The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aumapr1109, 2023-07-11 01:42:54

ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม

ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม

โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม เสนอ อาจารย์ดร.วชิราภรณ์ ฟูนัน จัดทำโดย กลุ่มที่ 1 นางสาวศิริลักษณ์ เนียนแนบ รหัสนักศึกษา 6110111226011 นางสาวรัชนีกร เดือนใส รหัสนักศึกษา 6110111226013 นางสาวนริศรา บุญปัญญา รหัสนักศึกษา 6110111226016 นายณัฐภูมิ เหมุทัย รหัสนักศึกษา 6110111226022 นางสาวสุพัชราภา มะโนการ รหัสนักศึกษา 6110111226028 นางสาวอัมพรรัตน์บุญเศษ รหัสนักศึกษา 6110111226030 โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ (1114101) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร


ก บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง : ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ดร.วชิราภรณ์ ฟูนัน คณะผู้จัดทำ : ศิริลักษณ์เนียนแนบ,รัชนีกร เดือนใส, นริศรา บุญปัญญา, ณัฐภูมิ เหมุทัย, สุพัชราภา มะโนการ และอัมพรรัตน์ บุญเศษ พ.ศ. : 2564 โครงงานนี้เป็นโครงงานสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม จัดทำขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดจากซองขนม และเพื่อนำซองขนมมาสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์โดยการ นำมาทำเป็นผ้ากันเปื้อน โดยการทำโครงงานนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อน จากซองขนม และส่วนที่สองการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม โดยการนำไปให้ ผู้ทดสอบสวมใส่ 6 คน และใช้งานจริงเป็นเวลา 7 วัน จากนั้นให้ผู้ทดสอบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งาน ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติในการสรุปประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากัน เปื้อนจากซองขนม จากการศึกษาพบว่า การประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนมทั้งหมด 6 ตัว เป็นดังนี้ ศิริลักษณ์ เนียนแนบ ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 28 ซอง รัชนีกร เดือนใส ใช้ซองขนมใน การประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 16 ซอง นริศรา บุญปัญญา ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 30 ซอง ณัฐภูมิ เหมุทัย ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 16 ซอง สุพัชราภา มะโนการ ใช้ซอง ขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 31 ซอง และอัมพรรัตน์ บุญเศษ ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากัน เปื้อนจำนวน 29 ซอง รวมทั้งสิ้น 150 ซอง คิดเป็นร้อยละ 25 ขนาดของผ้ากันเปื้อน จากการประดิษฐ์ผ้ากัน เปื้อนจากซองขนมทั้งหมด 6 คน พบว่า ขนาดของผ้ากันเปื้อนแต่ละคนต่างกัน คณะผู้จัดทำจึงทำการวัดขนาด ของผ้ากันเปื้อนแต่ละคน ได้ผลดังนี้ คนที่ 1 ศิริลักษณ์ เนียนแนบ ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 64 เซนติเมตร และยาว 69 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,416 ตารางเซนติเมตร คนที่ 2 รัชนีกร เดือนใส ขนาดของผ้ากัน เปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 77 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,543 ตารางเซนติเมตร คนที่ 3 นริศรา บุญปัญญา ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 72 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,248 ตาราง เซนติเมตร คนที่ 4 ณัฐภูมิเหมุทัย ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 74 เซนติเมตร คิดเป็น พื้นที่ได้ 4,366 ตารางเซนติเมตร คนที่ 5 สุพัชราภา มะโนการ ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 58 เซนติเมตร และ ยาว 77 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,466 ตารางเซนติเมตร และคนที่ 6 อัมพรรัตน์ บุญเศษ ขนาดของผ้ากัน เปื้อนกว้าง 61 เซนติเมตร และยาว 75 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,575 ตารางเซนติเมตร จากนั้นนำพื้นที่ ทั้งหมดมาคิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4,436 ตารางเซนติเมตร การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซอง โดยนำไปให้ผู้ทดสอบสวมใส่ จำนวน 6 คน และใช้งานจริงเป็นเวลา 7 วัน และประเมินความคิดเห็นในการใช้ งานสิ่งประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้ทดสอบสวมใส่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 5 ข้อ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้ดังนี้


ข ความสวยงามของชิ้นงาน (̅ = 5.00) นำมาใช้ประโยชน์ในการป้องกันสิ่งสกปรก (̅ = 4.83) ความปลอดภัย ในการใช้งาน (̅ = 4.83) ความสะดวกสบายในการใช้งาน (̅ = 4.67) และการทำความสะอาด (̅ = 4.67) และมีความพึงพอใจในระดับมาก 2 ข้อ คือ ความสามารถในการใช้งานได้หลายครั้ง (̅ = 4.50) และความทนทาน (̅ = 4.33)


ค กิตติกรรมประกาศ การทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.วชิราภรณ์ ฟูนัน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ คอยให้คำปรึกษา ให้ความสะดวกในการทำโครงงาน และ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ขอบคุณเพื่อนในกลุ่มทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการทำโครงงาน ท้ายที่สุด ขอกราบขอบพระคุณ คุณพ่อและคุณแม่ ที่เป็นผู้ให้กำลังใจและให้โอกาสการศึกษาอันมีค่ายิ่ง คณะผู้จัดทำโครงงานขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูงที่ให้การสนับสนุน เอื้อเฟื้อและให้ความ อนุเคราะห์ช่วยเหลือจนกระทั่งโครงงานสิ่งประดิษฐ์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม สำเร็จ ลุล่วงได้ด้วยดี คณะผู้จัดทำ


ง คำนำ โครงงานสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน วิทยาศาสตร์ (1114101) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักศึกษาจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ การแสดงโครงงาน และ การประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งภายในโครงงานฉบับนี้ ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสำคัญของ ปัญหา สมมติฐาน วัตถุประสงค์ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงาน ผลการดำเนินงาน สรุปและอภิปรายผลการทดลอง ข้อเสนอแนะ และโครงงานเล่มนี้สามารถเป็นแนวทางให้ ผู้สนใจได้นำไปศึกษาต่อ เป็นต้น ทั้งนี้คณะผู้จัดทำขอขอบคุณอาจารย์ ดร.วชิราภรณ์ ฟูนัน ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการจัดทำ โครงงาน ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จากเว็บไซต์และหนังสือที่อนุเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำโครงงาน เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม คณะผู้จัดทำจึงขอขอบพระคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ คณะผู้จัดทำ


จ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค คำนำ ง สารบัญ จ สารบัญภาพ ฉ สารบัญตาราง ฐ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาของโครงงาน 1 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1 สมมติฐานการทดลอง 1 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลทั่วไปของบรรจุภัณฑ์ 2 ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 9 ขยะที่เกิดขึ้นจากพลาสติก 13 อัตราการย่อยสลายของพลาสติก 16 วิธีการกำจัดขยะด้วยหลัก 7R 16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 18 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์ 27 แนวทางในการศึกษาและทดลอง 27 บทที่ 4 ผลการศึกษาค้นคว้า ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 30 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 32 บทที่ 5 อภิปรายผล สรุปผลและข้อเสนอแนะ อภิปรายผล 37 สรุปผล 38 ข้อเสนอแนะ 38 ปัญหาที่พบ 38 บรรณานุกรม 39 ภาคผนวก 40


ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่2.1 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทฟิล์มม้วน 3 ภาพที่2.2 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองซีลกลาง 3 ภาพที่ 2.3 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองก้นตั้ง 4 ภาพที่ 2.4 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองซีลสามทาง 4 ภาพที่ 2.5 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเคซีล 5 ภาพที่ 2.6 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองติดซิป 5 ภาพที่ 2.7 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองฝากาว 6 ภาพที่ 2.8 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองวีคัท 6 ภาพที่2.9 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเจาะรู 7 ภาพที่ 2.10 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทถุงหิ้ว 7 ภาพที่ 2.11 ฟอยล์อลูมิเนียม 8 ภาพที่ 2.12 ฟอยล์เมทาไลซ์ 8 ภาพที่ 2.13 พลาสติก 9 ภาพที่ 2.14 ขยะพลาสติกที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม 14 ภาพที่ 2.15 ผลกระทบจากขยะพลาสติกในท้องทะเล 15 ภาพที่2.16 บรรจุภัณฑ์กระดาษในรูปแบบต่าง ๆ 21 ภาพที่ 2.17 บรรจุภัณฑ์สบู่ทำจากกระดาษรีไซเคิล 21 ภาพที่ 2.18 ชีวิตที่สองของกล่องกระดาษจากการแปรสภาพ (Upcycle) 22 ภาพที่ 2.19 บรรจุภัณฑ์พลาสติก 23 ภาพที่2.20 สัญลักษณ์ชนิดต่าง ๆ ของพลาสติกรีไซเคิล 23 ภาพที่ 2.21 ยีนส์ลีวายส์ Wast<LESSTM ยีนส์ที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิล 24 ภาพที่2.22 ผลิตภัณฑ์จากขยะบรรจุภัณฑ์ในนิทรรศการ Pure Gold – Upcycled! Upgraded! 25 ภาพที่2.23 ผ้ากันเปื้อนจากถุงพลาสติก 25 ภาพที่ 4.1 ตัวอย่างผลงานสิ่งประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อน 31


ช สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพที่ 4.3 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามเพศ 32 ภาพที่ 4.4 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอายุ 33 ภาพที่ 4.5 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอาชีพ 34 ภาพที่ 4.6 จำนวนร้อยละความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 36 ภาพผนวกที่ 1 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 41 ภาพผนวกที่ 2 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 41 ภาพผนวกที่ 3 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 41 ภาพผนวกที่ 4 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 42 ภาพผนวกที่ 5 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 42 ภาพผนวกที่ 6 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 42 ภาพผนวกที่ 7 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 43 ภาพผนวกที่ 8 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 43 ภาพผนวกที่ 9 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 43 ภาพผนวกที่ 10 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 44 ภาพผนวกที่ 11 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 44 ภาพผนวกที่ 12 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 44 ภาพผนวกที่ 13 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 45 ภาพผนวกที่ 14 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 45 ภาพผนวกที่ 15 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 46 ภาพผนวกที่ 16 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 46 ภาพผนวกที่ 17 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 47 ภาพผนวกที่ 18 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 47 ภาพผนวกที่ 19 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 48 ภาพผนวกที่ 20 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 48


ซ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพผนวกที่ 21 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 49 ภาพผนวกที่ 22 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 49 ภาพผนวกที่ 23 ผลการประเมิน 50 ภาพผนวกที่ 24 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 51 ภาพผนวกที่ 25 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 51 ภาพผนวกที่ 26 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 51 ภาพผนวกที่ 27 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 52 ภาพผนวกที่ 28 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 52 ภาพผนวกที่ 29 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 52 ภาพผนวกที่ 30 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 53 ภาพผนวกที่ 31 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 53 ภาพผนวกที่ 32 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 53 ภาพผนวกที่ 33 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 54 ภาพผนวกที่ 34 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 54 ภาพผนวกที่ 35 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 54 ภาพผนวกที่ 36 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 55 ภาพผนวกที่ 37 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 55 ภาพผนวกที่ 38 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 56 ภาพผนวกที่ 39 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 56 ภาพผนวกที่ 40 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 56 ภาพผนวกที่ 41 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 57 ภาพผนวกที่ 42 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 57 ภาพผนวกที่ 43 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 57 ภาพผนวกที่ 44 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 58


ฌ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพผนวกที่ 45 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 58 ภาพผนวกที่ 46 ผลการประเมิน 59 ภาพผนวกที่ 47 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 60 ภาพผนวกที่ 48 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 60 ภาพผนวกที่ 49 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 60 ภาพผนวกที่ 50 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 61 ภาพผนวกที่ 51 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 61 ภาพผนวกที่ 52 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 61 ภาพผนวกที่ 53 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 62 ภาพผนวกที่ 54 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 62 ภาพผนวกที่ 55 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 62 ภาพผนวกที่ 56 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 63 ภาพผนวกที่ 57 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 63 ภาพผนวกที่ 58 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 63 ภาพผนวกที่ 59 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 64 ภาพผนวกที่ 60 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 64 ภาพผนวกที่ 61 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 65 ภาพผนวกที่ 62 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 65 ภาพผนวกที่ 63 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 65 ภาพผนวกที่ 64 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 66 ภาพผนวกที่ 65 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 66 ภาพผนวกที่ 66 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 66 ภาพผนวกที่ 67 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 67 ภาพผนวกที่ 68 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 67


ญ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพผนวกที่ 69 ผลการประเมิน 68 ภาพผนวกที่ 70 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 69 ภาพผนวกที่ 71 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 69 ภาพผนวกที่ 72 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 69 ภาพผนวกที่ 73 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 70 ภาพผนวกที่ 74 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 70 ภาพผนวกที่ 75 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 70 ภาพผนวกที่ 76 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 71 ภาพผนวกที่ 77 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 71 ภาพผนวกที่ 78 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 71 ภาพผนวกที่ 79 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 72 ภาพผนวกที่ 80 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 72 ภาพผนวกที่ 81 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 72 ภาพผนวกที่ 82 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 73 ภาพผนวกที่ 83 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 73 ภาพผนวกที่ 84 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 74 ภาพผนวกที่ 85 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 74 ภาพผนวกที่ 86 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 74 ภาพผนวกที่ 87 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 75 ภาพผนวกที่ 88 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 75 ภาพผนวกที่ 89 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 75 ภาพผนวกที่ 90 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 76 ภาพผนวกที่ 91 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 76 ภาพผนวกที่ 92 ผลการประเมิน 77


ฎ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพผนวกที่ 93 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 78 ภาพผนวกที่ 94 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 78 ภาพผนวกที่ 95 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 78 ภาพผนวกที่ 96 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 79 ภาพผนวกที่ 97 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 79 ภาพผนวกที่ 98 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 79 ภาพผนวกที่ 99 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 80 ภาพผนวกที่ 100 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 80 ภาพผนวกที่ 101 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 80 ภาพผนวกที่ 102 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 81 ภาพผนวกที่ 103 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 81 ภาพผนวกที่ 104 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 81 ภาพผนวกที่ 105 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 82 ภาพผนวกที่ 106 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 82 ภาพผนวกที่ 107 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 83 ภาพผนวกที่ 108 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 83 ภาพผนวกที่ 109 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 83 ภาพผนวกที่ 110 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 84 ภาพผนวกที่ 111 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 84 ภาพผนวกที่ 112 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 84 ภาพผนวกที่ 113 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 85 ภาพผนวกที่ 114 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 85 ภาพผนวกที่ 115 ผลการประเมิน 86 ภาพผนวกที่ 116 การเก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 87


ฏ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพผนวกที่ 117 การตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 87 ภาพผนวกที่ 118 การนำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 87 ภาพผนวกที่ 119 การนำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง 88 ภาพผนวกที่ 120 การนำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 88 ภาพผนวกที่ 121 การวัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน 88 ภาพผนวกที่ 122 การวาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 89 ภาพผนวกที่ 123 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 89 ภาพผนวกที่ 124 การนำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้แม็คเย็บ 89 ภาพผนวกที่ 125 การนำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออก 90 ภาพผนวกที่ 126 การนำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 90 ภาพผนวกที่ 127 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 90 ภาพผนวกที่ 128 การนำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 91 ภาพผนวกที่ 129 ผ้ากันเปื้อนที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว 91 ภาพผนวกที่ 130 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 1 92 ภาพผนวกที่ 131 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 2 92 ภาพผนวกที่ 132 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 3 92 ภาพผนวกที่ 133 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 4 93 ภาพผนวกที่ 134 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 5 93 ภาพผนวกที่ 135 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 6 93 ภาพผนวกที่ 136 การทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนมวันที่ 7 94 ภาพผนวกที่ 137 ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 94 ภาพผนวกที่ 138 ผลการประเมิน 95


ฐ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 4.1 ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 30 ตารางที่ 4.2 ขนาดของผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 31 ตารางที่ 4.3 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามเพศ 32 ตารางที่ 4.4 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอายุ 33 ตารางที่ 4.5 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอาชีพ 34 ตารางที่ 4.6 จำนวนและร้อยละของข้อมูลความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 35


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของโครงงาน ในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การใช้ชีวิตอยู่บ้านของเราเพิ่มมากขึ้นและมักจะรับประทานขนมเป็น อาหารว่าง เมื่อรับประทานขนมเสร็จซองขนมเหล่านี้ทำให้เกิดขยะมูลฝอยประเภทพลาสติก ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและมีผลกระทบต่อสุขอนามัย ขยะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกวัน มีสาเหตุมาจาก การเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม นับเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ในการกำจัดขยะโดยการนำไปเผา เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษ เกิดแก๊สเรือนกระจกส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน การประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม เป็นแนวคิดมาจากการนำเศษวัสดุที่ใช้แล้ว คือ ซองขนม ซึ่งประเภทของซองขนมที่เรานำมาประดิษฐ์เป็นผ้ากันเปื้อน คือ ซองขนมที่ทำมาจากแผ่นฟิล์มพลาสติก ประเภทซีลกลาง ลักษณะ คือ มีซีลขั้นตรงกลางบริเวณด้านหลังซอง สามารถพบได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ มีคุณสมบัติในการป้องกันอากาศ ทนความร้อน และป้องกันแสงแดดได้ดี เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ ป้องกันการสัมผัสกับอากาศหรือความร้อนที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แปรสภาพได้เช่น ขนมกรอบ อาหารแห้งต่าง ๆ เป็นต้น จากคุณสมบัติของซองขนมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถนำมาประดิษฐ์เป็นผ้ากันเปื้อนจากซองขนมได้ ดังนั้นคณะผู้จัดทำโครงงานจึงได้นำซองขนมที่ใช้แล้ว ซึ่งมีอยู่มากภายในบริเวณบ้านมาทำเป็นผ้ากัน เปื้อน ให้สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง ด้วยการเย็บและใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ได้ออกมาเป็น “ผ้ากันเปื้อน จากซองขนม” เป็นการประดิษฐ์และคิดค้นให้เกิดรูปแบบใหม่ที่มีความสวยงามน่าใช้ มีคุณค่าและมีประโยชน์ มากขึ้น สามารถนำไปจำหน่ายตามความต้องการของผู้บริโภค ทำเป็นธุรกิจในครัวเรือน และเป็นการช่วยลด ปริมาณขยะประเภทพลาสติกลงได้ 1.2 สมมติฐานในการทำโครงงาน ถ้านำขยะที่เกิดจากซองขนมมาประดิษฐ์เป็นผ้ากันเปื้อนแล้ว จะสามารถช่วยลดปริมาณขยะประเภท พลาสติกลงได้ 1.3 วัตถุประสงค์ 1.3.1. เพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดจากซองขนม 1.3.2 เพื่อนำซองขนมมาสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์โดยการนำมาทำเป็นผ้ากันเปื้อน 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.4.1 ได้แนวคิดการสร้างสิ่งประดิษฐ์จากขยะที่ทำมาจากซองขนม เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดปริมาณ ขยะ 1.4.2 ได้นำซองขนมที่ใช้แล้วมาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 1.4.3 ช่วยสร้างมูลค่าให้กับผ้ากันเปื้อนให้มีเอกลักษณ์และดึงดูดความสนใจ


2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม กลุ่มผู้ศึกษาได้รวบรวมแนวคิดทฤษฎี และหลักการต่าง ๆ จากเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 2.1 ข้อมูลทั่วไปของบรรจุภัณฑ์ 2.2 ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 2.3 ขยะที่เกิดขึ้นจากพลาสติก 2.4 อัตราการย่อยสลายของพลาสติก 2.5 วิธีการกำจัดขยะด้วยหลัก 7R 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ข้อมูลทั่วไปของซองขนม 2.1.1 ความหมายของบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ คือสิ่งห่อหุ้ม คุ้มครองป้องกันและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ให้มีสภาพเป็นปกติ ก่อนถึงมือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าเหล่านั้นไปพร้อมกันด้วย บรรจุภัณฑ์ จึงเกิดการใช้วัสดุที่มากกว่าความจำเป็นทางด้านการห่อหุ้มเพื่อเก็บรักษาหรือคุ้มครองสินค้าภายใน แต่ยังต้อง ห่อหุ้มเพื่อการส่งเสริมการขาย ดังนั้นในบางครั้งเราจึงพบเห็นบรรจุภัณฑ์สินค้ามีการห่อหลายชั้นเพื่อความ สวยงามดึงดูดใจ ทำให้เกิดวัสดุใช้แล้วจากบรรจุภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นกลายเป็นขยะมีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อมไปใน ที่สุด ซองบรรจุภัณฑ์ หรือ ถุงบรรจุภัณฑ์ คือ การบรรจุผลิตภัณฑ์สินค้าโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อ ปกป้อง ระหว่างจัดส่งสินค้า ไม่เกิดการเสียหาย ปลอดภัย ก่อนถึงมือลูกค้า ซึ่งปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ปประเภท ต่าง ๆ ได้มีบทบาทมากมาย ทั้งโรงงานอุสาหกรรมต่าง ๆ และได้รับความนิยมในท้องตลาดอย่างกว้างขวาง โดยผ่านกระบวนการบรรจุภัณฑ์ และมีการออกแบบทำตามความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทั้งนี้ซองบรรจุ ภัณฑ์ ยังสามารถใช้ได้กับสินค้าหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็น อาหารสด อาหารแห้ง ของเหลว เม็ดยา เมล็ด ต่าง ๆ ครีม สารเคมี ฯลฯ 2.1.2 วัสดุของซองบรรจุภัณฑ์ ในการทำซองบรรจุภัณฑ์ เจ้าของแบรนด์ต้องเลือกวัสดุในการทำซองให้เหมาะกับสินค้า เพื่อให้สินค้า ของคุณอยู่ในสภาพที่ดี ในระหว่างการขนส่ง และเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า รวมไปถึงยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ สินค้าได้อีกด้วย


3 กระดาษ เป็นซองที่นิยมใช้กันมาก เพราะออกแบบได้ง่าย และสะดวกต่อการขนส่ง และเก็บรักษา ยัง สามารถนำมารีไซเคิลใช้ใส่สิ่งของอื่นได้ หากออกแบบมาให้ทนทานแข็งแรง แต่ถุงกระดาษไม่เหมาะสำหรับการ บรรจุของเหลว ฟอยล์เป็นถุงหรือซองทึบเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีความทนทาน ทั้งยังเหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องเก็บให้พ้น แสงได้ดี เคลื่อนย้ายสะดวก คงรูป เหมาะสำหรับบรรจุอาหารสำเร็จรูป หรือสินค้าที่ไม่ต้องการให้โดนแสง และ กันความชื้นได้ พลาสติก เป็นถุงหรือซอง ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความชื้น และทนต่อสภาพอากาศได้หลากหลาย ทำให้ถุงพลาสติกนั้นเหมาะกับผลิตภัณฑ์แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นขนม นม เนย เสื้อผ้า อาหาร ทั้งนี้ ถุงพลาสติกก็มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบใส แบบขุ่น และแบบสี(Plusprinting : เอกสารออนไลน์) 2.1.3 ชนิดบรรจุภัณฑ์ 2.1.3.1. บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทฟิล์มม้วน PACK ROLLER ภาพที่2.1 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทฟิล์มม้วน (ที่มา :https://nep.co.th/products/flexible) เป็นฟิล์มบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการพิมพ์แล้ว แต่ยังไม่มีการขึ้นรูปซอง งานประเภทฟิล์ม ม้วนส่วนใหญ่ ลูกค้าจะนำไปบรรจุแล้วขึ้นซองด้วยตัวเองด้วยเครื่อง Auto Packing 2.1.3.2 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองซีลกลาง CENTER SEAL ภาพที่2.2 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองซีลกลาง (ที่มา :https://nep.co.th/products/flexible)


4 เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมีรูปทรงที่สวยงาม ลักษณะเด่น คือ มี ซีลขั้นตรงกลางบริเวณด้านหลังซอง สามารถพบได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ เช่น ซองขนม ซองขนมปัง และอีก มากมายแบบซีลกลางประเภทนี้มีคุณสมบัติในการป้องกันอากาศทนความร้อน และป้องกันแสงแดดได้ดี เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการป้องกันการสัมผัสกับอากาศหรือความร้อนที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แปรสภาพได้ เช่น ขนมกรอบ อาหารแห้งต่างๆ ฯลฯ 2.1.3.3 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองก้นตั้ง STAND-UP POUCH ภาพที่ 2.3 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซองก้นตั้ง (ที่มา :https://nep.co.th/products/flexible) ข้อโดดเด่นของซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดนี้ คือ รูปทรงของซองที่ถูกออกแบบมาให้สามารถตั้งได้ นิยมใช้ในกลุ่มขนมต่างๆ แต่การจะทำให้ซองสามารถตั้งได้ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของบรรจุภัณฑ์ด้วย แบบ ตั้งได้มีลักษณะตัวถุงสามารถบรรจุผลิตภัณฑ์พร้อมตั้งพื้นได้มีความแข็งแรงทนทาน โดยทั่วไปนิยมนำไปใช้งาน บรรจุที่มีอุณหภูมิสูงหรืออาหารที่ต้องการรักษาคุณภาพให้คงอยู่ได้นานเช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทของเหลว น้ำยา ล้างจาน น้ำมันพืช ซองที่ต้องแช่แข็งในห้องเย็น กาแฟ ขนมกรอบ ฯลฯ นอกจากนี้แล้วการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ซองลามิเนตสามารถประหยัดพื้นที่ในการวางสินค้าและยังสะดวกต่อการใช้งาน 2.1.3.4 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองซีลสามทาง THREE SIDE SEAL ภาพที่ 2.4 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองซีลสามทาง (ที่มา :https://nep.co.th/products/flexible)


5 เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นิยมใช้กันอย่างมาก เช่น ซองซอสปรุงรสต่างๆ หรือถุงข้าวสาร และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ก่อนบรรจุสินค้าซองจะมีรอยซีลเฉพาะด้านข้างเมื่อบรรจุสินค้าเสร็จก็จะทำการ ซีลปิดกลายเป็นซีลสามทางในที่สุด มีคุณสมบัติ เหนียว ทนทาน เก็บรักษาการป้องกัน การผ่านเข้าซึมของก๊าช ได้ดีเหมาะกับการแพคสินค้าที่ต้องการรักษากลิ่น, รสชาติอาหาร และคงความสดของสินค้าได้เสมอ นิยมใช้กับ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร เช่น เมล็ดทานตะวันอบเกลือ, ผลไม้แช่อิ่มผงปรุงรสต่างๆ เป็นต้น 2.1.3.5 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเคซีล K-SEAL POUCH ภาพที่ 2.5 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเคซีล (ที่มา :https://www.foilpack.net) เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีความแข็งแรงและมีรูปทรงที่ สวยงาม สินค้าบางกลุ่มนิยมใช้เป็นซองนอกเพราะเมื่อบรรจุสินค้าเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะรูปทรงของ บรรจุภัณฑ์จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม 2.1.3.6 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองติดซิป ZIPPER POUCH ภาพที่ 2.6 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองติดซิป (ที่มา : https://taapackaging.com)


6 เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ถูกออกแบบมาสำหรับกลุ่มสินค้าที่สามารถเก็บไว้ใช้ในครั้ง ต่อไปได้ ส่วนมากจะใช้ควบคู่กับซองก้นตั้งและซองซีลสามทางหรืออื่นๆขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ส่วนของซิป จะถูกกดทับด้วยความร้อนลงบนซองบรรจุภัณฑ์ในระหว่างที่มีการขึ้นรูปซอง 2.1.3.7 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองฝากาว GLUE LID POUCH ภาพที่ 2.7 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองฝากาว (ที่มา :http://www.vteamstudio.com) เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้เป็นซองนอกหรือในกลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ Home Care ต่าง ๆ เช่น ซองใส่แผ่นซีดี ซองใส่หน้ากากอนามัย และอื่นๆ ลักษณะเด่น คือ มีแถบกาวบริเวณฝาปิด สิ่งสำคัญคือ องค์ประกอบระหว่างซองบรรจุภัณฑ์และกาวที่ต้องเหมาะสมกัน 2.1.3.8 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองวีคัท V-CUT POUCH ภาพที่ 2.8 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองวีคัท (ที่มา :https://pt.aliexpress.com) ซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการฉีกเปิดซองบรรจุภัณฑ์นิยมใช้คู่กับ ซองซีลสามทาง ซองก้นตั้ง ซองเคซีลหรืออื่นๆขึ้นอยู่กับความเหมาะสม การทำวีคัทของซองบรรจุภัณฑ์จะใช้ การปั้มกดจนขาดเป็นรูปตัววีจะอยู่บริเวณขอบซอง


7 2.1.3.9 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเจาะรูPIN HOLE POUCH ภาพที่2.9 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทซองเจาะรู (ที่มา :https://www.foilpack.net) ซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการเจาะรูเพื่อให้ซองสามารถแขวนได้ ถือได้ การใช้งานสามารถ ใช้ควบคู่กับซองชนิดใดก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมระหว่างน้ำหนักสินค้ากับความแข็งแรงของซองด้วย 2.1.3.10 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทถุงหิ้ว SOFT LOOPED ภาพที่ 2.10 บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ประเภทถุงหิ้ว (ที่มา :https://thai.alibaba.com) ถุงบรรจุภัณฑ์ที่มีหูสำหรับหิ้วใช้สำหรับใส่ภาชนะหรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ องค์ประกอบที่สำคัญ สำหรับบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้คือ น้ำหนักสินค้าและความคงทนของบรรจุภัณฑ์ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กันอย่าง ยิ่ง (Technicgravure : เอกสารออนไลน์)


8 2.1.4 วัสดุสำหรับพิมพ์ซอง 2.1.4.1 ฟอยล์อลูมิเนียม (Aluminum Foil : BOPP/ALU/LLDPE) ภาพที่ 2.11 ฟอยล์อลูมิเนียม จะมีสีออกเงินเงา มีคุณสมบัติในการกันความชื้น และแสงแดด มีผลทำให้ รักษาคุณภาพ สินค้าได้ดี ไม่ชื้น ไม่จับตัวเป็นก้อน เหมาะกับสินค้า เช่น ชา, กาแฟ, ผงคอลลาเจน, ยา, ของทอด ทำให้ของ ทอดกรอบนาน รสชาติไม่เปลี่ยนแปลง 2.1.4.2 ฟอยล์เมทาไลซ์ (Metalized Foil : BOPP/MPET/LLDPE) ภาพที่ 2.12 ฟอยล์เมทาไลซ์ จะมีสีออกเงินเงากว่าฟอยล์อลูมิเนียม มีคุณสมบัติในการกันความชื้น ป้องกันแสงได้บ้าง แต่ แสงก็ยังผ่านเข้ามาได้อยู่ ก็ยังมีคุณสมบัติป้องกันขนมให้ขนมกรอบได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่นานเท่าถุงฟอยล์ อลูมิเนียม


9 2.1.4.3 พลาสติก (Plastic : BOPP/CPP) ภาพที่ 2.13 พลาสติก มีลักษณะโปร่งแสง กันความชื้นได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่เท่าซองฟอยล์ ไม่กันแสง เหมาะสำหรับ บรรจุสินค้าที่ต้องการโชว์สินค้าด้านใน หรือ สำหรับสินค้าที่วางขายไม่นาน และประหยัดต้นทุนเพราะราคาถูก กว่าวัสดุที่เป็นเนื้อฟอยล์(Packingdesigns : เอกสารออนไลน์) 2.2 ประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติก ประเภทของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ มีดังนี้ 2.2.1. โพลิเอทิลีน (Polyethylene) PE PE เป็นพลาสติกที่มีการใช้มากที่สุดและราคาถูก เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวต่ำ จึงมีต้นทุนในการผลิต ต่ำ พลาสติก PE แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 2.2.1.1 HDPE (High density polyethylene) นิยมผลิตเป็นขวด ถาด เครื่องใช้ในครัวเรือน เพราะเป็นพลาสติกที่มีความคงรูปได้ดี หรือใช้ เคลือบกับวัสดุภัณฑ์อื่น เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และช่วยในการปิดผนึก ข้อดี: มีความแข็งแรง ขุ่น และโปร่งแสง มีความเหนียว ทนต่อกรดและด่างทั่วๆไป ป้องกัน ความชื้นได้ดี ข้อเสีย : ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซไม่ดี แต่ยังดีกว่า PE ชนิดอื่น การนำมาใช้: ถุงร้อน ขวดนมพาสเจอร์ไรช์ ถุงขยะ ท่อน้ำมัน ชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วน อุปกรณ์ไฟฟ้า


10 2.2.1.2 LDPE (Low density polyethylene) ข้อดี: มีความยืดตัวดี ทนต่อการทิ่มทะลุและการฉีกขาด สามารถปิดผนึกด้วย . ความร้อนได้ ดี ทนต่อกรดและด่างทั่วๆไป ป้องกันความชื้นได้ดี ทนอุณหภูมิ -50º ถึง 80º C ( 95º C ได้ไม่นาน) ข้อเสีย : ไขมันหรือน้ำมันซึมผ่านได้ง่าย อากาศซึมผ่านได้ง่าย การนำมาใช้: ถุงเย็น ถุงน้ำแข็ง ฟิล์มหด ฟิล์มยืด ถุงชั้นในของถุงกระดาษ ถุงหิ้ว 2.2.1.3 LLDPE (Linear Low Density Polyethylene) ข้อดี: นิ่มและเหนียวกว่า LDPE และ HDPE ป้องกันความชื้นและใสมากกว่า LDPE และ HDPE สามารถปิดผนึกด้วยความร้อนได้ดี ข้อเสีย : ไขมันซึมผ่านได้ง่าย อากาศซึมผ่านได้ง่าย การนำมาใช้: ประกบกับฟิล์มชนิดอื่นเพื่อเป็นชั้นปิดผนึก ฟิล์มหด (Shrink film) 2.2.2 โพลีโพพีลีน (Polypropylene) PP PP เป็นพลาสติกที่มักนำมาใช้ในรูปของฟิล์ม เนื่องจากมีความใสและป้องกันความชื้นได้ดีและมี คุณสมบัติใกล้เคียงกับ PE แต่มีความทนทานต่อความร้อนได้สูงถึง 120º C (ในขณะที่ LDPE ทนร้อนได้ 80º C) มีความทนทานต่อสารเคมี ตัวทำละลาย PP ที่ใช้ในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด CPP (cast polypropylene) และ OPP (oriented polypropylene) 2.2.2.1 CPP (cast polypropylene) ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์มีหลายชนิด ได้แก่ - CPP homo : จะมีลักษณะใส และเงา เนื้อฟิล์มแข็งแรงกว่า CPP copo ซีลติดได้ด้วยความ ร้อนแต่ต้องใช้อุณหภูมิสูง - CPP copo : จะมีลักษณะขุ่นกว่า CPP homo เล็กน้อย ซีลติดความร้อนได้ง่ายกว่า CPP homo และความแข็งแรงของรอยซีล (Seal strength) ดีกว่า - CPP garment : มีลักษณะใส เงา และนิ่ม - CPP retort : จะมีลักษณะข้น แข็ง ซีลติดด้วยความร้อนยากกว่า CPP ชนิดอื่นเนื่องจาก เป็นฟิล์มที่ต้องนำไปใช้ในงานที่อุณหภูมิสูง 2.2.2.2 OPP (oriented polypropylene) ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์มีหลายชนิด ได้แก่ - OPP pain: มีลักษณะใส และเงา ซีลติดด้วยความร้อนได้ไม่ดี - OPP heat seal: มีลักษณะขุ่นกว่า OPP pain เล็กน้อย สามารถซีลได้ด้วยความร้อน แต่ ความแข็งแรงของรอยซีล (Seal strength) ค่อนข้างน้อย


11 - OPP pearlized: ฟิล์มมีลักษณะสีขาว เงา เหลือบมุก แต่ว่าฉีกขาดได้ง่าย เนื้อฟิล์มมี ลักษณะเป็นรูพรุน จึงมีความหนาแน่นน้อยกว่าฟิล์มปกติ เช่น ซองไอศกรีม ฉลาก เป็นต้น - M-OPP : เป็นฟิล์ม OPP ที่มีการเคลือบ aluminum 1 ด้าน M-OPP ที่ใช้จะเป็น M-OPP heat seal และทำการ Corona Treatment มาเฉพาะด้านที่เคลือบ aluminum มาเท่านั้น เมื่อจะนำไปใช้ งานในการลามิเนตจะต้องทำการเปิด corona treatment อีกด้านในขณะลามิเนต ข้อดี: มีจุดหลอมเหลวสูงทำให้สามารถใช้บรรจุอาหารในขณะร้อนได้ดี (Hot fill) หรือ บรรจุ อาหารที่ผ่านความร้อนในการฆ่าเชื้อได้ดี (Retort pouch) ป้องกันความชื้นได้ดี ป้องกันการซึมผ่านของน้ำมัน ได้ดี ข้อเสีย : อากาศซึมผ่านได้ง่าย มีความเปราะ การนำมาใช้: ถุงร้อนของอาหารต่างๆ กล่องอาหาร ถาด ตะกร้า ถุงกระสอบ ฟิล์มประกบ หลายชั้น (Multilayer) 2.2.3 โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate) PET PET เป็นพลาสติกที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านความใส คุณสมบัติในด้านป้องกันการซึมผ่านของไอน้ำ ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซได้ดีมาก และป้องกันการซึมผ่านของไขมันได้ดี และความเหนียวสูง ข้อดี: มีความโปร่งใส คงรูป พิมพ์ได้ดี มีความทนทานต่อกรดได้ดี ป้องกันการซึมผ่านของ อากาศได้ปานกลาง ป้องกันความชื้นและน้ำมันได้ดี น้ำหนักเบา ข้อเสีย : ไม่สามารถปิดผนึกได้ด้วยความร้อนและเปิด ฉีกยาก ไม่ทนต่อด่าง การนำมาใช้: ขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำมันพืช ขวดน้ำอัดลม ถาด ฟิล์มประกบหลายชั้น (Multilayer) ฉลากฟิล์มหด 2.2.4 โพลีไวนิล คลอไรด์ (Polyvinyl chloride) PVC PVC เป็นพลาสติกที่มีการใช้สารเติมแต่ง (Plasticizer) จึงทำให้ปรับคุณสมบัติได้ตามต้องการ มักใช้ ในรูปของขวด ฟิล์ม และแผ่น มีส่วนประกอบของไวนิลคลอไรด์ซึ่งอาจตกค้างในอาหารได้ ข้อดี : ทนทานต่อน้ำมันและกันกลิ่นได้ดี ใส แข็งแรงทนทานต่อการเสียดสี ต้านทานต่อ ความชื้นปานกลาง ข้อเสีย : ส่วนประกอบของคลอไรด์ที่อาจตกค้างมีผลต่อสุขภาพและมีผลต่อสิ่งแวดล้อม การนำมาใช้: ขวด Bister pack ฟิล์มยืด ถาด 2.2.5 โพลีสไตรีน (Polystyrene) PS PS เป็นพลาสติกที่มีคุณสมบัติเด่นด้านความใส มันวาว


12 ข้อดี: มีความใส แข็งแรง มีน้ำหนักเบาที่สุด มีความคงรูปดี ข้อเสีย : ฉีกขาดง่าย ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซและความชื้นได้ต่ำ มีความเปราะ การนำมาใช้: ถาด โฟม แก้วน้ำ 2.2.6 โพลีแอไมค์ หรือไนลอน (Polyamide- PA or Nylon) Nylon หรือ PA มีหลายชนิด เรียกตามจำนวนอะตอมของคาร์บอน เช่น Nylon6, Nylon11 มี คุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด มักนิยมใช้ Nylon6 ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ข้อดี: มีความเหนียวสูง ต้านทานแรงดันทิ่มทะลุและแรงดันทะลุด้สูง คงรูป ทนทานต่อการ เสียดสีสูง ทนทานต่อสารเคมี กรดและตำทำละลายได้ดี ป้องกันการซึมผ่านของอากาศได้ค่อนข้างดี ป้องกัน การซึมผ่านของน้ำมันได้สูง ทนทานต่ออุณหภูมิร้อนหรือเย็นจัดได้ พิมพ์ได้ ข้อเสีย : ป้องกันความชื้นได้ต่ำ ดูดซึมน้ำได้ง่าย การนำไปใช้: ฟิล์มประกบแบบหลายชั้น (Multilayer) ถุงประเภทต้มได้ (Boil in bag) ถุงที่ มีการ Thermoform หรือ vacuum 2.2.7 เอทิลีน ไวนิลแอลกอฮอล์ (Ethylene-vinyl alcohol- EVOH) EVOH เป็นพลาสติกร่วมระหว่าง Ethylene และ Vinyl alcohol มีคุณสมบัติเด่นด้านการป้องกันการ ซึมผ่านของก๊าซได้ดีมาก ข้อดี: ทนทานต่อสารเคมี กรดและตัวทำละลายได้ดีมาก ป้องกันการซึมผ่านอากาศได้ดีมาก ป้องกันการซึมผ่านน้ำมันได้สูงมาก สามารถเก็บรักษากลิ่นและรสชาติได้ดีมาก มีความเหนียวสูง คงรูป ทนทาน ต่อรังสี พิมพ์ได้ ข้อเสีย : ป้องกันความชื้นได้ต่ำ ดูดซึมน้ำได้ง่าย การนำมาใช้: ฟิล์มประกบแบบหลายชั้น (Multilayer) ขวดหลายชั้น ถาดหลายชั้น ถัง น้ำมันพลาสติก หลอดหลายชั้น 2.2.8 อลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminum foil ) อลูมิเนียมฟอยล์ ทำจากโลหะอลูมิเนียมซึ่งถูกนำมาหลอมและรีดให้เป็นแผ่นบางโดยมีความหนาต่ำ กว่า 250 ไมครอน เป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถยืดอายุการเก็บผลิตภัณฑ์และรักษาความสดของอาหาร ข้อดี: มีคุณสมบัติในการต้านทานการซึมผ่านความชื้น และ ออกซิเจนดีมาก ป้องกัน แสงแดดดีมาก มีความเงามัน ข้อเสีย : ความแข็งแรงเชิงกลไม่ดี ฉีกขาดง่าย


13 การนำมาใช้: ฟิล์มประกบหลายชั้น (Multilayer) เป็นบรรจุภัณฑ์บรรจุหาร ยา เครื่องสำอาง 2.2.9 Metalized film Metalized film คือ ฟิล์มพลาสติกที่มีการเคลือบด้วยชั้นบางๆ ของโลหะ โดยทั่วไปมักใช้เป็น โลหะอลูมิเนียม ฟิล์มที่นิยมนำมาเป็น Substrate คือ PET, OPP, CPP, Nylon และ PE ข้อดี: ผิวหน้าฟิล์มเงาใกล้เคียงกับ Aluminum Foil มีคุณสมบัติในการป้องกันดีกว่าฟิล์มที่ ไม่มีการ Metalized ราคาถูกกว่าฟิล์มที่ลามิเนตกับ Aluminum Foil ราคาถูก น้ำหนักเบา ข้อเสีย : อาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องการ Barrier สูงๆคุณสมบัติอาจจะไม่เทียบเท่ากับ อลูมิเนียม การนำมาใช้: ฟิล์มประกบหลายชั้น (Multilayer) ใช้ทำบรรจุภัณฑ์พวก ซองขนมขบ ลูก อม กาแฟ บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการป้องกันที่ไม่มากนัก (Ipaksolution : เอกสารออนไลน์) 2.3 ขยะที่เกิดขึ้นจากพลาสติก สุภาวดี สาระวัน (2562) พลาสติก เป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้งานได้อย่างกว้างขวาง และมีปริมาณการใช้ งานในด้านต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจกล่าวได้ว่าพลาสติกเป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ไปแล้ว ปัจจุบันการผลิตพลาสติกมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถผลิตพลาสติกให้ มีคุณสมบัติตามความต้องการได้อย่างหลากหลาย เช่น ถุงใส่อาหาร บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารและเครื่องดื่ม ฟิล์ม ถนอมอาหาร ของเล่นเด็ก อุปกรณ์ก่อสร้าง และ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการผลิตพลาสติก จะมีการ เพิ่มสารเติมแต่งบางชนิดลงไป ซึ่งสารเหล่านี้อาจปนเปื้อนสู่อาหาร หากมีการใช้งานพลาสติกที่ไม่ถูกวิธีหรือใช้ ไม่เหมาะสมกับประเภทของพลาสติก อาจส่งผลก่อให้เกิดมะเร็ง และนำมาซึ่งผลกระทบต่อการเกิดโรคเรื้อรัง ต่าง ๆ ได้ จากรายงานของ International Agency for Research on Cancer (IARC) กล่าวว่า สารเติมแต่งใน การผลิตพลาสติก เช่น Vinyl chloride และ Formaldehyde จัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 คือ เป็นสารที่มี หลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งในคน ในแง่ของสิ่งแวดล้อมการใช้งานพลาสติกที่เพิ่มมากขึ้น นำมาสู่ปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่าในปี 2555 มีขยะพลาสติกจากภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ประมาณ 2.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2554 ประมาณ 0.3 ล้านตัน จากการที่พลาสติกมีคุณสมบัติยากต่อ การสลายตัวและเสื่อมสภาพ ทำให้ขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกคงอยู่ในสภาพแวดล้อมได้เป็นเวลานาน ทำให้ เกิดปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเป็นภาระในการจัดการเป็นอย่างมาก และยังก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งพลาสติกยังอาจปนเปื้อนสู่ห่วงโซ่อาหารและเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ได้ เช่น พลาสติกบางชนิด เมื่อหมดอายุการใช้งานจะถูกย่อยสลายกลายเป็นขยะชิ้นเล็กๆ ซึ่งสามารถแทรกในชั้นดิน หรือปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำ พลาสติกบางชนิดหากเกิดการเผาไหม้ จะทำให้เกิดควันพิษในอากาศและก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุภาวะโลกร้อน พลาสติกถือเป็นวัสดุที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ยุค


14 ปัจจุบันแต่การใช้งานพลาสติกมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวังและศึกษาการใช้พลาสติกแต่ ละชนิดอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันสารพิษที่อาจปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย ตลอดจนสร้างจิตสำนึกลดปริมาณการผลิต และการใช้พลาสติกลง เพื่อลดปัญหามลภาวะของสิ่งแวดล้อม ภาพที่ 2.14 ขยะพลาสติกที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม (ที่มา : http://www.pixabay.com/stux) พลาสติกเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในยุคนั้น พลาสติกมี คุณสมบัติในด้านราคาถูก น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน ทำให้พลาสติกกลายเป็นที่นิยมและมีปริมาณการใช้ งานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ถุงพลาสติก บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารของเล่นเด็ก เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ถึงแม้ พลาสติกจะมี ความสะดวกและมีข้อดีมากกว่าวัสดุอื่น ๆ แต่สารประกอบในพลาสติกบางชนิดก็ก่อให้เกิด อันตรายต่อสุขภาพได้ นอกจากนั้น กระบวนการผลิตพลาสติกจะมีการเพิ่มสารเติมแต่งบางชนิดลงไป เช่น สาร เสริมสภาพพลาสติก สารคงสภาพพลาสติก สารยับยั้งปฏิกิริยาและสารสีต่างๆ ดังนั้นการขาดความรู้และมี ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้งานพลาสติก อาจทำให้สารเคมีจากผลิตภัณฑ์พลาสติกถูกปนเปื้อนสู่อาหารและ เครื่องดื่มได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค นอกจากนี้ปริมาณการใช้พลาสติกที่เพิ่มมาก ขึ้น ทำให้เกิดของเสียที่เป็นภาระในการจัดเก็บและการทำลาย โดยเฉพาะพลาสติกบางชนิดที่ไม่สามารถนำ กลับมาใช้ใหม่ได้ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในที่สุด แม้การใช้งานพลาสติกจะมีประโยชน์ในหลาย ด้าน แต่โทษและผลเสียจากการใช้พลาสติกก็มีอยู่มากเช่นกัน การใช้งานพลาสติกทุกครั้งจึงควรคำนึงถึงความ ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับทารกและเด็ก ในด้านสิ่งแวดล้อมเราควรเลือกใช้พลาสติกที่สามารถนำ กลับมาใช้ใหม่ได้ หรือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะพลาสติกจึงกลายเป็นปัญหามลพิษที่สำคัญ เนื่องจากปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ เกิดขยะพลาสติกในปริมาณมากขึ้นตามไปด้วย พลาสติกเป็นสารที่คงทนต่อการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ทำให้ การสลายตัวโดยธรรมชาติเกิดขึ้นได้ช้ามาก (Mueller, 2006) จากรายงานของ Ohtake et al. (1998) พบว่า การย่อยสลายพลาสติกชนิดโพลิเอธิลีนต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปี ขยะพลาสติกจึงอาจส่งผลกระทบต่อการ เสื่อมโทรมของคุณภาพดินและการเสื่อมคุณภาพของน้ำ นอกจากนี้การเผาทำลายพลาสติกยังก่อให้เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนอีกด้วย


15 ภาพที่ 2.15 ผลกระทบจากขยะพลาสติกในท้องทะเล (ที่มา http://www.pixabay.com/ TheDigitalArtist) การใช้งานพลาสติกก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทำให้มีการค้นคว้าและ พัฒนากระบวนการผลิตใหม่ๆ เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดกับผู้บริโภครวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันจึง มีการผลิตพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เป็นพลาสติกที่ผลิตขึ้นจาก วัสดุ ธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชสามารถย่อยสลายได้ (Biodegradable) เช่น เซลลูโลส (Cellulose) คอลลา เจน (Collagen) เคซีน (Casein) พอลิเอสเตอร์ (Polyester) แป้ง (Starch) และโปรตีนจากถั่ว (Soy Protein) เป็นต้น โดยแป้งเป็นวัสดุธรรมชาติที่นิยมนำมาผลิตพลาสติกชีวภาพมากที่สุด เนื่องจากหาได้ง่าย มีปริมาณมาก และราคาถูก สำหรับประเทศไทยพืชที่นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกชีวภาพ คือ ข้าวโพดและ มันสำปะหลัง เนื่องจากเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีปริมาณมากและราคาถูก ตัวอย่างพลาสติกชีวภาพ เช่น Polylactic acid หรือ PLA วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต PLA ได้แก่ พืชที่มีแป้งเป็นองค์ประกอบหลักเช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลัง โดยกระบวนการผลิตจะเริ่มจากการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล และใช้กระบวนการ fermentation ด้วย แบคทีเรีย ได้เป็น lactic acid และน้ำตาล lactic acid ที่ได้มาผ่านกระบวนการทางเคมี เพื่อเปลี่ยนโครงสร้าง ให้เป็น polymer ที่เป็นสายยาวที่เรียกว่า Polylactic acid (PLA) ซึ่ง PLA มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความใสไม่ ย ่ อ ย ส ล า ย ใ น ส ภ า พ แ ว ด ล ้ อ ม ท ั ่ ว ไ ป แ ต ่ ส า ม า ร ถ ย ่ อ ย ส ล า ย ไ ด ้ เ อ ง เ ม ื ่ อ น ำ ไ ป ฝ ั ง ก ล บ ใ น ดิน Polyhydroxyalkanoates หรือ PHAs วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต PHAs ก็คือ ข้าวโพด มันสำปะหลังและ อ้อย โดยกระบวนการผลิตจะเริ่มจากการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลด้วยเชื้อ Escherichia coli ซึ่งสามารถเปลี่ยน โครงสร้างทางเคมีของน้ำตาลให้เป็น PHAs โดย PHAs มีคุณสมบัติในการขึ้นรูปเป็นฟิล์ม การฉีดและเป่าให้ได้ เป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายแบบ ปัจจุบันมีการนำพลาสติกชีวภาพมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น ด้าน การแพทย์โดยการนำพลาสติกชีวภาพมาผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์ เช่น ผิวหนังเทียม ไหมละลาย อุปกรณ์ ประเภทสกรูและแผ่นดามกระดูกที่ฝังอยู่ในร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้เอง ด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภค เช่น สารเคลือบกระดาษสำหรับห่ออาหาร หรือแก้วน้ำชนิดใช้แล้วทิ้ง ถุงสำหรับใส่ของ ถ้วยหรือถาดย่อยสลาย ได้สำหรับบรรจุอาหารสำเร็จรูปและอาหารจานด่วน ฟิล์มและถุงพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ สำหรับใช้


16 ใส่ขยะเศษอาหาร โฟมเม็ดกันกระแทก เป็นต้น ด้านการเกษตรนิยมนำมาผลิตเป็นแผ่นฟิล์มสำหรับคลุมดิน และวัสดุสำหรับการเกษตร เช่น แผ่นฟิล์มป้องกันการเติบโตของวัชพืชและรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งถุงหรือ กระถางสำหรับเพาะต้นกล้า 2.4 อัตราการย่อยสลายของพลาสติก พลาสติกเป็นวัสดุสังเคราะห์มาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบมีหลายประเภท และนำมาใช้ ผลิตสินค้ามากมายที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งที่มีขนาดเล็กอย่างฝาจุกน้ำปลาไปจนถึงขนาดใหญ่อย่างท่อเอ สลอน ในปี พ.ศ. 2547 ปริมาณขยะพลาสติกมีทั้งสิ้น 2.9 ล้านตัน โดยมีการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ประมาณ 0.6 ล้านตัน ส่วนที่เหลือเป็นถุงพลาสติกถึง 1.5 - 2.0 ล้านตัน (แต่ร้านรับซื้อของเก่าส่วนใหญ่ไม่ซื้อ ถุงพลาสติก) (ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ, 2547) พลาสติกเป็นขยะย่อยสลายยากมาก มีอายุยืนยาวจนเป็นอมตะ การรีไซเคิลจึงเป็นการจัดการขยะ พลาสติกที่เหมาะสมที่สุด ขยะพลาสติกในบ้านเราที่ขายได้ เช่น ขวดและแก้ว เช่น ขวดน้ำดื่มแบบขาวขุ่น ขวด เพชรหรือขวดชนิดใส ขวดน้ำมันพืช ขวดยาคูลท์ แกลลอนน้ำมัน แก้วน้ำพลาสติก ถ้วยไอศกรีม ฯลฯ ของใช้ ส่วนตัว เช่น ขวดยาสระผม หลอดโฟมล้างหน้า รองเท้ายาง ส้นรองเท้า ฯลฯ ของใช้กระจุกกระจิก เช่น ฝาจุก น้ำปลา สายยางเก่า เปลือกสายไฟที่แกะลวดทองแดงออก ตลับเทป วีดีโอเทป กระถางต้นไม้พลาสติก ท่อ PVC ท่อเอสลอน ฯลฯ ขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร เช่น ซองบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป เปลือกลูกอม ถุงขนม ถุงพลาสติกอาหาร กล่องโฟมใส่อาหาร ฟอล์ยหุ้มอาหาร เป็นต้น (กองช่าง สุขาภิบาล,2564 : เอกสารออนไลน์) ระยะเวลาการย่อยสลายของขยะพลาสติก เป็นดังนี้ - ขวดพลาสติก ใช้เวลา 450 ปี - ถุงพลาสติก ใช้เวลา 450 ปี - ผ้าอนามัย ใช้เวลา 500 – 800 ปี - ฝาพลาสติก ใช้เวลา 450 ปี - หลอดพลาสติก ใช้เวลา 450 ปี - โฟม ไม่ย่อยสลาย - กระดาษ ใช้เวลา 2-5 เดือน 2.5 วิธีการกำจัดขยะด้วยหลัก 7R ดร.กัญณภัทร ชื่นวงศ์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2562) ได้กล่าวไว้ว่า จาก พฤติกรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การทิ้งและกำจัดขยะไม่ถูกวิธีก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน และเป็นสิ่งที่จัดการและหรือแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแค่นำ หลักการจัดการขยะ 7R มาปรับใช้ง่าย ๆ ทุกคนสามารถช่วยกันลดปริมาณขยะ และลดภาวะโลกร้อนได้อีก ด้วย ตามหลัก 7R ที่กรมควบคุมมลพิษแนะนำไว้ดังนี้ 2.5.1 Refuse (ปฏิเสธการใช้) จากรายงานการสรุปสรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2561 ประเทศไทย มีปริมาณขยะ ประเภทพลาสติกมากถึง 2 ล้านตัน ซึ่งไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีฝังกลบ ส่วนมากจะนำไปเผาทำลาย แต่ก็


17 สร้างมลพิษให้กับอากาศ ซึ่งการปฏิเสธการใช้ทรัพยากรที่จะสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเพื่อเป็นการลด ปริมาณขยะ เช่น กล่องโฟม ถุงพลาสติก ขยะมีพิษ และผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งต่าง ๆ โดย ทางออกง่าย ๆ ให้เราเปลี่ยนมาใช้กล่องข้าวที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ถุงผ้ารักษ์โลก กระบอกน้ำแบบพกพา แทน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ซ้ำ ๆ ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า นอกจากสิ่งของพวกนี้จะช่วยลดปริมาณขยะและ มลพิษทางอากาศแล้ว บางครั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันร้านค้าหรือร้านอาหารหลายร้าน มีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่นำบรรจุภัณฑ์มาเองนั่นเอง 2.5.2 Refill (การใช้สินค้าที่เติมได้) การเลือกใช้สินค้าชนิดเติมแทนสินค้าใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ใช้แล้วทิ้ง เพราะเป็นการช่วยลดขยะหรือ บรรจุภัณฑ์ชิ้นใหญ่ ซึ่งใช้ทรัพยากรในการผลิตมากกว่า อีกทั้งยังเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าไปในตัวด้วย โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ที่มีแบบเติมจะเป็นพวกของใช้ในบ้าน เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม และถ่านที่สามารถชาร์จได้ 2.5.3 Return (การหมุนเวียนมาใช้ใหม่) การเลือกใช้สินค้าที่เป็นบรรจุภัณฑ์หมุนเวียน สามารถส่งคืนให้กับผู้ผลิต แล้วนำกลับมาใช้งานต่อได้ เช่น การคืนขวดน้ำอัดลมที่เป็นขวดแก้ว บริษัทที่ผลิตน้ำอัดลมจะนำขวดแก้วกลับไปทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ เป็นการลดการใช้ทรัพยากร เช่น ทราย พลังงาน และสารเคมีที่ใช้ในการผลิตแก้ว หรือลดการใช้ขวดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง 2.5.4 Repair (การซ่อมแซม) การซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ที่พังให้กลับมาใช้งานได้ใหม่อีกครั้ง หรือการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างถูก วิธี เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ใช้ประโยชน์จากสิ่งของให้คุ้มค่า และช่วยลดปริมาณการเกิดขยะไปใน ตัว เช่น การซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแทนซื้อใหม่ การเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นเพื่อให้ใช้งานได้ต่อ การ อัพเกรดส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทนเปลี่ยนเครื่อง และการอุดรูรั่ว หรือรอยร้าวของสิ่งของ แทนเปลี่ยนใหม่ เป็นต้น ก็สามารถช่วยลดปริมาณขยะได้ 2.5.5 Reuse (การใช้ซ้ำ) การช่วยลดขยะอย่างมีประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งคือ การนำสิ่งต่าง ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ที่ ใช้แล้ว กลับมาใช้ซ้ำให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด จนกว่าจะเสื่อมประสิทธิภาพหรือหมดอายุการใช้งาน โดยมีสโลแกนติดหูว่า “ใช้แล้ว ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่” เช่น การพกถุงผ้าไว้ใช้ใส่ของแทนถุงพลาสติกทุกครั้ง การนำถุงพลาสติกที่ได้มาทำเป็นถุงขยะ การนำกล่องลังที่ได้มาเป็นภาชนะใส่ของ การใช้กระดาษให้ครบทั้ง สองหน้า รวมถึงการนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วไปบริจาคให้กับคนอื่นที่ต้องการต่อไปด้วย 2.5.6 Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) การนำขยะหรือของเหลือใช้มาแปรรูปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นขยะที่จัดอยู่ในประเภทขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก และกระป๋องเครื่องดื่ม โดย


18 เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการรีไซเคิลได้ด้วยการคัดแยกขยะที่บ้าน แล้วนำไปขายที่ธนาคารขยะหรือ ร้านรับซื้อของเก่า นำไปดัดแปลงเป็นข้าวของเครื่องใช้ หรือไม่ก็นำไปบริจาคให้กับโครงการต่าง ๆ เพื่อเป็นการ หมุนเวียนทรัพยากรต่อไป ส่วนตัวอย่างการรีไซเคิล ได้แก่ การนำกล่องนมไปทำเป็นหลังคาบ้าน การนำขวด พลาสติกไปทำเป็นเสื้อผ้าหรือจีวรพระ การนำฝาขวดน้ำพลาสติกไปทำเป็นภาชนะหรือกระถางต้นไม้ และการ นำถุงพลาสติกไปทำเป็นบล็อกปูถนน เป็นต้น 2.5.7 Reduce (การลดการใช้) การลดการใช้ทรัพยากรให้เหลือเท่าที่จำเป็น พร้อมทั้งนำทรัพยากรนั้น ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วย หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นการไม่ใช้ของสิ้นเปลืองและไม่กินทิ้งกินขว้างนั่นเอง เช่น การกินอาหารให้หมด เกลี้ยงทุกมื้อ การดื่มน้ำให้หมดเกลี้ยงทุกครั้ง การพกกล่องข้าวติดตัวไว้ใส่อาหารที่กินเหลือ การใช้ผ้าเช็ดหน้า แทนกระดาษทิชชู การใช้กล่องข้าวที่ใช้ซ้ำได้หลายครั้งแทนกล่องโฟมที่ใช้ได้ครั้งเดียว การล้างผัก-ผลไม้ในอ่าง แทนการล้างจากก๊อกน้ำโดยตรง การปิดน้ำ-ปิดไฟเมื่อเลิกใช้งานเสมอ การซื้อของซ้ำ ๆ หรือมากจนเกินไป และการลดการใช้กระดาษอย่างสิ้นเปลืองนั่นเอง 2.6 วิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.6.1 ชีวิตที่สองของบรรจุภัณฑ์ บทคัดย่อ สุพิศ เสียงก้อง (2562) : บทความวิชาการนี้กล่าวถึงชีวิตที่สองของบรรจุภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการ ใช้งานบรรจุภัณฑ์ในครั้งแรก โดยที่บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ทำมาจาก 4 วัสดุหลักได้แก่ กระดาษ โลหะ แก้วและ พลาสติก ทั้งนี้บรรจุภัณฑ์มักจะใช้งานครั้งเดียวแล้วถูกทิ้งเป็นขยะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อปัญหาให้กับ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพลาสติกซึ่งบางชนิดไม่ย่อยสลายในธรรมชาติทำให้เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก การสร้างชีวิตที่สองให้กับบรรจุภัณฑ์ก็เป็นแนวทางหนึ่งของการกำจัดขยะ หรือลดจำนวนขยะและยังได้มาซึ่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ใช้งานได้ โดยที่เกิดประโยชน์หลายทางทั้ง ลดการใช้พลังงาน ลดการใช้วัสดุใหม่ และลด ปัญหาสิ่งแวดล้อมในที่สุด ในการเกิดชีวิตที่สองของบรรจุภัณฑ์นั้นทำได้ใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การนำบรรจุ ภัณฑ์ใช้แล้วมาใช้ซ้ำ (Reuse) เช่น การนำขวดแก้วใช้แล้วมาบรรจุผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ใช้งานต่อไป 2.การนำบรรจุ ภัณฑ์ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการ ผลิตอีกครั้ง (Recycle ) เช่น การนำขวดน้ำดื่มพลาสติกใช้แล้วมาหลอมขึ้น รูปเป็นเส้นใยทอพรม หรือ ผ้าร่มใช้งานได้อีกครั้ง 3. การนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วมาแปรสภาพ (Upcycle) เป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น นำถุงปุ๋ยมาตัดเย็บเป็นหมวก กระเป๋า หรือ นำขวดแก้วใช้แล้วมาทำเป็นโคมไฟ เป็นต้น โดยที่ทั้ง สามวิธีการสามารถทำได้ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับองค์กร ในปัจจุบันก็มีการส่งเสริมทั้งภาค รัฐ และเอกชน ในการจัดการกับขยะบรรจุภัณฑ์ซึ่งจะได้ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและก่อเกิดชีวิตที่ สองของบรรจุ ภัณฑ์ใช้งานได้อีกครั้ง


19 บทนำ ในปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาหนึ่งที่มีความสำคัญมากระดับโลกและ จำเป็นจะต้อง ได้รับการแก้ไขร่วมกันของคนในโลกใบนี้ การบริโภคเป็นปัจจัยหนึ่งที่เร่งการทำลาย สิ่งแวดล้อม ขยะเป็นสิ่งที่มี เกิดขึ้นตลอดเวลาของการบริโภค สินค้าข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มีการห่อ หุ้ม บรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ก่อนถึงมือ ผู้บริโภค แต่เมื่อเปิดกล่อง ขวด ถุง ซองที่เป็นบรรจุภัณฑ์นำ สินค้าที่บรรจุอยู่ภายในไปใช้แล้ว บรรจุภัณฑ์ก็ถูก ทิ้งเป็นส่วนหนึ่งของขยะที่มีอยู่ทุกครัวเรือน ทุก สถานที่ โดยเฉพาะขยะที่ไม่ย่อยสลาย เช่น พลาสติก จะเป็น ตัวทำลายสิ่งแวดล้อมที่เห็นได้ชัดเจน และส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตในหลากหลายด้าน นอกจากนั้นการย่อย สลายหรือการทำลายบรรจุ ภัณฑ์บางประเภทก็สร้างสภาวะเรือนกระจกทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ในที่สุด บรรจุภัณฑ์คือสิ่งห่อหุ้ม คุ้มครองป้องกันและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ให้มีสภาพ เป็นปกติก่อนถึงมือ ผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าเหล่านั้นไปพร้อม กันด้วย บรรจุภัณฑ์จึงเกิดการ ใช้วัสดุที่มากกว่าความจำเป็นทางด้านการห่อหุ้มเพื่อเก็บรักษาหรือคุ้มครองสินค้าภายใน แต่ยังต้องห่อหุ้มเพื่อ การส่งเสริมการขาย ดังนั้นในบางครั้งเราจึงพบเห็นบรรจุภัณฑ์สินค้ามีการห่อหลายชั้นเพื่อความสวยงาม ดึงดูดใจ ทำให้เกิดวัสดุใช้แล้วจากบรรจุภัณฑ์เพิ่ม มากขึ้นกลายเป็นขยะมีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อมไปในที่สุด ปัจจุบันขยะมีเพิ่มขึ้นทุกวัน จากรายงาน สถานการณ์มลพิษของประเทศไทยปี 2560 พบว่าปริมาณขยะมูล ฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในปี2560 ประมาณ 27.40 ล้านตันหรือ 75,046 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26 จาก ปี 2559 (กรมควบคุม มลพิษ, 2561) ขยะบรรจุภัณฑ์เกิดจากหลากหลายวัสดุทั้งกระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ และวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะขยะพลาสติกบรรจุภัณฑ์มีมากถึง 47% ของขยะที่มีขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เกิด จากการใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ขยะบางชนิดก็มีการย่อยสลายไปในธรรมชาติ บางชนิดก็ใช้เวลานานใน การย่อย สลาย และบางชนิดก็ไม่ย่อยสลายกลายเป็นมลพิษต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม การกำจัดก็มีเพียง 9% ที่ถูกนำ กลับมารีไซเคิล อีก 12% ถูกกำจัดด้วยการเผา และอีก 79% ถูกกำจัดด้วยวิธีการ ฝังกลบ (Single Use Plasticปัญหาจากการใช้อย่างไร้ความรับผิดชอบ 2561, ออนไลน์) บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ห่อหุ้มสินค้าเมื่อแรกพบเห็นจะทำหน้าที่ดึงดูดใจผู้บริโภค ทำหน้าที่พนักงาน ขายเงียบ สร้างความพอใจทั้งด้านกายภาพและจิตภาพแก่ผู้บริโภค แต่เมื่อถูกแกะ เปิดนำเอา ผลิตภัณฑ์สินค้าออกมาใช้ แล้ว บรรจุภัณฑ์ก็ด้อยค่าลงและกลายเป็นขยะในที่สุด ชีวิตแรกของบรรจุ ภัณฑ์เกิดขึ้นอย่างสวยงามมี ประโยชน์ จึงเป็นโจทย์ปัญหาที่สำคัญ คือ จะทำอย่างไรที่จะคุมกำเนิด บรรจุภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำ ให้ชีวิตที่สองของ บรรจุภัณฑ์ที่นอกจากจะเป็นได้เพียงแค่ขยะ ย่อยสลายไปในธรรมชาติหรือไม่ย่อยสลายสร้าง มลพิษให้สภาพแวดล้อม กลับมามีชีวิตที่มีคุณค่าอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำทั้งผู้บริโภค นัก ออกแบบ หน่วยงานภาครัฐ ประชาชนคนทั่วไป ในภาครัฐโดยกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล เรื่องเหล่านี้ได้ให้ความรู้รณรงค์เกี่ยว กับการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยที่จะลดปริมาณขยะและนำขยะกลับมาใช้ ประโยชน์อีกครั้งภายใต้แนวคิด 7R คือ Refuse การปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะสร้างปัญหาขยะรวมทั้งเป็น มลพิษต่อ สิ่งแวดล้อม เช่น กล่องโฟม หรือ ขยะมีพิษอื่นๆ Refill การเลือกใช้สินค้าชนิดเติมซึ่งใช้บรรจุภัณฑ์น้อยชิ้นกว่า ขยะก็น้อยกว่าด้วย


20 Return การเลือกใช้สินค้าที่สามารถส่งคืนบรรจุภัณฑ์กลับสู่ผู้ผลิตได้ เช่น ขวดเครื่องดื่มต่างๆ Repair การซ่อมแซมเครื่องใช้ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ไม่ให้กลายเป็นขยะ Reuse การนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เช่น นำโหลแก้วใช้แล้วมาบรรจุน้ำตาล Recycle การแยกขยะที่ยังใช้ประโยชน์ได้ให้ง่ายต่อการจัดเก็บและส่งแปรรูป เช่น บรรจุภัณฑ์ พลาสติก แก้ว กระป๋องเครื่องดื่มต่างๆ Reduce การลดการบริโภคและหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายใต้แนวคิด 7R นี้สอดคล้องกับการรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม ซึ่งเป็นวัสดุ บรรจุภัณฑ์ที่ ไม่ย่อยสลายตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยที่กรม ควบคุมมลพิษได้จัดทำ (ร่าง) แผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ (พ.ศ.2560-2564) โดยใช้หลักการ 3R คือ ลดการใช้ (Reduce) ที่ แหล่งกำเนิด การใช้ซ้ำ (Reuse) ให้มากที่สุด และการนำมา แปรรูปใช้ใหม่ (Recycle) นำมาใช้ในการรณรงค์ ให้ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทถุงพลาสติกและ โฟม ซึ่งหากพิจารณากันแล้วไม่ว่าจะเป็นหลักการ 7R 3R หรือ การแปรสภาพสร้างมูลค่าให้เศษ วัสดุ (Upcycle) ล้วนแต่เป็นแนวคิดหรือหลักการที่ต้องการลดจำนวน ขยะที่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ ในการ อุปโภคและบริโภคโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ให้มีปริมาณน้อยลงหรือนำไปใช้ ประโยชน์ใหม่ให้ได้มาก ที่สุด แนวคิดนี้เป็นหลักการแต่ในการปฏิบัติจริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนร่วมมือที่ จะมีความคิด ทบทวน (Rethink)ในการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง การใช้บรรจุภัณฑ์โดยการลดหรือจำกัดการเกิดบรรจุภัณฑ์ด้วยวิธี Reduce และ Refuse แต่หาก จำเป็น จะต้องมีการใช้งานบรรจุภัณฑ์ก็ควบคุมขยะที่จะเกิดจากบรรจุภัณฑ์ให้มีน้อยที่สุดด้วยวิธีการ Refill และ Return นอกจากนั้นขยะบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถกำจัดได้หรือกำจัดได้ยาก หรือเศษวัสดุจาก บรรจุภัณฑ์ ที่มีอยู่เป็นขยะล้นเมืองจะสามารถสร้างชีวิตที่สองอย่างมีคุณค่าให้กับบรรจุภัณฑ์ได้ด้วย วิธีการ Reuse Recycle และUpcycle ภายใต้การตระหนักคิดและทบทวน Rethink ให้ได้มาซึ่ง บรรจุภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ ใหม่ใช้งานได้อีกครั้ง กระดาษ กระดาษเป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากพิมพ์ตกแต่งได้ง่าย ต้นทุนไม่สูง สามารถพับได้ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง รีไซเคิลได้ง่ายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างขึ้น ใหม่ได้ง่ายด้วยการปลูกป่า ทดแทนเพื่อทำเยื่อกระดาษผลิตเป็นกระดาษใช้งานได้ต่อไป กระดาษ สำหรับบรรจุภัณฑ์ก็มีหลากหลายชนิด ได้แก่ กระดาษห่อสินค้า กระดาษแข็ง (board) และกระดาษ ลูกฟูก ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท นอกจากนี้รูป แบบของการใช้งานกระดาษมีทั้งในลักษณะกล่องกระดาษ แข็ง กล่องกระดาษลูกฟูก ถุง ซอง ถุง หลายชั้น กระป๋องกระดาษ ถังกระดาษ ฯลฯ ซึ่งต่างกันที่คุณสมบัติและ การใช้งานให้เหมาะสมกับ สินค้าที่บรรจุภายใน และการพิมพ์ลวดลายสีสัน เพื่อการสื่อสารกับผู้บริโภค


21 ภาพที่2.16 บรรจุภัณฑ์กระดาษในรูปแบบต่าง ๆ (ที่มา : www.bunjupun.com, พ.ศ.2561) กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ กล่องกระดาษลูกฟูกเพื่อการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์กระดาษ ชนิดต่าง ๆ เมื่อผ่านการใช้งานแล้วก็กลายสภาพเป็นเศษวัสดุบรรจุภัณฑ์หรือขยะ การสร้างชีวิตที่ สองของบรรจุภัณฑ์ กระดาษที่นิยมทำกันก็คือเข้าสู่กระบวนการ Recycle ซึ่งใช้วิธีการเดียวกันกับ กระบวนการผลิตกระดาษใหม่ เพียงแต่นำกระดาษที่ใช้แล้วมาทำเยื่อกระดาษแทนที่จะทำจากเยื่อ ไม้โดยตรง เกิดการลดการใช้วัสดุลง ได้ กระดาษที่เรียกว่า “กระดาษรีไซเคิล” มาใช้ในการทำบรรจุ ภัณฑ์ต่อไป ในกระบวนการ Recycle ให้ได้ กระดาษใหม่นั้นเป็นการช่วยลดปริมาณการใช้น้ำและ พลังงานลงจากการผลิตใหม่ได้ โดยเมื่อเปรียบเทียบแล้ว จะใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตกระดาษ ใหม่ 30 - 50% นอกจากนั้นยังลดปริมาณการใช้น้ำในขั้นตอนการ ผลิตลงด้วย กล่าวคือ การนำ กระดาษมารีไซเคิลใช้ใหม่แต่ละตันจะช่วยประหยัดต้นไม้ได้ 17 ตันและประหยัด น้ำได้ถึง 7,000 แกลลอน (ธนาวดี ลี้จากภัย 2545, 16) ภาพที่ 2.17 บรรจุภัณฑ์สบู่ทำจากกระดาษรีไซเคิล (ที่มา : www.pinterest.com,พ.ศ.2561)


22 นอกจากการรีไซเคิลกระดาษนำมาสู่ชีวิตที่สองมีการใช้งานที่หลากหลายทั้งกลับไปเป็น บรรจุภัณฑ์ อีกครั้งหรือเปลี่ยนการใช้งานไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เรายังสามารถสร้างชีวิตที่สอง ของบรรจุภัณฑ์ได้ด้วย วิธีการแปรสภาพเพื่อเพิ่มมูลค่า (Upcycle) ผ่านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ สวยงาม หลากหลายประโยชน์ใช้สอย ภาพที่ 2.18 ชีวิตที่สองของกล่องกระดาษจากการแปรสภาพ (Upcycle) (ที่มา : www.pinterest.com, พ.ศ.2561) พลาสติก พลาสติกเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สังเคราะห์ขึ้นใช้แทนวัสดุธรรมชาติ มี 2 ประเภท คือ เทอร์โม พลาสติก (Thermoplastic) และเทอร์โมเซตติงพลาสติก (Thermosetting plastic) สำหรับบรรจุภัณฑ์ พลาสติกทำมาจากพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติก ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะคงรูป และสามารถหลอมนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ต่างจากเทอร์โมเซตติงพลาสติกที่ไม่ สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่ได้ จึง ไม่นิยมนำมาทำบรรจุภัณฑ์ ในตระกูลเทอร์โมพลาสติกก็มีพลาสติก ชนิดต่าง ๆ ที่คุณสมบัติที่แตกต่างกัน เหมาะสำหรับการทำบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิเช่น พอลิเอทิลีน (Polyethylene: PE) นิยมทำถุงใสที่มัก เรียกว่า ถุงเย็น ขวดเครื่องสำอาง พอลิโพรพิลีน (Polypropylene: PP) นิยมทำถุงร้อน ฝาเกลียว ฟิล์มหด พอ ลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate: PET) ทำขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำมันพืช ทั้งนี้ในปัจจุบันนับ ได้ว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นทั้ง พระเอกและผู้ร้ายไปในขณะเดียวกัน มีการใช้งานขวด ถุง ซอง ลัง ถัง อีก จิปาถะที่ทำจากพลาสติก ใช้งานเป็นจำนวนมาก บางชนิดก็มาแทนที่บรรจุภัณฑ์จากวัสดุอื่นเนื่องจากมีต้นทุน ต่ำกว่าในการ ผลิต ทนทาน และมีคุณสมบัติหลายด้านที่ดีกว่า เช่น ในปัจจุบันเราจะพบเห็นขวดน้ำปลา ขวด น้ำมันพืชที่ทำจากพลาสติก PET มาแทนที่ขวดแก้ว เป็นต้น


23 ภาพที่ 2.19 บรรจุภัณฑ์พลาสติก (ที่มา : บันทึกภาพโดยสุพิศ เสียงก้อง, พ.ศ.2561) ข้อเสียอย่างมากของบรรจุภัณฑ์พลาสติกคือเมื่อถูกใช้งานแล้วก็กลายเป็นขยะที่บางชนิด ใช้เวลาหลาย ร้อยปีในการย่อยสลายและบางชนิดก็ที่ไม่ย่อยสลายตามธรรมชาติ ก่อปัญหากับสิ่ง แวดล้อมอย่างรุนแรง การ สร้างชีวิตที่สองให้กับบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆนั้น ก็คือการรีไซเคิลพลาสติก ด้วยเหตุที่ พลาสติกมีหลากหลายชนิด ใช้กระบวนการรีไซเคิลที่ต่างกัน ใน อุณหภูมิที่ต่างกันของการหลอมนำกลับมาใช้ ใหม่ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการคัดแยกขยะตามคุณสมบัติสำหรับบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะมีการระบุชนิดของ พลาสติกไว้บนบรรจุภัณฑ์ หน้าที่ต่อไปคือความ ร่วมมือกันของผู้บริโภคที่จะช่วยกันการแยกขยะทิ้งเพื่อความ สะดวกในการคัดแยกไปทำการรีไซเคิลต่อไป ภาพที่2.20 สัญลักษณ์ชนิดต่าง ๆ ของพลาสติกรีไซเคิล (ที่มา : www.srgplastic.com, พ.ศ.2561)


24 พลาสติกเมื่อนำมารีไซเคิลแล้ว ด้วยคุณสมบัติแตกต่างกันไปก็จะนำกลับมาใช้งานที่หลากหลาย เช่น พลาสติก PET ขวดน้ำดื่มใสที่เราคุ้นเคยเมื่อนำมารีไซเคิลแล้วก็นิยมนำมาทำเส้นไยสำหรับ เสื้อกันหนาว พรม ผ้าร่มและใยสังเคราะห์สำหรับยัดหมอน พลาสติก PVC ที่เคยใช้เป็นแผ่นฟิล์มห่อ อาหาร ก็นำมารีไซเคิลเพื่อ ผลิตท่อน้ำประปาสำหรับการเกษตร กรวยจราจร พลาสติกHDPE โพลีเอทธิลีนความหนาแน่นสูงที่ใช้สำหรับ บรรจุภัณฑ์ขวดแชมพู แป้งเด็ก เมื่อรีไซเคิลแล้วก็สามารถนำมาทำ เป็นขวดต่าง ๆ เช่น ขวดน้ำยาซักผ้า ถังขยะ และม้านั่งในส่วน เป็นต้น (ธนาวดี ลี้จากภัย, 2545, 17- 19) ในปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจและร่วมกันรณรงค์ การนำพลาสติกมารีไซเคิลเพื่อลดปัญหาขยะ และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตัวอย่างเช่น ยีนส์ลีวายส์ภายใต้คอล เลคชั่น “ลีวายส์ Waste ภาพที่ 2.21 ยีนส์ลีวายส์ Wast<LESSTM ยีนส์ที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิล (ที่มา : www.http://gotomanager.com, พ.ศ.2561) ในกระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ของขยะพลาสติก โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลจะทำให้ได้พลาสติก ใหม่ที่ผ่านขั้นตอนการหลอมและขึ้นรูปใหม่ ทำให้มีการใช้พลังงานในการจัดการกระบวนการ นี้ แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้เกิดประโยชน์จากขยะพลาสติกโดยใช้พลังงานน้อยกว่านั่นก็คือการแปร สภาพพลาสติกหรือที่ เรียกว่า upcycle วิธีการนี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองนำ พลาสติกมาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ ใหม่ ๆ ซึ่งได้รับความสนใจและเกิดการนำไปใช้ของขยะ พลาสติกโดยเฉพาะขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่มีมากขึ้นใน ปัจจุบันดังตัวอย่างผลงานของสถาปนิก / กราฟิคดีไซเนอร์ Gulnur Ozdaglar ได้นำเอาขวด PET มาทดลอง ให้ความร้อนได้ชามโปร่งบาง รูปร่างคล้ายแมงกระพรุน ดอกไม้ ซึ่งใช้งานได้จริง โดยมีชื่อชุดผลงานนี้ว่า Tertium Non Data เป็นภาษาลาตินที่แปลว่า “The third is not given” ซึ่งหมายถึง “การรวมกันของของ 2 สิ่งที่ได้ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ลำดับที่ 3 ขึ้นมา” นอกจากนั้นศิลปินผู้นี้ก็ยังได้ทดลองแปรสภาพขวดPETเป็นเครื่อง ประดับและของตกแต่งบ้าน ด้วยวิธีการเดียวกัน (อาศิรา พนาราม 2011, ออนไลน์) นอกจากความพยายามระดับบุคคลที่มีความสนใจในการแปรสภาพเศษขยะจากบรรจุ ภัณฑ์ใช้แล้วยัง มีองค์กรและหน่วยงานภาครัฐที่ตระหนักถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้ความสนใจและปฏิบัติกันอย่างจริงจังดังเช่น ifa(Institut fur Auslandsbeziehungen) สถาบันความสัมพันธ์วัฒนธรรมต่าง ประเทศ ณ เมืองซตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ได้จัดแสดง นิทรรศการแสดงชิ้นงานและวัสดุสร้างสรรค์ จากเศษขยะและเศษวัสดุจำนวน 76 ชิ้นจากการ ออกแบบของนักออกแบบ 53 คน ภายใต้ชื่อ“Pure Gold –


25 Upcycled! Upgraded! เปลี่ยนขยะ เป็นทอง” บนแนวคิดของการส่งเสริมจริยธรรม ความรับผิดชอบ และ การร่วมสร้างสรรค์ภายในธีม “Upcycling and Upgrading” ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการสร้างคุณค่าและ มูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ในหลากหลายบริบท จัดแสดง ณ แกลอรี่ ชั้น 1 TCDC กรุงเทพฯ เมื่อ 18 - 22 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา เป็นนิทรรศการหมุนเวียนจัดไปในหลายประเทศ สร้างจิตสำนึกและแนวคิดใน การ ออกแบบผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุ เป็นการร่วมมือกันอีกทางหนึ่งเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมจาก การ แปรสภาพขยะเป็นผลิตภัณฑ์ ภาพที่2.22 ผลิตภัณฑ์จากขยะบรรจุภัณฑ์ในนิทรรศการ Pure Gold – Upcycled! Upgraded! (ที่มา : บันทึกภาพโดยสุพิศ เสียงก้อง, 2561) จากเนื้อหาที่กล่าวถึงชีวิตที่สองของบรรจุภัณฑ์ในหลากหลายวิธีการเกิดและหลากหลาย ชีวิตที่เกิด ใหม่ของบรรจุภัณฑ์ในรูปลักษณ์ใหม่ดังกล่าวข้างต้น เป็นหนทางหนึ่งของการช่วยทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มี อยู่นั้นบรรเทาเบาบางลง ถึงแม้จะไม่สามารถลดการใช้บรรจุภัณฑ์ลงได้ ก็สามารถที่จะยืดอายุของวัสดุบรรจุ ภัณฑ์ที่ใช้งานแล้วนั้นให้นานออกไปอีก เป็นการลดการทำลายทรัพยากรใหม่ ๆ โดยทางอ้อม 2.6.2 ผ้ากันเปื้อนจากถุงพลาสติก ภาพที่2.23 ผ้ากันเปื้อนจากถุงพลาสติก


26 บทคัดย่อ หนึ่งฤทัย รกไพร และคณะ (2559) : จากปัญหาขยะในชุมชนที่มากเกิน และขยะจากถุงพลาสติกที่ไม่ สามารถย่อยสลายได้ เกิดเป็นปัญหาในการกำจัดขยะเหล่านี้ “ผ้ากันเปื้อนจากถุงพลาสติก” ผลิตจากถุงนม โรงเรียน ถุงน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ทุกครัวเรือนใช้ และเป็นขยะในชุมชน ซึ่งคุณสมบัติของถุงพลาสติกเหล่านี้จะมี ความหนาและเหนียวสามารถป้องกันสิ่งสกปรกได้ดี อีกทั้งยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อีกทาง คุณลักษณะ / ประโยชน์ ผ้ากันเปื้อนจากถุงพลาสติกมีคุณสมบัติที่สามารถกันน้ำและสิ่งสกปรกได้ดีและใช้ป้องกันสิ่งสกปรก จากการทำงานบ้าน และจากการทำงานที่ต้องสัมผัสกับน้ำ น้ำมัน ฯลฯ


27 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน โครงงานสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ครั้งนี้ คณะผู้จัดทำมีวิธี การดำเนินงานตามลำดับ ดังนี้ 3.1 วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ วัสดุที่ใช้ในการดำเนินการ มีดังนี้ 3.1.1 ซองขนมประเภทพลาสติกซีลกลาง 3.1.2 กรรไกร 3.1.3 จักรเย็บผ้า/เข็มกับด้าย 3.1.4 ดินสอ 3.1.5 ไม้บรรทัด 3.1.6 ไม้หนีบผ้า/แม็ค 3.1.7 กระดาษออกแบบ 3.1.8 เศษผ้า 3.1.9 สายวัด 3.2 แนวทางในการศึกษาและทดลอง วิธีการปฏิบัติ 3.2.1. การเตรียมซองขนม 3.2.1.1 เก็บซองขนมภายในบริเวณบ้านของตัวเอง 3.2.1.2 ตัดขอบซองขนมบริเวณรอยหยักออก ทั้งด้านบนและด้านล่าง 3.2.1.3 นำซองขนมมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด 3.2.1.4 นำซองขนมที่ทำความสะอาดแล้วไปผึ่งให้แห้ง โดยใช้เวลา 1 วัน 3.2.1.5 นำซองขนมที่แห้งแล้วมาเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง 3.2.2. การออกแบบโครงงานสิ่งประดิษฐ์ 3.2.2.1 วัดขนาดตัวของผู้ใช้งาน (ขนาดแตกต่างกัน) 3.2.2.2 วาดแบบผ้ากันเปื้อนที่ต้องการลงในกระดาษออกแบบ 3.2.2.3 ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ 3.2.3 การประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 3.2.3.1 นำซองขนมมาเรียงต่อกันเป็นแถวให้พอดีกับขนาดของแบบโดยใช้ไม้หนีบผ้าหนีบ หรือแม็คเย็บซองขนมให้ติดกัน 3.2.3.2 นำซองขนมที่ติดกันทั้งหมดไปวางบนแบบอีกครั้งเพื่อตัดซองขนมส่วนที่เกินออกหรือ ตามที่ได้ออกแบบไว้


28 3.2.3.3 นำซองขนมแต่ละซองมาเย็บให้ติดกันทุกด้าน 3.2.3.4 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นขอบรอบ ๆ ซองขนมที่ตัดแล้ว 3.2.3.5 นำเศษผ้ามาเย็บเป็นเส้นเพื่อทำสายคล้องคอและที่ผูกเอว 3.2.4 การทดสอบประสิทธิภาพผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ทดสอบประสิทธิภาพผ้ากันเปื้อนจากซองขนม โดยนำไปให้ผู้ทดสอบสวมใส่จำนวน 6 คน ใช้งานจริงเป็นเวลา 7 วัน และประเมินความคิดเห็นในการใช้งานสิ่งประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม โดยมี หัวข้อการประเมินดังนี้ 1. นำมาใช้ประโยชน์ในการป้องกันสิ่งสกปรก 2. ความสะดวกสบายในการใช้งาน 3. ความปลอดภัยในการใช้งาน 4. ความสวยงามของชิ้นงาน 5. ความทนทาน 6. การทำความสะอาด 7. ความสามารถในการใช้งานได้หลายครั้ง เกณฑ์วัดระดับความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม เป็นดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด 3.2.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลของการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ในครั้งนี้คณะผู้จัดทำได้นำข้อมูลที่ได้จากแบบประเมิน มาทำการวิเคราะห์ ดังนี้ 1. นำข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมินในคำถามส่วนที่ 1 มาวิเคราะห์ด้วยการแจกแจง ความถี่ หาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย 2. นำข้อมูลความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ในคำถามส่วนที่ 2 วิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย 3. นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแผนภูมิประกอบการบรรยาย


29 3.2.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าเฉลี่ย (̅) สูตร = ∑ เมื่อ ̅ คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ∑ คือ ผลบวกของข้อมูลทุกค่า คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ..) สูตร .. = √ ( − ̅ ) 2 − 1 เมื่อ .. คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ ข้อมูล (ตัวที่ 1,2,3... n ) ̅ คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด


30 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน การเสนอรายงานผลการดำเนินงานโครงงานสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ เรื่อง ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ครั้งนี้ประกอบด้วย 4.1 ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 4.2 ผลการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 4.1 ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 4.1.1 จำนวนซองขนม ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม จากการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนมทั้งหมด 6 คน เป็นดังนี้ คนที่ 1 ศิริลักษณ์ เนียนแนบ ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 28 ซอง คนที่ 2 รัชนีกร เดือนใส ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 16 ซอง คนที่ 3 นริศรา บุญปัญญา ใช้ซองขนมในการ ประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 30 ซอง คนที่ 4 ณัฐภูมิ เหมุทัย ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 16 ซอง คนที่ 5 สุพัชราภา มะโนการ ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 31 ซอง และคนที่ 6 อัมพรรัตน์ บุญเศษ ใช้ซองขนมในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจำนวน 29 ซอง รวมซองขนมทั้ง 150 ซอง คิดเป็น ร้อยละ 25 ดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ชื่อผู้จัดทำผ้ากันเปื้อน จำนวนซองขนมที่ใช้ในการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อน 1. ศิริลักษณ์ เนียนแนบ 28 ซอง 2. รัชนีกร เดือนใส 16 ซอง 3. นริศรา บุญปัญญา 30 ซอง 4. ณัฐภูมิ เหมุทัย 16 ซอง 5. สุพัชราภา มะโนการ 31 ซอง 6. อัมพรรัตน์ บุญเศษ 29 ซอง รวม 150 ซอง ร้อยละ 25 4.1.2 ขนาดของผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ผลการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม จากการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนมทั้งหมด 6 คน พบว่า ขนาดของผ้ากันเปื้อนแต่ละคนต่างกัน คณะผู้จัดทำจึงทำการวัดขนาดของผ้ากันเปื้อนแต่ละคน ได้ผลดังนี้ คนที่ 1 ศิริลักษณ์ เนียนแนบ ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 64 เซนติเมตร และยาว 69 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,416 ตารางเซนติเมตร คนที่ 2 รัชนีกร เดือนใส ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 77 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,543 ตารางเซนติเมตร คนที่ 3 นริศรา บุญปัญญา ขนาดของผ้ากัน เปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 72 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,248 ตารางเซนติเมตร คนที่ 4 ณัฐภูมิ


31 เหมุทัย ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 59 เซนติเมตร และยาว 74 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,366 ตาราง เซนติเมตร คนที่ 5 สุพัชราภา มะโนการ ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 58 เซนติเมตร และยาว 77 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,466 ตารางเซนติเมตร และคนที่ 6 อัมพรรัตน์ บุญเศษ ขนาดของผ้ากันเปื้อนกว้าง 61 เซนติเมตร และยาว 75 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ได้ 4,575 ตารางเซนติเมตร จากนั้นนำพื้นที่ทั้งหมดมาคิด เป็นค่าเฉลี่ยได้ 4,436 ตารางเซนติเมตร ดังตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2 ขนาดของผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ชื่อผู้จัดทำผ้ากันเปื้อน ขนาดของผ้ากันเปื้อนจากซองขนม พื้นที่ กว้าง (เซนติเมตร) ยาว (เซนติเมตร) (ตารางเซนติเมตร) 1. ศิริลักษณ์ เนียนแนบ 64 69 4,416 2. รัชนีกร เดือนใส 59 77 4,543 3. นริศรา บุญปัญญา 59 72 4,248 4. ณัฐภูมิ เหมุทัย 59 74 4,366 5. สุพัชราภา มะโนการ 58 77 4,466 6. อัมพรรัตน์ บุญเศษ 61 75 4,575 ค่าเฉลี่ย 4,436 ตัวอย่างผลงานการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ภาพที่ 4.1 ตัวอย่างผลงานการประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อนจากซองขนม สายคล้องคอ สายผูกเอว ตัวผ้ากันเปื้อน จากซองขนม


32 4.2 ผลการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ผลการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม โดยนำไปให้ผู้ทดสอบสวมใส่ จำนวน 6 คน และใช้งานจริงเป็นเวลา 7 วัน และประเมินความคิดเห็นในการใช้งานสิ่งประดิษฐ์ผ้ากันเปื้อน จากซองขนม คณะผู้จัดทำขอนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากัน เปื้อนจากซองขนม โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน ข้อมูลความพึงพอใจต่อ การใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม และข้อเสนอแนะ ผลเป็นดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน 1.1 ด้านเพศ จำนวนร้อยละของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่ามีผู้ตอบแบบประเมิน ทั้งหมด 6 คน ซึ่งเป็นเพศ ชาย จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 50 และเป็นเพศหญิง จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 50 ดังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามเพศ เพศ จำนวนคน ร้อยละ ชาย 3 50 หญิง 3 50 รวม 6 100 ภาพที่ 4.2 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามเพศ 0 10 20 30 40 50 60 จ านวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจ าแนกตามเพศ ชาย หญิง


33 1.2 ด้านอายุ จำนวนร้อยละของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่ามีผู้ตอบแบบประเมิน ทั้งหมด 6 คน ซึ่งมีอายุ 18-25 ปีจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 50 อายุ34-41 ปี จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 และอายุ50- 57 ปีจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 ดังตารางที่ 4.4 ตารางที่ 4.4 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอายุ อายุ จำนวนคน ร้อยละ 18-25 ปี 3 50 26-33 ปี - - 34-41 ปี 1 16.67 42-49 ปี - - 50-57 ปี 2 33.33 58-65 ปี - - รวม 6 100 ภาพที่ 4.3 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอายุ 1.3 ด้านอาชีพ จำนวนร้อยละของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่ามีผู้ตอบแบบประเมิน ทั้งหมด 6 คน ซึ่งมีอาชีพ แม่บ้าน จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 มีอาชีพอื่น ๆ ดังนี้ อาชีพพ่อค้า จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 อาชีพนักศึกษา จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 อาชีพข้าราชการตำรวจ จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อย ละ 16.67 และอาชีพพนักงานบริษัท จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 ดังตารางที่ 4.5 0 10 20 30 40 50 60 จ านวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจ าแนกตามอายุ อายุ 18-25 ปี อายุ 26-33 ปี อายุ 34-41 ปี อายุ 42-49 ปี อายุ 50-57 ปี อายุ 58-65 ปี


34 ตารางที่ 4.5 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอาชีพ อาชีพ จำนวนคน ร้อยละ แม่บ้าน 2 33.33 พ่อค้า 1 16.67 นักศึกษา 1 16.67 ข้าราชการตำรวจ 1 16.67 พนักงานบริษัท 1 16.67 รวม 6 100 ภาพที่ 4.5 จำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจำแนกตามอาชีพ ตอนที่ 2 ข้อมูลความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม 2.1 นำมาใช้ประโยชน์ป้องกันสิ่งสกปรก ผู้ตอบแบบประเมินด้านนำมาใช้ประโยชน์ป้องกันสิ่งสกปรก พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึง พอใจมากที่สุด จำนวน 5 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 1 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.83 ดังตารางที่ 4.6 2.2 ความสะดวกสบายในการใช้งาน ผู้ตอบแบบประเมินด้านความสะดวกสบายในการใช้งาน พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึง พอใจมากที่สุด จำนวน 4 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 2 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.67 ดังตารางที่ 4.6 0 5 10 15 20 25 30 35 จ านวนและร้อยละของผู้ตอบแบบประเมินจ าแนกตามอาชีพ แม่บ้าน พ่อค้า นักศึกษา ข้าราชการตํารวจ พนักงานบริษัท


35 2.3 ความปลอดภัยในการใช้งาน ผู้ตอบแบบประเมินด้านความปลอดภัยในการใช้งาน พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจ มากที่สุด จำนวน 5 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 1 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.83 ดัง ตารางที่ 4.6 2.4 ความสวยงามของชิ้นงาน ผู้ตอบแบบประเมินด้านความสวยงามของชิ้นงาน พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก ที่สุด จำนวน 6 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 5.00 ดังตารางที่ 4.6 2.5 ความทนทาน ผู้ตอบแบบประเมินด้านความทนทาน พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 2 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 4 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.33 ดังตารางที่ 4.6 2.6 การทำความสะอาด ผู้ตอบแบบประเมินด้านการทำความสะอาด พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 4 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 2 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.67 ดังตารางที่ 4.6 2.7 ความสามารถในการใช้งานได้หลายครั้ง ผู้ตอบแบบประเมินด้านความสามารถในการใช้งานได้หลายครั้ง พบว่า ผู้ตอบประเมินมีความ พึงพอใจมากที่สุด จำนวน 3 คน และผู้ตอบประเมินมีความพึงพอใจมาก จำนวน 3 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 4.50 ดังตารางที่ 4.6 ตารางที่ 4.6 จำนวนและร้อยละของข้อมูลความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม หัวข้อการประเมิน ระดับความพึงพอใจ รวมจำนวนคน ค่าเฉลี่ย 5 4 3 2 1 1. นำมาใช้ประโยชน์ป้องกันสิ่งสกปรก 5 1 - - - 6 4.83 2. ความสะดวกสบายในการใช้งาน 4 2 - - - 6 4.67 3. ความปลอดภัยในการใช้งาน 5 1 - - - 6 4.83 4. ความสวยงามของชิ้นงาน 6 0 - - - 6 5.00 5. ความทนทาน 2 4 - - - 6 4.33 6. การทำความสะอาด 4 2 - - - 6 4.67 7. ความสามารถในการใช้งานได้หลายครั้ง 3 3 - - - 6 4.50


36 ภาพที่ 4.6 จำนวนและร้อยละความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ จากการทำแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ทดสอบสวมใส่ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจำนวน 1 คน โดยมีข้อความ ดังนี้ควรเลือกซองขนมที่มีความหนาบางเท่ากัน เพราะซองขนมที่มีความบางจะทำให้เกิด เสียงเวลาใช้งาน 3.8 4 4.2 4.4 4.6 4.8 5 5.2 จ านวนและร้อยละความพึงพอใจต่อการใช้งานผ้ากันเปื้อนจากซองขนม


Click to View FlipBook Version