BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (50)
(ปาฏิเทสนียะ ข้อ 4)
27. บรุ ุษ-สตรี เมอ่ื พระรบั บิณฑบาตเต็มบาตรแล้ว อย่าเอาอาหารวางบนฝาบาตร หรอื อยา่ ใส่ถงุ
ใหพ้ ระหิว้
(โภชนะปฏสิ งั ยุตะ ขอ้ 4)
28. บุรุษ-สตรี เมื่อนิมนต์พระมาฉันในบา้ นต้องจดั ทฉ่ี นั ให้พรอ้ ม เชน่ น้าล้างเท้า ผ้าเชด็ เทา้ นา้ ฉัน
นา้ ใช้ กระโถน ผ้า-กระดาษเช็ดมอื เช็ดปาก ช้อนสอ้ มและช้อนกลาง อย่าใหบ้ กพร่อง
(โภชนะปฏิสังยุตะ ขอ้ 30)
29. บรุ ุษ-สตรี เมือ่ จดั ทใี่ ห้พระสวดหรอื แสดงพระธรรมเทศนา หรอื ปาฐกถาธรรม ต้องจดั ทใ่ี ห้
พระน่งั อยา่ ใหย้ นื และต้องไม่ตา่ กวา่ ทข่ี องผูน้ ัง่ ฟงั
(ธัมมเทสนาปฏสิ ังยุต ข้อ 13, 14)
30. บุรุษ-สตรี เม่ือฟังธรรมเทศนาหรือฟังปาฐกถาธรรม ต้องฟังด้วยกิริยาอาการเคารพ แม้ฟังพระ
สวดในงานมงคลหรืองานศพเปน็ ต้น กต็ ้องเคารพเชน่ เดียวกนั ไม่ควรนัง่ คุยกันเลย จะคยุ ในเวลาพระหยุดสวดได้
(ธมั มเทสนาปฏิสงั ยตุ ทุกข้อ)
31. บรุ ุษ-สตรี จะถวายร่มแกพ่ ระตอ้ งเลอื กเอาชนิดที่ไมส่ ลบั สี เชน่ รม่ ผ้าดาลว้ น ร่มกระดาษ ร่ม
พลาสติก สนี ้าตาล สีดา สเี หลอื งล้วน
(ว.ิ 2/35)
32. บรุ ุษ-สตรี จะถวายรองเทา้ แก่พระต้องเลือกเอาชนดิ ท่ีไมม่ ีส้นสงู ไม่มปี กส้น ไมม่ ีปกหลังเท้า
มีแต่สายรัดหลงั เทา้ กบั สายท่ีคบี ดว้ ยนิว้ และมสี ีหม่นหมอง เช่น สนี ้าตาลแก่
(ว.ิ 2/36)
33. บรุ ษุ -สตรี เมอื่ จะถวายเตยี งตงั่ แก่พระตอ้ งเลือกเอาแตท่ ่ีมเี ทา้ สูงไมเ่ กิน 8 นว้ิ พระสุคต หรือ 9
นิว้ ฟตุ เว้นไวแ้ ต่แมแ่ คร่ และไมม่ รี ูปสัตวร์ ้ายท่เี ทา้ เชน่ เตยี งจมูกสิงห์ หรอื บลั ลงั ก์ และเตียงนั้นต้องไมใ่ หญถ่ ึง
นอนได้ 2 คน ทนี่ อนก็ไม่ใหญ่อยา่ งเตยี ง ฟูกเตยี ง ฟูกตั่ง และท่ีน่งั ทน่ี อนไม่ยดั นนุ่ หรือสาลี
(รตนวรรค ข้อ 5 และ วิ. 2/39)
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (51)
34. บุรุษ-สตรี เมื่อจะถวายหมอนหนุนศีรษะแก่พระ ต้องให้มีขนาดหนุนได้ศีรษะเดยี วไมถ่ ึง 2
ศีรษะ หมอนข้างไม่ควรถวาย
(ว.ิ 2/40)
35. สตรี ต้องไมน่ ่งั บนอาสนะผืนเดยี วกัน บนเตยี งม้าน่ังเดียวกนั กบั พระ แมบ้ นพ้ืนท่ีไม่มอี ะไรปู
ลาดเลย ก็ไม่ควรนั่งเสมอกับพระหรือสงู กว่าพระ ไปในรถ-เรอื มที ีจ่ ากดั จะต้องนง่ั ท่มี ้านั่งเดียวกนั กบั พระต้อง
ให้มีบรุ ุษน่งั ค่นั ไวเ้ สยี ก่อน
(ว.ิ 2/70)
36. บรุ ษุ -สตรี ไมค่ วรเอาวัตถอุ นามาสประเคนพระ วัตถอุ นามาส คือสิ่งทพ่ี ระไมค่ วรแตะตอ้ ง มี
6 ประเภท ดังน้ี :-
ก. คนหญงิ คนกะเทย เครื่องแต่งกายของคนเหล่าน้ัน แต่ท่ีเขาสละแล้วไมน่ บั
ต๊กุ ตาหญงิ สตั วด์ ิรัจฉานตวั เมีย
ข. ทอง เงนิ มุกดา มณี ไพฑูรย์ ประพาฬ ทบั ทิม บุษราคัม สังข์ที่ขดั แล้ว ศลิ า
ชนดิ ดี เช่น หยก โมรา
ค. ศสั ตราวุธต่างชนิด ทีใ่ ชท้ ารา้ ยชวี ิตร่างกาย
ง. เคร่ืองดักสัตวบ์ ก-นา้
จ. เครือ่ งประโคม
ฉ. ขา้ วเปลือกและผลไม้อันเกดิ อยู่ในท่ี
(ว.ิ 2/73)
37. สตรี ไม่ควรเกลี้ยกลอ่ ม ย่ัวเย้าพระด้วยการพูดประเล้าประโลม หรอื ด้วยการแตง่ ตัว
ชะเวิกชะวาก หรือล่อดว้ ยทรัพย์
(ว.ิ 2/91)
38. บุรษุ -สตรี ไม่ควรเอาของเด็กเล่น เชน่ เรอื น้อยๆ รถน้อยๆ ถวายพระ
(วิ. 2/118)
39. บุรษุ -สตรี ไม่ควรชกั ชวนพระเล่นการพนัน มีแพ้ มชี นะ เชน่ หมากรกุ หมากแยก ฯลฯ
(วิ. 2/118)
40. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเรียนดิรัจฉานวิชาจากพระและไม่ควรบอกดิรัจฉานวิชาแก่พระ ดิรัจฉาน
วิชาคือความรู้ในการทาเสน่ห์ ในการใช้ภูตผีปีศาจทาผู้อ่ืนให้ถึงความวิบัติในทางอวดฤทธิ์เดชต่างๆ ในทาง
ทานายทายทักบอกหวยบอกเบอร์ ในทางทีน่ าให้หลงงมงาย เชน่ หุงเงนิ หรือทองแดงใหเ้ ปน็ ทอง
(ว.ิ 2/120)
41. บุรุษ-สตรี ไม่ควรใชพ้ ระในกจิ นอกพระพทุ ธศาสนา แต่จะขอให้ช่วยกิจพระพทุ ธศาสนา เช่น
ให้ช่วยนมิ นต์พระไปในการบาเพญ็ บุญอยู่ได้
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (52)
(ว.ิ 2/120)
42. บุรุษ-สตรี ไม่ควรนาส่ิงของอันมีค่าฝากไว้กับพระ เพราะอาจเกิดอันตรายแก่พระได้ เช่น
อนั ตรายในการเจรญิ สมณธรรม ถกู ปลน้ ถูกเป็นผูส้ านองในเม่ือของนนั้ หาย
(ว.ิ 2/122)
43. บรุ ุษ-สตรี ไมค่ วรเอาเน้ือสตั วท์ ไ่ี มน่ ยิ มเปน็ อาหารถวายพระ เน้ือที่ไม่นยิ มเปน็ อาหาร คอื เน้ือ
มนุษย์ ชา้ ง-ม้า-สุนัข-ง-ู สหี -์ เสอื โคร่ง-เสือเหลอื ง-หมี-เสอื ดาว
(ว.ิ 2/133)
44. บรุ ษุ -สตรี ไม่ควรเอาเนื้อสัตว์ที่นิยมเป็นอาหารแต่ยังดิบ ไม่สุกด้วยไฟ เช่น ปูเค็ม กุ้งส้ม หอย
เคม็ ปลาเคม็ แหนม กะปิ ลาบเนอื้ ดิบ ไข่ลวกไม่สุก ประเคนพระ ควรมอบไว้แก่กัปปิยการก คือผู้มีหน้าที่ทาให้
เปน็ ของควรแกพ่ ระ
(ว.ิ 2/133)
45. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาอุทิศมังสะถวายพระ อุทิศมังสะ คือเนื้อหรือไข่สัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงภิกษุ
สามเณร
(วิ. 2/133)
46. บุรษุ -สตรี อย่าเอาพชี คาม คอื ผลไม้มีเมลด็ สุกบางอย่าง เช่นพริกสุก มะเขือสุก อ้อยท่ียังไม่ได้
ปอก ผักบุง้ ขมน้ิ กระชาย กระเทียม หอม โหระพา กะเพรา ฯลฯ ท่ีพ้นจากที่เกิดท่ีอยู่แล้ว แต่ยังปลูกให้งอกได้
อีกถวายพระ ควรทาใหเ้ ปน็ ของท่ไี ม่อาจปลกู ใหง้ อกได้แลว้ จงึ ถวายพระ
(ว.ิ 2/135)
47. บุรุษ-สตรี จะทาน้าปานะถวายพระ ควรเลือกเอาผลไม้สุกท่ีนิยมเป็นอาหาร ชนิดท่ีไม่โตกว่า
ผลมะตูมหรือผลกระเบา ขนาดเล็กไม่จากดั เอามาทาความสะอาด คั้นแลว้ กรองให้หมดกาก เจือน้าจืดท่ีสะอาด
บ้างกไ็ ด้ แตอ่ ยา่ ใชน้ ้าร้อน และอย่าต้มนา้ ปานะดว้ ยไฟ จะเจอื น้าตาลเกลอื บ้างกไ็ ด้ ทาแล้วต้องถวาย ให้พระฉัน
ในวันน้นั อย่าปล่อยให้ขา้ มราตรี
(วิ. 2/139)
48. บรุ ษุ -สตรี ไมค่ วรถอื เอามรดกของพระผ้มู รณภาพไปแลว้ ไม่ว่าพระรูปน้ันจะเป็นพ่อ ลูก ญาติ
มติ ร หรือเกีย่ วข้องกันโดยสถานะไรๆ ก็ตาม แมพ้ ระไดท้ าพินยั กรรมไว้ให้ ก็ถือเอาไม่ได้ เพราะทางวินัยของสงฆ์
มอี ยวู่ ่า มรดกของพระผมู้ รณะตกเปน็ ของสงฆ์ท้ังหมด แม้พระไดพ้ ูดไวด้ ้วยคาอันเป็นอนาคตว่า “ถ้าฉันตายแล้ว
เธอจงเอาสง่ิ นัน้ สิง่ นีไ้ ป” ดงั น้ี กถ็ อื เอาไมไ่ ด้ แตส่ ิ่งทีพ่ ระมอบใหด้ ้วยคาเปน็ ปจั จบุ ันว่า “ฉนั ใหส้ งิ่ น้ันสิ่งน้ีแก่เธอ”
กถ็ ือเอาได้เฉพาะสิ่งที่ระบถุ ึง หากระบทุ ง้ั หมดกถ็ อื เอาได้ท้งั หมด
(ว.ิ 2/154/155)
49. บรุ ษุ -สตรี เมอื่ จะถือเอาสิง่ ของของพระดว้ ยวิสาสะ ตอ้ งใหค้ รบองค์ 3 คือ
ก. เคยเห็นกนั เคยคบกนั เคยพดู กนั ไว้อย่างใดอย่างหน่ึง
ข. รวู้ า่ ถอื เอาแล้ว เจา้ ของจักพอใจ
ค. เจ้าของยังมชี ีวติ อยู่
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (53)
(วิ. 2/157)
50. บุรุษ-สตรี เม่ือพยาบาลพระผู้เจ็บหนัก ฉันอาหารไม่ได้ คร้ันถึงเวลาวิกาลหิวจัด หากมิได้
อาหารอาจเป็นอันตราย จะต้มข้าวหรือเนื้อสัตว์ที่นิยมเป็นอาหาร (เว้นอุทิศมังสะ) ให้เหลว กรองให้หมดกาก
เอาแต่น้าข้าว น้าเน้ือที่ใสถวายให้พระด่ืมในเวลาวิกาลได้ การที่จะอ้างว่า แพทย์ส่ังให้พระปุวยฉันอาหารใน
วิกาลได้ แล้วนาอาหารชนิดต่างๆ ไปถวายในวิกาลนั้น ไม่ควรเลย หากพระอยากฉันอาหารในวิกาลโดยไม่
เอื้อเฟ้ือตอ่ วินยั แล้ว ควรให้สกึ เสยี ก่อน จึงจดั ถวายให้รับประทาน
(วิ. 2/175)
51. สตรีทีเ่ ป็นโสเภณี เป็นหมา้ ย เปน็ สาวเทือ้ เปน็ ชี และกะเทย ไม่ควรไปมาหาสู่กบั พระ โดยไม่
เป็นกจิ จลกั ษณะหรือผิดเวลา
(วิ. 2/181)
52. บรุ ุษ-สตรี ไม่ควรนิมนต์พระเข้าน่ังในร้านสุรา จะเปน็ ที่ขาย หรือที่กลั่นสุราหรอื ทด่ี องเมรัยก็ตาม
(วิ. 2/181)
บรุ ุษหรอื สตรีกต็ าม เมอื่ หวงั ความเจริญแก่ตนแก่วงศ์สกุลของตน และแก่พุทธศาสนา ควรศึกษาให้
มคี วามรู้เก่ยี วกับวินยั ของภิกษุสงฆ์บางข้อ ตามทรี่ วบรวมไว้นี้ และปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็ย่อมจะเหมาะสมแก่ความ
เปน็ พทุ ธศาสนิกชน และย่อมช่วยประดบั พระพุทธศาสนาใหร้ ุ่งเรืองแล
5.4 พระวินยั สาหรับฆราวาส
วตั รแห่งคฤหสั ถ์ สาวกกระทาอย่างไรจึงจะเปน็ ผ้ยู งั ประโยชน์ใหส้ าเร็จ
1. วางอาชญาในสัตว์ทกุ หมู่เหล่า ทัง้ ผู้ที่มน่ั คงทัง้ ผู้ท่ียังสะดุ้งในโลกแล้ว ไม่พึงฆ่าสัตว์เอง ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า
และไม่พึงอนุญาตใหผ้ อู้ น่ื ฆ่า
2. สาวกรู้อยู่ พึงเว้นส่ิงท่ีเขาไม่ให้ ในท่ีไหนๆ ไม่พึงใช้ให้ผู้อ่ืนลัก ไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่นลัก พึงเว้นวัตถุท่ี
เจ้าของเขาไม่ใหท้ งั้ หมด
3. สาวกผรู้ ู้แจ้งพึงเวน้ อพรหมจรรย์ แต่เม่อื ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไมพ่ ึงกา้ วล่วงภรรยาของผูอ้ ื่น
4. ไม่พึงกล่าวเท็จแกบ่ คุ คลผ้หู นึง่ ไมพ่ ึงให้ผูอ้ น่ื กลา่ วคาเทจ็ ไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่นกล่าวเท็จ พึงเว้นคาไม่เป็น
จริงทั้งหมด
5. ไม่พึงดื่มน้าเมา ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นด่ืม ไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่นดื่ม เพราะทราบชัดการด่ืมน้าเมานั้นว่า มีความ
เป็นบ้าเป็นที่สุด คนพาลท้ังหลายย่อมกระทาบาปเอง และใช้คนอื่นผู้ประมาทแล้วให้กระทาบาป เพราะความเมา
น่ันเอง สาวกพึงเวน้ ความเป็นบา้ ความหลงทค่ี นพาลใคร่แล้ว อันเปน็ บอ่ เกดิ แห่งบาปน้ี
อโุ บสถอนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 ประการนี้ พระพุทธเจา้ ทรงประกาศไวแ้ ลว้
1. ไมพ่ งึ ฆา่ สัตว์
2. ไมพ่ งึ ถือเอาส่ิงของท่ีเจ้าของเขาไม่ได้ให้
3. ไม่พึงพูดมสุ า
4. ไม่พึงดื่มนา้ เมา
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (54)
5. พึงเวน้ จากเมถุนธรรมอนั เป็นความประพฤติไมป่ ระเสรฐิ
6. ไมพ่ งึ บรโิ ภคโภชนะในเวลาวกิ าลในราตรี
7. ไม่พงึ ทัดทรงดอกไม้และไม่พงึ ลูบไล้ของหอม
8. พึงนอนบนเตยี งหรือบนพ้ืนดนิ ท่เี ขาลาดแลว้
สาวกผมู้ ีใจเลอื่ มใส พงึ เข้าจาอุโบสถประกอบด้วยองค์ 8 ประการใหบ้ ริบูรณด์ ี ตลอดวนั 14 ค่า 15 ค่า และ
8 คา่ แหง่ ปกั ข์ และตลอดปาฏหิ าริกปักข์
สาวกผรู้ ้แู จง้ เขา้ จาอโุ บสถอยู่แตเ่ ชา้ แลว้
1. มจี ติ เลอื่ มใส ชืน่ ชมอยู่เนืองๆ
2. แจกจา่ ยภกิ ษุสงฆ์ด้วยข้าวและนา้ ตามควร
3. เล้ียงมารดาและบดิ าดว้ ยโภคสมบัตทิ ี่ได้มาโดยชอบธรรม
4. ประกอบการค้าขายอนั ชอบธรรม
ไมป่ ระมาท ประพฤตวิ ัตรแหง่ คฤหสั ถ์น้ีอยู่ ย่อมเขา้ ถึงเหลา่ เทวดาชื่อวา่ สยัมปภา ผูม้ ีรัศมีในตน
(อ่าน ธรรมิกสตู ร)
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (55)
บทท่ี 6
สาระสาคัญจากคัมภีร์พระวินยั
6.1 การบวช
การบวช เป็นศัพท์ท่ีใช้ในทางศาสนาโดยมีข้ันตอนท่ีจะทาให้บุคคลธรรมดาผู้นับถือศาสนาต่างๆ กลายเป็น
นกั บวชของศาสนาท่ีตนนบั ถอื น้นั การบวชมกั ประกอบไปด้วยพิธีกรรมและแบบพิธีตา่ ง ๆ ซึ่งขั้นตอนการบวชเองนั้น
กม็ ีความแตกตา่ งกนั ไปตามศาสนาและชื่อเรยี กขาน ผทู้ ่ีกาลงั เตรยี มเขา้ สกู่ ารบวชเรยี กว่า ผูเ้ ตรียมบวช
ในพระพุทธศาสนา เรียกการบวชว่าการอุปสมบท (บาลี: อุปสมฺปทา) แต่เดิมน้ัน การบวชเรียกว่า
บรรพชา (บาลี: ปพฺพชฺชา แปลว่า เว้นทั่ว, เว้นจากความช่ัวทุกอย่าง) ปัจจุบันคาว่าบรรพชาใช้กับการบวชสามเณร
ในขณะที่อุปสมบทใชก้ บั การบวชพระภิกษุ
การบวชโดยนัยแลว้ คือ การละท้ิงวถิ ีชีวิตความเปน็ อยู่เดิม สู่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ใหม่ ตามครรลองแห่งมรรค
เพอ่ื เป็นการง่าย เพ่ือเป็นการสะดวก เป็นทางอันปลอดโปร่ง แก่การบรรลุถึงซึ่งวัตถุประสงค์ คือ ความบริสุทธ์ิหลุด
พน้ ปราศจากมิลทิน หมดจดจากความเศร้าหมอง และเป็นอิสระจากพันธนาการเคร่อื งร้อยรัดท้ังปวง
ในสมัยพุทธกาล การบวชมี 8 อย่างได้แก่ คือ
1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นการบวชท่ีพระโคตมพุทธเจ้าประทานแก่พระสาวกบางองค์ด้วยพระองค์เอง ด้วย
การตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ แปลว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด" พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นคนแรกและพระสุภัททะ
เป็นคนสดุ ทา้ ยทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงบวชด้วยวิธนี ้ี
2. ติสรณคมนูปสัมปทา เป็นการบวชโดยให้ผู้ขอบวชเปล่งวาจาต่อหน้าพระสาวกว่าขอพระรัตนตรัยเป็นที่พ่ึง
สามครัง้ ปัจจบุ นั วธิ ีนี้ใชใ้ นการบรรพชาสามเณร
3. ญตั ติจตุตถกมั มอุปสมั ปทา เปน็ การบวชโดยใหค้ ณะสงฆ์ประชมุ กันในอโุ บสถ โดยมพี ระภิกษุรูปหน่ึงแจ้งว่ามี
ผขู้ อบวช เม่ือประกาศครบสค่ี รงั้ ไม่มีพระรูปใดคัดค้าน ถือว่าผูข้ อบวชไดร้ ับการยอมรับให้เป็นพระภิกษุ
4. ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา เป็นการบวชโดยท่ีพระพุทธเจ้าประทานครุธรรม 8 ประการ แก่พระนางมหาปชา
บดี และสตรชี าวสากยะ 500 คน เม่ือพวกนางยอมรบั ครธุ รรมกไ็ ดร้ บั สถานะเปน็ ภิกษุณี
5. อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา เป็นการบวชภกิ ษณุ ีโดยให้รับญัตติจตตุ ถกมั มอุปสัมปทาจากภิกษุณีสงฆ์ก่อนคร้ังหน่ึง
และจงึ รับญัตติจตุตถกมั มอุปสัมปทาจากภกิ ษุสงฆ์อีกครงั้ เมื่อผ่านการอุปสมบทท้งั สองคร้ังแลว้ จึงเป็นภกิ ษณุ ี
6. โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา เป็นการบวชโดยพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทแก่พระมหากัสสปะ เมื่อท่าน
รับโอวาทแลว้ กเ็ ป็นพระภกิ ษุ
7. ปญั หาพยากรณปู สมั ปทา เป็นการบวชโดยพระพทุ ธเจ้าทรงตอบปญั หาของสามเณรโสปาก
8. ทูเตนอปุ สมั ปทา เป็นการบวชโดยพระพุทธเจา้ ทรงส่งทูตของพระองค์ไปบวชหญงิ โสเภณชี ่ืออัฑฒกาสี
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (56)
6.2 การสวดปาฏิโมกข์
ปาตโิ มกข์ หมายถึง คมั ภรี ์ทีร่ วมวนิ ัยของสงฆ์ 227 ขอ้ คัมภรี ์ที่ประมวลพุทธบญั ญัติอนั ทรงต้ังขน้ึ เป็นพุทธ
อาณา มีพุทธานญุ าต ให้สวดในทปี่ ระชมุ สงฆ์ ทุกกึ่งเดือน เรียกกนั วา่ สงฆท์ าอุโบสถ[1] บทปาติโมกข์เหลา่ น้ปี รากฏ
อยใู่ นพระวนิ ยั ปฎิ ก หมวดสุตตวภิ ังค์
มีพุทธานญุ าตให้สวดปาติโมกขย์ อ่ ได้ เมื่อมีเหตุจาเปน็ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ คอื
1. ไม่มภี ิกษจุ าปาติโมกข์ไดจ้ นจบ
2. เกดิ เหตฉุ ุกเฉนิ ขดั ข้องที่เรยี กว่า อนั ตรายอยา่ งใดอย่างหนึ่งในอนั ตรายทั้งสบิ คือ
2.1 ระราชาเสด็จมา
2.2 โจรมาปลน้
2.3 ไฟไหม้
2.4 นา้ หลากมา
2.5 คนมามาก
2.6 ผเี ข้าภกิ ษุ
2.7 สัตวร์ ้ายเขา้ มา
2.8 งรู ้ายเลื้อยเขา้ มา
2.9 ภกิ ษุอาพาธหนกั จะถงึ เสยี ชีวิต
2.10 มอี นั ตรายแก่พรหมจรรย์
อธิษฐานอุโบสถ
สมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหน่ึง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่รูปเดียว จึงภิกษุน้ันได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระ
ภาคทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุ ๔ รปู สวดปาตโิ มกข์ ให้ภิกษุ ๓ รูปทาปาริสุทธิอุโบสถแก่กัน ให้ภิกษุ ๒ รูป ทาปาริสุทธิ
อุโบสถ ก็เรามีอยู่เพียงรูปเดียว จะพึงทาอโุ บสถ
อย่างไรหนอ. ภิกษุทัง้ หลายกราบทลู เรอ่ื งนน้ั แดพ่ ระผมู้ พี ระภาค. พระผู้มีพระภาครับสงั่ กะภิกษุ
ท้งั หลายวา่ ดกู รภกิ ษุท้งั หลาย ในอาวาสแห่งหน่งึ ถงึ วันอุโบสถ มีภิกษใุ นศาสนานอ้ี ยูร่ ปู เดียว.
ภกิ ษุน้ันพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุท้ังหลาย คือจะเป็นโรงฉัน มณฑป หรือโคนต้นไม้ก็ตาม แล้ว
ตัง้ นา้ ฉนั นา้ ใช้ ปอู าสนะ ตามประทปี ไว้ แล้วนัง่ รออยู่. ถ้ามีภิกษุเหล่าอื่นมาพึงทาอุโบสถร่วมกับพวกเธอ ถ้าไม่มีมา
พึงอธษิ ฐานวา่ วนั นี้เปน็ วนั อุโบสถของเรา ถา้ ไม่อธิษฐาน ต้องอาบตั ิทุกกฏ.
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (57)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสท่ีมภี กิ ษุอยู่ด้วยกัน ๔ รปู จะนาปาริสทุ ธิของภิกษรุ ปู หนง่ึ มาแลว้ ๓ รูปสวด
ปาติโมกข์ไม่ได้ ถา้ ขนื สวด ต้องอาบตั ิทุกกฏ.
ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ดว้ ยกัน ๓ รปู จะนาปาริสทุ ธขิ องภิกษรุ ูปหน่งึ มาแล้ว ๒ รูปทาปาริ
สุทธอิ โุ บสถไม่ได้ ถ้าขืนทา ต้องอาบตั ิทุกกฏ.
ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ดว้ ยกนั ๒ รปู จะนาปารสิ ทุ ธขิ องภิกษุรูปหน่ึงมาแล้วอกี รปู หนง่ึ
อธิษฐานไม่ได้ ถา้ ขืนอธิษฐาน ต้องอาบัตทิ กุ กฏ.
(พระไตรปิฎก ฉบับบาลสี ยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ที่ ๔ พระวินยั ปิฎก เลม่ ท่ี ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ข้อที่ ๑๘๕ หน้าที่ ๒๐๑-๒๐๒)
6.3 การเขา้ พรรษา / ออกพรรษา / ปวารณา
การเข้าพรรษา
เข้าพรรษา (บาลี: วสฺส, สันสกฤต: วรฺษ, อังกฤษ: Vassa, เขมร: វស្សា, พม่า: ဝါဆုိ) เป็นวันสาคัญใน
พทุ ธศาสนาวันหนงึ่ ทพี่ ระสงฆเ์ ถรวาทจะอธิษฐานวา่ จะพักประจาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกาหนด
ระยะเวลา 3 เดือนตามท่ีพระวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือภาษาปากว่า จาพรรษา ("พรรษา" แปลว่า
ฤดูฝน, "จา" แปลว่า พักอย)ู่ การเข้าพรรษานถี้ อื เปน็ ข้อปฏิบัติสาหรบั พระสงฆ์โดยตรง พระสงฆ์จะไม่จาพรรษาไม่ได้
เนื่องจากรูปใดไมจ่ าพรรษาถอื ว่าต้องอาบัติทุกกฏตามพระวินัย[1] การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่า
เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันข้ึน 15 ค่า เดือน 11 หรือวันออก
พรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่า เดือน 8 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่าเดือน 8 หลัง) หรือเทศกาล
เข้าพรรษา (วนั แรม 1 ค่า เดอื น 8 ถงึ วนั ขนึ้ 15 คา่ เดอื น 11 หรอื ปีอธิกมาส จะเลือ่ นเปน็ วนั แรม 1 ค่าเดือน 8 หลัง
ถึงวันข้ึน 15 ค่า เดือน 11) ถอื ว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธท่ีสาคัญเทศกาลหน่ึงในประเทศไทย โดยมี
ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาท่ีต่อเน่ืองมาจากวัน
อาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่า เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนท่ัวไปได้สืบทอด
ประเพณีปฏิบตั กิ ารทาบุญในวนั เขา้ พรรษามาช้านานแล้วตงั้ แต่สมยั สโุ ขทยั
สาเหตทุ พี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตการจาพรรษาอยู่ ณ สถานท่ีใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์น้ัน มี
เหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพ่ือเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความ
ยากลาบากในช่วงฤดูฝน เพ่ือปูองกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่าธัญพืชของชาวบ้านท่ีปลูกลงแปลงใน
ฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจาพรรษาตลอด 3 เดือนน้ัน เป็นช่วงเวลาและโอกาสสาคัญในรอบปีท่ี
พระสงฆ์จะไดม้ าอยจู่ าพรรษารวมกนั ภายในอาวาสหรอื สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพ่ือศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์
ทีท่ รงความรู้ ได้แลกเปลย่ี นประสบการณ์และสรา้ งความสามัคคใี นหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดท้ัง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีท่ีจะ
บาเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทาบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซ่ึงส่ิงที่พิเศษจากวันสาคัญอ่ืน ๆ คือ มีการถวาย
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (58)
หลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้าฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสาหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้
สาหรับการอยู่จาพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเม่ืออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชา
อุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพ่ืออยู่จาพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการ
บรรพชาอุปสมบทเพอ่ื จาพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" โดยในปีถัดมา
ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็นวันห้ามขายเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ท่ัวราชอาณาจักร[3] ทั้งน้ีเพื่อรณรงค์ให้ชาวไทย
ต้ังสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุราในวันเข้าพรรษาและในช่วง 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพ่ือส่งเสริมค่านิยมท่ีดี
ให้แกส่ ังคมไทย
การออกพรรษา
วันสุดท้ายของการอยู่จาพรรษา 3 เดือน ของพระภิกษุ ตามคัมภีร์เรียกว่า วันปวารณา หรือ วันมหา
ปวารณา น้ัน ตรงกับวนั ข้นึ 15 ค่า เดอื น 11 เราเรียกกันวา่ "วนั ออกพรรษา" ตามทเี่ ข้าใจกนั ท่วั ไป
แต่ตามพระวินัยบัญญัติ พระภิกษุท้ังหลายยังต้องอยู่ในจาพรรษาในคืนวันนั้น (วันข้ึน 15 ค่า เดือน 11) อีก
คืนหน่งึ จะไปค้างแรมทีอ่ ่ืนเลยไม่ได้ ต้องให้ผ่านอรุณเข้าวันใหม่ (วนั แรม 1 คา่ เดอื น 11) เสียก่อน
สรุปว่า "วันออกพรรษา" ตามที่เรียกและเข้าใจกันทั่วไป (และจะกล่าวถึงต่อไปในบทความนี้) คือวันข้ึน 15
ค่า เดอื น 11 สว่ น "วันออกพรรษาจรงิ " ตามพระวินัย คอื วนั แรม 1 คา่ เดอื น 11
"วันออกพรรษา" (ตามที่เข้าใจกัน) เป็นวันสาคัญทางพุทธศาสนาวันหน่ึงในประเทศไทย เน่ืองจากเป็นวัน
ส้ินสุดระยะเวลาจาพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทาสังฆกรรม คือ การปวารณาใน
วันน้ี วันออกพรรษา (ออกปุริมพรรษา1) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่า เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวัน
เขา้ พรรษา 3 เดอื น ตามปฏทิ ินจันทรคตไิ ทย
การปวารณา ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสาหรับพระภิกษุโดยเฉพาะ เรียกว่า เป็นญัตติกรรมวาจา (สังฆ
กรรม) ประเภทหนึ่ง ให้โอกาสแก่พระสงฆ์ท่ีจาพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาส (3 เดือน) สามารถว่ากล่าวตักเตือน
และชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซ่ึงกันและกัน เพ่ือให้พระสงฆ์ท่ีถูกตักเตือนมี
โอกาสรบั ร้ขู อ้ บกพร่องของตนและนาข้อบกพรอ่ งไปแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตวั ใหด้ ีย่ิงขน้ึ
เม่อื ถึงวนั ออกพรรษา พุทธศาสนกิ ชนถือเป็นโอกาสอนั ดีทจี่ ะเข้าวดั เพอ่ื บาเพญ็ กศุ ลแกต่ นเองทตี่ ั้งใจปฏบิ ตั ิ
ตนเปน็ อบุ าสก-อุบาสกิ า ส่วนพระสงฆจ์ าพรรษาและตั้งใจปฏบิ ัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาส (3 เดอื น) หรือในวนั
ถดั ไปคือ วนั ออกพรรษา(จริง) (คอื วนั แรม 1 คา่ เดือน 11) พทุ ธศาสนกิ ชนในประเทศไทยนยิ มไปทาบุญตักบาตร
เรียกว่า บุญเทศกาลบาตรเทโว หรือ บาตรเทโวโรหณะ เพื่อราลกึ ถึงเหตุการณ์สาคญั ในพทุ ธประวตั ิท่ีกลา่ ว
ว่า พระพุทธเจา้ เสด็จกลบั จากเทวโลก ลงมายงั โลกมนุษย์หลังจากการโปรดเทพบุตร อดีตพระพุทธมารดา พระนาง
สริ ิมหามายา บนสวรรคด์ าวดงึ ส์ (ช้ันที่ 2) ในพรรษาที่ 7 เสด็จลงมายังเมืองสงั กัสสะ[2] พรอ้ มกบั ทรงแสดงไตรโลกววิ
รณปาฏหิ ารยิ ์ (ทรงปาฏหิ ารยิ ์เปดิ โลกท้งั 3. สวรรค์,นรก,โลก)
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (59)
กฐินกาล คอื ช่วงเวลาทท่ี รงอนุญาตให้ภิกษผุ ู้อยูจ่ าพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรบั มานุ่งหม่ ได้ เร่มิ
ตง้ั แต่ วันแรม 1 ค่า เดือน 11 ถึงวันขึน้ 15 ค่า เดือน 12 (วนั ลอยกระทง) เปน็ ช่วงเวลากฐนิ กาลตามพระวนิ ัยปิฎก
เถรวาท ในชว่ งเวลาทีพ่ ทุ ธศาสนิกชนชาวไทยจะเขา้ รว่ มบาเพญ็ กุศลเนอ่ื งในงานกฐนิ ประจาปี เป็นการนาผ้าจีวร
ถวายพระพทุ ธรูปและพระสงฆ์ในวดั ต่าง ๆ โดยถือวา่ เปน็ งานบาเพ็ญกุศลท่ีไดบ้ ุญกศุ ลมากงานหนึ่ง
กิจกรรมต่างๆ ทค่ี วรปฏบิ ัติในวันออกพรรษา
1. ทาบุญตักบาตรอุทศิ ส่วนกุศลให้แกญ่ าตผิ ลู้ ว่ งลับ
2. ไปวัดเพื่อปฏบิ ัติธรรม ฟงั พระธรรมเทศนา
3. ร่วมกิจกรรม "ตกั บาตรเทโว"
4. ปดั กวาดบ้านเรอื นให้สะอาด ประดบั ธงชาตติ ามอาคารบา้ นเรอื นและสถานทร่ี าชการและประดบั
ธงชาติ และธงธรรมจกั ร ตามวดั และสถานทส่ี าคัญทางพระพทุ ธศาสนา
5. ตามสถานท่รี าชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจดั ให้มนี ิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยาย
ธรรม เกี่ยวกับวนั ออกพรรษา เพอื่ ให้ความรแู้ ก่ประชาชนและผูส้ นใจทวั่ ไป
การปวารณา
วันมหาปวารณา เป็นวันสาคญั ในพทุ ธศาสนา ตรงกบั วนั สุดท้ายของการอยู่จาพรรษา 3 เดือน คือ วันขึ้น 15
ค่า เดือน 11 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทาการปวารณา คือ ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซ่ึงกันและกัน
หมายถึงยอมมอบตนให้สงฆ์กล่าวตักเตอื น ในขอ้ บกพร่องท่ีภิกษุทั้งหลายได้เห็นได้ยิน หรือมีข้อสงสัย ด้วยจิตเมตตา
เพ่ือจกั ไดส้ ารวมระวงั ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตนเอง เพ่ือความเจรญิ ของพระธรรมวินัยและความผาสกุ ในการอยูร่ ว่ มกนั
วนั ท่ีพระสงฆท์ ามหาปวารณานี้ เรียก "ตามทเ่ี ข้าใจกันท่ัวไป" วา่ วันออกพรรษา
ความเป็นมาของวันมหาปวารณา
ครั้งหน่ึง มีภิกษุท่ีจาพรรษาในแคว้นโกศล ต้ังกติกาว่า จะไม่พูดกัน แต่ใช้วิธีบอกใบ้ หรือใช้มือแทนคาพูด
เม่อื ออกพรรษาแล้วไปเฝูาพระพทุ ธเจา้ พระองคต์ รสั ถาม ทรงติเตียน และทรงอนุญาตการปวารณา คือ การอนุญาต
ใหภ้ ิกษอุ น่ื ว่ากลา่ วตกั เตือนกนั ได้ ภกิ ษจุ าพรรษาแลว้ ยอ่ มปวารณากนั ด้วยเหตุ 3 ประการคอื
1. โดยไดเ้ หน็
2. โดยไดย้ นิ ได้ฟัง
3. โดยสงสยั
วิธปี วารณา
ภิกษุเถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า น่ังกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณา 3 คร้ังเพื่อให้ภิกษุ
นวกะกล่าวปวารณาตอบ ภิกษุนวกะก็ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า น่ังกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณา 35
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (60)
ครงั้ ต่อมา พระพุทธองคท์ รงอนญุ าตใหน้ ั่งกระโหย่งในระหว่างที่ยังปวารณา และทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ปวารณาแล้ว
น่งั บนอาสนะ เพราะเคยมีภิกษุชราภาพน่ังกระโหย่งคอยนานจนเป็นลมล้มลง
ปวารณาสูตร พระพุทธเจา้ ทรงปวารณาแกห่ มสู่ งฆ์
คราวหน่ึงในพระวิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับภิกษุสงฆ์ 500 รูป ล้วนเป็นพระ
อรหันต์ในวันอุโบสถข้ึน 15 ค่าเพื่อจะทรงทาปวารณา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่เหล่าภิกษุนั้นว่า จะติเตียนการ
กระทาทางกาย ทางวาจาของพระองค์บ้างหรือไม่ พระสารีบุตรตอบปฏิเสธเพราะพระองค์ยังทางท่ียังไม่เกิดให้
เกิดขึน้ จากนนั้ พระสารีบตุ รกก็ ลา่ วปวารณาให้พระพุทธเจา้ ติเตียนทา่ น พระผูม้ พี ระภาคเจ้ากล่าวปฏิเสธ เพราะพระ
สารีบุตรเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก พระสารีบุตรทูลถามอีกว่า พระองค์จะไม่กล่าวติเตียนการกระทาทางกาย
ทางวาจา ของเหล่าภิกษุบ้างหรือ พระองค์กล่าวปฏิเสธ เพราะเหล่าภิกษุได้บรรลุวิชชา 3 อภิญญา 6 ได้อุภโตภาค
วมิ ุตติ และไดป้ ญั ญาวิมตุ ิเปน็ พระอรหนั ต์
เหตทุ ่ที าให้เปน็ คนว่ายากและวา่ งา่ ย
อนมุ านสตู ร ธรรมท่ที าใหเ้ ป็นผู้วา่ ยาก 16 ประการ
1. เป็นผมู้ คี วามปรารถนาลามก
2. เป็นผู้ยกตนข่มผู้อ่ืน
3. เป็นผมู้ กั โกรธ มีความโกรธครอบงาแลว้
4. เป็นผมู้ กั โกรธ ผกู โกรธ
5. เป็นผู้มกั โกรธ มักระแวง
6. เป็นผู้มกั โกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธ
7. เม่ือภกิ ษผุ ู้เปน็ โจทก์ฟูอง กลบั โต้เถียงโจทก์
8. เมอ่ื ภิกษผุ ูเ้ ป็นโจทก์ฟูอง กลับรกุ รานโจทก์
9. เม่ือภกิ ษุผเู้ ปน็ โจทก์ฟูอง กลับเอาเรอื่ งอนื่ มากลบเกลอ่ื นพดู นอกเร่ือง แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย
ความไม่เชื่อฟังปรากฏ
10. เมื่อภกิ ษผุ ู้เปน็ โจทก์ฟูอง ไม่พอใจตอบในความประพฤติ
11. เมื่อภกิ ษผุ ู้เป็นโจทกฟ์ ูอง กลับปรกั ปราโจทก์
12. ภิกษุเป็นผู้ลบหลู่ ตเี สมอ
13. ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ ิษยา ตระหน่ี
14. ภกิ ษุเปน็ ผู้โอ้อวด เจา้ มายา
15. ภกิ ษเุ ปน็ ผู้กระดา้ ง ดหู มิน่ ผู้อ่ืน
16. ภิกษเุ ป็นผู้ถอื แตค่ วามเห็นของตน ถือร้ันถอนไดย้ าก
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (61)
6.4 การฉันเภสัช
เภสชั ชขนั ธกะ (หมวดวา่ ด้วยยา)
ทรงอนุญาตเภสชั ๕ และอืน่ ๆ
๑. ภิกษหุ ลายรูปอาพาธ ดม่ื ข้าวยาคู หรือฉนั อาหารก็อาเจียนออก (เพราะอาหารไม่ย่อย) จึงซูบผอม พระผู้
มพี ระภาคจงึ ทรงอนุญาตเนยใส นา้ มนั น้าผ้ึง น้าอ้อย ให้ฉนั ไดท้ ้งั ในกาล (ก่อนเที่ยง) และในวกิ าก (เทยี่ งแลว้ ไป)
๒. ทรงอนญุ าตเปลวสตั วห์ ลายอยา่ ง ให้เคย้ี วบริโภคเป็นเภสัชได้เฉพาะในกาล
๓. ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั มลู เภสัช (ยาที่เป็นหัวหรือเหง้าไม้) เช่น ขมิ้น ขิง เป็นต้น ได้ตลอด ไม่กาหนดกาล แต่
ต้องมีเหตุสมควร ถา้ ไม่มเี หตุสมควร ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ สาหรับภิกษผุ ู้อาพาธ ทรงอนญุ าตให้ใช้หินบดบดได้
๔. ทรงอนุญาตใหฉ้ นั กสาวเภสชั (ยาทเี่ ป็นน้าฝาดจากตน้ ไม้) ไดต้ ลอดชวี ติ ในเมอื่ มเี หตุสมควร
๕. ทรงอนญุ าตใหฉ้ ันปัณณเภสัช (ใบไม้ที่เป็นยา) ได้ตลอดชีวิต ในเมือ่ มีเหตสุ มควร
๖. ทรงอนุญาตใหฉ้ นั ผลเภสัช (ผลไม้ท่ีเปน็ ยา) เช่น ดปี ลี สมอ มะขามปอู ม ได้ตลอดชวี ติ
๗. ทรงอนุญาตให้ฉนั ชตุเภสัช (ยางไม้ที่เปน็ ยา) เชน่ มหาหิงคุ์ ไดต้ ลอดชีวิต เมื่อมีเหตสุ มควร
๘. ทรงอนญุ าตโลณเภสัช (เกลอื ที่เป็นยา) เชน่ เกลือสมุทร เกลือสินเธาว์ ไดต้ ลอดชวี ติ เม่อื มีเหตสุ มควร
๙. ทรงอนุญาตให้ใช้ยาผง ในเมื่อเป็นแผลพุพอง หรือกลิ่นตัวแรง เพื่อมิให้แผลติดจีวร สาหรับภิกษุผู้ไม่
อาพาธ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชม้ ลู โค (แหง้ ) ดิน (แห้ง) และกากเครื่องย้อม ทรงอนุญาตครก สาก และแล่ง(สาหรับร่อนยา
ผง) เพ่ือการนี้
๑๐. ทรงอนุญาตเนื้อสัตวด์ บิ โลหติ ดิบ ในเม่ืออาพาธ เน่ืองดว้ ยอมนุษย์
๑๑. ทรงอนุญาตยาตา และกลักยาตา สาหรับภิกษุผู้อาพาธเป็นโรคตา แต่ห้ามมิให้ใช้กลักยาตา ที่ทาด้วย
เงินทองแบบของคฤหัสถ์ กับทรงอนุญาตฝาปิดกลักยาตา และให้ใช้ด้ายพันกันฝาตก กับทรงอนุญาตให้ใช้ไม้ปูายยา
ตาและถุงใสไ่ ม้ปูายยาตา รวมท้งั สายสาหรับสะพายคลอ้ งบ่า
๑๒. ทรงอนุญาตให้ทาน้ามันที่ศีรษะ เมื่อเป็นโรคร้อนศีรษะ และอนุญาตให้นัตถุ์ยา และกล้องยานัตถุ์ แต่
กล้องยานัตถ์ุ ห้ามใช้ท่ีทาด้วยทองเงินหรืองดงามแบบของคฤหัสถ์, ทรงอนุญาตกล้องยานัตถ์ุท่ีมีหลอดคู่. ทรง
อนุญาตให้สูดควัน (ของยา) ทางจมูก, ทรงอนุญาตกล้องยาสูบ (ท่ีใช้รักษาโรค) แต่ไม่ให้ใช้กล้องที่ทาด้วยทองเงิน
หรอื งดงามแบบคฤหัสถ,์ ทรงอนุญาตใหม้ เี ครอื่ งปิดกลอ้ งยาสูบ (เพอื่ กนั สตั ว์เขา้ ไปข้างใน), ทรงอนุญาตถุงใส่กล้องยา
สูลและถงุ คู่ รวมท้งั สายสาหรบั สะพายคลอ้ งบา่
๑๓. ทรงอนญุ าตให้เคย่ี วน้ามนั (ทายา) และทรงอนุญาตใหเ้ ตมิ น้าเมาลงในน้ามนั ที่จะทายาได้ โดยมีเงื่อนไข
ว่า น้าเมาท่ีใส่น้ัน สีกล่ินรสไม่ปรากฏ. ทรงอนุญาตภาชนะสาหรับใส่น้ามันที่ทาด้วยโลหะ, หรือผลไม้. ทรงอนุญาต
การทาใหเ้ หง่ือออก ตั้งแตอ่ ยา่ งธรรมดาถงึ อยา่ งเขา้ กระโจม โดยมีถาดน้าร้อนอยูใ่ นน้นั
๑๔. ทรงอนญุ าตใหน้ าเลอื ดออกด้วยใช้เขาควายดูด. (คือการกอก ได้แก่เจาะเลือดออกเล็กน้อย แล้วใช้เขา
ควายกดลงไปให้ดูดเลือดออก ในอรรถกถาไม่ได้บอกว่าต้องจุดไฟด้วยหรือไม่ ตามธรรมดาการทาเช่นนี้ต้องจุดไฟที่
เศษกระดาษหรือเชอื ไ้ ฟอืน่ ๆ เพ่อื ไลอ่ ากาศ เขาควายจงึ มีแรงดูด)
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (62)
๑๕. ทรงอนุญาตยาทาเท้า เมอ่ื เทา้ แตก และอนญุ าตใหป้ รงุ ยาทาเทา้ ได้
๑๖. ทรงอนุญาตการผ่าฝี และอนุญาตกระบวนการทงั้ ปวงที่เนื่องดว้ ยแผลผา่ ตัดนน้ั
๑๗. ทรงอนุญาตยา ๔ ชนดิ ในขณะถกู งกู ัด คอื มตู ร (ปัสสาวะ) คูถ (อุจจาระ) ขี้เถ้าและดินในขณะรีบด่วน
เช่นนัน้ ถา้ ไม่มคี นทาให้ ให้ถอื เอาเองแลว้ ฉนั ได้ ไมเ่ ป็นอาบัติ (ยาชนิดนจี้ ะเพื่อใหอ้ าเจียนหรืออย่างไร ไมม่ ีบอกไว)้
๑๘. ทรงอนุญาตยาและอาหารอ่อนบางอย่างตามควรแก่โรคและความต้องการท่ีจาเป็น เช่น น้าด่างจาก
ขี้เถ้าของข้าสุกเผา แก้โรคท้องอืด สมอดองน้ามูตรโค แก้โรคผอมเหลือง, การทาตัวด้วยของหอม แก้โรคผิวหนัง.
นา้ ข้าวใส, นา้ ถั่วต้มท่ีไม่ขน้ , น้าถัว่ ตม้ ทข่ี ้นเลก็ น้อย, น้าเน้อื ต้ม (เป็นการผอ่ นผันให้เหมาะแก่อาพาธ).
6.5 การทอดกฐนิ
กฐินขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยกฐนิ )
ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป ซ่ึงเป็นผู้ถือการอยู่ปุา, การเที่ยวบิณฑบาต, นุ่งห่มผ้าบังสุกุล (ผ้าเก็บตกมา
ปะติดปะตอ่ ทาเปน็ จีวร) และใช้จวี ร ๓ ผนื (ไมเ่ กินกว่านัน้ ) เปน็ วัตร เดินทางจะมาเฝาู พระผ้มู พี ระภาค มาถึงเมืองสา
เกต ถงึ วนั เข้าพรรษา ต้องจาใจจาพรรษาอยู่ในเมืองสาเกตุ มีความระลึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดา ออกพรรษาแล้ว
จงึ มาเฝูาท้ังทจ่ี วี รเปียกนา้ ฝน และต้องเดินทางลุยน้าลุยโคลน พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตุน้ัน จึงทรงอนุญาตให้
ภิกษผุ จู้ าพรรษาแลว้ กราลกฐินได.้
(กราลกฐิน คือลาดไม้สะดึงหรือไม้แบบ ลงไปเอาผ้าทาบ ตัดผ้าตามไม้แบบน้ัน แล้วช่วยกันทาจีวรแจกแก่
ภกิ ษุผูส้ มควร).
อานิสงส์ ๕ ของภิกษุผู้ได้กราลกฐิน
ทรงแสดงอานิสงส์ ๕ สาหรับภิกษผุ ไู้ ดก้ ราลกฐิน คอื
๑. ไปไหนไม่ต้องบอกลาภิกษุอน่ื ตามความในสกิ ขากบทท่ี ๖ อเจลกวรรค ปาจติ ตียกัณฑ์
๒. ไปไหนไมต่ ้องนาไตรจวี รไปครบสารบั ตามสิกขาบทที่ ๒ จวี รวรรค นิสสคั คิยกณั ฑ์
๓. ฉันอาหารรวมกลมุ่ กันได้ ตามสกิ ขาบทท่ี ๒ โภชนวรรค ปาจติ ติยกณั ฑ์
๔. เก็บจีวรไวไ้ ดห้ ลายตวั ตามตอ้ งการโดยไมต่ ้องวกิ ปั (คือทาให้เป็นสองเจา้ ของ) ตามสิกขาบทท่ี ๔
จีวรวรรค นิสสัคคยิ กณั ฑ์ และ
๕. ผา้ ท่ีเกดิ ขึน้ ในวดั นน้ั เป็นของเธอ (คือเธอมสี ทิ ธไิ ด้รบั ส่วนแบ่ง ภกิ ษุเขตอืน่ มาก็ไมม่ ีสิทธิ).
ทรงใหส้ วดประกาศกฐนิ
ทรงอนุญาตใหส้ วดประกาศมอบผา้ กฐินแกภ่ ิกษรุ ปู ใดรูปหน่งึ เป็นการสงฆ์ โดยตงั้ ญัตติ ๑ ครงั้ สวด
ประกาศขอความเห็นชอบ ๑ ครง้ั (รวมเรียกว่าญัตติทุติยกรรม).
ทรงแสดงเร่ืองกฐินเป็นอันกราลและไม่เปน็ อันกราล
ทรงแสดงว่ากฐินไมเ่ ป็นอันกราลด้วยเพยี งสกั ว่า ขีด, ประมาณ, ซักผา้ , กะผา้ , ตดั ผ้า, เย็บเนา, เย็บลม้
ตะเข็บ เป็นต้น รวมทั้งไม่เป็นอันกราลด้วยผา้ ท่ีทานิมติ (พดู ให้เขาใชผ้ ้านัน้ ๆ เปน็ ผ้ากฐิน) และด้วยผ้าที่เลยี บเคียง
ใหเ้ ขาถวายเป็นผ้ากฐิน.
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (63)
แลว้ ทรงแสดงว่ากฐนิ เป็นอนั กราลดว้ ยผ้าใหม่, ผา้ เทยี มใหม่, ผา้ เก่า เป็นตน้ รวมทงั้ การปฏิบัติให้ถกู ต้อง
ตามพระวินัยอีกหลายประการ.
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (64)
บทท่ี 7
วธิ ีการตัดสนิ อธิกรณ์ตามแนวทางพระวินัย
7.1 นิคคกรรม
นคิ คหกรรม
กรรมท้ัง ๕ อย่างดังกล่าวมานี้ เรียกโดยรวมว่า “นิคคหกรรม” ความหมายและสาเหตุท่ีทาให้ภิกษุถูกทา
นคิ คหกรรมแตล่ ะอย่าง สรุปได้ดงั น้ี
๑. ตัชชนียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทาแก่ภิกษุผู้ควรขู่ สงฆ์ลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ก่อความ
บาดหมาง กอ่ ความทะเลาะ ก่อความววิ าท กอ่ เรือ่ งออ้ื ฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์
๒. นิยสกรรม แปลว่า กรรมคือการถอดยศ สงฆ์ลงนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้โง่เขลา ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก ไม่มี
มารยาท
๓. ปัพพาชนียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทาแก่ภิกษุผู้ควรขับไล่ สงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้
ประทษุ รา้ ยตระกลู มีมารยาทเลวทราม
๔. ปฏิสารณียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทาแก่ภิกษุผู้ควรให้กลับระลึกได้ สงฆ์ทาปฏิสารณียกรรมแก่
ภิกษุผู้ด่าบริภาษคฤหสั ถ์
๕. อกุ เขปนยี กรรม แปลว่า กรรมอนั สงฆพ์ ึงทาแก่ภิกษผุ คู้ วรยกเสยี จากหมู่ สงฆล์ งอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้
แม้ต้องอาบัติก็ไม่ปรารถนาจะเห็นว่าเป็นอาบัติ แม้ต้องอาบัติแล้วก็ไม่ปรารถนาจะทาคืน (แสดง) อาบัติ แม้มีทิฏฐิ
บาปก็ไมป่ รารถนาจะสละทิฏฐบิ าปนัน้
7.2 ปริวาส
ปรวิ าสกรรม คืออะไร ?
ปรวิ าสกรรม คอื กิจของสงฆท์ ่ีพึงชาระศีลของตนเองใหบ้ ริสุทธิ์ ดงั นนั้ การทเี่ ราชว่ ยในกิจของสงฆต์ ามที่
ฆราวาสสามารถช่วย
ได้ กเ็ ท่ากับเออ้ื ความสะดวกใหก้ บั พระสงฆ์ท่าน จงึ มอี านสิ งส์มาก
คาว่า ปริวาส นม้ี ีมาแตส่ มัยพุทธกาล เปน็ ชื่อของสังฆกรรมประเภทหน่งึ ที่สงฆจ์ ะพึงกระทาเพ่ือการอยู่
ชดใช้ เรียกสามญั ว่า “การอยู่กรรม” เรยี กรวมกนั ว่า “ปริวาสกรรม” เป็นระเบยี บปฏิบัติสาหรบั ภิกษุที่ตอ้ งอาบัติ
"สงั ฆาทเิ สส" แลว้ ปกปิดไว้ ท้ังที่เกิดโดยความตั้งใจหรอื ไม่ได้ต้งั ใจ และอาจจะรู้ตวั หรอื ไมร่ ู้ตัวก็ตาม จงึ ต้องประพฤติ
เพื่อเป็นการลงโทษตัวเองให้ครบเท่ากับจานวนวันทีป่ กปิดอาบตั ไิ ว้ เพื่อให้พ้นมลทนิ และเพื่อความบรสิ ทุ ธ์ิในการ
บาเพญ็ เพียรในทางจติ ของพระภกิ ษสุ งฆ์ต่อไป
ปรวิ าส มี 3 ประเภท คือ
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (65)
1. ปฏิจฉนั นปริวาส (สาหรบั ผทู้ ีต่ อ้ งครกุ าบตั ิแลว้ ปิดไว)้
2. สโมธานปรวิ าส (สาหรบั ผทู้ ตี่ อ้ งอาบตั แิ ล้วปิดไว้ ตา่ งวนั ทปี่ ดิ บา้ ง ตา่ งวัตถุท่ตี ้องบ้าง)
3. สทุ ธันตปรวิ าส (สาหรบั ผู้ตอ้ งอาบัติแลว้ ปิดไว้ มสี ว่ นเทา่ กันบ้างไม่เท่ากันบ้าง)
แต่ยังมีปรวิ าสอีกแบบหนงึ่ ซึ่งเป็นปรวิ าสสาหรบั นกั บวชนอกศาสนา ทตี่ อ้ งประพฤติกอ่ นที่จะบวชเขา้ มาอยู่
ในพระธรรมวนิ ัย เรยี กว่า "ติตถยิ ปรวิ าส" ซ่งึ จดั เปน็ "อปฏิจฉันนปริวาส" (สาหรบั ผ้ทู ต่ี ้องครกุ าบตั แิ ล้วไม่ปดิ ไว)้
การอยปู่ รวิ าสกรรมนน้ั เจาะจงไว้บคุ คล 2 จาพวก คือ
1. สาหรบั พระภกิ ษสุ งฆ์ทบี่ วชอยู่แลว้ แต่ต้องครุกาบัติ
2. สาหรบั คฤหสั ถ์ หรือพวกเดียรถียป์ รวิ าสกรรมสาหรบั พระภกิ ษสุ งฆ์ เป็นปรวิ าสตามปกติสาหรับภิกษุใน
พระพุทธศาสนา แต่ตอ้ ง “ครกุ าบัติ” (ตอ้ งโทษ) สังฆาทิเสสเข้า จึงจาเปน็ ต้องประพฤติปรวิ าสเพอ่ื ให้
หลดุ พน้ จากความมวั หมอง ตามเงื่อนไขทางพระวนิ ัยและเง่ือนไขของสงฆ์ (วิ.จุล.6/84/106)
ปริวาสกรรมสาหรับคฤหัสถ์ หรอื พวกเดยี รถยี ์เน่ืองด้วยมีคฤหัสถ์จานวนมากท่ีไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนา
มาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ท่ีนับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอ่ืนๆ
มาก่อน ท่ีเรียกว่า "เดียรถีย์" แต่ภายหลังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะนับถือพุทธศาสนา
ด้วยการจะขอบวชหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อน เป็นเวลา 4 เดือน
ปริวาสประเภทน้ีเรยี กวา่ "ติตถยิ ปรวิ าส"
แต่เดิมผู้ที่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส 4 เดือนน้ัน หมายถึง อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่าน้ัน แต่ต่อมาได้แก้ไขให้
หมายถึง “อาชวี ก หรือ อเจลกะ ผูเ้ ป็นปริพาชกเปลอื ยเทา่ น้นั ฯ” ส่วนเดียรถียผ์ ไู้ มเ่ คยบวชในพระพุทธศาสนานี้ การ
อยูป่ รวิ าส 4 เดือน ท่านเรียกว่า “อปั ปฏจิ ฉนั นปรวิ าส” ฯ (สมนต.3/53-54)
ขั้นตอนการปฏิบัตติ นเพื่อการออกจากอาบตั ิ สงั ฆาทเิ สส นั้น เรยี กว่า “การประพฤติวุฏฐานวิธี” แบง่ เปน็ 4
ข้นั ตอนใหญๆ่ ดังนี้
1. อยู่ประพฤติปรวิ าส
2. ประพฤติมานัตอย่างน้อย 6 ราตรี
3. ประพฤติมลู ายปฏกิ ัสสนา (อาบตั ิใหม่ทต่ี ้องโทษเพิม่ ขึ้นอีก)
4. พระสงฆ์ 20 รูป ให้อัพภานในการทาสังฆกรรมตามข้ันตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธีน้ัน ต้อง
ประกอบด้วยคณะสงฆ์ 2 ฝุาย ได้แก่ ฝุายคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (พระพี่เลี้ยง) ท่ีเป็นผู้ดูแลความประพฤติของ
สงฆผ์ ขู้ อปริวาส ให้เป็นไปตามข้ันตอนที่พระวินัยกาหนด, และอีกฝุายหน่ึงคือพระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ พระ
ลกู กรรม ซงึ่ เปน็ สงฆท์ ตี่ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (66)
ข้ันตอนการอยูป่ ระพฤติปริวาส สาหรับขั้นตอนของการอยู่ปรวิ าส หรอื “การอยู่กรรม” นั้น ขนึ้ อยกู่ ับ
เงื่อนไขของปริวาสนนั้ ๆ วา่ สงฆ์ผตู้ ้องอาบัติขอปรวิ าสอะไร ซง่ึ มลี ักษณะและเง่ือนไขของปริวาสแตล่ ะประเภท
แตกต่างกนั ไป
ลกั ษณะและเง่ือนไขของปริวาสแตล่ ะประเภท
ปฏิฉนั นปรวิ าส (อาบตั ิทต่ี ้องครกุ าบัติเขา้ แล้วปิดไว)้
เมอ่ื ขอปรวิ าสประเภทนี้ จะต้องอยปู่ ระพฤตใิ ห้ครบตามจานวนราตรีทีต่ นปิดไว้ ซง่ึ จานวนราตรีท่ีปดิ ไว้ นานเท่าใดก็
ตอ้ งอยู่ประพฤติปริวาสนานเท่านัน้ โดยไมป่ ระมวลอาบัติใดๆ
สโมธานปริวาส (สาหรับผูท้ ต่ี ้องอาบตั แิ ลว้ ปิดไว้ ตา่ งวันท่ปี ิดบ้าง ตา่ งวตั ถุที่ต้องบ้าง)
ปริวาสประเภทนีต้ ้องอยู่ประพฤตปิ ริวาสตามจานวนราตรีที่ปิดไว้นานท่ีสุด ตามการประมวลอาบัติท่ีต้องแต่ละคราว
เข้าด้วยกัน ถ้าในระหว่างที่ภิกษุกาลังอยู่ระหว่างประพฤติปริวาสน้ัน ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้าเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็น
อาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มโทษ ซึ่งทางวินัยเรียกว่า “มูลายปฏิกัสสนา” หรือ ปฏิกัสสนา ซึ่งการเพิ่มโทษนี้
ไมไ่ ดท้ าใหก้ ารอยปู่ รวิ าสเสยี หายแตอ่ ย่างใด เพยี งแตท่ าให้การประพฤติปรวิ าสตอ้ งลา่ ช้าออกไปเท่านั้นเอง
อปั ปฏฉิ นั นปรวิ าส
สาหรับปริวาสประเภทน้ีในคัมภีร์ช้ันอรรถกถา ได้จัดให้เป็นปริวาสสาหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
เหตุท่ีว่าเม่ือพวกเดียรถีย์มีความศรัทธาเล่ือมใสและต้องการท่ีจะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็จะ
อนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่เพื่อประพฤติอัปปฏิฉันนปริวาส เป็นเวลา 4 เดือน แต่การอยู่ปริวาสประเภทนี้ใช้อยู่แต่
ในสมัยของพระพทุ ธองค์เทา่ นั้น และไดถ้ ูกยกเลิกไปแลว้
สุทธันตปริวาส
เป็นปริวาสทีน่ ยิ มจัดอยู่ในปัจจุบัน เป็นปริวาสท่ีไม่มีกาหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับดุลยพินิจ
ของคณะสงฆ์ที่จะใหอ้ ยปู่ ระพฤติเป็นเวลาเท่าใด จะมีความเห็นว่าให้อยู่เพียงราตรีหน่ึง หรืออยู่ถึง 2-3 ปี ก็ต้องยอม
ปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก ท้ังนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสมีเง่ือนไขน้อยท่ีสุด แต่ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจมากท่ีสุด
ภิกษุที่จะขอปริวาสเพียงกล่าวกับคณะสงฆ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ท่ีสุด
แห่งอาบตั ิ 1 ไมร่ ้ทู ่สี ุดแหง่ ราตรี 1 ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ 1 ระลึกท่ีสุดแห่งราตรีไม่ได้ 1 สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ
1 สงสัยในท่ีสุดแห่งราตรี 1, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาสจนกว่าจะบริสุทธิ์เพ่ืออาบัติเหล่าน้ัน” (วิ.จุล.
6/156/182)
เน่ืองจากปริวาสประเภทนี้ไม่มีกาหนดแน่นอนดังกล่าว อยู่ไปเรื่อยๆ (ตามคาคณะสงฆ์) จนกว่าจะบริสุทธ์ิ
ดงั นั้นจงึ ได้แบง่ การประพฤติ สุทธนั ตปริวาส น้อี อกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (67)
1. จฬุ สุทธนั ตปรวิ าส (สทุ ธนั ตปรวิ าสอย่างยอ่ ย) เปน็ ปริวาสของภกิ ษผุ ตู้ ้องอาบัติหลายคราวด้วยกัน แต่ละ
คราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจาจานวนครั้งท่ีอาบัติ และจาจานวนวันได้บ้าง จึงขออยู่เพ่ือประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็น
วา่ บรสิ ทุ ธ์ิ ซงึ่ โดยท่วั ไปในปจั จุบนั น้ีคณะสงฆ์จะให้อยู่ 3 ราตรเี ปน็ เกณฑ์ นอ้ ยกว่านไ้ี มไ่ ด้ แต่มากกวา่ นไ้ี มเ่ ป็นไร
2. มหาสุทธันตปริวาส (สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่) ใช้สาหรับภิกษุผู้ต้องอาบัติหลายคราวแต่ปกปิดไว้ และ
จาจานวนอาบตั ไิ มไ่ ด้ จาจานวนวนั และจานวนครง้ั ที่อาบัตไิ ม่ได้ จึงใชว้ ิธกี ารกะประมาณวันทีต่ ้องอาบัติ ซึ่งอาจจะขอ
ปริวาสประมาณ 1 เดือนก็รู้สึกว่าควรถือว่าบริสุทธ์ิและใช้ได้ แต่เนื่องจากวิธีน้ีไม่มีเวลาท่ีแน่นอนและเกิดความ
ยุ่งยาก จึงไมเ่ ปน็ ท่ีนิยมในปัจจุบัน
เง่ือนไขของการอยู่ประพฤติปริวาส การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติขณะที่อยู่
ประพฤติปริวาส 3 กรณีด้วยกัน คือ สหวาโส (การอยู่ร่วม), วิปวาโส (การอยู่ปราศ) และ อนาโรจนา (การไม่บอก
วัตรท่ีประพฤติ) ภิกษุท่ีประพฤติปริวาสและทาผิดเง่ือนไข ก็จะถือว่าการอยู่ปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรี
ไมไ่ ด้ ซีง่ ทางวินัย เรยี กวา่ “รัตติเฉท” (การขาดแห่งราตร)ี ซึง่ จะทาใหเ้ สียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อีกเร่ืองหน่งึ ทภี่ ิกษคุ วรระวังสาหรับการอยปู่ ริวาส คือ “วัตตเภท” (ความแตกต่างแห่งวตั ร) เป็นความ
แตกต่างแห่งข้อปฏบิ ตั ใิ นขณะท่ีอย่ใู นปริวาส อนั ทาใหว้ ัตรมัวหมองด่างพรอ้ ย การละเลยวัตร ละเลยหนา้ ท่ี หรอื
กระทาผดิ ต่อพทุ ธบัญญตั โิ ดยตรง ยกตัวอย่างเชน่ ภิกษุใหอ้ ุปัฏฐากเข้ามารับใชใ้ นขณะอยู่ปรวิ าส หรือ เข้านอนรว่ ม
ชายเดยี วกนั กับภิกษุรูปอน่ื หรอื นง่ั บนอาสนะที่สงู กว่าอาสนะของคณะสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์กรรม เปน็ ต้น
สหวาโส (การอยู่ร่วม)
การอยู่ร่วมน้ี หมายถงึ การอย่รู ว่ มระหว่างภกิ ษทุ ีอ่ ยูป่ ริวาสดว้ ยกัน หรอื อยรู่ ว่ มกบั พระอาจารย์กรรมในที่มุง
เดยี วกัน ทง้ั นท้ี ่านก็เพ่งเจาะจงเฉพาะอาการ “นอน” ในท่ีมุงบังหรือหลังคาเดียวกันเป็นสาคัญ และคาว่าท่ีมุงบังนั้น
ทา่ นหมายเอาแตว่ ัตถุที่เกิดขึ้นโดยท่มี นุษย์ใชเ้ ครอ่ื งมอื สร้างขึ้นมาเท่านั้น เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ภายใน
เต็นท์ ฯลฯ แต่ไม่รวมถึงท่ีมุงบังโดยธรรมชาติ เช่น ใต้ร่มไม้ เป็นต้น แต่ถ้าในระหว่างอยู่ปริวาสน้ันเกิดภัยธรรมชาติ
เช่น น้าท่วม ฝนตกหนัก ลมแรง หรือต้องปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็อนุญาตให้อยู่ในท่ีมุงบังน้ันได้ แต่ทั้งน้ี ต้องไม่มีการ
ทอดกายนอน และเมื่อจวนสวา่ ง ภกิ ษตุ อ้ งออกไปใหพ้ ้นจากที่มงุ บังนั้น หรอื ทีเ่ รียกวา่ “ออกไปรับอรณุ
”วปิ วาโส (การอยู่ปราศ)
หมายถึง ห้ามภิกษุอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม โดยท่ีภิกษุท่ีอยู่ประพฤติปริวาสน้ันจะอยู่กันเองตามลาพังไม่ได้
โดยเด็ดขาด อย่างน้อยต้องมีอาจารย์กรรมในคณะสงฆ์ 1 รูป (4 รูป สาหรับการอยู่มานัต) เพ่ือเป็นการคุ้มกรรมไว้
แต่ทั้งน้ีตามวินัยได้กาหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ภิกษุซึ่งเป็นพระลูกกรรมผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้น จะต้องอยู่
ไมไ่ กลเกิน 2 ชว่ ง “เลฑฑบฺ าต” (ระยะทคี่ นอายุปานกลางขว้างก้อนดินให้ตกเป็นระยะทาง 2 ช่วงต่อกัน) โดยมีจุดท่ี
คณะสงฆ์พระอาจารย์อยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลาง แล้ววัดออกไปให้ถึงภิกษุผู้ที่ปักกลดอยู่องค์แรกท่ีใกล้ที่สุด ส่วนภิกษุ
รปู อน่ื ก็ถอื ว่าปกั กลดกนั ตอ่ ๆ กัน เสมอื นหน่ึงอยู่ในระยะหัตถบาส ซึ่งการกาหนดขอบเขตนี้ต้องข้ึนอยู่กับคณะสงฆ์ท่ี
เป็นอาจารย์กรรมท่านชี้และอนุญาตให้อยู่ได้ ซึ่งรวมถึงภิกษุท่ีต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะเจ็บไข้ได้ปุวย ก็ต้องมี
อาจารย์กรรมไปเฝาู ไขด้ ้วยตลอดเวลา อยา่ ให้เกินขอบเขตทีก่ าหนดไว้
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (68)
อนาโรจนา (การไม่บอกวตั ร)
การทีภ่ ิกษุทีอ่ ยปู่ ระพฤติปรวิ าสโดยไมบ่ อกวตั ร หรือไม่บอกอาการทต่ี นประพฤติแก่คณะสงฆอ์ าจารย์กรรม
ในสานักท่ตี นอยู่ปรวิ าสน้ัน เพราะตามหลักพระวินัยจะต้องบอกวตั รแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพยี งคร้งั เดียวก็อย่จู น
ครบ 3 ราตรีได้ ส่วนลาดับของการบอกวตั ร มีดังน้ี
1. สมาทานวตั ร
2. การบอกวตั ร
3. การเก็บวัตร
การบอกวตั ร
“การบอกวัตร” นนั้ ไม่จาเป็นต้องบอกทุกวัน (แตส่ ามารถบอกไดท้ ุกวัน วันละกีค่ รัง้ ก็ได้ ไมม่ ขี ้อกาหนด)
แตก่ ารบอกวตั รน้ันต้องบอกแกอ่ าจารย์กรรมทุกรปู และตราบใดท่ยี งั ไม่ได้เก็บวตั รก็ตอ้ งบอกวตั รแก่พระอาคันตุกะ
ด้วยไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน การไม่บอกวัตรถือเปน็ “รตั ติเฉท” และถา้ มีเจตนาไมบ่ อกกเ็ ปน็ “อาบตั ทิ ุกกฎ” สว่ น
ข้อกาหนดสาหรับการบอกวตั รนัน้ กข็ ึน้ อยู่กับมติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเปน็ ผ้กู าหนด เพอ่ื ความเป็นระเบียบ
เรยี บรอ้ ยในการปฏิบตั ิ
การเก็บวัตร
“การเก็บวตั ร” ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมักจะทาการเก็บวัตรในเวลากลางวัน เพราะเม่ือมี
การเก็บวัตร (พักวัตรไว้ระยะหน่ึง) ก็ไม่จาเป็นที่จะต้อง บอกวัตรบ่อยๆ เมื่อมีพระอาคันตุกะที่แวะผ่านเข้ามา และ
เพื่อประโยชนใ์ นการท่คี ณะสงฆท์ าสงั ฆกรรมเมื่อมสี งฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวนิ ยั
กาหนดดว้ ย
รายละเอียดในเร่ืองปริวาส ท้ังหมดนาเอามาลงไว้เพื่อจะได้เข้าใจว่า คือ อะไรท่ีแท้จริง เพราะหลายท่าน
เข้าใจผิด ว่าเป็นเรื่องบวชถือศีลของฆราวาส จริงๆ แล้วเป็นกิจของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติ เพื่อชาระศีลให้สะอาด
บริสทุ ธติ์ ามพระธรรมวนิ ัย
7.3 อธกิ รณ์
อธิกรณ์ แปลว่า ภารกิจทีพ่ ึงทาใหส้ งบให้เรียบร้อยเหมาะสม
อธกิ รณ์ ในคาวดั ใช้หมายถึงสาเหตุ คดีเร่ืองราว ปัญหา ความยุ่งยาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ที่สงฆ์ต้อง
จดั การสะสางหรอื ดาเนินการทาใหส้ งบหรือเปน็ ไปด้วยดี
อธิกรณ์ ในพระวินยั มี 4 เรื่อง คอื เป็นชื่อแห่งเรื่องทเี่ กดิ ข้ึนแลว้ จะตอ้ งจัดต้องทาใหล้ ุล่วงไป
มี 4 ประการ คอื
1. วิวาทาธกิ รณ์ การววิ าทกนั ในเร่ืองเกย่ี วกับพระธรรมวินยั
2. อนวุ าทาธกิ รณ์ การโจทฟูองกนั ด้วยศีลวบิ ัติ เป็นต้น
3. อาปตั ตาธกิ รณ์ BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (69)
4. กจิ จาธิกรณ์
การต้องอาบัติ
เรอื่ งท่สี งฆจ์ ะต้องจัดต้องทาที่เปน็ สังฆกรรม.
คร้นั แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะของอธิกรณ์แต่ละอยา่ ง พร้อมทง้ั มูลเหตโุ ดยพสิ ดาร ในที่สดุ ตรัสสรุปว่า อธิกรณ์
แต่ละอย่างจะระงับไดด้ ว้ ยสมถะ (วิธรี ะงับ) อะไรบ้าง ดังน้ี
1. วิวาทาธิกรณ์ การววิ าทกันในเรื่องเกีย่ วกับพระธรรมวนิ ัย ยอ่ มระงับด้วยวิธีระงบั 2 ประการ คือ
1.1 ระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมขุ าวนิ ยั )
1.2 ระงับโดยถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ (เยภุยยสกิ า).
2. อนุวาทาธิกรณ์ การโจทฟูองกันด้วยศีลวิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับศีล) อาจารวิบัติ (ความเสียหาย
เกยี่ วกับความประพฤต)ิ ทิฏฐิวบิ ตั ิ (ความเสียหายเก่ยี วกบั ความเห็น) และอาชวี วิบัติ (ความเสยี หายเกย่ี วกับการเลี้ยง
ชพี ) ระงับด้วยวิธรี ะงับ 4 ประการ คือ
2.1. ระงบั ในท่ีพร้อมหน้า (สัมมขุ าวนิ ยั )
2.2. ระงบั ด้วยยกให้ว่ามีสติ (สตวิ ินัย)
2.3. ระงับดว้ ยยกให้ว่าเปน็ บ้า (อมูฬหวินยั )
2.4. ระงับด้วยการลงโทษ (ตัสสปาปยิ สกิ า).
3. อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัตติ ่าง ๆ ระงบั ดว้ ยวธิ ีระงบั 3 ประการ คือ
1. ระงบั ในท่ีพร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)
2. ระงบั ดว้ ยถือคาสารภาพ (ปฏิญญาตกรณะ)
3. ระงบั ด้วยให้เลิกแล้วกนั (ตณิ วตั ถารกะ).
4. กจิ าธกิ รณ์ เร่อื งทีส่ งฆ์จะต้องจดั ต้องทาที่เปน็ สังฆกรรม ระงบั ดว้ ยวธิ ีระงบั ประการเดียว คอื ระงับในที่
พร้อมหน้า (สมั มุขาวนิ ัย).
ทรงปรบั อาบตั ิปาจิตตยี แ์ กภ่ ิกษผุ ูร้ ื้อฟื้นอธิกรณ์ท่ชี าระเสรจ็ ไปแลว้ และปรับอาบัตปิ าจติ ตียแ์ กภ่ กิ ษุ ผ้ใู ห้
ฉนั ทะแล้วบน่ ว่าในภายหลงั (เว้นแต่อธกิ รณ์น้ันชาระไม่เปน็ ธรรม).
บทที่ 8
เปรยี บเทียบการบญั ญัตพิ ระวนิ ยั กับการบัญญัติกฎหมาย
8.1 การบญั ญัติพระวนิ ยั กับกฎหมาย
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (70)
ระบบกฎหมาย และการลงโทษทีส่ อดคล้องกับพระวินยั และกฎหมายคณะสงฆ์
หลังจากท่ีพระพุทธเจา้ ไดอ้ อกเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในตอนแรกทีย่ ังมพี ระภกิ ษนุ ้อยอยู่ การปกครองก็ไม่
สู้ต้องการเท่าไรนัก สาวกท้ังปวงได้ประพฤติตามปฏิปทาของพระศาสดา และเข้าใจพระศาสนาท่ัวถึง คร้ันภิกษุมี
มากข้ึนโดยลาดับกาลและกระจายกันอยู่ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นหมู่เดียวกัน การปกครองก็ต้องการมากข้ึนตามกัน
คนเราที่อยู่เป็นหมวดหมู่จะอยู่ตามลาพังไม่ได้เพราะมีอัธยาศัยต่างกัน มีกาลังไม่เท่ากัน ผู้มีอัธยาศัยหยาบและมี
กาลังมาก กจ็ ะข่มเหงคนอน่ื คนสุภาพและมีกาลังนอ้ ย ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข เหตุนั้นพระเจ้าแผ่นดินจึงทรงตรากฎหมาย
ขนึ้ ห้ามปรามไม่ให้คนประพฤตใิ นทางท่ผี ดิ และวางโทษแก่ผูล้ ่วงละเมิดไวด้ ว้ ย นอกจากนี้ในหมู่หนึ่งๆเขาก็ยังมีธรรม
เนียมสาหรับประพฤติอีก เช่นในสกุลผู้ดี เขาก็มีธรรมเนียมสาหรับคนในสกุลนั้น ในหมู่ภิกษุก็จาต้องมีกฎหมายและ
ขนบธรรมเนียม สาหรับปูองกันความเสียหายและชักจูงให้ประพฤติงามเหมือนกัน พระศาสดาทรงตั้งอยู่ในที่เป็น
พระธรรมราชาผปู้ กครอง และทรงต้ังอย่ใู นท่ีเป็นสังฆบิดรผู้ดูแลภิกษุสงฆ์ พระองค์จึงได้ทรงทาหน้าท่ีท้ัง ๒ ประการ
นั้น คอื ทรงพุทธบญั ญัติเพ่ือปูองกนั ความเสียหาย และวางโทษแกภ่ ิกษุผู้ล่วงละเมิด ด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
อยา่ งเดยี วกับพระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงตราพระราชบญั ญัติ อกี ฝาุ ยหนงึ่ ทรงต้งั ขนบธรรมเนียมซ่ึงเรียกว่า อภิสมาจาร เพ่ือ
ชักนาความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ดุจบิดาผู้เป็นใหญ่ในสกุลฝึกปรือบุตรของตนในขนบธรรมเนียมของสกุล
ฉะนนั้
พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจารท้ัง ๒ นี้ รวมเรียกว่า พระวินัย พระวินัยนี้ ท่านเปรียบเหมือนด้ายร้อย
ดอกไม้ อันควบคมุ ดอกไม้ไว้ไม่ให้กระจัดกระจาย เพราะเหตุรักษาสงฆ์ให้ตั้งอยู่เป็นอันดี อีกอย่างหน่ึงคนท่ีบวชเป็น
ภกิ ษุจากสกลุ ต่างๆ สูงบ้าง กลางบ้าง ต่าบ้าง มีพื้นเพต่างกันมาแต่เดิม มีน้าใจต่างกัน หากจะไม่มีพระวินัยปกครอง
หรือไมป่ ระพฤติตามพระวินัย จะเป็นหมู่ภิกษุที่เลวทรามไม่เป็นท่ีตั้งแห่งศรัทธาและเลื่อมใส ถ้าต่างรูปประพฤติตาม
พระวินยั อยู่แลว้ จะเป็นหมภู่ กิ ษุท่ีดี นาให้เกดิ ศรทั ธาเล่ือมใส
พระวนิ ัยหรอื พทุ ธบญั ญตั [ิ 2] หมายถงึ ขอ้ ทีพ่ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั เิ ก่ียวกับระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วถิ ีชีวิต และวิธีดาเนินกิจการตา่ ง ๆ ของภกิ ษสุ งฆ์และภกิ ษณุ ี
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต)[3] ได้กลา่ วถึงความหมายอยา่ งงา่ ย ๆ ของพระวนิ ยั ออกเปน็ ๒ อยา่ งคือ
ก. การฝกึ ใหม้ ีความประพฤติและความเป็นอยเู่ ปน็ ระเบียบแบบแผน หรือ การบังคบั ควบคุมตนให้อยู่ใน
ระเบยี บแบบแผน รวมทั้งการใช้ระเบยี บแบบแผนต่าง ๆ เป็นเครื่องจดั ระเบียบความประพฤติ ความเปน็ อยู่ของคน
และกจิ การของหมู่ชน
ข. ระเบยี บแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับตา่ ง ๆ ที่วางลงไวเ้ ปน็ หลกั หรือเป็นมาตรฐานสาหรับใช้ฝึกคน หรือ
ใช้บังคับควบคุมคน ตลอดจนเป็นเคร่ืองจัดระเบียบความประพฤติ ความเป็นอยู่ของคนและกิจการของหมู่ชนให้
เรยี บรอ้ ยดีงาม
พระวินัย แบง่ ออกเปน็ ๒ สว่ นคอื
๑) อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝุายบทบัญญัติหรือข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้น
แห่งพรหมจรรย์ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญัติไว้เป็นพุทธอาณา (อานาจปกครองของพระพุทธเจ้า หรืออานาจปกครอง
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (71)
ฝุายพุทธจักร) เพื่อปูองกันความประพฤติเสียหายของพระภิกษุและวางโทษผู้ล่วงละเมิด โดยปรับอาบัติสถานหนัก
บ้าง เบาบ้าง ตามสมควรแกค่ วามผดิ และให้พระสงฆ์สวดทกุ คร่ึงเดือน เรียกวา่ “พระปาฏิโมกข์”
๒) อภสิ มาจารกิ าสิกขา หมายถึง หลกั การศึกษาอบรมในฝุายขนบธรรมเนยี มเกย่ี วกบั มารยาท และความ
ประพฤติความเป็นอยู่อันดีงามของพระภิกษุ อนั นามาซึ่งความเคารพศรัทธาเลอื่ มใสของพทุ ธศาสนกิ ชน
พระวนิ ัยกาหนดอาบตั ิไวด้ ังนี้
๑) ปาราชิก ๔ เป็นอาบัติหนกั ถา้ ภกิ ษุล่วงละเมดิ แลว้ ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ คือ เสพเมถุน ลักทรัพย์มี
มลู ค่าตั้งแต่ ๕ มาสก (มาตราเงินในครั้งโบราณ ๕ มาสก เป็น ๑ บาท) ขึ้นไป ฆ่ามนุษย์ และอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่
มใี นตน
๒) สังฆาทเิ สส ๑๓ เปน็ อาบัติหนักรองจากปาราชิก ตอ้ งอยกู่ รรมจงึ พน้ ได้ แก้ไขได้ เช่น เจตนาทาให้น้าอสุจิ
เคล่อื น มคี วามกาหนัดจบั ต้องกายหญิง มีความขุ่นเคอื ง แล้วกล่าวหาภิกษุอื่นดว้ ยอาบัตปิ าราชกิ ไมม่ มี ลู เป็นต้น
๓) อนยิ ต ๒ คาว่า อนิยต แปลวา่ ไม่แนน่ อน เป็นอาบตั ิที่ยังไมแ่ น่นอนระหว่างปาราชกิ กับสงั ฆาทิเสสหรือ
ปาจติ ตยี ์ ซงึ่ พระวนิ ัยธรจะต้องวนิ ิจฉัย มี ๒ ขอ้ คือ ภิกษนุ ง่ั ในทล่ี บั ตากับหญิงสองต่อสอง และภกิ ษนุ ัง่ ในทล่ี ับหูกับ
หญงิ สองต่อสอง
๔) นิสสคั คียปาจติ ตยี ์ ๓๐ เป็นอาบตั เิ บา แกไ้ ขได้ ดว้ ยการแสดงหรือการปลงทเี่ รยี กว่า แสดงอาบตั หิ รือ
ปลงอาบตั ิ เช่น ภิกษุทรงอติเรกจีวร (ผ้าส่วนเกนิ จากไตรจวี ร) ได้เพยี ง ๑๐ วันเป็นอยา่ งย่ิง ถา้ ทรงเกนิ ๑๐ วนั ก็
อาบัติ ภกิ ษรุ ับประเคนเภสัชทง้ั ๕ คอื เนยใส เนยข้น น้ามัน น้าผง้ึ น้าอ้อยแล้ว เกบ็ ไว้ฉันได้เพียง ๗ วนั เปน็ อย่างยิง่
ถา้ เก็บไว้เกิน ๗ วันตอ้ งอาบตั ิ เปน็ ตน้
๕) ปาจิตตีย์ ๙๒ เปน็ อาบตั เิ บา แกไ้ ขได้ ดว้ ยการแสดงหรือการปลง เชน่ พดู ปด ด่าภกิ ษุ นัง่ ในทแ่ี จง้ กับ
หญงิ สองต่อสอง หลอกภกิ ษุให้กลัวผี เป็นตน้
๖) ปฏิเทสนยี ะ ๔ เปน็ อาบตั ิเบา เปน็ อาบัติท่ีจะพึงแสดงคืน เช่น ภกิ ษุรับของเคี้ยวของฉันจากมือของ
ภกิ ษณุ ที ี่มิใชญ่ าติด้วยมือของตนมาบริโภค เป็นต้น
๗) เสขยิ วตั ร ๗๕ เป็นวตั รทภ่ี กิ ษุ จะต้องศึกษา อนั เปน็ ธรรมเนียมเกยี่ วกับมารยาทท่ีภิกษพุ ึงสาเหนียกหรอื
พึงฝกึ ฝนปฏิบตั ิ เช่น พึงสาเหนยี กวา่ เราจกั นงุ่ ห่มให้เรยี บรอ้ ย เราจกั ไม่พูดเสียงดงั เราจักไมน่ งั่ รดั เขา่ ในบา้ น เปน็ ตน้
๑. การลงโทษตามบทบญั ญตั ิของพระวนิ ยั
ระดบั โทษของอาบัติในพระวนิ ยั มี ๓ สถาน คือ
๑) โทษสถานหนัก หรอื ครโุ ทษ แกไ้ ขไมไ่ ด้ เรียก “อเตกจิ ฉา” ได้แก่ อาบัติปาราชิก ภิกษุต้องแล้ว (ล่วง
ละเมดิ แลว้ ) ขาดจากความเป็นภกิ ษุอย่างเดียว จะกลบั มาบวชใหมอ่ ีกไม่ได้
๒) โทษสถานกลาง หรือ มชั ฌมิ โทษ แก้ไขได้ เรียก “สเตกิจฉา” ได้แก่ อาบัตสิ งั ฆาทิเสส ภกิ ษตุ อ้ งเขา้ แล้ว
ต้องอยู่กรรม คือจะต้องอยู่ปริวาสใหค้ รบตามจานวนวันทีป่ กปดิ นับตั้งแตว่ นั ต้องอาบตั ิ และประพฤติมานตั อีก ๖
ราตรี จึงจะพน้ จากอาบตั ิน้นั ได้
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (72)
๓) โทษสถานเบา หรอื ลหโุ ทษ แกไ้ ขได้ เรียก “สเตกจิ ฉา” เหมอื นข้อ ๒ แต่เบากว่า เพราะเม่ือภิกษตุ ้อง
แลว้ เพียงแสดงอาบตั ทิ ่ีต้องน้ันตอ่ หน้าภิกษุดว้ ยกัน ก็พน้ จากอาบัตนิ ัน้ ได้ อาบัติเหลา่ นี้ ได้แก่ ถลุ ลัจจยั ปาจติ ตีย์
ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ และทุพภาษติ
โทษของอาบตั จิ ัดประเภทเปน็ คู่ ๆ ได้แก่
๑) โทษเก่ยี วกบั มีเจตนา และไม่มเี จตนา ได้แก่ สจิตตกะ อาบตั ิที่เกดิ โดยมเี จตนาเป็นเหตุ คอื เป็นไปพร้อม
กบั จติ หรอื เจตนา และอจิตตกะ อาบตั ิทเ่ี กดิ โดยไมม่ เี จตนาเปน็ เหตุ คือไม่คิดจะทาหรือไม่มีเจตนาท่ีจะทา
๒) โทษของอาบัติในความหมายของอาบัติหนัก อาบตั ิเบา ได้แก่ ครุกาบตั ิ คือ อาบัตหิ นัก มี ๒ ประเภท คอื
(๑) ประเภทแก้ไขไมไ่ ด้ เรยี กวา่ “อเตกจิ ฉา” ไดแ้ ก่ อาบัติปาราชิก
(๒) ประเภทแก้ไขได้ เรยี กวา่ “สเตกจิ ฉา” ไดแ้ ก่ อาบตั ิสังฆาทิเสส และลหุกาบตั ิ คือ อาบตั ิเบา
แก้ไขได้ด้วยการแสดงอาบตั ิ นาความผดิ ของตนมาแสดงให้เพอ่ื นภกิ ษรุ ับทราบ เรยี ก “สเตกจิ ฉา” ได้แก่
อาบตั ถิ ลุ ลจั จัย ปาจติ ตีย์ ปาฏิเทสนยี ะ ทกุ กฎ และทุพภาษิต
๓) โทษของอาบัติในความหมายอาบัติช่ัวหยาบและไม่ช่ัวหยาบ ได้แก่ ทุฏฐุลลาบัติ อาบัติช่ัวหยาบ ภิกษุไม่
ควรประพฤติ ได้แก่อาบัติปาราชิก และสังฆาทิเสส แต่ในบางกรณีท่านหมายเอาเฉพาะอาบัติสังฆาทิเสส เช่น พูด
เก้ียวหญิง จับต้องกายหญิง และเจตนาทาให้น้าอสุจิเคล่ือนออกมา เป็นต้น และอทุฏฐุลลาบัติ อาบัติไม่ช่ัวหยาบ
เป็นอาบตั ิเบา มีโทษเล็กน้อย และกิริยาที่ล่วงละเมดิ ไมห่ ยาบคาย เช่น ภิกษุฉันอาหารที่ยงั ไม่รับประเคน เป็นต้น
๔) โทษของอาบตั ใิ นความหมายวา่ มีสว่ นเหลือ และไม่มีส่วนเหลือ ได้แก่ อนวเสสาบัติ คือ อาบัติท่ีไม่มีส่วน
เหลือ เม่ือภิกษุต้องแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ ได้แก่ อาบัติปาราชิก และสาวเสสาบัติ คืออาบัติที่มีส่วนเหลือ เมื่อ
ภิกษตุ อ้ งแล้ว แมจ้ ะมคี วามผดิ ต้องโทษ คือเป็นอาบัติแต่กย็ ังคงเป็นภิกษอุ ยู่ เมื่อแสดงอาบตั ิแลว้ ก็พ้นจากโทษน้นั ๆ
๕) โทษของอาบัติในความหมายว่า แสดงคืนได้และแสดงคืนไม่ได้ ได้แก่ เทสนาคมมินี อาบัติที่พ้นได้ด้วย
การแสดงคอื เปิดเผยความผดิ ของตน และอเทสนาคามินี อาบัตทิ ี่ไม่พ้นได้ดว้ ยการแสดง
๖) โทษของอาบัติในความหมายว่า ทาคืนได้และทาคืนไม่ได้ ได้แก่ อปฏิกรรม อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วไม่
สามารถทาคืนได้ หรือแสดงอาบัติให้หายได้ ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ คืออาบัติปาราชิก และสปฏิกรรม อาบัติท่ี
ภิกษตุ อ้ งเข้าแลว้ สามารถทาคืนได้ คือหลุดพ้นจากอาบัติน้นั ๆ ได้
๗) โทษของอาบัติในความหมายว่า ทาเอง และใช้ให้ผู้อื่นทา ได้แก่ สาณัตติกะ อาบัติท่ีภิกษุต้องเพราะส่ัง
ผู้อื่นทา เช่น สั่งให้ผู้อื่นลักทรัพย์ เป็นต้น และอาณัตติกะ อาบัติท่ีภิกษุต้องเฉพาะที่ทาเอง ไม่ต้องเพราะส่ังผู้อ่ืนทา
อาบตั บิ างสิกขาบท ภกิ ษุทาเองจึงตอ้ งอาบัติ ใช้ให้บคุ คลอื่นทาตนเองไม่ต้องอาบัติ อาบัติบางสิกขาบท ภิกษุทาเองก็
ตอ้ งอาบตั ิ และใช้ใหผ้ ู้อื่นทากต็ อ้ งอาบตั เิ ชน่ กัน
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต)[5] ได้กลา่ วถึง วนิ ัยบัญญตั ิ ในฐานะท่เี ป็นกฎระเบยี บหรอื กฎหมายของสงั คม
ไว้อย่างนา่ สนใจวา่
“วินัยบัญญัติของสงฆ์มิใช่ศีลในความหมายแคบ ๆ อย่างท่ีมักเข้าใจกันง่าย ๆ แต่ครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับ
ความเปน็ อย่ทู ัว่ ๆ ไปท่เี รียกวา่ ชวี ติ ดา้ นนอกของภิกษสุ งฆ์ทกุ แง่ เรมิ่ ตัง้ แตก่ าหนดคุณสมบัติ สิทธิ หน้าที่ และวิธีการ
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (73)
รับสมาชิกใหม่เข้าสู่ชุมชนคือสงฆ์ การดูแลฝึกอบรมสมาชิกใหม่ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทากิจการสงฆ์พร้อมด้วย
คุณสมบตั ิและหนา้ ท่ีท่กี าหนดให้ ระเบียบเกย่ี วกบั การแสวงหา จัดทา เก็บรกั ษา แบ่งสรรปัจจัย ๔ เช่น ประเภทต่าง
ๆ ของอาหาร ระเบียบการรับและจัดแบ่งส่วนอาหาร การทาจีวรและข้อปฏิบัติเก่ียวกับจีวร ประเภทของยา การ
ปฏิบัติต่อภิกษุอาพาธ ข้อปฏิบัติของคนไข้และผู้รักษาพยาบาลไข้ การจัดสรรที่อยู่อาศัย ข้อปฏิบัติของผู้อยู่อาศัย
ระเบียบการก่อสรา้ งทอ่ี ยอู่ าศัย การดาเนนิ งานและรับผิดชอบในการก่อสร้าง การจัดผังท่ีอยู่อาศัยของชุมชนสงฆ์คือ
วัดว่า พึงมอี าคารหรอื ส่ิงก่อสรา้ งอย่างใดบา้ ง ระเบยี บวธิ ดี าเนินการประชมุ การโจทหรือฟูองคดี ข้อปฏิบัติของโจทก์
จาเลยและผวู้ ินิจฉัยคดี วิธีดาเนินคดแี ละตดั สนิ คดี การลงโทษแบบต่าง ๆ ฯลฯ ว่าโดยสาระ วินัยก็ได้แก่ ระบบแบบ
แผนท้ังหมดสาหรับหมู่ชนหนึ่ง ที่จะให้หมู่ชนน้ันต้ังอยู่ได้ด้วยดี สามารถมีชีวิตอยู่ตามหลักของตน และสามารถ
ปฏิบัติกิจดาเนินการต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงเก่ียวกับการปกครอง การบริหาร การศาล นิติบัญญัติ การเศรษฐกิจ
การศึกษา เป็นต้น ทั้งหมดเท่าท่ีชุมชนตลอดถึงประเทศชาติจะตกลงใช้ปฏิบัติเป็นทางการ โดยตราไว้เป็นธรรมนูญ
กฎหมาย ประกาศ หรือคาส่งั ต่าง ๆ”
๒. ความมีคุณค่าและความเป็นกฎเกณฑ์ทางสังคมของพระวนิ ยั
พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ กลา่ วถงึ ความมีคณุ ค่าและความเป็นกฎเกณฑ์ทางสังคมของพระวินัย ไวด้ ังนี้
ประการที่ ๑ พระวนิ ัยคืออายขุ องพระพุทธศาสนา ในคราวก่อนที่จะเร่ิมทาปฐมสังคายนา พระมหากัสสปะ
ได้ปรึกษากับพระเถระผู้เข้าร่วมทาสังคายนาแล้วเห็นพ้องต้องกันว่า จะดาเนินชาระสังคายนาพระวินัยก่อน เพราะ
พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนาพระวินัยจัดว่าเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังดารงอยู่ พระ
ศาสนาชื่อวา่ ยงั ดารงอยู่ ดงั น้ัน จึงขอสังคายนาพระวนิ ยั ก่อน
ประการที่ ๒ พระวินยั เป็นดา้ ยรอ้ ยเรียงลกั ษณะนสิ ัย/พฤติกรรมของคนไว้ในกรอบเดียวกนั พุทธประสงคใ์ น
การประกาศพระศาสนา ในเชิงจรยิ ศาสตร์สังคมมี ๒ ประการ คอื
(๑) กาจดั ความคิดแบ่งแยกทางสังคม
(๒) กระต้นุ เตือนใหม้ นษุ ย์คานึงถงึ ศักด์ิศรีและคุณค่าภายในตน
พระพุทธองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาในพระพุทธศาสนาได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ถ้าประสงค์จะ
บวชเป็นพระภิกษุ ภิกษุณีก็บวชได้ โดยไม่จากัดว่าจะเกิดในตระกูลใด วรรณะใด และเมื่อประสงค์จะพัฒนาตนก็มี
โอกาสพัฒนาได้เต็มที่ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นย่อมได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ไม่มีใครบันดาลให้ใครได้ สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺต
นาญฺโญ อญญ วโิ สธเย ความบริสทุ ธ์ิ ความไมบ่ ริสทุ ธ์เิ ปน็ ของเฉพาะตน ผอู้ ืน่ จะใหผ้ ูอ้ นื่ บริสุทธ์ิไม่ได้
ด้วยพุทธประสงค์อย่างน้ี จาเป็นต้องมีพระวินัยไว้เป็นกฎเกณฑ์ควบคุมดูแล เพราะธรรมดาคนที่มาจาก
สงั คมหลากหลาย ยอ่ มมลี กั ษณะนสิ ัย และพฤติกรรมตา่ งกนั อยแู่ ลว้
ประการท่ี ๓ ความมีคณุ คา่ และความเป็นกฎเกณฑ์ทางสังคมของพระวินัย ที่ชัดเจนอีกประการหน่ึง เห็นได้
จากพุทธประสงค์ ๑๐ ประการในการบัญญัติพระวินัย คือ เพ่ือความรับว่าดีแห่งสงฆ์ เพ่ือความผาสุกแห่งสงฆ์ เพื่อ
ข่มบุคคลผู้เก้อยาก เพ่ือความอยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลดีงาม เพื่อปิดก้ันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน เพ่ือบาบัดอา
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (74)
สวะอนั จะบังเกิดในอนาคต เพื่อความเล่ือมใสของชุมชนท่ียังไม่เลื่อมใส เพื่อความเล่ือมใสย่ิงข้ึนของชุมชนที่เลื่อมใส
แล้ว เพอื่ ความตง้ั ม่ันแหง่ สัทธรรม เพื่อเอ้ือเฟ้ือพระวนิ ัย
วัตถุประสงค์ท้ัง ๑๐ ข้อน้ี กล่าวโดยสรุปคือ (๑)เพื่อความเรียบร้อยดีงามของสังคมสงฆ์ (๒) เพื่อความ
สบายใจของสงั คมคฤหัสถ์ และ(๓) เพือ่ พระพทุ ธศาสนาโดยตรง
ประเด็นน้ีหมายถึง เมื่อมีพระวินัยเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ความสามัคคี ความผาสุกย่อมเกิดขึ้น สังคมมี
มาตรการในการท่จี ะตดั สนิ ลงโทษคนผิดชดั เจน กาจดั ความเสอ่ื มเสยี ท่เี กิดขึน้ แล้วในปัจจุบัน และปูองกันความเสื่อม
เสียอันจะเกิดในอนาคต ในส่วนของประชาชนคฤหัสถ์ แม้จะไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เมื่อเห็นภาพการ
ประพฤติดีปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ ย่อมเกิดความเล่ือมใส ส่วนผู้ท่ีนับถือพระพุทธศาสนาซึ่งมีความเลื่อมใสเป็น
ทุนเดิมอยู่แล้ว เม่ือเห็นภาพแห่งการประพฤติดีปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ ย่อมมีความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น อันว่าความ
เล่ือมใสนแ่ี หละทาใหจ้ ติ ใจเย็นสบาย ไมอ่ ึดอัดไมข่ ัดเคอื ง
ประการที่ ๔ พระวินัยสร้างหลักประกันให้บุคคลผู้ปฏิบัติท้ังในปัจจุบันและอนาคต เห็นได้จากท่ีพระพุทธ
องค์ตรสั อานิสงส์ ๕ ประการแหง่ ความเป็นผู้มศี ลี คือ (๑) ได้โภคทรัพย์กองใหญ่ (๒) ชื่อเสียงดีงามขจรไป (๓) เป็นผู้
องอาจในทป่ี ระชมุ ชน (๔) ไมห่ ลงตาย คอื ตายไปอยา่ งมีสติ (๕) เม่ือตายไป ยอ่ มไปเกดิ ในสุคติ โลกสวรรค์
ประการท่ี ๕ ความเป็นกฎเกณฑ์และความมีคณุ ค่าทางสังคมของพระวนิ ยั เห็นไดจ้ ากประเด็นต่อไปนี้
คาว่า วินัย ในท่ีน้ีหมายถึงศีล ๒ ส่วน คือ (๑) ศีลท่ีมาในพระปาติโมกข์ของภิกษุ ๒๒๗ ข้อและศีลของภิกษุณี ๓๑๑
ขอ้ (๒) ศลี ท่ีมานอกพระปาตโิ มกข์อีกจานวนมาก ศีลมีอรรถะลกั ษณะ รส ปจั จุปัฏฐาน และปทฏั ฐานดงั นี้
๑. ลกั ษณะของศลี คอื ความเป็นรากฐาน
๒. รสของศลี คือ กาจัดความทศุ ีล หรอื คุณท่หี าโทษมไิ ด้
๓. ปัจจุปัฏฐานของศีล คอื ความสะอาด
๔. ปทัฏฐานของศีล คือ หริ แิ ละโอตตปั ปะ
ประเด็นที่ ๑ สังคมแหง่ ศีลธรรมเป็นสังคมที่มีรากฐานแข็งแกร่ง
ประเดน็ ท่ี ๒ สงั คมแหง่ ศลี ธรรมเปน็ สังคมท่ีไรท้ ุกขโ์ ทษ
ประเด็นที่ ๓ สังคมแห่งศลี ธรรมเปน็ สังคมสะอาด
ประเดน็ ที่ ๔ สงั คมแหง่ ศีลธรรมเปน็ สงั คมแห่งความละอายและเกรงกลวั ต่อความช่ัว
กล่าวโดยสรปุ สังคมต้องมวี ินัย วนิ ัยแบง่ ตามกลุ่มของผ้ปู ฏบิ ัติ มี ๒ อย่าง คือ
๑. อาคาริยวินัย กรอบควบคุมวิถีชีวิต แนวทางประพฤติสาหรับคฤหัสถ์ การกล่าววาจาถึงพระรัตนตรัยว่า
พุทฺธ สรณ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พ่ึงที่ระลึก การสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรือกุศลกรรมบถ ๑
จดั เป็นอาคาริยวินัยหรือวนิ ัยของคฤหสั ถ์ ซงึ่ เม่อื ชายหญิงถอื ปฏิบัติทว่ั ถึงกันแล้ว ช่ือว่าป็นมงคลสูงสุดแก่ชีวิต เพราะ
เป็นเหตนุ าความสงบสขุ มาให้ทัง้ แกต่ นและแก่หมู่คณะ
๒. อนาคาริยวินัย กรอบควบคุมวิถีชีวิต แนวทางประพฤติสาหรับสามเณร สามเณรี สิกขมานา พระภิกษุ
และภิกษณุ ี เช่น ศลี ๑ มีเวน้ จากการฆา่ สตั วเ์ ปน็ ข้อต้น เว้นจากการับทองและเงินเป็นข้อสุดท้าย ปาติโมกขสังวรศีล
อนิ ทรยิ -สังวรศลี อาชีวปารสิ ุทธิศีล และปจั จยสันนสิ ิตศลี
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (75)
พระพุทธเจา้ กอ่ นจะเสดจ็ ดับขันธปรินิพพาน ตรัสกับพระอานนท์ว่า ธรรมและวินัยท่ีแสดงไว้ บัญญัติไว้ จัก
เป็นศาสดาของพวกเธอ เม่ือเราล่วงลับไป
๓. พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์
พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ เป็นพระราชบัญญัติที่ตราไว้ในพุทธศักราช ๒๕๐๕ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
(ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนทเ่ี กย่ี วข้อกบั การปกครองคณะสงฆ์ ดงั นี้
๑. กาหนดให้สมเด็จพระสงั ฆราช ทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ ตามมาตรา ๘ ความวา่ “สมเด็จพระสังฆราชทรง
ดารงตาแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่
ขดั แย้งกบั กฎหมาย พระธรรมวินยั และกฎมหาเถรสมาคม”
๒. กาหนดให้มมี หาเถรสมาคม เป็นคณะกรรมการบรหิ าร มอี งค์ประกอบตามมาตรา ๑๒ ความว่า “มหา
เถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระสงั ฆราช ซ่ึงทรงดารงตาแหนง่ ประธานกรรมการโดยตาแหน่ง สมเดจ็ พระราชา
คณะทกุ รปู เป็นกรรมการโดยตาแหนง่ และพระราชาคณะ ซ่ึงสมเด็จพระสงั ฆราชทรงแต่งตง้ั มีจานวนไม่ตา่ กวา่ ส่ีรูป
และไมเ่ กนิ แปดรูป เปน็ กรรมการ”
๓. กาหนดการปกครองคณะสงฆ์ โดยมีมาตรา ๒๐ กล่าวถึงการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไป
ตามกาหนดในกฎมหาเถรสมาคม มาตรา ๒๑ แบ่งการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ออกเป็น ภาค จังหวัด อาเภอ
และตาบล และใหม้ ีพระภกิ ษุผู้ปกครองตามช้ันตามลาดับดังนี้ (มาตรา ๒๒) เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะ
อาเภอ และเจา้ คณะตาบล
๔. กาหนดใหม้ บี ทกาหนดโทษ ตามความผิดของพระภกิ ษสุ ามเณรที่ละเมิดพระธรรมวินัย โดยมีการกาหนด
ลงโทษสุงสดุ คือสละสมณเพศ
กลา่ วโดยสรุป พระวนิ ยั คอื กฎหมายทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงบัญญัติข้นึ เพือ่ ปอู งกนั การละเมดิ และการกระทาผิด
ในครั้งต่อไปของพระภิกษุ จะเหน็ ได้ว่าพระพุทธเจา้ พระองคท์ รงบญั ญตั ิพระวินัยในกรณีท่ีพระภิกษุรูปน้ัน ๆ กระทา
ผิดที่เป็นสาเหตุให้พระพุทธศาสนาของพระองค์มัวหมอง ทาให้พุทธศาสนิกชนขาดศรัทธาท่ีจะทานุบารุง และขาด
ความเล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนาของพระองค์ จึงทรงบัญญัติข้อห้ามไว้เพ่ือปูองปรามพระภิกษุรูปอื่นท่ีจะละเมิดและ
กระทาผิดในอนาคตเช่นน้ันอีก พระองค์จะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยข้ึนบังคับก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น จะบัญญัติพระ
วินัยเพ่ือลงโทษพระภิกษุรูปน้ัน ๆ หลังกระทาผิดแล้ว เพื่อไม่ให้ภิกษุรูปอ่ืนยึดถือเป็นเย้ืองอย่างในการกระทาผิด
ต่อไป แต่ในยคุ ตอ่ มา จนถงึ ยุคปจั จุบนั การจะควบคมุ พระภิกษุ สามเณร ที่ละเมิดพระวินัย โดยอาศัยพระวินัยอย่าง
เดยี วมาควบคมุ ลงโทษคงไม่เพียงพอ จะต้องอาศยั กฎหมายของบ้านเมอื ง โดยเฉพาะอย่างย่ิง กฎหมายปกครองคณะ
สงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ มาควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุที่ละเมิดพระวินัยและกฎหมาย
ต่อไป
8.2 ลักษณะข้อแตกต่างระหวา่ งพระวินัยกบั กฎหมาย
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (76)
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแม้จะดีเลิศ นาสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ก็ได้เฉพาะ"สัตว์มีธุลีในดวงตาน้อย
เท่าน้ัน" คนโง่คนเขลายากแก่การพัฒนาให้ดีได้ ในยามประเทศเกิดวิกฤตจากภัยสงคราม จากภัยเศรษฐกิจ ศาสนา
พุทธก็เป็นทแี่ อบแฝงหาประโยชน์ทางลดั ทาให้ศาสนามัวหมอง พระธรรมวินัยจงึ ไม่มกี าลังที่จะการาบคนชั่วผู้ไม่หวัง
ดตี ่อศาสนา ดังพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราชว่า "คณะสงฆ์แม้จะมีสิกขาวินัย
เป็นข้อบังคับ แต่เมื่อไม่มีใครว่ากล่าว ไม่มีการลงโทษอย่างแรง ก็ทาให้พระภิกษุสามเณร ประพฤติหละหลวม...
ปล่อยไวก้ ารคณะสงฆ์กจ็ ะเลวลง"
มลู เหตุของการมีกฎหมายคณะสงฆ์
ในรัชสมัยของพระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลกมหาราช ทรงโปรดเกลา้ ฯ ออกกฎหมายเกี่ยวกับ คณะสงฆ์เป็นคร้ัง
แรก เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ถึง ๑๐ ฉบับ แต่ละฉบับว่าด้วยข้อห้ามและ
การกาหนดโทษเก่ยี วกบั ความประพฤตเิ สยี หายของพระภกิ ษุ
ตกมาถึงรชั กาลท่ี ๔ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ อกประกาศสาหรับพระภิกษสุ ามเณรรวมทั้งหมด ๑๔ ฉบับ
ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.
๒๔๔๕) พ.ร.บ. ฉบับน้ีไดม้ กี ารจัดรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ที่เป็นเอกภาพเป็นคร้งั แรก
รชั กาลท่ี ๖ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้วางระเบียบเก่ียวกับอุปัชฌาย์ ๑๘ ข้อ บางข้อใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
การห้ามใหก้ ารบรรพชาและอปุ สมบทนอกเขต ห้ามผู้ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์บวชกุลบุตร นอกจาก นี้ยังได้
มีการตราระเบยี บให้สึกพระผ้ตู ้องคดอี าญา
ในรัชสมัยของพระเจา้ อยหู่ ัว อานันทมหิดล สภาผู้แทนราษฎร ได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช
๒๔๘๔ เลียนแบบ การปกครองฝุายบ้านเมอื ง มีสมเดจ็ พระสงั ฆราช, สงั ฆสภา, คณะสังฆมนตรี, คณะวนิ ัยธร.
คร้ันตกมาถึงปี ๒๕๐๕ บ้านเมืองอยูในยุคเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ สภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภาได้
ตรา พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ โดยเลียนแบบ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑ ให้สอดคล้องกับการปกครอง
ของบา้ นเมอื ง
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ไดม้ ีการแกไ้ ขเพมิ่ เติมโดย พ.ร.บ. คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕
ผมเกบ็ เอาเรอื่ ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ในรูปแบบของวิวัฒนาการมาลาดับความไว้ เพ่ือให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพ
กว้างๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับราชอาณาจักร ซึ่งถ้าไม่มองในแง่ร้ายก็จะพบความจริงว่า ผู้ปกครอง
บา้ นเมอื งตอ้ งการเขา้ มามีส่วนดูแล และประกันความมั่นคงคณะสงฆ์ ในฐานะองค์กรสาคัญท่ีจะสืบภาระรับผิดชอบ
พระพทุ ธศาสนา โดยใชอ้ านาจรฐั เข้ามาเสริม เพอ่ื กาจัดคนชวั่ ยกย่องคนดีใหอ้ ยอู่ ย่างผาสกุ
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (77)
พ.ร.บ. คณะสงฆ์แต่ละฉบับ ต้องการช่วยรักษาพระธรรมวินัย และความมั่นคงของคณะสงฆ์ไทยตามยุค
ตามสมัย สาเหตุน้ีเองทาให้คณะสงฆ์ในประเทศยืดยาว โดยมีเอกภาพมาถึงปัจจุบัน จนประเทศไทยได้นามว่า แดน
กาสาวพัสตร์ ท่ีการคณะสงฆ์มีการดูแลกันเป็นระบบระเบียบและ มีเอกภาพตลอดมา พ.ร.บ. คณะสงฆ์เป็นเกราะ
ปูองกันพระธรรมวนิ ัย
กฎหมายบา้ นเมือง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ จึงเป็นไปตามหลัก "วินยานุเคราะห์" (The monastic
discipline assistance) คือตราข้ึนเพื่อส่งเสริมช่วยเหลือรักษาพระวินัย ให้วินัยสามารถทาหน้าท่ีได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ มีผลในทางปฏบิ ตั ิ ไม่ถกู ละเลย เพกิ เฉย หรอื เหยยี บย่าโดยคนบางคน บางพวก
กฎหมายคณะสงฆ์แต่ละฉบับ ล้วนปรารภความประพฤติผิดพระวินัย และผู้ตราก็ระมัดระวังมิให้ขัดต่อ
พระธรรมวนิ ยั เชน่ ความตอนหนึ่งในกฎหมายฉบบั ที่ ๒ (ออกใช้ในรชั กาลที่ ๑) ว่า "พระภิกษุทุกวันน้ี (แม้) ต้ังอยู่ใน
ภมู อิ นั ประเสรฐิ แล้วมดิ ้รกั ษาพระปาฏโิ มกขต์ ามอรุยวงศ์ประเพณีปฏบิ ัติ เขา้ ระคนคบหาฆราวาส ด้วยเบญจกามคุณ
มไิ ด้เห็นแกพ่ ระศาสนา"
ความตามกฎหมายฉบับนี้ระบุชัดว่า พระภิกษุแม้จะอยู่ในฐานะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐ (เป็น
พระ มาจากคาวา่ วระ แปลว่า ประเสรฐิ ) มไิ ดร้ กั ษาพระปาฏโิ มกข์ ได้แก่ ปาฏิโมกขส์ ังวรศีล คือ เว้นจากข้อห้าม ทา
ตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบทท้ังหลาย ตัวอย่างของการไม่รักษาพระปาฏิโมกข์คือ การคลุกคลีกับ
คฤหัสถ์ ดว้ ยเบญจกามคุณ ๕ เปน็ ความประพฤตทิ ไี่ ม่เห็นแกพ่ ระศาสนา
แสดงชดั วา่ การตรากฎหมายเพื่อรกั ษาพระวนิ ยั
เน่ืองจากคณะสงฆใ์ นบา้ นเรา มไิ ด้ถูกตดั ขาดจากสังคม พระภิกษุสามเณรยงั เปน็ พลเมืองของรัฐ ยังมีช่ืออยู่
ในสามะโนประชากร ยงั ตอ้ งปฏบิ ัติตามกฎหมายบ้านเมือง ทั้งทางแพ่งและทางอาญา แม้รัฐธรรมนูญไทยจะตัดสิทธิ
บางอย่าง เช่น
- การใชส้ ิทธเิ ลือกตั้ง ตามมาตรา ๑๐๖(๒)
- สิทธิในการสมคั รรบั เลอื กตงั้ เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา ๑๐๙(๓)
- สทิ ธใิ นการสมคั รรบั เลือกตัง้ เป็นสมาชกิ วฒุ สิ ภา ตามมาตรา ๑๒๖(๔)
- สทิ ธใิ นการเป็นกรรมการการเลือกต้ัง ตามมาตรา ๑๓๗(๔)
- การเปน็ รฐั มนตรี ตามมาตรา ๒๐๖(๔
- การเปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ตามาตรา ๒๕๖(๔)
- การรอ้ งขอใหร้ ัฐสภาพิจารณากฎหมาย ตามมาตรา ๑๗๐ และ
- การรอ้ งขอให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๓๐๔ ประกอบมาตรา ๓๐๓ เปน็ ต้น
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (78)
การตัดสทิ ธดิ ังกลา่ ว มเี จตนารมณป์ อู งกันมิให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปเก่ียวข้องกับการเมืองและต้องการให้
ดารงตนเป็นกลาง ในฐานะเป็นบุคคลที่คนทุกฝุายให้ความเคารพ และรัฐบาลเองก็ไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน
ของสงฆ์
การตรากฎหมายปกครองสงฆ์ ปกติจะไม่เรียกว่า กฎหมายปกครอง แต่นิยมใช้คาว่า กฎหมายคณะสงฆ์
แทน มีแต่กฎหมาย ร.ศ.๑๒๑ เท่านั้นที่ให้ถือว่า ลักษณะปกครองคณะสงฆ์กฎหมายนี้ก็มิใช่ กฎหมายปกครองคณะ
สงฆ์ เป็นเพียงการออกกฎหมาย เพ่ือกาหนดลักษณะของการปกครองในวงการสงฆ์ให้ทราบกันว่ามีระบบเป็น
อย่างไร เป็นเร่ืองของพระภิกษุสงฆ์ที่จะดูแลกันเอง โดยมอบให้สงฆ์เป็นใหญ่ บ้านเมืองไม่เข้าไปควบคุมหรือ
แทรกแซง แม้แต่ยุคท่ีประเทศไทยปกครองโดยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ก็มิได้ทรงดารง
พระองค์เหนอื พระภกิ ษุสงฆ์ ทรงดารงพระองค์ในฐานะเป็นองค์อุปถัมภกเท่าน้ัน จะเห็นได้จากพระบรมราชโองการ
ประกาศเจตนารมณ์ของการจัดให้มีพระราชบัญญัติปกครองสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑ ว่า "มีพระบรมราชโองการ ใน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ พระดารัสเหนือเกล้าให้ประกาศจง
ทราบทัว่ กันว่า ทุกวันน้กี ารปกครองข้างฝาุ ยรพระราชอาณาจักร ก็ได้ทรงพระราชดาริแก้ไข และจัดตั้งแบบแผนการ
ปกครองใหเ้ รยี บร้อย เจรญิ ดขี น้ึ กว่าแตก่ อ่ น เปน็ หลายประการแล้ว
และฝุายพุทธจักรน้ัน การปกครองสังฆมณฑล ย่อมเป็นการสาคัญทั้งในประโยชน์แห่งพระศาสนา และใน
ประโยชน์ความเจรญิ ของพระราชอาณาจกั รด้วย ถ้าการปกครองสังฆมณฑล เป็นไปตามแบบแผนกันเรียบร้อย พระ
ศาสนาก็จะรุ่งเร่ืองถาวร และจะชักนาประชาชนทั้งหลายให้เล่ือมใสศรัทธาในพระพุทธศาสโนวาท ประพฤติสัมมา
ปฏิบัติ และร่าเรียนวิชาคุณในสังฆสานักย่ิงข้ึนเป็นอันมาก มีพระราชประสงค์จะทานุบารุงสังฆมณฑล ให้เจริญ
คุณสมบัติ มั่นคงสืบไปในพระศาสนาจึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติไว้สืบต่อไปดังนี้ว่า..."
ตามนยั น้แี สดงวา่
๑). กฎหมายคณะสงฆ์ เป็นการกาหนดรูปแบบการปกครองในสังฆมณฑล มิใช่คฤหัสถ์ปกครองพระภิกษุ
และมใิ ชใ่ หภ้ กิ ษุรูปใดใช้อานาจปกครอง แตใ่ ห้สงฆป์ กครองกันเอง ตามหลักธรรมวินัย การปกครองท่ีมีแบบแผน ทา
ให้พระพุทธศาสนาเจริญถาวร และเป็นบ่อเกิดของความศรทั ธาของประชาชน
๒). การจัดรูปของการปกครองท่ีดี ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และประโยชน์แก่
ราชอาณาจกั ร
๓). การตรากฎหมายมีวัตถุประสงค์หลกั คอื ทานุบารุงสังฆมณฑลใหเ้ จริญมัน่ คง
ในประเทศไทยน้ี ยังไม่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขัดต่อพระธรรมวินัย มุ่งทาลาย
ศาสนา มีแต่มุ่งหวังรักษาพระธรรมวินัย ยิ่งการจะตรากฎหมายท่ีพระมหาเถระมีส่วนร่วมยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ท่าน
เหล่านัน้ จะคิดตรากฎหมายทาลายศาสนา ซึง่ ท่านได้รกั ษามาเกือบตลอดชีวิต มีแต่คนชั่วร้ายเท่านั้นที่เที่ยวกล่าวหา
วา่ กฎหมายคณะสงฆข์ ัดต่อธรรมวนิ ยั เป็นกฎหมายมหาโจร ดงั ท่ีคนกลมุ่ หน่ึงออกมาตะโกนกลา่ วหาอยู่ในขณะน้ี
BU5002 พระไตรปฎิ กศกึ ษา 1 (79)
เมือ่ ใดก็ตามทป่ี ระชาชนขาดศรทั ธาในสถาบันสงฆ์ ความเปน็ เอกภาพในสถาบันสงฆ์ไม่มี และอานาจรัฐตก
เปน็ ของฝาุ ยของผเู้ ปน็ ปรปกั ษ์พระพุทธศาสนาก็ล่มสลายจากประเทศน้นั ๆ
ผตู้ ้องการทาลายจงึ มักแฝงตวั เขา้ มาอยใู่ นศาสนา
พวกเขาอ้างความเคร่งครัดว่า อย่างพระเทวทัตเคยกระทามาแล้วในยุคพุทธกาล พระเทวทัตได้อ้างความ
เคร่งครัด เสนอหลกั ปฏบิ ัติ ๕ ประการ ยน่ื คาขาดต่อพระพุทธองค์ให้ทรงรับไปปฏิบัติในปีท่ี ๓๗ ของการตรัสรู้ พระ
เทวทัตบวชหลังพระพุทธเจ้าหน่ึงพรรษา เร่ิมคิดการใหญ่อยู่เงียบๆ วางแผนเข้าถึงมวลชน ชาวไร่ชาวนา ออกเยี่ยม
เยือนชาวไร่ชาวนาทุกฤดูกาล ครั้งหนึ่งชาวนาจะถวายข้าวใหม่แก่พระภิกษุ สภาเกษตรกรท้องถ่ินโ ต้เถียงกันว่าจะ
นิมนต์พระภิกษุรปู ใดเปน็ ผู้รบั เมอื่ ตกลงกันไม่ไดก้ ป็ ระชมุ สภาลงมตใิ หโ้ หวตคะแนนเทให้พระเทวทัตท่วมท้น นาพระ
สารีบุตรและพระโมคคัลลานะอย่างท้ิงห่าง นอกจากน้ีพระเทวทัตยังพยายามสร้างนักการเมือง โดยการเข้าถึงพระ
เจ้าอชาตศัตรู ป่ันให้เป็นผู้นาจนสาเร็จสมใจอยาก ดีท่ีพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบเสียก่อน และยังมีพระพุทธเจ้าเป็น
หลัก มิฉะนัน้ พระพทุ ธศาสนาอาจส้ินสุด พระเทวทัตเปน็ ผนู้ าศาสนจกั ร
พระพุทธศาสนาในบ้านเราขณะน้ี มีทั้งเทวทัต และอชาตศตั รูกลับชาติมาเกดิ คบคดิ กันทาลายสถาบันสงฆ์
เทวทตั วางแผนการมานาน จนถกู คณะสงฆ์อัปเปหิ ส่วนอชาตศัตรูหลงกลเทวทัต ยุแหย่และอาศัยบุญคุณต่อกันทาง
การเมือง ถึงกบั บงั อาจกล่าวหา มหาเถรสมาคม ผู้มีมติเห็นชอบ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับร่างว่า กระทาการไม่รอบคอบ
และขัดตอ่ พระธรรมวินยั เป็นข้อกลา่ วหาทร่ี ้ายกาจและรนุ แรง
เทวทตั คงกลับสอู่ เวจีมหานรกตามเดิม สว่ นอชาตศัตรูจะกลับใจมาทาประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่
ยังไมแ่ นใ่ จ เราชาวพทุ ธต้องคอยดูกนั ตอ่ ไป !
บรรณานกุ รม
กลุ่มวิชาการพระพุทธศาสนาและจรยิ ศึกษา กองศาสนศึกษา กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ.
อธิบายวินยั สาหรบั นกั ธรรมชน้ั ตร.ี กรุงเทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2541.
กองวิชาการ สานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . เกบ็ เพชรจากคัมภรี ์พระไตรปิฎก.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2545.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). รูจ้ กั พระไตรปฎิ กเพ่ือเปน็ ชาวพุทธท่ีแท.้ กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทสหธรรมกิ จากดั , 2543.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมฺมจิตโฺ ต). การปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพฯ : บริษทั สหธรรมิกจากดั , 2539.
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (80)
พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ฐติ ญาโณ). พระวินยั ปิฎกย่อ เล่ม 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,
2540.
_______________. พระวินัยปฎิ กยอ่ เลม่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, 2540.
พระอมรมุนี (จับ ฐิตธมโฺ ม ป. 9). นาเที่ยวในพระไตรปฎิ ก. กรงุ เทพฯ : สภาการศกึ ษามหามกุฏราชวทิ ยาลยั , 2535.
สุชีพ ปุญญานภุ าพ. พระไตรปฎิ ก ฉบบั สาหรับประชาชน. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, 2539.
เสถียรพงษ์ วรรณปก. คาบรรยายพระไตรปฎิ ก. กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา, 2543.
สมเดจ็ พระวันรตั (ทับ พุทธฺ สิริ เปรยี ญ 9). พระวินัยแปล. กรุงเทพฯ : หจก. โรงพิมพช์ วนพิมพ์,2539.
อทุ ัย บุญเยน็ . พระไตรปฎิ กสาหรบั ผเู้ ริ่มศึกษา. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์โพธเ์ิ นตร, 2548.
กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า. วินยั มขุ เลม่ ๑. (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฎราชวทิ ยาลยั ,
๒๕๓๓), หน้า ๘-๙.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, พิมพค์ รงั้ ที่ ๙, หนา้ ๔๔๙-๔๕๐.
พระครกู ลั ยาณสทิ ธวื ฒั น์, พทุ ธบญั ญัติ ๒๒๗ เพอ่ื ความเข้าใจวินัยให้ถกู ต้อง, หน้า ๕.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, พมิ พ์คร้ังท่ี ๙, หนา้ ๔๔๘-๔๔๙.
สมจินต์ สมมฺ าปญโฺ ญ, พระมหา. เกบ็ เพชรจากคัมภรี พ์ ระไตรปิฎก. (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๗๙-๘๒.
Sayagyi U ko Lay. Guide to Tipitaka. Selangor Buddhist Vipassana Meditation Society : Selangor
Malaysia, 2000.
เว็บไซต์
ประโยชน์'พระวนิ ยั 10ขอ้ ' เพื่อ"ภกิ ษุ"อยรู่ ่วมกันด้วยดี.https://www.dailynews.co.th/article/561918
วินยั ของพระภกิ ษสุ งฆ์ ทปี่ ระชาชนควรทราบรวบรวมและเรียบเรียงโดย พระเทพวสิ ุทธญิ าณ (อุบล นนฺทโก ป.ธ. 9)
วดั บวรนิเวศวิหาร http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-vinai-01.htm
ขอ้ ปฏบิ ัติของคฤหัสถ์และบรรพชติ :ธรรมกิ สูตร พระไตรปิฎกฉบบั หลวง เลม่ ท่ี 25 ข้อท่ี 332-333 หนา้ 303-307
https://www.uttayarndham.org/tripitaka-mp3-files-individual-track/2144/
การวดั และประเมินผลทางการศึกษา
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. รายงาน/ใบงาน /โครงงาน รวม 40 คะแนน
คะแนน
2. เขา้ ร่วมกิจกรรม กจิ กรรมอ่นื ท่ีเก่ียวขอ้ ง 10 คะแนน
3. สอบระหว่างภาค 20
BU5002 พระไตรปฎิ กศึกษา 1 (81)
4. รวมเก็บ 70 คะแนน
5. ปลายภาค 30 คะแนน
6. รวม 100 คะแนน
7. มาเรียนไมค่ รบตามเวลาท่กี าหนด มส. (ขาด /ไม่เกนิ 4 คร้งั )
การ ทากิจกรรมในชนั้ เรยี น เกณฑก์ ารวดั ประเมินคะแนน
เข้าเรียน
มาเรียนสม่าเสมอ กิจกรรมในช้นั เรียน
1 ความสนใจในการเรยี น
2 การช่วยเหลือเพ่อื น 1. สังเกต 3
3 การแสดงออกด้านความคดิ ในเชงิ บวก
4 ความชื่อสัตยต์ ่อหน้าท่ี ไมล่ อกงานเพือ่ น 2. เชค็ รายช่อื 2 10
5 ส่งงานตรงตามเวลาทก่ี าหนด 3. การส่งงาน 2
6 ชว่ ยรักษาความสะอาด
7 ช่วยประหยดั พลังงาน 4. การร่วมทากจิ กรรม 3
8 แตง่ กายสภาพเหมะสมถูกกาลเทศ
9 การพดู ดว้ ยคาทส่ี ภุ าพ กรอบมาตรฐานการเรียนรู้ 5 ดา้ น
10
1. คณุ ธรรมจรยิ ธรรม
2. ความรู้
3. ปัญญา
4. ความรับผดิ ชอบ
5. ตัวเลข เทคโนโลยี ภาษา
1. การแสดงความคดิ เหน็ ตอบคาถาม 1. วดั ประเมินผลจากการสอนระหว่างและปลายภาค
2. มา ,สาย, ปกติ ,ขาด, ลากจิ 2. ใบงาน รายงาน ท่ไี ดร้ บั มอบหมายตรงประเดน็ การตอบ
3. ตรงตามเวลาท่ีกาหนด ,ส่งหลงั ,ขอใบงานทาภายหลัง 3. ส่งงานตรงตามเวลาท่ีกาหนด มาเรยี นสมา่ เสมอ
4. กจิ กรรมทีแ่ ทรกระหวา่ งเรยี น 4. การเขยี นใบงาน รายงานจดั ทาถกู ตอ้ งภาษาสละสลวย