The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

01หลักสูตรท้องถิ่นสมุนไพรใกล้ตัว 66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรท้องถิ่น สมุนไพร ใกล้ตัว

01หลักสูตรท้องถิ่นสมุนไพรใกล้ตัว 66

47 การวัดผลประเมินผล หลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง สมุนไพร ใกล้ตัว เป็นกระบวนการที่ให้ผู้สอนได้ใช้พัฒนาผู้เรียน เพราะจะได้รับข้อมูลสารสนเทศ แสดงการพัฒนาการ การก้าวหน้าและความสำเร็จ ตามจุดหมายที่วางไว้ ได้กำหนดวิธีการวัดผลประเมินผล ด้วยวิธีการที่หลากหลายให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ของผู้เรียนโดย ประเมินจากพฤติกรรมของผู้เรียน การเรียน การร่วมกิจกรรม ผลงานจากการผลิต การการปลูก การแปรรูป การจำหน่ายและการตลาด โดยใช้ผลการประเมินในระดับชั้นเรียน ที่สำคัญคือ ตัวผู้เรียน เพื่อนักเรียน ครูผู้สอน ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการประเมินผล เพื่อสะท้อนผลสำเร็จหรือภาพที่ประเมินที่เป็นจริงได้ โดยครูผู้สอนจะได้ เข้าใจในระดับ ความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนแต่ละกลุ่มสามารถ เพื่อการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องต่อไป โดย กำหนดเกณฑ์การประเมินไว้ดังนี้ ๑. ผู้เรียนต้องเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้ที่ครูกำหนดให้ในแต่ละระดับชั้น ๒. ผู้เรียนต้องผ่านการคิด การอ่าน การฝึกปฏิบัติ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ๓. ผู้เรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การฝึกปฏิบัติงานอาชีพของแต่ละระดับชั้น การผลิตสินค้า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเป็นการวัดและประเมินผลที่ อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิค การประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจผลงาน การประเมินโครงงาน การประเมิน ชิ้นงาน / ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเอง หรือ เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มี การสอนซ่อม เสริม การวัดและประเมินผล เป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผล มาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและ ส่งเสริมในด้านใด นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งนี้โดยสอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ผู้สอนต้องตระหนักว่าการจัดกิจกรรมเรียนการสอน และการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการเดียวกัน และจะต้องวางแผนไปพร้อม ๆ กัน แนวทางการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ ๑. ต้องวัดและประเมินผลทั้งความรู้และความคิด ความสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งโอกาสในการเรียนรู้ของผู้เรียน ๒. วิธีการวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ ๓. ต้องเก็บข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินผลตามความเป็นจริง และต้องประเมินผล ภายใต้ข้อมูลที่ มีอยู่ ๔. ผลการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องนำไปสู่การแปลผล และข้อสรุปที่สมเหตุสมผล ๕. การวัดและการประเมินผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทั้งในด้านของวิธีการวัด โอกาสของการประเมิน


48 เครื่องมือในการวัดและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี จะต้องเป็นเครื่องมือที่มุ่งวัดคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนด ซึ่งสามารถแบ่ง พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกได้ ๓ ด้าน คือ ด้านความรู้ด้านทักษะ/ กระบวนการ ด้านเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม สำหรับเครื่องมือวัดพฤติกรรมทั้ง ๓ ด้านนั้น มีรายละเอียด ดังนี้ ๑. เครื่องมือ และวิธีการวัดด้านความรู้ (Knowledge) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมของผู้เรียน หลังจากที่ผู้เรียนผ่านการเรียนรู้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางสมองและปัญญาของผู้เรียนเกี่ยวกับการดำรงชีวิตและ ครอบครัว การออกแบบและเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการอาชีพ อาจแบ่ง พฤติกรรมเหล่านี้ออกเป็น ๖ ขั้นด้วยกัน คือความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า โดยมีเครื่องมือในการวัดและประเมินผล ดังนี้ ๑.๑ การซักถาม เป็นการตั้งคำถามของครูเพื่อซักถามผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรือ รายกลุ่ม เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ และความคิดรวบยอดเกี่ยวกับงานที่ทำ โดยลักษณะของการ ซักถามอาจให้ผู้เรียน บอก เล่า สรุปให้เหตุผล วิเคราะห์ หรือเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนควรให้เหมาะสมกับระดับชั้นและ สิ่งที่ต้องการวัด โดยอาจทำการกำหนดกรอบคำถามอย่างกว้าง ๆ ไว้ก่อน ซึ่งการใช้คำถามซักถามสามารถ ดำเนินการได้ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมการเรียน จนกระทั่งสิ้นสุดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือในโอกาสที่เหมาะสม ๑.๒ แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้วัดพฤติกรรมด้านความรู้ ความจำความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน ซึ่งมีทั้งแบบทดสอบอัตนัย คือ ให้ ผู้เรียนคิดหาคำตอบเอง ซึ่งคำตอบที่ถูกอาจมีมากกว่า ๑ คำตอบ หรือเป็น คำถามที่ให้ผู้เรียนแสดง ความคิดเห็น และแบบทดสอบแบบปรนัย ที่มีคำตอบแน่นอน ซึ่งแบบทดสอบปรนัยนั้นมีหลายประเภท เช่น แบบเลือกตอบ แบบจับคู่ แบบถูก – ผิด แบบเติมคำสั้น ๆ แบบเรียงคำตอบ เป็นต้น ซึ่งแบบทดสอบนั้น สามารถวัดและประเมินผลได้ก่อนและหลังกิจกรรมการเรียนรู้ ๑.๓ แบบฝึกหัด เป็นเครื่องมือที่สะดวกและง่ายในการวัดและประเมินผลผู้เรียน โดย ประกอบด้วยข้อคำถามประเด็นการค้นคว้าหรือหัวข้อ ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบหรือแสดงความคิดเห็นในเนื้อหาที่ เรียนเพื่อเป็นการทบทวน ส่งเสริมความสามารถ ตลอดจนค้นหาข้อบกพร่องของผู้เรียนระหว่างจัดกิจกรรม การเรียนรู้ หรือเสร็จสิ้นกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งแบบฝึกหัดจะมีลักษณะเหมือนกับแบบทดสอบ คือ มีทั้งแบบ อัตนัย และแบบปรนัย แต่ต่างกันตรงที่แบบฝึกหัดสามารถ ให้ผู้เรียนไปค้นหาคำตอบจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ ซึ่งการใช้แบบฝึกหัดในการวัดและประเมินผลนั้น ครูผู้สอนอาจให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดในเวลาเรียน นอก เวลาเรียน หรือเป็นการบ้านแล้วแต่ความเหมาะสม ๑.๔ บัตรกำหนดสถานการณ์ เป็นการนำข้อความที่มีสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียง กับภาระงานที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้ความรู้ ความเข้าใจ หรือความคิดรวบยอดที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งครูอาจเตรียมข้อความหรือสถานการณ์ไว้หลาย ๆ สถานการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกศึกษา ค้นคว้า หรืออภิปราย โดยเครื่องมือบัตรกำหนดสถานการณ์นี้ สามารถให้ผู้เรียนปฏิบัติเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้ ๑.๕ แฟ้มสะสมงาน เป็นวิธีการประเมินที่สะท้อนภาพความสามารถที่แท้จริงหรือผลสัมฤทธิ์ เจตคติ ความพยายาม และพัฒนาการของผู้เรียน โดยเป็นการรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ อันได้แก่ ผลงาน หรือหลักฐานของผู้เรียนที่ได้ปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบ ซึ่งมุ่งหวังที่จะนำไปใช้ประกอบการพิจารณาประเมิน ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน รวมทั้งความพยายาม การจัดทำแฟ้ม สะสมงานจะเน้นบทบาทของผู้เรียนในการวางแผนการสร้างผลงาน และการประเมินความก้าวหน้าของตนเอง


49 จากผลงานได้ โดยครูผู้สอนปฏิบัติตามแผน ประเมินผลงาน ปรับปรุงผลงานตนเองเป็นระยะ และการนำเสนอ ผลงานที่สะสมไว้ ในส่วนของการใช้แฟ้มสะสมงานในการประเมินความสามารถในด้านความรู้ ความเข้าใจ และ ความคิดรวบยอดนั้น อาจดำเนินการโดยให้ผู้เรียนทำการสรุปแนวคิดหรือศึกษาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติม หรือ การอภิปรายร่วมกันในห้อง ในแต่ละชิ้นงานของผู้เรียนโดยมีครูผู้สอน เป็นผู้ที่คอยประสานงานและให้ ความช่วยเหลือ แล้วจึงนำหลักฐานที่เก็บสะสมไว้ในแฟ้มสะสมงานของผู้เรียนมาเทียบกับเกณฑ์การประเมินที่ครู และผู้เรียนร่วมกันกำหนดขึ้น ๑.๖ การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมินจากการปฏิบัติงาน หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยงานหรือกิจกรรมที่ปฏิบัตินั้น เป็นสถานการณ์จริงใกล้เคียงกับชีวิตจริง (Real life) ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อน (Complexity) และเป็นองค์รวม (Holistic) โดยเป็นสถานการณ์ที่จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถและขั้นตอนการดำเนินที่หลากหลาย ซึ่งในการวัดและประเมินผลในด้านความรู้โดยใช้ การประเมินในสภาพที่แท้จริงนั้นจะทำการวัดได้จากการตรวจสอบแนวคิด และหลักการที่จะนำมาใช้ใน การปฏิบัติงานในแต่ละสถานการณ์ โดยอาจได้ข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นการสังเกต การซักถาม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงานผู้เรียน ๒. เครื่องมือวัดด้านทักษะและกระบวนการ (Procedure Skills) เป็นเครื่องมือทำการวัดและ ประเมินพฤติกรรมตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่แสดงออกให้เห็นถึงนิสัยในการทำงานหรือกิจกรรมใดๆ อย่าง เป็นขั้นตอน ตั้งแต่การตระหนักในปัญหาและความจำเป็น การคิดวิเคราะห์วิจารณ์อย่างเป็นระบบ การสร้าง ทางเลือกที่หลากหลาย การประเมินและเลือกทางเลือก กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างชื่น ชม การประเมินระหว่างการปฏิบัติการปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ และการประเมินผลรวมเพื่อให้เกิด ความภูมิใจ เป็นต้น โดยเป็นการแสดงออกที่ผสมผสานระหว่างพฤติกรรมด้านความรู้ความคิด ด้านทักษะ การปฏิบัติ เจตคติ และคุณธรรมอย่างเป็นระบบ บ่งบอกให้เห็นนิสัยที่เป็นคนคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น ซึ่งในการวัดและประเมินนั้นสามารถดำเนินการวัดและประเมินในทุกกระบวนการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน นอกจากจะทำการวัดทักษะและกระบวนการทำงานของผู้เรียนแล้ว ยังสามารถทำการวัดคุณลักษณะที่ดี ใน การทำงานของผู้เรียนอีกด้วย เช่น ความสะอาด ความเรียบร้อย ความประหยัด และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็น ต้น โดยมีเครื่องมือในการวัดและการประเมินผล ดังนี้ ๒.๑ การสังเกตพฤติกรรม การสังเกตเป็นการวัดพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงทักษะและ กระบวนการนั้น สามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เริ่มการวางแผนการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนรู้ตามแผน การเรียนรู้ และเสร็จสิ้นการเรียนรู้ โดยสิ่งที่ทำการสังเกตนั้นควรคลอบคลุมพฤติกรรมในด้านทักษะและ กระบวนการในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ซึ่งในการแปลผลการสังเกตอาจใช้วิธีการอิงกลุ่มหรืออิง เกณฑ์ก็ได้ ซึ่งในการใช้เทคนิคการสังเกตนั้นจะต้องใช้เครื่องมือที่สำคัญช่วยในการสังเกตดังต่อไปนี้ ๒.๑.๑) แบบตรวจสอบรายการ การใช้แบบตรวจสอบรายการในการวัดพฤติกรรมด้านทักษะ และกระบวนการนั้นจะประกอบไปด้วยรายการของพฤติกรรมในแต่ละขั้นตอนหรือกระบวนการที่เกิดขึ้น พฤติกรรมแต่ละพฤติกรรมต้องมีความชัดเจน โดยผู้สังเกตสามารถระบุได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องวิจารณญาณในการตัดสินใจมากนัก ผู้ประเมิน ทำหน้าที่สังเกตกระบวนการหรือผลการเรียนของ ผู้เรียนแต่ละคน แล้วบันทึกผลหรือทำเครื่องหมายลงในแต่ละรายการว่า เกิด ไม่เกิด หรือ ทำ ไม่ทำ เป็นต้น ซึ่ง แบบตรวจสอบรายการนี้สามารถจำแนกออกเป็นส่วนประกอบหรือขั้นตอนที่ชัดเจน เช่น การออกแบบ การใช้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์การดำเนินงานตามขั้นตอน เป็นต้น ๒.๑.๒) มาตรประมาณค่า (ครูดำเนินการ) การใช้มาตรประมาณค่าในการวัดด้านนี้ จะต้อง ประกอบด้วยรายพฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นถึงความสามารถและทักษะในการทำงาน นิสัยในการทำงน


50 รวมทั้งคุณลักษณะที่พึงประสงค์ สำหรับครูผู้สอนทำการตัดสินพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นปริมาณตามมาตราที่ กำหนดไว้ ปริมาตรตามมาตราที่ได้เป็นการสะท้อนถึงระดับคุณค่าหรือคุณภาพของสิ่งที่ประเมิน โดย การวิเคราะห์จากมาตรประมาณค่านั้น โดยทั่วไปนิยมรวมคะแนนที่แสดงระดับคุณค่าหรือคุณภาพจากแต่ละ รายการ หรือคุณลักษณะเข้าด้วยกันเป็นคะแนนรวม โดยสามารถแปลผลได้ทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม ๒.๑.๓) การจดบันทึกพฤติกรรม การจดบันทึกพฤติกรรมเกี่ยวกับทักษะและกระบวนการ ปฏิบัติงานของผู้เรียนนั้น เริ่มตั้งแต่การวางแผนการทำงาน การเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ การดำเนินงานตามขั้นตอน ผลการดำเนินการ และการนำเสนอผลงาน โดยครูผู้สอนเป็นผู้ที่มีโอกาสสังเกตกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอนอยู่ตลอดเวลา จากการสังเกตจะช่วยบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคุณภาพ การเรียนรู้ของผู้เรียน ด้านทักษะและกระบวนการ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ในการสังเกตเพื่อนำมาจดบันทึกนั้น ควรจดบันทึกแบบเป็นปรนัย ทันทีหลังการสังเกตและควรทำการสังเกตเพื่อการจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การวิเคราะห์ผลการจด บันทึก ครูผู้สอนควรสร้างตารางวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อค้นหารูปแบบหรือแบบแผนพฤติกรรมด้านทักษะและ กระบวนการของผู้เรียน ๒.๒ แบบประเมินการปฏิบัติงาน (Performance Assessment) แบบประเมินการปฏิบัติงานเป็น เครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินคุณค่าเกี่ยวกับความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงานของผู้เรียน คุณภาพของ ผลงานและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของผู้เรียน อันได้แก่ความสะอาด ความเรียบร้อย ความประหยัด ความมุ่งมั่น และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น โดยกิจกรรม โครงงาน หรือชิ้นงาน (Task) ที่ ผู้เรียนปฏิบัตินั้นเป็นกิจกรรมที่ครูผู้สอนเป็นผู้มอบหมายหรือตกลงร่วมกันกับผู้เรียนโดยอาจเป็นชิ้นงาน รายบุคคลรายกลุ่มหรือผสมระหว่างกลุ่มและบุคคลก็ได้ ซึ่งในแบบประเมินการปฏิบัติงานนั้นจะกำหนด รายละเอียดการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน คุณภาพของผลผลิต ซึ่งในแต่ละผลผลิตจะมีตัวที่บ่งบอกถึงคุณภาพ แตกต่างกันไป และรายการพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยให้ครูผู้สอนทำการประเมิน การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของผู้เรียน ผลงานของผู้เรียนและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน โดยในแต่ ละรายการจะมีเกณฑ์การประเมิน (Rubric) ที่แตกต่างกัน โดยในการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้นอาจจะได้ ข้อมูลมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นการสังเกต การซักถาม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงานผู้เรียน เป็นต้น ๒.๓ การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมินที่เหมาะสมกับการวัด ประเมินพฤติกรรมในด้านทักษะและกระบวนการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะงานหรือกิจกรรมที่ปฏิบัตินั้น เป็น สถานการณ์จริงหรือใกล้เคียงกับชีวิตจริง โดยเป็นสถานการณ์ที่จะต้องใช้ความรู้ความสามารถ และขั้นตอน การดำเนินที่หลากหลาย แต่ในวิธีการประเมินของการประเมินตามสภาพที่แท้จริงนั้นไม่แตกต่างจากการประเมิน การปฏิบัติงาน คือ มีการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน คุณภาพของผลผลิต ซึ่งในแต่ละ ผลผลิตจะมีตัวที่บ่งบอกถึงคุณภาพแตกต่างกันไป และรายการพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยให้ครูผู้สอนทำการประเมินการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของผู้เรียน โดยแต่ละรายการจะมีเกณฑ์ใน การประเมิน (Rubric) ที่แตกต่างกัน แต่การประเมินตามสภาพจริงอาจมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าเนื่องจาก จะต้องทำการวัดและประเมินพฤติกรรมทั้งในด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรม จริยธรรม และ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ในสถานการณ์เดียวกัน ๒.๔ การซักถาม การใช้การซักถามในการวัดพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการนั้น ผู้สอนจะตั้ง คำถามเพื่อถามผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มเกี่ยวกับพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงทักษะและกระบวนการ ในการทำงานของผู้เรียนในด้านการออกแบบหรือวางแผนการใช้ความรู้หรือทักษะในการปฏิบัติงาน การพัฒนา ผลผลิตหรือผลงานการปฏิบัติงาน การนำเสนอผลงานซึ่งการใช้คำถามซักถามสามารถวัดตั้งแต่เริ่มกิจกรรม


51 ระหว่างกิจกรรมการเรียนหรือสิ้นสุดกิจกรรมการเรียนรู้ก็ได้ โดยลักษณะของการซักถามอาจให้ผู้เรียนพูดหน้า ห้องหรือสอบถามผู้เรียนเป็นการส่วนตัว ซึ่งควรให้เหมาะสมกับระดับชั้นและผลการเรียนรู้ที่ต้องการวัด ๒.๕ การสัมภาษณ์ผู้สอนสามารถนำการสัมภาษณ์มาใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับการวัด พฤติกรรมในด้านทักษะและกระบวนการของผลการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสัมภาษณ์สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมหรือเสริมข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จาก แบบสอบและการสังเกตได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้ข้อมูลผลการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันเป็น พื้นฐานสำคัญสำหรับการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสมและยุติธรรม ๒.๖ แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) การใช้แฟ้มสะสมงานในการประเมินทักษะและ กระบวนการในการทำงานนั้น ในแต่ละกิจกรรมหรือชิ้นงานนั้น ควรให้ผู้เรียนได้มีส่วนในการออกแบบเครื่องมือ และกำหนดเกณฑ์ในการประเมินความสามารถในการประเมินคุณภาพผลงาน และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ ตนเอง แล้วจึงทำการประเมินผลตนเองในขณะเดียวกันครูผู้สอนและผู้ปกครองก็ทำการประเมินผลงานของ ผู้เรียน โดยทำการเปรียบกับเกณฑ์การประเมินที่ได้ร่วมกันกำหนดไว้ โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ที่คอยประสานงาน และให้ความช่วยเหลือ แล้วจึงนำหลักฐานหรือผลการประเมินเหล่านี้เก็บสะสมไว้ในแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน ๓. เครื่องมือวัดด้านเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม (Affective) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมตาม ตัวชี้วัดที่แสดงออกเกี่ยวกับอารมณ์ หรือความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นความเชื่อ การกระทำ บุคคล วัตถุสิ่งของหรือสถาบัน โดยพฤติกรรมเหล่านี้ได้แก่ ความสนใจ ความรู้สึก ค่านิยม เจตคติ และคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เช่น ความ รับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ประหยัด อด ออม เอื้อเฟื้อ เสียสละ มีวินัยในการทำงาน การเห็นคุณค่าของงานและอาชีพสุจริต และตระหนักถึง ความสำคัญของสารสนเทศ เป็นต้น ซึ่งในการวัดและประเมินนั้น สามารถวัดและประเมินได้ ตั้งแต่เริ่มต้น กิจกรรมการเรียนรู้จนเสร็จสิ้น กิจกรรมการเรียนโดยมีเครื่องมือในการวัดและประเมินดังนี้ ๓.๑ การซักถาม เป็นการใช้คำถามของครูผู้สอนเกี่ยวกับความสนใจ ความรู้สึก และเจตคติของ นักเรียนที่มีต่อภาระงานงานที่ปฏิบัติการวางแผนปฏิบัติงาน และกระบวนการหรือ ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งผลงานที่ได้ปฏิบัติ โดยครูผู้สอนสามารถซักถามผู้เรียนได้ถูกระยะของการปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นการวาง แผนการทำงาน การทำงานตามขั้นตอน และการนำเสนอผลงานโดยลักษณะของการซักถามอาจให้ผู้เรียนพูด หน้าห้องหรือการทดสอบผู้เรียนเป็นการส่วนตัว ซึ่งควรให้เหมาะสมกับระดับชั้นและผลการเรียนรู้ที่ต้องการวัด โดยอาจทำการกำหนดกรอบคำถามอย่างกว้าง ๆ ไว้ก่อน ๓.๒ การสังเกตพฤติกรรม ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีพฤติกรรมหลายอย่าง ที่ไม่ สามารถวัดได้โดยตรงด้วยแบบทดสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม จึงต้องอาศัย การสังเกตพฤติกรรมเข้าช่วย ซึ่งพฤติกรรมการเรียนรู้เหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องนำมาพิจารณาใน การวัดและประเมินผลผู้เรียน และถ้าผู้ประเมินหรือผู้สอนใช้อารมณ์หรือความรู้สึกมาเป็นเครื่องตัดสินย่อมเสี่ยง ต่อข้อกล่าวหาเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมของการประเมิน ดังนั้นการสังเกตยังเป็น เครื่องมือสามารถวัด พฤติกรรมที่ไม่สามรถวัดได้ด้วยแบบทดสอบและมีความน่าเชื่อถือ โดยสิ่งที่ทำการสังเกตนั้นควรครอบคลุม องค์ประกอบพื้นฐานของผลการเรียนรู้นั้น ไม่ควรเน้นจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป การแปลผลการสังเกตนั้นอาจใช้ วิธีอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ก็ได้ ซึ่งในการใช้เทคนิคการสังเกตนั้นต้องใช้เครื่องมือที่สำคัญช่วยในการสังเกต ดังต่อไปนี้ ๓.๒.๑) แบบตรวจสอบรายการ แบบตรวจสอบรายการเป็นเครื่องมือวัด และประเมินผลที่ ประกอบไปด้วยรายการข้อความของพฤติกรรมที่เป็นตัวแทนของผลการเรียนรู้ที่ต้องการวัด ข้อความแต่ละ ข้อความต้องมีความชัดเจน โดยผู้สังเกตสามารถระบุได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น โดยไม่ต้อง วิจารณญาณในการตัดสินใจมากนัก ผู้ประเมินทำหน้าที่สังเกตกระบวนการหรือผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน


52 แล้วบันทึกผลหรือทำเครื่องหมายลงในแต่ละรายการว่า เกิด ไม่เกิด หรือทำ ไม่ทำ เป็นต้น โดยการวิเคราะห์ ข้อมูลจากแบบตรวจสอบรายการนั้นนิยมระบุถึงรายพฤติกรรมที่เกิดและพฤติกรรมที่ยังไม่เกิดสำหรับการวินิจฉัย ผลการเรียนรู้และปัญหาของกิจกรมการเรียนรู้ นอกจากนี้อาจนำผลจำนวนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของนักเรียนมาจัด อันดับเปรียบเทียบว่าใครเกิดพฤติกรรมที่พึงปรารถนามากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ เป็นต้น ๓.๒.๒) มาตรประมาณค่า (ครูผู้สอนดำเนินการ) มาตรประมาณค่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบ กับการสังเกต นิยมนำไปใช้ในการประเมินกระบวนการและคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ต้องอาศัย วิจารณญาณในการตัดสิน เช่น ผลการเรียนรู้ด้านอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ความสนใจ ความซาบซึ้ง คุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น โดยครูผู้สอนจะเป็นผู้ที่บันทึกการประเมินค่าพฤติกรรมที่เป็นตัวแทนของผลการ เรียนของผู้เรียนที่ต้องการวัดลงในมาตรประมาณค่าซึ่งมาตรประมาณค่าประกอบด้วยรายการคุณลักษณะของผล การเรียนรู้ สำหรับนำมาตัดสินเป็นปริมาณตามมาตราที่กำหนดไว้ เช่น ๑-๒-๓-๔-๕ หรือมากที่สุด – มาก – ปาน กลาง – น้อย - น้อยที่สุด เป็นต้น ปริมาตรตามมาตราที่ได้เป็นการสะท้อนถึงระดับคุณค่าหรือคุณภาพของสิ่งที่ ประเมิน โดยการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้จากมาตราประมาณค่านั้น โดยทั่วไปนิยมรวมคะแนนที่แสดงระดับ คุณค่าหรือคุณภาพจากแต่ละรายการหรือคุณลักษณะเข้าด้วยกันเป็นคะแนนรวม ซึ่งสามารถแปลผลได้ทั้งแบบ อิงเกณฑ์หรืออิงกลุ่ม ๓.๒.๓) การจดบันทึกพฤติกรรม การจดบันทึกเป็นการเขียนที่สั้นกะทัดรัด และเป็นปรนัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงให้เห็นถึงคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมของผู้เรียนระหว่างที่เข้าร่วมกิจกรรม การเรียนรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะผู้เรียนกำลังเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งจะเห็นพฤติกรรมเกี่ยวกับ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม ครูผู้สอน เป็นผู้ที่มีโอกาสสังเกตกิจกรรม การเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอนตลอดเวลา จากการสังเกตจะช่วยบอกอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น เช่น ผู้สอนอาจสังเกตเห็นพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมของ ผู้เรียนที่อาจเป็นปัญหาซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียนหรือกิจกรรมการเรียน การสอน ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ในการสังเกตเพื่อนำมาจดบันทึกนั้น ครูผู้สอนจะต้องวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับ พฤติกรรมที่เป็นทางบวกและทางลบควรจดบันทึกอย่างเป็นปรนัยทันทีหลังการสังเกต และควรทำการสังเกตควร ทำการสังเกตเพื่อทำการจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การวิเคราะห์ผลการจดบันทึก ครูผู้สอนควรสร้าง ตารางวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อค้นหารูปแบบหรือแบบแผนพฤติกรรมผู้เรียนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรม หรือ ผลการเรียนรู้ที่เฝ้าสังเกต และทำการสังเกตเพื่อตรวจสอบมาตรฐาน ๒.๓ มาตรประมาณค่า (ผู้เรียนดำเนินการ) มาตรประมาณค่าเป็นเครื่องมือที่ผู้เรียนทำการประมาณ ค่าพฤติกรรมในด้านเจตคติ คุณธรรม จริยธรรมของตนเอง โดยการทำบันทึกผล การประมาณค่าในการปฏิบัติ ตนของผู้เรียนในแต่ละพฤติกรรมย่อย ๆ ของมาตรประมาณค่าในการปฏิบัติตนของผู้เรียนในแต่ละพฤติกรรม ย่อย ๆ ของมาตรประมาณค่าที่สะท้อนให้เห็นพฤติ-กรรมด้านเจตคติ คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนเอง ซึ่ง มาตรประมาณค่าที่ผู้เรียนดำเนินการกับที่ครูดำเนินการนั้นมีรูปแบบไม่แตกต่างกัน คือ ประกอบด้วยรายการ คุณลักษณะของผลการเรียนสำหรับนำมาตัดสินเป็นปริมาณตามมาตราที่กำหนดไว้ เช่น ๑-๒-๓-๔-๕ หรือมาก ที่สุด - มาก - ปานกลาง-น้อย-น้อยที่สุด เป็นต้น ปริมาตรตามมาตราที่ได้เป็นการสะท้อนถึงระดับคุณค่าหรือ คุณภาพของพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมของผู้เรียน โดยการวิเคราะห์ผลการ เรียนรู้จากมาตร ประมาณค่านั้น โดยทั่วไปนิยมรวมคะแนนที่แสดงระดับคุณค่าหรือคุณภาพจากแต่ละรายการหรือคุณลักษณะ เข้าด้วยกันเป็นคะแนนรวม โดยสามารแปลผลได้ทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม ๒.๔) การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมินจากการปฏิบัติงาน หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยงานหรือกิจกรรมที่ปฏิบัตินั้นเป็นสถานการณ์จริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริง (Real life) ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อน (Complexity)และเป็นองค์รวม (Holistic) โดยเป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้ความรู้


53 ความสามารถ และขั้นตอนการดำเนินที่หลากหลาย ซึ่งในการวัดและประเมินผลตามสภาพที่แท้จริงเกี่ยวกับ ความสนใจ ความรู้สึก ค่านิยม เจตคติและคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เช่น ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ประหยัด อดออม เอื้อเฟื้อ เสียสละ มีวินัยในการทำงาน การเห็น คุณค่าของงานและอาชีพสุจริต และตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศนั้น อาจใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งไม่ ว่าจะเป็นการสังเกต การซักถาม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงานของผู้เรียน การกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผล หลังจากที่ผู้สอนทำการเลือกเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ทักษะและกระบวนการ และเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ของผู้เรียนแล้ว ครูผู้สอนจะต้องทำการกำหนด เกณฑ์ในการประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการประเมิน คือ ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน และประเมิน เพื่อสรุปหรือตัดสินผลการเรียน และที่สำคัญต้อง สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวัดและ ประเมินผลด้วย ในที่นี้ขอนำเสนอ แนวทางการกำหนดเกณฑ์การประเมินใน ๒ ลักษณะดังนี้ ๑) เกณฑ์การประเมินเพื่อการพัฒนาผู้เรียน เกณฑ์การประเมินเพื่อการพัฒนาผู้เรียน เป็นเกณฑ์ การประเมินที่สามารถชี้ให้เห็นคุณลักษณะ คุณภาพหรือสภาพความสำเร็จในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่าง ละเอียดและชัดเจน รวมทั้งชี้ให้เห็นจุดเด่นและจุดด้อยของผู้เรียนและสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานใน การพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ด้วย ซึ่งเกณฑ์การประเมินในลักษณะนี้เหมาะกับ การประเมินการปฏิบัติงานการประเมินสภาพที่แท้จริง การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน และมาตรประมาณค่า เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วเกณฑ์การประเมินที่นิยม คือ Rubric Assessment โดยมีรายละเอียด ดังนี้ Rubric Assessment หมายถึง แนวทางการให้คะแนน ซึ่งสามารถจะแยกแยะระดับความสำเร็จต่าง ๆ ของความสำเร็จในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน จากดีมากไปจนถึงต้องปรับปรุง แก้ไข ซึ่งโดยทั่วไปมีเกณฑ์การประเมิน ๒ ลักษณะดังนี้ ๑. เกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน (Analytic Rubric) เป็นเกณฑ์การให้คะแนนโดยพิจารณาใน แต่ละส่วนของงาน โดยมีคำนิยามหรือคำอธิบายลักษณะของงานในส่วนนั้น ๆ ในแต่ละระดับไว้อย่างชัดเจน ซึ่ง คะแนนที่ให้อาจนำมารวมกันหรือไม่ก็ได้ ๒. เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) เป็นเกณฑ์การให้คะแนนโดยพิจารณาใน ภาพรวมของงาน โดยมีคำนิยามหรือคำอธิบายลักษณะของงานในแต่ละระดับไว้อย่างชัดเจน แต่เกณฑ์ การประเมินแบบนี้จะให้สารสนเทศแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคลน้อยมาก ซึ่งในแต่ละเกณฑ์การประเมิน ที่ครูและ นักเรียนร่วมกันกำหนดนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ ๑) เกณฑ์ (Criteria) เป็นระดับคะแนนในองค์ประกอบของงานที่ประเมิน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็น ผลผลิตที่เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งควรมีอย่างน้อย ๑ ระดับคะแนนที่ชี้ถึงมาตรฐานที่คาดหวัง โดยระดับของเกณฑ์ การประเมินนั้น อาจกำหนดเป็น ๔ ระดับ หรืออาจกำหนดคะแนนเป็น ๕ ระดับ หรือ ๓ ระดับ ก็ได้ตาม ความเห็นชอบของคณะกรรมการการประเมินผลของสถานศึกษา ๒) ระดับการปฏิบัติ (Performance Level) เป็นคำที่อธิบายระดับคะแนนในลักษณะของ ข้อความ เช่น “ดีเลิศ” “ดี” “พอใช้” “ปานกลาง” “ปรับปรุง” เป็นต้น โดยในแต่ละระดับคะแนนจะต้อง สัมพันธ์กัน ๓) คำอธิบายคุณภาพ (Quality Descriptor) เป็นข้อความที่ระบุถึงความสำเร็จที่คาดหวังใน แต่ละระดับคะแนนหรือระดับการปฏิบัติ ซึ่งจะต้องมีความชัดเจน เที่ยงตรงและใช้ภาษาที่เข้าใจได้ทั้งผู้เรียนและ ผู้ให้คะแนนได้เข้าใจตรงกัน โดยต้องสามารถอธิบายถึงความแตกต่าง ของแต่ละระดับได้ด้วย


54 โดยการกำหนดเกณฑ์ในการประเมินนั้น ครูผู้สอนและผู้เรียนจะต้องร่วมดำเนินการตาม ขั้นตอนในการกำหนด ดังนี้ ๑) พิจารณามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนด ๒) พิจารณาเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ตัดสินผลผลิตและผลการปฏิบัติของผู้เรียนซึ่งจะต้องสอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดรายปี/รายภาค ๓) สร้างกรอบระดับความสามารถ กำหนดระดับชั้นที่มีความสำคัญและระดับรองลงมาของ เกณฑ์การประเมิน ๔) อธิบายระดับของความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละระดับ ที่เหมาะสมกับแต่ละเกณฑ์ เลือกคำหรือวลีที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างระดับความสามารถ ๕) ทดสอบเกณฑ์การประเมินกับผู้เรียน ว่าผู้เรียนสามารถเข้าใจได้หรือไม่ ๖) บันทึกจุดแข็งและจุดอ่อนของเกณฑ์การประเมินจากการนำไปใช้ประเมินงานของผู้เรียน ปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน เกณฑ์การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนเป็นเกณฑ์การประเมินที่ชี้บอกว่าผู้เรียนมีคุณลักษณะ คุณภาพ หรือสภาพความสำเร็จในการเรียนรู้ ขั้นต่ำสุดที่ยอมรับได้หรือไม่ และขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และสถานศึกษาเป็นผู้กำหนด ในการตัดสินผลการเรียน ของกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีนั้น ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริม ผู้เรียนให้ พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ การพัฒนาสื่อและแหล่งการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้มี หลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น การเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียน การจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมี คุณภาพจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการดังนี้ ๑. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้า และการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศึกษา ท้องถิ่น ชุมชน สังคมโลก ๒. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทั้ง จัดหาสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ ๓. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้อง กับวิธี การเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ๔. ประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่เลือกใช้อย่างเป็นระบบ ๕. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ของผู้เรียน


55 ๖. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช้สื่อการเรียนรู้เป็น ระยะๆ และสม่ำเสมอในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบ ความมั่นคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มีการใช้ภาษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนำเสนอที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ


56 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ (2552) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กรมวิชาการ (2551) การจัดการเรียนรู้สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยีตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา แนวทางการจัดการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรุงเทพฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2 โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด 2553. ทิศนา พรกุล, (2554) รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯ : บริษัทแอคทีฟ พริ๊นท์ จำกัด. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2539. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2538. สมุนไพรต้านโควิด.(2564).(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก : https://www.dmh.go.th/news/view.asp?id =2348 . (วันที่ค้นข้อมูล 1 สิงหาคม 2564). เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากสมุนไพรใกล้ตัว. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://www.coffeefavour.com/ lemongrass-juice/


57 ภาคผนวก


58 คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา 1.นางสาวพูนศรี อาภรณ์รัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียน 2.นางวิภาวี ว่องวารี หัวหน้างานบริหารทั่วไป 3.นางนฤมล โหล่ตระกูล หัวหน้างานวิชาการ 4.นางวัชรี ศิวิลัย หัวหน้างานบุคคล 5.นางสาวทิพย์วิมล พัวเจริญสิน หัวหน้างานงบประมาณ คณะทำงาน 1.นางวัชรี ศิวิลัย ครู คศ.3 ประธานกรรมการ 1.นางยุพิน ภารนันท์ ครู คศ.3 กรรมการ 2.นางวิภาวี ว่องวารี ครู คศ.2 กรรมการ 3.นางสิริทัศน์ ชำนาญกิจ ครู คศ.2 กรรมการ 4.นางสาวเลิศศิริ เต็มเปี่ยม ครู คศ.2 กรรมการ 5.นายสรายุทธ์ ทินกร ครู คศ.1 กรรมการ 6.นางนฤมล โหล่ตระกูล ครู คศ.1 กรรมการ 7.นางสาวสุรัญญา จ่าเมือง ครู คศ.1 กรรมการ 8.นางสาวพนิตา เกื้อลาย ครู คศ.1 กรรมการ 9.นางสาววชิราภรณ์ แย้มจับ ครู คศ.1 กรรมการ 10.นางสาวปภาณิน อดิศรวรวุฒิ ครูคศ.1 กรรมการ 11.นางสาวสุภวัทน์ ตาลเจริญ ครูผู้ช่วย กรรมการ 15.นายพรเทพ พิมพ์ศรี ครูพี่เลี้ยง กรรมการ 16.นางสาวทิพย์วิมล พัวเจริญสิน ครู คศ.3 กรรมการและเลขานุการ 17.นางสาววณิชยา หงสกุล เจ้าหน้าที่ธุรการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ


59 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม น้ำใบเตย น้ำใบเตย คือเครื่องดื่มที่ทำจากใบของไม้พุ่มขนาดเล็กที่เรียกว่า เตย หรือเตยหอม หรือที่มักเรียกว่า ใบเตย ลักษณะเป็นใบเดี่ยวสีเขียว ยาว ปลายเรียว มีกลิ่นหอม น้ำใบเตยนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบที่ช่วย เพิ่มกลิ่นและรสชาติในเมนูอาหารและขนมไทยหลายชนิด นอกจากนี้ ในใบเตยและน้ำใบเตยยังใบเตยมี สารอาหารหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) เบต้าแคโรทีน ที่อาจช่วยบำรุงสุขภาพ เช่น ช่วย ป้องกันโรคข้ออักเสบ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ที่มา โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 1. วิธีการทำน้ำใบเตย 1.1 ส่วนผสม - ใบเตย 2-3 ใบ - น้ำสะอาด - เกลือและน้ำตาลเล็กน้อย 1.2 วิธีทำ 1. ล้างใบเตยให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 2. ต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบเตยลงไป ต้มประมาณ 5 นาที 3. เติมเกลือหรือน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือหากอยากให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้นสามารถ ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรืองดปรุงรสน้ำใบเตย 4. คนให้เข้ากัน ปิดเตา รอให้น้ำใบเตยเย็น แล้วเทใส่ภาชนะแช่เย็น หรือเทใส่แก้วดื่มได้ทันที สรรพคุณของน้ำใบเตย ในใบเตยซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำใบเตยมีสารอาหารและสารพฤกษาเคมีหลายชนิดที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพ โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพ ของใบเตยหรือน้ำใบเตย ดังนี้


60 1. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ใบเตยมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นสารสร้างเม็ดสีที่พบได้ในพืช มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายจากอนุมูลอิสระ การติดเชื้อ สารเคมี และควันบุหรี่ที่อาจส่งผลต่อหลอดเลือด หัวใจ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ทำการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระดับแคโรทีนในเลือดและความแปรผันของอัตราการเต้นของหัวใจ โดยการศึกษาข้อมูลมที่ได้จากงานวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับสุขภาพและการมีสุขภาวะที่ดีของประชากรในประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า The Midlife in the United States (MIDUS) Series โดยมีกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่ อายุ 34-84 ปี จำนวน 1,074 คน ผลงานวิจัยพบว่า การรับประทานผักผลไม้ทุกวันอาจช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูล อิสระในเลือด ซึ่งมีส่วนช่วยปรับปรุงความแปรผันของอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอด เลือดหัวใจได้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดขึ้น 2. ช่วยลดระดับไขมันในเลือด วิตามินบี 3 หรือไนอะซินในใบเตย มีส่วนช่วยเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงาน และอาจช่วยซ่อมแซม ความเสียหายของ DNA จากการถูกอนุมูลอิสระทำลายได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย หนานจิง ประเทศจีน ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Medicine® เมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2564 ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพของอาหารเสริมไนอะซินในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการรวบรวมและทบทวนข้อมูล งานวิจัย 8 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของอาหารเสริมไนอะซินต่อการควบคุมระดับไขมันและน้ำตาลใน เลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 2,110 คน พบว่า ไนอะซินอาจช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ แต่อาจไม่ได้ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจต้องมีการศึกษาวิจัยในประเด็นนี้ต่อไป 3. ช่วยบรรเทาอาการโรคข้ออักเสบและข้ออักเสบรูมาตอยด์ ใบเตยมีสารไฟโตเคมิคอล หรือไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติในพืช เช่น แคโรที นอยด์ ซึ่งร่างกายมนุษย์สร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการบริโภคพืชเท่านั้น สารเหล่านี้มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูล อิสระ ทั้งยังอาจช่วยป้องกันภาวะข้ออักเสบ จากโรคข้ออักเสบ และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร 3 Biotech เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 ทำการวิจัยเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพในการใช้สารไฟโตเคมิคอลเป็นยาต้านพิษนิวเคลียร์แฟคเตอร์แคปป้าบี (Nuclear Factor Kappa B หรือ NF-κB) ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยนิวเคลียร์แฟคเตอร์แคปป้าบีเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท รวมถึงการอักเสบในร่างกาย ผลการศึกษาพบว่าโรคข้ออักเสบรู มาตอยด์เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง ส่งผลให้NF-κB ทำงานผิดปกติ จนเกิดการอักเสบบริเวณ กระดูก และอาจมีอาการปวดข้อต่ออย่างรุนแรง โรคนี้พบมากในคนวัย 40-70 ปี และการรักษาด้วยยาที่นิยมใช้ กันอาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หรือทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ แต่การใช้สารไฟโตเคมีคัลใน การรักษา อาจช่วยยับยั้งการทำงานของ NF-κB และช่วยต้านการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังอาจช่วย ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา จึงอาจช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้สะดวกและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้ 4. รักษาบาดแผลบนผิวหนัง ใบเตยมีกรดแทนนิก (Tannic acid) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโพลีฟีนอลที่มีส่วนช่วยรักษาอาการผิดปกติทาง ผิวหนัง เช่น ผิวหนังไหม้ บาดแผลที่ผิวหนัง งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร ACS Applied Materials & Interfaces เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ทำการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษาแผลของไฮโดรเจลที่มี


61 กรดแทนนิกเป็นส่วนประกอบ พบว่า กรดไฮโดรเจลที่มีสารสกัดจากกรดแทนนิกเป็นส่วนประกอบ อาจช่วยต้าน การอักเสบ ต้านแบคทีเรีย และช่วยให้บาดแผลสมานได้ไวขึ้น ที่มา สาระความรู้ทั่วไป. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://hellokhunmor.com ข้อควรระวัง : น้ำใบเตย อาจมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ และส่งผลให้เกิดอาการท้องร่วงได้หากรับประทานในปริมาณ มาก และถึงแม้ใบเตยจะมีสารประกอบมากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่หากนำมาประกอบอาหาร ขนมหวาน หรือเครื่องดื่ม แล้วเติมเครื่องปรุงรส เช่น น้ำตาล น้ำปลา ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หากรับประทานมาก เกินไป เช่น อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนนำไปสู่โรคเบาหวาน หรือโซเดียมอาจทำให้ ไตทำงานหนักจนไตเสื่อม มีอาการบวมน้ำ ความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นต้น วารสารหมอชาวบ้านฉบับที่ 506 ปีที่ 43 มิถุนายน 2564 น้ำอัญชัน อัญชัน ชื่อทางวิทยาศาสตร์Clitoria ternatea L. เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อน อายุสั้น ใช้ยอดเลื้อยพัน ลำต้น มีขนปกคลุม ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้ามยาว 6-12 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7 ใบ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุม ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ดอกสีขาว ฟ้า และม่วง ดอกออกเดี่ยว ๆ รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็น คู่ตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่ยาว 2.5-3.5 เซนติเมตรกลีบคลุมรูปกลม ปลายเว้าเป็นแอ่ง ตรง กลางมีสีเหลือง มีทั้งดอกซ้อนและดอกลา ดอกชั้นเดียวกลีบขั้นนอกมีขนาดใหญ่กลางกลีบสีเหลือง ส่วนกลีบ ชั้นในขนาดเล็กแต่ดอกซ้อนกลีบดอกมีขนาดเท่ากัน ซ้อนเวียนเป็นเกลียว ออกดอกเกือบตลอดปี ผลแห้งแตก เป็นฝักแบน กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร เมล็ดรูปไต สีดำ มี 5-10 เมล็ด ดอก ใช้ปลูกผมทำให้ผมดกดำ เงางามมากขึ้น เพราะดอกอัญชันมีสารที “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ซึ่ง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น ดอก นำมาคั้นนำใช้หุงข้าวได้ด้วย ช่วยให้ข้าวที่หุงมีสีสันที่สวยงาม เมล็ด เป็นยาระบาย ราก บำรุงตาแก้ตาฟาง ถูฟันแก้ปวดฟัน ตาแฉะ และปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ นำรากมาถูกับน้ำฝนใช้หยอดหู และ หยอดตา วิธีทำน้ำดอกอัญชัน 1. วัตถุดิบ 2. น้ำดอกอัญชัน 1 ถ้วย 3. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ 4. น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ


62 ขั้นตอนการทำน้ำดอกอัญชัน 1. เริ่มทำน้ำดอกอัญชันก่อน ด้วยการนำดอกอัญชันสดประมาณ 100 กรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้ว ใส่หม้อ 2. เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย นำไปต้มจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจาก หม้อ 3. ต่อมาทำน้ำเชื่อม โดยใช้สัดส่วน น้ำเปล่า 500 กรัม/ น้ำตาลทราย 500 กรัม 4. เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้วให้นำน้ำดอกอัญชัน, น้ำเชื่อม, น้ำผึ้ง ผสมรวมกันชิมรสชาติตามชอบใจ พร้อมเสิร์ฟ สรรพคุณของน้ำอัญชัน 1. บำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ตาแฉะ และป้องกันโรคต้อกระจก 2. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3. เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย 4. ขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ 5. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้ 6. ชะลอริ้วรอย และดูแลผิวพรรณให้เต่งตึง กระชับ 7. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด 8. บำรุงผมให้เงางาม ดกดำ มักเป็นส่วนประกอบของยาสระผม หรือครีมบำรุงผม 9. ช่วยสลายลิ่มเลือด 10. ช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ข้อควรระวัง 1. ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการสลายลิ่มเลือด จึงไม่เหมาะกับคนที่อยู่ในภาวะโลหิตจาง 2. ไม่ควรดื่มน้ำอัญชันที่มีความเข้มข้นมากเกินไป และไม่ดื่มแทนน้ำเปล่า 3. ควรใช้ดอกอัญชันชงเป็นเครื่องดื่มในปริมาณแต่พอน้อย 4. ผู้ที่มีอาการแพ้ละออง หรือเกสรดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ควรระมัดระวังในการใช้ดอกอัญชัน หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอัญชัน เนื่องจากเสี่ยงก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นเดียวกัน 5. หากกำลังตั้งครรภ์ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนรับประทาน 6. หลีกเลี่ยงการรับประทานเมล็ดอัญชัน เพราะเมล็ดจะส่งผลระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ทำให้ คลื่นไส้และอาเจียนได้


63 7. ดอกอัญชันควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแบบไม่ผ่านการปรุงสุก และก่อนนำมารับประทาน ควรดึง บริเวณ8ขั้วดอกออก เพราะบริเวณขั้วดอกมียางซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ส่งผลต่อการระคายเคืองในลำคอ อาจจะเกิด การกัดหลอดอาหารในลำคอได้ 8.หลีกเลี่ยงการทานดอกอัญชันคู่กับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการ ทำงานของยาลดลง ที่มา เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากสมุนไพรใกล้ตัว. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://www.sgethai.com


64 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม น้ำกระชาย กระชายเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการใช้เป็นอาหารและยามานานภูมิปัญญาพื้นบ้านใช้แก้โรคที่เกิด ในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล รักษาอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ไซนัสอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มสมรรถภาพ ทางเพศชองเพศชาย เป็นยาอายุวัฒนะบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย แก้ลมวิงเวียน มีการศึกษาพบว่า สารสกัดของกระชายสามารถแสดงฤทธิ์ในการต้านไวรัสซาร์ส ในระยะหลังการติดเชื้อ และยังพบว่าสารแพนดูราทิน (pan-duratin) ของกระชายขาวมีฤทธิ์ในการต้านไวรัสทั้งในระยะก่อนและหลัง การติดเชื้อ และยังมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์ ต้านไวรัสไข้เลือดออกในกลุ่ม Flaviviridae family และ ยับยั้งเชื้อพิโคร์นาไวรัส (picornaviruses) ซึ่งก่อโรคมือเท้าปาก นอกจากนี้ยังพบว่าช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมใน สัตว์ทดลองและในคน หากประชาชนต้องการใช้กระชาย สามารถใช้ในรูปแบบของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อ เสริมภูมิคุ้มกันได้ ที่มา โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมา แล้วไปเสริมสร้าง กระดูกที่เสื่อมอยู่ ให้แน่นเหมือนเดิม ส่วนผสม -กระชาย 1 ขีด -น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ -มะนาว 2 ลูก วิธีทำ “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม 1. นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา (หรือ ปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า) ให้ ละเอียดเติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว 2. นำกระชายที่ตำหรือปั่น มากรองผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่น้ำหัวเชื้อ 3. ใส่น้ำผึ้ง และ มะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหิน (อ่างศิลา) จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติเก็บในตู้เย็นทาน ไปจนกว่าจะหมด ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า – เย็น สรรพคุณ


65 บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง) บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น ปรับสมดุลของ ฮอร์โมนปรับสมดุลของ ความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงจะลดลงความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น) แก้ โรคไต ทำให้ไต ทำงานดีขึ้น ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษบำรุง มดลูก แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วงอาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โตแก้ปัญหา ไส้เลื่อน ที่มา สาระความรู้ทั่วไป. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://synergyjapan.com ข้อควรระวัง: ไม่ควรบริโภคกระชายต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากกระชายมีฤทธิ์ร้อน อาจส่งผลให้เกิดอาการร้อนใน หรือเป็นแผลในปากตามมา จากการศึกษาพบว่า การบริโภคกระชายมากๆ มีผลทำให้เกิดปัญหาเหงือกร่นและ เกิดภาวะใจสั่นได้ และไม่ควรใช้ในผู้ที่มีความผิดปกติของตับและไต หญิงตั้งครรภ์ วารสารหมอชาวบ้านฉบับที่ 506 ปีที่ 43 มิถุนายน 2564


66 น้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ สมุนไพรที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ และให้ความรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ดื่ม ซึ่งการทำน้ำตะไคร้ นั้น ก็ไม่ยากเลย แถมสามารถทำขายได้อย่างสบายๆ อีกด้วย วันนี้เราก็ได้นำสูตรเด็ด เพื่อการทำน้ำตะไคร้ให้ อร่อย ชื่นใจมาฝากกัน เริ่มรู้สึกอยากจะทำน้ำตะไคร้ดื่มเองกันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า วิธีทำน้ำตะไคร้ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการทำน้ำตะไคร้ อันดับแรกมาเริ่มจากการเตรียมส่วนผสมกันก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ สามารถทำน้ำตะไคร้ได้อย่างสะดวก ไม่ติดขัดนั่นเอง โดยมีส่วนผสมที่ต้องเตรียม ดังนี้ 1.ใบตะไคร้หั่นฝอย 1 ถ้วย 2. โคนตะไคร้ซอย 2 ถ้วย 3. น้ำ 5 ถ้วย 4. น้ำเชื่อม 5. ต้นตะไคร้สำหรับตกแต่ง 6. น้ำแข็งก้อน ขั้นตอนการทำ เมื่อเตรียมส่วนผสมครบเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็มาเข้าสู่ขั้นตอนการทำกันเลยดีกว่า ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าไม่ ยากเลย แถมใช้เวลาในการทำเพียงแปปเดียวอีกด้วย โดยมีขั้นตอนการทำ ดังนี้ 1. นำน้ำที่เตรียมไว้ 5 ถ้วย มาตั้งไฟจนเดือด โดยใช้ไฟระดับปานกลาง 2. ใส่โคนตะไคร้ที่เตรียมไว้ 2 ถ้วยลงไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 7 นาที และตามด้วยใบตะไคร้หั่นฝอย 1 ถ้วย ประมาณ 3 นาที 3. ตั้งไฟจนน้ำเป็นสีเขียวอ่อนๆ หรือมีกลิ่นหอมของตะไคร้ แล้วจึงปิดไฟ ยกขึ้นจากเตา 4. นำน้ำตะไคร้ที่ได้มากรองด้วยกระชอนอีกที เพื่อเอาแต่น้ำใส่เหยือกเก็บไว้ 5. เสิร์ฟด้วยการนำน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำตะไคร้ลงไป แล้วแต่งหน้าด้วยตะไคร้เล็กน้อย เพื่อให้ดูน่าดื่ม ยิ่งขึ้น 6. เติมน้ำเชื่อมเล็กน้อย ตามชอบ พร้อมดื่มได้เลย น้ำตะไคร้ เครื่องดื่มสมุนไพรพร้อมเสิร์ฟแล้วล่ะ ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์อย่างมากมายแล้ว น้ำตะไคร้ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น ชุ่มคอทุกครั้งที่ดื่มอีกด้วย


67 ประโยชน์น่ารู้ของน้ำตะไคร้ เมื่อได้สูตรเด็ดในการทำน้ำตะไคร้ ให้มีรสชาติอร่อย สดชื่นแล้ว ก็มาดูกันหน่อยดีกว่า ว่าน้ำตะไคร้มี ประโยชน์อย่างไรบ้าง ช่วยย่อยอาหาร เคยมีปัญหาอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จากอาหารไม่ย่อยหรือไม่ เมื่อคุณดื่มน้ำตะไคร้เป็นประจำ จะช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องและแก้อาการท้องเสียได้อีกด้วย สำหรับใครที่มักจะอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ ดื่มน้ำตะไคร้ช่วยได้แน่นอน เสริมสร้างระบบประสาท น้ำตะไคร้ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบประสาทให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และช่วยซ่อมแซมในส่วน ที่สึกหรอได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งด้วยกลิ่นหอมของตะไคร้ ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย บรรเทาอาการ ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียน และทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น ลดอาการอักเสบ เมื่อเกิดอาการอักเสบ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและร่างกาย รวมถึงมีอาการเจ็บเหงือก ปวดฟัน หรือ ปวดตามข้อ การดื่มน้ำตะไคร้ จะช่วยผ่อนคลายและบรรเทาอาการอักเสบได้ ทั้งยังช่วยลดอาการปวดท้อง ประจำเดือนได้อีกด้วย บรรเทาอาการไข้หวัด เป็นหวัด ไอ มีอาการเจ็บคอ บางครั้งก็ไม่ต้องเพิ่งยาเสมอไป เพราะน้ำตะไคร้ก็สามารถบรรเทาอาการ ไข้หวัด แก้อาการไอและลดอาการเจ็บคอได้เช่นกัน เพียงดื่มบ่อยๆ รับรองหายขาดจากไข้หวัดแน่นอน ช่วยขับปัสสาวะ สำหรับคนที่มีอาการปัสสาวะไม่ออก เป็นนิ่ว หรือแสบขัดในขณะปัสสาวะ สามารถบรรเทาและรักษา อาการได้ด้วยการดื่มน้ำตะไคร้บ่อยๆ เพราะน้ำตะไคร้มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะได้อย่างดีเยี่ยม และช่วยรักษา โรคนิ่วได้อีกด้วย น้ำตะไคร้นอกจากจะมีรสชาติอร่อย ให้ความรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ดื่มแล้ว ก็ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เลยทีเดียว รู้แบบแล้วก็อย่าพลาดที่จะดื่มน้ำตะไคร้เป็นอันขาดเชียวนะ แถมทำเองได้โดยไม่ต้องหาซื้ออีกด้วย ที่มา เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากสมุนไพรใกล้ตัว. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://www.coffeefavour.com/lemongrass-juice/


68 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม น้ำกระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว[1] หรือ กระเจี๊ยบแดง[1] (ภาคเหนือเรียก เกงเขง หรือ เกงเคง, ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน เรียก ส้มปู, จังหวัดตากเรียก ส้มตะแลงเครง) เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำ ต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสี ชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะ เจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้น ที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด ที่มา ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ สูตรน้ำ “น้ำกระเจี๊ยบ” 1.กระเจี๊ยบแห้ง 50 กรัม 2.น้ำสะอาด 5 ลิตร 3.น้ำตาลทราย 500 กรัม 4.เกลือ 1 ช้อนชา 5.ขวดพลาสติก สำหรับใส่น้ำกระเจี๊ยบ วิธีทำ 1.นำดอกกระเจี๊ยบแห้งมาล้างน้ำให้สะอาด ล้างฝุ่นออก สะเด็ดน้ำให้แห้ง 2.จากนั้นก็ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ และดอกกระเจี๊ยบแห้งที่เตรียมไว้ 3.ต้มประมาณ 20 นาที ดูให้น้ำออกเป็นสีแดงสดดี หรือดูสีดอกกระเจี๊ยบที่ต้ม ถ้าสีซีดลง ตักดอกกระเจี๊ยบออก 4.ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้ละลาย ลองชิมรสเติมหวานเค็มได้ตามชอบ 5.นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง น็อกด้วยน้ำเย็น น้ำแข็ง เพื่อเป็นการพลาสเจอร์ไรซ์ และจะทำให้น้ำหวานเก็บได้ นานขึ้น กรอกใส่ขวดที่เตรียมไว้ น็อกน้ำเย็นอีกรอบ กินเย็นๆ รับรองสดชื่น


69 สรรพคุณ 1. แก้กระหาย การดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเย็น ๆ จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น ป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำในร่างกาย วิธีการทำ เพียงใช้ดอกกระเจี๊ยบแห้ง มาต้มในน้ำร้อน เพียงแค่นี้ก็จะได้น้ำกระเจี๊ยบสุดแสนอร่อยแล้ว 2. บรรเทาอาการไข้ การรับประทานใบกระเจี๊ยบตอนที่เราเป็นไข้ จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ต้องพึ่งยาเลย นอกจากนี้ ยังช่วยละลายเสมหะในลำคอได้อีกด้วย 3. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ กระเจี๊ยบแดงถือเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบแดง เป็นสารที่จะช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัว และไม่ไปเกาะกับหลอด เลือด ที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ จึงทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีความสมดุล 4. รักษาแผล หากมีแผลตามร่างกายที่เป็นแผลสด เพียงแค่นำใบสดของต้นกระเจี๊ยบแดงมาล้างทำความสะอาด จากนั้นบดให้ ละเอียดจนเป็นน้ำ แล้วนำมาพอกที่แผล จะช่วยให้เลือดแข็งตัวแล้วก็ช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น เป็นสมุนไพรที่ เอามาใช้ทาแทนยาได้เลย 5. ป้องกันการเกิดนิ่ว การรับประทานกระเจี๊ยบแดง จะช่วยให้ร่างกายสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในท่อปัสสาวะ และโรคไตได้ เพราะในกระเจี๊ยบ จะมีสารที่ช่วยขับกรดบางชนิด ที่เป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วได้ เช่น กรดยูริก แคลเซียม และ โพแทสเซียม 6. ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง โรคชนิดนี้ สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย การทานกระเจี๊ยบแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ เพราะ สรรพคุณของกระเจี๊ยบ มีธาตุเหล็กที่เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกาย ในการช่วยไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจาง 7. ลดไขมัน คนที่มีน้ำหนักตัวมาก มีไขมันเยอะ ควรรับประทานกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ เพราะจะช่วยในการป้องกันไม่ให้ คอเลสเตอรอลในร่างกายสูงเกิน อีกทั้งยังบำรุงเลือดได้ด้วย ข้อควรระวัง สำหรับข้อควรระวังในการนำกระเจี๊ยบแดงมาใช้ดื่ม คือ ควรดื่มให้พอดี เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ และไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน หากทำได้เช่นนี้ การดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงก็จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ที่ดีให้กับร่างกายได้อย่างแน่นอน ที่มา สาระความรู้ทั่วไป. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : https://www.sgethai.com/article/กระเจี๊ยบแดง-สรรพคุณแล/


70 น้ำมะนาว มะนาว ชื่อสามัญ Lime มะนาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus aurantiifolia (Christm.) Swingle จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) หลายคนสงสัยว่า แล้วคำว่า Lemon ที่ในบ้านเราเข้าใจว่ามันคือมะนาว แล้วตกลงมันคืออะไร จริง ๆ แล้วมอน (Lemon) ความหมายที่ถูกต้องของมันก็คือ ผลส้มชนิดหนึ่งที่มีหัวท้ายมนหรือมะนาวที่มีผลเป็นลูกออกสีเหลือง ใหญ่ ไม่ใช่ผลกลม ๆ สีเขียวลูกเล็ก ๆ อย่างมะนาวที่เราคุ้นเคย การปลูกมะนาว เดิมแล้วมะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนี้จึง รู้จักการใช้ประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยนี่เอง เรามาดูประโยชน์และ สรรพคุณของมะนาวกันดีกว่า วิธีทำน้ำมะนาว ส่วนผสม น้ำน้ำมะนาว 1. มะนาวเขียว (หรือมะนาวเหลือง) ประมาณ 6 ลูก 2. น้ำตาลทราย 3/4-1 ถ้วย 3. น้ำเปล่า 1 ถ้วย (สำหรับทำน้ำเชื่อม) 4. น้ำเย็นจัด 3 ถ้วย 5. น้ำแข็ง ตามชอบ 6. มะนาวเหลืองฝานเป็นแว่น 7. ใบสะระแหน่ ขั้นตอนการทำ 1. เริ่มจากการทำน้ำเชื่อมก่อน โดยใส่น้ำและน้ำตาลทรายลงในหม้อคนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟกลางจน น้ำเชื่อมเดือด ปิดไฟ พักทิ้งไว้จนน้ำเชื่อมเย็น 2. ใช้มือคลึงลูกมะนาว (บางสูตรจะนำไปแช่น้ำอุ่นเพื่อให้น้ำมะนาวออกมาจากมะนาวให้ได้มากที่สุด) ผ่าครึ่งมะนาวแล้วคั้นให้ได้น้ำมะนาว 1 ถ้วย (ควรใส่ถุงมือในขณะที่คั้นด้วย ป้องกันไม่ให้มะนาวกัดมือ) นำน้ำ มะนาวที่คั้นแล้วไปกรองผ่านกระชอนใส่ลงในน้ำเย็นจัด นำเม็ดออกให้หมด เติมน้ำเชื่อมที่เย็นแล้วลงไป คนผสม ให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำแข็งลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ตามด้วยมะนาวเหลืองฝานเป็นแว่นและใบสะระแหน่ คน ผสมให้เข้ากัน เทใส่แก้ว พร้อมดื่ม สรรพคุณ น้ำมะนาว


71 1. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ 2. ช่วยแก้อาเจียน เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้ 3. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ 4. รู้หรือไม่ว่ามะนาวก็เป็นยาอายุวัฒนะและช่วยในการเจริญอาหารได้ด้วย 5. แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร 6. แก้อาการลมเงียบ ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม 7. แก้โรคตาแดง 8. ใช้เป็นยาแก้ไข้ก็ได้เหมือกัน ด้วยการนำใบมาหั่นเป็นฝอย ๆ แล้วนำมาชงในน้ำเดือด ดื่มเป็นน้ำชา หรือใช้อมกลั้วคอเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค 9. ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู ด้วยการเอาใบมะนาวประมาณ 100 ใบมาต้มกิน 10. สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก 11. มะนาวช่วยในการขับเสมหะ 12. ช่วยแก้ไอหรืออาการไอที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่ง 13. ช่วยบรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ 14. ช่วยบรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง 15. ช่วยลดอาการเหงือกบวม 16. ใช้เป็นยาบ้วนปาก ด้วยการใช้น้ำมะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้น 17. ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง 18. ช่วยในการขจัดคราบบุหรี่ 19. แก้เล็บขบ ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบาง ๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป 20. ก้างติดคอ ให้นำน้ํามะนาว 1 ลูกมาคั้นแล้วเติมเกลือ ใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้วกรอกลงไปให้ตรงกับ บริเวณที่ก้างติดคอ อมไว้สักครู่แล้วค่อย ๆ กลืน ก้างปลาจะอ่อนตัวลงแล้วหลุดลงไปในกระเพาะ 21. ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล 22. แก้อาการท้องร่วงด้วยการดื่มน้ำมะนาว 23. ช่วยการขับพยาธิไส้เดือนด้วยการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว 24. ช่วยรักษาอาการท้องผูกด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อยก็เป็นยาระบายชั้นดี 25. ช่วยรักษาโรคกระเพาะด้วยการนำเปลือกมะนาวมาชงกับน้ำอุ่นและดื่มเป็นยา 26. แก้อาการบิดด้วยการใช้มะนาวกับน้ำผึ้งอย่างละเท่า ๆ กัน แล้วนำมาดื่ม 27. แก้อาการปัสสาวะกะปริดกะปรอย ด้วยการใช้ใบนะนาวสดต้มกับน้ำตาลแดงแล้วนำมาดื่ม 28. สรรพคุณของมะนาวก็ช่วยรักษาโรคนิ่วได้เหมือนกัน 29. แก้อาการระดูขาวด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือกับน้ำตาลนิดหน่อย 30. แก้ผิดสำแดง นำรากมะนาวมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมารับประทาน 31. ช่วยฟอกโลหิตด้วยการนำใบมะนาวต้มผสมกับน้ำแล้วนำมาดื่มเป็นประจำ 32. ช่วยบำรุงโลหิต รักษาโรคโลหิตจาง ด้วยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเล พอสมควร ใส่น้ำแข็งนำมาดื่ม 33. แก้โรคเหน็บชา ร้อนใน กระหายน้ำด้วยการดื่มน้ำมะนาว 34. ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาล 35. การดื่มน้ำมะนาวจะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้อีกด้วย


72 ที่มา วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database เข้าถึงได้จาก : https://www.opsmoac.go.th/surin-local_wisdom-preview422891791858#:~:text=ช่วยฟอกโลหิตด้วยการนำใบ,ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาล


73 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม ตะไคร้หอม ได้จาก รากและเหง้า ใบ ชื่อพืชที่ให้เครื่องยา ตะไคร้หอม ชื่ออื่น(ของพืชที่ให้เครื่องยา) จะไครมะขูด ตะไครมะขูด (ภาคเหนือ) ตะไคร้แดง (นครศรีธรรมราช) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon nardus Rendle. ชื่อวงศ์ Poaceae (Graminae) ลักษณะภายนอกของเครื่องยา ลำต้นเป็นข้อๆ ใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน ลักษณะของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร แผ่นใบแคบ ยาว และนิ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง และ มีกลิ่นหอมเอียน ก้านใบเป็นกาบซ้อนกันแน่นสีเขียวปนม่วงแดง รากฝอยแตกออกจากโคน ต้นและใบมีกลิ่นฉุน จนรับประทานเป็นอาหารไม่ได้ ทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม สรรพคุณ ตำรายาไทย: ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว ขับลมในลำไส้ แก้ แน่น จุกเสียด แก้อาเจียน รากและเหง้าต้มกินแก้แผลในปาก แก้ปากแตกระแหง แก้ตานซางในลิ้นและปาก บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อาเจียน แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ปกติ เหง้า ใบ และกาบ นำมากลั่นได้น้ำมัน หอมระเหย ใช้เป็นเครื่องหอม เช่น สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง ทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงใน ปาก ขับโลหิต ทำให้มดลูกบีบตัว ทำให้แท้ง ขับลมในลำไส้ แก้แน่นท้อง หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี: ใช้ ราก ลำต้น และใบ เข้ายากับใบหนาด ใบเปล้าใหญ่ และ เครือสัมลม แก้วิงเวียน ใบ คั้นเอาน้ำ ช่วยไล่ยุง ตามตำรายาไทย: ตะไคร้หอมจัดอยู่ใน “พิกัดตรีผลธาตุ” คือการจำกัดจำนวนตัวยาแก้ธาตุทั้งสี่ 3 อย่าง ได้แก่ เหง้ากระทือ เหง้าไพล และหัวตะไคร้หอม สรรพคุณบำรุงธาตุไฟ แก้ไข้ตัวร้อน แก้กำเดา


74 ตำรายาพระโอสถพระนารายณ์: ปรากฏการใช้ตะไคร้หอมในตำรับ “ยาทาพระเส้น” ร่วมกับสมุนไพร อื่นอีก 11 ชนิดใช้ทาแก้เส้นที่ผิดปกติ แก้ลมอัมพาต แก้ลมปัตฆาฎ แก้ตะคริว แก้จับโปง แก้เมื่อยขบทั้งหลาย ขั้นตอนการทำ 1. นำตะไคร้ที่ได้มาตากแห้ง 2. นำตะไคร้ที่ตากมาหั่นและสับให้ละเอียด 3. จากนั้นนำตะไคร้ที่หั่นหรือสับแล้ว มาต้มน้ำให้เดือด 4. นำผ้าขาวมากรองเอาเฉพาะน้ำตะไคร้ โดยเพื่อเป็นการแยกกากของตะไคร้ออก 5. หั่นพาราฟินเป็นชิ้นเล็กๆ 6. นำพาราฟินมาต้มในน้ำเดือดและคนให้ละลายจนทั่ว 7. ใส่ S.A. และ P.A. อย่างละ 1 ช้อนชา แล้วใส่สีเทียนลงไปพอประมาณ พร้อมตามด้วยน้ำตะไคร้หอม 8. เมื่อเสร็จขั้นตอนการทำทุกอย่างแล้วก็ให้นำน้ำที่ได้ไปใส่ในพิมพ์ที่เตรียมเอาไว้ 9. เมื่อแห้งแล้วและเย็นตัวแล้วก็จะได้เทียนหอมตะไคร้ไล่ยุง


75 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร น้ำมันนวดสมุนไพร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม น้ำมันเหลืองสมุนไพร(ไพล) ไพล หรือ ว่านไพล ชื่อสามัญ Phlai, Cassumunar ginger, Bengal root ไพล ชื่อวิทยาศาสตร์Zingiber montanum (J.Koenig) Link ex A.Dietr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Zingiber cassumunar Roxb., Zingiber purpureum Roscoe) จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE) สมุนไพรไพล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปูขมิ้น มิ้นสะล่าง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ว่านไฟ ไพลเหลือง (ภาคกลาง), ปูเลย ปูลอย (ภาคเหนือ), ว่านปอบ (ภาคอีสาน) เป็นต้น ลักษณะของไพล • ต้นไพล ลักษณะไพลเป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาล แกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะ ประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด เอียด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แง่ง หรือเหง้า แต่ โดยทั่วไปแล้วจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการเพาะปลูก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชีย แถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ปลูกกันมากในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว • ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้างประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 18-35 เซนติเมตร • ดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วง • ผลไพล ลักษณะของผลเป็นผลแห้งรูปกลม สรรพคุณของไพล 1. ดอกไพล สรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย กระจายเลือดที่เป็นลิ่มเป็นก้อน (ดอก) 2. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ต้นไพล) 3. สรรพคุณสมุนไพรไพล ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ) 4. ช่วยแก้อาเจียน อาการอาเจียนเป็นโลหิต (หัวไพล) 5. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (หัวไพล) 6. ไพลกับสรรพคุณทางยา เหง้าช่วยขับโลหิต (เหง้า) 7. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออกทางจมูก (ราก) 8. ช่วยรักษาโรคที่บังเกิดแต่โลหิตออกทางปากและจมูก (เหง้า) 9. เหง้าไพล ใช้เป็นยารักษาหอบหืด ด้วยการใช้เหง้าแห้ง 5 ส่วน / ดีปลี 2 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน / กานพลู 1/2 ส่วน / พิมเสน 1/2 ส่วน นำมาบดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชาชงกับน้ำร้อนแล้ว


76 รับประทาน หรือจะปั้นเป็นยาลูกกลอนด้วยการใช้น้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วรับประทานครั้งละ 2 ลูก โดยต้องรับประทานติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้าแห้ง) 10.ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องขึ้น ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็น ผงแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ด้วยการนำมาชงกับน้ำร้อนและผสมเกลือด้วยเล็กน้อยแล้วนำมา ดื่ม (เหง้าแห้ง) 11.ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย แก้บิด บิดเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 4-5 แว่น นำมา ตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนชาแล้วนำมารับประทาน หรือจะฝนกับน้ำปูนใส รับประทานก็ได้เช่นกัน (เหง้าสด) 12.ช่วยแก้อาการท้องผูก (เหง้า) 13.ช่วยสมานแผลในลำไส้ แก้ลำไส้อักเสบ (เหง้า) 14.ช่วยแก้อุจจาระพิการ (ต้นไพล) 15.ช่วยขับระดู ประจำเดือนของสตรี ขับเลือดร้ายทั้งหลาย และแก้มุตกิดระดูขาว (หัวไพล, เหง้า) 16.ช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ (เหง้า) 17.ช่วยรักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ด้วยการใช้หัวไพลนำมาฝนแล้วทาบริเวณที่มี อาการฟกช้ำบวมหรือเคล็ดขัดยอก / หรือจะใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับ สมุนไพรชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด) ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ บวม ข้อเท้าแพลง ด้วยการใช้เหง้า 1 เหง้า นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทานวดบริเวณที่มีอาการ / หรือจะ นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเกลือเล็กน้อย นำมาห่อเป็นลูกประคบ แล้วอังไอน้ำให้ความร้อน นำมาใช้ประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำบวมและบริเวณที่ปวดเมื่อย เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย / หรือจะใช้ ทำเป็นน้ำมันไพล ด้วยการใช้ไพลหนัก 2 กิโลกรัม นำมาทอดในน้ำมันพืชร้อน ๆ 1 กิโลกรัม ให้ทอดจน เหลืองแล้วเอาไพลออก และใส่กานพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา และทอดต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 10 นาที เสร็จแล้วนำมากรองรอจนน้ำมันอุ่น ๆ และใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด รอจนเย็นแล้วจึงเขย่าการบูรให้ละลาย แล้วนำน้ำมันไพลมาทาถูนวดวันละ 2 ครั้งเวลามีอาการปวด เช้า-เย็น (สูตรของคุณวิบูลย์ เข็มเฉลิม) (เหง้า, หัว) 18.ช่วยลดอาการอักเสบ แก้ปวด บวม เส้นตึง เมื่อยขบ (เหง้า) 19.ช่วยแก้เมื่อย แก้อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามร่างกาย (ใบ) 20.ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (เหง้า) ประโยชน์ของไพล 1. ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่น ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิด อื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด) 2. ประโยชน์ไพลช่วยไล่แมลง ฆ่าแมลง (เหง้า) 3. ช่วยกันยุงและไล่ยุง น้ำมันจากหัวไพลผสมกับแอลกอฮอล์นำมาใช้ทาผิวสามารถช่วยกันยุงและไล่ยุงได้ (หัวไพล) 4. สามารถนำมาทำเป็น ครีมไพล, น้ำมันไพล, ไพลผง, ไพลขัดผิว, ไพลทาหน้าได้ ข้อควรระวัง • การรับประทานในขนาดสูงหรือการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้ และยังไม่ มีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด และไม่ควรนำมารับประทานแบบเดี่ยว ๆ ติดต่อกัน เป็นระยะเวลานาน นอกจากจะมีการขจัดสารที่พิษต่อตับออกไปเสียก่อน • การใช้ครีมไพลห้ามใช้ทาบริเวณขอบตา เนื้อเยื่ออ่อน และบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมีแผลเปิด


77 • ไม่แนะนำให้ใช้สมุนไพรชนิดนี้กับสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตรและเด็กเล็ก ที่มา สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดสุรินทร์ สูตร “น้ำมันเหลืองสมุนไพร” ส่วนผสมน้ำมัน 1.น้ำมันมะพร้าว 100 มิลลิลิตร 2.ไพลแก่อายุอย่างน้อย 1 ปี100 กรัม 3.ผักเสี้ยนผี50 กรัม 4.ดีปลีเชือก 10 กรัม 5.ขมิ้นอ้อย 10 กรัม 6. ดอกกานพลูป่น 10 กรัม ส่วนผสมตัวทำให้ร้อน 1. พิมเสน/การบูร/เมนทอล อัตราส่วน1:1:2 30:30:90 กรัม 2. น้ำมันยูคาลิปตัส 10 ซีซี 3. ถ้าต้องการให้มีคุณสมบัติแก้ปวดเมื่อยให้ใส่น้ำมันระกำเพิ่มลงไป 20-50ซีซี. ขั้นตอนที่ 1 เตรียมส่วนผสมน้ำมัน 1) หั่นไพลขมิ้นอ้อย ผักเสี้ยนผี และดีปลีเชือกเป็นชิ้นบาง ๆ 2) นำไปทอดในน้ำมันมะพร้าว ทอดไฟอ่อน ๆ ประมาณ 0.5ชั่วโมง จนไพลกรอบ 3) ก่อนนำลงจากเตา ให้ใส่ดอกกานพลูลงไป ทิ้งไว้สักครู่ 4) นำน้ำมันไพลที่ได้ กรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้น้ำมันไพลสีเหลือง 5) ยกลงจากเตา และเติมผงดอกกานพลู 5 กรัม ทิ้งไว้พออุ่น กรอง และชั่งน้ำหนักน้ำมันที่ได้และ บันทึก โดยมีปริมาณน้ำมันที่เหลือไม่น้อยกว่า 600 กรัม เก็บน้ำมันในภาชนะปิดสนิท แล้วนำไปเก็บในที่มืด เย็น เพื่อ ใช้เตรียมตำรับ ขั้นตอนที่ 2 เตรียมส่วนผสมตัวทำให้ร้อน


78 1) นำพิมเสน การบูรและเมนทอล ผสมกันในขวดแก้วหรือภาชนะแก้วที่มีฝาปิด เขย่าให้ละลายเป็นน้ำ ใส ๆ หรือปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน (จนละลายเป็นน้ำเรียบร้อยแล้ว) และเติมน้ำมันยูคาลิปตัสผสมกับน้ำมัน ไพล คนให้เข้ากัน 2) นำไปชั่ง ตวง และบรรจุใส่ขวดที่เตรียมไว้ พร้อมใช้งานหรือจำหน่ายต่อไป สรรพคุณ น้ำมันเหลือง เป็นผลิตภัณฑ์ที่คนส่วนใหญ่นิยมทำใช้กันเอง เพราะสมุนไพรหาได้ง่ายใช้ทาแก้อัมพาต เหน็บชา ตะคริว ปวดสันหลังปวดบั้นเอว ปวดเขา ฟกช้ำ ปวดกล้ามเนื้อ สูดดมแก้คลื่นไส้ วิงเวียน หอบหืดและ ไซนัส ที่มาสาระความรู้ทั่วไป. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.clinictech.ops.go.th/ น้ำมันเขียว(เสลดพังพอน) ชื่อสมุนไพร เสลดพังพอน ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น เสลดพังพอนตัวผู้ พิมเสนต้น ทองระอา ช้องระอา ลิ้นงูเห่า (ภาคกลาง กรุงเทพ) ก้าน ชั่ว ค้นชั่ว (ตาก) เช็กเชเกี่ยม ฮวยเฮียะ แกโตว่เกียง (จีน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria lupulina Lindl. ชื่อสามัญ Hop Headed Barleria วงศ์ ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิดเสลดพังพอน เสลดพังพอนมีถิ่นกำเนิดในสาธารณรัฐมอริเชียสซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรอินเดียแล้วมี การกระจายพันธุ์ไปยังบริเวณประเทศใกล้เคียง และยังมีการนำเข้ามาใช้ประโยชน์และปลุกยังดินแดงเขตร้อน ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเสลดพังพอนได้ทุกภาคของประเทศ โดยอาจจะพบใน ลักษณะของการปลูกไว้ใช้ประโยชน์หรือขึ้นเป็นวัชพืชก็ได้ สรรพคุณ : ส่วนทั้ง 5 ใช้ถอนพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก ใบ นำมาสกัดทำทิงเจอร์และกรีเซอรีน ใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริ่ม Herpes และรักษาแผลร้อนในใน ปาก Apthous ตับพิษร้อน แก้แผลน้ำร้อนลวก ราก ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว ข้อควรระวัง ในการใช้ใบเสลดพังพอนประคบที่แผลควรคำนึงถึงความสะอาดของใบเสลดพังพอนรวมถึงส่วนผสมอื่น


79 ๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลติดเชื้อได้ อีกทั้งควรเปลี่ยนใบเสลดพังพอนที่ใช้ประคบทุกวันด้วย ซึ่งหากแผลไม่ดี ขึ้นหลังการใช้ประคบ หรือแผลมีการติดเชื้อควรไปพบแพทย์โดยด่วน สูตร “น้ำมันเขียวสมุนไพร” ส่วนผสมน้ำมัน 1.น้ำมันมะพร้าว 100 มิลลิลิตร 2.ใบเสลดพังพอน 100 กรัม 3.ผักเสี้ยนผี 50กรัม 4.ย่านาง 20กรัม 5.ดีปลีเชือก 10กรัม 6.ผิวมะกรูด 10 กรัม 7.ดอกกานพลูป่น 10 กรัม ส่วนผสมตัวทำให้ร้อน 1. พิมเสน/การบูร/เมนทอล อัตราส่วน1:1:2 30:30:90 กรัม 2. น้ำมันยูคาลิปตัส 10 ซีซี 3. ถ้าต้องการให้มีคุณสมบัติแก้ปวดเมื่อยให้ใส่น้ำมันระกำเพิ่มลงไป 20-50ซีซี. ขั้นตอนที่ 1 เตรียมส่วนผสมน้ำมัน 1) นำใบเสลดพังพอนผักเสี้ยนผีย่านางดีปลีเชือก ผิวมะกรูด และดอกกานพลูป่น ที่ผึ่งลมให้แห้ง ใส่ใน กระทะ 2) เติมน้ำมันมะพร้าว ใช้ไฟอ่อน ๆ ประมาณ 0.5ชั่วโมง จนสารจากสมุนไพรไหลออกมาอยู่ในน้ำมัน มะพร้าวจนน้ำมันมะพร้าวเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม 3) ก่อนนำลงจากเตา ให้ใส่ดอกกานพลูลงไป ทิ้งไว้สักครู่ 4) นำนำน้ำมันเขียวที่ได้ กรองด้วยกระชอน หรือผ้าขาวบาง และกรองซ้ำอีกรอบ จะได้น้ำมันสมุนไพรสี เขียว 5) ยกลงจากเตา และเติมผงดอกกานพลู 5 กรัม ทิ้งไว้พออุ่น กรอง และชั่งน้ำหนักน้ำมันที่ได้และ บันทึก โดยมีปริมาณน้ำมันที่เหลือไม่น้อยกว่า 600 กรัม เก็บน้ำมันในภาชนะปิดสนิท แล้วนำไปเก็บในที่มืด เย็น เพื่อ ใช้เตรียมตำรับ ขั้นตอนที่ 2 เตรียมส่วนผสมตัวทำให้ร้อน 1) นำพิมเสน การบูรและเมนทอล ผสมกันในขวดแก้วหรือภาชนะแก้วที่มีฝาปิด เขย่าให้ละลายเป็นน้ำ ใส ๆ หรือปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน (จนละลายเป็นน้ำเรียบร้อยแล้ว) และเติมน้ำมันยูคาลิปตัสผสมกับน้ำมัน เขียวสมุนไพร คนให้เข้ากัน 2) นำไปชั่ง ตวง และบรรจุใส่ขวดที่เตรียมไว้ พร้อมใช้งานหรือจำหน่ายต่อไป สรรพคุณ น้ำมันเขียว เป็นยาเย็น ดับพิษร้อน พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ผื่นคัน ลมพิษ เริม ปวดบวม ผิวหนังอักเสบ สามารถใช้ทาถู สูดดมเมื่อวิงเวียนศรีษะ ที่มาสาระความรู้ทั่วไป. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.clinictech.ops.go.th/


80 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร สบู่สมุนไพรใกล้บ้าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม 1. ความสำคัญของ สมุนไพร ความหมายของพืชสมุนไพร คำว่า สมุนไพร ตาม พระราชบัญญัติยา หมายถึง "ยาที่ได้จากพืช สัตว์ หรือแร่ ซึ่งยังไม่ได้ผสม ปรุง หรือเปลี่ยนสภาพ" เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของ ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้าสมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปต่าง ๆ เข่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรือ อัดเป็นแท่ง อย่างไรก็ตามในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักจะนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้ เป็นยาเท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าสัตว์ หรือแร่ มีการนำมาใช้น้อย และใช้ในโรคบางชนิดเท่านั้น พืชสมุนไพร หมายถึงพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ปรุงหรือประกอบเป็นยารักษา โรคต่าง ๆ ใช้ใน การส่งเสริมสุขภาพร่างกายได้ ประโยชน์ของพืชสมุนไพร 1. สามารถรักษาโรคบางชนิดได้ โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งบางชนิดอาจมีราคาแพง และต้องเสียค่าใช้จ่าย มาก อีกทั้งอาจหาซื้อได้ยากในท้องถิ่นนั้น 2. ให้ผลการรักษาได้ดีใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน และให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้มากกว่าแผนปัจจุบัน 3. สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่นเพราะส่วนใหญ่ได้จากพืชซึ่งมีอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและ ชนบท 4. มีราคาถูก สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อยาแผนปัจจุบัน ที่ต้องสั่งซื้อจากต่าง ประเทศ 5. เป็นการลดการขาดดุลทางการค้า 6. ใช้เป็นยาบำรุงรักษาให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง 7. ใช้เป็นอาหารและปลูกเป็นพืชผักสวนครัวได้ เช่น กะเพรา โหระพา ขิง ข่า ตำลึง 8. ใช้ในการถนอมอาหารเช่น ลูกจันทร์ ดอกจันทร์และกานพลู 9. ใช้ปรุงแต่ง กลิ่น สี รส ของอาหาร เช่น ลูกจันทร์ใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหารพวก ขนมปัง เนย ไส้กรอก แฮม เบคอน 10. สามารถปลูกเป็นไม้ประดับอาคารสถานที่ต่าง ๆ ให้สวยงาม เช่น คูน ชุมเห็ดเทศ 11. ใช้ปรุงเป็นเครื่องสำอางเพื่อเสริมความงาม เช่น ว่านหางจระเข้ ประคำดีควาย 12. ใช้เป็นยาฆ่าแมลงในสวน เช่น สะเดา ตะไคร้ หอม ยาสูบ 13. เป็นพืชที่สามารถส่งออกทำรายได้ให้กับประเทศ เช่น กระวาน ขมิ้นชัน เร่ว 14. เป็นการอนุรักษ์มรดกไทยให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่น รู้จักช่วยตนเองในการ นำพืชสมุนไพรในท้องถิ่น ของตนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามแบบแผนโบราณ 15. ทำให้คนเห็นคุณค่าและกลับมาดำเนินชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติยิ่งขึ้น 16. ทำให้เกิดความภูมิใจในวัฒนธรรม และคุณค่าของความเป็นไทย 2. แหล่งจำหน่าย แหล่งสมุนไพรในท้องถิ่น พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน: พืชสมุนไพรไทย (Ethnobotany: Thai Medicinal Plants) ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยได้สะสมความรู้และภูมิปัญญาของพืชท้องถิ่นมานานนับร้อยปี พืช ท้องถิ่นหลายร้อยชนิดมีถิ่นอาศัยตามป่าธรรมชาติ พืชหลายชนิดได้ถูกใช้เป็นยารักษาโรคตามตำรับหมอพื้นบ้าน ซึ่งทุกหมู่บ้านมีผู้รู้เรื่องพืชพันธุ์ การนำมาใช้ทำยา ผู้รู้เหล่านี้ถูกเรียกว่า “หมอยา หรือ หมอพื้นบ้าน” ซึ่งเก็บ รักษาพืช เหล่านั้นไว้ มีตำรายาสำหรับรักษาโรค ภูมิปัญญาเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน ใบงานที่ 1 ช่องทางการประกอบอาชีพ การทำสบู่สมุนไพร


81 ให้นักเรียนยกตัวอย่างสมุนไพรพร้อมทั้งบอกสรรพคุณที่มีอยู่ในหมู่บ้านมาอย่างน้อย 5 ชนิด ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................... .............................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................


82 ใบความรู้เรื่อง ทักษะอาชีพการทำสบู่สมุนไพร 1. วัสดุและอุปกรณ์ในการทำสบู่สมุนไพร การทำสบู่ดอกอัญชัน ส่วนผสม 1. กลีเซอรีน 1 ก้อน 2. ดอกอัญชัน 1 ถ้วย 3. น้ำเปล่า 1 ถ้วย 4. น้ำมันหอมระเหย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) วิธีทำ 1. ต้มน้ำให้เดือดแล้วนำดอกอัญชันที่เตรียมไว้ลงไปต้มจนได้น้ำสีน้ำเงินเข้ม 2. นำกลีเซอรีนที่เตรียมไว้ไปละลายในหม้อโดยตั้งไฟอ่อนๆ 3. ค่อยๆเติมน้ำอัญชันลงไปผสมกับกลีเซอรีนแล้วคนจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำลงจากเตา 4. ค่อยๆหยดน้ำมันหอมระเหยลงในส่วนผสมแล้วคนให้เข้ากัน 5. ตักส่วนผสมใส่ในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ 6. รอให้ผิวด้านบนของสบู่แข็งตัวแล้วจึงนำไปเข้าตู้เย็น 7. เมื่อสบู่แข็งตัวทั้งหมดแล้วจึงแกะออกจากพิมพ์ 2. การคัดเลือกคำนวณอัตราส่วนของสมุนไพรใช้ในการทำสบู่สมุนไพร สบู่เหลว ขมิ้น ส่วนผสม (1) หัวสบู่ 1 กิโลกรัม (2) กรดมะนาว 50 กรัม (3) เกลือป่น 50 กรัม (4) ขมิ้นผง 10 กรัม (5) น้ำหอม 15 ซีซี (6) น้ำผึ้ง 50 กรัม (7) น้ำสะอาด 1 กิโลกรัม


83 วิธีทำ (1) กวนหัวสบู่ เกลือป่น กรดมะนาว ให้เข้ากัน (2) ค่อยๆ เติมน้ำทีละน้อย กวนไปเรื่อยๆ จนเข้ากัน จึงเติมผงขมิ้น ต่อไปอีกจนเข้ากันดีก็ใส่หัวน้ำหอม พักไว้ 6 - 8 ชั่วโมงเพื่อให้ฟองยุบตัวจึงน้ำไปใช้ได้ สบู่ก้อนสมุนไพรดอกอัญชัน ประโยชน์ ช้ำระล้างคราบเหงื่อไคล ขจัดกลิ่นตัว บำรุงผิวพรรณ ส่วนผสม 1. กลีเซอรีน (เกร็ดสบู่) 1 กิโลกรัม 2. น้ำสมุนไพร เช่น อัญชัน 100 ซีซี 3. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. หลอมกลีเซอรีนที่อุณหภูมิ 60 - 70 องศาในหม้อ 2. ต้มน้ำสมุนไพรที่อุณหภูมิ 60 - 70 องศา ในหม้อ (ไฟอ่อนแค่เป็นไอ) 3. เทกลีเซอรีนที่หลอมเหลวแล้ว ลงในหม้อต้มน้ำสมุนไพร แล้วกวนให้เข้ากัน 4. เติมน้ำผึ้งตามสัดส่วนที่จัดไว้แล้วกวนให้เข้ากัน 5. เทใส่พิมพ์ที่มาด้วยน้ำมันพืชหรือน้ำมันออยเพื่อให้แกะออกง่าย ถ้าใช้ถาดพลาสติกทนความร้อนไม่ต้องทา น้ำมัน 6. ห่อด้วยกระดาษกับมอยเจอร์ไรเซอร์ระเหย นำมาแพคใส่ถุง 3. แหล่งวัตถุดิบ ชนิดของสบู่ 1. สบู่ก้อนขุ่น เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่รู้จัก และใช้กันมานานจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาวขุ่นหรือมีสีต่างๆ ตามสีของสารเติมแต่ง เช่น สีเขียว สีชมพู สีม่วง เป็นต้น สบู่ชนิดนี้ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ผลิตได้ จากปฏิกิริยาข้างต้นเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ที่ให้คุณสมบัติเป็นก้อนแข็ง ขาวขุ่น ให้ฟองมาก 2. สบู่ก้อนใส เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีลักษณะก้อนใสหรือค่อนข้างใสตามสัดส่วนของกลีเซอรีนที่ผสม ก้อนสบู่จะมี ลักษณะอ่อนกว่าสบู่ก้อนขุ่น และสามารถทำให้เกิดสีใสต่างๆตามสารให้สีที่เติมผสม สบู่ชนิดนี้จะให้ฟองค่อนข้าง น้อยกว่าสบู่ก้อนขุ่น เนื่องจากมีส่วนผสมของกลีเซอรีนเป็นส่วนใหญ่ สารตั้งต้นที่ใช้อาจเป็นกลีเซอรีนเหลวหรือ กลีเซอรีนก้อน (กลีเซอรีนเหลว+เอทิลแอลกอฮอล์) ร่วมด้วยกับสารเติมแต่งชนิดต่างๆ 3. สบู่เหลว เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมทำให้เนื้อสบู่เหลว สีสีสันต่างๆตามสารเติมแต่ง สบู่ชนิดนี้ใช้สาร ตั้งต้นจากเกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากปฏิกิริยาข้างต้นเหมือนชนิดสบู่ก้อนขุ่น แต่ต่างกันที่จะใช้ด่างเข้มข้น โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์แทนโซเดียมไฮดรอกไซด์ เพราะจะให้เนื้อสบู่อ่อนตัวดีกว่า ลักษณะของสบู่ที่ดี 1. มีความสามารถทำความสะอาดได้ดี 2. มีฟองในระดับที่เหมาะสม 3. มีความเป็นด่างน้อยในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหรือทำลายชั้นไขมันของผิว


84 4. สบู่ก้อนไม่มีเนื้อเหลว แตกหักง่าย 5. ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นหอมน่าใช้ และมีคุณสมบัติเฉพาะในบางกรณี เช่น สบู่ฆ่าเชื้อ สารเคมีที่ใช้ทำสบู่ 1. ไขมัน/น้ำมัน เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสารตั้งต้นสบู่ ไขมันหรือน้ำมันที่ใช้อาจได้จากพืช เช่น น้ำมัน มะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ส่วนไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น ไขมันโค กระบือ แกะ แพะ เป็นต้น คุณภาพของน้ำมันที่ได้จากพืช และสัตว์จะมีผลต่อคุณภาพของสบู่ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากน้ำมันพืชจะให้ ลักษณะขาวเนียน และกลีเซอรีนจะค่อนข้างใสกว่าน้ำมันจากสัตว์ นอกจานั้น เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากน้ำมัน จากพืชจะมีกลิ่นหืนน้อยกว่าน้ำมันจากสัตว์ อีกทั้งน้ำมันจากพืชยังเป็นวัตถุดิบที่หาง่าย และราคาถูกกว่า 2. ด่างเข้มข้น เป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ทำปฏิกิริยากับไขมันธรรมชาติ ด่างเข้มข้นที่นิยมใช้ คือ โซเดียมไฮดรอก ไซด์ ซึ่งจะได้เนื้อสบู่สีขาวทึบ เนื้อก้อนแข็ง ให้ฟองมาก นิยมนำมาทำสบู่ก้อนทึบ และอีกชนิดหนึ่ง คือ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งจะได้สบู่ในลักษณะเดียวกัน แต่เนื้อสบู่มีความอ่อนตัวได้ดีกว่า นิยมนำมาทำสบู่เหลว 3. สารเติมแต่ง เป็นสารเคมีสำหรับปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ เช่น สี น้ำหอม สมุนไพร สารป้องกันความชื้น สาร ลดความเป็นด่าง สารลดแรงตึงผิว สารทำให้ฟองคงตัว สารเพิ่มความแข็ง สารป้องกันการออกซิเดชัน สารบำรุง ผิว สารฆ่าเชื้อ เป็นต้น เป็นสารเติมแต่งที่นิยมผสมในสบู่เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในแต่ละ อย่าง วิธีการทำสบู่ การทำสบู่ในระดับอุตสาหกรรม และระดับครัวเรือน ในกรรมวิธีหลักๆจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ในทาง อุตสาหกรรมจะมีกระบวนการที่ละเอียด และซับซ้อนกว่า โดยในภาคอุตสาหกรรมอาจเตรียมสบู่สารตั้งต้นเอง หรือสั่งซื้อจากอีกแหล่งที่ทำหน้าที่รับผลิต ทั้งที่เป็นเกล็ดสบู่ (soap) เพื่อผลิตสบู่ก้อนขุ่น หรือสบู่เหลว และกลี เซอรีน เพื่อผลิตสบู่ก้อนใส 1. การผลิตสบู่ในภาคอุตสาหกรรม สำหรับภาคครัวเรือนสามารถผลิตได้ทั้งสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว โดยนิยมสั่งซื้อเกล็ดสบู่ (soap) และกลีเซอรีน จากแหล่งจำหน่ายโดยไม่ต้องเตรียมเอง ขั้นตอนการผลิตสบู่ภาคอุตสาหกรรม – การฟอกสีน้ำมันวัตถุดิบเพื่อให้น้ำมันมีสีใส และไม่มีกลิ่นหืน – การต้มสบู่ เพื่อให้ได้เกล็ดสบู่ และกลีเซอรีน ด้วยการเติมด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ – ขั้นตอนการแยก โดยการแยกเกล็ดสบู่ และกลีเซอรีนออกจากกัน – ขั้นตอนการฟิต เป็นการนำเอาเกล็ดสบู่เข้าหม้อฟิตเพื่อกำจัดเกลือที่ตกค้างในเกล็ดสบู่ – การระเหยน้ำ ด้วยการเป่าแห้งเกล็ดสบู่เหลวเพื่อกำจัดน้ำที่ผสมอยู่ และเพื่อให้เกล็ดสบู่แห้งจับตัวเป็นก้อน เรียกว่า สบู่ดิบ – นำสบู่ดิบมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ ภายใต้ความร้อนจนสารทั้งหมดละลายรวมตัวกัน และผ่านเข้าเครื่องอัด ความหนาแน่นเพื่อให้สบู่เป็นก้อนที่คงตัว และสม่ำเสมอ – เมื่อสบู่ที่ออกจากเครื่องอัดความหนาแน่นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการรีดให้เป็นแท่งยาว และตัดด้วยเครื่อง – ก้อนสบู่ที่ตัดเป็นก้อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการปั้มบนแม่พิมพ์ และตีตรา เข้าสู่ขั้นตอนการบรรจุในขั้นสุดท้าย 2. การผลิตสบู่สมุนไพรภาคครัวเรือน 2.1 สารตั้งต้น


85 การทำสบู่ในภาคครัวเรือนนิยมผลิตสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว ซึ่งจะใช้สารตั้งต้นที่แตกต่าง กัน โดยสามารถสั่งชื้อได้ตามอินเตอร์เน็ตหรือร้านขายส่งสารเคมีทั่วไป – สบู่ก้อนขุ่น ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ – สบู่ก้อนใส ใช้สารตั้งต้น คือ กลีเซอรีนก้อน – สบู่เหลว ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ วิธีการเตรียมสารตั้งต้น วัสดุ และสารเคมี: – น้ำ 1 ลิตร – โซเดียมไฮดรอกไซด์ 100 กรัม – น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม 3 ลิตร วิธีการ: – ละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ในหม้อที่ต้มน้ำ คนให้ละลายจนหมด และตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น – เทน้ำมันพืชลงในหม้อ กวนให้เข้ากัน และเทใส่แม่พิมพ์หรือภาชนะอื่น – รินน้ำ และสารละลายใสที่เป็นกลีเซอรีนส่วนบนออก – สบู่จะนอนก้นเป็นตะกอนขาวขุ่น ซึ่งต้องตั้งทิ้งไว้ให้เย็น จนเกล็ดสบู่ (soap) จับตัวเป็นก้อน สำหรับการ ทำสบู่ก้อนขุ่น 2.2 สมุนไพร สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมทำสบู่มีมากมายหลายชนิด ซึ่งอาจประยุกต์ใช้สมุนไพรชนิดอื่น นอกเหนือจากที่ยกตัวอย่าง – มะขาม มะนาว มะกรูดให้วิตามินซี และกรด ช่วยขัดเซลล์ผิว และป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ – เปลือกมังคุดให้วิตามินดี ลดรอยด่างดำ – มะละกอ ให้วิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวให้ขาว – ว่านหางจระเข้ ให้วิตามินอีช่วยลดรอยจุดด่างดำ – ขมิ้น ดาวเรือง ช่วยบำรุงผิว การเตรียมสมุนไพร สามารถทำได้โดย – การทำเป็นผง ด้วยการตากแห้ง และนำมาบดให้เป็นผงละเอียด และนำตากให้แห้งอีกครั้ง – การสกัดเป็นสารละลาย ด้วยการบดสมุนไพรให้ละเอียด และนำมาต้มสกัดหรือนำมาแช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ ผสมกับน้ำ สบู่สมุนไพรควรเติมผงสมุนไพรประมาณร้อยละ 1 - 5 ของน้ำหนักสบู่ และสมุนไพรที่ได้จากการต้ม สกัด ควรเติมประมาณร้อยละ 5 - 10 ของน้ำหนักสบู่ 2.3 สารเติมแต่ง – น้ำหอม เป็นสารเติมแต่งที่นิยมเติมในการทำสบู่ สามารถใช้ได้ทั้งน้ำหอมทั่วไปหรือน้ำหอมสำหรับสบู่ – ผงสี สารลดความกระด้าง สารรักษาความชื้น สารป้องกันการหืน ซึ่งสารเหล่านี้อาจไม่ใช้ก็ได้หากไม่สะดวกที่ จะหาซื้อ 2.4 ขั้นตอนการทำสบู่ – นำเกล็ดสบู่ใส่หม้อภาชนะ ตั้งไฟอ่อนๆให้ละลายจนหมด – เติมสมุนไพร หากเป็นผงประมาณไม่เกิน 50 กรัม หากเป็นน้ำสกัดไม่เกิน 100 ซีซี


86 – เติมสารเติมแต่ง เช่น น้ำหอม ผงสี และอื่นตามที่หาซื้อได้ พร้อมคนให้ละลายเข้ากัน – เทสารละลายสบู่ในแม่พิมพ์ และรอจนแห้งตัวก็จะได้สบู่สำหรับใช้งาน


87 ใบงานที่ 2 ทักษะอาชีพการทำสบู่สมุนไพร ให้ผู้เรียนบอกวิธีการทำสบู่สมุนไพรมาพอสังเขป 1. การทำสบู่สมุนไพรดอกอัญชัน ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................


88 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร ทองม้วนสมุนไพร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม ผลิตภัณฑ์ทองม้วน ทองม้วน เป็นขนมไทยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ดังปรากฏให้เห็นในพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่ ชมเครื่องคาวหวาน โดยพระราชนิพนธ์ไว้คู่กับ ขนมทองหยอด กาพย์นั้นมีอยู่ว่า “ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วน มิดคิดความหลัง สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง” ขนมทองม้วนฟักทอง ส่วนประกอบที่สำคัญ 1. แป้งมันสำปะหลัง 550 กรัม 2. กะทิ 1000 มิลลิกรัม 3. แป้งสาลี 200 กรัม 4. ไข่ไก่ 2 ฟอง 5. ฟักทอง 250 กรัม 6. น้ำตาลมะพร้าว 250 กรัม 7. น้ำตาลทราย 100 กรัม 8. เกลือ 2 ช้อนชา ขั้นตอนในการทำ 1. นำแป้งมันสำปะหลัง,แป้งสาลีไปร่อนด้วยตะแกรงใส่กะละมังไว้ 2. นำแป้งมันสำปะหลังและแป้งสาลีที่ร่อนเสร็จแล้วมาร่อนผสมกัน 3. นำกะทิสดเคี่ยวไฟให้เดือดเป็นหัวกะทิ เสร็จแล้วนำมาเทผสมกับแป้งที่เตรียมไว้ ใช้ตะกร้อคนแป้งที่ ผสมกับกะทิให้เป็นเนื้อเดียวกันพักไว้ 4. นำไข่ไก่มาตีให้เนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน 5. นำส่วนผสมทั้งหมดมาเทรวมกันและเติมน้ำตาลมะพร้าวที่ละลายแล้วเข้าไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใส่เกลือลงไปคนให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน


89 6. นำฟักทองไปล้างให้สะอาด นำมาหันเป็นลูกเต๋า แล้วนำไปเคี่ยวกับกะทิจนสุก แล้วพักไว้ให้เย็น เสร็จ แล้วนำไปปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาคนให้เข้ากัน 7. นำส่วนผสมที่ได้มาปิ้งโดยใช้เตาปิ้งไฟฟ้า ตักใส่เตาละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยใช้ไฟปานกลาง 8. พอสุกให้พับริมทั้ง 2 ข้าง รอให้ระอุ(ดูได้จากสี) เป็นสีเหลือง พับริม เสร็จแล้วนำไปม้วนด้วยไม้ แกนกลาง 1 ซ.ม. 9. นำไปบรรจุเป็นทองม้วนสมุนไพร รสฟักทองที่มีความหอม กรอบ อร่อย เทคนิคในการทำ 1. การร่อนแป้งจะทำให้แป้งฟู 2. การตีไข่(โดยให้เครื่องตี)ควรใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที เพราะถ้านานกว่านั้นจะฟูเกินไปและเป็นฟอง 3. การควบคุมเตาไฟฟ้าให้อุณหภูมิคงที่ (50 องศา) จะทำให้ทองม้วนสุกพอดี เสมอกัน 4. การควบคุมสูตรใช้การชั่ง ตวง วัด ให้ได้สูตรที่มาตรฐาน ขนมทองม้วนตะไคร้ มะกรูด ส่วนประกอบที่สำคัญ 1. แป้งมัน 1 ¼ ถ้วยตวง 2. แป้งสาลี 3 ช้อนโต๊ะ 3. น้ำตาลทราย ¼ ถ้วยตวง 4. น้ำตาลปีบ 3 ช้อนโต๊ะ 5. ไข่ไก่ (ไข่แดง) 1 ฟอง 6. เกลือป่น 1 ช้อนชา 7. กะทิ 1 ถ้วยตวง 8. งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ 9. งาดำ 2 ช้อนโต๊ะ 10. ตะไคร้สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 11. ใบมะกรูดหั่นฝอยสับละเอียด 1 ช้อนชา ขั้นตอนในการทำ 1. ผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน 2. ใส่น้ำตาลทราย น้ำตาลปีบ เกลือ ไข่ไก่ เคล้าให้เข้ากัน 3. ใส่กะทิทีละน้อยนวดให้เข้ากัน ใส่กะทิที่เหลือให้หมด ผสมให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ ใบ มะกรูด งาดำ งาขาว คนให้เข้ากัน 4. ทาน้ำมันบนพิมพ์ให้ทั่ว วางพิมพ์บนเตาให้ร้อน 5. หยอดขนมลงในพิมพ์ กดพิมพ์ให้เข้าหากัน วางพิมพ์บนเตาปิ้งให้ขนมสุกเหลือง 6. ใช้มีดเขี่ยขนมออกจากพิมพ์ รีบพับให้เป็นรูปตามต้องการเร็ว ๆ รอให้ขนมเย็น เก็บใส่ ขวด หรือกล่อง ที่มีฝาปิดสนิท หมายเหตุสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ได้ มีด้วยกันหลายชนิด เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด โหระพา


90 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร ขนมอบสมุนไพร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม คุกกี้ตะไคร้ ส่วนผสมต่างๆ มีดังนี้ 1. แป้งเค้ก 100 กรัม 2. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 280 กรัม 3. ตะไคร้ตากแห้งป่นละเอียด 25 กรัม 4. มาร์การีน 150 กรัม 5. เนยขาว 150 กรัม 6. ผงฟู 5 กรัม 7. น้ำตาลไอซิ่ง 100 กรัม 8. น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม 9. ไข่ขาว 2 ฟอง 10. เกลือป่น 5 กรัม วิธีทำ 1. เริ่มจาก ตีมาร์การีนกับเนยขาว ไข่ขาว น้ำตาลทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน ใส่ตะไคร้ ตีเข้าด้วยกัน อย่าตีนาน 2. ใส่แป้งคนพอเข้ากัน 3. ทาถาดด้วยเนยขาวบางๆ บีบส่วนผสมให้เป็นก้อนเท่าๆ กัน อบไฟ 170 -180 o C จนเหลือง เอาออกจาก เตาปล่อยให้เย็น บรรจุในภาชนะปิดสนิท


91 คุกกี้พริกขิง ส่วนผสม 1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 350 กรัม 2. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา 3. เนยสดชนิดเค็ม 250 กรัม 4. ไข่ไก่ 1 ฟอง 5. น้ำตาล 140 กรัม 6. เกลือ ¼ ช้อนชา 7. น้ำพริกแกงเผ็ด 1- 1 ½ ช้อนโต๊ะ 8. ใบมะกรูดซอยละเอียดเล็กน้อยสำหรับโรยหน้า 9. ถุงบีบและหัวบีบรูปดาว ขั้นตอนในการทำ 1.อุ่นเตาอบด้วยไฟบนล่างไว้ที่อุณหภูมิ180 เซลเซียส 2.ร่อนแป้งและเบคกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน พักไว้ 3. ตีเนยด้วยความเร็วปานกลางจนนิ่ม ค่อยใส่น้ำตาลและเกลือ ลงไป ตีด้วยความเร็วสูง จนส่วนผสม ขึ้นฟูขาว ลดเป็นความเร็วกลาง ค่อยๆ ใส่พริกแกงลงไปตีจนเข้ากัน แล้วจึงใส่ไข่ ลดความเร็วต่ำ ใส่แป้งที่ร่อนไว้ ลงไป ตีให้ส่วนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ปิดเครื่อง ตักใส่ถุงบีบที่มีหัวบีบรูปดาวใส่ไว้แล้วใส่แป้งที่ร่อน ตะไคร้ซอย ละเอียด พร้อมผงฟู นมผง (ตีพอเข้ากัน) 4. อบไฟบนล่าง 175 องศา เวลา 15 นาที


92 เค้กกล้วยหอม • กล้วยหอมสุกบด 200 กรัม (ประมาณ 3 ลูก ขนาดกลาง) • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา • น้ำตาลทราย 180 กรัม ( ประมาณ 12 ช้อนโต๊ะ) • แป้งเค้ก 200 กรัม ( ประมาณ 29 ช้อนโต๊ะ) • ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา • เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา • เกลือ 1/2 ช้อนชา • น้ำมันพืช 1 ถ้วย • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา • ไข่ไก่ 3 ฟอง • ท็อปปิ้งตามชอบ เช่น ลูกเกด อัลมอนด์สไลซ์ เป็นต้น วิธีทำเค้กกล้วยหอม ◆ บดกล้วยหอมให้ละเอียด (ควรใช้กล้วยที่สุกงอม จะได้ความหอมและเส้นใยที่สวยค่ะ) หลังจากนั้นบีบน้ำ มะนาวลงไป คนให้เข้ากัน และนำไข่และน้ำตาลใส่โถตี ตีด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 8 นาที จนขึ้นฟู ◆ หลังครบเวลาจะได้เนื้อเบทเทอร์ที่ข้น พักไว้ผสมแป้งเค้ก ผงฟู เกลือ และเบกกิ้งโซดา เข้าด้วยกัน ◆ ร่อนส่วนผสมแป้งใส่ลงชามเบทเทอร์ ตีผสมให้เข้ากันจนแป้งไม่เป็นเม็ดสีขาว หลังจากนั้นใส่กลิ่นวานิล ลาและน้ำมัน ตีผสมให้เข้ากัน ◆ เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วให้ใส่กล้วยที่บดไว้ ตีต่อส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีพักแป้ง 10 นาที จากนั้น ตักใส่ พิมพ์จีบเบอร์ โรยหน้าด้วยท็อปปิ้งตามชอบ ในภาพโรยด้วยอัลมอนด์สไลซ์กับลูกเกดค่ะ


93 ขนมปังกระเทียม สูตรเนยกระเทียม 1. เนยจืด (สำหรับนำไปต้มทำเป็นส่วนของจี 120 กรัม (จะได้จี ประมาณ80 กรัมนิดๆ) 2. เนยจืด (สำหรับตีกับน้ำตาล) 100 กรัม (ควรทิ้งคลายเย็นจะได้ตีง่าย) 3. น้ำตาลทราย 60 กรัม 4. นมผง 25 กรัม 5. เกลือ 4 กรัม 6. น้ำเปล่า 20 กรัม 7. กระเทียมสับละเอียด 70 กรัม วิธีทำ 1. ผสมเนยสดชนิดจืดอ่อนตัว กระเทียมสับ เกลือป่น พริกไทยป่น น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน เตรียมไว้ 2. ทาส่วนผสมเนยกระเทียมลงบนขนมปังแผ่นบางให้ทั่ว นำไปอบที่อุณหภูมิ 360 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 4-5 นาที หรือจนกระทั่งขนมปังกรอบ


94 เนื้อหาประกอบ หลักสูตร ข้าวเกรียบสมุนไพร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดโพธิ์รัตนาราม ข้าวเกรียบสมุนไพร เนื่องมีสมุนไพรที่มีประโยชน์และเป็นพืชพื้นบ้าน หาง่าย จํานวนมากที่มีสรรพคุณบํารุงร่างกาย เช่น ลด อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับลม เป็นต้น จึงได้คิดปรับปรุงนํามาเป็นส่วนผสมของข้าวเกรียบมีหลากหลายรส เช่น กระเพรา ตะไคร้กระเทียม ชวนให้น่ารับประทานสําหรับทุกเพศทุกวัย เครื่องปรุง ข้าวเกรียบสมุนไพร มีส่วนผสมต่อการทําข้าวเกรียบ 1 กิโลกรัม ส่วนผสมประกอบด้วย 1. พริกไทยป่น 2.5 ช้อนโต๊ะ 2. กระเทียม 2.5 ช้อนโต๊ะ 3. น้ําตาลทรายขาว 1.5 ช้อนโต๊ะ 4. เกลือป่น 1.2 ช้อนชา 5. แป้งมัน 1 กิโลกรัม 6. สําหรับสมุนไพรเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เช่น - ใบกะเพรา 2 กํามือ หรือ - ตะไคร้3 ถ้วยตวง - ตําลึง 2 ถ้วยตวง - น้ำอัญชัน 2 ถ้วยตวง


95 วิธีทา 1. นําส่วนผสมข้างต้นทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว 2. ใส่น้ําร้อน 1 ลิตร จากนั้นก็ใช้มือขยําให้ส่วนผสมเข้ากัน 3. ใส่สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่งตามอัตราที่กําหนดลงไป 4. นวดแป้ง ให้เข้ากัน จนแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน จึงนํามาปั้นเป็นแท่งความใหญ่ ความยาว 1 ฟุต 5. นําไปนึ่งราว 1 ชั่วโมง จนแป้งได้ที่พอดีจากนั้นก็นําไปแช่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา หรือแช่ตู้เย็น น้ําแข็ง 1-2 วัน 6. หลังจากที่แช่ตู้เย็นแล้วก็นําไปนั่นเป็นชิ้นบาง ๆ เท่า ๆ กัน หากชิ้นที่นั่นมีความหนาบางไม่เท่ากัน ก็จะทําให้เวลาไปทอดข้าวเกรียบจะสุกไม่ทั่วทั้งแผ่น 7. นําใส่กระด้งฝั่งแดดไว้1 แดด 8. นํามาทอดได้หรือขายขณะที่ยังไม่ทอดก็ได้ วัตถุดิบหลัก : สมุนไพร หรือพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลที่มีมากเกินความต้องการ วิธีการเก็บรักษา : เก็บไว้ในที่โปรงแสง ไม่อับชื้น ส่วนผสม : : แป้งมัน, น้ำตาล เกลือ, พริกไทยป่น ฟักทอง,ตระไคร้, อัญชัน คุณประโยชน์ : บํารุงหัวใจให้แข็งแรง บํารุงกระดูกและฟันช่วยลดพิษของสาร แปลกปลอมในร่างกาย คุณค่าทางยา ช่วยขับลมได้เป็นอย่างดี แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ วิธีการผลิต : : 1. นําวัตถุดิบมาบดหรือสับ แล้วลวกหรือต้มให้สุก 2. นําแป้งมัน, น้ําตาล, เกลือ, วัตถุดิบ, มานวดให้เข้ากัน 3. ตรงเห็นว่าสมุนไพรเป็นทั้งยาและอาหารประจําครอบครัว ชาติจะเจริญมั่นคงได้ก็ด้วยครอบครัวเล็กๆ ที่มีความมั่นคง แข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ทั้งทางกาย และจิตใจ จึง ทรงมีพระกรุณา ข้าวเกรียบสมุนไพร [ออนไลน์]. [อ้างถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2565]. เข้าถึงจาก https://www.l3nr.org/posts/414279


96 ข้าวเกรียบฟักทอง ส่วนผสม 1. แป้งมัน 2 ถ้วยตวง 2. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา 3. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา 4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา 5. กระเทียมสับ 1 หัว 6. ฟักทอง 250 กรัม วิธีทำ 1. มาเตรียมส่วนประกอบกันก่อนนะคะ 2. นำแป้งมัน ผสมกับเกลือ + พริกไทยบ่น + น้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน 3. พอผสมเข้ากันแล้ว ใส่ฟักทองนึ่ง (นึ่ง 30 นาที) นวดให้เข้ากัน 4. พอเข้ากันเรียบร้อยแล้วปั้นเป็นก้อนยาวๆ 5. นำไปนึ่ง 45 นาที พอสุกแล้ว รอให้เย็นใช้แร๊ปอาหาร แร๊ปเข้าตู้เย็นช่องแข็งประมาณ 1 คืน 6. แล้วนำออกมาจากตู้เย็น ใช้มีดสไลด์ผลไม้ค่อยๆสไลด์ให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วนำไปตากแดด สัก 1-2 แดด 7. พอแห้งเรียบร้อยแล้วนำ ไปถอดในน้ำมัน จะพองตัวน่ารับประทานเลยคะ. ที่มา : ttps://www.wongnai.com/recipes/ugc/97150342f8cd4200bbe88dedf58c450b?ref=ct


Click to View FlipBook Version