิจัยเชิงคุณภาพ โดยท าการเก็บข้อมูลโดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) นอกจากนี ้ผู้วิจัยยังมี อุปกรณ์อื่นที่ต้องใช้ ดังนี ้ 2.1.1แนวข้อค าถามในการสัมภาษณ์แบ่งเป็นสองส่วนคือ 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ให้ข้อมูล 2) แนวทางการสัมภาษณ์ สร้ างจากแนวคิดที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิด เกี่ยวกับสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ผู้วิจัยได้จากการทบทวนวรรณกรรม โดยลักษณะข้อค าถามเป็นค าถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้ให้ข้อมูลสามารถตอบค าถามได้ ตรง ประสบการณ์และความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งมีขั ้นตอนในการสร้างแนวค าถามดังนี ้ ก) ผู้วิจัยทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเกี่ยวกับ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ข) ท าการรวบรวมเป็นหัวข้อกว้างๆ คัดเลือกประเด็นค าถาม เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะศึกษา เพื่อใช้เป็นแนวค าถามสัมภาษณ์สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ค) น าแนวค าถามในการสัมภาษณ์ที่ปรับปรุงตามค าแนะน า ของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ผู้วิจัยทุกคนน าแนวค าถามไปทดลองสัมภาษณ์กับผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติ เหมือนกับผู้ให้ข้อมูลหลัก จ านวน 1 ราย เมื่อสิ ้นสุดการสัมภาษณ์น าไฟล์การบันทึกการสัมภาษณ์ มาถอดข้อความการสนทนา ตรวจสอบความถูกต้องและความครอบคลุมของเนื ้อหาในการ
42 สัมภาษณ์ ตรวจสอบแนวค าถามในการสัมภาษณ์ที่เหมาะสมร่วมกับผู้วิจัยอีกครั้ง จากนั ้นท าการ ปรับแก้แนวทางการสัมภาษณ์ ง) ผู้ วิจัยตรวจสอบตนเองร่ วมกับทีมผู้ วิจัย ตลอดการ ด าเนินการวิจัย ได้แก่ เทคนิคการสัมภาษณ์ การจัดกลุ่มประเด็นข้อมูล และการให้ความคุ้มครอง สิทธิการให้ข้อมูลของผู้ให้ข้อมูล 2.1.2 การจดบันทึกขณะและหลังการสัมภาษณ์โดยผู้วิจัยเอง (field note) ช่วยใน การสังเกตและจดบันทึกปฏิกิริยาของผู้ให้ข้อมูลขณะสัมภาษณ์ให้กับผู้วิจัย และผู้วิจัยจดข้อมูล ส าคัญ ๆ ในส่วนสั ้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้วิจัยสังเกตพบ การแสดงสีหน้า ท่าทาง ประเด็นที่น่าสนใจ หรือบันทึกย่อในขณะที่ฟัง เพื่อป้องกันการลืม แล้วน าข้อมูลที่ได้มาบันทึกรายละเอียดเมื่อสิ ้นสุด การสัมภาษณ์ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี ้ ทีมผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยตนเอง โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (in-depth interview) ใช้แนวค าถามที่สร้างขึ ้นเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลเป็นรายบุคคล โดย ผู้วิจัยด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั ้นตอนต่อไปนี ้ 3.1 ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมขอทีมผู้วิจัย ทีมผู้วิจัยจ านวน 4 คน ลงส ารวจพื ้นที่ก่อนการด าเนินการวิจัย เพื่อพบปะประธาน โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยาจังหวัดสุพรรณบุรีและสร้างความคุ้นเคยกับโรงเรียน ผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา และทีมวิจัยมีการเตรียมตัวก่อนลงพื ้นที่ เพื่อให้สามารถ ด าเนินการวิจัยได้อย่างถูกต้อง และได้ผลการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือ และให้ทีมผู้วิจัยมีความ พร้อมในการด าเนินการวิจัย โดยมีการเตรียมทีมผู้วิจัย ดังนี ้ 3.1.1 การเตรียมความรู้พื ้นฐานและทักษะในการท าวิจัยเชิงคุณภาพ ทีมผู้วิจัย ผ่านการศึกษาวิชาเกี่ยวกับวิจัยคุณภาพ จากการเรียนปริญญาเอก จึงมีความเข้าใจถึงหลักทฤษฎี ของการวิจัยเชิงคุณภาพ ฝึกการใช้เทคนิคการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ในงานวิจัยเชิงคุณภาพที่
43 ผู้วิจัยได้ศึกษามาก่อนหน้านี ้จนเกิดความมั่นใจ และศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองเกี่ยวกับการวิจัยเชิง ปรากฏการณ์วิทยาจากต าราต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการน าวิธีการนี ้มาใช้ในการวิจัย 3.1.2 การเตรียมความรู้ด้านความไวเชิงทฤษฎี ผู้วิจัยศึกษาเนื ้อหาที่เกี่ยวข้องกับ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างข้อค าถามที่สามารถหาค าตอบในระดับลึก และให้มีความพร้อมในการตรวจสอบตนเองเกี่ยวกับความรู้ ความรู้สึกนึกคิดที่ต้องจัดกรอบแยกไว้ ก่อนการรับฟังการให้ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล เพื่อระมัดระวังในการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1.3 การเตรียมตัวด้านทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้วิจัยได้ศึกษา เทคนิคการสัมภาษณ์เจาะลึก ทักษะการฟัง การสร้างสัมพันธภาพในการสัมภาษณ์ การใช้เทคนิค และศิลปะในการสัมภาษณ์ ทักษะการบันทึกข้อมูลในสนาม ปฏิกิริยาของผู้ให้ข้อมูลขณะ สัมภาษณ์ เพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ ้น ในเรื่องของทักษะการฟัง ทักษะการ บันทึกข้อมูลในสนาม และสังเกตปฏิกิริยาของผู้ให้ข้อมูลขณะสัมภาษณ์ เพื่อช่วยผู้วิจัยในการ บันทึกข้อมูล (field note) 3.1.4 ผู้วิจัยมีความตระหนัก (awareness) ว่าตนเองเป็นผู้วิจัย เข้าสนามเพื่อรับรู้ ข้อมูลที่เป็นความจริงจากผู้ให้ข้อมูล โดยค านึงถึงการปกป้องและการลดอคติจากการสัมภาษณ์ หรือมีแนวคิดล่วงหน้ า โดยไม่ท าตัวเป็ นผู้ รู้ แล้วเข้ าใจแล้ว เพื่อให้ ได้ ข้ อมูลที่เป็ นจริงตาม ประสบการณ์จริงของผู้ให้ข้อมูล รวมทั ้งการค านึงและตระหนักถึงสิทธิของผู้ให้ข้อมูลและจริยธรรม ในการวิจัย ตลอดการด าเนินการวิจัย 3.1.5 ผู้ให้ข้อมูลถือเป็นผู้ร่วมวิจัย (Participants) เนื่องจากต้องศึกษาเกี่ยวกับ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ผู้วิจัยจึงให้ความส าคัญและพยายามให้ผู้ให้ข้อมูลมีส่วนร่วมในการศึกษา โดยเคารพในความเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลและมีประสบการณ์ ให้เกียรติและยอมรับข้อมูลทุกอย่างที่ได้มา และใช้ทักษะต่างๆ เพื่อให้ผู้ข้อมูลอธิบายประสบการณ์อย่างเต็มใจ 3.1.6 ผู้วิจัยตรวจสอบตนเองร่วมกับทีมผู้วิจัย ตลอดการด าเนินการวิจัย ได้แก่ การให้ความคุ้มครองสิทธิผู้ให้ข้อมูล การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูล การสัมภาษณ์ การจัดกลุ่มประเด็น และการเขียนอธิบายประเด็นอย่างละเอียด
44 3.2 ขั้นตอนการเก็บข้อมูล ทีมผู้วิจัยเป็นผู้ด าเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง โดยการเก็บข้อมูลในสถานที่ที่ทีม ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลมีความยินดีร่วมการวิจัยโดยมีขั ้นตอนในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ดังนี ้ 3.2.1 ทีมผู้วิจัยท าหนังสือขออนุญาตแนะน าตัวและขออนุญาต ในการเก็บข้อมูล ณ โรงเรียนผ้สูงูอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา เพื่อขออนุญาตด าเนินการวิจัย 3.2.2 ทีมผู้วิจัยติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่เทศบาลที่รับผิดชอบดูแลโรงเรียน ผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา โดยเก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุและแนะน า ตนเองเป็นการสร้างความคุ้นเคยเป็นกันเอง โดยไม่แบ่งแยกสถานภาพกับผู้ให้ข้อมูล โดยทีมผู้วิจัย เข้าโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยบอกชื่อจริงและชื่อเล่น และใช้สรรพนามเรียกผู้ให้ข้อมูลด้วยความเคารพ และให้เกียรติตามวัยที่แตกต่างกัน เช่น คุณลุง คุณป้า คุณอา คุณน้า ท าให้เกิดควาคุ้นเคยได้เร็ว ขึ ้น และทีมวิจัยเมื่อเข้าโรงเรียนผู้สูงอายุทีมผู้วิจัยแต่งกายด้วยความสุภาพ และนั่งคุยกับผู้ให้ ข้อมูลในสถานที่หรือลักษณะที่แสดงถึงความเป็นกันเอง เช่น นั่งบนเก้าอี ้ในห้องประชุมที่จัด กิจกรรมของโรงเรียนผู้สูงอายุและในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้วิจัยวางตัวเป็นผู้มาขอความรู้ ความ เข้าใจจากผู้ให้ข้อมูลระมัดระวังที่จะไม่แสดงตนว่ามีความรู้เหนือกว่าผู้ให้ข้อมูล แม้ว่าบางครั้งผู้ให้ ข้อมูลจะย้อนถามข้อสงสัยย้อนกลับในเรื่องสุขภาวะ ผู้วิจัยจะใช้วิธีการเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูล แสดงความคิดเห็นของตนเองตามความรับรู้และความรู้สึกโดยไม่ขัดแย้ง แล้วจึงแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน โดยตระหนักว่าไม่เป็นการให้ค าแนะน า หรือชี ้น าการตัดสินใจ 3.2.3 ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั ้นตอนที่วางแผนไว้ โดยทีมวิจัยลงพื ้นที่ใน การศึกษาบริบทของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา และเข้าพบประธานโรงเรียน ผู้สูงอายุเทศบาลต าบลโพธิ์พระยา เพื่อแนะน าตัวและซักถามประธเนเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่มี สุขภาพจิตดีให้ได้ข้อมูลลักษณะทั่วไปของผู้ให้ข้อมูลหลัก จากการเลือกแบบเจาะจงที่ก าหนด เพื่อ การได้มาซึ่งผู้ให้ข้อมูลที่ตรงกับคุณสมบัติตามที่ก าหนด ทั ้งนี ้ผู้วิจัยได้ค านึงถึงสิทธิของผู้ให้ข้อมูล โดยมิเข้าถึงตัวผู้สูงอายุก่อนได้รับอนุญาต ดังนั ้นผู้วิจัยขอให้ผู้น าชุมชนถามความสมัครใจของ ผู้สูงอายุเกี่ยวกับความยินดีให้ผู้วิจัยเข้าพบ พร้อมทั ้งแจ้งให้ผู้ผู้สูงอายุทราบว่ามีสิทธิปฏิเสธการ
45 เข้าร่วมการวิจัย โดยไม่มีเหตุผลใดๆ ต่อการด าเนินชีวิตของผู้สูงอายุและการปกป้องรักษาความลับ ของผู้สูงอายุที่ให้ข้อมูลในงานวิจัย 3.2.4 เมื่อได้ผู้ให้ข้อมูลและผู้ให้ข้อมูลยินยอมเข้าร่วมวิจัย ครั้งแรกของการพบกัน ผู้วิจัยใช้วิธีการแนะน าตัวเองและบอกวัตถุประสงค์การศึกษา การพิทักษ์สิทธิ์ของผู้ให้ข้อมูล หลังจากนั ้นผู้วิจัยสร้างสัมพันธภาพกับผู้ให้ข้อมูลหลัก และด าเนินการสร้างความเชื่อถือและความ ไว้วางใจต่อกัน และนัดหมายในการสัมภาษณ์ในครั้งต่อๆ ไป เมื่อผู้ให้ข้อมูลยินยอมเข้าร่วมเป็น ผู้ให้ข้อมูลจึงเซ็นยินยอมในใบยินยอม และเริ่มด าเนินการเก็บข้อมูล โดยเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูล เลือกวัน เวลา สถานที่ที่ผู้ให้ข้อมูลสะดวก เพื่อด าเนินการเก็บข้อมูล ซึ่งในการวิจัยครั้งนี ้ ผู้ให้ข้อมูล จ านวน 10 ราย ที่อนุญาตให้ผู้วิจัยท าการสัมภาษณ์ในวันแรกที่ผู้วิจัยได้เข้าพบผู้ให้ข้อมูล 3.2.5 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการ คือ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยเริ่มการสร้ างสัมพันธภาพคุยในเรื่องทั่วไปก่อน หลังจากประเมินได้ว่าผู้ให้ข้อมูลมีความ ไว้วางใจและพร้อมที่จะให้ข้อมูลเชิงลึก ผู้วิจัยขออนุญาตบันทึกเสียงอีกครั้งและเริ่มสัมภาษณ์แบบ เจาะลึกตามแนวค าถามที่เกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ประกอบไปด้วย 3 ขั ้นตอน คือ ขั ้นเริ่มสนทนา ขั ้นเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการศึกษา และขั ้นปิดการสนทนา โดยใช้เวลา การสัมภาษณ์ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งขณะสัมภาษณ์ผู้วิจัยปฏิบัติดังนี ้ 1) ท าการเก็บข้ อมูลในส่วนที่เป็ นข้ อมูลส่วนบุคคลของผู้ ให้ ข้ อมูล หลังจากนั ้นจึงเริ่มท าการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกตามแนวทางการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยใช้ทักษะการ สัมภาษณ์เชิงลึก โดยค านึงถึงสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ให้ข้อมูล เป็นนักฟังที่ดีไวต่อความรู้สึก ระวัง น ้าเสียงและการพูดที่ไม่สุภาพ หลีกเลี่ยงการพูดต าหนิ กระตุ้นให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีอิสระในการ แสดงความคิดเห็น และระวังการแสดงความคิดเห็นที่จะชี ้ช่องค าตอบให้ผู้ให้ข้อมูล โดยไม่ใช้ ค าถามน า เมื่อได้รับค าบอกเล่าที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะใช้การถามซ ้าในประเด็นนั ้นๆ เพื่อ กระจ่างของข้อมูลมากที่สุด 2) ค าถามในการสัมภาษณ์เพื่อความชัดเจนของข้อมูล ปรับตามบริบท และสิ่งที่สังเกตจากลักษณะสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ และการแสดงออกท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติ ของผู้ให้ข้อมูลขณะที่ให้สัมภาษณ์ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ ้นมาในระหว่างการสัมภาษณ์ ซึ่ง เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยสังเกตเห็นและให้ความสนใจ และน าไปตั ้งข้อสังเกตและสมมุติฐานเบื ้องต้นจากทุก สิ่งที่สังเกตเห็น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการตั ้งค าถามในการสังเกตครั้งต่อไป ซึ่งการจดบันทึก
46 ภาคสนาม (field notes) จะกระท าให้น้อยที่สุด และกระท าเมื่อผู้ให้ข้อมูลอนุญาตให้บันทึก เพื่อ ประกอบการวิเคราะห์ข้อมูล ในการจดบันทึกภาคสนามจะท าภายหลังเสร็จการสัมภาษณ์ จะท าให้ ผู้วิจัยสามารถจดจ า รายละเอียดทุกอย่างได้มากขึ ้น และเป็นการสะท้อนความคิดเห็น ความรู้สึก ของผู้วิจัยที่มีต่อผู้ให้ข้อมูลหรือสิ่งที่เห็นในแต่ละครั้งของการสังเกตและการสัมภาษณ์ นอกจากนี ้ ได้มีการวางแผนการจับคู่ของทีมผู้วิจัย ขณะที่ลงไปสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล เพื่อให้เพื่อนผู้วิจัยได้ สังเกตลักษณะสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ และการแสดงออกท่าทางของผู้วิจัยขณะที่สัมภาษณ์ผู้ให้ ข้อมูล เพื่อน าข้อมูลมาตรวจสอบเรื่องของการบันทึกภาคสนามของผู้วิจัยด้วย และเป็นการสะท้อน ให้เห็นตนเองขณะสัมภาษณ์ เพื่อน าไปปรับให้มีลักษณะสีหน้าที่ทางที่เหมาะสมในการวาง แผนการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป 3) ก่อนการจบการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยกล่าวสรุปสิ่งที่ได้จากการสัมภาษณ์ คร่าวๆ เมื่อสิ ้นสุดการสัมภาษณ์ กล่าวขอบคุณผู้ให้ข้อมูล ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้วิจัย และ อธิบายถึงการบันทึกไฟล์เสียงในการสัมภาษณ์ครั้งนี ้ จะถูกเก็บไว้เป็นความลับ และจะท าการลบ ข้อมูลในส่วนที่เป็นไฟล์เสียง เมื่อการศึกษาวิจัยสิ ้นสุดลง และผู้วิจัยได้นัดหมายผู้ให้ข้อมูลในการ สัมภาษณ์ครั้งต่อไป โดยผู้วิจัยจะท าการสัมภาษณ์รายละ 1-2 ครั้ง ใช้เวลาในการสัมภาษณ์ ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง 4) ภายหลังการสัมภาษณ์ยุติผู้วิจัยเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูลซักถามใน เรื่องที่ผู้ให้ข้อมูลสนใจ ปัญหาที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือ หรือกล่าวในสิ่งที่ผู้ให้ข้อมูลอยากกล่าว กับผู้วิจัย เพื่อแสดงความเป็นมิตรว่าผู้วิจัยมิได้เอาประโยชน์จากผู้ให้ข้อมูลฝ่ ายเดียว แต่เป็น ลักษณะที่ช่วยเหลือเกื ้อกูลซึ่งกันและกัน 5) ภายหลังการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลแต่ละราย ผู้วิจัยท าการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื ้องต้น โดยถอดข้อความ (transcribe) จากไฟล์การบันทึกเสียงเป็นค าต่อค า (verbatim) ออกเป็นบทสนทนาที่เป็นตัวอักษร (transcribe) ด้วยตนเอง ตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน ครบถ้วนของข้อมูล โดยเปรียบเทียบจากการฟังไฟล์การบันทึกเสียงซ ้า สรุปประเด็นปัญหาที่ข้อมูล ไม่ชัดเจนหรือไม่ครอบคลุม หรือประเด็นที่ต้องการค้นหาเพิ่ม หลังจากนั ้นผู้วิจัยท าการปรับข้อ
47 ค าถามให้เหมาะสม แล้วกลับไปสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อเก็บข้อมูลให้ชัดเจน ท าการ วิเคราะห์ และสรุปประเด็นผู้ให้ข้อมูลแต่ละราย ปรับข้อค าถามส าหรับผู้ให้ข้อมูลรายต่อไป ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงผู้ให้ข้อมูลได้เพิ่มขึ ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่อยู่ในสนามการวิจัย โดย ผู้วิจัยท าการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกและวิเคราะห์ข้อมูลตามระเบียบ วิธีการวิจัยจนข้อมูลอิ่มตัว คือ มีแบบแผนข้อมูลซ ้ากัน ไม่มีประเด็นใหม่ๆ เกิดขึ ้น ผู้วิจัยน าเสนอ ข้อมูลกับอาจารย์ที่ปรึกษาและยุติการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมจ านวนผู้ให้ข้อมูลที่ท าให้เกิดการ อิ่มตัวของข้อมูล 10 ราย รวมระยะเวลาการเก็บรวบรวมข้อมูลตั ้งแต่เดือนเมษายน 2564 ถึงเดือน พฤษภาคม 2564 4. การพิทักษ์สทิธ์ิผู้ให้ข้อมูล 4.1 ผู้ วิจัยให้ ความส าคัญต่อการปกป้องและพิทักษ์สิทธิ ของผู้ ให้ ข้ อมูลตลอดการ สัมภาษณ์โดยคัดเลือกผู้เข้าร่วมวิจัยตามความสมัครใจ 4.2 ผู้วิจัยชี ้แจงรายละเอียด แก่ให้ผู้ให้ข้อมูล เพื่อบอกให้ทราบถึงหัวข้อที่จะสัมภาษณ์ การขออนุญาตบันทึกเสียงจากการสนทนา จ านวนครั้งที่ขอสัมภาษณ์ ระยะเวลาที่ใช้ในการ สัมภาษณ์แต่ละครั้ง การขอให้ตรวจสอบความถูกต้องเมื่อสิ ้นสุดการสัมภาษณ์ การไม่เปิดเผย ข้อมูลใดๆ ที่สามารถเกี่ยวโยงถึงผู้เข้าร่วมวิจัย การน าข้อมูลเอกสารจากการสัมภาษณ์ไปอภิปราย เผยแพร่ในลักษณะข้อมูลโดยรวม และการน าเสนอทางวิชาการเท่านั ้น 4.3 ผู้วิจัยแจ้งให้ผู้ให้ข้อมูลทราบทุกครั้งก่อนการสัมภาษณ์ว่า ขณะสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล สามารถไม่ตอบค าถามใดๆ ที่รู้สึกไม่สะดวกใจและสามารถยุติการเข้าร่วมวิจัยหรือความร่วมมือใน ขั ้นตอนใดๆ ของการวิจัยได้เมื่อต้องการหรือขอข้อมูลกลับได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องบอกเหตุผล อีก ทั ้งการปฏิเสธการให้ข้อมูล จะไม่มีผลต่อการด าเนินชีวิตของผู้สูงอายุ อีกทั ้งการปฏิเสธการให้ ข้อมูล จะไม่มีผลต่อการร่วมกิจกรรมในโรงเรียนผู้สูงอายุ 4.4 ผู้วิจัยอธิบายข้อมูลและเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูลซักถามข้อสงสัยได้ตลอดเวลาที่ให้ ข้อมูลและให้เวลาคิดทบทวนก่อนตัดสินใจให้ค าตอบด้วยความสมัครใจ
48 4.5 ผู้วิจัยรักษาความลับของผู้ให้ข้อมูล ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้นามจริงและชื่อสถานที่ จริงโดยใช้รหัสในการจัดเก็บข้อมูล มีการขอให้ผู้ให้ข้อมูลเซ็นใบยินยอมในการยินดีเป็นผู้ให้ข้อมูล ในการศึกษาวิจัยครั้งนี ้ มีการเก็บใบยินยอมรวมทั ้งข้อมูลต่างๆ ไว้ในที่ที่ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงได้คน เดียวและท าลายไฟล์การบันทึกเสียงทันทีเมื่อสิ ้นสุดการวิจัย 4.6 ก่อนด าเนินการศึกษา ผู้วิจัยจะได้เสนอโครงร่างการวิจัยคุณภาพให้วิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สุพรรณบุรีพิจารณาและเมื่อได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิว่าถูกต้องตาม ระเบียบวิธีการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยจึงจะเริ่มด าเนินการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการรายงาน ผลการวิจัยจะถูกรายงานโดยภาพรวมของการศึกษาวิจัย ดังนั ้นจึงจะไม่มีผู้ใดที่สามารถบ่งชี ้หรือ ระบุได้ว่าข้อมูลส่วนใดได้รับมาจากผู้เข้าร่วมวิจัยคนใด 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 5.1 กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลมีการด าเนินการอย่างต่อเนื่อง ตั ้งแต่เริ่มต้นเก็บข้อมูลจน สิ ้นสุดการวิจัย ผู้วิจัยน าไฟล์เสียงที่ได้จากการสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างผู้วิจัยและผู้ให้ ข้อมูลมาถอดข้อความแบบค าต่อค าทันที แล้วตรวจสอบความถูกต้องของการถอดไฟล์เสียง อ่าน บทการสนทนาโดยการเปรียบเทียบกับไฟล์ที่บันทึกเสียงไว้อีกครั้ง รวมทั ้งการตรวจสอบกับข้อมูลที่ จดบันทึกไว้ได้ในขณะท าการสัมภาษณ์ภาคสนาม 5.2 ผู้วิจัยท าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื ้อหา ซึ่งมีขั ้นตอนดังต่อไปนี ้ 1) หลังการสัมภาษณ์ผู้วิจัยจดบันทึกการสัมภาษณ์ไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อเตือน ความจ าเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้มาและลงมือวิเคราะห์ข้อมูลโดยน าไฟล์การบันทึกบทสัมภาษณ์มาถอด ข้อความค าต่อค า ผู้วิจัยอ่านบทการสัมภาษณ์ที่ได้รับการถอดไฟล์เสียงเปรียบเทียบกับไฟล์บันทึก การสัมภาษณ์ เพื่อความถูกต้องของข้อมูล หลังจากนั ้นผู้วิจัยอ่านบทสนทนาหลายๆ รอบ เพื่อท า ความเข้าใจเบื ้องต้นเกี่ยวกับความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้ให้ข้อมูลและมองหาสาระส าคัญของ ข้อมูลเกี่ยวกับมุมมองความหมายและการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ
49 2) หลังจากนั ้นอ่านบทสนทนาบรรทัดต่อบรรทัด (line by line) และให้ รหัส ข้อความ (code) แล้วพิจารณาค าต่างๆที่ถอดรหัสออกมา จัดประเภทของข้อมูลที่ได้จากการให้ รหัสมารวบรวมจัดประเภท โดยข้อมูลที่มีรหัสคล้ายคลึงกันจะน ามารวมไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน 3) ให้เพื่อนที่เป็นนักวิจัยคุณภาพ 1 ท่าน จัดหมวดหมู่ของข้อมูลอย่างเป็นอิสระ น าหัวข้อที่ได้มาพิจารณาให้มีความเหมาะสม เพื่อเพิ่มความตรงของวิธีการรวบรวมข้อมูลและจัด หมวดหมู่ของข้อมูล รวมทั ้งป้องกันอคติจากผู้วิจัยเอง 4) ผู้ วิจัยท าการจัดประเด็น (category) มารวบยอดเป็ นเรื่องหรือกลุ่มเรื่อง เดียวกันซึ่งเรียกขั ้นตอนนี ้ว่า การสรุปประเด็นหลัก (theme) เขียนอธิบายประเด็นให้เป็นความเรียง ให้มีความต่อเนื่องกลมกลืนที่ได้จากการสัมภาษณ์ 5) ผู้วิจัยน าผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษา ไปให้ผู้ให้ข้อมูล ตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อมูลและความน่าเชื่อถือของข้อมูล กับผู้ให้ข้อมูลจ านวน 1 ราย 6) เขียนสรุปรายงานวิจัย อธิบาย เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่ได้กับ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 6. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย เป็นการตรวจสอบความสอดคล้อง เกี่ยวกับความเป็นจริง และการตีความของผู้วิจัย (Lincoln and Guba, 1985) ซึ่งในการวิจัยครั้งนี ้ ผู้วิจัยได้ด าเนินขั ้นตอน การวิจัยที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือของการวิจัยดังนี ้ 6.1 ความเชื่อถือได้ (credibility) หมายถึง ความถูกต้องและความเชื่อถือได้ของข้อมูล ประกอบด้วย 1) ผู้วิจัยให้ผู้ให้ข้อมูลตรวจสอบทุกขั ้นตอนของการวิจัย (member checking) โดยสอบถามกลับไปยังผู้ให้ข้อมูลในประเด็นต่างๆ ว่าความคิดเห็นมีความถูกต้องกับข้อมูล เบื ้องต้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยเปิดโอกาสให้ผู้ให้ข้อมูล ได้เสนอข้อเสนอแนะ หากข้อมูลที่ได้ไม่ถูกต้อง ตามความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลและหากมีประเด็นที่ไม่เข้าใจตรงกันจะพยายามอธิบาย และปรับ ความเข้าใจให้ตรงกันมากที่สุด จากนั ้นผู้วิจัยน าข้อมูลที่ได้กลับไปตรวจสอบเพื่อใช้ ในการ สัมภาษณ์ครั้งต่อไป
50 2) การสร้างความคุ้นเคยกับผู้ให้ข้อมูล (prolong engagement) ซึ่งการที่ผู้วิจัย คุ้ นเคยกับผู้ ให้ ข้ อมูล จะท าให้ ผู้ ให้ ข้ อมูลมีพฤติกรรมและการแสดงออกที่เป็ นธรรมชาติ (phenomenological) ได้เรียนรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณีและได้ สร้ างสัมพันธภาพที่ดีตลอด ระยะเวลาการลงพื ้นที่ และแม้ว่าผู้วิจัยจะมีความคุ้นเคยกับแหล่งให้ข้อมูล มีการสร้างสัมพันธภาพ ที่ดีระหว่างผู้วิจัยกับผู้ให้ข้อมูล (rapport) แต่ผู้วิจัยตระหนักอยู่เสมอถึงคุณสมบัติของผู้วิจัยเชิง คุณภาพที่ดี โดยผู้วิจัยไม่น าความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับการศึกษา เพื่อให้งานวิจัยนี ้มี ความเชื่อถือมากที่สุด 3) การตรวจสอบแบบสามเส้า (triangulation) งานวิจัยครั้งนี ้ใช้การตรวจสอบ แบบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) คือการใช้วิธีการเก็บ ข้อมูลต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องเดียวกัน และการใช้วิธีการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมควบคู่กับการ ซักถาม นอกจากนี ้ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจากเอกสารต่างๆ 4) ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ (peer debriefing) ผู้วิจัยได้ท าการวิจัย อย่างมีขั ้นตอนตามกระบวนการ ให้นักวิจัยเชิงคุณภาพตรวจสอบโดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูล อย่างเป็นอิสระและไม่ดูตามแบบของผู้วิจัย น าหัวข้อที่ได้มาพิจารณาให้มีความเหมาะสมเพื่อเพิ่ม ความตรงของวิธีการรวบรวมข้อมูลและจัดหมวดหมู่ของข้อมูล 5) ภายหลังการสิ ้นสุดการสัมภาษณ์ ผู้ วิจัยน าข้ อมูลที่วิเคราะห์ได้ กลับไป ตรวจสอบโดยผู้ให้ข้อมูลอีกครั้งจ านวน 1 ราย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล 6.2 ใช้ระเบียบวิธีการวิจัย (research method) ในการท าวิจัยอย่างมีขั ้นตอน ประกอบด้วย น าเสนอข้อมูลที่ละเอียดครบถ้วนและครอบคลุม (dense description data) โดยจะแสดงการ ถอดรหัสและการตรวจซ ้า (cord-recode procedure) ที่ท าให้ได้มาซึ่งความต้องการ และประเด็น หลัก (theme) มีการตรวจสอบโดยทีมผู้วิจัย