The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเงิน การคลัง 2-2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by a0981653842, 2024-03-17 15:19:58

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเงิน การคลัง 2-2565

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเงิน การคลัง 2-2565

นโยบายการเงิน เครื่องมือของนโยบายการเงิน 1. การก าหนดอัตราดอกเบี้ย 2. การจ าหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล 3. การก าหนดอัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย 4. การก าหนดอัตรารับช่วงซื้อลด


1. การก าหนดอัตราดอกเบี้ย ฝากเงิน ดอกเบี้ยเงินฝาก กู้เงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารกลาง (BOT) เป็นคนก าหนด


1. การเพิ่ม-ลดอัตราดอกเบี้ย ฝากเงิน .................ดอกเบี้ยเงินฝาก กู้เงิน .............ดอกเบี้ยเงินกู้ เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เพิ่ม เพิ่ม BOT เกิดปัญหาเงินเฟ้อ BOT


1. การเพิ่ม-ลดอัตราดอกเบี้ย ฝากเงิน .................ดอกเบี้ยเงินฝาก กู้เงิน .............ดอกเบี้ยเงินกู้ เกิดปัญหาเงินฝืด ลด เกิดปัญหาเงินฝืด ลด BOT BOT


2. การจ าหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล พันธบัตรรัฐบาล หมายถึง ตราสารหนี้ ระยะยาว (สัญญาทางการเงิน) ออกโดย กระทรวงการคลัง เพื่อให้รัฐบาลได้กู้ เงินจากประชาชน โดยสัญญาว่าจะ จ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้น มีความเสี่ยง ต่ าในระดับใกล้เคียงกับเงินฝากธนาคาร แต่ได้อัตราดอกเบี้ยดีกว่า โดยระบุอัตรา ดอกเบี้ยและงวดการจ่ายดอกเบี้ยอย่าง ชัดเจน เช่น พันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี และงวด ซื้อได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ การจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายครึ่งปี เป็นต้น หรือสถาบันทางการเงินที่ได้รับอนุญาต


มารู้จักกับตราสารหนี้


ตัวอย่างตราสารหนี้ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล


ตัวอย่างการซื้อ-ขายพันธบัตรรัฐบาล ประชาชนก็จะมีเงินในมือน้อยลงจากการขายพันธบัตรให้ธนาคาร–> ปริมาณเงินในเศรษฐกิจก็จะต่ าลง เกิดปัญหาเงินเฟ้อ BOT ...............................พันธบัตรรัฐบาล ประกาศขาย เกิดปัญหาเงินฝืด BOT ...............................พันธบัตรรัฐบาล ประกาศรับซื้อ ประชาชนก็จะมีเงินในมือมากขึ้นจากการขายพันธบัตรให้ธนาคาร–> ปริมาณเงินในเศรษฐกิจก็จะสูงขึ้น


3. การก าหนดอัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย ธนาคารกลางเป็นคนก าหนดอัตราเงินสดส ารอง


ตัวอย่างการเพิ่ม-ลดอัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้น้อยลง เกิดปัญหาเงินเฟ้อ BOT ..................อัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย เพิ่ม เกิดปัญหาเงินฝืด BOT ..................อัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้มากขึ้น ลด


4. การก าหนดอัตรารับช่วงซื้อลด การเพิ่มหรือลดอัตรารับช่วงซื้อลด คือ การกู้ยืมโดยใช้ ตั๋วสัญญาใช้เงินประเภทต่าง ๆ เป็นหลักประกัน ตัวอย่าง นาย A มีตราสารหนี้ ราคา 100 บาท พร้อมดอกเบี้ย 5% นาย A ต้องการเงินสดก่อนครบ ก าหนดของตราสารหนี้ นาย A น าตราสารหนี้ไปขายลด ให้ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์คิดส่วนลด “อัตราซื้อลด (Discount Rate)” ร้อยละ 20 ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินให้ นาย A = 80 บาท หักส่วนลด 20 % = 20 บาท เมื่อถึงวันครบก าหนด ธนาคารพาณิชย์ก็จะได้ตราสารหนี้ ในจ านวนเต็มพร้อมดอกเบี้ย ขายลด 20% จ่าย


4. การก าหนดอัตรารับช่วงซื้อลด ธนาคารพาณิชย์ มีความจ าเป็นต้องใช้เงินสดก่อนครบอายุ ก็น าไปขายช่วงลดให้กับธนาคารกลาง (BOT) โดย BOT ก็จะมีอัตรารับซื้อ เรียกว่า “อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate)” BOT **อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) ของธนาคารกลางจะน้อยกว่าอัตราซื้อลด (discount Rate) ที่ธนาคารพาณิชย์คิดจากนาย A “อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) 10% 100 บาท หัก 10% = 90 บาท 10% BOT


BOT ท าให้ธนาคารพาณิชย์ไม่พยายามรับซื้อ ลดจากนักลงทุน หรือไม่พยายามน าตรา สารหนี้มาขายช่วงลดให้ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ “อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) 10% 100 บาท หัก 10% = 90 บาท 10% **ส่วนต่างของอัตรารับช่วงซื้อลด (ธนาคารกลางหักธนาคารพาณิชย์ 10%= 90 บาท) และอัตราซื้อลด (ธนาคารพาณิชย์หักนาย A 20%= 80 บาท) จะเท่ากับ 10 บาท แปลว่า ธนาคารพาณิชย์จะได้รับก าไรจากการรับซื้อลด = 90-80 เท่ากับ 10 บาท ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ มีมากเกินไป BOT ต้องการลดเงินลง ประกาศเพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) จาก 10% เป็น 15% 15% ส่วนต่างของอัตรารับช่วงซื้อลดและอัตรา ซื้อลดจะน้อยลง (90-85= 5 บาท) อัตรารับช่วงซื้อลด (ธนาคารกลางหัก ธนาคารพาณิชย์ 15%= 85 บาท)


ตัวอย่างการเพิ่ม-ลดอัตราเงินสดส ารองตามกฎหมาย เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้น้อยลง เกิดปัญหาเงินเฟ้อ BOT .................. เพิ่ม อัตรารับช่วงซื้อลด เกิดปัญหาเงินฝืด BOT ..................อัตรารับช่วงซื้อลด เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้มากขึ้น ลด


BOT


ข้อ 1 นโยบายการเงิน หมายถึงอะไร ก. การดูแลปริมาณเงิน และสินเชื่อโดยธนาคารกลาง เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ ข. การดูแลปริมาณเงิน และสินเชื่อโดยธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ ค. นโยบายที่เกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายของประชาชนภายในประเทศ ง. นโยบายที่เกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล BOT


ข้อ 2 การแก้ปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาว ท าได้โดยวิธีใด ก. ลดอัตราภาษี ลดการใช้จ่ายของรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ย ข. เพิ่มอัตราภาษี ลดการใช้จ่ายของรัฐ เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ค. เพิ่มอัตราภาษี เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ง. ลดอัตราภาษี เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ย BOT


ข้อ 3 มาตรการใดที่ธนาคารกลางมีส่วนช่วยลดปัญหาเงินเฟ้อให้บรรเทาลง ก. การขายพันธบัตรรัฐบาลให้กับประชาชน ข. การเพิ่มการเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ค. การลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ง. การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ BOT


ข้อ 4 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายการคลัง ก. เพิ่มการจัดเก็บภาษี - นโยบายการคลังแบบขยายตัว ข. ภาวะเศรษฐกิจตกต่ า – นโยบายการคลังแบบขยายตัว ค. ภาวะเงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมาย – นโยบายการคลังแบบขยายตัว ง. เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ – นโยบายการคลังแบบหดตัว BOT


ข้อ 5 เมื่อเกิดภาวะเงินฝืดในประเทศไทย ประเทศไทยควรมีมาตรการ การเงินการคลังแบบใดจึงจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ก. นโยบายการเงินแบบเข้มงวด นโยบายการคลังแบบขยายตัว ข. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นโยบายการคลังแบบหดตัว ค. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นโยบายการคลังแบบขยายตัว BOT


นโยบายการคลัง


2566 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566


2. รายรับ-รายจ่ายภาครัฐ 2.1 รายรับ 2.2 รายจ่าย 1) รายได้ 2) เงินกู้ 1.1) เก็บภาษี 1.2) ไม่ใช่ภาษี 2.1) หนี้สาธารณะ 2.2) เงินคงคลัง 1) เงินงบประมาณ 2) นอกงบประมาณ


อัตราภาษีแบบก้าวหน้า


BOT


ข้อ 1 นโยบายการเงิน หมายถึงอะไร ก. การดูแลปริมาณเงิน และสินเชื่อโดยธนาคารกลาง เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ ข. การดูแลปริมาณเงิน และสินเชื่อโดยธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ ค. นโยบายที่เกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายของประชาชนภายในประเทศ ง. นโยบายที่เกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล BOT


ข้อ 2 การแก้ปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาว ท าได้โดยวิธีใด ก. ลดอัตราภาษี ลดการใช้จ่ายของรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ย ข. เพิ่มอัตราภาษี ลดการใช้จ่ายของรัฐ เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ค. เพิ่มอัตราภาษี เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ง. ลดอัตราภาษี เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ย BOT


ข้อ 3 มาตรการใดที่ธนาคารกลางมีส่วนช่วยลดปัญหาเงินเฟ้อให้บรรเทาลง ก. การขายพันธบัตรรัฐบาลให้กับประชาชน ข. การเพิ่มการเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ค. การลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ง. การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ BOT


ข้อ 4 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายการคลัง ก. เพิ่มการจัดเก็บภาษี - นโยบายการคลังแบบขยายตัว ข. ภาวะเศรษฐกิจตกต่ า – นโยบายการคลังแบบขยายตัว ค. ภาวะเงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมาย – นโยบายการคลังแบบขยายตัว ง. เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ – นโยบายการคลังแบบหดตัว BOT


ข้อ 5 เมื่อเกิดภาวะเงินฝืดในประเทศไทย ประเทศไทยควรมีมาตรการ การเงินการคลังแบบใดจึงจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ก. นโยบายการเงินแบบเข้มงวด นโยบายการคลังแบบขยายตัว ข. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นโยบายการคลังแบบหดตัว ค. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นโยบายการคลังแบบขยายตัว BOT


เงินเฟ้อ และการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ


ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ภาวะที่ระดับราคาของสินค้าและบริการที่จ าเป็นส่วนใหญ่ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง มีผลท าให้อ านาจซื้อ (ค่าของเงิน) ที่อยู่ในมือของประชาชนลดลง นั่นเอง หมายความว่า “เงินจ านวนเท่าเดิม แต่ซื้อหาสินค้าและบริการได้น้อยลง” หรือหากต้องการสินค้าเท่าเดิมต้องใช้เงินมากขึ้น เงิน 100 บาท ซื้อกาแฟได้ 4 แก้ว เงิน 100 บาท ซื้อกาแฟได้แค่ 2 แก้ว เมื่อเวลาผ่านไป


เงินเฟ้อ วัดจาก “ดัชนีรา คาผู้บริโภค” ค านวณจากราคาสินค้าและบริการ 430 รายการ ครอบคลุมสินค้าและบริการ 7 หมวดได้แก่ 1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 2. หมวดเคหสถาน 3. หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร 4. หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 5. หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล 6. หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา 7. หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ *** ผู้ที่ก าหนดดัชนีราคาผู้บริโภคคือกระทรวงพาณิชย์ รู้ได้อย่างไรว่า “เงินเฟ้อ” การวัดว่าราคาของสินค้า (เช่น อาหาร เสื้อผ้า ) และบริการ (เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล) เพิ่มขึ้นเท่าไรเมื่อเวลาผ่านไป โดยทั่วไปเราจะวัดเงินเฟ้อโดยการเปรียบเทียบราคาของสินค้า และบริการในวันนี้กับราคาเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า ส าหรับค่าเฉลี่ย ของการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ เรียกว่า “อัตราเงินเฟ้อ” ดังนั้น หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% แปลว่าราคาโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน สูงกว่าราคาในปีที่แล้วอยู่ 3% ตัวอย่างเช่น ถ้าข้าวสารหนึ่งถุงราคา 100 บาทในปีที่แล้ว และราคาเพิ่มเป็น 103 บาทในปีนี้ แปลว่าราคาเพิ่มขึ้น 3%


ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดมาจากอุปสงค์ดึง (Demand Pull Inflation) หมายถึง ความต้องการสินค้าของผู้บริโภค มีมากกว่าจ านวนสินค้า (D>s) ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment) กล่าวคือ ผู้ผลิตใช้ทรัพยากรในการผลิตเต็มที่จนไม่สามารถ ผลิตเพิ่มได้ ท าให้สินค้าขาดตลาดและราคาสินค้าสูงขึ้น ท าให้ราคาสินค้า + บริการสูงขึ้น สาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ สาเหตุด้านอุปสงค์


เช่น - การปรับค่าจ้างขั้นต่ าของแรงงาน - ผู้ผลิตต้องการก าไรเพิ่มขึ้น - การปรับราคาน้ ามัน - การเกิดภาวะน้ าท่วม หรือภัยธรรมชาติ สาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ สาเหตุด้านอุปทาน ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (Cost-Push Inflation) (หากผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จะท าให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้นด้วย)


ระดับราคาสินค้าไม่แพงมาก ผู้ผลิตมีแรงจูงใจที่จะลงทุน เกิดการจ้างงาน ท าให้ประชาชนมีงานท า ประชาชนมีรายได้ จับจ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว


ประชาชนเดือดร้อน เพราะสินค้ามีราคาแพง ในขณะที่รายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้น ตาม มักเกิดในช่วงสงคราม เกิดจลาจล หรือภัย พิบัติต่าง ๆ ท าให้ประชาชนเดือดร้อนมาก เงินในมือแทบไม่มีค่าที่จะซื้อสินค้าใด ๆ เลย


Click to View FlipBook Version