The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วรุธ สันราษฎร์, 2023-02-11 11:41:53

รายงานเชิงสังเคราะห์และวิเคราะห์การเปรียบเทียบประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้กับประเทศไทย

การเปรียบเทียบประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้กับประเทศไทย

Keywords: การเปรียบเทียบประเทศเกาหลีกับประ

45 ผลการศึกษา ป๎ญหาเกี่ยวกับการกระจายอ านาจสู่สถานศึกษา เกิดจากกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งกฎหมาย ดังกล่าวในทางปฏิบัติพบว่า อ านาจในการจัดการศึกษายังกระจุกรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษายังไม่ได้รับการกระจายอ านาจอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็นตัวแทนส่วนกลางอยู่ในส่วนภูมิภาค และในส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ไม่มีส่วนร่วมในการเข้าไปมีส่วนในการจัก การศึกษาอ านาจการตัดสินใจยังคงต้องให้ส่วนกลางเป็นผู้ตัดสินใจ การวิเคราะห์บทความ ป๎ญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอ านาจสู่สถานศึกษา รัฐควรกระจายอ านาจไปยังโรงเรียนโดยตรง เพราะจะส่งผลให้สถานศึกษาปฏิบัติงานได้คล่องตัว เป็นผลดีต่อการจัดการศึกษา รัฐจึงต้องแก้ไขกฎหมายให้มี การกระจายอ านาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังเช่นหลายประเทศที่ได้กระจายอ านาจสู่สถานศึกษาโดยตรง ซึ่ง ผู้วิจัยได้ท าการเปรียบเทียบมาตรการกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศในการกระจายอ านาจทาง การศึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ บทความเรื่องที่ 4 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้(บุญ รอด โชติวชิรา, 2564) ผู้วิจัย บุญรอด โชติวชิรา วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาสภาพป๎จจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 2. วิเคราะห์ป๎จจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 3. พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 4. น าเสนอแนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี


46 ระเบียบวิธีวิจัยและกลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามีกลุ่มที่ 1 อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยในระดับปริญญาตรี จ านวน 35 คน อาจารย์สอนภาษาไทยที่เป็นคนเกาหลีใต้ 2 สถาบัน จ านวน 14 คน โดยใช้วิธีการเลือกมหาวิทยาลัยแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มที่ 2 นักศึกษาเกาหลีใต้ที่แลกเปลี่ยนมาเรียนภาษาไทยที่ประเทศไทย จ านวน 30 คน และนักศึกษาเกาหลีใต้ที่เรียน วิชาเอกภาษาไทยทั้งในมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทยและมหาวิทยาลัยที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ และ นักศึกษาเกาหลีใต้ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 - 4 ที่เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอกในมหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษา และกิจการต่างประเทศ และมหาวิทยาลัย ปูซานภาษาและกิจการต่างประเทศ จ านวน 80 คน โดยใช้วิธีการ เลือกด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการ วิจัยประกอบดัวย ตารางการวิเคราะห์หลักสูตรแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพป๎จจุบันของการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของหลักสูตรฯ และแบบสอบถามเกี่ยวกับป๎จจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของ แบบตรวจสอบร่างรูปแบบการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของหลักสูตรและแนวทางการจัดการศึกษาที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จ านวน 9 คน โดยใช้วิธีการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษา 1. ผลการวิเคราะห์และศึกษาสภาพป๎จจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการ จัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านแนวคิดการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับ ปริญญาตรี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ใต้ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 2) ด้านการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากเหมือนกัน 3) ด้านการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีให้แกนกศึกษาเกาหลีใต้มีความ คิดเห็นอยู่ในระดับมากเหมือนกัน 2. ผลจากการวิเคราะห์ป๎จจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านบริบทหรือภาวะแวดล้อมภายนอก มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ด้านป๎จจัยน าเข้า มีความ คิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์จากมหาวิทยาลัยใน ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง และ 4) ด้านผลผลิต มีความคิดเห็นอยู่ใน ระดับมากเหมือนกัน 3. ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้โดยใช้ชื่อว่า “บิบิมบับโมเดล” (Bibimbab Model) ซึ่งประกอบด้วยหลักการและเหตุผล


47 วัตถุประสงค์และประเด็นหลักออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศเกาหลี ใต้ 2) หลักสูตรที่เน้นการศึกษาข้ามวัฒนธรรม 3) คุณลักษณะของผู้สอนและผู้เรียน 4) เอกลักษณ์ของการ จัดการเรียนการสอน 5) หัวใจของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรม 6) จุดเด่น ของการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรม 4. แนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยใน ฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ได้แนวทาง ทั้งหมด 7 ด้าน วิเคราะห์บทความ การน าเสนอแนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ โดยน าเสนอแนวทางออกเป็น 7 ด้าน ประกอบด้วย 1) แนวทางการบริหารจัดการการศึกษาข้ามวัฒนธรรม ของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีใน มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ 2) แนวทางการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ 3) แนวทางและเทคนิคเฉพาะของการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ 4) แนวทางการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาระหว่างประเทศ ไทยและประเทศต่าง ๆ 5) แนวทางด้านการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ 6) แนวทางด้านการส่งเสริม การเงินและการจัดสรรงบประมาณ 7) แนวทางด้านการประเมินและติดตามผล แนวทางดังกล่าวมาทั้งหมด ข้างต้นจะสามารถน าไปปรับและประยุกต์ใช้ได้จริงในการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตร บทความเรื่องที่ 5 การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี(วรินทร บุญยิ่ง, การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี, 2556) ผู้วิจัย วรินทร บุญยิ่ง วัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพป๎จจุบันของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจุดเน้นของการพัฒนาประเทศ 2) เพื่อวิเคราะห์ระบบการศึกษา 3) เพื่อวิเคราะห์จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี


48 ระเบียบวิธีวิจัยและกลุ่มตัวอย่าง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษาสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จากนักวิจัยที่เคยมีประสบการณ์ การศึกษาภาคสนามเรื่อง “การสังเคราะห์รูปแบบ กระบวนการ และ เทคนิควิธี ในการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม และสาธารณประโยชน์ของสาธารณรัฐเกาหลี” เน้นวิธีวิเคราะห์เอกสารและตรวจสอบความตรงเชิง เนื้อหาโดย ผู้ทรงคุณวุฒิที่ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่งตั้งขึ้น ผลการศึกษา 1. สาธารณรัฐเกาหลี เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีภูมิอากาศที่อบอุ่นมีความหนาแน่นของ ประชากร 500 คน/ตร.กม. ใช้ภาษาเกาหลีเป็นภาษาราชการ มีการปกครองระบบประชาธิปไตย ประชาชน นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนคือกระทรวงศึกษาธิการวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีและมีการกระจายอ านาจการบริหารจัดการด้านการศึกษาภายใต้กรอบนโยบาย และแนวทางที่ ชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนสาธารณรัฐเกาหลี สามารถการพัฒนาทักษะการคิดเชิงเหตุผลและการอยู่ร่วมกันบน ความแตกต่างท าให้มีจุดเน้นการพัฒนาการศึกษาควบคู่กับความเจริญก้าวหน้าของประเทศ 2. การศึกษาในระบบนั้น สาธารณรัฐเกาหลีน ามาใช้ คือ 6-3-3-4 โดย เป็นการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี เป็นการศึกษาแบบให้เปล่า 9 ปี และเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) การจัดการศึกษาต้องมี เสรีภาพทางวิชาการ ความเชี่ยวชาญพิเศษ มีความเป็นกลางทางการเมือง ความเป็นอิสระโดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยจะต้องรับประกันตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย ส าหรับวันเรียนในแต่ละปีการศึกษาก าหนดให้โรงเรียน ประถม มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย จะต้องมีวันเรียนไม่น้อยกว่า 220 วัน ส่วนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวิทยาลัยครู และวิทยาลัยอาชีวศึกษา จะต้องมีวันเรียนไม่น้อยกว่า 32 สัปดาห์ ต่อปี 3. ก าหนดวิสัยทัศน์หลักสูตร “การส่งเสริมการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐานส าหรับการ สร้างประเทศสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว”การบริหารจัดการหลักสูตร โดยจัดแบ่งเป็นหลักสูตรกลาง ส าหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-มัธยมศึกษาปีที่ 3 และหลักสูตรเลือกส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 และ จุดเน้นการพัฒนาผู้เรียน ระดับประถมศึกษา เน้นการปลูกฝ๎งทักษะและการฝึกฝนเบื้องต้นที่จ าเป็นในการใช้ ชีวิตประจ าวัน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เน้นการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะพื้นฐานที่จ าเป็นในการใช้ ชีวิตประจ าวัน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ไปสู่อนาคตที่เหมาะกับความ ถนัดและพรสวรรค์ของนักเรียนตลอดจนเสริมสร้างความเป็นตัวตนของตนเองในฐานะประชาคมโลก วิเคราะห์บทความ 1. เมื่อสภาพสังคม เศรษฐกิจและการเมืองเปลี่ยนไปจึงมีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อวางทิศทางส าหรับ ศตวรรษที่ 21 สาธารณรัฐเกาหลีจึงประกาศนโยบายและแผนการศึกษา ปี ค.ศ. 2010 โดยมีวิสัยทัศน์ว่า “การ ส่งเสริมการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในฐานะเป็นฐานส าหรับการสร้างประเทศสู่ความเป็นประเทศที่ พัฒนาแล้ว


49 2. ระบบการศึกษาที่มีฐานกว้าง (Broad-based Education) คือ พลเมืองทุกคนมีสิทธิ์ได้รับโอกาส ทางการศึกษาเท่าเทียมกัน เด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาระดับประถม มัธยมศึกษาตอนต้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย และมหาวิทยาลัย ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย คือ 6-3-3-4 โดยเป็นการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี 3. มีจุดเน้นเพื่อสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนและความคิด สร้าง สร รค์ เป็นก า ร สร้ าง ทรัพยากรมนุษย์ที่มีสร้างสรรค์ โดยการปลูกฝ๎งคุณธรรมอย่างเป็นระบบ และเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละ ระดับชั้นโรงเรียนมีการลดรายวิชาที่ไม่ส าคัญ และบูรณาการการปลูกฝ๎งคุณลักษณะที่พึงประสงค์เข้าไปในทุก รายวิชา ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย การศึกษาเปรียบเทียบความคล้ายคลึงและความแตกต่างของการบริหารจัดการสถานศึกษาใน 4 ด้าน ไว้อย่างละเอียด ซึ่งท าให้เห็นความแตกต่างของการจัดการศึกษาของไทยและเกาหลีใต้ได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ไม่เน้นการทดสอบเพราะว่าจะท าให้เด็กเกิดความเครียดในการเรียนรู้ แต่จะเน้นการ ปฏิบัติลงมือท าจริงและเน้นให้เด็กได้มีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนประเทศไทยเน้นการวัดผลอิงเกณฑ์มาตรฐานที่ ก าหนดโดยรัฐบาลมากกว่าการประเมินผลตามสภาพจริง จึงมีข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการศึกษาของ ประเทศไทย ดังนี้ 1. หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรส่งเสริมให้ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษาเป็น วิชาชีพชั้นสูง มีการก าหนดอัตราเงินเดือนที่สอดคล้องกับภารกิจความรับผิดชอบ สนับสนุนการสอนโดยการ ส่งเสริมเส้นทางสายวิชาชีพ 2. หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต้นสังกัดของโรงเรียน ควรกระจายอ านาจไปสู่ โรงเรียนให้มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายโอนอ านาจการบริหารงานบุคคลเพิ่มขึ้น ให้โรงเรียนมีบทบาทในการคัดเลือกบุคลากรได้ด้วยตนเอง และมีอิสระในการพัฒนาครูตามความต้องการ จ าเป็นรายบุคคล และความต้องการจ าเป็นของโรงเรียนให้โรงเรียนมีส่วนร่วมในการสรรหาบุคคลากรตาม ความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ การสร้างนวัตกรรมการบริหารและจัดการสถานศึกษา เป็นสิ่งจ าเป็นที่ต้องท าไปพร้อม ๆ กับการสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนจะส าเร็จได้ต้อง อาศัยภาวะผู้น าและระบบการบริหารที่เอื้ออ านวยส่งเสริมและสนับสนุน จากบทเรียนของเกาหลีล้วนเป็น ประเทศที่พัฒนาขึ้นมาได้ด้วยการให้การศึกษาแก่ประชาชนมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่องเอาจริงเอาจัง 1. ระบบการบริหารและจัดการสถานศึกษา ควรพิจารณาให้อ านาจและความเป็นอิสระแก่สถานศึกษา มากขึ้น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนในเรื่องวิชาการ การร่วมจัดประสบการณ์ให้ ผู้เรียน ไม่ใช่เน้นการบริจาคเงินอย่างเดียว 2. การบริหารงานวิชาการ เพื่อเตรียมคนไทยให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และมีความพร้อมสาหรับ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้ในศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอนต้องเน้นการปลูกฝ๎งทักษะความคิด สร้างสรรค์ คิดนวัตกรรม หลักสูตรมีความหลากหลายและยืดหยุ่น สอดคล้องกับความต้องการ ความถนัด และ


50 ความสนใจของผู้เรียน น าเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น การระบาดของโรค COVID-19 ท าให้ สถานศึกษาจ าเป็นต้องจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ แต่ที่ส าคัญที่สุด คือ ต้องเน้นการสร้างแรงจูงใจใฝุรู้ ให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง 3. การบริหารงานบุคคล ควรมีเวทีให้ครูได้พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษา และสร้าง วัฒนธรรมการประเมินโดยเพื่อนครู (Peer Review) เหมือนของประเทศเกาหลี ซึ่งพบว่าท าให้การเรียนการ สอนมีคุณภาพ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น 4. การบริหารงบประมาณ ในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารงบประมาณ ควรมีการเปิดเผยข้อมูล การจัดซื้อจัดจ้างต่อสาธารณะ และควรน าระบบเลขประจ าตัวประชาชนมาใช้เพื่อลดป๎ญหาความซ้ าซ้อนของ จ านวนผู้เรียน การบริหารงบประมาณควรมุ่งใช้จ่ายงบประมาณเพื่อ “ประโยชน์ของผู้เรียน” เป็นส าคัญ เพื่อ ปูองกันไม่ให้เกิดการรั่วไหลและคอรัปชั่นเหมือนกรณีสนามฟุตซอล ซึ่งลงทุนสร้างแล้วใช้ไม่ได้ ก่อให้เกิดความ เสียหายต่องบประมาณของประเทศ ผู้เรียนสูญเสียโอกาสได้พัฒนาด้านกีฬา 5. การบริหารงานทั่วไป กระทรวงฯ ควรน าระบบข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล สารสนเทศของสถานศึกษาได้ครบถ้วนและทันสมัย จะได้มีข้อมูล real time ส าหรับการวางแผน การพัฒนา และการติดตามผลการเรียนของผู้เรียนได้ พัฒนาและแนะนาระบบซอฟท์แวร์ส าหรับการบริหารสถานศึกษา


51 บรรณานุกรม กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว. (2016). เรื่องราวในวันวานและปัจจุบันของเกาหลี. สืบค้น 10 กุมภาพันธ์ 2566 จาก https://www.korea.net การเมืองการปกครอง (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ การศึกษา (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ การก่อตั้งประเทศ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ขจัด ขจรเกียรติดุง, เพิ่ม หลวงแก้ว, และ ก าพล วันทา. (2563). ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอ านาจ สู่สถานศึกษา. วารสารป๎ญญาปณิธาน, 1(5), 256-265. โครงสร้างการจัดการศึกษาประเทศเกาหลี. (2563). 2020 Education in Korea. สืบค้น 1 กุมภาพันธ์ 2566 จากhttp://english.moe.go.kr/sub/infoRenewal.do?m=0301&page=0301&s=english จิรประภา อัครบวร. (2559). 5 ทศวรรษ การพัฒนาคนเกาหลีใต้. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์กรกนก การพิมพ์. ณัฐฉน ฟูเต็มวงศ์, วีรวิชญ์ ปิยนนทศิลป์, คมศิลป์ ประสงค์สุข, และ ศุภัครจิรา พรหมสุวิชา. (2563). บริบท การผลิตครูของต่างประเทศ: บทเรียนที่สามารถปรับใช้ในประเทศไทย. วารสารวิชาการ สถาบัน วิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค, 2(7), 46-57. ตราสัญลักษณ์มหาวิทยาแห่งชาติโซล. (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ตราสัญลักษณ์มหาวิทยาเกาหลี. (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเกาหลี ตราสัญลักษณ์มหาวิทยาย็อนเซ. (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยย็อนเซ ตราแผ่นดิน (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://www.wikiwand.com/th/ตราแผ่นดินของเกาหลีใต้ นิรุกติศาสตร์ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ บุญรอด โชติวชิรา. (2564). รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐ เกาหลีใต้. วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี, 1(12), 271-232. บริบทประเทศสาธารณรัฐเกาหลี. (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้


52 ประชากร (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ฝุายนิติบัญญัติ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ฝุาบริหาร (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ฝุายตุลาการ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ภูมิศาสตร์ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ภูมิรั ฐศ าสต ร์ และก า รเลื อกตั้ง (256 5) . สืบค้น เมื่อ วันที่ 10 กุมภ าพัน ธ์ 2566, จ าก https://www.csdi.or.th/2021/09/lessons-from-south-korea/ ภูมิอากาศ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ยุคประชาธิปไตย (1997-ป๎จจุบัน) (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ รัฐธรรมนูญ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ ลภัสรดา ศิริมานิตย์. (2562). พัฒนาการการศึกษาของเกาหลีใต้ตั้งแต่ ค.ศ. 1960 – ปัจจุบัน. หลักสูตร ปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต , มหาวิทยาลัยศิลปากร, สาขาวิชาเอเชียศึกษาศึกษา, นครปฐม. วรินทร บุญยิ่ง (2553). รายงานการวิจัย เรื่อง การสังเคราะห์รูปแบบ กระบวนการ และเทคนิควิธีในการจัด กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของสาธารณรัฐเกาหลี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา สกสค. วรินทร บุญยิ่ง. (2556). การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี. วารสาร ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2(15), 97-107. วันสถาปนาประเทศเกาหลี – ที่มาและความส าคัญ. (2021). สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2566 จาก japaikorea.com: https://www.japaikorea.com/korea-national-foundation-day/ ศาสน า (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกร าคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ เศรษฐกิจ (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ สุรัสวดี หุ่นพยนต์, อ าพา แก้วก ากง, และ วทัญํู ใจบริสุทธิ์. (2560). การกระจายอ านาจทางการศึกษาจาก นโยบายสู่การปฏิบัติ: กรณีศึกษาเปรียบเทียบสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


53 กรณีศึกษาเปรียบเทียบสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยและเกาหลี ใต้. วารสารสถาบันพระปกเกล้า, 2(15), 49-69. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2564). นวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในประเทศไทยและ ประเทศที่คัดสรรเพื่อพัฒนาผู้เรียนสู่ศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: กลุ่มมาตรฐานการศึกษา ส านัก มาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ. (2561). รูปแบบและกลไกการเสริมสร้างวินัยใน สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศเกาหลีใต้. กรุงเทพฯ: กลุ่มพัฒนานโยบายด้าน การเรียนรู้ ส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. สัญลักษณ์ประเทศเกาหลี. (2565). ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเกาหลีใต้ หยัด ขจรเกียรติผดุง, เพิ่ม หลวงแก้ว, และ ก าพล วันทา. (2563). ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจาย อ านาจสู่สถานศึกษา. วารสารป๎ญญาปณิธาน, 5(1), 255-268. เอกพล ดวงศรี, และ ออมฮยอนจู. (2564). เคมู้ก : แพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิตในยุคดิจิทัลของเกาหลี ใต้. ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 5(2), 40-53. Jeong, E. (2020). Education Reform for the Future: A Case Study of Korea. International Journal of Education and Development using Information and Communication Technology (IJEDICT), 3(16), 66-81. Ministry of Education. (2020). Education in Korea. Ministry of Education. Ministry of Education. (2566). english.moe.go.kr. Retrieved กุมภาพันธ์1, 2566, from Ministry of Education: http://english.moe.go.kr/main.do?s=english


54 ภาคผนวก


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 49 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ: กรณีศึกษาเปรียบเทียบสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของประเทศไทยและเกาหลีใต้ สุรัสวดี หุ่นพยนต์* อำพา แก้วกำกง** วทัญญู ใจบริสุทธิ์*** * อาจารย์ประจำศูนย์ส่งเสริมและประสานงานการวิจัยเพื่อการปกครองตนเองของท้องถิ่น (ศูนย์สปวท.) และวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รองศาสตราจารย์) ** นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ *** นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Decentralization in Education from Policy to Practice: a Comparative Study of Educational Institutions Supervised by Local Administrations in Thailand and South Korea บทคัดย่อ โครงการวิจัยนี้เป็นผลการศึกษาในระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ การบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยและ เกาหลีใต้ตามกรอบการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานใน 4 ด้าน คือ วิชาการ การบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการบริหารงานทั่วไป อาศัยวิธีวิจัย เชิงเอกสารและการศึกษาภาคสนามร่วมกับการสัมภาษณ์โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจงเป็นกรณีศึกษาโรงเรียนของไทยกับเกาหลีใต้จำนวน 4 แห่ง ผลการศึกษา พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยและเกาหลีใต้มีจุดเด่นและอุปสรรคในการ บริหารจัดการสถานศึกษาที่แตกต่างกัน คือ โรงเรียนของไทยยังขาดความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการศึกษา โดยเมื่อเปรียบเทียบแล้วการบริหารจัดการด้านวิชาการ ของไทยมีความเป็นอิสระมากกว่าการบริหารด้านอื่นๆ ขณะที่โรงเรียนของเกาหลีใต้ ได้รับการกระจายอำนาจการบริหารการศึกษาจากหน่วยงานต้นสังกัดค่อนข้างมาก สามารถบริหารจัดการด้านวิชาการ งบประมาณ บุคคล และการบริหารทั่วไปอย่าง


50 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ อิสระ อาทิโรงเรียนมีอิสระในการเลือกเนื้อหาที่จะบรรจุในหลักสูตร การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียน การสอน การตัดสินใจในการบริหารงานบุคคลภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา คำสำคัญ : การกระจายอำนาจทางการศึกษา, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประเทศเกาหลีใต้ Abstract This research is the second phase of the research project on “Educational Administration and Management under the Concept of Decentralization: the Comparative Study of Local Administration Organizations in Thailand and South Korea”. The project aims to conduct a comparative study addressing school administration and management of local administrations in Thailand and South Korea. The research uses the framework of School Based Management (SBM), covering academic affairs, personnel management, budget management, and general administration. The data is gathered from documentary research, field work, and interviews. This research finds that local administrations of Thailand and South Korea have different features and obstacles in regard to school administration and management. For Thailand, in practice, schools organized by local administrations lack full authority in educational administration and management. There is greater independence in management of academic affairs than in the other three operational aspects. For South Korea, schools are transferred authority for educational administration and management from the center. Schools can manage their own academic affairs, budget, human resources, and general administration independently. For example, schools have independence in selecting content in the school curriculum, applying educational technology, and making decisions on personnel management under a School Management Committee (SMC). Keyword : Educational Decentralization, Educational Institution, Local Administration, Thailand, South Korea


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 51 บทนำ ในโลกปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคของข้อมูลข่าวสารที่ขับเคลื่อนให้ เป็นสังคมแห่งความรู้การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ตลอดจนการเสริมสร้างศักยภาพด้านการเรียนรู้และ ปรับตัวอย่างเหมาะสมเท่าทันการเปลี่ยนแปลงใน ศตวรรษที่ 21 ถือเป็นกุญแจสำคัญในการนำประเทศไปสู่ การพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าในทุกมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งประเทศไทยและเกาหลีใต้ ต่างเดินหน้าขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปการศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง โดยการกระจายอำนาจการศึกษาสู่ ท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาที่ทั้ง สองประเทศนำมาปฏิบัติเพื่อเป้าหมายในการสร้างสรรค์ สังคมแห่งการเรียนรู้ เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่ประสบความ สำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาและสามารถก้าวสู่สังคม ฐานความรู้ได้อย่างมั่นคงและมีศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการจัดระบบการศึกษาแนวใหม่ให้สอดคล้องกับ กระบวนการโลกาภิวัตน์ตลอดจนการปรับปรุงด้านต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมประชาคมทางการศึกษา เพื่อสร้าง การมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา และการกระจาย อำนาจการศึกษาสู่ท้องถิ่น (สำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, 2549) ขณะที่ประเทศไทยตระหนักถึง ความท้าทายในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้จึงได้ขับเคลื่อน นโยบายต่างๆ เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพ ในการเรียนรู้หนึ่งในนั้นคือการปฏิรูปการศึกษาและ การกระจายอำนาจการบริหารจัดการการศึกษาสู่ท้องถิ่น เพื่อเป้าหมายในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง โดยเน้นการกระจายอำนาจการศึกษาสู่สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การมีส่วนร่วมสนับสนุนการศึกษา ตลอดจน การพัฒนาเนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่าง สม่ำเสมอ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2552) อย่างไรก็ตาม ผลการปฏิรูปการศึกษาตลอดสิบปี ที่ผ่านมาของไทย มีทั้งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น บางประเด็นได้รับการขับเคลื่อนจนประสบผลสำเร็จตาม ตัวชี้วัดที่จัดทำขึ้น ขณะเดียวกันยังมีบางประเด็นที่ไม่ เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมาย ในทางปฏิบัติที่ยังมี อุปสรรคหลายประการ (สำนักงานเลขาธิการสภา กา ร ศึ กษ า , 2 5 5 2 ) ดัง นั้ น โ ค รง ก า ร วิ จั ย นี้ จึง มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการ สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย และเกาหลีใต้ใน 4 ด้าน คือ วิชาการ การบริหารงาน บุคคล งบประมาณ และการบริหารงานทั่วไป เนื้อหาที่ จะได้นำเสนอในบทความนี้มุ่งเน้นศึกษาในระดับปฏิบัติ การซึ่งเป็นผลการวิจัยในระยะที่ 2 แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเริ่มต้นด้วยการทบทวนกรอบแนวคิด การบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานและ การบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่สองเป็นระเบียบวิธีวิจัยและกระบวนการศึกษา ถัดมาเป็นการนำเสนอผลการศึกษาและการอภิปราย และในส่วนสุดท้ายคือบทสรุปและข้อเสนอแนะ 1. กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับปฏิบัติการของไทย และเกาหลีใต้ได้ใช้กรอบแนวคิดการบริหารจัดการ ศึกษ าโดยใช้โรงเรียนเป็นฐ าน (School Based Management-SBM) ร่วมกับแนวทางการบริการจัดการ ศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (School Based Management for Local Development: SBMLD) สามารถสรุปได้ดังนี้ 1.1 การบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เป็นแนวคิดที่เริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1980 จากกระแสการเปลี่ยนแปลงการกระจายอำนาจ การบริหารการศึกษามาสู่สถานศึกษา สาระสำคัญของ การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานคือ การกระจาย


52 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ อำนาจจากส่วนกลางและเขตพื้นที่การศึกษาไปยัง สถานศึกษา ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการบริหาร จัดการแบบมีส่วนร่วม (participation) สำหรับใน ประเทศไทยแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูป การศึกษา ซึ่งกำหนดเนื้อหาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 โดยสาระสำคัญ ของการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานจาก การทบทวนแนวคิดของนักวิชาการสามารถสรุปได้ว่า เป็นกลยุทธ์ในการทำให้โรงเรียนมีการบริหารงานอย่างมี ประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลในรูปแบบที่ยืดหยุ่นและ คล่องตัวภายใต้แนวคิดการกระจายอำนาจ อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของ การจัดการศึกษา หากแต่เป็นเงื่อนไขที่จะช่วยให้การ พัฒนาการศึกษามีประสิทธิภาพ ผลการปฏิบัติงาน มีคุณภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการบริหารและ จัดการศึกษาอย่างแท้จริง โดยผู้มีส่วนได้เสียจาก ภาคส่วนต่างๆ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการ ตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ บุคลากร และ วิชาการ ให้เป็นไปตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนอีกด้วย (อุทัย บุญประเสริฐ, 2545, บุญมีเณรยอด, 2546, พร้อมพิไล บัวสุวรรณ, 2550) 1.2 หลักการกระจายอำนาจการบริหารและ การจัดการศึกษา ปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติมาตรา 39 ที่กำหนดให้กระทรวงกระจาย อำนาจการบริหารจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรง 4 ด้าน ได้แก่ วิชาการ งบประมาณ การบริหารงาน บุคคล และการบริหารทั่วไป ในการนี้สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2548) และวสันต์ สัตยคุณ (2554) ได้สรุปหลักการสำคัญของการบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไว้ได้แก่ (1) หลักการกระจาย อำนาจไปยังสถานศึกษา (Decentralization) เป็นการ เพิ่มพลังอำนาจการตัดสินใจให้กับสถานศึกษา เป็นการ ลดการควบคุมจากส่วนกลาง (2) หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration or Involvement) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วน ต่างๆ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารและ จัดการศึกษา (3) หลักการคืนอำนาจการจัดการศึกษาให้ ประชาชน (Return Power to People) เป็นการคืน อำนาจการจัดการศึกษาสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้มีส่วน เกี่ยวข้องได้มีบทบาทในการจัดการศึกษามากขึ้น (4) หลักการบริหารตนเอง (Self-managing) เป็นการ มอบอำนาจให้โรงเรียนมีระบบการบริหารจัดการด้วย ตนเอง มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการดำเนิน งานตามความพร้อมและสถานการณ์ของโรงเรียน โดย หน่วยงานส่วนกลางมีหน้าที่เพียงกำหนดนโยบาย และ (5) หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) ที่เน้นความโปร่งใส การติดตามและประเมินผล เพื่อให้การศึกษามีคุณภาพและมาตรฐาน 1.3 รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียน เป็นฐานที่ใช้ยังไม่มีรูปแบบสำเร็จที่แน่นอนตายตัว การบริหารการศึกษาต้องอาศัยการวิเคราะห์สถานการณ์ และพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของ โรงเรียนและชุมชน เพื่อให้การบริหารจัดการศึกษาเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้อุทัย บุญประเสริฐ (2545) และอรพรรณ พรสีมา (2546) ได้สรุปรูปแบบการบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไว้4 ประเภทคือ (1) รูปแบบที่มี ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก มีผู้บริหารเป็นประธาน คณะกรรมการ ส่วนกรรมการอื่นๆ มาจากการเลือกตั้ง ห รือคัดเลือกจ ากกลุ่มผู้ปกค รอง ค รูและชุมชน คณะกรรมการมีบทบาทให้คำปรึกษา แต่อำนาจ การตัดสินใจอยู่ที่ผู้บริหารโรงเรียน (2) รูปแบบที่มีครู เป็นหลัก ตัวแทนคณะครูจะมีสัดส่วนมากที่สุดใน คณะกรรมการโรงเรียน โดยมีผู้บริหารโรงเรียนเป็น ประธานคณะกรรมการโรงเรียน (3) รูปแบบที่ชุมชน มีบทบาทหลัก รูปแบบนี้ตัวแทนผู้ปกครองและชุมชน ในคณะกรรมการจะมีสัดส่วนในคณะกรรมการโรงเรียน มากที่สุด โดยมีผู้ปกครองและชุมชนเป็นประธาน


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 53 คณะกรรมการ (4) รูปแบบที่ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก โดยครูและผู้ปกครองต่างมีความสำคัญในการจัดการ ศึกษาให้แก่เด็ก สัดส่วนของครูและผู้ปกครอง (ชุมชน) ในคณะกรรมการโรงเรียนจะมีเท่าๆ กัน แต่มากกว่า ตัวแทนกลุ่มอื่นๆ 1.4 ขอบข่ายภารกิจการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการ ศึกษ าใน 4 ด้ านส ำคัญคือ วิช าก า ร งบป ระม าณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยัง คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาหรือสถานศึกษาในอำนาจหน้าที่ของตนแล้ว แต่กรณีโดยในทางปฏิบัติแล้ว ส่วนกลางต้องทำหนังสือ มอบอำนาจในแต่ละเรื่องไปยังหน่วยงานในเขตพื้นที่และ สถานศึกษาในสังกัด เพื่อให้เรื่องที่กระจายอำนาจไปแล้ว นั้น ได้รับก ารปฏิบัติให้เกิดคว ามรับผิดชอบและ ตรวจสอบได้จึงท ำให้มีก ารออกกฎหม ายรองรับ สถานศึกษาให้เป็นนิติบุคคลตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 เพื่อรองรับและสนับสนุน หลักการการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้าน ให้มีความเป็น รูปธรรมยิ่งขึ้น ส่วนขอบข่ายภารกิจการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐานใน อปท. สำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษา (2551) ระบุว่า การจัดระบบบริหารจัดการ ศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสอดคล้อง และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติต่างๆ เช่นเดียวกับข้าราชการครูสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทุกประการ และมีส่วนที่เพิ่มเติมที่แตกต่างจากโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวคือ (1) การบริหารวิชาการ ให้อปท. ยึดแนวทาง การบริหารวิชาการตามความมุ่งหมาย หลักการ และ แนวการจัดการศึกษาที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งท้องถิ่นได้ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนา หลักสูต รก า รเรียนก า รสอน ก ระบวนก า รเรียน รู้ โดยให้การสนับสนุนการอบรมพัฒนาครูและการส่งเสริม ให้ ชุม ชนเข้ าม ามี ส่ วน ร่ วมใน ก า ร จั ด ก า ร ศึ กษ า (2) งบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่ อปท. และสถานศึกษา ในสังกัดจากแหล่งที่มาของงบประมาณเพื่อการศึกษา เช่น เงินรายได้ของท้องถิ่น และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (3) การบริหารงานบุคคล อปท. จะบริหารในรูปแบบ คณะกรรมก าร ประกอบด้วย ก) คณะกรรมก าร มาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) ข) คณะกรรมการกลางข้าราชการหรือพนักงานส่วน ท้องถิ่น และ ค) คณะกรรมการกลางข้าราชการหรือ พนักงานส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด โดยคณะกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานกลางในการ แต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่งข้าราชการส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดโครงสร้างอัตราเงินเดือนและ ประโยชน์ตอบแทน (4) การบริหารทั่วไป อปท. มีการ กำหนดวิสัยทัศน์ให้จัดการศึกษาทุกระบบให้ประชาชน อย่างทั่วถึงอย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน มีการจัดทา แผนพัฒนาการศึกษา โดยผู้ร่วมประชุมวางแผนการ ศึกษาเป็นผู้บริหารโรงเรียน คณะนายกองค์การบริหาร ส่วนตำบล คณะเทศมนตรีครูและผู้ปกครองในสัดส่วน ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้อปท. ยังมีแนวความคิดพื้นฐานเรื่องการ บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น (SBMLD) โดยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน ในสังกัด อปท. ต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการ ของผู้เรียนทุกคน เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นพบศักยภาพหรือ อัจฉริยภาพของตนเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาให้มีความเป็น เลิศตามศักยภาพหรืออัจฉริยภาพของผู้เรียนแต่ละบุคคล สู่ความเป็นเลิศต่อไป หลักของการบริหารแบบ SBMLD


54 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ คือ หลักการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักการจัดการศึกษาตลอดชีวิต สู่ความเป็นเลิศตามศักยภาพหรืออัจฉริยภาพของผู้เรียน การจัดการศึกษาตลอดชีวิตของโรงเรียน (กรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น, 2558) สำหรับ กทม. เองก็ได้มีการพัฒนารูปแบบการบริหาร จัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัด โดยเป็นการ บูรณาการการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เข้าไปในมาตรฐานการจัดการศึกษาหรือที่เรียกกันว่า ม า ต ร ฐ านโรง เรี ยน SM A R T S CHOO L โ ด ยใน ปีงบประมาณ 2548 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใน ขณะนั้น (อภิรักษ์โกษะโยธิน) ได้ริเริ่มนโยบาย SMART SCHOOL เพื่อการพัฒนาคุณลักษณะของนักเรียน ครู และผู้บริหารของโรงเรียนในสังกัด กทม. พร้อมทั้ง กำหนดความหมายของคำว่า SMART ไว้ดังนี้คือ S (Success) หมายถึง การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ M (Mor al it y ) หม า ย ถึง ก า รเรี ยน รู้คู่คุณ ธ ร รม A (A ct i v it ies) หม ายถึง ก า รเรียน รู้คู่กิ จก ร รม R (Relativity) หมายถึง การเรียนรู้คู่ชุมชน และ T (Technology) หมายถึง การเรียนรู้คู่เทคโนโลยีทั้งนี้ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร (2556) ระบุว่า กทม. ได้กำหนดแนวทางในบริหารจัดการศึกษาตามหลักการ กระจายอำนาจเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 และเพื่อพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน การศึกษาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันตามความ หลากหลายในด้านคุณภาพของสถานศึกษาซึ่งมีความ แตกต่างกัน และให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษา นั้น ๆ นอกจากนี้กทม. ยังมีแนวทางในการพัฒนาด้าน คุณภาพสถานศึกษาตามกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2553 โดยมุ่งเน้นพัฒนาความเป็นเลิศของ สถานศึกษาให้มีมาตรฐานเดียวกัน และเป็นที่ยอมรับของ ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม โดยการประเมินคุณภาพ ภายในสถานศึกษา เพื่อเป็นแนวทางการประเมิน คุณภาพมาตรฐานโรงเรียนสังกัด กทม. ที่แต่ละโรงเรียน สามารถบริหารจัดการให้มีกระบวนการบริหารให้ สอดคล้องภายใต้องค์ประกอบ ตัวชี้วัด และให้เป็นไป ตามกรอบการประเมินมาตรฐานโรงเรียน ซึ่งประกอบ ไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ด้านการจัดการศึกษา มุ่งเน้นการ บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ประกอบด้วย 1 ตัวชี้วัด 4 ด้าน ได้แก่ งานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคคล และงานบริหารงานทั่วไป องค์ประกอบที่ 2 ด้านผลที่เกิดกับนักเรียน มุ่งเน้น คุณลักษณะผู้เรียนที่พึงประสงค์ประกอบด้วย 7 ตัวชี้วัด ซึ่งมีทั้งด้านความรู้ความสามารถ คุณธรรม และจิตใจ และอารมณ์ องค์ประกอบที่ 3 ด้านการเสริมความเข้มแข็งของ สถานศึกษามุ่งเน้นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของ สถานศึกษา และการมีส่วนร่วมของชุมชน เครือข่าย สถานศึกษาและภาคีความร่วมมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อ สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาสถานศึกษา 2. ระเบียบวิธีวิจัยและกระบวนการศึกษา การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ อาศัยวิธีวิจัย เอกสารและการศึกษาภาคสนามร่วมกับการสัมภาษณ์ มีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างและกรณีศึกษาแบบเจาะจง คือ สถานศึกษาจำนวน 4 แห่ง ที่สังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ในเขตเมืองหลวงคือมหานครโซล (Seoul Metropolitan Government) ในเกาหลีใต้และสังกัด อง ค์ ก รป ก ค ร อง ส่ วนท้ อง ถิ่น รูป แ บ บพิ เ ศ ษ คื อ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยาในประเทศไทย ได้แก่ โรงเรียนวิชูทิศ (สังกัดกรุงเทพมหานคร) โรงเรียน เมืองพัทยา3 (สังกัดการปกครองพิเศษเมืองพัทยา) โรงเรียน Kaewon Middle School และโรงเรียน Seoul Kaepo Elementary School สังกัดมหานคร โซล ส่วนกลุ่มตัวอย่างสัมภาษณ์คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 55 การบริหารจัดการสถานศึกษาของท้องถิ่น ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการศึกษาในระดับ สถานศึกษา ผู้นำชุมชน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการ กำหนดนโยบายและการนำนโยบายไปปฏิบัติ กรอบเนื้อหาในการวิจัยครอบคลุมสภาพและลักษณะ การบริหารจัดการการศึกษาของ อปท. ในภาพรวม และ การบริหารจัดการการศึกษาใน 4 ด้านหลัก คือ วิชาการ งบประมาณ บริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการบริหารจัดการ ศึกษา สำหรับกระบวนการวิจัยประกอบด้วย ขั้นตอน การวิจัยเชิงเอกสาร เป็นการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ เบื้องต้น ซึ่งมีการอ้างอิงจากฐานข้อมูลหลักทั้งใน ประเทศไทยและเกาหลีใต้อาทิกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและ การพัฒนา (OECD) ธนาคารโลก (World Bank) กระทรวงการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง เกาหลีใต้(Ministry of Education, Science, and Technology) สถาบันพัฒนาการศึกษาเกาหลีใต้ (Korean Educational Development Institute) แล ะ Center on Intern at ion al Edu c at ion Benchmarking เป็นต้น ขั้นตอนต่อมาคือการศึกษาข้อมูลภาคสนาม เป็นการ เก็บข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิโดยศึกษากรณีตัวอย่าง สถานศึกษาของท้องถิ่นในประเทศไทยและเกาหลีใต้ และศึกษาจากหน่วยงานหรือองค์กรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลทั้งในรูปแบบการศึกษาดูงาน การสังเกต และการสัมภาษณ์โดยเครื่องมือที่ใช้รวบรวม ข้อมูลภาคสนาม ได้แก่ แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง และการบันทึกข้อมูลภาคสนาม สำหรับกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ ข้อมูล (Key Informant) ในการวิจัยระยะที่ 2 มีดังนี้ ประเทศไทย 1) ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชูทิศเขตดินแดง สังกัด กทม. 2) ผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองพัทยา3 (วัดสว่างฟ้า พฤฒาราม) 3) หัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเมืองพัทยา3 (วัด สว่างฟ้าพฤฒาราม) 4) คณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนเมืองพัทยา 3 (วัดสว่างฟ้าพฤฒาราม) สายผู้นำชุมชน และสาย ผู้ปกครอง ประเทศเกาหลีใต้ 1) Principal of Seoul Kaepo Elementary School 2) Principal of Kaewon Middle School 3) Pr in c ipal of the Elementar y S chool attached to Seoul National University of Education 4) Director of Gangkuk Youth Center of the Metropolis of Seoul 5) Department Manager of Seoul Metropolitan Office of Education Designate of Youth Career Training Support Center 6) Former Chairperson of Seoul Jongno-gu, Office Childcare Policy Commission and Supervisor of Seoul Metropolitan Office of Education ขั้นตอนสุดท้ายคือการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษา ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารและการสัมภาษณ์ แล้วทำการตรวจสอบข้อมูลสามเส้าที่ได้มาจากแหล่ง


56 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ ที่ต่างกันเพื่อสะท้อนผลการบริหารจัดการศึกษาของ สถานศึกษาในสังกัด อปท. ให้ได้ผลการศึกษาที่มีความ แม่นยำมากยิ่งขึ้น แล้วนำเสนอโดยวิธีการพรรณนา วิเคราะห์ในการอธิบายสภาพหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น วิเคราะห์ความคล้ายคลึงและความแตกต่าง จุดเด่นและ จุดที่ต้องปรับปรุงตามกรอบการศึกษาทั้งในประเทศไทย และเกาหลีใต้ 3. ผลการศึกษาและอภิปราย จากการศึกษาการบริหารการจัดการศึกษาของ โรงเรียนในกำกับขององค์กรส่วนท้องถิ่นไทย (โรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา) และเกาหลีใต้ (โรงเรียนสังกัดมหานครโซล) พบว่า มีจุดเน้นร่วมกันของ การพยายามแก้ปัญหาการจัดการศึกษา โดยให้ความ สำคัญกับการจัดรูปแบบการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นพัฒนา คุณภาพมาตรฐานของนักเรียน และพัฒนาให้สถานศึกษา เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยยึดหลักการกระจาย อำนาจให้โรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการตนเอง อย่างเต็มที่และเหมาะสมกับศักยภาพ เปิดโอกาสให้ ชุมชนมีส่วนร่วม การให้สิทธิเสรีภาพและโอกาสที่ เท่าเทียมกัน ภายใต้การบริหารจัดการที่ยุติธรรม ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ ผลการศึกษาในประเทศไทยพบว่ามีแนวทางการ บริหารที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายใต้โรงเรียนเป็น ฐานตามความต้องการของนโยบายรัฐ แต่สภาพความ เป็นจริงโรงเรียนมีอิสระค่อนข้างน้อยในการบริหาร จัดการกิจการต่างๆ ของโรงเรียน การกระจายอำนาจ ของรัฐบาลท้องถิ่นลงไปและให้โอกาสโรงเรียนได้ดำเนิน การบริหารจัดการโรงเรียนของตนยังมีขีดจำกัด เช่น ระบบการตัดสินใจ ระบบการเงินงบประมาณเพื่อ การศึกษา ระบบการรับสมัครครูและระบบประเมิน คุณภาพสถานศึกษา ขณะที่การบริหารจัดการศึกษาของ โรงเรียนส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้มุ่งเน้นการบริหาร จัดการที่ให้โรงเรียนเป็นอิสระและการบริหารจัดการโดย ใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School autonomy and schoolbased management) ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ตัดสินใจการบริหารจัดการหลักสูตรการบริหาร จัดการ งบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคล ระบบการนิเทศ และระบบการประเมินผลภายใต้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งสามารถเพิ่มความเป็นอิสระ ความรับผิดชอบ และ ความหลากหลายของแต่ละโรงเรียนได้โรงเรียนสามารถ เพิ่มประสิทธิผลการทำงานจากระบบการบริหารโรงเรียน ที่จัดการตนเอง ทำให้โรงเรียนมีความรับผิดชอบ (accountability) ต่อระบบการศึกษามาก ข้อสรุปจาก การเปรียบเทียบความคล้ายคลึงและความแตกต่างของ การบริหารจัดการสถานศึกษาใน 4 ด้านมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 3.1 การบริหารจัดการด้านวิชาการ เนื่องจากประเทศไทยและเกาหลีใต้ต่างก็มีความ คล้ายคลึงกันในระบบความรับผิดชอบแบบสายยาวที่ รัฐบาลเป็นตัวคั่นกลางในระบบโดยรัฐบาลหรือหน่วยงาน ของรัฐ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง มีบทบาทสำคัญในการวางระบบของหลักสูตรและเนื้อหา ด้านวิชาการ ในด้านสาระของหลักสูตรทั้งของไทยและ เกาหลีใต้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ หลักสูตร แกนกลาง และหลักสูตรระดับท้องถิ่น ซึ่งโรงเรียนได้รับ การกระจายอำนาจการบริหารด้านวิชาการจากต้นสังกัด มากพอสมควร แต่ยังต้องอาศัยการประสานงานระหว่าง หน่วยงานฝ่ายบังคับบัญชา ต้นสังกัด ในขณะที่รัฐบาล กลางเป็นผู้กำหนดนโยบายและควบคุมการปฏิบัติงาน ของโรงเรียนให้ได้มาตรฐานระดับชาติโรงเรียนยังมีอิสระ ในการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรภายใต้ความต้องการของ ชุมชน ผู้เรียน และสังคมเป็นหลัก มีความคล่องตัวในการ กำกับติดตามการบริหารวิชาการ และการนิเทศภายใน เพื่อเส ริมส ร้ างค ว ามแข็งแก ร่งท างด้ าน วิช าก า ร


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 57 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, กระทรวงศึกษาธิการ, 2551; สำนักการศึกษาเมืองพัทยา, 2553; สำนัก การศึกษากรุงเทพมหานคร, 2556; Lee, 2014) ทั้งนี้ เกาหลีใต้จะมุ่งเน้นเป็นพิเศษในด้านการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้การให้ความสำคัญในการประเมิน ประสิทธิภาพการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และความมีอิสระสูงในการเปิดสอนรายวิชาที่จำเป็น แต่ละโรงเรียน (Lo & Gu, 2008; Ho 2006) ส่วนด้านปัญหาและอุปสรรคมีคล้ายคลึงกัน ระหว่างไทยและเกาหลีใต้คือ รัฐบาลกลางมีการสั่งการ การกำหนดหลักสูตรแกนกลางอย่างเคร่งครัด ในด้าน ความแตกต่างพบว่า ในเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับ การบริหารจัดการด้านการวัดและประเมินผลของ ผู้เรียนที่ไม่เน้นการทดสอบ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า การทดสอบสร้างความเครียดและไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ อย่างแท้จริง แต่อาศัยการวัดผลการเรียนรู้ผ่านการ ทำงานปฏิบัติลงมือทำจริง และใช้ความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการเรียนรู้เพื่อสร้างความแตกต่างจากการเรียนรู้ ตามแนวทางหลักการและทฤษฎี อีกทั้งเกาหลีใต้ยังมุ่ง เน้นการวิจัยพัฒนาเพื่อการเรียนรู้เช่น การมีโรงเรียน เพื่อการทดลองค้นคว้านวัตกรรม และองค์ความรู้ด้าน วิชาการใหม่ๆ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุก พื้นที่ (Korea Education Development Institute, 2010; Center on Internat ional Educat ion Benchmarking, 2015) ขณะที่ประเทศไทยยังเน้นการ วัดผลแบบอิงเกณฑ์ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนด โดยรัฐบาลกลางมากกว่าการประเมินผลตามสภาพจริง และพัฒนาการรายบุคคลของผู้เรียน (สำนักการศึกษา, 2553) ผลการศึกษาเปรียบเทียบการบริหารด้านวิชาการ ของสถานศึกษาไทยและเกาหลีใต้สรุปได้ดังแสดงใน ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 เปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับสถานศึกษา ในประเทศไทยและเกาหลีใต้ส่วนการบริหารจัดการด้านวิชาการ ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 1. มีการบริหารหลักสูตรแกนกลาง และหลักสูตรระดับ ท้องถิ่น โรงเรียนมีการพัฒนาสาระท้องถิ่นของตนเอง หลากหลายแตกต่างกัน แต่อยู่ภายใต้มาตรฐานหลักสูตร แกนกลาง โรงเรียนจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดย พิจารณาจากความต้องการจำเป็นของท้องถิ่นและ เป็นไปตามกรอบมาตรฐานของหลักสูตรแกนกลางซึ่งมี 8 กลุ่มสาระ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเปิดโอกาส ให้เกิดความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งสำนักการศึกษา ท้องถิ่น เครือข่ายโรงเรียนในสังกัด ตัวแทนผู้บริหาร ภาคประชาชน และสมาคมผู้ปกครอง 1. มีการบริหารหลักสูตรแกนกลาง และหลักสูตร สถานศึกษา โรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรขึ้นตาม ลักษณะและจุดประสงค์ของตนให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงของสังคม นโยบายการลดเวลาเรียน หลักสูตรเป็นทั้งมาตรฐานหลักของการศึกษา และกรอบ แนวทางการพัฒนาแบบเรียนและคู่มือครูโรงเรียนและ ครูรับผิดชอบในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เป็นการ เพิ่มบทบาทของครูมากขึ้น และรูปแบบหลักสูตรจะเน้น ให้เห็นความสำคัญกับความมีอิสระในการจัดการศึกษา ความมีอิสระของโรงเรียนตลอดระยะเวลาของการปฏิรูป การศึกษา และการทบทวนหลักสูตร การศึกษาวิจัยได้ทำ อย่างต่อเนื่อง


58 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 2. โรงเรียนมีอิสระในการนำหลักสูตรระดับท้องถิ่นไปใช้ และสามารถปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัย และเหมาะสม กับบริบทของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง มีการนำหลักสูตร มาบูรณาการให้เข้ากับนโยบายของต้นสังกัดการประเมิน ผลการเรียนรู้ใช้วิธีการที่ยืดหยุ่นโดยคำนึงถึงศักยภาพ ของผู้เรียนเป็นหลัก 2. โรงเรียนนำหลักสูตรไปใช้ให้สอดคล้องกับสภาพ แวดล้อมของพื้นที่ในอันที่จะลดภาระด้านการเรียนของ ผู้เรียน และเพิ่มประสิทธิผลด้านการศึกษา โรงเรียน มีอิสระในการปรับชั่วโมงเรียนในบางกลุ่มวิชา ทำให้ สามารถนำเวลาดังกล่าวไปเพิ่มเติม หรือลดในบาง รายวิชา เพื่อให้การจัดการศึกษามีลักษณะรอบด้าน มากขึ้น และอ าจเพิ่มกิจกรรมส ำหรับวิช าปฏิบัติ (practical learning) ให้กับการเรียนรู้มากขึ้นและ ลดจำนวนการสอบลง 3. มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ที่เสริมทักษะชีวิตนอกเหนือ จากการเรียนใน 8 กลุ่มสาระวิชา โดยเฉพาะการส่งเสริม ทักษะชีวิตในความถนัดด้านสายอาชีพ และด้านกีฬา อันสอดคล้องกับความต้องการของสภาพชุมชน รวมถึง การจัดโปรแกรมการเรียนเสริมให้กับนักเรียนที่เรียน อ่อน 3. โรงเรียนจัดกิจกรรมการเรียนรู้2 ประเภท คือ กิจกรรมทางเลือก (optional activities) และกิจกรรม การบูรณาการโปรแกรมวิชาเลือก (integration of elective programs) ที่สอดคล้องหรือตอบสนองต่อ ความสนใจ เจตคติและความต้องการที่หลากหลายของ นักเรียน โดยกิจกรรมทางเลือกสร้างสรรค์เป็นเป้าหมาย ด้านการศึกษาที่อยู่นอกเหนือรายวิชาและการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ซึ่งเป็นการสะท้อนความสนใจและความต้องการ ของผู้เรียนแต่ละบุคคล 4. โรงเรียนมีอิสระและความคล่องตัวในการจัดระบบ การนิเทศภายในโรงเรียน การให้คำปรึกษา และการแก้ ปัญหา ตลอดจนการปรับปรุงด้านวิชาการ 4. โรงเรียนจัดระบบการนิเทศภายใน การให้คำปรึกษา โดยเชื้อเชิญให้นักเรียนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการให้ ผลประเมินแก่ครูและมีระบบประเมินผลการเรียนรู้โดย มีฐานข้อมูลเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อจากโรงเรียนสู่หน่วยงาน ระดับจังหวัด มหานคร และระดับชาติ 5. ปัญหาและอุปสรรคจากการที่ต้นสังกัดพยายามลด ภาระงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานวิชาการ ซึ่งทำให้โรงเรียนมีเวลาในการบริหารงานวิชาการอย่าง เต็มที่ อาจเป็นการทำลายเป้าหมายการจัดการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพราะหลักสูตร การจัดการเรียน รู้ถูกกำหนดมาจากสำนักงานการศึกษาท้องถิ่นที่เอื้อให้ โรงเรียนบริหารจัดการงานวิชาการได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสมกับสภาพบริบทและพื้นที่ 5. อุปสรรคในการบริหารจัดการ คือ หลักสูตรแกนกลาง ยังไม่มีอิสระเนื่องจากรัฐบาลและสำนักการศึกษา คอยกำกับ และสั่งการอย่างเคร่งครัด โรงเรียนยังไม่มี อิสระในการบริหารทรัพยากรสื่อการเรียนการสอน ที่สอดคล้องกับการบริหารจัดการหลักสูตรที่อิสระและ ยืดหยุ่น ครูมีภาระประจำที่นอกเหนือจากงานสอน เนื่องจากโรงเรียนบางแห่งมุ่งเน้นดำเนินงานด้านธุรการ มากกว่าด้านวิชาการ


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 59 ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 6. นอกจากกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดและ ประเมินผลจะต้องสอดคล้องตามแนวทางการเรียนรู้ของ หลักสูตรแกนกลางการจัดศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังมุ่งเน้นการประเมินผล การเรียนรู้เชิงบูรณาการ โดยเน้นเรียนรู้จากการปฏิบัติ มากขึ้นและมอบหมายการบ้านให้น้อยลงตามนโยบาย การศึกษาของต้นสังกัด 6 . กิจก ร รมก า รเรียนก า รสอน เน้นให้นักเรียนมี ปฏิสัมพันธ์กระตุ้นให้มีส่วนร่วม จัดการเรียนการสอน ที่เน้นกิจกรรมความคิดสร้างสรรค์ร้อยละ 25 ประการ สำคัญคือสนับสนุนการเรียนรู้ที่ให้เกิดความคิดนอกกรอบ และความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการปฏิรูป การศึกษา สนับสนุนการรู้ตลอดเวลา เช่น ศูนย์การ เรียนรู้สำหรับเยาวชน มีระบบการเรียนรู้แบบออนไลน์ ด้วยตนเอง 7. การวิจัยในโรงเรียนยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร และ โรงเรียนมองว่าการทำวิจัยจะส่งผลกระทบต่อการ จัดการเรียนการสอน 7. มีการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา ของการปฏิรูปการศึกษา 3.2 การบริหารจัดการด้านบุคคล ผลการศึกษาพบว่ามาตรฐานการบริหารจัดการ บุคคลของโรงเรียนทั้งไทยและเกาหลีใต้มีความคล้ายคลึง กันคือ ได้รับการกำหนดมาจากมาตรฐานกลางของ หน่วยงานระดับประเทศ และโรงเรียนต้องดำเนินการ ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการบริหารงานบุคคล ระดับท้องถิ่นในระดับหน่วยงานที่สังกัด โรงเรียนยังไม่มี บทบาทในการกำหนดอัตรากำลัง โอน ย้าย และ มาตรฐานตำแหน่งของครูและบุคลากรของโรงเรียนที่ตรง กับความต้องการของตนเองได้บทบาทสำคัญยังอยู่ที่ สำนักงานเขตและกองการเจ้าหน้าที่ในระดับเขตหรือ ต้นสังกัด ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำแผน อัตรากำลัง สวัสดิการ และการรักษาผลประโยชน์ ตอบแทนต่อบุคคลากรในสังกัดเป็นอย่างดีนอกจากนี้ ไทยและเกาหลีใต้ยังเผชิญกับการได้อำนาจอย่างไม่เต็มที่ ในด้านการวางแผนด้านการศึกษา นโยบายหลักเกี่ยวกับ ครูถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย และใช้บังคับเหมือนกันใน ทุกพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างด้านสภาพแวดล้อม (สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคล ส่วนท้องถิ่น, 2548; เอมอร วิริยะขันติกุล, 2555; Korean Educational Development Institute 2010) ในส่วนความแตกต่างที่เห็นเด่นชัดคือ เกาหลีใต้ มีความก้าวหน้าในการบริหารจัดการบุคคล ในระดับ โรงเรียนสามารถจัดตั้งมาตรฐานและระเบียบเกี่ยวกับ บุคคลได้เองภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการ สถานศึกษา (School Management CommitteeSMC) ถึงแม้จะยึดกรอบตามมาตรฐานกลางแต่ก็ส่งเสริม ให้โรงเรียนใช้บทบาทในการบริหารจัดการแบบพึ่งตนเอง ได้เป็นอย่างดีส่วนไทยความอิสระในระดับโรงเรียนยังมี ไม่มาก นอกจากนี้โรงเรียนในเกาหลีใต้ยังสามารถ คัดเลือกครูได้เอง และพัฒนาครูให้เป็นไปตามความ ต้องการของตนเอง เน้นการพัฒนาครูไปที่การลดเวลา สอนที่ไม่จำเป็นและลดภาระด้านเอกสารของครูโดยให้มี ฝ่ายสนับสนุนการสอนของครูเพื่อลดภาระงานด้านอื่นที่ ไม่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน การบริหารจัดการเพื่อยกระดับการบริหารการศึกษาให้มี ประสิทธิภาพมากที่สุด (Kim, 2006; Center on International Education Benchmarking, 2015) ผลการศึกษาเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของ สถานศึกษาของไทยและเกาหลีใต้สรุปได้ดังแสดงใน ตารางที่ 2


60 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ ตารางที่ 2 เปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับสถานศึกษา ในประเทศไทยและเกาหลีใต้ส่วนการบริหารจัดการด้านบุคคล ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 1. ส่วนกลางเป็นผู้กำหนดมาตรฐานครูและบุคลากร แล ะโรงเรี ยนด ำเนินก า รภ า ยใต้ก า รก ำกับของ คณะกรรมการบริหารงานบุคคลระดับท้องถิ่น 1. การกำหนดมาตรฐานครูและบุคคลากรมาจาก มาตรฐานกลางและข้อกำหนดของคณะกรรมการบริหาร จัดการของโรงเรียน SMC 2. โรงเรียนยังไม่มีบทบาทในการกำหนดอัตรากำลังและ มาตรฐานตำแหน่งครูและบุคลากรที่ตรงกับความ ต้องการของตนเอง สำนักงานเขตและกองการเจ้าหน้าที่ ในระดับเขตมีหน้าที่รับผิดชอบการจัดทำแผนอัตรากำลัง ควบคุมทะเบียนอัตรากำลัง สรรหาบรรจุแต่งตั้ง โอน ย้าย โดยประสานกับส่วนกลางเพื่อสรรหาและเลือกสรร บุคลากรเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2. โรงเรียนมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับ บุคลากรบางด้าน เช่น การบรรจุและการย้ายครูยังเป็น อำนาจหน้าที่ของสำนักงานการศึกษาในระดับมหานคร และจังหวัด อำนาจของผู้อำนวยการโรงเรียนจึงมีจำกัด และอำนาจที่มอบมาให้ก็ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรม 3. สวัสดิการถูกกำหนดมาจากส่วนกลาง ต้นสังกัด มีแผนการให้เงินชดเชยแก่ผู้ทำงานเมื่อเกษียณอายุและ แผนการให้ความคุ้มครองในการทำงาน และประเภท เงินโบนัสตอบแทนประจำปี 3. โรงเรียนสามารถกำหนดสวัสดิการพิเศษ แผนการให้ เงินชดเชยแก่ผู้ทำงาน และแผนการให้ความคุ้มครองใน การทำงานตลอดชีวิต แต่ยังมีอุปสรรคจากนโยบาย บริหารบุคคลจากส่วนกลางที่มุ่งเน้นให้ครูมีภาระงาน ธุรการมากกว่ามุ่งเน้นความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียน การสอน 4. ครูและบุคลากรจะได้รับบรรจุโดยตรงจากส่วนกลาง โรงเรียนยังไม่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกบุคลากรทั้งสาย บริหาร สายการสอน และสายสนับสนุนการสอน 4. โรงเรียนมีส่วนร่วมในการสรรหาครูและการคัดเลือกครู ได้เองโดยผ่านตัวแทน SMC ส่วนการสรรหาผู้อำนวยการ โรงเรียน จะได้รับบรรจุโดยตรงจากสำนักงานกลาง 5. ขาดการพัฒนาครูภายใต้ความต้องการของโรงเรียน และโรงเรียนไม่มีอิสระในการพัฒนาบุคลากรของตน ภายใต้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนกลางและต้นสังกัดเป็น ผู้รับผิดชอบการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร 5. โรงเรียนสามารถกำหนดมาตรฐานในการบริหารครู และบุคลากรภายในได้โดยจะกำหนดเงื่อนไขหรือ มาตรฐานต่างๆ ในการจ้างโดย SMC 6. การกระจายอำนาจการบริหารบุคคล และมอบ อำนาจให้โรงเรียนยังไม่เต็มที่ เนื่องจากยังมีโครงสร้างที่ มีสายบังคับบัญชาหลายชั้น โรงเรียนมีเพียงหน้าที่ บริหารจัดการให้เป็นไปตามความต้องการ ระเบียบ และ นโยบายของหน่วยงานส่วนกลาง 6. โรงเรียนมีโครงการพัฒนาส่งเสริมเส้นทางสายอาชีพ ซึ่งสามารถต่อยอดความเป็นครูต้นแบบ (Master teacher) จนถึงการที่ครูสามารถย้ายระดับมาเป็น ผู้บริหารสถานศึกษาได้หากมีผลการปฏิบัติงานที่ยอด เยี่ยมและโดดเด่น รวมถึงการสนับสนุนเงินเพื่อทำวิจัย และการศึกษาต่อ


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 61 3.3 การบริหารจัดการด้านงบประมาณ การบริหารจัดการงบประมาณของไทยและ เกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกันคือได้รับงบประมาณในการ จัดการศึกษาจากการจัดสรรของรัฐบาลเป็นจำนวนมาก คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของงบประมาณที่ได้ ทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการด้านงบประมาณของโรงเรียนให้เป็นไป อย่างอิสระ คล่องตัว นอกจากโรงเรียนจะได้รับการ จัดสรรจากรัฐบาลกลางแล้ว ยังได้รับการจัดสรรจาก รัฐบาลท้องถิ่น หน่วยงานต้นสังกัด และการบริจาคจาก ผู้ปกครอง สำหรับข้อกังวลคือการที่โรงเรียนได้รับ งบประมาณจากรัฐบาลอย่างมากก็อาจถือเป็นการลด การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นการสนับสนุนจาก ภาคเอกชนในการเป็นหุ้นส่วนทางการศึกษาได้และ ระเบียบการคลังจากต้นสังกัดในการอนุมัติวงเงินทำให้ เป็นอุปสรรคต่อการใช้งบประมาณที่มีไม่เหมาะสมและ ไม่มีประสิทธิภาพต่อการลงทุนทางการศึกษา (สำนัก การศึกษา, 2549; สำนักงานกรุงเทพมหานคร, 2558) ในด้านความแตกต่างที่สำคัญคือการที่เกาหลีใต้มี ระบบบัญชีโรงเรียนซึ่งให้สิทธิโรงเรียนในการกำหนด กรอบงบประมาณของตนเอง สามารถสร้างหลักประกัน ด้านรายได้ของตนเองและการร่างงบประมาณที่เหมาะสม กับลักษณะเฉพาะของโรงเรียน การบริหารงบประมาณ ในโรงเรี ยน ต า ม ร ะบบบัญ ชีโรงเรี ยน (s c h o o l accounting system) เป็นหลักประกันการจัดการด้าน การเงินอย่างเป็นอิสระของโรงเรียน และสนับสนุน กิจกรรมต่างๆ ด้านการศึกษา ทำให้โรงเรียนมีอิสระใน การบริหารจัดการเกี่ยวกับงบประมาณของตนเองให้ เหมาะสมกับสถานภาพของโรงเรียน และมีอิสระที่จะใช้ non-government fund เป็นต้น (Bang, 2008) ขณะที่ ไทยยังไม่มีกระบวนการรับประกันการใช้งบประมาณ อย่างอิสระ เพราะการมอบงานด้านการบริหารการคลัง มาสู่ระดับโรงเรียนยังเกิดขึ้นน้อยมาก อำนาจการบริหาร จัดการที่เกี่ยวข้องด้านการเงินเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน ต้นสังกัด ในแง่ดีก็คือการเอื้อให้โรงเรียนลดภาระด้าน การบริหารการเงินงบประมาณด้วยตนเอง เพื่อให้ โรงเรียนสามารถปฏิบัติงานด้านวิชาการได้อย่างเต็มที่ โรงเรียนมีบทบาทในการรับผิดชอบรายจ่ายพื้นฐาน ส่วน งบเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าใช้จ่ายในลักษณะการจัดซื้อ จัดจ้าง และค่าใช้จ่ายในการบริหารอื่นๆ สำนักการศึกษา เป็นผู้มีบทบาทในการบริหารจัดการ (สำนักงาน กรุงเทพมหานคร, 2555) อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็ได้ ประสบกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงบประมาณ คือ ความไม่เสถียรภาพทางการเงิน เนื่องจากงบประมาณ ค่าการดำเนินงานพื้นฐานของโรงเรียน (school basic operation cost) สำนักการศึกษาท้องถิ่นเป็นผู้ดูแล การได้รับจัดสรรงบประมาณอาจไม่เหมาะสมและ ไม่มีประสิทธิภาพต่อการลงทุนทางการศึกษาที่มุ่งไป ในด้านการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้ผลการศึกษา เปรียบเทียบการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาของ ไทยและเกาหลีใต้สรุปได้ดังแสดงในตารางที่ 3


62 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ ตารางที่ 3 เปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับสถานศึกษา ในประเทศไทยและเกาหลีใต้ส่วนการบริหารจัดการด้านงบประมาณ ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 1. โรงเรียนได้รับการจัดสรรงบประมาณตามรายหัวของ นักเรียนที่เอื้อให้โรงเรียนมีอำนาจบริหารทรัพยากรของ ตนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. โรงเรียนมีอิสระจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากงบประมาณการจัดการศึกษาของท้องถิ่นแยก จากบัญชีทั่วไปขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง สิ้นเชิง ส่วนโรงเรียนที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิจัยโดยเฉพาะ หรือ Innovation school จะได้รับงบประมาณเพิ่ม โดยตรงจากรัฐบาลท้องถิ่นในการพัฒนาและทดลอง นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ใหม่ๆ 2. โรงเรียนได้รับแหล่งเงินทุนและงบประมาณส่วนใหญ่ จากรัฐบาลกลาง ร้อยละ 60 จาก อปท. ร้อยละ 40 และ มีแหล่งเงินทุนอื่นๆ ของแต่ละโรงเรียน งบประมาณที่ได้ รับจากส่วนกลางรับผ่านสำนักการศึกษา/สำนักงานเขต แล้วจึงโอนมาที่โรงเรียน รายรับอีกส่วนได้จากผู้ปกครอง และก า รจัดกิจก ร รมผ้ าป่ าเพื่อก า รศึกษ าซึ่งเป็น งบอุดหนุนเพื่อการศึกษา 2. แหล่งเงินทุนและงบประมาณส่วนใหญ่มาจากรัฐบาล กลาง ประมาณร้อยละ 75 ร้อยละ 25 มาจากองค์กร ส่วนท้องถิ่นของแต่ละเขตการปกครอง และจาก สำนักงานการศึกษาของมหานครและจังหวัด และยังมี แหล่งเงินทุนอื่นๆ ของแต่ละโรงเรียนที่ได้มาจาก ผู้ปกครองและการจัดกิจกรรมต่างๆ (non-government fund) 3. การบริหารงบประมาณของโรงเรียนแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ รายรับ รายจ่าย และการเก็บรักษาเงิน รายรับ มาจาก 3 แหล่ง คือ รัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น และเงินบริจาคจากผู้ปกครอง ส่วนรายจ่ายจะ เป็นรายจ่ายด้านการจัดการโรงเรียน ค่าสาธารณูปโภค พื้นฐาน ส่วนการเก็บรักษาเงิน/เงินบำรุงการศึกษาที่ สถานศึกษารับไว้เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อบำรุงการศึกษา นอกจากงบรายจ่าย 3. ระบบบัญชีโรงเรียน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ รายได้กับ รายจ่าย รายได้มาจาก 3 แหล่ง คือรัฐบาลกลาง องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปกครอง สองแหล่งแรกเป็น รายได้หลักของโรงเรียน ส่ วน ร าย จ่ ายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กิจกรรมที่เป็นแกนหลักและกิจกรรม สนับสนุน รายจ่ายสำหรับการจัดการศึกษาของโรงเรียน เช่น รายจ่ายด้านบุคลากร เงินเดือนครูค่าจ้างบุคลากร และค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ และรายจ่ายด้านการจัดการ โรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนสามารถปฏิบัติภารกิจการ จัดการศึกษาได้อย่างลุล่วง 4. โรงเรียนมีอำนาจการบริหารจัดการเงินอย่างจำกัด ข้อกำหนดระเบียบการบริหารการคลังส่วนใหญ่จะ กำหนดจากส่วนกลาง และบริหารจัดการจากต้นสังกัด ผู้อำนวยการโรงเรียนยังไม่มีอิสระในการอนุมัติเงินตาม ความต้องการของโรงเรียน 4. การที่โรงเรียนได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล อย่างมากที่เป็นเงินทุนการศึกษาทั้งหมดประมาณร้อยละ 80 ในอีกทางหนึ่งถือเป็นการลดการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในท้องถิ่น ในการสนับสนุนและการจัดการ ด้านการเงินเกี่ยวกับการศึกษาของท้องถิ่น


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 63 ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 5. การที่โรงเรียนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐและรายได้ของ ต้นสังกัดทำให้โรงเรียนขาดแรงจูงใจในการระดม ทรัพยากรจากแหล่งอื่น การมีส่วนร่วมหรือการมีหุ้นส่วน จากภาคเอกชนเพื่อจัดการศึกษาจึงมีน้อย 3.4 การบริหารจัดการด้านการบริหารทั่วไป การบริหารจัดการโรงเรียนทั่วไปของไทยและ เกาหลีใต้จะมุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการ บริหารงานธุรการ การเงินและบัญชีการพัสดุและ งานอาคารสถานที่ รวมทั้งระเบียบการคลัง ระบบบัญชี การเงิน ระบบควบคุมและตรวจสอบการบริหารการเงิน โรงเรียน โดยให้มีคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งประกอบ ด้วยตัวแทนบุคคลจากหลายกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้ามาร่วมดำเนินการบริหารจัดการศึกษา (สำนักงาน การศึกษากรุงเทพมหานคร, 2557; สำนักงานการศึกษา พัทยา, 2553; Kim, 2004) ด้านความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่คณะกรรมการ สถานศึกษาในเกาหลีใต้มีบทบาทเป็นอย่างมากในการ กำหนดทิศทางของโรงเรียน กรรมการสถานศึกษา มีบทบาทสำคัญเพราะเป็นการบริหารการศึกษาผ่าน ผู้แทนเครือข่ายกลุ่มสหภาพครูแห่งชาติและตัวแทนของ กลุ่มสมาคมผู้ปกครองระดับชาติที่สร้างความแตกต่างต่อ การบริหารจัดการศึกษาในเกาหลีใต้อย่างมาก ประกอบ กับที่เกาหลีใต้มีการทำงานของผู้ปกครองกับโรงเรียน อย่างจริงจัง (Lee, 2016) ขณะที่ประเทศไทย ในความ เป็นจริงคณะกรรมการสถานศึกษายังมีอำนาจและ บทบาทน้อย (เอมอร วิริยะขันติกุล, 2555) อย่างไร ก็ตาม พบว่า การสร้างเครือข่ายด้านวิชาการระหว่าง โรงเรียนในเกาหลีใต้ยังไม่เข้มแข็งมากนัก แต่ไทยมีความ เข้มแข็งของเครือข่ายโรงเรียนที่จะสนับสนุนการจัดการ วิชาการและด้านต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ผลการ ศึกษาเปรียบเทียบการบริหารทั่วไปของสถานศึกษาของ ไทยและเกาหลีใต้สรุปได้ดังแสดงในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 เปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับสถานศึกษา ในประเทศไทยและเกาหลีใต้ส่วนการบริหารจัดการด้านการบริหารทั่วไป ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 1. โรงเรียนมีบทบาทหน้าที่รายงานผลการบริหารจัดการ งานธุรการ การเงินและบัญชีการพัสดุและงานอาคาร สถานที่ รายงานผลด้านการเงินต่อต้นสังกัด การจัดการ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินของโรงเรียนต้องสอดคล้อง กับหลักการบริหารและรวมทั้งระเบียบการคลังของ ต้นสังกัด และระบบบัญชีการเงินของโรงเรียน 1. โรงเรียนมีระบบและกระบวนการพิจารณาทบทวน ตนเอง (self-review) การดำเนินงานของโรงเรียน ได้รับการตรวจสอบจากชุมชน และต้นสังกัดยึดหลักการ มีส่วนร่วมและความยุติธรรมในรูปแบบประชาธิปไตย ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้นำในการบริหารกิจการต่างๆ และครูเป็นผู้แปรนโยบายไปสู่การปฏิบัติการ


64 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ ประเทศไทย ประเทศเกาหลีใต้ 2. คณะกรรมการสถานศึกษามีอำนาจและบทบาทน้อย ในการกำหนดนโยบายเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการของโรงเรียน โดยหน่วยงานสายบังคับบัญชามีบทบาท และอำนาจใน การกำหนดนโยบายต่างๆ ที่สำคัญของโรงเรียนมากกว่า 2. โรงเรียนมีอิสระค่อนข้างมากในการบริหารจัดการ ภายใต้SMC เนื่องจากคณะกรรมการมีอำนาจสูงในการ บริหารและกำหนดนโยบายระเบียบ ข้อบังคับ 3. ผู้บริหารและครูมีบทบาทหลักในการบริหารจัดการ ศึกษาในสถานศึกษาเท่านั้น ขณะที่ผู้ปกครองและชุมชน เข้ามามีบทบาทน้อยในการร่วมบริหารจัดการศึกษาและ ดำเนินงานตรวจสอบโรงเรียน 3. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองอย่างจริงจังต่อการ จัดการศึกษา โดยเฉพาะบทบาทสำคัญในการกำหนด แนวทางการศึกษา กลุ่มผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการ จัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้ รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร การจัดการเรียน การสอน และให้ผู้ปกครองได้เข้ามาเรียนร่วมกับเด็กเล็ก และทำกิจกรรมกับเด็กได้ 4. การมีส่วนร่วมการจัดการศึกษาในลักษณะเครือข่าย โรงเรียน (School Cluster) มีความโดดเด่นในกลุ่ม สถานศึกษาให้สามารถช่วยตนเองได้และเป็นการรวมตัว กันเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนและ นักเรียนเป็นสำคัญ และเสริมสร้างความเข้มแข็ง (empowerment) 4. ยังพบปัญหาและอุปสรรคที่ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามา มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษายังไม่บรรลุเป้าหมายอย่าง เต็มที่ โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาการศึกษายังมีน้อย 4. สรุปและข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่า อปท. ไทยพยายามจะ ถ่ายเทอำนาจมาที่โรงเรียนให้มากที่สุด เนื่องจากการ บริหารจัดการศึกษาด้วยระบบเดิมมีปัญหาเรื่องคุณภาพ ตกต่ำ ขาดอิสระ จึงใช้การกระจายอำนาจจากหน่วยงาน ส่วนกลางไปสู่ระดับโรงเรียนภายใต้ข้อกำหนดกฎหมาย ที่ทางการอนุมัติ(สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2555) ซึ่งจากการศึกษาสภาพปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา พบว่าด้านวิชาการ โรงเรียนมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการแบบ เบ็ดเสร็จมากกว่าด้านอื่นๆ ส่วนในด้านการบริหารงาน บุคคล งบป ระม าณ และบ ริห า รทั่ วไป จะพบ ว่ า หน่วยงานต้นสังกัดยังควบคุมการบริหารจัดการไว้ การกระจายอำนาจลงสู่สถานศึกษาทำได้เพียงบางส่วน ทั้งนี้เพื่อควบคุมมาตรฐานการศึกษาและความแตกต่าง ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในสังกัด การกระจาย อำนาจมาสู่โรงเรียนจึงยังไม่สร้างความแตกต่างต่อ บทบาทของครูและผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีมาแต่เดิม ครูยังเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบการสอนเป็นหลัก และผู้อำนวยการทำหน้าที่เป็นผู้นำในด้านการบริหาร จัดการโรงเรียน ส่วนชุมชนและผู้ปกครองมีระดับการมี ส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาแบบผิวเผิน ซึ่งผู้ที่มี ส่วนร่วมยังไม่เข้าใจถึงแก่นของบทบาทหน้าที่ที่แท้จริง ความตระหนักในด้านการศึกษาของชุมชนถือว่ายังเกิด ขึ้นน้อย ขณะที่โรงเรียนสังกัดองค์กรส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้ ได้รับการกระจายอำนาจการบริหารการศึกษาจากส่วน กลางค่อนข้างมาก โรงเรียนสามารถบริหารจัดการด้าน


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 65 1) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรส่งเสริม ให้ครูผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษาเป็นวิชาชีพ ชั้นสูงมีการกำหนดอัตราเงินเดือนที่สอดคล้องกับภารกิจ ความรับผิดชอบ สนับสนุนการสอนโดยการส่งเสริม เส้นทางสายอาชีพ (Career Path) 2) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องกำกับ และวางระบบต่างๆ ให้เกิดการส่งเสริมและทำให้เกิด ความคล่องตัวในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการ ประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยในการ จัดการเรียนการสอน และการบริหารทั่วไปของโรงเรียน 3) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรส่งเสริม ให้มีโรงเรียนสาธิตหรือโรงเรียนนวัตกรรมสำหรับการ ศึกษาของท้องถิ่น เพื่อใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนาการ จัดการเรียนรู้แนวใหม่ รวมถึงการพัฒนาครู 4) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงาน ต้นสังกัดของโรงเรียน ควรกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนให้ มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น โดยเฉพาะการ ถ่ายโอนอำนาจการบริหารงานบุคคลเพิ่มขึ้น ให้โรงเรียน มีบทบาทในการคัดเลือกบุคลากรได้ด้วยตนเอง และ มีอิสระในการพัฒนาครูตามความต้องการจำเป็น รายบุคคล และความต้องการจำเป็นของโรงเรียน ให้โรงเรียนมีส่วนร่วมในการสรรหาบุคคลากรตามความ ต้องการของตนเอง 5) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงาน ต้นสังกัดของโรงเรียนควรเพิ่มความเป็นอิสระในการ บริหารจัดการด้านการเงิน ความสามารถในการตัดสินใจ การใช้ทรัพยากรตามสภาพตามปัญหาและความต้องการ ของโรงเรียน และให้มีระบบบัญชีของโรงเรียน (school accounting system) โดยไม่ต้องขออนุมัติจากสำนัก การศึกษาหรือต้นสังกัด โรงเรียนมีอิสระใช้งบอุดหนุน ที่ไม่ได้มาจากรัฐบาลและต้นสังกัด (non-government fund) ในงานการเรียนการสอนและการพัฒนาครูโดยให้ วิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบุคคล รวมถึงด้านการ บริหารทั่วไปอย่างอิสระปราศจากการพึ่งพาจากรัฐบาล กลาง ในด้านวิชาการโรงเรียนสามารถออกแบบหลักสูตร เองเพื่อให้เหมาะสมกับท้องถิ่นและชุมชน มีอิสระในการ เลือกเนื้อหาที่จะบรรจุในหลักสูตร มีการจัดการเรียน การสอนที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีอิสระในการเลือกสื่อ และหนังสือ ตำราเรียนได้ด้วยตนเอง โดยที่รัฐบาลกลาง เป็นผู้ควบคุมมาตรฐานของหนังสือ ซึ่งทำให้สำนักพิมพ์มี การแข่งขันในการผลิตตำราเรียนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ในด้านการบริหารบุคคลจากเดิมที่อำนาจจำกัดอยู่ที่ สำนักการศึกษาท้องถิ่น แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการกระจาย อำนาจลงมาสู่ระดับปฏิบัติการมากขึ้น การบริหารที่ เกี่ยวกับบุคคล โรงเรียนมีอิสระในการตัดสินใจภายใต้ คณะกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา (SCM) ในด้าน การบริหารงบประมาณจากเดิมที่รัฐบาลมีการกระจาย งบประมาณไปตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วน ที่มากในขณะนี้ได้ลดลง โดยเพิ่มงบประมาณไปสู่สถานศึกษาเพื่อสนับสนุนนโยบายการบริหารจัดการโรงเรียน โดยอิสระและพึ่งพาตนเองได้(Self-Managing School) ในด้านการบริหารทั่วไปโรงเรียนมีอิสระและความคล่อง ตัว ด้วยการที่โรงเรียนสามารถกำหนดระเบียบข้อบังคับ มาตรฐานการบริหารจัดการในด้านต่างๆ ด้วยตนเองโดย ผ่าน SCM และด้วยการที่รัฐบาลมีหน่วยงานด้านข้อมูล การศึกษาแห่งชาติ(National Education Information System) ทำหน้าที่ในการสนับสนุนระบบฐานข้อมูล การบริหารทั่วไปของโรงเรียน (Web-based integrated administration system for Korea’s education organizations) ซึ่งสามารถลดภาระครูในงานธุรการ ลงได้โดยที่ครูและบุคคลากรในโรงเรียนจำเป็นต้องได้รับ การพัฒนาทักษะด้านไอที(Strateg ic teacher training) เพิ่มเติมด้วย สำหรับข้อเสนอแนะจากการวิจัยศึกษาเปรียบเทียบ การบริหารจัดการสถานศึกษาของไทยกับเกาหลีใต้เพื่อ การปรับปรุง/พัฒนาสถานศึกษาของไทยมีดังต่อไปนี้


66 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ อยู่ภายใต้การบริหารจัดการแบบโปร่งใส และสามารถ ตรวจสอบได้ 6) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ โรงเรียนค ว ร ร่ วมมือกันป ร ะช าสัมพัน ธ์บทบ าท คณะกรรมการสถานศึกษาในการกำหนดนโยบายและ กิจการต่างๆ ของโรงเรียน การให้ความสำคัญกับ ผู้ปกครองในการเป็นผู้นำการเรียนรู้และการเปิดโอกาส ให้ผู้ปกครองมีบทบาทในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการ ศึกษา ทั้งสามารถเข้าเรียนร่วมกับนักเรียนได้และ ทำกิจกรรมกับนักเรียนตามความเหมาะสม 7) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรส่งเสริม ให้มีแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนตามเขตการปกครอง เพื่อ สนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนให้เต็มความสามารถ และเป็นการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต ตลอดจนการจัด บรรยากาศการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และเกิดสุนทรียภาพในด้านต่างๆ ในรูปแบบศูนย์เรียนรู้ เยาวชน สนับสนุนกิจกรรมหลังเลิกเรียน และกิจกรรมใน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในเขต ปกครอง 8) ภาครัฐและหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดวิธีการประเมินผู้เรียนและ ส่งเสริมให้ครูลดการทดสอบแล้วใช้การประเมินผลจาก การปฏิบัติจริงผ่านการทำโครงงานและความคิด วิเคราะห์สังเคราะห์และสร้างสรรค์ซึ่งเป็นการมุ่งช่วย เด็กส่วนใหญ่ที่ทั่วไปมีผลการเรียนระดับปานกลางและ อ่อน ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น เนื่องจากใน ปัจจุบันระบบการศึกษาไทยมีค่านิยมเน้นการแข่งขัน เป็นระบบที่ส่งเสริมเด็กเก่งมากกว่าเด็กอ่อน ทำให้เด็ก ส่วนใหญ่เกิดปมด้อย ไม่ภูมิใจ และถูกทอดทิ้ง กิตติกรรมประกาศ คณะผู้วิจัยขอขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ผู้สนับสนุนทุนอุดหนุนโครงการวิจัย “การบริหารจัดการศึกษาภายใต้แนวคิดการกระจายอำนาจ: ศึกษาเปรียบเทียบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของไทยและเกาหลีใต้” ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศ (ไทย-เกาหลีใต้) ระหว่างสำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติกับมูลนิธิวิจัยแห่งสาธารณรัฐเกาหลีเป็นโครงการวิจัยต่อเนื่อง ระยะที่ 1 ศึกษา ระดับนโยบาย และระยะที่ 2 ศึกษาระดับปฏิบัติการ คณะนักวิจัยจากเกาหลีคือ Prof. Dahee Lee และ Dr. Bongjoo Jeon จาก Kwangwoon University


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 67 บรรณานุกรม ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ครุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. บุญมีเณรยอด. (2546). การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน: วิถีและวิธีไทย. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค จำกัด. พร้อมพิไล บัวสุวรรณ. (2550). ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน. เอกสารประกอบการสอนวิชา 152515. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (อัดสำเนา). วสันต์สัตยคุณ. (2554). การพัฒนาตัวบ่งชี้การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สำนักการศึกษา, (2549). คู่มือการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : หน่วย ศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร. (2556). กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น “กรุงเทพฯ ศึกษา ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2556” สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, (2548). คู่มือการบริหารและการจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็น ฐาน School Base Management (SBM). (อัดสำเนา). สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2549). การสังเคราะห์รายงานวิจัย การกระจายอำนาจทางการศึกษาใน 8 ประเทศ. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค จำกัด สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2551). การสังเคราะห์งานวิจัยและพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา ที่ส่งเสริมการปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของผู้บริหารสถานศึกษาต้นแบบ 2. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค จำกัด. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552-2561. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิคจำกัด. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2555). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยและพัฒนากฎหมายเพื่อ การบริหารจัดการสถานศึกษานิติบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ. อรพรรณ พรสีมา. (2546). รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน: ตัวอย่างประสบการณ์ที่คัดสรรโรงเรียน ในโครงการโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด วีทีซี คอมมิวนิเคชั่น.


68 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 การกระจายอำนาจทางการศึกษา จากนโยบายสู่การปฏิบัติ อุทัย บุญประเสริฐ. (2542). การศึกษาแนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในรูปแบบการ บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based management). กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค จำกัด. อุทัย บุญประเสริฐ. (2545). การบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School–Based Management). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เอมอร วิริยะขันติกุล. (2555). “สภาพและแนวทางการพัฒนาการบริหารโรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนสังกัด กรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพฯ กลาง”. วารสารวิจัยและพัฒนา 4 (2555): ไม่ระบุ. ภาษาอังกฤษ Bang, sang-Jin. (2008). Understanding Korean educational policy: Efficient management of educational finance. Seoul: Korea Educational Development Institute Ho, Esther Sui-chu. (2006). “Educational decentralization in three Asian societies: Japan, Korea and Hong Kong”. Journal of Educational Administration 44, no. 6: 590-603. Kim, Ee-gyeong. (2006). “Educational decentralization in Korea: Major issues and controversies”. In Educational decentralization: Asian experiences and conceptual contributions, edited by Christopher Bjork, 115-28. Dordrecht: Springer. Kim, Ee-gyeong et al. (2006). Improving school leadership: Country background report for Korea. Seoul: Korean Educational Development Institute Korean Educational Development Institute. (2010). OECD review on evaluation and assessment framework for improving school outcomes (Country background report for Korea). Lee, Keunho. (2014). Competency-based curriculum and curriculum autonomy in the Republic of Korea. IBE working papers on curriculum Issues N 12. April. (UNESCO International Bureau of Education) William Yat Wai Lo & Ja Oek Gu. (2008). “Reforming school governance in Taiwan and South Korea Empowerment and autonomization in school-based management”. International Journal of Educational Management Vol. 22 No. 6, 2008 pp. 506-526 Emerald Group Publishing Limited เว็บไซต์ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (10 ธันวาคม 2558). “คู่มือการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนา ท้องถิ่น”. สืบค้นจาก http://www.dla.go.th/ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (10 ธันวาคม 2558). “สรุปข้อมูลจำนวน อปท. ทั่วประเทศ”. สืบค้นจาก http:// www.thailocaladmin.go.th/work/apt/apt.jsp


พฤษภาคม - สิงหาคม 2560 69 สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร. (10 ธันวาคม 2558). “รายงานการจัดการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ปี2557”. สืบค้นจาก http://www.bangkokeducation.in.th/cms/download/download/file/book_153.pdf สำนักการศึกษาเมืองพัทยา. (3 มีนาคม 2559). “รายงานประจำปีการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดเมืองพัทยา ประจำปีการศึกษา 2553”. สืบค้นจาก http://www.csn-advance.com/pattayaedu/ images/FileDownload/SAR/2553/sar_2553.pdf สำนักงานกรุงเทพมหานคร, (3 มีนาคม 2559). “ระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา พ.ศ. 2555”. สืบค้นจาก http://203.155.220.230/bmainfo/law/law.php?t=041&title=%E0%B8%A3%E0% B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%20%E0%B8%81 %E0%B8%97%E0%B8%A1 สำนักงานกรุงเทพมหานคร, (3 มีนาคม 2559). “การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเงินอุดหนุนด้านการศึกษาของ สำนักการศึกษา”. สืบค้นจาก http://office.bangkok.go.th/csc/index.php/en/ สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (7 ธันวาคม 2558). “คู่มือการเครื่องชี้วัด สำหรับการประเมินผลการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น”. สืบค้นจาก http://www.local.moi.go.th/ book_sw.pdf Centre on International Education Benchmarking, “System and School Organization South Korea.” Available from http://www.ncee.org/programs-affiliates/center-on-international-educationbenchmarking/top-performing-countries/south-korea-overview/south-korea-system-andschool-organization/2007


International Journal of Education and Development using Information and Communication Technology (IJEDICT), 2020, Vol. 16, Issue 3 (Special Issue), pp. 66-81 Education Reform for the Future: A Case Study of Korea Euiryeong Jeong The World Bank Group ABSTRACT This paper describes how the global education community can prepare for the future of education. With the aim of promoting global education and creativity, the paper leverages case studies on Korea’s education reform, including the Free Semester Program (FSP) and the SMART Initiative using ICT, which are new education initiatives focused on promoting ICT skills in schools across Korea. The paper highlights critical aspects of successful implementation, the role of government, and the positive impact of these education reform policies. It proposes lessons for scaling up similar practices in other settings. Keywords: Korea’s ICT education policy; Free Semester Program; SMART Initiative; Korea’s education reform INTRODUCTION The technology-driven world in which we live holds great promise but has also sparked much public concern as jobs across all industries are increasingly being automated, creating both huge promise and potential peril. The Mckinsey Global Institute’s report (2017) suggests that about half of all work activities globally have the technical potential to be automated by adapting currently demonstrated technologies; by 2030, 75 to 375 million workers (3% to 14% of the global workforce) will need to switch occupational categories. According to the World Economic Forum’s prediction (2016a), 65% of children entering primary school today will eventually work in jobs that do not exist today. Yet this new era is about more than just technology-driven change. These changes offer opportunities for people all over the world to harness converging technologies to boost economic growth and create an inclusive and creative future—if the complex transitions are effectively addressed. These advances are forcing governments to rethink how to create new values while workers must adapt to new ways of work. Some of that adaptation will require diverse activities that require social and emotional skills, creativity, high-level cognitive capabilities and other skills relatively hard to automate, and which is ultimately linked to heighten the demands on education systems (WEF, 2016b). In a recent report entitled “Education and the Fourth Industrial Revolution (2017),” Brown-Martin mentioned that “nothing in our formal education systems today is designed to meet the human challenges of the 21st century.” Indeed, many countries are developing their national education competency framework and reforming educational systems to respond to these advances. In Korea, the strong performance of its economy over the last four decades has been well publicized. The main driving force behind such development is the government’s investment in human resources. Consequently, Korea is able to provide the necessary skilled workforce at the right time through vocational education and training (Ministry of Education, 2015a) and is now preparing for the future by tackling issues posed by the 4th industrial revolution. The Korean government has launched and implemented two major education policies: The Free Semester Program (FSP) and the SMART Initiative. Through such efforts, Korea aims to meet the changing industrial demands and foster a creative economy.


Education Reform: Case Study of Korea 67 OBJECTIVES OF THIS STUDY This paper aims to provide the key milestones of education strategy to achieve a creative knowledge economy. It presents global frameworks for education models for the future. Based on these frameworks, it reviews Korea’s education reform based on two major models: The Free Semester Program (FSP) and the SMART Initiative. The study analyzes the design and implementation of the two education policies based on academic literature review and relevant policy documents. Finally, it sheds light on certain implications gleaned from Korea’s challenges and lessons, which could be applicable to other global settings. METHODS OF THE STUDY The study mainly adopted a preliminary literature review, a policy analysis, a case-based analysis, and secondary data analysis. The literature review was used to explore how the international education society presents the global frameworks for the future of education including findings from structured literature reviews. The policy analysis and the case-based analysis was conducted to review the two major education policies in Korea and to analyze the productivity of the next generation of workers through two educational policies: FSP and SMART Initiative. Academic literature review and policy papers from international organizations, government briefings and documents were used for the analysis. Further, OECD and WBG data were used to identify the effectiveness of Korea’s education system. According to Grauer (2012), the case study as research method can be most appropriate when the type of research question is seeking to determine “how” or “why”, and the phenomenon is in a reallife context. Given that the study presents ‘how’ South Korea implemented innovative education programs to nurture the future work force and ‘why’ it has yielded significant results as well as brought to light certain shortcomings, the case study method is the most applicable. The following questions were proposed: 1. How has the international community made efforts to shape the future of education and the core skills necessary to respond to it? 2. How has the instructional systems of South Korea developed the knowledge, skills, attitudes, and values effectively? 2.1 The Free Semester Program (FSP) - how to promote creativity, cognitive and sociobehavioral skills? 2.2 The SMART Initiative - how to use ICT in classrooms? GLOBAL COMPETENCY FRAMEWORKS FOR THE FUTURE EDUCATION MODELS The international community has increasingly made efforts to define the critical competencies for the digital age. One of the best-known indicators of learning outcomes from students around the world is the Program for International Student Assessment (PISA), which applied insights from these reflections by adjusting the competency framework (OECD, 2016). The adjusted framework includes global competence in its metrics for quality, equity, and effectiveness in education to elicit students’ capabilities to recognize global issues, understand how to communicate with others, and identify global and intercultural issues.


68 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ Driven by these reflections, OECD developed the OECD Learning Compass 2030 (OECD,2018). The project aims to set goals and establish a common language for teaching and learning, providing a conceptual framework for the future of education, curriculum analysis, redesign, and implementation. According to the Learning Compass, future generations will need a wide range of skills such as cognitive and meta-cognitive skills (for example, critical thinking, creative thinking, learning to learn and self-regulation) as well as social and emotional skills (for example, empathy, self-efficacy and collaboration). Finally, these will need to be accompanied by practical and physical skills (for example, using new information and communication technology devices). These should be mediated by attitudes and values such as motivation, trust, respect for diversity and virtue, and the change should be done with students, peers, teachers, parents, and communities. The World Bank (2014) has also proposed a global framework to emphasize four policy priorities that the international education community should embrace to prepare for the future. First, education systems that fully develop both cognitive and non-cognitive skills can also promote creativity. Studies have found that cognitive and non-cognitive skills and knowledge can lead to improved creativity. Second, some educational interventions are more likely to contribute to promoting creative skills. Third, education systems should cultivate the joy of learning rather than a pressure to learn, as the former is tied to a more creative environment. Finally, educational policy actions should focus on skills that can translate into a creative and innovative economy, thereby developing economic and social policies and institutions that enable a country’s skill base to be used more effectively for innovation. The relationships are shown in Figure 1 below. Such an approach will ultimately promote a creative economy. Figure 1: Building a creative economy through education (Source: World Bank, 2014) The frameworks for the global competencies for the future speak the same language, although the extent may vary. They emphasize both cognitive and non-cognitive skills. They call attention to competency-based approaches for the 4th industrial revolution. Finally, they highlight problemsolving skills through cooperation with others. It is evident that demand for advanced cognitive skills (critical thinking and problem-solving) and non-cognitive skills (creativity, curiosity, and cooperation) transferable across jobs will increase in the future. Therefore, it becomes important for countries to nurture the next generation to bridge the skills gap. However, education systems tend to resist change, and the readjustment in the supply of skills is happening outside of mandatory education and formal jobs. (WDR, 2019) Intelligence Personality traits Socioeconomic background Academic Performance (cognitive & noncognitive skills) Creativity & innovation Employment & productivity Education system Economic policies Creative economy


Education Reform: Case Study of Korea 69 That is why education reform requires a holistic approach inclusive of a broader range of stakeholders, extending beyond just education stakeholders. Private sector and technology-related business also should be a part of the conversation to meet the skills gap. The status quo education system and classrooms tend to be laggards in technology advancement. It is pivotal for schools to lead the change, not just follow the flow of the future. The government should also foster widespread discussion and implement education policies in cooperation with a variety of stakeholders as part of an all-encompassing ecosystem. Moreover, an understanding of how to implement these global competencies in developing countries where necessary infrastructure and institutional capacity should be a part of the global discussion, as the need for future skills is not an option but a prerequisite to survive and thrive in the future. KOREA’S EDUCATION REFORM FOR THE FUTURE Korea is well known for its education system, which provides a well-qualified workforce to meet industrial needs at the right time. The country consistently ranks among the best-performing countries in the OECD’s Program for International Student Assessment (OECD, 2018), ranking especially high for R&D spending, manufacturing value-added, and high-tech density through education. In addition, Korea has topped the Bloomberg 2019 Innovation Index with a score of 87.38. For six consecutive years (since 2014), it has maintained the world’s top position (Bloomberg, 2019). Figure 2: Emerging Skills. Adapted from “Future of Jobs” Yet fundamental changes to society in the era of the 4th industrial revolution means Korea must educate students in a totally different way, going beyond nurturing an efficient and practical workforce. Technological and demographic changes are having a profound impact on Korea’s labour market. According to OECD (2019), approximately 43% of workers in Korea have a high risk of their jobs becoming completely automated or substantially changed. To respond to this


70 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ unprecedent shift, the World Economic Forum (2018) proposed global competency indicators and analyzed Korea’s labour market, suggesting the core skills needed for the 4th industrial revolution (see Figures 2 and 3) - namely, complex problem solving, analytical thinking and innovation, emotional intelligence, and social skills. Thus, Korea needs to develop a different level of skills beyond traditional skills. Figure 3: Emerging Skills in Korea (Source: WEF 2018) Although Korea has proven to be a top performer in cognitive skills in PISA, earning high scores in mathematics, science, and literacy, there is room to improve in areas such as creativity, coordinating with others, and emotional intelligence. According to Forbes (2014), “Korea has historically focused on cognitive skills at the expense perhaps of what Ju-ho Lee called ‘connective’ skills that focus on character or creative education.” The shortcomings of Korea’s education system are most evident in the learning process, which understates creativity and the intrinsic rewards of learning. As a matter of concern, the Korean government started reforming the education system, including the curriculum, teacher policies, and vocational programs, by moving beyond simply providing standardized instruction and knowledge. It set up a framework to nurture creative talents who lead a creative economy through the core skills for the 4th industrial revolution—namely, competencebased skills and creativity. Consequently, the Korean government introduced two major education programmes, the Free Semester Program (FSP) and the SMART Education initiative, to nurture students while responding to changes brought about by the 4th industrial revolution. FSP focuses on developing non-cognitive skills and SMART Education initiative centers on direct ICT used in classrooms. Given that ICT use in education in the 4th revolution era requires both software and hardware, it is an appropriate response to establish these initiatives simultaneously. Both programmes aim to explore career Analytical thinking and innovation Creativity, originality, and initiative Active learning and learning strategies Critical thinking and analysis Technology design and programming Complex problem-solving Leadership and social influence Reasoning, problem-solving and ideation Systems analysis and evaluation Emotional intelligence


Education Reform: Case Study of Korea 71 opportunities to prepare students for future competencies by promoting creativity and equipping students with core skills through lifelong learning. These relationships are shown in Figure 4 below. Figure 4: Nurturing creative talents in Korea (Source: KEDI 2016) Free Semester Program (FSP) As noted by the World Economic Forum (2018), problem-solving skills, creativity, and cooperation with others are critical, and the Korean education system should respond to promoting noncognitive skills for the 4th industrial revolution and ICT-used education. The OECD embedded a “Creative Problem-Solving” assessment in the usual PISA tests (reading, math, and science) to measure students’ creativity in solving unstructured problems in unfamiliar contexts. Students are asked to solve problems for which they have no ready-made strategy and need to think creatively to overcome the barriers (OECD, 2016). Korean students scored highly on this assessment, earning 5 or 6 points on the 6-point scale; their average score put them at the top of the rankings, together with students from Singapore (World Bank, 2014). The performances among the participating countries/economies are shown in Table 1 below. Creative Talents Future-oriented talents who discover their potentials and develop their dreams Life-long learning talents who constantly acquire new knowledge and promote selfimprovement Global talents who equip with communication, cooperation and networking skills enabling them to advance into the international arena Convergence talents who converge their own professionalism along with human science and athletic or artistic studies Challenging talents who create new jobs by constantly challenging without dreading failure


72 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ Problem-solving scale Mean score S.E. Range of ranks OECD countries All countries/economies Upper rank Lower rank Upper rank Lower rank Singapore 562 (1.2) 1 2 Korea 561 (4.3) 1 1 1 2 Japan 552 (3.1) 2 2 3 3 Macao-China 540 (1.0) 4 6 Hong Kong-China 540 (3.9) 4 7 Shanghai-China 536 (3.3) 4 7 Chinese Taipei 534 (2.9) 5 7 North West (Italy) 533 (8.6) Western Australia (Australia) 528 (4.0) North East (Italy) 527 (6.4) Canada 526 (2.4) 3 5 8 10 Australian Capital Territory (Australia) 526 (3.7) New South Wales (Australia) 525 (3.5) Flemish Community (Belgium) 525 (3.3) Victoria (Australia) 523 (4.1) Australia 523 (1.9) 3 6 8 11 Finland 523 (2.3) 3 6 8 11 Queensland (Australia) 522 (3.4) German-speaking Community (Belgium) 520 (2.6) South Australia (Australia) 520 (4.1) England (United Kingdom) 517 (4.2) 4 11 9 16 Estonia 515 (2.5) 6 10 11 15 Centre (Italy) 514 (10.8) Northern Territory (Australia) 513 (7.9) France 511 (3.4) 6 14 11 19 Netherlands 511 (4.4) 6 16 11 21 Italy 510 (4.0) 7 16 12 21 Czech Republic 509 (3.1) 7 15 12 20 Germany 509 (3.6) 7 16 12 21 United States 508 (3.9) 7 16 12 21 Belgium 508 (2.5) 9 16 14 21 Madrid (Spain) 507 (13.0) Austria 506 (3.6) 8 17 13 22 Alentejo (Portugal) 506 (13.4) Norway 503 (3.3) 11 18 16 23 Ireland 498 (3.2) 15 19 20 24 Denmark 497 (2.9) 16 20 21 25 Basque Country (Spain) 496 (3.9) Portugal 494 (3.6) 17 20 22 26 Sweden 491 (2.9) 18 21 23 27 Tasmania (Australia) 490 (4.0) Russian Federation 489 (3.4) 23 27 Catalonia (Spain) 488 (8.4) South Islands (Italy) 486 (8.5) French Community (Belgium) 485 (4.4) Slovak Republic 483 (3.6) 20 23 25 29 Poland 481 (4.4) 21 24 26 31 Spain 477 (4.1) 21 24 27 31 Slovenia 476 (1.5) 22 24 28 31 South (Italy) 474 (8.4) Serbia 473 (3.1) 29 32 Croatia 466 (3.9) 31 33 Hungary 459 (4.0) 25 27 32 35 Dubai (United Arab Emirates) 457 (1.3) Turkey 454 (4.0) 25 28 33 36 Israel 454 (5.5) 25 28 33 37 Chile 448 (3.7) 26 28 34 37 Southeast Region (Brazil) 447 (6.3) Cyprus1, 2 445 (1.4) 36 37 Central-West Region (Brazil) 441 (11.9) South Region (Brazil) 435 (7.8) Brazil 428 (4.7) 38 39 Medellín (Colombia) 424 (7.6) Manizales (Colombia) 423 (5.3) Malaysia 422 (3.5) 38 39 Sharjah (United Arab Emirates) 416 (8.6) United Arab Emirates 411 (2.8) 40 41 Table 1: Problem-solving performance among participating countries/economies (Source: OECD 2014)


Education Reform: Case Study of Korea 73 Bogotá (Colombia) 411 (5.7) Montenegro 407 (1.2) 40 42 Uruguay 403 (3.5) 41 44 Bulgaria 402 (5.1) 41 44 Colombia 399 (3.5) 42 44 Cali (Colombia) 398 (9.0) Fujairah (United Arab Emirates) 395 (4.0) Northeast Region (Brazil) 393 (11.0) Abu Dhabi (United Arab Emirates) 391 (5.3) North Region (Brazil) 383 (10.9) Ajman (United Arab Emirates) 375 (8.0) Ras Al Khaimah (United Arab Emirates) 373 (11.9) Umm Al Quwain (United Arab Emirates) 372 (3.5) Nonetheless, the results only tell part of the story as creativity is enhanced from an educational experience that emphasizes the creative learning process. The Korean education system has focused on efficiency at the cost of some non-cognitive skills that could contribute to enhancing creativity and innovativeness in Korea’s economy. According to Lee et al (2014), the Korean education system does not effectively promote certain non-cognitive skills, such as an ability to work harmoniously with others. Thus, Korea has initiated some transformative changes to promote a greater diversity of noncognitive skills and creativity. To support the shift to a more creative experience, Korea has implemented the Free Semester Program (FSP), through which it aims to address the identified shortcomings in its education system—namely, academic stress, teacher-centric teaching/learning, learning confined to textbook and class, test-based assessment, and teacher-dominant education manpower (J.Y. Lee, 2015) First announced in 2013, FSP aimed at developing competencies for the 4 th industrial revolution, such as creativity, problem-solving skills, higher-order thinking skills, and social-emotional skills (Ministry of Education, 2015b) with four objectives: offering students a chance to find their dreams and talent and continuously reflect upon and develop themselves through experiences of exploring and designing their aptitude and future; converting knowledge and competition centered education into the one that enables self-leading creative learning and development of creativity, personality, and social skills; providing happy school life for students through recovery of confidence in the public education policy direction; providing intensive career and experience education during FLS and reinforce career education that flows along primary (recognition), middle (exploration), and high schools (determination); and increasing school discretion in curriculum to ensure smooth operation of programs intended to build dreams and talent. FSP was initiated in 43 schools and continually expanded to all 3204 middle schools (100% of all public middle schools) as its overall positive impact was recognized. It is currently implemented for one semester of Year 1 (Grade 7) in all public middle schools. Students can select a more interactive curriculum and extracurricular programming that cater to their interests and passions (Park, 2016) The FSP’s major features related more to student-centered teaching and learning. Rather than traditional lecture-based classes, students are engaged in solving complex problems through project-based learning and debates. In addition, FSP’s extracurricular activities include field trips to regional career centers that help students navigate their career interests. Such opportunities are tied to other activities as well, such as student club activities, arts, and sports activities. Each school Notes: OECD countries are shown in bold black. Partner countries and economies are shown in bold blue. Regions are shown in black italics (OECD countries) or blue italics (partner countries).


74 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ can choose one of four tracks as shown in Table 2 below, based on capacity, infrastructure, and needs of students and parents. Table 2: Four tracks of Free Semester Program (Source: Park 2016) Category Example of possible programs Career exploration Courses and Curriculum designed to promote self-understanding, understanding jobs and careers, Field trips to job sites and career exploration facilities Free Choice Programs Special course offerings normally not offered in the main curriculum; Guitar, Mandarin, Japanese, Calligraphy, Magic, Gardening, Creative Writing Club Activities Photo Journalist Club, Arts& Crafts Club, and other types of student clubs Arts and Sports Programs Korean traditional instrument class, Swimming, Musical, Hip hop dance, Skating A few studies have sought to measure the FSP’s changes to and impact on classrooms, and initial results have been positive. Recent survey data show that FSP is delivering on its promised goals. According to the Korean Educational Development Institute (Choi & Lee, 2015), 81.1% of students who participated in FSP reported that their capacity for self-expression increased, 74.6% said their relationships with teachers improved, 63.5% said their enjoyment of learning improved, and 50.4% said their stress related to studying decreased. Park (2016) similarly found that FSP enhanced participants’ social skills and cooperation with others. In interviews, teachers highlighted the positive impact they had observed during FSP. According to teachers, their students were more likely to work together to initiate self-organization in a circle formation. In addition, some students learned how to use design software and used 3D printers to make race cars. The World Bank (2014) concluded that FSP is a possible way for Korea to “encourage students to explore less direct routes to their careers—for example, by taking time to work or explore between schooling cycles—[which] could have similar effects, by fostering a greater understanding of how education is linked to real-world experience.” FSP has also enhanced students’ cognitive skills in Korean, English, and mathematics. Participating students showed a greater increase in their academic achievements than nonparticipating students after participating in FSP (KEDI, 2018). See Figure 5 below.


Education Reform: Case Study of Korea 75 Figure 5: Comparison of academic achievements between participants non-participants in FSP (Source: KEDI 2018) 2013(Grade5) 2014(Grade6) 2015(Grade7) 2016(Grade8) Participating Students 197.82 201.06 214.36 230.44 Non-participating Students 199.84 202.39 212.92 228.77 180 190 200 210 220 230 240 Evaluation of Educational Achievement Korean 2013(Grade5) 2014(Grade6) 2015(Grade7) 2016(Grade8) Participating Students 198.31 208.65 223.16 250.45 Non-participating Students 200.13 211.84 222.11 249.11 0 50 100 150 200 250 300 Evaluation of Educational Achievement English 2013(Grade5) 2014(Grade6) 2015(Grade7) 2016(Grade8) Participating Students 198.25 203.06 214.84 231.67 Non-participating Students 200.09 203.85 213.13 231.67 180 190 200 210 220 230 240 Evaluation of Educational Achievement Mathematics FSP year FSP year FSP year


76 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ FSP is not just an innovative education programme; it involves orchestrated efforts among policymakers, teachers, parents, and students. The government provides holistic guidelines, inservice teacher training, and a web-based platform (http://www.ggoomggi.go.kr/) to help schools establish FSP and ensure that students, parents, and teachers have access to helpful resources, can monitor their programmes, and can share best practices. FSP is making positive inroads in overhauling Korea’s education system and preparing students with vital skills for the future. These early lessons may suggest possible implications for other education programmes seeking to promote students’ non-cognitive skills to meet the demands of a creative economy. Smart Education Initiative Korea topped the OECD’s Digital Reading Assessment (DRA), with students scoring more than 20 points higher on the digital reading scale, on average, than students from other countries with similar skills in print reading (OECD, 2015). Korea launched its Self-directed, Motivated, Adaptive, Resource-enriched, and Technology-embedded (SMART) Education initiative in 2011 to customize education systems and bridge the gap between these new and innovative fields and the education sector in a way that fosters learner capacities for the Fourth Industrial Revolution. The key goal of implementing the SMART Education initiative was to digitalize educational contents by 2015, reflecting modern changes of the 21st century and to utilize ICT as a primary medium of learning. It featured major five tasks (Chun, 2018). 1) Expanding and developing digital textbooks including based on smart learning model 2) Facilitating online classes from afterschool programs to university-level programs and building an online assessment system. 3) Creating a free and safe setting for educational contents through developing legal frameworks, ICT infrastructure and eco-system for sharing contents 4) Promoting teacher training of the SMART education. 5) Establishing the infrastructure of the foundation for cloud educational services in schools as well as a platform to share educational contents. The SMART Education initiative consists of developing infrastructure, new pedagogies, relevant policy and legal frameworks, and culture to support ICT education. Therefore, it aims to change the meaning of education from in-classroom lectures to more interactive educational contents and pedagogies tailored to each student and teacher. One main feature of the SMART Education initiative is the implementation of digital textbooks designed to link to the online classes. Online classes promote interactive learning and facilitate studies for those dealing with disabilities or health-related issues. Moreover, online classes provide more options for students to select their learning subjects, even for students in rural areas, who have historically been deprived of this right due to lack of subject teachers in their areas (Lee, 2011). ‘How to use digital books’ was already tested in 20 schools in 2008, 112 in 2009, 132 in 2010, 63 in 2011, and 46 in 2012. The pilot schools were provided with tablet PC, electronic blackboard, and wireless Internet (Lim, 2012). A study of the effectiveness of adopting digital textbooks in schools found that there have been increases in academic achievement, learning flow, self-directed learning ability, and problem-solving ability (Byun et al., 2011). Building an online platform to share educational materials is a key to success for the SMART Education initiative. An online platform creates a virtuous-cycle educational eco-system. Teachers,


Education Reform: Case Study of Korea 77 students, private companies, and related organizations can actively engage in this open-market system, where educational contents, learning communities, evaluation data, and materials for teacher development are shared in a standardized form (Eason, 2011). The Korean government developed the SMART education platform, whereby both the government and private companies engaged in the development of contents in the open market together (Park et al, 2013). The SMART Education initiative has also focused on strengthening teachers’ competencies for digital education. The teacher training curriculum incorporates the use of smart technology, communication through SMS, and new teaching and learning methods to promote creativity, cooperation, communication skills, critical thinking, and problem solving through group-level project activities. Both online and offline group teacher learning programmes have been designed, and their performance has been assessed in case studies provided by other teachers, special lectures, and movie previews (UNESCO, 2019). The Korean government launched the SMART Education initiative in 2011, associated with the national master plan for ICT education. Based on the review for legal and technical prospects, the government set up a long-term plan and implemented the initiative in some pilot schools in various forms (Chun, 2018). The SMART Education Initiative requires holistic approaches not only to promote digital infrastructure, but also to change the concept of education. Pilot schools have tried various learning and teaching models based on student learning pace. Students lead the entire process of learning from designing topics and research, working with others through cloud computing and presenting their learning to evaluating the class. Teachers can use various instructional methods and materials on the online platform and track the learning outcomes of each student in classrooms so that they support students based on individual student needs (Chun, 2018). Several assessments conducted have measured changes in students, especially through the use of digital textbooks as part of the SMART Education initiative. These evaluations found that the initiative has led to improvements in problem-solving skills, communication skills, creativity and innovation ability, critical thinking, and information utilization ability. Meanwhile, teachers were found to have become increasingly effective in such competencies as learning facilitation, communication skills, and the use of smart devices (Kye et al., 2015, 2016). Nonetheless, there has been substantial debate on SMART initiatives, especially as it relates to the adverse side effects of overused digital devices. Before the implementation of the SMART initiatives, there had been concerns that it should be delayed, and most teachers resisted adopting the initiative rapidly. They raised voices that exposure to harmful websites and deterioration of physical functions such as eyesight and neck could be by-product. (UNESCO, 2019) On top of that, many stakeholders raised a question on weakening the relationship and communication between students and teachers. Given the issues are associated with the general aspects of the use of ICT, the Korean government focused on establishing an eco-system to support students, teachers, and parents and promoting partnerships with local government and the private sector. The SMART Education initiative presents how the use of technologies can promote core skills for the 4th Industrial Revolution. Yet, the successful implementation of the model requires systemic approaches, including improving various laws and systems, generating an enabling infrastructure, enhancing teacher development programmes for the use of ICT in classrooms, and establishing educational policy to activate successful SMART Education across multiple academic disciplines. The SMART Education initiative in Korea has yielded meaningful outcomes, including free highquality materials, the ability of legal systems to transition to the digital learning environment, the


78 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ adoption of new teaching methods for smart education, and comprehensive collaboration with governments, schools, and the private sector. CONCLUSION AND LESSONS LEARNED This study examined Korea’s responsive education reform that is largely linked to the 4th Industrial Revolution. As a new era unfolds, the world must nurture individuals who can harness new and emerging technologies to reach higher levels of competence, skill, and creativity for a knowledge economy. No matter how much the future relies on technology, creative and innovative people will ultimately drive that technology and, therefore, the future. In this new knowledge-based economy, the focus should not be on content, but on the students’ ability to take charge of their own learning. Korea, like other countries, is struggling to determine how to reconfigure its education system to prepare its future workforce to lead a fast-changing economy. The government has introduced numerous polices, including two exemplary education programmes, the Free Semester Program and the SMART Education Initiative, that demonstrate the potential to promote development of cognitive and non-cognitive skill. The following lessons can be drawn from Korea’s experiences with education reform: 1. The government gathered diverse stakeholders to develop a shared agenda to align their visions, goals, and strategies to promote skill development in future generations. When the government initiated two major polices to nurture future generations to meet the prerequisite skills for the 4th Industrial Revolution, it called on schools, the public sector, and industry to work together by pursuing joint policies. The Ministry of Education, the Ministry of Culture, and the Korea Communications Commission work together to develop the interwoven digital education environment. Even though many consider that digital learning needs bottom-up drives, considering the foundation of the digital era, the government should provide clear guidelines and platforms where diverse partners can cooperate. It should implement national-level policies and legal systems for the transition. Given the SMART initiative has shown significant outcomes in improving infrastructure and social structure and promoting the engagement of education stakeholders, the role of the Korean government has been critical in implementing the initiative step by step. 2. Schools are given the autonomy to provide more tailored education programmes. Education reform aims at promoting schools and principals’ autonomy. The SMART Education Initiative promotes schools’ autonomy regarding curriculum, facilities, and private-sector partnerships. In the FSP, principals and teachers can make critical decisions about the programs’ track and curricula based on their needs, feedback from students and parents, and local infrastructure. Promoting autonomy in school operations and curricula yields benefits, including more programmes tailored to meet industrial and social needs. In addition, both programmes developed a Web-based platform to share their results and best practices. The government gathered and shared these data with the public through a system that enabled each school to have more accountability and incentive to improve its system and education programmes.


Education Reform: Case Study of Korea 79 3. Teacher workforce development is key to success. Although Korea has built a high-quality teacher workforce that has driven strong educational performance (OECD, 2014), quality reforms required significant shifts in teachers’ roles and training. Therefore, the government made teacher policies the center of its education reform and supported them by establishing a system to develop teachers’ pedagogical competencies. After developing guidelines, the government introduced the SMART initiative and related tools to teachers using web-based platforms, nurturing teachers, and creating learning communities to share best practices. SMART Education Experience Centers were developed to provide hands-on experience to teachers. In addition to that, the curriculum for pre-service teachers was tailored to reflect new pedagogies for the SMART Education initiative (UNESCO, 2019) In the same way, the Ministry of Education provided teacher training for the FSP during summer and winter vacations that included: pedagogy, class design, and sharing best practices by enabling new kinds of networks and communities, as well as innovative teaching modalities, to develop teachers’ pedagogical competencies. This study provided an overview and analysis of Korea’s education reforms including two major polices, the Free Semester Program and the SMART Education Initiative, based on the broader context of Korea’s creative economy agenda. Other countries can learn from Korea’s successes and challenges to create policies that can be implemented in such a way that schools, the government, educators, and parents encourage the next generation to take advantage of a wealth of opportunities and overcome the challenges of the 4th Industrial Revolution. REFERENCES Bloomberg. 2019. These Are the World’s Most Innovative Countries. Bloomberg. Retrieved from https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-01-22/germany-nearly-catches-korea-asinnovation-champ-u-s-rebounds Brown-Martin, G. 2017. Emergency for the World of Education: Adapting to the Digital Revolution. Toronto: Groupe Média TFO. Byun, H., Ryu, J., & Song, Y. 2011. Research Trends on Digital Textbook and Meta-analysis on its Academic Achievement. Education Methods Research. Choi, S., & Lee, S. 2015. 2014 Second Semester Free Semester Program Satisfaction Survey Results (in Korean), Retrieved from https://eng.kedi.re.kr/khome/eng/webhome/Home.do Chun, S. 2018. Birth and Major Strategies of Smart Education Initiative in South Korea and Its Challenges. Smart Education and e-Learning 2017. Switzerland: Springer International Publishing Eason, G. 2011. “Digital Textbooks Open a New Chapter,” BBC News: Business. Retrieved from https://www.bbc.com/news/business-15175962 Forbes. 2014. “Meister Of Korean School Reform: A Conversation with Lee Ju-Ho.” Forbes. Retrieved from https://www.forbes.com/sites/michaelhorn/2014/03/14/meister-of-korean-school-reform-aconversation-with-lee-ju-ho/#45a120fd3d03


80 IJEDICT ______________________________________________________________________________________ Grauer K. 2012. A Case for Case Study Research in Education. In: Klein S.R. (eds) Action Research Methods. New York: Palgrave Macmillan. Kye, B., Choi, K., & Kwak, D. 2015. 2015 A Study on the Effectiveness of Digital Textbooks. Daegu: KERIS. Kye, B., Kim, H., Shin, A., & Jeong, G. 2016. The Impact of the Implementation Fidelity of Research. Daegu: KERIS. KEDI (Korea Education Development Institute). 2015. Education for The Future. Sejong: KEDI. KEDI (Korea Education Development Institute). 2016. Education for The Future: Korean Education Policy Development. Sejong: KEDI. KEDI (Korea Education Development Institute). 2018. The Analysis of Free Semester Programs. Sejong: KEDI. Lee, JH. 2011. “Korea’s Choice: Smart Education” OECD Education Today.” OECD. Retrieved from https://community.oecd.org/community/educationtoday/blog/2011/07/26/korea-schoice-smart-education Lee, JH. 2015. Human Capital Policies: Lessons from Korea. Sejong: KDI. Lee, JH., Jeong, H., & Hong, S. 2014. Is Korea Number One in Human Capital Accumulation? Education Bubble Formation and its Labor Market Evidence. Sejong: KDI. Lee, JH., & Steer, L. 2019. Combining High-Tech and High-Touch to Personalize Learning for Every Child. The Education World Forum. Retrieved from https://www.theewf.org/research/2019/combining-high-tech-and-high-touch-topersonalize-learning-for-every-child Lee, JY. 2015. New Educational Policy of「Free Learning Semester」: Toward Revitalization for Career Exploration Oriented Approach. Sejong: KRIVET. Lim, S. 2012. The 2012 Educational Informatization White Paper. KERIS, Seoul, Korea. Lim, JH. 2017. Understanding System of Semi-Free Semester Program: Curriculum Design, Instruction, Assessment. Journal of Educational Administration and Policy, Vol. 2, 63-75 Mckinsey Global Institute. 2017. Jobs Lost, Jobs Gained: Workforce Transitions in A Time of Automation. New York: Mckinsey Global Institute. Meister High School. 2019. The Statistics of Meister High School. Retrieved from http://www.hifive.go.kr/stats/schStats.do?rootMenuId=98&menuId=9801&sType=A4 Ministry of Education. 2015a. Education, the Driving Force for the Development of Korea. Sejong: Ministry of Education in Korea. Ministry of Education. 2015b. “Plans to Start the Middle School Free Semester Program Confirmed (in Korean)” The Ministry of Education of the Republic of Korea Blog. 2015. (Press Release), Retrieved from https://if-blog.tistory.com/


Education Reform: Case Study of Korea 81 OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2014. Strong Performers and Successful Reformers in Education: Lessons from Pisa for Korea. Paris: OECD. OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2015. Main Results from the PISA 2012 Computer-Based Assessments in Students, Computers and Learning: Making the Connection. Paris: OECD. OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2016. Preparing Our Youth for an Inclusive and Sustainable World: The OECD PISA Global Competence Framework. Paris: OECD. OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2018. PISA 2015 Results in Focus. Paris: OECD. OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2018. The Future of Education and Skills: Education 2030. Paris: OECD. OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development). 2019. OECD Employment Outlook 2019: The Future of Work. Paris: OECD. Park, R. 2016. Preparing Students for South Korea’s Creative Economy: The Successes and Challenges of Educational Reform. Vancouver: The Asia Pacific Foundation of Canada (APF Canada) Park, Y., An, S., & Lee, Y. 2013. Direction of Contents Development for Smart Education. IADIS International Conference e-Learning 2013. UNESCO (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization). 2019. “Classroom revolution through SMART education in the Republic of Korea: case study by the UNESCO-Fazheng project on best practices in mobile learning.” Paris: UNESCO. WEF (World Economic Forum). 2016a. The future of Jobs: Employment, Skills and Workforce Strategy for the Fourth Industrial Revolution. Geneva: World Economic Forum. WEF (World Economic Forum). 2016b. New Vision for Education: Fostering Social and Emotional Learning through Technology. Geneva: World Economic Forum. WEF (World Economic Forum). 2018. The Future of Jobs Report 2018. Geneva: World Economic Forum. World Bank. 2014. Achieving HOPE: Happiness of People through Education. Innovation in Korean Education for a Creative Economy. Washington: World Bank. World Bank. 2019. The World Development Report (WDR) 2019: The Future of Jobs. Washington: World Bank. ___________________________________________________________________________ Copyright for articles published in this journal is retained by the authors, with first publication rights granted to the journal. By virtue of their appearance in this open access journal, articles are free to use with proper attribution, in educational and other non-commercial settings.


ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา LEGAL PROBLEMS REGARDING DECENTRALIZATION OF SCHOOLS หยัด ขจรเกียรติผดุง Yad Kajoinkeatpadung เพิ่ม หลวงแก้ว Pherm Luangkaew มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย Khon Kaen University Nong Khai Campus, Thailand. กำพล วันทา Kampol Wantha มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง Muban Chombueng Rajabhat University, Thailand. E-mail: [email protected] บทคัดย่อ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจาย อำนาจทางการศึกษาสู่สถานศึกษา และหาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการ กระจายอำนาจสู่สถานศึกษา โดยศึกษาแหล่งข้อมูลประเภทเอกสาร/หลักฐาน และกฎหมายเกี่ยวกับ การกระจายอำนาจทางการศึกษา อาทิเช่น พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวมรวม โดยการวิเคราะห์เอกสารและกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ประกอบข้อสรุปข้อมูล จากการสอบถามและสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการศึกษา ในทางปฏิบัติยังไม่ได้รับ การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา เพียงแต่มี หน่วยงานทางการศึกษา อันได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นตัวแทนจากส่วนกลางไปอยู่ในส่วน Received: 3 June 2020; Revised: 19 June 2020; Accepted: 23 June 2020


256 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) ภูมิภาคเท่านั้น อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างยังคงรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลางเป็นผู้วางแผนและตัดสินใจสั่ง การเหมือนเดิม ทำให้การบริหารจัดการการศึกษาในระดับสถานศึกษาขาดความคล่องตัวในการพัฒนา การศึกษาไปสู่คุณภาพที่แท้จริงได้ จึงเสนอแนะว่าหากต้องการให้สถานศึกษามีการพัฒนาการศึกษาสู่ คุณภาพนั้น ต้องมีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงให้กับสถานศึกษา โดยการแก้ไขกฎหมายการศึกษาให้ มีการกระจายอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสู่สถานศึกษา โดยให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมในการ บริหารจัดการทุกด้าน ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานทั่วไป คำสำคัญ: กฎหมาย, สถานศึกษา, การกระจายอำนาจ Abstract The objective of this research article are to study the concepts, theories and laws related to decentralization of education to schools and looking for suggestions on the development of laws regarding decentralization to educational institutions, data sources, document types/evidence and education laws, such as; the National Education Act A.D. 1999, the amendments to the Administrative Regulations of Ministry of Education A. D. 2003 and amended on the Teacher Civil Service and Educational Personnel Regulations A. D. 2004. The tools were used in the research consist of questionnaires, structured interview. The researcher conducted the analysis of the data collected through the analysis of documents and laws regarding decentralization to the school, then summarizing the data from the inquiry and interview. The results of the research showed that the laws regarding education as mentioned was still no real decentralization practically, especially decentralization to schools. There was only the educational agencies which are the Office of Educational Service Area was the representative from the central region. All decision-making power was still centralized as the planner and decision maker. Hence, the educational management in school level lacks of flexibility in the development of education to the actual quality.Therefore some suggestion request to the schools developing their quality of education. They are distributed by the real power to decentralize to the schools that come from amending the legal education. One


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 257 importance is to allow stakeholders participated in management in all aspects including academic, budget, personnel management and general administration. Keywords: Law, School, Decentralization บทนำ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้ ประเทศไทยปกครองระบบประชาธิปไตย โดยแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3รูปแบบ ได้แก่ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาคและการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การ แบ่งการบริหารราชการเช่นนี้ในขณะนั้นส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอน การดำเนินการ ลดความล่าช้าในการตัดสินใจจากส่วนกลาง สามารถตอบสนองความต้องการของ ประชาชนและให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจได้ แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการ บัญญัติกฎหมายเฉพาะหน่วยงานของตนขึ้นมาประกาศใช้อีกหลายฉบับ ทำให้โครงสร้างการบริหารและ การปกครองในรูปแบบนี้ได้เกิดปัญหาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านโครงสร้างองค์กร เช่น ปัญหาด้านอำนาจ หน้าที่ของการบริหารราชการส่วนกลาง ซ้อนทับกับการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ทั้ง เรื่องอำนาจ ภารกิจ งบประมาณและการประสานงาน รวมถึงปัญหาการไม่สามารถนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้จริง ตลอดถึงปัญหาการกระจายอำนาจ สู่สถานศึกษาไปสู่ส่วนภูมิภาคด้วย (ภิรมย์พร ไชยยนต์, 2557) โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม และออกกฎหมายการศึกษาอีกหลายฉบับตามมา มีหลักการและกระบวนการจัด การศึกษาที่เน้นให้มีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา ทั้งในด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานทั่วไป และกระทรวงศึกษามี หน้าที่กำกับดูแลเฉพาะด้านการกำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากร และ ติดตามตรวจสอบและประเมินผลการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ถ้าเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา จะมีการกระจายอำนาจแบบมอบอำนาจการตัดสินใจ และความรับผิดชอบไปยังคณะกรรมการฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาโดยตรง แต่ถ้า เป็นสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาและสถานศึกษาเอกชน จะมีความเป็นอิสระตามกฎหมาย การจัดตั้งสถานศึกษานั้น ๆ เป็นการกระจายอำนาจแบบเบ็ดเสร็จและมีอิสรภาพมากกว่าสถานศึกษา ประเภทอื่น (ลิขิต ธีรเวคิน, 2535)


Click to View FlipBook Version