The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระประไตรปิฏกศึกษา 1-ผสานเล่ม บรรยาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พระประไตรปิฏกศึกษา 1-ผสานเล่ม บรรยาย

พระประไตรปิฏกศึกษา 1-ผสานเล่ม บรรยาย

เอกสารประกอบการบรรยาย

เตชทัต ปกสงั ขาเนย์

มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย ภาควชิ าศาสนาบงั คับ
วทิ ยาเขตศรลี ้านชา้ ง

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (1)

สงั เขปรายวิชา

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1

บรรยายโดย
- นายเตชทตั ปักสังขาเนย์
- อาจารยป์ ระจาสาขาวชิ าพุทธศาสตร์
- คณะศาสนาและปรชั ญา

วฒุ ิการศึกษา
-ศน.ม. พุทธศาสนศ์ กึ ษา
-ศน.บ. พุทธศาสตร์
-ป.ธ. 3 น.ธ. เอก

คาอธิบายรายวนิ ชา

BU5002 พระไตรปิฎกศึกษา 1 3(3-0-6)

วเิ คราะห์การจาแนกหมวดหมู่ โครงสรา้ งและเนอื้ หาของพระไตรปฎิ ก ประเภทและลาดับช้ันคมั ภีร์ทาง

พระพุทธศาสนา ฐานะและความสาคัญของพระไตรปฎิ กและคมั ภรี ช์ ้ันรอง ภมู ิปญั ญาในพระไตรปฎิ กและการศกึ ษา

พุทธศาสนสภุ าษติ

ศึกษาประวตั ิ แนวคดิ และหลกั การ วตั ถุประสงคก์ ารบญั ญัตพิ ระวนิ ยั วธิ ีบญั ญตั ิพระวินัย บทบัญญัติหรือศีล

ประเภทต่าง ๆ การปฏิบัติ การตีความ วินิจฉัยและวิธีการตัดสินอธิกรณ์ในพระวินัย ศึกษาเปรียบเทียบการบัญญัติ

พระวนิ ยั กบั การบัญญตั กิ ฎหมาย การประยกุ ตใ์ ช้วิธีการทางพระวนิ ัยกบั ตดั สนิ ปัญหา

BU5002 Tipitaka Studies 1 3(3-0-6)

The analysis of group classification, structure and contents of Tipitaka, types and orderly

arrangement Buddhist Scriptures, status and importance of Tipitaka and Buddhist exegetical for

literature, wisdom in Tipitaka and to study Buddhist proverbs.

To study concepts, and principles, purposes of the commandment of Vinaya (discipline),

methods of enactment of Vinaya, chapters or different types of Sila (morality), preservation,

interpretation consideration and decision of disciplinary disputes, and to study a comparison of

the commandment of Vinaya with legal act, an application of methods of Vinaya in making

decision of the problems.

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (2)

แผนที่แสดงการกระจายความรบั ผดิ ชอบตอ่ ผลการเรียนร้จู ากหลักสูตรสรู่ ายวิชา หมวดวิชาเฉพาะ

ความรบั ผดิ ชอบหลัก ความรบั ผดิ ชอบรอง

รายวิชา 1. ดา้ นธรรม 2. ด้านความรู้ 3. ด้านทักษะ 4. ดา้ นทักษะ 5. ดา้ นทกั ษะ
จริยธรรม ทาง ความสมั พันธ์ การวิเคราะห์
ปญั ญา ระหว่างบุคคล เชงิ ตวั เลขการ
และ สอ่ื สารและ
ความ การใช้
รบั ผิดชอบ เทคโนโลยี
สารสนเทศ

1) หมวดวิชาเฉพาะ กลุ่มวิชาพระพทุ ธศาสนา

รายวิชาบังคับเรยี น  

12 3 1 2 3 4 51 2 3 1 2 3 1 2 3

พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1                  

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (3)

บทท่ี 1

ความเปน็ มาและพัฒนาการของพระไตรปิฎก

ประวตั ิการเกิดข้นึ ของพระไตรปฎิ ก
ในสมยั ท่พี ระพุทธเจา้ ยังทรงมีพระชนม์อยู่ และในช่วงแรกท่ีพระองคเ์ สด็จดบั ขันธปรินิพพานใหม่ ๆ ยัง

ไม่มีพระไตรปิฎกซ่ึงเป็นที่บรรจุรวบรวมคาสอนไว้เป็นหมวดหมู่แต่อย่างใด คาส่ังสอนมิได้บันทึกเป็นลายลักษณ์
อักษร ใช้วิธีการจดจาเป็นหลัก ซ่ึงเรียกว่า มุขปาฐะ ในขณะที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่น้ัน คาสั่งสอนของพระองค์
เรียกว่า พรหมจรรย์ คร้ันต่อมาเรียกว่า พระธรรมวินัย จนกระท่ังมีการทาสังคายนา คือมีการชาระตรวจสอบ
รวบรวมคาสั่งสอนไว้เปน็ หมวดหมูแ่ ล้วจงึ เกิด พระไตรปิฎก ขึ้นในภายหลังตอ่ มา

การกล่าวถึงความเปน็ มาแหง่ พระไตรปิฎก จา เป็นต้องกลา่ วถึงเหตกุ ารณต์ ้ังแต่ยังมิไดจ้ ารกึ เป็นลายลกั ษณ์
อกั ษรรวมท้ัง หลกั ฐานการท่องจาและข้อความทก่ี ระจัดกระจายยังมไิ ดจ้ ดั เป็นหมวดหมู่ จนถงึ มีการทาสงั คายนาคือ
จัดระเบยี บหมวดหมู่ การจารึกเป็นตวั หนังสอื และการพมิ พ์เปน็ เล่ม

ในเบอื้ งต้นขอกลา่ วถึงพระเถระ 4 รูป ผมู้ ีสว่ นเก่ียวขอ้ งกบั ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
1. พระอานนท์ ผูเ้ ป็นพระอนชุ า (ลูกพ่ีลูกน้อง) และเป็นผู้อุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะท่ีทรงจาพระ
สตุ ตันตปิฎก และพระอภธิ รรมปฎิ กไวไ้ ดม้ าก
2. พระอุบาลี ผูเ้ ชี่ยวชาญพระวินัย ในฐานะที่ทรงจาพระวนิ ยั ปิฎกไวไ้ ด้มาก
3. พระโสณกุฏกิ ณั ณะ ผูเ้ คยท่องจาบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นแบบปากเปล่า ใน
ท่ีเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจาได้ดีมาก ท้ังสาเนียงท่ีกล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจน
แจ่มใส เป็นตัวอย่างแหง่ การทอ่ งจาในสมยั ท่ยี ังไมม่ ีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
4. พระมหากัสสปะ เปน็ ผ้รู ิเร่ิมการทาสังคายนา จัดระเบียบพระพทุ ธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมโยง
ไปถึงพระพทุ ธเจ้า พระสารบี ุตร และพระจุนทะนอ้ งชายของพระสารีบตุ ร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสาคัญของการทา
สงั คายนา คือจดั ระเบยี บคาสอนให้เป็นหมวดหมูด่ ังจะกลา่ วต่อไป

1.1 ความหมายของพระไตรปฎิ ก
นิยามและองคป์ ระกอบของพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกเป็นคมั ภีร์หลกั ของพระพุทธศาสนา คาว่า “ไตรปิฎก” ตามรูปศัพท์ มาจากภาษา

บาลีวา่ “ตปิ ฏิ ก” หรอื เตปฎิ ก” แยกออกเป็น 2 ศัพท์ คือ ไตร หรือ ติ (แปลว่า สาม) + ปิฏก (ปิฎก แปลว่า ตะกร้า)
เมื่อรวมความแล้ว “ไตรปิฎก” แปลว่า ปิฎกสาม แต่โดยนัยอรรถาธิบายแล้ว พระที่มีความเชี่ยวชาญใน
พระพทุ ธศาสนาหรอื พระอรรถกถาจารย์ ได้ให้ความหมายของ “พระไตรปฎิ ก” ไว้ 2 นยั คือ

๑) ปฎิ ก หมายถึง คมั ภีร์ หรอื ตารา ดังบาลวี ่า มา ปฎิ ก-สมปฺ ทาเนนฯ แปลวา่ อยา่ เช่อื โดยการ
อ้างตารา

๒) ปิฎก หมายถึง ภาชนะ (เชน่ ตะกร้า) ดังประโยคบาลวี ่า อถ ปรุ ิโส อาคจเฺ ฉยยฺ กทุ ทฺ ลปิฎก

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (4)

มาทายฯ ครั้งนั้น บุรุษคนหน่ึงถือจอบและตะกร้าเดินมา ดังน้ัน คาว่า พระไตปิฎก ในที่น้ี จึงหมายถึง “คัมภีร์หรือ
ตาราทบี่ รรจคุ าส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ (และพระสาวกองค์สาคัญ) ไว้เป็นหมวดหมู่ ดุจดังภาชนะรองรับสิ่งของต่าง
ๆ ให้สวยงาม”

พระไตรปฎิ กคอื อะไร ?
ศาสนาทุกศาสนา มีคัมภีร์หรือตาราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลาย
ลักษณ์อักษร แต่เม่ือมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคาสอนในศาสนานั้น ๆ ไว้ เม่ือโลกเจริญขึ้น
ถงึ กับมกี ารพมิ พ์หนงั สอื เป็นเลม่ ๆ ได้ คัมภรี ศ์ าสนาเหล่านั้นกม็ ผี ู้พมิ พเ์ ปน็ เล่มขึน้ โดยลาดบั
พระไตรปิฎก หรือท่ีเรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกน้ัน เป็นคัมภีร์หรือตาราทางพระพุทธศาสนา
เชน่ เดยี วกบั ไตรเวท เปน็ คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ใบเบ้ิลของศาสนาคริสต์ อัล กรุ อานของศาสนาอิสลาม
กล่าวโดยรูปศพั ท์ คาวา่ "พระไตรปฎิ ก" แปลว่า 3 คมั ภีร์ เมอ่ื แยกเป็นคา ๆ ว่า พระ+ไตร+ปิฎก คาว่า พระ
เป็นคาแสดงความเคารพหรือยกย่อง คาว่า ไตร แปลว่า 3 คาว่า ปิฎก แปลได้ 2 อย่าง คือแปลว่า คัมภีร์หรือตารา
อย่างหนึ่ง แปลว่า กระจาดหรือตะกร้าอย่างหน่ึง ที่แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่า เป็นที่รวบรวมคาสั่ง
สอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหวดหมู่ ไมใ่ หก้ ระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกรา้ อนั เปน็ ภาชนะใสข่ องฉะนน้ั
พระไตรปฎิ กแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง ?
เมือ่ ทราบแล้วว่า คาวา่ พระไตรปฎิ ก แปลว่า 3 คัมภรี ์ หรือ 3 ปฎิ ก จึงควรทราบตอ่ ไปวา่ 3 ปฎิ ก น้ันมี
อะไรบา้ ง และแตล่ ะปิฎกน้นั มคี วามหมายหรือใจความอยา่ งไร ปฎิ ก 3 นั้นแบ่งออกดงั น้ี
1. วนิ ัยปฎิ ก วา่ ดว้ ยวนิ ยั หรือศลี ของภิกษุ ภกิ ษณุ ี
2. สุตตนั ตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป
3. อภธิ ัมมปิฎก ว่าดว้ ยธรรมะล้วน ๆ หรือธรรมะที่สาคญั

1.2 โครงสร้างและการจัดหมวดหมพู่ ระไตรปิฎก

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (5)

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (6)

1.3 การแบง่ เล่มและเนือ้ หาโดยสังเขปของพระไตรปิฎก
พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระไตรปิฎก มีเน้ือความทั้งหมด 84,000 พระธรรมขนั ธ์ แบง่ เปน็
1. พระวนิ ัยปฎิ ก 21,000 พระธรรมขันธ์
2. พระสตุ ตันตปิฎก 21,000 พระธรรมขนั ธ
3. พระอภิธรรมปฎิ ก 42,000 พระธรรมขนั ธ์

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (7)

บทท่ี 2
ลาดับคมั ภีรใ์ นพระพทุ ธศาสนา

2.1 ประวตั ิความเป็นมาของคมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนา
คัมภีร์ทางพทุ ธศาสนาในประเทศไทย
คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ครอบคลุมถึงพระไตรปิฎก รวมคัมภีร์ท่ีอธิบายพระธรรมวินัยของ

สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ไมว่ า่ จะเปน็ อรรถกา ฎกี า อนุฎีกา และปกรณ์วิเศษต่างๆ ท่ีรจนาด้วยภาษาบาลีขึ้นใน
แผน่ ดนิ ไทยในสมัยต่างๆ ตัง้ แตย่ ุคแรกทีพ่ ุทธศาสนาเผยแพรเ่ ข้ามาถึงแผน่ ดนิ สุวรรณภูมิ

ช่วงพธุ ศตวรรษที่ 300 - 1300

ตามทปี่ รากฏในวรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา และคัมภรี ต์ ่างๆ ระบุวา่ พุทธศาสนาไดเ้ ผยแผ่เขา้ มาถึงแผ่นดิ
สุวรรณภมู ิเมอ่ื ครงั้ ท่พี ระเจา้ อโศกมหาราช เมือ่ ช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 300 ทรงอาราธนาให้พระโสณะและพระอุตตระ
เป็นพระธรรมทูตเดนิ ทางมาประกาศพระศาสนายงั แผ่นดนิ แห่งน้ี ซ่ึงนกั วิชาการสว่ นใหญ่มีความเห็นแตกตา่ งกนั
เกี่ยวกับสถานท่ีตงั้ อนั แทจ้ ริงของสุวรรณภมู ิ แตโ่ ดยสรุปแล้วภูมภิ าคดงั กลา่ วควรมอี าณาบริเวณครอบคลมุ ตง้ั ตง้ั แต่
ชายฝ่งั อ่าวเมาะตะมะจนถึงอ่าวไทย อนั เปน็ อาณาเขตของอารยะธรรมทวาราวดี หรือภาคกลางของไทยในปจั จุบนั

สมนั ตปั ปาสาทกิ า หรือ สมนั ตปาสาทกิ า คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายขยายความพระวนิ ยั ปฎิ ก รจนาโดยพระ
พทุ ธโฆสะ เมื่อ พ.ศ. 1000 มเี นื้อความระบไุ วว้ ่า

แปลว่า

สวุ ณณฺ ภมู ึ คนตฺ ฺวาน โสณตุ ตฺ รา มหทิ ธฺ ิกา พระโสณะและพระอุตตระ ผมู้ ีฤทธิ์มาก ไปสูส่ ุวรรณภูมิ
ปสิ าเจ นทิ ธฺ มิตวฺ าน พรฺ หฺมชาล อเทสิสนุ ตฺ ิ ฯ ปราบปรามพวกปศี าจแลว้ ได้แสดงพรหมชาลสตู ร

ตามคัมภีร์สมันตปาสาทิกา อธิบายเพิ่มเติมว่า พระโสณะและพระอุตตระได้แสดงอภินิหาริย์ปราบนางผีเสื้อ
น้าและทรงแสดงธรรมพรหมชาลสูตร (สูตรว่าด้วยข่ายอันประเสริฐ ประกอบด้วย ศีลน้อย ศีลกลาง และศีลใหญ่)
นน่ั คือการประพฤตติ นอยู่ในสรณะและศีล มีคนทั้งหลายในสุวรรณภูมิประเทศนี้ได้บรรลุธรรมประมาณ 60,000 คน
กุลบุตรออกบวชประมาณ 3,500 คน

เน้ือความจากสมันตปาสาทิกาแสดงให้เห็นว่า ในช้ันแรก หรือช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 นั้น คัมภีร์ทางพุทธ
ศาสนาเข้าถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ ในรูปของการถ่ายทอดเชิงมุขปาฐะ ซึ่งเป็นลักษณะของการสืบทอดพระธรรมวินัย
ในยุคแรก ตราบจนกระทงั่ การสงั คายนาครัง้ ท่ี 5 จงึ มกี ารจารกึ พระธรรมวนิ ยั ในเอกสาร คือใบลาน นับแต่นนั้ มา

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (8)

แผ่นดนิ สุวรรณภูมิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 - 1800 แบ่งแยกออกเป็นแวน่ แควน้ ต่างๆ มากมาย นอกจากน้ี
ยังนับถือพุทธศาสนาต่างนิกายกัน ท้ังสายอาจาริยาวาท และสายเถรวาท ดังน้ันคัมภีร์พุทธศาสนาในแพร่กลายใน
ดินแดนนี้จึงมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่หลงเหลือถึงปัจจุบันเก่ียวกับพุทธ
ศาสนาในยุคนั้นมีอยู่กระท่อนกระแท่น

กระนั้นก็ตาม สันนิษฐานจากความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาของอาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton
Kingdom) ของชาวมอญทางตอนลา่ งของพมา่ ซงึ่ เป็นชนชาติเดยี วกบั ผสู้ ถาปนาอาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักร
หรภิ ุญชัย ในภาคกลางของไทย ทาใหพ้ ุทธศาสนาฝุายเถรวาทรุ่งเรอื งมากในทางตอนกลางและตอนเหนอื ของไทย

ท้ังนี้ คาดว่า คงมีการศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาในระดับหน่ึง แต่อาจไม่แพร่หลายนัก เน่ืองจากคัมภีร์ทาง
ศาสนาเป็นสมบัตขิ องหลวง และมกั ไม่มอบใหแ้ ตล่ ะรัฐโดยงา่ ย ดังจะเห็นได้จากกรณีท่ีพระเจ้ามนูหะ แห่งอาณาจักร
อาณาจักรสะเทิม ทรงไม่ยินยอมมอบพระไตรปิฎกฉบับจาลองให้กับพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งอาณาจักพุกามตาม
คารอ้ งขอ จนนาไปสสู่ งคราม และการสิ้นสุดของอาณาจกั รอาณาจักรสะเทิมดว้ ยน้ามอื อาณาจักพุกามในปีพ.ศ 514

ชว่ งพุธศตวรรษที่ 1300 - 1800

หลังฐานการเผยแผค่ มั ภรี ์ทางพทุ ธศานาในแผน่ ดนิ ไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 13 ดัง
ปรากฏว่า พระนางจามเทวีเดินทางมาจากละโว้เม่ือปี พ.ศ. 1205 มาครองเมืองหริภุญไชย พระนางได้นาพระสงฆ์ผู้
ทรงพระไตรปิฏกจานวน 500 รูปติดตามมาดว้ ย จนทาให้พุทธศาสนาแบบเถรวาทเผยแพร่ในอาณาจักรน้ี

นอกจากนี้ ในตานานจามเทวีวงศ์บันทึกไว้ว่า เม่ือพระนางจามเทวีทรงครองราชสมบัติแล้ว ทรงสร้างพระ
อาราม 5 แห่ง หน่ึงในน้ันคือ อาพัทธาราม ต้ังอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองหริภุญไชย สาหรับถวายแด่พระภิกษุท่ี
เดินทางมาจากสีหลประเทศ หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน จึงคาดว่า ในเวลาน้ันน่าจะมีการเผยแพร่พระคัมภีร์
จากสิงหลมาถงึ ตอนเหนอื ของไทยในปัจจบุ นั แล้ว

อยา่ งไรก็ตาม นบั ตง้ั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 13 – 18 ลงมาแทบไม่มีข้อมูลเก่ียวกับการศึกษาหรือรจนาพระคัมภีร์
ทางพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ ทราบแต่เพียงข้อมูลจากศิลาจารึกบางหลัก ที่บันทึกข้อความจากคัมภีร์ภาษบาลีท่ี
สาคญั บางฉบบั อาทเิ ช่น จารึกเนนิ สระบวั พบที่เนินสระบัว ในบริเวณเมืองพระรถ ตาบลโคกปีบ อาเภอศรีมหาโพธิ
จังหวดั ปราจนี บรุ ี เนอื้ หาในจารึกระบุมหาศักราช 683 ซ่ึงตรงกับ พ.ศ. 1304 ปรากฏคาถาพระบาลีสามบทในจารึก
เปน็ บทสรรเสรญิ คุณพระรัตนตรัยตรงกับ เตลกฏาหคาถา หรือ คาถากระทะน้ามัน ซึ่งแต่งขึ้นท่ีลังกา สันนิษฐานว่า
ราวชว่ งครง่ึ หลงั ของพทุ ธศตวรรษท่ี 5 โดยไมป่ รากฏผู้แต่งแต่อย่างใด

ช่วงพุธศตวรรษท่ี 1900 - 2100

ข้อมูลเก่ียวกับการเผยแผ่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกคร้ัง หลังพุทธศตวรรษที่ 19
เป็นต้นมา โดยเม่ือราว พ.ศ. 1800 พวกพระภิกษุไทยซึ่งได้ไปบวชปลง ณ เมืองลังกากลับมาต้ังคณะที่เมือง
นครศรีธรรมราช ต่อมากษัตริย์ในอาณาจักรสุโขทัยทรงเล่ือมใสโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศ์มาประกาศพระ
ศาสนายังตอนเหนือของท่ีราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา การมาถึงของคณะสงฆ์ลังกาในแผ่นดินไทยมิใช่คร้ังแรก เพราะ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (9)

เคยมีการติดต่อกันสมัยหริภุญไชย และทวราวดี แต่การมาครั้งน้ี ถือเป็นการส้ินสุดของคณะนิกายอ่ืนๆ ที่เคย
แพร่หลายในดินแดนนี้ ดังจะเห็นได้ว่า พระสงฆ์นิกายในแถบน้ีอาจสังวัธยายพระธรรมเป็นภาษาสันสกฤต แต่พวก
นกิ ายลงั กาวงศ์สังวธั ยายเป็นภาษามคธ จึงเกดิ ความขดั แย้งกนั ขนึ้ กวา่ จะเป็นเอกภาพไดต้ ้องใชเ้ วลาระยะหน่งึ

ทั้งน้ี จากการใชภ้ าษาสนั สกฤต ทาให้คาดว่า คณะสงฆ์เดิมในแถบนี้อาจมีท้ังฝุายมหายาน และฝุายเถรวาทท่ี
ใช้ภาษาสนั สกฤต คือนกิ ายมูลสรวาสติวาท ดังทป่ี รากฏในหลักฐานบันทึกการเดินทางของพระอี้จิง พระเถระชาวจีน
ท่ีเดินทางมาพานักศึกษาภาษาสันสกฤตและพระธรรมในแว่นแคว้นทางตอนใต้ของไทย (หรือแถบมลายู) ก่อน
เดนิ ทางไปศกึ ษาพระธรรมในประเทศอินเดียเมือ่ ศตวรรษที่ 6

ขณะเดยี วกนั ในภาคเหนอื ของไทย หลังจากที่พญามังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ทรงผนวกอาณาจักรหริภุญ
ชัยในปีพ.ศ. 1839 ได้ทรงรับพุทธศาสนาเถรวาทเข้าไว้ในเวลาเดียวกัน ต่อจากนั้นพุทธศาสนาฝุายเถรวาทเฟื่องฟู
อย่างยิ่งในดินแดนล้านนา โดยได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพญากือนา ที่ทรง
นิมนต์พระสุมนเถระจากสุโขทัยมาประกาศพระศาสนาในล้านนาเม่ือพ.ศ. 1912 ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน
พระสงฆช์ าวล้านนาหลายรูปไดเ้ ดินทางไปศกึ ษาท่ีลงั กาในราวพ.ศ. 1967 และได้นิมนต์พระเถระชาวลังกามาส่งเสริม
นกิ ายเถรวาทสายลงั กาวงศ์จนร่งุ เรอื ง

การเผยแพร่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในล้านนา และในไทยถึงจุดเฟื่องฟูท่ีสุดในรัชสมัยของพญาติโลกราช
โดยในพ.ศ. 2020 ได้ทรงจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก ณ จัดมหาโพธาราม หรือวัดเจ็ดยอด ประกอบ
กับช่วงเวลานั้นมีพระเถระที่เช่ียวชาญวรรณคดีทางศาสนามากมาย อย่างท่ีไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้จนถึงรัชสมัย
พญาแก้ว หรือพระเมืองแก้ว (พ.ศ. 2039 - 2069) การเผยแผพ่ ระศาสนาผา่ นการรจนาคัมภีร์ยังรุ่งเรืองยิ่งนัก มีพระ
เถระมากมายท่รี จนาพระคัมภีร์ต่างๆ ที่ไม่เพียงยังใช้กันในระดับเปรียญธรรมทุกวันนี้เท่าน้ัน แต่ยังได้รับการยอมรับ
ในวงการภาษาบาลีท่วั โลกอกี ด้วย

ชว่ งพุธศตวรรษท่ี 2100 -

อาณาจักรลา้ นนาตกอยู่ภายใตก้ ารปกครองของพม่าในพ.ศ. 2101 แต่การรจนาพระคัมภีร์ยังคงมีต่อไปตราบ
จนกระทั่งหลังพุทธศตวรรษที่ 2200 ลงมา เกิดความไม่สงบในล้านนาบ่อยครั้ง จนทาให้ขาดผู้อุปถัมภ์พระศาสนา
และขาดพระเถระผู้ทรงภูมิ ทาการรจนาคัมภีร์ภาษาบาลีขาดช่วง แต่ยังคงมีการแต่งวรรณคดีทางพุทธศาสนา
เร่ือยมาในภาษาท้องถิ่น อีกทั้งล้านนายังได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากพม่า ที่มีความนิยมรจนาพระคัมภีร์อยู่
แลว้ ทาใหศ้ าสนาพทุ ธมไิ ด้ซบเซา เพยี งแตข่ าดผมู้ ีความรู้ท่จี ะรจนา หรือประพันธ์วรรณกรรมภาษาบาลี

ทางภาคกลางของไทยอาณาจักรสุโขทัยมีการรจนาพระคัมภีร์บาลีไม่มากนัก ปัจจุบันพบเพียงคัมภีร์เดียวคือ
รัตนพิมพวงศ์ แต่งข้ึนในจ.ศ. 791 หรือ พ.ศ. 1972 หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
อาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีความสนใจเก่ียวกับพระคัมภีร์ภาษาบาลีน้อยมากเช่นกัน ทาให้พบวรรณคดีประเภทน้ีเพียง
ไมก่ ่เี ร่ือง

จนกระทง่ั สมัยรตั นโกสินทร์ ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬาโลก
มหาราช ซ่ึงนับเป็นการรวบรวมวรรณคดีบาลีครั้งสาคัญ และมีการแต่งพระคัมภีร์เพ่ิมเติมจานวนมากโดยพระเถระ

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (10)

ชาวสยามในครัง้ นั้น ตราบจนถงึ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ซ่งึ ทรงเชยี่ วชาญภาษาบาลี เน่ืองจาก
ทรงเคยผนวชเป็นเวลานาน กอปรกับได้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกท่ีเข้ายึดครองอาณานิคมในอินเดีย ถิ่นกาเนิด
ของภาษาบาลี ทาให้การศกึ ษาและการรจนาผลงานทางพุทธศาสนาในภาษาบาลีเฟื่องฟูอีกคร้ัง จนถงึ ปัจจบุ ัน

รายชื่อคัมภรี ์ภาษาบาลีท่ีแต่งขึน้ ในประเทศไทย

1. รตั นพมิ พวงศ์ หรือ รตนพิมฺพวส รจนาโดยพระพรหมราชปัญญา แห่งวดั ภเู ขาหลวง เมืองสุโขทัย เมอื่ พ.ศ.
1972

2. จามเทวีวงศ์ รจนาโดยพระโพธิรงั สี เมืองเชยี งใหม่ เม่ือพ.ศ. 1950-2000
3. สหิ งิ คนิทาน รจนาโดยพระโพธิรงั สี เมอื่ พ.ศ. 1954-2000
4. ปัญญาสชาดก รจนาโดยพระภิกษชุ าวเชียงใหม่ เม่ือพ.ศ. 2000-2200
5. ปทกั กมโยชน-สทั ทตั ถเภทจินดา พระธรรมเสนาบดเี ถระ ชาวเชยี งแสน พ.ศ. 2020-2045
6. สมันตปาสาทกิ าอัตถโยชนา พระญาณกติ ตเิ ถระ แหง่ วดั ปรสาราม (วดั สวนขนนุ ) ชาวเมอื งเชยี งใหม่

ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
7. ภกิ ขปุ าฏโิ มกขคัณฐทิ ีปนี รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ. 2028-2043
8. สมี าสงั กรวินิจฉยั รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ. 2028-2043
9. อัฏฐสาลินีอตั ถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหวา่ ง พ.ศ. 2028-2043
10. สัมโมหวโิ นทนอตั ถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
11. ธาตุกถาอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
12. ปุคคลบัญญตั ิอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกติ ติเถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
13. กถาวตั ถุอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
14. ยมกอตั ถโยชนา รจนาโดยพระญาณกติ ตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028-2043
15. ปฏั ฐานอตั ถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตตเิ ถระ ระหวา่ ง พ.ศ. 2028-2043
16. อภิธัมมัตถวิภาวิณอี ัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตตเิ ถระ ระหว่าง พ.ศ. 2028- 2043
17. มลู กจั จายนอัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตตเิ ถระระหวา่ ง พ.ศ. 2028-2043
18. สงั ขยาปกาสก รจนาโดยพระญาณกิตติเถระพ.ศ. 2058
19. สารัตถสังคหะ รจนาโดยพระนันทาจารย์ ไม่ทราบปี
20. มธุรัตถปกาสนี ฎี ีกามลิ ินทปัญหา รจนาโดยพระติปิฎกจฬุ าภยเถระ
21. สัททพินทุอภนิ วฎีกา รจนาโดยพระสทั ธัมมกติ ตมิ หาผุสสเทวเถระ แหง่ วดั รัมมะ ชาวเมืองลาพูน
22. เวสนั ตรทีปนี รจนาโดยพระสิรมิ ังคลาจารย์ แหง่ วดั สวนขวญั (วัดตาหนัก) ชาวเมืองเชยี งใหม่ พ.ศ. 210610
23. จักวาฬทีปนี รจนาโดยพระสิริมงั คลาจารย์ พ.ศ. 2063
24. สงั ขยาปกาสกฎีกา รจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์ พ.ศ. 2063

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (11)

25. มังคลัตถทีปนี รจนาโดยพระสริ มิ ังคลาจารย์ พ.ศ. 2067
26. มลู ศาสนา รจนาโดยพระพุทธพุกาม – พระพุทธญาณเจา้
27. ชินกาลมาลปี กรณ์ รจนาโดยพระรตั นปัญญาเถระ ชาวเชยี งราย พ.ศ. 2060-2071
28. มาติกัตถสรปู อภิธรรมสงั คณี รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ
29. วชริ สารตั ถสงั คหะ รจนาโดยพระรัตนปญั ญาเถระ พ.ศ. 2078
30. คันถาภรณฎีกา รจนาโดยพระสวุ ณั ณรงั สีเถระ ชาวเชยี งใหม่ พ.ศ. 2128
31. ปฐมสมโพธกิ ถา รจนาโดยพระสวุ ณั ณรังสีเถระ
32. วิสทุ ธมิ รรคทีปนี รจนาโดยพระอุตตราราม ชาวเชียงใหม่
33. สังขยาปกาสก รจนาโดยพระญาณวิลาส ชาวล้านนา
34. อุปปาตสันติ รจนาโดยพระเถระชาวเชียงใหม่
35. สัทธัมมสังคหะ รจนาโดยพระธรรมกิตติมหาสามเี ถระ แต่งในชว่ งพุทธศตวรรษที่ 20
36. มูลกัจจายนคณั ฐี รจนาโดยพระมหาเทพกวี คาดว่า แตง่ ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 23
37. จลุ ยุทธกาลวงศ์ รจนาโดยสมเดจ็ พระวันรัตน วัดพระเชตุพลวมิ ลมังคลาราม คาดว่าแต่งในสมัยรัชกาลที่ 1
38. มหายุทธกาลวงศ์ รจนาโดยสมเดจ็ พระวนั รตั น ไมท่ ราบปี
39. สังคีติยวงศ์ รจนาโดยสมเด็จพระวนั รตั น เม่ือ พ.ศ. 2332 [10]
40. โลกเนยยปฺปกรณ์ ไม่ทราบผู้รจนา คาดวา่ มีอายุราวพทุ ธศตวรรษที่ 19
41. มนุสสวิเนยยะ ไมท่ ราบผรู้ จนา คาดว่า มีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นอยา่ งต่า
42. อมรกฏะพุทธรูปนทิ าน รจนาโดยพระอริยวงั สะ ราวพุทธศตวรรษท่ี 20
43. อัฎฐภาคพุทธรปู นทิ าน รจนาโดยพระอรยิ วังสะ ราวพุทธศตวรรษท่ี 20
44. ปญั จพุทธพยากรณ์ ไมท่ ราบผรู้ จนา

คมั ภีร์นอกสารบบ
1. สิวชิ ัยชาตกะ, สิวิชัยปัญหา หรือมหาสิวิชยช ไม่ทราบผรู้ จนา มีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 20 เปน็ อย่างต่า
2. โสตตั ถกี (มหา) นิทาน ไมท่ ราบผู้รจนา
3. ชาตตั ถกีนิทาน ไม่ทราบผู้รจนา

4. มาเลยยเถระวตั ถุ ไมท่ ราบผ้รู จนา มอี ายุราวพุทธศตวรรษที่ 20

2.2 โครงสรา้ งและลกั ษณะคมั ภรี ช์ นั้ ตน้
ประเภทและลาดับช้ันคมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา
ฐานะและความสาคัญของพระไตรปฎิ กและคัมภีร์ชน้ั รอง

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (12)

1. ประเภทคมั ภรี ์ทางพระพุทธศาสนา

แม้วา่ พระไตรปฎิ กจะนับวา่ เป็นคมั ภีร์ทส่ี าคัญ และเป็นหลักฐานทางพระพุทธศาสนา แต่ก็ยงั มคี ัมภรี อ์ นื่ อีก
ทเ่ี กี่ยวข้องดว้ ย จงึ ควรทราบประเภทของคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาท่ีสาคญั ไว้ดังต่อไปนี้ :-

1. พระไตรปฎิ ก เป็นหลกั ฐานชน้ั ที่ 1 เรยี กวา่ บาลี
2. คาอธิบายพระไตรปฎิ ก เป็นหลักฐานชน้ั ท่ี 2 เรยี กวา่ อรรถกถา หรือ วัณณนา
3. คาอธบิ ายอรรถกถา เป็นหลักฐานชั้นที่ 3 เรียกว่า ฎีกา
4. คาอธบิ ายฎกี า เปน็ หลักฐานชัน้ ท่ี 4 เรียกว่า อนฎุ ีกา

นอกจากน้ียังมคี ัมภีร์ที่แต่งขึ้นว่าด้วยไวยากรณ์ภาษาบาลีฉบับต่าง ๆ และอธิบายศัพท์ ต่าง ๆ เรียกรวมกัน
วา่ สทั ทาวเิ สส เปน็ สานวนทเ่ี รยี กกันในวงการนักศึกษาฝาุ ยไทย ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า เมื่อ
ทาสังคายนาในรัชกาลท่ี 1 กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2331 เพ่ือชาระพระไตรปิฎกนั้น ได้มีการชาระคัมภีร์สัททาวิเสส
ตา่ งๆ ดว้ ย โดยมีพระพุฒาจารย์เป็นแมก่ อง

การจัดช้นั ของบาลอี รรถกถา ก็เน่ืองด้วยกาลเวลานั้นเอง พระไตรปิฎกเป็นของมีมาก่อน ก็เป็นหลักฐานช้ัน
1 คาอธิบายพระไตรปิฎกแต่งข้ึนประมาณ 956 ปีหลังพุทธปรินิพพาน จึงจัดเป็นช้ัน 2 ส่วนฎีกาน้ัน แต่งข้ึนเมื่อ
ประมาณ พ.ศ. 1587 จึงนับเป็นหลักฐานช้ันท่ี 3 อน่ึง คัมภีร์อนุฎีกาน้ัน แต่งข้ึนภายหลังฎีกาในยุคต่อ ๆ มาเป็น
คาอธบิ ายฎกี าอีกต่อหนง่ึ จงึ นับเป็นหลักฐานช้ัน 4

อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะเป็นหลักฐานชั้น 1 เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธภาษิตในกาลามสูตร
ท่านกไ็ มใ่ หต้ ดิ จนเกินไป ดังคาวา่ ปฏิ กสมปฺ ทาเทน อย่าถือโดยอ้างตารา เพราะอาจมีผิดพลาดตกหล่นหรือบางตอน
อาจเพ่ิมเติมข้ึน แสดงว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล สอบสวนดูให้เห็นประจักษ์แก่ใจของ
ตนเอง เป็นการสอนอย่างมีน้าใจกว้างขวาง และให้เสรีภาพแก่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยัง
เป็นการยืนยันให้นาไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อได้ประจักษ์ผลนั้น ๆ ด้วยตนเอง แม้จะมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้มิให้ติด
ตาราจนเกินไป แต่ก็จาเป็นต้องรักษาตาราไว้ เพ่ือเป็นแนวทางแห่งการศึกษา เพราะถ้าไม่มีตาราเลยจะย่ิงซ้าร้าย
เพราะจะไม่มีแนวทางให้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ฉะน้ัน การศึกษาให้รู้และเข้าใจในพระไตรปิฎก จึงเป็นลาดับแรก
เรียกว่า ปริยัติ การลงมือกระทาตามโดยควรแก่จริตอัธยาศัยเรียกว่า ปฏิบัติ การได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้น ๆ
เรียกวา่ ปฏิเวธ

2. ลาดบั ช้ันคมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา

คมั ภีร์สาคัญของพระพุทธศาสนามี 9 ลาดับ ดงั นี้

1. คัมภีรพ์ ระไตรปฎิ ก
2. คัมภีร์อรรถกถา

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (13)

3. คัมภีรฎ์ กี า
4. คัมภีร์อนฎุ ีกา
5. คมั ภีร์มธุ
6. คัมภีร์กนฏิ ฐคนั ถะ
7. คัมภรี ค์ ณั ฐิ
8. คัมภรี ค์ นั ถันตระ
9. คมั ภรี โ์ ยชนา

2.3 โครงสร้างและลกั ษณะคัมภีรช์ ้ันรอง
คัมภีร์ฎกี า
ฎกี า คือวรรณกรรมภาษาบาลี ทแี่ ต่งเพอื่ อธบิ ายความในคัมภีร์อรรถกถาของอรรถกถาจารย์ที่ได้ไขความใน

พระไตรปิฎกไว้ คมั ภรี ช์ ั้นฎีกาจดั เปน็ คมั ภีรท์ ีม่ คี วามสาคญั รองลงมาจากคมั ภรี ์อรรถกถาที่ขยายความในพระไตรปิฎก
เรียกวา่ คัมภีร์ช้ันสาม คัมภีร์ฎีกามีความแตกต่างกับคัมภีร์อรรถกถา (คัมภีร์ช้ันสอง) ท่ีวัตถุประสงค์ในการแต่งฎีกา
น้ันทาเพือ่ อธิบายเน้อื ความในคัมภรี ์รุน่ อรรถกถา หรอื ฎกี าด้วยกันเอง

คัมภีรฎ์ กี ามผี ูแ้ ตง่ จานวนมากและมีหลายคัมภีร์ ส่วนใหญ่ชื่อคัมภีร์ช้ันฎีกาจะมีคาว่า ฎีกา และตามด้วยชื่อ
คัมภีรอ์ รรถกถาท่อี ธบิ ายความ ซงึ่ สว่ นใหญจ่ ะมคี า ทีปนี โชติกา ปกาสินี หรือ คัณฐิ ลงท้าย1 ซ่ึงคาลงท้ายเหล่าน้ัน
รวมแปลว่า ให้ความกระจ่าง (อธิบายความในอรรถกถาให้กระจ่าง) คัมภีร์ช้ันฎีกาจัดเป็นแหล่งความรู้ทาง
พระพทุ ธศาสนาทีม่ คี วามสาคัญรองลงมาจากคมั ภีรช์ ั้นอรรถกถา

ประวตั ิความเปน็ มา
ฎีกาบางคัมภีร์อาจมีสืบกันมาแต่คร้ังโบราณ และถูกนามาเรียบเรียงอีกครั้งในยุคราว พ.ศ. 1400 - 1800
ซ่ึงเปน็ ยุคท่ีมฎี กี าเกดิ ขึน้ มาก ซ่ึงหลายคัมภรี ์ทเ่ี กิดขน้ึ ในยคุ น้ยี ังคงได้รบั การยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน. พระพรหมคุณา
ภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) จะได้แสดงความเห็นไว้ว่า คัมภีร์หลังยุคฎีกามาน้ันควรจะจัดอยู่ในประเภทอัตตโนมติ
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันที่ประเทศสหภาพพม่ายังพบว่ามีอาจารย์บางท่านจัดคัมภีร์ของตนไว้ในช้ันน้ีอยู่ และในยุค
หนึง่ ประเทศพมา่ เคยมีการเขยี นฎีกาออกมามากจนมีคาวา่ "ฝนฎกี า" เกดิ ขนึ้ และบางคมั ภรี ์ก็แต่งข้ึนเพ่ือค้านมติของ
พระฎกี าจารย์ ในยุคฎีกา จนมกี ระแสตอ่ ต้านเกิดขึน้ มากมาย เชน่ คมั ภรี ป์ รมัตถทปี นีฎีกา ของพระภิกษุชาวเมียนม่า
นามว่า แลดี สยาดอ ซ่ึงแต่งค้านคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินีของพระสุมังคลมหาสามี เม่ือยุค พ.ศ. 1700 ที่หลักสูตร
เปรยี ญธรรมประโยค 9 ใช้เรียนกันในปัจจบุ ัน เป็นต้น

คณุ สมบัตขิ องผู้แตง่
ผแู้ ตง่ คมั ภรี ์ฎีกา เราเรียกว่า พระฎีกาจารย์ ซึ่งต้องเป็นผู้ท่ีทรงความรู้ความสามารถมากไม่น้อยไปกว่าพระ
อรรถกถาจารย์ เพราะนอกจากพระฎีกาจารย์จะต้องสามารถทรงจา และเข้าใจพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานเพ่ือนามา
เขียนอธิบายได้แล้ว ยังจะต้องแตกฉานในคัมภีร์อรรถกถาและคัณฐีต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากน้ียังจะต้องมีความ

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (14)

ชานาญในไวยากรณ์ทั้งบาลีและสนั สกฤต ในคมั ภีร์สทั ทาวเิ สสตา่ ง ๆ, รอบรู้ศพั ท์และรูปวิเคราะห์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี,
ฉลาดในการแต่งคัมภีร์ให้สละสลวย ไพเราะ มีลาดับกฎเกณฑ์ ตามหลักอลังการะ, ต้องมีความสามารถในการแต่ง
คัมภีร์ตรงตามหลักฉันท์อินเดียซ่ึงมีอยู่นับร้อยแบบ, และเข้าใจกรรมฐานจนถึงพระอรหันต์แตกฉานเชี่ยวชาญในข้อ
ปฏิบัตเิ ปน็ อย่างดี

ฎกี าจารย์บางท่านอาจมีฐานะเป็นอรรถกถาจารย์ด้วย เนื่องจากรจนาท้ังอรรถกถาและฎีกา ซึ่งเท่าท่ีพบใน
ประวัตศิ าสนาพทุ ธมี 2 ท่าน คอื พระธรรมปาลาจารย์ วัดพทรติตถวิหาร และพระโจฬกัสสปเถระ ผู้อยู่ในแคว้นโจฬ
รฐั ทางตอนใตข้ องชมพูทวีป

ฎีกาจารย์และคมั ภีรฎ์ ีกาที่มใี ชแ้ พรห่ ลายในประเทศไทย
ฎีกาจารย์และคัมภีร์ฎีกาท่ีรู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักศึกษาอภิธรรมของประเทศไทย ได้แก่ พระสุมังคล
มหาสามี ผูร้ จนาอภธิ มั มตถวิภาวินีฎีกา อธิบายคมั ภรี ์อภิธมั มตั ถสงั คหอรรถกถา และ อภธิ ัมมัตถวิกาสินีฎีกา อธิบาย
คัมภีร์อภิธัมมาวตารอรรถกถา นอกจากน้ีพระฎีกาจารย์ท่ีเป็นที่รู้จักในหมู่นักเปรียญธรรมก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน
เช่น พระสิรมิ งั คลาจารย์ ผู้รจนามังคลัตทีปนี อธิบายมงคล 38, พระธรรมปาลาจารย์ ผู้รจนาปรมัตถมัญชูสา วิสุทธิ
มรรคมหาฎีกา, พระสารีบุตรเถระ2 ผู้รจนาสารัตถทีปนีฎีกา อธิบายอรรถกถาพระวินัย และสารัตถมัญชูสาฎีกา
อธิบายอรรถกถาอังคตุ ตรนิกาย, พระโจฬกสั สปเถระ ผู้รจนาวมิ ติวิโนทนฎี กี า อธิบายอรรถกถาพระวินัย และอนาคต
วังสอรรถกถา, พระวชิรพุทธิเถระ ผู้รจนาวชิรพทุ ธฎิ กี า เปน็ ต้น

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (15)

บทที่ 3
ภมู ปิ ญั ญาในพระไตรปฎิ ก

3.1 หลักคาสอนสาคัญในพระไตรปฎิ ก
หลักธรรมสาคัญในพระไตรปิฎก ในบทน้ีจะกล่าวถึงหลักธรรมสาคญั ในพระไตรปิฎกโดยย่อ เพื่อใชใ้ นการ

อ้างอิงข้อมลู สาหรับศาสตรต์ า่ งๆ ในบทอ่ืนๆ ต่อไป ความจริงหลักธรรมตา่ งๆ ทีจ่ ะกลา่ วถึงนี้ นักศึกษาคงได้เรียนกัน
มาพอสมควรแลว้ การกล่าวถึงอกี ครั้งนี้ มีจุดประสงคเ์ พือ่ ใหเ้ กิดความสะดวก ในการเชื่อมโยงความรู้จากหลกั ธรรม
เหล่าน้กี ับบทอื่นๆ เน่ืองจากหลกั ธรรมที่นักศึกษาได้เรยี นมากอ่ นหนา้ น้ีกระจัดกระจายอยู่ในวิชาต่างๆ จงึ ไม่สะดวก
ต่อการนามาคน้ คว้าเปรียบเทียบกบั ศาสตร์ต่างๆ ในวิชาน้ี และบางวชิ านักศึกษากเ็ รียนมานานแลว้ จึงอาจจะลืมไป
บา้ งแลว้ การกลา่ วถงึ หลกั ธรรมเหล่านั้นอีกครั้งถือเป็นการทบทวนความรู้ และเป็นการตอกยา้ เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจ
มากข้นึ ดว้ ย

1. ภาพรวมหลกั ธรรมสาคัญในพระไตรปฎิ ก

หลวงพ่อทัตตชีโว ได้ให้ภาพรวมหลักธรรมสาคัญในพระไตรปิฎกไว้อย่างชัดเจน ดังภาพท่ีแสดงไว้ในหน้าท่ี
ผ่านมา จะเห็นว่าหลักธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎก มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุ "นิพพาน" อันเป็นเปูาหมาย
สูงสุดของมวลมนษุ ย์และสรรพสตั ว์ท้ังหลาย

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (16)

สาหรับหลักธรรมต่างๆ ในพระไตรปิฎกอันเป็นหลักปฏิบัติเพ่ือไปสู่นิพพานนั้น เป็นหลักธรรมท่ีมีความ
เชื่อมโยงสัมพันธ์กันทุกหมวด ไม่มีความขัดแย้งกันสามารถย่อได้และขยายได้หากย่อจนถึงที่สุดก็จะเหลือเพียงข้อ
เดียวคอื "ความไม่ประมาท" หากขยายความแล้วก็จะได้มากถึง "84,000 ข้อ หรือ พระธรรมขันธ์" แบ่งเป็นพระวินัย
21,000 ขอ้ พระสตู ร 21,000 ขอ้ และพระอภิธรรม 42,000 ขอ้

นอกจากนี้ หลักธรรมทัง้ หมดในพระไตรปฎิ กอาจจะแบ่งให้เหลือ 3 ข้อก็ได้ คือ ละช่ัวทาดี และทาใจให้ผ่อง
ใสหลักธรรม 3 ข้อนี้ เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ไตรสิกขา คือ ศีลสิกขาจิตสิกขา และปัญญาสิกขา หากจะขยายจาก 3
ข้อน้ี ให้เป็น 8 ข้อ ก็ได้เรียกว่า มรรคมีองค์ 8 อันประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ โดยสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ จัดอยู่ในปัญญา สิกขา
สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ จัดอยู่ในศีลสิกขาสัมมาวายามะสัมมาสติ และสัมมาสมาธิจัดอยู่ในจิต
สิกขาหลกั ธรรมในแตล่ ะหมวดมรี ายละเอยี ดโดยยอ่ ดังตอ่ ไปนี้

2. นพิ พาน

นิพพาน หมายถึง การดับกิเลส และกองทุกข์ท้ังปวง นิพพานเป็นเปูาหมายสูงสุดของมนุษย์และสรรพสัตว์
ทั้งหลาย พระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั แบ่งนพิ พานออกเป็น 2 ประการ คอื อปุ าทเิ สสนพิ พาน และ อนุปาทเิ สสนิพพาน

1) อุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ มีสังโยชน์ในภพน้ีสิ้นรอบแล้วหลุดพ้นแล้วเพราะรู้
โดยชอบ เป็นผู้มีราคะ โทสะ และโมหะสูญสิ้นแล้ว แต่ยังเป็นผู้เสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและ
ทุกขอ์ ยู่ เพราะความทอี่ นิ ทรยี ์ 5 ยงั ไม่บุบสลาย

หลวงพ่อทัตตชีโว อธิบาย อุปาทิเสสนิพพานไว้ว่า เป็นพระนิพพานในตัวบางคร้ังก็เรียกว่า "นิพพานเป็น"
หมายความวา่ ในขณะที่อา วะกิเลสญู สนิ้ ไปหมดแล้ว แตย่ งั มชี วี ติ อยู่ ยังมีขันธ์ 5 อยู่ มีธรรมกายปรากฏอยู่ในตัว ทา
ใหร้ ้สู ึกเป็นสขุ เหมอื นอยใู่ นอายตนนพิ พานอยา่ งแทจ้ รงิ เพียงแต่ยังอาศยั กายมนษุ ย์อยเู่ ท่านนั้

2) อนปุ าทิเสสนิพพาน หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้วหลุดพ้นแล้วเพราะรู้
โดยชอบ เวทนาท้ังปวงในอตั ภาพนี้ของภกิ ษนุ ัน้ เปน็ ภาพทีก่ เิ ลส มตี ณั หา เป็นตน้ ครอบงาไมไ่ ด้อีก

หลวงพ่อทัตตชีโว อธิบายอนุปาทิเสสนิพพานไว้ว่า เป็นนิพพานที่อยู่นอกตัว บางคร้ังก็เรียกว่า "นิพพาน
ตาย" หมายความวา่ เมอ่ื ขนั ธ์ 5 แตกดบั สิน้ เชือ้ ไมเ่ หลือเศษแลว้ ธรรมกายที่อยู่ใน อุปาทิเสสนิพพาน จึงตกศูนย์เข้าสู่
อนุปาทิเสสนพิ พาน ณ จดุ นเี้ องที่เรียกว่า "อายตนนพิ พาน" ที่พระอรยิ เจา้ ทงั้ หลายตัง้ จิตปรารถนาจะไปถึง

3. ความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท หมายถึง ความไม่เลินเล่อ ไม่พล้ัง ไม่เผลอ มีสติเสมอส่วนความประมาท คือ การขาดสติ
ความพล้ังเผลอ ความไม่ประมาทเป็นหลักธรรมใหญ่ ซึ่งรวมธรรมท้ังหมดในพระไตรปิฎกไวใ้ นขอ้ นเ้ี พยี งข้อเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปทสูตรว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง
รอยเท้าชา้ ง บณั ฑติ กลา่ วว่าเลิศกวา่ รอยเทา้ สัตว์เหล่านน้ั เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมทั้งหมดนั้นมีความ

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (17)

ไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาทความไม่ประมาทบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันน้ัน
ดูกอ่ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่ประมาทพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 จักกระทาให้มากซ่ึงอริยมรรคมี
องค์ 8

ก่อนท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น พระองค์ก็ได้ตรัสพระปัจฉิมวาจาไว้ว่า "ดูก่อน
ภิกษุท้ังหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่
ประมาทให้ถึงพร้อมเถดิ " พระดารัสนี้ ถือว่าเป็นการสรุปหลักธรรมทั้งหมด ที่พระองค์ตรัสสอนมาตลอด 45 พรรษา
ให้เหลือเพยี งข้อเดยี วคอื ความไม่ประมาทเทา่ นน้ั

พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้อธิบายขยายความเรื่องความไม่ประมาท ไว้ในกัณฑ์
ท่วี ่าด้วยเรอื่ งปัจฉิมวาจาว่า ความประมาท คือ เผลอไป ความไม่ประมาท คือ ความไม่เผลอ ไม่เผลอละใจจดใจจ่อ
ทีเดียว...ท่านจึงได้อุปมาไว้ ไม่ประมาท ไม่เผลอในความเสื่อมไปในปัจฉิมวาจา นึกถึงความเส่ือมอยู่เสมอ นึกหนัก
เขา้ ๆ แล้วใจหาย นี่เรามาคนเดยี วหรือ นี่เราก็ตายคนเดียว บุรพชนต้นตระกูลของเราไปไหนหมด ตายหมด เราล่ะก็
ตายแบบเดียวกัน ตกใจละคราวนี้ ทาช่ัวก็เลิกละทันที รีบทาความดีโดยกะทันหันทีเดียว เพราะไปเห็นอ้ายความ
เสอ่ื มเขา้ ถ้าไม่เหน็ ความเสอื่ มละก็ กลา้ หาญนกั ทาชัว่ ก็ได้ ดา่ วา่ ผหู้ ลักผู้ใหญ่ได้ตามชอบใจ

4. ละชั่วทาดีทาใจให้ผอ่ งใส

หลักธรรมทง้ั หมดในพระไตรปฎิ ก นอกจากจะรวมลงในความไม่ประมาทเพยี งข้อเดยี วแลว้ ยังสามารถขยาย
ออกเปน็ 3 ข้อได้ ซ่ึงพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ตรสั ไว้ในมหาปทานสตู รเรือ่ งโอวาทปาฏิโมกขว์ า่

(1) การไมท่ าบาปทัง้ สนิ้ (ละชั่ว)

(2) การยังกุศลใหถ้ ึงพร้อม (ทาด)ี

(3) การทาจิตของตนให้ผ่องใส(ทาใจให้ผ่องใส)

น้เี ปน็ คาส่งั สอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

(1) การไม่ทาบาปท้ังส้ิน มาจากภาษาบาลีว่า สพฺพปาปสฺส อกรณ หมายถึง ไม่ทาชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา
และดว้ ยใจ สพฺพปาปสฺส อกรณ นี้ ครอบคลมุ พระวินยั ปฎิ กทัง้ หมด หากจัดเข้าในไตรสกิ ขาก็จะตรงกับ "ศลี สกิ ขา"

(2) การยังกศุ ลให้ถงึ พร้อม มาจากภาษาบาลวี ่า กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา หมายถึง ทาความดใี ห้มีขน้ึ ด้วยกาย ดว้ ย

วาจา และด้วยใจ กุสลสฺสูปสมฺปทา น้ี ครอบคลุมพระสุตตันตปิฎกทั้งหมดหากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ "จิต
สกิ ขา"

(3) การทาจิตของตนให้ผ่องใสมาจากภาษาบาลีว่า สจิตฺตปริโยทปน หมายถึง ทาจิตใจของตนให้ผ่องใส
สจติ ตฺ ปรโิ ยทปน น้ี ครอบคลมุ พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด หากจดั เข้าในไตรสกิ ขาก็จะตรงกบั "ปญั ญาสกิ ขา"

5. มรรคมอี งค์ 8

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (18)

มรรค แปลว่า ทาง, หนทาง มรรคมีองค์ 8 จึงหมายถึง หนทางปฏิบัติหรือข้อปฏิบัติ 8 ประการ เพ่ือให้ถึง
ความดับทุกข์ นั่นคือการได้บรรลุนิพพานนั่นเองมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมข้อหน่ึงในอริยสัจ 4 ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์คือตัณหา) นิโรธ (ความดับทุกข์) และมรรคคือหนทางดับทุกข์ เม่ือกล่าวถึงมรรคเพียงข้อเดียว
แตก่ ็มีความหมายเชอ่ื มโยงไปถงึ อริยสัจอีก 3 ข้อท่ีเหลอื ด้วย เพราะธรรมท้งั 4 ขอ้ มคี วามเชอื่ มโยงสมั พันธก์ นั

พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าตรสั มรรคมีองค์ 8 ไว้ในธัมมจกั กัปปวัตตนสตู ร ซ่ึงเป็นพระปฐมเทศนาหรือเทศนาครั้ง
แรกของพระองค์ พระเดชพระคณุ พระภาวนาวิรยิ คณุ ได้สรปุ มรรคมีองค์ 8 ไว้ด้วยภาษาท่เี ขา้ ใจได้ง่ายดงั นี้

(1) สัมมาทฏิ ฐิ คือ ความเขา้ ใจถูก โดยสามารถตัดสินได้อย่างถูกต้องว่า อะไรถูกผิดอะไรดีช่ัว อะไรบุญบาป
อะไรควรไม่ควรทา

(2) สมั มาสงั กัปปะ คือ ความคิดถกู โดยเลอื กคดิ เฉพาะในสิ่งทีเ่ กดิ บญุ ไมเ่ กิดบาป

(3) สัมมาวาจา คือ การพดู ถูก โดยเลือกพูดเฉพาะในสิ่งทเ่ี กิดบุญ ไม่เกิดบาป

(4) สัมมากัมมนั ตะ คอื การทาถูก โดยเลือกทาแตใ่ นสงิ่ ท่เี กิดบญุ ไม่เกดิ บาป

(5) สัมมาอาชีวะ คือ การเลย้ี งชพี ถูก โดยเลอื กประกอบอาชีพทีเ่ กดิ บุญ ไม่เกิดบาป

(6 สัมมาวายามะ คือ การเพียรพยายามถกู โดยเพยี รละเวน้ ความช่ัว เพียรทาความดีและเพยี รกล่นั ใจให้ผ่องใส

(7) สัมมาสติ คอื ความระลกึ ถกู โดยพยายามรักษาใจให้มคี วามสะอาดบรสิ ทุ ธ์ใิ นการคิด พูด และทาอยเู่ ป็นปกติ

(8) สมั มาสมาธิ คอื ความตั้งมั่นถูก โดยพยายามประคับประคองในขณะทาภาวนาให้หยุดน่ิง ณ ศูนย์กลาง
กายอย่างต่อเน่ืองถูกส่วนเป็นปกติ จนกระท่ังเกิดความ ว่างขึ้นในใจที่นาไปสู่การเห็นธรรมะที่เป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิ
อยใู่ นตวั

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริกขารสูตรว่า องค์แห่งมรรค 7 ประการคือ ต้ังแต่สัมมาทิฏฐิถึงสัมมาสติ
เปน็ องคป์ ระกอบของสัมมาสมาธิ หรือประชุมลงในสัมมาสมาธิ ดังพระดารัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสองค์แห่งสมาธิ
7 ประการ คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะสัมมาสติ ดูก่อน
ภิกษุท้ังหลาย เอกัคคตาจิต(ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว หรือ การที่จิตเป็นสมาธิ) ประกอบด้วยองค์ 7 ประการน้ี
เรยี กว่าอริยสมาธิ

พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า "มรรคท้ัง 7 ประการจะประชุมรวมกันลงใน
สัมมาสมาธนิ ี้" ดว้ ยเหตุนีส้ ัมมาสมาธจิ งึ มคี วามสาคญั สูงสดุ ในบรรดามรรคทั้งปวง ทานองเดียวกับความไม่ประมาทท่ี
กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะการท่ีบุคคลจะเป็นผู้ "ไม่ประมาท" ได้อย่างสมบูรณ์ บุคคลผู้นั้นจะต้องมีสติกากับตนเอง
อยู่ตลอดเวลา การท่ีบุคคลนั้นๆ จะมีสติกากับตนเองอยู่ตลอดเวลา เขาจะต้องฝึกสัมมาสมาธิมาอย่างดีแล้ว จนใจ
ของเขาจรดน่ิงอยู่ ณ ศนู ยก์ ลางกายฐานท่ี 7 ตลอดเวลา

6. ไตรสิกขา

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (19)

ไตรสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา 3 ประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงไตรสิกขาไว้ในภาวสูตร
ว่า ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย ไตรสิกขาเป็นไฉน ไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เมื่อใด เธอเป็นผู้มี
สกิ ขาอันไดศ้ ึกษาแลว้ ในไตรสิกขานี้ เม่อื น้ันภกิ ษนุ ้ีเรากล่าวว่า ได้ตัดตณั หาขาดแล้ว คลายสังโยชน์ได้แล้ว ได้ทาท่ีสุด
ทุกข์เพราะละมานะได้โดยชอบฯ

พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺท โร) ได้อธิบายขยายความเรื่องไตรสิกขาไว้ว่ามี 2 ระดับ คือ
ระดับปกติหรือระดบั ต้น และระดับสงู หรอื เกนิ ระดับปกติขนึ้ ไป

ไตรสิกขาระดบั ต้นน้นั จะเรยี กวา่ ศีล จิต(สมาธิ) และ ปญั ญา หรือเรียกว่า ศีลสิกขาจิตสิกขา (สมาธิสิกขา)
และปัญญาสิกขา ไตรสิกขาระดับต้นนี้ เป็นไตรสิกขาในระดับ "รู้" หมายถึง รู้ว่าไตรสิกขามีอะไรบ้างเมื่อรู้แล้วก็
ปฏบิ ัตติ ามหลกั ไตรสกิ ขานน้ั เม่ือปฏิบัตแิ ล้วก็จะเป็นเหตุให้เข้าถึงไตรสิกขาระดับสงู ต่อไป

ไตรสิกขาระดับสูงหรือเกินระดับปกติข้ึนไปจะเรียกว่า อธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา หรือ เรียกว่า อธิศีล
สิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ไตรสิกขาระดับสูงนี้ เป็นไตรสิกขาในระดับ "เห็น" หมายถึง ได้ปฏิบัติสมาธิ
จนสามารถ "เห็น" ได้ด้วยตนเองว่าไตรสิกขาในตัวเรามีอะไรบ้าง กล่าวคือ ได้ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ในตัวท่ี
ละเอียดเป็นชนั้ ๆ เขา้ ไปน่ันเอง

คาว่า "อธิ" ในคาว่า อธิศีล เป็นต้น แปลว่า ย่ิง เกิน หรือ ล่วง หมายถึง ไตรสิกขา ที่ยิ่งกว่า หรือเกินกว่า
หรือลว่ งพน้ จากไตรสิกขาในระดับตน้

7. พระไตรปิฎก
พระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมอ่ื ขยายความแลว้ จะได้มากถึง 84,000 ข้อ หรือ 84,000 พระ
ธรรมขนั ธ์ โดยจัดอยู่ในพระวินัยปิฎก 21,000 ข้อ จัดอยู่ในพระสุตตันตปิฎก 21,000 ข้อ และจัดอยู่ในพระอภิธรรม
ปฎิ ก 42,000 ขอ้
พระไตรปิฎกหากนามาเชอื่ มโยงกบั ไตรสิกขาจะได้ดังน้ี คือ

พระวินัยปิฎก คือ ศลี สิกขา
สุตตันตปฎิ ก คือ จิตสิกขา
พระอภิธรรมปฎิ ก คอื ปัญญาสกิ ขา
สาหรับรายละเอียดเรื่องพระไตรปิฎกนั้นมีกล่าวไว้แล้วในวิชา "ความรู้พ้ืนฐานทางพระพุทธศาสนา" จะไม่
กล่าวถงึ รายละเอยี ดในวิชาน้อี ีก

8. นิยาม 5

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (20)

นอกจากหลักธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีธรรมอีกหมวดหน่ึงซ่ึงมีความสาคัญ แต่ปรากฏอยู่ใน
อรรถกถาคือเรื่องนิยาม 5 ซ่ึงจะใช้เป็นหัวข้อสาคัญในการเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ ในบทวิทยาศาสตร์ใน
พระไตรปฎิ ก

นิยาม หมายถึง ความแน่นอน หรือหากใช้ในภาษาร่วม มัยที่เข้าใจได้ง่ายๆ นิยามก็อาจแปลว่า "กฎ" พระ
อรรถกถาจารย์ได้จาแนกนิยามไว้ 5 ประการคือ พีชนิยาม อุตุนิยาม จิตตนิยาม กรรมนิยาม และ ธรรมนิยาม2 กฎ
ทัง้ 5 ประการนค้ี รอบคลุมทุกสงิ่ ทุกอยา่ งในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างดาเนินไปตามกฎทั้ง 5 ประการ
น้ีทั้งสน้ิ

1) พีชนิยาม (Biological Laws) หมายถึง กฎของส่ิงมีชีวิตท้ังหมด ในทางวิทยาศาสตร์ใช้คาว่า กฎทาง
ชีววิทยา กล่าวคือ เป็นกฎธรรมชาติที่ควบคุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตท้ังพืชและสัตว์ เช่น เม่ือเรานาเมล็ด
ข้าวเปลือกไปปลูก ต้นไม้ที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอหรือเม่ือช้างคลอดลูกออกมา ก็ย่อมเป็นลูกช้างเสมอ
หรือถ้าเป็นมนุษย์เมื่อคลอดลูกออกมา ก็ย่อมเป็นมนุษย์เสมอ ความเป็นระเบียบหรือความแน่นอนน้ี ในทางพุทธ
ศาสนา กล่าวว่า เป็นผลมาจากการควบคมุ ของพชี นยิ าม

2) อุตุนิยาม (Physical and Chemical Laws) หมายถึง กฎที่ควบคุมสิ่งไม่มีชีวิตทุกชนิด เช่น ดิน ฟูา
อากาศสาร วัตถุ ภพภมู ิตา่ งๆ ตลอดอนันตจักรวาล ในทางวทิ ยาศาสตรใ์ ช้คาวา่ กฎทางฟสิ ิกส์ ครอบคลุมตั้งแต่ที่เล็ก
ท่ีสุด ได้แก่ อนุภาค อะตอม ไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่โต เช่น โลก กาแล็กซี่ และ เอกภพ ปรากฏการณ์ฟูาร้อง ฟูาผ่า
ฤดูกาล แม้กระทงั่ การเกิดและการดบั สลายของโลกก็เปน็ ไปตามกฎธรรมชาติคือ อตุ นุ ิยามนี

3) กรรมนิยาม (The law of Karma) หมายถึง กฎแห่งกรรม กรรมคือการกระทาแบ่งออกเป็น 2 อย่าง
คือ กรรมดแี ละกรรมช่ัว กรรมดีย่อมตอบ นองในทางดี กรรมช่วั ย่อมตอบสนองในทางช่วั

4) จิตตนิยาม (Psychic law) หมายถึง กฎการทางานของจิตใจ พระพุทธศาสนาสอนว่า คนเรา
ประกอบด้วยส่วนท่ีสาคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ ในส่วนของจิตใจนั้นมีความสาคัญในฐานะเป็นผู้ส่ังการทุก
อย่างให้ร่างกายปฏิบัติตาม หากเปรียบร่างกายเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ จิตใจก็เปรียบเหมือนผู้ใช้งานเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ (User)

5) ธรรมนยิ าม (The law of cause and effect) มคี วามหมาย 2 นยั คือ นัยท่ี 1 หมายถึง กฎแห่งเหตุ
และผลของสรรพสิ่ง ดังคากล่าวที่ว่า เพราะมีส่ิงน้ี จึงมีสิ่งนี้ข้ึน หลักธรรมต่างๆส่วนใหญ่ก็จัดอยู่ในหลักธรรมนิยาม
เช่น ปฏิจจสมุปบาท (อวิชชาทาให้เกิดสังขารสังขารทาให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทาให้เกิดนามรูป นามรูปทาให้
เกิดสฬายตนะ สฬายตนะ ทาให้เกิดผัสสะ ผัสสะทาให้เกิดเวทนา เวทนาทาให้เกิดตัณหา ตัณหาทาให้เกิดอุปาทาน
อปุ าทานทาใหเ้ กิดภพ ภพทาให้เกดิ ชาติ ชาติทาให้เกดิ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อุปายา) อริยสัจ
4 (สมทุ ัย คือตัณหา ทาให้เกดิ ทกุ ข์ มรรคนาไปสูน่ โิ รธ คือความดบั ทกุ ข์) เปน็ ตน้

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (21)

ส่วนนัยท่ี 2 หมายถึง ความสัมพันธ์กันของนิยามทั้ง 4 ประการข้างต้น เช่น การประสูติของพระโพธิสัตว์
เป็นเหตุให้แผ่นดินไหว หรือเมื่อมนุษย์ไม่ควบคุมกิเลสในใจ ก็จะเป็นเหตุให้ทาผิดศีลธรรมและจะทาให้สิ่งแวดล้อม
เสอ่ื ม เป็นต้น

ธรรมนิยามนี้ มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กฎทั้ง 4 ข้อข้างต้น รุปรวมลงในข้อสุดท้ายน้ี พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบนิยาม หรือกฎธรรมชาติท้ัง 5 เหล่าน้ีแต่พระองค์ตรัสอนโดยเน้นเร่ืองจิตตนิยาม กรรม
นิยาม และธรรมนิยาม เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดับทุกข์ส่วนเร่ืองอุตุนิยามและพีชนิยามนั้น พระองค์
ตรัสไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือเฉพาะที่จาเป็นเพื่อให้เข้าใจแนวปฏิบัติสู่ทางพ้นทุกข์ได้ชัดเจนขึ้น หรือพระพุทธองค์
จะตรสั ในกรณมี ผี กู้ ราบทูลถาม

นิยาม 4 ข้อแรก นักศึกษาคงได้เรียนรู้กันมาพอสมควรแล้วในวิชาต่างๆ ในท่ีนี้จะขยายความในส่วนของ
ธรรมนิยามเพ่ิมเติม ในความหมายนัยที่สองคือ ความสัมพันธ์กันของนิยามทั้ง 4 ประการคือ พีชนิยาม อุตุนิยาม
จิตตนิยาม และกรรมนิยาม เช่น ความหวั่นไหวในหมื่นโลกธาตุ ในเวลาเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาของพระ
โพธสิ ตั ว์ทงั้ หลาย

จะเหน็ วา่ การจุติลงมาประสตู ขิ องพระโพธสิ ตั วน์ ั้นเปน็ เรื่องของ พีชนยิ ามส่วนการไหวของภพต่างๆ ในหม่ืน
โลกธาตุเป็นเรื่องของ อุตุนิยาม ซึ่งตามปกติแล้วไม่เก่ียวข้องกัน แต่ด้วยบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ ทาให้พีชนิยาม
ส่งผลต่ออุตุนิยามได้ และในเวลาที่พระโพธิสัตว์ทรงออกจากครรภ์พระมารดา ในเวลาท่ีตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ ใน
เวลาที่พระตถาคตทรงประกาศพระธรรมจักร ในเวลาท่ีทรงปลงอายุสังขาร ในเวลาที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ตลอด
หม่ืนโลกธาตกุ ็หวั่นไหวเช่นกัน นก้ี ช็ ือ่ ว่า ธรรมนยิ าม

นอกจากน้ียังมีกรณอี นื่ ๆ อีกท่ีแสดงให้เหน็ วา่ นยิ ามแต่ละอย่างมีความสมั พนั ธ์กัน เช่น เม่ือมนุษย์ไม่ต้ังอยู่ใน
ศีลธรรม จะเปน็ เหตใุ ห้สง่ิ แวดลอ้ มเสื่อม แต่เม่อื มนุษย์ต้งั อยู่ในศลี ธรรมจะเปน็ เหตุส่ิงแวดล้อมเจริญขึ้น กิเลสในจิตใจ
มนษุ ย์เป็นเหตใุ หก้ ัปทาลาย กลา่ วคือ กิเลสตระกลู โทสะ ทาให้ไฟบรรลยั กัลปทาลายกปั กิเลส ตระกูลราคะ ทาให้น้า
บรรลัยกัลปทาลายกัปกิเลสตระกูลโมหะ ทาให้ลมบรรลัยกัลปทาลายกัป ผู้ฝึกจิตจนได้อภิญญาสามารถแสดง
ปาฏิหารยิ ต์ ่างๆ ได้ เช่น เดินบนนา้ ได้ ดาดนิ ได้ เหาะได้ เนรมิตวตั ถสุ ิ่งของข้ึนจากท่วี า่ งๆ ไดเ้ ปน็ ตน้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความประพฤติของมนุษย์ ว่ามีผลต่อสิ่งแวดล้อมไว้อย่างชัดเจนในธรรมิกสูตร
ความวา่

สมัยใด พระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมสมัยน้ัน แม้พวกข้าราชการ ก็เป็นผู้ไม่ต้ังอยู่ในธรรม เมื่อพวก
ข้าราชการไม่ต้ังอยู่ในธรรม แม้พราหมณ์และคฤหบดี ก็เป็นผู้ไม่ต้ังอยู่ในธรรมเม่ือพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ใน
ธรรม แมช้ าวนคิ มและชาวชนบท ก็เป็นผู้ไมต่ ัง้ อยู่ในธรรมพระจนั ทรแ์ ละพระอาทิตย์ย่อมหมุนเวียนไม่สม่าเสมอ เมื่อ
พระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนไม่สม่าเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่าเสมอ เม่ือคืนและวัน
หมนุ เวยี นไมส่ มา่ เสมอ เดือนหน่ึงและกึ่งเดือนก็หมนุ เวียนไม่สม่าเสมอ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (22)

เม่ือเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนไม่สม่าเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่าเสมอเม่ือฤดูและปี
หมุนเวียนไม่สม่าเสมอ ลมย่อมพัดไม่สม่าเสมอ เม่ือลมพัดไม่ สม่าเสมอลมก็เดินผิดทางไม่สม่าเสมอย่อมพัดเวียนไป
เม่ือลมเดนิ ผดิ ทางไมส่ มา่ เสมอพัดเวียนไป เทวดาย่อมกาเริบ เม่ือเทวดากาเริบฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝน
ไมต่ กต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าท้ังหลายก็สุกไม่เสมอกัน มนุษย์ผู้บริโภคข้าวท่ีสุกไม่เสมอกัน ย่อมเป็นผู้มีอายุน้อย มี
ผิวพรรณเศรา้ หมองมกี าลงั นอ้ ย มอี าพาธมาก

สมยั ใด พระราชาเปน็ ผู้ต้ังอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ข้าราชการก็ย่อมเป็นผู้ต้ังอยู่ในธรรมเม่ือข้าราชการตั้งอยู่
ในธรรม สมัยน้ัน แม้พราหมณ์และคฤหบดีก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เม่ือพราหมณ์และคฤหบดีตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาว
นิคมและชาวชนบท ก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เม่ือชาวนิคมและชาวชนบทเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระ
อาทิตย์ก็ย่อมหมุนเวียนสม่าเสมอเม่ือพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนสม่าเสมอกัน หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อม
หมุนเวยี นสม่าเสมอเมือ่ หม่ดู าวนักษตั รหมุนเวยี นสมา่ เสมอ คนื และวันกย็ ่อมหมุนเวียนสม่าเสมอ เม่ือคืนและวันย่อม
หมุนเวียนสมา่ เสมอ เดอื นหนึ่งและก่ึงเดอื นก็ยอ่ มหมนุ เวียนสมา่ เสมอกัน

เม่ือเดือนหนึ่งและกึง่ เดือนหมนุ เวยี นสม่าเสมอ ฤดูและปีก็ยอ่ มหมนุ เวยี นไป ม่าเสมอเม่ือฤดูและปีหมุนเวียน
ไปสมา่ เสมอกัน ลมย่อมพัดสม่าเสมอ เม่ือลมพัดสม่าเสมอ ลมย่อมพัดไปถูกทาง เม่ือลมพัดไปถูกทาง เทวดาย่อมไม่
กาเริบ ฝนย่อมตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าก็สุกเสมอกัน มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าท่ีสุก
เสมอกันยอ่ มมอี ายุยนื มีผิวพรรณดี มีกาลงั และมีอาพาธน้อยฯ

จากพระดารัสของพระสมั มาสัมพุทธเจ้าในพระสตู รน้ี ช้ีให้เห็นอยา่ งชดั เจนว่า พฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งจัดอยู่
ในพีชนิยามส่งผลต่อ ภาพดินฟูาอากาศอันเป็นส่วนของอุตุนิยามด้วย และเมื่อ ภาพดินฟูาอากาศเหล่าน้ัน
เปล่ยี นแปลงไปในทางเสื่อม ก็จะสง่ ผลมาถึงมนุษย์ด้วยคอื เปน็ ใหส้ ขุ ภาพของมนุษย์เสื่อมถอยลง

ความหมายของธรรมนิยามในนัยท่ี 2 น้ี หากพจิ ารณาดใู ห้ดจี ะพบวา่ มีความหมายสอดคล้องกับความหมาย
นัยที่ 1 คือเป็นเร่ืองของเหตุและผลน่ันเอง เพียงแต่ในบางเรื่องเราไม่อาจทาความเข้าใจโดยวิธีการคิด เช่น การ
ประสูติของพระบรมโพธิสัตวก์ บั การเกิดแผน่ ดินไหวแตจ่ ะรู้ได้ดว้ ยการปฏบิ ัติธรรมจนบังเกิดญาณทัสสนะ ก็จะพบว่า
สิ่งน้ีเป็นแบบแผนอย่างหนง่ึ ของพระบรมโพธสิ ตั วท์ กุ พระองค์

3.2 การศกึ ษาพระพุทธศาสนสภุ าษิต
สภุ าษิต แปลวา่ ถอ้ ยคาที่กล่าวไว้ดี (สุ=ดี, ภาษิต=กลา่ ว) สามารถนามาเปน็ คติ ยึดถือเปน็ หลักใจได้
พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง ถ้อยคาดีๆ ในพระพุทธศาสนา แต่มิได้หมายความเฉพาะคาที่พระพุทธองค์

ตรสั ไวเ้ ทา่ น้ัน แม้สุภาษิตแทบท้ังหมดจะเปน็ พระพทุ ธพจนก์ ต็ าม
เช่น ถ้าเป็นภาษิตพระสัมมาสัมพทุ ธตรัสเอง เรียกว่า พุทธภาษิต / พุทธสุภาษิต (หรือ พระพุทธพจน์) ถ้า

พระโพธิสัตว์ กล่าวเรียกว่า โพธิสัตว์ภาษิต ถ้าพระสาวกกล่าว ก็เรียกว่า เถรภาษิต บ้าง สาวกภาษิต บ้าง
แมแ้ ต่คาท่ีเทวดากล่าว และพระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั รับรองวา่ ดีด้วยการตรสั คานั้นซ้า เรียกวา่ เทวดาภาษิต เป็นต้น

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (23)

วธิ อี ่านภาษาบาลี
คาในภาษาบาลี เมื่อนามาเขียนถ่ายทอดเปน็ ภาษาไทยแล้ว จะมลี ักษณะท่ีควรสงั เกตประกอบการอ่าน ดังนี้
๑. ตัวอกั ษรทุกตวั ที่ไม่มเี คร่ืองหมายใดอยบู่ นหรือล่าง และไม่มีสระใดๆ กากับไวใ้ หอ้ า่ นอักษรนน้ั มเี สียง
“อะ” ทุกตัว เช่น
อรหโต อ่านวา่ อะ-ระ-หะ-โต
ภควา อ่านวา่ ภะ-คะ-วา
นมามิ อา่ นวา่ นะ-มา-มิ
โลกวิทู อา่ นวา่ โล-กะ-วิ-ทู

๒. เมอื่ ตัวอกั ษรใดมเี คร่อื งหมาย ฺ (พนิ ท)ุ อยู่ขา้ งใต้ แสดงว่าอกั ษรน้นั เป็นตัวสะกดของอักษรท่ีอยูข่ ้างหน้า
ผสมกนั แลว้ ให้อา่ นเหมือนเสยี ง อะ+(ตวั สะกด) นนั้ เชน่

สมมฺ า (สะ+ม = สัม) อา่ นวา่ สัม-มา
สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อา่ นว่า สงั -โฆ

ยกเว้นในกรณีที่พยัญชนะตวั หน้ามีเครือ่ งหมายสระกากับอยูแ่ ลว้ ก็ใหอ้ ่านรวมกันตามตัวสะกดนน้ั เช่น

พทุ ฺโธ อา่ นวา่ พุท-โธ
พุทธฺ สฺส อา่ นวา่ พทุ -ธสั -สะ
สนฺทฺฏิ ฺ ฺฐโิ ย อา่ นว่า สนั -ทิฏ-ฐ-ิ โย
ปาหุเนยโฺ ย อา่ นวา่ ปา-ห-ุ เนย-โย

๓. เมอื่ อกั ษรใดมีเครื่องหมาย (นฤคหิต) อยู่ข้างบนตัวอักษร ใหอ้ า่ นใหเ้ หมือนอักษรนน้ั มีไม้หนั อากาศและ
สะกดดว้ ยตวั “ง” เช่น

อรห อา่ นวา่ อะ-ระ-หัง
สงฺฆ อา่ นว่า สงั -ฆัง
ธมมฺ อา่ นว่า ธมั -มัง
สรณ อ่านว่า สะ-ระ-นัง
อญฺญ อ่านวา่ อัญ-ญงั

แต่ถ้าตวั อักษรน้นั มีทงั้ เครื่องหมาย (นฤคหิต) อยูข่ ้างบนและมีสระอนื่ กากบั อยู่ด้วย
ก็ใหอ้ า่ นออกเสยี งตามสระที่กากับ + ง (ตวั สะกด) เชน่

พาหุง อ่านวา่ พา-หงุ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (24)

๔. เมอ่ื อกั ษรใดเปน็ ตัวนาแต่มีเครอ่ื งหมาย ฺ (พนิ ทุ) อยู่ข้างใตด้ ้วยขอให้อา่ นออกเสียง “อะ” ของอกั ษรน้นั
เพียงครึ่งเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เช่น

สฺวากฺขาโต อ่านว่า สะหวาก-ขา-โต

3.3 หลักธรรมสาหรับพฒั นาสงั คม
หลักพทุ ธธรรมท่ใี ช้ในการสงเคราะห์คนในสงั คม
หลักธรรมข้อน้ีใช้เพื่อพัฒนาสังคม หรือช่วยสงเคราะห์คนในชุมชน องค์กร ประเทศชาติ หากไม่มีการ

เกื้อกูลแก่กันและกันประเทศชาติย่อมวุ่นวายไม่มีที่ส้ินสุดเพราะคนมีความลาบากในการแสวงหาปัจจัยพื้นฐานของ
ชวี ิต ประกอบไปด้วย สังคหวตั ถุ ๔ และราชสังคหวัตถุ ๔ ประการ ดังน้ี

๑) หลกั สังคหวัตถุ ๔
หลักสังคหวัตถุ ก็คือหลักแห่งการสงเคราะห์เก้ือกูลกันในสังคมชุมชน ที่มีคนต่างระดับกันไม่ว่าจะเป็น
ด้านฐานะ ความเป็นอยู่ รูปแบบการดาเนินชีวิต ในสังคมหน่ึงย่อมจะต้องมีความบกพร่องและมีส่วนเกินทางด้าน
ทรพั ย์สนิ และเคร่ืองดาเนินชีวติ อยู่ไม่มากก็น้อย ดังน้ี

๑) ทาน การแบง่ ปัน ธรรมะข้อน้เี ป็นพ้นื ฐานของมนุษย์ทีจ่ ะมีการเอื้ออาทรตอ่ กัน คอื การหยบิ ยน่ื

ใหแ้ ก่กนั และกัน ซง่ึ การหยิบยน่ื ใหก้ ันและกนั น้ันอยู่ท่ใี จทีจ่ ะเสยี สละออกไปมากกว่าการถูกบงั คับดว้ ยระบอบทาง

การเมือง ดังนนั้ จะเหน็ วา่ ความละเอยี ดอ่อนในเร่ืองนี้มีความแตกต่างกนั อยา่ งชัดเจน คือ

ระบอบธรรมาธปิ ไตย มองทานหรือการใหแ้ บ่งปนั เป็นเรือ่ ง ปจั เจกชนทีม่ องดูทีใ่ จหรอื การเออ้ื

อาทรต่อกนั เป็นหลัก

ระบอบประชาธิปไตย มองทานท่ีการเฉลย่ี ผลประโยชน์ทางดา้ นภาษที เ่ี ก็บได้ในแต่ละปี

ระบอบสังคมนยิ ม มองทานที่การบังคับใช้ทางกฎหมาย หรือการยึดจากปจั เจกชนมาเป็น

ของรฐั หรือส่วนรวม (ระบบคอมมนู ) เปน็ ตน้

๒) ปิยวาจา การพดู ด้วยคาอนั เป็นท่ีรกั ธรรมะขอ้ น้มี งุ่ ไปทีก่ ารสื่อสารกันในระดับต่าง ๆ เพื่อมีความ
เขา้ ใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพราะการอยู่ร่วมกันในสังคมหากไม่มีปิยวาจาท่ีมีองค์ประกอบเหล่าน้ีคือ ไม่พูดเท็จ -
ไม่พูดส่อเสยี ด - ไม่พูดคาหยาบ -ไมพ่ ดู เพ้อเจอ้ ต่อกนั สังคมนัน้ ก็จะไมม่ คี วามหวาดระแวงตอ่ กนั เป็นต้น

๓) อัตถจรยิ า การประพฤติตนใหเ้ ป็นประโยชน์ ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปที่การดารงตนให้มีประโยชน์ต่อผู้อ่ืน
หรือสังคม ดังสุภาษิตไทยว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น อย่างน้ีเป็นต้น เป็นน้าใจ
เลก็ ๆ น้อย ๆ ทผี่ อู้ ยูร่ ่วมกนั จะพึงกระทาต่อกนั

4) สมานตั ตตา การทาตนเองใหเ้ ปน็ คนเสมอตน้ เสมอปลาย มีความมุง่ มั่นในการงานวางตนเอง ไมท่ าตวั เอง
ใหว้ ุ่นวายเร่อื งมาก สร้างความแตกแยกให้กบั สังคม

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (25)

๒) หลกั ราชสังคหวัตถุ ๔
หลักธรรมข้อนี้มุ่งถึงผู้บริหารบ้านเมืองเม่ือได้อานาจมาแล้วต้องบริหารจัดการให้ดี ไม่อยากเป็นเพราะ
อยากได้ตาแหนง่ แตอ่ ยากเปน็ เพราะต้องการทางาน โดยทางานเพ่ือองค์กรน้ัน ๆ และท่ีสาคัญต้องมีการบารุงขวัญ
กาลงั ใจลกู น้องหรอื ผูอ้ ยูใ่ ต้บังคบั บัญชา ดังน้ี
๑) สัสสเมธะ รู้จักบารุงธัญญาหาร ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปที่การให้ต้นทุนสาหรับการทามาอาชีพของ
ราษฎร ในอินเดียโบราณมีอาชีพหลักคือการเกษตรแบบพอมีพอกิน ผู้นาจึงต้องมีการแจกจ่ายต้นทุนสาหรับเลี้ยง
ชีวิตของผู้ใตป้ กครอง
๒) ปุรสิ เมธะ รูจ้ ักบารุงขา้ ราชการบริพาร ธรรมะข้อนี้มุ่งไปท่ีการบารุงขวัญและกาลังใจข้าราชบริวาร
ที่รับใช้เป็นแขนเป็นขาให้ ดังน้ีผู้บริหารจาเป็นจะต้องมีการเพ่ิมเงินเดือน มีการให้รางวัล มีโบนัสประจาปี ให้กับ
ผูใ้ ต้บังคบั บัญชาตามสมควรแก่ฐานะ, สถานท่ีและเวลาโอกาส เปน็ ตน้
๓) สมั มาปาสะ รู้จักส่งเสริมวิชาชีพ ธรรมะข้อนี้มุ่งไปที่การส่งเสริมราษฎรให้มีอาชีพเสริม หรือมีความ
หลากหลาย โดยผู้นาได้ไปดู ได้ไปศึกษาในหลายพ้ืนท่ีและมองเห็นโอกาสความก้าวหน้าของวิชาชีพนั้น จึงได้นามา
ส่งเสริม เช่น ทฤษฎีใหม่ หรือการเป็นอยู่อย่างพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , โครงการศูนย์
ส่งเสริมศลิ ปาชพี บางไทรของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนิ นี าถ เป็นต้น
๔) วาชไปยะ รู้จักช้ีแจงแนะนา ธรรมะข้อนี้มุ่งไปที่การส่ือสารแบบสองทาง ท่ีชาวบ้านธรรมดาก็
สามารถเข้าพบปะพูดคุยและสามารถแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านได้ด้วยนอกจากน้ันยังรู้จักปลอบโยนเม่ือผู้อยู่ใต้
ปกครองประสบกับปัญหาเดือดร้อนในเร่ืองตา่ ง ๆ ได้

หลกั พทุ ธธรรมท่ีใชใ้ นการวนิ ิจฉัยส่งั การ
หมวดธรรมข้อนตี้ ้องการทจ่ี ะให้ผู้บรหิ ารไดม้ วี ิจารณญาณในการวนิ ิฉัยในเร่อื งราวต่าง ๆ แลว้ นามาสง่ั การ
เพ่อื ก่อให้เกดิ ประโยชนส์ งู สุดในการบรหิ ารปกครองบา้ นเมอื ง คือหลักอคติ ๔, หลักพรหมวหิ าร ๔, หลกั โลกธรรม ๘
และหลักอริยสัจจ์ ๔
๑) หลกั อคติ ๔
เพอ่ื ให้ผบู้ รหิ ารได้ใชห้ ลกั ธรรมทีไ่ ม่เอนเอียงไปทางดา้ นใดด้านหน่งึ เพราะเชื่อง่ายหเู บา หรือฟงั คายยุ งของ
ลูกนอ้ งผใู้ ตบ้ ังคับบัญชา หลักธรรมเหลา่ นนี้ อกจากจะใช้กับการตดั สินคดีความแลว้ ยงั ใช้กบั องคก์ รตา่ ง ๆ ไดด้ ี
๑) ฉนั ทาคติ ลาเอียงเพราะชอบ
๒) โทสาคติ ลาเอียงเพราะชงั
๓) ภยาคติ ลาเอยี งเพราะขลาดกลัว
๔) โมหาคติ ลาเอียงเพราะเขลา

๒) หลกั พรหมวิหาร ๔

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (26)

หลักธรรมน้ตี อ้ งการให้มนุษย์อยกู่ ันอยา่ งสันตสิ ุข มีความรักความผูกพันกนั มีความเอื้ออาทรตอ่ กนั และกัน

มีสนั ติภาพ, ภารดรภาพและเสรภี าพอยา่ งแท้จริง

๑) เมตตา ความเมตตาสงสาร

๒) กรุณา ความกรุณาเอื้ออาทร

๓) มทุ ติ า ความพลอยยนิ ดี

๔) อุเบกขา ความวางเฉยในโอกาสทีค่ วรปล่อยวาง

๓) โลกธรรม ๘

ธรรมข้อนเี้ ป็นธรรมท่ีอยู่คู่กบั โลก เมอื่ นกั บริหารยังหมกหมุ่นและคาดหวังในเร่อื งโลกธรรมน้มี ากเกินไป

ยอ่ มทาใหเ้ ป็นผ้นู าทขี่ าดความมั่นใจ ไม่กล้าแม้แตจ่ ะตัดสินใจลงมอื ทา เพราะกลัวในเรื่องของการไดแ้ ละเสยี เหลา่ น้ี

๑) ลาภ ๒) เสื่อมลาภ

๓) ไดย้ ศ ๔) เสอ่ื มยศ

๕) สรรเสริญ ๖) นนิ ทา

๗) สขุ ๘) ทุกข์

๔ ) อริยสจั จ์ ๔

ธรรมข้อนีผ้ ูบ้ รหิ ารจาเป็นต้องใชเ้ พอ่ื การศึกษาหาสาเหตุของปัญหาอปุ สรรคในงานนัน้ ๆ และยังสามารถ

กาหนดเปาู หมายโดยทาเป็นยุทธศาสตร์ และแนวทางในการดาเนนิ หนทางไปสู่เปูาหมายนนั้ ๆ ดว้ ย

๑) ทกุ ข์ ความทกุ ข์ หรอื ปญั หา

๒) สมุทัย ต้นเหตแุ หง่ ทุกข์ สมมตุ ิฐาน

๓) นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ เปาู หมาย

๔) มรรค หนทางดับทุกข์ มรรควธิ ีการเขา้ สู่เปาู หมาย

หลักพุทธธรรมทใ่ี ช้ในการพัฒนาองค์กร
หมวดธรรมข้อนี้ เป็นหมวดธรรมท่ีใช้ในการบริหารจดั การองค์กรให้มีความมั่นคงเจรญิ กา้ วหน้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นความผูกพนั ระหว่างคนกับคนได้เปน็ อยา่ งดีจนสามารถก่อใหเ้ กิดความสามัคคีขนึ้ ในหมู่คณะ
อกี ด้วย

๑) ฆราวาสธรรม ๔

ธรรมข้อนีเ้ พื่อให้คนในองค์กรไดม้ คี วามสบายใจที่มีความจริงใจต่อกนั มีความอดทน มีการข่มจติ ข่มใจและ

การเสยี สละใหป้ นั ส่งิ ของแก่กันและกัน

๑) สัจจะ ความจรงิ ใจตอ่ กนั

๒) ทมะ ความข่มใจ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (27)

๓) ขันติ ความอดทน
๔) จาคะ การเสยี สละ

๒) ทศิ ๖
ธรรมขอ้ นไ้ี ด้สอนใหค้ นได้ระลกึ ถึงกนั วา่ แตล่ ะคนไดม้ สี ถานภาพ หรือหน้าที่อะไรบา้ ง เพราะคน ๆ

หนง่ึ ย่อมมีสถานภาพหลายอย่างแต่ต้องรู้จกั บทบาทหนา้ ที่ของตัวเองให้ดี เชน่ นาย ก เป็นครอู ยู่
สถาบันการศึกษาแหง่ หน่ึง ก็ตอ้ งมีความสมั พนั ธก์ ับคนอ่นื ๆ อีก เช่น นาย ก มีพอ่ มีแม่, มคี รูอาจารย์, มี

บุตรภรรยา, มมี ิตรสหาย, มีลูกน้อง และนับถือศาสนา เป็นตน้ ซ่งึ แต่ละสถานภาพย่อมมเี คารพสิทธิซ่ีงกันและกนั
ไมล่ ะเมิดสทิ ธขิ องผอู้ นื่

๑) ปุรัตถิมทิส ทิศเบอ้ื งหน้า คือมารดาบดิ า
๒) ทักขิณทิส ทิศเบ้อื งขวา คือครอู าจารย์
๓) ปจั ฉิมทสิ ทศิ เบื้องหลงั คือบุตรภรรยา
๔) อุตตรทิส ทิศเบือ้ งซา้ ย คอื มิตรสหาย
๕) เหฏฐมิ ทิส ทิศเบือ้ งตา่ คอื บา่ วคนรับใช้
๖) อุปริมทิส
ทศิ เบ้ืองบน คือสมณชีพราหมณ์

๓ ) หลกั อปรหิ านิยธรรม ๗
ธรรมข้อน้ีเนน้ ความสามัคคี หากทาไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั ย่อมทาให้องค์กรน้นั ๆ เข้มแข็ง มั่นคงและเจริญก้าวหนา้
ไมม่ ีปญั หาทางการบรหิ ารจดั การใดใด คือ
๑) หมนั่ ประชมุ กนั เนื่องนติ ย์
๒) เมอ่ื ประชุมก็พร้อมเพียงกันประชมุ เลิกประชุมพรอ้ มกัน พร้อมเพียงในการชว่ ยกิจการงานที่เกดิ ขึ้น
๓) ไม่ถืออาเภอใจบัญญตั ใิ นส่ิงที่ไมส่ ังคมไม่ไดบ้ ญั ญตั ิไว้ ไม่ถอนส่ิงทีต่ กลงรว่ มกนั บัญญัติไวแ้ ล้ว
๔) เคารพผเู้ ป็นใหญ่ท่ีเปน็ ประธาน ท่เี ป็นใหญ่ มปี ระสบการณม์ ามาก และเคารพเช่ือฟังแล้วถอื ปฏบิ ัติ
๕) ใหเ้ กยี รตแิ ละคมุ้ ครองสตรี ไมข่ ่มแหงรงั แก ไม่ลุอานาจแกค่ วามอยากท่ีเกิดข้ึน
๖) เคารพบชู าสักการะปูชนียสถาน อนสุ รณ์สถาน อันเป็นศูนยร์ วมใจของประชาชนและทาการบชู าตาม
ประเพณี
๗) จัดการใหค้ วามอารักขา บารุง คมุ้ ครองแกบ่ รรพชิตผู้ทรงศลี

หลกั พุทธธรรมที่ใช้ในการวางแผนและกาหนดนโยบาย
หมวดธรรมหมวดนี้เป็นหมวดท่ใี ชใ้ นฐานะทก่ี ว้างขึน้ เรมิ่ จากการท่ีเราจะวางแผนการบริหารจัดการ

อย่างไร รวมไปจนถึงไดก้ าหนดกฏเกณฑ์ออกมาและในที่สดุ ได้กาหนดนโยบายหลกั ตามแนวพระพทุ ธศาสนา

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (28)

๑) อตั ถะ ประโยชน์

หมวดธรรมข้อน้ีถอื ไดว้ ่าเป็นการระบุเปาู หมายแห่งองค์กร หรือรัฐไดเ้ ป็นอยา่ งดที ผ่ี ้บู รหิ ารจะยดึ เอา

ประโยชนอ์ ะไรมาเปน็ หลัก กล่าวคอื จะยดึ ประโยชนเ์ พ่อื ตนเอง หรือประโยชน์เพือ่ ผู้อน่ื หรือจะทาประโยชนใ์ หเ้ กดิ

ทัง้ สองฝุาย หรอื หลายฝาุ ย

๑) อตั ตัตถะ ประโยชนจ์ ดุ หมายเพ่ือตน

๒) ปรัตถะ ประโยชนจ์ ุดหมายเพ่ือผอู้ ่ืน

๓) อภุ ยัตถะ ประโยชนจ์ ุดหมายทง้ั สอง

๒) แนวคดิ

ส่วนหลักข้อนเ้ี ป็นแนวคิดท่วี า่ ผ้บู ริหาร เมื่อเขา้ มาจดั การแลว้ นัน้ จาเป็นจะตอ้ งเปน็ ผทู้ รงธรรม หรือมี

คุณธรรมดังน้ี คือต้องมวี สิ ัยทัศนท์ ดี่ ีมสี ตปิ ญั ญาดีมองเหตปุ ัจจยั ของปัญหาอยา่ งทะลุ

ปรโุ ปรง่ ไมต่ ดิ คา้ ง, เปน็ ผู้มที ักษะในการบรหิ ารจัดการได้ดี และเปน็ ผู้มมี นุษยส์ ัมพันธ์ท่ีดีตอ่ บุคคลอ่นื รวมถึง

คนรอบข้าง หรือผู้ใตบ้ ังคบั บัญชาดว้ ย

๑) จักขุมา Vision วสิ ยั ทศั น์

๒) วธิ ูโร Management การจัดการ

๓) นสิ ยสมั ปนั โน Human Relationship มนุษยสัมพันธ์

๓) นโยบาย

พระพุทธเจ้าได้ทรงวางนโยบายในการประกาศพระพุทธศาสนาเอาไวใ้ นหลกั ๓ ประการท่ีกระทดั รดั เข้าใจ

งา่ ย แตท่ ว่ายง่ิ ใหญ่ คือการเว้นบาป-ทาดี-ทาใจใหบ้ ริสุทธ์ิ คอื

๑) สพฺพปาปสสฺ อกรณ การไม่ทาบาปท้ังปวง

๒) กุสลสฺสปู สมปฺ ทา การยังกุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม

๓) สจิตฺตปริโยทปน การยังจติ ใจให้สะอาดบริสทุ ธ์ิ

สรุปแนวคิดในการจัดหลกั พุทธธรรมต่าง ๆ
นอกจากหลักธรรมทัง้ ๗ หมวดดังกล่าวแลว้ ยงั มนี กั วิชาการไทยอีกหลายท่านที่ได้พยายามจัดหลกั ธรรม
เพอ่ื ใหเ้ ป็นหมวดหมู่ ซ่งึ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกบั การเมืองการปกครองมากนกั แต่ทวา่ ได้ถือเอาสังคมเปน็ หลกั ดงั น้ี
พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโต) ขณะดารงสมณศกั ดิ์ทีพ่ ระธรรมปิฎก ไดแ้ บ่งธรรมะออกเป็น ๔
หมวด เพอ่ื ใหเ้ หมาะกบั คนให้มากทสี่ ดุ โดยมีคนเปน็ ศูนย์กลาง ดงั น้ี [5]

๑) คนกบั สงั คม
๒) คนกบั ชีวิต
๓) คนกับคน
๔) คนกับมรรคา

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (29)

บทท่ี 4
ประวัติความเปน็ มาและการจัดหมวดหมขู่ องพระวินัย

4.1 ประวัติความเปน็ มาและความสาคญั ของพระวนิ ยั
พระวินยั ปิฎก (บาลี: Vinaya Piṭaka วนิ ะยะปฏิ ะกะ) ถือเป็นสว่ นหนง่ึ ของพระไตรปฎิ ก เปน็ ประมวลกฎ

ขอ้ บังคับ เกยี่ วกบั ความประพฤตขิ องเหลา่ พระสงฆ์ ท้ังภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ีทวา่ พระวินัยปิฎกนัน้ มิได้มแี ต่กฎข้อบังคบั เท่านน้ั หากยงั มี

เน้ือหาสะทอ้ นประวตั ศิ าสตรข์ องอินเดยี ในสมยั พทุ ธกาลดว้ ย รวมทงั้ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และประวัติของบุคคลสาคญั บางคน
ในยคุ น้ัน เชน่ ชวี กโกมารภจั จเ์ ดิมนน้ั พระวินยั ปิฎกแบ่งไดเ้ ป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ ได้แก่

ภาค 1 สุตตวภิ ังค์
ภาค 2 ขันธกะ
ภาค 3 ปรวิ าร
ในภายหลังมกี ารแบง่ เป็น 5 ส่วน และถอื เอาเป็นหลักในการจาแนกหมวดพระวนิ ยั มาจนปัจจุบนั ดงั น้ี

มหาวภิ งั ค์ เนื้อหาเกย่ี วกบั มูลเหตแุ ห่งการบญั ญตั ิพระวินยั และข้อวนิ ัยของพระสงฆ์ 220 ข้อ กับวธิ ีพิจารณาข้อพพิ าทอีก 7 ขอ้ รวม
เป็น ศีล 227 ข้อ

ภิกขุนีวิภังค์ กลา่ วถงึ วนิ ยั ของพระภกิ ษุณี ทไี่ มซ่ า้ กบั พระภิกษุ 130 (ภิกษณุ มี ีวนิ ัย 311 ขอ้ )
มหาวรรค แบง่ ไดเ้ ปน็ 10 หมวดยอ่ ย หรือ 10 ขนั ธกะ กาเนิดภิกษุสงฆ์ และกจิ การเก่ียวแกภ่ ิกษสุ งฆ์ ได้แก่ มหาขันธกะ,
อุโบสถขันธกะ, วัสสูปนายิกาขนั ธกะ, ปวารณาขนั ธกะ, จมั มขันธกะ, เภสัชชขันธกะ, กฐนิ ขนั ธกะ, จีวรขันธกะ, จมั เปยยขนั ธกะ และ
โกสัมพิขนั ธกะ
จลุ วรรค แบง่ เปน็ 12 หมวดย่อย หรอื 12 ขันธกะ เกย่ี วกับระเบยี บความเปน็ อยู่ของภกิ ษุ ภิกษณุ ี และเร่อื งสงั คายนา ได้แก่
กรรมขันธกะ, ปรวิ าสิกขันธกะ, สมจุ จยขันธกะ, สมถขันธกะ, ขุททกวตั ถุขันธกะ, เสนาสนขันธกะ, สังฆเภทขนั ธกะ, วตั ตขนั ธกะ, ปาฏิ
โมกขัฏฐปนขนั ธกะ, ภิกขุนขี ันธกะ, ปญั จสติกขันธกะ และสตั ตสตกิ ขนั ธกะ
ปริวาร เปน็ ขอ้ ปลกี ยอ่ ยต่างๆ และคูม่ ือถามตอบซกั ซ้อมเก่ียวกบั พระวินัย

4.2 โครงสร้างและการจดั หมวดหมขู่ องพระวนิ ัย

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (30)

4.3 เน้ือหาสงั เขปของพระวนิ ัย
พระวนิ ัยปิฎก
ประมวลพทุ ธพจนห์ มวดพระวินยั คือพทุ ธบัญญตั ิเก่ียวกบั ความประพฤติ ความเปน็ อยู่ ขนบธรรมเนียมและการดาเนิน

กิจการต่างๆ ของภกิ ษสุ งฆแ์ ละภิกษุณีสงฆ์ แบ่งเปน็ 5 คัมภรี ์ (เรยี กยอ่ หรือหวั ใจวา่ อา ปา ม จุ ป)1 8 เล่ม
เลม่ 1 มหาวิภังค์ ภาค 1 วา่ ด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ ฝาุ ยภิกษสุ งฆ์ (กฎหรือขอ้ บังคับที่เปน็ หลักใหญ่สาหรับพระภิกษ)ุ

19 ข้อแรก ซง่ึ อยูใ่ นระดบั อาบัติหนักหรอื ความผดิ สถานหนกั คือ ปาราชกิ สังฆาทิเสส และอนิยต
เล่ม 2 มหาวิภงั ค์ ภาค 2 วา่ ดว้ ยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ ฝุายภกิ ษสุ งฆ์ ขอ้ ท่ีเหลือ ซึ่งอยใู่ นระดับอาบตั เิ บาหรือความผดิ

สถานเบา คือ ต้งั แตน่ สิ สคั คยิ ปาจติ ตีย์ จนครบสกิ ขาบท 227 หรือ ศีล 227

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (31)

เลม่ 3 ภกิ ขนุ ีวภิ งั ค์ ว่าดว้ ยสกิ ขาบท 311 ของภิกษณุ ี

เลม่ 4 มหาวรรค ภาค 1 วา่ ดว้ ยสกิ ขาบทนอกปาตโิ มกข์ (ระเบียบข้อบงั คับท่ัวไปเกยี่ วกับความเปน็ อยู่และ
การดาเนินกิจการของภกิ ษุสงฆ์) ตอนตน้ มี 4 ขันธกะ (หมวด) คือ เรือ่ งกาเนดิ ภิกษุสงฆ์และการอปุ สมบท อุโบสถ จา
พรรษา และปวารณา

ชือ่ มหาวรรค (เป็นวินยั ปิฎก) คาวา่ มหาวรรค แปลวา่ วรรคใหญ่ บรรจุข้อความมากถึง 2 เลม่ พระไตรปิฎก
คอื เล่ม 4 และ เล่ม 5. เฉพาะในเลม่ 4 นี้แบง่ เป็นหมวดหรือตอนทสี่ าคัญ ซ่งึ เรยี กว่า "ขันธกะ" รวม 4 ขนั ธกะ หรือ
4 ตอน คือ

1. มหาขันธกะ (หมวดใหญ่หรือตอนใหญ่) ว่าด้วยเหตุการณ์ตั้งแต่ตรัสรู้ จนถึงแสดงปฐมเทศนา, แสด
งอนัตตลักขณสูตร, แสดงธรรมโปรดสกุลบุตร พร้อมท้ังครอบครัวและมิตรสหาย, แสดงธรรมโปรดภัททวัคคียกุมาร
30 คน, แสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดชฏิลพันรูป, แสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสาร, พระสาริบุตร พระโมคคัลลา
นะออกบวช อุปัชฌายวัตร (ข้อปฏิบัติต่อท่านผู้บวชให้), สัทธิวิหาริกวัตร (ข้อปฏิบัติต่อศิษย์ท่ีตนบวชให้), การ
ประณาม (ขับไล่), กรขอขมา, การบวชด้วยญัตติจตุตถกรรม, การบอกนิสสัย 4, อาจริยวัตร (ข้อปฏิบัติต่ออาจารย์),
อันเตวาสิกวัตร (ข้อปฏิบัติต่อภิกษุที่เป็นศิษย์ผู้อยู่ในปกครอง), นิสสัยระงับ, ผู้ควรให้บวช, การอบรมผู้เคยเป็น
เดียรถีย์ก่อนให้บวช, ภัณฑุกรรม, การขาดคุณสมบัติในการบวช, การบวชสามเณร, สิกขาบท และการลงโทษ
สามเณร, ผ้ทู หี่ ้ามบวช, วธิ ีการในการอปุ สมบท, และเร่อื งของภิกษทุ ี่ถูกสงฆล์ งโทษ เพราะไม่เห็นความผิด (อาบัติ).

2. อุโบสถขันธกะ (หมวดหรือตอนว่าด้วยอุโบสถ) กล่าวถึงการฟังธรรม, การสวดปาฏิโมกข์ในวันอุโบสถ,
การสมมติสีมา, การสมมติโรงทาอุโบสถ, ปัญหาเรื่องสีมา, การสวดปาฏิโมกข์ย่อ, การอนุญาตให้เรียนปักขณนา,
ส่วนประกอบอน่ื ๆ ในกรปฏบิ ัตกิ ่อนสวดปาฏิโมกข์ การนับวันอุโบสถและบคุ คลที่ไมอ่ นุญาตให้ทาอโุ บสถ.

3. วัสสูปนายิกาขันธกะ (หมวดหรือตอนว่าดว้ ยวนั เข้าพรรษา) การจาพรรษา, วันเข้าพรรษา 2 อย่าง, การ
เล่อื นวนั เข้าพรรษาให้เร็วเข้า, การเดินทางกลับภายใน 7 วัน, อันตรายของภิกษุผู้จาพรรษา, การจาพรรษาในที่ต่าง
ๆ และอาบัตทิ กุ กฏเพราะรบั คาแลว้ ไมท่ าตามถ้อยคาเกย่ี วกับการจาพรรษา.

4. ปวารณาขันธกะ (หมวดหรือตอนวา่ ดว้ ยการปวารณา คือการอนุญาตให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนได้) ว่า
ด้วยรายละเอยี ดตา่ ง ๆ ทพี่ ึงทราบและพึงปฏบิ ตั ิเกีย่ วกับการปวารณา.
นเี้ ปน็ ใจความย่อแห่งพระไตรปฎิ ก เล่มท่ี 4 มหาวรรค วินยั ปฎิ ก.

เลม่ 5 มหาวรรค ภาค 2 ว่าด้วยสกิ ขาบทนอกปาติโมกข์ ตอนตน้ (ต่อ) มี 6 ขนั ธกะ (หมวด) คอื เร่ืองเครื่อง
หนงั เภสัช กฐิน จวี ร นิคหกรรม และการทะเลาะววิ าทและสามคั คี

ช่อื มหาวัคค์ (เป็นวนิ ยั ปฎิ ก) ไดก้ ลา่ วแลว้ ว่า มหาวัคค์ มี 2 เลม่ คอื เลม่ 4 กับเลม่ 5, ในเล่ม 4 ท่ีย่อจบ
มาแล้วมี 4 หมวด หรือ 4 ขนั ธกะ แต่ในเล่ม 5 มี 6 หมวด หรอื 6 ขันธกะ (รวมทง้ั สน้ิ ในมหาวัคค์ จึงมี 10 ขันธกะ)
ดังน้ี

1. จมั มขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยหนงั ) ในหมวดน้ีเลา่ ประวัติของพระโสณโกฬวิ ิสะ บตุ รเศรษฐี ผ้อู อกบวชแลว้
บาเพญ็ เพียรจนเทา้ แตก.

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (32)

ทรงอนุญาตให้ใช้รองเทา้ หญ้าช้นั เดยี ว ห้ามใชร้ องเทา้ สตี ่าง ๆ และห้ามใช้รองเท้าหนังสัตวท์ ไี่ ม่ควรต่าง ๆ
ทรงแสดงเรื่องมารยาทในการใช้รองเทา้ ว่าอยา่ งไรเป็นเสียความเคารพ อย่างไรไมเ่ สีย

ทรงหา้ มรองเท้าไม้ ห้ามใช้ยานทีไ่ ม่สมควร ห้ามใชท้ ่ีนั่งที่นอนอันสงู ใหญ.่ หา้ มใช้หนังแผ่นใหญ่.
เร่ืองพระโสณกุฏกิ ัณณะผู้อยู่ในแควน้ อวนั ต.ี และกาหนดเขตชนทบทภาคกลางและชนบทชายแดน
2. เภสัชชขนั ธกะ (หมวดว่าด้วยยารกั ษาโรค) กล่าวถึงยาต่างชนิด เลา่ เร่ืองพระเวลฏั ฐสสี ะ, พระปลิ นิ ทวจั
ฉะ, ทรงอนุญาตการผา่ ตัด, ทรงอนุญาตยา 4 ชนดิ และยาสมอดองด้วยน้ามตู ร, ทรงอนุญาต คนทางานวัด, อนุญาต
เภสชั 5, เล่าเร่อื งพระกงั ขาเรวตะ, พระผู้มีพระภาคทรงประชวรโรคลมในทอ้ ง, หา้ มเกบ็ อาหารและหุงต้มในท่อี ย.ู่
เรือ่ งเนอ้ื ทไ่ี มส่ มควรฉนั , การเสด็จสู่ปาฏลคิ าม, เรือ่ งนางอัมพปาลี, เรื่องนา้ ดม่ื 8 อย่างและเรื่องกาลิก 4
3. กฐินขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยกฐิน) กลว่ ถงึ ต้นเหตุทรงอนุญาตกฐิน อานิสงส์ 5 เมื่อได้กราลกฐนิ , กฐินไม่
เปน็ อนั กราล, ขอ้ กาหนด 8 อยา่ งในการเดาะกฐิน (รื้อไมส้ ะดึง), ความกังวลและไม่กงั วลเกี่ยวกบั กฐนิ
4. จีวรขนั ธกะ (หมวดว่าด้วยจีวร) กลา่ วถงึ เรือ่ งราวตา่ ง ๆ ตงั้ แต่ทรงอนญุ าตให้รบั จวี รได้ ตลอดจนผ้าท่ีจะ
ใช้หลายชนดิ กับทง้ั ผา้ ที่เกดิ ขึ้นโดยผูถ้ วายตั้งเงื่อนไขไวต้ ่าง ๆ
5. จมั เปยยขันธกะ (วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ นกรงุ จัมปา) ว่าด้วยการทากรรมของสงฆ์ต่างชนิด ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง
ลงโทษ เช่น อกุ เขปนียกรรม (การยกขึ้นจากหมู่) เป็นตน้
6. โกสัมพขิ ันธกะ (วา่ ด้วยเหตกุ ารณใ์ นกรงุ โกสัมพ)ี สว่ นใหญ่กล่าวถงึ เร่อื งสงฆแ์ ตกสามัคคีกนั แล้วทรง
แสดงวิธปี รองดองของสงฆ์ในทางพระวนิ ัย.

เล่ม 6 จุลลวรรค ภาค 1 วา่ ดว้ ยสิกขาบทนอกปาตโิ มกข์ ตอนปลาย มี 4 ขนั ธกะ คือ เร่อื งนคิ คหกรรม วฏุ
ฐานวธิ ี และการระงบั อธกิ รณ์

ชอ่ื จลุ ลวัคค์ (วรรคเลก็ ) เปน็ วินยั ปิฎก ไดก้ ล่าวแล้วว่า มหาวัคค์ (วรรคใหญ)่ ซึ่งเป็นวนิ ยั ปิฎกนนั้ ไดแ้ ก่
พระไตรปิฎก เลม่ 4 และ เล่ม 5 ซึง่ ไดย้ ่อความมาแล้ว. ในเล่ม 4 มี 4 ข้นธกะ หรือ 4 หมวด ในเลม่ 5 มี 6 ขันธกะ
หรือ 6 หมวด รวมมหาวัคค์มี 10 ขันธกะ.

บัดนม้ี าถงึ ย่อความแห่งจุลลวัคค์ (วรรคเลก็ ) จงึ ควรทราบว่า จุลลวัคค์ ได้แก่พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี 6 และเล่ม
ที่ 7 ซ่งึ ยงั เป็นวนิ ยั ปฎิ ก.

เลม่ ท่ี 6 มี 4 ขันธกะ เลม่ ท่ี 7 มี 8 ขันธกะ ทัง้ สองเล่มจึงมี 12 ขันธกะ (รวมท้ังมหาวัคค์และจุลลวคั ค์มี 22
ขันธกะ หรือ 22 หมวด).

เฉพาะเล่มท่ี 6 นี้ ที่ว่ามี 4 ขนั ธกะ นัน้ ดังนี้
1. กมั มขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยสังฆกรรม) ในหมวดน้ไี ดน้ าเร่ืองวิธีลงโทษ ซึ่งเคยกลา่ วไว้แล้วในเลม่ 5 มา
ขยายความเปน็ ขอ้ ๆ คือ ดัชชนยี กรรม (ข่มข)ู่ นิยสกรรม (ถอดยศหรือตัดสิทธ)ิ ปัพพาชนียกรรม (ขบั ไล)่ ปฏิสารณี
ยกรรม (ขอขมาคฤหสั ถ์) และอุกเขปนยี กรรม (ยกจากหมู)่ พร้อมดว้ ยวธิ ีระงับการลงโทษนั้น ๆ
2. ปาริวาสกิ ขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยภกิ ษุผู้อยปู่ ริวาสเพื่อออกจากอาบตั ิสังฆาทิเสส) กลา่ วถงึ วัตรหรือข้อ
ปฏบิ ตั ิของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ ริวาส รวม 94 ขอ้ และกระบวนการอันเก่ยี วกับการออกจากอาบตั ิสังฆาทเิ สส เช่น ขอ้ กาหนด
ในการอยปู่ รวิ าส การชักเข้าหาอาบัติเดิม การประพฤติมานัตต์ และการสวดถอนจากอาบัติ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (33)

3. สมจุ จยขนั ธกะ (หมวดวา่ ด้วยการรวบรวม คือประมวลเรื่องท่ีเกี่ยวกับการออกาจากอาบัติสงั ฆาทิเสส ที่เหลือ
จากปริวาสิกขนั ธกะ) มเี ร่ืองการขอมานัตต์ การให้มานัตต์ การขออัพภาน (สวดถอนจากอาบัติสงั ฆาทเิ สส) เป็นต้น

4. สมถขันธกะ (หมวดว่าด้วยวธิ ีระงบั อธกิ รณ์) วิธีระงับอธกิ รณ์ 7 อยา่ งมีอะไรบ้าง ได้กลา่ วไวแ้ ลว้ ในท้าย
พระไตรปฎิ ก เลม่ 2 ตอนนเี้ ป็นการอธิบายโดยละเอยี ดทั้งเจด็ ข้อ คือ

4.1. สมั มุขาวินัย การระงบั แบบพรอ้ มหนา้
4.2. สตวิ ินยั การระงบั ด้วยยกใหพ้ ระอรหันตว์ ่าเปน็ ผู้มสี ติ
4.3. อมฬู หวินัย การระงับดว้ ยยกประโยชนใ์ ห้ในขณะเปน็ บ้า
4.4. ปฏญิ ญาตกรณะ การระงับดว้ ยถอื ตามคารับของจาเลย
4.5. เยภยุ ยสิกา การระงับด้วยถอื เสียงข้างมากเป็นประมาณ
4.6. ตสั สปาปยิ สิกา การะงับด้วยการลงโทษแกผ่ ผู้ ิด
4.7. ตณิ วตั ถารกะ การระงบั ดว้ ยใหป้ ระนปี ระนอมหรือเลิกแล้วกันไป.

เล่ม 7 จุลลวรรค ภาค 2 ว่าดว้ ยสกิ ขาบทนอกปาติโมกข์ ตอนปลาย (ต่อ) มี 8 ขันธกะ คอื เรือ่ งข้อบญั ญตั ิ
ปลกี ยอ่ ย เร่อื งเสนาสนะ สังฆเภท วตั รตา่ งๆ การงดสวดปาตโิ มกข์ เรอื่ งภกิ ษุณี เร่ืองสงั คายนา คร้งั ที่ 1 และครั้งท่ี 2

จุลลวคั ค์ (เปน็ พระวนิ ัยปิฏก) ไดก้ ลา่ วแล้ววา่ จุลวคั ค์มี 2 เล่ม คอื เล่ม 6 กับเลม่ 7 เลม่ 6 ทยี่ ่อมาแล้วมี 4
หมวด หรือ 4 ขนั ธกะ ในเลม่ 7 มี 8 หมวด หรอื 8 ขันธกะ ดังต่อไปน้ี ?-

1. ขุททกวัตถุขนั ธกะ(หมวดว่าด้วยเร่อื งเลก็ ๆ น้อย ๆ ) เรื่องท่ีกล่าวในหมวดนเี้ ปน็ เรื่องเบด็ เตล็ด เชน่ ขอ้
ปฏิบัติในเวลาอาบนา้ , การดูมหรสพ, ขอ้ หา้ มและอนญุ าตที่เก่ยี วกบั บาตร เปน็ ตน้ จนถึงเรือ่ งเคร่ืองใชท้ ี่ทาดว้ ยโลหะ
, ทาด้วยไมแ้ ละทาดว้ ยดนิ เหนยี ว,

2. เสนาสนขันธกะ( หมวดวา่ ดว้ ยทอี่ ยอู่ าศยั )ในหมวดนก้ี ล่าวถึงเรอ่ื งสถานที่อยูอ่ าศัย, เคร่อื งใช้ เชน่ เตียง
ตง่ั , ผา้ ปูน่งั ปนู อน, เครอ่ื งใช้ประจาในที่อยู่ ตลอดจนการก่อสร้าง เป็นต้น.

3. สังฑเภทขนั ธกะ(หมวดวา่ ด้วยสงฆแ์ ตกกัน) เล่าเรื่องพระเทวทตั คดิ ประทษุ รา้ ยพระพุทธเจ้าแตไ่ มส่ าเรจ็
จนถงึ เหตุการณ์ทีท่ าให้พระเทวทตั อาเจียนเปน็ โลหิต และเรื่องการสงฆใ์ หแ้ ตกกนั พรอ้ มทั้งข้อกาหนดต่าง ๆ
เกย่ี วกับการที่สงฆแ์ ตกกนั .

4. วัตตขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยวตั รหรือข้อปฏบิ ตั ิ)วา่ ด้วยวตั รหรอื ขอ้ ปฏบิ ัตติ ่าง ๆ 13 เร่ืองขอ้ ปฏิบตั ิของภิกษุ
ผู้เปน็ อาคนั ตุกะ, ขอ้ ปฏบิ ตั ของภิกษผุ เู้ ป็นเจ้าของถิน่ , ขอ้ ปฏบิ ัตขิ องภิกษผุ จู้ ะเดนิ ทางจากไป, ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นโรงอาหาร,
ข้อปฏิบัตขิ องภิกษผุ ้บู ณิ ฑบาต, ขอ้ ปฏบิ ตั ิของภกิ ษผุ ู้อยู่ปุา, ขอ้ ปฏิบตั เิ น่อื งด้วยที่อยู่อาศัย, ข้อปฏิบตั ิในเรือนไฟ, ขอ้
ปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับวัจจกฏุ ิ (สว้ ม), ขอ้ ปฏิบัตติ ่ออุปชฌายะ, ข้อปฏิบตั ติ อ่ สัทธิวิหารกิ , ขอ้ ปฏิบัตติ ่ออาจาย์ , ข้อปฏบิ ตั ติ ่อ
อันเตวาสิก,

เลม่ 8 ปรวิ าร ค่มู ือถามตอบซอ้ มความรพู้ ระวนิ ยั
ชื่อปริวาร (เป็นพระวินัยปิฏก) พระไตรปิฎกเล่มน้ี 8 น้ี เป็นเล่มสุดท้ายของวินัยปิฎก และมีข้อความท่ีพึง
นามาย่อไว้เพียงเล็กน้อยเพราะข้อความในเล่มนี้เป็นการย้อนไปกล่าวถึงพระไตรปิฎก ต้ังแต่เล่มที่ 1 ถึงเล่มที่ 7 ท่ี

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (34)

กล่าวมาแลว้ น้นั เอง เป็นแตก่ ารย้อนกลา่ วในคร้ังนี้ เท่ากบั ประมวลความสาคัญที่น่ารู้ต่าง ๆ มากล่าว ไว้ มีหัวข้อใหญ่
ๆ อยู่ 21 ขอ้ ดว้ ยกัน คือ

1. มหาวิภังค์โสฬสมหาวาร เป็นการย้อนกล่าวถึงศีลของภิกษุ 227 ข้อ ทีละข้อ อันปรากฏในวินัยปิฎก เล่ม
ที่ 1 และ 2 ซ่ึงมีช่ือว่ามหาวิภังค์ โดยตั้งประเด็นไว้ 2 ส่วน ส่วนละ 8 ประเด็น รวมเป็น 16 ประเด็น ( โสฬสมหา
วาร). ส่วนแรกกับสว่ นหลัง ความจริงกพ็ ้องกนั ทง้ั แปดประเด็น เปน็ แต่วา่ สว่ นแรกพิจารณาถึงการทาผิดโดยตรง ส่วน
หลังพิจารณาถึงผลอันเน่ืองมาจากเหตุ คือการทาความผิด หรือกล่าวตาม ศัพท์ที่ปรากฏก็คือ ส่วนหลังพิจารณา
ปจั จัย คือการทาความผิดนนั้ ๆ เป็นปัจจัยหรือเปน็ เหตุใหเ้ กดิ อะไรขึน้ . ประเด็น 8 ประเดน็ ซึง่ มอี ยูใ่ น 2 สว่ นน้ัน คือ

1. กัตถปัญญัติตวิ าร ประเด็นทว่ี า่ บญั ญัติไว้ ณ ที่ไหนหมายถึงสถานท่ี ซ่ึงทรงบญั ญัตสิ ิกขาบท รวมทัง้ บุคคล
ผเู้ ป็นต้นเหตใุ หบ้ ญั ญัตสิ กิ ขาบท, เร่อื งราวท่เี กดิ ข้นึ เปน็ ต้น

2. กตาปัตตวิ าร ประเดน็ ท่วี า่ เมื่อทาความผิดน้นั ๆ ลงไปแลว้ จะตอ้ งอาบตั อิ ะไรบ้าง เชน่ ภิกษลุ ักทรัพย์ใน
กรณเี ชน่ ไร ต้องอาบตั ิปาราชิก อาบตั ิถลุ ลัจจัยและอาบัติทุกกฎ

3. วิปัตตวิ าร ประเด็นที่ว่าการทาความผิดนนั้ ๆ จะเปน็ ศีลวบิ ัติ ความบกพร่องทางศีล หรอื าจารวิบัติ ความ
บกพร่องทางความประพฤติ เป็นต้น

4. สงั คหิตวาร ประเด็นท่ีวา่ การทาความผิดนนั้ ๆ สงเคราะห์หรือจดั เข้ากับกองอาบตั อิ ะไร
5. สมฏุ ฐาน ประเดน็ ที่วา่ การทาความผิดน้นั เกิดข้นึ หรอื มาสมุฏฐานทางกาย, วาจา, หรือใจ
6. อธิกรณวาร ประเดน็ ท่ีวา่ การทาความผิดนัน้ ๆ เป็นอธิกรณป์ ระเภทไหน ใน 4 ประเภท
7. สมถวาร ประเด็นที่ว่า การทาความผดิ ทีเ่ ป็นอธิกรณ์นั้น ๆ จะระงบั ดว้ ยวิธีระงับ 7 อย่าง ข้อไหนบ้าง
8. สมุจจยวาร คือกล่าวซ้า 7 ข้อแรกอีกคร้งั หนึง่ . ในส่วนท่ี 2 อีก 8 ประเดน็ ก็ทานองเดียวกัน เพยี งแต่
เปล่ยี นหลักการเลก็ น้อยวา่ เพราะปจั จัยแห่งการทาความผิดน้นั จะมผี ลเปน็ อย่างไรบ้าง.

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (35)

บทที่ 5
สาระสาคัญและคุณคา่ ของพระวินัย

5.1 วตั ถุประสงค์การบญั ญัติพระวนิ ัย
การบัญญตั สิ กิ ขาบทของพระพทุ ธเจา้ การบัญญตั ิพระวินยั ของพระพุทธเจ้ามีที่มาและมขี นั้ ตอน

ตามลาดับ ดงั นี้
ในสมยั หนง่ึ พระผมู้ ีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดา เขตเมืองเวรัญชาพร้อมพระภิกษุสงฆ์

หมู่ใหญ่ เวรัญชาพราหมณ์ได้เข้าไปพบพระผู้มีพระภาค หลังจากได้สนทนากันแล้วก็เกิดความเลื่อมใสแสดงตนเป็น
อบุ าสก

เหตุใหพ้ ระศาสนาดารงอยู่ไม่นานและอยู่ได้นาน
ครั้งน้ัน พระสารีบุตรได้ไปในท่ีสงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดข้ึนว่า ศาสนาของพระผู้มีพระ
ภาคทั้งหลาย พระองคไ์ หนไม่ดารงอยนู่ านและพระองค์ไหนดารงอย่นู าน จงึ ได้เขา้ ไปทลู ถามพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มีพระศาสนาของพระพุทธเจ้าอยู่สามพระองค์ที่ไม่ดารงอยู่นาน และอีกสาม
พระองคท์ ี่ดารงอยนู่ าน
พระสารบี ุตรจึงทลู ถามถึงสาเหตุปัจจัยที่เป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า การท่ีศาสนาท่ีไม่ดารง
อยู่ได้นาน เพราะพระผมู้ ีพระภาคท้ังสามพระองค์ ทรงท้อพระทัยท่ีจะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกท้ังหลาย อน่ึง
สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ วิ ุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้งสาม
มีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้แสดงแก่สาวก เพราะอันตราธานแห่งพระผู้มีพระภาคเหล่าน้ัน
เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตาม สาวกช้ันหลังที่ต่างช่ือกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูล
ต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน เหมือนดอกไม้ต่างพรรณที่กองไว้ ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลม
ย่อมกระจาย กาจดั ดอกไม้เหล่านนั้ ได้
การท่พี ระพทุ ธศาสนาดารงอยไู่ ด้นาน เพราะพระผู้มีพระภาคทั้งสาม มิได้ทรงท้อพระทัย เพื่อจะทรงแสดง
พระธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อน่ึง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพ
ภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคท้ังสามพระองค์น้ันมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่
สาวก เพราะอันตรธานพระผู้มีพระภาคเหล่าน้ัน เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามเหล่าน้ัน สาวกช้ันหลังจึง
ดารงพระศาสนา ไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน เหมือนดอกไม้ต่างพรรณที่กองไว้ ใช้ด้ายร้อยไว้ดีแล้ว ลมย่อม
กระจาย กาจดั ดอกไม้เหลา่ น้ันไม่ได้

พระสารบี ตุ รปรารภให้ทรงบัญญตั สิ กิ ขาบท
เมื่อพระสารีบุตรได้สดับดังนั้น จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้วท่ีจะทรงบัญญัตสิกขาบท ที่จะ
ทรงแสดงปาตโิ มกขแ์ ก่สาวก อันจะเป็นเหตใุ ห้พระศาสนานีย้ ่ังยืน ดารงอยู่ไดน้ าน

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (36)

พระผมู้ ีพระภาคตรสั ว่า ให้รอก่อน เพราะพระตถาคตแต่ผู้เดียวจกั รกู้ าลในกรณยี ์นั้น พระศาสดายังไม่
บญั ญตั สิ กิ ขาบท ยงั ไม่แสดงปาติโมกขแ์ กส่ าวก ตลอดเวลาทีธ่ รรมอนั เปน็ ทตี่ ้ังแหง่ อาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฎใน
สงฆ์ในศาสนาน้ี ต่อเมื่อใด อาสวฏั ฐานิยธรรมบางเหลา่ ปรากฏในสงฆ์ในศาสนาน้ี เม่ือน้ัน พระศาสดาจงึ จะบัญญตั ิ
สิกขาบท แสดงปาติโมกขแ์ ก่สาวก เพ่ือกาจัดอาสวฏั ฐานยิ ธรรมเหล่านน้ั ขณะน้ี อาสวัฏฐานยิ ธรรมบางเหล่ายังไม่
ปรากฏในสงฆ์ศาสนานี้ ตลอดเวลาท่สี งฆย์ ังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ โดยภกิ ษุผบู้ วชนาน ยังไมถ่ งึ ความเป็นหมู่ใหญ่
โดยแพร่หลาย ยังไม่ถึงความเป็นหมใู่ หญเ่ ลิศโดยลาภ ต่อเม่ือใดสงฆ์ถงึ ความเปน็ หมู่ใหญโ่ ดยภิกษุผูบ้ วชนาน ถงึ ความ
เป็นหมู่ใหญ่โดยแพรห่ ลาย ถึงความเป็นอยู่ใหญเ่ ลศิ โดยลาภแล้ว และอาสวัฏฐานยิ ธรรมบางเหล่า ยอ่ มปรากฏใน
สงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนนั้ พระศาสดาจึงจะบัญญัตสิ กิ ขาบท แสดงปาตโิ มกข์แก่สาวก เพ่อื กาจดั อาสวฎั ฐานยิ ธรรม
เหลา่ นั้น

ก็ภิกษุสงฆ์น้ันไม่มีเสนียดไม่มีโทษ ปราศจากมัวหมอง บริสุทธ์ิผุดผ่อง ตั้งอยู่ในสารคุณ เพราะบรรดาภิกษุ
500 รูปนี้ ภิกษทุ ที่ รงคุณธรรมอยา่ งต่าก็เป็น โสดาบัน มีความไม่ตกต่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง เป็นผู้ท่ีจะตรัสรู้ใน
เบื้องหน้า

ปฐมปาราชิกสกิ ขาบท เรอ่ื งพระสุทินน์
มีเศรษฐีบุตรผู้หน่ึงช่ือสุทินน์ เม่ือได้ออกบวชแล้วได้ไปเสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่าของตน ตามที่พ่อแม่
ขอร้อง เพื่อให้มีบุตรไว้สืบสกุล เน่ืองจาก พระสุทินน์ไม่ยอมกลับมาเป็นคฤหัสถ์ตามท่ีพ่อแม่ขอร้อง โดยอ้างว่า ถ้า
พระสุทินน์ไม่มีทายาทไว้ พวกเจ้าลิจฉวีจะริบทรัพย์สมบัติของครอบครัวไป เน่ืองจากหาบุตรผู้สืบสกุลไม่ได้ พระสุ
ทินน์เห็นว่าการกระทาดังกล่าวไม่มีโทษ เพราะสิกขาบทยังมิได้บัญญัติไว้ จึงได้เสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่าของตน
จนนางตัง้ ครรภแ์ ละได้คลอดบุตรมาชอื่ วา่ พีชกะ
ต่อมาพระสุทินน์ได้เกิดความราคาญ ความเดือดร้อนว่า เราได้ช่ัวแล้ว ไม่ได้ดีแล้ว เพราะเราบวชในพระ
ธรรมวินัยทพี่ ระผ้มู พี ระภาคตรสั ไว้ดอี ย่างนี้แล้ว ยงั ไมส่ ามารถประพฤติพรหมจรรย ์ ให้บริสุทธิได้ตลอดชีวิต เพราะ
ความราคาญน้ัน เพราะความเดือดร้อนน้ัน ทาให้ท่านซูบผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้า มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเน้ือตัว
สะพรัง่ ด้วยเอ็น มีเรอื่ งในใจ มใี จหดหู่ มที ุกข์โทมนัส มวี ปิ ฏิสารซบเซาแล้ว
บรรดาภิกษุที่เป็นสหายของพระสุทินน์ เห็นอาการของพระสุทินน์เช่นนั้น จึงถามว่า การที่เกิดอาการ
ดงั กล่าว เป็นเพราะท่านไมย่ ินดปี ระพฤตพิ รหมจรรย์กระมัง
พระสุทินน์จึงได้แถลงความจริงว่า มิใช่ตนจะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ แต่เป็นเพราะบาปกรรมท่ีทาไว้
คือได้เสพเมถุนในภรรยาเก่า จึงได้มีความราคาญความเดือดร้อนว่าเราได้ชั่วแล้ว เราไม่ได้ดีแล้ว เพราะเราบวชใน
พระธรรมวินัยท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์บริสุทธ์ิได้ตลอด
ชวี ติ
บรรดาภิกษุท่ีเป็นสหายจึงกล่าวว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยเอนกปริยาย เพื่อคลาย
ความกาหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกาหนัด เพ่ือความพรากไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพ่ือความไม่ถือมั่นไม่ใช่เพื่อมี
ความถือม่ัน มิใช่หรือ เพ่ือธรรมช่ือนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เพ่ือคลายความกาหนัด คุณยังจะคิด

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (37)

เพ่ือมีความกาหนัด เมื่อทรงแสดงเพ่ือความพราก คุณยังจะคิดเพ่ือความประกอบ เมื่อทรงแสดงเพ่ือความไม่ถือ
มน่ั คุณยังจะคิดเพ่ือมคี วามถือมัน่

ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยเอนกปริยาย เพ่ือเป็นท่ีสารอกแห่งราคะ เพื่อเป็นท่ีสร่างแห่ง
ความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นท่ีหลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็นท่ีเข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อ
เปน็ ทสี่ น้ิ แห่งตณั หา เพือ่ คลายความกาหนดั เพ่ือความดบั ทุกข์ เพอื่ นิพพาน

การละกาม การกาหนดรู้ความหมายในกาม การกาจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอัน
เกย่ี วดว้ ยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม พระผมู้ ีพระภาคตรัสบอกไวแ้ ล้ว โดยเอนกปริยาย

การกระทาของคุณนน้ั ไม่เปน็ ไปเพ่อื ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เล่ือมใสแล้ว โดยท่ีแท้ การกระทาของคุณนั้น เป็นไปเพ่ือความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ไม่เลื่อมใส และเพื่อ
ความเป็นอยา่ งอื่นของชุมชนทเี่ ลือ่ มใสแลว้

ภกิ ษุเหล่านน้ั ติเตียน พระสทุ ินนโ์ ดยอเนกปริยายดังนี้แล้วได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระ
ผมู้ พี ระภาคทรงประชมุ สงฆ์บญั ญตั สิ กิ ขาบท

ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาครับส่ังให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในพระเหตุเป็นมูลเค้าน้ัน ในเพราะเหตุแรกเกิดน้ัน
แลว้ ทรงสอบถามพระสทุ นิ นว์ า่

ดูกรสทุ นิ น์ ขา่ วว่าเธอเสพเมถนุ ธรรมในปรุ าณทุติยกิ าจริงหรือ
พระสทุ ินนท์ ลู รบั ว่า จรงิ พระพทุ ธเจ้าขา้
พระผู้มพี ระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทาของเธอน้ัน ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของ
สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทา เธอบวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีอย่างนั้นแล้ว ไฉนจึงไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ให้
บรบิ ูรณ์บรสิ ทุ ธไ์ิ ดต้ ลอดชีวิตเล่า
ดูกร โมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยเอนกปริยาย เพ่ือคลายความกาหนัด ไม่ใช่เพ่ือมีความกาหนัด
เพอ่ื ความพราก ไมใ่ ช่เพือ่ ความประกอบ เพอื่ ความไม่ถือมั่นไม่ใช่เพอื่ มคี วามถือมัน่ มใิ ช่หรือ เพื่อธรรมช่ือน้ันอันเรา
แสดงแล้ว เพื่อคลายความกาหนัด เธอยังจักคิดเพ่ือมีความกาหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อ
ความประกอบ เราแสดงเพอื่ ความไม่ถือม่ัน เธอยังจกั คดิ เพ่ือความถือมนั่
ดูกร โมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยเอนกปริยาย เพ่ือเป็นที่สารอกแห่งราคะ เพื่อเป็นท่ีสร่างแห่ง
ความเมา เพ่ือเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพ่ือเป็นท่ีเข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อ
เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพ่ือเป็นท่ีสารอกแห่งตัณหา เพ่ือเป็นท่ีดับแห่งตัณหา เพื่อออกไปจากตัณหาช่ือวานะ มิใช่
หรอื
ดูกร โมฆบุรุษ การละกาม การกาหนดรู้ความหมายในกาม การกาจัดความระหายในกาม การเพิกถอน
ความตรึกอันเกี่ยวดว้ ยกาม การระงบั ความกลัดกลมุ้ เพราะกาม เราบอกไว้แลว้ โดยเอนกปริยาย มใิ ชห่ รือ
ดูกร โมฆบุรุษ องค์กาเนิดอันเธอสอดเข้าไปในปากอสรพิษที่มีพิษร้าย ยังดีกว่าอันองค์กาเนิดที่เธอสอด
เขา้ ในองค์กาเนิดของมาตุคามไมด่ เี ลย องคก์ าเนิดอนั เธอสอดเข้าไปในปากงเู ห่า อันเธอสอดเข้าไปในหลุมถ่านเพลิง
ทตี่ ิดไฟลุกโชน ยงั ดกี วา่ อันองค์กาเนดิ ทเ่ี ธอสอดเขา้ ในองค์กาเนดิ มาตุคาม ไม่ดเี ลย
ขอ้ ท่วี า่ ดีนน้ั เพราะเหตไุ ร

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (38)

เพราะบุคคลผู้สอดองค์กาเนิดเข้าไปในปากอสรพิษเป็นต้นนั้น พึงถึงความตายหรือความทุกข์เพียงแค่ตาย
ซึ่งมีการกระทานั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทานั้นเป็นปัจจัย เบ้ืองหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย
ทุตติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทาการสอดองค์กาเนิด เข้าในองค์กาเนิดมาตุคามน้ัน เบื้องหน้าแต่แตกกายตาย
ไป พงึ เข้าถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ซงึ่ มีการกระทานีเ้ ปน็ เหตุ

ดูกร โมฆบุรุษ เม่ือการกระทาน้ันมีโทษอยู่ เธอยังได้ช่ือว่าได้ต้องอสัทธรรม อันเป็นเร่ืองของชาวบ้าน
เป็นมรรยาทของคนชั้นต่าอันช่ัวหยาบ มีน้าเป็นท่ีสุด มีในที่ลับ เป็นของคนคู่ อันคนคู่ร่วมกันเป็นไป เธอเป็นคน
แรกท่ีกระทาอกุศลธรรม เป็นหัวหน้าของคนเป็นอันมาก การกระทาของเธอน้ัน ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนท่ียังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยท่ีแท้การกระทาของเธอน้ัน เป็นไป
เพอื่ ความไม่เลอ่ื มใสของชมุ ชนทยี่ งั ไม่เลอ่ื มใส และเพอ่ื ความเป็นอยา่ งอื่นของชนบางพวกท่ีเลอื่ มใสแล้ว

พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระสุทินน์โดยเอนกปริยายดังน้ีแล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเล้ียงยาก
ความเป็นคนบารุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณ
แห่งความเป็นคนเล้ียงง่าย ความเป็นคนบารุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกาจัด
อาการท่ีน่าเลื่อมใส การไม่สะสม ปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย ทรงกระทาธรรมีกถาท่ีสมควรแก่เร่ืองน้ัน
ท่เี หมาะสมแกเ่ ร่อื งนั้น แกภ่ กิ ษุทง้ั หลายแล้ว รบั สั่งกับภิกษทุ ั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอานาจประโยชน์ 10
ประการ คือ เพื่อการรับว่าดีแห่งสงฆ์ 1 เพื่อความสาราญแห่งสงฆ์ 1 เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก 1 เพื่ออยู่สาราญ
แห่งภิกษุผู้มศี ลี เปน็ ทร่ี ัก 1 เพื่อปูองกนั อาสวะอนั จกั บงั เกดิ ในปัจจุบนั 1 เพื่อกาจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต 1
เพ่ือความเล่ือมใสยิ่งของชุมชนที่ยังไม่เล่ือมใส 1 เพื่อความเลื่อมใสย่ิงของชุมชนท่ีเลื่อมใสแล้ว 1 เพ่ือความตั้งมั่น
แหง่ พระสทั ธรรม 1 เพอ่ื ถอื ตามพระวนิ ยั 1

ดูกรภกิ ษทุ ง้ั หลาย กแ็ ลพวกเธอพงึ ยกสิกขาบทน้ีขึ้นมาแสดงอย่างนี้วา่ ดังน้ี

พระปฐมบัญญัติ

ก็ภกิ ษุใดเสพเมถุนธรรม เปน็ ปาราชิก หาสงั วาสมไิ ด้
ก็สกิ ขาบทนี้ ย่อมเป็นอนั พระผู้มีพระภาคทรงบัญญตั ิแลว้ แก่ภิกษุทง้ั หลาย ด้วยประการฉะน้ี
ทุตยิ ปาราชกิ สิกขาบท เร่ืองพระธนิยกุมภาการบุตร
สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ พระธนิยกุมภการ
บุตรไดท้ ากุฏมิ งุ บังด้วยหญ้า แลว้ อยู่จาพรรษา เม่ือล่วงไตรมาสแล้ว ก็ยังคงอยู่ ณ ท่ีนั้นตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว และ
ฤดูร้อน ขณะท่ีพระธนิยเข้าไปบ้านเพ่ือบิณฑบาตร คนหาบหญ้า คนหาฟืนได้ร้ือกุฎีน้ัน แล้วขนหญ้าและใบไม้ไป
พระธนิยะได้เที่ยวหาหญา้ และไม้มาทากุฎีอีก ก็มคี นมาขนหญ้าและใบไม้ไปอีก
เหตุการณเ์ ช่นนีเ้ กดิ ขน้ึ ถึงสามคร้ัง พระธนยิ ะจึงทากุฎสี าเรจ็ ด้วยดนิ แล้วเผาจนสกุ กุฎนี ้นั ก็งดงามน่าดูน่า
ชม มสี แี ดงเหมือนแมลงคอ่ มทอง มีเสียงเหมือนเสยี งกระดึง

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (39)

พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นจึงทรงติเตียนว่า ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้
ไม่ควรทา แล้วทรงให้ภิกษุสงฆ์ทาลายกุฎีน้ันเสีย และทรงบัญญัติว่า อันภิกษุไม่ควรทากุฎีที่สาเร็จด้วยดินล้วน
ภกิ ษุใดทาตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ

กาลต่อมา พระธนิยะ ได้ไปหาพนักงานรักษาไม้ท่ีชอบพอกัน แล้วแจ้งว่าจะขอไม้ไปทากุฎีไม้ พนักงาน
รักษาไม้ตอบว่า ไม้ท่ีมีอยู่ มีแต่ไม้ของหลวงท่ีสงวนไว้สาหรับซ่อมแปลงพระนคร ซึ่งเก็บไว้ใช้ในคราวมีอันตราย
ถ้าพระเจ้าแผ่นดินส่ัง พระธนิยะจึงบอกว่าไม้เหล่าน้ัน พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแล้ว เจ้าพนักงานรักษาไม้ได้
ฟงั ดังนนั้ ก็เชือ่ จึงให้ไม้แกพ่ ระธนิยะไป

ต่อมาวัสสการพราหมณ์ มหาอามาตย์ในมคธรัฐไปตรวจราชการในกรุงราชคฤห์ ได้ทราบว่าพระธนิยะนา
ไม้ไป จึงไปทูลพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารสอบถามทราบเรื่องแล้วจึงถามพระธนิยะว่า พระองค์ได้
พระราชทานไม้แก่พระธนิยะเม่ือใด พระธนิยะถวายพระพรว่า เมื่อครั้งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ได้ทรง
ตรสั ว่า หญา้ ไมแ้ ละนา้ ข้าพเจ้าถวายแล้วแก่สมณะและพราหมณ์ท้ังหลาย ขอสมณและพราหมณ์ท้ังหลายโปรดใช้
สรอยเถิด

พระเจา้ พมิ พิสารจึงตรัสว่า คากล่าวนนั้ หมายถึงการนาหญา้ ไม้และน้าในปุา ไม่มีใครหวงแหน แต่พระคุณ
เจา้ นาไมท้ เี่ ขาไมใ่ หไ้ ปด้วยเลศ ครั้งน้ีพระคุณเจ้ารอดตวั เพราะบรรพชาเพศ แต่อยา่ ทาเช่นอีก

ประชาชนเพง่ โทษตเิ ตยี นโพนทนา
คนทั้งหลายพากนั เพ่งโทษวา่ พระสมณะเชอ้ื สายพระศากยบุตรเหล่านไี้ มล่ ะอาย ทศุ ีล พูดเท็จ พระสมณ
เหล่านี้ยงั ปฏิญาณวา่ เป็นผูป้ ระพฤติธรรม ประพฤตสิ งบ ประพฤติพรหมจรรย์ กลา่ วคาสตั ย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม
ติเตียน ว่าความเป็นสมณะและพราหมณ์ย่อมไม่มีแก่พระสมณเหล่านี้ ความเป็นสมณะและพราหมณ์เหล่านี้เสื่อม
แลว้ และโพนทนาว่า พระสมณะเหล่าน้ีปราศจากความเป็นสมณะและพราหมณ์แล้ว แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน พระ
สมณะเหลา่ นยี้ งั หลอกลวงได้ ไฉนจักไมห่ ลอกลวงคนอนื่ เล่า
ภิกษุท้ังหลายได้ยินคนเหล่าน้ันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาท่ีเป็นผู้มักน้อยสันโดษ มีความละอาย
มีความรังเกยี จ ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระธนิยะถึงเอาไม้ของหลวงที่เขาไม่ให้ไป แล้ว
กราบทูลเรือ่ งนน้ั แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค

ประชมุ สงฆท์ รงบัญญัติสกิ ขาบท
ลาดับน้ัน พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลน้ัน ในเพราะเหตุแรกเกิด
นน้ั แล้วทรงสอบถามพระธนยิ ะว่า เธอได้ถอื เอาไมข้ องหลวงท่ีเขาไมไ่ ดใ้ ห้ไป จรงิ หรอื
พระธนิยะทูลรบั วา่ จรงิ พระพุทธเจา้ ขา้
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทาของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร มิใช่กิจของ
สมณะ ใช้ไมไ่ ด้ ไม่ควรทา การกระทาของเธอน้ัน ไม่เป็นไปเพ่ือความเล่ือมใสของชุมชนท่ียังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลือ่ มใสย่งิ ของผู้ทีเ่ ลอื่ มใสแลว้ โดยท่ีแท้ การกระทาของเธอนั้น เป็นไปเพ่ือความไม่เล่ือมใสของชุมชนท่ียังไม่
เลื่อมใส และเพ่ือความเป็นอยา่ งอนื่ ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (40)

สมยั นน้ั มหาอามาตย์ ผู้พพิ ากษาเก่าคนหน่ึง บวชในหมู่ภิกษุ พระองค์จึงได้ตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า พระ
เจา้ พมิ พสิ าร จับโจรได้แลว้ ประหารชีวิตเสียบ้าง จองจาไว้บ้าง เนรเทศเสยี บ้าง เพราะทรัพยป์ ระมาณเทา่ ไร

ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า เพราะทรัพย์บาทหน่ึงบ้าง เพราะของควรค่าบาทหน่ึงบ้าง เกินบาทหนึ่งบ้าง
พระพุทธเจ้าขา้

แทจ้ รงิ สมยั นั้น ทรพั ย์ 5 มาสกในกรงุ ราชคฤห์ เป็นหนึ่งบาท
คร้ันพระผมู้ พี ระภาคทรงตเิ ตียนพระธนิยะ โดยเอนกปริยายแล้ว จงึ ตรสั โทษแหง่ ความเป็นคนเล้ียงยาก มัก
มาก ไมส่ ันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้านตรัสคุณแห่งความเป็นคนเล้ียงง่าย บารุงง่าย ความมักน้อย ความ
สันโดษ ความขัดเกลา ความกาจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม ปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย แล้ว
ทรงกระทาธรรมกี ถาทส่ี มควรแกเ่ รอ่ื งนนั้ ทเี่ หมาะสมแกเ่ ร่อื งน้ัน แกภ่ ิกษุทั้งหลาย แลว้ รบั ส่ังกับภิกษุทง้ั หลายว่า
ดูกรภกิ ษทุ งั้ หลาย กแ็ ลพวกเธอพึงยกสกิ ขาบทนี้ ข้นึ แสดงอย่างน้วี ่าดงั นี้

พระปฐมบัญญัติ
อน่งึ ภิกษใุ ด ถอื เอาทรัพยอ์ ันเจ้าของไม่ได้ให้ ดว้ ยสว่ นแห่งความเปน็ ขโม พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แลว้
พึงประหารเสยี บ้าง จองจาบา้ ง เนรเทศเสียบา้ ง ดว้ ยบรภิ าษวา่ เจ้าเป็นโจร เจา้ เป็นคนพาล เจา้ เป็นคนหลง
เจ้าเป็นขโมย ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
เหน็ ปานน้ัน แมภ้ กิ ษนุ ีก้ เ็ ป็นปาราชกิ หาสังวาสมิได้
ก็สกิ ขาบทน้ี ยอ่ มเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบญั ญัตแิ ลว้ แกภ่ ิกษทุ ้ังหลาย ด้วยประการ ฉะนี้
ตติยปาราชิกสิกขาบท เร่อื งภิกษหุ ลายรูป
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา ปุามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้น
พระองค์ทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณาคุณอสุภสมาบัติเน่ืองๆ โดย เอนกปริยายแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับส่ังกับ
ภิกษุท้ังหลายว่า เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดก่ึงเดือน ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากพระภิกษุผู้นา
บิณฑบาตเขา้ ไปให้รูปเดยี ว
ระหวา่ งนัน้ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ สนทนากนั วา่ พระผ้มู พี ระภาคทรงแสดงอสุภกถา......... ทรงพรรณาคุณแห่งอสุภ
สมาบัติเนืองๆ โดยเอนกปริยายดังนี้ แล้วพากันประกอบด้วยความเพียรในการเจริญอสุภกัมมัฎฐานหลายอย่าง
หลายกระบวนอยู่ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั อดึ อัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน ฉะน้ันจึงปลงชีวิตตนเองบ้าง วานกันและ
กันให้ปลงชีวิตบ้าง บางเหล่าก็เข้าไปหามิคลัณฑิกสมณกุตต์ก็ขอให้ช่วยปลงชีวิตของพวกตน โดยให้บาตรจีวรเป็น
เครอ่ื งตอบแทน คร้ังน้นั ได้มีภกิ ษุถูกปลงชีวิตไปเป็นจานวนมาก

รบั สั่งใหเ้ ผดยี งสงฆ์
ครัง้ ล่วงกึง่ เดอื น พระผมู้ พี ระภาคเสด็จออกจากที่ประทับซ่อนเร้น แล้วรับสั่งถามพระอานนท์ว่า เหตุไฉน
ภิกษสุ งฆจ์ ึงดเู หมือนนอ้ ยไป
พระอานนท์กราบทูลว่า เป็นเพราะพระองค์ทรงแสดงอสุภกถา....... ทรงพรรณาถึงอสุภสมาบัติเนืองๆ
โดยเอนกปริยายแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นจึงพากันประกอบความเพียรในการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน เธอ

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (41)

เหล่านั้น อึดอัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน จึงปลงชีวิตตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวิตบ้าง
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ภิกษุสงฆ์นี้จะพึงดารงอยู่ในพระอรหัตผลด้วยปริยายใด ขอพระผู้มีพระ
ภาคจงตรสั บอกปรยิ ายอ่ืนนนั้ เถิด

พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ถ้าเช่นนั้นเธอจงเผดียงภิกษุที่อาศัยพระนครเวสาลีอยทู่ ้งั หมด ให้ประชุมกันท่ี อุปัฏ
ฐานศาลา

พระอานนทจ์ ึงเผดียงภิกษุสงฆ์ที่อาศัยพระนครเวสาลีอยู่ทั้งส้ิน ให้ประชุมท่ีอุปัฏฐานศาลา แล้วเข้าไปเฝูา
พระผู้มีพระภาค กราบทลู วา่ ภิกษสุ งฆ์พร้อมกันแล้ว ขอพระองคท์ รงทราบกาลอันควรเถดิ

ลาดบั นั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ แล้วรับส่ังกับภิกษุท้ังหลายว่า ดูกร ภิกษุท้ังหลาย
แม้สมาธิในอานาปานสตินแี้ ล อนั ภกิ ษอุ บรมทาใหม้ ากแล้ว ย่อมเป็นคณุ สงบ ประณตี เยือกเย็น อยู่เป็นสุข และ
ยงั บาปอกศุ ลธรรมท่เี กดิ ข้นึ แลว้ ใหอ้ ันตรธานสงบไปโดยฉบั พลัน ดจุ ละอองและฝนุ ทฟ่ี ุูงขนึ้ ในเดือนท้ายฤดูร้อน ฝน
ใหญ่ทต่ี กในสมัยมิใชฤ่ ดกู าล ย่อมยงั ละอองและฝนุ น้ันๆ ให้อนั ตรธานสงบไปไดโ้ ดยฉับพลนั ฉะนน้ั

ดกู ร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในปุาก็ตาม อยู่ ณโคนไม้ก็ตาม อยู่ในสถานที่สงัดก็ตาม น่ังคู้
บลั ลงั ก์ตงั้ กายตรงดารงสติ บา่ ยหนา้ สกู่ รรมฐาน ภกิ ษนุ ้นั ย่อมมสี ตหิ ายใจเข้า มีสติหายใจออก

ดกู ร ภกิ ษุทงั้ หลาย อาณาปานสตสิ มาธิ อนั ภิกษุอบรมแล้วอย่างน้ี ทาให้มากแล้วอย่างนี้ จึงเป็นคุณสงบ
ประณีต เยือกเย็น อยเู่ ป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมทีเ่ กดิ ข้ึนแลว้ ๆ ใหอ้ ันตรธานสงบไปได้โดยฉับพลนั

ทรงประชมุ สงฆบ์ ญั ญัตสิ ิกขาบท
ลาดับน้ัน พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วทรงสอบถามภิกษทุ ้งั หลายว่า ขา่ ววา่ พวกภิกษปุ ลงชวี ิตตนเองบา้ ง วานกนั และกันให้ปลงชีวิตบา้ ง จรงิ หรอื
ภิกษทุ ง้ั หลายกราบทูลว่าจริง พระพุทธเจา้ ข้า
พระผูม้ ีพระภาคทรงติเตียนวา่ การกระทาของภกิ ษเุ หล่านัน้ ไมเ่ หมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใชไ้ ม่ได้ ไมค่ วรทา ..... การกระทาของภิกษเุ หลา่ น้ันไม่เปน็ ไปเพอื่ ความเล่ือมใสของชมุ ชนท่ียังไมเ่ ล่ือมใส........
คร้ันพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นโดยเอนกปริยายแล้ว จึงทรงติโทษแห่งความเป็นผู้เลี้ยงยาก
....... ทรงสรรเสริญคุณแหง่ ความเปน็ คนเล้ยี งง่าย....... โดยเอนกปริยาย แล้วทรงแสดงธรรมีกถาที่สมควรแก่เร่ืองน้ัน
ที่เหมาะสมแกเ่ รอื่ งนน้ั แลว้ รับสัง่ กับภกิ ษุท้งั หลายว่า
ดูกรภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุน้ันแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอานาจประโยชน์ 10
ประการ.......
ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอพ่ึงยกสกิ ขาบทนข้ี ึน้ แสดงว่า ดงั น้ี

พระปฐมบัญญตั ิ
อนึ่ง ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัตราอันจะปลิดชีวิตให้แก่มนุษย์น้ัน แม้ภิกษุนี้ก็
เปน็ ปาราชิก หาสังวาสมิได้
จตุตถปาราชิกสกิ ขาบท เร่อื งภิกษุพวกฝ่งั แมน่ ้าวคั คุมทุ า

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (42)

สมัยหนึ่ง พระผูม้ ีพระภาคพทุ ธเจา้ ประทับอยู่ ณ กฎู าคารศาลา ปาุ มหาวนั เขตพระนครเวสาลี ครั้งน้ันภิกษุ
มากรูปดว้ ยกัน จาพรรษาอยูใ่ กล้ฝั่งแม่น้าวคั คุมุทา สมัยน้นั วัชชีชนบท อตั คดั อาหาร ภกิ ษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไป
ด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทาไม่ได้ง่าย ภิกษุเหล่านั้นจึงคิดกันว่า พวกเรายังเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันไม่
ววิ าทกัน อยู่จาพรรษาเปน็ ผาสกุ และจะต้องไมต่ อ้ งลาบากด้วยบิณฑบาต ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ

ภิกษุบางพวกเสนอว่า พวกเราจงช่วยกันอานวยกิจการอันเป็นหน้าท่ีของพวกคฤหัสถ์ บางพวกเสนอว่า
พวกเราจงช่วยกันนาข่าวสาสน์อันเป็นหน้าท่ีทูตของพวกคฤหัสถ์ บางพวกเสนอว่าพวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสส
ธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์วา่ ภิกษรุ ปู โน้นไดป้ ฐมฌาน ได้ทุติยฌาณ ได้ตติยฌาณ ได้จตุตถฌาน รูปโน้น
เป็นพระโสดาบนั เปน็ พระสกิทาคามี เป็นพระอรหนั ต์ รูปโนน้ ได้วิชชา 3 รปู โน้นไดอ้ ภญิ ญา 6 ดังน้ี

ภิกษุเหลา่ นั้นมคี วามเห็นร่วมกนั ว่า การกลา่ วชมอุตตรมิ นุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์น้ีประเสริฐ
สดุ แลว้ กพ็ ากนั กลา่ วชมอุตตรมิ นสุ สธรรมของกันและกนั แก่พวกคฤหัสถ์

ครั้นต่อมาประชาชนเหล่าน้ันพากันยินดีว่า เป็นลาภของพวกเรา พวกเราได้ดีแล้ว ท่ีมีภิกษุท้ังหลายผู้มีคุณ
พิเศษเห็นปานน้ีอยู่จาพรรษา เพราะก่อนน้ี ภิกษุท้ังหลายท่ีอยู่จาพรรษาของพวกเรา จะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มี
ศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย โภชนะชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่าน้ัน พวกเขาไม่บริโภคด้วยตน ไม่ให้
บิดามารดา บุตร ภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อามาตย์ ญาติสาโลหิต จึงภิกษุเหล่าน้ันเป็นผู้มีน้านวล มีอินทรีย์
ผ่องใส มีสหี นา้ สดช่นื มีผวิ พรรณผุดผอ่ ง

การท่ภี ิกษุท้งั หลายออกพรรษาแลว้ เขา้ เยี่ยมพระภาคนนั้ เป็นประเพณี
คร้ันภิกษุเหล่านั้นจาพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้ว เก็บเสนาสนะถือบาตรจีวรหลีกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่
พระนครเวสาลี เท่ียวจาริกโดยลาดับ ถึงพระนครเวสาลี ปุามหาวัน กูฏาคารศาลา แล้วเข้าเฝูาพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมน่ังเฝาู อยู่ ณ ทคี่ วรสว่ นข้างหน่ึง

ภกิ ษุตา่ งทศิ มาเฝูา
สมยั นัน้ พวกภกิ ษผุ จู้ าพรรษาอย่ใู นทิศทง้ั หลาย เป็นผูผ้ อม ซบู ซดี มีผวิ พรรณหมอง เหลอื งขึน้ ๆ มีเนื้อตัว
สะพรงั่ ดว้ ยเอ็น สว่ นภกิ ษุพวกฝงั่ แมน่ ้าวคั คุมุทาเปน็ ผมู้ ีน้านวล มีอินทรยี ผ์ ่องใส มีสีหนา้ สดช่ืน มผี ิวพรรณผุดผอ่ ง
การทพี่ ระผ้มู ีพระภาคพทุ ธเจ้าท้ังหลายทรงปราศรัยกับพระอาคนั ตุกะทัง้ หลาย นัน่ เป็นพุทธประเพณี
ครั้งน้ันพระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งวัคคุมุทาว่า ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้
เป็นไปได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จาพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลาบากด้วย
บณิ ฑบาตหรอื
ภิกษเุ หลา่ น้ันกราบทลู วา่ ยงั พอทนได้ ยงั พอใหเ้ ห็นเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อน่ึง พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็น
ผ้พู ร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกนั ไม่ววิ าทกนั อยจู่ าพรรษาเปน็ ผาสุกและไม่ลาบากดว้ ยบิณฑบาตพระพุทธเจ้าขา้

พุทธประเพณี
พระตถาคตท้ังหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้ว
ตรัสถาม ทรงทราบกาลแลว้ ไมต่ รสั ถาม พระตถาคตทงั้ หลายย่อมถามสง่ิ ทป่ี ระกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามส่ิงท่ีไม่

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (43)

ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์กาจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้ังหลาย ย่อมทรงสอบถามภิกษุ
ทงั้ หลาย ดว้ ยอาการ 2 อยา่ ง คือ จกั แสดงธรรมอย่างหนงึ่ จักทรงบัญญัติสกิ ขาบทแกพ่ ระสาวกอยา่ งหน่งึ

ครั้งน้ัน พระผู้มีพระภาคตรสั ถามภกิ ษพุ วกฝัง่ วคั คมุ ทุ าวา่ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่ววิ าทกนั อย่จู าพรรษาผาสกุ และไม่ลาบากด้วยวิธกี ารอย่างไร

ภกิ ษเุ หลา่ นั้นได้กราบทลู เน้ือความนนั้ ใหท้ รงทราบ
พระผ้มู พี ระภาคตรัสถามวา่ คุณวเิ ศษของพวกเธอนนั้ มีจรงิ หรือ
พวกภกิ ษเุ หลา่ นนั้ กราบทลู วา่ ไม่มจี รงิ พระพทุ ธเจ้าข้า

ทรงตเิ ตยี น
พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษท้ังหลาย การกระทาของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม
ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทา ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชม อุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวก
คฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ดูกรโมฆบุรุษท้ังหลาย ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโคอันคม ยังดีกว่าที่
พวกเธอกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลย ข้อท่ีว่าดีกว่านั้น
เพราะเหตุไร เพราะบคุ คลผคู้ วา้ นทอ้ งดว้ ยมดี เชือดโคอันคมน้ัน พึงถึงความตายหรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการ
กระทาน้นั เปน็ เหตุ และเพราะการกระทาน้ันเป็นปัจจัย เบ้ืองหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงทุคติ วินิบาต นรก
ซึง่ มกี ารกระทานแี้ ลเปน็ เหตุ
ดูกรโมฆบุรุษท้ังหลาย การกระทาของพวกเธอน้ัน ไม่เป็นไปเพ่ือความเลื่อมใสของชุมชนท่ียังไม่เล่ือมใส.....
ครัน้ แลว้ ทรงกระทามกี ถารบั สั่งกับภิกษุทัง้ หลาย ดังนี้

มหาโจร 5 จาพวก
ดูกรภิกษุทงั้ หลาย มหาโจร 5 จาพวกนี้มปี รากฎอยใู่ นโลก มหาโจร 5 จาพวกเปน็ ไฉน
มหาโจรบางคนในโลกนย้ี อ่ มปรารถนาวา่ เมื่อไรหนอเราจักมีบรุ ษุ ร้อยหน่ึง พันหนึ่ง แวดล้อม แล้วท่องเท่ียว
ไปในคามนิคมและราชธานี ทาการเบียดเบียน ตัด เผาผลาญ ต่อมาเขาได้บรรลุความปรารถนาน้ัน ดูกรภิกษุ
ทง้ั หลาย ภิกษุเลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมปรารถนาว่า เม่ือไรหนอ เราจึงจักมีภิกษุร้อย
หน่ึง พันหนึ่งแวดล้อม แล้วเที่ยวจาริกไปในตามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ยาเกรงไดจ้ ีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และศิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลายนี้เป็นมหาโจร จาพวกท่ี 1 มีปรากฎ
อยู่ในโลก
อีกข้อหน่งึ ภกิ ษผุ ูเ้ ลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนข้ึน
น้เี ปน็ มหาโจรจาพวกที่ 2 มปี รากฏตัวอยู่ในโลก
อกี ขอ้ หน่ึง ภิกษผุ ู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยน้ี ย่อมตามกาจัดเพ่ือนพรหมจารีผู้หมดจด ผู้ประพฤติธรรม
อันบรสิ ุทธิ์อยู่ ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแกพ่ รหมจรรยอ์ นั หามูลมไิ ด้ นี้เปน็ มหาโจรจาพวกที่ 3 ที่ปรากฏอยใู่ นโลก
อีกข้อหนึง่ ภิกษุเลวทรามบางรูปในธรรมวนิ ยั นี้ ย่อมสงเคราะหเ์ กล้ียกล่อมคฤหัสถ์ท้ังหลายด้วยครุภัณฑ์ ครุ
บริขารของสงฆ์ นเ้ี ปน็ มหาโจรพวกท่ี 4 ปรากฏอยูใ่ นโลก

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (44)

ดูกรภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง นี้จัดเป็นยอดมหาโจรในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมท้ังสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อน้ันเพราะเหตุไร
เพราะภกิ ษุนั้น ฉันก้อนขา้ วของชาวแวน่ แคว้นดว้ ยอาการแห่งคนขโมย

ทรงบัญญัติปฐมบญั ญัติ
ครน้ั พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษพุ วกฝั่งวัดคุมุทาโดยเอนกปริยาย แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยง
ยาก......ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเล้ียงง่าย.....โดยเอนกปริยาย ทรงกระทาธรรมีกถา ท่ีสมควรแก่เร่ืองนั้น ที่
เหมาะสมแกเ่ ร่ืองน้นั แก่ภิกษทุ ง้ั หลาย แล้วรับสัง่ กบั ภิกษทุ งั้ หลายวา่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอานาจประโยชน์ 10
ประการ คอื เพื่อความรบั วา่ ดีแห่งสงฆ์ 1.....เพ่ือความตั้งมั่นแห่งสัจธรรม 1 เพอ่ื ถือตามพระวนิ ัย 1
ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกเธอพง่ึ ยกสกิ ขาบทนีข้ น้ึ แสดง ดังน้ี

พระปฐมบญั ญัติ
อนงึ่ ภกิ ษใุ ดไมร่ เู้ ฉพาะกลา่ วอวดอุตรมิ นุสสธรรม อันเปน็ ความรู้ ความเหน็ อยา่ งประเสริฐอยา่ งสามารถ
นอ้ มเขา้ มาในกายตนว่า ขา้ พเจา้ ร้อู ย่างนี้ ขา้ พเจ้าเห็นอย่างน้ี ครน้ั สมัยอน่ื แตน่ ั้น อันผ้หู นึ่งผู้ใด ถือเอาก็ตาม
ไมถ่ อื เอาก็ตาม เปน็ อนั ตอ้ งอาบตั ิแล้ว ม่งุ ความหมดจด จะพงึ กล่าวว่า ข้าพเจ้าไมรอู้ ยา่ งน้ันไดก้ ลา่ วว่ารู้ ไม่เห็นอย่าง
นน้ั ได้กลา่ ววา่ เห็นไดพ้ ดู พล่อยๆ เป็นเทจ็ เปล่าๆ เว้นไวแ้ ต่สาคัญวา่ ไดบ้ รรลุ แมภ้ ิกษนุ ก้ี เ็ ป็นปาราชกิ หา สงั วาสมไิ ด้
สิกขาบทแห่งนี้ ยอ่ มเปน็ อนั พระผูม้ ีพระภาคทรงบญั ญัตแิ ล้วแก่ภกิ ษทุ งั้ หลาย

เรอ่ื งภกิ ษสุ าคญั วา่ ได้บรรลุ
สมัยน้ัน ภิกษเุ ปน็ อนั มากสาคัญมรรคผลอนั ตนยังมิได้เหน็ วา่ เห็น ยังไมไ่ ดบ้ รรลุ ยังไม่ได้ทาให้แจ้งว่าได้ทาให้
แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามท่ีสาคัญได้ว่าบรรลุ คร้ันต่อมา จิตของเธอน้อมไปเพื่อความกาหนัดก็มี เพ่ือความขัด
เคืองกม็ ี เพ่อื ความหลงก็มี จึงรงั เกยี จว่า.....พวกเราตอ้ งอาบัตปิ าราชิกแล้วกระมัง แล้วแจ้งเร่ืองนั้นแก่พระอานนท์ ๆ
กราบทูลเร่อื งน้นั แกพ่ ระผู้มพี ระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีอยู่เหมือนกัน ข้อที่ภิกษุทั้งหลายสาคัญมรรคผลที่ตน
ยงั ไม่ได้ว่าได้ แตข่ ้อน้ันเปน็ อพั โพหาริก
ลาดับน้ันพระผู้มีพระภาคทรงทาธรรมกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลน้ัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับ
รบั สง่ั กับภกิ ษทุ ้ังหลายว่า พวกเธอพึ่งยกสกิ ขาบทน้ขี น้ึ แสดงว่า ดังนี้

พระอนบุ ญั ญตั ิ
อนงึ่ ภกิ ษใุ ดไมร่ เู้ ฉพาะ กลา่ วอวดอุตริมนสุ สธรรมอันเป็นความรู้ ความเห็นอย่างประเสริฐ อยา่ งสามารถ
น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ เห็นอย่างน้ี คร้ันสมัยอื่นแค่นั้น อันผู้หนึ่งผู้ใดถือเอาก็ตามไม่ถือเอาก็
ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้วมุ่งความหมดจด จะฟังกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่รู้อย่างน้ัน ได้กล่าวว่าไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้น ได้
กล่าววา่ เหน็

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (45)

ได้พูดพล่อยๆ เป็นเทจ็ เปล่าๆ เวน้ ไว้แตส่ าคญั วา่ ไดบ้ รรลุ แม้ภิกษนุ ้ีกเ็ ปน็ ปาราชิกหาสังวาสมไิ ด้

5.2 ประโยชน์การบัญญตั ิพระวินยั
ประโยชน์'พระวินัย 10ข้อ' เพ่ือ"ภิกษุ"อยู่ร่วมกนั ดว้ ยดี
พระพทุ ธองค์ทรงบญั ญัติพระวนิ ัยแก่ “ภกิ ษุ” เปน็ ขอ้ ประพฤติและข้อปฏิบตั ิ 227 ข้อ เพื่อให้

“ภิกษุ” อยูร่ ว่ มกนั ดว้ ยดี ซึ่งประโยชน์ของพระวนิ ัยมี 10 ประการ ดังน้ี
ชายที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “ภิกษุ” เป็น 1 ใน 3 ของพุทธบริษัทในปัจจุบัน

ประกอบด้วย ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ผู้ท่ีบวชเป็นภิกษุมีหน้าท่ี 2 ประการ โดย ประการแรก คือคันถธุระ
โดยการศึกษาพระธรรม เป็นคาสอนของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่ใน
พระไตรปิฎก

ประกอบด้วย พระวินัยปิฎก (ประมวลกฎข้อบังคับ เก่ียวกับความประพฤติของพระสงฆ์) พระ
สุตตันตปิฎก (ประมวลพระพุทธพจน์ที่เกี่ยวกับเทศนาธรรม ประกอบด้วย เนื้อหาสาระ บุคคล เหตุการณ์
สถานที่ ตลอดจนบทประพันธ์ชาดก) พระอภิธรรมปิฎก (ประมวลหลักธรรมและคาอธิบายที่เป็นหลักวิชา
ล้วนๆ ไมม่ ีความเกีย่ วข้องกบั เหตกุ ารณ์และบคุ คลซึ่งเปน็ สภาวธรรมของความเป็นอนัตตา)

ประการที่ 2 คือ วิปัสสนาธุระ โดยการน้อมนาหลักธรรมคาสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ รกั ษากาย วาจา ใจใหส้ จุ รติ หมั่นฝกึ ฝนอบรมตนในการขัดเกลากเิ ลส หมน่ั เจรญิ สติและเจริญปัญญา
ถือครองสมณเพศ เป็นอยู่ง่ายด้วยเคร่ืองอัฐบริขาร 8 อย่าง ได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือมีด
ตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว กระบอกกรองน้า (ธมกรก) เป็นเน้ือนาบุญของอุบาสกและอุบาสิกาโดยการออก
บณิ ฑบาตประกอบศาสนพิธี เผยแผ่พระธรรมแก่อุบาสกและอบุ าสกิ า กจิ อ่นื ใดนอกเหนือจากนี้ล้วนไม่ใช่กิจ
ของภกิ ษุท้งั ส้นิ

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยแก่ “ภิกษุ” ซ่ึงเป็นข้อประพฤติและข้อปฏิบัติ 227 ข้อ เพ่ือให้
“ภิกษุ” อยรู่ ่วมกนั ดว้ ยดี ประโยชนข์ องพระวินยั มี 10 ประการดังนี้

1.เพอื่ ความดแี ห่งหมู่
2.เพอ่ื ความสาราญ (ไมเ่ ดือดร้อน) แหง่ หมู่
3.เพือ่ กาจัดบุคคลเก้อยาก (หน้าดา้ น, ไม่ละอาย)
4.เพ่อื ความอยู่เย็นผาสุกแห่งผู้มศี ลี เป็นท่รี ัก
5.เพอ่ื ระวงั อาสวะ(กเิ ลสที่หมักหมม นอนเน่ืองทับถมอยู่ในจติ )
6.เพ่ือระวงั อาสวะ (กเิ ลสท่ีหมักหมม นอนเนอื่ งทับถมอย่ใู นจิต) ทจี่ ะมีต่อไปวนั ขา้ งหนา้
7.เพอ่ื ความเลอื่ มใสของผทู้ ี่ยงั ไม่เลือ่ มใส
8.เพือ่ ความเจริญยิง่ ๆ ของผเู้ ล่ือมใสแลว้
9.เพื่อความตงั้ ม่ันแห่งพระสทั ธรรม (ธรรมอนั ดี)
10.เพ่อื อดุ หนุนพระวินัย

BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (46)

ผู้ท่ีอุปสมบทเป็น “ภิกษุในคร้ังพุทธกาล” ล้วนเป็นผู้ที่ได้สะสมการขัดเกลากิเลสมาก่อนใน
อดีตชาติ จึงมีความศรัทธาในพระธรรมเป็นอย่างยิ่งและมีความเคารพในพระวินัยอย่างเคร่งครัด ผู้ท่ี
อปุ สมบทในกาลครัง้ นน้ั มีท้งั ราชกุมาร พระญาตขิ องกษตั รยิ ์ พราหมณ์ และชาวบ้านท่ัวไป เนื่องจากเห็นภัย
ของการเวยี นวา่ ยตายเกิด (วฏั สงสาร)

ผู้ท่ีอุปสมบทเป็น “ภิกษุในประเทศไทย” น้อยนักท่ีจะเป็นผู้ศรัทธาในพระธรรมอย่างแท้จริง ส่วน
ใหญ่อุปสมบทตามประเพณีหรือมีเหตุผลเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เม่ืออุปสมบทเป็น “ภิกษุ” แล้วก็ไม่ได้
ให้ความสนใจและให้ความสาคัญกับการทาหน้าท่ีของ “ภิกษุ” ทั้งในด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จึงไม่มี
ความรู้ความเข้าใจในพระธรรมอยา่ งถูกต้อง ไม่เปน็ ผปู้ ระพฤติปฏบิ ัตติ ามพระวนิ ัยอยา่ งเคร่งครดั

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท มิให้ “ภิกษุ” ยินดีและรับเงินทองดังท่ี
ปรากฏอยู่ในพระวนิ ยั ปฎิ กทวี่ ่า “…ภิกษุใดรบั เองกด็ ี ใหผ้ อู้ น่ื รับกด็ ี หรือยินดีกับเงินและทองท่ีผู้อ่ืนเก็บไว้ให้
เป็นอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์…” ปัจจุบัน “ภิกษุ” ส่วนใหญ่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยในข้อน้ี ซ่ึง
ถือได้ว่า “ภิกษุผู้เป็นหัวหน้าของพุทธบริษัทไม่เคารพสิกขาบทที่พระพุธองค์ทรงบัญญัติไว้จึงกลับเป็นผู้
ทาลายพระพุทธศาสนาเสยี เอง”

พระธรรมวนิ ัย ประกอบดว้ ย “หลกั ธรรมคาสอน” ของพระพทุ ธองค์และเป็นวนิ ยั สาหรับภิกษุ 227
ข้อ ท่ีพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพ่ือมิให้ “ภิกษุ” ล่วงละเมิดเป็นสิ่งที่ “ภิกษุ” ต้องให้ความเคารพอย่าง
สูงสดุ มเิ ชน่ นั้นแล้วกห็ าใช่ “ภิกษใุ นพระธรรมวินยั ไม่”.

5.3 พระวนิ ัยสาหรับพระภกิ ษุ
พุทธศาสนิกชนฝุายคฤหัสถ์ควรรู้จักพระวินัยบางข้อ ของพระภิกษุสงฆ์ไว้ด้วย เพราะว่าพระภิกษุสงฆ์มี

หนา้ ท่อี นั สาคญั ท่ีสุด คอื รักษาตัวอย่าให้มีโทษทางพระวินัย จึงจะสมเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระบรมศาสดา
และจะได้สมเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นนาบุญของชาวโลก ไม่บริโภคจตุปัจจัยของเขาให้เปลืองเปล่า เปรียบเหมือน
อย่างพื้นนาอันปราศจากวัชพืช คือหญ้าท่ีเป็นโทษ ย่อมจะอานวยให้ข้าวท่ีชาวนาหว่านลงเจริญงอกงาม มีผลเต็ม
เมล็ดเต็มรวง แตห่ ากวา่ นารกไปด้วยวัชพืช ข้าวที่หว่านลงก็มีผลไม่เต็มที่ ข้อนี้ฉันใด พระภิกษุหรือสามเณร ก็ฉันน้ัน
เหมือนกัน ถ้าศีลไม่ขาด ไม่มีโทษทางพระวินัย ก็เท่ากับนาที่ไม่รก พืชบุญท่ีหว่านลงก็ย่อมมีผลมาก มีกาไรมาก แต่
ถ้าศีลขาดมากมีโทษทางพระวินัยมาก ก็เท่ากับที่นารก พืชบุญท่ีชาวโลกหว่านลงก็มีผลน้อยมีกาไรน้อย ด้วยเหตุน้ี
หระภกิ ษุสามเณรผู้ตระหนกั ในหน้าทข่ี องตน จงึ พยายามรักษาตัวมใิ ห้เป็นนาทีร่ กดว้ ยวัชพืช

กใ็ นการรกั ษาตวั นัน้ พระภิกษสุ ามเณรบางรูปบางครัง้ บางคราว ไมส่ ามารถจะให้บริสุทธ์ิเท่าท่ีควรได้ เพราะ
คฤหัสถ์หรือบุรุษ สตรีหรือทายกทายิกา ผู้ไม่รู้วินัยของพระ และมีธุระเกี่ยวข้องกับพระในวาระต่างๆ เช่นในคราว
ทาบุญ แต่ทาไม่ถูกต้องพระวินัย ภิกษุเกรงใจคฤหัสถ์บางทีคฤหัสถ์เกรงใจภิกษุ จึงทาให้พระต้องอาบัติ คือต้องโทษ
ทางพระวินัย อยา่ งนค้ี ฤหัสถ์ไดบ้ ญุ ก็จรงิ แต่ได้น้อยเพราะขณะเดียวกันนั้นพระได้บาปต้องโทษไม่บริสุทธ์ิ เหมือนนา
ที่รกเสียแลว้ อน่ึง บางทบี างรูปไมร่ ้วู ินัยของตนเองดีพอ หรือบางรูปรูว้ ินัยดีแล้ว แต่ไม่เอ้ือเฟื้อในวินัยก็ย่อมเกี่ยวข้อง
กับคฤหัสถใ์ นทางท่ีผิดๆ และคฤหสั ถ์ก็ไม่รู้วินัยของพระจึงพากันปฏิบัติผิดร่วมกันอย่างนี้ จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับ
พทุ ธศาสนกิ ชนเลย

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (47)

ด้วยเหตุน้ี เพื่อท่ีจะให้คฤหัสถ์ บุรุษ-สตรีทั้งหลายช่วยกันรักษาภิกษุสงฆ์ให้บริสุทธิ์เป็นนาบุญอย่างดี จะได้
เพ่ิมปริมาณผลแห่งพืชบุญท่ีบริจาคหว่านลงไปให้มากยิ่งๆ ข้ึน จึงได้รวบรวมพระวินัยบางข้อท่ีคฤหัสถ์ท้ังบุรุษและ
สตรคี วรทราบนามาเรียบเรยี งเป็นขอ้ ๆ พอเป็นแนวทางแหง่ การศึกษาและปฏิบตั ิสาหรบั คฤหัสถ์ ดังตอ่ ไปน้ี

1. สภุ าพสตรี อย่าถกู ต้องภกิ ษุสามเณร (สังฆาทิเสส ข้อ 2)

2. สุภาพบรุ ุษ หรอื สภุ าพสตรี ไมค่ วรวานใหพ้ ระชกั สอ่ื ชายหญิงใหเ้ ป็นสามีภรรยากัน แม้ชัว่ ครง้ั

ชัว่ คราว (สังฆาทเิ สส ข้อ 5)

3. สุภาพสตรี ไมม่ บี ุรุษผ้รู ้เู ดียงสาไปด้วย ไม่ควรเขา้ ไปหาพระในท่ีลบั ตาหรือลบั หู เพราะอาจจะทา
ใหพ้ ระถูกโจทด้วยอาบตั ิต่างๆ หรือเป็นทางใหเ้ กิดความเสยี หายมาก (อนิยต ข้อ 1-2)

4. สุภาพบุรุษหรือสตรี เม่อื ศรัทธาจะถวายเงินทองแก่พระภิกษหุ รอื สามเณรต้องมอบให้แก่ไวยา
จกั ร (ผูท้ ร่ี ับทากิจของทา่ น) และแจง้ ให้ทา่ นทราบ อย่ามอบให้ในมือหรือในยา่ ม หรอื ในบาตรของท่าน เปน็ ต้น

(จวี รวรรค ขอ้ 10-โกสิยวรรค ขอ้ 8)

5. บรุ ษุ ผเู้ ป็นไวยาจักร เมื่อรบั เงินทองของพระรูปใดไว้เท่าไร ต้องจัดส่งิ ของที่พระตอ้ งการถวาย

พระรูปน้นั ในราคาเท่าเงินทองทีต่ นรบั ไว้นน้ั ในเวลาทท่ี า่ นขอ ถา้ เงนิ ทองมากพระขอของนอ้ ย ก็จ่ายเทา่ ทท่ี ่าน

ตอ้ งการ เก็บสว่ นทีเ่ หลือไว้จ่ายคราวต่อไป (จวี รวรรค ขอ้ 10)

6. บุรษุ -สตรี ผเู้ ปน็ พอ่ คา้ -แม่คา้ ไม่ควรขายของแกพ่ ระภิกษุ หรอื สามเณรผู้ทจ่ี ับต้องเงิน (ธนบตั ร-

เหรยี ญบาทเป็นตน้ ) มาซอ้ื ด้วยตนเอง (โกสยิ วรรค ขอ้ 9)

7. บรุ ษุ -สตรี ไมค่ วรเอาสง่ิ ของของตนแลกกบั สงิ่ ของของพระ-ของสามเณร (โกสยิ วรรค ขอ้ 10)

8. บรุ ุษ-สตรี ไมค่ วรเอาผา้ อาบน้าฝนถวายพระก่อนเข้าพรรษามากกว่า 1 เดอื น แม้พระขอก็ไม่
ต้องถวาย เว้นไว้แต่พระที่เปน็ ญาติ และพระท่ีตนปวารณาไว้ (ปตั ตวรรค ข้อ 4)

9. บรุ ุษ-สตรี เมอื่ เตรียมส่ิงของจะถวายแกส่ งฆ์ (ไม่เฉพาะบุคคล) ถา้ พระแนะนาใหถ้ วายเฉพาะตวั
ท่านเอง หรือใหถ้ วายเฉพาะพระรูปใดๆ ก็ตาม ไมต่ ้องถวายตามคาแนะนานน้ั

(ปัตตวรรค ขอ้ 10-สหธรรมกิ วรรค ข้อ 12)

10. บุรุษ-สตรี เมื่อเรียนธรรมกับพระ อยา่ ออกเสยี งบทพระธรรมพร้อมกบั พระ
(มุสาวาทวรรค ข้อ 4)

11. บรุ ุษ เม่อื นอนในท่ีมงุ ทบี่ ัง อนั เดยี วกับพระครบ 3 คนื แลว้ ต้องเวน้ เสีย 1 คืน ต่อไปจึงนอนได้อีก
(มุสาวาทวรรค ข้อ 5)

12. สตรี หา้ มนอนในท่ีมงุ ทบี่ ัง อันเดียวกบั พระแมใ้ นคนื แรก (มสุ าวาทวรรค ข้อ 6)

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (48)

13. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ขุดดินเหนียวล้วนหรือดินร่วนล้วน ไม่ควรขุด แต่ถ้าพระแสดงความ

ประสงค์ว่าต้องการหลุมหรือคูเป็นต้น หรือว่าต้องการขุดดินให้สูงเท่านั้นเท่าน้ีเป็นต้น ก็ควรจัดการให้ตาม

ประสงค์ (มสุ าวาทวรรค ข้อ 10)

14. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ตัดต้นไม้ หรือดายหญ้าท่ีเกิดอยู่กับดิน หรือให้ร้ือถอนผักหญ้าต่างๆ ที่

เกิดอยู่ในน้า ไม่ควร ตัด-ดาย-รื้อถอน แต่ถ้าพระบอกว่า เราต้องการไม้-หญ้า-ผัก หรือว่าเราต้องการทาความ

สะอาดในท่ีซงึ่ เกะกะรุงรัง ด้วยตน้ ไมห้ รือผกั หญา้ ดงั นเ้ี ปน็ ตน้ จงึ ทาให้ (ภตู คามวรรค ขอ้ 1)

15. บุรุษ-สตรี นิมนต์พระให้ฉันอาหารอย่าออกชื่อโภชนะ 5 คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา
เน้ือ ควรใช้กัปปิยโวหารหรือคาพูดที่สมควร เช่น พูดว่า “ขอนิมนต์ฉันเช้า” หรือว่า “ขอนิมนต์ฉันเพล” และ
ตอ้ งบอกวัน เวลาสถานท่ใี หช้ ัดเจน ท้ังบอกใหพ้ ระทราบด้วยว่าให้ไปกันเอง หรือจะมารับ อนึ่งการที่นิมนต์พระ
ให้ฉันนนั้ ปรารภเร่ืองอะไรก็ควรบอกให้ทราบด้วย

(โภชนวรรค ข้อ 2)

16. บุรุษ-สตรี เมื่อเลยเวลาเพลแล้ว คอื ตั้งแตเ่ ทยี่ งวนั ไปจนถึงวันใหม่ อยา่ นาอาหารไปประเคน
พระ หากเปน็ ของทเ่ี ก็บค้างคืนได้ ไมบ่ ูด ไมเ่ สยี เช่น ข้าวสาร ปลาดบิ เนอื้ ดบิ อาหารสาเรจ็ รูปบรรจุกระป๋อง
เป็นต้น ก็มอบไวแ้ กไ่ วยาวจั กรของท่านได้

(โภชนวรรค ข้อ 7)

17. บรุ ุษ-สตรี ถา้ พระท่มี ิใช่ญาตแิ ละตนไม่ไดป้ วารณาไว้ ไมเ่ ปน็ ไข้ ขอโภชนะอนั ประณีต คอื ข้าว
สุกท่รี ะคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ามัน นา้ ผ้งึ น้าอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมสม้ แม้อย่างใดอยา่ งหนึ่งไม่ควรถวาย
แต่ถา้ ขอเพ่อื ผูเ้ ปน็ ไข้ควรถวายโดยแท้

(โภชนวรรค ข้อ 9)

18. บรุ ษุ -สตรี เม่ือประเคนอาหารหรอื ยาเป็นตน้ ทุกอย่างทีพ่ ระจะต้องกลืนกนิ (ฉัน) ต้อง
ประเคนให้ถกู วธิ ี ดงั นี้

ก. ภาชนะหรือหอ่ ของน้ัน ไมใ่ หญ่หรือหนักจนเกนิ ไป ยกคนเดยี วได้อย่างพอดี
ข. เขา้ อยู่ในหัตถบาสของพระ หา่ งจากพระประมาณ 1 ศอก เปน็ ส่วนสุดของสิ่งของหรือ

ของบุคคลผูป้ ระเคน
ค. นอ้ มกายถวายดว้ ยความเคารพ
ง. กริ ิยาทถ่ี วายนน้ั ถวายด้วยมือหรือของท่ีเนอ่ื งด้วยมือ เช่นชอ้ น-ภาชนะก็ได้
จ. พระรับด้วยมอื หรือของทีเ่ น่อื งด้วยมอื เชน่ บาตร-ผา้ ก็ได้

(โภชนวรรค ข้อ 10)

BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (49)

19. สตรีไมม่ บี ุรุษผรู้ ูเ้ ดียงสาอย่เู ป็นเพื่อน ต้องไมน่ ั่ง ไมน่ อน ไมย่ ืน ไม่เดนิ ในห้องกบั พระ แม้จะมี
สตรีหลายคนกไ็ มไ่ ด้

(อเจลกวรรค ข้อ 4)
20. สตรีต้องไม่น่งั ไมน่ อนในทีแ่ จ้งกบั พระ หน่ึงต่อหนง่ึ ถ้าสตรีหลายคนนั่งได้ แตก่ ารนอนนนั่ ไม่
ควร แมก้ ารยืน การเดนิ กบั พระ หนึง่ ตอ่ หนึ่ง ด้วยอาการซ่อนเร้นก็ไมค่ วร

(อเจลกวรรค ข้อ 5)

21. บรุ ุษ-สตรี ทีไ่ ม่ใชญ่ าตขิ องพระ แม้จะเป็นเขย สะใภ้ หรอื ภรรยาเกา่ ของพระ (ปรุ าณทุตยิ กิ า)
หากมไิ ดเ้ กยี่ วข้องทางสายโลหติ กช็ อื่ ว่ามใิ ชญ่ าติ ถ้ามีศรัทธาจะใหพ้ ระขอปจั จยั 4 หรอื สิ่งของตา่ งๆ จากตนได้
ก็ตอ้ งปวารณา คือเปดิ โอกาสให้พระขอไดโ้ ดยลักษณะ 4 อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง คอื

ก. กาหนดปจั จัยหรือส่ิงของ เช่น จวี ร บณิ ฑบาต ทีน่ อน ที่นง่ั ยา หนงั สือ สมดุ ปากกา ฯลฯ
ข. กาหนดเวลา คอื ให้ขอได้ตลอดเท่านนั้ วนั เท่านน้ั เดอื น เท่านน้ั ปี ตั้งแต่วนั ท่เี ทา่ ไรถงึ เทา่ ไร
ค. กาหนดทั้งปัจจัย-สิง่ ของ และเวลา
ง. ไมก่ าหนดทงั้ ปัจจัย ส่งิ ของและเวลา ถา้ จะให้ขอไดเ้ ป็นนิตย์ ต้องบอกว่า นิมนต์ขอได้

ตลอดกาลเป็นนิตย์
เม่อื ปวารณาแลว้ ถ้าพระขอเกินกาหนดหรือเกิน 4 เดือน ไมค่ วรถวาย เว้นไว้แตต่ นปวารณาอีก
หรอื ปวารณาเปน็ นติ ย์

(อเจลกวรรค ข้อ 7)
หมายเหตุ :- คาว่า ญาติ ไดแ้ ก่คนทเ่ี กย่ี วเนือ่ งกัน 7 ชัน้ คอื 1. ทวด 2. ปูยุ า่ ตายาย 3. พ่อแม่ 4. พ่ี
นอ้ ง 5. ลูก 6. หลาน 7. เหลน
22. บรุ ษุ -สตรี ไมค่ วรเอาของเสพติดให้โทษ เชน่ สรุ าเมรยั ฝนิ่ เฮโรอีน กญั ชาถวายพระ

(สุราปานวรรค ข้อ 1)
23. บรุ ุษ-สตรี อยา่ เอาน้าท่ีมีตัวสตั วไ์ ปตง้ั ไวใ้ ห้พระบรโิ ภค คอื ดมื่ อาบ ล้างเท้า ใชส้ อย

(สปั ปาณวรรค ข้อ 2)
24. บรุ ุษ-สตรี ผนู้ าสนิ คา้ หนภี าษี ไมค่ วรเดินทางรว่ มกับพระ หรือไม่ควรใหเ้ กี่ยวข้องกับพระ

(สปั ปาณวรรค ข้อ 6)

25. สตรี ไม่ควรชวนพระเดินทางไกล แมส้ ้ินระยะบา้ นหนงึ่ แมน้ ่ังรถ นง่ั เรือ ไปเพยี งหน่ึงต่อหนึ่ง
ก็ไม่ควร แม้สตรหี ลายคน แต่ไมม่ ีบุรุษผ้รู ู้เดยี งสานั่งไปดว้ ย ก็ไม่ควร แมบ้ รุ ุษไปดว้ ย หากสตรีขบั รถเรอื เอง ก็ไม่
ควร เวน้ ไวแ้ ตเ่ รอื ข้ามฟาก

(สปั ปาณวรรค ข้อ 7)

26. บรุ ษุ -สตรี จะถวายอาหารแก่พระผูอ้ ยู่ในปาุ อนั เปน็ ท่เี ปลยี่ ว ต้องแจ้งข่าวลว่ งหนา้ ก่อน


Click to View FlipBook Version