The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด - ลภัสรดา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลภัสรดา าา, 2023-02-18 08:49:22

เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด - ลภัสรดา

เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด - ลภัสรดา

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการเรียนแบบปกติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ลภัสรดา ใจยะยอง สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2565


การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการเรียนแบบปกติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ลภัสรดา ใจยะยอง สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2565


ชื่อนักศึกษา นางสาวลภัสรดา ใจยะยอง สาขาวิชา สังคมศึกษา สถานศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โรงเรียนวชิรป่าซาง ตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้ทำการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการเรียนแบบปกติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ซึ่งเป็นงานวิจัยที่มี ประโยชน์และสามารถนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้สืบต่อไป ลงชื่อ...................................................... (นางสาวลภัสรดา ใจยะยอง) นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้รับรอง ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อผู้รับรอง...................................................... (นายวิโรจน์ ชมพูศรี) ครูพี่เลี้ยง แบบรับรองผลการปฏิบัติงาน : การวิจัยในชั้นเรียน


กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะได้รับความกรุณาจากอาจารย์วรวิทย์ ศุภวิมุติ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยในชั้นเรียน ที่คอยให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ ผู้วิจัย ส่งผลให้วิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของ ท่านเป็นอย่างสูง ขอกราบขอบพระคุณครูวิโรจน์ ชมภูศรีครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และคุณครูณัฐพงษ์ กันทาดง ครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและแก้ไขเครื่องมือในการวิจัย สำหรับการทำ วิจัยในชั้นเรียนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณ เจ้าของหนังสือ วารสาร เอกสาร และวิทยานิพนธ์ทุกเล่ม ที่ช่วยให้วิจัยในชั้นเรียนมี ความสมบูรณ์ขอขอบพระคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ สาขาสังคมศึกษาทุกท่านที่คอยให้คำแนะนำ และกำลังใจ ตลอดมา ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา ครอบครัว เพื่อน ๆ ที่รักทุกคน ที่คอยเป็นกำลังใจ และคอย ช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน คุณค่าหรือประโยชน์อันเกิดจากวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ผู้วิจัยขอน้อมบูชาแด่พระคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ที่อบรมสั่งสอน แนะนำ ให้การสนับสนุนและกำลังใจอย่างดียิ่งเสมอมา นางสาวลภัสรดา ใจยะยอง


ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรม การบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการ เรียนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ผู้วิจัย นางสาวลภัสรดา ใจยะยอง อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วรวิทย์ สุภวิมุติ อาจารย์วิโรจน์ ชมภูศรี อาจารย์ณัฐพงษ์ กันทาดง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปีที่พิมพ์ 2565 บทคัดย่อ (Abstract) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการเรียนแบบ ปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ซึ่งเป็นแผนการ วิจัยแบบศึกษากลุ่มเดียววัดหลังการทดลองครั้งเดียว โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการ สุ่มตัวอย่างแบบการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้สังคมศึกษาฯโดยใช้วิธีสอนแบบเทคนิคเพื่อคู่คิด (Think Pair Share) แผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้สังคมศึกษาฯแบบปกติ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̃) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (..) และการทดสอบค่าที(t-test Dependent Samples) แบบ กลุ่มตัวอย่างเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) 1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคเพื่อนคู่คิดของนักเรียนทุกคน (ร้อยละ 100) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.73 สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.4 แสดงให้ เห็นว่านักเรียนได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการเพื่อนคู่คิด


1.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าจากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคการเรียนรู้แบบปกติที่เน้นการบรรยายประกอบสื่อ Power point ชมวีดีโอ และการทำใบงาน รายบุคคล พบว่า นักเรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.1 สูงกว่า ก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.23 แสดงให้เห็นว่าการจัดการ เรียนรู้ด้วยเทคนิคแบบปกติก็สามารถพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนได้ 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน หลังเรียน ระหว่างเรียน โดย ใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) กับการเรียนแบบปกติ 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียน แบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วย เทคนิคการเรียนรู้แบบปกติสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 บทนำ .............................................................................................................. . 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................. 3 สมมติฐานของการวิจัย...................................................................................... 4 ขอบเขตของการวิจัย......................................................................................... 4 คำนิยามศัพท์.................................................................................................... 5 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย........................................................................... 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................... 6 เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share)............................................................. 6 ความหมายของเทคนิค Think Pair Share....................................................... 6 ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมด้วยเทคนิค Think Pair Share............................. 8 ข้อดีและข้อจำกัดของเทคนิค Think Pair Share............................................. 12 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................... 13 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย............................................................................................. 22 กลุ่มประชากรของการวิจัย............................................................................... 22 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย.................................................................................. 22 ตัวแปรที่ศึกษาของการวิจัย.............................................................................. 22 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................... 22 วิธีการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................. 24 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้....................................................................... 25 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................... 27 ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอ............................................................................ 27 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................... 28


สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 5 อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ............................................................................. 33 วัตถุประสงค์ของการวิจัย..................................................................................... 33 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................. 33 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย....................................................................................... 33 วิธีดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................ 34 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................... 35 สรุปผลการวิจัย.................................................................................................... 36 อภิปรายผล.......................................................................................................... 37 ข้อสังเกตที่ได้จากการวิจัย.................................................................................... 37 ข้อจำกัดของการวิจัยในครั้งนี้............................................................................... 37 ข้อเสนอแนะ......................................................................................................... 38 บรรณานุกรม................................................................................................................... ... 39 ภาคผนวก...................................................................................................................... ..... 41 ภาคผนวก ก. รายนามผู้เชี่ยวชาญ........................................................................ 42 ภาคผนวก ข. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน......................................... 44 ภาคผนวก ค. ผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากผู้เชี่ยวชาญ....... 49 ภาคผนวก ง. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด............. 57 ภาคผนวก จ. รูปภาพประกอบ............................................................................. 83 ประวัติย่อของผู้วิจัย........................................................................................................ .... 86


สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค............................................................................................... 28 ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ของการใช้ เทคนิคเพื่อนคู่คิด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค............................................................................................... 29 ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบปกติ............................................ 30 ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ของการใช้ เทคนิคการสอนแบบปกติ......................................................................................... 31 ตารางที่ 5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค การสอนแบบเพื่อนคู่คิด และการสอนแบบปกติ...................................................... 32


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในหมวด 4 ได้กำหนดแนวการจัดการศึกษาตามมาตรา 23 และ 24 ได้กำหนดแนวการจัดการศึกษาไว้ว่า การ จัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมี ความสำคัญที่สุด โดยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการความรู้ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อัธยาศัย รวมทั้งจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์จริง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตนเองตามธรรมชาติและนำความรู้ความเข้าใจไปใช้ในชีวิตประจำวัน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2545 หน้า 13-14) และการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้โดยมีกระบวนการเรียนรู้ที่รวมองค์ประกอบทุกด้าน ทั้งด้านความเจริญเติบโต ทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ บุคลิกภาพ สุนทรียภาพ และสังคม พัฒนาการแต่ละด้านของมนุษย์ ย่อมมีผลกระทบทั้งทางด้านบวกและทางลบต่อด้านอื่น ๆ การเรียนรู้จึงเป็นฐานความเจริญของชีวิตมนุษย์ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 หน้า 23) นอกจากนี้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ได้กำหนดให้กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เป็นวิชาที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจว่ามนุษย์ดำรงชีวิตได้อย่างไร ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดสรรทรัพยากรที่มี อยู่อย่างจำกัด นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุ ปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความ อดทน อดกลั้น ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทยและสังคมโลกและ สามารถนำเอาความรู้ ความเข้าใจนั้นไปปรับใช้ให้เข้ากับสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยังมุ่งให้ผู้เรียนได้มี ทักษะในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทักษะทางสังคม ทักษะการคิด ทักษะการตัดสินใจ และทักษะ การแก้ปัญหา (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551: 6) โดยทักษะที่จำเป็นของคนในศตวรรษที่ 21 กับรายวิชาสังคมศึกษา จากคุณลักษณะและทักษะของคน ในศตวรรษที่ 21 ในการประชุมนานาชาติจากทุกหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ อาทิ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (Unesco) ได้สรุปแนวทางการจัดการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 ในรายงานว่า “Learning : The Treasure Within” หรือ “การเรียนรู้ : ขุมทรัพย์ในตน” วิชัย วงศ์ใหญ่ (2557: 1-2) ซึ่งเป็นหลักในการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยการเรียนรู้ 4 แบบ (สี่เสา


2 หลักทางการศึกษา) ได้แก่ การเรียนรู้เพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้ (Learning to Do) การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) และการเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to Be) การจัดการเรียนการสอนเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กล่าวคือ ถ้าการ จัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมกับผู้เรียนและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการ สอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากขึ้นและจะนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่เป็น จริงได้ดีขึ้น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเกิดขึ้นจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่าการจัดการศึกษามี เป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การจัดการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาตนเองสูงสุดตาม กำลังหรือศักยภาพของแต่ละคน ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกลไกของการจัดการนี้คือ ผู้สอน (นวลจิตต์ เชาวกีรติ พงศ์, เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า และชัดเจน ไทยแท้, 2555) การจัดการเรียนรู้สาระเศรษฐศาสตร์ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อที่จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็ม ศักยภาพของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนได้คิดและได้ปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับ สามารถนำไปประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ แต่ทว่าเนื้อหาสาระของเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างยาก ซึ่งผู้เรียนจำเป็นต้องมีพื้นฐานที่จะคิดเพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบในทุกเรื่อง จึงทำให้นักเรียนบางคนรู้สึกเบื่อ หน่าย และไม่ค่อยสนใจหรือกระตือรือร้นที่จะเรียนเศรษฐศาสตร์ ส่งผลให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์ นอกจากนั้นผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน คือ มีทั้งคนเรียนเก่งและเรียนอ่อน เมื่อต้องมาเรียนในห้องเดียวกันการนำการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะผู้เรียนแต่ละคนเกิดการเรียนรู้ในสภาพที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงเป็นสิ่ง สำคัญต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้สาระเศรษฐศาสตร์ (มนตรี เฉกเพลงพิน, 2562) นอกจากนี้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Think-Pair-Share ได้ริเริ่มโดย ศาสตราจารย์ Frank Lyman แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ในปี ค.ศ.1981 เทคนิคการสอนนี้ได้ชื่อมาจากขั้นตอนการดำเนินการของ นักเรียน 3 ขั้นตอน โดยให้ความสำคัญไปที่สิ่งที่นักเรียนกำลังกระทำการในแต่ละขั้นตอน (Levin, 2008, อ้าง ถึงใน ชลธิชา ทับทวี, 2554: 27) นับว่าเป็นเทคนิค 8 การสอนแบบร่วมมือ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นคู่ ๆ สามารถดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ได้กับผู้เรียนทุกระดับ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จัดว่าเป็นเทคนิคการสอน ที่ได้รับการยอมรับมากอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เพื่อให้นักเรียนทำ กิจกรรมการเรียนร่วมกัน เพื่อให้คำแนะนำปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์และร่วมมือกัน ทำกิจกรรมตามกระบวนการเรียนจนค้นพบข้อสรุป ข้อความรู้หรือคำตอบร่วมกัน ซึ่งจะมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 3 ขั้นตอน คือ การคิด (Think) เป็นขั้นตอนแรกที่ครูจะกระตุ้นด้วยปัญหาเพื่อให้ผู้เรียนหาคำตอบและการจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่สองที่จะให้ผู้เรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหาและวิธีการหาคำตอบของปัญหา ส่วนขั้นตอน สุดท้าย คือ การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอความรู้ที่ได้จาก การำค้นหาคำตอบ (Byerley,2002 อ้างถึงใน ชลธิชา ทับทวี, 2554)


3 โดยเทคนิค Think-Pair-Share เป็นเทคนิคการสอนที่ช่วยส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์จากการทำกิจกรรม ร่วมกัน ทำให้นักเรียนได้มีการแลกเปลี่ยน อธิบายความคิดหรือความรู้ที่เชื่อมโยงมาใช้ในการแก้ปัญหาให้เพื่อน ฟัง มีความสามารถในการให้เหตุผล การสื่อความหมายและการแก้ไขปัญหาเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดีรวมทั้งเป็นผู้ มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น นักเรียนมีความมั่นใจในการทำกิจกรรม มีความสุขในการเรียนและบรรลุ เป้าหมายร่วมกัน (สุบรรณ ตั้งเสรี, 2556) จากการศึกษาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเกิดแนวคิดที่จะนำเทคนิคหรือวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคเพื่อน คู่คิด (Think-Pair-Share) เพื่อให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เพื่อให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียน ร่วมกัน เพื่อให้คำแนะนำ ปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และร่วมมือกันทำกิจกรรมตาม กระบวนการเรียน จนค้นพบข้อสรุป ข้อความรู้หรือคำตอบร่วมกัน ซึ่งจะมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 3 ขั้นตอน คือ การคิด (Think) เป็นขั้นตอนแรกที่ครูจะกระตุ้นด้วยปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนหาคำตอบ และการจับคู่ (Pair) เป็น ขั้นตอนที่สองที่จะให้ผู้เรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหาและวิธีการหาคำตอบของปัญหา ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือ การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอความรู้ที่ได้จากการค้นหา คำตอบ (Byerley,2002 อ้างถึงใน ชลธิชา ทับทวี, 2554) และเป็นเทคนิคที่นำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกรูปแบบ การสอน เนื่องจากเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) มีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน สามารถแทรกกับ รูปแบบการสอนอื่นได้ ซึ่งเทคนิคนี้จะทำให้ได้จำนวนกลุ่มมากกว่า เมื่อเทียบกับการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ อื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare) เพื่อให้นักเรียนมีกระบวนการคิดที่ดีขึ้น จึงใช้กระบวนการกลุ่มในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาข้อสรุปด้วยตนเอง ดังนั้นผู้วิจัยจึงทำการศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษาฯให้มีประสิทธิภาพสูงสุด วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ เพื่อนคู่คิด (Think-Pair–Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียน


4 ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 และ 1/2 รวมทั้งสิ้น 58 คน ซึ่งแต่ละห้องจัดแบบคละความสามารถ เก่ง ปานกลาง และอ่อน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 จำนวน 28 คน โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 เป็นนักเรียนปกติที่มีความรู้ ความสามารถใกล้เคียงกัน สามารถำกิจกรรมที่มอบหมาย ได้อย่างปกติ ส่วนนักเรียนห้อง 1/2 เป็นห้องที่นักเรียนมีความสามารถแตกต่างกันมาก รวมทั้งมีนักเรียนที่ บกพร่องทางการเรียนรู้หรือเด็กพิเศษเรียนร่วมด้วย จึงต้องจัดกิจกรรมที่แตกต่างและสอดคล้องกับนักเรียนแต่ ละคน 2. สมมติฐานของการวิจัย มีดังนี้ 2.1 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) สูงกว่าการ เรียนแบบปกติ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ 3.1 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นเนื้อหาสาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา พื้นฐานในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรของสถานศึกษาของโรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ 3.1.1 การบริโภค 3.1.2 อุปสงค์ – อุปทาน


5 4. คำนิยามศัพท์ เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด Think-Pair–Share หมายถึง การคิด (Think) เป็นขั้นตอนแรกที่ครู จะกระตุ้นด้วยปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนหาคำตอบ และการจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่สองที่จะให้ผู้เรียนจับคู่ เพื่อ อภิปรายปัญหาและวิธีการหาคำตอบของปัญหา ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือ การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอน สุดท้ายที่จะให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอความรู้ที่ได้จากการค้นหาคำตอบ การเรียนแบบปกติหมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้จัดให้นักเรียนแบบกลุ่ม ใหญ่ทั้งชั้น ในการดำเนินการสอนจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การบรรยาย การอธิบาย การทำรายงาน ผู้สอนจะมอบหมายให้นักเรียนทำและรับผิดชอบเป็นรายบุคคลหรือรับผิดชอบเป็นกลุ่ม โดยเป็นกลุ่มที่ไม่ คำนึงถึงความแตกต่างในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียน ซึ่งวัดและประเมินผลจาก แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ทั้งก่อนและหลังเรียน ในรายวิชา ส21103 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน 5. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ผลการวิจัยได้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยเปรียบเทียบจากการเรียนแบบเพื่อน คู่คิด (Think - Pair - Share) กับการเรียนแบบปกติ 2. เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) 3. เป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดการเรียนรู้ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการสอนแบบปกติของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า เอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้นำเสนอตามลำดับหัวข้อต่อไปนี้ 1. ความหมายของเทคนิค Think-Pair–Share 2. ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมด้วยเทคนิค Think-Pair–Share 3. ข้อดีและข้อจำกัดของเทคนิค Think-Pair–Share 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของเทคนิค Think-Pair–Share มีนักวิชาการหลายท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ให้ความหมายของเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think– Pairs-Share) ไว้ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540) ได้กล่าวถึง เทคนิคการเรียนรู้แบบ เพื่อนคู่คิดว่าเป็นเทคนิคที่เริ่มต้นจากการที่ครูตั้งโจทย์คำถามให้ผู้เรียนในชั้นเรียนตอบ แต่ก่อนที่ผู้เรียนจะตอบ ผู้เรียนจะต้องคิดหาคำตอบของตนเองก่อน หลังจากนั้นให้นำคำตอบของตนไปอภิปรายกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ นั่งติดกับตน เมื่อมั่นใจว่าคำตอบของตนถูกต้องหรือดีที่สุดแล้วจึงนำคำตอบเหล่านั้นมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง นิวซาวเวลล์ (New South Wales. 2006 : อ้างอิงใน ชลธิชา ทับทวี (2554: 26) กล่าวถึง เทคนิคเพื่อนคู่คิดว่าเป็นการให้นักเรียนแต่ละคนใช้ความคิดของตัวเองหรือแก้โจทย์ปัญหาอย่างเงียบๆ จากนั้น จึงจับคู่และแบ่งปันความคิดหรือคำตอบของตนกับคนที่อยู่ใกล้ๆ แต่ละคู่ควรจะเตรียมตัวนำเสนอความคิดหรือ คำตอบของคู่ของตนให้กับเพื่อนทั้งชั้นเรียนได้ฟัง อาจกล่าวได้ว่าหมายถึงให้แต่ละทีมเรียนรู้จากเพื่อนร่วมทีม ซึ่งกันและกัน King (1993 : 12 อ้างอิงใน พิสมร ชูเอม (2561: 28) ได้ให้ความหมายเทคนิคเพื่อนคู่คิดไว้ว่า “เทคนิคเพื่อนคู่คิด” คือ เทคนิคที่ฝึกให้นักเรียน “คิด” เป็นรายบุคคลเกี่ยวกับคำถามที่ผู้สอนกำหนดขึ้นมาใน ขณะนั้น จากนั้นจะต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยการจับคู่กับเพื่อนในห้องเรียน เพื่อแบ่งปันและอภิปราย ในระดับห้องเรียนต่อไป” ลักขณา สริวัฒน์ (2557: 193) ได้อธิบายเทคนิคเพื่อนคู่คิดว่าเป็นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอน แบบอื่น เรียกว่าเทคนิคคู่คิด เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งอาจจะเป็นใบงาน หรือแบบฝึกหัดก็ได้ และให้ผู้เรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายคำตอบ เมื่อ มั่นใจว่าคำตอบของคนถูกต้องแล้วจึงนำคำตอบไปอธิบายให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง


7 พิสมร ชูเอม (2561: 30) ได้อธิบายเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pairs Share) คือ เทคนิคการเรียนรู้ แบบคิดวิเคราะห์หลายขั้น คือ คิดด้วยตนเอง คิดเป็นคู่ และคิดเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ โดยคำตอบที่ได้จะผ่านการ กรองหลายขั้น จนได้คำตอบที่มีความเป็นเอกภาพ เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือระหว่างผู้เรียนกลุ่มย่อยที่ ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์ของตนเองและการแบ่งปันความคิดจากผู้อื่นด้วย วรรณวิสา ยศระวาส (2561: 35-36) กล่าวถึง เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think pair Share) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างผู้เรียน 2 คน ที่จับคู่กันแล้วช่วยกันแบ่งปันความคิดใน ประเด็นปัญหา หลังจากที่ร่วมกันคิดเป็นคู่แล้ว จึงนำความรู้ที่ได้ไปเสนอให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้รับฟัง เพื่อให้ เกิดการวิเคราะห์วิจารณ์ผลร่วมกันทั้งชั้นมีขั้นตอน ดังนี้ 1) ผู้สอนตั้งประเด็นปัญหาสั้นๆ หรือโจทย์คำถามกับผู้เรียนทั้งชั้น 2) ผู้เรียนแต่ละคนหาคำตอบด้วยตนเองโดยลำพังอย่างอิสระ สัก 1-2 นาที 3) ผู้เรียนจับคู่แบบคละความสามารถ ให้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิด ผลัดกัน เล่าความคิด หรือคำตอบของตนให้เพื่อนฟัง จนได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกัน 4) ผู้เรียนคนใดคนหนึ่งสามารถอธิบายคำตอบ นำผลสรุปเสนอหน้าชั้นเรียนให้เพื่อนฟังทั้งชั้น เพื่อหาข้อสรุปของประเด็นคำถามจากผู้เรียนทั้งชั้น Millis, Barbara J. and Cottel, Philip G. (1998: 73–74 อ้างอิงใน สุบรรณ ตั้งศรีเสรี(2556: 25) ได้กล่าวถึงเทคนิค Think – Pair – Share ว่า ในการเริ่มกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย เทคนิค Think– Pai –Share ครูตั้งคำถามที่ต้องใช้ความเข้าใจ มักเป็นคำถามแบบการสอบสวนให้นักเรียน คิดหาคำตอบด้วย ตนเอง จากนั้นให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่ง เพื่ออธิบายการตอบคำถาม เมื่อได้ข้อสรุปนักเรียน ยกมือเสนอคำตอบต่อเพื่อนในชั้นเรียน และก่อนที่ครูจะให้นักเรียนคู่นั้นเสนอคำตอบ ควรรอเวลาให้นักเรียน คิดหาคำตอบได้ก่อน และเพื่อให้นักเรียนมีโอกาสในการท่องคำตอบกับเพื่อนก่อนที่จะพูดในชั้นเรียน เพื่อ เพิ่มพูนทักษะการสื่อสารทางวาจาและความมั่นใจ กรมวิชาการ (2545 อ้างอิงใน ชัญญาภรณ์ ขัดทา (2558: 43) กล่าวถึง กิจกรรมการเรียนรู้โดย เทคนิค Think-PairShare ว่าเป็นการให้ผู้เรียนแต่ละคนได้ศึกษาเรื่องหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งตามลำพังแต่ละ คนก่อน หลังจากนั้นจึงจับคู่อภิปรายในสิ่งที่แต่ละคนได้ศึกษามาแล้วนั้นเมื่อได้รับฟังความคิดเห็นกัน ได้ ทบทวนกันแล้วก็จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคู่ของตนร่วมกันในชั้นด้วย วิธีการนี้มีประโยชน์ที่จะช่วยให้ ผู้เรียนได้พัฒนาความเข้าใจในแนวคิดที่เป็นของตนเอง มนตรี เฉกเพลงพิน (2561: 50) กล่าวถึง เทคนิค Think-Pair-Share หมายถึง การเรียนแบบ ร่วมมือโดยมีการจัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียน 2 คน ที่จับคู่กันภายในกลุ่มโดยเป็นกิจกรรมการเรียนที่ เริ่มจากครูเสนอสถานการณ์ปัญหาหรือโจทย์คำถามแล้วให้สมาชิกคิดหาคำตอบด้วยตนเอง แล้วนำคำตอบไป


8 อภิปรายกับเพื่อนเป็นคู่ ช่วยกันแบ่งปันความคิดในประเด็นของปัญหาเพื่อหาข้อสรุป จากนั้นนำผลสรุปเสนอ หน้าชั้นเรียน เพื่อหาข้อสรุปของประเด็นคำถามจากผู้เรียนทั้งชั้นเรียน ชัญญาภรณ์ ขัดทา (2258: 43) กล่าวว่า เทคนิคคิดคู่ร่วม Think-Pair-Share หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยให้นักเรียนได้คิดเดี่ยว หรือคิดคู่ หรือคิดร่วมกัน วิธีการเรียนในรูปแบบนี้จะทำให้ นักเรียนได้แยกแยะสมมติฐานที่ตั้งไว้และอภิปรายวิธีการคิดซึ่งกันและกันได้จึงช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาความ เข้าใจในแนวคิดที่เป็นของตนเองมากยิ่งขึ้น จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด หมายถึง รูปแบบ ในการเรียนร่วมมือโดยมีการจัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียน 2 คนที่จับคู่กันภายในกลุ่ม โดยเป็นกิจกรรม การเรียนที่เริ่มจากครูเสนอสถานการณ์ปัญหาหรือโจทย์คำถามแล้วให้สมาชิกคิดหาคำตอบด้วยตนเอง แล้วนำ คำตอบไปอภิปรายกับเพื่อนเป็นคู่ช่วยกันแบ่งปันความคิดในประเด็นของปัญหาเพื่อหาข้อสรุป จากนั้นนำ ผลสรุปเสนอหน้าชั้นเรียน เพื่อหาข้อสรุปของประเด็นคำถามจากผู้เรียนทั้งชั้น 2. ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมด้วยเทคนิค Think-Pair–Share มีนักวิชาการหลายท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อธิบายขั้นตอนของเทคนิคเพื่อนคู่คิด ThinkPair-Share ไว้ดังนี้ มนต์ชัย เทียนทอง (2551) กล่าวว่า Think-Pair-Share ถูกพัฒนาขึ้นโดย Frank Lyman แห่ง มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยแบ่งผู้อบรมเป็นคู่ ๆ ดำเนินกิจกรรมในลักษณะ ของคู่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) Think เป็นการท้าทายให้ผู้อบรมได้คิดและไตร่ตรองจากคำถามปลายเปิด หรือการเฝ้าสังเกต พฤติกรรม 2) Pair เป็นการจัดให้ผู้อบรมจับคู่กันเป็นคู่ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในประเด็น ปัญหาที่กำหนดไว้ เพื่อร่วมกันค้นหาข้อสรุปหรือตอบคำถามที่ต้องการ 3) Share เป็นการสลายจากการจับกลุ่มกันเป็นคู่ ๆ แล้วสรุปผลการค้นหาค าตอบร่วมกันเพื่อ แลกเปลี่ยนความรู้ สรุปและอภิปรายผลการค้นพบ สุพีรา ดาวเรือง (2555, อ้างถึงใน มนตรี เฉกเพลงพิน, 2562: 53) กล่าวว่า ขั้นตอนของเทคนิค Think-Pair-Share โดยมี ขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้ ขั้นที่ 1 ผู้สอนตั้งปัญหาหรือกิจกรรม ขั้นที่ 2 ผู้เรียนค้นหาคำตอบโดยลำพัง ขั้นที่ 3 ผู้เรียนจับคู่และร่วมกันคิดแก้ปัญหาระหว่างกัน ขั้นที่ 4 นำเสนอเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันกับผู้เรียนทั้งชั้น


9 วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542: 30 อ้างอิงใน นฤมล ถนอมพงษ์ (2562: 14) กล่าวว่า ขั้นตอน การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดจะมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียม ครูแนะนำทักษะในการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด การจับคู่ของนักเรียนบอก วัตถุประสงค์ของ บทเรียนและบอกวัตถุประสงค์ของการทำงานร่วมกัน 2. ขั้นสอน ครูนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ด้วยวิธีสอนที่เหมาะสมและให้งาน 3. ขั้นทำงานกลุ่ม เมื่อได้รับคำถามจากครูนักเรียนต้องหาคำตอบด้วยตนเองก่อน แล้วจึงนำคำตอบ ไปปรึกษาคู่ของตน เพื่ออภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ - ตรวจผลงาน ครูจากงานกลุ่มที่แต่ละคู่ส่งไปและครูสุ่มบางคู่มานำเสนอคำตอบในชั้นเรียน ขณะที่ฟัง ผู้นำเสนอผู้เรียนในห้องสามารถยกมือเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อคำตอบหรือเสนอคำตอบของตนได้ - ทดสอบนักเรียนเป็นรายบุคคลโดยไม่มีการช่วยเหลือกัน เพื่อตรวจสอบผลการสอบ แล้วทำการ คำนวณคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มให้นักเรียนทราบ และถือว่าเป็นคะแนนของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่ม 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานของกลุ่มครูและนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน ถ้ามีสิ่งที่ นักเรียนยังไม่เข้าใจครูอธิบายเพิ่มเติม ครูและนักเรียนช่วยกันประเมินผลการทำงานของกลุ่ม โดยอภิปรายถึง ผลงานของนักเรียน และวิธีการทำงานของนักเรียน รวมถึงวิธีการปรับปรุงการทำงานของกลุ่มด้วย ซึ่งจะทำให้ นักเรียนดูความก้าวหน้าของตนเองทั้งทางด้านวิชาการและด้านสังคม ขจรศักดิ์ หลักแก้ว (2551: ออนไลน์) ได้เสนอขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค เพื่อนคู่คิดจะมีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้ ขั้นที่ 1 แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ คละความสามารถ ( เก่ง ปานกลาง อ่อน ) กลุ่มละ 2-3 คน ขั้นที่ 2 ครูตั้งประเด็นสั้น ๆ หรือโจทย์ค าถาม ขั้นที่ 3 ผู้เรียนแต่ละคนที่ได้คำตอบด้วยตนเองซัก 1-2 นาที ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนจับคู่กับเพื่อนแลกเปลี่ยนความคิดกันระหว่างความคิดหรือคำตอบของตน ให้เพื่อน ฟังจนได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกัน ขั้นที่ 5 ผู้เรียนคนใดคนหนึ่งสามารถอธิบายคำตอบให้เพื่อนฟังได้หรือครูสุ่มบางคู่มารายงานหน้าชั้น มนต์ชัย เทียนทอง (2551: 99 อ้างอิงใน พิสมร ชูเอม (2562: 23) กล่าวถึง ขั้นตอนของเทคนิค เพื่อนคู่คิดไว้ 3 ขั้น ดังนี้ 1) Think เป็นขั้นตอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดในประเด็นปัญหาต่าง ๆ การกล่าวนำถึง สาระสำคัญ ของบทเรียน รวมทั้งการแนะนำให้ผู้เรียนได้คิดถึงเรื่องที่จะต้องศึกษาในขั้นตอนต่อไป ในขั้นนี้จะต้อง ดำเนินการทั้งชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนทั้งหมดเกิดความคิดร่วมและประสานความคิดให้เป็นไปในทิศทาง เดียวกัน


10 2) Pair เป็นขั้นตอนที่จัดให้ผู้เรียนจับกันเป็นคู่ ๆ เพื่อให้แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาบทเรียน แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น และสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนร่วมกันให้สามารถศึกษาบทเรียนได้สำเร็จลุล่วงและสามารถ ค้นหาคำตอบของประเด็นปัญหาที่ต้องการได้ การเรียนรู้ในขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้ 2.1) Motivation ขั้นตอนการนำเข้าสู่บทเรียน 2.2) Information ขั้นตอนการศึกษาเนื้อหาบทเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ พัฒนาขึ้น หรือจากใบความรู้ 2.3) Application ขั้นการทดสอบความสำเร็จในการเรียนรู้ 2.4) Progress ขั้นตอนการประเมินผลฃความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน 3) Share เป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากการศึกษาบทเรียนแล้ว โดยการทำการสลายกลุ่ม ผู้เรียนที่จับ กันเป็นคู่ แล้วสรุปผลการค้นหาคำตอบร่วมกันทั้งชั้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สรุปผล และอภิปราย ผลการค้นพบจากการศึกษาบทเรียนในขั้นตอนที่ผ่านมา รวมทั้งให้ข้อสรุปหรือเสนอแนะใด ๆ ต่อผู้สอนได้ ลีแมน ( Lyman. 1981: 109 - 113 อ้างอิงใน ชลธิชา ทับทวี (2554: 27) กล่าวว่า เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดจะมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 3 ข้อ คือ 1. การคิด นักเรียนมีเวลา 30 วินาที หรือมากกว่า เพื่อที่จะคิดให้ได้คำตอบที่เหมาะสม เวลาที่ใช้ รวมถึงการเขียนเพื่อจดบันทึกคำตอบ 2. การจับคู่ หลังจากใช้เวลาคิดให้นักเรียนจับคู่เพื่อแบ่งปันคำตอบและความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 3. การแบ่งปัน คำตอบของนักเรียนสามารถนำมาแบ่งปันภายในกลุ่มเดียวกันหรือทางชั้น เรียนในช่วง การอภิปรายเพื่อติดตามผล เทคนิคนี้ให้โอกาสแก่นักเรียนทุกคนที่จะแสดงออกถึงตนเอง รวมถึงสะท้อนให้เห็น ถึงคำตอบของตนเอง ไบร์เลย์ (Byerley. 2002: 3) กล่าวว่า เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด Think-Pair-Share จะมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 3 ข้อ คือ 1. การคิด (Think) เป็นขั้นตอนแรกที่กูจะกระตุ้นด้วยปัญหาเพื่อให้ผู้เรียนหาคำตอบ 2. การจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่สองที่จะให้ผู้เรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหา 3. การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอความรู้ที่ได้จาก การค้นหาคำตอบ มานพ นามมณี (2559: 32) กล่าวถึง เทคนิค Think-Pair-Share หรือ “เพื่อนคู่คิด” เป็นเทคนิค การเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างผู้เรียน 2 คน ที่จะคู่กันแล้วช่วยกันแลกเปลี่ยนความคิดในประเด็นของปัญหา หลังจากที่ร่วมกันคิดระหว่างคู่แล้ว จึงนำความรู้ที่ได้ไปเสนอให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้รับฟังเพื่อให้เกิดการ วิเคราะห์วิจารณ์ผลร่วมกันทั้งชั้นเรียน การเรียนตามรูปแบบ Think-Pair-Share มีลักษณะเด่นดังนี้


11 1) ขั้นตอนที่ 1 จะเป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนรายบุคคลคิดเงียบๆ เกี่ยวกับคำถามของผู้สอน 2) ขั้นตอนที่ 2 จะมีการจับคู่กันคิด มีการดูแลช่วยเหลือตลอดจนการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน 3) ขั้นตอนที่ 3 ผู้เรียนคู่นั้นจะมีการตอบสนองความคิดของตนเองไปยังผู้อื่น และเพื่อสมาชิก ทั้งกลุ่ม ยุวลักษณ์ ธรรมธรานุรักษ์ (2557: 21) กล่าวว่า การเรียนรู้โดยเทคนิค Think-Pair-Share เป็น กลวิธีการเรียนแบบร่วมมือในลักษณะการอภิปรายกลุ่มย่อยพัฒนาโดย Frank (1981) โดยมีขั้นตอนในการทำ กิจกรรม 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. Think (คิด) ครูตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดของนักเรียน หลังจากนั้นให้เวลาเพียงเล็กน้อย สำหรับการคิดเกี่ยวกับคำถาม 2. Pair (จับคู่) ครูจับคู่ให้กับนักเรียน โดยอาจจะให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ หรือที่นั่ง โต๊ะติดกัน หลังจากนั้นให้นักเรียนแต่ละคู่พูดคุยเกี่ยวกับคำตอบของตนเองให้คู่ฟัง ทำการเปรียบถึง คำตอบของตนเองว่าเหมือนหรือแตกต่างกับคู่ของเราอย่างไร แล้วบันทึกคำตอบที่เหมือนกันและสรุป คำตอบที่ถูกต้องที่สุด มีความน่าเชื่อถือและแตกต่างกับคู่อื่น ๆ 3. Share (มีส่วนร่วม) หลังจากที่นักเรียนแต่ละคู่ได้พูดคุยกันค้นหาถึงคำตอบ ครูให้นักเรียน แต่ละคู่ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน โดยครูอาจจะจัดให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลม แล้วให้แต่ละ คู่บอกถึงคำตอบ โดยครูจะบันทึกคำตอบของนักเรียนบนกระดานดำและร่วมกันสรุปคำตอบกับ นักเรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2556, หน้า 35 อ้างอิงใน ชัญญาภรณ์ ขัด ทา 2558: 43) ได้กำหนดขั้นตอนไว้ 3 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้ 1. คิด (Think) เป็นขั้นตอนที่ครูหรือครูผู้สอนตั้งคำถามหรือปัญหาที่ต้องการให้นักเรียนแต่ละคนและ คำตอบ หลังจากนั้นนักเรียนแต่ละคนแก้ปัญหาด้วยตนเองในเวลาที่ครูกำหนด ให้นักเรียนเขียน คำตอบและอธิบายวิธีการแก้ปัญหาลงในกระดาษและห้ามปรึกษากับเพื่อนร่วมชั้น 2. คู่ (Pair) ให้นักเรียนจับคู่เพื่อนร่วมชั้นและแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน นักเรียนใช้ข้อมูลที่ อภิปรายกับเพื่อนปรับปรุงคำตอบหรือวิธีแก้ปัญหาของตนเอง 3. ร่วม (Share) นักเรียนนำเสนอความคิดเห็นหรือวิธีแก้ปัญหาของตนกับเพื่อนและอภิปรายร่วมกัน จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิดมีขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การคิด (Think) เป็นขั้นตอนแรกที่ครูจะกระตุ้นด้วยปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนหาคำตอบและการจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่สองที่จะ ให้ผู้เรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหาและวิธีการหาคำตอบของปัญหา ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือการแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอความรู้ที่ได้จากการค้นหาคำตอบ


12 3. ข้อดีและข้อจำกัดของเทคนิค Think-Pair–Share Lyman (1987: 1-2) ได้กล่าวถึง ข้อดีของเทคนิค Think-Pair–Share ดังนี้ 1. เป็นเทคนิคที่นำไปใช้ได้เร็ว 2. เป็นเทคนิคที่ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมการมาก 3. เป็นการโต้ภายในตัวบุคคลกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจอย่างแท้จริงในด้านความรู้ 4. ครูสามารถตั้งคำถามได้หลายแบบและหลายระดับ 5. ทำให้รวมความสนใจของนักเรียนทั้งชั้นเรียนและทำให้นักเรียนไม่ที่ไม่กล้าแสดงออกสามารถตอบ คำถามได้โดยไม่ต้องลุกขึ้นต่อและเพื่อนร่วมชั้นเรียน 6. ครูสามารถเข้าใจนักเรียนด้วยการฟังนักเรียนกลุ่มต่าง ๆ ระหว่างการทำกิจกรรมและจากการ รวบรวมคำตอบในตอนท้ายอีกชั่วโมงเรียน 7. ครูสามารถทำกิจกรรมที่ใช้หลักแบบเพื่อนคู่คิดได้ 1 ครั้งหรือหลายๆครั้งในระยะเวลา 1 คาบเรียน ไอสัน (Eison. 2008 : อ้างอิงใน ชลธิชา ทับทวี (2554: 29-30) ได้สรุปประโยชน์ของเทคนิคการ เรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด ดังนี้ 1. สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีศักยภาพในทุกชั้นเรียนที่มีขนาดใหญ่ 2. ส่งเสริมให้นักเรียนมีการโต้ตอบในเนื้อหาของรายวิชา 3. ท าให้นักเรียนประมวลความคิดของตนเองก่อนนำไปแบ่งปันกับคนอื่น 4. สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดในระดับที่สูงขึ้นได้ สมบัติ การจนารักพงศ์ (2547, หน้า 12 อ้างอิงใน นฤมล ถนอมพงษ์ (2562: 16) ได้สรุป ประโยชน์ของเทคนิคเพื่อนคู่คิด ดังนี้ 1. จะทำให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดและทักษะการสื่อสารให้คู่ของตนเข้าใจ 2. ฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงความคิดเห็น 3. ช่วยทำให้นักเรียนแต่ละคู่มีความสนิทสนมกันมากขึ้น 4. ช่วยทำให้นักเรียนเป็นคู่หูในการช่วยกันเรียนต่อไป ชัญญาภรณ์ ขัดทา (2558: 43) กล่าวถึง ข้อดีของกิจกรรมการเรียนรู้ของเทคนิคคิดคู่ร่วม ThinkPair–Share ดังนี้ 1. เป็นวิธีที่นักเรียนทุกคนต้องทำกิจกรรมการเรียนอย่างจริงจัง Active จึงมีความสนใจในเรื่องที่เรียน ตลอดเวลา 2. นักเรียนจะเกิดความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างเข้มข้นและมั่นคง เนื่องจากจะต้องเตรียม ตัวและศึกษาเรื่องเป็นอย่างดีเพื่อที่จะสามารถปฏิบัติบทบาทของผู้สอนคือบรรยายอธิบายและถามคำถามต่อ เพื่อนที่เป็นคู่เรียนได้


13 3. ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้อย่างมาก เช่น ปัญหาช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียน ปัญหาครูขาดแคลน 4. ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน 5 นักเรียนที่เรียนได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง สามารถซักถามนักเรียนที่เรียนเก่งกว่าได้เต็มที่โดย ไม่เกิดความอายและเกิดความมั่นใจว่าตนเองจะเข้าใจบทเรียนได้อย่างแน่นอน 6 ครูสามารถตรวจสอบความรู้และมีโอกาสพัฒนาบุคลิกภาพด้านอื่น ส่วนนักเรียนก็ได้รับ ประโยชน์โดยตรงจากนักเรียนผู้สอน 7. ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในหลายสถานการณ์ที่นักเรียนจะเรียนรู้ จากครูเพียงคนเดียวก็ได้ เรียนรู้จากแหล่งอื่นด้วยนั่นคือจากเพื่อนด้วยกัน 8. ช่วยสร้างแรงจูงใจและทัศนคติในการเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนที่กังวลในเรื่องของ ตนเมื่อประกอบกิจกรรมทางการเรียน เมื่อได้สนทนากับเพื่อนวัยเดียวกันอาจทำให้นักเรียนเข้าใจ บทเรียนมากขึ้นและกล้าซักถาม ในขณะเดียวกันนักเรียนจะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนได้รับ ความสำเร็จในการสอน นักเรียนจึงเกิดความสนใจที่จะเรียนมากขึ้นอันนำมาสู่ทัศนคติที่ดีในการเรียน ข้อจำกัดของเทคนิค Think-Pair–Share ชลธิชา ทับทวี (2554:40) ได้กล่าวถึงข้อจำกัดของเทคนิค Think-Pair–Share ไว้หลายประการ ดังนี้ 1. ปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวของนักเรียน หากนักเรียนที่จับคู่กันมีปัญหาความสัมพันธ์ ส่วนตัวอาจทำให้เทคนิค Think-Pair–Share ใช้ได้ผลไม่ดีเนื่องจากขาดความร่วมมือที่ดีระหว่าง นักเรียน 2. ปัญหาที่สมาชิกของกลุ่มไม่รับผิดชอบ ปล่อยให้เพื่อนคนใดคนหนึ่งคิดและแก้ปัญหาคน เดียวจนอาจทำให้เพื่อนที่คิดแก้ปัญหาคนเดียวเกิดความเบื่อหน่ายหรือหมดกำลังใจ 3. สมาชิกบางคนพูดมากเกินไปและไม่ฟังผู้อื่นจนทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ ไม่ได้แสดงความ คิดเห็นหรือนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลาย 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ การวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้


14 4.1.1 มนตรี เฉกเพลงพิน (2562) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์และ ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นการคิดอย่างมี เหตุผลของนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการสอน ฐานร่วมกับเทคนิค การสอน Think-Pair-Share การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การกำหนดราคาและค่าจ้างในระบบเศรษฐกิจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังได้รับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมี เหตุผลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5/1 จำนวน 33 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระ ราชูปถัมภ์ฯ กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share จำนวน 1 หน่วยการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share วิเคราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลี่ย (X̅), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S. D.) และทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก


15 4.1.2 วิไลวรรณ ชูปั้น และคณะ (2563) ผลการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับ เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) ที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลและสมรรถนะด้านการ สื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และ 2) เปรียบเทียบสมรรถนะด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดประสิทธิเวช จังหวัดนครนายก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับ เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) 2) แบบวัดความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยก กำลัง และ 3) แบบวัดสมรรถนะด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) มีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการ เรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) มีสมรรถนะด้านการสื่อสารทาง คณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.1.3 นารีรัตน์ ประสมสาสตร์ และคณะ (2563) ผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้ เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิง รุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนดาราสมุทร จังหวัดชลบุรี จำนวน43 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่าง แบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด แบบทดสอบวัด ความสามารถในการแก้ปัญหาและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างเดียว


16 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร หลังได้รับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อน คู่คิด สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร หลังได้รับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการ เรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.1.4 ภัทร อัญชลีนุกูล และ สุธนะ ติงศภัทิย์ (2562) ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตอง ด้วยกลวิธี THINK-PAIR-HARE ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี ThinkPair-Share ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่ม ตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตลาดกระบัง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 40 คน แบ่งเป็นนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับ การจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี Think–Pair–Share ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาการ เล่นกีฬาเปตอง จำนวน 20 คน และนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยวิธี ปกติ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี Think– Pair–Share จำนวน 8 แผน แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตอง แบบประเมินผล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 5 ด้าน ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนด้วยค่า “ที” ผลการวิจัยพบว่า : 1) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองของ นักเรียนกลุ่มทดลองหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี Think-Pair-Share ที่มีต่อ ความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองในการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วย กลวิธี Think-Pair-Share ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


17 4.1.5 สิทธิชัย วรโชติกำจร และ พัชราภรณ์ วรโชติกำจร (2558) กรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยอาศัยประสบการณ์เป็นฐาน ด้วยเทคนิค 4 MAT ร่วมกับกิจกรรมแบบ Mentor Coached ThinkPair-Share ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์กรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ เป็นฐานด้วยเทคนิค 4 MAT ร่วมกับกิจกรรมแบบ Mentor Coached Think-Pair-Share ในรายวิชาการเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยนำแนวคิดวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้พบ เห็น ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและเสริมด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้กระบวนการกลุ่มและเพิ่ม ให้มีระบบพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแนะนำแทนผู้สอน ในการวิจัยนี้ผู้วิจัยได้นำกรอบแนวคิดที่สังเคราะห์ขึ้นไป สอบถามความเหมาะสมกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 ท่าน พบว่าความเหมาะสมของกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์เป็นฐานด้วย เทคนิค 4 MAT ร่วมกับกิจกรรมแบบ Mentor Coached Think-Pair-Share ในรายวิชาการเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.02 และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.42 แสดงว่าสามารถนำกรอบแนวคิดที่สังเคราะห์ได้นี้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้ 4.2. งานวิจัยต่างประเทศ 4.2.1 Ribhi Khaleel Ahmad Hamdan (2017) ผลของกลยุทธ์ (คิด-จับคู่-แบ่งปัน)ต่อ ความสำเร็จของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ในสาขาวิทยาศาสตร์ในเขตการศึกษา Irbid The Effect of (Think-Pair-Share) Strategy on the Achievement of Third Grade Student in Sciences in the Educational District of Irbid การวิจัยในปัจจุบันมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทราบถึงผลกระทบของกลยุทธ์ (Think-Pair-Share) ที่มีต่อ ความสำเร็จของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในสาขาวิทยาศาสตร์ในเขตการศึกษาของ Irbid โดยใช้การ ทดลองแบบกึ่งทดลองในการศึกษาครั้งนี้ตัวอย่างการศึกษาประกอบด้วย (120) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในเขตการศึกษา Irbid แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มควบคุมซึ่งประกอบด้วยนักเรียนชาย (30) คนและ นักเรียนหญิง (30) คน และกลุ่มทดลองซึ่งประกอบด้วยนักเรียนชาย (30) คนและนักเรียนหญิง (30) คน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผลการเรียนของนักเรียนมีความแตกต่างกันทางสถิติเนื่องจากตัวแปรกลุ่มที่ ระดับนัยสำคัญ (0.05) และความแตกต่างคือ ในกลุ่มทดลองและมีความแตกต่างกันทางสถิติเนื่องจากเพศที่ ระดับนัยสำคัญ (0.05) ในการสนับสนุนผู้หญิงการศึกษาแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การเข้าร่วม (Think-Pair-Share) ภายในกลยุทธ์การสอนที่นักเรียนใช้ในระหว่างการสอนและการมีส่วนร่วมของครูในหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องกล ยุทธ์ (Think-Pair-Share)


18 4.2.2 AbdulRaheem Yusuf Victory Collins Owede Muhinat Bolanle Bello (2018) ผล ของกลยุทธ์การสอนแบบ Think-Pair-Share ต่อความสำเร็จของนักเรียนในการศึกษาของพลเมืองใน Bayelsa ปร ะเ ทศ ไ น จ ีเ รียEffect of Think-Pair-Share Instructional Strategy on Students’ Achievement in Civic Education in Bayelsa, Nigeria มีวัตถุประสงค์หลักของการศึกษานี้คือเพื่อตรวจสอบผลของกลยุทธ์การเรียนการสอนแบบ ThinkPair-Share ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในการศึกษาของพลเมืองในรัฐ Bayelsa ประเทศไนจีเรีย การศึกษานำการออกแบบแฟกทอเรียลแบบทดสอบก่อนทดลอง 2x2x3 แบบกึ่ง ทดลอง นักเรียน SSS II ทุกคนในรัฐ Bayelsa ประกอบด้วยประชากรเป้าหมาย ชั้นเรียนที่ยังไม่สมบูรณ์ของ นักเรียน 61 และ 46 คนได้รับการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงสำหรับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ตามลำดับ เครื่องมือที่ออกแบบโดยนักวิจัยสามชุดซึ่งประกอบด้วยชุดการเรียนการสอน 2 ชุดและใช้แบบทดสอบหนึ่งชุด เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการศึกษา ดัชนีความน่าเชื่อถือของการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของพลเมือง เท่ากับ 0.83 ที่ได้จากวิธีการทดสอบซ้าหลังจากช่วงเวลาสองสัปดาห์โดยใช้ Pearson ' s Product Moment Correlation ในขณะที่สถิติ Analysis of Co-variance (ANCOVA) ถูกนำมาใช้เพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย 3 ข้อที่ระดับนัยสาคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนสอน Civic Education โดยใช้กลยุทธ์ Think-Pair-Share มีประสิทธิภาพ สูงกว่ากลุ่มควบคุม ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญของการรักษาต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในการศึกษาภาคพลเมืองตามเพศ จากผลการวิจัยการศึกษาแนะนำในหมู่คนอื่น ๆ ว่าครูควรมีส่วน ร่วมกับนักเรียนทุกประเภทในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้นซึ่งจะมีการสำรวจประสบการณ์เดิมของนักเรียน เพื่อสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาใหม่ ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญของการรักษาต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในการศึกษาภาคพลเมืองตามเพศ


19 4.2.3 Benidiktus Tanujaya, Jeinne Mumu (2019) การนำ Think-Pair-Share ไปใช้กับการเรียน การสอนคณิตศาสตร์Implementation of think-pair-share to mathematics instruction การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนของการแบ่งปันคู่ความคิดประเภทของรูปแบบการ เรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในเมือง Manokwari ประเทศปาปัว ตะวันตกของอินโดนีเซีย การศึกษานี้จัดทำขึ้นที่ Senior High School in Manokwari (SMA Negeri 1), Manokwari West Papua Indonesia การวิจัยดำเนินการโดยใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา รูปแบบการเรียนรู้ Think Pair Share ได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ขั้นตอนการดำเนินการตามลักษณะของนักเรียนที่เรียน คณิตศาสตร์ใน Manokwari, West Papua ผลการวิจัยพบว่า มีหลักการสองประการในการประยุกต์ใช้แบบจำลองการแบ่งปันคู่ความคิดในการ สอนคณิตศาสตร์ใน Manokwari West Papua การเลือกสมาชิกในกลุ่มและการกำหนดจำนวนสมาชิกใน กลุ่ม นักเรียนทีละคนเริ่มคิดค้นหาคำตอบสำหรับงานที่ส่งมา สมาชิกในกลุ่มต้องประกอบด้วยนักเรียนที่รู้จัก กันดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรมีระดับความรู้ใกล้เคียงกัน ในขณะที่จำนวนสมาชิกในกลุ่มต้องเริ่มจากนักเรียนสองคน 4.2.4 Eucharia Okwudilichukwu Ugwu (2019) ผลของการแบ่งกลุ่มนักเรียน - ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและการคิด - จับคู่ - แบ่งปันต่อความสนใจของนักเรียนในการอ่านเพื่อความเข้าใจ Effect of Student Teams-Achievement Divisions and Think– Pair–Share on Students’ Interest in Reading Comprehension การศึกษาได้ศึกษาผลของกลยุทธ์การเรียนรู้แบบร่วมมือ 2 แบบ (การแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์และวิธีคิด แบบคู่ร่วมกันของนักเรียน) ที่มีต่อความสนใจในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน นักเรียนมัธยมสองเจ็ดสิบ แปดคนได้รับการสุ่มเลือกจากโรงเรียนสามแห่งในเขตการปกครองท้องถิ่น Vandeikya รัฐ Benue ประเทศ ไนจีเรีย มีการนำการออกแบบกึ่งทดลองก่อนทดสอบ - หลังการทดสอบมาใช้ความสนใจในการอ่านสินค้าคง คลัง (R = 0.09) เป็นเครื่องมือที่ใช้มีการทดสอบสมมติฐาน สองข้อที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 สามคลาสที่ไม่ เสียหายถูกสุ่มให้เป็นกลุ่มทดลอง 1 กลุ่มทดลอง 2 และกลุ่มควบคุม ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้รับการวิเคราะห์ โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมเพื่อทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงผลกระทบหลักที่สำคัญของการรักษาต่อนักเรียน ความสนใจในการอ่าน จับใจความ F (1,51) = 3.743, p <0.05 นักเรียนที่สัมผัสกับโปรแกรม Student Teams-Achievement Divisions ทำได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม นอกจากนี้ Think-Pair-Share ยังมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสนใจของ นักเรียนในการอ่านจับใจความ F (1,51) = 18.018, p <0.05) ดังนั้น การเรียนแบบร่วมมือแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิผลในการปรับปรุงความสนใจของนักเรียนใน การอ่านเพื่อความเข้าใจ


20 4.2.5 Flora Patuan Raja Mahpul (2020) กลยุทธ์การเรียนรู้แบบค้นพบ: การบูรณาการ Think-PairShare และค าติชมที่ถูกต้องของครูเพื่อเพิ่มความแม่นย าในการเขียนภาษาของนักเรียน DISCOVERY LEARNING STRATEGY: INTEGRATING THINK-PAIR-SHARE AND TEACHER’S CORRECTIVE FEEDBACK TO ENHANCE STUDENTS’ WRITING LANGUAGE ACCURACY งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาความแม่นยำในการใช้ภาษาเขียนของนักเรียนและประสบการณ์ (การรับรู้) ของพวกเขาหลังจากเรียนรู้วิธีใช้การบูรณาการ Think-Pair-Share (TPS) และคำติชมที่ถูกต้องของ ครู (TCF) ในกลยุทธ์การเรียนรู้แบบค้นพบ การศึกษาเชิงปริมาณในรูปแบบของการออกแบบก่อนการทดลอง ได้ดำเนินการซึ่งเกี่ยวข้องกับนักศึกษา 24 คนของโปรแกรมการศึกษาภาษาอังกฤษในคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยลัมปุง - อินโดนีเซียที่เข้าเรียนการเขียนระดับก่อนกลาง นักเรียนเหล่านี้เตรียมพร้อมที่จะเป็นครู สอนภาษาอังกฤษรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ในโรงเรียน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความแม่นยำของภาษาอย่างมาก ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า มีการปรับปรุงความแม่นยำในการใช้ภาษาเขียนของนักเรียนหลังจากการ ใช้การบูรณาการ Think-Pair-Share และคำติชมที่ถูกต้องของครูในกลยุทธ์การเรียนรู้แบบค้นพบความแม่นยำ ทางไวยากรณ์สูงที่สุด เมื่อเทียบกับคำศัพท์และความแม่นยำในการสะกดคำ นอกจากนี้นักเรียนแสดงให้เห็นถึง การรับรู้ในเชิงบวกใน 5 ประเภทของการรับรู้ความสนใจและแรงจูงใจสูงที่สุด เป็นเพราะขั้นตอนของ TPS และ TCF ขั้นต่ำในรูปแบบของการนั่งร้านและคำถามที่สร้างสรรค์ของครู


21 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการสอนแบบปกติของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. การศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. ตัวแปรที่ศึกษา 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. วิธีการด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. การศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูล และแนวทางในการทำวิจัย ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร วารสาร ตำรา ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์ประเด็นสำหรับงานวิจัยและศึกษาแนวทางดำเนินการวิจัยตามประเด็นดังกล่าวจาก เอกสาร บทความ ตำรา 1.2 การศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รวมถึงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานการเรียนรู้และ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค 1.3 ศึกษาเนื้อหาและสาระการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม เศรษฐศาสตร์ และ ภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หนังสือคู่มือครู และ หนังสืออ่านประกอบอื่น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 1.4 ศึกษาเอกสาร ตำรา ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยหลักการวัดและประเมินผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมศึกษา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share)


22 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย 2.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 และ 1/2 รวมทั้งสิ้น 58 คน ซึ่งแต่ละห้องจัดแบบคละ ความสามารถ เก่ง ปานกลาง และอ่อน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 จำนวน 28 คน โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 เป็นนักเรียนปกติที่มีความรู้ ความสามารถใกล้เคียงกัน สามารถทำกิจกรรมที่ มอบหมายได้อย่างปกติ ส่วนนักเรียนห้อง 1/2 เป็นห้องที่นักเรียนมีความสามารถแตกต่างกันมาก รวมทั้งมี นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้หรือเด็กพิเศษเรียนร่วมด้วย จึงต้องจัดกิจกรรมที่แตกต่างและสอดคล้องกับ นักเรียนแต่ละคน 3. ตัวแปรที่ศึกษา มีดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ วิธีการสอน 2 รูปแบบ คือ เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare) กับการเรียนแบบปกติ 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ประกอบด้วย 4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (ThinkPair-Share) และการสอนแบบปกติ จำนวน 2 แผน ประกอบไปด้วย 4.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การบริโภค จำนวน 2 คาบ คาบละ 50 นาที 4.1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง อุปสงค์–อุปทาน จำนวน 1 คาบ คาบละ 50 นาที 4.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาสังคมศึกษาฯ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 5. การสร้างเครื่องมือในการวิจัย 5.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 5.1.1 ศึกษาเอกสาร ตำราและหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง พฤติกรรมการบริโภค เพื่อกำหนด ขอบเขตเนื้อหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 5.1.2 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share)


23 5.1.3 ศึกษาเอกสาร และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 5.1.4 ศึกษาหลักสูตร จุดมุ่งหมาย และมาตรฐานและตัวชี้วัด สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ และ ขอบเขตเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค 5.1.5 ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค จากเนื้อหาสาระที่ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้จำนวน 2 แผนฯ รวมใช้เวลาทั้งหมด 3 คาบ โดยทั้ง 2แผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) ซึ่งพัฒนาโดย Frank Lyman (1981) โดยมี ขั้นตอนในการทำกิจกรรม 3 ขั้นตอนดังนี้ 1. Think (คิด) 2. Pair (จับคู่) 3. Share (แบ่งปัน) 5.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อครูพี่เลี้ยงเพื่อขอรับคำแนะนำ 5.1.7 หลังจากที่ครูพี่เลี้ยงตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม จึงทำการปรับปรุง แก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 2 แผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำของครูพี่เลี้ยง 5.1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไข ตามผลการตรวจของครูพี่เลี้ยงเสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งแล้วจะทำเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์เพื่อ นำไปเก็บรวบรวมข้อมูล 5.2 การสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค โดยมีขั้นตอนดังนี้ 5.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา ทฤษฎี และหลักที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบผลการ เรียนรู้ 5.2.2 ศึกษาสาระการจัดการเรียนรู้และมาตรฐานตัวชี้วัด สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ 5.2.3 ศึกษาวิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค และสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ให้ครอบคลุมสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ จำนวน 20 ข้อ โดย คำตอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 5.2.4 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนไปให้ครูพี่เลี้ยง ตรวจสอบเพื่อขอรับคำแนะนำ 5.2.5 หลังการตรวจสอบด้วยครูพี่เลี้ยงและทำการปรับปรุงแก้ไข โดยนำแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา เพื่อ พิจารณาว่าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ หรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ดังนี้ คะแนน +1 สำหรับข้อที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ คะแนน 0 สำหรับข้อที่ไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ คะแนน -1 สำหรับข้อที่ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้


24 5.2.6 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านการตรวจสอบจากครูพี่เลี้ยงและ ผู้เชี่ยวชาญการสอนสังคมศึกษา มาคำนวณหาค่า IOC แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC มากกว่าหรือ เท่ากับ 0.5 จำนวน 20 ข้อ จากนั้นจึงทำการจัดพิมพ์แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน 5.2.7 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่ผ่านการพิจารณาจาก ครูพี่เลี้ยงและผู้เชี่ยวชาญไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่าซาง 5.2.8 นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนนโดยข้อที่ถูกได้ 1 คะแนนข้อที่ผิด หรือไม่ได้ตอบหรือตอบมากกว่า 1 ข้อได้ 0 คะแนนและเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 6. วิธีการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยทำการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง ที่เรียนเรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยดำเนินตามขั้นตอน ดังนี้ 6.1 ดำเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ จากนั้นทำการตรวจแบบทดสอบที่นักเรียนได้ทำ ไปแล้ว เพื่อพิจารณาว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐาน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค มากน้อยเพียงใดและควรได้รับ การพัฒนาอย่างไร 6.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare) ตามแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 แผน รวมเวลา 3 ชั่วโมง 6.3 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษาฯ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบปกติ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ปกติ จำนวน 2 แผน รวมเวลา 3 ชั่วโมง 6.4 หลังการจัดการเรียนการสอนครบตามแผนที่กำหนดไว้ผู้วิจัยดำเนินการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระ สังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ จากนั้นทำ การตรวจแบบทดสอบที่นักเรียนได้ทำไปแล้ว เพื่อเปรียบเทียบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์จากการเรียนโดยใช้ เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับรูปแบบการสอนปกติว่ามีความแตกต่างจากก่อนเรียน อย่างไร และมีความแตกต่างระหว่าง 2 รูปแบบอย่างไร


25 7. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 7.1 ข้อมูลความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) 7.2 ข้อมูลจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบทั้งก่อนเรียน และหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 7.3 ข้อมูลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ก่อนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการ สอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยพิจารณาค่าความแตกต่างของคะแนนนักเรียนแต่ละคน และทดสอบในภาพรวมโดยใช้ การทดสอบค่าที (t-test Dependent Group) 8. สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ หาค่าความเที่ยงตรง หาค่าเฉลี่ยของคะแนน (Mean) หาค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าที (t-test Dependent Samples) โดยผู้วิจัย ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 8.1 หาค่าความเที่ยงตรง ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง ของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) เมื่อ แทน ดัชนีความสอดคล้องเหมาะสมระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ ให้คะแนน +1 สำหรับข้อที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน 0 สำหรับข้อที่ไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน -1 สำหรับข้อที่ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ การแปลผล ถ้าผลการพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญ (IOC) มีค่า 0.50 ขึ้นไป แสดงว่าข้อคำถามนั้นวัดได้ตรงกับ จุดประสงค์สามารถนำข้อคำถามนั้นไปใช้ได้ แต่ถ้าการพิจารณา IOC มีค่าน้อยกว่า 0.05 แสดงว่า ข้อคำถาม นั้นไม่สามารถวัดได้ตามจุดประสงค์ ให้ทำการแก้ไข ปรับปรุง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ


26 8.2 หาค่าเฉลี่ยของคะแนน (Mean) การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำคะแนนที่ได้จาก การทดสอบ ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) ̅= ∑ เมื่อ x̃ แทน คะแนนเฉลี่ย ∑x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนคนทั้งหมด 8.3 หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำ คะแนนที่ได้จากการทดสอบ ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) .. √ ∑ 2 − (∑ ) 2 ( − 1) เมื่อ . . แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน คะแนนสอบ แทน จำนวนคนทั้งหมด แทน ผลรวม 8.4 การทดสอบค่าที (t-test Dependent Samples) โดยพิจารณาจากค่าความแตกต่างของ คะแนนนักเรียนแต่ละคนและทดสอบในภาพรวม โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test Dependent Group) = ∑ √ ∑ 2 − (∑ ) 2 ( − 1) เมื่อ แทน ค่าผลต่างระหว่างคู่คะแนน ∑ แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนความต่าง แทน จำนวนคู่คะแนน


27 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการสอนแบบปกติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง แล้วนำผลมาวิเคราะห์ด้วย วิธีการทางสถิติ และนำเสนอข้อมูลเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) กับการเรียนแบบปกติ


28 ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด ลำดับที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลต่าง (D) 1 7 10 +7 2 12 16 +4 3 6 11 +4 4 7 11 +4 5 9 12 +3 6 8 10 +2 7 9 13 +4 8 10 12 +2 9 10 15 +5 10 12 14 +2 11 11 14 +3 12 7 10 +3 13 9 12 +3 14 10 14 +4 15 8 10 +2 16 10 16 +6 17 8 13 +5 18 7 10 +7 19 5 9 +4 20 11 14 +3 21 10 13 +3 22 10 11 +1 23 9 15 +6 24 13 17 +4 25 10 12 +2 26 10 11 +1


29 ลำดับที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลต่าง (D) 27 10 13 +3 28 12 16 +4 29 9 12 +3 30 13 16 +3 ค่าเฉลี่ย 9.4 12.70 +3.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.99 3.44 จากข้อมูลในตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดของนักเรียนทุกคน (ร้อยละ 100) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.73 สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.4 แสดงให้เห็นว่านักเรียนได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการเพื่อนคู่คิด ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที(t-test Dependent Samples) ของการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค การทดสอบ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ก่อนเรียน 9.4 1.99 หลังเรียน 12.73 3.14 *12.73 *ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากตารางที่ 2 จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภคโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share)สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 สอดคล้องกับผลการศึกษาของมนตรี เฉกเพลงพิน(2562). ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค การสอนฐานร่วมกับเทคนิคการสอน Think-Pair-Share จากผลการวิจัยพบว่า 1.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับ เทคนิค Think-Pair-Share หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.) ความสามารถ ในการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.) ความ คิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค ThinkPair-Share โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากและยังสอดคล้องกับผลการศึกษาของนารีรัตน์ ประสมสา สตร์, เชวง ซ้อนบุญ และเวชฤทธิ์ อังกนะภัทรขจร (2563). ได้ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วย


30 การเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากผลการวิจัยพบว่า 1.) ความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปริมาตรหลังได้รับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบปกติ ลำดับที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลต่าง (D) 1 6 12 +6 2 8 13 +5 3 7 9 +2 4 8 10 +2 5 10 13 +3 6 7 8 +1 7 7 10 +3 8 9 14 +5 9 10 12 +2 10 7 10 +3 11 10 10 0 12 12 15 +3 13 6 9 +3 14 5 10 +5 15 7 9 +2 16 8 11 +3 17 12 14 +2 18 13 14 +1 19 9 9 0 20 10 10 0 21 11 14 +3 22 12 13 +1


31 ลำดับที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลต่าง (D) 23 9 10 +1 24 10 12 +2 25 11 11 0 26 10 15 +5 27 13 16 +3 ค่าเฉลี่ย 8.23 10.1 +2.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.23 4.01 จากข้อมูลในตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าจากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบปกติที่เน้นการบรรยายประกอบสื่อ Power point ชมวีดีโอ และการทำใบงาน รายบุคคล พบว่านักเรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.1 สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.23 แสดงให้เห็นว่าการจัดการ เรียนรู้ด้วยเทคนิคแบบปกติก็สามารถพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนได้ ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีของการใช้เทคนิคการสอนแบบ ปกติในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค การทดสอบ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ก่อนเรียน 8.23 2.23 หลังเรียน 10.1 4.01 *11.59 *ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากตารางที่ 4 จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบปกติสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นการสอนด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดหรือการสอนแบบ ปกติ สามารถพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจในสาระวิชาเพียงแต่มีความแตกต่างตรงที่ การสอนแบบ ไหนจะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากกว่ากัน ซึ่งจากตารางข้างต้นที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการสอนด้วย เทคนิคเพื่อนคู่คิดช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากกว่าการสอนด้วยวิธีปกติ


32 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน หลังเรียน ระหว่างเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) กับการเรียนแบบปกติ ตารางที่ 5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ เพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการสอนแบบปกติ กระบวนการจัดการเรียนรู้ จำนวนนักเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ค่าเฉลี่ย S.D. ค่าเฉลี่ย S.D. การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด 30 9.4 1.99 12.73 3.14 การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคแกติ 27 8.23 2.23 10.1 4.01 จากตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการจัดการ เรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) สูงกว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการจัดการ เรียนรู้แบบปกติ โดยผลหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดมีค่าเฉลี่ยกับ 12.73 ในขณะที่ผลหลังการ จัดการเรียนรู้แบบปกติมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.1 สอดคล้องกับการศึกษาของ วิไลวรรณ ชูปั้น, เกษม สันต์ พานิช เจริญ และจันทร์พร พรหมมาศ (2563). ได้ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับ เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) ที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลและสมรรถนะด้านการสื่อสารทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากผลการวิจัยพบว่า 1.) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ การจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) มีความสามารถใน การให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2.) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด (CGI) ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) มีสมรรถนะด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และสอดคล้องกับการศึกษาของ ภัทร อัญชลีนุกูล และ สุธนะ ติงศภัทิย์ (2562). ได้ศึกษา เรื่อง ผล ของการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี THINK- PAIR - SHARE ที่มีต่อความสามารถในการ แก้ปัญหาของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จากผลการวิจัยพบว่า 1.) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ความสามารถ ในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตอง ด้วยกลวิธี Think-Pair-Share ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาการเล่นกีฬาเปตองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองใน การจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาเปตองด้วยกลวิธี Think-Pair-Share ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาการ เล่นกีฬาเปตองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


33 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) และการสอนแบบปกติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง ซึ่งสรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวชิรป่าซาง 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ เพื่อนคู่คิด (Think-Pair–Share) กับการเรียนแบบปกติของนักเรียน วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวชิรป่า ซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1/1 และ 1/2 รวมทั้งสิ้น 58 คน ซึ่งแต่ละห้องจัดแบบคละความสามารถ เก่ง ปานกลาง และอ่อน เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นเนื้อหาสาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ วิชาสังคมศึกษาพื้นฐานใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรของสถานศึกษาของโรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ 1. การบริโภค จำนวน 2 คาบ 2. อุปสงค์–อุปทาน จำนวน 1 คาบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare) และการสอนแบบปกติ จำนวน 2 แผน ประกอบไปด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การบริโภค จำนวน 2 คาบ คาบละ 50 นาที 1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง อุปสงค์–อุปทาน จำนวน 1 คาบ คาบละ 50 นาที


34 2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาสังคมศึกษาฯ เรื่อง พฤติกรรมการ บริโภค ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ วิธีการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยทำการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง ที่เรียนเรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยดำเนินตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ดำเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ จากนั้นทำการตรวจแบบทดสอบที่นักเรียนได้ทำไปแล้ว เพื่อพิจารณาว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐาน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค มากน้อยเพียงใดและควรได้รับการพัฒนา อย่างไร 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare) ตามแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 แผน รวมเวลา 3 ชั่วโมง 3. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษาฯ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบปกติ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ปกติ จำนวน 2 แผน รวมเวลา 3 ชั่วโมง 4. หลังการจัดการเรียนการสอนครบตามแผนที่กำหนดไว้ผู้วิจัยดำเนินการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระ สังคมศึกษาฯ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ จากนั้นทำ การตรวจแบบทดสอบที่นักเรียนได้ทำไปแล้วเพื่อเปรียบเทียบว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์จากการเรียนโดยใช้ เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) กับรูปแบบการสอนปกติว่ามีความแตกต่างจากก่อนเรียน อย่างไร และมีความแตกต่างระหว่าง 2 รูปแบบอย่างไร


35 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดย ใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่า t-test 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน หลังเรียน ระหว่างเรียน โดย ใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) กับการเรียนแบบปกติโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน


36 สรุปผลการวิจัย 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) 1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคเพื่อนคู่คิดของนักเรียนทุกคน (ร้อยละ 100) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.73 สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 9.4 แสดงให้เห็นว่านักเรียนได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนรู้จาก กระบวนการเพื่อนคู่คิด 1.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จากการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้ เทคนิคการเรียนรู้แบบปกติที่เน้นการบรรยายประกอบสื่อ Power point ชมคลิปวีดีโอ และการทำใบ งานรายบุคคล พบว่า นักเรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.1 สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.23 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคแบบปกติก็สามารถพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนได้ 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวชิรป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน หลังเรียน ระหว่างเรียน โดย ใช้เทคนิคการเรียนแบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) กับการเรียนแบบปกติ 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค โดยใช้เทคนิคการเรียน แบบเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ด้วย เทคนิคการเรียนรู้แบบปกติสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


37 อภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think - Pair - Share) และการสอนแบบปกติ ผลการวิเคราะห์นำมา อภิปรายผล ได้ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-PairShare)สูงกว่า การสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้ผลการศึกษาดังกล่าวอาจ เนื่องมาจากเหตุผล ดังต่อไปนี้ การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เป็นการเรียนรู้ในลักษณะของการ อภิปรายกลุ่มย่อย โดยครูกระตุ้นด้วยคำถาม โจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วให้นักเรียนคิดหาคำตอบ ด้วยตนเองก่อน โดยเน้นการคิดหาเหตุผลของคำตอบด้วยตนเอง จากนั้นนักเรียนจะจับคู่กับเพื่อนข้างๆ หรือ นั่งโต๊ะใกล้กัน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นแล้วสรุปคำตอบร่วมกันให้เป็นคำตอบเดียว แล้วจึงทำการ แบ่งปันคำตอบโดยการนำเสนอหน้าชั้นพร้อมกับตรวจคำตอบของซึ่งกันและกัน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็น วิธีการที่ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน จึงเกิดความสนใจต่อการเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวคิดของ ลีแมน (Lyman. 1987 : 1-2) ที่กล่าวว่า การโต้ตอบภายในตัวบุคคลกระตุ้นให้นักเรียนจำนวนมากมีความ สนใจอย่างแท้จริงในด้านความรู้ และสอดคล้องกับแนวคิดของ ชัญญาภรณ์ ขัดทา (2558: 43) ที่กล่าวว่า การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ของเทคนิคคิดคู่ร่วม Think-Pair–Share จะช่วยสร้างแรงจูงใจและทัศนคติในการเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนที่กังวลในเรื่องของตน เมื่อประกอบกิจกรรมทางการเรียน เมื่อได้สนทนากับเพื่อน วัยเดียวกันอาจทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้นและกล้าซักถาม ในขณะเดียวกันนักเรียนจะรู้สึกภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตนได้รับความสำเร็จในการเรียนการสอนนักเรียน จึงเกิดความสนใจที่จะเรียนมากขึ้นอันนำมาสู่ ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนในรายวิชานั้น ๆ ข้อสังเกตที่ได้จากการวิจัย 1. หากใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิดกับนักเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น อาจจะเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ยังอ่อนในเรื่องทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผล ทำให้เกิดพฤติกรรม การคิด การพูดคุยและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันน้อยกว่าเท่าที่ควร 2. นักเรียนมักจะตอบคำถามด้วยคำตอบสั้นๆ ไม่ครอบคลุมส่วนที่สำคัญ รวมทั้งขาดการหาเหตุผล สนับสนุน ผู้สอนจึงควรเน้นย้ำให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการแสดงคำตอบและการให้เหตุผลอย่างชัดเจน มากยิ่งขึ้น


38 ข้อจำกัดของการวิจัยในครั้งนี้ 1. ธรรมชาติของนักเรียนที่จะซุกซนตามวัย ทำให้ครูผู้สอนควบคุมชั้นเรียนให้นักเรียนทำตาม กระบวนการตามขั้นตอนของเทคนิคเพื่อนคู่คิด Think-Pair–Share ได้ยาก นักเรียนมักจะข้ามขั้นตอนไปทำ ส่วนอื่นอยู่เสมอ ๆ อาจจะเนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้เรียนไม่เข้าใจวิธีการใช้เทคนิคนี้จึงไม่ให้ความสำคัญกับการ ทำตามกระบวนขั้นตอนอย่างถูกวิธีทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้เทคนิคนี้มีน้อยกว่าเท่าที่ควร ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับครูผู้สอน 1.1 ในการใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิดนี้ ครูควรชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจขั้นตอน กระบวนการและบทบาทของแต่ละคนให้ชัดเจน 1.2 ในการทำกิจกรรมจับคู่ ควรมีการเปลี่ยนคู่ในทุก ๆ ครั้ง และไม่ควรจับคู่ซ้ำคู่เดิม เพื่อให้ นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการการทำงานร่วมกับบุคคลที่หลากหลาย ควรเน้นการจับคู่ระหว่าง นักเรียนเก่ง กับนักเรียนอ่อน เพื่อการช่วยกันเรียนรู้และถ่ายทอดจากเพื่อนสู่เพื่อน ซึ่งอาจทำให้เรียนรู้ ได้ง่ายกว่า 1.3 ระหว่างการจับคู่อภิปรายนั้น ครูผู้สอนควรกำกับ ดูแล ติดตาม นักเรียนทุกคน ให้ดำเนิน กิจกรรมตามที่กำหนด เพื่อไม่ให้นักเรียนคนหนึ่งคนใดได้ไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่ ครูผู้สอนให้ทำกิจกรรม และเพื่อไม่ให้นักเรียนคนหนึ่งคนใดยึดติดทางความคิดในการอภิปราย หรือยึด ติด เฉพาะคำตอบของตนเป็นสำคัญ 2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาผลของการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ 2.2 ควรมีการศึกษาผลของการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดในการพัฒนาทักษะด้านการคิด เช่น การ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ เป็นต้น 2.3 ควรใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด Think-Pair–Share สำหรับเนื้อหาวิชาที่มีคำตอบ เปิดกว้างสำหรับการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ โดยค าตอบไม่ตายตัว 2.4 ควรมีการศึกษาผลของการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด Think-Pair–Share สำหรับเนื้อหาวิชา ในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งในระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้นและระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายด้วย


39 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. เข้าถึงได้จาก http://math.ipst.ac.th/wp-content/uploads/2015/PDF/Curriculum%202551.pdf สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. เข้าถึงได้จาก https://www.bic.moe.go.th/images/stories/Porrorbor2542.pdf มนตรีเฉกเพลงพิน. (2562). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์และความสามารถใน การคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นการคิดอย่างมีเหตุผลของ นักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการสอน ฐานร่วมกับเทคนิคการ สอน Think-Pair-Share. (ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร. มนต์ชัย เทียนทอง, “เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ Mentor Coached Think-Pair-Share เพื่อเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเรียนรู้ออนไลน์,” วารสารวิชาการ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2551 หน้า 99-105. พิสมร ชูเอม. (2561). การพัฒนาความสามารถในการพูดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใช้ เทคนิคเพื่อนคู่คิด. (ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร. วรรณวิสา ยศระวาส. (2561). การพัฒนาบทเรียนบนเว็บโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. (ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ยุวลักษณ์ ธรรมธรานุรักษ์. (2557). ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเทคนิค Think-Pair-Share ร่วมกับคำปลายเปิด เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. (ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. นฤมล ถนอมพงษ์. (2562). การศึกษาความรับผิดชอบทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคู่คิด (รายงานการวิจัย). ตราด: ส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเขต 17. ชลธิชา ทับทวี. (2554). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดที่มีต่อความสามารถในการ คิดอย่างมีเหตุผล เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓. (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชัญญาภรณ์ ขัดทา. (2558). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นมโนทัศน์ทางคณิศาสตร์ ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. (วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต). พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.


40 Hamdan, R. (2017). The Effect of (Think-Pair-Share) Strategy on the Achievement of Third Grade Student in Sciences in the Educational District of Irbid (Reports – Research). Jordan: Hong Kong Island, Hong Kong SAR. Yusuf, AbdulRaheem; Owede, Victory Collins; Bello, Muhinat Bolanle. (2018). Effect of Think-Pair-Share Instructional Strategy on Students' Achievement in Civic Education in Bayelsa, Nigeria (Reports – Research). Nigeria: Eskisehir Osmangazi University. anujaya, Benidiktus; Mumu, Jeinne. (2019). Implementation of Think-Pair-Share to Mathematics Instruction (Reports – Research). Indonesia: Institute of Advanced Engineering and Science. Ugwu, Eucharia Okwudilichukwu. (2019). Effect of Student Teams-Achievement Divisions and Think-Pair-Share on Students' Interest in Reading Comprehension (Reports – Research). Nigeria: Walden University. Flora; Raja, Patuan; Mahpul. (2020). Discovery Learning Strategy: Integrating Think-Pair- Share and Teacher's Corrective Feedback to Enhance Students' Writing Language Accuracy (Reports – Research). Indonesia: International Journal of Education and Practice.


41 ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version