The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาสังคมศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rodjarin, 2021-07-24 08:15:19

วิชาสังคมศึกษา

วิชาสังคมศึกษา

วิชาสังคมศึกษา (ส21101)
ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1

โรงเรยี นพนาศึกษา

สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศึกษาอบุ ลราชธานี อานาจเจรญิ



๑หน่วยการเรยี นรทู้ ี่

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

๑. อธิบายการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาทตี่ นนับถือสู่ประเทศไทยได้
๒. วิเคราะห์ความสาคัญของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาท่ตี นนบั ถอื ที่มีต่อสภาพแวดลอ้ มในสังคมไทยรวมทง้ั การพฒั นาตน

และครอบครัวได้

การทาํ สังคายนา

“สํ” รว่ มกัน พรอ้ มกนั
“คายนา” การสวด การสาธยาย

• การสวดพร้อมกนั หรือร่วมกันสวด
• การรอ้ ยกรอง หรอื การจัดหมวดหม่พู ระธรรมวินัย

การทําสังคายนา ได้รับการทาติดตอ่ กนั มาหลายครงั้ ทง้ั ในประเทศอนิ เดยี
และประเทศอ่ืนๆ รวมทง้ั สิน้ ๑๐ ครั้ง

ดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ ทีต่ ั้งของประเทศไทยในปจั จุบนั รวมไปถงึ
ดินแดนของประเทศเพ่อื นบ้านใกล้เคียงทอ่ี ยูร่ อบๆ
นับถือศาสนาและลัทธิ ในอดีตเรยี กรวมๆ วา่
ความเช่อื แตกต่างกนั
“สุวรรณภมู ิ”

นบั ถอื พระพุทธศาสนา

นบั ถือศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู

นับถอื บูชาภตู ผีปศี าจ ความเชือ่ ที่มตี อ่
ปรากฏการณธ์ รรมชาติ

นกิ ายเถรวาท การนับถือ นิกายมหายาน
พระพุทธศาสนา
• อาณาจกั รทวารวดี ในดนิ แดนสวุ รรณภูมิ • อาณาจกั รศรวี ิชยั
• อาณาจกั รพุกาม
• อาณาจกั รหรภิ ุญชยั

ยคุ ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย

ก่อนปี พ.ศ. ๕๐๐

ยุคเถรวาทสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราช ได้มีการทานุบารุงพระพุทธศาสนาจนมีความรุ่งเรือง
ทรงจดั ใหม้ ีการสงั คายนาครั้งที่ ๓ และมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนามายังในประเทศ
พ.ศ. ๑๓๐๐ ไทยมีหลกั ฐาน อาทิ สถปู เจดีย์ ธรรมจกั รกวางหมอบ

ยคุ มหายาน ประมาณ พ.ศ.๑๓๐๐ อาณาจักรศรีวิชัยเรืองอานาจมาก มีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่
ทางคาบสมุทรตอนใต้ ตลอดจนหมู่เกาะชวาและสุมาตรา รวมไปถึงบริเวณภาคใต้
พ.ศ. ๑๖๐๐ ของไทย นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยมีหลักฐานต่างๆ อาทิ
พ.ศ. ๑๖๙๖ พระโพธสิ ตั ว์อวโลกิเตศวรทท่ี าด้วยสารดิ

ยุคเถรวาทแบบพุกาม พระเจ้าอนุรุทธมหาราช มหากษัตริย์ผู้ทรงอิทธิพลของอาณาจักรพุกาม แผ่ขยาย
อานาจเข้ามาครอบครองอาณาจักรต่างๆ ทางตอนเหนือของไทยจนเฟ่ืองฟู เรียกว่า
“นิกายเถรวาทพุกาม” หลักฐานสาคัญท่ีพบ ได้แก่ เจดีย์วัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่
ที่สร้างเลยี นแบบเจดยี พ์ ทุ ธคยาในอินเดีย

ยุคเถรวาทแบบลงั กาวงศ์ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชกษัตริย์ลังกา ได้ทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนา
โดยรวมพระสงฆ์ให้เป็นนิกายเดียว มีการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งท่ี ๗ ทาให้
พระพทุ ธศาสนารุ่งเรืองมากขน้ึ พระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศ์น้ีเป็นแบบท่ีนับถือมา
จนปจั จุบัน

พระพุทธศาสนาแบบลงั กาวงศใ์ นประเทศไทย

สมยั สุโขทยั สมัยล้านนา

วัดมหาธาตุ พระธาตุดอยสเุ ทพ

จ.สโุ ขทัย จ.เชยี งใหม่

สมัยอยธุ ยา

วดั พระศรสี รรเพชญ์

จ.พระนครศรีอยธุ ยา

สมัยธนบรุ ี สมัยรัตนโกสินทร์

วัดอรณุ ราชวราราม วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม

กรุงเทพมหานคร กรงุ เทพมหานคร

ความสาํ คัญของพระพุทธศาสนาตอ่ สังคมไทย

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาตไิ ทย

พระพุทธศาสนาเปน็ สถาบนั หลกั ของสงั คมไทย

พระพทุ ธศาสนาเปน็ สภาพแวดลอ้ มทีก่ ว้างขวาง
และครอบคลุมสงั คมไทย

พระพุทธศาสนา

เปน็ ศาสนาประจาํ ชาตไิ ทย

• คนไทยสว่ นใหญ่ใหก้ ารยอมรบั นับถอื พระพทุ ธศาสนา

• มีสัญลักษณ์แทนพระพทุ ธศาสนา ในสถานท่ีราชการ

• พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนปู ถมั ภก

• กาหนดใหว้ นั สาคัญทางพระพทุ ธศาสนาเป็นวนั หยุดราชการ

พระพทุ ธศาสนา

เปน็ สถาบนั หลักของสงั คมไทย

• พระพุทธศาสนาเป็นสถาบนั ทอี่ ยู่คชู่ าตไิ ทย
• พระมหากษตั รยิ ์ไทยทรงเป็นพทุ ธมามกะ

• พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงเป็นอคั รศาสนปู ถัมภก
• รัฐบาลไทยส่งเสริมสนบั สนนุ พระพทุ ธศาสนา

พระพุทธศาสนา
เป็นสภาพแวดลอ้ มทกี่ วา้ งขวางและครอบคลมุ สังคมไทย

• มีวดั และสานักสงฆ์มากมายทัว่ ประเทศ

• มีปูชนียสถาน ปชู นยี วตั ถุมากมาย

• ประเพณพี ธิ กี รรมต่างๆ ของคนไทยมาจากพระพุทธศาสนา

• นสิ ยั และมารยาทไทยมาจากรากฐานทางพระพุทธศาสนา

• ภาษาและวรรณคดไี ทยมีอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนา พ.ศ.
• มีการนบั ศกั ราช เป็น พุทธศกั ราช

เบญจศลี หลกั ธรรมท่ีว่าดว้ ยการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เวน้ จากความช่ัว ๕ ประการ

๑. เวน้ จากการฆา่ การเบยี ดเบียนสตั วโ์ ลกทั้งปวง

๒. เวน้ จากการถือเอาสิ่งของทเ่ี ขามไิ ด้ให้ การฉอ้ โกง
การทําลายของผ้อู น่ื
๓. เวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม ไมล่ ะเมิด

ส่ิงทผ่ี อู้ น่ื หวงแหน

๔. เว้นจากการพูดเท็จ

๕. เว้นจากการดม่ื นาํ้ เมา และส่งิ เสพติดทงั้ ปวง

เบญจธรรม หลกั ธรรมที่คกู่ บั เบญจศีล มงุ่ เนน้ การกระทําเพมิ่ มใิ ช่การละเว้นอย่างเดียว มี ๕ ประการ

๑. มเี มตตา กรุณา
๒. หาเล้ียงชพี ในทางสจุ ริต
๓. สังวรในกาม ควบคมุ ตนในกามารมณ์
๔. มคี วามสตั ย์

๕. ไมป่ ระมาท ระลึกอยเู่ สมอวา่ สิง่ ใดควร สิ่งใดไม่ควร

คณุ ธรรมท่นี ําไปสคู่ วามสาํ เร็จ ๔ ประการ

ความมีใจรักในสง่ิ ท่ีกําลงั ตัง้ ใจทาํ ความพยายามเขม้ แข็ง อดทนทจ่ี ะทาํ

ฉนั ทะ
วิริยะ

อทิ ธบิ าท ๔

วิมังสา จิตตะ

การวางแผน ไตรต่ รองตามเหตุผล ความต้ังใจแน่วแน่ทีจ่ ะทาํ

พละ ๕ หลกั ธรรมทีเ่ ปน็ กาํ ลังใจใหท้ ํางานลุล่วงสาํ เร็จได้

สัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปัญญา

ความเช่ือม่ัน ความเพียร ความระลึกได้ มีจิตใจต้ังมัน่ มคี วามรู้ ชัดเจน
ในสงิ่ ที่ตนกาลังทา ไมป่ ระมาท
กับเร่อื งทก่ี ระทา

กลุ จริ ัฏฐิติธรรม ๔ ของหมดรจู้ ักหามาไว้
ของเก่ารู้จักบรู ณะซ่อมแซม
หลักธรรม รจู้ ักประมาณการกินการใช้

เพ่ือการพัฒนาใหส้ กลุ ยัง่ ยืน ตง้ั ผมู้ ศี ลี ธรรมเปน็ พอ่ บ้านแม่เรือน

ทศิ ๖ หลกั ธรรมท่ีบอกหน้าท่ีทบี่ คุ คลพึงปฏบิ ตั ติ ่อกัน โดยมีหลกั ธรรมทเี่ กี่ยวเน่อื ง

กบั การพัฒนาครอบครัว คือ ทิศเบ้อื งหนา้ หรือ บดิ ามารดา

บุตรธิดาพึง บารุงบิดามารดา

• ท่านเลยี้ งมาแลว้ เลย้ี งทา่ นตอบ
• ชว่ ยทาการงานของท่าน
• ดารงวงศ์ตระกลู
• ประพฤตติ ัวให้เหมาะสมกบั ความเป็นทายาท
• เม่ือทา่ นลว่ งลับไปแลว้ ทาบุญอทุ ิศใหท้ า่ น

ทิศ ๖ หลักธรรมท่ีบอกหน้าทที่ ีบ่ คุ คลพงึ ปฏิบัตติ อ่ กัน โดยมหี ลกั ธรรมที่เกีย่ วเน่อื ง

กบั การพัฒนาครอบครัว คอื ทศิ เบ้ืองหน้า หรือ บิดามารดา

บิ ด า ม า ร ด า พึ ง ป ฏิ บั ติ ต่ อ บุ ต ร ธิ ด า

• ห้ามปรามจากความชวั่
• ให้ตัง้ อยใู่ นความดี
• ให้ศึกษาศิลปวิทยา
• หาคคู่ รองที่สมควรให้
• มอบทรพั ยส์ มบตั ใิ หใ้ นโอกาสอันควร

๒หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี

พทุ ธประวตั ิ พระสาวก

ศาสนิกชนตัวอยา่ งและชาดก

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

๑. วเิ คราะหพ์ ุทธประวัตติ ั้งแตป่ ระสูตจิ นถงึ บาเพ็ญทกุ กรกริ ิยาหรอื ประวัตศิ าสดาท่ีตนนบั ถือตามทีก่ าหนด
๒. วิเคราะห์และประพฤตติ นตามแบบอย่างการดาเนินชวี ติ และขอ้ คดิ จากประวตั ิสาวกชาดก เรื่องเลา่

และศาสนิกชนตัวอยา่ งตามทก่ี าหนด

พทุ ธประวตั ิ

ประสตู ิ ประกาศพระพทุ ธศาสนา
การตรสั รู้ ปรินิพพาน

แควน้ สักกะ แ ม่ ํ้นา โ ร ิห ีณ ประสตู ิ

กรุงกบลิ พัสดุ์ กรุงเทวทหะ

พระเจา้ สุทโธทนะ พระนางสิรมิ หามายา

แหง่ กรุงกบิลพสั ด์ุ ราชธดิ าแห่งกรงุ เทวทหะ

พระราชกมุ าร
สทิ ธัตถะ

แควน้ สักกะ

กรุงกบลิ พัสดุ์ แ ม่ ํ้นา โ ร ิห ีณ กรุงเทวทหะ

สวนลุมพนิ ี

• ประสูติ ณ สวนลุมพนิ ี ตรงกบั วนั ข้ึน ๑๕ คา่ เดือน ๖

• พราหมณผ์ เู้ ชย่ี วชาญทัง้ ๘ ทานายวา่ หากครองเรือนจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ย่ิงใหญ่ แต่ถ้า
ออกผนวชจะได้เปน็ ศาสดาเอกของโลก

• หลงั ประสูตไิ ด้ ๗ วัน พระราชมารดากส็ วรรคต พระนางประชาบดีโคตรมี พระกนิษฐาของพระ
ราชมารดา เป็นผ้เู ลี้ยงดูสบื มา

พระราชกุมาร พระนางยโสธรา
สิทธัตถะ

พระราหลุ

• ทรงได้รบั การศกึ ษาศลิ ปวทิ ยาทุกแขนงจากครูวศิ วามติ ร
• เม่ือมพี ระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภเิ ษกสมรสกบั พระนางยโสธรา หรือ พระนางพมิ พา
• มพี ระราชโอรสองค์หน่ึง พระนามวา่ พระราหุล ซง่ึ แปลวา่ บว่ ง

เทวทูตท้งั ๔

เมอื่ คร้งั เสดจ็ ประพาสอุทยาน ไดท้ อดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงดาริวา่

“ชีวติ ของทุกคนตอ้ งตกอยใู่ นสภาพเช่นน้ัน

ไมม่ ีใครหลกี เลีย่ งได้ และวิถที างท่ีจะพน้ ทุกขข์ องชีวติ เช่นน้ี คอื

ต้องสละเพศผคู้ รองเรือน”

คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะ

แทจ้ ริงแลว้ บรรดา คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ เป็น เทวทตู หรือสตู สวรรค์ ผมู้ หี นา้ ท่ีสง่ สารอันอันประเสรฐิ

ออกผนวช

• เมือ่ มีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงตดั สนิ ใจทีจ่ ะออกผนวช
• ทรงตดั พระเมาลี (มวยผม) ถือเพศบรรพชติ ณ ริมฝง่ั แม่นา้ อโนมา
• ทรงศึกษาในสานักต่างๆ รวมไปถึงสานักของอาฬารดาบส กาลาม

โคตรและอุททกดาบส รามบุตร จนสําเร็จฌานสมาบัติข้ันท่ี ๘
จึงอาลาไปบาเพญ็ เพียรตามลาพัง

• ทรงบาเพ็ญเพยี รที่ อุรเุ วลาเสนานคิ ม
• ปัญจวัคคีย์ อันมี โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ

คอยปรนนบิ ตั ริ บั ใช้
• ทรงบาเพ็ญ ทุกกรกริ ยิ า หรือ การกระทําที่ทาํ ได้ยากยิง่ มี ๓ ขน้ั ตอน

กัดฟัน
กล้นั ลมหายใจ

อดอาหาร

การตรัสรู้

• พระสทิ ธัตถะได้ตรสั ร้เู ป็น พระสัมมาสัมพทุ ธะ
• พระสัมมาสมั พทุ ธะ แปลว่า ผู้ตรัสรดู้ ว้ ยพระองคเ์ องโดยชอบ
• ตรสั ร้เู ป็นพระพทุ ธเจา้ เมื่อวันเพ็ญเดอื น ๖ ขณะมีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
• ส่ิงท่ตี รสั รู้ คอื ความจรงิ อนั ประเสริฐ ๔ ประการ เรียกวา่ อรยิ สจั

ทกุ ข์ อร๔ยิ สจั สมุทยั

ความทกุ ข์ หรอื ปัญหา สาเหตขุ องทกุ ข์ หรอื
ของชีวติ ท้ังหมด สาเหตุของปญั หาชีวิต

ทางดบั ทุกข์ หรอื ความดบั ทุกข์
แนวทางแกป้ ัญหาชวี ิต หรอื ภาวะหมดปญั หา

มรรค นิโรธ

ประกาศพระพุทธศาสนา

• หลงั จากตรสั รแู้ ลว้ ทรงพิจารณาธรรม เป็นเวลา ๗ สปั ดาห์ กอ่ นเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา

• ทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวคยี ์ ณ ป่าอสิปตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี

• การแสดงธรรมนเ้ี รยี กว่า ปฐมเทศนา
• ธรรมทที่ รงแสดงเรียกวา่ ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร

ธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร เป็นธรรมที่ว่าด้วยแนวทางท่ีไม่พึงปฏิบัตสิ องทาง คือ

ตงึ เกินไป และหย่อนเกนิ ไป ส่วนแนวทางท่คี วรปฏิบัติ คือ ทางสายกลาง
(อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ และ อริยสัจ ๔)

ปรินิพพาน

กอ่ นเสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพาน พระเจา้ ได้ตรัสพระโอวาทครั้งสุดท้ายวา่
“ดกู ่อนภกิ ษทุ ้ังหลาย บดั นี้เราขอเตอื นเธอท้งั หลายวา่
สงั ขารทง้ั หลาย มคี วามเสอ่ื มและส้นิ ไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยงั ประโยชนต์ นและผูอ้ ืน่
ใหถ้ งึ พร้อมด้วยความไมป่ ระมาทเถิด”

พระพุทธเจา้ เสดจ็ ดับขันธปรนิ ิพพาน
ณ สาลวโนทยาน เมอื งกสุ ินารา เมอ่ื วนั เพญ็ ขึน้ ๑๕ เดือน ๖ ขณะพระชนมายุ ๘๐ พรรษา

• ทรงสถาปนา พุทธบรษิ ทั สี่ ข้ึน เพ่ือนาความรู้ ความสามารถไปสืบสานต่อเจตนารมณ์
ของพระองคแ์ ละสืบทอดใหพ้ ระพทุ ธศาสนายืนยาวต่อไป

๑. ภิกษุ

๔. อุบาสกิ า

๒. ภิกษณุ ี

๓. อบุ าสก

พระมหากัสสปะ ประวัตพิ ุทธสาวก พุทธสาวกิ า
พระอุบาลี
อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี
นางวสิ าขา

พระมหากัสสปะ

• พระมหากัสสปะ มีนามเดิมวา่ ปิปผลิ ทา่ นมีนสิ ัยชอบความสงบ ชอบปลีกตวั อยู่
ตามปา่ และถือธุดงคอ์ ย่างเคร่งครดั

คณุ ธรรมทีค่ วรถือเป็นแบบอยา่ ง • เปน็ บุตรท่ดี ขี องบิดามารดา
• เปน็ ผมู้ สี ัจจะ
• เปน็ ผ้มู คี วามกตัญญกู ตเวทอี ย่างย่งิ
• มีชีวิตเรยี บง่าย
• เป็นตัวอย่างในทางทดี่ ีงาม

พระอบุ าลี

• พระอุบาลี เป็นผ้ทู รงอภญิ ญาและแตกฉานในปฏิสมั ภิทา ๔ มคี วามสนใจในพระวินยั
เป็นพิเศษ ได้ศึกษาพระวินัยจากพระพุทธองค์จนมีความเชี่ยวชาญ มีความสามารถ
ในการพิจารณาอธิกรณ์เป็นเอตทัคคะดา้ นพระวนิ ัย

คณุ ธรรมทค่ี วรถือเปน็ แบบอยา่ ง

• เป็นผเู้ ช่ยี วชาญพระวนิ ัย
• เป็นครูทด่ี ี
• มคี วามใฝห่ าความรเู้ สมอ

อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี

• อนาถบิณฑกิ เศรษฐี มนี ามเดิมว่า สุทัตตะ เป็นผู้ใจบุญสุนทาน โดยได้ตั้งโรงทานให้แก่
ยาจกวณพิ กเปน็ ประจา จงึ เปน็ ที่มาของช่อื อนาถบิณฑิกะ (ผมู้ กี ้อนข้าวเพ่อื คนอนาถา)

คณุ ธรรมทค่ี วรถือเป็นแบบอย่าง • เป็นผมู้ น่ั คงในการทาบุญ
• เปน็ ทายกตัวอยา่ ง
• เปน็ พ่อทด่ี ขี องลกู
• เปน็ ผมู้ คี วามตงั้ ใจแนว่ แน่

นางวิสาขา

• นางวิสาขา ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและบรรลุโสดาบันเม่ืออายุ ๗ ขวบ กล่าวกัน
ว่า นางวิสาขาน้ัน มีลักษณะงามพร้อม ๕ ประการ เรียกว่า “เบญจกัลยาณี” นาง
วิสาขาเป็นสาวิกาที่ม่ันคงในพระรัตนตรัยมาก นางได้ขอพรจากพระพุทธเจ้า ๘
ประการเปน็ เอตทัคคะ ด้านการถวายทาน

คุณธรรมท่คี วรถือเป็นแบบอย่าง • มคี ารวธรรมอย่างยง่ิ

• มปี ญั ญาและกุศโลบายแนะนาคนเข้าหาพระธรรม

• จริงใจและชว่ ยเหลอื เพื่อนเสมอ
• เปน็ สาวกิ าผมู้ ่นั คงในพระรัตนตรัย
• ช่วยปกปอ้ งพระศาสนา
• มวี ิจารญาณรอบคอบอยา่ งย่ิง

ศาสนิกชนตัวอยา่ ง

พระเจ้าอโศกมหาราช
พระโสณะ และ พระอตุ ตระ

พระเจา้ อโศกมหาราช

• พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ พนิ ทสุ าร
• เม่อื พระราชบดิ าสวรรคต พระเจา้ อโศกได้สาเร็จโทษพระภาดาต่างพระชนนถี งึ ๙๙ พระองค์
• ทรงมีชื่อเรยี กขานอกี อย่างหนึ่งวา่ “จัณฑาโศก” แปลวา่ “อโศกผู้โหดร้าย”
• เม่ือนับถือพระพุทธศาสนา ทรงประกอบกรรมอันเป็นกุศลเป็นอันมาก ทรงทานุบารุง

พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่จนได้พระนามใหม่ว่า “ธรรมโศก” แปลว่า “อโศกผู้ทรง
ธรรม”

• ทรงเปน็ ผูม้ ั่นคงในพระ • ทรงมนี า้ พระทัยกว้างขวาง
รัตนตรยั และเป็นอบุ าสกทด่ี ี และใหเ้ สรภี าพในการนบั ถือศาสนา

คุณธรรมท่ีควรถือเปน็ แบบอย่าง

• ทรงมีความรบั ผดิ ชอบอย่างยง่ิ • ทรงเป็นมหาราชในอุดมคติ

พระโสณะ และ พระอตุ ตระ

• พระโสณะและพระอุตตระเปน็ ชาวชมพทู วีป มีชีวิตอยูใ่ นรชั สมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช
• เป็นผแู้ ตกฉานในพระไตรปฎิ ก
• มีส่วนรว่ มในการสงั คายนาคร้ังท่ี ๓
• เมอ่ื เสรจ็ ส้ินการสงั คายนา ไดร้ ับการแตง่ ตัง้ เป็นธรรมทตู เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในประเทศตา่ งๆ

• เปน็ สาวกทดี่ ขี องพระพุทธเจา้ • เปน็ ผมู้ ีขนั ติธรรมสงู ยง่ิ

คณุ ธรรมท่ีควรถือเป็นแบบอย่าง

• เป็นผู้มคี วามสามารถในการถ่ายทอดพระธรรม

ชาดก

อมั พชาดก

• อมั พชาดกให้ขอ้ คิดว่า “ความกตญั ญกู ตเวที รู้คุณคนและตอบแทนคณุ เป็นพื้นฐานของบุคคล
ใดมีคุณธรรมข้อนี้ คุณธรรมอื่นๆ ย่อมจะงอกงามตามมาอย่างน่าอัศจรรย์” ดังพุทธภาษิตว่า
“ภมู ิ เว สปฺปุรสิ านํ กตญญฺ กู ตเวทติ า” ความกตัญญกู ตเวทเี ปน็ พ้ืนฐานของคนดี

ติตตริ ชาดก

• ติตติรชาดกให้ข้อคิดว่า การเคารพนบนอบผู้อาวุโส จะทาให้เกิดความยาเกรง เชื่อฟังและ
สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า “คนเหล่าใดฉลาดใน
ธรรม เคารพนบน้อมต่อผู้เจริญด้วยวัยวุฒิ คนเหล่าน้ันย่อมได้รับยกย่องสรรเสริญใน
ปัจจุบัน และมีทางไปที่ดี ไดร้ บั ความเจริญตอ่ ไปในภายภาคหนา้ ”

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓

หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

• อธบิ ายพทุ ธคุณและขอ้ ธรรมสาคญั ในกรอบอรยิ สัจ ๔ หรือหลกั ธรรมของศาสนาที่ตน
นบั ถอื ตามทกี่ าหนด
เห็นคณุ คา่ และนาไปพฒั นาแกป้ ัญหาของตนเองและครอบครวั ได้

พระรตั นตรยั

พระรตั นตรัย แปลวา่ แกว้ ประเสรฐิ ๓ ดวง เปน็ องค์ประกอบสาคัญของ

พระธรรม พระพทุ ธ พระสงฆ์

ความจริงทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงค้นพบ องค์สมเดจ็ สัมมาสมั พทุ ธเจ้า สาวกของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ผู้ปฏิบัติ
แลว้ นามาสัง่ สอนชาวโลก พระผทู้ รงเป็นศาสดาของ ธรรมและเผยแผ่ธรรมแก่มวลมนุษย์

ศาสนา

คุณของพระพุทธเจ้า • เป็นผ้บู ริสุทธ์ิ ปราศจากกเิ ลส
• เปน็ ผตู้ รัสรเู้ องโดยชอบ
มี ๙ ประการ เรียกว่า พทุ ธคณุ ๙ • เป็นผพู้ ร้อมด้วยความร้แู ละความประพฤติ
• เป็นผเู้ สดจ็ ปดีแลว้
อรหงั • เป็นผรู้ แู้ จง้ โลก
สัมมาสัมพุทโธ • เปน็ ผฝู้ กึ คนทค่ี วรฝึกอยา่ งยอดเยี่ยม
วชิ ชาจรณสมั ปนั โน • เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ทงั้ หลาย
สุคโต • เปน็ ผู้ต่ืนแลว้
โลกวทิ ู • เปน็ ผมู้ ีโชค ผ้จู าแนกธรรม
อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ
สัตถา เทวมนุสานัง
พุทโธ
ภควา

อรยิ สัจ ๔

ความทุกข์ หรือปัญหา สาเหตุของทุกข์หรือ
ของชีวิตทั้งหมด สาเหตุของปญั หาชีวิต

ทุกข์ สมุทยั

อริยสัจ ๔

มรรค นิโรธ

ทางดบั ทุกข์หรือ ความดับทกุ ขห์ รอื
แนวทางแก้ปัญหาชีวติ ภาวะหมดปญั หา

• ความจริงว่าด้วยความทุกข์ ความไม่สบาย ทกุ ข์ (ธรรมที่ควรรู้)
กาย ไมส่ บายใจ
รูป
• หลักธรรมท่ีเกี่ยวข้อง เช่น “ขันธ์ ๕” คือ เวทนา
องค์ประกอบของชวี ติ ๕ ประการ สญั ญา
สงั ขาร
วญิ ญาณ

รปู

ส่วนทีเ่ ปน็ ร่างกาย รวมถงึ พฤติกรรมทั้งหมดของร่างกายด้วย เช่น การหมุนเวียนโลหิต การหายใจ รวมถึง

สิ่งใดๆ ในโลกทเี่ ปน็ วัตถุ ประกอบด้วยส่งิ ดง้ั เดิมทั้ง ๔ เรยี กว่า “ธาตุ ๔”

ปฐวธี าตุ เตโชธาตุ

ธาตุดนิ หมายถึง สิ่งทมี่ ลี กั ษณะแข็ง ธาตไุ ฟ หมายถงึ ส่งิ ทง้ั หลายทร่ี อ้ น

อาโปธาตุ วาโยธาตุ

ธาตุน้า หมายถึง สิ่งท่ีไหลและเหลว ธาตุลม หมายถึง สิง่ ท้ังหลายท่สี ั่นไหวเคล่อื นท่ี

เวทนา

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อสงิ่ ที่รนู้ น้ั มไิ ด้หมายถงึ ความสงสารที่ใชก้ นั ทว่ั ไป มอี ยู่ ๓ ประการ

สุขเวทนา

รสู้ ึกสบายกาย สบายใจ

ทุกขเวทนา

รสู้ ึกไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ

อเุ บกขาเวทนา

รู้สึกเฉยๆ

สญั ญา

การกาํ หนดหมายรู้สง่ิ ใดส่งิ หนงึ่ การแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร มิได้หมายถึงคํามั่นสัญญา ในภาษา
สามญั สัญญานเ้ี ป็นขั้นตอนถดั จากเวทนาน่ันเอง

สงั ขาร

ส่ิงท่ีปรุงแต่งจิต หรือส่ิงกระตุ้นผลักดันให้มนุษย์กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจเรียกได้ว่าเป็น
แรงจูงใจ สงั ขารเป็นผลรวมของ

การรับรู้ (วญิ ญาณ)

ความรสู้ ึก (เวทนา)

ความจําได้ (สญั ญา)

วญิ ญาณ ชวิ หาวิญญาณ

การรับร้ผู า่ นทางประสาทท้งั ๕ และใจ รบั ร้ทู างลนิ้ หรอื การลิ้มรส

โสตวิญญาณ กายวิญญาณ

รบั รทู้ างหู หรือการได้ยิน รบั รูท้ างกาย
หรือการสมั ผสั ทางกาย
จกั ขุวิญญาณ
มโนวญิ ญาณ
รับรทู้ างตา หรอื การเห็น
รับรทู้ างใจ หรือการคดิ
ฆานวิญญาณ

รับรู้ทางจมกู หรอื การได้กลน่ิ

• ความจริงว่าด้วยเหตุเกิดแห่งความทุกข์ สมทุ ัย (ธรรมที่ควรละ)
เ พ ร า ะ ค ว า ม ทุ ก ข์ ท่ี เ กิ ด ข้ึ น น้ั น ต้ อ ง
มีสาเหตุเกิดจากอะไรบางอย่าง ไม่ได้ • สาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ คือ
มขี น้ึ ลอยๆ ดังพุทธดํารสั ว่า ความอยากที่เกินพอดี เรียกว่า

“เมื่อส่ิงน้มี ี สง่ิ นน้ั จึงมี “ตัณหา” มี ๓ ประเภท
เพราะสิ่งนเ้ี กดิ สง่ิ น้ันจงึ เกดิ ”
กามตณั หา
ภวตณั หา
วิภวตณั หา


Click to View FlipBook Version