The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by น้ำตาล นต, 2022-10-18 04:14:49

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร

แผนการจดั การเรียนรู้

กลุ่มสาระการเรียนรู้

วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ว21101 วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน

ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นบ้านหมากแข้ง

สํานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษาอุดรธานี เขต1
สาํ นักงานคณะกรรมการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ

นางสาวสุดารตั น์ ปิยะนนั ท์

-61100147110-

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์(ชีววิทยา) คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี

แผนการจัดการเรียนรู้
วิชาวิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน ว21101
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์อย่างไร
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นบ้านหมากแขง้

นางสาวสุดารัตน์ ปยิ ะนนั ท์
รหสั ประจำตวั นกั ศึกษา 61100147110

สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์(ชวี วิทยา)

การฝกึ ปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)

คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565



คำนำ

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน รหัสวชิ า ว21101 ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 เลม่ 1 นี้
จัดทำข้นึ เพ่ือใชเ้ ปน็ แนวทางในการจัดการเรยี นการสอนให้มีประสิทธิภาพ และใหน้ กั เรยี นบรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้/ตัวชี้วัด ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
พุธศักราช 2560) ผู้จัดทำจึงได้ศึกษาสาระการเรียนรู้ เทคนิค วิธีการสอน การวัดและประเมินผล มาทำ
แผนการจัดการเรยี นรใู้ นคร้งั นี้

แผนการจัดการเรียนรู้ในเล่มที่ 1 นี้ ประกอบไปด้วย เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ ทำไมต้องเรยี นวิทยาศาสตร์ เรียนรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ คุณภาพ
ผู้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของผเู้ รียน ตัวช้ีวัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง คำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา โครงสร้างกำหนดการสอน การวัดและการ
ประเมินผลการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรยี นรหู้ น่วยท่ี 1 เรยี นร้วู ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร

แผนการจัดการเรยี นรู้หนว่ ยท่ี 1 เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ย่างไร เพื่อให้นกั เรียนมพี ัฒนาการและศกั ยภาพ
การเรยี นรู้ไดบ้ รรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ช้ีวัดไดอ้ ยา่ งครบถ้วน หวงั เป็นอย่างยิ่งว่า แผนการ
จัดการเรียนรู้ฉบับน้ี จะสามารถนำไปใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
นำไปส่กู ารพัฒนาที่ถูกตอ้ งและเกดิ ผลตอ่ ผู้เรยี นเป็นอย่างดี

สุดารัตน์ ปยิ ะนันท์
17 ตุลาคม 2565



สารบญั

เรื่อง หน้า
คำนำ……………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………………………. ข
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พธุ ศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พุธศักราช 2560)
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี……………………………………………………………………… ค

เป้าหมายของการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์………………………………………………………. ค
ทำไมต้องเรยี นวิทยาศาสตร์………………………………………………………………………………………… ค
เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตร์…………………………………………………………………………………………. ง
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้…………………………………………………………………………………….. จ
คุณภาพผู้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3………………………………………………………………………… ฉ
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น………………………………………………………………………………………… ซ
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของผ้เู รียน………………………………………………………………………….. ฌ
ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง………………………………………………………………………….. ญ
คำอธบิ ายรายวิชา…………………………………………………………………….…………………………………………… ถ
โครงสรา้ งรายวชิ า………………………………………………………………………………………………………………… ท
โครงสร้างกำหนดการสอน…………………………………………………………………………………………………….. ล
การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้……………………………………………………………………………………… ศ
แผนการจดั การเรยี นร้หู นว่ ยท่ี 1 เรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์อย่างไร……………………………………………………. 1
แผนท่ี 1 ความสำคญั และความหมายของวิทยาศาสตร์…………………………………………………… 1
แผนที่ 2 กระบวนการทำงานของนกั วทิ ยาศาสตร์………………………………………………………….. 9
แผนที่ 3 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์……………………………………………………………….. 17



หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พุทธศกั ราช 2560)
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

เป้าหมายของการจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตรเ์ ปน็ เรือ่ งของการเรียนร้เู ก่ยี วกับธรรมชาติ โดยเฉพาะมนษุ ย์ใช้กระบวนการสงั เกต สำรวจ

ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลกั การ แนวคิดและทฤษฎี
ดังนัน้ การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมุ่งเนน้ ให้ผู้เรยี นได้เป็นผู้เรียนรูแ้ ละค้นพบด้วยตนเองมากทีส่ ุด นั่นคือ
ให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ในสถานศึกษาและเมื่อออกจาก
สถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแล้ว การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ในสถานศกึ ษามีเป้าหมายสำคญั ดังนี้

1. เพอ่ื ให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีท่เี ป็นพ้ืนฐานในวทิ ยาศาสตร์
2. เพ่อื ให้เข้าใจ ธรรมชาติ และข้อจำกัดของวทิ ยาศาสตร์
3. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะทส่ี ำคญั ในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. เพอื่ พัฒนากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หาและการ จดั การ ทักษะ
ในการสอื่ สาร และสามารถในการตัดสนิ ใจ
5. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ยแ์ ละสภาพแวดล้อมใน
เชงิ ที่มอี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซึ่งกนั และกนั
6. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ
การดำรงชวี ิต
7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์

ทําไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุก

คนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจน เทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่าง ๆ
ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวก ในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์
ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิด
เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถตดั สนิ ใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลาย และมีประจกั ษพ์ ยานท่ีตรวจสอบ
ได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society)



ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและ
เทคโนโลยีท่ีมนษุ ย์สร้างสรรคข์ ึ้น สามารถนำความร้ไู ปใชอ้ ย่างมเี หตผุ ล สรา้ งสรรค์ และมคี ณุ ธรรม

เรียนรูอ้ ะไรในวิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรม์ ุ่งหวงั ให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนร้วู ิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชอ่ื มโยงความรู้กับ

กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วนร่วม ในการเรยี นรู้ทุกข้ันตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือ
ปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชนั้ โดยไดก้ ำหนดสาระสำคญั ไวด้ งั น้ี

✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตการดำรงชวี ิต
ของมนษุ ย์และสตั ว์การดาํ รงชีวติ ของพืช พนั ธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวฒั นาการของส่ิงมีชีวติ

✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่
พลังงาน และคลื่น

✧ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรูเ้ กี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ
สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ
และผลตอ่ สิ่งมีชีวติ และสิง่ แวดล้อม

✧ เทคโนโลยี
● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เก่ียวกับ เทคโนโลยีเพือ่ การดํารงชีวิตในสังคมทีม่ กี าร

เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แก้ปัญหาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี
อย่างเหมาะสมโดยคํานึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ิต สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม

● วิทยาการคํานวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคํานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็น
ขั้นตอนและเปน็ ระบบ ประยกุ ตใ์ ช้ความร้ดู ้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร
ในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชวี ิตจรงิ ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ



สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสิ่งไม่มีชีวิต

กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทีม่ ตี ่อทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม รวมทั้งนําความรู้
ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสงิ่ มชี ีวิต หนว่ ยพื้นฐานของส่งิ มีชีวติ การลําเลียงสารเข้า
และออกจากเซลลค์ วามสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ย์ท่ีทํางานสัมพันธ์
กนั ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ของพืชทที่ าํ งานสมั พันธ์กนั รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้
ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสําคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธกุ รรมสารพนั ธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธกุ รรมทม่ี ีผลต่อสง่ิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวัฒนาการของสิง่ มชี วี ิต รวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่าง

สมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจําวัน ผลของแรงที่กระทําต่อวัตถุ
ลักษณะการเคลื่อนทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถรุ วมท้ังนําความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ิตประจาํ วัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้อง
กับเสยี ง แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นําความร้ไู ปใช้ประโยชน์

สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอก

ภพกาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ



มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ
เปลย่ี นแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบตั ิภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลก
รวมทัง้ ผลตอ่ สง่ิ มีชีวติ และสง่ิ แวดล้อม

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมที่มีการ

เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี
อย่างเหมาะสมโดยคาํ นงึ ถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคํานวณในการแกป้ ญั หาทีพ่ บในชีวติ จรงิ อย่างเป็น
ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรูก้ ารทํางาน และการแก้ปัญหาได้
อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม

คุณภาพผ้เู รียนจบชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3

❖ เข้าใจลกั ษณะและองค์ประกอบทส่ี าํ คญั ของเซลล์ส่งิ มชี ีวิต ความสัมพนั ธข์ องการทาํ งานของระบบ
ต่าง ๆ ในรา่ งกายมนุษยก์ ารดาํ รงชีวติ ของพืช การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมการเปล่ยี นแปลงของยีนหรือ
โครโมโซม และตวั อยา่ งโรคท่เี กิดจากการเปลยี่ นแปลงทางพนั ธุกรรมประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัด
แปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและการถ่ายทอด
พลังงานในส่ิงมชี วี ิต

❖ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสมหลักการแยกสาร การ
เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกดิ สารละลายและการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีและสมบัติ
ทางกายภาพ และการใช้ประโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอรเ์ ซรามกิ และวสั ดุผสม

❖ เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธแ์ ละผลของแรงลัพธ์กระทําต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรงแรงที่ปรากฏใน
ชีวิตประจําวัน สนามของแรง ความสมั พันธ์ของงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศกั ย์โนม้ ถ่วงกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน
การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟา้ การต่อวงจรไฟฟา้ ในบา้ น พลังงาน
ไฟฟา้ และหลกั การเบ้อื งตน้ ของวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

❖ เข้าใจสมบัติของคลื่น และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อนการหักเหของแสงและ
ทศั นอปุ กรณ์



❖ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนทีป่ รากฏของดวงอาทติ ย์
การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์การเกิดน้ำข้ึนน้ำลงประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศและ
ความก้าวหน้าของโครงการสาํ รวจอวกาศ

❖ เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศการเกิดและ
ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมนุ เขตรอ้ น การพยากรณอ์ ากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
โลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ์และการใช้ประโยชน์พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์
ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน
กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำใตด้ ินกระบวนการเกิดและผลกระทบของภยั ธรรมชาติและธรณี
พบิ ตั ภิ ัย

❖ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ความสมั พันธ์ระหว่างเทคโนโลยกี ับศาสตรอ์ น่ื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตรว์ เิ คราะห์ เปรยี บเทียบ
และตัดสินใจเพื่อเลอื กใช้เทคโนโลยีโดยคํานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ประยุกต์ใช้ความรู้
ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสําหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจําวันหรือการประกอบ
อาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม ปลอดภยั รวมทัง้ คาํ นงึ ถงึ ทรัพยส์ ินทางปญั ญา

❖ นาํ ขอ้ มูลปฐมภมู ิเข้าส่รู ะบบคอมพวิ เตอร์ วิเคราะห์ ประเมนิ นําเสนอขอ้ มูลและสารสนเทศได้ตาม
วัตถปุ ระสงค์ ใช้ทกั ษะการคดิ เชิงคาํ นวณในการแก้ปัญหาที่พบในชวี ิตจริงและเขียนโปรแกรมอยา่ งงา่ ยเพ่ือช่วย
ในการแก้ปญั หา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารอย่างรู้เท่าทนั และรบั ผิดชอบต่อสังคม

❖ ต้ังคาํ ถามหรอื กําหนดปญั หาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรอื หลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีการ
กําหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคําตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนําไปสู่การสํารวจ
ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสํารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพทีไ่ ด้ผลเที่ยงตรงและ
ปลอดภัย

❖ วเิ คราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ไี ด้จากการสาํ รวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน
โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงขอ้ สรปุ และสื่อสารความคดิ ความรู้
จากผลการสํารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่าง
เหมาะสม



❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้มีความคิด
สร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง
เชอ่ื ถือได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเตมิ จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเหน็ ของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น
และยอมรับการเปลย่ี นแปลงความรทู้ ่คี น้ พบ เมือ่ มีข้อมลู และประจักษ์พยานใหม่เพม่ิ ข้ึนหรอื โต้แยง้ จากเดิม

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจําวันใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการดํารงชีวติ และการประกอบอาชพี แสดงความชื่นชม ยกยอ่ ง
และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คดิ ค้น เขา้ ใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบของการพฒั นาทางวทิ ยาศาสตร์
ต่อส่งิ แวดล้อมและต่อบริบทอน่ื ๆ และศกึ ษาหาความรูเ้ พมิ่ เติม ทาํ โครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซึง้ ห่วงใย มพี ฤติกรรมเกี่ยวกบั การดูแลรักษาความสมดลุ
ของระบบนเิ วศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึง

การพัฒนาผเู้ รียนให้บรรลุ มาตรฐานการเรยี นรู้ท่ีกำหนดนน้ั จะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ
ดังนี้

1. ความสามารถในการส่อื สาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ัฒนธรรม ในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปญั หาความขดั แย้งต่าง ๆ การเลอื กรับหรือไมร่ ับขอ้ มลู ขา่ วสารด้วยหลกั เหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการ
เลือกใช้ วธิ กี ารสอ่ื สาร ทม่ี ีประสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบทม่ี ตี ่อตนเองและสงั คม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคดิ อย่าง
สรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และการคิดเปน็ ระบบ เพือ่ นำไปสู่ การสร้างองคค์ วามร้หู รอื สารสนเทศ
เพอ่ื การตัดสินใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ย่าง เหมาะสม

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปญั หาและอุปสรรคต่าง ๆ ทเ่ี ผชญิ ได้
อยา่ งถูกต้องเหมาะสมบนพน้ื ฐานของหลกั เหตผุ ล คณุ ธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เขา้ ใจความสัมพันธ์และการ
เปลี่ยนแปลงของเหตุการณต์ า่ ง ๆ ในสงั คม แสวงหา
ความรู้ ประยกุ ตค์ วามรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และแก้ไขปญั หา และมกี ารตดั สินใจทีม่ ี ประสทิ ธภิ าพ โดยคำนงึ ถึง
ผลกระทบ ที่เกิดข้นึ ตอ่ ตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดล้อม



4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เป็นความสามารถในการนำกระบวนการ ตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการ
ดำเนินชีวติ ประจำวนั การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรยี นร้อู ย่างต่อเน่อื ง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม
ด้วยการสรา้ งเสรมิ ความสมั พันธอ์ ันดรี ะหว่าง บคุ คล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรบั ตัวใหท้ ันกับ การเปล่ียนแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม และการรูจ้ กั หลีกเลย่ี งพฤติกรรมไม่ พงึ
ประสงค์ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อนื่

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพฒั นาตนเองและสงั คม ในด้านการเรียนรู้ การสือ่ สาร การ
ทำงาน การแก้ปัญหา อย่างสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสมและมีคณุ ธรรม

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรยี น
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน มุง่ พัฒนาผเู้ รียน ใหม้ ีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพอื่ ให้

สามารถอยูร่ ว่ มกับผอู้ ่นื ใน สังคมไดอ้ ย่างมคี วามสุข ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ดงั น้ี
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซอื่ สัตยส์ ุจริต
3. มวี ินัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งมั่นในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจติ สาธารณะ



ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1

สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารผ่านเซลล์
ความสัมพนั ธ์ ของโครงสร้าง และหนา้ ที่ของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ทีท่ ำงานสมั พนั ธ์กัน ความสัมพนั ธ์
ของโครงสรา้ งและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ที ำงานสมั พันธ์กันรวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ชวี้ ัดชนั้ ปี / รายภาค สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

➢ ต ั ว ช ี ้ ว ั ด ว 1 . 2 ม . 1 / 1 - เซลลเ์ ป็นหน่วยพนื้ ฐานของส่ิงมีชีวิตสงิ่ มีชีวิตบางชนิดมีเซลล์

เปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะ และ เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมีบา พารามีเซยี ม ยีสต์ บางชนิดมีหลาย
โครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ เซลล์ เชน่ พชื สตั ว์
รวมท้ังบรรยายหน้าทีข่ องผนังเซลล์ เย่ือ - โครงสร้างพื้นฐานที่พบทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ และ
หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิว สามารถสังเกตไดด้ ว้ ยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงได้แก่ เยือ่ หุ้มเซลล์ ไซ
โอล ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ โทพลาซึม และนิวเคลียส โครงสร้างที่พบในเซลล์พืชแต่ไม่พบใน
➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้อง เซลล์สตั ว์ ไดแ้ ก่ ผนังเซลลแ์ ละ คลอโรพลาสต์
จุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์ และ - โครงสร้างตา่ งๆของเซลล์มีหน้าท่ีแตกต่างกัน
- ผนังเซลลท์ าํ หน้าทใี่ หค้ วามแข็งแรงแก่เซลล์
โครงสรา้ งตา่ ง ๆ ภายในเซลล์
- เย่ือหมุ้ เซลล์ทําหนา้ ที่หอ่ หุ้มเซลล์และควบคุมการลาํ เลียงสาร

เขา้ และออกจากเซลล์

- นิวเคลียส ทาํ หน้าทค่ี วบคมุ การทาํ งานของเซลล์

- ไซโทพลาซมึ มอี อร์แกเนลลท์ ีท่ าํ หน้าทแี่ ตกต่างกัน

- แวคิวโอล ทําหนา้ ท่ีเก็บน้ำและสารต่าง ๆ

- ไมโทคอนเดรีย ทำหน้าทีเ่ กีย่ วกับการสลายสารอาหารเพ่ือให้

ไดพ้ ลังงานแกเ่ ซลล์

- คลอโรพลาสต์เป็นแหล่งทเี่ กดิ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/3 อธิบาย - เซลลข์ องส่ิงมชี ีวิตมรี ูปรา่ ง ลกั ษณะ ทีห่ ลากหลายและมีความ

ความ สัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการทำ เหมาะสมกับหนา้ ที่ของเซลล์นน้ั เชน่ เซลลป์ ระสาทสว่ นใหญ่มีเส้น
ใยประสาทเปน็ แขนงยาว นํากระแสประสาทไปยังเซลล์อน่ื ๆ ทีอ่ ยู่
หนา้ ทขี่ องเซลล์ ไกลออกไป เซลลข์ นรากเป็นเซลลผ์ ิวของรากที่มีผนงั เซลล์และเย่ือ



ตัวชี้วัดชั้นปี / รายภาค สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

หุ้มเซลล์ยื่นยาวออกมาลักษณะคล้ายขนเส้นเล็ก ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่
ผวิ ในการดดู นำ้ และธาตอุ าหาร

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/4 อธิบาย - พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีการจัดระบบ โดยเริ่ม

การจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจาก จากเซลล์ไปเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะระบบอวัยวะและสิ่งมีชีวิต
เซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จน ตามลําดับ เซลล์หลายเซลล์มารวมกันเป็นเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อหลาย
ชนิดมารวมกนั และทํางานร่วมกันเป็นอวัยวะอวัยวะต่าง ๆ ทำงาน
เปน็ สงิ่ มีชวี ิต รว่ มกันเป็นระบบอวยั วะ ระบบอวัยวะทกุ ระบบทำงานร่วมกันเป็น

ส่ิงมชี ีวิต

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/5 อธิบาย - เซลลม์ กี ารนาํ สารเข้าสู่เซลลเ์ พือ่ ใช้ในกระบวนการตา่ ง ๆ ของ

กระบวนการแพร่และออสโมซิสจาก เซลล์และมีการขจัดสารบางอยา่ งที่เซลลไ์ ม่ต้องการออกนอกเซลล์
หลักฐานเชิงประจักษ์และยกตัวอย่าง การนำสารเข้า และออกจากเซลลม์ ีหลายวธิ ี เชน่ การแพร่เป็นการ
เคล่อื นที่ของสารจากบรเิ วณที่ความเข้มขน้ ของสารสูงไปสู่บริเวณที่
การแพร่ และออสโมซสิ ในชวี ิตประจำวนั มีความเข้มข้นของสารต่ำ ส่วนออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้ำผ่าน

เย่ือหุ้มเซลล์จากดา้ นที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปยังด้านท่ี

มีความเข้มขน้ ของสารละลายสูงกว่า

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/6 ระบุ - กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เกิดขึ้นใน
ปัจจัยท่ีจำเปน็ ในการสงั เคราะห์ด้วยแสง คลอโรพลาสต์จำเป็นต้องใช้แสง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
และผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ คลอโรฟิลล์ และน้ำ ผลผลิตทไี่ ดจ้ ากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
ดว้ ยแสง โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ น้ำตาล และแกส๊ ออกซเิ จน

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/7 อธิบาย - การสงั เคราะห์ด้วยแสง เปน็ กระบวนการท่ีสำคญั ต่อส่ิงมีชีวิต

ความสำคัญของการสังเคราะห์ด้วยแสง เพราะเป็นกระบวนการเดียวที่สามารถนําพลังงานแสงมา
ของพชื ต่อส่งิ มีชีวิต และส่ิงแวดลอ้ ม เปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปสารประกอบอินทรีย์และเก็บสะสมใน
รูปแบบต่าง ๆ ในโครงสร้างของพืช พืชจึงเป็นแหล่งอาหารและ
➢ ตัวชวี้ ดั ว 1.2 ม.1/8 ตระหนกั พลงั งานท่ีสำคญั ของส่ิงมีชีวติ อนื่ นอกจากนีก้ ระบวนการสงั เคราะห์

ในคุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และ



ตัวชีว้ ัดชั้นปี / รายภาค สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

สิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูก และ ด้วยแสงยังเป็นกระบวนการหลักในการสร้างแก๊สออกซิเจนให้กบั
ดูแลรักษาตน้ ไม้ในโรงเรียน และชมุ ชน บรรยากาศเพ่อื ใหส้ ิง่ มีชวี ิตอืน่ ใช้ในกระบวนการหายใจ

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/9 บรรยาย - พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็ม ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อมีลักษณะคล้ายท่อ

ลักษณะและหน้าที่ของไซเล็ม และ เรียงตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะที่โดยไซเล็มทำหน้าท่ีลำเลียงน้ำ และ
ธาตุอาหารมีทิศทางลำเลียงจากรากไปสู่ลำต้น ใบ และส่วนต่างๆ
โฟลเอม็
ของพืชเพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงรวมถึงกระบวนการอื่น ๆ
➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/10 เขียน ส่วนโฟลเอ็มทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วย

แผนภาพที่บรรยายทิศทางการลำเลียง แสงมีทิศทางลำเลียงจากบริเวณที่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงไปสู่
สารในไซเล็ม และโฟลเอ็มของพืช
ส่วนตา่ ง ๆ ของพืช

➢ ตัวช้ีวัด ว 1.2 ม.1/11 อธบิ าย - พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ และบาง
การสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ และไมอ่ าศัย ชนดิ สามารถสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศได้

เพศของพืชดอก

➢ ตัวชีว้ ดั ว 1.2 ม.1/12 อธิบาย - การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่มีการผสมกัน

ลกั ษณะโครงสรา้ งของดอกที่มีสว่ นทำให้ ของสเปิร์มกับเซลล์ไข่การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก
เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้งบรรยายการ เกิดขึ้นที่ดอกโดยภายในอับเรณูของส่วนเกสรเพศผู้มีเรณูซึ่งทํา
หน้าที่สร้างสเปิร์ม ภายในออวุลของส่วนเกสรเพศเมียมีถุง
ปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและ เอม็ บรโิ อ ทําหนา้ ท่สี รา้ งเซลล์ไข่

เมล็ดการกระจายเมล็ด และการงอก

ของเมล็ด - การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่พืชต้นใหม่

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/13 ไม่ได้เกดิ จากการปฏิสนธริ ะหวา่ งสเปริ ์มกับเซลลไ์ ข่แต่เกิดจากส่วน
ตา่ ง ๆ ของพืช เชน่ ราก ลําตน้ ใบ มีการเจริญเติบโตและพฒั นาข้ึน
ตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ที่ช่วย มาเป็นตน้ ใหมไ่ ด้
ในการถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไม่ - การถา่ ยเรณูคอื การเคลือ่ นย้ายของเรณจู ากอบั เรณไู ปยังยอด

ทำลายชีวิตของสัตว์ที่ช่วยในการถ่าย เกสรเพศเมีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับลกั ษณะและโครงสรา้ งของดอก เช่น

เรณู สขี องกลีบดอก ตําแหน่งของเกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมีย โดยมีส่ิง

ที่ชว่ ยในการถา่ ยเรณเู ชน่ แมลง ลม

- การถ่ายเรณูจะนําไปสูก่ ารปฏิสนธซิ ง่ึ จะเกิดขึ้นที่ถุงเอ็มบริโอ

ภายในออวลุ หลังการปฏิสนธิจะได้ไซโกต และเอนโดสเปริ ์ม ไซโก



ตัวชี้วัดชนั้ ปี / รายภาค สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ ออวลุ พฒั นาไปเป็นเมลด็ และรังไข่
พัฒนาไปเปน็ ผล
- ผลและเมล็ดมกี ารกระจายออกจากตน้ เดิม โดยวิธกี ารต่าง ๆ เม่อื
เมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด
โดยเอ็มบริโอภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะอาศัย
อาหารที่สะสมภายในเมล็ด จนกระทั่งใบแท้พัฒนา จนสามารถ
สังเคราะหด์ ้วยแสงได้เต็มที่และสร้างอาหารได้เองตามปกติ

➢ ตัวชว้ี ดั ว 1.2 ม.1/14 อธิบาย - พืชต้องการธาตุอาหารที่จำเปน็ หลายชนิดในการเจริญเติบโต

ความสำคัญของธาตุอาหารบางชนิดที่มี และการดำรงชีวติ
ผลต่อการเจริญเตบิ โต และการดำรงชวี ิต - พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมากได้แก่
ของพชื ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และ
กำมะถัน ซงึ่ ในดินอาจมีไมเ่ พียงพอสำหรบั การเจริญเติบโตของพืช
➢ ตวั ชี้วัด ว 1.2 ม.1/15
เลอื กใช้ปยุ๋ ท่มี ีธาตอุ าหารเหมาะสมกับ จึงตอ้ งมกี ารให้ธาตอุ าหารในรปู ของปยุ๋ กบั พชื อย่างเหมาะสม

พชื ในสถานการณท์ ่ีกำหนด



ตัวช้วี ัดช้ันปี / รายภาค สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการ - มนุษย์สามารถนำความรู้เรื่องการสืบพันธุ์แบบ

ขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับความต้องการ อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มาใช้ในการขยายพันธ์เุ พือ่
ของมนุษย์โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุ เพิ่มจำนวนพืช เช่น การใช้เมล็ดที่ได้จากการสืบพันธ์ุ
แบบอาศัยเพศมาเพาะเลีย้ งวิธกี ารนี้จะไดพ้ ชื ในปริมาณ
ของพืช มาก แต่อาจมีลักษณะที่แตกต่างไปจากพอ่ แม่ส่วนการ

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/17 อธิบาย ตอนกิ่ง การปักชำ การต่อกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง
ความสำคัญของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นการนำความรู้เรื่องการ

เนอ้ื เยอื่ พชื ในการใชป้ ระโยชน์ด้านต่าง ๆ สืบพันธแุ์ บบไม่อาศัยเพศของพชื มาใช้ในการขยายพันธ์ุ

เพื่อให้ได้พชื ท่มี ลี กั ษณะเหมือนตน้ เดิมซึ่งการขยายพันธ์ุ

แตล่ ะวิธมี ขี ั้นตอนแตกต่างกัน จงึ ควรเลอื กให้เหมาะสม

กับความต้องการของมนุษย์โดยต้องคำนึงถึงชนิดของ

พชื และลักษณะการสืบพันธ์ขุ องพืช

➢ ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/18 ตระหนักถึง - เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นการนํา

ประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืชโดยการนำ ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยท่ีจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของ
พืชมาใช้ในการเพิ่มจำนวนพืช และทำให้พืชสามารถ
ความรู้ไปใชใ้ นชวี ิตประจําวัน เจรญิ เตบิ โตไดใ้ นหลอดทดลอง ซ่งึ จะไดพ้ ืชจำนวนมาก

ในระยะเวลาสั้น และสามารถนำเทคโนโลยีการ

เ พ า ะ เ ล ี ้ ย ง เ น ื ้ อ เ ย ื ่ อ ม า ป ร ะ ย ุ ก ต ์ เ พ ื ่ อ ก า ร อ น ุ ร ั ก ษ์

พันธุกรรมพืช ปรับปรุงพันธุ์พืชที่มีความสำคัญทาง

เศรษฐกิจการผลติ ยาและสารสำคัญในพชื และอนื่ ๆ



สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบัติของ

สสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย

ตวั ชี้วัดชั้นปี / รายภาค สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบายสมบัติ - ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทาง

ทางกายภาพบางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ กายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ
และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้ ต่างกัน ซึ่งสามารถนำมาจัดกลุม่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ
และกึ่งโลหะ ธาตุโลหะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง มี
จากการสังเกตและการทดสอบ และใช้ ผิวมันวาว นำความร้อนนำไฟฟ้า ดึงเป็นเสน้ หรือตเี ป็น

สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทงั้ แผ่นบาง ๆ ได้ และมีความหนาแนน่ ทั้งสูงและต่ำ ธาตุ
จัดกลมุ่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ อโลหะมีจดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวตำ่ มผี ิวไมม่ ันวาวไมน่ ำ

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/2 วิเคราะห์ผล ความร้อน ไม่นำไฟฟ้า เปราะ แตกหักงา่ ย และมีความ

จากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุ หนาแน่นต่ำ ธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติบางประการเหมือน

กัมมันตรังสี ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตสิ่งแวดล้อม โลหะ และสมบตั บิ างประการเหมอื นอโลหะ
- ธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ที่สามารถแผ่รังสี
เศรษฐกจิ และสงั คมจากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ ได้ จดั เป็นธาตกุ ัมมันตรงั สี
➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึง
- ธาตุมีทั้งประโยชน์และโทษ การใช้ธาตุโลหะ
คุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี ควรคำนึงถึง

ธาตุกัมมันตรังสีโดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุ ผลกระทบตอ่ สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสงั คม

อย่างปลอดภัย ค้มุ ค่า

➢ ตัวชว้ี ดั ว 2.1 ม.1/4 เปรยี บเทียบจุด - สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวส่วน

เดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสาร สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป สาร
ผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปล บริสุทธิ์แต่ละชนิดมีสมบัติบางประการที่เป็นค่า
เฉพาะตัว เชน่ จุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวคงท่ี แต่สาร
ความหมายขอ้ มลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศ ผสมมีจุดเดือด และจุดหลอมเหลวไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับ

ชนิดและสดั ส่วนของสารท่ผี สมอยู่ดว้ ยกัน



ตวั ช้วี ัดชัน้ ปี / รายภาค สาระการเรียนรู้แกนกลาง

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/5 อธิบายและ - สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมีความหนาแน่น หรือ

เปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบริสุทธิ์และ มวลต่อหนึ่งหน่วยปรมิ าตรคงที่ เปน็ ค่าเฉพาะของสาร
นั้น ณ สถานะและอุณหภูมิหนึ่งแต่สารผสมมีความ
สารผสม
หนาแน่นไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วนของสารที่
➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพื่อ ผสมอยดู่ ้วยกนั

วดั มวลและปริมาตรของสารบริสุทธิ์และสารผสม

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเกี่ยวกับ - สารบริสุทธิ์แบ่งออกเป็นธาตุและสารประกอบ
ความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุ และ ธาตุประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ยังแสดงสมบัติ
สารประกอบ โดยใช้แบบจำลองและสารสนเทศ ของธาตุนั้นเรียกว่า อะตอม ธาตุแต่ละชนิด

ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่สามารถ
แยกสลายเป็นสารอื่นได้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตุเขียน
แทนดว้ ยสัญลักษณ์ธาตุ สารประกอบเกิดจากอะตอม
ของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปรวมตัวกันทางเคมีใน
อัตราส่วนคงที่ มีสมบัติแตกต่างจากธาตุที่เป็น
องค์ประกอบ สามารถแยกเป็นธาตไุ ด้ดว้ ยวิธีทางเคมี
ธาตุและสารประกอบสามารถเขียนแทนได้ด้วยสูตร
เคมี

➢ ตวั ช้ีวัด ว 2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้าง - อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ

อะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุชนิด
เดียวกันมีจำนวนโปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะ
อเิ ลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง ของธาตุนั้น นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้า ส่วน

อิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ เมื่ออะตอมมีจำนวน

โปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนจะเป็นกลางทาง

ไฟฟา้ โปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลางอะตอม

เรียกว่า นิวเคลียสส่วนอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่ใน

ทว่ี า่ งรอบนิวเคลียส



ตวั ช้วี ัดช้ันปี / รายภาค สาระการเรียนร้แู กนกลาง

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/9 อธิบายและ - สสารทกุ ชนดิ ประกอบดว้ ยอนุภาค โดยสารชนิด

เปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหนี่ยว เดียวกันที่มีสถานะของแขง็ ของเหลว แก๊ส จะมีการ
ระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาค จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การ
เคล่อื นทข่ี องอนุภาคแตกต่างกนั ซง่ึ มีผลตอ่ รปู รา่ งและ
ข อ ง ส ส า ร ช น ิ ด เ ด ี ย ว ก ั น ใ น ส ถ า น ะ ข อ ง แ ข็ ง ปริมาตรของสสาร

ของเหลว และแกส๊ โดยใชแ้ บบจำลอง - อนุภาคของของแข็งเรียงชิดกัน มแี รงยึดเหน่ียว

ระหว่างอนุภาคมากที่สุด อนุภาคสั่นอยู่กับท่ี ทำให้มี

รูปร่างและปรมิ าตรคงท่ี

- อนุภาคของของเหลวอยู่ใกลก้ ัน มแี รงยึดเหน่ียว
ระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส
อนุภาคเคลื่อนที่ได้แต่ไม่เป็นอิสระเท่าแก๊ส ทำให้มี
รูปรา่ งไมค่ งท่ี แต่ปริมาตรคงที่

- อนภุ าคของแกส๊ อยู่ห่างกันมาก มีแรงยึดเหน่ียว
ระหว่างอนุภาคน้อยที่สุด อนุภาคเคลื่อนที่ได้อย่าง
อิสระทกุ ทศิ ทาง ทำให้มีรปู รา่ งและปริมาตรไม่คงท่ี

➢ ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/10 อธบิ าย - ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสสาร
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานความร้อนกับการ เมื่อใหค้ วามรอ้ นแก่ของแข็ง อนุภาคของของแข็ง จะ
เปลยี่ นสถานะของสสาร โดยใช้หลกั ฐานเชิง มีพลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ซ่ึง
ประจักษ์และแบบจำลอง ของแข็งจะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็น
ของเหลว เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
จากของแข็งเป็นของเหลวว่า ความร้อนแฝงของการ
หลอมเหลว และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะคงท่ี
เรียกอุณหภมู นิ ้วี ่า จุดหลอมเหลว

- เมื่อให้ความร้อนแก่ของเหลว อนุภาคของ
ของเหลวจะมีพลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึง
ระดับหนึง่ ซึ่งของเหลวจะใช้ความรอ้ นในการเปล่ยี น
สถานะเป็นแก๊ส เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยน
สถานะจากของเหลวเปน็ แก๊สว่า ความร้อนแฝงของ

ตัวช้ีวัดชั้นปี / รายภาค ต

สาระการเรียนร้แู กนกลาง

การกลายเป็นไอ และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะ
คงที่ เรียกอณุ หภมู ินีว้ ่า จุดเดือด

- เมื่อทำให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดับ
หนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียก
อุณหภูมินี้ว่า จุดควบแน่น ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุด
เดอื ดของของเหลวนัน้

- เมื่อทำให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึง
ระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง
เรียกอณุ หภูมนิ ี้ว่า จุดเยือกแข็ง ซง่ึ มีอุณหภูมเิ ดียวกับ
จดุ หลอมเหลวของของแข็งนั้น



คำอธิบายรายวชิ า

รหสั วิชา ว21101 รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1
จำนวน 1.5 หน่วยกิต เวลาเรยี น 60 ชัว่ โมง
สอนโดยนางสาวสดุ ารัตน์ ปิยะนันท์

ศึกษา วิเคราะห์ ความหมายและความสำคัญของวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางานของ
นักวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทาความเข้าใจกระบวนการและทักษะที่ใช้ในการ
สร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สมบัติบางประการของสารบริสุทธิ์ และการจำแนกองค์ประกอบของสาร
บริสุทธิ์ จุดเดือด จุดหลอมเหลว และความหนาแน่นของสารบริสุทธิ์และสารผสม สมบัติทางกายภาพ บาง
ประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ การใช้ประโยชนแ์ ละผลกระทบจากการใชป้ ระโยชน์ของธาตุโลหะ
อโลหะ ก่งึ โลหะ และธาตุกมั มันตรงั สีทีม่ ีต่อสงิ่ มีชวี ิต ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสังคม การใช้กล้องจุลทรรศน์
แบบใช้แสง รูปร่างลักษณะของเซลล์ โครงสร้าง และหน้าที่แต่ละโครงสร้างของเซลล์ ความสัมพันธ์ระหว่าง
รูปร่าง ลักษณะกับหน้าที่ของเซลล์ และการจัดระบบของสิ่งมีชวี ิต รวมทั้งกระบวนการลาเลยี งสารผ่านเซลล์
โดยการแพร่ และออสโมซิส การสบื พันธ์ุ การขยายพันธุ์ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ธาตุอาหารพชื การลาเลยี งน้า
ธาตุอาหารและอาหารของพืช กระบวนการดารงชีวิตของพืช และความสำคัญของพืชที่มีผลต่อมนุษย์และ
ส่ิงแวดล้อม

โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 และเทคโนโลยใี นการสำรวจตรวจสอบ
การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ และ
ตระหนักถึงคุณคา่ ของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรูม้ ีความสามารถในการตัดสินใจ นำ
ความรไู้ ปใชในชวี ิตประจำวนั มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านิยมทเ่ี หมาะสม

รหสั ตวั ชวี้ ดั
ว1.2 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9 ม.1/10 ม.1/11 ม.1/12

ม.1/13 ม.1/14 ม.1/15 ม.1/16 ม.1/17 ม1/18

ว2.1 ม.1/1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9 ม.1/10

รวมท้งั หมด 28 ตัวชี้วัด



โครงสรา้ งรายวชิ า

รหัสวชิ า ว21101 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1

จำนวน 1.5 หน่วยกติ เวลาเรยี น 60 ชัว่ โมง สอนโดยนางสาวสดุ ารตั น์ ปยิ ะนันท์

ลำดับที่ ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้วี ัด สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
เรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน

1 ชือ่ หน่วย เรียนรวู้ ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร

1.1 เร่อื ง - วิทยาศาสตร์ คือ ความรขู้ อง 2 -
โลกธรรมชาตหิ รือความรใู้ นสิ่งท่ี
ความสำคญั และ เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในธรรมชาติ
ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วย
ความหมายของ หลักฐาน หรอื ความเปน็ เหตุเป็น
ผลทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่
วทิ ยาศาสตร์ สามารถอธิบายได้ด้วยหลกั ฐาน
หรือเหตุผลทางวทิ ยาศาสตร์ถือ
เป็นวิทยาศาสตร์ ส่วนสิ่งที่ไม่
สามารถอธิบายได้ด้วยหลักฐาน
หรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่
ถือเปน็ วิทยาศาสตร์

1.2 เรอื่ ง - ทักษะกระบวนการทาง 2 -

กระบวนการทำงาน วิทยาศาสตร์ประกอบด้วย การ

ของนกั วิทยาศาสตร์ สังเกต การวัด การจำแนก

ประเภท การหาความสัมพันธ์

ระหวา่ งสเปซกบั สเปซและสเปซ

กับเวลา การใช้จำนวน การจัด

กระทำและสื่อความหมาย

ข้อมูล การลงความเห็นจาก



ลำดบั ท่ี ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชว้ี ัด สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
เรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน

ข้อมูล การพยากรณ์ การ
ตั้งสมมติฐาน การกำหนดนยิ าม
เชิงปฏิบัติการ การกำหนดและ
ควบคุมตวั แปร การทดลอง การ
ตีความหมายของข้อมูลและลง
ข้อสรุป และการสร้าง
แบบจำลอง

1.3 เรื่องทักษะ - ทักษะกระบวนการทาง 2 -
กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประกอบด้วย การ

สังเกต การวัด การจำแนก

ประเภท การหาความสัมพันธ์

ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซ

กับเวลา การใช้จำนวน การจัด

กระทำและสื่อความหมาย

ข้อมูล การลงความเห็นจาก

ข้อมูล การพยากรณ์ การ

ตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยาม

เชิงปฏิบัติการ การกำหนดและ

ควบคุมตัวแปร การทดลอง การ

ตีความหมายของข้อมูลและลง

ข้อสรุป และการสร้าง

แบบจำลอง

ลำดับท่ี ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วัด สาระสำคัญ น
เรยี นรู้
เวลา นำ้ หนกั
(ชว่ั โมง) คะแนน

รวมหนว่ ยท่ี 1 6 -
2
2 ชื่อหน่วย สารบรสิ ทุ ธิ์

2. 1 เ ร ื ่ อ ง ส า ร ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุด สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสาร 3

บริสุทธิ์และสาร เดือดจุดหลอมเหลวของสาร เพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสม

ผสม บรสิ ุทธ์ิและสารผสมโดยการวัด ประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิด

อุณหภูมิเขียนกราฟ แปล ขึ้นไป สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมี

ความหมายข้อมูลจากกราฟ สมบัติบางประการที่เป็นค่า

หรือสารสนเทศ เฉพาะตัว เช่น จุดเดือดและจุด

หลอมเหลวคงที่ แต่สารผสมมี

จุดเดือด และจุดหลอมเหลวไม่

คงที่ ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วน

ของสารท่ีผสมอยดู่ ว้ ยกัน

2.2 เรื่อง จุดเดือด ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุด จุดเดือ ด คือ อ ุณหภูมิ 3 2

ของสารบรสิ ทุ ธิ์และ เดือดจุดหลอมเหลวของสาร ของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็น

สารผสม บรสิ ทุ ธิ์และสารผสมโดยการวัด แกส๊ ทวั่ ทงั้ ภาชนะ สารบริสุทธ์ิมี

อุณหภูมิเขียนกราฟ แปล จ ุ ด เ ด ื อ ด ค ง ท ี ่ เ พ ร า ะ มี

ความหมายข้อมูลจากกราฟ องค์ประกอบเพียงชนิดเดียว

หรอื สารสนเทศ ส ่ ว น ส า ร ผ ส ม มี อ ง ค ์ ป ร ะ ก อ บ

มากกว่า 1 ชนิด ทำให้ขณะ



ลำดบั ท่ี ชือ่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้วี ดั สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก
เรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน

เดือดมีการเปลี่ยนแปลงไม่คงท่ี
จงึ ทำใหจ้ ุดเดือดไม่คงท่ี

2. 3 เ ร ื ่ อ ง จุ ด ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุด สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสาร 3 2

หลอมเหลวของสาร เดือดจุดหลอมเหลวของสาร เพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสม

บริสุทธิ์และสาร บริสุทธแ์ิ ละสารผสมโดยการวัด ประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิด

ผสม อุณหภูมิเขียนกราฟ แปล ขึ้นไป สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมี

ความหมายข้อมูลจากกราฟ สมบัติบางประการที่เป็นค่า

หรอื สารสนเทศ เฉพาะตัว เช่น จุดเดือดและจุด

หลอมเหลวคงที่ แต่สารผสมมี

จุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่

คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วน

ของสารทผี่ สมอย่ดู ้วยกนั

2. 4 เร ื่อง คว า ม ว 2. 1 ม. 1/5 อธิบายและ สารบริสทุ ธิ์แตล่ ะชนิดมีความ 3 2

หนาแน่นของสาร เปรียบเทียบความหนาแน่น หนาแน่น หรือมวลต่อหน่ึง

บริสุทธิ์และสาร ของสารบรสิ ุทธ์แิ ละสารผสม หน่วยปริมาตรคงที่ เป็นค่า

ผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพ่ือ เฉพาะของสารนั้น ณ สถานะ
วัดมวลและปริมาตรของสาร และอุณหภูมิหนึ่งแต่สารผสมมี
ความหนาแน่นไม่คงท่ีขึน้ อย่กู บั
บริสทุ ธ์แิ ละสารผสม
ชนิดและสัดส่วนของสารที่ผสม

อยู่ด้วยกัน

ลำดบั ท่ี ชอ่ื หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชี้วดั สาระสำคัญ ป
เรียนรู้
เวลา น้ำหนกั
(ช่วั โมง) คะแนน

2 . 5 เ ร ื ่ อ ง ก า ร ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเกี่ยวกับ สารบริสุทธิ์แบ่งออกเป็นธาตุ 3 2
3 2
จำแนกประเภทสา ความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม แ ล ะ ส า ร ป ร ะ ก อ บ ธ า ตุ 2 1

รบรสิ ทุ ธ์ ธาตุและสารประกอบโดยใช้ ประกอบด้วยอนภุ าคทีเ่ ล็กที่สุด

แบบจำลองและสารสนเทศ ที่ยังแสดงสมบัติของธาตุน้ัน

เรียกวา่ อะตอม ธาตแุ ต่ละชนิด

ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิด

เดียวและไม่สามารถแยกสลาย

เปน็ สารอืน่ ได้ด้วยวิธีทางเคมี

2.6 เรื่อง ธาตุและ ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเกี่ยวกับ สารบริสุทธิ์แบ่งออกเป็นธาตุ

สารประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม แ ล ะ ส า ร ป ร ะ ก อ บ ธ า ตุ

ธาตุและสารประกอบโดยใช้ ประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กทีส่ ุด

แบบจำลองและสารสนเทศ ที่ยังแสดงสมบัติของธาตุนั้น

เรียกว่า อะตอม ธาตุแต่ละชนิด

ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิด

เดียวและไม่สามารถแยกสลาย

เปน็ สารอื่นได้ดว้ ยวิธีทางเคมี

2.7 เรอื่ ง โครงสรา้ ง ว 2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้าง อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน

อะตอม อะตอมท่ีประกอบดว้ ยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน

นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดย โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุ

ใชแ้ บบจำลอง ชนิดเดียวกันมีจำนวนโปรตอน

เท่ากันและเป็นค่าเฉพาะของ

ธาตุนั้น นิวตรอนเป็นกลางทาง



ลำดบั ท่ี ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
เรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน

ไฟฟ้า ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุ
ไฟฟา้ ลบ

2 . 8 เ ร ื ่ อ ง ก า ร ว 2.1 ม.1/1 อธิบายสมบตั ิทาง ธาตแุ ตล่ ะชนิดมสี มบตั ิ 2 2

จำแนกธาตุและการ กายภาพบางประการของธาตุ เฉพาะตวั และมีสมบัติทาง

ใชป้ ระโยชน์ โลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ โดย กายภาพบางประการเหมือนกนั

ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้ และบางประการตา่ งกนั ซงึ่

จ า ก ก า ร ส ั ง เ ก ต แ ล ะ ก าร สามารถนำมาจัดกลมุ่ ธาตุเปน็

ทดสอบ และใช้สารสนเทศทีไ่ ด้ โลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ

จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้ง ธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึง
จัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ โลหะ ที่สามารถแผ่รังสีได้
และก่งึ โลหะ
จดั เป็นธาตกุ มั มนั ตรงั สี

ว 2.1 ม.1/2 วิเคราะห์ผลจาก

การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่ึง

โลหะ และธาตุกัมมันตรังสีที่มี

ต่อสิ่งมีชีวิตสิ่งแวดล้อม

เศรษฐกิจและสังคมจากข้อมูล

ทีร่ วบรวมได้

รวมหน่วยท่ี 2 22 15

3 หนว่ ยพน้ื ฐานของส่ิงมชี ีวติ

3.1 เรื่อง โลกใต้ ว 1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบ เซลล์พืช และเซลล์สัตว์มี 2 3
กลอ้ งจุลทรรศน์ รูปร่างและโครงสร้างของเซลล์ รูปร่างลักษณะแตกต่างกัน

พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยาย



ลำดับที่ ช่ือหนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชีว้ ดั สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
เรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน

หน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้ม ขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่เฉพาะ

เซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส อยา่ งของเซลล์

แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และ การใช้กล้องจุลทรรศน์ได้
คลอโรพลาสต์
ถ ู ก ต ้ อ ง น ั ้ น จ ะ ต ้ อ ง ร ู ้ จั ก

ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้อง ส่วนประกอบและหน้าที่ของ

จุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์ ส่วนประกอบต่างๆ ของกล้อง

และโครงสร้างต่าง ๆ ภายใน จุลทรรศน์

เซลล์

3 . 2 เ ร ื ่ อ ง ว 1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบ เซลล์พืช และเซลล์สัตว์มี 2 3

ก า รศึก ษาเซลล์ รูปร่างและโครงสร้างของเซลล์ รูปร่างลักษณะแตกต่างกัน

ด้ ว ย ก ล้ อ ง พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยาย ขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่เฉพาะ

จลุ ทรรศน์ หน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้ม อย่างของเซลล์

เซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส การใช้กล้องจุลทรรศน์ได้
แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และ ถ ู ก ต ้ อ ง น ั ้ น จ ะ ต ้ อ ง ร ู ้ จั ก
คลอโรพลาสต์
ส่วนประกอบและหน้าที่ของ

ส่วนประกอบต่างๆ ของกล้อง

ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้อง จลุ ทรรศน์

จุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์

และโครงสร้างต่าง ๆ ภายใน

เซลล์



ลำดบั ท่ี ชอื่ หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวช้วี ัด สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั
เรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน

3.3 เรือ่ ง โครงสร้าง ว 1.2 ม.1/3 อธิบายความ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีรูปร่าง 2 3

และหน้าทีข่ องเซลล์ สัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการ ลักษณะ ที่หลากหลายและมี

ทำหนา้ ท่ีของเซลล์ ความเหมาะสมกับหน้าที่ของ

เซลล์นนั้

3.4 เรอ่ื ง เซลล์ ว 1.2 ม . 1/4 อ ธ ิ บ า ย ก า ร พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต 2 2
จัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่ม หลายเซลล์มีการจัดระบบ โดย
จากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ เริ่มจากเซลล์ไปเป็นเนื้อเย่ือ
ระบบอวยั วะจนเปน็ สงิ่ มีชวี ติ อ ว ั ย ว ะ ร ะ บ บ อ ว ั ยว ะ และ

ส่งิ มชี ีวติ ตามลําดบั

3.5 เรอื่ ง การแพร่ ว 1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวน เซลล์มีการนําสารเข้าสู่เซลล์ 2 2

การแพร่และออสโมซิสจาก เพื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ

หลักฐานเชิงประจักษ์ และ ของเซลล์และมีการขจัดสาร

ยกตัวอยา่ งการแพร่และออสโม บางอย่างที่เซลล์ไมต่ ้องการออก

ซิสในชวี ติ ประจำวัน นอกเซลล์

3.6 เรื่อง ออสโมซสิ ว 1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวน เซลล์มีการนําสารเข้าสู่เซลล์ 2 2

การแพร่และออสโมซิสจาก เพื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ

หลักฐานเชิงประจักษ์ และ ของเซลล์และมีการขจัดสาร

ยกตัวอยา่ งการแพรแ่ ละออสโม บางอยา่ งที่เซลล์ไมต่ อ้ งการออก

ซิสในชีวิตประจำวนั นอกเซลล์

รวมหนว่ ยที่ 3 12 15

4 การดำรงชีวติ ของพืช



ลำดบั ท่ี ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
เรียนรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน

4.1 เรือ่ ง พชื ดอก ว 1.2 ม.1/11 อธิบายการ พืชดอกทุกชนิดสามารถ 2 2

สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และไม่ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ และ

อาศัยเพศของพชื ดอก บางชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบ

ไม่อาศยั เพศได้

4.2 เ ร ื ่ อ ง ก า ร ว 1.2 ม.1/12 อธบิ ายลักษณะ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ 2 2
สืบพันธุ์แบบอาศัย โครงสร้างของดอกที่มีส่วนทำ เป็นการสืบพันธุ์ท่ีมีการผสมกัน
เพศและไม่อาศัย ให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้ง ของสเปิร์มกับเซลล์ไข่ ส่วนการ
เพศของพชื ดอก บรรยายการปฏิสนธิของพืช สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็น

ดอกการเกิดผลและเมล็ดการ การสืบพันธุ์ที่พืชต้นใหม่ไม่ได้
กระจายเมล็ดและการงอกของ เกิดจากการปฏิสนธิระหว่าง
เมล็ด สเปิรม์ กับเซลล์ไข่

ว 1.2 ม.1/13 ตระหนักถึง
ความสำคัญของสัตว์ที่ช่วยใน
การถ่ายเรณูของพืชดอก โดย
การไม่ทำลายชีวิตของสัตว์ท่ี
ช่วยในการถ่ายเรณู

4.3 เ ร ื ่ อ ง ก า ร ว 1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็น 2 2
ขยายพันธพ์ุ ชื ดอก ขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับ การนำความรู้เรื่องการสืบพันธุ์

ความต้องการของมนุษย์ โดย แบบไม่อาศัยเพศของพืชมาใช้
ใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุ ในการขยายพันธุ์เพือ่ ให้ไดพ้ ืชท่ี
ของพืช มีลักษณะเหมอื นต้นเดมิ

ว 1.2 ม.1/17 อธิบาย
ความสำคัญของเทคโนโลยีการ



ลำดบั ที่ ชอ่ื หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชว้ี ัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก
เรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน

เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้
ประโยชน์ดา้ นตา่ ง ๆ

ว 1.2 ม.1/18 ตระหนักถึง
ประโยชน์ของการขยายพันธ์ุ
พืช โดยการนำความรู้ไปใช้ใน
ชีวิตประจำวัน

4.4 เรอ่ื ง ผลของพชื ว 1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็น 2 2
ขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับ การนําความรู้เรื่องการสืบพันธ์ุ
ความต้องการของมนุษย์ โดย แบบไม่อาศัยเพศของพืชมาใช้
ใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุ ในการขยายพันธุ์เพื่อให้ไดพ้ ืชที่
ของพืช มีลักษณะเหมอื นต้นเดมิ

ว 1.2 ม.1/17 อธิบาย
ความสำคัญของเทคโนโลยีการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้
ประโยชนด์ ้านตา่ ง ๆ

ว 1.2 ม.1/18 ตระหนักถึง
ประโยชน์ของการขยายพันธ์ุ
พืช โดยการนำความรู้ไปใช้ใน
ชวี ิตประจำวนั

4.5 เรอ่ื ง ปัจจยั การ ว 1.2 ม.1/6 ระบุปัจจัยที่ กระบวนการสังเคราะห์ด้วย 2 2
สงั เคราะห์ด้วยแสง จำเป็นในการสังเคราะห์ด้วย แสงของพืชที่เกิดขึ้นในคลอโร

แสงและผลผลิตที่เกิดขึ้นจาก พลาสต์จำเป็นต้องใช้แสงแก๊ส



ลำดบั ที่ ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก
เรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน

การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ คาร์บอนไดออกไซด์คลอโรฟิลล์

หลักฐานเชิงประจกั ษ์ และน้ำ ผลผลิตที่ได้จากการ

สังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่

นำ้ ตาล และแก๊สออกซิเจน

4.6 เรื่อง ผลผลิต ว 1 . 2 ม . 1 / 7 อ ธ ิ บ า ย การสังเคราะห์ด้วยแสง เป็น 2 2

ของการสังเคราะห์ ความสำคัญของการสังเคราะห์ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท่ี ส ำ ค ั ญ ต่ อ

ด้วยแสง ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิต ส ิ ่ ง ม ี ช ี ว ิ ต เ พ ร า ะ เ ป็ น

และส่งิ แวดลอ้ ม กระบวนการเดียวที่สามารถ

ว 1.2 ม.1/8 ตระหนักใน นำพลังงานแสงมาเปลี่ยนเป็น
คุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิต พลงั งานในรปู สารประกอบ

และสิ่งแวดล้อม โดยการ

ร่วมกันปลูกและดูแลรักษา

ต้นไมใ้ นโรงเรยี น

4.7 เรื่อง อาหาร ว 1 . 2 ม . 1 / 7 อ ธ ิ บ า ย การสังเคราะห์ด้วยแสง เป็น 2 2

ของเรา ความสำคัญของการสังเคราะห์ ก ร ะ บ ว น ก า ร ที่ ส ำ ค ั ญ ต่ อ

ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นกระบวน

และส่ิงแวดลอ้ ม การเดียวที่สามารถนำพลังงาน

ว 1.2 ม.1/8 ตระหนักใน แสงมาเปลี่ยนเป็นพลังงานใน
คุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิต รปู สารประกอบ

และสิ่งแวดล้อม โดยการ

ร่วมกันปลูกและดูแลรักษา

ต้นไม้ในโรงเรยี น2



ลำดบั ท่ี ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ชี้วดั สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
เรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน

4.8 เ รื่ อ ง ก า ร ว 1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะ พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็ม ซ่ึง 2 2
ลำเลยี งในพืช และหน้าที่ของไซเล็มและโฟล เป็นเนื้อเยื่อมีลักษณะคล้ายท่อ

เอ็ม เรียงตวั กนั เปน็ กลุม่ เฉพาะที่โดย
ว 1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพ ไซเล็มทำหน้าท่ีลำเลียงนำ้ และ
ที่บรรยายทิศทางการลำเลียง ธาตุอาหาร ส่วนโฟลเอ็มทำ
สารในไซเล็มและโฟลเอ็มของ หน้าท่ีลำเลียงอาหารที่ได้จาก
พชื การสังเคราะห์ด้วยแสง

4 . 9 เ ร ื ่ อ ง ธ า ตุ ว 1 . 2 ม . 1 / 1 4 อ ธ ิ บ า ย พืชต้องการธาตุอาหารบาง 2 2

อาหารของพืช ความสำคัญของธาตอุ าหารบาง ชนิดในปริมาณมากไ ด้ แก่

ชนิดที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ไ น โ ต ร เ จ น ฟ อ ส ฟ อ รั ส

และการดำรงชวี ติ ของพืช โ พ แ ท ส เ ซ ี ย ม แ ค ล เ ซ ี ย ม

ว 1.2 ม.1/15 เลือกใช้ปุ๋ยที่มี แมกนีเซยี ม และกำมะถนั ซ่ึงใน
ธาตุอาหารเหมาะสมกับพืชใน ดินอาจมีไม่เพียงพอสำหรับการ
เจริญเติบโตของพืช จึงต้องมี
สถานการณท์ กี่ ำหนด
การให้ธาตุอาหารในรูปของปุ๋ย

กบั พชื อยา่ งเหมาะสม

4.10 เรื่อง ผลผลิต ว 1 . 2 ม . 1 / 1 4 อ ธ ิ บ า ย พืชต้องการธาตุอาหารบาง 2 2
ของพชื ความสำคญั ของธาตอุ าหารบาง ชนิดในปริมาณมากไ ด้ แก่

ชนิดที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ไ น โ ต ร เ จ น ฟ อ ส ฟ อ รั ส
และการดำรงชวี ติ ของพชื โ พ แ ท ส เ ซ ี ย ม แ ค ล เ ซ ี ย ม

แมกนีเซยี ม และกำมะถนั ซงึ่ ใน
ดินอาจมีไม่เพียงพอสำหรับการ
เจริญเติบโตของพืช จึงต้องมี



ลำดบั ที่ ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วดั สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
เรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน

ว 1.2 ม.1/15 เลือกใช้ปุ๋ยที่มี การให้ธาตุอาหารในรูปของปุ๋ย
ธาตุอาหารเหมาะสมกับพืชใน กับพชื อย่างเหมาะสม
สถานการณ์ทก่ี ำหนด

รวมหนว่ ยที่ 4 20 20
สอบกลางภาค 20
สอบปลายภาค 30
รวมตลอดภาคเรียน
60 100



กำหนดการสอน
รหสั วิชา ว21101 รายวชิ า วิทยาศาสตร์ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1

จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต เวลาเรียน 60 ชวั่ โมง สอนโดยนางสาวสุดารตั น์ ปยิ ะนันท์

หนว่ ย ชื่อหนว่ ย มาตรฐาน หนว่ ยยอ่ ย เวลา น้ำหนกั สัปดาห์
ท่ี การเรยี นรู้ ตัวช้วี ัด (ชม.) (คะแนน) ท่ี

1 เรยี นรู้ - ความสำคัญและความหมายของ 2 1-2
วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์
อยา่ งไร - กระบวนการทำงานของ 2
นักวทิ ยาศาสตร์
- ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2
รวม 6

2 สารบรสิ ุทธ์ิ ว 2.1 ม. บทที่ 1 สมบัติของสารบรสิ ุทธ์ิ

1/1, เร่ืองท่ี 1 จุดเดอื ดและจุดหลอมเหลว 3

ม.1/2,ม. เร่อื งที่ 2 ความหนาแน่น 4

1/3, กิจกรรมท้ายบท 2

ม.1/4,ม. บทที่ 2 การจำแนกและองคป์ ระกอบ

1/5, ของสารบรสิ ุทธ์ิ

ม.1/6,ม. เรอ่ื งท่ี 1 การจำแนกสารบริสุทธ์ิ 4 15 3-9
1/7, เร่ืองที่ 2 โครงสร้างอะตอม 4

ม.1/8,ม. เรอื่ งท่ี 3 การจำแนกธาตแุ ละการใช้ 3

1/9, ประโยชน์

ม.1/10 กิจกรรมท้ายบท 2

รวม 22 15
สอบกลางภาค 20 9-10



หน่วย ชื่อหน่วย มาตรฐาน หนว่ ยยอ่ ย เวลา นำ้ หนกั สัปดาห์
ท่ี การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด (ชม.) (คะแนน) ท่ี

3 หนว่ ย ว.1.2 ม. บทที่ 1 เซลล์

พื้นฐานของ 1/1, เรอื่ งท่ี 1 การศกึ ษาเซลล์ด้วยกลอ้ ง 3
3
สง่ิ มชี วี ติ ม.1/2,ม. จุลทรรศน์
1/3, เรอ่ื งที่ 2 โครงสรา้ งและหน้าทข่ี อง 3
3 15 11-14
ม.1/4,ม. เซลล์

1/5 บทท่ี 2 การลำเลยี งสารเข้าออกเซลล์

เรื่องที่ 1 การแพร่

เรื่องท่ี 2 ออสโมซสิ

4 การ รวม 12 15
ดำรงชวี ติ ว.1.2 ม. บทท่ี 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการขยายพันธ์ุ 20 15-19
ของพชื 1/6, พชื ดอก 4
ม.1/7,ม. เรื่องที่ 1 การสืบพนั ธ์แุ บบอาศัยเพศ 2
1/8, และไมอ่ าศัยเพศของพืชดอก 1
ม.1/9, เรอื่ งท่ี 2 การขยายพันธุ์พชื ดอก
ม.1/10, กจิ กรรมท้ายบท 6
ม.1/11, บทที่ 2 การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 1
ม.1/12, เรอ่ื งที่ 1 ปัจจยั และผลผลิตของการ 2
ม.1/13, สงั เคราะหด์ ้วยแสง 2
ม.1/14, กิจกรรมท้ายบท 2
ม.1/15, บทที่ 3 การลำเลยี งนำ้ ธาตุอาหาร
ม.1/16, และอาหารของพืช
ม.1/17, เรือ่ งท่ี 1 ธาตอุ าหารของพืช
ม.1/18 เรอ่ื งที่ 2 การลำเลยี งในพืช

กิจกรรมท้ายบท

รวม 20 20 20
สอบปลายภาค 30

รวมทั้งสิ้น 60 100



การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ว21101 วิชาวทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 1
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปกี ารศึกษา 2565

อตั ราส่วนคะแนน

คะแนนระหว่างเรียน : คะแนนปลายภาคเรียน คิดเปน็ 70 คะแนน : 30 คะแนน

โดยมนี ำ้ หนักคะแนน ดงั นี้

คะแนนสอบกลางภาคเรียน 20 คะแนน

คะแนนระหว่างเรยี น 50 คะแนน

คะแนนสอบปลายภาคเรียน 30 คะแนน

รวมคะแนนทั้งสนิ้ 100 คะแนน

เกณฑก์ ารตัดสินคะแนนผลการเรยี น มดี ังตอ่ ไปน้ี

ระดบั ผลการเรยี น ความหมาย ชว่ งคะแนนเป็นรอ้ ยละ
4 ผลการเรยี นดเี ยีย่ ม 80 – 100
3.5 ผลการเรียนดีมาก 75 – 79
3 70 – 74
2.5 ผลการเรียนดี 65 – 69
2 ผลการเรยี นคอ่ นขา้ งดี 60 – 64
1.5 ผลการเรยี นน่าพอใจ 55 – 59
1 50 – 54
0 ผลการเรยี นพอใช้ 0 – 49
ผา่ นเกณฑ์ขัน้ ตำ่
ต่ำกวา่ เกณฑ์

1

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1

กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วิชา ว 21101

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรียนรู้วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งไร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

เร่ืองความสำคญั และความหมายของวทิ ยาศาสตร์ จำนวน 1 ชว่ั โมง

ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ครผู ู้สอน นางสาวสุดารัตน์ ปยิ ะนนั ท์

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
-

2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
วิทยาศาสตรเ์ ป็นท้งั ความรแู้ ละกระบวนการที่ได้มาซ่ึงความรู้ โดยความร้ไู ด้มาจากการสังเกต

และการรวบรวมข้อมลู ดว้ ยการสำรวจการทดลองแล้วจัดเข้าไว้อยา่ งเปน็ ระบบ สามารถอธิบายได้ด้วย
หลักฐานและให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนคำอธิบายนั้น และวิทยาศาสตร์ยังรวมถึงการ
เรียนรู้และการทำความเข้าใจความรู้อย่างเป็นระบบ แม้ว่าวิทยาศาสตร์ทำให้เข้าใจเหตุการณ์หรือ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ทุกเหตุการณ์หากเหตุการณ์นั้นไม่มี
หลักฐานที่น่าเชอ่ื ถือมาใช้หาคำตอบหรอื สร้างคำอธิบาย วิทยาศาสตรเ์ ปน็ จุดเริม่ ต้นของเทคโนโลยีซ่ึง
เกิดจากการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิยาศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับมนุษย์และช่วยให้การ
ดำรงชวี ติ ของมนุษยด์ ีขนึ้ และมีคุณภาพ ต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั วิทยาศาสตร์พัฒนามาอย่างต่อเน่ือง
ซึ่งเกิดจากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในการทำงานของนักวิ ทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คำตอบของ
ปัญหาหรือคำถามที่สงสัยจนนำไปสู่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ี
ประกอบด้วยการสงั เกตและระบุปัญหาการตัง้ สมมติฐาน การวางแผนและการสำรวจหรือการทดลอง
หรือการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคำอธิบาย การสรุปผลและการสื่อสาร หากการ
สำรวจหรอื การทดลองพบว่าสมมติฐานท่ีตงั้ ไวไ้ ม่เปน็ จริง สามารถกลับไปศกึ ษาค้นควา้ หรือกลับไปต้ัง
สมมติฐานใหม่เพ่ือตอบปัญหาหรือคำถามนั้นได้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อาจมีขั้นตอนแตกต่าง
กัน สามารถสลับหรือเพิ่มลดขั้นตอนได้ตามความเหมาะสม ในการทำงานของนักวิทยาศาสตร์
จำเป็น ต้อง อาศั ยท ักษะ กระ บวน ก ารท าง วิ ทย า ศา ส ตร์ เพื่อ ช่ ว ยใ ห้ก าร ทำง าน มี ประ ส ิท ธ ิ ภ า พ
ประกอบด้วย การสังเกต การวัด การจำแนกประเภท การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ
และสเปซกบั เวลา การใช้จำนวน การจดั กระทำและส่ือความหมายข้อมูล การลงความเห็นจากข้อมูล
การพยากรณ์ การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกำหนดและควบคุมตัวแปร
การทดลอง การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ และการสร้างแบบจำลอง

2

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1) นกั เรยี นอธิบายความสำคัญและความหมายของวิทยาศาสตร์ได้ (K)
3.2) นกั เรยี นปฏิบัตกิ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ (P)
3.3) นักเรยี นตระหนักถงึ คุณคา่ ของวิทยาศาสตร์ (A)
3.4) มคี วามกระตอื รอื รน้ และให้ความร่วมมือ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์ หมายถึง กระบวนการหรอื วิธีการแสวงหาความรู้ ความจริงจากธรรมชาติอย่าง

มีระบบเพือ่ อธบิ ายและทำความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มต่าง ๆ โดยการสังเกต ทดลอง
การวิเคราะหอ์ ย่างมี เหตุผล มีจติ วิทยาศาสตร์หรือเจตคตวิ ิทยาศาสตรม์ ีการใช้วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
เพ่ือใหไ้ ด้มาซ่ึงความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ทเี่ ป็นท่ยี อมรับ และเช่อื ถือได้

วิทยาศาสตร์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เป็นกระบวนการสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์
คิดวิเคราะหว์ จิ ารณ์ มีทกั ษะ ท่สี ำคญั ในการค้นคว้าความรู้ มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็น
ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานตรวจสอบได้ความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ช่วยใหม้ คี วามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยที ีม่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ รวมถึง
การนำความรู้ไปใช้อย่างสรา้ งสรรค์ มีเหตุผล มีคุณธรรม นอกจากน้ันยังช่วยใหม้ ีความรู้ความเข้าใจท่ี
ถูกต้องเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและ
ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งสมดลุ และยั่งยืน
5. สมรรถนะสำคญั

5.1) ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
5.2) ความสามารถในการส่ือสาร
5.3) ความสามรถในการใชท้ กั ษะชวี ิต
5.4) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
6.1) มีวนิ ยั
6.2) ไฝเ่ รยี นรู้
6.3) ม่งุ ม่ันในการทำงาน

3

7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขน้ั ที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement)
1) ครูให้นักเรียนศึกษาภาพวิวัฒนาการความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์จาก

หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยเี ล่ม 1 หน้าท่ี 1
2) ครูและนักเรียนร่วมกันพูดคุยในประเด็นที่นักเรียนศึกษาภาพวิวัฒนาการ

ความกา้ วหนา้ ทางด้านวิทยาศาสตร์ในเบ้ืองตน้
3) ครูกระตุ้นความสนใจนักเรียนตอบคำถามตามความเข้าใจ ตัวอย่างคำถามเช่น

วทิ ยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์มีผลตอ่ นักเรยี นอย่างไร ถ้าปัจจุบนั ไมม่ คี วามร้ทู างด้านวทิ ยาศาสตร์
มนุษย์เราในปัจจุบันจะต่างจากอดีตหรือไม่อย่างไร เป็นต้น (แนวทางคำตอบ ให้นักเรียนตอบตาม
ความเข้าใจ)

ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration)
1) ครูให้นกั เรียนรว่ มกันอ่านเน้ือหาเก่ียวกับความเชื่อของการเกิดสุริยุปราคาในหนังสือ

เรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่ม 1 หน้าที่ 2 จากนั้นให้นักเรียนเขียนแผนภาพแสดงตำแหน่งของ
ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และโลก ท่ที ำให้เกิดสรุ ยิ ุปราคาลงในสมุดบันทึก

ตวั อย่างแผนภาพ
ขัน้ ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)

1) ครูสุ่มนักเรียนออกมานำเสนอแผนภาพการเกิดสุริยุปราคา จากนั้นให้นักเรียน
ซกั ถามในประเด็นข้องใจ และใหค้ รูกับนักเรยี นรว่ มกันสรปุ ความรู้ที่ไดจ้ ากกจิ กรรมการเขียนแผนภาพ
การเกิดสุริยุปราคา

2) ครูถามคำถามกับนักเรียนว่าวิทยาศาสตร์มีความหมายว่าอย่างไร และ
วทิ ยาศาสตรม์ คี วามสำคญั อยา่ งไร โดยให้นักเรยี นร่วมกันตอบคำถามตามความเข้าใจของนกั เรยี นเอง

4

3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความหมายและความสำคัญของวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า วิทยาศาสตร์คือความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ เป็นทั้งความรู้และ
กระบวนการท่ีได้มาซึง่ ความรู้ โดยความรู้ได้มาจากการสังเกตและการรวบรวมขอ้ มูลด้วยการสำรวจ
การทดลอง จัดเข้าไวอ้ ย่างเป็นระบบ สามารถอธิบายได้ด้วยหลักฐานและใหเ้ หตผุ ลทางวิทยาศาสตร์
เพ่ือสนับสนุนคำอธบิ าย

ขนั้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
1) ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนได้เคยพบเจอ

ในชีวิตประจำวัน และประโยชน์จากวิทยาศาสตรใ์ นชีวิตประจำวันมาอยา่ งละ 2 ข้อ โดยให้นักเรียน
จดบันทึกลงในสมุด ตัวอย่างคำตอบเช่น โทรทัศน์เป็นเทคโนโลยีที่มนษุ ย์สรา้ งขึ้นจากการนำความรู้
ด้านวทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยที ำใหร้ ับร้ขู ่าวสารและความบันเทิงจากโทรทัศน์ได้ เปน็ ตน้

2) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายสิง่ ท่นี กั เรยี นแตล่ ะคนยกตัวอย่าง
ขน้ั ท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)

1) ประเมนิ การเรยี นรจู้ าก การตอบคำถาม พฤตกิ รรมของนักเรยี น โดยใชแ้ บบประเมนิ
2) ขอ้ สอบควิซท้ายบทเรยี น

วิทยาศาสตรห์ มายถึงอะไร
ก. ความรู้เก่ยี วกบั ส่ิงต่างๆ ในธรรมชาตทิ ง้ั ทีม่ ชี วี ิตและไม่มชี ีวิต
ข. การแสวงหาความรูท้ ้งั หลายอย่างมขี นั้ ตอนและระเบยี บแบบแผน
ค. ศาสตรท์ ต่ี งั้ อยู่บนหลกั แห่งเหตแุ ละผล สามารถตรวจสอบได้
ง. ถกู ตอ้ งทกุ ข้อ
8. ส่ือการสอน/อปุ กรณ/์ แหล่งเรียนรู้
หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่ม 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 (สสวท.)

5

9. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวดั เครอื่ งมอื ทีใ่ ชว้ ดั เกณฑ์การ
ประเมนิ
ด้านความรู้ (K) - คำถาม ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ
- สมดุ บนั ทึก 70 ขนึ้ ไป
1) อธบิ ายความสำคญั และ - การตอบคำถามในช้นั
- แบบประเมิน ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดี
ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ เรยี น พฤติกรรม
ผา่ นเกณฑ์ระดับดี
- ข้อสอบควิซ - คำถาม
- แบบประเมิน
ด้านทักษะกระบวนการ (P)
พฤตกิ รรม
2) ปฏบิ ัติกระบวนการทาง - การตอบคำถามของ

วทิ ยาศาสตร์ นักเรียน

-พฤติกรรมในชั้นเรียน

ด้านคณุ ลักษณะ (A)

3) ตระหนักถึงคณุ คา่ ของ - การตอบคำถามของ

วทิ ยาศาสตร์ นกั เรียน

4) มีความกระตอื รือรน้ และ -พฤตกิ รรมในชั้นเรยี น

ใหค้ วามร่วมมือ

6

7

8

9

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2

กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 21101
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรยี นร้วู ิทยาศาสตร์อยา่ งไร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เร่อื งกระบวนการทางานของนกั วิทยาศาสตร์
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จานวน 1 ชั่วโมง
ครูผสู้ อน นางสาวสดุ ารตั น์ ปิยะนันท์

1. มาตรฐานการเรียนรู้
-

2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นทั้งความร้แู ละกระบวนการที่ได้มาซงึ่ ความรู้ โดยความรู้ได้มาจากการสังเกต

และการรวบรวมข้อมลู ด้วยการสารวจการทดลองแลว้ จัดเข้าไวอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ สามารถอธิบายได้ด้วย
หลักฐานและให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนคาอธิบายนั้น และวิทยาศาสตร์ยังรวมถึงการ
เรียนรู้และการทาความเข้าใจความรู้อย่างเป็นระบบ แม้ว่าวิทยาศาสตร์ทาให้เข้าใจเหตุการณ์หรือ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ทุกเหตุการณ์หากเหตุการณ์นั้นไม่มี
หลักฐานทีน่ ่าเชอ่ื ถอื มาใช้หาคาตอบหรือสร้างคาอธิบาย วิทยาศาสตรเ์ ปน็ จุดเร่ิมตน้ ของเทคโนโลยีซึ่ง
เกิดจากการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิยาศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับมนุษย์และช่วยให้การ
ดารงชวี ติ ของมนษุ ยด์ ขี ้นึ และมีคุณภาพ ตง้ั แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจุบัน วทิ ยาศาสตร์พัฒนามาอย่างต่อเน่ือง
ซึ่งเกิดจากการทางานของนักวิทยาศาสตร์ในการทางานของนักวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คาตอบของ
ปัญหาหรือคาถามที่สงสัยจนนาไปสู่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่
ประกอบด้วยการสงั เกตและระบุปญั หาการตง้ั สมมติฐาน การวางแผนและการสารวจหรอื การทดลอง
หรือการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคาอธิบาย การสรุปผลและการสื่อสาร หากการ
สารวจหรือการทดลองพบว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ไม่เป็นจริง สามารถกลับไปศึกษาค้นคว้าหรือกลับไป
ตั้งสมมตฐิ านใหมเ่ พ่ือตอบปัญหาหรือคาถามนั้นไดก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์อาจมีขัน้ ตอนแตกต่าง
กัน สามารถสลับหรือเพิ่มลดขั้นตอนได้ตามความเหมาะสม ในการทางานของนักวิทยาศาสตร์
จ าเป็นต้องอาศัยทักษะกระบวนการ ทางวิทย าศาสตร์ เพื่ อช่ว ยให้การ ท างานมี ประ สิ ทธ ิ ภ าพ
ประกอบด้วย การสังเกต การวัด การจาแนกประเภท การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ
และสเปซกบั เวลา การใชจ้ านวน การจัดกระทาและส่ือความหมายขอ้ มูล การลงความเห็นจากข้อมูล

10

การพยากรณ์ การต้ังสมมตฐิ าน การกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ การกาหนดและควบคุมตัวแปร การ
ทดลอง การตีความหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ และการสร้างแบบจาลอง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้

3.1) นกั เรยี นอธบิ ายกระบวนการทางานของนกั วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ (K)
3.2) นกั เรียนปฏบิ ัติกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ (P)
3.3) มีความกระตือรือรน้ และให้ความร่วมมอื (A)
4. สาระการเรียนรู้
นักวิทยาศาสตร์มีกระบวนการทางานอย่างเป็นระบบและมีขั้นตอน เพื่อให้ได้ความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแม่นยาและเช่ือถือได้ กระบวนการที่ใชเ้ พื่อใหไ้ ด้มาซ่ึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์
น้ันเรียกว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (the process of science หรอื scientific process) โดย
กระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ ี 5 ข้นั ตอน ประกอบด้วย 1. ตัง้ ปัญหา 2. ต้งั สมมติฐาน 3. ทดลองหรือ
ตรวจสอบสมมติฐาน 4. รวบรวมขอ้ มลู 5. สรปุ ผล
5. สมรรถนะสาคัญ
5.1) ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
5.2) ความสามารถในการสอ่ื สาร
5.3) ความสามรถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
5.4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
6.1) มีวนิ ยั
6.2) ไฝเ่ รียนรู้
6.3) มุ่งมัน่ ในการทางาน
7. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement)

1) ครูทบทวนความรู้ในคาบที่แล้วในเรื่องความหมายและความสาคัญของ
วิทยาศาสตร์ โดยการถามคาถาม วิทยาศาสตร์หมายถึงอะไร (แนวคาตอบ วิทยาศาสตร์คือความรู้
เก่ยี วกบั ส่งิ ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ เปน็ ทงั้ ความร้แู ละกระบวนการทีไ่ ด้มาซ่งึ ความรู้ โดยความรู้ได้มาจาก
การสังเกตและการรวบรวมข้อมูลด้วยการสารวจ การทดลอง จัดเข้าไว้อย่างเป็นระบบ สามารถ
อธิบายได้ด้วยหลักฐานและให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนคาอธิบาย) วิทยาศาสตร์มี
ความสาคญั อยา่ งไรต่อมนุษย์ (แนวคาตอบ ทาให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตทดี่ ขี ้นึ )

11
2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั พดู คุยเกีย่ วกับนกั วิทยาศาสตร์ที่สาคัญ ๆ ในโลก เช่น นิว
ตันได้คิดค้นทฤษฎีกฎแรงโน้มถ่วง เอดิสันผลิตหลอดไฟได้คนแรกของโลก เป็นต้น และตั้งคาถาม
กับนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่านักวิทยาศาสตร์เหลา่ นี้เขามวี ธิ คี ิดหรอื กระบวนการอย่างไรในการสรา้ ง
หรอื ทดลองสิง่ ตา่ ง ๆ ท่เี รายกตัวอย่างไป (แนวคาตอบ ให้นักเรยี นตอบตามความเข้าใจเพ่ือวัดความรู้
เดิมของนกั เรียน)
3) ครูทบทวนความรู้เดิมให้นักเรียนว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์มี 5 ขั้นตอน
ประกอบด้วย 1. ตั้งปัญหา 2. ตั้งสมมติฐาน 3. ทดลองหรือตรวจสอบสมมติฐาน 4. รวบรวมข้อมูล
5. สรุปผล และครพู านักเรียนโยงเขา้ สู่กจิ กรรมท่ี 1.1 นกั วทิ ยาศาสตร์ทางานอยา่ งไร
ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration)
1) ครูให้นักเรียนร่วมกันอ่านจุดประสงค์และวิธีดาเนินกิจกรรมของกิจกรรมที่ 1.1
นกั วทิ ยาศาสตร์ทางานอยา่ งไร ในหนังสอื เรยี น หนา้ ท่ี 4 หนังสอื สสวท. วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เล่ม 1 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1
2) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ให้ตัวแทนกลุ่มมารับกระดาษเอสี่กลุ่มละ 1
แผ่น จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ช่วยกันวาดผังกระบวนการทางานของนักวิทยาศาสตร์
กลุ่มละ 1 ท่าน ทีไ่ ด้จากการสมุ่

ตัวอยา่ งแผนผงั การทางานของนักวทิ ยาศาสตร์

12

ข้นั ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
1) ครสู มุ่ นักเรยี น 3 กล่มุ ใหน้ ักเรยี นออกมานาเสนอกจิ กรรมที่ 1.1 นกั วิทยาศาสตร์

ทางานอย่างไร หน้าช้นั เรียน
2) ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยสรุปและอภิปรายกิจกรรมที่ 1.1 นักวิทยาศาสตร์

ทางานอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า นักวิทยาศาสตร์มีกระบวนการทางานอย่างเป็นระบบและมี
ขัน้ ตอน เพอื่ ให้ไดค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตรท์ ่ีถกู ตอ้ งแมน่ ยาและเชือ่ ถอื ได้ กระบวนการท่ใี ช้เพอื่ ให้ได้มา
ซงึ่ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์นั้นเรยี กวา่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (the process of science หรือ
scientific process) โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มี 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. ตั้งปัญหา
2. ตั้งสมมติฐาน 3. ทดลองหรือตรวจสอบสมมติฐาน 4. รวบรวมข้อมูล 5. สรุปผล ดังกิจกรรมที่
นักเรียนไดท้ าไปข้างต้น

ขน้ั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
1) ครูตั้งคาถามกับนักเรียนว่า นักเรียนเคยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ

ทางานหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ใหน้ ักเรยี นตอบตามความเข้าใจและประสบการณท์ นี่ กั เรียนเคยทา)
ข้นั ที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation)
1) ประเมนิ การเรียนร้จู าก การตอบคาถาม พฤตกิ รรมของนกั เรยี น โดยใชแ้ บบประเมิน
2) กิจกรรมท่ี 1.1 นกั วิทยาศาสตรท์ างานอย่างไร

8. สอ่ื การสอน/อุปกรณ/์ แหลง่ เรยี นรู้
- หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่ม 1 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 (สสวท.)
- กระดาษเอสี่

13

9. การวัดและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้วดั เกณฑ์การ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K) - คาถาม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ
- กิจกรรมที่ 1.1 70 ข้นึ ไป
1) นกั เรยี นอธิบาย - การตอบคาถามใน นักวิทยาศาสตร์
ทางานอยา่ งไร ผา่ นเกณฑ์ระดับดี
กระบวนการทางานของ ชัน้ เรยี น
- แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดี
นกั วิทยาศาสตรไ์ ด้ (K) - การนาเสนอหน้า พฤติกรรม

ชั้นเรยี น - คาถาม
- แบบประเมิน
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
พฤตกิ รรม
2) นกั เรียนปฏบิ ตั ิ - การตอบคาถามของ

กระบวนการทาง นกั เรยี น

วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ -พฤตกิ รรมในช้นั

เรยี น

ดา้ นคุณลักษณะ (A)

3) มคี วามกระตือรอื รน้ และ - การตอบคาถามของ

ใหค้ วามรว่ มมอื นกั เรยี น

-พฤตกิ รรมในชั้น

เรยี น


Click to View FlipBook Version