The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคปฏิบัติ 1 ภาคเรียนที่ 3 ปีการศึกษา 2563 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by siriwanyabew, 2021-08-10 01:35:41

รายงานการฝึกภาคปฏิบัติ 1 โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคปฏิบัติ 1 ภาคเรียนที่ 3 ปีการศึกษา 2563 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Keywords: รายงานการฝึกภาคปฏิบัติ 1 โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์

รายงานการฝึกภาคปฏิบตั ิ 1
ณ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์

จดั ทำโดย

นางสาว ศิริวรรญา ภูมภิ ักด์ิ รหสั นกั ศกึ ษา 6105540014

นางสาว ภัทรวดี ศรคี ำซาว รหัสนกั ศึกษา 6105610312

นางสาว ณัฐวดี พันพลวู งษ์ รหัสนกั ศึกษา 6105610544

นางสาว พิมลมาศ ชัยณรงค์ รหสั นกั ศึกษา 6105615014

นางสาว จฑุ าทิพย์ ดรุณธร รหสั นกั ศกึ ษา 6105615303

นางสาว พชั รพร พละศนู ย์ รหสั นักศกึ ษา 6105680208

นางสาว สราวรรณ จั่นทิพย์ รหสั นกั ศึกษา 6105680323

นางสาว ณฐั กฤตา ณรงค์ รหัสนกั ศึกษา 6105680513

นาย ไกรยสทิ ธิ์ เวกสงู เนนิ รหสั นกั ศึกษา 6105680752

นาย ณัฐภาส เงาวัฒนา รหัสนกั ศึกษา 6105681800

นางสาว จารณุ ี แซ่ลี้ รหัสนกั ศกึ ษา 6105681149

เสนอ
ศ.ดร. กิตพิ ัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ และ อ.ดร. อรณุ ี ลิม้ มณี

อาจารย์นเิ ทศงานของคณะ

ดร. ขนิษฐา บูรณพันศักด์ิ
อาจารย์นิเทศงานภาคสนาม

รายงานฉบบั นเี้ ป็นสว่ นหนึ่งของวชิ าการฝึกภาคปฏบิ ตั ิ 1 (สค.202 การฝกึ ภาคปฏบิ ัติ 1)
ภาคฤดรู ้อน ปีการศึกษา 2563

คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

รายงานการฝึกภาคปฏิบตั ิ 1
ณ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์

จดั ทำโดย

นางสาว ศริ ิวรรญา ภูมภิ ักด์ิ รหสั นกั ศกึ ษา 6105540014

นางสาว ภัทรวดี ศรคี ำซาว รหัสนกั ศึกษา 6105610312

นางสาว ณัฐวดี พันพลวู งษ์ รหัสนกั ศึกษา 6105610544

นางสาว พิมลมาศ ชัยณรงค์ รหสั นกั ศึกษา 6105615014

นางสาว จฑุ าทิพย์ ดรุณธร รหสั นกั ศกึ ษา 6105615303

นางสาว พชั รพร พละศนู ย์ รหสั นักศกึ ษา 6105680208

นางสาว สราวรรณ จั่นทิพย์ รหสั นกั ศึกษา 6105680323

นางสาว ณฐั กฤตา ณรงค์ รหัสนกั ศึกษา 6105680513

นาย ไกรยสทิ ธิ์ เวกสงู เนนิ รหสั นกั ศึกษา 6105680752

นาย ณัฐภาส เงาวัฒนา รหัสนกั ศึกษา 6105681800

นางสาว จารณุ ี แซ่ลี้ รหัสนกั ศกึ ษา 6105681149

เสนอ
ศ.ดร. กิตพิ ัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ และ อ.ดร. อรณุ ี ลิม้ มณี

อาจารย์นเิ ทศงานของคณะ

ดร. ขนิษฐา บูรณพันศักด์ิ
อาจารย์นิเทศงานภาคสนาม

รายงานฉบบั นเี้ ปน็ สว่ นหนึ่งของวชิ าการฝึกภาคปฏบิ ตั ิ 1 (สค.202 การฝกึ ภาคปฏบิ ัติ 1)
ภาคฤดรู ้อน ปีการศึกษา 2563

คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคปฏิบัติ 1 ณ หน่วยฝึกโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ภายใต้
ความกำกับดูแลของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้อง ดังนี้ ประเด็นทั่วไปเกี่ยวกับ
หน่ววยงาน การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายในหน่วยงาน การวิเคราะห์การปฏิบัติงานและการเสนอแนวคิด
รวมถึงการสรุปผลการเรียนรู้ เพื่อสะท้อนผลการศึกษาต่อการเรียนรู้และดำเนินงานในหน่วยงานของนักศึกษา
ในการจัดทำรายงานฉบับนี้ ผู้จัดทำนำความรู้ทักษะ รวมถึงหลักการวิธีการและกระบวนการทางสังคม
สงเคราะห์มาประยุกต์ใช้ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์โครงสร้าง ระบบ กระบวนการทำงานของหน่วยงาน อย่าง
เหมาะสม
ผจู้ ัดทำตอ้ งขอขอบคุณ ศ.ดร. กติ พิ ฒั น์ นนทปัทมะดลุ ย์ อ.ดร. อรุณี ล้ิมมณี ซงึ่ เปน็ อาจารย์นิเทศงานของ
คณะและดร. ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ อาจารย์นิเทศงานภาคสนาม และหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาล
ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการฝึก
ภาคปฏิบัติ 1 ณ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ฉบับน้ีจะเปน็ ประโยชน์ต่อผู้ท่สี นใจ และผทู้ ีต่ อ้ งการศึกษาค้นคว้า
ทกุ ๆทา่ น

คณะผู้จัดทำ

สารบญั หน้า

บทที่ 1 ประเด็นทั่วไปเก่ยี วกับหน่วยงาน 1
1.1 ความเป็นมาของหน่วยงาน 2
1.2 ที่ต้ัง พน้ื ที่ และอาคารต่างๆ 3
1.3 ระดบั และขอบเขตบรกิ าร 4
1.4 ลักษณะการให้บริการ 5
1.5 ลกั ษณะทัว่ ไปของผู้ใชบ้ รกิ าร 6
1.6 สมรรถนะหลกั ขององค์กร 6
1.7 นโยบาย 8
1.8 วสิ ยั ทัศน์ 8
1.9 พนั ธกจิ 8
1.10 แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพ 12
1.11 เปา้ หมาย 12
1.12 ระเบยี บปฏบิ ตั กิ าร 12
1.13 คา่ นิยม 13
1.14 อัตลกั ษณ์ คณุ ธรรม 13
1.15 ประเดน็ ยุทธศาสตร์ 14
1.16 โครงสร้างการบริหาร 14
1.17 การวิเคราะหห์ นว่ ยงานโดยใชแ้ นวคดิ SWOT Analysis
17
บทท่ี 2 การปฏบิ ตั ิงานสงั คมสงเคราะห์ 17
2.1 นโยบาย ยทุ ธศาสตร์ 17
2.2 แผนงานการพฒั นาคุณภาพ 18
2.3 จุดมุ่งหมาย 18
2.4 ขอบเขตการใหบ้ ริการ 19
2.5 ขอบเขตการใหบ้ รกิ ารชว่ งสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโควดิ -19 19
2.6 ลักษณะการให้บริการของหน่วยงานสงั คมสงเคราะห์
2.7 แนวคดิ ทฤษฎที ปี่ ระยกุ ตใ์ ช้ในหน่วยงาน 23
2.8 การนำหลักการ วธิ กี ารและกระบวนการปฏิบตั ิงานสงั คมสงเคราะห์
ไปประยุกตใ์ ช้ในหนว่ ยงาน

2.9 การนำทักษะทางวิชาชีพไปประยกุ ต์ใช้หนว่ ยงาน 27
2.10 การใชท้ รพั ยากร การติดตอ่ ปประสานงาน การใหบ้ ริการแก้ผู้ใช้บรกิ าร
30
ทง้ั ในและนอกหนว่ ยงาน
บทท่ี 3 การวเิ คราะหก์ ารปฏิบตั ิงานและการเสนอแนวคิด 39
41
3.1 การนำแนวคิด ทฤษฎี ไปประยกุ ตใ์ ช้ในหน่วยงาน 42
3.2 การนำหลักการทางสังคมสงเคราะห์ไปประยกุ ตใ์ ช้ในหนว่ ยงาน 44
3.3 การนำกระบวนการปฏิบตั งิ านทางสังคมสงเคราะหไ์ ปประยกุ ต์ใช้ในหนว่ ยงาน 48
3.4 การนำทกั ษะทางวิชาชีพไปประยุกตใ์ ช้ในหน่วยงาน 52
สรปุ ขอ้ คดิ เห็น และข้อเสนอแนะเชงิ วิพากษ์ 53
ภาคผนวก 59
ระบบประกันสขุ ภาพในประเทศไทย 66
คำศัพทท์ างการแพทยท์ ่ีสำคัญ 86
โครงการ CSR ท่ีจดั ทำขน้ึ โดยองค์กรตา่ งๆ 92
พระราชบญั ญัตวิ ิชาชพี สังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556
เอกสารอา้ งอิง

1

บทที่ 1
ประเด็นทว่ั ไปเก่ยี วกับหน่วยงาน
1.1 ความเปน็ มาของหน่วยงาน
โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ไดร้ บั พระมหากรุณาธคิ ุณจากพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ”
เริ่มกอ่ สรา้ งในสมยั ศาสตราจารย์ คุณหญิง นงเยาว์ ชยั เสรี เป็นอธกิ ารบดมี หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จากแรงศรัทธา
ของทายาท ม.ร.ว.สวุ พรรณ สนิทวงศ์ ธนาคารทหารไทย จำกัด มลู นิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ
ศิษย์เกา่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชาคมธรรมศาสตร์ ตลอดจนประชาชนทัว่ ไป โดยพระบาทสมเด็จพระบรม
ชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพธิ ี วางศลิ าฤกษ์ เม่ือ
วนั ที่ 3 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2529 พระองคย์ งั แสดงพระราชวนิ ิจฉัยของพระองค์ต่อการสร้างโรงพยาบาลธรรมศาสตร์
เฉลิมพระเกียรติว่า “โรงพยาบาลนี้จะต้องเป็นโรงพยาบาลที่พึ่งพิงแก่ผู้ป่วยไข้ ไม่ใช่เพื่อสำหรับชุมชนชาว
ธรรมศาสตร์ ชาวบา้ นบริเวณใกลเ้ คียง ชาวโรงงานอุตสาหกรรมเทา่ น้ัน แต่จะตอ้ งมีประชาชนท่ีอยู่ห่างไกลมา
รับบริการทางการแพทย์อย่างแนน่ อน” และเปิดให้บริการประชาชนทว่ั ไปเป็นคร้ังแรกเมื่อวันท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ.
2530 เพอื่ ถวายเปน็ พระราชกุศลเน่ืองในมหามงคลสมัยที่พระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิ
เบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ จนกระทั่งในวันที่ 29
มีนาคม พ.ศ. 2531 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ าฯ
เสด็จแทนพระองคท์ รงประกอบพิธเี ปิดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกยี รติอยา่ งเปน็ ทางการ
โดยในระยะแรกมีเพียง 2 อาคารที่เปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนทั่วไป คือ อาคาร ม.ร.ว.
สุวพรรณ สนทิ วงศ์ เปิดให้บริการรักษาพยาบาลผู้ปว่ ยฉกุ เฉนิ ผปู้ ่วยนอก และสำนกั งานต่าง ๆ และอาคารธนาคาร
ทหารไทย เปิดให้บริการรักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยในทุกประเภท ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีการจัดตั้งคณะ
แพทยศาสตร์ ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2533 โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ของราชการ ซงึ่ มฐี านะเทียบเทา่ สถานภาควชิ าของคณะแพทยศาสตร์ เชน่ เดียวกับสถานวิทยาศาสตรพ์ รีคลนิ ิกและ
สถานวิทยาศาสตร์คลินิก โดยมีภารกิจในการให้บริการวิชาการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชน
โดยทั่วไปและเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติภาคคลินิกของคณะแพทยศาสตร์ ต่อมาโรงพยาบาลได้มีการก่อสร้างอาคาร 7
ชั้น เพ่ือใชเ้ ปน็ อาคารสำหรับใหบ้ ริการสขุ ภาพแก่ประชาชน เมอ่ื การก่อสรา้ งแลว้ เสรจ็ และเปดิ ให้บรกิ ารสมเด็จพระ
กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงเสร็จพระราชดำเนินโรงพยาบาลอีกคร้ังหนึ่ง เพื่อทรง
ประกอบพิธีเปิดอาคารกิตติวัฒนาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 และเมื่อวันที่ 25 มกราคม
2556 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารกิตติ
วฒั นา ระยะที่ 2 นบั เป็นประวตั ิศาสตร์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกยี รติ

2

ปัจจุบันโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ มีศักยภาพในการให้บรกิ ารรกั ษาพยาบาลครบทุกสาขา
บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละประมาณ 2,000 - 3,000 คน และรองรับผู้ป่วยในได้ 601 เตียง สำหรับในอนาคต
วางแผนจะขยายบริการผู้ป่วยในเป็นขนาด 750 เตียง นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ยังใหบ้ รกิ ารรักษาพยาบาล แกผ่ ้ปู ่วยทขี่ าดแคลนทนุ ทรพั ยใ์ นแต่ละปีอกี เป็นจำนวนมาก

1.2 ท่ีต้ัง พน้ื ที่ และอาคารต่างๆ
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 95 หมู่ 8 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง

จังหวัดปทุมธานี โดยมีพื้นที่รวมกลุ่มศูนย์สุขศาสตร์ ทั้งสิ้น 135 ไร่ (ตั้งแต่ถนนด้านหน้าพหลโยธินจนถึงอาคาร
หอพักแพทย์และพยาบาล) เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยในปัจจุบันมีอาคารต่าง ๆ
เพอ่ื การดำเนนิ การและการบรกิ ารรกั ษาพยาบาล ดังน้ี

อาคาร ม.ร.ว.สุวพรรณ สนทิ วงศ์
เป็นอาคารทไ่ี ดช้ ่ือตาม ม.ร.ว.สวุ พรรณ สนิทวงศ์ ซึ่งทายาทไดบ้ ริจาคเงินกองทนุ มรดกของ ม.ร.ว.สวุ พรรณ
สนทิ วงศ์ จำนวน 43 ล้านบาท เพ่อื สร้างโรงพยาบาลเป็นอาคารแรกเรม่ิ เปิดดำเนินการในปี 2530 โดยมหี อ้ งผา่ ตัด
สำนกั งานต่าง ๆ บริการผ้ปู ว่ ยนอกและผู้ปว่ ยฉุกเฉิน
ตอ่ มาในปี 2540-2542 ได้มกี ารปรับปรุงจากอาคารเดิมให้เป็นอาคารสำหรับบริการสุขภาพแก่ผู้ป่วยนอก
ทุกสาขา ลักษณะอาคารเปน็ อาคาร 2 ชั้น ด้านหนา้ อาคารเป็นที่ต้งั หอพระพทุ ธรูปประจำโรงพยาบาล “พระศากย
มุนีศรีธรรมศาสตร์” และที่ต้งั รปู หล่อ ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์
อาคารดลุ โสภาคย์
เป็นอาคาร 9 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ ดำเนินการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2541 - 2543 ปัจจุบันเปิดทำการ
เปน็ หอผปู้ ว่ ย สำนักงานฝา่ ยสนับสนุนบรกิ าร ฝา่ ยเภสัชกรรม และศูนยไ์ ตเทียมเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเดจ็
พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี
อาคารกติ ติวฒั นา
เป็นอาคาร 7 ชั้น ที่ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2538 - 2540 และเปิดให้บรกิ ารทางสุขภาพแก่
ประชาชนตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ในปัจจุบันเปิดให้บริการสำหรับผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอกเวลา
ราชการ และผู้ป่วยประกันสังคมนอกเวลาราชการ ผู้ป่วยวิกฤต ห้องผ่าตัด ห้องคลอด งานกายภาพบ ำบัด
ห้องปฏิบัติการ เทคนิคการแพทย์ งานรังสีวินิจฉัย ศูนย์ส่องกล้องและผ่าตัดผ่านกล้องบัวหลวง สำนักงานต่าง ๆ
และในปีงบประมาณ 2553 โรงพยาบาลได้งบประมาณในการปรับปรุงและต่อเติมอาคารกิตติวัฒนา ระยะที่ 2
ตัง้ แต่ชนั้ 3-7 เพอื่ การใหบ้ ริการเป็นหอผู้ป่วยใน สำนกั งานผู้อำนวยการ และสำนักงานบริหารโรงพยาบาล ซึ่งการ
ก่อสร้างและเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ต่อมาในปีงบประมาณ 2556 ได้มีการก่อสร้างอาคารกิตติวัฒนา

3

ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นอาคาร 7 ชั้น ประกอบด้วย ศูนย์มะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านผู้สูงอายุ ศูนย์ความเป็นเลิศ
ด้านการแพทย์วิกฤตและฉุกเฉิน งานการพยาบาลผู้ป่วยพิเศษ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม 2559

อาคารธนาคารทหารไทย
เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยได้ชื่อตามธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นผู้บริจาคหลักในการก่อสร้างอาคารเป็นจำนวน
10 ล้านบาท ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธา เป็นหอผู้ป่วยอาคารแรกที่เปิดให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยทุกประเภท ตั้งแต่ปี
2530 และได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ ในการปรับปรุงและพัฒนา
อย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี 2550 ได้มีการปรับปรุงอาคารที่ทรุดโทรม โดยได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิธรรมกาย
วัดพระธรรมกาย เพื่อปรับปรุงอาคารให้มีความทนั สมัยและสะดวกสบายแก่ผู้ป่วยมากยิง่ ขึน้ ปัจจุบันเป็นอาคารที่
ใหบ้ ริการรักษาพยาบาลผปู้ ่วยนรีเวชกรรม ผูป้ ่วยอายรุ กรรม (Stroke Unit) และหอผปู้ ว่ ยพเิ ศษยงู ทอง 1
อาคารปญั จา สายาลักษณ์
เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยได้ชื่อตามคุณปัญจา สายาลักษณ์ ซึ่งทายาทเป็นผู้บริจาคหลักร่วมกับผูม้ ีจิตศรทั ธา
และมูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2537 และได้มีการปรับปรุงโดยใช้
งบประมาณจากเงินบริจาคของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งเงินรายได้ของโรงพยาบาลในปี 2554 -
2555 ปัจจุบันเป็นอาคารที่ให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน หอผู้ป่วยพิเศษยงู ทอง 2 หอผู้ป่วยจิตเวช และแพทย์
แผนไทยประยุกต์
อาคารบรกิ าร
เป็นอาคาร 3 ชั้น ดำเนินการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณปี 2538 - 2540 และเปิดเป็นอาคารให้บริการ
สนบั สนนุ การบริการทางการแพทย์ตา่ ง ๆ และห้องประชมุ สถาพร กวิตานนท์
อาคารสมาคมธรรมศาสตร์ฯ 2554
เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยใช้ชื่อของสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นผู้บริจาคหลักในการ
ก่อสร้างอาคาร มาใช้เป็นชื่อของอาคาร และใส่ปี 2554 ต่อท้าย เนื่องจากสมาคมช่วยระดมเงินทุนให้โรงพยาบาล
ครั้งประสบกับวิกฤตมหาอุทกภัย เมื่อ ปลายปี 2554 อาคารหลังนี้เป็นที่ตั้งของตู้ไฟ MGB งานระบบท่อก๊าซ
หมอ้ แปลง และห้องช่าง

1.3 ระดบั และขอบเขตบริการ
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูงที่มีศักยภาพในการให้การ

รักษาไดค้ รบทกุ วงจรทุกสาขาวชิ า รวมทั้งเปน็ ทีร่ บั - สง่ ต่อผปู้ ว่ ยจากโรงพยาบาลอน่ื ๆ ใหบ้ รกิ ารทัง้ ประเภทผู้ป่วย-
นอก ผู้ป่วยใน ผู้ป่วยฉุกเฉินในทุกสาขา โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ของโรงพยาบาล เป็นผู้มีภูมิลำเนาในจังหวัดปทุมธานี
พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ปี 2560 โรงพยาบาลมีการกำหนดเกณฑ์การ
ประเมินการพัฒนาสู่ศูนย์ความเป็นเลิศที่ชัดเจน ส่งผลให้โรงพยาบาลมีศูนย์ความเป็นเลิศทางคลินิก (Center of
Excellence) จำนวน 5 ศูนย์ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลิศโรคหลอดเลือดสมอง ศูนย์ความเป็นเลิศเท้าเบาหวาน

4

ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบหายใจ ศูนย์ความเป็นเลิศจอตา ศูนย์ความเป็นเลิศ
โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะทางครบวงจร ดังนี้ ศูนย์สองกล้องและผ่าตัดผ่านกล้อง
บัวหลวง (BELTEC) ศูนย์หลอดเลือดสมอง (Stroke Center) ศูนย์ข้อเทียมธรรมศาสตร์ (Thammasat Joint
Replacement Center) ศูนย์บำบัดแทนไตครบวงจร (Thammasat Renal Replacement Therapy Center :
TRRTC) ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก (Thammasat Fertility Center) ศูนย์อุบัติเหตุ (Trauma Center) ศูนย์ผิวหนัง
(Skin Center) ศูนย์เปลี่ยนกระจกตาธรรมศาสตร์ (Thammasat Cornea Transplant Center) ศูนย์เลสิกธรรม
ศาสตร์ (Thammasat Lasik Center) ศูนย์ศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล (Oral and Maxillofacial
Surgery Center) ศูนย์รังสีรักษาและมะเร็งวิทยา (Thammasat Radiation and Oncology Center :TROC)
และศนู ยต์ รวจวนิ จิ ฉยั และรักษาทารกในครรภ์ (Fetal Diagnosis and Therapy Center)

ประชากรในเขตพืน้ ท่ีรบั ผิดชอบ
ระดบั จงั หวัด
โรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกยี รติเปน็ โรงพยาบาลระดับตตยิ ภูมิชน้ั สูงทีม่ ีศักยภาพในการให้บริการ
รักษาผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลางและ
ใหบ้ ริการผปู้ ว่ ยทสี่ ง่ ต่อมาจากสถานบริการทั้งในสว่ นกลางและส่วนภูมิภาค
ระดับอำเภอ
โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้บริการดูแลนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 22,696 คน
(ณ ตุลาคม 2561) และรบั - ส่งตอ่ ผ้ปู ่วยในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจากโรงพยาบาลในเขต 8 จังหวัด
ดังน้ี สระบรุ ี นนทบรุ ี ปทุมธานี พระนครศรอี ยธุ ยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี และนครนายกโครงการประกันสังคมมี
ผขู้ ้ึนทะเบยี นจำนวน 11,617 คน (ณ ตลุ าคม 2561)

1.4 ลกั ษณะการใหบ้ ริการ
เนื่องจากระดับการให้บริการของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เป็นหน่วยงานบริการระดับตติยภูมิชั้นสูง

ภารกจิ ของหนว่ ยบรกิ ารระดบั น้ี คอื การขยายขอบเขตการรักษาพยาบาลทจ่ี ำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทางสาขาต่อ
ยอด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรตจิ ึงมีการส่งเสริมการเรียนการสอนของนักศึกษาในระดับปริญญาใน
ศูนย์สขุ ศาสตร์และหลงั ปริญญา ระดบั ปริญญาโท และระดบั ปริญญาเอก รวมไปถึงเปน็ สถานท่ีอบรมแพทย์เฉพาะ
ทาง เช่น แพทย์ประจำบา้ น นอกจากนี้ยงั รวมการฝกึ อบรมต่อยอดให้กับศัลยแพทย์ใน ประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
ในสาขาศัลยกรรมท่วั ไป นรีเวชกรรม และศัลยกรรมสมอง

นโยบายการทำงานของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมีความสอดคลอ้ งกับนโยบายการทำงาน
ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะและสุขภาพที่ดีโดยมีการจัดระบบสุขภาพที่เป็นเลิศ
ครอบคลมุ ด้านการส่งเสรมิ สุขภาพ การปอ้ งกันโรค การรกั ษาพยาบาลและการบำบดั ฟื้นฟูแกป่ ระชาชน

5

โดยโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เน้นไปทางด้านความสามารถในการรักษาพยาบาลเฉพาะ
ทางอย่างครบวงจร มีศักยภาพสูงในการดูแลผู้ป่วยที่ยากสลับซับซ้อน ด้วยการมีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือท่ี
ทันสมัยประกอบการเป็นศนู ย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellent) ในหลายสาขา ทงั้ ดา้ นศูนยโ์ รคหวั ใจ ศูนย์โรค
หลอดเลือดสมอง ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ศูนย์โรคภูมิแพ้และหอบหืด และเป็นศูนย์บริการทาง การแพทย์ ท้ัง
ศูนย์ข้อเทียม ศูนย์ผิวหนัง ศูนย์ไตเทยี ม ศูนย์ส่องกล้องและผา่ ตัดผ่านกล้อง เป็นต้น มีห้อง ผ่าตัดที่รองรับปรมิ าณ
ในการผ่าตดั และใหบ้ ริการอย่างมปี ระสิทธิภาพคมุ้ ค่า

ด้านการบำบัดฟื้นฟูโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมีการบริการรักษาคลินิก เวชศาสตร์ฟื้นฟู
ให้บรกิ ารตรวจวินจิ ฉัยและรกั ษาทางเวชศาสตรฟ์ น้ื ฟู สำหรบั ผู้ปว่ ยท่มี ปี ัญหากล้ามเนื้อออ่ นแรงอัมพฤกษส์ มองหรือ
เส้นประสาทบาดเจ็บภาวะแทรกซ้อนหลังกระดูกหักผู้ป่วยเด็กท่มี ีพัฒนาการชาและผูป้ ว่ ยท่ีมีอาการปวดจากระบบ
กล้ามเนื้อและโครงกระดูกเพื่อวางแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยการทำกายภาพบำบัดกิจกรรมบำบัดการปักเข็ม
ลดปวด การรักษาด้วยยารวมถึงการจัดทำกายอุปกรณ์ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังมีหน่วย
กิจกรรมบำบดั ท่ใี หบ้ รกิ ารบำบัดดแู ลฟ้นื ฟสู มรรถภาพผ้ปู ว่ ยโดยนักกิจกรรมบำบดั ผู้เช่ยี วชาญเพ่ือเพ่มิ ความสามารถ
ในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยการรับรู้สิ่งแวดล้อมและการคิดวิเคราะห์ของสมองฟื้นฟูก ำลัง
กล้ามเนื้อและการทำงานของแขนและมือ บำบัดปัญหาการพูดหรือกลืน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคระบบ ประสาท
และสมองรวมถึงกระตุ้นพัฒนาการการเรียนรู้ในเด็กโดยเฉพาะผู้ปว่ ยออทิสติกและ การประยุกต์อุปกรณ์ช่วยเหลือ
ผพู้ ิการ

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์มีการส่งเสริมสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดี เช่น การดูแลอนามัยแม่และเด็ก
การวางแผนครอบครัว การดูแลหญิงตั้งครรภ์ก่อนคลอด ระหว่าง คลอด และหลังคลอด การดูแลทารก และเด็ก
การให้วัคซีน การโภชนาการ การให้สุขศึกษา การให้คำปรึกษาแนะนำ การอนามัยโรงเรียน มุ่งบริการที่บุคคล
จนถึงครอบครัว และชุมชนและในด้านการป้องกันโรค เป็นการขจัดสำหรับยับยั้งพัฒนาการของโรค รวมถึงการ
ประเมิน และการรกั ษาเฉพาะเพ่ือขจัดความก้าวหน้าของโรคในทุกระยะ โดยมีศูนยด์ ูแลผปู้ ่วย ครบวงจร ทกุ แผนก
สาขา และมีแพทย์เฉพาะทางที่พร้อมให้การรักษากับผู้ป่วย เนื่องจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เป็นโรงเรียนแพทย์
จงึ มคี วามพรอ้ มในการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ

1.5 ลกั ษณะของผูใ้ ช้บริการโดยทั่วไป
เน่ืองจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เป็นโรงพยาบาลระดบั ตตยิ ภูมชิ นั้ สงู เปน็ สถาบันการเรียนการสอน การ

วิจัย และฝึกปฏิบัติของนักศึกษา ให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะทาง จึงทำให้ลักษณะของผู้ใช้บริการของ
โรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยที่รับ – ส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรักษาได้ อีกทั้งมีการให้บริการกลุ่มผู้ป่วย
ทวั่ ไปท่ีไมม่ ภี าวะฉุกเฉิน กลุ่มผู้ป่วย อบุ ตั ิเหตุฉุกเฉิน และกลุ่มผปู้ ่วยนอกและผ้ปู ว่ ยในทกุ สาขา

6

1.6 สมรรถนะหลกั ขององค์กร (Core Competency)
Academic Collaboration

- สนบั สนนุ การเรียนการสอนกับคณะตา่ ง ๆ
- มกี ารทำวจิ ัย นวตั กรรมโดยความรว่ มมือกับองค์กรภายในและภายนอก

Digital Hospital
- พัฒนาการบริการของโรงพยาบาลในด้านเทคโนโลยี ดจิ ิตอล
- ทำแอปพลิเคชันเพอื่ การบรกิ าร

Supra-Tertiary Care Hospital
- ให้การรกั ษาพยาบาลผูป้ ว่ ยเฉพาะทางและซับซ้อนแบบองคร์ วม

1.7 นโยบาย
นโยบายการบริหารงานโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในเรื่องวิสัยทัศน์การบริหารงานนั้น มี

แนวคิดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 4.0 องค์กรแห่งอนาคตเพื่อประชาชน โดยแนวคิดนี้จะทำให้
โรงพยาบาลเปน็ องคก์ รท่ีให้การดแู ล รักษาพยาบาลแก่ประชาชนแบบทนั สมัย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเพื่อการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ ที่ใช้ความรู้
และนวัตกรรมในการพัฒนา (Digital Economy) นึกถึงประโยชน์ในการให้บริการ ดูแลรักษาประชาชนเป็นหลัก
ซ่ึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ไดน้ ำแนวความคิด “Think Transform” มาใช้ เพื่อเป็น
นโยบายในการกำกับดูแลทิศทางการพัฒนาโรงพยาบาล ปจั จบุ ันโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกียรติได้เจริญ
รดุ หนา้ อย่างมาก มีเป้าหมายทีจ่ ะเป็นโรงพยาบาลขนาด 800 เตียง เพื่อบริการประชาชน ไม่วา่ จะเปน็ เรื่องของโรค
ที่สลับซับซ้อนและดูแลยาก หรือในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค อีกทั้งการสร้างเครือข่ายการดูแล
ผู้ป่วยเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งเป้าหมายของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอีกอย่างหนึ่งคือ โรงพยาบาล
สามารถทีจ่ ะมีองค์ความรู้ด้านการบริการสุขภาพเป็นของตัวเอง

นโยบายระยะสัน้ (1-2 ปี)
สำหรับแนวนโยบายในช่วงระยะ 1-2 ปีนี้ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มุ่งเน้นพัฒนา
โรงพยาบาลต่อไป โดยการเปิดขยายเตียงผู้ป่วยในให้เต็มศักยภาพ ถือว่าเป็นภารกิจเร่งด่วน เนื่องจากทาง
โรงพยาบาลกำลังก่อสร้างและพัฒนาพื้นที่ภายในหลายจุด แต่ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ ที่เหลืออยู่ในการรองรับ การ
ขยายเตียงผู้ป่วยจากประมาณ 650 เตียงสู่ 800 เตียง ซึ่งจะต้องพัฒนาเต็มศักยภาพตามพื้นที่ของโรงพยาบาล
เพราะฉะนั้นในเรื่องของการดูแลบุคลากร การสรรหาพยาบาล หรือแม้กระทั่งในส่วนของสวัสดิการต่างๆ
โรงพยาบาลจะขยับขยายดูแลเพ่ือรองรบั การขยายเตรยี มเขา้ สู่โรงพยาบาล ขนาด 800 เตียง นอกจากนี้ในปัจจุบัน
ทางการแพทยม์ ีระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะและโรคท่ีมีความซับซ้อนและหลากหลาย ดงั นนั้ การพัฒนาเพ่ือ
ก้าวให้ทันโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการนำเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ต่างๆ มาช่วย ก็มีความจำเป็นในการ

7

พัฒนาโรงพยาบาล ส่วนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาล โดยเฉพาะในปัจจุบัน โรงพยาบาลจะเป็น
โรงพยาบาล 4.0 การนำระบบสารสนเทศมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อที่จะพัฒนาในส่วนของการให้บริการคนไข้
การศึกษาวิจัยและการพัฒนาต่างๆ คงจะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนเรื่องของ
สารสนเทศที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างหนึ่ง และท้ายที่สุดสำหรับนโยบายระยะสั้น คือ เรื่องการดูแล
บคุ ลากร เช่น สภาพแวดล้อมในการทำงานหรืออาชีวอนามัยซ่ึงมีผลต่อความเป็นอยู่ และความปลอดภัยของผู้ท่ีมา
ดูแลรักษาในโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายระยะเร่งด่วน ซึ่งทางโรงพยาบาลกำลังเร่งทำ โดยจะปรับให้เสรจ็
สนิ้ ภายใน 1-2 ปหี ลังจากนี้

นโยบายระยะยาว (3-5 ป)ี
โรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกยี รติมีความตอ้ งการท่ีจะขยายเตยี ง และการใหบ้ ริการทางการแพทย์
พร้อมเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อความยั่งยืนของโรงพยาบาล โดยมีนโยบายที่สำคัญ คือ การเสริมสร้างและรักษา
สภาพแวดล้อม นอกจากจะทำให้ประหยัดต้นทุน ยังทำให้สภาพแวดล้อมโดยรวมดีขึ้น เพื่อความยั่งยืนของ
โรงพยาบาลผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้นำหลักของการประหยัดพลังงานในเรื่องของการขอรับรอง Thailand
Energy Awards เพื่อนำมาปรับใช้ในโรงพยาบาลไม่ใช่เพื่อรางวัลเพียงอย่างเดียว ทำเพ่ือให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่น เรอื่ งการปรับพฤติกรรมหรือทัศนคติของบุคลากรให้หันมาเข้าใจและชว่ ยกันประหยดั พลังงาน ผู้ป่วยและญาติ
อาจจะมองเห็นประโยชน์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม จนสามารถนำกลับไปประยุกต์ใช้กับตนเองได้หลังจาก
สิ้นสุดการรักษาจากโรงพยาบาล ซึ่งทำให้ประเทศชาติโดยรวมไดผ้ ลประโยชน์ในท่ีสุดอีกด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ
กับสงิ่ แวดลอ้ ม คอื การทโ่ี รงพยาบาลปรับการดแู ลรักษาเพ่ือเปน็ ตน้ แบบในการที่จะสรา้ งเครือขา่ ยและวธิ กี าร ดูแล
รักษาใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยผู้อำนวยการได้สนับสนุนโครงการบริการที่มีความเป็นเลิศ หรือ
Excellence Center ซึ่งในปัจจุบันในโรงพยาบาลมีอยู่ 5 ศูนย์ คือ ศูนย์ความเป็นเลิศโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรค
ระบบหายใจ ศนู ยค์ วามเปน็ เลศิ โรคหวั ใจและหลอดเลือด ศนู ย์ความเป็นเลศิ เทา้ เบาหวาน ศูนยค์ วามเปน็ เลิศจอตา
ศูนย์ความเป็นเลิศโรคหลอดเลือดสมอง ซงึ่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะสนับสนนุ ในส่วนของศูนย์ความเป็นเลิศเป็น
พันธกิจหลักของโรงพยาบาลอันหนึ่งให้ได้อย่างน้อยปีละ 1 ศูนย์ เพื่อที่จะเสริมสร้างเครือข่ายและสามารถพัฒนา
ทั้งนวัตกรรมการดูแลรักษาหรือในสว่ นของการพัฒนาต้นแบบการดแู ล รกั ษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ใน
ส่วนการเสริมสร้างและการดูแลสขุ ภาพของประชาชน โดยท่วั ไปเปน็ ภารกิจหลกั อกี อย่างหนึ่งเพอ่ื ลดการดูแลรักษา
หลักในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ฉะนั้นการเสริมสร้างสุขภาพควบคู่ไปกับการดูแลรักษา
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น การสนับสนุนให้ประชาชนออกกำลังกาย การสนับสนุนในเร่ืองของอาหารที่มี
ประโยชน์ หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนตั้งแต่วัยแรกเร่ิมของชีวิตในเรื่องของนมแม่ ก็จะเป็นประโยชน์ในภาพรวม
ของประชาชนโดยท่วั ไป ซงึ่ ทางโรงพยาบาลถอื ว่าเปน็ นโยบายที่สำคัญ

8

1.8 วิสัยทัศน์
“THU 4.0 Organization of the future for all โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 4.0 มุ่งสู่องค์กรแห่งอนาคต

เพื่อประชาชน” โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนให้มีความเป็นเลิศในด้านบริการสุขภาพ ด้าน
บรหิ าร และด้านวชิ าการสามารถเป็นทีพ่ งึ่ ของบุคลากร ประชาชนและสังคม ดงั น้ี

Digital Service คอื การนำเครอื่ งมอื อปุ กรณห์ รือเทคโนโลยีดิจทิ ัลทีม่ ีอยใู่ นปจั จุบนั มาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์
ในการทำงานภายในองค์กร โดยนำเข้ามาช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดระยะเวลาการทำงาน ใช้ใน
การสื่อสารข้อมูล และการนำมาใช้กับผู้รบั บริการที่สามารถช่วยในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ลดระยะเวลา
รอคอย ใชส้ ่ือสารกบั ผู้รบั บรกิ าร เป็นต้น

Innovation คือ สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและ
สังคม รวมถึงสิ่งที่เกิดข้ึนจากความสามารถในการใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะ และประสบการณ์ทาง
เทคโนโลยีหรือการจัดการมาพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต บริการใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการ
ของตลาด ตลอดจนการปรบั ปรุงเทคโนโลยี การแพร่กระจายเทคโนโลยี การออกแบบผลิตภณั ฑ์ และการฝึกอบรม
ที่นำมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะในรูปแบบของการเกิดธุรกิจ การลงทุน
ผู้ประกอบการ หรอื ตลาดใหม่หรือรายได้แหลง่ ใหม่ รวมทงั้ การจ้างงานใหม่ (สำนกั งานนวตั กรรมแหง่ ชาติ, 2547)

1.9 พันธกิจ
- ให้บริการที่เป็นเลิศด้านการรักษาพยาบาล การฟื้นฟู การป้องกันโรค และการสร้างเสริมสุขภาพแก่
ประชาชน
- สนับสนุนและการมีส่วนร่วมกับคณะต่าง ๆ ให้เกิดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตบัณฑิตที่มี
คุณภาพสู่สงั คม
- เปน็ องค์กรทางวชิ าการท่สี นบั สนนุ ชีน้ ำสังคมและชุมชน
- สร้างและสนับสนุนงานวิจยั และนวัตกรรมที่ทรงคณุ ค่านำส่กู ารปฏบิ ัตเิ พอื่ ประชาชน

1.10 แนวทางการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล
SPEC Innovation Platform เป็นการนำมุมมองใหม่หรือนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพ

โรงพยาบาล เป็นนวัตกรรมด้านการพัฒนากระบวนการพัฒนาคุณภาพที่เชื่อมโยงหรือบูรณาการแนวทางการ
พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเขา้ ด้วยกัน 4 ด้าน ไดแ้ ก่

9

S = Safety ด้านความปลอดภัย
Hand hygiene (การล้างมือ) การล้างมือเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก องค์การอนามัยโลกระบุว่ามี
เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ล้างมือตามแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งการติดเชื้อในโรงพยาบาลส่วนใหญ่
สามารถป้องกันได้ หากบุคลากรทางการแพทย์ล้างมือด้วยวิธีที่ถูกต้องตามข้อบ่งชี้ทันเวลา หนึ่งในองค์ประกอบ
เรอ่ื งการป้องกนั การติดเชอื้ จากการรักษาพยาบาล คอื การทำความสะอาดมอื ซ่ึงโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ตระหนัก
ถงึ ความปลอดภยั จากการติดเชอื้ ในโรงพยาบาล ทัง้ จากบคุ ลากรสผู่ ู้ป่วย และจากบุคลากรส่บู คุ ลากร
Medication Reconciliation (การทบทวนรายการยา) การทำ Medication Reconciliation เปน็ อีก
หน่งึ มาตรการที่เพ่ิมความปลอดภัยของระบบยาในการป้องกันการเกิดความคลาดเคล่ือนทางยา โดยมีการทบทวน
บญั ชีรายการยาที่ผปู้ ว่ ยไดร้ ับอยา่ งครบถว้ น ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทั้งระบุข้อมูลขนาดยา ความถี่ วธิ ีใช้ และวิธีการให้ยาให้
เป็นปัจจุบันที่สุด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสั่งยาของแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วย
ไดร้ บั ยาอย่างตอ่ เน่อื งและเหมาะสม
Patient Identification (การระบุตัวผู้ป่วย) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
พัฒนากระบวนการระบุตัวผู้ป่วย เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและพัฒนาแนวทางแก้ไขในการลดความคลาดเคลื่อนของ
การระบุตัวผู้ป่วย ซึ่งพบว่าผลลัพธ์อัตราการระบุตัวผู้ป่วยคลาดเคลื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณาการ
การทำงานของหน่วยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ ง จดั ทำแนวทางปฏบิ ตั ิการระบตุ วั ผ้ปู ่วย

P = Process ด้านกระบวนการ
Lean (แนวคิดการลดขั้นตอนที่สูญเปล่า) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์มีนโยบายนำเครื่องมือ Lean มา
ประยุกต์ใช้ในงานบริการสุขภาพ เพื่อลดขั้นตอนที่สูญเปล่าและเพิ่มคุณค่าให้แก่ขั้นตอนที่มีทำให้เกิดการไหลของ
กระบวนการอยา่ งตอ่ เนื่องและรวดเร็ว เพอ่ื ตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจใหแ้ ก่ผู้รับบรกิ าร

10

Standard Operating Procedure : SOP (มาตรฐานการปฏิบตั ิงาน) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์มีการ
จัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานในทุกกระบวนการสำคัญ เพื่อให้บุคลากรในหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่าง
ถูกตอ้ ง เป็นไปในแนวทางเดียวกันและสามารถนำไปปฏบิ ตั งิ านได้จริง

OKRs (เครื่องมือบริหารจัดการองค์กรอย่างมียุทธศาสตร์) ปัจจุบันโรงพยาบาลธรรมศาสตร์นำแนวคดิ
Objective and Key Results (OKRs) มาจัดการองค์กรผ่านการวัดผล ที่สามารถทำให้ยุทธศาสตร์ขององค์กร
ได้รับการถ่ายทอดลงสู่ระดับฝ่าย หน่วยงาน จนถึงระดับปฏิบัติการ โดยมีเป้าหมายที่สอดคล้อง เชื่อมโยงและ
เป็นไปในทิศทางเดยี วกัน

Digital Service (ระบบริการดิจิทัล) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ส่งเสริมและสนับสนุนการนำนวัตกรรม
บรกิ ารดจิ ิทัลเข้ามาปรับเปล่ยี นรูปแบบการบริการใหม่ ๆ เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งคณุ ภาพท่ีมีความทันสมัย เป็นเลิศ
ในด้านการบริการสุขภาพ ด้านการบริหาร และด้านวิชาการ ซึ่งในปี 2562 จะ มุ่งเน้น Digital Service ในทุก
ระบบงานเพ่อื ผลกั ดันให้โรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกยี รติเป็น Digital Hospital อย่างเตม็ ตัวในอนาคต

E = Efficiency ด้านความคุ้มค่า
Logistics (ระบบการจัดการการขนส่งในระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ) โรงพยาบาล
ธรรมศาสตร์ เริ่มนำระบบโลจิสติกส์เข้ามาดำเนินการในปี 2560 เพื่อพัฒนาระบบการขนส่งการบริการสุขภาพท่ี
ม่งุ เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วย และการลดตน้ ทนุ ของโรงพยาบาลด้วยการลดค่าใช้จา่ ย ลดระยะเวลาในการขนส่ง
ลดปัญหาตา่ งๆ โดยใช้ตน้ ทนุ นอ้ ยทส่ี ุด
Utilization Management (UM) (การบริหารทรัพยากรสุขภาพ) การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการ
บรหิ ารจดั การทรัพยากรของโรงพยาบาล อาจพบไดจ้ ากการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ทไ่ี ม่คุม้ คา่ เช่น การรักษาที่
ไมจ่ ำเปน็ หรือไม่มขี ้อบ่งชี้การส่งตรวจเพื่อการวินิจฉัยทไ่ี ม่จำเป็นหรอื มีราคาแพง ระยะเวลานอนโรงพยาบาลท่ีนาน
กวา่ ปกติ การใชย้ าราคาแพง ซ่ึงอาจส่งผลกระทบตอ่ ระบบบริการด้านสขุ ภาพ โรงพยาบาลจึงได้นำหลกั การบริหาร
ทรัพยากรสขุ ภาพอย่างมีประสทิ ธิภาพเขา้ มาดำเนนิ งาน โดยมงุ่ เนน้ ใหก้ ารบริการสุขภาพของโรงพยาบาลมีคุณภาพ
เหมาะสม และเป็นธรรมภายใต้การบริหารจดั การทรพั ยากรทีม่ ีอยอู่ ย่างจำกัด
Smart Record (การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบันทึก) มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ
Smart Record for Excellence Service ได้พัฒนาระบบการลงรหสั โรค และรหสั ผ่าตดั /หตั ถการของโรงพยาบาล
ให้ถูกตอ้ ง ครบถว้ น สมบูรณ์ ดว้ ยการพัฒนาความรขู้ องทีมผู้ใหร้ หัสโรค (Coder) การติดตามแฟ้มเวชระเบียน จาก
การสรุปของแพทย์ได้ภายในเวลาทีก่ ำหนดทำให้การคำนวณคา่ CMI ค่า Adj RW ถูกต้อง การบันทึกหัตถการหรอื
การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ครบถ้วนมากขึ้น ทำให้เรียกเก็บเงินกับหน่วยงานที่ผู้รับบริการใช้สิทธิได้มากขึ้น เพ่ือ
ตอบสนองต่อเป้าหมายการสรา้ งระบบการเงนิ การคลงั ทม่ี ่นั คงและมปี ระสิทธภิ าพของโรงพยาบาล

11

C = Clinical Quality ด้านคณุ ภาพทางคลนิ ิก
Preventable Death (การเสียชวี ิตแบบปอ้ งกนั ได้) การทบทวนกระบวนการดูแลรักษาในกลุ่มผู้ป่วยที่
เสยี ชีวิต โดยนำ Trigger Tools มาเป็นเครือ่ งมอื คัดกรองเวชระเบยี นเพ่อื หาโอกาสการเกดิ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
(Adverse Event) มุ่งเน้นเรียนรู้ลักษณะการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงระบบในกลุ่มท่ี
ป้องกันได้
Disease Specific Certification (DSC) (การรับรองเฉพาะโรค) โรงพยาบาลมุ่งเน้นการรับรอง
มาตรฐานเฉพาะโรคหรือระบบ ซึ่งแสดงถึงระบบงานหรือระบบการดูแลผู้ป่วยเฉพาะเรื่องที่มีความโดดเด่น ทั้งใน
ส่วนกระบวนการและผลลัพธ์ เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นแบบอย่างสำหรับสถานพยาบาลอื่น ๆ โดยเริ่มจากศูนย์
ความเป็นเลศิ ด้านการรักษาของโรงพยาบาลทั้ง 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลศิ โรคหลอดเลือดสมอง ศูนย์ความ-
เป็นเลิศเท้าเบาหวาน ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบหายใจ ศูนย์หัวใจธรรมศาสตร์
และศูนย์จอตา
Innovation(นวัตกรรม) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์มีเป้าหมายในการสร้างระบบบริการ และการ
รกั ษาพยาบาลท่ลี ้ำสมัย จงึ มุ่งเน้นการพฒั นานวัตกรรมการรกั ษาดว้ ยเทคโนโลยีทลี่ ้ำสมยั ดว้ ยการนำเอานวัตกรรม
ใหม่ๆ เข้ามาช่วยพัฒนาการดูแลรักษาให้เกิดผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น นวัตกรรม Deep Eye
Application ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับตรวจป้องกันตาบอดในผู้สูงอายุและโรคเบาหวานขึ้นตาด้วยโปรแกรมใน
โทรศัพท์มอื ถอื อปุ กรณช์ ว่ ยพ่นยา รกั ษาหอบหืด

ทั้งหมดนี้เรียกว่า SPEC โดยมีเป้าหมาย คือ การพัฒนาระบบรองรับสนับสนุน การสร้างงานวิจัยและ
นวัตกรรม การสร้างระบบสิ่งแวดล้อมเพ่ือความยั่งยืน และการพัฒนาคณุ ภาพสูค่ วามเป็นเลิศหนว่ ยงานและทมี นำ
ในโรงพยาบาลสามารถพัฒนาต่อยอดงาน โดยมีการออกแบบและพัฒนากระบวนการ คุณภาพแบบใหม่ มีการ
กำหนดเป้าหมายรว่ มกิจกรรมและตัวช้ีวัดที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพ โรงพยาบาลทั้ง 4 ด้าน ทั้งนี้
การเชอื่ มโยงและบรู ณาการของการพัฒนาจะนำไปสู่การพฒั นาการดูแลรักษาใหเ้ กดิ ผลลพั ธ์ทางคลินิกท่ดี ีขึ้น

SPEC Innovation Platform มีเป้าหมายเพื่อให้บุคลากรเกิดรว่ มมือกันในการพัฒนาคุณภาพการบริการ
และการดูแลผู้ป่วยทางคลินิก โดยนำแนวทางการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลทุกด้านดังกล่าวไป เชื่อมโยงในการ
พัฒนางาน มุ่งเน้นการตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย การนำหลักคิดของ Think Transform มาใช้ในการ
ออกแบบ และพัฒนากระบวนการทำงานสำคัญ เพอ่ื สง่ มอบคุณภาพบริการสุขภาพที่มีคุณค่า น่าไวว้ างใจ ทันเวลา
มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ป่วยและผู้รับผลงานอื่นๆ SPEC Innovation Platform จะทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนการ
พัฒนาคณุ ภาพใหผ้ ลสำเรจ็ ขยายตวั ออกไปครอบคลุมท้ังโรงพยาบาล สง่ ผลให้โรงพยาบาลประสบความสำเร็จตาม
เป้าหมายทกี่ ำหนดไว้ และเกิดความยั่งยืนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล

12

1.11 เป้าหมายโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกยี รติ

- ปี 2566 JCI (Joint Commission International)
TREES (Thai's Rating of Platinum)
TREES (Thai's Rating of Energy and Environmental Sustainability)

- ปี 2565 TEA (Thailand Energy Award)
- ปี 2564 AHA (Advanced HA)
- ปี 2563 DSC (Disease Specific Certification)

1.12 ระเบยี บปฏบิ ตั ิ
วฒั นธรรมองค์กร (Corporate Culture) : รพธ. รัก พัฒนา ธรรมาภิบาล

- รกั ความรู้สกึ ในเชิงบวกท่มี ตี อ่ ประชาชน ผ้ปู ่วย วชิ าชีพ องค์กร ครอบครวั และตนเอง
- พัฒนา พัฒนาการเปลย่ี นแปลงในทางทด่ี ีขนึ้ อยา่ งตอ่ เน่ือง
- ธรรมาภบิ าล ยตุ ิธรรม โปรง่ ใส และมีหลกั ธรรม ซ่ือสัตย์ ไมร่ บั สินบน รบั ผิดชอบ ตรงตอ่ เวลา

ใส่ใจบริการ ยมิ้ สบตา ทักทาย และ ขอบคุณ

1.13 ค่านยิ ม (Core Values) : Think “TRANSFROM”
T Thammasat : เราจะยึดมั่นในจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ “การสร้างสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมใน

สังคม”
R Research and Innovation : เราจะสนับสนุนการสร้างงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อนำองค์กร

เปลี่ยนแปลงส่คู วามเป็นเลศิ
A Accreditation : เราจะม่งุ มนั่ การรับรองคณุ ภาพ สมู่ าตรฐานความเป็นเลิศ
N Nature : เราจะพิทักษ์รักษาสิง่ แวดลอ้ ม เพอื่ สง่ เสริมการรักษาและร่วมรบั ผิดชอบต่อสังคม
S Skills : เราจะหมนั่ ใฝห่ าความรูแ้ ละพฒั นาทักษะการทำงาน เพื่อส่งมอบคณุ คา่ ท่ีดสี ูผ่ ู้ป่วย
F Financial Sustainability : เราจะร่วมสร้างเสถยี รภาพดา้ นการเงินเพอื่ ความอยรู่ อดขององคก์ ร
Or Organization of the Future : เราจะเป็นส่วนหน่ึงของความสำเร็จในการก้าวสอู่ งค์กรแหง่ อนาคต
M Moral Hospital : เราจะประพฤตติ นตามหลกั คณุ ธรรมเพอื่ ความสุขในองค์กร

13

1.14 อตั ลกั ษณค์ ุณธรรม
ซ่ือสัตย์ รับผิดชอบ ใส่ใจบริการ
ซือ่ สัตย์ : ไมร่ บั สนิ บน
รับผิดชอบ : ตรงต่อเวลา
ใส่ใจบริการ : ย้ิม สบตา ทักทาย และขอบคณุ

1.15 ประเด็นยทุ ธศาสตร์

ประเด็นยทุ ธศาสตร์ที่ 1 : สรา้ งระบบ บรกิ ารและ ประเด็นยุทธศาสตรท์ ่ี 2 : สรา้ งระบบ บรหิ ารท่ีมี

การรกั ษาพยาบาลทล่ี ้ำสมยั ประสทิ ธภิ าพ

- เป้าประสงค์ที่ 1 : พัฒนาศนู ย์ความเป็น - เปา้ ประสงค์ที่ 1 : พฒั นาบคุ ลากรสู่
เลศิ ดา้ นการรักษา ความเป็นเลศิ

- เปา้ ประสงค์ท่ี 2 : พฒั นาระบบบรกิ ารท่ี ล้ำ - เป้าประสงค์ท่ี 2 : สร้างระบบการเงิน
สมยั การคลังที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ

- เปา้ ประสงค์ท่ี 3 : ปรบั ประสบการณ์ การใช้ - เปา้ ประสงค์ท่ี 3 : บริหารจัดการคลงั
บริการโดยใชเ้ ทคโนโลยแี ละล้ำสมัย และโลจิสติกส์สมยั ใหม่

ประเดน็ ยุทธศาสตร์ท่ี 3 : สร้างระบบ พัฒนา ประเด็นยุทธศาสตรท์ ่ี 4 : มุง่ สู่องคก์ ร แห่ง
คณุ ภาพเพื่อความยงั่ ยนื อนาคต

- เป้าประสงค์ท่ี 1 : พฒั นาระบบรองรบั - เป้าประสงค์ท่ี 1 : พัฒนาระบบ
สนบั สนุนการสรา้ งงานวิจัยและนวตั กรรม เทคโนโลยสี ารสนเทศทีท่ ันสมัย
นวตั กรรม
- เป้าประสงค์ท่ี 2 : สรา้ งระบบ ส่ิงแวดลอ้ ม
เพอื่ ความยงั่ ยนื - เป้าประสงค์ท่ี 2 : เปน็ องค์กรแห่ง
วิชาการ สรา้ งองค์ความรู้เพื่อชน้ี ำสังคม
- เปา้ ประสงค์ท่ี 3 : พฒั นาคุณภาพสู่ ความ
เปน็ เลิศ - เปา้ ประสงค์ที่ 3: สนบั สนุนการสรา้ ง
เครือข่าย

14

1.16 โครงสร้างการบริหารงานโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกยี รติ

แผนภาพที่ 1.1 โครงสร้างการบริหารงานโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลิมพระเกียรติ (1 กนั ยายน 2560 - ปัจจบุ ัน)

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติเป็นโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจยั และ
นวัตกรรม จากแผนภาพเห็นได้ว่าโครงสร้างการบริหารงานของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ อยู่ในสังกัดของ
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ มีบทบาทหน้าท่ตี ามขอบเขตเนื้องานในองคก์ รอยา่ งชดั เจน

1.17 การวิเคราะห์หนว่ ยงานโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์โดยใช้แนวคิด SWOT (SWOT Analysis)
การวิเคราะห์ SWOT นั้นย่อมาจากจากตัวอักษรของ 4 คำ คือ Strengths จุดแข็ง , Weaknesses

จุดอ่อน , Opportunities โอกาส , Threats อุปสรรค ซ่ึงเป็นปัจจยั ทง้ั 4 ปจั จัยท่ีมคี วามสำคัญ โดยแนวคดิ SWOT
แบ่งออกเป็นปัจจัยภายใน (Internal factors) และปัจจัยภายนอก (External factors) ซึ่งนำกระบวนการ
วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในขององค์กร ทำให้องค์กรสามารถที่จะกำหนดจุดแข็งและจดุ อ่อนจาก
สภาพแวดลอ้ มภายใน และโอกาส อปุ สรรคจากสภาพแวดล้อมภายนอก ท่ีมีผลตอ่ องค์กรเพ่ือกำหนดเป็นกลยุทธ์ท่ี
เหมาะสมในการดำเนินงานขององค์กรต่อไป

โดยนำมาวิเคราะห์หนว่ ยงานโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ดงั ต่อไปนี้

15

ปจั จัยภายใน (Internal factors)
S : Strengths (จุดแข็ง) โดยการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นั้นมีความพร้อมทั้งระบบการ
จัดการและโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบไอที การจัดการห้องพัก จนถึงการรักษาที่คลอบคลุมทั้งร่างกาย
และจิตใจ และการจัดแบ่งหน้าที่ของบุคลากรในโรงพยาบาลที่ทำให้มีความพร้อมที่จะดูแลผู้ป่วย นอกจากนี้การ
ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่นักสังคมสงเคราะห์มีความพร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือ
ผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยที่มาเข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นัน้ ได้ทำแบบประเมินตนเองซึ่งเป็นแบบ
ประเมินปัญหาสังคม โดยหากผู้ป่วยมีเกณฑ์ที่ประสบปัญหาในระดับมากนักสังคมสงเคราะห์จะให้ความชว่ ยเหลอื
ในปัญหาน้ันๆ และทางโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์มีโครงการจิตอาสาให้กำลงั ใจต้านภัยโควิด ซ่ึงเป็นโครงการที่
ให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ทำการรักษาตัวหายนั้น มาเป็นจิตอาสาให้กำลังใจผู้ป่วยที่กำลังทำการรักษาโควิด -19 ท่ี
โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ และเดินทางไปให้กำลังใจผูป้ ว่ ยโควิด-19 ทโี่ รงพยาบาลใกล้เคียง
W: Weaknesses (จุดอ่อน) โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์มีอุปกรณท์ ี่ครบครันและทันสมัยที่ครอบคลุมต่อการ
รักษาผู้ป่วย ซึ่งทำให้การรักษานั้นมีราคาสงู ทำให้ผู้ปว่ ยบางกรณีไม่มีเงินเพียงพอต่อการทำการรักษา และสถานที่
การตรวจเช้ือโควิด-19 จากการสมั ภาษณผ์ ูท้ ไี่ ปทำการตรวจน้นั พบว่า สถานท่ีตรวจเชือ้ ไมม่ ีความปลอดภัยสำหรับผู้
รอผลติดเช้อื และหลังการรักษาตวั ก่อนที่ผู้ปว่ ยจะเดินทางออกจากโรงพยาบาลน้นั ทางโรงพยาบาลไมม่ ีการ X-ray
ปอด หรือเป็นการ X-ray ปอดแบบมีค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความกังวลใจเนื่องจากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว
นอกจากน้ีปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เป็นปัญหาต่อการรักษาเนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์มีความ
เสี่ยงที่จะติดเชื้อในระหว่างที่ทำการรักษา ทำให้โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นั้นอาจมีบุคลากรทางการแพทย์ที่
ไม่เพียงต่อผ้ปู ่วย และจากการแพร่ระบาดโควดิ -19 ที่ปจั จุบนั ประชากรมอี ตั ราการตดิ เชื้อจำนวนมากทำให้อุปกรณ์
ปอ้ งกนั มีจำนวนไม่เพยี งตอ่ บุคลากรทางการแพทย์ และจำนวนหอ้ งต่อการกักตัวของผูป้ ว่ ยไมเ่ พยี งพอ

ปจั จยั ภายนอก (External factors)
O : Opportunities (โอกาส) จากการที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นั้นได้มีโครงการจิตอาสาให้กำลังใจต้าน
ภัยโควิด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาเป็นจิตอาสาให้กำลังใจผู้ป่วยที่ทำการรักษาตัว ทำให้เปิดโอกาส
ต่อผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อ เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่สังคมเลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้ป่วย ซึ่งโครงการนี้ถือ
โครงการที่ดีทก่ี ลุม่ จติ อาสาสามารถท่จี ะให้ความรู้แกผ่ ู้ป่วยและนำไปเผยแพร่ในชุมชนเพ่ือใหส้ ังคมไดเ้ ขา้ ใจเกี่ยวกับ
โรคโควิด-19มากขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงาน
เครือข่ายต่างๆที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยที่ประสบปัญหามากขึ้น นอกจากนี้ปัญหาจำนวนเตียงที่ไม่เพีย งพอต่อ
ผู้ป่วยทำให้ต้องมีข้อจำกดั ในการรกั ษา จึงต้องทำการรักษาแบบ Home Isolation หรือกักตัวท่ีบ้าน โดยแบ่งกลุ่ม
ผู้ป่วยเป็นกลุ่มสีเขียว สีเหลือง สีแดง เพื่อลดปัญหาเตียงผูป้ ่วยไม่เพียงพอ โดย Home Isolation ถือว่าเป็นอีกวิธี
หนึ่งที่สามารถให้ผูป้ ่วยที่อยู่ในกลุ่มสีเขียวหรอื แสดงอาการเพียงเล็กน้อยสามารถทำการรักษาตัวเองไดท้ ี่บ้าน โดย
ทางโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์จะทำการส่งยาและอุปกรณ์เพื่อเช็คร่างกายเบื้องต้นไปยังที่บ้านผู้ป่วยเพื่อให้

16

ผู้ป่วยสามารถทีจ่ ะดแู ลตนเองได้ ซึ่ง Home Isolation นั้นถือว่าเป็นโอกาสท่ีจะสามารถให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการ
รกั ษาอาการของตนเองเบ้อื งตน้ ทำให้ประชาชนในสังคมเข้าใจในการดูแลรักษาตนเองได้เบ้ืองตน้
T : Threats (อุปสรรค) การแพรร่ ะบาดโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายมากขึ้น และประกอบกับบุคลากรทางการ
แพทย์และประชากรที่ไม่ได้รับวัคซีนที่มปี ระสิทธภิ าพทีจ่ ะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโควดิ -19 ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมาก
ขน้ึ ซ่ึงทำให้บคุ ลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อการรักษาผู้ปว่ ย หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์การป้องกัน
ที่อาจไม่เพียงพอต่อจำนวนบุคลากรในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ปัจจุบันโรงพยาบาลสนาม
ธรรมศาสตร์มีปญั หาจำนวนเตยี งผูป้ ่วยทไ่ี มเ่ พยี งพอต่อจำนวนผ้ปู ว่ ยทำให้การรักษาผปู้ ว่ ยโควิด-19 จึงเกิดข้อจำกัด
ทำการรกั ษามากขน้ึ

17

บทที่ 2
การปฏิบตั ิงานสงั คมสงเคราะห์
2.1 นโยบาย ยทุ ธศาสตร์
การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีระบบการทำงานเพื่อพัฒนา
คณุ ภาพ ในการให้บริการผา่ นทางงานวิจัยและสร้างนวตั กรรม เพอ่ื พัฒนาระบบบรกิ ารสังคมสงเคราะห์ท่ีมีคุณภาพ
เป็นศูนย์กลางให้การสนับสนุนบริการโรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ ที่มีการใช้ทรัพยากรและ
เทคโนโลยีอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ในสภาวะปกติ สภาวะฉุกเฉนิ และภาวะภัยพบิ ัติ

2.2 แผนงานการพฒั นาคุณภาพโรงพยาบาล
การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีการใช้แผนงาน SPEC

Concept เช่นเดียวกับกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อรองรับเป้าหมายเดียวกัน คือการเป็น
องค์กรแห่งคุณภาพ ที่มีความทันสมัย โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนให้มีความเป็นเลิศ ใน
ด้านบริการ สขุ ภาพ ดา้ นบริหาร และด้านวิชาการ สามารถเป็นทพี่ ง่ึ ของบคุ ลากร ประชาชน และสังคมได้ โดยมจี ุด
มงุ่ เน้น ดังนี้
S – Safety
Hand hygiene : นักสังคมสงเคราะห์พึงล้างมอื ทุกครัง้ ก่อนและหลังจากเข้าสัมภาษณ์ผ้ปู ่วยทีห่ อผูป้ ว่ ย
Patient Identification: นกั สงั คมสงเคราะห์พงึ สมั ภาษณ์ญาติ/ผู้ป่วย โดยตรวจสอบชือ่ สกลุ ให้ถกู ตอ้ งตรงกันเสมอ
P – Process ดา้ นกระบวนการ
Lean/SOP: นกั สงั คมสงเคราะหม์ คี มู่ อื ในการปฏิบตั งิ าน
E – Efficiency ดา้ นความคุม้ ค่า
Utilization Management: นักสังคมสงเคราะห์มีส่วนร่วมในการประเมินศักยภาพของครอบครัว สร้างความ
สมเหตุสมผลในการรกั ษา
C – Clinical Quality ด้านคุณภาพทางคลนิ ิก
Disease Specific: นกั สังคมสงเคราะห์มสี ่วนรว่ มในการดูแลผ้ปู ่วยเร้อื รังอย่างเปน็ องค์รวม

2.3 จุดมงุ่ หมาย
ฝา่ ยงานสงั คมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มจี ุดม่งุ หมายในการใหบ้ ริการผ้ปู ว่ ยท่ีมี

ปัญหาทางร่างกาย และจติ ใจ อารมณ์ สังคม รวมถงึ ผูด้ ้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ใหไ้ ดร้ ับการชว่ ยเหลือ ได้รับสวัสดิการ
และการคุ้มครองพิทกั ษ์สิทธิที่รัฐกำหนดให้ ส่งเสริมให้เกิดคุณภาพชีวิต มุ่งจัดบริการด้วยความเสมอภาคเทา่ เทยี ม

18

เคารพศกั ดิศ์ รคี วามเปน็ มนุษย์รวมถงึ การเป็นแหล่งฝึกภาคปฏบิ ตั ิงานด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมของ
นักศึกษา พฒั นาคณุ ภาพบรกิ ารผ่านงานวิจัยและสรา้ งนวัตกรรม

2.4 ขอบเขตการใหบ้ ริการ
ฝ่ายปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีขอบเขตการให้บริการด้าน

สังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมท่ีมีคณุ ภาพแก่ผู้ป่วย และครอบครัว เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาคณุ ภาพชีวติ
โดยมีขอบเขต ดังนี้

1. นักสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู พิทักษ์ และส่งเสริม
การเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสุขภาพและด้านอื่นๆ อย่างเหมาะสม โดยจัดบริการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ การให้
คำปรึกษาแนะนำ การติดตามญาติ การส่งข่าวญาติ การเยี่ยมบ้าน การส่งต่อผู้ป่วยให้ดำเนินการใช้บริการ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประสานงานภายในและภายนอกโรงพยาบาล การสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล การ
สงเคราะห์คา่ พาหนะ/ค่าครองชพี การสงเคราะห์เครอื่ งอปุ โภค/บรโิ ภค รวมทงั้ บริการดา้ นสวัสดกิ ารสังคมอน่ื ๆ ที่มี
คณุ ภาพ

เป้าประสงค์ เพื่อให้ผู้ใช้บริการในหน่วยงาน องค์กรสวัสดิการสังคม ได้รับบริการจัดบริการที่มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานวิชาชพี ทัง้ การสนับสนนุ ดา้ นการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลเพ่ือผปู้ ว่ ยสามารถกลับสสู่ ังคมได้อย่างมี
คณุ ภาพ

2. เป็นแหล่งเรียนรู้ การบริการวิชาการและการสนับสนุนการศึกษาวิจัย ด้านสังคมสงเคราะห์และ
สวัสดิการสังคมแก่หนว่ ยงานภายในมหาวทิ ยาลัย หน่วยงานภายนอก ประชาชน ชมุ ชนและสงั คม

เป้าประสงค์ เพื่อให้หน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายนอก ได้รับสนับสนุนและส่งเสริม
งานวิชาการสวัสดิการสังคมและงานวิจัย โดยการฝึกภาคปฏิบัติ ให้บริการความรู้ทางสังคมสงเคราะห์และ
สวสั ดิการสงั คม

3. บุคลากรในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ร่วมสนับสนุน ส่งเสริม การเป็นโรงพยาบาล
คุณภาพคู่คณุ ธรรม

เป้าประสงค์ ผู้ใช้บริการคณุ ภาพจากบุคลากรคณุ ธรรมของโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกียรติ

2.5 ขอบเขตการให้บรกิ ารช่วงสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา 2019
การใหบ้ ริการติดตามคุณภาพชีวติ ของผใู้ ชบ้ ริการทกี่ ำลังรบั การรักษาทีโ่ รงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์

หรือสิ้นสุดการรักษาจากโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ และกำลังเดินทางเข้ารับกักตัว 14 วัน ที่บ้านพักสุขใจ
จังหวัดปทุมธานี เพื่อประเมินปัญหาทางสังคมโรคอุบัติใหม่ และวางแผน ช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ประสบปัญหา
ทางดา้ นตา่ งๆ เชน่ ดา้ นสังคม ดา้ นเศรษฐกจิ เปน็ ต้น

19

การให้บริการฉีดวัคซีนนอกสถานที่ให้กับ บริษัท หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ โรงเรียน ฯลฯ โดยมีทีม
แพทย์และพยาบาลวิชาชีพ ตลอดจนจัดเตรียมรถพยาบาล สำรองหากเกิดเหตุฉุกเฉินนำส่งผู้ ใช้บริการส่ง
โรงพยาบาลในกรณีเกิดอาการขา้ งเคียงหลงั จากวคั ซีน

เป้าประสงค์
1. ผ้รู บั บริการได้รับความรู้ ความเข้าใจอย่างถกู ต้องตอ่ การฉีดวคั ซีน
2. ลดอัตราการเกดิ ความลา่ ชา้ ในการช่วยเหลอื กรณีผรู้ บั บริการมีอาการแพ้ หลังจากได้รบั วคั ซนี
3. การกลับมาใช้บรกิ ารซำ้ ทกี่ อ่ ให้เกิดการบอกต่อ
4. อัตราความพึงพอใจของผรู้ ับบริการรายบุคคล และหนว่ ยงาน

2.6 ลักษณะการใหบ้ ริการของหน่วยงานสงั คมสงเคราะห์
ลักษณะการให้บริการของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์นั้น เริ่มจากหน่วยงาน ชุมชน ส่งต่อผู้ใช้บริการท่ี

ประสบปัญหาทางสังคม เพ่ือติดตอ่ ใช้บริการนักสังคมสงเคราะห์ในหนว่ ยงานนั้น และเริ่มดำเนินงานการรับบริการ
สังคมคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการ โดยกระบวนการดังน้ี

1. การแสวงหาข้อเทจ็ จริง
2. การวิเคราะห์ปัญหา
3. การวางแผนให้การช่วยเหลอื
4. การชว่ ยเหลือ/สงเคราะห์
5. การตดิ ตามประเมนิ ผล

การให้บริการในข้างต้นในสถานการณ์ที่มกี ารแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโควิด – 19 นักสังคมสงเคราะห์จะ
ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ ประสานงานหน่วยงานภายนอกโรงพยาบาล เก็บข้อมูลสถิติ
บริการ และหน่วยงานสังคมสงเคราะหโ์ รงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ มีการปฏิบัติงานสงั คมสงเคราะห์
ทั้งในระดับจุลภาคที่มีวิธกี าร/กระบวนการปฏบิ ัติงานโดยตรงกับผู้ใช้บริการหรือครอบครัว มีการประสานงานและ
ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพอื่น ๆ เช่น การปฏิบัติงานในโครงการพิจารณาผลกระทบการตั้งครรภ์ทางการแพทย์
และ โครงการยุตติ ัง้ ครรภ์ CPU ท่ีมีคณะกรรมการจากหน่วยงานสงั คมสงเคราะห์ ร่วมประเมนิ

2.7 แนวคิด ทฤษฎีทป่ี ระยุกตใ์ ชใ้ นหน่วยงาน
จากการเรียนรู้และศึกษาการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

นน้ั นักศกึ ษาไดน้ ำ แนวคดิ ทฤษฎี และรปู แบบการปฏบิ ัตงิ านสังคมสงเคราะห์ ดงั นี้

20

2.7.1 แนวคิดสิทธมิ นุษยชน (Human right)
แนวคิดสิทธิมนุษยชน (Human right) หมายถึง แนวคิดเกี่ยวกับการคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานที่มนุษย์พึงจะ
ได้รับและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม โดยแนวคิดดังกล่าวคำนึงถึงความเป็นพลวัตและเคารพซึ่งความ
แตกต่างหลากหลายทางวฒั นธรรมโดยมงุ่ เน้นให้เกิดความเปน็ ธรรมโดยมากท่สี ุด
คำว่า “สิทธิมนุษยชน” มีการกำหนดความหมายไว้ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ.
2542 ไว้ว่า “สิทธิ” หมายถึงอำนาจอันชอบธรรมหรือการกระทำใดๆ ที่ย่อมเป็นอิสระ และได้รับการรับรองจาก
กฎหมาย โดยรวมแล้วคำว่า “สิทธิมนุษยชน” จึงหมายถึง สิทธิหรืออำนาจอันชอบทำที่พึงกระทำได้โดยชอบด้วย
กฎหมายโดยที่สิทธิหรือการกระทำนั้นจะต้องไม่ละเมิดหรือคุมคามสิทธิของผู้อื่น ตามปฏิญญาสากลว่าด้วย
มนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ไม่มีนิยามคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ไว้โดยเฉพาะเจาะจง
แต่เม่อื พิจารณาเนอื้ หาของปฏญิ ญาฯ ทำใหเ้ ห็นถงึ แนวความคิดพ้นื ฐานของสิทธมิ นุษยชน ไดแ้ ก่
(1) ความอิสระเสรี และมีศักด์ิศรแี ละสิทธเิ ทา่ เทียมกัน
(2) การปฏบิ ตั ิตอ่ กันอยา่ งฉนั พ่นี อ้ ง
(3) การมีสิทธิและเสรีภาพตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาฯ โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใด ๆ เช่น
เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใดชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน
กำเนิด หรอื สถานะอื่นใด
(4) การจำแนกข้อแตกต่างของแต่ละบุคคลโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมือง ทางการศาล หรือ
ทางการระหวา่ งประเทศของประเทศหรอื ดนิ แดนซงึ่ บคุ คล สงั กัดจะกระทำมไิ ด้

หลกั การพื้นฐานสิทธมิ นุษยชน
1. ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) เป็นสิทธิติดตัวทุกคนตามธรรมชาติ ตั้งแต่เกิด

(National Rights)
2. คนทุกคนมคี วามเสมอภาคและหา้ มการเลือกปฏบิ ตั ิ (Equality and non- discrimination)
3. สทิ ธิมนษุ ยชนเป็นของคนทุกคนโดยไม่เลือกเชื้อชาติศาสนาเพศอายุอาชีพสถานะ ทางเศรษฐกิจ หรือ

สังคม สขุ ภาพ และความคิดเหน็ ดา้ นตา่ งๆ (Universality)
4. สทิ ธมิ นุษยชนเปน็ องค์รวมแยกเปน็ สว่ นๆไม่ได้และพึง่ พิงกัน (Indivisibility& Interdependently)
5. การมีส่วนร่วมและการเป็นส่วนหน่ึงของสิทธินั้น (Participation & Inclusion) หมายความว่า

ประชาชนแต่ละคน หรือกลุ่มประชาชนหรือประชาสังคมย่อมมีส่วนร่วม อย่างแข็งขันในการเข้าถึง
และไดร้ บั ประโยชนจ์ ากสิทธพิ ลเมอื งและการเมอื ง และสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
6. ตรวจสอบได้และใช้หลักนิติธรรม(Accountability & the Rule of Law)ดังนั้นการ จะเข้าใจ
ความหมายสทิ ธมิ นุษยชนนนั้ จำเปน็ ต้องเข้าใจหลักการตา่ งๆท่ีถือเปน็ องค์รวม ของสทิ ธิมนุษยชนด้วย

21

คือ สิทธิ (Rights) ซึ่งเป็นสิง่ ทีต่ ิดตัวมนษุ ย์ทกุ คนตามธรรมชาติที่ ได้เกิดมาเป็นมนุษยซ์ ึง่ ไม่มีใคร ล่วง
ละเมดิ ได้ ทุกคนมสี ิทธิมีชีวิตที่จะอยรู่ อด อยูอ่ ยา่ งมี เกียรตแิ ละศกั ดิศ์ รีของความเปน็ มนุษย์
2.7.2 แนวคดิ ความเป็นธรรมทางสงั คม (Social Justice)
แนวคิดความเปน็ ธรรมทางสังคม (Social Justice) หมายถึง แนวคิดที่ว่าด้วยความเป็นธรรมทางสงั คมใน
ทกุ ๆ มติ ิ ไมใ่ ชเ่ พยี งแค่ในมิตทิ างกฎหมายเท่านั้น ในขณะเดียวกนั ความเปน็ ธรรมดังกลา่ วอาจจะหมายรวมถึงการ
ปฏิบัติต่อกันของคนในสังคมอย่างเป็นธรรมภายใต้สังคมที่มีความหลากหลาย เช่น ความคิดทางการเมือง ศาสนา
หรอื วัฒนธรรม บุคคลจะต้องไดร้ บั การปฏบิ ตั ติ ่อกนั โดยเป็นธรรม
2.7.3 แนวคดิ การมสี ว่ นรว่ ม
แนวคิดการมีส่วนรว่ ม หมายถึง การสร้างกรอบพื้นฐานทางสงั คมเพื่อให้บุคคลในสังคมเกิดการมีส่วนรว่ ม
ในประเดน็ ต่าง ๆ ดว้ ยกระบวนวิธีและหลกั การดงั ตอ่ ไปนี้

1) การมีสว่ นรว่ มในการตดั สินใจ (Decision making)
2) การมีส่วนรว่ มในการดำเนินกจิ กรรม (Implementation)
3) การมสี ว่ นรว่ มในการรบั ผลประโยชน์ (Benefits)
4) การมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผล (Evaluation)
2.7.4 ทฤษฎีระบบ (System Theory)
ทฤษฎีระบบ (System Theory) หมายถึง ทฤษฎีที่ใช้ในการมองภาพรวมขององคก์ รและความสัมพันธใ์ น
ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมซึ่งพิจารณาในลักษณะโครงสร้างของระบบ จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางใน
การแกไ้ ขปัญหาเชงิ ระบบ โดยพจิ ารณาตามองคป์ ระกอบดังน้ี
1) ปัจจัยนำเข้า (input) คือทรัพยากรต่างๆ ที่นำมาใช้ในการจัดการภายใต้ระบบ อาทิเช่น ทุนทรัพย์
แรงงาน ขอ้ มูล สนิ ค้าและบรกิ าร เปน็ ตน้
2) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation process) คือกระบวนการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
หรือการแกไ้ ขปญั หาท่ีเกดิ ขนึ้ ในระบบ
3) ปัจจัยนำออก (output) หมายถงึ ผลที่คาดวา่ จะได้รับหรือตอ้ งการใหเ้ กดิ ขนึ้ หลังจากการแกป้ ัญหา
4) ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) คือ ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการกระทำเชิง
ระบบดงั กล่าว
ท้ังนี้ ทฤษฎรี ะบบในงานสังคมสงเคราะห์ สามารถแบง่ ออกได้ ดังนี้
1) ระบบผู้ใช้บริการ (Client System) ได้แก่ บุคคลเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือ
การให้ความชว่ ยเหลอื ป้องกัน แก้ไข พฒั นา หรือฟื้นฟสู ภาพ อาจเปน็ รายบุคคล กลุ่ม หรอื ชมุ ชน
2) ระบบผู้ให้บริการ (Change Agent System) ได้แก่ นักสังคมสงเคราะห์ และอาจรวมถึงสหวิชาชีพ
อ่ืนๆ ในทมี งานทด่ี ำเนินการใหค้ วามช่วยเหลอื ปอ้ งกนั แก้ไข พัฒนา หรือฟน้ื ฟูสภาพ แก่ผู้ใชบ้ ริการ

22

3) ระบบแห่งปัญหา (Target System) ได้แก่ ระบบที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องการเปลี่ยนแปลง เพราะ
ถือว่าเป็นสาเหตุแห่งปัญหาของระบบผู้ใช้บริการ ระบบแห่งปัญหาไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวบุคคล
เท่านั้น แต่อาจเป็นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ดิน ฟ้าอากาศ สภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ เป็นสาเหตุแห่งปัญหาและส่งผลกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อการ
ดำเนนิ การแก้ไขปญั หา

4) ระบบดำเนินการ (Action System) หมายถึง กระบวนการในการดำเนินการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่
ทุกสิง่ ทุกอย่างท่รี ะบบผู้ให้บรกิ าร ระบบผูใ้ ช้บรกิ าร และระบบแหง่ ปญั หา กระทำร่วมกนั เพ่ือให้บรรลุ
เปา้ หมาย ซ่ึงหมายรวมถึง กระบวนการดำเนินงานและบุคคลทีเ่ กีย่ วข้อง จึงนับเปน็ อีกกจิ กรรมหนึ่งที่
มีความสำคัญในการนำทฤษฎีระบบมาประยกุ ต์ใช้ในงานสงั คมสงเคราะห์

5) ระบบสภาวะแวดล้อม (Supra System) หมายถึงระบบอื่น ๆ ที่มีปัจจัยเอื้อต่อการดำเนินงานสังคม
สงเคราะห์ เชน่ เศรษฐกิจ สงั คม การเมืองความเชือ่ ศาสนาและวฒั นธรรม เปน็ ตน้

2.7.5 ทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial Theory)
ทฤษฎีจติ สงั คม (Psychosocial Theory) เปน็ ทฤษฎีที่คดิ คน้ โดยอรี คิ อรี คิ สัน (Erik H. Erikson) เกี่ยวข้อง
กับพัฒนาการทางสังคมและการทำความเขา้ ใจพฤตกิ รรมของมนุษยโ์ ดยใช้หลักจิตวิทยาประยุกต์ใชก้ ับสงั คมวิทยา
โดยอีริคสันมีความเชื่อพฤติกรรมของมนุษย์ได้รับอิทธิพลมาจากเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีต โดยได้แบ่ง
พัฒนาการทางบุคลกิ ภาพ 8 ขั้น ไดแ้ ก่
1) ระยะทารก (Infancy period) อายุ 0-2 ปี ในระยะแรกของชีวิต ทารกจะต้องพึ่งพาผู้อื่นในการ

ดำรงชีวิตเน่ืองจากมอี ปุ สรรคในการช่วยเหลือตนเอง ทารกไมส่ ามารถช่วยเหลอื ตนเองได้
2) ระยะเริ่มต้น (Toddler period) อายุ 2-3 ปี ในวัยนี้เด็กจะเริ่มมีความอยากรู้อยากเห็น เกิดความ

สงสัยกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หากได้รับการสนับสนุนเด็กจะมีพัฒนาไปได้ตามสมควรและจะเป็นจุด
เปลย่ี นในพฤตกิ รรมของเขาในอนาคตเช่นการอยู่ในระเบียบหรือการกล้าออกนอกกรอบ เป็นต้น
3) ระยะก่อนไปโรงเรยี น (Preschool period) อายุ 3-6 ปี พฒั นาการของเดก็ วยั น้จี ะเร่มิ มีความสัมพันธ์
กับญาตแิ ละครอบครัว ชอบลองอะไรใหมๆ่ และมคี วามคดิ ริเรม่ิ ต้งั คำถาม
4) ระยะเข้าโรงเรียน (School Period) อายุ 6-12 ปี ระยะนี้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และการทำ
กิจกรรมด้วยตนเอง หากได้รับการสนับสนุนก็จะทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านบุคลิกภาพและมีความ
เพียรพยายาม มีสติปัญญาที่ดี หากตรงกันข้าม พัฒนาการของเด็กจะถอยกลับไปเป็นระยะทารกอีก
ครัง้
5) ระยะวัยรุ่น (Adolescent period) อายุ 12 – 20 ปี พัฒนาการในวัยนี้จะมีความเข้าใจและต้องการ
สถานะทางสังคม การเป็นท่ียอมรับ ทำใหส้ งิ่ แวดลอ้ มรอบตัวจะมอี ิทธพิ ลตอ่ วยั น้ีเป็นอย่างมาก

23

6) ระยะตน้ ของผใู้ หญ่ (Early adult period) อายุ 20-40 ปี ชว่ งวยั น้ีจะใหค้ วามสำคญั กบั เป้าหมายของ
ชวี ิต ครอบครวั และหน้าทกี่ ารงาน

7) ระยะผู้ใหญ่ (Adult period) อายุ 40-60 ปี พัฒนาการในช่วงวัยนี้จะเป็นชว่ งวัยท่ีเริ่มอย่างทำสิ่งต่าง
ๆ เพื่อสังคม และเกิดความคิดถึงอดีตหากไม่สามารถกระทำการสำเร็จตามที่ต้องการได้ในช่วงวัยท่ี
ผ่านมาและอาจมลี กั ษณะหมกม่นุ เอาตนเองเปน็ ศนู ย์กลาง

8) ระยะผู้สงู อายุ (Aging period) อายุ 60 ปขี น้ึ ไป จะเปน็ ช่วงวัยที่หวนย้อนถงึ เรื่องราวต่าง ๆ ท่ีผ่านมา
ในอดตี หรือเปน็ การระลึกถึงความทรงจำในอดีต และการบอกเล่าความทรงจำดังกล่าวให้กับลูกหลาน
ไดฟ้ ัง

2.8 การนำหลกั การ วธิ ีการ และกระบวนการปฏิบตั งิ านสังคมสงเคราะห์ไปประยกุ ต์ใช้ในหน่วยงาน
2.8.1 การนำหลักการทางสังคมสงเคราะห์มาประยุกต์ใช้
หลักการมีส่วนรว่ ม (Participation)
การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ต้องคำนึงว่าในการดำเนินการทุกขั้นตอน จะต้องให้ผู้ใช้บริการเข้ามามี

ส่วนรว่ มในการแก้ปัญหาของตนเอง นกั สงั คมสงเคราะห์ต้องเคารพความเห็นและการตดั สนิ ใจของผู้ใช้บริการ โดย
ยดึ ถือประโยชน์สูงสดุ ของผูใ้ ช้บรกิ ารเป็นหลักสำคญั

หลักการเสรมิ พลงั อำนาจ (Empowerment)
การเสริมพลังอำนาจช่วยให้ผู้ใช้บริการเกิดการเรียนรู้ เกิดความตระหนักสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคล
มุ่งเน้นในการแก้ไขปัญหา ทำให้ผู้ใช้บริการและครอบครัวเกิดกำลังใจและเกิดความหวังในการเผชิญกับปัญหา
ตลอดจนสามารถเปล่ยี นแปลงทัศนคติ ความคิด พฤตกิ รรม จนสามารถกลบั คนื สู่สังคมและใช้ชีวิตไดอ้ ย่างปกติ
หลกั การรักษาความลับ (Confidentiality)
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องรักษาความลับของผู้ใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความมั่นใจในตัวนักสังคม
สงเคราะห์ และไม่ควรนำเรื่องราวของผู้ใช้บริการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ แต่ถ้าจะเปิดเผยควรขออนุญาตและบอก
จดุ ประสงคใ์ นการเปดิ เผยเรอื่ งราวของผใู้ ชบ้ ริการ พร้อมท้งั การไดร้ ับอนญุ าตจากผใู้ ช้บริการด้วย
หลักการความแตกตา่ งของบคุ คล(Individualization)
บุคคลย่อมมีความแตกต่างไปตามสภาพของครอบครัว การเลี้ยงดู การอบรมสั่งสอนที่แตกต่างกัน รวมถึง
ประสบการณ์ชีวิต โอกาสและสภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละบุคคลมีทัศนคติ ความคิด ความสามารถ
และการปรบั ตวั ต่อปญั หาทแี่ ตกต่างกัน นกั สังคมสงเคราะหจ์ ึงต้องตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์ ตระหนักถึง
คุณค่าของมนุษย์เข้าใจความหลากหลายทั้งทางกายภาพ และ ทางวัฒนธรรม ทำงานโดยปราศจากอคติต่อ
ผใู้ ช้บริการและผู้รว่ มงาน

24

2.8.2 การนำวิธกี ารและกระบวนการปฏบิ ตั ิงานสังคมสงเคราะหไ์ ปประยุกต์ใช้ในหนว่ ยงาน
ผู้ใช้บริการที่เข้ามารับบริการสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จะมีปัญหา
ต่างๆ ตามข้อบ่งชี้ของกลุ่มเป้าหมายงานสังคมสงเคราะห์เช่น มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่มีหลักฐานในการแสดงตน
การตั้งครรภ์ไม่พร้อมและมีความเสี่ยงในการทอดทิ้งบุตร เป็นต้น การนำวิธีการและกระบวนการปฏิบัติงานสงั คม
สงเคราะหไ์ ปประยุกตใ์ ชใ้ หนว่ ยงาน สามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ ดงั นี้
วิธกี ารทางสังคมสงเคราะห์
นักสังคมสงเคราะห์มีหน้าที่ให้การสงเคราะห์แก่ผู้รับบริการ แก้ไขปัญหาสังคมและพัฒนาสังคม จึงมี
วิธกี ารปฏบิ ตั ิงานเพื่อให้บรรลเุ ปา้ หมายเพื่อใหผ้ ู้ใช้บริการมคี ุณภาพชีวติ ท่ดี ีขึ้น และสามารถกลบั คืนสู่สังคมได้อย่าง
มคี ณุ ภาพ
1. การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย เป็นการทำงานระดับบุคคล เป็นการทำงานกับผู้มีปัญหา เป็นรายบุคคล
ปัญหาดังกล่าวอาจจะเป็นปัญหาที่ครอบครัว ปัญหาด้านการเงิน ปัญหาด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม
โดยการที่นักสังคมสงเคราะห์จะต้องมุ่งให้ผู้ใช้บริการเข้าใจถึงปัญหาของตนเอง เพื่อที่แก้ไขปัญหาด้วย
ตนเอง โดยนักสังคมสงเคราะห์มีหน้าท่ีให้คำปรึกษา ช้ีแนะแนวทางให้ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับ
ผใู้ ชบ้ รกิ าร
2. การสังคมสงเคราะห์กลุ่มชน การทำงานระดับกลุ่ม เป็นวิธีการและกระบวนการที่นักสังคมสงเคราะห์
จัดกลุ่มผู้ใช้บริการทีม่ ีปัญหาเหมือนกันหรอื คล้ายคลึงกันมารวมกลุม่ กัน เพื่อความสะดวกต่อการวางแผน
ช่วยเหลอื และเพือ่ ให้ผูใ้ ช้บริการ ร้สู กึ วา่ เขาไม่ได้มีปัญหาเช่นนนั้ คนเดยี ว โดยนักสังคมสงเคราะห์ให้ความ
ช่วยเหลอื สมาชกิ แตล่ ะคนในการพฒั นาบคุ ลิก เพ่อื การพัฒนาสังคม
3. การจัดระเบียบ และการพัฒนาชุมชน เรียกว่า การทำงานระดับชุมชน เป็นการทำงานกับชุมชน เพื่อการ
แก้ไข ป้องกันปัญหา ความเดือดร้อน ซึ่งกระทบกระเทือนถึง สวัสดิภาพ และความปลอดภัยของคนใน
ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพ การศึกษา สุขภาพอนามัย โดยนักสังคมสงเคราะห์ จะใช้วิธีการกระตุ้นให้
คนในชุมชนมองเห็นปัญหา สาเหตุของปัญหา และร่วมมือร่วมแรงกันวางแผน และดำเนินการป้องกัน
และแกไ้ ข ซง่ึ อาศยั ทรพั ยากร ในชุมชน อนั ไดแ้ ก่ คน วสั ดุอุปกรณ์ ทนุ ทรัพย์ แรงงาน หน่วยงาน เป็นตน้
4. การวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ คือ การที่นักสังคมสงเคราะห์ศึกษาสภาพในสังคม เพื่อประกอบการ
พิจารณาการวางนโยบาย แผนงาน และโครงการที่ช่วยบรรเทาหรือขจัดปัญหาทางสังคม ผลงานวิจัยที่
เกี่ยวกับการวิเคราะห์ การบริหารองค์การ จะช่วยในการแก้ไข ปรับปรุง หรือริเริ่มบริการ เกิดความ
สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของผใู้ ชบ้ รกิ าร
5. การบริหารงานสังคมสงเคราะห์ เป็นการบริหารองค์การทางสังคมสงเคราะห์ ให้มีประสิทธิภาพสูง
โดยรวมถึงการวางนโยบาย แผนงาน และโครงการ เพื่อพัฒนาบุคลากรขององค์การให้เหมาะสมกับ

25

วัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมายขององค์การ นอกจากนัน้ ยังรวมถึงความสามารถ ในการประสานงาน ร่วมมือ
กันทำงานกบั นกั วชิ าชพี ที่เก่ยี วขอ้ ง
กระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอนดงั ต่อไปนี้
1. การศกึ ษาข้อเท็จจริง (Fact Finding)
2. ประเมนิ และวินิจฉัย (Assessment & Diganosis)
3. วางแผนแนวทางใหค้ วามชว่ ยเหลือ (Planning for intervention)
4. ดำเนินการช่วยเหลอื (Intervention)
5. ตดิ ตามประเมินผล (Follow up & Evalution)
1. การศึกษาข้อเท็จจริง (Fact Finding)
เป็นขั้นตอนที่นักสังคมสงเคราะห์ใช้สำหรับสรา้ งสัมพันธภาพกับผู้ใช้บริการและครอบครัว ในการอธิบาย
ขั้นตอนการให้บริการ รวมถึงทำความเข้าใจกับความคาดหวังของผู้ใช้บริการและครอบครัว และสืบห้าข้อเท็จจริง
เพอ่ื ศกึ ษาปจั จัยภายนอกและปัจจัยภายในของผู้ใช้บริการ ผา่ นการสัมภาษณ์และสอบถามอย่างละเอียด ตลอดจน
สามารถนำไปประเมนิ ความพร้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และ ครอบครวั ของผูใ้ ช้บรกิ ารได้อยา่ งสมบูรณ์ และนำไปสู่
การวิเคราะห์และประเมนิ ความต้องการ ปญั หาของผใู้ ช้บริการไดอ้ ย่างครบถว้ น
โดยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นักสังคมสงเคราะห์ในหน่วยงานสังคมสงเคราะห์
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพูดคุยกับผู้ใช้บริการโดยใช้การพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์หรือ
พดู คยุ ผา่ นวีดีโอคอลโดยใช้ Line application ในการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร
2. ประเมนิ และวินิจฉัย (Assessment & Diganosis)
หลังจากได้ศึกษาข้อมูลของผู้ใช้บริการ นักสังคมสงเคราะห์จะนำข้อมูลมาใช้ในการประเมินและวินิจฉัย
ปัญหาในด้าน ร่างกาย จิตใจ และสังคม จากนั้นนักสังคมสงเคราะห์จึงจะทำการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
เพ่ือประเมนิ หาศักยภาพ และความสามารถสงู สดุ ของผู้ใช้บริการ พร้อมด้วยการแสวงหาทรัพยากรท่ีเป็นประโยชน์
ต่อผู้ใช้บริการ เช่น สิทธิในการรักษาของผู้ใช้บริการ ความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อนำไปสูก่ ารวางแผนใหก้ าร
ช่วยเหลือต่อไป โดยการช่วยเหลือค่ารักษาของงานสังคมสงเคราะหโ์ รงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกียรติ มี 3
รูปแบบคือ การสงเคราะหท์ งั้ หมด การสงเคราะหบ์ างส่วน และการผ่อนชำระ
- การประเมินและวินิจฉัยปัญหาดา้ นร่างกาย
คือการประเมินสภาวะด้านสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บริการ การเจ็บป่วย และ การตอบสนองทางร่างกาย
ตวั อย่างเช่น ความพิการ เจบ็ ป่วยเรือ้ รงั ติดยาเสพตดิ
- การประเมินและวินิจฉัยปัญหาดา้ นจิตใจ

26

คอื การประเมนิ บคุ ลกิ ภาพของผใู้ ชบ้ ริการ โดยอาจเปน็ บุคลกิ เฉพาะของบุคคล กลุ่ม หรอื ชมุ ชนทีเ่ กยี่ วข้อง
กบั ผใู้ ชบ้ รกิ าร ตัวอยา่ งเชน่ ความสามารถในการแกป้ ญั หา พฤติกรรม ความสมั พนั ธ์ของบคุ คล กลุ่ม และ
ชมุ ชน ของผู้ใช้บรกิ าร
- การประเมนิ และวินจิ ฉยั ปญั หาดา้ นสงั คม
คือการประเมินดูสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม ของบุคคลครอบครัว กลุ่ม ชุมชน ของผู้ใช้บริการว่ามี
ความสัมพันธ์และมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างไร โดยคำนึงถึงบทบาทและความรับผิดชอบของ
ผู้ใชบ้ รกิ ารตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม
3. การวางแผนแนวทางใหค้ วามชว่ ยเหลอื (Planning for intervention)
เม่อื ไดข้ ้อมูลของผู้ใช้บริการ และผ่านการประเมนิ ด้านรา่ งกาย จิตใจ และสังคม นกั สงั คมสงเคราะห์จึงนำ
ข้อมูลมาใช้สำหรับวางแผนเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยจะต้องสำรวจทรัพยากรและศักยภาพที่ผู้ใช้บริการมีใน
เบื้องต้น และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ในการวางแผนจะต้องเชื่อมโยงไปถึงระบบครอบครัว กลุ่มและ
ชมุ ชนขอผ้ใู ชบ้ ริการ จึงจะต้องอาศัยการประเมินและวนิ จิ ฉัยปญั หาอยา่ งละเอียด ถี่ถ้วน รอบคอบ รวมถงึ ได้รับการ
ยินยอมจากผูใ้ ชบ้ ริการในการมีสว่ นรว่ มต่อกระบวนการการช่วยเหลือ
4. ดำเนินการชว่ ยเหลือ (Intervention)
ขั้นตอนนี้นักสังคมสงเคราะห์จะดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้ร่วมกับผู้ใช้บริการ ครอบครัว และชุมชน
สามารถดำเนินการในรูปแบบการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่น การแนะนำความรู้ที่เป็นประโยชน์ การให้
คำปรึกษาและกำลังใจ รวมถึงการจัดหาทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น การหางบประมาณในการแบ่ง
เบาค่าใช้จ่ายส่วนเกินในการรักษา ซึ่งต้องทำหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานภายในและภายนอก
โรงพยาบาล เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือ หน่วยงานภายใน เช่น ฝ่ายการแพทย์ ฝ่ายพยาบาล ฝ่ายการเงิน
และหน่วยงานภายนอก เช่น สถานสงเคราะห์ต่างๆ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อผู้ใช้บริการ ใน
ปัญหาที่ซับซ้อน แก้ไขได้ยากและต้องใช้เวลาในการรักษา เช่น ผู้ใช้บรกิ ารที่มปี ัญหาความรุนแรงในครอบครัว นัก
สงั คมสงเคราะหจ์ ะทำการตดิ ตามโดยการลงพ้ืนท่เี ย่ยี มบ้าน หรอื มกี ารพดู คุยตดิ ต่อสอบถามเปน็ ระยะ
5. ติดตามประเมินผล (Follow up & Evalution)
เมื่อนักสังคมสงเคราะห์ดำเนินการช่วยเหลือและมีการติดตามอย่างต่อเนื่องแล้ว จะต้องมีการประเมิน
เป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ของผู้ใช้บริการ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้บรกิ ารและญาติ ว่าสามารถปรับตัวดี
ขึ้น กลับคืนสู่สังคมและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีการเก็บสถิติและข้อมูลเพื่อจัดทำรายงาน ต่อยอด พัฒนาระบบการ
ให้บรกิ าร และสร้างคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพ ตามนโยบายการพัฒนาของโรงพยาบาล

27

2.9 การนำทักษะทางวิชาชพี ไปประยุกต์ใชใ้ นหนว่ ยงาน
ทกั ษะการสรา้ งสัมพันธภาพ
การสรา้ งสมั พันธภาพถือเป็นจดุ เริม่ ต้นทสี่ ำคัญในกระบวนการให้บริการ และเปน็ ทักษะแรกเร่มิ ท่ีนักสังคม

สงเคราะห์พึงสร้างและรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้ใช้บริการ สัมพันธภาพที่ดีจะช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์
เข้าถึงข้อมูล ข้อเท็จจริง และความต้องการต่างๆ ของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้นักสังคมสงเคราะห์
พึงมีจุดมุ่งเน้นในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ใช้บริการเพื่อวางแผนให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนมุ่งเน้นให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตกับผู้ใช้บริการ โดยตลอดทั้งกระบวนการสร้างสัมพันธภาพนี้ นักสังคมสงเคราะหจ์ ะต้อง
ไม่นำอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยมของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อเลี่ยงความรู้สึกอคติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
ในขณะปฏบิ ัติงาน ทั้งน้ีการสร้างสัมพันธภาพทดี่ ีจะนำไปสู่การยตุ ิกระบวนการบริการอย่างเหมาะสมดว้ ย

ทักษะการสังเกต
การสังเกตในทางวิทยาศาสตร์มักหมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือการใช้ประสาท
สัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปทดลอง สำรวจวัตถุหรือปรากฎการณ์ในธรรมชาติ โดยไม่นำ
ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปในการปฏิบัติงาน เช่นเดียวกับทักษะการสังเกตทางสังคมสงเคราะห์ ที่เป็นทักษะ
พน้ื ฐานและมักมาควบค่กู บั ทกั ษะการสมั ภาษณ์ การสงั เกตทำใหน้ ักสงั คมสงเคราะห์ทราบถึงประเด็นที่อาจตกหล่น
หรือผู้ใช้บริการถ่ายทอดเรื่องราวไม่หมด นักสังคมสงเคราะห์พึงสังเกตน้ำเสียง แววตา รวมถึงอากัปกิริยาต่างๆ
ของผู้ใช้บริการในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ โดยไม่นำทัศนคติ ความรู้สึกของตนเองไปเกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน
เช่นกัน ทักษะการสังเกตจะช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์สามารถประเมิน วิเคราะห์ปัญหา และวางแนวทางในการ
จัดบริการให้กบั ผใู้ ช้บรกิ ารไดอ้ ย่างเหมาะสม
ทักษะการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยใช้การสื่อสารผ่านคำพูด ทักษะการสัมภาษณ์จึง
เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์แสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ใช้บริการ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้
กระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญในการสัมภาษณ์ ทั้งนี้ก่อนเริ่มกระบวนการสัมภาษณ์
นกั สังคมสงเคราะห์จะต้องแจ้งวัตถุประสงคใ์ นการพดู คุยให้ผ้ใู ชบ้ ริการทราบ การสัมภาษณ์ทีด่ ีควรเริ่มสนทนาด้วย
เรื่องทั่วไปก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นการสัมภาษณ์อย่างจริงจัง เพื่อเป็นการสร้างความไว้วางใจและความคุ้นเคย
รว่ มกบั ผใู้ ชบ้ ริการ หากนักสังคมสงเคราะห์ด่วนถามในประเดน็ ทีต่ ้องการสัมภาษณม์ ากเกินไป อาจทำใหผ้ ใู้ ช้บริการ
เกิดความไม่สบายใจที่จะตอบคำถาม ส่งผลให้นักสังคมสงเคราะห์ไม่สามารถเก็บข้อมูล หรือแสวงหาเท็จจริงได้ไม่
เพียงพอสำหรับจัดบริการอีกด้วย ในการสัมภาษณ์ควรเลี่ยงคำถามปลายปิดให้ได้มากที่สุด แต่หากนักสังคม
สงเคราะห์ต้องการทบทวนคำถามเพ่ือเน้นยำ้ ความเข้าใจของตนเอง ก็สามารถใช้คำถามปลายปิดได้แต่พอควร นัก
สังคมสงเคราะหค์ วรร้จู ังหวะในการพูดคุยด้วยการให้เกียรตผิ ู้ใช้บรกิ าร ไมพ่ ดู แทรกในขณะทผี่ ูใ้ ชบ้ รกิ ารกำลังพูดอยู่
หรือถามคำถามเร็วจนเกินไป ในการสัมภาษณ์ควรใช้ภาษาพูดที่เข้าใจง่ายมากกว่าใช้ภาษาทางการ เพราะอาจทำ

28

ให้ผู้ใช้บริการไมเ่ ขา้ ใจส่ิงที่นักสังคมสงเคราะหต์ ้องการสื่อสาร นกั สงั คมสงเคราะหต์ ้องพยายามควบคุมการสนทนา
ใหอ้ ยูใ่ นขอบเขตการสัมภาษณ์ หลีกเลย่ี งการโต้แย้ง มที ักษะในการพูดใหผ้ ู้ใชบ้ ริการยอมรับปัญหาของตนเอง รู้จัก
เปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการได้สรุปผลการพูดคุย ตลอดจนมีแนวทางแก้ไขปัญหาในแต่ละครั้งที่ได้พูดคุยกัน ก่อนจบ
การสนทนานักสังคมสงเคราะห์ควรเสริมพลังให้กับผู้ใช้บริการ (Empowerment) เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้จักใช้
ความคิด ตัดสินใจ พฒั นาศกั ยภาพของตนเอง ตลอดจนมีกำลงั ใจในการแก้ไขปญั หาตา่ งๆ

ทกั ษะการเยี่ยมบ้าน
การเยี่ยมบ้านเป็นกระบวนการสำคัญในการค้นหาขอ้ เท็จจริงและสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้บริการ โดย
การเยี่ยมบ้านในแต่ละครั้งนั้น นักสังคมสงเคราะห์พึงกำหนดกรอบและวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมบ้านให้ชัดเจน
เพื่อประโยชน์ในการลงเยี่ยมบ้านของนักสังคมสงเคราะห์เอง หากนักสังคมสงเคราะห์ไม่มีการกำหนดกรอบหรือ
วตั ถุประสงค์ อาจส่งผลให้การลงพื้นท่ีเยี่ยมบ้านไดร้ ับข้อมูลไมค่ รบถ้วนและต้องเสยี เวลาลงเย่ียมบ้านอีกหลายครั้ง
ท้งั นจ้ี ะทำให้ผู้ใช้บริการเสียเวลาและบางรายอาจจะสูญเสยี รายได้จากการประกอบอาชีพ เพราะต้องเสียสละเวลา
ทำงาน เพือ่ รอต้อนรับนักสงั คมสงเคราะห์ทีจ่ ะไปเยยี่ มบ้าน โดยท่ัวไปแลว้ ก่อนท่นี ักสังคมสงเคราะห์จะไปเยย่ี มบ้าน
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องติดต่อกับผูใ้ ช้บริการผ่านทางโทรศัพท์ก่อน เพื่อนัดหมายวนั -เวลา ที่จะไปเยี่ยมบ้าน ให้
ผูใ้ ชบ้ ริการได้ทราบอยา่ งชดั เจน
ทักษะการฟังอยา่ งใสใ่ จ
การฟังเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของนักสังคมสงเคราะห์ที่ต้องใช้ความอดทนและสมาธิอย่างสูง จึงจะเข้าใจ
ข้อมูลที่ได้รับ รวมทั้งเข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของผู้ใช้บริการ ทั้งนี้นักสังคมสงเคราะห์ควรยึดหลักการเป็น
ผู้ฟังที่ดี โดยรู้จักเป็นทั้งผู้ฟังและผู้พูด การเป็นผู้ฟังที่ดีควรให้โอกาสผู้ใช้บริการเป็นฝ่ายพูดให้มากที่สุด เพื่อให้
ผู้ใช้บริการได้ระบายความทุกข์ใจของตนเอง นักสังคมสงเคราะห์พึงรับฟังด้วยความใส่ใจ โดยแสดงท่าทีให้
ผู้ใช้บริการรับรู้ได้ เช่น ใช้น้ำเสียงที่แสดงความคล้อยตามตอบโต้กับผูใ้ ช้บริการบ้าง มองหน้า พยักหน้า ใช้สายตา
ของการยอมรับ เหน็ ใจ เขา้ ใจ มกี ารพดู เสริมต่อเรื่องที่ผูใ้ ชบ้ ริการกำลังพูดอยู่ โดยมีทัศนคติท่ีดีต่อผู้ใช้บริการ รู้จัก
ตั้งคำถามเป็นเมื่อตนเองไม่เข้าใจ พึงให้ใส่ใจกับความรู้สึกนึกคิดของผู้ใช้บริการ ไม่นำความรู้ สึกส่วนตัวเข้าไป
เก่ียวข้องในการสนทนา ไมโ่ ต้เถยี งและไมด่ ว่ นตดั สิน
ทักษะการจดบันทึก
การจดบันทึกเป็นทักษะสำคัญที่ต้องใช้ในระหว่างการสัมภาษณ์ เพราะขณะที่นักสังคมสงเคราะห์กำลัง
สัมภาษณ์ผู้ใช้บริการอยู่นั้น อาจมีเหตุการณ์ที่ผู้ใชบ้ ริการพูดเร็วจนเกินไป ทำให้นักสังคมสงเคราะห์จดบันทึกตาม
ไม่ทัน เกิดความตกหล่นของข้อมูลได้ ดังนั้นนักสังคมสงเคราะห์ต้องมีเทคนิคในการจดบันทึกข้อมูลตามแบบฉบับ
ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้อักษรย่อที่ตนเองเข้าใจ หรือใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทนคำพูด จากนั้นจึงนำการจด
บันทึกนั้นไปขยายความให้ตรงคำย่อหรือสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้อีกครั้ง ในทุกครั้งที่จดบันทึกข้อมูลนักสังคม
สงเคราะห์จะต้องไม่ละเลยข้อมูลสำคัญของผู้ใช้บริการ เช่น ชื่อ สกุล ประวัติ ภูมิหลัง สภาพปัญหา สภาพอารมณ์

29

พฤติกรรมท่าที ศักยภาพที่พบ รวมถึงประวัติเบื้องต้นของครอบครัว เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ วินิจฉัย และ
วางแผนเพ่อื จัดบริการทางสงั คมให้กบั ผู้ใชบ้ รกิ าร

ทกั ษะการใหก้ ารปรึกษา
การให้การปรึกษาเป็นวิธีการที่สำคัญมากในงานสังคมสงเคราะห์ กระบวนการให้การปรึกษาในเบื้องต้น
นั้น นักสังคมสงเคราะห์จะต้องสามารถประยุกต์ใช้ทักษะการฟังอย่างใส่ใจ เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาและตามเรื่องราว
ของผู้ใช้บริการได้ โดยทักษะการฟังอย่างใส่ใจประกอบด้วยทักษะสำคัญ 6 ด้าน แต่ละทักษะมีหน้าที่แตกต่างกัน
นักสังคมสงเคราะห์ควรนำทักษะเหล่านี้มาใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณแ์ ละรูจ้ ักความแตกต่างในแต่ละทักษะ
เพื่อทจี่ ะสามารถแยกแยะการนำไปใช้อย่างถกู ตอ้ ง ดงั น้ี
- การทวนความ (Paraphrase) คือ การทบทวนเรอื่ งราวของผู้ใชบ้ ริการ เพอ่ื ทบทวนวา่ มีความเขา้ ใจตรงกัน
และยังสามารถชว่ ยใหผ้ ูใ้ ช้บริการรูส้ ึกวา่ นักสังคมสงเคราะหส์ นใจและเข้าใจผใู้ ชบ้ ริการอย่ตู ลอด
- การสะท้อนกลับความรู้สึก (Reflection feeling) คือ การทำความเข้าใจกับความรู้สึกและเรื่องราว
ทั้งหมดที่ผู้ใช้บริการแสดงออก โดยเลือกเนื้อหาและความรู้สึกที่จะทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น จากนั้น
สะท้อนสิ่งท่ผี ู้ใชบ้ ริการรับรู้กลับไปยังผู้ใช้บริการ หลงั จากสะทอ้ นกลับความรสู้ ึกแลว้ อาจรอให้ผู้ใช้บริการ
ยืนยนั หรือปฏิเสธการสะท้อนความรู้สกึ ของนักสังคมสงเคราะห์
- การตีความ (Interpretation) คือ การพยายามตีความสิง่ ทน่ี ักสงั คมสงเคราะหไ์ ด้ยินโดยไม่ตดั สิน เพอื่ ช่วย
ให้ผู้ใช้บริการตรวจสอบความหมายของสิ่งที่ตนเองพูดออกมา และเป็นการตรวจสอบสิ่งที่นักสังคม
สงเคราะหไ์ ดร้ ับฟัง
- การสรปุ ความ (Summarizations) คือ การสรุปเน้ือหาท่ีได้สื่อสารมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพ่ือเช่ือมโยงกับ
การสนทนาที่อาจคลุมเครือ หรืออาจใช้เพื่อให้กระบวนการดำเนินช้าลง เมื่อรู้สึกว่ากระบวนการให้การ
ปรึกษาดำเนินไปอย่างรวดเรว็ เกนิ ไป
- การทำให้กระจ่าง (Clarification) คือ การพยายามชี้เฉพาะประเด็นที่ผู้ใช้บริการพูดถึง ด้วยการขอให้
ผู้ใช้บริการพดู ตอ่ อธบิ ายซำ้ หรอื ขยายความ คำพูดท่ีผใู้ ช้บรกิ ารอาจจะยงั คลุมเครอื
- การตั้งคำถาม (Opened Question) คือ การที่นักสังคมสงเคราะห์สงเคราะห์ซักถามผู้ใช้บริการใน
ระหว่างการปรึกษา การตั้งคำถามที่ดีคือการตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการมีโอกาสเล่า
เรือ่ งราวต่างๆ ได้มากกว่า และไม่เกดิ ความรู้สึกกดดันกบั ความคาดหวังในคำตอบ ในการให้การปรกึ ษานั้น
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องหลีกเลี่ยงคำถามว่า “ทำไม” เพราะจะทำให้ผู้ใช้บริการนำกลไกป้องกันตนเอง
(Defense Mechanisms) มาใช้ในระหว่างที่กำลังให้การปรึกษา อีกทั้งคำถามที่ดีไม่ควรเป็นคำถามชี้นำ
เพราะจะไม่เป็นการช้นี ำคำตอบหรือแสดงนัยยะของความคาดหวังในคำตอบของนกั สังคมสงเคราะหเ์ อง

30

ทักษะการประเมินศกั ยภาพ
นักสังคมสงเคราะห์มีหน้าที่ทำการประเมินศักยภาพของผู้ใช้บริการตามกลุ่มเป้าหมาย โดยประเมินตาม
ปัจเจกบุคคลว่ามีศักยภาพ จุดอ่อน จุดแข็ง มากน้อยเพียงใดในการแก้ปัญหาของตนเอง พร้อมกับประเมินความ
ต้องการ ประเมินความเสี่ยง และประเมินบริบททางสังคมของผู้ใช้บรกิ าร ที่อาจส่งผลต่อปัญหาหรือศักยภาพของ
ผ้ใู ช้บริการ
ทักษะการสง่ ต่อ
การสง่ ตอ่ เปน็ การเชื่อมโยงทรัพยากรท่ีมีอยู่ในสังคม ใหต้ รงกบั ความต้องการของผู้ใชบ้ ริการ การส่งต่อนั้น
มีทั้งการส่งต่อภายในหน่วยงานเดียวกัน และการส่งต่อระหว่างหน่วยงาน โดยการส่งต่อระหว่างหน่วยงานจะมี
ความยุ่งยากในเรื่องของเอกสารการส่งต่อมากกว่าการส่งต่อภายใน เช่น ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติด
เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากนักสังคมสงเคราะห์ต้องการส่งต่อผู้ใช้บริการ ให้ได้รับความดูแลต่อโดยสถาน
สงเคราะห์แห่งใดแห่งหนึ่ง ผู้ใช้บริการรายนั้นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อและมีผลตรวจเป็นลบ หรือไม่พบเช้ือ
กอ่ น จงึ จะสามารถดำเนินการส่งตอ่ เขา้ สูส่ ถานสงเคราะหไ์ ด้
ทักษะการใช้เทคโนโลยี
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้
นกั ศึกษาฝกึ งานวิชาชีพฯ ไมส่ ามารถพบเจอกับผใู้ ช้บริการได้ จงึ มีความจำเป็นที่ต้องปรบั เปลย่ี นรูปแบบการปฏิบัติ
ให้เป็นการปฏิบัติงานผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด นักศึกษาวิชาชีพฯ จึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนใช้เทคโนโลยีอย่าง
หลากหลาย เพื่อให้สะดวกต่อการปฏิบัติงาน เช่น การใช้ Line Application ในพูดคุยกับผู้ใช้บริการ การใช้ Line
VDO call ในการเยี่ยมบา้ นออนไลน์ เป็นตน้

2.10 การใช้ทรัพยากร การตดิ ตอ่ ประสานงาน การใหบ้ ริการแกผ่ ใู้ ชบ้ รกิ ารท้งั ในและนอกหนว่ ยงาน
การปฏิบตั ิงานฝ่ายสงั คมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นการปฏิบัติงานเชิงรับ

เป็นส่วนใหญ่ การปฏิบัติงานภายในองค์กรจะเป็นการประสานงานกับแพทย์ พยาบาล เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการ
เย่ยี มบา้ นกับผ้ใู ชบ้ รกิ ารที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกจิ และทางดา้ นสังคม จากปัญหาทางข้างตน้ จะพัฒนาไปยัง
ปัญหาการขาดแคลนอาหารที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด – 19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งทางด้าน
การหาอาหาร การขาดรายได้ นักสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ จึงมีหน้าที่ในการติดตามคุณภาพ
ชีวิต และประเมินปัญหาทางสังคมโรคอุบัติใหม่ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือในด้านการขาดรายได้ ด้านปัญหาทาง
สังคม หรือการให้คำปรึกษาในสภาวะผู้ใช้บริการที่ประสบกับความเครียดในสถานการณ์การแพร่ระบาดเช้ือ
โควิด – 19 ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Line official การปฏิบัตงิ านภายนอกองค์กรจะเป็นการประสานงานการส่งตอ่
ผู้ใช้บริการที่ค้างในโรงพยาบาลและไม่สามารถระบุตัวตนได้ หรือไม่มีญาติในการดูแล นักสังคมสงเคราะห์ใน
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีหน้าที่ในการประสานงานส่งต่อผู้ใช้บริการไปยังสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ เช่น สถาน

31

สงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง สถานสงเคราะห์เด็กอ่อน เพื่อให้ดูแลผู้ใช้บริการต่อ โดยนักสังคมสงเคราะห์ประสานงาน
สง่ ต่อท่ีพกั และการประสานเรอ่ื งการใช้ยาหรือการปรบั ยาจากพยาบาลหรอื แพทย์ทดี่ แู ลรกั ษาผ้ใู ชบ้ ริการ

ทรัพยากร ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ นอกจากจะมี
งบประมาณในส่วนของโรงพยาบาล ในหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ยังมีกองทุนที่มีความหลากหลายที่สามารถ
ชว่ ยเหลือผู้ใช้บรกิ ารภายในโรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกียรติ เชน่
1.กองทุนเพอื่ ผู้ป่วยยากไร้
2. กองทนุ เพ่อื ศพไร้ญาติ
3. กองทนุ เพอื่ ผ้ปู ่วยโรคหวั ใจ
4. กองทุนผู้ติดเชือ้
5. เงินบรจิ าคจากเครือข่ายตา่ งๆของมหาวทิ ยาลัยศาสตร์ เช่น สมาคมศิษยเ์ กา่
6. ผ้าอ้อมสำเร็จรปู /นมผง/เสอ้ื ผา้

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโครงการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการสังคมสงเคราะห์กับกลุ่มเปราะบาง ในการ
ช่วยเหลือผใู้ ชบ้ ริการที่ประสบปญั หาทางด้านต่าง ๆ ซ่ึงมโี ครงการดงั น้ี
Child Protection Unit เด็กและสตรที ีถ่ ูกกระทำทารณุ กรรม
1. โครงการพิจารณาผลกระทบการตัง้ ครรภท์ างการแพทย์
2. โครงการยุตติ ้ังครรภ์ CPU
3. การเฝ้าระวังทอดทงิ้ บุตร
4. โครงการวัยร่นุ ตั้งครรภ์
5. การดแู ลผถู้ กู กระทำรนุ แรงในครอบครวั

ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ นั้นมีการทำงานกับเด็กและสตรีที่ถูกกระทำทารุณกรรม ภายใต้กฎหมาย
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2564 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.
2550 โดยการขับเคลอื่ นของคณะทำงานด้านการดูแลเด็กถูกกระทำทารุณกรรม (Child Protection Unit) ทำงาน
ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาล ได้แก่ ด้านการแพทย์ (กุมารแพทย์) แพทย์ด้านอื่น ๆ
พยาบาล นักกายภาพบำบัด และวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในการดูแลทางกาย จิตแพทย์และนักจิตวิทยาให้การบำบัด
ฟื้นฟูทางด้านสุขภาพจิตของเด็กและครอบครัว นักสังคมสงเคราะห์ประเมินสภาพครอบครัว และสังคมแวดล้อม
มุ่งเน้นการทำงานกับเครือข่ายทางสังคม โดยการประสานงานและส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายนอก ได้แก่
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัด
ปทุมธานี บ้านพักเด็กอ่อนรังสติ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ตำรวจ อัยการ
ครู อาจารย์ เครือข่ายในชุมชน เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำเนนิ การด้านต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบแบบองค์รวมและ
เป็นรูปธรรม

32

การดแู ลผูถ้ ูกกระทำรุนแรงในครอบครัว เบอื้ งตน้ ผู้ป่วยเขา้ รักษาทงั้ ผู้ปว่ ยนอกหรือผู้ป่วยในทุกวิชาชีพจะ
ดำเนินการในบทบาทของตนเอง โดยได้รับการตรวจประเมินทางสุขภาพโดยแพทย์ กุมารแพทย์ การประเมิน
สุขภาพจิตโดยจิตแพทย์ และนักจิตวิทยา การประเมินทางคดีโดยมีแพทย์นิติเวช และการประเมินทางสังคมโดย
นักสังคมสงเคราะหว์ ิชาชีพ จากนนั้ ผปู้ ่วยจะได้รับการบำบดั ช่วยเหลือฟ้ืนฟู และกรณที ี่มปี ระเด็นความไม่ปลอดภัย
ความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงทางเพศ การใช้สารเสพติด จะมีการประสานติดตามและทำงานร่วมกับ
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษย์จงั หวดั ปทุมธานี

นอกจากนี้ยังมีระบบการบริหารงานเกี่ยวกับโครงการพิจารณาผลกระทบการตั้งครรภ์ทางการแพทย์
โครงการยุติตั้งครรภ์ CPU การเฝ้าระวังทอดทิ้งบุตร และ โครงการวัยรุ่นตั้งครรภ์ คือการทำงานเกี่ยวกับงาน
ยุติธรรม เพื่อพิทักษ์สิทธิเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ฯ โดยการขับเคลื่อนของคณะกรรมการ
การพิจารณาผลกระทบจากการตง้ั ครรภ์ ซ่งึ มกี ารจัดระบบทชี่ ัดเจน ถูกตอ้ งรวดเรว็ ภายใต้กฎหมายอาญา และการ
ประกาศของแพทยสภา มาตรา 305 (2) และพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
พ.ศ. 2559 ในกรณีที่เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ตั้งครรภ์จากการถูกกระทำทารุณกรรมทางเพศหรือถูกล่อลวงเด็ก
สามารถมีทางเลอื กในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีระบบการทำงานรว่ มกนั ของระบบการ
ตรวจสูติ – นรีเวชศาสตร์ เป็นการจัดบริการที่เป็นมิตรกับวัยรุ่น ใช้เทคนิคการปรึกษาทางเลือก กล่าวคือการให้
ปรึกษาด้วยทา่ ทที ่เี ปน็ มิตร สร้างความเข้าใจ

ประเดน็ การตง้ั ครรภ์มีสองทางเลอื ก ไดแ้ ก่
1. ทางเลือกการต้งั ครรภต์ อ่
2. ทางเลอื กยุตกิ ารตง้ั ครรภ์

โดยอธิบายถึงสิ่งที่จะได้พบทั้ง 2 กรณี และให้เด็กและครอบครัวเลือกทางเลือกด้วยตนเอง หรือหากเป็น
ความไม่พร้อมของการต้ังครรภ์รปู แบบอ่ืนๆ จะมกี ารประสานองค์กรภายนอก อาทิ เครือขา่ ยเพ่ือผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
ไม่พร้อม PATH (ประเทศไทย) และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ยกตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 10 ปี ตั้งครรภ์จากบิดา
ของตนเอง ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ประสานเจ้าหนา้ ที่ในการพามารดาไปแจง้ ความกรณีบดิ าลว่ งละเมิดทาง
เพศจนตั้งครรภ์ ในเวลาเดียวกันทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีการจัดบริการยุติการตั้งครรภ์ให้และมีการฟื้นฟู
พลังภายในของมารดา ซึ่งเป็นการจัดการจากทีมสหวิชาชีพ จัดการบริการอย่างครอบคลุมรอบด้านในการทำงาน
คมุ้ ครองเด็ก สรา้ งทางเลอื กชวี ติ ให้กับผู้ใชบ้ รกิ าร

บทบาทนักสงั คมสงเคราะหใ์ นทมี สหวิชาชีพในการเด็กและสตรีทถี่ ูกกระทำทารณุ กรรม
1. บทบาทเป็นผปู้ ระสานงานระหว่างหน่วยงานท่เี กยี่ วข้อง
2. บทบาทในการค้นหาข้อเท็จจรงิ รว่ มกับหลาย ๆ ฝ่ายเพือ่ นำขอ้ มูลมาประกอบการพิจารณา
3. บทบาทในการเข้าร่วมพจิ ารณาวางแผน
4. บทบาทในการเป็นผ้ปู ลอบโยนให้กำลังใจแก่เดก็

33

5. บทบาทในการตดิ ตามประเมนิ ผลการชว่ ยเหลือเป็นระยะ ในระหวา่ งการดำเนนิ การช่วยเหลือ
6. บทบาทในการจัดเตรยี มความพรอ้ มของครอบครัวเด็กก่อนทจี่ ะสง่ คืนสู่ครอบครวั เพอ่ื ป้องกนั การกระทำผิดซ้ำ
กลมุ่ ผพู้ กิ าร และผูเ้ จบ็ ปว่ ยเรื้อรัง

1. โครงการเด็กพิการ / คนพกิ าร
ซึ่งมีชอื่ โครงการวา่ “การสง่ เสริมคณุ ภาพชีวติ ผ้พู ิการทโ่ี รงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ (การดูแล
ผู้พิการโดยสหวิชาชีพแบบองค์รวม)” และมีหน่วยงานที่รับผิดชอบคืองานสังคมสงเคราะห์ โครงการดังกล่าวได้
เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้พิการที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ หรือที่มีภาวะพิการเข้าถึงบริการและสิทธิ
ประโยชน์ต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดสิทธิและนโยบาย “ผู้พิการมีสิทธิ
เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม
จากรัฐ รวมถึงได้รับการสงเคราะห์และจัดสวัสดิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ โดยกำหนดใน
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และสิทธิดังกล่าวจะได้รับก็ต่อเมื่อได้รับการ
ประเมนิ โดยแพทยผ์ ปู้ ระกอบอาชีพเวชกรรมทีก่ ระทรวงสาธารณสุขกำหนด
2. การดแู ลผูป้ ่วยโรคเอดส์
การดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีการจัดตั้ง “ศูนย์รวมใจรักษ์” โดยเป็นศูนย์
ให้บริการผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์และครอบครัว แบบองค์รวมร่วมกับทีมสหวิชาชีพ โดยพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยเพื่อให้
ผ้ใู ชบ้ ริการมีความพึงพอใจ รวมทงั้ ให้บริการ โดยมขี อบเขตการบริการ ดงั นี้
ใหบ้ รกิ ารผูต้ ิดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดสเ์ ด็ก
- เดก็ คลอดจากมารดาติดเชอื้ เอชไอวี (PMTCT)
- สนับสนุนนมผงแก่เดก็ ทีม่ ารดาติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ป่วยเดก็ ON ARV (ชำระเงินเอง)
- ผู้ป่วยเด็กโครงการ NAP สปสช. (รับสง่ ตอ่ ในพน้ื ที่ จงั หวัดปทมุ ธานี)
- ผปู้ ่วย NON ARV (ยังไม่ไดเ้ ริม่ ยาต้านไวรัส)

ใหบ้ รกิ ารสรา้ งเสริมสขุ ภาพแก่ผู้ตดิ เช้อื /ผ้ปู ว่ ยเอดส์
- โครงการส่งเสรมิ การใช้ถงุ ยางอนามยั
- โครงการสง่ เสริมสุขภาพผตู้ ิดเชอื้ /ผ้ปู ่วยเอดส์
- โครงการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ผู้ตดิ เชื้อ/ผูป้ ว่ ยเอดส์
- โครงการสง่ เสริมโภชนาการ
ให้บริการป้องกันโรคเอดส์แก่เยาวชน,นักเรียน,นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เกิดความ
ตระหนักในการปอ้ งกนั การติดเชอ้ื เอชไอวี และลดการรังเกยี จผู้ติดเช้ือ/ผ้ปู ว่ ยเอดส์

34

- โครงการรณรงค์ป้องกนั โรคเอดสใ์ นสถานประกอบการและสถานศึกษา
- โครงการรวมพลังป้องกันเอดส์
ใหบ้ ริการด้านวชิ าการและสังคมเกี่ยวกับโรคเอดส์
- สนบั สนุนข้อมูล งานวจิ ัย เป็นวิทยากร แจกสอื่ แผ่นพบั ถงุ ยางอนามัย
- หาเงนิ บรจิ าคเพือ่ ช่วยเหลือผูต้ ดิ เชอ้ื /ผูป้ ่วยเอดส์ และเป็นแหล่งศกึ ษาดูงานแก่ผสู้ นใจ
- ใหบ้ ริการร่วมกับชมรมผตู้ ดิ เชือ้ เอดส์ โดยมีผตู้ ิดเชื้อรว่ มให้บริการเนน้ ด้านการใหก้ ำลังใจ
- การให้คำปรึกษารายบคุ คลและครอบครัวทัง้ ทางโทรศัพท์และรายบุคคล
- การตดิ ตามการรบั ประทานยาต้านไวรัสเอดส์ และติดตามเยีย่ มบ้าน
ให้บรกิ ารผู้ติดเช้อื /ผปู้ ่วยเอดส์ ผู้ใหญ่
- หญงิ ต้งั ครรภต์ ิดเชือ้ เอชไอวี (PMTCT)
- ผปู้ ่วยโครงการ ARV (สทิ ธิประกันสังคม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์)
- ผ้ปู ่วย ON ARV ทว่ั ไป (สทิ ธชิ ำระเงนิ เอง , ราชการ)
- โครงการ NAP สปสช. (สทิ ธิ UC นกั ศกึ ษาธรรมศาสตร)์
- โครงการ NAP EXTENTION (ต่างด้าว , นอกสทิ ธ)ิ
- ผปู้ ่วย NON ARV (ยงั ไมไ่ ดเ้ ริม่ ยาต้านไวรสั ทุกสทิ ธิ)
- โครงการตรวจเลือดหาเชอ้ื เอชไอวฟี รแี ก่ค่สู มรสและครอบครวั
- ป้องกนั การติดเชือ้ เอชไอวแี ก่ประชาชนท่วั ไป
ศักยภาพ
- เป็นศูนย์วจิ ัย HIV ทางคลินิก
- การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ทั้งครอบครัวแบบองค์รวม โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย
แพทย์ผู้เช่ียวชาญโรคติดเชื้ออายุรกรรม สูติแพทย์และกุมารแพทย์ร่วมกับทีมพยาบาล เภสัชกร เทคนิคการแพทย์
นักโภชนาการ นกั สงั คมสงเคราะห์ และชมรมผ้ตู ิดเชื้อ
- เป็นศนู ยร์ ณรงค์และป้องกนั การตดิ เช้ือเอชไอวี
- มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านโรคเอดส์ มีชมรมผู้ติดเชื้อร่วมให้บริการ มีทักษะด้านการ ให้คำปรึกษา และ
เป็นวทิ ยากร
- เป็นแหล่งศกึ ษาและฝึกปฏบิ ัติการเรยี นการสอนด้านเอดส์แกบ่ ุคลากรทางการแพทย์
3. การดแู ลผูป้ ่วย Stroke
การดูแลผู้ป่วย Stroke นั้นทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้มีจัดตั้งศูนย์เชี่ยวชาญโรคหลอดเลือดสมอง
ธรรมศาสตร์ “เชี่ยวชาญหลอดเลือดสมอง รับรองเรื่องการรักษา ปลอดภัยถูกต้องทันเวลา พัฒนาระดับเครือข่าย
กระจายความรู้ส่รู ะดับสากล”

35

การบรกิ าร
ศูนย์เชี่ยวชาญโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลธรรมศาสตร์มีระบบจัดการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือด
สมองตีบและอุดตันในระยะเฉียบพลัน (Stroke fast track) เป็นศูนย์กลางรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลในเครือข่าย
โรคหลอดเลือดสมองที่อยู่บริเวณปริมณฑลกรุงเทพฯ ส่วนเหนือ ซึ่งมีปริมาณผู้ป่วยมากกว่า 500 รายต่อปีเข้ารับ
การรักษาในหอผ้ปู ่วยหลอดเลือดสมองและผปู้ ว่ ยนอก อีกมากกวา่ 1,000 รายตอ่ ปี และยังเปน็ ศนู ย์ฯ ที่มีอตั ราการ
ใหย้ าสลายล่ิมเลอื ดทางหลอดเลือดดำ (Intravenous thrombolysis)
ศูนยเ์ ชี่ยวชาญโรคหลอดเลอื ดสมองธรรมศาสตร์ยังสามารถดแู ลผปู้ ว่ ยโรคหลอดเลอื ดสมองได้อยา่ งครบวงจร ตงั้ แต่
การป้องกันการเกิดโรค (primary prevention) การให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเมื่อเกิดโรค
หลอดเลือดสมอง (acute stroke management) การป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ (secondary
prevention) และ การฟ้นื ฟสู ภาพหลงั การเกดิ โรค (post-stroke rehabilitation)
4. การดูแลผู้ปว่ ยเบาหวาน
การดแู ลผู้ป่วยเบาหวานนนั้ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ไดจ้ ัดต้งั โครงการ "เบาหวาน...ร้จู ักเพื่อป้องกัน
รู้ทันเพื่อควบคุม" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด สร้างความ
ตระหนักในการดูแลตนเอง ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ความรู้โรคเบาหวานให้ผู้ป่วยสามารถดูแลป้องกันและส่งเสริม
สุขภาพตนเอง โรคเบาหวานเป็นโรคเรือ้ รังที่พบบอ่ ยและสามารถป้องกันได้ การคัดกรองความเสี่ยงและให้ความรู้
ต้งั แต่ต้นนั้น จะช่วยสร้างความตระหนกั เกดิ การปรับเปล่ยี นวิธใี นการดำเนินชีวิตท่ีมพี ฤติกรรมสรา้ งสุขภาพท้ังด้าน
การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนัก และสูบบุหรี่ การให้บริการที่ครอบคลุมทั้งการ
ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในขณะท่ีไม่เจบ็ ปว่ ยจะช่วยให้มีสขุ ภาวะที่ดี ท้งั น้ีการตรวจคัดกรองโรค การติดตาม
อาการและรีบรับการรักษาจะช่วยลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ภาวะเบาหวานขึ้นตา ไตวายจาก
เบาหวาน ปลายประสาทเส่ือม หลอดเลอื ดสมอง หวั ใจและขาอดุ ตนั รวมท้ังช่วยลดความพกิ ารได้
นอกจากนนั้ ยังมีการจัดตั้ง “กองทนุ เพ่อื การดูแลผู้ปว่ ยเบาหวาน” โรงพยาบาลธรรมศาสตรฯ์ จัดตั้งข้ึนเพ่ือ
จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์ในการดูแลและให้การรักษาผู้ป่วยเบาหวานเพื่อ
ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ในแต่ละปีโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีผู้ป่วยเบาหวานมาใช้บริการ
รักษาจำนวนมาก และพบปญั หาแทรกซ้อนหลายอย่าง เชน่ หลอดเลอื ดสมอง ความดนั โลหิตสงู โรคหัวใจ ตาบอด
จากเบาหวาน โรคไตรวมถึงแผลติดเช้ือท่ีเท้าเพอ่ื ให้ผู้ป่วยเบาหวานไดร้ บั การดูแลรักษาท่ีทันสมัย
5. การดแู ลผู้ปว่ ยเดก็ โรคหวั ใจ
การดูแลผ้ปู ่วยเด็กโรคหัวใจนัน้ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้จดั ตง้ั “ศนู ยห์ วั ใจธรรมศาสตร์”
การบริการรกั ษา
ศนู ย์หัวใจธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ สามารถให้การดแู ลรกั ษาผปู้ ว่ ยโรคหัวใจ
ได้อยา่ งครบวงจร ไมว่ า่ จะเปน็ ผปู้ ว่ ยโรคหลอดเลือด หัวใจตีบตนั โรคลนิ้ หวั ใจพิการ ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจ

36

เต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โดยทีมอายุรแพทย์โรคหัวใจ ศัลยแพทย์โรคหัวใจและทรวงอก และพยาบาลมาก
ประสบการณ์จวบจนปัจจบุ ันศูนย์หัวใจธรรมศาสตร์ได้พัฒนาขดี ความสามารถทางดา้ นการบริการด้วยเครื่องมืออัน
ทนั สมยั ดังน้ี

- เครอ่ื งตรวจสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Laboratory)
- เครื่องตรวจโครงสรา้ งและการทำงานของหวั ใจดว้ ยคลื่นเสียงสะท้อนความถส่ี งู (ECG/EKG)
- เครื่องตรวจโครงสร้างและการทำงานของหวั ใจด้วยคลืน่ เสียงสะท้อนเสียงความถีส่ ูงโดยการสร้างภาพ3
มิติ ผ่านทางผนังหน้าอก (3D-transthoracic Echocardioraphy)
- เครื่องตรวจโครงสร้างและการทำงานของหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านทางหลอดอาหาร
(Transeseophageal Echocardiography)
- เครื่องตรวจโครงสร้างและการทำงานของหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูงและการใช้ยา
(Dobutamine Stress Echocardiography)
- เครื่องตรวจบันทึกความดันโลหิตชนิดติดตัวตลอด 24 ชั่วโมง (Ambulatory BP Measurement)
- เครื่องตรวจบนั ทกึ คลื่นไฟฟา้ หวั ใจชนดิ ตดิ ตวั ตอลด 24 ช่ัวโมง (Holter's monitoring)
- เครื่องตรวจผู้ป่วยเป็นลมหมดสติโดยใช้เตยี งปรับระดบั (Head-up Tilt table testing)
เครื่องมือดังกล่าว ข้างตน้ ศนู ย์หวั ใจธรรมศาสตร์จงึ สามารถให้การบริการรักษาผู้ปว่ ยโรคหัวใจทซ่ี ับซ้อนและรุนแรง
ไดอ้ ย่างครอบคลุม อาทิเช่น
- การฉีดสีเพื่อตรวจและขยายเลือดโคโรนารีและหลอดเลือดตำแหน่งอื่นๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำ
บอลลูน ใส่ขดลวดพยุงหลอดเลอื ดชนิดตา่ งๆ
- การขยายลน้ิ หวั ใจดว้ ยบอลลูนชนดิ ต่างๆ
- ปิดรรู ั่วผนงั กัน้ หอ้ งหวั ใจชนดิ ต่างๆ
- การใส่เครอื่ งกระตนุ้ หัวใจ ทั้งชนดิ กระตุ้นหัวใจหอ้ งเดยี วและการกระตุ้นสองห้องพร้อมกนั
- ร่วมกับภาพวิชาศัลยศาสตร์ทำการผ่าตัดต่อเส้นเลือดโคโรนารี เปลี่ยนลิ้นหัวใจ รักษาหัวใจพิการแต่
กำเนดิ ประเภทตา่ งๆ
6. การดูแลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ท้าย
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้นทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้จัดตั้ง “ศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์”
(Thammasat Hospice Palliative Care) เพื่อให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายได้เข้าพักและได้รับการดูแลและ
รักษาพยาบาลที่เหมาะสม บรรเทาอาการปวดให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยคลายความทุกข์ทรมาน โดยดูแลทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ อีกทั้งให้ญาติของผู้ป่วยได้มีโอกาสอยู่ร่วมดูแลด้วยตลอดเวลา เพื่อช่วยกันให้การพยาบาลและ
ดูแลให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ในต่างประเทศจะเรียกสถานที่นี้ว่า “Hospice” ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้งศูนย์
ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์

37

ศูนยธ์ รรมศาสตร์ ธรรมรักษ์ เกิดขึ้นจากแนวคิดท่จี ะใหม้ ีสถานทที่ ่ีหน่ึงเพอื่ ดูแลผ้ปู ่วยระยะสุดท้ายให้ได้รับ
การดูแลที่เหมาะสมและจากไปอย่างสงบ แม้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะรับรู้เรื่องดังกล่าว และอยากจะไปเสียชีวิตที่บ้าน
ท่ามกลางครอบครัวและญาติมิตร แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ในทุกกรณี เพราะในระยะสุดท้ายของชีวิต ผู้ป่วยส่วน
ใหญ่จะมีความเจ็บปวดและมีปัญหาทางการหายใจ ซึ่งญาติไม่สามารถให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอันเกิด
จากอาการดังกล่าวได้ ศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์ จึงมีเป้าหมายเพื่อให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ได้จากไป
อย่างสงบตามวิถธี รรมชาติ โดยไม่ต้องถูกพันธนาการด้วยเครื่องมือต่าง ๆ จากเทคโนโลยสี มยั ใหม่ อีกทั้งศูนย์นี้จะ
เป็นที่ที่จัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อสร้างบุคลากรในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง
และเปน็ ศนู ย์ฝกึ อบรมแก่บุคคลทัว่ ไปด้วย

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มุ่งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในด้าน
สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศาสตร์ด้านการแพทย์และพยาบาล จึงกำหนดจัดตั้ง “ศูนย์
ธรรมศาสตร์ ธรรมรกั ษ์” (Thammasat Hospice Palliative Care) และ “ศูนยค์ วามร่วมมือทางวิชาการด้านการ
ดูแลแบบประคับประคอง” (International Palliative Care Collaborating Center: IPCCC) โดยวิถีธรรมชาติ
แบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อให้ปลายทางของชีวิตผู้ป่วยมีความสมบูรณ์แบบสูงสุด ภายใต้การบูร
ณาการศาสตร์การแพทย์ พยาบาล และนติ ิศาสตร์เขา้ ดว้ ยกนั
ในระยะตน้ ศูนยธ์ รรมศาสตร์ ธรรมรกั ษ์ จะทำหน้าท่ีประสานงานกบั โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ โดย
รับผู้ป่วยหลังจากได้รับการวินิจฉัยเป็นผูป้ ่วยระยะสุดท้าย และให้การดูแลผู้ป่วยดว้ ยหัวใจความเปน็ มนุษย์จากสห
สาขาวิชาชีพที่จะตอบสนองผู้ปว่ ยใหต้ ายดี (Good Death) ทา่ มกลางบุตรหลาน หรอื ญาตมิ ติ ร ซ่ึงศูนย์แห่งน้ีไม่ใช่
ศูนย์ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง และไม่ใช่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นคนทุกวัยตั้งแต่เด็กจนถึงคนชราที่แพทย์วินิจฉัยว่า
เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย รักษาไม่หาย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และถ้าในระหว่างการดูแลผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
หรือญาติต้องการ การดูแลรักษาในโรงพยาบาล ทางศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์ จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตาม
ความต้องการของผปู้ ว่ ยและญาติ

นอกจากนี้ยังมีบริการฝึกอบรม ฝึกฝนการดูแลผู้ป่วยให้แก่ญาติหรือผู้ดูแลให้สามารถดูแลต่อที่บ้าน
เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปเสียชีวิตที่บ้านได้อย่างสงบท่ามกลางบุตรหลานและญาติมิตร ด้วยความรักความอบอุ่นที่
เรยี กว่าตายดี (Good Death) เชน่ เดียวกัน
กล่มุ แรงงานข้ามชาติ
1. การช่วยเหลือผู้ปว่ ยต่างด้าว
2. การดแู ลผู้ปว่ ยตา่ งชาติ
3. การดแู ลผู้ปว่ ยบุคคลพน้ื ทีส่ งู / ชนเผา่
4. การดแู ลผปู้ ่วยบคุ คลไรส้ ัญชาติ / ไมม่ ีสถานะทางทะเบยี น

38

การช่วยเหลอื ดแู ลผปู้ ่วยกลุ่มแรงงานข้ามชาตนิ ั้นจะมีการค้นหาปัญหาจากนักสงั คมสงเคราะห์วิชาชีพดังนี้
คอื การไม่มหี ลักฐานแสดงตวั ไม่มหี นังสือเดนิ ทาง ไมส่ ิทธกิ ารรกั ษาหรือมีคา่ ใช้จ่ายท่เี ปน็ ส่วนเกินจากสิทธิ ไม่มญี าติ
มีแนวโน้มถูกทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล นายจ้างปฏิเสธเวลาเจ็บป่วย และปัญหาทางด้านการสื่อสารเนื่องจากความ
แตกต่างทางด้านภาษา นักสังคมสงเคราะห์จะสื่อสารกับผู้ป่วยโดยการใช้ล่ามแปลภาษา นอกจากนี้นักสังคม
สงเคราะห์ ยงั มีการประสานงานส่งต่อผปู้ ่วยทมี่ ปี ญั หาหลกั ฐานไมเ่ พียงพอใชบ้ ริการหนว่ ยงานภายนอก หรอื การทำ
หนังสือราชการเพื่อขอคัดภาพถ่ายใบหน้าของบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของ
ผใู้ ชบ้ ริการ โดยผา่ นการประสานงานของหนงั สอื ราชการจากโรงพยาบาลธรรมศาสตรฯ์ หรอื การประสานงานสง่ ต่อ
ผปู้ ่วยกบั มลู นธิ เิ ครือขา่ ยส่งเสรมิ คณุ ภาพชวี ิตแรงงาน (LPN) ในการชว่ ยเหลอื ดูแลผูป้ ว่ ยท่ีเปน็ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ
กล่มุ ผูส้ ูงอายขุ าดการดูแล

กลุ่มผู้สูงอายุขาดการดูแลนั้นทางนักสังคมสงเคราะห์จะทำการแสวงหาข้อมูล การสืบประวัติ ขอบัตร
ประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง หากไม่พบนักสังคมสงเคราะห์จะทำหนังสือราชการเพื่อขอคัดภาพถ่าย
ใบหน้าของบัตรประชาชน จะนำข้อมูลเบื้อต้นประสานติดต่อญาติของผู้ป่วย เพื่อรับผู้ป่วยสูงอายุไปดูแล หากไม่
สามารถประสานหรอื ติดต่อกับญาติผูป้ ว่ ยได้นักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพจะประสานและส่งตอ่ ให้กับศูนยค์ นไรท้ ี่พงึ่
จังหวัดปทุมธานี เพื่อรับดูแลผูป้ ่วยต่อ นอกจากนี้นักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพยังประสานงานเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายค้าง
ชำระกับกองทุนผู้ป่วยยากไร้ ส่งเอกสารส่วนตัวของผู้ป่วยให้กับศูนย์คนไร้ที่พึ่ง และเป็นผู้ดำเนินการประสาน
เก่ียวกับการปรบั ยาประจำตวั ผู้ป่วยโดยเปน็ ผู้ประสานระหว่างแพทยแ์ ละผดู้ แู ลในศูนย์ฯ

39

บทที่ 3
การวเิ คราะหก์ ารปฏิบตั งิ านของหนว่ ยงาน
จากการศึกษาการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาล
สนามธรรมศาสตร์ ทำใหน้ ักศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี และรปู แบบการปฏบิ ัติงานสังคมสงเคราะห์ มาเชื่อมโยงระหว่าง
ข้อมูลองคก์ รและข้อมลู การปฏิบัตงิ านของหนว่ ยงาน ดังน้ี
3.1 การนำแนวคดิ ทฤษฎี ไปประยกุ ต์ใช้ในหน่วยงาน
3.1.1 แนวคดิ สิทธิมนุษยชน
แนวคิดสิทธิมนุษยชน คือ สิทธิของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยหลักบังคับของกฎหมาย ภายใต้สิทธิที่
เท่าเทียมกัน ความเสมอภาค ที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์น้ัน
มบี ทบาทเปน็ สถานที่ให้บริการรักษาพยาบาล แกป่ ระชาชนเพ่ือให้ประชาชนได้เข้าถึงสวสั ดิการรักษาพยาบาลเพ่ือ
พัฒนาสุขภาพประชาชนไปในทางท่ีดีขึ้น ตามลักษณะหลักแนวคดิ สิทธิมนุษยชนและตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย ที่ได้บัญญัติให้ทุกคนย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้
มาตรฐาน เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ในฐานะพลเมืองแห่งรัฐที่ทุกคนควรที่จะได้รับสิทธิในการ
รักษาพยาบาล และนอกจากน้ีการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตรต์ ้องนำแนวคิดสิทธิ
มนษุ ยชน มาใช้ดำเนินงานเช่นกนั ซ่ึงผูท้ ่ีมาใชบ้ ริการน้ันมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เชอ้ื ชาติ สัญชาติ ศาสนา
เป็นต้น นกั สังคมสงเคราะหจ์ ะต้องไม่เลือกปฏิบัติ เคารพผู้ใชบ้ รกิ ารโดยให้การบริการอยา่ งเท่าเทยี มและเสมอภาค
เช่น ผู้ใช้บริการเป็นแรงงานตา่ งด้าว นักสังคมสงเคราะห์ก็จะช่วยเหลือร่วมกับทีมสหวิชาชพี ต่างๆ โดยให้บริการที่
เทา่ เทียมกันถงึ แม้วา่ จะมีความแตกต่างทางดา้ นภาษา
3.1.2 แนวคิดความเป็นธรรมทางสังคม
โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยโควิด - 19 เปิดทำการรักษาเพื่อลดความแออัดใน
การรักษาที่โรงพยาบาลและขยายรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากที่มีการแพร่เชื้อไวรัสในช่วงที่เข้ามาใน
ประเทศแรกๆ ส่งผลให้ประชาชนมีความวิตกกังวลและหวาดกลัว คนในสังคมจะเลือกปฏิบัติหากพบเจอคนที่เคย
เป็นโควิดถึงแม้ว่าจะทำการรักษาหายแล้ว คนในสังคมจะไม่กล้าเข้าใกล้เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ถูกต้อง
มากพอ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนั้นในการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์เป็นการสะท้อนความยุติธรรม
สำหรับคนในสังคม ที่ทุกคนควรจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยการปฏิบัติงานให้กำลังใจผู้ป่วยโควิด - 19 และการ
ช่วยเหลอื งานดา้ นสังคมสงเคราะห์ นนั้ เปน็ การให้ความชว่ ยเหลือโดยเปน็ การให้กำลังจากทมี อาสาที่เคยเป็นผู้ป่วย
โควดิ - 19 ทำให้ผูป้ ว่ ยทที่ ำการรักษาน้ันคลายความกังวลจากโรคและความคิดที่คนในสังคมจะเลือกปฏิบัติได้มาก
ขึ้น หรือการทำงานสังคมสงเคราะห์ที่จะตอ้ งติดตามชวี ิตผู้ปว่ ยหลังจากได้ทำการรักษาโควิด - 19 เป็นที่เรียบร้อย
โดยการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ เช่น ติดตามสวัสดิการการช่วยเหลือเยียวยาที่ได้รับจากรัฐว่าผู้ใช้บริการ
ไดร้ ับความช่วยเหลืออยา่ งครบถว้ นหรอื ไม่อยา่ งไร

40

3.1.3 แนวคดิ การมสี ว่ นร่วม
เปน็ แนวคิดในการมสี ่วนร่วมเพ่ือแก้ไขปญั หาสาเหตุของปญั หา เพ่อื จดั ลำดับความสำคัญของปัญหาเพื่อให้
เกิดความเข้าใจและมองปัญหาได้เด่นชัดขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตรเ์ ป็นที่ทำการรักษาผู้ป่วยโควดิ - 19
ทำให้เกิดการทำงานร่วมกบั ผู้ใช้บริการที่มคี วามหลากหลายและทีมสหวชิ าชีพเข้ามารว่ มวางแผนให้ความช่วยเหลือ
เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น ผู้ใช้บริการเป็นชาวต่างชาติจะต้องมีทีมล่ามและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วม
ชว่ ยเหลือ หรอื การได้รับการสนบั สนุนจากหน่วยงานต่างๆ ในการมอบของบริจาคใหแ้ กผ่ ู้ป่วย เป็นต้น
3.1.4 ทฤษฎรี ะบบ
ทฤษฎีระบบ เป็นการปฏิบัติงานแบบองค์รวมทั้งการทำงานและการให้ความเหลือผู้ใช้บริการ ซึ่งการ
ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นั้น มีความแบ่งแยกเป็นระบบที่ชัดเจน เช่น การทำงานสังคม
สงเคราะห์ที่จะแบ่งในแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็น สาขาศัลยกรรม สาขาอายุรกรรม สาขากุมารเวชกรรม/สูตินรีเวช
กรรม สาขาจิตเวช ที่จะมีนักสังคมสงเคราะห์ให้ความช่วยเหลือในแต่ละแผนก และมีการประสานงานจาก
หน่วยงานอ่ืนๆ เพ่ือใหค้ วามช่วยเหลอื แก่ผู้ใชบ้ ริการเพือ่ จดั สรรทรพั ยากรใหต้ รงกบั ความต้องการของผใู้ ชบ้ ริการ
3.1.5 ทฤษฎีจติ สงั คม
ทฤษฎจี ิตสังคม เป็นทฤษฎีท่ใี ห้ความสนใจต่อบุคคลในสถานการณ์ตา่ งๆ วา่ มคี วามเชื่อมโยงกนั อย่างไร ไม่
ว่าจะเป็น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน สถานที่ทำงาน และสังคมรอบตัวทั้งหมด และให้ความสนใจถงึ ความแตกต่างของ
บุคคล เช่น ไม่สามารถที่จะปรับตวั เขา้ กับผอู้ ืน่ ได้ หรือไมส่ ามารถทจ่ี ะปรบั ตัวใหอ้ ย่รู อดตามปัญหาของสงั คมได้ โดย
ในงานด้านสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์นั้น ผู้ใช้บริการจะได้ทำแบบประเมินปัญหาทางสังคม
ของตนเอง เพื่อที่นักสังคมสงเคราะห์จะได้สามารถเข้าช่วยเหลือผู้ใช้บริการได้ เช่น ผู้ใช้บริการมีปัญหากังวลใจ
หากเมื่อรักษาเรียบร้อย จะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวติ ปกติได้ เนื่องจากคนรอบข้างมคี วามหวาดกลัว เพื่อนร่วมงาน
จะรงั เกยี จ นกั สงั คมสงเคราะหจ์ ะต้องให้ความรู้ แนะนำขอ้ มลู เก่ียวกบั โรคเพือ่ ทจ่ี ะใหผ้ ใู้ ชบ้ ริการลดความกังวลและ
สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่กบั สังคมได้มากขึ้น หากผู้ใช้บริการมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจนักสังคมสงเคราะห์จะ
ใหค้ วามชว่ ยเหลือโดยประเมินถึงปัญหาการปรับตวั ต่อสถานการณ์และการช่วยเหลือตนเองของผู้ใช้บริการ โดยนำ
ทฤษฎจี ติ สงั คมมาปรับใชเ้ พ่ือให้นกั สังคมสงเคราะหพ์ จิ ารณาของผใู้ ช้บรกิ ารได้อยา่ งละเอยี ดทุกแง่มุม
3.1.6 รูปแบบการปฏิบัตงิ านสงั คมสงเคราะห์
โดยในกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ จะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
เช่น การให้ทำปรึกษาระหว่างที่ผู้ป่วยทำการรักษาและช่วยเหลือปัญหาด้านอื่นๆ ในระหว่างที่ผู้ป่วยทำการรักษา
โดยมกี ารให้ทำสำรวจประเมินทางด้านสังคมของตนเอง หากประเมนิ ว่าผู้ป่วยมปี ัญหาหรือความต้องการในเรื่องใด
ก็จะให้นักสังคมสงเคราะห์เข้าทำการช่วยเหลือ และหากผู้ใช้บริการทำการรักษาเป็นที่เรียบร้อย นักสังคม
สงเคราะห์จะต้องติดตามชีวิตของผู้ใช้บรกิ ารเพื่อสืบค้นข้อเท็จจริงกับผู้ใช้บริการหรือครอบครัวด้วยการสมั ภาษณ์
ผ่านทางโทรศัพท์หรอื ส่ือออนไลน์และการเย่ยี มบ้าน นกั สังคมสงเคราะห์จะต้องใหผ้ ใู้ ช้บริการเห็นถึงปัญหา สาเหตุ

41

ของปัญหา เพื่อให้เกิดการวางแผนแนวทางการช่วยเหลือร่วมกับผู้ใช้บริการให้แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองก่อน และ
จากนั้นนักสังคมสงเคราะห์จะต้องประเมินว่าผู้ใช้บริการสามารถที่จะแก้ไขปญั หาได้ด้วยตนเองหรือไม่ ประเมินถึง
ความสามารถ ความต้องการและศักยภาพของผู้ใช้บริการ สร้างเสริมพลังอำนาจทางบวกเพื่อให้ผู้ใช้บริการมี
แรงจูงใจในการแกไ้ ขปญั หานั้นๆ และนอกจากนีน้ ักสงั คมสงเคราะห์มีการให้ข้อมูล แนะนำ แก่ผู้ใช้บริการเพื่อเป็น
การเพิ่มโอกาสและสนับสนนุ ให้ผใู้ ชบ้ รกิ ารสามารถแก้ไขปัญหานั้นไปได้ด้วยดี

3.2 การนำหลักการทางสังคมสงเคราะหไ์ ปประยุกต์ใชใ้ นหนว่ ยงาน
หลักความแตกตา่ งของบุคคล
เนอ่ื งจากบคุ คลแต่ละคนย่อมมคี วามแตกต่างกันไปตามแต่ละสภาพครอบครวั เน่อื งมาจากการอบรมเล้ียง

ดูของครอบครัวที่แตกต่างกัน ประสบการณ์ชีวิต โอกาสที่แตกต่างกัน สถานะทางเศรษฐกิจ และสถานภาพทาง
สังคมที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละบุคคลมีทัศนะ ความคิด การปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เป็นปัญหาแตกต่างกัน นัก
สงั คมสงเคราะห์จึงต้องมีการตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์และให้คุณค่ากับผู้ใช้บริการในทุกกลุ่มเป้าหมายที่
มคี วามหลากหลายท้ังทางกายภาพ หรือทางวัฒนธรรม สงั คม

หลักการมีส่วนร่วม
“การทำงานสังคมสงเคราะห์จะเริ่มต้นเมื่อผู้ใช้บริการพร้อมทำงานด้วยกัน (Start where they are)”
(รพีพรรณ คำหอม,2556) การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จะต้องตระหนักว่าในการดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งการ
ประเมิน วิเคราะห์ถึงปัญหาหรือความต้องการของผู้ใช้บริการ การวางแผนการและดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา
รวมถึงการประเมินผลนั้น ต้องให้ผู้ใช้บริการเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหาของเขา นักสังคมสงเคราะห์ต้องเคารพ
ความเหน็ และการตัดสนิ ใจของผูใ้ ชบ้ รกิ าร โดยคำนงึ ถึงประโยชนส์ งู สดุ ของผใู้ ชบ้ รกิ ารเป็นหลกั
หลักการเสริมพลงั อำนาจ
การเสริมพลังอำนาจนำไปสู่เป้าหมายสำคัญในงานสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย เนื่องจากมุ่งหลีกเลี่ยงการ
กำหนดทิศทางโดยธรรมชาติของการกระทำทางสังคมและมุมมองเฉพาะตัวด้วยการมอบงานให้ปัจเจกบุคคลและ
ครอบครัวได้ทำงานรว่ มกนั เพ่ือนำไปสู่วัตถุประสงค์ทางสงั คม (Furlong,1987)
หลกั การยอมรบั
การยอมรบั ผู้ใชบ้ ริการว่าเป็นมนุษยค์ นหน่ึง ยอมรับในตวั ของผู้ใชบ้ ริการ เพราะวา่ มนษุ ย์ทุกคนมีคุณค่า มี
ศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน เข้าใจในการกระทำและท่าทางที่ผู้ใช้บริการแสดงออกมาอย่างไม่มีอคติ เช่น ผู้ใช้บริการ
แต่งตัวสกปรก เพราะหน้าที่การงานที่ผู้ใช้บริการอาจจะต้องแต่งตัวแบบนี้ นักสังคมสงเคราะห์ก็ต้องเข้าใจและ
ยอมรับในสภาพทีผ่ ู้ใชบ้ ริการเป็น เป็นต้น

42

หลักการตดั สินใจดว้ ยตนเอง
ผู้ใช้บริการมีสิทธิที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิต หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง นัก
สังคมสงเคราะหม์ ีหนา้ ทเี่ พียงแนะนำปัญหา และสรา้ งทางเลอื กหลายทางเลือกให้ผู้ใชบ้ ริการไดต้ ดั สินใจด้วยตนเอง
โดยจะสะทอ้ นปัญหาของผู้ใชบ้ ริการและทำใหผ้ ูใ้ ชบ้ ริการสามารถจดั การกับปัญหาของตนเองได้
หลักการไม่ตำหนติ ิเตยี นผใู้ ช้บริการ
ผู้ใช้บริการอาจจะทำในสิ่งที่ผิดพลาด นักสังคมสงเคราะห์ก็ต้องช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้ใช้บริการ
จะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ใช้บริการ ไม่ตำหนิติเตียนหรือประณามการกระทำของผู้ใช้บริการ ไม่ควรซ้ำเติม
ผูใ้ ชบ้ ริการ เพราะบางส่งิ ผ้ใู ชบ้ รกิ ารอาจจะรู้เทา่ ไมถ่ ึงการณ์
หลักการรกั ษาความลบั
นักสังคมสงเคราะหจ์ ะต้องรักษาความลับของผู้ใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความมั่นใจในตัวนักสังคม
สงเคราะห์ และไม่ควรนำเรื่องราวของผู้ใช้บริการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ แต่ถ้าจะเปิดเผยควรขออนุญาตและบอก
จุดประสงคใ์ นการเปิดเผยเรื่องราวของผู้ใช้บริการ พร้อมท้งั การไดร้ ับอนญุ าตจากผใู้ ชบ้ รกิ ารด้วย
หลกั การตระหนกั ในตนเอง
มนษุ ยท์ กุ คนมลี กั ษณะเฉพาะตัว มคี วามแตกต่างกันทงั้ ในดา้ นรูปร่าง หน้าตา ลกั ษณะทา่ ทาง อปุ นิสัยนิสยั
ใจคอ ความรู้สึกทางด้านจิตใจ การแสดงออก นักสังคมสงเคราะห์ควรพึงระลึกอยู่เสมอในการปฏิบัติงานว่าตนคอื
นักสังคมสงเคราะห์ ควรแยกแยะให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเร่ืองส่วนตัว เช่น ถ้าเจอผู้ใช้บริการท่ีเป็นคนรูจ้ กั และ
ไม่เคยถูกกันมาก่อน นักสังคมสงเคราะห์ควรตระหนักว่าตนคือนักสังคมสงเคราะห์ และคนที่ไม่ถูกกับเราคือ
ผู้ใช้บริการ เป็นต้น

3.3 การนำกระบวนการปฏิบตั งิ านทางสังคมสงเคราะห์ไปประยกุ ตใ์ ช้ในหนว่ ยงาน
1. การศึกษาขอ้ มลู (Fact Finding)
มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ประวัติส่วนตัว ปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริการให้เกิด

ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงข้อจำกัดหรือเหตุผลต่างๆในตัวของผู้ใช้บริการ รวมไปถึงการสัมภาษณ์ การลงไปเยี่ยม
ผู้รับบริการในพื้นที่ สภาวะแวดล้อมที่รายล้อมรอบตัวผู้ใช้บริการ เนื่องจากการให้บริการของนักสังคมสงเคราะห์
นั้น มิใช่เพยี งแคก่ ารให้บริการแบบขอไปที แต่เปน็ การให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จรงิ

2. การวินจิ ฉัยหรอื ประเมนิ ปญั หา (Assessment)
เมอ่ื ไดศ้ ึกษาข้อมลู เบ้อื งต้นอย่างครบถ้วนดแี ล้ว ข้อมูลดงั กลา่ วนัน้ จะถูกนำมาประเมนิ หรือวนิ ิจฉยั ปัญหา
ทางสังคมทง้ั 14 ดา้ น ได้แก่
1. การพ่งึ พาตนเองทางเศรษฐกิจและรายได้
2. ทรพั ย์สนิ

43

3. การประกอบอาชพี และการทำงาน
4. ลักษณะทอี่ ยู่อาศัย
5. การหาซอ้ื สินคา้ และบริการ
6. สมั พันธภาพในครอบครวั
7. ภาระการช่วยเหลือครอบครัวและผู้อ่ืน
8. การเขา้ ถึงระบบสวัสดกิ ารจากรัฐ
9. การเขา้ ถึงบริการสขุ ภาพ
10. การดูแลสุขภาพของตนเอง
11. อารมณ์และบุคลิกภาพ
12. ความเจบ็ ปวด/ความรู้สกึ ไมส่ บายท้ังทางกายและจติ ใจ
13. ทัศนคตเิ กี่ยวกับการเจ็บปว่ ยของโรคจากคนรู้จักและคนในสังคม (การตีตรา)
14. พลงั งานและแรงขบั ความเข้มแข็งทางใจ
โดยแบบประเมนิ ปญั หาทางสังคมผู้ป่วยโรคอุบตั ิใหม่ อา้ งอิงมาจากแบบบันทึก สค.COVID-19 สมาคมนัก
สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย 2563 เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาสภาวะแวดล้อม/สถานการณ์ของ
ผู้รบั บริการและเตรียมวางแผนเพื่อให้การชว่ ยเหลอื ทีเ่ หมาะสม
3. การวางแผนให้ความช่วยเหลอื (Planning for Intervention)
เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญในการวางแผนของนักสังคมสงเคราะห์แต่ละบุคคล ในการให้ความช่วยเหลือน้ัน
จะต้องมีการวางแผนอยู่เสมอ เพื่อรองรับกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นนอกเหนือจากสิ่งที่ได้คาดการณ์ไว้ รวมไปถึง
เคร่อื งมอื สำหรบั นกั สงั คมสงเคราะหท์ ีจ่ ะใชใ้ นการใหค้ วามช่วยเหลือ
4. การลงมือใหค้ วามชว่ ยเหลือ (Intervention)

การให้ความชว่ ยเหลือในภาวะรบี ดว่ นหรือภาวะวิกฤติ
หากผู้ใช้บริการเกิดปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือในระยะสั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและมี
ผลกระทบต่อจติ ใจอยา่ งรุนแรง นักสังคมสงเคราะห์จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเรง่ ด่วน รวดเร็วมากที่สุด ซึ่งใน
ที่นี้สำหรับนักศึกษาฝึกงานวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ สามารถติดต่อสอบถามกับนักสังคมสงเคราะห์ วิชาชีพได้
โดยตรง
การให้ความชว่ ยเหลอื ใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลงระยะยาว
นักศึกษาฝึกงานวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ร่วมกับนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพ มักจะได้ดำเนินการในการ
ช่วยเหลือในระยะยาวแก่ผู้ใช้บริการโดยใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการให้บริการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและ

44

ประสิทธผิ ลอย่างสูงสุดต่อผใู้ ช้บริการ การใหค้ วามช่วยเหลือในระยะยาวนี้ จึงทำให้ผใู้ ช้บริการได้รับการตอบสนอง
ตามเป้าหมายที่ต้องการ

5. การตดิ ตามผลและประเมนิ ผล (follow Up and Evaluation)
การติดตามผลและประเมินผลอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่นั กสังคมสงเคราะห์ได้ดำเนินการให้ความ
ช่วยเหลือนั้น นอกจากจะช่วยให้สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงหรือไทม์ไลน์ของผู้รับบริการแล้วนั้น ยังทำให้
นักสังคมสงเคราะหส์ ามารถทราบถงึ สงิ่ ทไ่ี ด้ใหค้ วามช่วยเหลอื ไปนัน้ มผี ลอยา่ งไรบ้าง เชน่ ปัญหาและอุปสรรค การ
เปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นต้น หากไม่ได้ทำการติดตามผลเลย ก็เปรียบเสมือนนักสังคมสงเคราะห์โยนห่วงยางให้
ผู้ใช้บริการที่ลอยคออยูก่ ลางทะเล แล้วก็พายเรือผ่านไป แค่เพราะถือว่าตนเองได้ชว่ ยเหลอื แลว้ หลังจากนี้ต่อไปก็
ไม่ทราบชะตาชวี ติ เหมือนกนั ว่าเขาจะเป็นอยา่ งไรต่อไปนั่นเอง
6. การส้นิ สุดการให้ความช่วยเหลือ (Termination)
หลงั จากใหค้ วามช่วยเหลือในด้านต่างๆ กับผู้ใช้บรกิ ารและตดิ ตามใหก้ ารช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง จนใน
ที่สุดก็ถึงระยะที่จะต้องสิ้นสุดการให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับปัญหาหรือ
สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตนเองแล้ว เป็นต้น นักสังคมสงเคราะห์ได้ทำการประเมินผลปัญหาและ
พบว่าความต้องการของผู้ใช้บริการนั้นได้รับผลลัพธ์และถูกตอบสนองแล้ว จึงต้องลดการติดต่อกับผู้ใช้บริการให้
นอ้ ยลง เป็นอนั ส้นิ สดุ การให้ความช่วยเหลอื

3.4 การนำทกั ษะทางวชิ าชีพสงั คมสงเคราะห์ไปประยุกตใ์ ชใ้ นหน่วยงาน
ทกั ษะการสรา้ งสัมพนั ธภาพ
การสร้างสัมพันธภาพเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นในการทำงานสังคมสงเคราะห์ เนื่องจากตัวนักสังคม

สงเคราะห์และผู้ใช้บริการน้ันไมใ่ ช่คนทีร่ จู้ ักกันมาก่อน การมปี ฏสิ ัมพันธท์ ีด่ ตี อ่ กนั ในครง้ั แรกและทกุ ๆคร้ังท่ีพบเจอ
โดยเริ่มจากการแนะนำตัวของนักสังคมสงเคราะห์ บอกตัวเองเราว่าเป็นใคร ชื่ออะไร พร้อมบอกว่าเราเป็นนัก
ฝึกงานวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ เป็นคำที่อาจารย์ภาคสนามมีข้อตกลงให้ใช้เพราะดูสร้างความไว้วางใจและ
น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสร้างความเข้าถึงและทำให้ผู้ใช้บริการเปิดใจในการพูดคุย ซึ่งในสถานการณ์
ปัจจุบันนั้น นักศึกษาได้เรียนรู้และปรับตัวในการใช้ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ในรูปแบบออนไลน์ หรือภายใต้
หน้ากากอนามัย ด้วยการใช้ น้ำเสียง ท่าทาง สายตา ที่จริงใจ สื่อออกไปให้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่เรามีต่อ
ผ้ใู ช้บรกิ าร จนเกิดความไวว้ างใจ

45

ทกั ษะการสังเกต
จากการศึกษาการฝึกปฏิบัติงานครัง้ นี้ เป็นรูปแบบออนไลน์ทำให้การเข้าถึงผู้ใช้บริการมีการเปลี่ยนแปลง
ไปจากเดิม เพราะในผู้ใช้บริการบางราย เราได้ยินเพียงแค่เสียง หรือในบางรายเรากลับได้เห็นเพียงแค่ข้อความที่
พวกเขาพิมพ์มาเทา่ นั้น แตท่ ักษะการสังเกตกย็ งั เป็นทักษะทีน่ ักสังคมสงเคราะหจ์ ำเป็นจะต้องใชแ้ ละปรับเปลี่ยนให้
เข้ากบั การเปลย่ี นแปลงในสถานการณ์ปัจจุบัน จากการสงั เกต สีหน้าท่าทาง กค็ งต้องเพิ่มการสังเกต น้ำเสียง หรือ
แม้แต่เวลาที่ผู้ใช้บริการพิมพ์โต้ตอบ คำพูดในการพิมพ์ ว่ามีการเปลี่ยนแปลง หรือมีอะไรที่ผิดแปลกไปจากปกติ
หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้จะทำได้ยากกว่าในสถานการณ์ปกติ แต่ถ้าหากเราพยายามและสังเกตจริงๆ เราจะสามารถ
ประเมนิ ผูใ้ ชบ้ ริการอย่างทั่วถึงในทุกเร่อื งมากยิ่งขน้ึ
ทกั ษะการสมั ภาษณ์
นักสังคมสงเคราะห์จะมีการสัมภาษณ์ผู้ใช้บริการถึงปัญหาเพื่อประเมินและดำเนินการช่วยเหลือ
ผู้ใช้บริการตามวัตถปุ ระสงค์หรือปัญหาที่ผู้ใช้บริการกำลังเผชิญในบางกรณีพยาบาลส่งปรึกษานกั สังคมสงเคราะห์
ในปัญหาของเรื่องเศรษฐกิจแต่เมื่อนักสังคมสงเคราะห์สัมภาษณ์ผู้ใช้บริการพบว่าผู้ใช้บริการมีปัญหามากกว่า
ปญั หาที่พยาบาลส่งปรึกษาในเร่ืองของเศรษฐกจิ การสัมภาษณ์จงึ นำมาสู่ข้อมูลข้อมูลต่างๆตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้
การสัมภาษณ์ทางสังคมสงเคราะห์เปน็ การสัมภาษณ์เพื่อช่วยเหลอื และก่อใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขปัญหาการ
สัมภาษณ์จึงเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญในการปฏิบัติงานเพื่อให้นักสังคมสงเคราะห์ทราบถึงข้อเท็จจริงปัญหาและ
ความต้องการของผู้ใช้บริการได้ อีกหนึ่งข้อสำคัญในการสมั ภาษณ์ คือ ต้องระวังการใช้คำพูดเปน็ อย่างมาก เพราะ
ในบางเรื่องที่เราถามเพื่อต้องการข้อมูลแต่ในบางทีผู้ใช้บริการอาจจะไม่อยากตอบ หรือรู้สึกไม่พอใจในการถาม
และจะหายไปจากนกั สงั คมสงเคราะหเ์ ลยทันที
ทกั ษะการเย่ยี มบา้ น
การเยี่ยมบ้านนั้นมีเป้าหมาย คือเราต้องการทราบข้อมูลของผู้ใช้บริการเพิ่มเติม เพื่อหาแนวทางในการ
สง่ เสริมและพฒั นา ดังนั้นจงึ ไม่ควรตำหนิหรือวิพากษ์วจิ ารณ์ขณะที่กำลงั พูดคุยกันระหว่างการเยี่ยมบา้ น การเยี่ยม
บ้าน เป็นกิจกรรมที่ผู้ใช้บริการต้องสละเวลามาพูดคุยพบปะกับนักสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้เวลาในการ
เยี่ยมบ้านผใู้ ชบ้ ริการแต่ละคนนานจนเกินไป เพอ่ื ไมใ่ ห้ไปรบกวนเวลาส่วนตวั ของผู้ใช้บริการ แต่ก็ไม่ควรเร็วเกินไป
จนไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ นักสังคมสงเคราะห์บางหน่วยงานมีเครื่องแบบที่สะท้อนความเป็นวิชาชีพในการทำงาน
และมกี ารใชพ้ าหนะที่มสี ญั ลักษณ์ของหน่วยงานในการเยีย่ มบา้ นผู้ใชบ้ ริการซึ่งในบางกรณีผู้ใชบ้ ริการไม่ต้องการให้
เยี่ยมบ้านเนื่องจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะรับทราบฉะนั้นนักสังคมสงเคราะห์ที่ต้องเ ยี่ยมบ้านผู้ใช้บริการที่มีปัญหา
อ่อนไหวเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด -19 ฯลฯ จำเป็นต้องยืดหยุ่นทั้งในด้านการแต่งกายและพาหนะ


Click to View FlipBook Version