ชดุ การเรียนท่เี น้นผู้เรียนเปน็ สาคญั ชุดที่ 3
เร่อื ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
โดย
นางทัศนีย์ กรวยสวัสด์ิ
ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ โรงเรียนบวั ใหญ่ อาเภอบัวใหญ่
กองการศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม องค์การบริหารสว่ นจังหวัดนครราชสีมา
กรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถิน่ กระทรวงมหาดไทย
184
คาแนะนาการใช้ชดุ การเรียนที่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ ชดุ ท่ี 3
เรอื่ ง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์
ชดุ การเรียนที่เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ เร่อื ง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์ จดั ทาข้นึ
เพื่อใหค้ รผู ูส้ อนใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรียนรูท้ ีเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญและ
ใชเ้ ป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนในการปฏิบตั กิ จิ กรรม เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นวชิ าชวี วิทยา ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ซ่งึ ภายในชดุ การเรยี นทเี่ นน้
ผ้เู รยี นเปน็ สาคัญประกอบด้วย แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรยี น สาระสาคัญ จดุ ประสงค์
การเรียนรู้ ขอบข่ายเนือ้ หาหรอื สาระการเรียนรู้ เวลาเรยี น บตั รเน้อื หา บัตรกิจกรรม
เฉลยแบบทดสอบ กอ่ นเรียน- หลังเรยี น บัตรเฉลย บตั รงาน และเฉลยบัตรงาน
ในการศึกษาชดุ การเรยี นทเี่ น้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญ ประกอบดว้ ยลาดบั ขัน้ ตอน ดังนี้
1. ศกึ ษาโครงสรา้ งของชุดการเรียนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ
2. ทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมินความรคู้ วามเข้าใจพ้นื ฐานของนักเรยี น
ว่ามีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานมากน้อยเพียงใด
3. อา่ นและทาความเข้าใจเกยี่ วกับสาระสาคญั และจุดประสงค์การเรียนรู้
4. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมต่างๆให้ครบทุกกจิ กรรม แล้วตรวจสอบคาตอบจากแบบเฉลย
คาตอบท้ายเล่ม ซึ่ง นักเรียนจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง โดยไม่เปิดดูคาตอบก่อน
หรือขณะปฏิบัติกิจกรรม
5. ทาแบบทดสอบหลงั เรียน แล้วตรวจคาตอบจากแบบเฉลยเปรยี บเทียบผลการ
ทดสอบกอ่ นเรียน เพือ่ ประเมนิ ตนเองว่าบรรลจุ ดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้หู รอื ไมโ่ ดยนักเรยี น
จะตอ้ งไดค้ ะแนนไม่ตา่ กวา่ ร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม จงึ จะผ่านเกณฑ์
6. นักเรยี นคนใดยงั ทาแบบทดสอบหลงั เรยี นไม่ผ่านเกณฑใ์ ห้กลบั ไปศึกษา
ชดุ การเรียน โดยเริ่มศกึ ษาเนื้อหาสาระและปฏบิ ัตกิ จิ กรรมตามลาดบั ขน้ั ตอนเดมิ อกี ครง้ั
185
คาช้ีแจงเก่ียวกบั ชดุ การเรยี นที่เน้นผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ
ชดุ ท่ี 3 เรื่อง การรักษาดลุ ยภาพของเซลล์
1. เอกสารฉบบั น้ี เปน็ ชุดการเรียนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั ชดุ ท่ี 3
เรือ่ ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์ รายวิชาชวี วิทยา 2 รหสั วิชา ว30242 ใช้สอนนกั เรยี น
ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5
2. ชดุ การเรยี นทเ่ี น้นผ้เู รยี นเปน็ สาคัญชดุ น้ี ประกอบด้วย
2.1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 12
2.2 บัตรกิจกรรม
2.3 บัตรงานที่ 1- 13
2.4 เฉลยบตั รงานท่ี 1- 13
2.5 บตั รเนือ้ หา
2.6 บัตรคาถาม
2.7 บัตรเฉลย
2.8 แบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลังเรยี น
2.9 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น - หลังเรยี น
3. ชุดการเรียนท่เี น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญชดุ น้ี ประกอบด้วยเนื้อหาและกจิ กรรม
การเรียนรู้ทั้งหมด 5 กจิ กรรม ใชเ้ วลาในการศึกษา 4 ชวั่ โมง
186
รายวชิ าชวี วทิ ยา 2 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1
รหัสวิชา ว30242 แผนการจัดการเรียนรู้ 12 เวลา 4 ช่วั โมง ( 240 นาที )
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ : เซลล์ของสง่ิ มีชวี ิต
เรอื่ ง การรักษาดุลยภาพของเซลล์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพน้ื ฐานของส่ิงมีชวี ติ ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ที่ของ
ระบบตา่ ง ๆ ของสิง่ มีชวี ติ ที่ทางานสมั พนั ธ์กัน มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารส่ิงทีเ่ รียนรู้
และนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชวี ิตของตนเองและดูแลส่งิ มชี วี ิต
2. สาระสาคัญ
เซลล์ มีการรักษาสมดุลของสาร โดยมีเยื่อหุ้มเซลล์ควบคุมการลาเลียงสารเขา้ และออกเพื่อรักษา
สภาพแวดลอ้ มภายในเซลล์ใหเ้ หมาะสมตอ่ การดารงชีวิตของเซลล์ การลาเลียงสารท่ีผา่ นเยอื่ หุ้มเซลล์
มีทงั้ แบบใช้พลังงานและแบบไม่ใชพ้ ลงั งาน สว่ นการลาเลียงสารท่ีไมผ่ ่านเย่ือหมุ้ เซลล์เปน็ การลาเลยี ง
สารท่มี ีขนาดใหญ่เขา้ สู่เซลล์หรือออกนอกเซลลไ์ ด้ แบ่งตามทิศทางการลาเลยี งสารออกเป็น 2 แบบคอื
แบบเอกโซไซโทซิส ซ่งึ เป็นวิธีการลาเลยี งสารออกนอกเซลล์ และแบบเอนโดไซโทซสิ เปน็ วธิ กี าร
ลาเลียงสารเข้าสูเ่ ซลล์
3. ผลการเรยี นร/ู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ผลการเรยี นรู้
ว 1.1 ม.5/7 สืบคน้ ข้อมลู สารวจตรวจสอบ อภิปราย และอธบิ ายการรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
กระบวนการท่สี ารผา่ นเซลล์ และการสือ่ สารระหว่างเซลล์
3.2 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายการลาเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยไมใ่ ช้พลงั งานและใช้พลังงาน
2. ออกแบบเครอ่ื งมอื และวัดแรงดนั ออสโมซิส
3. ทดลองหาความเขม้ ขน้ ของสารละลายไอโซโทนิก ไฮเพอร์โทนิก และไฮโพโทนิก
ของเซลล์สาหรา่ ยหางกระรอก
4. อธิบายการลาเลียงสารโดยไมผ่ ่านเยือ่ หมุ้ เซลลแ์ บบเอกโซไซโทซิสและเอนโดไซโทซิส
5. มคี วามรับผิดชอบ มีระเบียบวนิ ยั และทางานกลุ่มร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อย่างสร้างสรรค์
187
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
1) การลาเลียงสารผา่ นเย่ือหมุ้ เซลลโ์ ดยไม่ใชพ้ ลงั งานและใช้พลังงาน
2) การออกแบบเคร่ืองมือและทดลองวดั แรงดันออสโมซสิ
3) การทดลองหาความเข้มขน้ ของสารละลายไอโซโทนิก ไฮเพอรโ์ ทนิก และไฮโพโทนิก
ของเซลลส์ าหรา่ ยหางกระรอก
4) การลาเลียงสารโดยไมผ่ ่านเยอื่ หมุ้ เซลลแ์ บบเอกโซไซโทซสิ และเอนโดไซโทซิส
4.2 ทกั ษะ/กระบวนการ
1) การสบื คน้ ข้อมลู
2) การคิดวิเคราะห์
3) การคดิ สงั เคราะห์
4) กระบวนการทางานกลุม่
5) กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
4.3 คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
1) มีวินยั
2) ใฝเ่ รยี นรู้
3) มุ่งมน่ั ในการทางาน
4) มคี วามรับผดิ ชอบ
5) มีน้าใจและรูจักช่วยเหลือผูอ้ นื่
5. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ชว่ั โมงท่ี 1- 2 (การสอนแบบวฏั จกั รการสบื เสาะหาความรู้ 5Es)
เร่ือง การลาเลียงสารผา่ นเยื่อหมุ้ เซลลโ์ ดยไมใ่ ช้พลงั งาน
1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1.1 ครยู กสถานการณ์ในชีวติ ประจาวนั เชน่ แม่ค้าผักต้องใชน้ า้ พรมผกั และตอ้ งนาผ้าขาวบาง
คลมุ ผกั ไว้ เพอื่ ไมใ่ ห้ผักเหี่ยว จากนน้ั สนทนาซกั ถามนักเรยี น ดงั น้ี
1) ทาไมต้องแชด่ อกไม้สดในแจกนั ท่ีมนี ้า
2) น้าเขา้ ส่เู ซลล์ของพชื ได้อยา่ งไร
3) น้ามคี วามสาคัญอย่างไรต่อเซลล์
1.2 เพ่ือให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า ขณะท่ีเซลลย์ ังมชี ีวติ อยู่จะมีการลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์
เสมอ ครตู ั้งคาถามกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกดิ ความสงสยั ดงั น้ี
1) โครงสร้างท่ีควบคุมการผ่านเขา้ ออกของสารภายในเซลล์ คอื อะไร (เย่อื หมุ้ เซลล์)
2) เย่ือหุ้มเซลลค์ วบคมุ การลาเลียงสารเข้าและออก เพอ่ื รักษาดุลยภาพของเซลล์ อยา่ งไร
188
1.3 ครูแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรใู้ ห้นักเรยี นทราบ
1.4 นกั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรือ่ ง การรักษาดุลยภาพของเซลล์ เพื่อประเมนิ ความรู้
พ้ืนฐานของนักเรียนก่อนเรียน
2. ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 นักเรยี นแบง่ กล่มุ ๆ ละ 4 – 5 คน คละเพศและความสามารถนักเรยี นเก่ง ปานกลาง และ
ออ่ น จากนน้ั ตง้ั ชอ่ื กลมุ่ ดาเนนิ การเลอื กประธานกลุ่ม รองประธาน และเลขานุการกลมุ่ เพอื่ ทาหนา้ ที่
ดาเนนิ การและประสานงานภายในกลมุ่
2.2 ครทู บทวนความร้เู ดมิ เกย่ี วกับการลาเลียงสารผ่านเขา้ ออกภายในเซลล์โดยตง้ั ประเดน็ ถาม
นกั เรียน ดงั น้ี
1) โครงสร้างท่คี วบคมุ การผ่านเข้าออกของสารภายในเซลล์ คืออะไร
2) เซลล์มีวิธีการลาลยี งสารผา่ นเย่อื หุม้ เซลลไ์ ดอ้ ย่างไร โดยใช้วิธใี ด
2.3 ตัวแทนแตล่ ะกล่มุ รบั เอกสารชุดการเรยี น ชดุ ท่ี 3 เรอื่ ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
จากนั้นให้แตล่ ะกล่มุ ศึกษาบตั รกิจกรรม 3.1 เรือ่ ง การแพร่ของสาร เสร็จเรียบร้อยแล้วใหแ้ ต่ละกลุ่ม
ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม เพอ่ื ศึกษาการแพรข่ องเกล็ดด่างทบั ทิมในน้า โดยใหน้ กั เรียนสงั เกตการแพร่ของเกล็ด
ดา่ งทับทมิ ในน้า แลว้ รว่ มกันอภิปรายประเด็นคาถาม ตามบตั รงานที่ 1 ดงั น้ี
1) การแพร่มีทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องอนภุ าคสาร อยา่ งไร
2) สารท่จี ะเกดิ การแพร่ ควรมีสถานะใดไดบ้ ้าง
3) การแพรข่ องสารจาเป็นตอ้ งผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์หรือไม่
4) เมื่อถงึ จดุ สมดลุ ของการแพรแ่ ลว้ สารทแี่ พร่จะหยดุ การเคลื่อนทหี่ รอื ไม่ อยา่ งไร
2.4 นกั เรียนร่วมกนั อธิบายเกี่ยวกบั การแพร่และให้ความหมายของการแพร่ ซึง่ ไดข้ ้อสรปุ ดงั นี้
1) การแพร่ เปน็ การเคลอ่ื นท่ขี องอนภุ าคของสารจากบริเวณทม่ี คี วามเขม้ ข้นสงู ไปสู่
บรเิ วณที่มีความเข้มขน้ ต่า
2) สารท่แี พรเ่ กิดข้ึนไดท้ ุกสถานะทงั้ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส
3) การแพร่ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งผา่ นเย่อื หมุ้ เซลลเ์ สมอไป
4) เมื่อถงึ จดุ สมดุลของการแพรแ่ ลว้ สารท่แี พรย่ ังเคล่อื นท่อี ยู่ตลอดเวลา แตอ่ ัตราการ
เคล่ือนทีข่ องสารทุกบริเวณเท่ากนั
2.5 นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ศกึ ษาความรู้เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับการแพร่ของสาร จากบตั รเนือ้ หา
เรอ่ื ง การแพรข่ องสาร จากนนั้ จึงรว่ มกนั อธิบายสรุปเกย่ี วกบั การแพร่ของสารและทาแบบฝกึ ทักษะ
จากบัตรคาถาม เรื่อง การแพร่ของสาร
2.6 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ศกึ ษาและปฏิบตั ิกิจกรรม ตามบตั รงานท่ี 2 โดยให้แต่ละกลมุ่
ออกแบบการทดลอง เพอ่ื ศกึ ษาปัจจยั ทีม่ ผี ลอัตราการแพรข่ องสาร โดยปฏบิ ัติ ดงั นี้
189
1) ต้ังสมมติฐาน และกาหนดตัวแปรเพ่ือศกึ ษาปัจจยั ท่มี ผี ลต่ออตั ราการแพร่ของสาร
โดยใช้อปุ กรณแ์ ละสารเคมีที่จดั เตรียมไว้ให้
2) แตล่ ะกลุ่มดาเนนิ การทดลองตามทีอ่ อกแบบไว้
3) สงั เกต บนั ทึก สรุปและรายงานผลการทดลอง
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
3.1 ครูสุม่ กล่มุ นกั เรยี น 1 กลุ่มใหอ้ อกมานาเสนอการดาเนินการทดลองและรายงานผล
การทดลองหน้าชัน้ เรยี น จากนัน้ รว่ มกันอภปิ รายผลการทดลองและซกั ถามนักเรยี นกลุม่ อน่ื ๆ
เก่ียวกบั การดาเนนิ การทดลอง ผลการทดลอง วเิ คราะห์ขอ้ บกพร่อง และแนวทางในการแก้ไข
3.2 ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อธบิ ายสรปุ ผลการทดลอง ซงึ่ ควรได้ข้อสรปุ ดังนี้
1) การแพร่ของเกลด็ ดา่ งทบั ทมิ ในน้าทีม่ อี ุณหภมู ิปกติ เป็นการแพร่โดยไมต่ อ้ งใช้
พลงั งานสารจะเกดิ การเคลอ่ื นท่ีอยา่ งชา้ ๆ
2) การเพิม่ อณุ หภูมขิ องน้าให้สูงข้ึน ทาให้อนุภาคของเกลด็ ดา่ งทบั ทมิ มีพลงั งานจลน์
เพมิ่ มากข้ึน อนุภาคของเกลด็ ดา่ งทับทิม จงึ เคลอ่ื นทไ่ี ดเ้ ร็วขน้ึ
3) จากการทดลองจึงสรุปได้วา่ อณุ หภูมเิ ปน็ ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ อัตราการแพรข่ องสาร
4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษากิจกรรม 3.2 การลาเลยี งของสารผ่านเย่อื ห้มุ เซลล์ โดยให้
แต่ละกลุ่มปฏบิ ัติ ดงั น้ี
1) ศกึ ษาภาพ การแพรข่ องสารผา่ นเยื่อหุ้มเซลลแ์ ละรว่ มกันอภปิ รายประเด็นคาถามตาม
ใบงานท่ี 3 ดังน้ี
- อนภุ าคใดที่แพร่ผ่านเยือ่ หุ้มเซลล์ได้
- อนภุ าคใดท่แี พร่ผา่ นโปรตนี ของเยือ่ หุ้มเซลลไ์ ด้
- สัญลักษณ์ ▲และ ● นา่ จะเป็นอนภุ าคของสารใด
จากนั้นครูตั้งประเด็นคาถามให้นักเรียนร่วมกันสรุปความแตกต่างระหว่างการออสโมซิส
กับการแพรข่ องสารวา่ แตกต่าง กนั อย่างไร
๏ จากการสรุปรว่ มกนั นักเรยี นควรตอบได้วา่ ออสโมซสิ เป็นการแพรข่ องนา้ หรือของเหลว
ผา่ นเย่อื หมุ้ เซลล์ สว่ นการแพร่ เปน็ การเคล่อื นทีข่ องอนภุ าคสารผ่านเย่อื ห้มุ เซลลห์ รอื ไม่ต้องผา่ น
เย่อื หมุ้ เซลล์กไ็ ด้
2) ศกึ ษาภาพ การเปล่ียนแปลงรูปร่างของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงจากกระบวนการ
ออสโมซิสในสารละลายท่ีมีความเข้มข้นต่าง ๆ กัน จากนน้ั ร่วมกันอภปิ รายประเด็นคาถามตาม
บตั รงานที่ 4 ดงั นี้
190
- ภาพ ก ข และ ค เซลล์เมด็ เลอื ดแดงมีรปู รา่ งอยา่ งไร
- ทิศทางการเคลอื่ นทีข่ องนา้ เข้าและออกเป็นอยา่ งไร
- ในภาพ ก ข และ ค นักเรยี นคิดวา่ ความเข้มขน้ ของสารละลายที่อย่ภู ายนอก
ของเซลล์มคี า่ เหมือนหรือแตกต่างจากสารละลายภายในเซลลอ์ ย่างไร
จากนั้น ครูเพิ่มเติมความรู้ เรื่อง สารละลายไอโซโทนิก ไฮเพอร์โทนิก และสารละลาย
ไฮโพโทนิก และความหมายของศัพทค์ าว่า Iso แปลวา่ เท่ากัน Hyper แปลวา่ สงู กว่า และ Hypo
แปลวา่ ต่ากวา่
3) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั เปรียบเทยี บปริมาณนา้ ท่เี ข้าและออกจากเซลล์เมด็ เลอื ดแดง
ในสารละลายไอโซโทนิก ไฮเพอรโ์ ทนกิ และไฮโพโทนิก ว่าแตกต่างกันอย่างไร จากนนั้ ครูต้ังประเด็น
คาถามเพ่ิมเตมิ ดังน้ี
- จะเกิดอะไรขึน้ ถา้ นาเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดงมาใสใ่ นน้ากล่ัน
4) นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ศึกษาความรเู้ ก่ียวกบั กระบวนการออสโมซสิ เพิม่ เตมิ จากบตั รเนือ้ หา
และทาแบบฝึกทกั ษะจากบตั รคาถามเรื่อง การลาเลียงสารผ่านเยือ่ หมุ้ เซลลโ์ ดยวธิ ีการออสโมซสิ
5. ขนั้ ประเมนิ ผล (Evaluation)
5.1 ครูช้ีแนะให้นกั เรยี นทราบว่า ขณะท่เี กดิ กระบวนการออสโมซิส จะมแี รงดนั ออสโมซสิ
(Osmotic Pressure) เกดิ ขึ้นด้วย ซ่งึ นักเรียนจะได้ศึกษาจากกจิ กรรม 3.3 เรอื่ ง แรงดนั ออสโมซิส
ตามบัตรงานที่ 5
จากนั้นครูให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม เพื่อศึกษาเรื่อง แรงดันออสโมซิส โดยมอบหมาย
ให้แตล่ ะกลุ่มไปทาการศกึ ษามาล่วงหนา้ นอกเวลาเรียน แล้วเขยี นรายงาน เพือ่ นาผลมาอภิปรายรว่ มกนั
ในชั้นเม่ือถึงช่วั โมงเรียน ซง่ึ แตล่ ะกลุม่ จะต้องปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามบัตรงานท่ี 5 ดงั น้ี
1) แตล่ ะกลุ่มรว่ มกันออกแบบเคร่อื งมอื วัดแรงดนั ออสโมซิสอย่างง่ายเพ่อื เปรียบเทียบ
แรงดันออสโมซิสระหว่างนา้ กล่นั กับสารละลายท่มี ีความเขม้ ข้นตา่ งกนั โดยใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ เช่น ไขเ่ ปด็
หรอื กระดาษเซลโลเฟน
2) แตล่ ะกลุม่ ดาเนนิ การตามท่อี อกแบบไว้ โดยให้ไปทดลองนอกเวลาเรียน
3) อภปิ ราย สรุปผลการทากิจกรรม และตอบคาถามหลังทากจิ กรรม
5.2 สุม่ กลมุ่ นกั เรยี น 1 กล่มุ เปน็ ตัวแทนออกมานาเสนอผลการทดลองของกล่มุ หนา้ ชั้นเรียนเพ่อื
อภิปรายและสรุปผลร่วมกัน
5.3 ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายประเด็นคาถามหลังทากจิ กรรม ดงั นี้
- ถ้าการแพร่ของนา้ เขา้ และออกจากเซลลเ์ ทา่ กนั เราเรยี กสภาวะนว้ี ่า สมดุลของการแพร่
นักเรียนจะทราบได้อยา่ งไรวา่ การทดลองน้ีเกิดสภาวะสมดลุ ของการแพร่แล้ว
- แรงดันออสโมซสิ ในสารละลายและแรงดันเต่งในเซลลม์ คี วามเกีย่ วข้องกนั อยา่ งไร
191
5.4 นักเรียนรว่ มกันอภิปรายประเด็นเพ่ิมเติมเกยี่ วกับสภาพการเหี่ยวของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์
อนั เนอื่ งมาจากการสูญเสยี น้า ว่าแตกต่างกันอย่างไร
5.5 ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติม เร่อื ง การทาเซลล์เทยี ม เพ่ือศึกษาแรงดนั ออสโมซิส ทาได้ ดงั น้ี
๏ นากระดาษเซลโลเฟนชบุ น้าห่อกรวยแกว้ ทมี่ กี ้านยาวมัดใหแ้ น่นใสส่ ารละลายทีม่ ี
ความเขม้ ข้นสูงในกรวยแกว้ จนเต็มกระเปาะกรวย แล้ววางในบีกเกอร์ท่มี นี า้ กล่ันบรรจอุ ยใู่ ห้ระดบั น้า
อยู่ตา่ กวา่ รอยมดั
5.6 ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอธิบายสรุปเก่ียวกับแรงดันออสโมซสิ ซึ่งควรได้ขอ้ สรุป ดังนี้
๏ การเคล่อื นทีข่ องน้าเขา้ สู่เซลล์ เป็นผลทาให้เกิดแรงดันเต่งและทาให้เซลลเ์ กิดการเตง่
การที่นา้ เคล่ือนทเี่ ขา้ ส่เู ซลลน์ ี้ แสดงวา่ ความเข้มข้นของสารละลายภายนอกเซลล์ เปน็ สารละลาย
ไฮโพโทนิก ถา้ น้าเคลื่อนท่ีออกจากเซลล์ แรงดนั เตง่ จะลดลง แสดงว่า สารละลายภายนอกเซลล์เปน็
สารละลายไฮเพอรโ์ ทนกิ
5.7 ครูมอบหมายงานลว่ งหนา้ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เตรยี มสาหรา่ ยหางกระรอกทีค่ ่อนขา้ งสด
เพือ่ นามาทดลองศึกษาหาความเข้มข้นของสารละลายทมี่ ผี ลต่อการเปลยี่ นของเซลลส์ าหรา่ ย
หางกระรอก โดยใชใ้ บออ่ นจากปลายยอดมาทดลอง ในชว่ั โมงตอ่ ไป
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ช่วั โมงที่ 3 (การสอนแบบวฏั จักรการสบื เสาะหาความรู้ 5Es)
เรอื่ ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลลพ์ ืชและการลาเลยี งสารผ่านเยอื่ หุ้มเซลลโ์ ดยใชพ้ ลังงาน
1) ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
1.1 ครทู บทวนความหมายของสารละลายไอโซโทนกิ ไฮเพอร์โทนิกและไฮโพโทนกิ รวมท้งั
สภาพของเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงในสารละลายเหลา่ นนั้ จากนนั้ ใชค้ าถามกระตนุ้ ให้นกั เรียนเกดิ ความอยากรู้
อยากเห็น ดงั นี้
1) ถ้าทดลองกับเซลลพ์ ชื นกั เรียนคิดว่า จะไดผ้ ลเชน่ เดยี วกับเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงของสัตว์
หรือไม่ เหตใุ ดจึงเป็นเชน่ นัน้
2) รูปรา่ งของเซลล์พชื จะเปล่ยี นแปลงหรือไม่ เพราะเหตุใด
1.2 นักเรยี นควรใชค้ วามรูจ้ ากกิจกรรมการศกึ ษาเซลล์ของส่งิ มชี ีวิตดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ ละ
ความรู้ เรอ่ื ง การลาเลียงสารทีก่ ลา่ วมาแลว้ มาใช้อธบิ ายคาตอบไดว้ า่
๏ การเปลยี่ นแปลงท่เี กิดกบั ไซโทพลาซึมของเซลล์พชื นา่ จะให้ผลเช่นเดยี วกับเซลล์
เมด็ เลือดแดงกล่าวคือ สารละลายไอโซโทนิก จะไมท่ าใหร้ ูปร่างของเซลล์เปลี่ยนแปลง แตใ่ นสาร
ละลายไฮเพอรโ์ ทนิก จะทาให้ไซโทพลาซมึ เหี่ยวลงจนทาใหไ้ ซโทพลาซมึ แตกออกมาจากผนังเซลล์
เพราะนา้ จะเคล่ือนที่ออกจากเซลล์มากกวา่ น้าทีเ่ คล่อื นท่ีเขา้ สเู่ ซลล์ ส่วนในสารละลายไฮโพโทนิก
เซลลพ์ ืชจะเต่งขึน้ เพราะมอี ัตราการเคล่ือนทข่ี องนา้ เข้าสู่เซลลม์ ากกวา่ นา้ ที่เคล่ือนทีอ่ อกจากเซลล์
192
แตเ่ ซลลพ์ ชื จะไม่เต่งจนแตกเพราะมผี นงั เซลล์ก้ันไว้ ดังนั้นรูปร่างของเซลล์พืชจงึ ไมน่ า่ เปลีย่ นแปลง
2) ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 ครตู ้ังประเดน็ คาถามให้นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายกอ่ นให้แต่ละกลมุ่ ปฏิบตั กิ ิจกรรมเพื่อ
วางแผนออกแบบการทดลอง ดงั นี้
1) นกั เรียนจะใชส้ ารละลายใดชนิดใด และจะดาเนนิ การทดลองอยา่ งไร
2) นักเรยี นจะตอ้ งใชอ้ ปุ กรณอ์ ะไรบ้าง และดาเนินขัน้ ตอนตามลาดบั อย่างไร
3) ผลการทดลองทเี่ กิดขนึ้ เปน็ อยา่ งไร
4) ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ เขียนรายงานพรอ้ มทง้ั วาดภาพประกอบผลการทดลอง
2.2 แต่ละกลมุ่ ปฏิบตั กิ จิ กรรมการทดลองเพ่อื ศกึ ษาการรกั ษาดลุ ยภาพของเซลลพ์ ชื ในเอกสาร
ชุดการเรียน ชดุ ที่ 3 บัตรกจิ กรรม 3.3 ตามบตั รงานที่ 6 โดยใหแ้ ต่ละกลมุ่ ปฏิบตั ิ ดงั นี้
1) ออกแบบและทดลองหาสารละลายทม่ี คี วามเข้มขน้ เทา่ กับ มากกวา่ หรือ น้อยกว่า
สารละลายในเซลล์สาหร่ายหางกระรอก
2) บันทกึ การเปลีย่ นแปลง นาผลมาอภปิ รายรว่ มกันในชั้นเรียน
2.3 สมุ่ กลุ่มนกั เรียน 1 กลุ่ม เพือ่ เปน็ ตัวแทนออกมานาเสนอผลการทากิจกรรม แลกเปล่ยี น
ความคิดเห็น และอภปิ รายสรปุ ผลการทากิจกรรมรว่ มกัน
3) ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
3.1 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อธบิ ายสรุปเกี่ยวกับการทดลองเพื่อศกึ ษาการรกั ษาดุลยภาพของ
เซลล์สาหรา่ ยหางกระรอก ตามประเดน็ คาถาม ดงั นี้
1) นักเรยี นจะสรปุ ผลการทดลองวา่ อยา่ งไร ( ซงึ่ นกั เรียนควรสรุปไดว้ า่ สารละลาย
ทที่ าให้ไซโทพลาซึมเหย่ี วแฟบ เป็นสารละลายไฮเพอร์โทนิกไดแ้ ก่สารละลายโซเดียมคลอไรด์ท่มี ี
ความเข้มข้นประมาณ 5 – 10 % สารละลายที่ทาใหเ้ ซลลเ์ ตง่ เป็นสารละลายไฮโพโทนิก ไดแ้ ก่
สารละลายโซเดียมคลอไรด์ทม่ี ีความเขม้ ข้น ประมาณ 1 – 3 % แตเ่ นอ่ื งจากมีผนังเซลล์จงึ ทาใหเ้ หน็
การเปลีย่ นแปลงไม่ชดั เจน สารละลายไอโซโทนกิ เป็นสารละลายทท่ี าใหไ้ ซโทพลาซมึ มีลักษณะปกติ
ได้แก่ สารละลายโซเดียมคลอไรดท์ ่ี มคี วามเขม้ ขน้ ประมาณ 4 % )
2) ผลการทดลองของนักเรยี นเหมอื นหรอื แตกตา่ งกับเพอื่ นคนอื่นหรือไม่ นักเรียน
จะอธบิ ายผลอยา่ งไร (สว่ นใหญ่น่าจะเหมือนกนั แต่อาจมีบางค่าแตกต่างกนั อาจจะเปน็ เพราะว่ามี
ข้อผดิ พลาดในการชง่ั สารหรอื อาจเป็นเพราะน้าท่ีนามาใช้ในการทาปฏิบตั ิการหรือสภาพแวดล้อม
ของแหล่งนา้ ทสี่ าหรา่ ยนั้นเจริญอยู่ )
3) ถ้าเปลย่ี นจากสาหร่ายเป็นพืชอย่างอื่น ผลการทดลองจะเหมือนกับเซลล์ของ
สาหรา่ ยหางกระรอกหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ผลการทดลองนา่ จะแตกต่างกนั เนอ่ื งจากพชื ดารงชีวติ
ในสภาพแวดลอ้ มตา่ งกัน ดงั นั้น ความเข้มข้นของสารละลายในเซลลจ์ ะแตกตา่ งกนั ด้วย )
193
3.2 แตล่ ะกลมุ่ สรุปผลการทากจิ กรรม ตอบคาถามหลงั ทากจิ กรรม และเขยี นรายงาน
4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาบัตรกจิ กรรม 3.4โดยศกึ ษาภาพการแพรข่ องสารแบบฟาซิลเิ ทต
สงั เกตและเปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างการแพรแ่ บบธรรมดากบั การแพร่แบบฟาซิลิเทต จากน้นั
รว่ มกันอภปิ รายประเด็นคาถาม ตามบัตรงานที่ 7 ดังนี้
- การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต มลี ักษณะแตกตา่ งจากการแพรแ่ บบธรรมดาอย่างไร
- อตั ราการแพร่ของสารแบบฟาซลิ ิเทตตา่ งจากการแพร่แบบธรรมดาอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
4.2 นกั เรียนศกึ ษารายละเอยี ดเพ่มิ เติม เร่ือง การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต จากบัตรเนื้อหา จากน้ัน
ร่วมกันอธบิ ายสรุปเกย่ี วกบั การแพร่ การออสโมซิส และการแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต
4.3 นักเรียนแต่ละกลมุ่ ศึกษาภาพ การลาเลียงสารแบบใช้พลงั งาน แลว้ รว่ มกนั อภิปราย
ประเด็นคาถาม ตามบัตรงานท่ี 8 ดงั นี้
1) ทศิ ทางการเคลือ่ นทข่ี องสารเหมือนหรอื แตกตา่ งจากการแพร่อย่างไร
2) ถา้ จะเปรียบเทียบการแพรเ่ หมือนกบั การปล่อยน้าลงจากถังเก็บน้าบนหอคอย การ
ลาเลยี งแบบใชพ้ ลงั งานอาจเทยี บไดก้ ับอะไร
3) พลังงานท่เี ซลลน์ ามาใชไ้ ด้มาจากสารใด
4) การลาเลยี งสารแบบฟาซลิ ิเทตเหมือนหรือต่างจากการลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
อย่างไร
4.4 ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอธิบายและเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ ง
การแพรข่ องสารแบบฟาซลิ ิเทตกับการลาเลยี งสารแบบใช้พลังงาน
4.5 นักเรียนศึกษารายละเอยี ดเพม่ิ เติมจากบตั รเนอื้ หาและทาแบบฝึกทกั ษะจากบตั รคาถาม
เรือ่ ง การแพร่แบบฟาซิลเิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งาน
5) ขัน้ ประเมนิ ผล (Evaluation)
5.1 นกั เรียนศึกษาการเปล่ียนแปลงของสารละลายที่มโี ปรตีน กลโู คส และนา้ ท่บี รรจอุ ยู่ใน
ภาชนะดา้ น A และด้าน B จากนนั้ รว่ มกันอภิปรายและตอบประเด็นคาถาม ตามบัตรงานท่ี 9 ดงั นี้
1) ปริมาณนา้ ในสารละลายดา้ น A จะคงท่ี เพ่มิ ขึน้ หรอื ลดลง เพราะเหตุใด
(นา้ จะเพ่ิมข้นึ เพราะสารละลายด้าน B เจือจางกว่าสารละลายด้านA จึงออสโมซิส มายงั ด้าน A)
2) ปรมิ าณโปรตีนในสารลายด้าน A จะคงท่ี เพ่ิมข้ึน หรอื ลดลง เพราะเหตุใด
(คงท่ี เพราะโมเลกุลโปรตนี ไม่สามารถแพรผ่ ่านเยอื่ เลือกผ่านไปยังด้าน Bได้)
3) โมเลกุลของน้าตาลกลโู คส จะแพร่ผา่ นเยือ่ ไปยงั ดา้ น A หรอื ด้าน B เพราะเหตุใด
(ไปยงั ด้าน B เพราะด้าน A มคี วามเขม้ ข้นของนา้ ตาลมากกวา่ )
194
4) ด้าน A หรือ ดา้ น B จะมแี รงดนั ออสโมซิส เพราะเหตุใด
(ด้าน A เพราะน้าจากด้าน B ไหลไปสดู่ ้าน A )
5.2 นกั เรยี นใช้ความรเู้ รอื่ ง การลาเลยี งสารผ่านเย่อื หมุ้ เซลลท์ เี่ รียนมาแลว้ อธบิ ายปรากฏการณ์
ทีเ่ กดิ ในเซลลส์ ่ิงมชี วี ติ ตามประเดน็ ในบตั รงานที่ 10 ดังน้ี
ซึ่งนักเรียนจะต้องนาความรู้หรือหลักการทางวิชาการในเรื่องที่เรียนมาแล้วมาใช้อธิบาย
ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึน้ ในชวี ติ ประจาวันวา่ ปรากฏการณเ์ หลา่ นีเ้ กดิ ขน้ึ มาได้อย่างไร เพราะเหตใุ ด
1) เมื่อนาเซลล์เมด็ เลอื ดแดงใส่สารละลายในหลอดทดลองเม็ดเลอื ดแดงแตก
(อธบิ ายไดว้ า่ สารละลายในหลอดทดลอง เป็นสารละลายไฮโพโทนกิ เป็นสารละลายทม่ี ีเจอื จางกว่า
สารละลายภายในเซลล์ จงึ เคลอ่ื นท่เี ขา้ ไปในเซลล์เม็ดเลือดแดงจนเซลล์แตก )
2) แกส๊ CO2ลาเลียงออกจากเซลล์ของไฮดราออกสูส่ ภาพแวดล้อม
(อธบิ ายไดว้ า่ เมื่อไฮดราหายใจมีปรมิ าณแกส๊ CO2ในเซลล์ของไฮดราเพิ่มมากขนึ้ ความเข้มข้นของ
แกส๊ CO2 ในเซลลจ์ งึ มีมากกว่าในน้าที่เป็นสภาพแวดลอ้ ม แกส๊ CO2จงึ แพรผ่ า่ นเยื่อหมุ้ เซลลอ์ อกมา)
3) ผกั เห่ยี วเมอ่ื แช่น้าจะสด
(อธบิ ายไดว้ า่ เพราะเมอ่ื น้าผักไปแชน่ ้า น้าจะแพรจ่ ากภายนอกเขา้ สูใ่ นเซลลข์ องผกั ทม่ี ีความเข้มข้น
สารละลายมากกว่า และน้าทเี่ ขา้ สูเ่ ซลล์นั้น จะลา้ เลียงไปสสู่ ่วนตา่ ง ๆ ของผกั ทา้ ใหเ้ ซลล์ ต่าง ๆ ของ
ผกั เตง่ ขึ้น ผกั จงึ สดข้นึ )
4) ช้ินมนั เทศแช่ในนา้ เชอ่ื มจะมขี นาดเล็กลง
(อธบิ ายไดว้ ่า สารละลายภายในเซลลข์ องมันเทศเจอื จางกวา่ น้าเชอ่ื ม น้าจากชน้ิ มันเทศ จะแพร่ออก
มาสู่นา้ เชือ่ ม ทา้ ใหเ้ ซลลข์ องชิ้นมันเทศเหย่ี ว จงึ ท้าให้ชน้ิ มนั เทศมขี นาดเลก็ ลง)
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชัว่ โมงท่ี 4 (การสอนแบบร่วมมอื กนั เรียนรเู้ ทคนิคการเรียนรแู้ บบ LT)
เรอื่ ง การลาเลียงสารโดยไม่ผา่ นเย่ือหมุ้ เซลล์
1) ขนั้ เตรยี มความพร้อมกอ่ นเรยี น
1.1 ให้นักเรียน 2 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการทาตน้ หอมขีอ้ าย โดยให้นักเรียนปฏิบตั ิ ดังน้ี
๏ นกั เรียนคนท่ี 1 ใช้ปลายมีดตดั ปลายใบของตน้ หอมใหเ้ สมอกัน จากนนั้ จงึ กรีดปลายใบ
ของตน้ หอมตามยาว
๏ นกั เรียนคนที่ 2 เตรียมแก้วใสน่ า้ แล้วนาต้นหอมท่กี รดี ปลายใบแล้วแช่ลงไปในแกว้ น้า
ตงั้ ท้ิงไวส้ ักครู่ แล้วให้เพอ่ื นในหอ้ งสงั เกตการเปลย่ี นแปลงท่เี กิดกับตน้ หอม
1.2 ครูตงั้ ประเด็นคาถามใหน้ กั เรียนรว่ มกนั อภิปราย ดังน้ี
1) ต้นหอมท่แี ช่ในแกว้ น้า เกิดการเปล่ยี นแปลงอย่างไร
(ใบของต้นหอมจะเกิดการม้วนงอออกด้านนอก)
195
2) เพราะเหตใุ ดใบของต้นหอมจึงเกิดการม้วนงอ
(เกิดจากการทน่ี ้าแพรเ่ ข้าไปทบ่ี รเิ วณเนอื้ เยือ่ ด้านในของใบของต้นหอม ท้าให้เน้ือเยือ่ ด้านในเตง่ ขนึ้
จึงขยายตวั มากกว่าเนือ้ เย่ือด้านนอก ใบจึงมว้ นงอออกด้านนอก )
3) กระบวนการที่เกดิ ขน้ึ กับใบของต้นหอม เรยี กวา่ อะไร
(กระบวนการออสโมซสิ (Osmosis) )
1.3 ครูทบทวนความรเู้ ดิมเกี่ยวกับการลาเลยี งสารผา่ นเยอ่ื หมุ้ เซลล์เพื่อใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่
สารทส่ี ามารถผา่ นเย่อื หุ้มเซลล์ได้มกั มขี นาดเลก็ ๆ เช่น โมเลกลุ ของนา้ กลโู คส และไอออนบางชนิด
เทา่ นน้ั
1.4 ครตู งั้ ประเดน็ คาถาม เพอื่ กระต้นุ ความสนใจของนักเรยี น ดงั นี้
- นกั เรียนคิดวา่ สารขนาดใหญ่ทจี่ าเปน็ ต่อการดารงชีวติ ของเซลล์ จะเข้าสเู่ ซลลไ์ ด้
อย่างไร โดยใชว้ ธิ ีใด
1.5 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรยี นรูใ้ หน้ ักเรยี นทราบ
1.6 ครูแบ่งนกั เรยี นออกเปน็ กลุ่ม ๆ ละ 4 คน โดยคละความสามารถนักเรยี นเรยี นเก่ง 1 คน
ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ใหแ้ ต่ละกลุ่มเลอื กประธานกลมุ่ รองประธานและเลขานุการกลมุ่ เพ่ือ
ดาเนินงานและประสานงานภายในกลมุ่ และแจ้งให้นกั เรียนทราบว่าในการศกึ ษาบัตรเนือ้ หา บตั รงาน
หรอื ทากจิ กรรมตา่ ง ๆ นักเรียนตอ้ งช่วยเหลอื กันภายในกลุ่ม นักเรียนท่ีเรยี นเกง่ ตอ้ งชว่ ยเหลอื นกั เรยี น
ทีเ่ รียนออ่ นคะแนนทีไ่ ด้ขณะทากจิ กรรมร่วมกันจะเป็นคะแนนร่วมกันของกลมุ่
2) ขนั้ การเรยี นการสอน
2.1 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รับเอกสารชุดการเรียน ชดุ ท่ี 3 เร่อื ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์ ให้
นักเรยี นศกึ ษาบตั รกจิ กรรม 3.5 เรือ่ ง การลาเลียงสารโดยไม่ผา่ นเยือ่ หุ้มเซลล์ จากนัน้ ให้แตล่ ะกลมุ่
สืบคน้ ข้อมลู เก่ียวกับการลาเลยี งสารโดยไม่ผา่ นเยือ่ หุ้มเซลล์แบบเอกโทไซโทซสิ และการลาเลียงสาร
แบบเอนโดไซโทซิส จากบัตรเนื้อหา
2.2 ครแู จ้งวิธกี ารเรยี นแบบเรียนร้รู ว่ มกัน (LT) ว่าเป็นการเรยี นทเ่ี น้นความรว่ มมือภายใน
กลุ่ม นกั เรียนทกุ คนในกลมุ่ จะต้องมีวินยั มีความรับผิดชอบ ตรงตอ่ เวลา มมี ารยาท มีการแสดงออก
อยา่ งสรา้ งสรรค์ มกี ารยอมรับซ่ึงกนั และกนั มีความเปน็ ผูน้ าและผ้ตู ามท่ดี ี และจะต้องช่วยเหลือกนั
ระหวา่ งสมาชิกภายในกลุม่ ในการทากิจกรรม จงึ จะทางานกลุ่มออกมาดแี ละมปี ระสิทธิภาพ
2.3 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถามเกย่ี วกับการลาเลยี งสารโดยไม่ผา่ น
เยอื่ หมุ้ เซลลแ์ บบเอกโทไซโทซสิ และแบบเอนโดไซโทซิส จากบัตรงานท่ี 11 ตามประเดน็ ดงั นี้
1) สารขนาดใหญท่ ี่จาเปน็ ตอ่ การดารงชพี ของเซลลเ์ ขา้ สูเ่ ซลล์ไดโ้ ดยวธิ ีใด
(เซลลส์ ามารถนา้ สารขนาดใหญเ่ ข้าสูเ่ ซลล์ได้ โดยการยนื่ ไซโทพลาซมึ ไปโอบลอ้ มสารขนาดใหญ่และ
นา้ เขา้ สูเ่ ซลลใ์ นรูปของเวสเิ คลิ )
196
2) การลาเลยี งสารเข้าสู่เซลลห์ รอื ออกจากเซลล์ เรียกตามทิศทางวา่ อย่างไร
( การล้าเลยี งสารออกนอกเซลล์ เรยี กวา่ เอกโซไซโทซสิ การลา้ เลียงสารเขา้ เซลล์ เรยี กว่า
เอนโดไซโทซสิ )
3) การลาเลียงสารแบบเอกโซไซโทซสิ มวี ธิ กี ารอย่างไร
( มกี ารเคลือ่ นทขี่ องเวสเิ คิลในไซโทพลาซึมไปเชอ่ื มกับเยื่อห้มุ เซลล์ แลว้ ปลอ่ ยสารในเวสิเคิลออกไป
ภายนอกเซลล์ )
4) เวสเิ คิลที่นาสารออกนอกเซลล์นส้ี ร้างมาจากออรแ์ กเนลล์ใดของเซลล์
( กอลจคิ อมเพลก็ ซ์ เอนโดพลาสมกิ เรตคิ ูลมั )
5) การลาเลียงสารแบบเอนโดไซโทซสิ จาแนกได้เปน็ ก่ีแบบ อะไรบ้าง
( มี 3 แบบ คอื ฟาโกไซโทซสิ พโิ นไซโทซิส และนา้ สารเขา้ สู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับ )
6) การลาเลยี งสารแตล่ ะวธิ แี ตกต่างกนั อยา่ งไร
(ฟาโกไซโทซิส เป็นการทเ่ี ซลลย์ ่นื ไซโทพลาซึมออกมาล้อมรอบอนุภาคของสารแล้ว นา้ เข้าเซล์ในรปู
เวสเิ คลิ จากนั้นอาจรวมตวั กับไลโซโซมเพ่ือย่อยสลาย พบในเซลล์อะมีบาและเซลลเ์ มด็ เลือดแดง
พิโนไซโทซสิ เป็นการน้าสารในรูปของสารละลายเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยการคอดเวา้ ของเย่อื ห้มุ เซลล์ เพือ่ สร้าง
เปน็ ถงุ กลายเปน็ เวสเิ คลิ อยใู่ นไซโทพลาซมึ การนาสารเขา้ สเู่ ซลล์โดยอาศัยตวั รบั เป็นการน้าสารเขา้ สู่
เซลล์ที่ต้องอาศัยโปรตีนเป็นตวั รบั สารทน่ี า้ เข้า ซง่ึ มีสมบัตจิ า้ เพาะกับโปรตนี ตวั รับในการรวมตัวกัน
โดยเย่ือหมุ้ เซลลค์ อดเว้าสร้างเป็นเวสเิ คิล เขา้ ไปในไซโทพลาซึม )
โดยให้มีการแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบภายในกลุ่ม ดังนี้
สมาชิกคนที่ 1 มีหน้าทอี่ ่านประเดน็ คาถามจากบตั รงานท่ี 11
สมาชิกคนที่ 2 มหี นา้ ทีฟ่ งั ขั้นตอน รวบรวมข้อมูล เสนอแนะแนวทางในการตอบคาถาม
สมาชิกคนที่ 3 มีหนา้ ที่ตอบประเดน็ คาถาม
สมาชิกคนที่ 4 มีหนา้ ทีต่ รวจสอบความถกู ต้องของคาตอบ
หลังจากตอบประเด็นคาถามข้อแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนได้มีการ
หมนุ เวยี นสบั เปลยี่ นการปฏบิ ตั ิหน้าทก่ี นั ภายในกลมุ่ ดงั นี้
สมาชิกคนที่ 2 เลื่อนขนึ้ ไปทาหนา้ ที่คนที่ 1
สมาชิกคนที่ 3 เลอ่ื นขึ้นไปทาหนา้ ทคี่ นที่ 2
สมาชิกคนที่ 4 เลื่อนข้นึ ไปทาหน้าทีค่ นท่ี 3
สมาชิกคนที่ 1 เล่ือนขนึ้ ไปทาหน้าท่ีคนที่ 4
โดยให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มได้มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนการปฏิบัติหน้าที่กันภายในกลุ่มเช่นนี้
เร่ือยไปจนกระทั่งตอบประเด็นคาถามเสรจ็ เรียบร้อยครบทุกขอ้
197
2.4 นักเรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันเปรยี บเทียบวิธีการนาสารเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยวิธฟี าโกไซโทซิส
พโิ นไซโทซิส และการนาสารเขา้ สูเ่ ซลล์โดยอาศัยตวั รบั โดยปฏบิ ตั ิกิจกรรมและอภิปรายประเด็น
การเปรียบเทียบ ตามบตั รงานท่ี 12 ดังนี้
1) ใหน้ กั เรยี นเปรียบเทียบวา่ การนาสารเขา้ สูเ่ ซลล์ทงั้ แบบฟาโกไซโทซิส พโิ นไซโทซสิ
และการนาสารเขา้ สู่เซลลโ์ ดยอาศัยตวั รับ เหมอื นหรือต่างกนั อยา่ งไร
( ซง่ึ นักเรียนควรบอกได้ว่า เหมอื นกันคอื มีการสรา้ งเวสิเคิล เพื่อน้าสารเขา้ สู่เซลล์ ตา่ งกันท่ี วธิ กี าร
นา้ สารเขา้ ส่เู ซลล์ โดยฟาโกไซโทซิส มกี ารยน่ื ไซโทพลาซึมโอบลอ้ มสารทีเ่ ป็นของแข็ง ส่วน
พโิ นไซโทซสิ เปน็ การน้าสารละลายเข้าสเู่ ซลล์โดยการเว้าของเยือ่ หมุ้ เซลลเ์ ข้าไปในไซโทพลาซมึ
แต่การนาสารเขา้ สเู่ ซลล์โดยอาศัยตัวรับ ตอ้ งใช้โปรตีนท่ีแทรกอยู่บนเย่อื หุ้มเซลล์ซ่งึ มคี วามจา้ เพาะ
กับสารที่นา้ เข้า)
2) นาข้อเปรียบเทียบสิ่งทีเ่ หมอื นกัน และส่ิงที่ตา่ งกันมาเขียนเปน็ ผงั ความคดิ ในรูปแบบ
ของแผนภูมิ Venn Diagram ในบตั รงานที่ 12 ตามความเขา้ ใจของตนเอง
โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่มมีการแบ่งหน้าทก่ี ันรับผดิ ชอบดังน้ี
สมาชิกคนที่ 1 มหี นา้ ทอี่ ่านชอื่ ส่งิ ที่ต้องการให้เปรยี บเทยี บ
สมาชิกคนที่ 2 มีหนา้ ทฟ่ี ัง รวบรวมขอ้ มลู และเสนอแนะแนวทางการเปรียบเทียบ
สมาชกิ คนที่ 3 มหี น้าที่วเิ คราะห์ความเหมือนและความแตกตา่ งของวิธีการนาสารเข้าสู่
เซลล์แบบแบบฟาโกไซโทซิส พโิ นไซโทซสิ และการนาสารเข้าสู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรับ
สมาชิกคนที่ 4 มีหน้าทเี่ ขยี นข้อมูลลงในแผนภมู ิความสัมพันธ์แบบ Venn Diagram
2.5 ครูใหค้ วามรเู้ พิ่มเติมเกี่ยวกบั การยอมใหส้ ารบางชนิดผ่านเข้าออกของเย่อื หุม้ เซลลโ์ ดยชี้ให้
นกั เรยี นเห็นว่า ถ้าเยอื่ หุ้มเซลลย์ อมใหส้ ารทุกชนดิ ผ่านจะมผี ลต่อเซลล์ คอื เซลลจ์ ะไม่สามารถรกั ษา
สภาพแวดลอ้ มภายในเซลลใ์ หเ้ หมาะสมตอ่ กระบวนการเมแทบอลิซมึ ในเซลลไ์ ด้
3) ขัน้ ตรวจสอบผลงาน
3.1 ให้นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ตรวจสอบความสมบูรณข์ องการตอบคาถามจากบัตรงานที่ 11
ว่าครบทกุ ข้อหรือไม่ กอ่ นทจี่ ะสง่ ครผู ้สู อน
3.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มตรวจสอบการเขยี นรายละเอยี ดของแผนภูมิความสัมพนั ธ์แบบ
Venn Diagram เกยี่ วกับการเปรียบเทียบวิธีการนาสารเขา้ สเู่ ซลล์ท้ัง 3 แบบ คือ แบบฟาโกไซโทซิส
พโิ นไซโทซิส และ การนาสารเขา้ สเู่ ซลล์โดยอาศัยตวั รบั ตามบตั รงานที่ 12 วา่ ถกู ต้องครบถ้วนหรือไม่
4) ขั้นสรุปและประเมินผล
4.1 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั อธิบายสรุปเกี่ยวกบั การลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเย่อื หุ้มเซลล์โดย
มปี ระเดน็ การอธบิ ายสรปุ และควรสรปุ ได้ ดงั น้ี
198
1) การลาเลยี งสารโดยไมผ่ ่านเยื่อหุ้มเซลลจ์ ะเกดิ ขนึ้ กับโมเลกลุ ของสารขนาดใด
( ควรสรุปไดว้ ่า การล้าเลียงสารโดยไม่ผา่ นเย่ือหมุ้ เซลลม์ ักเกดิ ข้นึ กับสารทมี่ โี มเลกลุ ขนาดใหญ่ )
2) การลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเยอ่ื หมุ้ เซลลแ์ บ่งตามทศิ ทางการลาเลียงสารไดก้ แ่ี บบ
อะไรบา้ ง
( ควรอธบิ ายไดว้ ่า การล้าเลยี งสารโดยไม่ผา่ นเย่อื ห้มุ เซลล์ แบง่ ตามทศิ ทางการลา้ เลยี งได้ 2 แบบ คอื
การลา้ เลียงสารออก เรียกวา่ เอกโซไซโทซสิ และการนา้ สารเข้า เรียกวา่ เอนโดไซโทซิส )
3) การลาเลยี งสารโดยไมผ่ ่านเยอ่ื หุม้ เซลล์ แบบเอกโซไซโทซิส มลี กั ษณะอยา่ งไร
( ควรอธบิ ายไดว้ ่า การลา้ เลียงสารแบบเอกโซไซโทซิส จะเกดิ การเคลอ่ื นที่ของเวสเิ คิลในไซโทพลาซมึ
ไปเชอื่ มกับเยือ่ หมุ้ เซลล์ แล้วปลอ่ ยสารในเวสิเคิลออกไปภายนอกเซลล์)
4) การลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเย่อื หุ้มเซลลแ์ บบเอนโดไซโทซสิ แบ่งออกเป็นก่ีวธิ ีอะไรบ้าง
แต่ละวธิ ีมลี ักษณะอยา่ งไร
( ควรอธิบายได้ว่า การล้าเลียงสารโดยไม่ผา่ นเย่อื หุ้มเซลลแ์ บบเอนโดไซโทซิส แบ่งเปน็ 3 วิธี ไดแ้ ก่
ฟาโกไซโทซสิ พโิ นไซโทซสิ และการนา้ สารเข้าเซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรับซ่ึงแตล่ ะวิธมี ีลักษณะดังน้ี
ฟาโกไซโทซสิ มกี ารยื่นของไซโทพลาซมึ ออกมาโอบล้อมรอบสารทเ่ี ป็นของแขง็ แลว้ น้าเข้าเซลล์
พโิ นไซโทซสิ มกี ารนา้ สารเข้าในรปู ของสารละลายเข้าเซลล์โดยเกดิ การคอดเวา้ ของเย่อื หุ้มเซลล์เพอื่
สรา้ งเปน็ ถุง และ การนาสารเขา้ เซลล์โดยอาศยั ตวั รับ จะตอ้ งอาศยั โปรตีนเป็นตวั รับสารที่นา้ เข้ามีสมบตั ิ
จา้ เพาะรวมตวั กบั เยื่อหุ้มเซลล์เกิดการคอดเว้า สรา้ งเปน็ เวสิเคิลเข้าไปในเซลล์ )
4.2 ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ เขียนผงั มโนทศั น์สรปุ กระบวนการแพร่ของสารโดยไมผ่ ่านเยอื่ หมุ้
เซลลใ์ นรูปของ Branching Map ตามบัตรงานท่ี 13
4.3 นกั เรียนทาแบบฝึกทกั ษะจากบัตรคาถามเรอ่ื ง การแพร่ของสารโดยไม่ผา่ นเยอ่ื หุม้ เซลล์
4.4 นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเรอื่ ง การรักษาดลุ ยภาพของเซลล์ เสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว
ตรวจใหค้ ะแนน แจ้งให้นกั เรยี นทราบว่า คะแนนทดสอบของแต่ละคนรวมกันเปน็ คะแนนกลุม่ นา
คะแนนของทุกคนมารวมกนั แลว้ หาค่าเฉลยี่ เป็นคะแนนกลุ่ม
4.5 ครูประกาศคะแนนกลมุ่ ทไ่ี ด้คะแนนสงู สดุ และกลา่ วชมเชยกลุม่ ทไ่ี ด้คะแนนสงู สุดและ
ให้กาลังใจกลุม่ ที่ได้คะแนนนอ้ ยให้ขยันและเอาใจใสใ่ หม้ ากขึ้น
6. ส่ือการเรียนรู้ / แหลง่ การเรยี นรู้
6.1 ส่ือการเรียนรู้
1) ชุดการเรียนทีเ่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญชดุ ท่ี 3 เรือ่ ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
2) บตั รกจิ กรรม 3.1 – 3.5
3) บตั รงานท่ี 1- 13
199
4) แบบเฉลยบตั รงานท่ี 1 - 13
5) บัตรเนื้อหา เรอ่ื ง การแพรข่ องสาร
6) บตั รคาถามเรอ่ื ง การแพร่ของสาร
7) บตั รเฉลย เรอ่ื ง การแพรข่ องสาร
8) บัตรเน้ือหา เรือ่ ง การลาเลยี งสารผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลล์โดยวธิ ีการออสโมซสิ
9) บัตรคาถาม เรอื่ ง การแพรข่ องสารผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลลโ์ ดยวธิ กี ารออสโมซิส
10) บตั รเฉลย เร่ือง การแพรข่ องสารผา่ นเยื่อหมุ้ เซลล์โดยวธิ ีการออสโมซสิ
11) บตั รเน้อื หา เร่ือง การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใช้พลงั งาน
12) บตั รคาถาม เรอ่ื ง การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทตและการลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
13) บัตรเฉลย เร่ือง การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลังงาน
14) บัตรเนอ้ื หา เรื่อง การแพรข่ องสารโดยไมผ่ า่ นเย่อื หุม้ เซลล์
15) บัตรคาถาม เรือ่ ง การลาเลียงสารโดยไม่ผ่านเย่อื หมุ้ เซลล์
16) บตั รเฉลย เร่อื ง การลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเยอ่ื หุ้มเซลล์
17) อุปกรณก์ ารสาธิตต้นหอมขอี้ าย ได้แก่ ตน้ หอม มดี แกะสลัก แก้วน้า
18) หนงั สือเรียนชวี วิทยาของ สสวท.
6.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องสมดุ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
2) หอ้ งเรยี นชวี วิทยา
3) อินเทอรเ์ น็ต
7. การวัดและประเมนิ ผล
7.1 วธิ ีการวัดและประเมินผล
1) การสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
2) การตรวจบตั รงานที่ 1 - 13
3) การตรวจแบบฝึกทักษะจากบัตรคาถาม
4) การประเมินปฏบิ ตั กิ ารทดลอง
5) การทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรยี น
6) การประเมินการเขียนผังมโนทัศน์ , แผนภมู ิ Venn Diagram
7.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล
1) แบบประเมินทกั ษะการทางานกลุ่มของนักเรยี น
2) บัตรงานท่ี 1 - 13
3) แบบฝกึ ทกั ษะจากบัตรคาถาม
200
4) แบบประเมินการปฏบิ ตั กิ ารทดลอง
5) แบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรยี น
6) แบบประเมินการเขียนผังความคดิ หรอื ผังมโนทัศน์
7.3 เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
1) การประเมินพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
18 – 20 = ดีมาก
15 – 17 = ดี
12 – 14 = พอใช้
0 – 11 = ควรปรบั ปรงุ
การประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม นักเรียนจะต้องได้คะแนนจากกระบวนการทางาน
กล่มุ และการนาเสนอผลงานหน้าช้นั เรยี น ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 70 ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์
2) การตรวจบัตรงาน นักเรยี นจะต้องไดค้ ะแนนรวมจากการทาบัตรงานไม่น้อยกวา่
ร้อยละ 70 ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์
3) การตรวจแบบฝึกทกั ษะจากบตั รคาถาม นักเรียนตอ้ งได้คะแนนรวมจากการทาแบบ
ฝกึ ทกั ษะจากบตั รคาถามไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 70 ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์
4) การทาปฏบิ ตั ิการทดลอง นักเรียนจะตอ้ งไดค้ ะแนนรวมจากการทาปฏิบัตกิ ารทดลอง
ไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 ถือว่า ผา่ นเกณฑ์
5) การประเมินจากแบบทดสอบหลังเรียน นกั เรียนจะต้องได้คะแนนรวมจากการทา
แบบทดสอบหลังเรยี น ไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 ถือวา่ ผ่านเกณฑ์
6) การประเมนิ การเขยี นผงั ความคิดหรอื ผงั มโนทัศน์ นักเรียนจะต้องไดค้ ะแนนรวม
จากการประเมิน ไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์ ( ผา่ นเกณฑ์คุณภาพ ระดับดี ขึน้ ไป )
201
บนั ทึกผลหลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ผลการจัดกิจกรรม
.........................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ปัญหาและอปุ สรรค
.......................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ / แนวทางแกไ้ ข
....................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(นางทัศนีย์ กรวยสวัสดิ์)
ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
วันที่............เดือน...................................พ.ศ..............
ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรอื ผูท้ ี่ได้รับมอบหมาย
.......................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(นายวทิ ยา โพธแ์ิ สง)
ตาแหน่ง ผู้อานวยการสถานศึกษา โรงเรียนบัวใหญ่
วันที่.............เดือน........................................พ.ศ................
202
รายวชิ าชวี วทิ ยา 2 แบบทดสอบ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5
รหสั วิชา ว30242
ก่อนเรยี น – หลังเรยี น ภาคเรียนท่ี 2
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ : เซลลข์ องส่ิงมีชีวติ
เรื่อง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
คาช้ีแจง จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องที่สดุ เพียงขอ้ เดยี ว แลว้ กาเคร่ืองหมาย X ลงในชอ่ ง
ก ข ค หรือ ง ในกระดาษคาตอบที่แจกให้
1. ขอ้ ใดไม่ถูกตอ้ งเกย่ี วกบั การแพร่ของสาร 3. การแพร่แบบฟาซลิ ิเทตแตกต่างจากการแพร่
ก. อนุภาคสารเคล่อื นทโี่ ดยอาศัยพลังงาน แบบธรรมดาอย่างไร
จลน์ ก. เป็นการเคลื่อนทข่ี องอนภุ าคสารโดยไม่
ข. การแพร่ของสารเกดิ ขน้ึ ไดก้ บั สารทุก ใช้พลังงาน
สถานะ ข. เป็นการเคล่อื นทีข่ องอนภุ าคสารโดย
ค. การแพร่ของสารไม่จาเปน็ ต้องผา่ นเยื่อหมุ้ อาศัยโปรตนี เป็นตัวพา
เซลล์เสมอไป ค. เป็นการเคลอ่ื นท่ขี องอนุภาคสารโดยใช้
ง. สารทมี่ อี นภุ าคขนาดใหญ่จะมีอัตราการ พลังงานจาก ATP
แพร่เร็วกว่าสารขนาดเล็ก ง. เป็นการเคลื่อนทขี่ องอนภุ าคสารจาก
2. ข้อความใดถกู ตอ้ ง บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อย
ก. แรงดนั เต่งสงู สุดมคี า่ เท่ากับแรงดนั ไปยังบรเิ วณท่ีมคี วามเข้มขน้ ของสารมาก
ออสโมซิส 4. เม็ดเลือดขาวในรา่ งกายมนุษย์ทาลายเชอ้ื
ข. แรงดันออสโมซิสมีค่าแปรผกผันกบั โรคหรือสิง่ แปลกปลอมโดยวธิ ีใด
ความเข้มข้นของสารละลาย ก. พิโนไซโทซิส
ค. สารละลายทีม่ คี วามเข้มขน้ สงู จะมแี รงดนั ข. พลาสโมไลซสิ
ออสโมซิสต่ากว่าสารละลายที่มีความ ค. เอกโซไซโทซิส
เข้มข้นต่า ง. ฟาโกไซโทซิส
ง. โมเลกลุ ของน้าแพรจ่ ากบรเิ วณที่มีแรงดัน
ออสโมซิสสูงไปยังบริเวณที่มีแรงดัน
ออสโมซิสต่า
203
5. การลาเลียงกลโู คสเขา้ สู่เซลลต์ ับผ่านบรเิ วณ 8. ข้อใดเป็นวธิ กี ารลาเลยี งสารโดยวธิ ี
เย่อื หุ้มเซลล์ที่มตี ัวพาจัดเปน็ วิธกี ารนาสาร Active Transport
เขา้ สเู่ ซลลแ์ บบใด ก. การดูดน้าของรากบรเิ วณปลายของ
ก. พโิ นไซโทซสิ ขนราก
ข. ฟาโกไซโทซิส ข. การกาจัดน้าท่เี กนิ ความตอ้ งการออกจาก
ค. แอกทฟี ทรานสปอรต์ เซลล์ของโพโทซัว
ง. การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต ค. การสะสมโพแทสเซยี มไอออนไวภ้ ายใน
ของเซลล์ประสาท
6. ขอ้ ใดเป็นวธิ กี าจัดของเสยี ออกจากเซลล์โดย ง. การแลกเปลยี่ นแก๊สออกซิเจนและ
การบรรจุของเสยี ในเวสเิ คิลซง่ึ จะเคลอื่ นท่ี คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถุงลมปอด
ไปชดิ และเชื่อมกับเยอื่ หมุ้ เซลล์ แล้วปล่อย
ของเสียออกนอกเซลล์ 9. เซลลเ์ มด็ เลือดแดงจะแตก เมอื่ อยูใ่ น
ก. พโิ นไซโทซสิ สภาพแวดลอ้ มใด
ข. เอกโซไซโทซสิ ก. เมือ่ อย่ใู นนา้ กลน่ั
ค. เอนโดไซโทซสิ ข. อย่ใู นสารละลายไอโซโทนกิ
ง. ฟาโกไซโทซิส ค. อยใู่ นสารละลายไฮเพอร์โทนกิ
ง. แช่อยใู่ นสารละลายทม่ี ีความเข้มขน้ สูง
7. การนาสารเขา้ สูเซลลโ์ ดยวธิ ีอาศัยตัวรับคล้าย
กับการแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต อย่างไร 10. เมื่อนาพืชต้นหนงึ่ ไปแช่ในสารละลายทมี่ ี
ก. มีสารประเภทโปรตนี เป็นตัวรับช่วยใน โพแทสเซยี มเป็นองค์ประกอบนาน 5 วนั
การลาเลียง จากนนั้ นารากของพืชตน้ น้มี าตรวจสอบ
ข. มีการคอดเวา้ ของเยื่อห้มุ เซลล์และใช้ ปริมาณโพแทสเซียมภายในเซลล์ พบว่ามี
พลังงาน ATP ชว่ ยในการลาเลยี ง ความเข้มข้นสูงกว่าปริมาณโพแทสเซียม
ค. มีการลาเลียงสารโดยใชพ้ ลงั งานจาก ATP ในสารละลายที่แช่ แสดงว่าพืชดดู ซึม
และลาเลียงโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โพแทสเซยี มเขา้ ไปสะสมในเซลล์โดยวธิ ใี ด
ง. มกี ารนาสารท่ีสามารถละลายได้ดีใน ก. Osmosis
ไขมนั และไอออนผา่ นเข้าสเู่ ยื่อหุ้มเซลล์ ข. Diffusion
ค. Active Transport
ง. Transpiration Pull
204
รายวชิ าชีววิทยา 2 เฉลยแบบทดสอบ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5
รหสั วชิ า ว30242 กอ่ นเรยี น – หลังเรยี น ภาคเรยี นท่ี 1
ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ : เซลลข์ องสงิ่ มีชวี ติ
เรอ่ื ง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์
ข้อที่ คาตอบ
1. ง.
2. ก.
3. ข.
4. ง.
5. ง.
6. ข.
7. ก.
8. ค.
9. ก.
10. ค.
205
แบบประเมินทักษะการทางานกล่มุ ของนักเรียน
เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5
-------------------------------------
คาชี้แจง
1. แบบประเมินฉบบั น้ีมีจุดประสงคเ์ พอื่ ประเมินทักษะการทางานกล่มุ ของนกั เรยี น
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เกี่ยวกับการจดั การเรยี นรู้แบบเรยี นรู้รว่ มกัน (LT) ขอ้ มลู ที่ได้
จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนและสื่อการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพ
ในการพัฒนาด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเกณฑ์มาตรฐาน
คุณภาพการศึกษาตอ่ ไป
2. ให้นักเรียนทาเครอ่ื งหมาย ลงในชอ่ ง ทางขวามือทต่ี รงกับระดบั ความคดิ เหน็
ซึ่งมีความหมายดังนี้
5 หมายถงึ เหมาะสมมากทีส่ ุด
4 หมายถึง เหมาะสมมาก
3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย
1 หมายถงึ เหมาะสมน้อยทส่ี ดุ
ระดับการปฏบิ ตั ิ
ของสมาชกิ ในกลุ่ม
ข้อที่ พฤติกรรม มากที่สุด 5
มาก 4
ปานกลาง 3
น้อย 2
น้อย ี่ท ุสด 1
การพง่ึ พาอาศยั ซึง่ กันและกัน
1. การมอบหมายหน้าทรี่ ะหว่างสมาชิกในกลุ่ม
อย่างเป็นระบบ............................................................... ...... ...... ...... ...... ......
2. การใหค้ วามรว่ มมอื ชว่ ยเหลือและให้กาลังใจ
ซ่งึ กันและกัน.................................................................. ...... ...... ...... ...... ......
3. ความเอื้อเฟือ้ แบง่ ปันอปุ กรณก์ ารเรยี นรแู้ ก่กนั ............... ...... ...... ...... ...... ......
206
ระดับการปฏิบัติ
ของสมาชิกในกลุ่ม
ขอ้ ท่ี พฤตกิ รรม มากที่สุด 5
มาก 4
ปานกลาง 3
น้อย 2
น้อย ี่ทสุด 1
ดา้ นปฏสิ มั พนั ธท์ ่ดี ี
4. อภิปรายแลกเปล่ยี นความคิดเห็นร่วมกนั ........................ ...... ...... ...... ...... ......
5. อธิบายเพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจให้กับเพ่ือน......................... ...... ...... ...... ...... ......
6. โตเ้ ถียงและแสดงความคิดเห็นอยา่ งมีเหตผุ ล.................. ...... ...... ...... ...... ......
7. เสนอแนวคดิ ใหม่อย่างสร้างสรรค์.................................. ...... ...... ...... ...... ......
8. สรา้ งบรรยากาศที่ดใี นการอภิปราย................................. ...... ...... ...... ...... ......
9. การเคารพรบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้อ่นื ........................... ...... ...... ...... ...... ......
10. หลีกเลี่ยงเผด็จการในการทางาน..................................... ...... ...... ...... ...... ......
11. การขอความเห็นจากผ้รู ู้.................................................. ...... ...... ...... ...... ......
12. ตรวจสอบความเขา้ ใจของสมาชกิ ทุกคน........................ ...... ...... ...... ...... ......
การสรา้ งทักษะทางสังคม
13. มีมนษุ ยสัมพันธท์ ี่ดตี ่อกัน.............................................. ...... ...... ...... ...... ......
14. เสริมสร้างบรรยากาศท่ดี ีในกลมุ่ มีอารมณ์ขนั ................ ...... ...... ...... ...... ......
15. เปดิ โอกาสใหเ้ พ่ือนในกลมุ่ ไดแ้ สดงออก……………… ...... ...... ...... ...... ......
16. ไม่ส่งเสยี งดังรบกวนกลมุ่ อนื่ ขณะปฏบิ ตั ิงาน................. ...... ...... ...... ...... ......
17. ปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ กติกาของกลมุ่ .................................. ...... ...... ...... ...... ......
18. ยอมรบั การตดั สนิ ใจซ่งึ เปน็ มตขิ องกลุม่ ......................... ...... ...... ...... ...... ......
19. รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในกล่มุ ........................... ...... ...... ...... ...... ......
20. ทางานร่วมกับเพื่อนดว้ ยความเต็มใจ.............................. ...... ...... ...... ...... ......
207
แบบประเมินการเขยี นผงั มโนทศั น์ รายวชิ าชีววทิ ยา
เรอื่ ง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
กลมุ่ ท่ี ...............
การปฏิบัตกิ ิจกรรมเรือ่ ง.....................................................................................................................
สมาชิกในกลุม่ 1. ..........................................................2. ...............................................................
3. .......................................................4. ...................................................5. .....................................
ลาดับที่ ตัวช้วี ัดการประเมนิ คุณภาพการปฏิบตั งิ าน
4321
1. การวางแผน
2 การนาเสนอขอ้ มลู หรือเน้ือหาสาระ
3. รูปแบบของผงั มโนทศั น์
4. ความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์
5. ความรับผิดชอบ
รวม
คะแนนท่ีได้
ลงช่อื .............................................ผปู้ ระเมิน
............../.............../..............
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
18 – 20 ดมี าก
15 – 17 ดี
12 – 14 พอใช้
1 – 11 ปรบั ปรุง
หมายเหตุ นกั เรยี นแต่ละกลุ่มต้องได้ระดบั คณุ ภาพดี ข้นึ ไป ผ่านเกณฑ์
208
เกณฑ์การประเมินการเขียนผงั มโนทัศน์ รายวิชาชีววิทยา
เรื่อง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
ตัวชว้ี ดั เกณฑก์ ารให้คะแนน
การประเมิน
1. การวางแผน 4 32 1
มกี ารวางแผนการ มกี ารวางแผน
2. การนาเสนอ ทางานอย่างเปน็ มีการวางแผนการ มกี ารวาง การทางานท่ีไม่
ขอ้ มูลหรอื ระบบ มีขน้ั ตอน เป็นระบบและ
เนอ้ื หาสาระ ครบถว้ นดีมาก ทางานอย่างเปน็ แผนการทางาน ขาดข้ันตอนใน
การทางาน
3. รปู แบบของ ขอ้ มูล เนื้อหา ระบบ มขี นั้ ตอน ที่เป็นระบบแต่ ขอ้ มูล เนอื้ หา
ผงั ความคิด สาระ สาระทน่ี าเสนอ
ทนี่ าเสนอถกู ตอ้ ง ครบถ้วน ขาดขนั้ ตอนใน ถกู ตอ้ งแตย่ ังขาด
มคี วามสมั พันธ์ ความสมั พันธ์และ
และเช่ือมโยงกัน การทางาน การเชือ่ มโยง
ได้อยา่ งชดั เจนดี
มาก ขอ้ มลู เนอ้ื หา ขอ้ มูล เนือ้ หา รปู แบบของ
รูปแบบของ ผังความคิดไม่
ผงั ความคิดมีความ สาระทีน่ าเสนอ สาระที่นาเสนอ เหมาะสมกับ
เหมาะสมกบั ข้อมูล
ขอ้ มลู และ ถกู ตอ้ งมี ถูกต้องแตไ่ ม่ และจดุ ประสงค์ท่ี
วตั ถุประสงค์ นาเสนอ
ท่นี าเสนอดีมาก ความสัมพันธแ์ ละ คอ่ ยสัมพนั ธ์
เช่อื มโยงกันดี และเชอ่ื มโยงกัน
รูปแบบของ รปู แบบของผัง
ผงั ความคิด มี ความคิดมีความ
ความเหมาะสมกบั เหมาะสมกบั
ข้อมลู ขอ้ มูล ไม่เหมาะ
และวตั ถุประสงค์ กบั วัตถุประสงค์
ทน่ี าเสนอดี
209
ตวั ชว้ี ดั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
การประเมิน
4. ความคดิ 4 32 1
ริเรม่ิ รปู แบบการเสนอ รปู แบบการ
สร้างสรรค์ ผลงานแปลกใหม่ รปู แบบการเสนอ รปู แบบการ นาเสนอผลงาน
น่าสนใจดี ลาดบั ไมน่ ่าสนใจ ลาดับ
5. ความ เรอื่ งราวไดช้ ัดเจน ผลงาน นา่ สนใจ เสนอผลงานไม่ เร่ืองราวไดไ้ ม่ดี
รับผดิ ชอบ ดมี าก
เขยี นผังความคิด ลาดับเรอื่ งราวได้ นา่ สนใจ ลาดบั เขยี นผงั ความคิด
และนาเสนอ และนาเสนอ
ผลงานทนั ตาม ชัดเจนดี เรอ่ื งราวได้ ผลงานไม่เป็นไป
ระยะเวลาที่ ตามระยะเวลาที่
กาหนดใหด้ มี าก พอใช้ กาหนด
ใหเ้ กนิ กวา่ 2 วนั
เขียนผังความคดิ เขยี นผังความคดิ
และนาเสนอ และนาเสนอ
ผลงานตาม ผลงานไม่
ระยะเวลาที่ เปน็ ไปตาม
กาหนดให้ดี ระยะเวลาท่ี
กาหนดให้เกิน
1 วนั
210
เกณฑก์ ารประเมินผลการปฏิบัติการทดลองแบบแยกตามองคป์ ระกอบ 4 ดา้ น
วิชาชวี วทิ ยา 2 รหสั วิชา ว30242 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5
รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ
ด้านที่ 1 การวางแผนวธิ ีดาเนินการทดลอง 1
๏ ไม่สามารถวางแผนและออกแบบการทดลองได้เอง ต้องให้ความชว่ ยเหลอื
2
อย่างมากในการวางแผนการทดลอง การออกแบบการทดลอง การเลือกใช้ 3
เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ 4
๏ วางแผนการทดลองและออกแบบการทดลองได้ไมถ่ กู ตอ้ งและไม่เหมาะสม
กับเวลา ต้องให้ความช่วยเหลือในการเลือกใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ 1
๏ วางแผนการทดลองและออกแบบการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสมกับเวลา 2
แต่การเลือกใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ยังไม่เหมาะสมหรือไม่ครบถ้วน 3
๏ วางแผนการทดลองและออกแบบการทดลองได้ถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั เวลา 4
สามารถเลอื กใช้เคร่ืองมือและวัสดุอุปกรณใ์ นการทดลองได้ถูกต้อง เหมาะสม 1
ครบถ้วน 2
3
ดา้ นท่ี 2 การปฏบิ ตั ิการทดลอง 4
๏ ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลอื ตลอดเวลาในการดาเนนิ การทดลอง และการใชอ้ ปุ กรณ์
๏ ต้องให้ความชว่ ยเหลือเปน็ บางครงั้ ในการดาเนินการทดลอง และการใช้อปุ กรณ์
๏ ดาเนินการทดลองไดเ้ องแตต่ ้องการคาแนะนาการใชอ้ ปุ กรณเ์ ปน็ บางครั้ง
๏ ดาเนนิ การทดลองเปน็ ข้ันตอนและใช้อุปกรณต์ า่ ง ๆ ไดเ้ องอย่างถูกต้อง
ดา้ นท่ี 3 ความคล่องแคลว่ ในการทาการทดลอง
๏ ทาการทดลองไม่ทนั เวลาทีก่ าหนดและทาอปุ กรณ์เครื่องใชบ้ างชน้ิ ชารดุ เสยี หาย
๏ ทาการทดลองไม่ทนั เวลาทก่ี าหนดแตใ่ ช้อปุ กรณไ์ ด้ถูกตอ้ งและไม่มกี ารเสียหาย
๏ ทาการทดลองและใชอ้ ุปกรณ์ได้ทันเวลาท่กี าหนดแต่ยังต้องการคาแนะนา
การใช้อุปกรณ์บ้างเป็นครั้งคราว
๏ ดาเนนิ การทดลองและใช้อุปกรณท์ าการทดลองไดเ้ หมาะสม มีความปลอดภยั
และทาได้เสร็จทันเวลา
รายการประเมนิ 211
ระดบั คุณภาพ
ด้านท่ี 4 การนาเสนอ (บันทกึ ผลการทดลองและเขยี นรายงานการทดลอง)
๏ ตอ้ งให้ความช่วยเหลอื อยา่ งมากในการบนั ทึกผลการทดลอง การสรปุ ผล 1
2
การทดลอง รวมท้ังเขยี นรายงานการทดลอง 3
๏ ตอ้ งให้คาแนะนาเป็นบางคร้งั ในการบันทึกผลการทดลองการสรุปผล 4
การทดลอง รวมทง้ั เขยี นรายงานการทดลอง
๏ บนั ทึกผลการทดลองและสรุปผลการทดลองได้เอง เขยี นรายงานการทดลอง
ยังไม่เปน็ ขั้นตอนที่สมบูรณ์
๏ บันทกึ ผลการทดลองและสรุปผลการทดลองถกู ต้อง รัดกมุ เขยี นรายงาน
การทดลองไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์เปน็ ขัน้ ตอนท่ีชัดเจน
แบบประเมินการปฏบิ ตั กิ ารทดลองวชิ าชวี วิทยา 2 รหัสวชิ า ว30242 ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 5
ช่ือกลุ่ม...................................
ดา้ นที่ รายการทีป่ ระเมนิ 4 คะแนนทไ่ี ด้ 1 หมายเหตุ
32
1 การวางแผนวธิ ีดาเนินการทดลอง
2 การปฏิบตั กิ ารทดลอง
3 ความคล่องแคลว่ ในการทาการทดลอง
4 การนาเสนอ (บนั ทกึ ผลการทดลองและ
เขียนรายงานการทดลอง)
รวม
ระดับคะแนนท่ไี ด้
ลงชอ่ื ผปู้ ระเมิน
(.......................................................)
วันที่...........เดอื น...................................พ.ศ.............
212
รายวิชาชวี วิทยา 2 แบบทดสอบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
รหสั วิชา ว30242
กอ่ นเรียน – หลังเรยี น ภาคเรียนที่ 2
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ : เซลลข์ องส่ิงมีชวี ติ
เรอ่ื ง การรกั ษาดุลยภาพของเซลล์
คาช้แี จง จงเลือกคาตอบท่ีถูกตอ้ งทส่ี ดุ เพียงข้อเดียว
1. ข้อใดไมถ่ ูกต้องเก่ียวกับการแพร่ของสาร 3. การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตแตกตา่ งจากการแพร่
ก. อนภุ าคสารเคล่ือนท่ีโดยอาศยั พลังงาน แบบธรรมดาอย่างไร
จลน์ ก. เปน็ การเคล่ือนที่ของอนภุ าคสารโดยไม่
ข. การแพรข่ องสารเกดิ ขึ้นไดก้ บั สารทุก ใช้พลังงาน
สถานะ ข. เป็นการเคลอื่ นทข่ี องอนภุ าคสารโดย
ค. การแพร่ของสารไมจ่ าเป็นตอ้ งผ่านเย่ือหุ้ม อาศัยโปรตนี เป็นตัวพา
เซลล์เสมอไป ค. เป็นการเคลอื่ นที่ของอนภุ าคสารโดยใช้
ง. สารที่มอี นุภาคขนาดใหญ่จะมีอตั ราการ พลังงานจาก ATP
แพร่เร็วกว่าสารขนาดเล็ก ง. เป็นการเคล่ือนที่ของอนุภาคสารจาก
2. ข้อความใดถกู ต้อง บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อย
ก. แรงดันเต่งสูงสดุ มีคา่ เท่ากับแรงดนั ไปยังบรเิ วณทีม่ ีความเข้มขน้ ของสารมาก
ออสโมซิส 4. เมด็ เลือดขาวในรา่ งกายมนุษย์ทาลายเช้อื
ข. แรงดันออสโมซสิ มีคา่ แปรผกผนั กับ โรคหรือสง่ิ แปลกปลอมโดยวิธใี ด
ความเข้มข้นของสารละลาย ก. พโิ นไซโทซิส
ค. สารละลายที่มคี วามเข้มข้นสงู จะมแี รงดัน ข. พลาสโมไลซสิ
ออสโมซิสต่ากว่าสารละลายที่มีความ ค. เอกโซไซโทซิส
เข้มข้นต่า ง. ฟาโกไซโทซิส
ง. โมเลกลุ ของน้าแพร่จากบริเวณที่มีแรงดนั
ออสโมซิสสูงไปยังบริเวณที่มีแรงดัน
ออสโมซิสต่า
213
5. การลาเลียงกลโู คสเขา้ สู่เซลลต์ ับผ่านบรเิ วณ 8. ข้อใดเป็นวธิ กี ารลาเลยี งสารโดยวธิ ี
เย่อื หุ้มเซลล์ที่มตี ัวพาจัดเปน็ วิธกี ารนาสาร Active Transport
เขา้ สเู่ ซลลแ์ บบใด ก. การดูดน้าของรากบรเิ วณปลายของ
ก. พโิ นไซโทซสิ ขนราก
ข. ฟาโกไซโทซิส ข. การกาจัดน้าท่เี กนิ ความตอ้ งการออกจาก
ค. แอกทฟี ทรานสปอรต์ เซลล์ของโพโทซัว
ง. การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต ค. การสะสมโพแทสเซยี มไอออนไวภ้ ายใน
ของเซลล์ประสาท
6. ขอ้ ใดเป็นวธิ กี าจัดของเสยี ออกจากเซลล์โดย ง. การแลกเปลยี่ นแก๊สออกซิเจนและ
การบรรจุของเสยี ในเวสเิ คิลซง่ึ จะเคลอื่ นท่ี คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถุงลมปอด
ไปชดิ และเชื่อมกับเยอื่ หมุ้ เซลล์ แล้วปล่อย
ของเสียออกนอกเซลล์ 9. เซลลเ์ มด็ เลือดแดงจะแตก เมอื่ อยูใ่ น
ก. พโิ นไซโทซสิ สภาพแวดลอ้ มใด
ข. เอกโซไซโทซสิ ก. เมือ่ อย่ใู นน้ากลน่ั
ค. เอนโดไซโทซสิ ข. อย่ใู นสารละลายไอโซโทนกิ
ง. ฟาโกไซโทซิส ค. อยใู่ นสารละลายไฮเพอร์โทนกิ
ง. แช่อยใู่ นสารละลายทม่ี ีความเข้มขน้ สูง
7. การนาสารเขา้ สูเซลลโ์ ดยวธิ ีอาศัยตัวรับคล้าย
กับการแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต อย่างไร 10. เมื่อนาพืชต้นหนงึ่ ไปแช่ในสารละลายทมี่ ี
ก. มีสารประเภทโปรตนี เป็นตัวรับช่วยใน โพแทสเซยี มเป็นองค์ประกอบนาน 5 วนั
การลาเลียง จากนนั้ นารากของพืชตน้ น้มี าตรวจสอบ
ข. มีการคอดเวา้ ของเยื่อห้มุ เซลล์และใช้ ปริมาณโพแทสเซียมภายในเซลล์ พบว่ามี
พลังงาน ATP ชว่ ยในการลาเลยี ง ความเข้มข้นสูงกว่าปริมาณโพแทสเซียม
ค. มีการลาเลียงสารโดยใชพ้ ลงั งานจาก ATP ในสารละลายที่แช่ แสดงว่าพืชดดู ซึม
และลาเลียงโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โพแทสเซยี มเข้าไปสะสมในเซลล์โดยวธิ ใี ด
จ. มกี ารนาสารท่ีสามารถละลายได้ดีใน ก. Osmosis
ไขมนั และไอออนผา่ นเข้าสเู่ ยื่อหุ้มเซลล์ ข. Diffusion
ค. Active Transport
ง. Transpiration Pull
214
รายวิชาชีววทิ ยา 2 เฉลยแบบทดสอบ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5
รหสั วิชา ว30242 ก่อนเรยี น - หลังเรียน ภาคเรยี นที่ 1
ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ : เซลลข์ องสง่ิ มีชวี ิต
เรือ่ ง การรักษาดุลยภาพของเซลล์
ข้อท่ี คาตอบ
1. ง.
2. ก.
3. ข.
4. ง.
5. ง.
6. ข.
7. ก.
8. ค.
9. ก.
10. ค.
215
ชดุ การเรยี นท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั ชุดที่ 3
เรอื่ ง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์
ผลการเรียนรู้
๏ สบื ค้นข้อมูล สารวจตรวจสอบ อภปิ ราย และอธิบายการรกั ษาดุลยภาพของ
เซลล์ กระบวนการที่สารผ่านเซลล์ และการสื่อสารระหว่างเซลล์
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายการลาเลยี งสารผ่านเย่ือหมุ้ เซลล์ โดยไม่ใชพ้ ลงั งานและใช้พลังงาน
2. ออกแบบเคร่อื งมอื และวัดแรงดนั ออสโมซิส
3. ทดลองหาความเข้มขน้ ของสารละลายไอโซโทนกิ ไฮเพอรโ์ ทนกิ และ
ไฮโพโทนิกของเซลล์สาหร่ายหางกระรอก
4. อธบิ ายการลาเลยี งสารโดยไมผ่ า่ นเยอื่ หมุ้ เซลลแ์ บบเอกโซไซโทซสิ และแบบ
เอนโดไซโทซิส
5. มคี วามรับผิดชอบ มรี ะเบยี บวนิ ยั และทางานกลมุ่ ร่วมกับผู้อื่นได้อยา่ งสร้างสรรค์
216
สาระสาคัญ
เซลล์ มีการรักษาสมดุลของสารโดยมีเยื่อหุ้มเซลล์ควบคุมการลาเลียงสารผ่านเข้า
และออกนอกเซลล์ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในเซลล์ให้เหมาะสมต่อการดารงชีวิต
ของเซลล์ การลาเลียงสารที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์มีทั้งแบบใช้พลังงานและแบบไม่ใช้พลังงาน
ส่วนการลาเลียงสารที่ไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์สามารถนาสารที่มีขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์หรือ
ออกนอกเซลล์ แบ่งตามทิศทางการลาเลียงสารออก เป็น 2 แบบ คือ แบบเอกโซไซโทซสิ
เป็นการลาเลียงสารออกนอกเซลล์และแบบเอนโดไซโทซิสเป็นการลาเลียงสารเขา้ สู่เซลล์
สาระการเรยี นรู้
1. การลาเลียงสารผา่ นเย่ือหมุ้ เซลลโ์ ดยไมใ่ ชพ้ ลังงานและใชพ้ ลงั งาน
2. การออกแบบเคร่ืองมือและทดลองวัดแรงดนั ออสโมซสิ
3. การทดลองหาความเขม้ ขน้ ของสารละลายไอโซโทนกิ ไฮเพอร์โทนกิ และ
ไฮโพโทนิกของเซลล์สาหร่ายหางกระรอก
4. การลาเลยี งสารโดยไมผ่ ่านเยอ่ื หุ้มเซลล์แบบเอกโซไซโทซิส และแบบ
เอนโดไซโทซิส
217
บตั รกิจกรรม 3.1
เรื่อง การแพร่ของสาร (Diffusion )
จุดประสงค์ของกิจกรรม
1. อธบิ ายหลักการแพรข่ องสาร
2. อธบิ ายสภาวะสมดุลของการแพร่ของสาร
3. ออกแบบและทดลองเพ่ือศกึ ษาปัจจยั บางประการที่มผี ลตอ่ การแพรข่ องสาร
วธิ ีปฏบิ ัติกจิ กรรม
1. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ ประมาณ 4 – 5 คน โดยคละความสามารถนักเรียนเก่ง
ปานกลาง และอ่อน
2. นักเรียนสังเกตการแพรข่ องผลกึ จุนสี หรือเกล็ดของดา่ งทบั ทมิ ในนา้
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภิปรายประเดน็ คาถามเกย่ี วกับการแพรข่ องสารตาม
ใบงานที่ 1
4. นักเรยี นศกึ ษาบัตรเน้อื หา เรอื่ ง การแพร่ของสาร แล้วทาแบบฝึกทกั ษะ
5. ให้นกั เรียนแต่ละกล่มุ ต้ังสมมตฐิ าน ออกแบบการทดลอง และกาหนดตวั แปร
เพอ่ื ศึกษาปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ การแพร่ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ และสารเคมีท่ีจัดเตรียมไว้
6. แต่ละกล่มุ ดาเนนิ การทดลองตามท่ีออกแบบไว้ บนั ทึก และสรุปผลการทดลอง
สอ่ื / วัสดุอุปกรณ์ / แหลง่ เรียนรู้
1. อปุ กรณ์การทดลอง / สารเคมี
2. บัตรงานท่ี 1 และบัตรงานท่ี 2
3. บตั รกิจกรรม / บตั รเน้อื หา / บตั รคาถาม
4. แบบรายงานการทดลอง
ภาระงานที่กาหนด
1. การสังเกตและอภิปรายประเดน็ การแพร่ของสาร
2. การออกแบบและดาเนินการทดลอง
218
บัตรงานที่ 1
เรอ่ื ง การแพรข่ องสาร
คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นสังเกตการณ์แพร่ของเกล็ดดา่ งทบั ทมิ ในนา้ ทีค่ รูเตรยี มไว้
หลังจากนั้นร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถามเกี่ยวกับการแพร่ของสาร
ประเด็นคาถาม
1. การแพร่ มที ิศทางการเคลือ่ นท่ีของอนภุ าคสารอยา่ งไร
2. สารทจ่ี ะเกดิ การแพร่ ควรมสี ถานะใดได้บา้ ง
3. การแพร่ของสารจาเปน็ ตอ้ งผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์หรือไม่
4. เม่ือถึงจดุ สมดุลของการแพรแ่ ลว้ สารท่แี พรจ่ ะหยุดการเคลื่อนทีห่ รอื ไม่ อยา่ งไร
ประเด็นคาตอบ
1....................................................................................................................................
2....................................................................................................................................
3....................................................................................................................................
4....................................................................................................................................
ชื่อ.................................................................ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 /.........เลขท่ี..........
219
เฉลยบตั รงานท่ี 1
เรอ่ื ง การแพร่ของสาร
1. การแพร่เปน็ การเคลือ่ นทีข่ องอนภุ าคของสารจากบริเวณ
ที่มีความเขม้ ข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ากว่า
2. สารท่จี ะเกดิ การแพร่ นน้ั เกิดข้นึ ไดท้ กุ สถานะ ทงั้ ของแข็ง
ของเหลว และแก๊ส
3. การแพรข่ องสารไม่จาเปน็ ต้องผ่านเยอ่ื หุ้มเซลลเ์ สมอไป
4. เม่ือถงึ จุดสมดลุ ของการแพร่แลว้ สารทแ่ี พร่จะยงั เคล่อื นท่ี
อยู่ตลอดเวลา แต่อัตราการเคลื่อนที่ของสารทุกบริเวณ
เท่ากัน
220
บัตรเน้ือหา
เรอ่ื ง การแพรข่ องสาร
การแพร่ (Diffusion) เปน็ การเคลือ่ นท่ขี องสารโดยไม่ตอ้ งใช้พลงั งานเกดิ ขึ้นได้
กับสารทุกสถานะทั้งของเหลว แก๊ส และอนุภาคของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในของเหลว
การเคลื่อนที่ของสารโดยวิธีนี้ไม่ก่อให้เกิดการสะสมสารขึ้น เพราะเมื่อถึงจุดสมดุลอัตรา
การเคลื่อนที่ของสารเขา้ และออกจะมีค่าเท่ากัน การแพร่ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีหลาย
รูปแบบ เช่น การแพร่แบบธรรมดา การออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต เป็นต้น
การแพร่ของสารแบบธรรมดา เป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรืออนุภาคของ
สารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารตา่ กว่า
เนื่องจากอนุภาคของสารมีพลังงานจลน์ในตัวเอง เมื่ออยู่กันอย่างหนาแน่นจึงมีโอกาสชน
กันอยู่ตลอดเวลา ทาให้แต่ละอนุภาคเคลื่อนที่กระจายในตวั กลางทุกทิศทางจนกระทั่ง
บริเวณนั้น ๆ มีความหนาแน่นของอนุภาคสารเท่ากัน จึงมีอัตราการแพร่คงที่เรียกสภาวะ
นั้นว่า สมดุลของการแพร่ (Dynamic Equilibrium)
สารที่มีอนุภาคขนาดเล็กละลายในไขมันได้ดีและไม่มีประจุไฟฟ้า จะแพร่ผ่าน
เยื่อหุ้มเซลล์ได้ดี เช่น ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ เอธานอล เป็นต้น ส่วนสารที่เป็น
ไอออนขนาดเล็ก เช่น โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์ เป็นต้น ไม่สามารถแพร่ผ่าน
เยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แต่จะแพร่ผ่านช่องของโปรตนี ที่เยื่อหุ้มเซลล์
ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่ของสาร การแพรข่ องสารจะมอี ัตราเรว็ หรือชา้ ข้นึ อย่กู ับ
ปัจจัยต่อไปนี้
1. อณุ หภมู ิ การเพิ่มอณุ หภมู ิทาให้อนภุ าคสารมพี ลังงานจลน์เพม่ิ ขน้ึ การมีพลังงาน
จลน์มากทาให้โมเลกลุ ของสารเคลอ่ื นท่ีไดเ้ รว็ ดงั นนั้ การแพร่จึงเกิดเร็วขนึ้ เมอื่ มอี ณุ หภมู ิสูง
2. ความแตกต่างของความเข้มข้นของสาร ถา้ ความเข้มข้นของสารสองบริเวณมี
ความแตกต่างกันมากจะทาให้การแพร่เกิดขึ้นได้เร็ว เนื่องจากบรเิ วณที่มีความเข้มข้นมาก
โมเลกุลมีโอกาสชนและกระแทกกันมาก ทาให้โมเลกุลกระจายออกไปยังบริเวณที่มีความ
เข้มข้นน้อยได้เร็วกว่า ในกรณที ี่สารสองบรเิ วณมีความเข้มข้นของสารใกล้เคียงกัน
221
3. ความดนั การเพ่ิมความดันทาให้อนภุ าคสารเคลอ่ื นที่ไดด้ ีข้ึนอตั ราการแพร่จึง
เกิดเร็วขึ้น
4. ขนาดและน้าหนกั ของอนภุ าคสาร สารที่มีอนุภาคขนาดเลก็ และเบาจะมอี ตั รา
การแพร่เร็วกว่าสารที่มีอนุภาคขนาดใหญ่
5. ความสามารถในการละลาย สารทลี่ ะลายไดด้ มี กั จะมีอตั ราการแพร่เร็วกวา่ สาร
ที่ละลายได้ไม่ดี
6. ชนดิ ของตัวกลาง ชนิดของตวั กลางอาจทาใหอ้ ตั ราการแพรข่ องสารเปลย่ี นไป
เช่น อัตราการแพร่ของออกซิเจนในน้าจะช้ากว่าการแพร่ของออกซิเจนในอากาศ น้าใน
ดินถูกอนุภาคดนิ ดูดไว้ทาให้อัตราการแพร่ของน้าช้าลงกว่าปกติ
ตวั อยา่ งการแพร่ของสาร ได้แก่
1. การแพร่ของเกลอื ในนา้ เมือ่ เราใส่เกลอื ลงไปในน้า เม็ดเกลือจะจมลงไปอยู่ท่ี
ก้นภาชนะที่ใส่ ต่อมาเม็ดเกลือจะค่อย ๆ ละลายและมีขนาดเล็กลง ในตอนแรกถ้าชิมน้า
ด้านบนจะไม่พบว่ามีรสเค็ม ส่วนด้านล่างจะมีรสเค็ม ต่อมาเมื่อเกลือละลายมากขึ้น น้า
ด้านบนจะมีรสเคม็ ขึ้น ส่วนน้าด้านล่างจะเค็มมากขึ้น ถ้าปล่อยให้เกลือละลายจนหมด
และทิ้งไว้สักครู่ เมื่อลองชิมจะพบว่า นา้ ในภาชนะมีรสเค็มเท่ากันทุกส่วน ทั้งด้านบน
และด้านล่างที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากไอออนของเกลือ คือโซเดียมไอออน และคลอรีน
ไอออนจากก้นภาชนะแพร่ขนึ้ สู่ด้านบน จนทาให้สารละลายในภาชนะนั้นมีความเข้มข้น
ของอนุภาคเกลือเท่ากันหมด
2. การแพรข่ องน้าหอมในอากาศ เมื่อเปดิ ขวดน้าหอมทง้ิ ไวใ้ นห้องที่ปดิ สนทิ หาก
เรายืนอยู่ห่างจากขวดนา้ หอม ในตอนแรกเราจะไม่ได้กลิ่นน้าหอมเลย เมื่อเวลาผ่านไป
ระยะหนึ่ง เราจะได้กลิ่นน้าหอมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมอื่ ปล่อยไว้อย่างนั้นอีกระยะหนึ่ง
จะพบว่าไม่ว่าจะยืนอยู่ที่จุดใด ๆ ของห้องก็จะได้กลิ่นน้าหอมเท่า ๆ กันทุกจุด ที่เป็นเช่นนี้
เนื่องจากโมเลกุลของน้าหอมเคลื่อนที่จากขวดนา้ หอมที่เปิดฝา ซึ่งเป็นจุดที่น้าหอมมีความ
เข้มข้นของโมเลกุลน้าหอมมากที่สุดไปยังบริเวณต่าง ๆ ของห้อง ซึ่งมีความเข้มข้นของ
โมเลกุลน้าหอมน้อยกว่า จนในที่สุดบริเวณทุกส่วนของห้องจะมีความหนาแน่นของโมเลกุล
น้าหอมเท่ากัน
222
บัตรคาถาม
เร่อื ง การแพรข่ องสาร
คาชี้แจง หลงั จากนกั เรียนศึกษาบตั รเนื้อหาเสร็จเรียบรอ้ ยแล้ว จงทาแบบฝกึ ทักษะ
จากบัตรคาถาม โดยเติมคาตอบลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. อนภุ าคของสารจะมีการแพรจ่ ากบรเิ วณ.................................................................
ไปยงั บริเวณ............................................................................................................
2. การเคลอ่ื นท่ีของสารเกิดจาก..................................................................................
3. การแพร่ หมายถึง...................................................................................................
4. สมดุลของการแพร่ หมายถึง...................................................................................
5. ในสภาวะสมดุลของการแพร่ จะเกิดการเคลื่อนท่ีของสารหรือไม่ อยา่ งไร
................................................................................................................................
6. การแพรข่ องสารจะเกดิ ข้ึนกบั สารสถานะใดได้บา้ ง................................................
7. ของแขง็ ทีส่ ามารถแพร่ในของเหลวได้ จะตอ้ งมสี มบัติท่ีสาคัญ คอื ........................
...............................................................................................................................
8. ปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ การแพรข่ องสาร ได้แก่...................................................................
...............................................................................................................................
9. ตัวอย่างการแพร่ของสารในชีวิตประจาวัน ไดแ้ ก่....................................................
10. จงเปรยี บเทียบอัตราการแพร่ของสารท่มี ีขนาดโมเลกุลใหญ่ กลาง และขนาดเล็ก
............................................................................................................................
ชื่อ...........................................................ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 /...........เลขท่ี........
223
เฉลยบัตรคาถาม
เรื่อง การแพร่ของสาร
1. อนุภาคของสารจะมีการแพร่จากบรเิ วณทีม่ ีความเข้มขน้ ของสารมาก
ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อยกว่า
2. การเคลื่อนทข่ี องสารเกดิ จากพลงั งานจลน์
3. การแพร่ของสาร เป็นการเคลื่อนท่ีของอนภุ าคหรอื โมเลกลุ ของสารจาก
บริเวณที่มีความหนาแนน่ ของสารมากไปยังบริเวณที่มีความหนาแนน่
ของสารน้อย
4. สมดลุ ของการแพร่ หมายถงึ สภาวะทีบ่ ริเวณใดบรเิ วณหนึง่ มคี วามหนาแนน่
ของอนุภาคสารเท่ากัน และมีอัตราการแพร่ของสารคงที่
5. ในสภาวะสมดลุ ของการแพรจ่ ะยงั คงมกี ารเคลอื่ นทีข่ องสารเกดิ ขึ้น
แต่อัตราการเคลื่อนที่ของสารจะคงที่
6. การแพร่ของสารจะเกิดข้ึนไดก้ บั สารทง้ั 3 สถานะ คอื ของแข็ง ของเหลว
และแก๊ส
7. ของแขง็ ทส่ี ามารถแพร่ในของเหลวได้ จะตอ้ งมีคณุ สมบัตใิ นการละลายนา้
ได้เป็นอย่างดี
8. ปัจจัยทม่ี ีผลต่อการแพรข่ องสาร ไดแ้ ก่ อณุ หภมู ิ ขนาดโมเลกุลของสาร
ความเข้มข้นของสาร ความดัน ชนิดของตัวกลาง ความสามารถในการละลาย
9. ตัวอย่างการแพรข่ องสาร ไดแ้ ก่ การแพรข่ องเกลือในน้า การแพร่ของน้าหอม
ในอากาศ การกระจายของควันธูปในอากาศ เป็นตน้
10. สารท่ีแพรไ่ ด้เร็วที่สดุ ไดแ้ ก่ สารโมเลกุลขนาดเลก็ รองลงมาคือ สารโมเลกุล
ขนาดกลาง และ สารโมเลกุลขนาดใหญ่ ตามลาดับ
224
บัตรงานที่ 2
เรอ่ื ง การออกแบบการทดลองเพ่อื ศกึ ษาปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การแพรข่ องสาร
คาชี้แจง 1. ให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ออกแบบการทดลอง โดยตงั้ สมมติฐาน และ
กาหนดตัวแปรเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลตอ่ อัตราการแพร่ของสารโดยใช้
อุปกรณ์และสารเคมีที่จัดเตรียมไว้
2. แต่ละกลุม่ ทาการทดลองตามท่ีได้ออกแบบไว้ สงั เกต บันทึก สรุปและ
รายงานผลการทดลอง
อปุ กรณ์ท่ีกาหนดให้
1. ตะเกยี งแอลกอฮอล์ ตะแกรง และทกี่ ั้นลม 1 ชุด / กลุ่ม
2. บีกเกอรข์ นาด 100 cm3 2 ใบ / กลุม่
3. น้า 60 cm3 / กลมุ่
4. เกลด็ ด่างทับทิมหรือ โพแทสเซียมเปอร์มังกาเนต 3 – 4 เกลด็ / กลุ่ม
5. กระดาษขาว 2 แผน่ / กล่มุ
225
แบบรายงานการทดลอง
วันที่ทาการทดลอง............................................................................................................
ชื่อกลุ่ม..............................................................................................................................
รายชื่อสมาชิกกลุ่ม 1.........................................................................................................
2.........................................................................................................
3.........................................................................................................
4.........................................................................................................
5.........................................................................................................
6.........................................................................................................
อุปกรณ์และสารเคมี............................................................................................................
............................................................................................................................................
สมมติฐานการทดลอง.........................................................................................................
............................................................................................................................................
ตวั แปรอิสระ.......................................................................................................................
ตวั แปรตาม..........................................................................................................................
ตวั แปรที่ควบคุม..................................................................................................................
วิธีดาเนินการทดลอง ..........................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
ผลการทดลอง.....................................................................................................................
............................................................................................................................................
.............................................................................................................................................
สรุปผลการทดลอง..............................................................................................................
.............................................................................................................................................
226
บตั รกิจกรรม 3.2
เรอื่ ง การลาเลยี งของสารผ่านเยอ่ื หุม้ เซลล์
จดุ ประสงค์ของกิจกรรม
1. อธิบายการแพร่ของสารผ่านเยอ่ื หุ้มเซลลโ์ ดยวิธกี ารออสโมซสิ
2. อธบิ ายการเปล่ียนแปลงของเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดงในสารละลายที่มีความเขม้ ข้น
แตกต่างกัน
วิธปี ฏบิ ตั กิ ิจกรรม
1. นักเรยี นศึกษาภาพที่ 4–16 การแพรข่ องสารผา่ นเยือ่ หุม้ เซลล์โดยวิธีการออสโมซสิ
2. นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถามจากภาพตามบตั รงานที่ 3 แล้วรว่ มกันสรปุ
ความแตกต่างระหว่างการออสโมซิสและการแพร่ ว่าแตกต่างกันอย่างไร
3. นักเรียนศกึ ษาภาพท่ี 4–17 การเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งของเซลล์เมด็ เลอื ดแดงจาก
กระบวนการออสโมซิสในสารละลายที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน จากนั้นร่วมกันอภิปราย
ประเด็นคาถาม ตามบัตรงานที่ 4
4. นกั เรยี นเปรียบเทยี บปริมาณน้าท่ีเข้าและออกจากเซลล์เม็ดเลอื ดแดงในสารละลาย
ไอโซโทนิก ไฮเพอร์โทนิก และไฮโพโทนิก ว่าแตกต่างกันอย่างไร
5. นกั เรยี นศึกษาเนือ้ หาเกยี่ วกับกระบวนการออสโมซสิ เพิม่ เติมจากบตั รเนอ้ื หา
6. นักเรยี นทาแบบฝกึ ทักษะเร่ือง การแพร่ของสารผา่ นเยื่อห้มุ เซลล์จากบตั รคาถาม
สื่อ / วัสดอุ ุปกรณ์ / แหล่งเรียนรู้
1. บตั รงานที่ 3 และ บตั รงานท่ี 4
2. บตั รเน้อื หาเรอ่ื ง ออสโมซสิ
3. แบบฝกึ ทกั ษะเรอ่ื ง ออสโมซิส
ภาระงานที่กาหนด
1. ศึกษาภาพและอภิปรายประเดน็ คาถาม
2. ศึกษาเนื้อหาและทาแบบฝึกทักษะ
227
บตั รงานท่ี 3
เรอ่ื ง การแพรข่ องสารผ่านเยือ่ หุ้มเซลล์
คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนศึกษาภาพ แล้วรว่ มกนั อภปิ รายประเด็นคาถามทกี่ าหนด
ภาพที่ 4 – 16 การแพรข่ องสารผ่านเยอื่ หุม้ เซลล์
ท่ีมา : สสวท. (2546). หนงั สอื เรียนชวี วิทยา เลม่ 1. หนา้ 97
228
ประเดน็ คาถาม
1. อนุภาคใดท่แี พร่ผา่ นเยือ่ หมุ้ เซลล์ได้
2. อนุภาคใดทแ่ี พร่ผ่านโปรตนี ของเยื่อหมุ้ เซลล์ได้
3. สญั ลกั ษณ์ และ ▲ น่าจะเป็นอนภุ าคของสารใด
ประเด็นการตอบ
1.................................................................................................................
.................................................................................................................................
.................................................................................................................................
.................................................................................................................................
2.................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
.................................................................................................................................
3.................................................................................................................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................
ชื่อ....................................................ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 / ..........เลขท่ี........
229
เฉลยบตั รงานที่ 3
เรื่อง การแพร่ของสารผ่านเยื่อห้มุ เซลล์
1. สารทมี่ ขี นาดเล็ก และละลายในไขมันไดด้ ี และไมม่ ขี ว้ั เช่น
ออกซิเจน ไนโตรเจน
2. ไอออนขนาดเล็ก เชน่ โพแทสเซียม โซเดียม หรือ คลอไรด์
3. สามารถผ่านเยอ่ื หุม้ เซลล์ได้ควรเปน็ โมเลกุลของนา้ และ
คาร์บอนไดออกไซด์ และ ▲ ที่แพรผ่ ่านโปรตีนเยอื่ หมุ้ เซลล์ได้
น่าจะเป็นพวกไอออนต่าง ๆ
230
บัตรงานที่ 4
เรอ่ื ง การแพรข่ องสารผา่ นเยือ่ หุ้มเซลล์โดยวิธีการออสโมซิส
คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาภาพ 4 – 17 แสดงการเปลย่ี นแปลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง
จากนั้นร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถาม
ภาพที่ 4 – 17 การเปลยี่ นแปลงรูปร่างของเซลล์เมด็ เลือดแดง
ที่มา : สสวท. (2546). หนังสือเรยี นชวี วทิ ยา เลม่ 1. หน้า 98
231
ประเดน็ คาถาม
1. ภาพ ก ข และ ค เซลลเ์ มด็ เลือดแดง มีรูปร่างอย่างไร
2. ทิศทางการเคลอ่ื นทขี่ องน้าเข้าและออกเป็นอยา่ งไร
3. ในภาพ ก ข และ ค นกั เรียนคิดว่าความเข้มขน้ ของสารละลายทีอ่ ยูภ่ ายนอก
ของเซลล์มีค่าเหมือนหรือแตกต่างจากสารละลายภายในเซลล์อย่างไร
4. จงเปรยี บเทียบปรมิ าณนา้ ทเี่ ข้าและออกจากเซลลเ์ มด็ เลือดแดงที่ใส่ในสารละลาย
ไอโซโทนิก ไฮเพอร์โทนิก และไฮโพโทนิก มีค่าต่างกันอย่างไร
5. จะเกดิ อะไรขน้ึ ถ้านาเซลล์เม็ดเลอื ดแดงมาใสใ่ นน้ากล่ัน
ประเด็นการตอบ
1........................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
2........................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
3.......................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
4.......................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
5......................................................................................................................
......................................................................................................................................
232
เฉลยบตั รงานที่ 4
เร่อื ง การแพร่ของสารผ่านเยอื่ หมุ้ เซลลโ์ ดยวิธกี ารออสโมซิส
แนวการตอบข้อ 1 - 3
๏ ในภาพ ก. ทศิ ทางการเคลื่อนทข่ี องนา้ เข้าและออกผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์ของ
เซลล์ เม็ดเลือดแดงมีค่าเท่ากัน เซลล์เม็ดเลือดแดงจึงมีรูปร่างตามปกติ สารละลายมีค่า
ความเข้มข้นเท่ากับสารละลายภายในเซลล์ เรียกว่า สารละลาย ไอโซโทนิก
๏ ในภาพ ข. อัตราการเคลอ่ื นท่ีของน้าออกจากเซลล์มากกว่าอตั ราการไหล
ของน้าเข้าสู่เซลล์ เซลล์จึงเหี่ยวเนื่องจากสารละลายภายนอกเซลล์มีความเข้มข้นสูงกว่า
สารละลายภายในเซลล์ สารละลายชนิดนี้ เรียกว่า สารละลายไฮเพอร์โทนิก
๏ ส่วนภาพ ค. อัตราการเคลอื่ นที่ของนา้ จากภายนอกเข้าสภู่ ายในเซลล์
มีอัตราสูงกว่าอัตราการเคลื่อนที่ของน้าออกจากเซลล์ เนื่องจากสารละลายภายนอก
มีความเขม้ ข้นน้อยกว่าสารละลายภายในเซลล์ เซลล์จึงเตง่ สารละลายชนิดนี้ เรียกว่า
สารละลายไฮโพโทนิก
แนวการตอบขอ้ 4
๏ ในสารละลายไอโซโทนิกปริมาณนา้ เข้าและออกจากเซลล์เท่ากนั
๏ ในสารละลายไฮเพอร์โทนิกปรมิ าณน้าท่อี อกจากเซลล์มากกว่าปริมาณน้า
ที่เข้าสู่เซลล์
แนวการตอบข้อ 5
๏ นา้ จะไหลเข้าสเู่ ซลล์มากขึ้นจนทาให้เซลล์เต่งจนแตก โดยเมอ่ื นา้ เคลอื่ นที่
เข้าสู่เซลล์จะทาให้เกิดแรงดันขึ้น จึงดันให้เซลล์แตก แรงดันของน้าที่อยู่ภายในเซลล์
ที่เกิดจากการที่น้าแพร่หรือออสโมซิสเข้าไป เรียกว่า แรงดันเต่ง