233
บัตรเนอ้ื หา
เรื่อง การลาเลยี งสารผ่านเยื่อห้มุ เซลล์ โดยวิธกี ารออสโมซสิ
การออสโมซิส (Osmosis) เปน็ การแพรแ่ บบธรรมดาของจากบรเิ วณ ทม่ี ีความ
เข้มข้นของสารตา่ ( มนี ้ามาก ) ไปยงั บรเิ วณทีม่ คี วามเข้มข้นของสารสูง (มนี ้านอ้ ย)
ผ่านเยื่อบาง ๆ ที่มีสมบัตเิ ป็นเยื่อเลือกผ่าน การออสโมซิสมีบทบาทที่สาคัญต่อเซลล์ของ
สิ่งมีชีวิตมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารละลายรอบ ๆ เซลล์มีผล
ทาให้เซลล์เปลี่ยนแปลงได้ดังนี้
1. สภาพท่ีรอบ ๆ เซลล์เป็นสารละลายไฮโพโทนกิ (Hypotonic Solution)
หมายถงึ สภาวะทส่ี ารละลาย ภายนอกเซลลม์ คี วามเข้มข้นต่ากวา่ สารละลายภายในเซลล์
ทาให้เกิดการออสโมซสิ ของนา้ เข้าสู่เซลล์ จนเซลล์เตง่ เรยี ก ปรากฏการณน์ ี้วา่
พลาสมอบไทซสิ (Plasmoptysis) ซึ่งทาใหเ้ ซลล์ สงิ่ มีชวี ติ เกิดการเปลีย่ นแปลง
โดยพบวา่
๏ ถ้าเกดิ ในเซลล์พืช จะทาให้เซลลพ์ ชื เตง่ แต่ไมเ่ กิดอนั ตรายเพราะมีผนังเซลล์
ห่อหุ้มอยู่โดยรอบ
๏ ถา้ เกดิ ขนึ้ ในเซลลส์ ัตว์ จะทาให้เซลลส์ ัตวเ์ ตง่ เชน่ กัน แตห่ ากมกี ารออสโมซสิ
ของน้าเข้าสู่เซลล์มากเกินไป อาจทาให้เซลล์แตกได้ เช่น การนาเซลล์เม็ดเลือดแดงใส่ใน
น้ากลั่นจะทาให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ฮีโมไลซิส (Hemolysis)
๏ เซลลโ์ พรโทซวั ซ่งึ อาศัยอยู่ในน้าจืดจะมี คอนแทร็กไทลแ์ วควิ โอล
(Contractile Vacuole) ทาหนา้ ที่ขบั นา้ ออกนอกเซลล์
2. สภาพท่รี อบ ๆ เซลล์เป็นสารละลายไฮเพอรโ์ ทนิก (Hypertonic Solution)
หมายถึงสภาวะที่สารละลายภายนอกเซลล์มีความเข้มข้นสูงกว่าสารละลายภายในเซลล์
ทาให้เกิดการออสโมซิสของน้าออกจากเซลล์จนเซลล์เหี่ยว เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
พลาสโมไลซิส (Plasmolysis) ซงึ่ พบในเซลลส์ ิง่ มชี ีวิต ดงั น้ี
234
๏ ถ้าเกดิ ในเซลลพ์ ืช เซลลพ์ ชื จะไมเ่ ปลีย่ นแปลงรปู รา่ ง เพราะมผี นังเซลลห์ อ่ หมุ้
โดยรอบ แต่จะเห็นเยื่อหุ้มเซลล์และไซโทพลาซึมหดตัวมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม และแยกตวั
ออกมาจากผนังเซลล์
๏ เซลล์จะเหีย่ วแฟบลงหรอื มีการเปลย่ี นแปลงรปู รา่ งอยา่ งเด่นชดั
3. สภาพที่รอบ ๆ เซลล์เป็นสารละลายไอโซโทนกิ (Isotonic Solution) หมายถึง
สภาวะที่สารละลายภายนอกเซลล์มีความเข้มข้นเท่ากับสารละลายภายในเซลล์ ทาให้
เซลล์คงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เป็นเพราะ มีการออสโมซิสของน้าเข้าและออกจาก
เซลล์เท่า ๆ กัน
๏ ขณะทีน่ า้ ออสโมซิสเขา้ สเู่ ซลลจ์ ะทาใหเ้ กิดแรงดนั ของนา้ ภายในเซลล์เรียกว่า
แรงดันเต่ง (Turgor Pressure) หากปล่อยให้มีการออสโมซสิ ของนา้ เข้าสเู่ ซลล์เรือ่ ย ๆ
จนกระทั่งเกิดภาวะสมดุลของการแพร่ ค่าแรงดันเต่งภายในเซลล์จะมีค่าสูงสุดซึ่งจะเท่ากับ
แรงดันออสโมซิส (Osmotic Pressure) ซง่ึ เป็นแรงดันท่ีเกิดขนึ้ ในกระบวนการออสโมซิส
เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของน้าผ่านเยื่อเลือกผ่านเข้าสู่เซลล์
๏ ค่าแรงดันออสโมซิส แปรผันตามความเข้มข้นของสารละลาย การศึกษา
เกี่ยวกับแรงดันออสโมซิสนิยมใช้เครื่องมือ ซึ่งเรียกว่า ออสโมมิเตอร์ (Osmometer)
๏ โมเลกุลของน้าจะแพร่จากบริเวณทีม่ ีแรงดันออสโมซิสต่าไปยังบรเิ วณที่มี
แรงดันออสโมซิสสูง
๏ การออสโมซิสเขา้ สู่สภาวะสมดุลเมอ่ื อัตราการแพร่เข้าและออกของนา้
ระหว่างสองบรเิ วณมีค่าเท่ากัน
๏ แรงดนั ออสโมซิสช่วยให้ส่วนต่าง ๆ ของพชื มีความเตง่ ตงึ คงรปู อยู่ได้ เชน่
การแผ่กางของใบไม้ เพราะมีแรงดันเต่งในเซลล์ใบ หากเซลล์ในใบสูญเสียน้าจะทาให้
แรงดันเต่งลดลง ใบพืชจะเหี่ยว
235
บัตรคาถาม
เร่ือง การแพรข่ องสารผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลลโ์ ดยวิธีการออสโมซิส
คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นนาตวั อกั ษรหนา้ กล่มุ คาทางขวามือมาเตมิ ลงในชอ่ งวา่ งหน้า
ข้อความทางซ้ายมือให้สัมพันธ์กัน
ชดุ A ชุด B
.............1. การเคลื่อนที่ของอนภุ าคสารจากบรเิ วณที่มี A Plasmolysis
ความเข้มข้นสูงกวา่ ไปยงั บริเวณทีม่ คี วาม T Isotonic Solution
เขม้ ข้นตา่ กว่า P Hypotonic Solution
.............2. การแพรข่ องน้าผา่ นเยอ่ื ห้มุ เซลล์จากบรเิ วณ O Hypertonic Solution
มคี วามเขม้ ขน้ ของสารละลายต่าไปยงั L Heamolysis
บรเิ วณทมี่ ีความเขม้ ขน้ ของสารละลายสูงกวา่ S Turgor Pressure
……….3. สารละลายภายนอกท่ีมคี วามเขม้ ข้นเทา่ กับ E Osmotic Pressure
สารละลายภายในเซลล์ M Dynamic Equilibrium
……….4. สารละลายทม่ี ีความเข้มข้นสูงกวา่ สารละลาย Y Osmosis
ภายในเซลล์ C Diffusion
.............5. สารละลายภายนอกทมี่ คี วามเข้มขน้ ตา่ กว่า F Osmometer
สารละลายภายในเซลล์
.............6. สภาพของเซลล์เม็ดเลือดแดงเมื่อแชอ่ ยใู่ น
สารละลายที่มีความเข้มข้นต่ากว่าภายในเซลล์
.............7. กระบวนที่เกิดขึ้นในเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงทแี่ ชอ่ ยู่
ในสารละลายที่มีความเข้มข้นสูง
..............8. แรงดนั ภายในเซลลท์ ่ีเกดิ จากการแพร่ของน้า
..............9. สภาวะที่อัตราการแพรข่ องนา้ เขา้ และออกจากเซลล์มีค่าเท่ากัน
.............10. แรงดันท่ีให้แกส่ ารละลายเพอื่ ตา้ นการเคลือ่ นท่ขี องนา้
236
บตั รเฉลยคาตอบ
เร่อื ง การแพร่ของสารผา่ นเยือ่ หมุ้ เซลลโ์ ดยวธิ ีการออสโมซิส
ชดุ A ชุด B
.....C......1. การเคลอื่ นท่ขี องอนภุ าคสารจากบรเิ วณทีม่ ี A Plasmolysis
ความเข้มขน้ สงู กวา่ ไปยังบรเิ วณทีม่ ีความ T Isotonic Solution
เข้มข้นตา่ กว่า P Hypotonic Solution
......Y.....2. การแพรข่ องนา้ ผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์จากบรเิ วณ O Hypertonic Solution
มคี วามเขม้ ข้นของสารละลายตา่ ไปยัง L Heamolysis
บริเวณทม่ี ีความเข้มขน้ ของสารละลายสงู กว่า S Turgor Pressure
… T….3. สารละลายภายนอกท่ีมคี วามเข้มข้นเทา่ กับ E Osmotic Pressure
สารละลายภายในเซลล์ M Dynamic Equilibrium
.. O…4. สารละลายท่มี คี วามเข้มข้นสูงกว่าสารละลาย Y Osmosis
ภายในเซลล์ C Diffusion
.......P......5. สารละลายภายนอกทมี่ ีความเขม้ ขน้ ตา่ กวา่ F Osmometer
สารละลายภายในเซลล์
.......L.....6. สภาพของเซลล์เมด็ เลือดแดงเม่ือแช่อยู่ใน
สารละลายที่มีความเข้มข้นต่ากว่าภายในเซลล์
.......A.....7. กระบวนทเ่ี กิดขน้ึ ในเซลลเ์ มด็ เลือดแดงทแี่ ชอ่ ยู่
ในสารละลายที่มีความเข้มข้นสูง
.......S......8. แรงดนั ภายในเซลล์ท่ีเกดิ จากการแพรข่ องนา้
.......M.....9. สภาวะท่ีอัตราการแพรข่ องน้าเขา้ และออกจากเซลล์
มีค่าเท่ากัน
........E....10. แรงดันท่ีใหแ้ ก่สารละลายเพอื่ ตา้ นการเคล่ือนทข่ี องน้า
237
บัตรกิจกรรม 3.3
เรอื่ ง เคร่อื งมอื วัดแรงดนั ออสโมซิสอย่างงา่ ยและการรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์พืช
จุดประสงคข์ องกจิ กรรม
1. ออกแบบเครื่องมอื วดั แรงดันออสโมซิสอยา่ งงา่ ย
2. ทดลองหาสารละลายไอโซโทนกิ ไฮเพอรโ์ ทนิก และไฮโพโทนิกของเซลล์
สาหรา่ ยหางกระรอก
วิธีปฏิบัติกิจกรรม
1. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม ๆ ละ ประมาณ 7 – 8 คน โดยคละความสามารถนักเรยี น
เกง่ ปานกลาง และออ่ น
2. นักเรยี นแต่ละกลุ่มออกแบบเครอ่ื งมือวดั แรงดันออสโมซสิ อย่างง่าย
และดาเนินการทดลอง ตามบัตรงานที่ 5 โดยครมู อบหมายให้ไปศกึ ษานอกเวลาเรียน
แล้วเขยี นรายงานส่งเพื่อนาผลมาอภปิ รายร่วมกันในชั้นเรียน
3. นักเรียนและครูร่วมกันอภปิ รายสรุปเกย่ี วกบั แรงดันออสโมซิสและตอบ
คาถามหลังทากิจกรรม และศึกษาเพิ่มเตมิ จากหนังสือเรียนชีววิทยาของสสวท.
. 4. ครมู อบหมายใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ทากจิ กรรมเพ่ือศึกษาการรกั ษาดุลยภาพของ
เซลล์พืช ตามบตั รงานท่ี 6 โดยใหอ้ อกแบบและทดลองหาสารละลายทมี่ ีความเขม้ ขน้
เทา่ กบั มากกว่า และน้อยกวา่ สารละลายในเซลลส์ าหรา่ ยหางกระรอก บันทกึ การ
เปลี่ยนแปลง นาผลมาอภิปรายรว่ มกนั ในชน้ั เรยี น (ทาการศกึ ษานอกเวลาเรยี น)
5. ตวั แทนกลมุ่ นกั เรียนนาเสนอผลการทากจิ กรรม แลกเปล่ยี นความคดิ เหน็
และอภปิ รายสรุปผลการทากจิ กรรมร่วมกนั
ส่ือ / วัสดอุ ุปกรณ์ / แหล่งเรียนรู้
1. บัตรงานที่ 5 และบัตรงานที่ 6
2. หนังสือเรียนชีววิทยาของสสวท.
ภาระงานที่กาหนด
1. การออกแบบและทดลอง
2. การนาเสนอผลและอภิปรายสรุป
238
บัตรงานที่ 5
เรื่อง เคร่อื งมอื วัดแรงดันออสโมซสิ อยา่ งง่าย
คาชีแ้ จง 1. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกแบบเครื่องมือวัดแรงดนั ออสโมซิสอยา่ งงา่ ย
เพื่อเปรียบแรงดันออสโมซิสระหว่างนา้ กลั่นกับสารละลายที่มีความ
เข้มข้นต่างกัน โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ เช่น ไข่เป็ด หรือ กระดาษเซลโลเฟน
2. แต่ละกลุ่มดาเนนิ การตามที่ออกแบบไว้ โดยให้ไปทดลองนอกเวลาเรยี น
3. อภปิ ราย สรุปผลการทากจิ กรรม และตอบคาถามหลงั ทากิจกรรม
วัสดุอุปกรณ์
1. ไข่เปด็
2. กระดาษเซลโลเฟน
คาถามหลังทากิจกรรม
1. ถ้าการแพรข่ องนา้ เขา้ และออกจากเซลลเ์ ทา่ กัน เราเรียกสภาวะนี้วา่ สมดุล
การแพร่ แล้วนักเรียนทราบได้อย่างไรว่า การทดลองนี้เกิดสภาวะสมดุลของ
การแพร่แล้ว
2. แรงดันออสโมซิสในสารละลายและแรงดนั เต่งในเซลล์ มีความเก่ยี วขอ้ งกนั
อย่างไร
239
เฉลยบัตรงานที่ 5
เร่อื ง เคร่ืองมือวดั แรงดันออสโมซสิ อยา่ งงา่ ย
แนวการตอบคาถามหลังทากจิ กรรม
1. เม่อื ระดับของของเหลวหยุดนง่ิ ไมเ่ พม่ิ สงู ข้นึ อีก แสดงว่าอตั ราการเคลอ่ื นที่
ของน้าเขา้ และออกมีค่าเท่ากัน
2. แรงดันออสโมซิส หมายถงึ แรงดันของน้าจากสารละลายภายนอกทแ่ี พร่
ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าสู่ภายใน ค่าของแรงดันออสโมซิสจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ตวั ถูกละลาย ถ้าในสารละลายภายนอกเซลล์ มีตัวถูกละลายมากก็จะมีค่าแรงดัน
ออสโมซิสมาก ดังนั้น น้าบริสุทธิ์จงึ มีค่าแรงดันออสโมซิสต่าที่สุด
ส่วนแรงดันเต่ง หมายถึง แรงดันที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ (หรือถุงปิด) เมื่อนา้ แพร่
เข้าไป ถ้าน้าแพร่เข้าไปมากแรงดันเต่งก็จะยิ่งมีค่าสูงขึ้น และจะค่าสูงสุดเมื่อการ
แพร่ดาเนินมาถึงสภาวะสมดุลของการแพร่ ซึ่งมีผลให้อัตราการไหลของนา้ เข้าและ
ออกจากเซลล์มีอัตราเท่ากัน ดังนั้นค่า แรงดันเต่งสูงสุดจึงเท่ากับค่าแรงดันออสโมซิส
240
บัตรงานท่ี 6
เร่ือง การรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์พืช
คาช้แี จง จงหาสารละลายไอโซโทนิก ไฮเพอรโ์ ทนกิ และไฮโพโทนกิ ของเซลล์
สาหร่ายหางกระรอก และบันทึกการเปลี่ยนแปลง
วัสดอุ ุปกรณ์
1. สาหรา่ ยหางกระรอก
2. น้า
3. กลอ้ งจลุ ทรรศน์
4. แผ่นสไลด์ / กระจกปิดสไลด์
5. หลอดหยด
คาถามหลงั ทากจิ กรรม
๏ นกั เรยี นจะสรุปผลการทดลองว่าอยา่ งไร
๏ ผลการทดลองของนักเรยี นเหมือนหรอื แตกตา่ งกับเพื่อนกลุ่มอ่ืนหรือไม่
นักเรียนจะอธิบายผลอย่างไร
๏ ถ้าเปลี่ยนจากสาหร่ายเปน็ เซลล์พชื อน่ื ผลการทดลองจะเหมือนกบั เซลล์ของ
สาหร่ายหางกระรอกหรือไม่ เพราะเหตุใด
241
เฉลยบตั รงานท่ี 6
เร่ือง การรักษาดุลยภาพของเซลลพ์ ืช
ตัวอยา่ งผลการทดลอง
๏ หลงั จากนักเรยี นทาการทดลองแล้ว ตัวอย่างผลการทดลองควรเป็นดงั น้ี
1. ท่ีความเขม้ ขน้ ของสารละลาย NaCl ประมาณ 1 – 3 %
๏ เซลลม์ ีการเปลย่ี นแปลง แตไ่ มส่ ามารถสงั เกตเหน็ ได้ชัด
2. ทคี่ วามเข้มข้นของสารละลาย NaCl ประมาณ 4 %
๏ เซลลไ์ ม่มีการเปลย่ี นแปลง
3. ที่ความเข้มข้นของสารละลาย NaCl ประมาณ 5 – 10 %
๏ ไซโทพลาซึมในเซลล์เหยี่ วแฟบ สังเกตเหน็ ผนงั เซลล์ และเยอ่ื หุ้มเซลล์
แยกออกจากกันชัดเจน
แนวการตอบคาถามหลงั ทากจิ กรรม
1. สรปุ ว่าสารละลายใดทาให้ไซโทพลาซมึ เหย่ี วแฟบเป็นสารละลายไฮเพอร์โทนกิ
ไดแ้ ก่ สารละลายโซเดียมคลอไรด์เขม้ ข้นประมาณ 5- 10 % สารละลายทท่ี าให้เซลลเ์ ต่ง
เป็นสารละลายไฮโพโทนกิ ได้แก่ สารละลายโซเดียมคลอไรดเ์ ข้มข้น ประมาณ 1 – 3%
แตเ่ นอ่ื งจากมีผนังเซลลจ์ งึ ทาใหเ้ ห็นการเปลย่ี นแปลงไม่ชัดเจนและสารละลายไอโซโทนกิ
ซง่ึ ทาให้ไซโทพลาซมึ มลี ักษณะปกติ คอื สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นประมาณ 4%
2. ส่วนใหญผ่ ลการทดลองจะเหมอื นกนั แตอ่ าจมีบางค่าตา่ งกันอาจเป็นเพราะขอ้ ผดิ พลาด
ในการชั่งสาร หรืออาจเป็นเพราะน้าที่นามาใช้ในการทาปฏิบัติการหรือสภาพแวดล้อมของ
แหล่งน้าที่สาหร่ายนั้นเจริญอยู่
3. ผลการทดลองนา่ จะแตกต่างกัน เนือ่ งจากพชื ดารงชวี ติ ในสภาพแวดล้อมต่างกนั
ดังนั้น ความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์จะแตกต่างกันดว้ ย
242
บัตรกิจกรรม 3.4
เร่ือง การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งาน
จดุ ประสงค์ของกิจกรรม
1. อธิบายการแพรข่ องสารแบบฟาซิลิเทต
2. อธิบายการลาเลียงสารผ่านเยอ่ื ห้มุ เซลลแ์ บบใช้พลงั งาน
วธิ ีปฏบิ ัติกิจกรรม
1. นักเรียนศึกษาภาพ 4 –18 การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต จากหนังสือเรียนชวี วทิ ยาของ
สสวท. โดยใหน้ ักเรียนสังเกต และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการแพรแ่ บบธรรมดา
กบั การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต แลว้ ร่วมกนั อภิปรายประเด็นคาถามตามบตั รงานที่ 7
2. นกั เรียนศึกษาเนอ้ื หาเร่อื ง การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตเพ่มิ เตมิ จากบัตรเน้ือหา จากนนั้
ร่วมกันอธิบายสรุปเกี่ยวกับการแพร่ การออสโมซิส และการแพร่แบบฟาซิลิเทต
3. นกั เรียนศกึ ษาภาพ 4 – 19 การลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งาน จากหนงั สือเรยี นชวี วทิ ยา
ของสสวท. แล้วร่วมกันอภปิ รายประเด็นคาถามตามบตั รงานที่ 8
4. ครูและนักเรียนร่วมกนั อธบิ ายสรปุ และ เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง
ระหว่างการแพร่ของสารแบบฟาซิลิเทตกับการลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
5. นักเรียนศกึ ษาภาพ / ตอบคาถามในบตั รงานท่ี 9 –10 ทาแบบฝึกทกั ษะจากบตั รคาถาม
สือ่ / วสั ดุอปุ กรณ์ / แหลง่ เรียนรู้
1. บัตรงานที่ 7 - 10
2. บัตรเนอ้ื หา เรือ่ ง การแพร่แบบฟาซิลิเทต และการลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
3. บตั รคาถาม
4. หนังสือเรียนชวี วทิ ยาของสสวท.
ภาระงานที่กาหนด
1. การศกึ ษาภาพ / บตั รเน้ือหา
2. การอภิปรายประเดน็ คาถาม
3. การทาแบบฝกึ ทกั ษะจากบตั รคาถาม
243
บัตรงานที่ 7
เร่ือง การแพร่ของสารแบบฟาซิลเิ ทต
คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาภาพการแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต สังเกตและเปรียบเทยี บการแพร่
แบบธรรมดาและการแพร่แบบฟาซิลิเทตแล้วร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถาม
ภาพที่ 4 - 18 การแพรข่ องสารแบบฟาซลิ เิ ทต
ท่มี า : สสวท. (2546). หนงั สอื เรียนชีววิทยา เลม่ 1. หน้า 100
244
ประเด็นคาถาม
1. การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต มลี ักษณะตา่ งจากการแพร่แบบธรรมดาอย่างไร
2. อัตราการแพรข่ องสารแบบฟาซลิ ิเทตต่างจากการแพรแ่ บบธรรมดาอย่างไร
เพราะเหตใุ ด
ประเด็นคาตอบ
1..........................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
2..........................................................................................................................
.....................................................................................................................................
.....................................................................................................................................
.....................................................................................................................................
.....................................................................................................................................
.....................................................................................................................................
......................................................................................................................................
ชื่อ.............................................................ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 /.......เลขที่.........
245
เฉลยบตั รงานที่ 7
เร่อื ง การแพร่ของสารแบบฟาซลิ เิ ทต
แนวการตอบประเด็นคาถาม
1. การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต เป็นการแพร่ท่ตี ้องอาศัย
โปรตนี ที่เป็นตัวพาซึ่งจาเพาะตอ่ สารที่จะลาเลียง
แทรกตัวอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์
2. อตั ราการแพรข่ องสารแบบฟาซิลเิ ทต มอี ัตราเรว็ กวา่ การแพร่
แบบธรรมดาเพราะมีโปรตนี ที่เยื่อหุ้มเซลล์เป็นตัวพาสาร
เข้าสู่เซลล์
246
บตั รงานที่ 8
เรอื่ ง การลาเลียงสารแบบใชพ้ ลังงาน
คาช้ีแจง ให้นักเรียนศกึ ษาภาพแสดงการลาเลียงสารแบบใช้พลงั งาน แล้วรว่ มกนั
อภิปรายประเดน็ คาถามทกี่ าหนด
ภาพที่ 4 – 19 การลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
ท่ีมา : สสวท. (2546). หนังสอื เรยี นชวี วิทยา เลม่ 1. หนา้ 101
247
ประเดน็ คาถาม
1. ทิศทางการเคลอื่ นท่ขี องสารเหมือนหรือแตกต่างจากการแพรอ่ ย่างไร
2. ถา้ จะเปรียบเทียบการแพร่เหมอื นกับการปล่อยนา้ ลงจากถังเกบ็ น้าบน
หอคอย การลาเลียงแบบใช้พลังงานอาจเทียบได้กับอะไร
3. พลังงานทเี่ ซลลน์ ามาใช้ไดม้ าจากสารใด
4. การลาเลยี งสารแบบฟาซิลเิ ทตเหมอื นหรอื ตา่ งจากการลาเลยี งสารแบบ
ใช้พลังงานอย่างไร
ประเด็นคาตอบ
1. .......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
2. .......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
3. .......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
4. ........................................................................................................................
.......................................................................................................................
.....................................................................................................................
ชื่อ.........................................................ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 /.........เลขท่ี........
248
เฉลยบัตรงานท่ี 8
เรอ่ื ง การลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งาน
แนวการตอบประเดน็ คาถาม
1. ทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องสารตรงกันขา้ มกบั การแพร่ โดยการลาเลยี งสารแบบ
ใช้พลังงาน เป็นการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อย
ไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารมาก
2. การลาเลยี งสารแบบใช้พลังงาน เทยี บได้กับการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าสบู น้าขึน้ สู่
ถังเก็บน้าบนหอคอย
3. พลังงานที่เซลล์นามาใชไ้ ดม้ าจากสาร ATP หรือ Adenosine Triphosphate
4. เหมือนกนั คือ ต้องอาศัยโปรตีนทแี่ ทรกอยู่ในเยอ่ื หุ้มเซลล์ แตก่ ารลาเลียง
โดยการแพร่แบบฟาซิลิเทต เป็นการเคลื่อนที่ของสารโดยไม่ใช้พลังงาน
และสารจะเคลื่อนที่จากที่ที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปสู่ที่ที่มีความเข้มข้น
ของสารตา่ แต่การลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน เป็นการใช้พลังงานเพื่อให้
สารเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารตา่ ไปสู่บริเวณที่มีความ
เข้มข้นของสารสูง
249
บัตรงานที่ 9
เรื่อง การแพร่ของสารผา่ นเย่อื หมุ้ เซลล์
คาชี้แจง ให้นกั เรียนศกึ ษาภาพขา้ งล่างนี้ แล้วตอบคาถามให้ถกู ตอ้ ง
AB
สารละลายที่มี เย่ือเลือกผา่ น สารละลายที่มี
โปรตนี 20 % นา้ ตาลกลูโคส 2 %
กลูโคส 4% นา้ 98%
น้า 76 %
ประเด็นคาถาม
1. ปริมาณนา้ ในสารละลายด้าน A จะคงท่ี เพ่ิมขึ้น หรอื ลดลง เพราะเหตุใด
2. ปริมาณโปรตนี ในสารละลายดา้ น A จะคงท่ี เพ่มิ ขน้ึ หรอื ลดลง เพราะเหตใุ ด
3. โมเลกลุ ของน้าตาลกลโู คส จะแพร่ผา่ นเย่อื ไปยงั ดา้ น A หรอื ดา้ น B เพราะเหตใุ ด
4. ด้าน A หรอื ดา้ น B จะมีแรงดนั ออสโมซสิ เพราะเหตใุ ด
ชื่อ...........................................................ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 / ..........เลขท่ี.........
250
เฉลยบตั รงานท่ี 9
เร่อื ง การแพรข่ องสารผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์
แนวการตอบประเดน็ คาถาม
1. น้าจะเพมิ่ ขึ้น เพราะสารละลายดา้ น B เจอื จางกวา่
สารละลายด้าน A นา้ จะออสโมซสิ มายังด้าน A
2. คงที่ เพราะโมเลกุลโปรตีนไมส่ ามารถแพรผ่ า่ นเยือ่ เลือกผ่าน
ไปยังด้าน B ได้ถึงแมด้ ้าน A จะมคี วามหนาแน่นของโมเลกลุ
โปรตนี มากกว่า
3. ไปยังดา้ น B เพราะด้าน A มีความเขม้ ขน้ ของน้าตาลมากกว่า
4. ด้าน A เพราะน้าจากด้าน B ไหลไปส่ดู า้ น A
251
บัตรงานท่ี 10
เรื่อง การแพร่ของสารผ่านเยอ่ื หมุ้ เซลล์
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นใชค้ วามรู้เรอ่ื ง การลาเลยี งสารผ่านเยอ่ื หุ้มเซลล์ ทเ่ี รยี น
มาแล้ว อธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ต่อไปนี้
ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ ในเซลล์สง่ิ มีชีวติ
1. เมอ่ื นาเซลล์เมด็ เลอื ดแดงใสใ่ นสารละลายในหลอดทดลอง
เม็ดเลือดแดงแตก
2. แกส๊ CO2 ลาเลยี งออกจากเซลล์ของไฮดราออกสสู่ ภาพแวดล้อม
3. ผกั เห่ยี วเมอื่ แช่นา้ จะสดขึ้น
4. ชน้ิ มันเทศแชใ่ นนา้ เช่อื มจะมขี นาดเลก็ ลง
แนวการอธบิ ายกระบวนการที่เกดิ ขนึ้ ในปรากฏการณ์
1.........................................................................................................................
2.........................................................................................................................
3.........................................................................................................................
4.........................................................................................................................
ชื่อ...........................................................ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 /.........เลขท่ี..........
252
เฉลยบัตรงานที่ 10
เรื่อง การแพร่ของสารผา่ นเยื่อหมุ้ เซลล์
แนวการอธิบายกระบวนการท่ีเกดิ ขน้ึ ในปรากฏการณ์
1. สารละลายในหลอดทดลอง เปน็ สารละลายไฮโพโทนกิ เปน็ สารละลาย
ที่เจอื จางกวา่ สารละลายภายในเซลล์ นา้ จากภายนอกเซลลจ์ งึ เคลื่อนที่เขา้ ไปใน
เซลล์เมด็ เลอื ดแดงจนเซลลแ์ ตก
2. เมือ่ ไฮดราหายใจมีปรมิ าณแก๊ส CO2ในเซลลข์ องไฮดราเพิม่ มากขน้ึ ความ
เข้มข้นของแก๊ส CO2 ในเซลลจ์ ึงมีมากกวา่ ในนา้ ท่เี ป็นสภาพแวดลอ้ ม แก๊ส CO2
จึงแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ออกมา
3. เพราะเมอ่ื นาผกั ไปแช่น้า น้าจะแพรจ่ ากภายนอกเข้าสู่ในเซลล์ของผกั ท่ี
มีความเขม้ ข้นสารละลายมากกว่า และน้าที่เข้าสู่เซลล์นนั้ จะลาเลียงไปสู่ส่วน
ตา่ ง ๆ ของผัก ทาให้เซลล์ต่าง ๆ ของผักเต่งขึ้นผกั จึงสดขึ้น
4. สารละลายภายในเซลล์ของมนั เทศเจอื จางกว่านา้ เชือ่ ม น้าจากชิ้นมันเทศ
จะแพร่ออกมาสู่นา้ เชื่อม ทาให้เซลล์ของชิ้นมันเทศเหี่ยว จงึ ทาให้ชิ้นมันเทศมี
ขนาดเล็กลง
253
บัตรเนื้อหา
เรื่อง การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลังงาน
การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต (Facilitated Diffusion) เป็นการเคลือ่ นที่ของอนภุ าคสาร
จากบริเวณ ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่าโดยอาศัยสารประกอบ
โปรตนี ทาหน้าที่ เป็นตัวพา (Arrier) ลาเลียงสารผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์ สารทีม่ ีโมเลกุล
ขนาดใหญ่และละลายน้าได้หรือสารที่มีประจุไฟฟ้าต่าง ๆ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ด้วยการแพร่
แบบธรรมดาไม่ได้ เซลล์จึงลาเลียง สารเหล่านี้โดยใช้โปรตนี ที่แทรกอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์
เป็นตัวจับโมเลกุลของสารลาเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เมื่อนาสารเข้าสู่เซลล์แล้วโปรตนี
ที่ทาหน้าที่เป็นตัวพาก็สามารถทาหน้าที่ ลาเลียงสารตอ่ ไปได้อีก การแพร่แบบนมี้ ีความ
จาเพาะในการเคลื่อนย้ายสาร และมีอัตราเร็ว ในการลาเลียงมากกว่าการแพร่แบบธรรมดา
หลายเท่าตัว เช่น การลาเลียงกลูโคสในตบั เม็ดเลือดแดง และกล้ามเนื้อ จะมีตัวพาทา
หน้าที่ลาเลียงกลูโคสเขา้ หรือออกจากเซลล์ตลอดเวลา เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ
ของเซลล์เหล่านั้น
ภาพที่ 4 – 20 การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต
ท่มี า : สสวท. (2546). หนงั สือเรยี นชีววทิ ยา เลม่ 1. หนา้ 100
254
การลาเลียงสารแบบใช้พลงั งาน (Active Transport)
การลาเลียงแบบใช้พลังงานเป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรืออนุภาคสารจากบริเวณ
ที่มีความเขม้ ข้นของสารตา่ ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูง โดยใช้พลังงานจาก
สารพลังงานสูง คือ ATP และตัวพาซงึ่ เปน็ สารประเภทโปรตนี ช่วยในการลาเลียงสาร
ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ทาให้มีการสะสมสารตา่ ง ๆ ภายในเซลล์ได้
การลาเลียงโดยวิธีนี้ต้องใช้พลังงานจาก ATP จึงพบเฉพาะในเซลล์ที่ยงั มีชีวิตอยู่
เท่านั้น ตวั อย่าง เช่น
๏ เซลลส์ าหร่ายบางชนิดสามารถลาเลยี ง K+ สะสมไวภ้ ายในเซลลจ์ นมีความ
เข้มข้นสูงกว่าความเข้มข้นของน้าในบ่อถึงพันเท่า
๏ เซลล์ประสาทมกี ระบวนการ Sodium – Potassium Pump ทาให้สามารถส่ง
Na+ ออกนอกเซลลต์ ลอดเวลา ทาให้ความเข้มขน้ ของ Na+ ภายในเซลล์ต่ากว่าภายนอก
เซลล์ตลอดเวลาขณะเดียวกันก็มีการลาเลียง K+ เขา้ มาสะสมภายในเซลลจ์ นมีความเขม้ ข้น
สูงกว่า ภายนอกเซลล์ การศึกษากลไกการลาเลียงแบบใช้พลังงานทาให้พบว่า
๏ ตวั พาเปน็ สารประกอบโปรตนี ประเภทเอนไซม์ ซ่ึงเรียกวา่ Transport Enzyme
ทาหน้าที่ลาเลียงสารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างจาเพาะเจาะจง
๏ เปน็ สารทม่ี ีบทบาทในการกระตุ้นการรวมตวั ของตวั พากับโมเลกลุ
ของสารที่ถูกลาเลียงให้กลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อนและการสลายตัวของสาร
ประกอบเชิงซ้อนเพื่อให้ตวั พากลับมาทาหน้าที่ใหม่ได้ต่อไป
ภาพท่ี 4 – 21 การลาเลียงแบบใชพ้ ลังงาน
ทมี่ า : สสวท. (2546). หนังสอื เรยี นชีววิทยา เล่ม 1. หนา้ 101
255
บัตรคาถาม
เร่ือง การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทตและการลาเลียงสารแบบใชพ้ ลังงาน
คาช้ีแจง จงใส่ตวั อักษร T ลงในชอ่ งว่างหนา้ ข้อความเปน็ จริง และใสอ่ กั ษร F
หน้าข้อความที่ไม่เป็นความจริง
๏ การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต และการลาเลยี งสารแบบใช้พลงั งานมลี กั ษณะทเ่ี หมอื น
และแตกต่างกันอย่างไร
. .…….1. การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต เปน็ การแพรข่ องอนภุ าคสารทไี่ มส่ ามารถแพรผ่ ่าน
เยื่อหุ้มเซลล์แบบธรรมดาได้
............2. การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต เป็นการแพรข่ องสารจากบริเวณท่มี ีความเขม้ ข้นของสาร
มากไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อย
............3. การลาเลยี งกลูโคสในตบั เมด็ เลือดแดง และกลา้ มเน้ือ เปน็ การลาเลยี งแบบ
ใช้พลังงาน
............4. การลาเลียงสารโดยการแพร่แบบฟาซิลิเทตและแบบใช้พลงั งานตา่ งก็ต้องอาศยั
โปรตนี เป็นตัวพาผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เช่นเดียวกัน
.............5. active transport เปน็ การลาเลียงสารโดยใชพ้ ลังงานจาก ATP และอาศยั ตวั พา
ซึ่งเป็นสารโปรตนี
………6. active transport เปน็ การลาเลยี งสารจากบรเิ วณทม่ี คี วามเข้มขน้ ของสารสงู
ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารตา่
.............7. กระบวนการสง่ Na+ ออกนอกเซลล์ และลาเลยี ง K+ เขา้ สู่เซลลห์ รอื ทเี่ รียกว่า
Sodium – Potassium Pump เป็นการลาเลยี งสารแบบไม่ใชพ้ ลงั งาน
............8. การลาเลียงสารแบบ Active Transport พบเฉพาะในเซลล์ที่ยังมชี ีวติ อยู่เท่านนั้
………9. การลาลียงแบบใชพ้ ลงั งานจะมีทิศทางตรงกนั ขา้ มกับการแพร่แบบฟาซลิ ิเทต
...........10. การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทตมีอัตราการแพร่เรว็ กวา่ การแพร่แบบธรรมดาหลายเท่า
256
บตั รเฉลยคาตอบ
เร่อื ง การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตและการลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งาน
1. T
2. T
3. F
4. T
5. T
6. F
7. F
8. T
9. T
10. T
257
บัตรกจิ กรรม 3.5
เรือ่ ง การลาเลียงสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรม
1. สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ยี วกับการลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเย่ือหมุ้ เซลล์
2. อธิบายการลาเลียงสารโดยไม่ผา่ นเยอ่ื หุม้ เซลล์ โดยวธิ ีเอกโซไซโทซิส
และเอนโดไซโทซิส
วิธีปฏิบัติกิจกรรม
1. นักเรยี นสบื ค้นข้อมลู เกย่ี วกับการลาเลียงสารโดยไม่ผ่านเยื่อห้มุ เซลล์จากหนังสือ
ชีววิทยาของสสวท. หนังสือคู่มือชวี วทิ ยาจากสานักพิมพต์ ่าง ๆ และจากบัตรเน้อื หา
2. นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายประเด็นคาถามทีก่ าหนดตาม บัตรงานท่ี 11
3. นักเรียนเปรยี บเทียบวธิ ีการนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยวิธฟี าโกไซโทซสิ พิโนไซโทซสิ
และการนาสารเขา้ สู่เซลล์โดยอาศัยตวั รับ ตามบัตรงานที่ 12
4. นกั เรียนรว่ มกนั สรปุ กระบวนการลาเลียงสารโดยไมผ่ ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเขยี น
ผังมโนทัศนแ์ บบ Branching Map ตามบตั รงานที่ 13
5. นกั เรียนทาแบบฝึกทกั ษะ เรอ่ื ง การแพร่ของสารโดยไมผ่ า่ นเยือ่ หมุ้ เซลล์
จากบัตรคาถาม
สือ่ / วัสดอุ ปุ กรณ์ / แหล่งเรยี นรู้
1. บตั รเนื้อหา
2. บตั รงานท่ี 11 - 13
3. บตั รคาถาม
4. หนังสือเรยี นชวี วิทยาของสสวท.
5. หนงั สือค่มู ือชวี วทิ ยาจากสานักพิมพต์ า่ ง ๆ
ภาระงานท่กี าหนด
1. การสบื ค้นข้อมลู
2. การอภปิ ราย เปรียบเทยี บ และสรปุ ตามบตั รงานท่ี 11- 13
3. การทาแบบฝกึ ทักษะจากบตั รคาถาม
258
บัตรเนอ้ื หา
เร่ือง การแพรข่ องสารโดยไมผ่ า่ นเยือ่ หุม้ เซลล์
สารโมเลกุลใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้าออกเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง เซลล์จึงมีกลไก
ในการลาเลียงสารเหล่านี้ โดยการสร้างถุงเวสิเคลิ จากเยื่อหุ้มเซลล์ แล้วลาเลียงไปยังส่วน
ตา่ ง ๆของเซลล์ได้ตามต้องการ การทเี่ ยื่อหุ้มเซลล์มีสมบัติในการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
โดยการเชื่อมรวมกันหรือแยกออกจากกันได้ ทาให้มีวิธีการลาเลียงโดยการสร้างถุงจาก
เยื่อหุ้มเซลล์ได้หลายรูปแบบ การลาเลียงสารโดยวิธีนี้แบ่งเป็น 2 ชนิด ตามทิศทางการ
ลาเลียงสารออกหรือเขา้ เซลล์ คือ เอกโซไซโทซิส (Exocytosis) และเอนโดไซโทซสิ
(Endocytosis)
๏ เอกโซไซโทซสิ เปน็ วิธีการลาเลียงสารท่ีมโี มเลกุลขนาดใหญ่ออกจากเซลล์
โดยการบรรจุสารที่จะส่ออกไปนอกเซลล์ภายในเวสิเคิล เมื่อเวสิเคิลเคลื่อนที่ไปชิด
เยื่อหุ้มเซลล์ก็จะเชื่อมรวมกับเยื่อหุ้มเซลล์ทาให้สารภายในเวสิเคิลถูกปลดปล่อยออกไป
นอกเซลล์ การลาเลียงสารโดยวิธีนี้พบภายในเซลล์ ได้แก่ การกาจดั ของเสียที่เกิดจาก
กระบวนการเมแทบอลิซึมภายในเซลล์ การหลั่งฮอร์โมนหรือเอนไซม์เพื่อลาเลียงออก
ไปใช้นอกเซลล์ เช่น การหลั่งเอนไซม์จากเยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ภาพท่ี 4 – 22 การลาเลยี งสารออกนอกเซลลโ์ ดยการเกดิ เอกโซไซโทซิส
ท่ีมา : สสวท. (2546). หนงั สอื เรยี นชวี วทิ ยา เล่ม 1. หนา้ 102
259
๏ เอนโดไซโทซิส เป็นวธิ ีการลาเลียงสารตรงกันข้ามกบั เอกโซไซโทซสิ
กล่าวคือ เป็นวิธีการลาเลียงสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์ โดยการทาให้
เยื่อหุ้มเซลล์โอบล้อมสารเหล่านั้น แล้วหลุดเข้าไปภายในเซลล์ในรูปของเวสิเคิล เพื่อนา
ไปใช้ประโยชน์ต่อไป เอนโดไซโทซิสในสิ่งมีชีวิตมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามกลไก
การลาเลียง ดังนี้
1. ฟาโกไซโทซสิ (Phagocytosis หรือ Cellular Eating) เปน็ วธิ ีการนาสารทมี่ ี
โมเลกุลขนาดใหญ่ ในสภาพที่เป็นของแข็งเข้าสู่เซลล์โดยการยื่นเท้าเทียม
(Pseudopodium) ออกไปโอบลอ้ มสารเหล่าน้นั แลว้ หลดุ เข้าไปในไซโทพลาซึมในรปู
ของเวสิเคิล เรียกว่า ฟาโกโซม (Phagosome) จากน้ันจึงรวมตวั กบั ไลโซโซม เพอ่ื
ย่อยสลายสารภายในเวสิเคิล โดยเอนไซม์ที่เรียกว่า Lysozyme การลาเลียงสารโดยวิธนี ้ี
พบในพวกโพรโทซัวบางชนิด เช่น การกินอาหารของอะมีบา การทาลายเชอื้ โรคหรือ
สิ่ง แปลกปลอมของเม็ดเลือดขาว
ภาพที่ 4 – 23 กระบวนการฟาโกไซโทซิส
ทีม่ า : สสวท. (2546). หนังสอื เรียนชีววทิ ยา เล่ม 1. หน้า 102
260
2. พิโนไซโทซิส ( Pinocytosis หรอื Cellular Drinking) เปน็ วธิ ีการนาสารทมี่ ี
โมเลกุล ขนาดใหญ่ในสภาพที่เป็นของเหลว อาจอยู่ในรูปของสารละลายหรือหยดไขมัน
เข้าสู่เซลล์ โดยการที่เยื่อหุ้มเซลล์ค่อย ๆ เว้า ทีละน้อย ๆ จนกลายเป็นถุงเวสิเคลิ ห่อหุ้ม
สารที่ต้องการลาเลียงไว้โดยรอบ จากนั้น เวสิเคิลก็จะหลุดเข้าสู่ไซโทพลาซึม เรียกว่า
พิโนโซม (Pinosome) การลาเลียงสารโดยวิธนี พี้ บใน เซลล์ของหน่วยไต เซลล์เยื่อบุ
ผิวลาไส้เล็ก เป็นต้น
ภาพที่ 4 – 24 กระบวนการพิโนไซโทซิส
ทมี่ า : สสวท. (2546). หนงั สอื เรียนชวี วิทยา เลม่ 1. หนา้ 103
261
3. การนาสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศยั ตัวรบั (Receptor – Mediated Endocytosis)
เป็นวิธีการนาสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์ โดยการใช้สารประเภทโปรตนี บน
เยื่อหุ้มเซลล์ทาหนา้ ที่เป็น ตวั รับ (Receptor) จากนน้ั เยอ่ื หุ้มเซลลท์ ่มี ตี วั รับจะจับกับสาร
เหล่านั้นแล้วก็จะค่อย ๆ เว้าเข้าทีละน้อยจน กลายเป็นถุงเวสิเคลิ อยู่ภายไซโทพลาซึม
สารที่ถูกลาเลียงโดยวิธีนตี้ อ้ ง มีความจาเพาะกับโปรตนี ที่เป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์จึง
จะสามารถลาเลียงสารเขา้ สู่เซลล์ได้
ภาพที่ 4 –25 กระบวนการนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รบั
ทีม่ า : สสวท. (2546). หนังสือเรียนชีววทิ ยา เล่ม 1. หนา้ 103
262
บัตรงานที่ 11
เรื่อง การแพรข่ องสารโดยไมผ่ า่ นเยอื่ หุ้มเซลล์
คาชแ้ี จง หลงั จากนกั เรยี นศกึ ษาบัตรเน้อื หาเสร็จเรยี บรอ้ ยแลว้ ใหน้ ักเรียน
ร่วมกันอภิปรายประเด็นคาถามต่อไปนี้
ประเดน็ คาถาม
1. สารขนาดใหญท่ ี่จาเป็นต่อการดารงชีพของเซลล์ เขา้ สู่เซลล์ได้โดยวธิ ีใด
2. การลาเลียงสารเข้าสู่เซลลห์ รอื ออกจากเซลล์ เรียกตามทิศทางว่าอย่างไร
3. การลาเลียงสารแบบเอกโซไซโทซสิ มีวิธกี ารอยา่ งไร
4. เวสิเคลิ ทนี่ าสารออกนอกเซลลน์ สี้ ร้างมาจากออร์แกเนลลใ์ ดของเซลล์
5. การลาเลยี งสารแบบเอนโดไซโทซสิ จาแนกไดเ้ ปน็ กแ่ี บบ อะไรบา้ ง
6. การลาเลยี งสารแตล่ ะวิธแี ตกต่างกันอย่างไร
การตอบประเด็นคาถาม
1...........................................................................................................................
2...........................................................................................................................
3..........................................................................................................................
4..........................................................................................................................
5..........................................................................................................................
6..........................................................................................................................
263
เฉลยบัตรงานท่ี 11
เรื่อง การแพรข่ องสารโดยไมผ่ า่ นเย่ือหุ้มเซลล์
แนวการตอบประเดน็ คาถาม
1. เซลลส์ ามารถนาสารขนาดใหญเ่ ขา้ สูเ่ ซลลไ์ ด้โดยการยืน่ ไซโทพลาซึม
ไปโอบล้อมสารขนาดใหญ่และนาเข้าสู่เซลล์ในรูปของเวสิเคิล
2. การลาเลยี งสารออกนอกเซลล์ เรียกวา่ เอกโซไซโทซิส การลาเลียงสาร
เข้าเซลล์ เรียกว่า เอนโดไซโทซิส
3. มีการเคลื่อนทขี่ องเวสเิ คลิ ในไซโทพลาซึมไปเชือ่ มกบั เยอ่ื หมุ้ เซลล์ แล้วปลอ่ ย
สารในเวสิเคิลออกไปภายนอกเซลล์
4. กอลจิคอมเพลก็ ซ์ เอนโดพลาสมกิ เรติคลู ัม
5. มี 3 แบบ คอื ฟาโกไซโทซสิ พิโนไซโทซสิ และนาสารเขา้ ส่เู ซลลโ์ ดย
อาศัยตัวรับ
6. ฟาโกไซโทซิส เป็นการท่เี ซลลย์ น่ื ไซโทพลาซึมออกมาล้อมรอบอนุภาค
ของสารแล้วนาเข้าเซลล์ในรูปเวสิเคิล จากนั้นอาจรวมตัวกับไลโซโซมเพื่อย่อยสลาย
พบในเซลล์อะมีบาและเซลล์เม็ดเลือดแดง
พิโนไซโทซิส เป็นการนาสารในรูปของสารละลายเข้าส่เู ซลลโ์ ดยการคอดเว้า
ของเยื่อหุ้มเซลล์ เพื่อสร้างเป็นถุง กลายเป็นเวสิเคิลอยู่ในไซโทพลาซึม
การนาสารเข้าส่เู ซลล์โดยอาศัยตวั รบั เป็นการนาสารเข้าสู่เซลล์ที่ตอ้ งอาศยั
โปรตนี เป็นตัวรับสารที่นาเข้าซึ่งมีสมบัตจิ าเพาะกับโปรตนี ตัวรับในการรวมตัวกัน
โดยเยื่อหุ้มเซลล์คอดเว้า สร้างเป็นเวสิเคิล เข้าไปในไซโทพลาซึม
264
บตั รงานที่ 12
เร่อื ง การแพรข่ องสารโดยไม่ผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์
คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมดงั ตอ่ ไปนี้
1. ใหน้ ักเรยี นเปรียบเทียบวธิ กี ารลาเลยี งสารเข้าสู่เซลล์โดยวิธฟี าโกไซโทซิส
พิโนไซโทซิส และโดยอาศัยตัวรับ ตามประเด็นดังนี้
ประเด็นการเปรียบเทียบ
๏ การนาสารเขา้ สู่เซลล์ทง้ั แบบฟาโกไซไทซิส พโิ นไซโทซิส และการนาสาร
เข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตวั รับเหมือนหรือตา่ งกันอย่างไร
2. นาขอ้ เปรยี บเทียบสงิ่ ท่ีเหมือนกัน และสง่ิ ท่ีตา่ งกนั มาเขยี นเป็นผังความคิด
ในรูปแบบของ Venn Diagram ดังนี้
ฟาโกไซโทซิส
พิโนไซโทซสิ โดยอาศยั ตัวรบั
265
เฉลยบตั รงานที่ 12
เรือ่ ง การแพรข่ องสารผา่ นเยือ่ หุ้มเซลล์
แนวการตอบประเด็นคาถาม
1. เหมอื นกนั คอื มกี ารสรา้ งเวสิเคลิ เพือ่ นาสารเข้า
ตา่ งกันที่ วิธีการนาสารเข้าสู่เซลล์ โดยฟาโกไซโทซิส มีการยื่นไซโทพลาซึม
โอบล้อมสารที่เป็นของแข็ง ส่วนพิโนไซโทซิส เป็นการนาสารละลายเข้าสู่เซลล์
โดยการเว้าของเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในไซโทพลาซึมแต่การนาสารเขา้ สู่เซลล์
โดยอาศัย ตวั รับ ตอ้ งใช้โปรตนี ที่แทรกอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งมีความจาเพาะกับ
สารที่นาเข้า
2. ใหน้ ักเรียนนาคาตอบในขอ้ 1 มาเขยี นลงในแผนผังตามความเข้าใจ
ของตนเอง
266
บัตรงานท่ี 13
เร่อื ง การแพรข่ องสารโดยไมผ่ ่านเยือ่ หุม้ เซลล์
คาชี้แจง
ใหน้ ักเรยี นเขยี นผังมโนทัศน์สรปุ กระบวนการแพร่ของสาร
โดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ในรูปของ Branching Map
267
เฉลยบัตรงานที่ 13
เรอ่ื ง การแพร่ของสารโดยไม่ผ่านเยอ่ื ห้มุ เซลล์
การแพรข่ องสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุม้ เซลล์
เอกโซไซโทซิส เอนโดไซโทซิส
การนาสารออกจากเซลล์ การนาสารเขา้ สู่เซลล์
ฟาโกไซโทซิส พิโนไซโทซิส การนาสารเขา้ สูเซลล์
โดยอาศัยตวั รับ
268
บตั รคาถาม
เรื่อง การแพร่ของสารโดยไม่ผ่านเยอ่ื หุม้ เซลล์
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนนาตวั อักษรหนา้ กล่มุ คาของชดุ B มาเติมลงในช่องวา่ งหนา้
ข้อความของชุด A ให้มคี วามสัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกัน
ชุด A ชุด B
............1. วิธีการนาสารขนาดใหญ่เขา้ สู่เซลล์ N. Pinocytosis
โดยการยื่นไซโทพลาซึมออกมา G. Phagocytosis
ล้อมรอบสาร พบในเซลล์อะมีบา A. Exocytosis
D. Endocytosis
.............2. วิธีการนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศยั โปรตีน S. Vesicle
ที่แทรกอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ M. Pseudopodium
L. Receptor – Mediated
.............3. การนาสารโมเลกลุ ใหญอ่ อกนอกเซลลโ์ ดย
การบรรจุสารภายในเวสิเคิลซึ่งจะเชอื่ มรวม Endocytosis
กับเยื่อหุ้มเซลล์แล้วปล่อยออกนอกเซลล์
..............4. วธิ กี ารนาสารเขา้ สู่เซลล์ โดยเย่ือหุ้มเซลล์
เว้า เข้าไปในไซโทพลาซึม กลายเป็นถุง
หลุดเข้าไปในไซโทพลาซึม พบในการ
ลาเลียงสารที่หน่วยไตและเซลล์เยื่อบุผิว
ของลาไส้เล็ก
...............5. วิธีการลาเลียงสารขนาดใหญเ่ ข้าสเู่ ซลล์
โดยไม่ต้องใช้พลังงาน ทาให้เยื่อหุ้มเซลล์
โอบล้อมสารหลุดเข้าไปในเซลล์ในรูป
เวสิเคิล
269
บัตรเฉลย
เรื่อง การแพร่ของสารโดยไม่ผ่านเยื่อหมุ้ เซลล์
1. G
2. L
3. A
4. N
5. D