คัคั คั มคั มภีภี ภี ร์ ภี ร์ขุ ร์ ขุ ร์ท ขุท ขุ ทกนินิ นิ ก นิ กาย -วิม วิ านวัต วั ถุ -เปตวัต วั ถุ -ชาดก -อปาทาน -พุทธวงศ์ สาระสำ คัญ ของพระ สูตร
วิม วิ านวัต วั ถุ สวรรค์ของเทพบุตร สวรรค์ของเทพธิดา 108
เปตวัต วั ถุ อบายภูมิแ มิ ห่ง ห่ สัต สั ว์ผู้ ว์ ผู้ ไผู้ ด้เสวย กรรมของตนเอง ในรูป รู แบบ ของเปรต ๑ ในอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัต สั ว์เ ว์ ดรัจ รั ฉาน 110
เรื่อรื่งราวที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ งของเกี่ย กี่ วเนื่องกับ พระพุทธเจ้าในอดีต และการบำ เพ็ญ พ็ บารมี ของพระโพธิสัธิต สั ว์ใว์ นอดีตก่อนการตรัส รั รู้เ รู้ ป็น ป็ พระพุทธเจ้า เช่น ช่ เวสัน สั ดรชาดก เป็น ป็ ต้น ชาดก 111
พุทธาปทาน ปัจเจกพุทธาปทาน เถร าปทาน เถรียาปทาน อปทาน ประวัติ วั ติการสั่ง สั่ สมบารมีขมีองพระพุทธเจ้า และผู้เ ผู้ ที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ งกับพระพุทธเจ้า เช่น ช่ 112
แบบปัญญาธิกพุทธะ แบบสัทธาธิกพุทธะ แบบวิ ริยาธิกพุทธะ กล่าวถึงการบำ เพ็ญ พ็ บารมีขมีองพระพุทธเจ้า และก่อนการเป็น ป็ พระพุทธเจ้า บารมี ๓๐ อัน อั มี ระดับขั้น ขั้ ตั้งแต่ บารมี อุปารมี และปรมัต มั ถบารมี ประเภทของพระพุทธเจ้าที่บำ ที่ บำเพ็ญ พ็ บารมี ก่อนการตรัส รั รู้ ๓ ประเภท อปทาน 113
มีลักษณะคล้ายกับ พระพุทธเจ้าทุกประการแต่ มิได้ประกาศเผยแผ่หลัก ธรรม ในส่วนของประเภทก็มี ลักษณะการบำ เพ็ญบารมี ๓ รูปแบบเหมือนกันกับ ประเภทของพระพุทธเจ้า พระปัปัจ ปัปั เจกพุพุ พุพุ ทธเจ้จ้ จ้จ้ า พระอรหันตสาวก มี ๓ ประเภทคือ พระอัครสสาวก พระมหาสาวก พระปกติสาวก 114
พพรระะอัอัค อั ค อัรรสสสสาาววกก คำ ว่าว่ "อัคอัร" มีคมีวามหมายถึง "ตุลา" แปลว่าว่ตราชู,ชู ประมาณ, เกณฑ์วัดวั , มาตรฐาน, ตัวแบบ, แบบอย่าย่ง สาวกหรือรืสาวิกวิา ที่พที่ระพุทธเจ้าตรัสรัยกย่อย่งว่าว่เป็น ป็ ตราชู หรือรืเป็น ป็ แบบอย่าย่งในพุทธบริษัริษัทนั้นๆ อันอัสาวก และสาวิกวิาทั้งหลาย ควรใฝ่ปรารถนาจะดำ เนินตาม หรือรืจะเป็น ป็ ให้ได้ให้เหมือมืน คือ ๑. ตุลา สำ หรับรัภิกษุสาวกทั้งหลาย ได้แก่ พระสารีบุรีบุ ตร และพระมหาโมคคัลลานะ ๒. ตุลา สำ หรับรัภิกษุณีสาวิกาทั้งหลาย ได้แก่ พระเขมา และพระอุบลวรรณา ๓. ตุลา สำ หรับรัอุบาสกสาวกทั้งหลาย ได้แก่ จิตตคฤหบดี และหัตถกะอาฬวกะ ๔. ตุลา สำ หรับรัอุบาสิกาสาวิกาทั้ง หลาย ได้แก่ ขุชชุตตราอุปาสิกา และเวฬุ กัณฏกี นันทมารดา 115
๑. อัคอัรสาวก ได้แก่ พระสารีบุรีบุ ตร และพระมหาโมคคัลลานะ ๒. อัคอัรสาวิกวิา ได้แก่ พระเขมา และพระอุบลวรรณา ๓. อัคอัรอุปัฏฺปัฐฏฺากอุบาสก ได้แก่ จิตตะ (คือ จิตต คฤหบดี) และหัตถาฬวกะ (คือ หัตถกะอาฬวกะ) ๔. อัคอัรอุปัฏฺปัฐิฏฺกฐิาอุบาสิกสิา ได้แก่ (เวฬุกั ฬุกัณฏกี) นันทมารดา และอุตตรา (คือขุช ขุ ชุต ชุ ตรา) มีแมีต่ในพุทธวงส์ โดยเฉพาะโคตมพุทธวงส์ (ขุ.ขุพุทธ.๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กล่าวคือ ในพระไตรปิฎก ครบทั้ง ๔ คู่ 116
ชื่อชื่อัคอัรเบื้อบื้งขวา อัคอัรเบื้อบื้งซ้าซ้ย อักอัครสาวก สารีบุรีบุตร โมคคัลลานะ อัคอัรวาวิกวิา พระเขมา พระอุบลวรรณา อุปัฏปัฐากาอุบาสก จิตตคฤหบดี หัตหัถกะอาฬวกะ อุปัฏปัฐากาอุบาสิกสิา นันทมารดา ขุชขุชุตชุตรา อุปัฏปัฐาก(สงฆ์)ฆ์ พระอานนท์ อุปัฏปัฐาก(คฤหัสหัถ์) วิสวิาขามหา อุบาสิกสิา อนาถบิณบิฑิกเศรษฐี สรุป นามพระอัครสาวกของ พระพุทธเจ้า 117
พระภิกษุสาวก 41 องค์ที่เที่ป็น ป็ เอตทัคคะกำ หนดเป็น ป็ เอตทัคคะก่อน พระสาวกสหจรแห่งเอคทัคคะ (คืออยู่กยู่ลุ่มเดียวกับ เอตทัคคะ) 23 องค์ พระสาวกในปฐมโพธิกธิาลคือพระยสเถระ 1 องค์ สหจรของพระยสะ 4 องค์ มหาสาวก พระอสีติสีติมหาสาวก คือ พระสาวกผู้ใผู้ หญ่ 80 องค์ สมเด็จด็พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรชิญาณวโรรส ทรงวินิวินิจฉัยไว้ใว้น หนังสือสื "อนุพุทธประวัติวั ติ" ดังนี้ รวมเป็น ป็ 69 องค์ ที่เที่หลืออีกอี 11 องค์ ทรงวินิวินิจฉัย เลือกพระสาวกในมัชมัฌิมฌิโพธิกธิาลและปัจปัฉิมโพธิกธิาลจนได้ ครบ 80 องค์ 118
พพรระะปปกกติติ ติ สติ สาาววกก ผู้ที่ ผู้ ที่ปที่รารถนาจะเป็น ป็ พระอริยริบุคคลโดยไม่มี ม่ คมีวามเป็น ป็ เลิศด้านอะไรเลยเช่น ช่ พระปกติสาวก แบบพระอัสอัสชิ พระโชติกเศรษฐี เป็น ป็ ต้น ซึ่งซึ่บุคคลเหล่านี้นั้นจะต้อง บำ เพ็ญ พ็ บารมีด้มีด้ วยเช่น ช่ กันจะมากน้อยหรือรืนานเท่าไหร่ขึ้ ร่ ขึ้นขึ้ อยู่กั ยู่ กับญาณและอินอิทรีย์รีย์ 119
คุณสมบัติ บั ติ ของผู้ที่ ผู้ ที่ จ ที่ ะปรารถนาสาวกภูมิ มีจิ มีจิ ตใจในการปรารถนาสาวกภูมิ มีจิ มีจิ ตใจปรารถนาพระนิพพาน 120
บบาารรมีมี มีมี1100 ทัทั ทั ศทั ศ ทานบารมี คือการให้หรือรืการเสียสีสละ ศีลศีบารมี คือการรักรัษาศีลศีหรือรืการสำ รวมกาย วาจา เนกขัมขัมะบารมี คือการบวชหรือรืการสละกาม วิริวิยริะบารมี คือความเพียพีร เพียพีรที่จที่ะทำ ความ ดี ปัญปัญาบารมี คือปัญปัญาในการทำ ความดีหรือรื การทำ ความเห็น ห็ ให้ถูกต้อง ขันขัติบารมี คือการอดทน อดกลั้นต่อสิ่งสิ่ต่างๆ ที่มที่ากระทบ สัจสัจะบารมี คือสื่อสื่ตรงหรือรืสื่อสื่ตรงต่อความดี อธิษธิฐานบารมี คือตั้งมั่นมั่ต่อการทำ ความดี เมตตาบารมี คือความรักรัใคร่ห ร่ รือรืการปราถ นาดี อุเบกขาบารมี คือการทำ ใจเป็น ป็ กลางระหว่า ว่ ง ทุกข์กั ข์ กับสุข 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 121
พระพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า ตรัสรัเรื่อรื่งพุทธวงศ์ไศ์ ว้ค ว้ ราวประทับ ณ นิโครธาราม ระหว่า ว่ งการเสด็จ ด็ นิวัติวั ติกรุง รุ กบิลบิพัสพัดุ์ (หลังตรัสรัรู้)รู้ การสืบสืสายพุทธวงศ์ไศ์ ม่ไม่ ด้มาจากการสืบสืสายโลหิตหิ หรือรืการชิงชิอำ นาจปราบดาภิเษกอย่า ย่ งการสืบสืราช สมบัติบั ติแต่มาจากสั่งสั่สมบำ เพ็ญ พ็ บารมีแมีละรับรั พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีต ในการ สังสัคายนาครั้ง รั้ ที่ 1 ในศาสนาพุทธ พระอรหันหัต์ สาวกที่ร่ ที่ ว ร่ มสังสัคายนาได้จัดให้เรื่อรื่ง "พุทธวงศ์"ศ์ นี้ เป็น ป็ คัมภีร์ห ร์ นึ่งในหมวดอปทาน ขุท ขุ ทกนิกาย พระ สุตตันตปิฎกในพระไตรปิฎกภาษาบาลี พุทธวงศ์ 122
ตัณหังกรพุทธเจ้า พระเมธัง ธั กรพุทธเจ้า พระสรณังกรพุทธเจ้า พระทีปัง ปั กรพุทธเจ้า พระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระมัง มั คลพุทธเจ้า พระสุมนพุทธเจ้า พระเรวตพุทธเจ้า พระโสภิตพุทธเจ้า พระอโนมทัสสีพุ สี พุ ทธเจ้า พระปทุมพุทธเจ้า พระนารทพุทธเจ้า พระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระสุเมธพุทธเจ้า พุทธวงศ์ 123
1.พระสุชาตพุทธเจ้า 2.พระปิยทัสสีพุ สี พุ ทธเจ้า 3.พระอัต อั ถทัสสีพุ สี พุ ทธเจ้า 4.พระธัม ธั มทัสสีพุ สี พุ ทธเจ้า 5.พระสิทสิธัต ธั ถพุทธเจ้า 6.พระติสสพุทธเจ้า 7.พระปุสสพุทธเจ้า 8.พระวิปัวิส ปั สีพุ สี พุ ทธเจ้า 9.พระสิขีสิพุ ขี พุ ทธเจ้า 10.พระเวสสภูพุทธเจ้า 11.พระกกุสัน สั ธพุทธเจ้า 12.พระโกนาคมนพุทธเจ้า 13.พระกัสสปพุทธเจ้า 14.พระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจ ปั จุบั จุ บั น) พุทธวงศ์ 124
โพธิสั ธิ ต สั ว์ คำ ว่า ว่ "โพธิสัธิตสัว์"ว์ แปลว่า ว่ ผู้ข้ ผู้ อ ข้ งอยู่ใยู่ นพระโพธิญธิาณ ประเภทของพระโพธิสัธิตสัว์ พระมหาโพธิสัธิตสัว์ พระโพธิสัธิตสัว์ผู้ ว์ผู้บำผู้บำเพ็ญพ็บารมีเมีพื่อพื่ให้ได้ตรัสรัรู้ เป็นป็พระอรหันหัต์สัมสัมาสัมสัพุทธเจ้า พระปัจปัเจกโพธิสัธิตสัว์ พระโพธิสัธิตสัว์ผู้ ว์ผู้บำผู้บำเพ็ญพ็บารมีเมีพื่อพื่ให้ได้เป็นป็ พระปัจปัเจกพุทธเจ้า พระสาวกโพธิสัธิตสัว์ พระโพธิสัธิตสัว์ผู้ ว์ผู้บำผู้บำเพ็ญพ็บารมีเมีพื่อพื่ให้ได้เป็นป็ พระอนุพุทธะ 125
ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตมัถทีปนี) พระธัมธัมปาละยังยั จำ แนกพระมหาโพธิสัธิตสัว์อ ว์ อกเป็น ป็ อีกอี 3 ประเภท คือพระโพธิสัธิตสัว์ที่ว์ ที่สที่ร้าร้งบารมีโมีดยใช้ปัช้ญปัญาเป็นป็ตัวนำ ระยะเวลา การสร้าร้งบารมีทั้มีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ใยู่น ใจเป็นป็เวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักพัตร์ พระพุทธเจ้าเป็นป็เวลา 9 อสงไขย รวมเป็นป็ 16 อสงไขย และได้รับรัพุทธพยากรณ์ครั้งรั้ แรกเป็นป็พระนิยตโพธิสัธิตสัว์ เมื่อมื่เหลือเวลาอีกอี 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นป็การสร้าร้งบารมีอมีย่าย่งยิ่งยิ่และเข็มข็งวดขึ้นขึ้เรื่อรื่ย และได้รับรัพยากรณ์ซ้ำ มาตลอด เมื่อมื่ได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยมัพุทธภูมิขมิองท่าน คือพระโพธิสัธิตสัว์ที่ว์ ที่สที่ร้าร้งบารมีโมีดยใช้ศช้รัทรัธาเป็นป็ตัวนำ ระยะเวลาการ สร้าร้งบารมีทั้มีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ใยู่นใจเป็นป็ เวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักพัตร์พร์ระพุทธเจ้า เป็นป็เวลา 18 อสงไขย รวมเป็นป็ 32 อสงไขย และได้รับรัพุทธพยากรณ์ครั้งรั้แรกเป็นป็พระ นิยตโพธิสัธิตสัว์ เมื่อมื่เหลือเวลาอีกอี 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นป็การสร้าร้งบารมี อย่าย่งยิ่งยิ่และเข็มข็งวดขึ้นขึ้เรื่อรื่ย และได้รับรัพยากรณ์ซ้ำ มาตลอดเมื่อมื่ได้พบกับ พระพุทธเจ้า จนถึงสมัยมัพุทธภูมิขมิองท่าน คือพระโพธิสัธิตสัว์ที่ว์ ที่สที่ร้าร้งบารมีโมีดยใช้วิช้ริวิยริะเป็นป็ตัวนำ ระยะเวลาการ สร้าร้งบารมีทั้มีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ใยู่นใจเป็นป็ เวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักพัตร์พร์ระพุทธเจ้า เป็นป็เวลา 36 อสงไขย รวมเป็นป็ 64 อสงไขย และได้รับรัพุทธพยากรณ์ครั้งรั้แรกเป็นป็พระ นิยตโพธิสัธิตสัว์ เมื่อมื่เหลือเวลาอีกอี 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ปัญปัญาธิกธิโพธิสัธิตสัว์ สัทสัธาธิกธิโพธิสัธิตสัว์ วิริวิยริาธิกธิโพธิสัธิตสัว์
พระโพธิสั ธิ ต สั ว์อ ว์ อกเป็น ป็ 2 ประเภท อนิยตโพธิสั ธิ ต สั ว์ นิยตโพธิสั ธิ ต สั ว์ 127
o สังสัวรปธาน เพียพีรระวังวัไม่ใม่ห้บาปเกิดขึ้นขึ้ o ปหานปธาน เพียพีรละบาปที่เที่กิดขึ้นขึ้แล้ว o ภาวนาปธาน เพียพีรทำ บุญให้เกิดขึ้นขึ้ o อนุรักรัขนาปธาน เพียพีรรักรัษาการทำ บุญไว้ต่ ว้ ต่อเนื่อง การบำ เพ็ญ พ็ ของพระโพธิสั ธิ ต สั ว์ 1. ทานบารมี 2. ศีล ศี บารมี 3. เนกขัม ขั มะบารมี 4. ปัญ ปั ญาบารมี 5. วิริ วิ ย ริ ะบารมี 6. ขัน ขั ติบารมี 7. สัจ สั จะบารมี 8. อธิษธิฐานบารมี 9. เมตตาบารมี 10. อุเบกขาบารมี คัมภีร์วิ ร์ สุวิสุ ทธชนวิลวิาสินีสินีกล่าวว่า ว่ พระนิยตโพธิสัธิต สั ว์ (ผู้ไผู้ ด้รับ รั พุทธพยากรณ์แล้ว) จะได้อานิสงค์ 18 อย่า ย่ ง อยู่ต ยู่ ลอดจนได้ตรัส รั รู้เ รู้ ป็น ป็ พระพุทธเจ้า ได้แก่ 1.ไม่ตม่าบอด หูหนวก มาแต่กำ เนิด 2. ไม่เม่ ป็นป็คนบ้า 3. ไม่เม่ ป็นป็คนใบ้ 4. ไม่เม่ ป็นป็คนง่อง่ยเปลี้ยลี้ ไม่เม่กิดในมิลัมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน 5. ไม่เม่กิดในท้องนางทาส (ไม่เม่ ป็นป็ทาสในเรือรืนเบี้ยบี้ ) 6. ไม่เม่ ป็นป็นิยตมิจมิฉาทิฐิ 7. ไม่เม่ ปลี่ยลี่นแปลงเพศ 8. ไม่ทำม่ ทำอนันตริยริกรรม 9. ไม่เม่ ป็นป็ โรคเรื้อรื้น 10. ไม่เม่ ป็นป็เดรัจรัฉานที่มีที่กมีายเล็กล็กว่าว่นกกระจาบ และไม่โม่ตกว่าว่ช้าช้ง 11. ไม่เม่กิดเป็นป็ขุปขุปิปาสิกสิเปรตและนิชฌานตัณหิกเปรต 128
คัมภีร์วิ ร์ สุวิสุ ทธชนวิลวิาสินีสินีกล่าวว่า ว่ พระนิยตโพธิสัธิตสัว์ (ผู้ไผู้ ด้รับรัพุทธพยากรณ์แล้ว) จะได้อานิสงค์ 18 อย่า ย่ ง อยู่ต ยู่ ลอดจนได้ตรัสรัรู้เ รู้ ป็น ป็ พระพุทธเจ้า ได้แก่ 12) ไม่เม่กิดเป็นป็กาลกัญชิกชิาสูร 13) ไม่เม่กิดในอเวจีนรก 14) ไม่เม่กิดในโลกันตริกรินรก 15) ไม่เม่กิดเป็นป็มาร 16) ไม่เม่กิดในอสัญสัญสัตสัตาภูมิ 17) ไม่เม่กิดในสุทธาวาสภูมิ 18) ไม่เม่กิดในอรูปรูภูมิแมิละไม่เม่กิดในจักรวาลอื่นอื่ ธรรมสโมธาน 8 ประการ พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ ที่ เ ที่ ย ง แ ท้ ที่ จ ะ ไ ด้ ต รั ส รู้ เ ป็ น พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า อ ย่ า ง แ น่ น อ น ธ ร ร ม ส โ ม ธ า น 8 ป ร ะ ก า ร ได้เกิดเป็นป็มนุษย์ เป็นป็บุรุษรุเพศ ไม่เม่ ป็นป็กะเทย มีอุมีอุปนิสสัยสัปัจปัจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งรุ่เรือรืงอยู่ใยู่นขันขัธสันสัดาน (ถ้าเกิดเปลี่ยลี่นใจก็จก็ะเป็นป็ พระอรหันต์ทันที) ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพมีระชนม์ชีม์พชีอยู่ และได้สร้าร้งกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักพัตร์ ต้องเป็นป็บรรพชิตชิหรือรืต้องเป็นป็ โยคี ฤๅษี ดาบส หรือรืปริพริาชก ที่มีที่ลัมีลัทธิเธิชื่อชื่ว่าว่บุญมี บาปมี ทำ บุญได้บุญ ทำ บาปได้บาป ต้องไม่เม่ ป็นป็คฤหัสถ์ผู้คผู้รองเรือรืน ต้องมีอมีภิญญาและฌานสมาบัติ อันอัเชี่ยชี่วชาญ เคยให้ชีวิชีตวิของตนเป็นป็ทาน เพื่อพื่สัมสั โพธิญธิาณมาก่อนในอดีดชาติ ต้องมี ฉันทะ คือมีคมีวามรักรัความพอใจในพุทธภูมิเมิป็นป็กำ ลัง
อุสสาโห คือ ประกอบไปด้วยอุตสาหะ มี ความเพียพีรอัน อั สลักติด แน่นในจิตใจอย่า ย่ งมั่น มั่ คง อุมัต มั โต คือ ประกอบด้วยปัญ ปั ญา มี ปัญ ปั ญาเชียชีวชาญเฉียบคม อวัต วั ถานัง คือ มีพมีระทัยอธิษธิฐานอัน อั มั่น มั่ คง มิไมิด้หวั่น วั่ ไหว คลอนแคลน หิตหิจริยริา คือ ประกอบไปด้วยเมตตา เจริญริจิตอยู่ด้ ยู่ ด้ วยพรหม วิหวิารเป็น ป็ ปกติ พุทธภูมิธ มิ รรม 4 ประการ 130
เนกขัม ขั มะ วิเ วิ วกะ อโทสะ อโลภะ อโมหะ นิพพานะ อัธ อั ยาศัย ศั ที่ทำ ที่ ทำ ให้พระโพธิญ ธิ านของนิยต โพธิสั ธิ ต สั ว์แ ว์ ก่กล้ายิ่ง ยิ่ ขึ้น ขึ้ มี 6 ประการ 131
ม ห า วิ ท ย า ลั ย ม ห า ม กุ ฏ ร า ช วิ ท ย า ลั ย วิ ท ย าเข ต ศ รี ล้ า น ช้ า ช้ ง