The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วรุธ สันราษฎร์, 2023-02-11 11:41:53

รายงานเชิงสังเคราะห์และวิเคราะห์การเปรียบเทียบประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้กับประเทศไทย

การเปรียบเทียบประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้กับประเทศไทย

Keywords: การเปรียบเทียบประเทศเกาหลีกับประ

258 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทาง การศึกษาสู่สถานศึกษา การพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่สถานศึกษา ซึ่ง มีปัญหากฎหมายเกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาหลายฉบับ เช่น 1) พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ในทางปฏิบัติการใช้ อำนาจยังต้องผ่านจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาคก่อนแล้วไปยังส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้การปฏิบัติงาน ล่าช้า 2) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ มีโครงสร้างการบริหารงานจากส่วนกลางไปยังเขตพื้นที่การศึกษาก่อนที่จะมอบอำนาจไปสู่สถานศึกษา 3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการบริหารงานบุคคลกลางของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่ง ในทางปฏิบัติเขตพื้นที่การศึกษายังไม่ได้รับการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็นตัวแทน ส่วนกลางที่ไปอยู่ในส่วนภูมิภาคเท่านั้น อำนาจบริหารบุคคลจึงกระจุกอยู่ที่เขตพื้นที่การศึกษา ก่อนจะ มอบอำนาจและหรือสั่งการไปยังสถานศึกษาอีกชั้นหนึ่ง 4) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายการศึกษาอื่น ๆ ดังที่กล่าวมา ในทาง ปฏิบัติอำนาจยังอยู่ส่วนกลาง ยังไม่สามารถกระจายอำนาจอำนาจไปยังส่วนภูมิภาคได้อย่างแท้จริง 5) พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537และพระราชบัญญัติกำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับ การกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น ยังไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎหมายการศึกษาฉบับอื่น ๆ ซึ่งน่าจะเป็นการกระจายอำนาจทาง การศึกษาสู่ท้องถิ่น ได้แก่ สถานศึกษาต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่กฎหมาย เหล่านี้ยังไม่สอดคล้องกัน เป็นต้น จากปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่สถานศึกษา การพัฒนา กฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่สถานศึกษา หาข้อเสนอแนะและความชัดเจนใน การกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่สถานศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดี ยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับปัญหากฎหมาย เกี่ยวกับการกระจาย อำนาจสู่สถานศึกษา


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 259 2. เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายทั้งของต่างประเทศและประเทศไทย เกี่ยวกับปัญหา กฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา 3. เพื่อวิเคราะห์หาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมาย เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่ สถานศึกษา วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัย เรื่องปัญหาเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ดำเนินงานโดยศึกษาแหล่งข้อมูล ประเภทเอกสาร/หลักฐาน เกี่ยวกับกฎหมายการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ได้แก่ พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาพ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไข เพิ่มเติม พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 พระราชบัญญัติกำหนด แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2534 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยประกอบไปด้วยกลุ่มสายผู้บริหาร ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่มนักวิชาการด้าน การศึกษา ได้แก่ นักวิชาการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กลุ่มผู้ใช้กฎหมาย ได้แก่ ปลัดนายกองค์การ บริหารส่วนตำบล ปลัดเทศบาล นิติกรเขตพื้นที่การศึกษา นิติกรท้องถิ่น กลุ่มผู้ถูกใช้กฎหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาท้องถิ่น และกลุ่มประชาช น ทั่วไป ได้แก่ กรรมการสถานศึกษาและประชาชนทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวมรวม โดยการวิเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับปัญหาการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาประกอบกับการวิเคราะห์จาก ข้อสรุปจากการสอบถามและสัมภาษณ์ เพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนากฎหมาย เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา


260 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) ผลการวิจัย ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา เกิดจากการจากกฎหมาย เกี่ยวกับการศึกษา อันได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม, พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่ง กฎหมายการศึกษาดังกล่าวนี้ ในทางปฏิบัติพบว่าอำนาจในการจัดการศึกษา ยังกระจุกรวมศูนย์อยู่ที่ ส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษายังไม่ได้รับการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็น ตัวแทนส่วนกลางอยู่ในส่วนภูมิภาคและอยู่ในส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย (Stake Holders) ในพื้นที่ ไม่มีส่วนร่วมในการเข้าไปมีส่วนในการจัดการศึกษา อำนาจการตัดสินใจยังคงต้องให้ ส่วนกลางเป็นผู้ตัดสินใจ จึงเสนอแนะว่าหากต้องการให้สถานศึกษามีอำนาจอย่างแท้จริง ต้องมีการ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา ได้แก่ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม, พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวข้างต้น โดยแก้ไข เพิ่มเติมให้มีการกระจายอำนาจโดยสมบูรณ์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสู่สถานศึกษา ให้ผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ (Stake Holders) เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงาน บุคคล และการบริหารทั่วไป (เพิ่ม หลวงแก้ว, 2561) อภิปรายผล ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษานั้น รัฐควรกระจายอำนาจไปยัง โรงเรียนโดยตรง หากได้รับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาอย่างแท้จริง จะส่งผลให้สถานศึกษา ปฏิบัติงานด้วยความคล่องตัว เป็นผลดีต่อการจัดการศึกษาในระดับสถานศึกษา รัฐจึงต้องแก้ไข กฎหมายให้มีการกระจายอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังเช่นหลายประเทศที่ได้กระจายอำนาจจาก ส่วนกลางสู่สถานศึกษาโดยตรง ผู้วิจัยจึงได้ทำการเปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายไทยและ ต่างประเทศในการกระจายอำนาจทางการศึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายของไทยกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในการกระจาย อำนาจ สู่สถานศึกษาไทยและสาธารณรัฐสิงคโปร์ พบว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญกับ การศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญและมีค่าที่สุดของประเทศ ในการนี้รัฐบาลได้ ให้การอุดหนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนใน


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 261 ระดับประถมและมัธยม ล้วนเป็นโรงเรียนรัฐบาลหรือกึ่งรัฐบาล ในส่วนของการบริหารนั้น สาธารณรัฐ สิงคโปร์จะมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลควบคุมนโยบายและสนับสนุนด้านงบประมาณ มีการ กระจายอำนาจการบริหารต่าง ๆ ไปให้ท้องถิ่นจัดการแทน ประเทศไทยมีกระทรวงศึกษาธิการดูแลด้าน การศึกษาเช่นกัน โดยควบคุมนโยบายและให้งบประมาณและกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่และ สถานศึกษา ซึ่งมีองค์คณะบริหารงานบุคคลอยู่ในหน่วยงานทั้งสองส่วน แต่เนื่องจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประเทศเล็กและสร้างตัวใหม่ ประกอบกับมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกว่า จึงสามารถพัฒนาคนและพัฒนา การศึกษาไปได้เร็วกว่า (เพิ่ม หลวงแก้ว, 2556) 2) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยและนิวซีแลนด์ ในการกระจายอำนาจสู่ สถานศึกษาไทยและนิวซีแลนด์ พบว่า ประเทศไทยนั้นกระจายอำนาจการศึกษาต่างจากประเทศ นิวซีแลนด์กล่าวคือ ประเทศไทยไม่ไม่กระจายอำนาจการศึกษาสู่สถานศึกษาโดยตรง โดยมีกระทรวง ศึกษาทำหน้าที่วางแผน นโยบายและกำกับดูแลให้การจัดการศึกษาบรรลุเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐ ตลอดจนกำหนดหลักสูตรการศึกษาชาติ โดยมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้รับนโยบายและนำ นโยบายขยายผลไปสู่สถานศึกษาในสังกัด ซึ่งแตกต่างจากประเทศนิวซีแลนด์ที่มีการกระจายอำนาจจาก กระทรวงศึกษาไปสู่สถานศึกษาโดยตรง โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบการจัดการศึกษาเพียง 2 ระดับ คือ ระดับกระทรวง และระดับสถานศึกษา ส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความคล่องตัว (อุทัย บุญ ประเสริฐ, 2548) 3) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับสหรัฐอเมริกา ในการกระจายอำนาจสู่ สถานศึกษาไทยและอเมริกา พบว่า ประเทศไทยตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แบ่งการบริหารราชการออกเป็นการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วน ท้องถิ่น จากการแบ่งการปกครองของประเทศไทยนั้น รัฐยังคงให้การดูแลและบริหารการปกครอง รวมถึงการดูแลด้านการศึกษาด้วย ซึ่งแตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาแบ่งการปกครองออกเป็นรัฐ (State) แต่ละรัฐมีความเป็นเอกเทศในการดูแลการบริหารจัดการการปกครองและการจัดการศึกษาของ ตนเอง ไม่ขึ้นแก่กันและไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง ในด้านการกระจายอำนาจทางการศึกษานั้น รัฐบาลกลาง อเมริกันเพียงวางนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ประสานงาน โดยหน้าที่หลักเป็นหน้าที่ขององค์กร การศึกษาที่ระดับท้องถิ่น คือเขตพื้นที่การศึกษา (School Districts) เขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่จัดจ้าง สรรหาครู กำหนดคุณสมบัติของครู ดูแลเรื่องการจัดสรรงบประมาณที่ได้มาจากรัฐ และดูแลเรื่อง หลักสูตรอย่างละเอียดว่า จะต้องครอบคลุมเนื้อหาใดบ้าง อย่างไร ในบางท้องถิ่นของอเมริกาทำหน้าที่ ดังกล่าวด้วยตนเอง และบางท้องถิ่นก็มอบหมายหรือกระจายอำนาจ (Delegate) ไปให้โรงเรียนทำเอง ซึ่งแตกต่างจากการกระจายอำนาจทางการศึกษาของไทย ที่รัฐยังคงต้องคอยควบคุมกำหนดนโยบายให้


262 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) เขตพื้นที่การศึกษาปฏิบัติตาม ทั้งในเรื่องของการกำหนดคุณสมบัติของครู รวมไปถึงการจัดสรร งบประมาณให้กับเขตพื้นที่การศึกษา (อุทัย บุญประเสริฐ, 2548) 4) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับเกาหลี ในการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ไทย และเกาหลี พบว่า ประเทศไทยมีการกระจายอำนาจทางการศึกษาบางส่วน กล่าวคือการแยก อำนาจการบริหารบุคคลยังไม่แยกจากการบริหารทั่วไป จึงยังถูกแทรกแซงทางการเมืองทั้งในระดับ ก.ค. ศ. และ อ.ก.ค.ศ เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งแตกต่างจากประเทศเกาหลีที่มีการกระจายอำนาจการ บริหารงานบุคคลออกจากการบริหารทั่วไป เพื่อประกันว่าการศึกษาจะไม่ถูกแทรกแซงทางการเมืองของ เกาหลี (เพิ่ม หลวงแก้ว, 2556) 5) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับอังกฤษ ในการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ไทยและอังกฤษ พบว่า มาตรการทางกฎหมายไทยและอังกฤษมีลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ ประเทศไทย นั้นรัฐได้ให้อำนาจทางการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการได้ทำหน้าที่วางแผน นโยบายและกำกับดูแลให้ การจัดการศึกษาบรรลุเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐ ตลอดจนกำหนดหลักสูตรการศึกษาชาติ ในส่วนของ การกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่ท้องถิ่นนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้กระจายอำนาจทางการศึกษาไปสู่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเช่นเดียวกันกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาของประเทศอังกฤษ ที่ รัฐบาลกลางให้จัดตั้งองค์การบริหารการศึกษาท้องถิ่นขึ้นในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำหน้าที่ ดูแลด้านการศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและการศึกษาต่อเนื่อง ภายในเขตพื้นที่การศึกษา (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2549) 6) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับออสเตรเลีย ในการกระจายอำนาจสู่ สถานศึกษาไทยและออสเตรเลีย พบว่า ประเทศไทยยังไม่มีการกระจายอำนาจสู่สถานโดยตรงดังเช่น ประเทศออสเตรเลีย กล่าวคือ ประเทศออสเตรเลียมีการการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยตรง ไม่ว่า จะเป็นในเรื่องของการให้โรงเรียนจัดการงบประมาณด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านเขตพื้นที่การศึกษา ลด การแทรกแซงการปฏิบัติงานประจำวันของโรงเรียน และมีนโยบายจัดการโรงเรียนของรัฐให้เป็นโรงเรียน ที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบและสามารถตัดสินใจในการพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนให้มี คุณภาพได้เอง สำหรับประเทศไทยนั้น การกระจายอำนาจทางการศึกษา ยังไม่มีลักษณะของการการ กระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยตรงเช่นประเทศออสเตรเลีย กระทรวงศึกษายังคงต้องคอยควบคุมการ บริหารงาน (อุทัย บุญประเสริฐ, 2548) 7) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับมาเลเซีย พบว่า ไทยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดูแลด้านการศึกษาโดยตรงคล้ายมาเลเซีย คือ กระทรวงศึกษาธิการ และบริหารงานในระดับจังหวัด


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 263 อำเภอ ระดับกลุ่ม ระดับกลุ่มโรงเรียนและในโรงเรียน โดยใช้สถานศึกษาเป็นฐานในกรอบโครงสร้าง 4 งาน คือ งานบริหารทั่วไป งานวิชาการ งานบริหารบุคคล และงานบริหารงบประมาณคล้ายกับไทยยุค ก่อนปฏิรูปการศึกษา แต่ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลมาเลเซียให้ความสำคัญกับการศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่ง จะเห็นได้จากการทุ่มเทงบประมาณให้กับสถานศึกษาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแยก งบประมาณการบริหารทั่วไป เช่น การจ้างบุคลากรรักษาความปลอดภัย รักษาความสะอาด รวมไปถึง การจ้างครูธุรการ การเงินและพัสดุ ออกจากการบริหารงานบุคคลอย่างชัดเจน ทำให้ครูมีหน้าที่เฉพาะ การจัดการเรียนการสอนเท่านั้น ทำให้ครูและบุคลากรจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ (เพิ่ม หลวงแก้ว, 2556) 8) เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายไทยกับฝรั่งเศส พบว่า ประเทศไทยแบ่งการบริหาร ราชการออกเป็นการบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาคและการบริหารราชการ ส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีความแตกต่างจากการบริหารราชการของประเทศฝรั่งเศส โดยไม่มีการแบ่งส่วน ราชการส่วนภูมิภาคเหมือนประเทศไทย สำหรับการกระจายอำนาจทางการศึกษาของประเทศฝรั่งเศส และประเทศไทยนั้น มีความคล้ายกันในลักษณะที่ว่ารัฐได้กระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่การศึกษา กล่าวคือกระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจให้องค์คณะบุคคลคือ คณะกรรมการข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และ ก.ค.ศ. ก็ยังกระจายอำนาจไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) แต่รัฐยังคงมีอำนาจและบทบาทสำคัญ ที่เกี่ยวกับ การบริการสาธารณะและการจัดการศึกษาไว้ในอำนาจของรัฐบาลกลาง (อุทัย บุญประเสริฐ, 2548) กล่าวโดยสรุป จากการศึกษาเปรียบเทียบการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาขอไทยและ ต่างประเทศ พบว่า กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงหลักที่รับผิดชอบชอบการจัดการศึกษาขั้น พื้นฐานของประเทศ ในเรื่องของการกระจายอำนาจการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การกระจายอำนาจไป ให้หน่วยงานการศึกษาระดับท้องถิ่น เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา เกาหลี และการกระจายอำนาจไปสู่ สถานศึกษาโดยตรง เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศส่วนใหญ่ ส่วนกลางจะมีบทบาทสำคัญในการ ควบคุมหลักสูตร นโยบาย มาตรฐานคุณภาพ และการสนับสนุนทรัพยากร ในส่วนของการกระจาย อำนาจสู่สถานศึกษานั้น ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่องค์การบริหาร การศึกษาในระดับท้องถิ่น เน้นการบริหารการศึกษาโดยมืออาชีพ และการมีความเป็นกลางทางการเมือง ในการบริหารจัดการ เน้นหลักการมีส่วนร่วม และหลักความเป็นประชาธิปไตย หลักคุณภาพและ ประสิทธิภาพ และคุณภาพมาตรฐานการศึกษา (ณัฐศักดิ์ จันทร์ผล, 2552)


264 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) สรุป จากการอภิปรายผลและการสังเคราะห์ดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปประเด็นเพื่อหาแนว ทางแก้ไขปัญหาได้ดังนี้ 1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา, 2542) กฎหมายฉบับนี้ในทางปฏิบัติการใช้อำนาจยังต้องผ่านส่วนภูมิภาคก่อน แล้วไปยังส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้การปฏิบัติงานล่าช้า แนวทางแก้ไขคือรัฐควรมอบอำนาจให้สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการ บริหารทั่วไป เหมือนประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการให้โรงเรียนจัดการงบประมาณด้วย ตนเอง โดยไม่ต้องผ่านเขตพื้นที่การศึกษา อีกทั้งรัฐบาลออสเตรเลียยังกระจายอำนาจการตัดสินใจ เพิ่ม อำนาจและให้ความเป็นอิสระแก่โรงเรียน ลดการแทรกแซงการปฏิบัติงานประจำวันของโรงเรียน แต่มุ่ง จะกระจายอำนาจในการบริหารจัดการและความรับผิดชอบลงสู่โรงเรียน และมีนโยบายจัดการโรงเรียน ของรัฐให้เป็นโรงเรียนที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบและสามารถตัดสินใจในการพัฒนาการจัดการศึกษา สำหรับนักเรียนให้มีคุณภาพได้เอง สำหรับประเทศไทยนั้นการกระจายอำนาจทางการศึกษานั้นยังไม่มี ลักษณะของการการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาโดยตรงเช่นประเทศออสเตรเลีย กระทรวงศึกษายังคง ต้องคอยควบคุมการบริหารงาน 2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และที่แก้ไข เพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และที่แก้ไข เพิ่มเติม (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2553) กฎหมายฉบับนี้ในทางปฏิบัติเขตพื้นที่ การศึกษา ยังไม่ได้รับการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็นตัวแทนส่วนกลางเท่านั้น แนวทางการแก้ไขคือ รัฐควรแก้ไขข้อกฎหมายในส่วนของการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ให้ เหลือเพียงระดับกระทรวงและสถานศึกษา ซึ่งแตกต่างจากประเทศนิวซีแลนด์ที่มีการกระจายอำนาจ จากกระทรวงศึกษาไปสู่สถานศึกษาโดยตรง โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบการจัดการศึกษาเพียง 2 ระดับ คือ ระดับกระทรวง และระดับสถานศึกษา ส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความคล่องตัว ซึ่งแตกต่าง จากไทยที่ไม่กระจายอำนาจการศึกษาสู่สถานศึกษาโดยตรง โดยมีกระทรวงศึกษาทำหน้าที่วางแผน นโยบายและกำกับดูแล ให้การจัดการศึกษาบรรลุเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐ ตลอดจนกำหนด หลักสูตรการศึกษาชาติ โดยมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้รับนโยบาย และนำนโยบายขยายผล ไปสู่สถานศึกษาในสังกัด (อุทัย บุญประเสริฐ, 2548)


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 265 3. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ.2553 (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2553) ในทางปฏิบัติอำนาจยังอยู่ ส่วนกลาง ยังไม่สามารถกระจายอำนาจไปยังส่วนภูมิภาคได้อย่างแท้จริง แนวทางการแก้ไขคือ รัฐควรกระจายอำนาจให้ส่วนภูมิภาคหรือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป หากทำการ เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมาย ในการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาไทยและสาธารณรัฐสิงคโปร์ พบว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และมีค่าที่สุดของประเทศ ในการนี้รัฐบาลได้ให้การอุดหนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษา แบบให้เปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนในระดับประถมและมัธยม ล้วนเป็นโรงเรียนรัฐบาลหรือกึ่ง รัฐบาล ในส่วนขอการบริหารนั้น สาธารณรัฐสิงคโปร์จะมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลควบคุมนโยบาย และสนับสนุนด้านงบประมาณ มีการกระจายอำนาจการบริหารต่าง ๆ ไปให้ท้องถิ่นจัดการแทน ประเทศ ไทยมีกระทรวงศึกษาธิการดูแลด้านการศึกษาเช่นกัน โดยควบคุมนโยบายและให้งบประมาณ และ กระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่และสถานศึกษา ซึ่งมีองค์คณะบริหารงานบุคคลอยู่ในหน่วยงานทั้งสอง ส่วน แต่เนื่องจากสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กและสร้างตัวใหม่ ประกอบกับมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง กว่า จึงสามารถพัฒนาคนและพัฒนาการศึกษาไปได้เร็วกว่า 4. พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 (สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา, 2542) ยังไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของการถ่ายโอนอำนาจและการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่สถานศึกษาและ ในส่วนท้องถิ่น แนวทางการแก้ไขคือ รัฐควรกระจายอำนาจให้สถานศึกษาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งด้าน วิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป โดยเชื่อมโยงอำนาจระหว่าง สถานศึกษาและส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ เปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมาย ในการกระจาย อำนาจสู่สถานศึกษาไทยและเกาหลีข้างต้น พบว่า ประเทศไทยนั้น มีการกระจายอำนาจทางการศึกษา บางส่วน กล่าวคือการแยกอำนาจการบริหารบุคคล ยังไม่แยกจากการบริหารทั่วไป จึงยังถูกแทรกแซง ทางการเมืองทั้งในระดับ ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งแตกต่างจากประเทศเกาหลีที่มี การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่นโดยตรง และมีการป้องกันการแทรกแซงทาง การเมือง โดยมีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้แยกอำนาจการบริหารทั่วไปเป็นการเฉพาะ


266 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) กล่าวโดยสรุป จากการศึกษาเปรียบเทียบการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาของไทยและ ต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า การกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาของไทย ต้องมีการกระจายอำนาจการจัด การศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรง โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลายประเทศแล้ว พบว่า นิวซีแลนด์ ประสบความสำเร็จในการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา คือมีการบริหารการกระจายอำนาจเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือ ระดับกระทรวงและระดับสถานศึกษาเท่านั้น ในขณะที่อเมริกา เกาหลีและสิงค์โปร์ กระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นและชุมชนช่วยกันบริหารจัดการ และมีการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ในขณะที่ประเทศไทย แม้จะมีการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา แต่ก็เป็นเพียงการแบ่งอำนาจหรือมอบ อำนาจบางส่วนจากส่วนกลางเท่านั้น (เพิ่ม หลวงแก้ว, 2561) ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. กระทรวงศึกษาธิการควรเร่งรัดการออกกฎหมาย เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจการศึกษาให้ เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาอย่างแท้จริง โดยที่หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการอย่างรวดเร็วใน การจัดทำกฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือมอบอำนาจให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษานำไปปฏิบัติต่อไป เช่น การออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการกระจายอำนาจ การบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหาร ทั่วไป ไปยังคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่โดยตรง ตามมาตรา 39 แห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545 อย่างรีบด่วน เพื่อสร้าง ความชัดเจนเกี่ยวกับการกระจายอำนาจระหว่างส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา โดยให้ กระจายอำนาจหน้าที่ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาให้ชัดเจน 2. กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ที่ เป็นกฎหมายแม่บทที่สำคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2545 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกฎหมายแม่บทเหล่านี้ยังมีกฎหมายรองที่ เป็นกฎหมายที่ใช้ในการปฏิบัติ ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎต่าง ๆ ที่ออกตามมา เพื่อใช้ในการบริหารการศึกษา และส่งผลกระทบต่อการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา


วารสารปัญญาปณิธาน Pañña Panithan Journal| 267 3. ควรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แนวคิดทฤษฎี และผลงานวิจัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การกระจายอำนาจการศึกษาของไทยและต่างประเทศ เพื่อให้ทราบถึงข้อแตกต่าง เป็นการสร้างความรู้ และความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายการกระจายอำนาจการศึกษาของไทยให้ ดียิ่งขึ้น 4. กระทรวงศึกษาธิการ จะต้องประสานงานให้หน่วยงานที่เป็นองค์กรหลัก ในร่างกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจการบริหาร และจัดการศึกษาให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ หน่วยงานใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เอกสารอ้างอิง ณัฐศักดิ์ จันทร์ผล. (2552). การพัฒนารูปแบบการบริหารงานสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่เน้นการ กระจายอํานาจ. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสยาม. เพิ่ม หลวงแก้ว. (2556). ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา. ดุษฎีนิพนธ์สาขานิติศาสตร์. มหาวิทยาลัยปทุมธานี. เพิ่ม หลวงแก้ว. (2561). กฎหมายคุ้มครองจริยธรรมในกระบวนการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการ ครู. วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, ปีที่ 18(3) : 351 - 361. ภิรมย์พร ไชยยนต์. (2557). การกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่น : ศึกษากรณีการปกครองตนเอง ตามเจตนารมณ์ของประชาชนในระดับจังหวัด. วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต. สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. ลิขิต ธีรเวคิน. (2535). การกระจายอำนาจ และการมีส่วนรวมในการพัฒนาชนบท. ใน รายงานเสนอ ต่อสมาคมนักวิจัยมหาวิทยาลัยไทยและมูลนิธิFriend rich Ebert. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2542). พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542. กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2553). พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ.


268 | ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January – June 2020) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2549). การสังเคราะห์รายงานการวิจัยการกระจายอำนาจทาง การศึกษาใน 8 ประเทศ. กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา. อุทัย บุญประเสริฐ. (2548). การสังเคราะห์การกระจายอำนาจทางการศึกษาของประเทศต่าง ๆ. เอกสารประกอบการประชุมโครงการสัมมนาวิจัย เรื่อง การกระจายอำนาจทางการศึกษา ประเทศต่าง ๆ ณ โรงแรมบางกอก กอล์ฟ สปารีสอร์ท จังหวัดปทุมธานี.


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 217 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ A Model of Cross - Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities บุญรอด โชติวชิรา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจ าสาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Boonrawd Chotivachira Assistant Professor, Thai Study Program Faculty of Education, Chiang Mai University E-mail: [email protected] อรุณี หงษ์ศิริวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประจ าสาขาวิชาอุดมศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้น า ทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Arunee Hongsiriwat Assistant Professor, Ph.D., Division of Higher Education, Department of Education Policy Management and Leadership, Faculty of Education, Chulalongkorn University E-mail: [email protected] ปทีป เมธาคุณวุฒิ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ประจ าสาขาวิชาอุดมศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้น า ทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Pateep Methakunavudhi Professor Emeritus, Ph D., Division of Higher Education, Department of Education Policy, Management and Leadership, Faculty of Education, Chulalongkorn University E-mail: [email protected] Abstract This research had four objectives: 1) to study the present-day situation of cross-cultural instructional management of the curriculum and instructional management of Thai as a foreign language at the undergraduate level at universities in Thailand and the Republic of Korea, 2) to analyze factors which impact the effectiveness of instructional management of Thai as a


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 218 foreign language at the undergraduate level at universities in Thailand and the Republic of Korea, 3) to propose the model of cross-cultural curriculum and instructional management of Thai as a foreign language at the undergraduate level at universities in Thailand and the Republic of Korea, and 4) to provide guidelines for managing cross-cultural education of the curriculum and instructional management of Thai as a foreign language at the undergraduate level at universities. The samples were 6 universities in Thailand which were 35 Thai language teachers teaching Thai to undergraduates, 14 Thai teachers and South Korean teachers teaching Thai at 2 universities in Korea, 80 South Korean students at 2 universities in Korea, and 30 South Korean exchange students in Thailand. The research instruments were the questionnaire and the interview. The data were analyzed by using frequency, percentage, mean and standard deviation. The results were summarized as follows; 1. An analysis of the present situation of cross-cultural instructional management of the curriculum and instructional management of Thai as a foreign language at the undergraduate level showed that 1) concerning the notion of teaching Thai as a foreign language at the undergraduate level, South Korean teachers and students from universities in Thailand and Korea strongly agreed with it, whereas teachers from universities in Korea moderately agreed, 2) As for cross-cultural instructional management of teaching Thai as a foreign language to undergraduates, South Korean teachers and students strongly agreed with it, 3) Relating to cross-cultural instructional management of teaching Thai as a foreign language to South Korean undergraduates, South Korean teachers and students also strongly agreed with it. 2. An analysis of factors influencing the effectiveness of instructional management of teaching Thai as a foreign language to South Korean undergraduates indicated that 1) regarding context or external environment, South Korean teachers and students strongly agreed with its influence, and teachers from universities in Thailand completely agreed, 2) In terms of input, teachers strongly agreed with its effects, but South Korean students moderately agreed, 3) As far as the process is concerned, South Korean teachers and students strongly agreed with its impact, while South Korean teachers in Korea moderately agreed, and 4) regarding the product, South Korean teachers and students both strongly agreed with its influence. 3. The proposed model of the cross-cultural of the curriculum and instructional management of Thai as a foreign language at the undergraduate level at universities in Thailand and the Republic of Korea was designed as the “Bibimbab Model”


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 219 4. Guidelines for cross-cultural instructional management of teaching the Thai language at the undergraduate level at universities in Thailand and other countries. Keywords: Cross-cultural Educational, Teach Thai as a Foreign Language, Republic of Korea Universities บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรี 3) พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของ หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัย ในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 4) น าเสนอแนวทางการจัดการศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย อาจารย์ไทยที่สอนภาษาไทยระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยจ านวน 6 สถาบัน รวม 35 คน และอาจารย์ไทยและเกาหลีใต้ที่สอนภาษาไทยระดับปริญญาตรีในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จ านวน 2สถาบัน รวม 14 คน นักศึกษาเกาหลีใต้ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 - 4 ที่เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอกในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ จ านวน 80 คน และนักศึกษาเกาหลีใต้ที่แลกเปลี่ยนมาเรียนภาษาไทยที่ประเทศไทย จ านวน 30 คน เครื่องมือประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. สภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านแนวคิดการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี อาจารย์และนักศึกษา เกาหลีใต้ในทั้งสองประเทศมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์ที่สอนในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ มีความคิดเห็นระดับปานกลาง 2) ด้านการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษา ต่างประเทศในระดับปริญญาตรี อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากเหมือนกัน 2. ผลจากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษา ต่างประเทศระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านบริบทหรือภาวะแวดล้อมภายนอก อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากและ มากที่สุด 2) ด้านปัจจัยน าเข้า อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่นักศึกษาเกาหลีใต้จากทั้งสองประเทศมี ความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 3) ด้านกระบวนการ อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีความคิดเห็นอยู่ในระดับ มาก แต่อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง และ 4) ด้านผลผลิต อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากเหมือนกัน


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 220 3. ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้โดยใช้ชื่อ “บิบิมบับโมเดล” (Bibimbab Model) 4. แนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ค าส าคัญ : การศึกษาข้ามวัฒนธรรม การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยใน ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ บทน า ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียของไทยที่มีระดับการพัฒนาประเทศที่ก้าวหน้า ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2545กระแสเกาหลีได้เข้ามายังประเทศไทย ท าให้คนไทยได้เห็นภาพของสังคมเกาหลีมากแม้ว่าปัจจุบัน ชาวไทยและชาวเกาหลีใต้ทั้งสองประเทศมีความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ของกันและกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีความไม่เข้าใจกันเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมระหว่างคนเกาหลีและคนไทย คนทั้งสองประเทศไม่สามารถที่จะเข้าใจภาษา วัฒนธรรมและแนวปฏิบัติ อีกทั้งเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง คนไทยและคนเกาหลีมักจะเกิดความไม่เข้าใจกันบ่อยครั้งในด้านภาษา การสื่อสาร วัฒนธรรมและการด าเนิน ชีวิต การติดต่อสื่อสารระหว่างคนไทยและคนเกาหลีใต้ก็ยังคงมีปัญหา ความเข้าใจผิดและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เกิดได้การติดต่อสื่อสารระหว่างคนสองเชื้อชาติ ระหว่างวัฒนธรรมและระหว่างประเทศ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเติบโตและ พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแวดวงธุรกิจ เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน ด้านความบันเทิง ด้านอาหาร ด้านแฟชั่น ด้านความสวยความงาม ด้านสังคม วัฒนธรรม ภาษา เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาการศึกษา ระดับอุดมศึกษาระหว่างประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ความส าคัญที่จะศึกษา เรียนรู้ร่วมกันและสร้าง ความเข้าใจอันดีสร้างความรู้สึกที่ดีและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกันที่เป็นความร่วมมือในสถาบันอุดมศึกษา ระดับข้ามวัฒนธรรมของสองประเทศ ด้วยเหตุนี้งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นที่จะศึกษารูปแบบการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ซึ่งการศึกษาเรื่องนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ การสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศและผู้เรียนชาวต่างประเทศที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ อีกทั้งยัง เป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือองค์กรหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านการศึกษาในแวดวง วิชาการระดับอุดมศึกษาเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนและ การเรียนรู้ข้าม วัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งได้จัดท าหลักสูตรและเปิด สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศให้แก่ผู้เรียนต่างชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และความสามารถของการใช้ภาษาในการสื่อสารอันน าไปสู่ความเข้าใจอันดีระหว่างกันมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 221 วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 3. พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยใน ฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 4. น าเสนอแนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี ขอบเขตการวิจัย การศึกษาในครั้งนี้มุ่งเน้นแบบจ ากัดกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา คือ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่มีการสอน ภาษาไทยเป็นวิชาเอกและมีจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ระดับปริญญาตรีซึ่ง มหาวิทยาลัยของไทยดังกล่าวนี้ได้มีโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เป็นระยะเวลายาวนานในด้านการจัดเรียนการสอนภาษาไทยอย่างต่อเนื่อง มีการติดต่อ มีความร่วมมือทาง วิชาการ มีการแลกเปลี่ยนคณาจารย์และนักศึกษาเพื่อเรียนรู้ภาษาไทยมาอย่างยาวนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป จ านวน 6 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ส่วนมหาวิทยาลัยในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ที่เลือกศึกษา จ านวน 2แห่ง คือ มหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศ ตั้งอยู่ ที่กรุงโซล และมหาวิทยาลัยปูซานภาษาและกิจการต่างประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองปูซาน เนื่องจากในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้มีสถาบันอุดมศึกษาจ านวนสองมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้น ที่มีการจัดตั้งภาควิชาภาษาไทย และท าการเปิดสอนวิชาเอกภาษาไทยให้แก่นักศึกษาเกาหลีที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศในระดับ ปริญญาตรีมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 222 กรอบแนวคิด วิธีด าเนินการวิจัย นิยามศัพท์ รูปแบบการจัดการศึกษา หมายถึง แนวคิดหรือหลักการในการเพิ่มพูนศักยภาพและพัฒนาด้านการจัด หลักสูตร การเรียนการสอน ประกอบด้วย 1) หลักการและวัตถุประสงค์ 2) หลักสูตรและการเรียนการสอน 3) ผู้สอน 4) ผู้เรียน และ 5) การวัดประเมินผล แนวทางการจัดการศึกษา หมายถึง แบบแผนหรือสิ่งที่ก าหนดไว้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารการจัด การศึกษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อใช้เป็นแบบอย่างที่ดีและถูกต้องเหมาะสมให้แก่ผู้อื่นสามารถ น าไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งต่อการท างานของตนเองและของหน่วยงาน องค์กรหรือสถาบันการศึกษา โดยส่วนรวม แนวคิดด้านความร่วมมือการจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษา 1.กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 (ASEAN+3) เป็นกรอบ ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศ นอกกลุ่ม 3 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เพื่อ ส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเพื่อน าไปสู่การจัดตั้งชุมชนเอเชียตะวันออก (East Asian Community) 2. นโยบายการศึกษาระดับอุดมศึกษา ข้อตกลงการเปิดเสรีการค้าการบริการด้านการศึกษา ระดับอุดมศึกษามีการเจรจาการค้าบริการด้านการศึกษา ระดับอุดมซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่ยื่นข้อเรียกร้องให้ไทย เปิดตลาดบริการด้านการศึกษา ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา การเรียนการสอนข้ามวัฒนธรรมในระดับอุดมศึกษา (Learning and Teaching Across Cultures in Higher Education) การเรียนการสอนข้ามวัฒนธรรมในระดับอุดมศึกษา มีการตระหนักถึงการเรียนรู้วัฒนธรรมของผู้อื่นและ วัฒนธรรมของตนเอง อาจจะเป็นวัตถุประสงค์ใน รายวิชาที่สอนหรือเป็นประเด็นที่ตั้งขึ้นในการเรียนการ สอนที่เกิดขึ้นได้ทั้งจากในตัวผู้เรียนเองในเอกสาร ประกอบการสอนและในตัวผู้สอน การสนใจตั้ง ประเด็นหรือเนื้อหาการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับ การข้ามวัฒนธรรมอาจท าได้ทั้งในรูปแบบต่อหน้าและ แบบสื่อสารผ่านสื่อเทคโนโลยี การจัดการเรียนการ สอนอาจใช้ประเด็นหรือเนื้อหาที่ทันสมัย เช่น ความ เป็นนานาชาติของหลักสูตร ความแตกต่างหลากหลาย ทางวัฒนธรรม หรือประเด็นด้านการเมืองการปกครอง ภาษากับการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมส าหรับ ผู้คนต่างสังคม ภาษาและวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ หลีกเลี่ยงได้ยากในปัจจุบัน การเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศแล้วใช้ภาษานั้นในการสื่อสารข้าม วัฒนธรรมยังไม่เพียงพอ ผู้ใช้ภาษาจ าเป็นต้องศึกษา เข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม การจัดการศึกษา - หลักสูตร คือ แผนงานหรือโครงการที่จัดประสบการณ์ทั้งหมด ให้แก่ผู้เรียนซึ่งการวางแผนการจัดท าหลักสูตร ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การก าหนด จุดมุ่งหมาย การก าหนดสาระและประสบการณ์การ เรียนรู้การก าหนดกลยุทธ์การสอน การวัดและ ประเมินผล - การจัดการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนประกอบด้วย ผู้เรียน อาจารย์ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนการสอน เทคโนโลยีการ จัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล - การบริหารจัดการอุดมศึกษา คือ กระบวนการจัดองค์การและการใช้ทรัพยากร ต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ก าหนดระบบย่อยใน องค์กรทางการศึกษา 5 ระบบ ได้แก่ ระบบการเรียน การสอน ระบบบริการ ระบบการบริหารทั่วไป ระบบ บังคับบัญชา และระบบปฏิสัมพันธ์ แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบ หมายถึง แนวคิดหรือหลักการในการเพิ่มพูน ศักยภาพและพัฒนาด้านการจัดหลักสูตร การเรียน การสอน ทั้งด้านหลักสูตร ผู้สอน ผู้เรียน การวัด ประเมินผล การบริหารและการจัดการ หลักการสร้างรูปแบบ มี 5 ขั้นตอน คือ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน 2. พัฒนารูปแบบ 3. ตรวจสอบรูปแบบ 4. ปรับปรุงรูปแบบ 5. น าเสนอรูปแบบที่สมบูรณ์ (ร่าง) รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสารธารณรัฐเกาหลีใต้... (ร่าง) แนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ...


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 223 ปัจจัยของการจัดเรียนการสอน หมายถึง ประเด็นหรือรายละเอียดของการจัดการที่มีผลทางตรงหรือ ทางอ้อมต่อการจัดหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรี ระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐ เกาหลีใต้ ประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอน หมายถึง การบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ก าหนดไว้ใน การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศระดับ ปริญญาตรีระหว่าง มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การศึกษาข้ามวัฒนธรรม หมายถึง การเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอน การสื่อสาร ความร่วมมือและการ สร้างความเข้าใจผ่านกระบวนการของการศึกษาระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ของสองประเทศที่มีความแตกต่าง ด้านเชื้อชาติ มีภูมิหลังทางภาษา วัฒนธรรมและวิธีคิดโดยจัดให้มีการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา วัฒนธรรมและวิธี คิดที่แตกต่างนั้นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เข้าใจถึงภาษา วัฒนธรรมและวิธี คิดที่แตกต่างกันของทั้งสองประเทศ เพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจน ให้ผู้เรียนได้มีการเชื่อมโยงความรู้จากการเรียน การสอนไปสู่การปฏิบัติจริง อาจารย์ผู้สอนภาษาไทย หมายถึง อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยในระดับอุดมศึกษารวมหมายถึง อาจารย์ผู้สอน ภาษาไทยที่เป็นคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของภาษาและอาจารย์ผู้สอนภาษาไทยที่เป็นคนเกาหลีใต้ นักศึกษาต่างชาติที่เรียนภาษาไทย หมายถึง นักศึกษาต่างชาติในระดับปริญญาตรีที่เรียนวิชาเอก ภาษาไทย คือ นักศึกษาเกาหลีใต้ที่เรียนภาษาไทยในฐานะภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทยและ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ที่มีการเปิดสอนวิชาภาษาไทยเป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรี การทบทวนวรรณกรรม แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม (Cross - Cultural Communication) เป็นหัวใจจ าเป็นต่อสภาพแวดล้อม การท างานที่มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการท างาน โดยเฉพาะในสภาพปัจจุบันที่ผู้คนมี ความหลากหลายกันของภูมิหลังทางวัฒนธรรม การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรม หมายถึง การสื่อสาร ระหว่างคนหรือกลุ่มที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งการสื่อสารมักเกี่ยวข้องกับการผลิต การส่ง การรับและการตีความข้อความผ่านวัจนภาษา (Oral Communication) คือ ภาษาที่เป็นค าพูด เป็นถ้อยค า หรือการเขียน และอวัจนภาษา (Non - verbal Communication) คือ ภาษาท่าทาง สายตา การแสดงออก องค์ประกอบการพูดโดยที่คู่สนทนาอาจมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และบ่อยครั้งที่ผู้เข้าร่วม การสนทนาอาจมิได้ใช้ภาษาแม่ในการสื่อสาร (Peltokorpi, 2010 อ้างใน ตติยาพร จารุมณีรัตน์, 2554) การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม พบว่าได้รับอิทธิพลโดยตรงจากวัฒนธรรมและภาษาที่ใช้ วัฒนธรรม หมายถึง ความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ผ่านการเรียนรู้ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมของบุคคลในสังคม (Lustig and Koester, 1993) ดังนั้นอุปสรรคของการ สื่อสารระหว่างวัฒนธรรมอาจเกิดขึ้น หากมีความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลสืบเนื่องจากความแตกต่างของ


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 224 ความรู้ อาทิ กรอบความคิด ค่านิยม และบรรทัดฐาน ความแตกต่างของพื้นฐานทางจิตใจ ความแตกต่างของ รูปแบบพฤติกรรม เช่น ภาษาที่ใช้ ขนบธรรมเนียม ประเพณี รูปแบบและลักษณะในการสื่อสาร นอกจากนี้ การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่มีคุณภาพนั้นขึ้นกับความสามารถในการใช้ภาษาในการสื่อสารเช่นกัน ดังที่ Spencer - Rodgers and McGovern (2002, อ้างใน ตติยาพร จารุมณีรัตน์, 2554) ระบุว่า บุคคลมักเผชิญ กับอุปสรรคและความท้าทายหลายประการในการสื่อสาร เช่น ข้อจ ากัดในการสื่อสารภาษาต่างประเทศ ความไม่คุ้นเคยต่อขนบธรรมเนียม ความแตกต่างของรูปแบบของวัจนกรรมการสื่อสารภาษาต่างประเทศ ความไม่คุ้นเคยต่อขนบธรรมเนียม ความแตกต่างของรูปแบบของวัจนกรรมและ อวัจนกรรม ดังนั้น การสื่อสาร ข้ามวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพนั้น พบว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ อาทิ ความรู้และความเข้าใจของ วัฒนธรรมที่แตกต่าง ความเอาใจใส่ ความสามารถในการสื่อสารสองภาษา ประสบการณ์ในการสื่อสารระหว่าง วัฒนธรรม การเป็นผู้ฟังที่ดี แนวคิดเกี่ยวกับวิธีการสอนภาษา การเรียนการสอนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศ วิธีการสอนภาษา การสอนภาษาไทยให้แก่ชาวต่างประเทศเป็นการสอนภาษาในฐานะภาษาต่างประเทศ มากกว่าการสอนภาษาในฐานะภาษาที่สอง ไม่ว่าจะเป็นการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างประเทศในไทยหรือ การสอนภาษาไทยในต่างประเทศก็ตาม เพราะลักษณะและวัตถุประสงค์ของผู้เรียนส่วนใหญ่เพื่อติดต่อสื่อสาร ในชีวิตประจ าวันหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า มิใช่การเรียนเพื่อใช้ภาษาแม่และภาษาไทยควบคู่ กัน และการด ารงชีวิตอยู่ในสังคมไทยก็ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการในการติดต่อสื่อสารกัน ไม่เหมือนกับบาง ประเทศที่ใช้ภาษาในท้องถิ่นของตนเองและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ อรุณี วิริยะจิตรา (2532) ได้ให้ ความหมายของภาษาที่สอง และภาษาต่างประเทศ ไว้ดังนี้ ภาษาที่สอง หมายถึง ภาษาอื่นที่ผู้เรียนเรียนเพื่อใช้รองไปจากภาษาแรก ภาษาที่สองนี้ อาจเป็นภาษา ราชการหรือเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา ภาษาต่างประเทศ หมายถึง ภาษาอื่นที่ผู้เรียนเรียนเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ภาษานั้น ทั้งนี้อาจเพื่อ จุดมุ่งหมายในการแสวงหาความรู้ เพื่อการท่องเที่ยว เพื่อเหตุผลทางการเมืองหรือการค้า ฯลฯ การเรียน ภาษาต่างประเทศนี้อาจเริ่มเรียนได้ตั้งแต่ผู้เรียนยังอยู่ในวัยเรียน โดยเรียนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรหรือ เริ่มเรียนเมื่อเป็นผู้ใหญ่เพราะมีความประสงค์ใคร่รู้ภาษานั้น ๆ ก็ได้ การเรียนการสอนภาษาไทยส าหรับชาวต่างประเทศจึงเป็นการสอนที่มักยึดตามแนวการสอนหรือ วิธีการสอนในฐานะภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศซึ่งมีพื้นฐานแนวคิดเหมือนกัน แต่จะเลือกใช้วิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์ (2549) กล่าวว่า วิธีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับแนวคิดหรือความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาและการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของผู้สอน การเรียนการสอนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายกับคนทุกคนเหมือน การ เรียนการสอนภาษาแรก ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อการเรียนการสอนภาษาที่สอง เช่น อายุ บุคลิกลักษณะ ธรรมชาติการรับรู้ที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมในการเรียนการสอนหรือความส าคัญจ าเป็นใน


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 225 การใช้ภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น (สุมิตรา อังวัฒนกุล, 2535) กล่าวถึงการเรียนการสอน ภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศว่า ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดจุดมุ่งหมายยังมีเหมือน ๆ กัน โดยทั่วไปแล้วมักจะมี จุดหมายที่จะพัฒนาปัญญาของผู้เรียนให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษานั้นในการสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมและเป็นที่เข้าใจกันได้ในหมู่ชน นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจถึงวัฒนธรรมและการ ด ารงชีวิตของชนชาติเจ้าของภาษานั้นได้ถ่องแท้ขึ้น สามารถใช้ภาษานั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการประกอบ อาชีพและการศึกษาต่อขั้นสูงหรือในต่างประเทศได้ แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผลการจัดหลักสูตรและการเรียนการสอน เจริญศรี พันปี (2553) ให้นิยามค าว่า “ประสิทธิผล” ไว้ว่าอยู่ในรูปของระดับความส าเร็จขององค์การ ในการด าเนินงานตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ โดยเปรียบเทียบผลผลิตที่ได้จากการผลิตกับเป้าหมายที่ ก าหนดไว้ โดยไม่ค านึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อธิบายได้ง่าย ๆ ว่า องค์กรใดมีผลผลิตได้ตามเป้าหมายขององค์การ ทุกเป้าหมาย แสดงว่าประสิทธิผลขององค์กรนั้นสูงสุดหรือมีคะแนนประสิทธิผลเต็มร้อยคะแนน นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน เศรษฐภรณ์ หน่อค า (2548) ได้ศึกษา ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษที่ กระทรวงศึกษาธิการก าหนดองค์ประกอบที่ส าคัญทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการบริหารจัดการ 2. ด้านการ จัดการเรียนการสอน 3. ด้านสื่อการเรียนการสอน 4. ด้านห้องปฏิบัติการและอาคาร 5. ด้านการวัดและ ประเมินผลการเรียน และ 6. ด้านการก ากับติดตามและประเมินโครงการ แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบ Joyce and Well (1986 อ้างใน สมาน อัศวภูมิ, 2537) ได้อธิบายว่า รูปแบบ หมายถึง แนวคิดหรือ หลักการในการเพิ่มพูนศักยภาพและพัฒนาด้านการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน ทั้งด้านหลักสูตร ผู้สอน ผู้เรียน การวัดประเมินผล การบริหารและการจัดการ ซึงการพัฒนารูปแบบ โดยมีขั้นตอนด าเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาสภาพปัจจุบันและก าหนดกรอบแนวคิด การก าหนดองค์ประกอบของรูปแบบและ พัฒนารูปแบบการตรวจสอบรูปแบบ การแก้ไขปรับปรุงรูปแบบและน าเสนอรูปแบบ วิธีด าเนินการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา มีกลุ่มที่ 1 อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยในระดับปริญญาตรี หมายรวมถึง อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยที่เป็น คนไทยจาก 6 สถาบันในประเทศไทยที่มีการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีที่ สอนนักศึกษาเกาหลีที่แลกเปลี่ยนมาเรียนในประเทศไทย จ านวน 35 คน อาจารย์สอนภาษาไทยที่เป็นคน เกาหลีใต้ 2 สถาบัน จ านวน 14คน โดยใช้วิธีการเลือกมหาวิทยาลัยแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มที่ 2 นักศึกษาเกาหลีใต้ ที่แลกเปลี่ยนมาเรียนภาษาไทยที่ประเทศไทย คือ นักศึกษาเกาหลีใต้ของ มหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยปูซานภาษาและกิจการต่างประเทศ ระดับ ปริญญาตรีที่เรียนวิชาเอกภาษาไทยและแลกเปลี่ยนมาเรียนภาษาไทยในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 226 ทั้ง 6 แห่ง จ านวน 30 คน และนักศึกษาเกาหลีใต้ที่เรียนวิชาเอกภาษาไทยทั้งในมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้และนักศึกษาเกาหลีใต้ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 - 4 ที่เรียน ภาษาไทยเป็นวิชาเอกในมหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศ และมหาวิทยาลัย ปูซานภาษาและ กิจการต่างประเทศ จ านวน 80 คน โดยใช้วิธีการเลือกด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยประกอบด้วย ตารางการวิเคราะห์หลักสูตร แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการ สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ และแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทย ในฐานะภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของ แบบตรวจสอบร่างรูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรม ของหลักสูตรและแนวทางการจัดการศีกษาที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 9 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการ สอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยการศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐ เกาหลีใต้ และการใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ขั้นตอนที่ 2วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้โดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ขั้นตอนที่ 3 ร่างรูปแบบและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการ จัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัย ในประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จากนั้นจึงตรวจสอบความเหมาสมของร่างรูปแบบ ปรับแก้ไขร่างรูปแบบ ขั้นตอนที่ 4 ร่างแนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี และให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ ปรับแก้ไขและน าเสนอแนวทาง การจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 227 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์และศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการ จัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านแนวคิดการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับ ปริญญาตรี ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 2) ด้านการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาเกาหลี ใต้ทั้งจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เหมือนกัน 3) ด้านการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับ ปริญญาตรีให้แก่นักศึกษาเกาหลีใต้ ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้ทั้งจาก มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากเหมือนกัน 2. ผลจากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า 1) ด้านบริบทหรือภาวะแวดล้อมภายนอก ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จาก มหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้รวมทั้งนักศึกษาเกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย มี ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ด้านปัจจัยน าเข้า อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่นักศึกษาเกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐ เกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 3) ด้านกระบวนการ อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จาก มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐ เกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง และ 4) ด้านผลผลิต อาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จาก มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เหมือนกัน 3. ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้โดยใช้ชื่อว่า “บิบิมบับโมเดล” (Bibimbab Model) ซึ่งประกอบด้วย หลักการและ เหตุผล วัตถุประสงค์ และประเด็นหลักออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและ ประเทศเกาหลีใต้2) หลักสูตรที่เน้นการศึกษาข้ามวัฒนธรรม 3) คุณลักษณะของผู้สอนและผู้เรียน 4) เอกลักษณ์ของการจัดการเรียนการสอน 5) หัวใจของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบ ข้ามวัฒนธรรม 6) จุดเด่นของการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรม


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 228 4. แนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆได้แนวทางทั้งหมด 7ด้าน ได้แก่แนวทางการบริหารจัดการ แนวทางการพัฒนาหลักสูตรแนวทางการจัดการเรียนการสอน แนวทางและ เทคนิคเฉพาะของการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรม แนวทางการสร้างเครือข่าย แนวทาง ด้านการประชาสัมพันธ์ แนวทางด้านการจัดสรรงบประมาณ และแนวทางด้านการประเมินและติดตามผล อภิปรายผลการวิจัย ผู้วิจัยขอน าเสนอการอภิปรายผลการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. ผลจากการวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการ เรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ พบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ระหว่างอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาเกาหลีใต้ทั้งข้อมูลจากมหาวิทยาลัยใน ประเทศเกาหลีและประเทศไทย พบว่า ด้านแนวคิดการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับ ปริญญาตรี ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาเกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่อาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งผลจากความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษา เกาหลีใต้จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นที่ตรงกันและอยู่ ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลที่การจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศของ มหาวิทยาลัยในประเทศเกาหลีใต้ทั้ง 2 มหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศที่ กรุงโซล และมหาวิทยาลัยปูซานภาษาและกิจการต่างประเทศที่เมืองปูซานได้ก่อตั้งภาควิชาภาษาไทยและเริ่ม เปิดการเรียนการสอนภาษาไทยมาเป็นระยะเวลานาน 50 ปี และมีเพียง 2 มหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นที่เปิดสอน ภาษาไทยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณาจารย์ทั้งอาจารย์คนเกาหลี และอาจารย์คนไทยที่สอนอยู่ที่ภาควิชาภาษาไทยได้ตระหนัก ตื่นตัวและเห็นถึงความส าคัญต่อการจัดการเรียน การสอนภาษาไทย ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องและมีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับมหาวิทยาลัยในไทยในอาเซียน และในทวีปเอเซีย ดังนั้นอาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้จึงมีความคิดเห็นอยู่ ในระดับปานกลาง เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่และยังได้ด าเนินการมาก่อนและต่อเนื่องสม่ าเสมออย่าง ยาวนาน เช่นเดียวกับที่ ฌองส์ ฮวันซึง (2559) อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการ ต่างประเทศ กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยของมหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการ ต่างประเทศได้เติบโตก้าวหน้าขึ้นด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่งจนเป็นเสาหลักแห่งการศึกษาและวิจัยด้านภาษาไทย และไทยคดีศึกษาของประเทศเกาหลีใต้


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 229 2. การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านบริบท หรือภาวะแวดล้อมภายนอก ด้านปัจจัยน าเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต พบว่า ด้านปัจจัยน าเข้าซึ่ง แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อคือ หลักสูตรการศึกษา กระบวนการจัดการเรียนการสอน ลักษณะของสื่อการเรียนการ สอน ลักษณะของแหล่งเรียนรู้ และงบประมาณ ผลจากความคิดเห็นของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในประเทศ ไทยและมหาวิทยาลัยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แต่นักศึกษาเกาหลีใต้จาก มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากเรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่นักศึกษายังไม่ค่อยสนใจหรือใส่ใจหรือเป็นเรื่องที่นักศึกษาอาจจะ ยังไม่มีข้อมูลหรือความรู้มากพอเท่าที่ควร เพราะนักศึกษาเกาหลีใต้โดยส่วนมากจะมองว่า เรื่องต่างๆ นี้เป็นภาระ หน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงของอาจารย์ผู้สอน เพราะสังคมเกาหลีจะให้ความส าคัญความเคารพนับถือ และความเชื่อมั่นต่ออาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างมาก ดังเช่นที่ มะลิวัลย์ บูรณพัฒนา (2559) กล่าวว่า การเรียน การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะการสอนในศตวรรษที่ 21 ผู้สอนต้องตื่นตัวและรับมือ กับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ให้ได้ซึ่งในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศนั้น คนที่มีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งคือ ผู้สอน 3. การน าเสนอแนวทางการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ โดย น าเสนอแนวทางออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่ 1) แนวทางการบริหารจัดการการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ 2) แนวทางการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยใน ฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ 3) แนวทางและ เทคนิคเฉพาะของการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบข้ามวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ 4) แนวทางการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาระหว่างประเทศไทยและประเทศ ต่าง ๆ 5) แนวทางด้านการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ 6) แนวทางด้านการส่งเสริมการเงินและการจัดสรร งบประมาณ 7) แนวทางด้านการประเมินและติดตามผล แนวทางดังกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นน่าจะสามารถ น าไปปรับและประยุกต์ใช้ได้จริงในการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมในสถาบันอุดมศึกษา Astin (1993) ได้ศึกษาผลกระทบ ของสภาพแวดล้อมของสถาบันอุดมศึกษาที่มีต่อการพัฒนานักศึกษา โดยอธิบายว่า สภาพแวดล้อมมีผลต่อ ประสบการณ์ของนักศึกษา ได้แก่ 1) ลักษณะของสถาบัน ได้แก่ นโยบายของสถาบัน ขนาดของสถาบัน บรรยากาศทางวิชาการในสถาบัน วุฒิการศึกษาของอาจารย์ อัตราส่วนระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา งบประมาณที่ใช้ในการผลิตนักศึกษา การจัดสวัสดิการให้แก่นักศึกษา 2) หลักสูตรและการเรียนการสอน


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 230 ได้แก่ การจัดเนื้อหาสาระทางวิชาการและการจัดวิธีการสอน รวมทั้งการประเมินผล 3) อาจารย์ ได้แก่ บุคลิกลักษณะ ของอาจารย์ สมรรถภาพในการสอน 4) กลุ่มเพื่อน ได้แก่ การมีเพื่อนหรือบัดดี้เป็นคนไทย และ 5) การมีส่วนร่วมของนักศึกษา ได้แก่ การมีส่วนร่วมกับสถาบัน การมีส่วนร่วมในวิชาการและในกิจกรรม นักศึกษา ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเพื่อการน าผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ 1. จากผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลของการจัดเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษา ต่างประเทศระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้สถาบัน การศึกษา ระดับอุดมทั้งในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ควรน าข้อมูลดังกล่าวนี้เพื่อไปใช้ในการวางแผน นโยบาย การบริหารและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในลักษณะการศึกษา ข้ามวัฒนธรรมในแต่ละส่วนของสถาบันให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพที่ดีขึ้นต่อไปในอนาคต 2. สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศที่มีการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศแบบข้ามวัฒนธรรมควรศึกษาควรน ารูปแบบการจัดการศึกษาข้าม วัฒนธรรมของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ที่ได้จากงานวิจัยนี้น าไปใช้ในการจัด การศึกษาของสถาบันเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในศตวรรษที่ 21 ข้อเสนอแนะเพื่อการท าวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาในเรื่องรูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษา ต่างประเทศในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยในประเทศสมาชิก อาเซียนอื่น ๆ หรือในมหาวิทยาลัยในแถบเอเชียหรือแถบยุโรป 2. ควรมีการศึกษาในเชิงการบริหารและเชิงยุทธศาสตร์ของการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศของสถาบันอุดมศึกษาในไทยร่วมกับในประเทศต่าง ๆ ที่มีการเปิดสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาต่างประเทศในลักษณะข้ามวัฒนธรรม References Arunee Wiriyachitra. (1989). Learning and teaching language for communication. Bangkok: Aksorn Charoenthat Company Limited. Astin, Alexander W. (1993). What Matter in College?.Four Critical Years Revisited. San Francisco: Jossey-Bass.


วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 รูปแบบการจัดการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ 231 Charoensri Punpee. (2010). Analysis of factors affecting the effectiveness of basic education institutions in implementing the ministerial regulations on decentralization of educational administration and management. (Doctoral degree dissertation). Faculty of Education, Chulalongkorn University. Thailand. Cholticha Bamroongraks. (2011). Thai as a second language: interactional language study in Thai context. Language and Linguistics. 29 (2). Jung Hwan Seung. (2016). A handout for international conference, 50th years anniversary of Thai major, Hun Kuk University of language and foreign affairs. Hun Kuk University of language and foreign affair. South Korea. Lusting, M.W. & Koester, J. (1993). “Intercultural competence: Interpersonal Communication across cultures. New York: Harper Collins. Maliwan Buranapatana. (2016). A handout for international conference, 50th years anniversary of Thai major, Hun Kuk University of language and foreign affairs. Hun Kuk University of language and foreign affair. South Korea. Nuanthip Permkesorn. (2008). Research report: Some teachniques of teaching Thai language to foreigners: an analysis of eight fundamental Thai textbooks. Thai major, faculty of Arts, Thammasat University. Olarick Khunsit. (2012). Communication and cultural adaptation of Thai expatriates working in subsidiaries of multinational corporations in neighboring countries. (Master degree dissertation). Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University, Thailand. Parit Wongthanasen. (2009). Settlement identity of Koreans in Thailand. A handout for international conference in 51st anniversary between Thailand and Korea relationship in the year of 2009. Faculty of Humanities and Social Sciences, ChiangMai Rajabhat University. Saman Asawapoom. (1994). The development of an administration model for education. Bangkok: Graduation school, Chulalongkorn University. Setthaporn Norkham. (2005). Development of indicators for the quality of English-based instructional management in bilingual schools. (Master degree dissertation). Faculty of Education, Chulalongkorn University. Thailand.


Dusit Thani College Journal Vol. 12 No. 1 January - April 2018 A Model of Cross-Cultural Educational Management of Bachelor’s Degree in Thai as a Foreign Language of Thai Universities and Republic of Korea Universities 232 Sumitra Angwatanakul. (1992). English language teaching as a foreign language. Bangkok: Chulalongkorn University. Sompong Witayasakpan. (2006). Thai language teaching as a foreign language. Chiang Mai: MingMuang publishing. Sriwilai Ponmanee. (2002). The basic of Thai language teaching as a foreign language. Bangkok: Chulalongkorn University publishing. Tatiyaporn Jarumaneerat. (2011). ASEAN project: Cross-cultural study through Asean tourism in Asean economics community curriculum: a case study in Singapore and Brunei. Research paper, The Thailand Research Fund. Boonrawd Chotivachira, Assistant Professor at Thai language department, Faculty of Education, Chiang Mai University. Bachelor of Arts [Major : Thai] First Class Honors. Faculty of Humanities, Chiang Mai University, Thailand. Master of Education [Teaching Thai] Faculty of Education, Chiang Mai University, Thailand. Assistant Professor Arunee Hongsiriwat, Ph.D., Division of Higher Education, Department of Education Policy, Management and Leadership, Faculty of Education, Chulalongkorn University. Professor Emeritus Pateep Methakunavudhi, Ph D., Division of Higher Education, Department of Education Policy, Management and Leadership, Faculty of Education, Chulalongkorn University


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 97 การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี An Analysis of the Focal Points of Basic Education Curriculum of Republic of Korea วรินทร บุญยิ่ง 1 Varinthorn Boonying บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อคือ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจุดเน้น ของการพัฒนาประเทศ 2) เพื่อวิเคราะห์ระบบการศึกษา 3) เพื่อวิเคราะห์จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ สาธารณรัฐเกาหลี โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสังเคราะห์เอกสารและตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดย ผู้ทรงคุณวุฒิจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประเทศไทย ผลการศึกษา พบว่า 1) นโยบายรัฐบาล เน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์อันเป็นการเตรียมการเพื่ออนาคต โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน ฐานะเป็นฐาน 2) ใช้ระบบการศึกษาที่มีฐานกว้างและการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) จุดเน้นของหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มีความรู้ในวิชาหลัก ซึ่งบูรณาการเป็นสหวิทยาการ เพื่อให้มีทักษะที่สําคัญ เช่น ชีวิต/ทักษะ อาชีพ มีทักษะการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมใหม่ และทักษะด้านสื่อ สารสนเทศและเทคโนโลยี คําสําคัญ : หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สาธารณรัฐเกาหลี Abstract This research aimed at: 1) analyzing current social, economic and political situations, these considered as the focal points of country development; 2) analyzing the educational systems and; 3) analyzing the basic education curriculums of Republic of Korea. The qualitative research, based on documentary analysis, and examined the contents validity by experts from the Office of the Basic Education Commission of Thailand. The findings were as follows: 1) the government policy statements on the human resource development for the future pin point at science and technology; 2) using the broad-based education and promoting lifelong learning; 3) the basic education curriculums have focused on the core subjects which integrated interdisciplinary to achieve the main skills such as life and career skills, learning and innovative skills, and skills of media, information, and technology. Keywords: Basic Education Curriculum, Republic Korea 1ผู้ช่วยศาตราจารย์ดร. อาจารย์ประจําภาควิชาบริหารและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร


98 วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยนเรศวร ั ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 ความสําคัญและความเป็นมาของปัญหาวิจัย เด็กและเยาวชนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกําลัง สําคัญในการพัฒนาประเทศในสังคมยุคฐานความรู้คือ การเพิ่มผลิตภาพทุนมนุษย์ที่ครอบคลุมทั้งมิติการพัฒนา ร่างกาย สติปัญญา และจิตใจในการเสริมสร้างศักยภาพ มนุษย์ให้มีคุณภาพ มีความคิดสร้างสรรค์มีคุณธรรม จริยธรรม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ใช้ในโรงเรียนทั่ว ประเทศ ตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2553 เพื่อให้การ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนสอดคล้องตามจุดเน้นของการปฏิรูป การศึกษา (ฆนัท ธาตุทอง, 2553, หน้า 25) โดย หลักสูตรฉบับดังกล่าวได้ปรับปรุงต่อจากหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ซึ่งเป็นหลักสูตร แบบเน้นมาตรฐาน (Standards-based Curriculum) มี โครงสร้างสําคัญที่ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ (Learning Areas) 8 กลุ่มสาระและกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน (Children’s Development Activities) ได้ จําแนกกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) กิจกรรมแนะแนว 2) กิจกรรมนักเรียน และ 3) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ไปสู่วิสัยทัศน์ ที่มุ่งให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ภายในปีพ.ศ. 2561 โดยมีแนวทางในการปฏิรูป การศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552-2561 ตาม หลักการที่สําคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) การพัฒนา คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการเรียนรู้ของคน ไทย 2) การเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การเรียนรู้อย่าง ทั่วถึงและมีคุณภาพ 3) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ทุกภาคส่วนของสังคมไทยในการบริหารและจัดการศึกษา นอกจากนี้ยังได้กําหนดทิศทางในการปฏิรูปการศึกษา 4 ประการ ได้แก่ 1) การพัฒนาผู้เรียนยุคใหม่ 2) การ พัฒนาครูยุคใหม่ 3) การพัฒนาสถานศึกษาและแหล่ง เรียนรู้ใหม่และ 4) การบริหารจัดการใหม่ซึ่งมีเป้าหมาย ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อการ เรียนรู้และการพัฒนาคุณธรรมของเด็กไทยที่สําคัญคือ “เป็นคนเก่ง คนดีมีคุณลักษณะและมีสมรรถนะตามที่ หลักสูตรกําหนด” การปฏิรูปการศึกษานับเป็นสารัตถะสากล ซึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลายด้านให้พร้อมกับการ เปลี่ยนแปลงของโลกที่ทันกับกระแสเทคโนโลยีและการ แข่งขันของประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) หรือ เกาหลีใต้ (South Korea) เป็นประเทศที่ ให้ความสําคัญของการศึกษาโดยบัญญัติ “Edutopia” ซึ่ง มาจากคําว่า “Education” แปลว่าการศึกษาและ “Utopia” แปลว่าอุดมคติโดยความหมายรวมหมายถึง “รัฐสวัสดิการทางการศึกษา” (Education Welfare State) ที่พึงเปิดโอกาสให้แก่พลเมืองทุกคนได้พัฒนา ศักยภาพของตนได้อย่างเต็มขีดความสามารถ โดย ประชาชนของสาธารณรัฐเกาหลีมองการศึกษาว่าเป็น “พันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์” ที่จะต้องลงมือจัดระบบการศึกษา ให้เหมาะสมกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่ง การศึกษามิใช่จะมีบทบาทเพียงแค่เสริมสร้างคุณภาพชีวิต แก่ปวงชนเท่านั้นหากแต่ยังเป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพชีวิตอีก ด้วย ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี เนื่องจาก เป็นประเทศหนึ่งในเอเชียที่ประสบความสําเร็จ ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้เท่าเทียมกับประเทศ ตะวันตกที่พัฒนาแล้ว เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนจากการวัดความรู้ความสามารถทางวิชาการ คือ วิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์การอ่าน และการแก้ไข ปัญหา (Program for International Student Assessment: PISA) พบว่า วิชาคณิตศาสตร์ (546 คะแนน) และวิชาวิทยาศาสตร์ (538 คะแนน) ซึ่งอยู่ใน กลุ่มคะแนนสูงสุด (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (2554, หน้า 111, 158) นอกจากนี้ สาธารณรัฐเกาหลียังมีแนวโน้มในการพัฒนาความเป็น พลเมืองเกาหลีในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่เน้น การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์มุ่งที่ระบบการศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21 ควบคู่กับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดังเช่นการวิจัยของ วริ นทร บุญยิ่ง (2553, หน้า 36-69) พบว่า สาธารณรัฐ เกาหลีมีนโยบายที่เด่นชัดเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเพื่อ สังคมและสาธารณประโยชน์มีการกําหนดไว้ในหลักสูตร อย่างชัดเจน และให้แต่ละท้องถิ่นจัดทําคู่มือการ ดําเนินงาน หลักการ กฎเกณฑ์ และแนวทางการ บ ริหารจัดการกิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ ซึ่ง กําหนดเวลาให้ทํากิจกรรมนี้ในระดับประถมศึกษาปีละ ประมาณ 10 ชั่วโมง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีละ ประมาณ 20 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้มีการบูรณาการกับวิชาความ ฉลาดในการดํารงชีวิต (Life Intelligence) ในชีวิตและ สังคม เพื่อให้เด็กเรียนรู้หน้าที่ต่อตนเองและสังคมที่อยู่ รอบตัว ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 แล้วยัง กําหนดให้เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 99 3 เป็นต้นไป โดย ถือว่าการสร้างชาติเริ่มที่เด็กและ เยาวชน และให้ยึดหลักความร่วมมือระหว่างผู้ปกครอง หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนที่เป็นภูมิลําเนาของ นักเรียน อีกทั้งประเทศไทยโดยสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาจุดเน้น หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อ เป็นแนวทางต่อการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ของประเทศไทยในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่สอดคล้องตามจุดเน้นของการ ปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษที่สอง จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น การวิจัย เรื่องการ วิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ สาธารณรัฐเกาหลีครั้งนี้ ใช้การทบทวนที่มาของสภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจุดเน้นของการพัฒนา ประเทศ มาเป็นกรอบแนวคิดการสังเคราะห์ระบบ การศึกษาของประเทศ และจุดเน้นของหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน สําหรับเป็นแนวทางในพัฒนาการจัด หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนา ส่งเสริมเด็กและเยาวชนไทยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มี คุณภาพในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อ วิเคราะห์สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจุดเน้นของการพัฒนาประเทศของ สาธารณรัฐเกาหลีในปัจจุบัน 2. เพื่อวิเคราะห์ระบบการศึกษาของสาธารณรัฐ เกาหลีในปัจจุบัน 3. เพื่อวิเคราะห์จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี วิธีดําเนินการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) แบบกรณีศึกษาสาธารณัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) จากนักวิจัยที่เคยมีประสบการณ์การศึกษาภาคสนามเรื่อง “การสังเคราะห์รูปแบบ กระบวนการ และเทคนิควิธีใน การจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของ สาธารณรัฐเกาหลี” เ น้น วิธีวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Analysis) และตรวจสอบความตรงเชิง เนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่สํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานแต่งตั้งขึ้น ระยะเวลาในการศึกษา วิจัยครั้งนี้มีข้อจํากัดในเรื่องระยะเวลา ระหว่าง วันที่ 10 ตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 10 มกราคม2554 แหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูลประเภทเอกสาร ได้แก่ หลักสูตร เอกสารประชาสัมพันธ์หลักสูตร ผลงานวิจัย เกี่ยวกับระบบการศึกษา และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ของประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นเอกสารภาษาเกาหลีภาษาอังกฤษ และภาษาไทย โดยส่วนที่เป็นภาษาเกาหลีแปลและตรวจสอบโดย ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาภาษาเกาหลีมหาวิทยาลัยนเรศวร การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ให้ได้ข้อสรุปที่เป็นข้อความรู้ตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย ผลการศึกษา ตอนที่ 1 สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจุดเน้นของการพัฒนาประเทศของสาธารณรัฐ เกาหลีในปัจจุบัน สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง พบว่า สาธารณรัฐเกาหลีเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในทวีป เอเชีย มีภูมิอากาศที่อบอุ่นมีความหนาแน่นของประชากร 500 คน/ตร.กม. ใช้ภาษาเกาหลีเป็นภาษาราชการ มีการ ปกครองระบบประชาธิปไตย ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ และคริสต์ประชาชนมีรายได้ต่อคนต่อปี (Per Capita Income) ในปีค.ศ. 2005 เท่ากับ 13,076 US$ รายได้ ส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งมี พัฒนาการทางประวัติศาสตร์อันยาวนานและการบ่มเพาะ ทางวัฒนธรรมทางสังคมของสาธารณรัฐเกาหลีและจาก การถูกปกครองโดยประเทศเพื่อนบ้าน (ญี่ปุ่น) เป็น ระยะเวลาที่ยาวนานทําให้เกิดความเป็น ชาตินิยม รวมถึงการมองโลกในยุคเปลี่ยนผ่าน ทําให้สาธารณรัฐ เกาหลีให้ความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยมีการกําหนดกรอบการ พัฒนาประเทศ “การมองไปสู่ภายนอก” (Outwardlooking Policy) ที่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่ กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ มีการใช้ลัทธิชาตินิยมปลุก ระดมมวลชนให้เร่งรัดการพัฒนาและขยันขันแข็งในการ ทํางานโดยรัฐสนับสนุนโดยเฉพาะในการพัฒนาการศึกษา โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนคือกระทรวง


100 วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยนเรศวร ั ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 ศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (เดิมชื่อ กระทรวงศึกษาธิการและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์) และมี การกระจายอํานาจการบริหารจัดการด้านการศึกษา ภายใต้กรอบนโยบาย และแนวทางที่ชัดเจน ส่งผลให้ ประชาชนสาธารณรัฐเกาหลีสามารถการพัฒนาทักษะ การคิดเชิงเหตุผลและการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง ทํา ให้มีจุดเน้นการพัฒนาการศึกษาควบคู่กับความเจริญก้าว หน้าของประเทศดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ความ เจริญรุ่งเรืองแบบใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น 1.1 การเป็นสังคมแห่งสารสนเทศและความรู้ ทําให้วัฒนธรรมของสังคมของสาธารณรัฐเกาหลีได้เปลี่ยน จากสังคมเกษตรกรรมมาสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์มีการ พัฒนาเป็นแบบสังคมแบบสารสนเทศ ทําให้ความรู้และ ทัศนะในการมองโลกของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น การกําหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยี สารสนเทศจึงทําให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง เท่าเทียมและมุ่งสู่การเป็นระบบการเรียนรู้อาชีวศึกษา ตลอดชีวิต (Vocational education over a lifetime) 1.2 ความเป็นโลกาภิวัตน์ ได้ชักนําให้ทุกคนใน ทุกสังคมกลายเป็นสมาชิกของสังคมโลกไปพร้อมกับการ เป็นสมาชิกของสังคมแต่ละประเทศ ด้วยเทคโนโลยี สมัยใหม่ทําให้ผู้คนในโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันอย่าง รวดเร็วและใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น จึงมีการสนับสนุนระบบการ เรียนทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (e - learning) ที่มี ประสิทธิภาพสูง 1.3 การพัฒนาอุตสาหกรรม โดยใช้การศึกษา เพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้ความสามารถ เหมาะกับเทคโนโลยีของระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดย เน้นการวิจัยเพื่อพัฒนา (Research & Development) ที่ สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศสนับสนุนมหาวิทยาลัยมี การประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ และภาคเอกชนเป็น ผู้ใช้ผลงานวิจัย 2.ความเป็นสังคมสารสนเทศ (Information Society) ทําให้เกดความจิ ําเป็นต่อไปนี้คือ 2.1 พลังความรู้และปัญญาในการแสวงหา ความรู้และเทคโนโลยีอย่างใหม่ตลอดจนความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาที่ทันสมัย 2.2 การขยายโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้ ประชาชนเกาหลีทุกคนมีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อตามทัน ความรู้ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้รัฐ สวัสดิการทางศึกษา (Education Welfare State) ที่ พิจารณานักเรียนรายบุคคลอย่างเท่าเทียมซึ่งเป็นการ กําหนดโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนรายบุคคล นอกเหนือจากเด็กกลุ่มปกติโดยถือว่าการศึกษามิใช่เป็น เพียงสิทธิเท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางของการยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม 2.3 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ที่สุดมาใช้ในการเรียนการสอน ทําให้อิทธิพลของ สังคมสารสนเทศที่ส่งผลต่อระบบการศึกษา เช่น 1) การ เพิ่มขึ้นของความรู้และข้อมูลข่าวสารทําให้จําเป็นต้อง ขยายระยะเวลาการเรียนในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) หลักสูตรอาชีวศึกษาที่ใช้ฝึกอบรมคนรุ่นใหม่เพื่อให้ได้ ทักษะสมัยใหม่ต้องขยายจากระดับมัธยมศึกษาไปสู่ อุดมศึกษา 3) การศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาต่อเนื่อง จําเป็นต้องบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต 4) การนํา เทคโนโลยีสารสนเทศแบบสื่อผสมหลายทางมาใช้ใน การศึกษา ทําให้ต้องมีการ ปรับปรุงการศึกษาในหลาย ๆ ด้าน เช่นการจัดการศึกษา เน้อหาและวื ิธีการสอน 3. ความเป็นโลกาภิวัตน์ต้องสอดคล้องกับ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีที่มีการแข่งขันกันอย่างไร้พรมแดน การศึกษาจึงมืทิศทางการพัฒนาที่สอดคล้องมีหลาย ประการได้แก่ 1) มาตรฐานการศึกษาของประเทศต้อง เทียบได้กับมาตรฐานโลกคุณภาพของการศึกษาต้องเทียบ ได้กับมาตรฐานการศึกษาโลก สถาบันการศึกษาต้องทํา บทบาทในการสร้างความรู้ใหม่จากฐานข้อมูลที่เพิ่มขึ้น 2) เพื่อการดํารงอยู่ในสังคมโลกร่วมกับชาติอื่นๆ พร้อมๆ กับ การรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติจําเป็นต้องสร้าง ความ เข้าใจในวัฒนธรรมของเกาหลีอย่างลึกซึ้ง และ กว้างขวางและเพื่อเป็นพื้นฐานให้เข้าใจวัฒนธรรมของชาติ อื่นๆ ที่สามารถอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทาง วัฒนธรรม 3) การที่จะเป็นพลเมืองแห่งสังคมโลกได้ไม่ เพียงแต่มีมุมมองแบบหลากหลายวัฒนธรรมแต่จะต้องมี การพัฒนาทักษะการสื่อสารแบบข้ามวัฒนธรรมอีกด้วย 4) จําเป็นต้องให้มีการกระจายอํานาจ และให้อิสระแก่ หน่วยงาน ทางการศึกษามากยิ่งขึ้น 5) ต้องเน้นความมี ลักษณะเฉพาะตัวควบคู่กับความเป็นสากล 6) ต้องเปิด โอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เพื่อสนองความต้องการของชุมชนให้มากขึ้น ในประเด็น


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 101 เหล่านี้ยังมีจุดเน้นการพัฒนาประเทศที่ว่า “คิดระดับโลก สร้างระดับท้องถิ่น” (Think Globally, Act Locally) เพื่อเป็นแนวทางของการพัฒนาไปสู่ระดับมาตรฐานโลกบน พื้นฐานของชุมชน จากสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ จุดเน้นของการพัฒนาประเทศ ที่สอดคล้องกับโลกาภิวัฒน์ การใช้เทคโนโยลีเพื่อเป็นสังคมสารสนเทศ รวมทั้งการ มองไปสู่โลกภายนอก ดังน้ันสาธารณรัฐเกาหลีจึงได้ กําหนดนโยบายการศึกษา 10 ประการที่สอดคล้องกับ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ทําให้กําหนดจุดเน้นของการ พัฒนาประเทศดังกล่าว โดยกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง ทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้มีความคิดสร้างสรรค์มี คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ควบคู่กับการพัฒนาทาง อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 วิสัยทัศน์การศึกษาของชาติปีค.ศ. 2010 ที่มา : ดัดแปลง Ministry of Education Science and Technology (2009) ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ระบบการศึกษาของ สาธารณรัฐเกาหลีในปัจจุบัน นโยบายการศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลีมี กระทรวงการศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Education Science and Technology: MEST) เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารการศึกษา รับผิดชอบในการวางนโยบายด้านกิจกรรมทางวิชาการ วิทยาศาสตร์และการศึกษาเพื่อปวงชน และ การนําา นโยบายไปสูการปฏิบัติปัจจุบันสาธารณรัฐเกาหลียังคงใช้ รัฐธรรมนูญการศึกษา ปีค.ศ. 1948 ซึ่งมีบทบัญญัติ เกี่ยวกับเสรีภาพในการเรียนรู้สิทธิที่เท่าเทียมกันในการ เรียนรู้เสรีภาพทางวิชาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษาภาคบังคับ ได้บัญญัติไว้ว่า “การศึกษาภาค บังคับเป็นการจัดศึกษาแบบให้เปล่า” ตามมาตรา 31


102 วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยนเรศวร ั ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 วรรค 3 ในส่วนเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ปกครองได้บัญญัติไว้ ว่า “ประชาชนทุกคนที่มีผู้เยาว์อยู่ภายใต้การปกครองดูแล ของตน ต้องรับผิดชอบให้ผู้เยาว์ได้รับการศึกษาในระดับ ประถมศึกษาเป็นขั้นต่ํา และจัดให้ได้รับการศึกษาอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย” การศึกษาในระบบนั้น สาธารณรัฐเกาหลี นํามาใช้คือ 6-3-3-4 โดยเป็นการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี เป็นการศึกษาแบบให้เปล่า 9 ปีและเน้นการเรียนรู้ตลอด ชีวิต (Lifelong learning) การจัดการศึกษาต้องมีเสรีภาพ ทางวิชาการ ความเชี่ยวชาญพิเศษ มีความเป็นกลาง ทางการเมือง ความเป็นอิสระโดยเฉพาะมหาวิทยาลัย จะต้องรับประกันตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย เรื่องพื้นฐาน ต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบการศึกษา และการจัดการศึกษา การเงินเพื่อการศึกษา และสถานภาพของครูจะต้อง กําหนดโดยกฎหมายและรัฐจะต้องส่งเสริมการศึกษา ตลอดชีวิต สําหรับจํานวนวันเรียนในแต่ละปีการศึกษา กําหนดให้ โรงเรียนประถม มัธยมศึกษาตอนต้น และ มัธยมศึกษาตอนปลาย จะต้องมีวันเรียนไม่น้อยกว่า 220 วัน ส่วนวิทยาลัย มหาวิทยาลัย วิทยาลัยครูและ วิทยาลัยอาชีวศึกษา จะต้องมีวันเรียนไม่น้อยกว่า 32 สัปดาห์ต่อปี ประเภทของโรงเรียน เพื่อให้พลเมืองทุกคน ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน โดยไม่คํานึงถึง ศาสนา เพศ หรือสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจ ใน สถานศึกษา คือ โรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา ตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย วิทยาลัย มหาวิทยาลัย วิทยาลัยครูวิทยาลัยการศึกษา วิทยาลัย อาชีวชุมชน มหาวิทยาลัยทางอากาศและไปรษณีย์ วิทยาลัยเปิด โรงเรียนการช่าง โรงเรียนการช่างมัธยม ปลาย โรงเรียนพลเมือง โรงเรียนพลเมืองมัธยมต้น โรงเรียนพิเศษ โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนอื่นๆ สําหรับการศึกษาพิเศษจัด ทั้งในระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้กับเด็กที่มีความพิการ ทางด้านตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อน พิการทางร่างกาย และมีความบกพร่องทางการได้ยิน สําหรับผู้ที่มีความ พิการหนัก จัดให้เรียนในโรงเรียนพิเศษ กระจายตาม สถาบันการศึกษาแห่งชาติโดยมีรัฐและเอกชน ร่วมกัน ดูแล สําหรับผู้มีความพิการเพียงเล็กน้อย จัดให้เข้าเรียน ในชั้นพิเศษที่จัดอยู่ในโรงเรียนปกติ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ได้มีการ ออกกฎหมายส่งเสริมการศึกษาพิเศษ เพื่อเป็นแรงผลักดัน ในความพยายามขยายโอกาสสําหรับการศึกษาพิเศษ และส่งเสริมคุณภาพของโครงการต่าง ๆ ทางการศึกษา พิเศษนี้นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมให้การศึกษา พิเศษเป็นการศึกษาแบบให้เปล่าอีกด้วย สรุป สาธารณรัฐเกาหลีนํามาใช้คือ 6-3-3-4 เป็นการศึกษาภาคบังคับ 12 ปีและเน้นการเรียนรู้ตลอด ชีวิต (Lifelong learning) โดยมีจุดเน้นแรกคือการจัดการ ประถมศึกษาสากล และก้าวไปสู่การจัดการมัธยมศึกษา แบบอาชีวะ การศึกษาด้านเทคนิคอาชีพ ไปจนถึงการ อุดมศึกษาและการวิจัย ซึ่งการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นการศึกษา เพื่อความเป็นเลิศ (Elite Education) ให้ความสําคัญกับเด็กที่มีความสามารถพิเศษตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัย โดยกลั่นกรอง ประชากรที่จะเป็นสมองของชาติซึ่งจะช่วยพัฒนาชาติให้ เข้มแข็งต่อไป โดยเกาหลีมีแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แห่งชาติเป็นแผนหลัก ส่งผลให้มีพระราชบัญญัติ การศึกษาที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตอนที่ 3 จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี วิสัยทัศน์หลักสูตร ได้กําหนดวิสัยทัศน์หลักสูตรดังนี้ “การ ส่งเสริมการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน สําหรับการสร้างประเทศสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนา แล้ว” มาตรฐานการเรียนรู้โดยกําหนดเป็นลักษณะ มนุษย์ที่พึงประสงค์ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาของ ประเทศ ที่อยู่ภายใต้แนวคิดเชิงมนุษยธรรมที่มี่เป้าหมาย ในการพัฒนาพลเมืองทุกคนของประเทศให้เป็นผู้ที่ได้รับ การสอนการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ให้มีทักษะการใช้ชีวิต และคุณสมบัติที่จําเป็นในฐานะพลเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย และนําพาประเทศไปสู่การพัฒนาและ ก้าวหน้าท่ามกลางมนุษยชาติด้วยแนวคิดเกี่ยวกับ การศึกษาของประเทศ สามารถกําหนดของลักษณะมนุษย์ ที่พึงประสงค์ได้ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่พัฒนาบุคลิกภาพและดําเนินชีวิตอยู่บน พื้นฐานการเติบโตที่มีแบบแผน 2. ผู้ที่แสดงความคิดสร้างสรรค์ด้วยแนวคิด ใหม่ๆ และท้าทายบนพื้นฐานของทักษะพื้นฐาน 3. ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติบนความเข้าใจใน ความรู้ทางวัฒนธรรมและคุณค่าที่หลากหลาย


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 103 4. ผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาคมด้วย จิตสํานึกเอาใจใส่และแบ่งปันในฐานะพลเมืองที่สื่อสารกับ ทั่วโลก การบริหารจัดการหลักสูตร หลักสูตรแห่งชาติมีคณะกรรมการการศึกษา ระดับท้องถิ่นคอยกํากับดูแล หลักสูตรสถานศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายเน้น ผู้เรียนเป็นสําคัญ ตามความถนัดของผู้เรียน ส่งเสริม ความเป็นอัจฉริยะ และปลูกฝังค่านิยมรักชาติโดยกําหนด เป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางที่สร้างคนมีความรู้ที่มี ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งมีจิตสํานึกเอาใจใส่และแบ่งปัน โดยจัดแบ่งเป็นหลักสูตรกลางสําหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-มัธยมศึกษาปีที่ 3 และหลักสูตรเลือกสําหรับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4-6 จัดเป็นชั้นปีเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดและ บริหารหลักสูตรที่ตายตัวและเพื่อให้การจัดการและ บริหารหลักสูตรของแต่ละชั้นปีมีความต่อเนื่องและ เชื่อมโยงกันอย่างอิสระ ดังเช่น 1) หมวดวิชาในหลักสูตรแยกเป็นหมวดหมู่โดย พิจารณาตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้เป็น 4 หมวด และจัดรายวิชาบังคับเพื่อให้นักเรียนสามารถฝึกฝนขั้น พื้นฐานและหาแนวทางในอนาคตตลอดจนความถนัดของ ตนเองได้อย่างเพียงพอ 2) มีการกําหนด “กิจกรรมฝึกความคิด สร้างสรรค์”เพื่อเพิ่มจิตสํานึกในการเอาใจใส่และการ แบ่งปันให้รวมอยู่กับกิจกรรมฝึกวิจารณญาณและกิจกรรม พิเศษที่มีอยู่แล้วที่สอดคล้องกันในแต่ละเทอมโดยลด รายวิชาที่ต้องเรียนให้น้อยลง 3) มีการกําหนดมาตรฐานหลักสูตร โดยจัดให้มี การประเมินหลักสูตรของโรงเรียน การปรับปรุงหลักสูตร และการทวนสอบมาตรฐานโดยข้อสอบกลางของประเทศ จุดเน้นการพัฒนาผู้เรียน ระดับประถมศึกษา เน้นการปลูกฝังทักษะและ การฝึกฝนเบื้องต้นที่จําเป็นในการใช้ชีวิตประจําวันและการ เสริมสร้างลักษณะนิสัยในการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานของ นักเรียน โดยเน้นการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง การใช้ชีวิตอย่าง ชาญฉลาด การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เน้นการเรียนรู้และ เสริมสร้างทักษะพื้นฐานที่จําเป็นในการใช้ชีวิตประจําวัน ของนักเรียน ปลูกฝังความเป็นตัวตนของตนเองในฐานะ พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยเน้นสิทธิและหน้าที่ของ พลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย (เคารพศักดิ์ศรีและ เกียรติภูมิของมนุษย์เคารพกฎหมายบ้านเมือง การ ตัดสินใจที่ชอบด้วยเหตุและผล เป็นต้น) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นการ เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ไปสู่อนาคตที่เหมาะกับความ ถนัดและพรสวรรค์ของนักเรียนตลอดจนเสริมสร้างความ เป็นตัวตนของตนเองในฐานะประชาคมโลก (ความเข้าใจ อันดีต่อวัฒนธรรมอื่นๆ สันติภาพศึกษา มรรยาทสากล เป็นต้น) โครงสร้างของหลักสูตรและโครงสร้างเวลา เรียน โครงสร้างหลักสูตรเดิมใช้หลักสูตรแห่งชาติฉบับที่ 7 ต่อมากระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีได้ประกาศฉบับที่ 2009/41 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2009 ตามกฏหมายว่าด้วยการศึกษาระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษามาตรา 23 วรรค 2 (Ministry of Education Science and Technology, 2009) โดยมีการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางและการเริ่ม ใช้เป็นช่วงดังนี้ 1) วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2011 สําหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1-2 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 2) วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2012 สําหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3-4 และมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 5 3) วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2013 สําหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5-6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 หลักสูตรระดับประถมศึกษา หลักสูต ร ระดับประถมศึกษามีระยะเวลาเรียน 6 ปีจํานวน 5,824 คาบ (1 คาบเรียนมี 40 นาที) ใช้หลักสูตรพื้นฐานร่วม ของชาติ (The national common basic curriculum) เป็นหลักสูตรที่ประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ กิจกรรมเลือก และกิจกรมเสริมหลักสูตรที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ดังนี้ 1. รายวิชาต่างๆ แบ่งออกเป็น 10 รายวิชา ได้แก่วิชา ภาษาเกาหลีวิชาจริยศึกษา วิชาสังคมศึกษา วิชา คณิตศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์วิชาศิลปะปฏิบัติได้แก่ เทคโนโลยีและคหกรรมศาสตร์วิชาพลศึกษา วิชาดนตรี วิชาวิจิตรศิลป์ และวิชาภาษาต่างประเทศ (ภาษา อังกฤษ) สําหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 มีการบูร ณาการในรายวิชาต่างๆ ที่เหลือ 6 วิชา คือ วิชาภาษา เกาหลีวิชาคณิตศาสตร์ วิชาชีวิตที่มีระเบียบวินัย (Disciplined Life) วิชาชีวิตที่ฉลาด (Intelligent Life) วิชาชีวิตที่เป็นสุข (Pleasant Life) และวิชาเราเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (We are the first Graders.)


104 วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยนเรศวร ั ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 2. กิจกรรมเลือก ประกอบด้วยกิจกรรมเลือก รายวิชา (Subject matter optional activities) และ กิจกรรมเลือกเชิงสร้างสรรค์ (Creative optional activities) 3. กิจกรรมเสริมหลักสูตร ประกอบด้วย กิจกรรมสภานักเรียน (Student government activities) กิจกรรมการปรับตัว (Adaptive activities) กิจกรรมการ พัฒนาตนเอง (Self-development activities) กิจกรรม เพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ (Social service activities) และกิจกรรมงานวันสําคัญ (Event activities) หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีระยะเวลา เรียน 3 ปีจํานวน 3,386 คาบ (1 คาบเรียนมี 45 นาที) ประกอบด้วยรายวิชาเรียนและกิจกรรมฝึกความคิด สร้างสรรค์ดังนี้ 1. รายวิชาเรียน ประกอบด้วย วิชาภาษาเกาหลี วิชาสังคมศึกษา (รวมประวัติศาสตร์/จริยธรรม) วิชา คณิตศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์เน้นการทดลอง และการ ตั้งสมมติฐาน วิชาพลศึกษา วิชาศิลปะ (ดนตรี/ จิตรกรรม) วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาเลือก ซึ่ง ประกอบด้วย วิชาภาษาจีนโบราณวิชาสารสนเทศ วิชา สิ่งแวดล้อม วิชาภาษาต่างประเทศเพื่อการดําเนินชีวิต (ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย ภาษาอาหรับ) วิชาพลานามัย วิชาแนวทางการเรียนและอาชีพ (Career education) เป็นต้น 2. กิจกรรมฝึกความคิดสร้างสรรค์ประกอบ ด้วย กิจกรรมเสรีกิจกรรมชมรม กิจกรรมสาธารณประโยชน์กิจกรรมแนวทางการดําเนินชีวิต หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอน ปลาย หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมี ระยะเวลาเรียน 3 ปีจํานวน 3,468 คาบ (1 คาบเรียนมี 50 นาที) แบ่งเป็นรายวิชาเรียนและกิจกรรมฝึกความคิด สร้างสรรค์วิชาเอก ประกอบด้วย วิชาสายสามัญ และ วิชาสายอาชีพ ดังนี้ 1. สายสามัญ ประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ คือ วิชาคณิตศาสตร์วิชาภาษาอังกฤษ วิชาสังคมศึกษา (รวม วิชาประวัติศาสตร์/จริยธรรม) วิชาวิทยาศาสตร์วิชา ภาษาเกาหลีวิชาพลศึกษา วิชาศิลปะ (ดนตรี/จิตรกรรม) วิชาเทคโนโลยีวิชาภาษาต่างประเทศเป็นภาษาที่ 2 วิชา อักษรจีนโบราณ/วัฒนธรรม 2. สายอาชีพ ประกอบด้วย สายวิชาชีพ เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร โรงงาน การสื่อสารเพื่อการค้า ประมง-นาวีคหกรรม โดยเรียนวิชาพื้นฐานคือ วิชา วิทยาศาสตร์วิชาพลศึกษา วิชาศิลปะ วิช า ภาษาต่างประเทศ และวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 3. กิจกรรมฝึกความคิดสร้างสรรค์ประกอบ ด้วย กิจกรรมอิสระ กิจกรรมชมรม กิจกรรมบําเพ็ญ สาธารณประโยชน์และกิจกรรมเพื่อเส้นทางในอนาคต แนวการจัดการเรียนรู้แนวการจัดการเรียนรู้ ได้เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ตามความถนัดของผู้เรียน ส่งเสริมความเป็นอัจฉริยะ และปลูกฝังค่านิยมรักชาติ การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผล ไม่มีการวัดผลระดับชาติแต่มีการวัดและประเมินผลโดย ครูซึ่งดําเนินการดังนี้ 1. โรงเรียนมีการประเมินความเหมาะสม ความ มีตรรกะ และประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ หลักสูตรของโรงเรียน มีการวิเคราะห์ปัญหา และนําไปใช้ ในการปรับหลักสูตรของปีถัดไป 2. การวัดและประเมินผลในโรงเรียน พิจารณา ประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 การวัดผลถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร เพื่อให้นักเรียนทุกคนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ 2.2 โรงเรียนจัดการวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน ของนักเรียนด้วยเครื่องมือและวิธีที่หลากหลาย ใช้ปริมาณการบรรลุผลของนักเรียนเป็นข้อมูลในการ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน 2.3 การวัดผลรายวิชาควรเป็นแบบอัตนัย หรือเขียนบรรยายหรือวิเคราะห์มากกว่าแบบปรนัย 2.4 การวัดผลของการทดลองและการฝึก ทักษะ ต้องเป็นการวัดเชิงตรรกะ พิจารณาจากลักษณะ ของรายวิชา 2.5 การวัดผลรายวิชาที่เน้นการตัดสินใจ การนําไปใช้และความคิดสร้างสรรค์ต้องอยู่บนมาตรฐาน ความมีตรรกะ 2.6 โรงเรียนและครูควรวัดผลเนื้อหาและ การนําไปใช้ของสิ่งที่เรียนในโรงเรียน ควรระวังการวัดผล สิ่งที่นักเรียนไม่ได้เรียนรู้ในโรงเรียนโดยตรง


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 105 2.7 การวัดผลกิจกรรมฝึกความคิด สร้างสรรค์โรงเรียนเป็นผู้กําหนดสิ่งที่ต้องการวัดตาม ลักษณะเนื้อหาของกิจกรรม อภิปรายผลการศึกษา สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ จุดเน้นของการพัฒนาสาธารณรัฐเกาหลีในปัจจุบันสู่ ความสําเร็จของการพัฒนาทางการศึกษา พบว่า กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สาธารณรัฐเกาหลีเดิมชื่อกระทรวงศึกษาธิการและการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เนื่องจากช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยเน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์อันเป็น การเตรียมการเพื่ออนาคต (Human education preparing for the future) แต่เมื่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเปลี่ยนไปจึงมีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อวาง ทิศทางสําหรับศตวรรษที่ 21 สาธารณรัฐเกาหลีจึง ประกาศนโยบายและแผนการศึกษา ปีค.ศ. 2010 โดยมี วิสัยทัศน์ว่า “การส่งเสริมการศึกษา วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีในฐานะเป็นฐานสําหรับการสร้างประเทศสู่ ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” (Promoting education, science and technology as a building block to grow into an advanced country) ซึ่งแสดงถึงความ ปรารถนาอย่างชัดเจน ที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนา แล้ว โดยอาศัยการศึกษา วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เป็นฐาน ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาของ ฉันทนา จันทร์ บรรจง (2554, หน้า 28 ) ได้ศึกษาประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า การสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ของประเทศ นิวซีแลนด์ได้เน้นการค้าแบบเสรีและการสร้างเศรษฐกิจ ฐานความรู้แต่เนื่องมาจากปัญหาเรื่องการย้ายออกจาก นิวซีแลนด์ของผู้มีความรู้สูง (Brain drain) ตั้งแต่ ทศวรรษที่ 1970 และการย้ายออกแบบถาวรของเยาวชน ที่มีการศึกษาดีเพื่อไปอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริม คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดีใน นิวซีแลนด์แบบที่เรียกว่า “Kiwi lifestyle” และปัจจัย ต่างๆ ด้านครอบครัว เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ย้ายออกไปบางคน ย้ายกลับมานิวซีแลนด์อีก ขณะเดียวกันก็มีการย้ายมา อาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์แบบถาวรของนักวิชาชีพชั้นสูงจาก ประเทศที่ยากจนกว่าในทวีปเอเชีย และประเทศต่าง ๆ ที่ พัฒนาแล้วในยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นการได้คนระดับมันสมอง เพิ่มขึ้น ดังนั้นนโยบายการรับผู้อพยพเข้าประเทศของ นิวซีแลนด์จึงค่อนข้างเปิดกว้าง และมีเป้าหมายที่จะเพิ่ม ประชากรร้อยละ 1 ต่อปี เช่น ในปีค.ศ. 2008-2009 กําหนดเป้าหมายไว้จํานวน 45,000 คน ซึ่งถือว่าเป็น นโยบายที่สําคัญการใช้ทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนา ประเทศ การวิเคราะห์ระบบการศึกษาของ สาธารณรัฐเกาหลีพบว่า เป็น ระบบการศึกษาที่มีฐาน กว้าง (Broad-based Education) คือพลเมืองทุกคนมี สิทธิ์ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน เด็กทุกคน จะต้องได้รับการศึกษาระดับประถม มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และมหาวิทยาลัย ตามที่ระบุไว้ใน กฎหมาย คือ 6-3-3-4 โดยเป็นการศึกษาภาคบังคับ 12 ปีและแผนแห่งชาติเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ฉบับที่ 2 ได้กล่าว ถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างเป็นระบบ เช่น การเป็นสังคมของผู้สูงอายุและ ความจําเป็นที่จะต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งมีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อรองรับสังคมที่พัฒนาบนฐานของ อุตสาหกรรมแบบสร้างสรรค์ (Creative industries) ซึ่ง ประกอบด้วยงานหลัก เช่น การวิจัยและพัฒนา การ พิมพ์การผลิตซอฟท์แวร์การโทรทัศน์และวิทยุการ ออกแบบ การดนตรีการโฆษณา สถาปัตยกรรม และ การแฟชั่น โดยกําหนดในหลักสูตร ตั้งแต่ระดับมัธยมต้น มัธยมปลาย วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ในทิศทาง เดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สอดคล้องกับประเทศสิงคโปร์ที่มีระบบการศึกษาเน้นฐาน กว้าง (Broad-based Education) เพื่อพัฒนานักเรียน อย่างเป็นองค์รวม ส่วนระบบการศึกษาของนิวซีแลนด์ (ฉันทนา จันทร์บรรจง, 2554, หน้า 18 ) ที่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ การศึกษาปฐมวัย การศึกษาระดับโรงเรียน และการอุดมศึกษา ระดับปฐมวัยจัดให้เด็กตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ขวบ มีทั้งการศึกษาที่ครูเป็นผู้นําและพ่อแม่เป็นผู้นํา ได้แก่ศูนย์การศึกษาและการดูแลเด็ก โรงเรียนอนุบาล การศึกษาและดูแลในครอบครัว ศูนย์การเล่นและกลุ่มการ เล่น ระดับโรงเรียน เป็นการศึกษาที่จัดให้ตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 ถึงชั้นปีที่ 13 เป็นภาคบังคับแบบให้เปล่าจนถึงอายุ 16 ปี แบ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนการศึกษาพิเศษ และโฮมสกูล ส่ว น ระดับอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น มหาวิทยาลัย วิทยาลัย เทคโนโลยีและโพลีเทคนิค วิทยาลัยวิชาการศึกษา และ สถาบันฝึกอบรมการอาชีพของเอกชน การบริหาร การศึกษาของนิวซีแลนด์ เป็นแบบกระจายอํานาจ


106 วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยนเรศวร ั ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่พัฒนานโยบายเชิง ยุทธศาสตร์สนับสนุนการจัดการศึกษาปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ สาธารณรัฐเกาหลีพบว่า มีจุดเน้นเพื่อสร้างคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของผู้เรียนและความคิดสร้างสรรค์เป็นการ สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีสร้างสรรค์โดยการปลูกฝัง คุณธรรมอย่างเป็นระบบ และเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละ ระดับชั้นโรงเรียนมีการลดรายวิชาที่ไม่สําคัญ และบูรณา การการปลูกฝังคุณลักษณะที่พึงประสงค์เข้าไปในทุก รายวิชา เช่นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 3 เน้นปลูกฝัง ความเป็นระเบียบในสังคม กฎจราจร และจิตสํานึกการ อยู่ร่วมกันในชุมชน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษา ตอนต้น เน้นสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองภายใต้ระบอบ ประชาธิปไตย (เคารพศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของมนุษย์ เคารพกฎหมายบ้านเมือง การตัดสินใจที่ชอบด้วยเหตุและ ผล เป็นต้น) ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นสิทธิและ หน้าที่ของการเป็นพลเมืองของโลก (ความ เข้าใจอันดีต่อ วัฒนธรรมอื่นๆ สันติภาพศึกษา มรรยาทสากล เป็นต้น) มีการประเมินผลที่เป็นระบบ เชื่อมโยงสู่การเข้าศึกษาใน ระดับที่สูงขึ้นในระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัย อีกทั้ง กิจกรรมในระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่ต้องสนับสนุน กิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่สังคม การพัฒนา คนที่สมบูรณ์ทุกด้าน มีความสามารถเชิงสร้างสรรค์บน ฐานความรู้และทักษะพื้นฐานที่จําเป็น สามารถประกอบ อาชีพบนฐานความรู้ทางวิชาการที่กว้างขวางและทักษะที่ หลากหลาย เข้าใจวัฒนธรรมของชาติ อุทิศตนเพื่อ พัฒนาประเทศและเป็นพลเมืองดีของสังคมประชาธิปไตย ทั้งนี้มียุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนการสอนวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ การ อ่าน และหน้าที่พลเมือง ผลการศึกษาเปรียบเทียบโดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) (Education at a Glance, 2005 อ้างใน ฉันทนา จันทร์บรรจง, 2545, หน้า 237) พบว่า เด็กสาธารณรัฐเกาหลีใช้เวลาเรียนในโรงเรียนน้อย กว่าในอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน และใกล้เคียงกับเด็ก ญี่ปุ่น และฟินแลนด์ทั้งนี้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่เด็กมีผล การทดสอบความรู้ความสามารถทางวิชาการ (Program for International Student Assessment: PISA) อยู่ใน อันดับที่ 1 ทั้งในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ในปีค.ศ. 2000, 2003 และ 2006 โดยที่ จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสาธารณรัฐ เกาหลีมีความสอดคล้องในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) รวบรวม โดย เจมส์เบลลันกา (James Bellanca) และ รอน แบ รนด์ (Ron Brandt) (2010, p 11 ) โดยกําหนดเป้าหมาย เพื่อสร้างคนให้มีคุณภาพ มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับ สามารถ ทํางานและใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 นอกจากการมีความรู้ ในวิชาหลัก (Core subjects) แล้วนอกจากนี้ยังได้เน้น ความรู้ในสหวิทยาการ (Interdisciplinary) และต้องมี ความรู้รอบตัวอื่นๆ ด้วย เช่น เศรษฐกิจ การเงิน การ ประกอบธุรกิจ หน้าที่พลเมือง สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีทักษะชีวิต/ทักษะอาชีพ (Life and Career Skills) ซึ่งต้องมีทักษะการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล ทักษะทางสังคม การมองโลกในแง่ดีการควบคุม อารมณ์ทําประโยชน์เพื่อผู้อื่น มีภาวะผู้นํา รู้จักการให้ ทําดีโดยไม่หวังผลตอบแทน มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มี ทักษะการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมใหม่ (Learning and Innovation Skills) มั่นฝึกฝน พัฒนาตัวเอง เรียนให้เกิด ทักษะ เรียนโดยการปฏิบัติ (learning by doing) การคิด วิเคราะห์เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการสื่อสาร และทักษะแห่งความร่วมมือ ที่ สําคัญคือทักษะด้านสื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยีซึ่งจะ เห็นได้จากวิสัยทัศน์จุดมุ่งหมายของหลักสูตร แนวการ บริหารจัดการหลักสูตร จุดเน้นในการพัฒนาผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้สําหรับผู้จบหลักสูตร โครงสร้างของ หลักสูตรและโครงสร้างเวลาเรียน สาระการเรียนรู้/ รายวิชา และกิจกรรมเสริมหลักสูตร มาตรฐานและแนว ทางการเรียนรู้สําหรับแต่ละระดับการศึกษา และการ วัดผลและประเมินผลการศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลี ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสําหรับประเทศไทย 1. เพื่อสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไทย ควรปลูกมีการฝัง อย่างเป็นระบบและบูรณาการในทุกรายวิชา โดยคํานึงถึง เน้นสิทธิและหน้าที่ของการเป็นพลเมืองของประเทศชาติ และพลเมืองโลก 2. สถานศึกษาควรจัดหลักสูตรสถานศึกษาที่มี ความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน สังคม ใน การบริหารสถานศึกษาลักษณะ self-managing school


วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2556 107 ที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) ใช้มาตรฐานสากล ยกระดับคุณภาพทางการศึกษา 3. การนําเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ทันสมัยมา ใช้รวมทั้งการพัฒสื่อการสอนที่เหมาะสมและน่าสนใจ ข้อเสนอแนะสําหรับการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการเก็บข้อมูลในภาคสนามโดยตรง ทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ โรงเรียนกลุ่มตัวอย่าง รวมทั้งกําหนดระยะเวลาที่เพียงพอ เพื่อให้งานวิจัยมีความสมบรณู์มากยิ่งขึ้น เอกสารอ้างอิง ฆนัท ธาตุทอง (2553). การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เพชรเกษมการพิมพ์. ฉันทนา จันทร์บรรจง. (2545). “วิธีวิทยาการวิจัย: การศึกษาเปรียบเทียบเพื่อการแก้ปัญหาของระบบการศึกษา.” ใน ธีระ รุญเจริญ และคณะ. การบริหารเพื่อการ _______. (2554). การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศนิวซีแลนด์.กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค). วรินทร บุญยิ่ง (2553). รายงานการวิจัย เรื่อง การสังเคราะห์รูปแบบ กระบวนการ และเทคนิควิธีในการจัด กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของสาธารณรัฐเกาหลี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สํานักงาน คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา สกสค. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2554). ผลการประเมิน PISA 2009 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจํากัด อรุณการพิมพ์. Bellanca, James A. | Brandt, Ronald S. (2010). 21st century skills : rethinking how students learn Bloomington, IN : Solution Tree Press. Ministry of Education Science and Technology. (2009). Education in Korea. Seoul: MEST. _______. (2009). Major Policies and Plans for 2010. Seoul: MEST.


รายงานเชิงชิสัง สั เคราะห์แ ห์ ละวิเวิคราะห์ก ห์ ารเปรียบเทีย ที บระบบการศึก ศึ ษา และการบริหารการศึก ศึ ษาระหว่า ว่ งสาธารณรัฐเกาหลีกั ลี บ กั ประเทศไทย


Click to View FlipBook Version