ก
คำนำ
กิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียนเป็นการพัฒนาคน ซ่ึงเป็นสมาชิกของสังคมให้เป็นพลเมืองท่ีดีและมี
บทบาทในการนาสังคมไทยสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืน ดังน้ันกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน ชุมชน ประเทศและ
สังคมโลกมีส่วนสาคัญทเ่ี กยี่ วข้องกัน แนวทางงานกจิ กรรมส่งิ แวดล้อมศึกษาเพ่ือการพฒั นาที่ย่ังยนื ซง่ึ ส่งิ แวดล้อม
เป็นปัจจัยที่มีความเก่ียวข้องกับการดารงชวี ิต มีส่วนทาใหค้ ุณภาพของมนุษยไ์ ปในทางที่ดี และไม่ดี เพราะฉะน้ัน
ทุกคนจึงมีส่วนร่วมในการปรับปรุงและดูแลรักษาเพื่อลดปัจจัยเส่ียงต่อการเกิดโรคต่างๆ ท่ีเก่ียวเนื่องมาจาก
สิ่งแวดล้อมท่ีไม่ถูกสุขลักษณะ สิ่งแวดล้อมได้ถูกยกระดับความสาคัญโดยได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(พ.ศ. 2560 – 2579) โดย ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 5 ไดร้ ะบชุ ัดเจนวา่ “การสรา้ งการเตบิ โตบนคุณภาพชีวิตทีเ่ ปน็ มติ รต่อ
สิ่งแวดล้อม” ซึ่งนาไปสู่ยุทธศาสตร์ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 ว่าด้วย “การจัดการศึกษาเพื่อ
สร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ย่อมจะเป็นผลให้สถานศึกษาท่ัวประเทศต้องปรับตัวเพื่อรับกับ
ยทุ ธศาสตรช์ าตแิ ละแผนการศกึ ษา 20 ปี
กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่
เขต 4 ได้ตระหนักถึงความสาคัญของงานส่ิงแวดล้อมตามยุทธศาสตร์ชาติ จึงได้จัดทาคู่มือการจัดกิจกรรม
ส่ิงแวดล้อมศึกษาในโรงเรียน ปีการศึกษา 2563 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนด้านส่ิงแวดล้อมที่เน้น
ลดการใชพ้ ลังงาน การจัดการขยะและอนุรักษส์ ่งิ แวดล้อมเพ่อื สร้างคุณภาพผู้เรยี นท่ดี ใี นดา้ นการรักษส์ ่ิงแวดล้อม
หวังเป็นอย่างย่ิงว่าโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนจะนาเอกสารคู่มือการจัดกิจกรรมสิ่งแวดล้อม
ศึกษาในโรงเรียน ปีการศึกษา 2563 ไปเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ
กลมุ่ งานพฒั นาหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานและกระบวนการเรยี นรู้
กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาเชียงใหม่ เขต 4
ข
สำรบัญ
เรอื่ ง หน้ำ
ก
คานา ข
ค
สารบัญ
1
คาชีแ้ จง
4
สว่ นที่ 1 ปัญหาสูก่ ารพฒั นาส่งิ แวดลอ้ ม บทนา กล่าวถึงปญั หาความสาคญั และความจาเป็น
ในการจัดกจิ กรรมสิง่ แวดล้อมศึกษาในโรงเรียน และวตั ถปุ ระสงค์ 34
38
ส่วนท่ี 2 ความรสู้ ู่การพัฒนาส่งิ แวดลอ้ มศึกษา เอกสารและงานท่ีเกย่ี วข้อง กล่าวถงึ นโยบาย 70
ทเ่ี ก่ียวกบั การจัดกจิ กรรมสง่ิ แวดลอ้ มศึกษาความหมาย แนวคดิ ทฤษฎีสิง่ แวดล้อมศึกษา
ทฤษฎีการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ 80
85
ส่วนที่ 3 ขั้นตอนการเรยี นรู้สู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ขน้ั ตอนการดาเนนิ การโครงการ
สิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียน
ส่วนท่ี 4 กิจกรรมการเรียนร้สู กู่ ารพฒั นาสง่ิ แวดล้อมศกึ ษา ตวั อยา่ งกจิ กรรมการเรียนรู้
ส่วนที่ 5 ภาคผนวก
แผนการจัดการเรียนร้สู ง่ิ แวดลอ้ มศึกษาในโรงเรียน
แบบรายงานการจดั กจิ กรรมสงิ่ แวดลอ้ มศึกษาในโรงเรยี น
บรรณานกุ รม
คณะผู้จัดทา
ค
คาํ ชีแ้ จง
คมู อื การจดั กิจกรรมสงิ่ แวดลอ มศกึ ษาในโรงเรียน ปการศึกษา 2563 เปน เอกสารท่ีจัดทาํ ข้นึ เพ่ือเปน
แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมสิ่งแวดลอมศึกษาในโรงเรียน ซึ่งไดรวบรวมความรูจาก เอกสาร อินเทอรเนต
แลว นาํ มาจดั ลําดับความสําคญั ใหงา ยตอการศึกษาและนําไปใช ประกอบดวยสาระสําคัญ ๕ สว น ดงั น้ี
สวนที่ 1 (ปญหาสูการพัฒนาส่ิงแวดลอม) บทนํา กลาวถึงปญหาความสําคัญและความจําเปนในการจัด
กิจกรรมส่งิ แวดลอ มศกึ ษาในโรงเรียน และวัตถปุ ระสงค
สวนที่ 2 (ความรูสูการพัฒนาสิ่งแวดลอมศึกษา) เอกสารและงานท่ีเกี่ยวของ กลาวถึงนโยบายท่ีเกี่ยวกับ
การจดั กจิ กรรมสิ่งแวดลอ มศกึ ษาความหมาย แนวคิดทฤษฎสี ง่ิ แวดลอ มศึกษา ทฤษฎกี ารเรียนรแู บบรวมมอื
สว นท่ี 3 (ขั้นตอนการเรียนรูสูการพัฒนาสิ่งแวดลอม) ข้ันตอนการดําเนินการโครงการส่ิงแวดลอมศึกษา
ในโรงเรียน
สวนท่ี 4 (กิจกรรมการเรียนรูสูการพัฒนาสิ่งแวดลอมศึกษา) ตัวอยางกิจกรรมการเรียนรู แนวทางการ
รายงานขอมูล
สว นที่ 5 ภาคผนวก
คณะผูจัดทําหวังเปนอยางย่ิงวาเอกสารฉบับน้ีจะเปนประโยชนสําหรับผูบริหาร ครูผูสอนหรือผูที่สนใจ
ท่ัวไปที่มีความตั้งใจดูแลสิ่งแวดลอมศึกษา หรือใชเปนแนวทางในการจัดกิจรรมส่ิงแวดลอมศึกษาไดอยาง
สรา งสรรคแ ละเปน มิตรกับสิ่งแวดลอมเพ่ือสังคมโลกตอ ไปใหด ียิ่งขน้ึ
ขอขอบคุณทานผูอํานวยการสาํ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม เขต 4 และผูท่ีเก่ียวของ
ทุกฝา ยท่ีใหขอ คิด ขอ เสนอแนะในการจดั ทําเอกสารเลม นี้ใหสําเรจ็ ลุลวงไปดว ยดี
กลุมงานพัฒนาหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานและกระบวนการเรยี นรู
กลมุ นิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
สํานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาเชียงใหม เขต 4
1
2
บทนาํ
ทม่ี าและความสาํ คญั
ประเทศไทยท่ีกําลังมีการพัฒนาในทุกๆ ดาน ไมวาทางดานการใชเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ แตก็
ควรใหความสําคัญกับสภาพของความเส่ือมโทรมของสิ่งแวดลอมที่เพิ่มข้ึนอยางรวดเร็ว ท้ังน้ีเพราะการเรงรัด
พัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือใหฐานะของประเทศกาวรุดไปขางหนา การพัฒนาโดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเปนพ้ืนฐาน
โดยคํานึงถึงประโยชนท ี่จะไดร ับดานเดยี วนั้นไดท าํ ใหส ภาพแวดลอมของชาติตกอยูใ นสภาพเส่ือมโทรมจนเห็นไดชัด
ไมวาจะเปนปญหาพื้นท่ีปาไม ซ่ึงเหลืออยูเพียง 25% ของพื้นที่ประเทศ การลดลงอยางรวดเร็วของพ้ืนที่ปาไมนั้น
เกิดจากการลักลอบตัดไมทําลายปา ปญหาท่ีดิน ซึ่งมีการใชพ้ืนที่ผิดๆ อยูเสมอๆ ปจจุบันพื้นที่กวาคร่ึงหน่ึงของ
ประเทศถกู ใชเ พื่อการเกษตรโดยขาดการวางแผน ซึ่งทาํ ใหยากตอการปองกันและแกไ ขความเส่ือมของดิน หรือการ
นาํ พ้นื ท่ดี ินทเ่ี หมาะสมตอการเกษตรไปใชป ระโยชนใ นการตัง้ ถิ่นฐานท่อี ยูอ าศัยของชุมชน ตลอดจนความขัดแยงใน
การใชป ระโยชนจ ากทรัพยากรธรรมชาติ เชน การทําเหมืองแรใ นปาสงวนหรือการสรางเขื่อนในเขตปาไม ตนนํ้าลํา
ธาร ปญหานํ้าเสีย ซ่ึงเกิดจากการปลอยของเสียจากแหลงชุมชน จากโรงงานอุตสาหกรรมลงสูแหลงนํ้า จนทําให
แหลงน้ําเส่ือมคุณภาพ ทําใหเกิดการขาดแคลนนํ้าที่สะอาด ปญหามลพิษของอากาศ ที่เกิดจากโรงงาน
อุตสาหกรรม ยานพาหนะ ที่ทวีความรุนแรงเพ่ิมมากข้ึนจนทําใหปริมาณของสารพิษ อาทิ คารบอนมานอกไซด
ซัลเฟอรไดออกไซด ออกไซดของไนโตรเจน ตะก่ัว และฝุนละอองปะปนอยูในอากาศมาก จนเปนอันตรายตอ
สุขภาพและทรัพยสิน ปญหามลพิษทางเสียง ท่ีเกิดจากยานพาหนะโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งสวนใหญจะเกิดอยูใน
ชุมชนใหญๆ ที่มีประชากรอยูหนาแนน อาทิ กรุงเทพฯ เปนตน ปญหาขยะมูลฝอยที่เกิดจากการท้ิงของเสียจาก
ชุมชนท่ีมีอัตรามากเกินกวาจะเก็บทําลายไดหมด นอกจากน้ีการทิ้งขยะมูลฝอยแบบมักงายยังไดกอใหเกิดปญหา
ขึ้นกับสิ่งแวดลอมอ่ืน ๆ อาทิ นํ้าเนาเสีย อากาศเปนพิษ ปญหาสารเปนพิษ ซึ่งเกิดจากสารเคมีที่ใชปราบศัตรูพืช
และสารพิษท่ีเปนโลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรมและรถยนต สารเคมีที่ใชในอาหาร ซ่ึงบางชนิดใชเวลานาน
กวาจะสลายตัวจากการสํารวจไดพบสารพิษตกคา งอยใู นผกั ในดินท่เี พาะปลูก ในแหลง นา้ํ สัตวน้ํา ซึ่งไดมีการสะสม
สารพิษในตัวสัตวหรือพืชเพ่ิมมากข้ึนจนสวนใหญอยูในระดับสูงเกินความปลอดภัยตอชีวิตความเส่ือมโทรมของ
สิ่งแวดลอมไดปรากฏใหเห็นอยางชัดเจนในวันนี้ ซึ่งเปนความจําเปนท่ีทุกคนจะตองชวยกันรักษาคุณภาพ
สงิ่ แวดลอ มใหอ ยไู ดต อไป เพราะความเสือ่ มโทรมของสิ่งแวดลอมมีผลโดยตรงตอชาติบานเมือง ประเทศไทยจะไม
สามารถทําการพัฒนาสิ่งใดไดอีก หากวาไมมีทรัพยากรเหลืออยูอีก ดังนั้นรัฐจึงจะตองดําเนินการจัดใช
ทรัพยากรธรรมชาติใหถูกตองและรอบคอบไปพรอม ๆ กับการพัฒนาประเทศ โดยจะตองคํานึงวาทรัพยากรของ
ชาติท่ีมีอยจู ํากดั น้นั เปรยี บเสมือนเปน ตน ทุนของชาติ เพราะฉะนน้ั ในการกําหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ จึงควรคํานึง
ในการนําเอาทรพั ยากรธรรมชาตมิ าใชจ าย ซ่ึงจะตอ งจัดใหเหมาะสมกบั ตน ทุนเพือ่ ความอยูรอดของชาติและเพ่ือให
เกดิ ปญหากับสภาพแวดลอ มใหนอ ยท่สี ดุ
สิ่งสําคัญในการที่จะรักษาสภาพส่ิงแวดลอมของชาติการสรางความเขาใจและตระหนักรู ในการแกไข
ปญหาสิ่งแวดลอมนั้นการใชวิธีการแกไขปญหาเปนจุดๆ นั้นไมเปนการชวยใหปญหานั้นยุติลงได ซ่ึงอาจไดผล
เพียงช่ัวคราว แตอาจกลายเปนปญหากระทบตอสิ่งแวดลอมอ่ืนๆ ได การแกปญหาท่ีถูกตองนั้นจะตองใชทางการ
ของนิเวศวิทยามาชวยในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ ศึกษาถึงผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นทุกคร้ังเพ่ือท่ีจะให
3
ปองกันส่ิงแวดลอมของชาติ ไมใหถูกทําลายหรือเส่ือมโทรมไปมากกวาที่เปนอยูในปจจุบันน้ี และเพื่อท่ีจะดํารงไว
ซึ่งคุณภาพส่ิงแวดลอ มของชาติตลอดไป
จากสภาพปญหาส่ิงแวดลอมในปจจุบัน มนุษยกอใหเกิดผลกระทบตอการดํารงชีวิตนํามาซึ่ง ปญหาตางๆ
ขึ้นมากมาย เชน ปญหาภาวะโลกรอน ปญหาฝุนละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) เช้ือไวรัสโคโรนาสายพันธุใหม
๒๐๑๙ (COVID – 19) ท่ีเราทุกคนกําลังประสบปญหาอยู ซ่ึงปญหาดังกลาวลวนเกิดจากการใชทรัพยากร
ส่ิงแวดลอมที่ขาดความตระหนักและใชประโยชนอยางคุมคา แตหากจะทําใหนักเรียนเกิดการเปล่ียนแปลง
พฤติกรรมที่ดีตอเรื่องพลังงานและส่ิงแวดลอมอยางยั่งยืน สถานศึกษาจําเปนจะตองมีการสอดแทรกการสราง
จิตสํานึกเรื่องพลังงานและส่ิงแวดลอมเขาสูกระบวนการสอนทั้งในและนอกหองเรียน ตลอดจนกิจกรรมพัฒนา
ผูเรียน และเมื่อนักเรียนไดผานกระบวนการเหลาน้ีแลว นักเรียนจะไดแนวคิดรวบยอดเร่ืองพลังงานและ
ส่ิงแวดลอมไดอยางครบถวน ชัดเจน และเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปในเชิงบวกมากข้ึน สิ่งแวดลอมเปน
ปจ จัยท่มี คี วามเก่ยี วขอ งกับการดาํ รงชีวิต มีสวนทําใหคุณภาพของมนุษยไปในทางที่ดีและไมดี เพราะฉะน้ันทุกคน
จงึ มสี ว นรว มในการปรบั ปรงุ และดูแลรักษา เพ่อื ลดปจ จัยเสยี่ งตอการเกดิ โรคตางๆ ทีเ่ กีย่ วเนือ่ งมาจากสิ่งแวดลอมที่
ไมถูกสขุ ลักษณะ สง่ิ แวดลอมไดถ ูกยกระดับความสําคญั ถงึ จุดทบ่ี รรจไุ วในยุทธศาสตรช าติ ๒๐ ป ( พ.ศ. ๒๕๖๐ –
๒๕๗๙) โดยยุทธศาสตรท่ี ๕ ระบุชัดไววา “การสรางการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เปนมิตรตอส่ิงแวดลอม” ซ่ึง
นําไปสูยุทธศาสตรตามแผนการศึกษาแหงชาติ ยุทธศาสตรท่ี ๕ วาดวย “การจัดการศึกษาเพื่อสรางคุณภาพชีวิตที่
เปนมิตรกับสิ่งแวดลอม” ยอมจะเปนผลใหสถานศึกษาท่ัวประเทศตองปรับตัวเพื่อรับกับยุทธศาสตรชาติและ
แผนการศกึ ษา ๒๐ ป ทก่ี ลา วถึงน้ี
จากการนิเทศ ติดตามผลการจัดกิจกรรมสิ่งแวดลอมศึกษาของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
เชียงใหม เขต ๔ ที่ผานมาแนวทางท่ีสําคัญท่ีจะชวยสงเสริมสนับสนุนใหโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมใหเปนรูปธรรม
ควรมีแนวทางและกจิ กรรมท่ีนา สนใจสามารถนาํ ไปใชในสถานศกึ ษาไดจ รงิ
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม เขต ๔ ไดตระหนักถึงความสําคัญของงาน
ส่ิงแวดลอมตามยุทธศาสตรชาติ เก่ียวกับการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดลอมในปจจุบัน จึงไดจัดทําโครงการ
สิ่งแวดลอมศึกษา ปการศึกษา ๒๕๖๓ เพื่อสงเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนดานส่ิงแวดลอมที่เนนลดการใช
พลังงาน การจัดการขยะ และการอนุรักษส ่งิ แวดลอมที่มีประสิทธิภาพนาํ ไปสกู ารพฒั นาอยา งยง่ั ยืน
วตั ถปุ ระสงค
๑. เพ่ือใหสถานศึกษามคี ูมือส่ิงแวดลอ มศกึ ษาในโรงเรยี นเพอ่ื ใชเ ปนแนวทางในการจัดกิจกรรมสิง่ แวดลอม
ศึกษาในโรงเรียน
๒. เพอื่ เปนแนวทางของเขตพ้นื ที่การศึกษาและหนวยงานตางๆในการสง เสริมและตดิ ตาม การจัดกจิ กรรม
สงิ่ แวดลอ มศึกษาในโรงเรยี น
เปาหมาย
เปาหมายเชิงปริมาณ
1. โรงเรียนทกุ โรงในสงั กดั มีคมู ือการจัดกิจกรรมสิ่งแวดลอ มศกึ ษาในโรงเรียน
เปาหมายเชิงคุณภาพ
1. นักเรียนเกดิ ความตระหนักและมีสวนรว มในการอนุรกั ษส ่ิงแวดลอ ม
4
5
เอกสำรและงำนท่ีเกย่ี วขอ้ ง
การจดั ทาคู่มอื การจัดกจิ กรรมส่ิงแวดลอ้ มศึกษาในโรงเรียน ไดท้ าการศึกษา ค้นคว้าและรวบรวมเอกสารที่
เก่ียวขอ้ ง โดยจาแนกเป็น 4 สว่ น ดงั น้ี
๑. นโยบายที่เกีย่ วขอ้ งต่อการจัดกิจกรรมสิง่ แวดลอ้ มศึกษา
๑.๑ นโยบายดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา
๑.๒ นโยบายและจดุ เนน้ ของกระทรวงศึกษาธกิ ารปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
- หลักการตามนโยบาย ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
- จุดเนน้ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
- การขับเคลอื่ นนโยบายและจุดเนน้ ส่กู ารปฏบิ ตั ิ
๒. แนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วขอ้ งกับสิ่งแวดลอ้ มศึกษา
๒.๑ ความหมาย แนวคดิ เกี่ยวกบั ส่งิ แวดล้อมศึกษา
๒.๒ ความจาเปน็ ของการศึกษาสงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา
๒.๓ หลกั การของส่งิ แวดลอ้ มศึกษา
๒.๔ จดุ มงุ่ หมายของส่ิงแวดล้อมศกึ ษา
๒.๕ เป้าหมายของสงิ่ แวดลอ้ มศึกษา
๒.๖ แนวคดิ เก่ียวกับวิวฒั นาการสงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษากบั การพัฒนาทีย่ งั่ ยืน
๓. ทฤษฎีการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ
3.1 ความหมายของการจัดการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื
3.2 ลักษณะสาคญั ของการเรยี นร้แู บบรว่ มมอื
3.3 องค์ประกอบของการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
3.4 ข้นั ตอนในการสอนการเรียนรแู้ บบร่วมมอื
3.5 รูปแบบการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
4. วจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การจัดกิจกรรมส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษา
๑. นโยบำยท่ีเกีย่ วขอ้ งต่อกำรจดั กจิ กรรมสง่ิ แวดลอ้ มศึกษำ
๑.๑ นโยบำยด้ำนสิ่งแวดลอ้ มศึกษำ
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีการกาหนดไว้ในแผนงานต่างๆ ดัง
รายละเอียด ของการ สรุปสาระสาคัญแผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจโดยอาศัยฐานทรัพยากรธรรมชาติ เป็น
ปัจจัยพ้ืนฐานในการผลิต เพ่ือเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ และกระตุ้น
การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซ่ึงผลการพัฒนาดังกล่าว ทาให้
ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศลดน้อยลงและคุณภาพส่ิงแวดล้อมทรุดโทรมลงอย่างต่อเน่ือง ประกอบกับกระแส
6
โลกาภวิ ัฒน์และความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ทาให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง ทง้ั ในระดับโลก ภมู ภิ าค
และภายในประเทศ ซึ่งประเทศไทยต้องเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้
ตระหนกั และเตรียมความพร้อมในการรับมือและป้องกันผลกระทบ ที่จะเกดิ ขึน้ ต่อการทาลายและสร้างความเสื่อม
โทรมแก่ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ
ประเทศ โดยได้จัดทานโยบายและแผนการสง่ เสริม และรกั ษาคุณภาพส่งิ แวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๐ - ๒๕๕๕๙
(ระยะยาว ๒๐ ปี) ขึ้นเป็นฉบับแรก ตาม ท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ (๑) ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา
คุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งได้กาหนดให้สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม ภายใต้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทานโยบายและ
แผนดังกล่าว เพ่ือนาเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามลาดับ โดย
ปจั จบุ นั อยูร่ ะหวา่ งการจัดทา นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมฯ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐
– ๒๕๗๔) ซึ่งนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ จะถ่ายทอดเป็นแผนปฏิบัติการระยะ
กลาง ๕ ปี หรือก็คือ แผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม ตามมาตรา ๓๕ ของพระราชบัญญัติฯ และที่ผ่านมา สานัก
งานฯ ได้มกี ารจัดทา มาแลว้ รวม ๔ ฉบับ ไดแ้ ก่ แผนจดั การคุณภาพสงิ่ แวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๒ - ๒๕๔๙ กรอบแผน
จัดการคุณภาพ ส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔ และ
ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันคือ แผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ.๒๕๕๕ – ๒๕๕๔ ซึ่งกาลังจะสิ้นสุดระยะเวลาของ
แผนฯ จึงได้มีการเตรยี มการจัดทาแผนจดั การคณุ ภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔
ในการจดั ทาแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ ไดม้ ีการศึกษา รวบรวมขอ้ มลู และนา
ผลการศึกษาต่าง ๆ มาวิเคราะห์และประเมินผล ได้แก่ ผลการติดตามและประเมินผลช่วงระยะ สุดท้ายของแผน
จัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แนวทางการดาเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมของประเทศ การดาเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศ และ กรอบแนวคิดและทิศทาง
ของแผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดลอ้ ม พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ ซ่ึงได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ ม
แหง่ ชาติ เมือ่ วนั ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และได้นาเสนอสานักงาน คณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ เพื่อพิจารณานาประเด็นยทุ ธศาสตร์การบรหิ าร จัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ไปบรรจุไว้ใน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ทั้งนี้ เพ่ือให้แผนระดับชาติทั้ง ๒
ฉบับดังกล่าว มีการขับเคล่ือนไปในทิศทางเดียวกัน มีความสอดคล้อง เกื้อหนุนกัน และส่งเสริมให้การบริหาร
จัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ และสังคม มที ิศทางและเปา้ หมายทช่ี ดั เจน มกี ารพฒั นาอย่าง
สมดลุ และเป็นธรรมทจ่ี ะนา ประเทศไปสกู่ ารพฒั นาทย่ี ่งั ยนื ไดใ้ นท่สี ุด
แผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อมฉบับนี้ ได้เปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กร
ระหว่างประเทศ สถาบันการศึกษา และประชาชนท่ีเก่ียวข้อง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ ข้อคิดเห็น และ
ข้อเสนอแนะ โดยผ่านการประชุมกลุ่มย่อยตามรายประเด็นยุทธศาสตร์ จานวน ๕ คร้ัง การ สัมมนารับฟังความ
คิดเห็นในระดับภูมิภาค จานวน ๔ คร้ัง และระดับประเทศ จานวน ๑ ครั้ง รวมถึงการ ประชุมแนวทางการ
ขับเคลื่อนแผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ เพ่ือให้ได้แผนท่ี สามารถถ่ายทอดเป็นแผนงาน/
โครงการของหน่วยงาน และดาเนินการได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรมและมี ประสิทธิผล จานวน ๑ คร้ัง โดยผลที่ได้
จากการประชุมต่าง ๆ ดังกล่าว ได้นามาปรับปรุง แก้ไขแผนจัดการ คุณภาพส่ิงแวดล้อมฯ ให้มีความครบถ้วนและ
7
สมบูรณ์ เพ่อื นาเสนอตอ่ คณะอนุกรรมการแผนจดั การ คุณภาพส่งิ แวดล้อม และคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ
พจิ ารณาให้ความเห็นชอบ จากน้ันจึงนาเสนอ คณะรัฐมนตรเี พ่ือทราบ และประกาศใชใ้ นราชกจิ จานุเบกษา ต่อไป
การจัดทาแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ ได้น้อมนาพระราชดารัสของ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาเป็นแนวทาง ใน
การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม เพ่ือให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเกิดความตระหนัก ต่อการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ เป็นไปตามหลักวิชาการ มีเหตุผล มีความ พอประมาณ มี
ความถูกต้อง เหมาะสมและเป็นธรรม เพ่ือสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ฐานทรัพยากรธรรมชาติ และ รักษาคุณภาพ
ส่ิงแวดล้อม โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงต่อประเทศชาติท้ังในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งยังใช้ เป็นแนวทางในการ
สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ประกอบการตัดสินใจ และมีการบูรณาการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมท่ีผสมผสานกับการ
พฒั นาดา้ นเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจะนาไปสกู่ ารสร้างสมดลุ และการพฒั นา ทย่ี ่งั ยืนของประเทศ
นอกจากน้ี ได้นาร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับ
ส่ิงแวดล้อมเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืน ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ –
๒๕๖๔) มาเป็นแนวทางการการจัดทาคู่มอื การจัดกิจกรรมสิง่ แวดล้อมศกึ ษาในโรงเรียนน้ีด้วย
๑.๒ นโยบำยและจุดเน้นของกระทรวงศึกษำธิกำรปงี บประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เพ่ือให้การดาเนินการจัดการศึกษาและการบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปด้วย
ความเรียบร้อย บรรลุเป้าหมาย อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๘ และมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนโยบายและ
จุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวง
ศึกษาธิการ ยึดเป็นกรอบการดาเนินงานในการจัดทาแผนและงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ พร้อมท้ังขับเคล่ือนการดาเนินงานด้านการศึกษาให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพในทุกมิติ โดยใช้จ่าย
งบประมาณอยา่ งคมุ้ คา่ เพื่อมงุ่ เป้าหมาย คือ ผเู้ รียนทกุ ชว่ งวัย ดงั น้ี
หลกั กำรตำมนโยบำย ประจำปงี บประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔
กระทรวงศึกษาธิการมุ่งม่ันดาเนินการภารกิจหลักตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนทุกแผนย่อยในประเด็น ๑๒ การพัฒนาการเรียนรู้ และ
แผนย่อยที่ ๓ ในประเด็น ๑๑ ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และ
นโยบายรัฐบาลท้ังในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุก
ช่วงวัย และนโยบายเร่งด่วน เรื่องการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษท่ี ๒๑นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการขับเคลื่อนแผน
แม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นอ่ืน ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ.๒๕๖๑ –
๒๕๖๔) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความม่ันคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๕) รวมทั้งนโยบายและแผน
ตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง โดยคาดหวังว่าผเู้ รียนทุกช่วงวยั จะไดร้ ับการพัฒนาในทุกมิติ เปน็ คนดี คนเก่ง มคี ุณภาพ และมี
ความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และย่ังยืน ดังน้ันในการเร่งรัดการทางาน
ภาพรวมกระทรวงให้เกิดผลสัมฤทธ์ิ เพ่ือสร้างความเช่ือมั่นให้กับสังคม และผลักดันให้การจัดการศึกษามีคุณภาพ
และประสทิ ธภิ าพในทุกมติ ิ กระทรวงศึกษาธิการจึงกาหนดนโยบายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังน้ี
8
1. ปรับรื้อและเปล่ียนแปลงระบบการบริหารจัดการ โดยมุ่งปฏิรูปองค์การเพ่ือหลอมรวมภารกิจและ
บุคลากร เช่น ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย ฯลฯ ท่ีสามารถลดการ
ใช้ทรัพยากรทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพ รวมทั้งการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยท้ังการ
บรหิ ารงานและการจดั การศกึ ษารองรับความเปน็ รฐั บาลดิจิทลั
2. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทรัพยากร โดยมุ่งปฏิรูปกระบวนการวางแผนงาน/โครงการ
แบบร่วมมือและบูรณาการ ที่สามารถตอบโจทย์ของสังคมและเป็นการพัฒนาที่ย่ังยืน รวมท้ังกระบวนการจัดทา
งบประมาณที่มีประสิทธิภาพและใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าส่งผลให้ภาคส่วนต่าง ๆท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และนานาชาติ
เชอ่ื มั่นและร่วมสนับสนนุ การพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษามากยงิ่ ข้นึ
3. ปรับรื้อและเปล่ียนแปลงระบบการบรหิ ารจัดการและพัฒนากาลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่ง
บริหารจดั การอัตรากาลังให้สอดคล้องกับการปฏิรูปองค์การ รวมท้ังพัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของ
บคุ ลากรภาครฐั ใหม้ คี วามพรอ้ มในการปฏิบตั งิ านรองรบั ความเป็นรฐั บาลดจิ ิทลั
4. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ โดยมุ่งให้ครอบคลุมถึงการจัด
การศึกษาเพ่อื คุณวฒุ ิ และการเรียนรตู้ ลอดชวี ิตทส่ี ามารถตอบสนองการเปล่ยี นแปลงในศตวรรษที่ ๒๑
จุดเน้นประจำปงี บประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๔
๑. การพฒั นาและเสรมิ สร้างศกั ยภาพทรพั ยากรมนษุ ย์
๑.๑ การจดั การศึกษาเพอื่ คณุ วุฒิ
- จัดการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท โดยใชห้ ลักสตู รฐานสมรรถนะ รวมทั้งแนวทางการจัดการเรยี นรู้เชิง
รกุ และการวดั ประเมนิ ผลเพอ่ื พฒั นาผู้เรยี น ท่ีสอดคล้องกบั มาตรฐานการศึกษาแหง่ ชาติ
- ส่งเสริมการพัฒนากรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ินและหลักสูตรสถานศึกษา ตามความต้องการจาเป็นของ
กลุ่มเปา้ หมายและแตกต่างหลากหลายตามบริบทของพน้ื ท่ี
- พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จากประสบการณ์จริงหรอื จากสถานการณ์จาลองผ่านการลงมือปฏิบัติ
ตลอดจนจดั การเรยี นการสอนในเชงิ แสดงความคิดเห็นเพื่อเปดิ โลกทัศน์มุมมองร่วมกนั ของผู้เรียนและครใู ห้มากขนึ้
- พัฒนาผู้เรยี นให้มคี วามรอบรู้และทกั ษะชวี ิต เพอื่ เป็นเครื่องมอื ในการดารงชวี ติ และสรา้ งอาชพี อาทิ การ
ใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัล สขุ ภาวะและทัศนคตทิ ่ีดีตอ่ การดแู ลสขุ ภาพ
๑.๒ การเรยี นรู้ตลอดชีวติ
- จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสาหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ
(English for All)
- ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมสาหรับผู้ท่ีเข้าสู่สังคมสงู วัย อาทิ อาชีพที่เหมาะสมรองรับสังคมสูง
วยั หลักสตู รการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหลกั สูตรการดูแลผู้สูงวัย หลักสูตร BUDDY โดยเนน้ การมีสว่ นรว่ มในการ
พัฒนาชุมชน โรงเรียน และผู้เรียน หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพ่ือส่งเสริมประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ระดบั
ตาบล
- ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงการศึกษาเพ่ือทักษะอาชีพและการมีงานทา ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขตพ้ืนที่พิเศษ (พ้ืนท่ีสูง พื้นที่ตามแนวตะเข็บ ชายแดน และพื้นท่ีเกาะแก่ง ชายฝั่ง
ทะเล ทัง้ กล่มุ ชนต่างเชือ้ ชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม กลุม่ ชนชายขอบ และแรงงานต่างด้าว)
9
- พัฒนาครูให้มีทักษะ ความรู้ และความชานาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และ
ภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนเพ่ือฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผลเป็น
ขัน้ ตอน
- พัฒนาครูอาชีวศึกษาที่มีความรู้และความสามารถในทางปฏิบัติ (Hands – on Experience) เพ่ือให้มี
ทักษะและความเชี่ยวชาญทางวิชาการ โดยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนาของประเทศจัดหลักสูตรการพัฒนา
แบบเข้มข้นระยะเวลาอย่างน้อย ๑ ปี
- พัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีความพร้อมในการ
ปฏิบัติงานรองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีศูนย์พัฒนาสมรรถนะบุคลากรระดับ
จังหวัดทั่วประเทศ
๒. การพฒั นาการศกึ ษาเพอื่ ความม่นั คง
- พัฒนาคุณภาพการศึกษาในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ
เข้าถึง พฒั นา” เปน็ หลกั ในการดาเนินการ
- เฝ้าระวังภัยทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา โดยเฉพาะภัยจากยาเสพติด
อาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนษุ ย์
- ส่งเสริมให้ใช้ภาษาท้องถิ่นร่วมกับภาษาไทย เป็นส่ือจัดการเรียนการสอนในพื้นท่ีที่ใช้ภาษาอย่าง
หลากหลาย เพ่ือวางรากฐานให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งมีทักษะการสื่อสารและใช้ภาษาท่ี
สามในการตอ่ ยอดการเรียนรูไ้ ด้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดท่ีถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม และเป็นผู้มีความพอเพียง วินัย สุจริต
จติ อาสา โดยใชก้ ระบวนการลกู เสือ และยุวกาชาด
๓. การสรา้ งความสามารถในการแข่งขัน
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาผลิตกาลังแรงงานที่มีคุณภาพ ตามความเป็นเลิศของแต่ละ
สถานศึกษาและตามบริบทของพ้นื ที่ รวมทัง้ สอดคล้องกบั ความต้องการของประเทศท้ังในปัจจุบนั และอนาคต
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ และจัดการเรียนการสอนด้วย
เครื่องมือปฏิบัติท่ีทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยี โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data
Analysis) และทกั ษะการสอื่ สารภาษาต่างประเทศ
๔. การสรา้ งโอกาสและความเสมอภาคทางการศกึ ษา
- พฒั นาแพลตฟอรม์ ดิจิทัลเพื่อการเรยี นรู้ และใชด้ จิ ิทลั เป็นเครือ่ งมือการเรียนรู้
- ศึกษาและปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ให้สอดคล้องกับ
สภาพเศรษฐกิจและบทบัญญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู
- ระดมสรรพกาลังเพ่ือส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนนาร่องพ้ืนที่นวัตกรรมการศึกษา เพ่ือลดความเหลื่อมล้า
ทางการศกึ ษาให้สอดคล้องพระราชบัญญตั ิพน้ื ทีน่ วตั กรรมการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒
๕. การจดั การศกึ ษาเพ่อื สร้างเสริมคุณภาพชวี ติ ท่เี ป็นมิตรกบั สงิ่ แวดลอ้ ม
- เสริมสรา้ งการรบั รู้ ความเขา้ ใจ ความตระหนกั และส่งเสริมคุณลกั ษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้าน
สิ่งแวดล้อม
10
- ส่งเสริมการพัฒนาส่ิงประดิษฐ์และนวัตกรรมท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม ให้สามารถเป็นอาชีพ และสร้าง
รายได้
๖. การปรับสมดลุ และพฒั นาระบบการบรหิ ารจดั การ
- ปฏิรูปองค์การเพื่อลดความทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพของหน่วยงานที่มีภารกิจ
ใกลเ้ คยี งกัน เชน่ ดา้ นประชาสัมพันธ์ ด้านต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย เป็นตน้
- ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคและข้อจากัดในการดาเนนิ งาน โดยคานึงถึงประโยชนข์ อง
ผ้เู รียนและประชาชน ตลอดจนกระทรวงศึกษาธกิ ารโดยรวม
- สนบั สนุนกิจกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ และประพฤติมชิ อบ
- พฒั นาระบบฐานข้อมลู ด้านการศกึ ษา (Big Data)
- พัฒนาระบบการบริหารจดั การและพัฒนากาลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับการปฏริ ูป
องคก์ าร
- สนับสนุนใหส้ ถานศึกษาเปน็ นิติบุคคล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างอิสระและ
มีประสิทธภิ าพ ภายใตก้ รอบแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ
- จัดตั้งหน่วยงานวางแผนทางการเงิน (Financial Plan) ระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร
ของกระทรวงศึกษาธิการ
- ส่งเสริมโครงการ ๑ ตาบล ๑ โรงเรียนคุณภาพ โดยเน้นปรับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก
บรเิ วณโรงเรยี นใหเ้ ออื้ ต่อการเสรมิ สร้างคุณธรรม จริยธรรม และจิตสาธารณะ
กำรขับเคลื่อนนโยบำยและจดุ เน้นสู่กำรปฏิบัติ
1. ให้ส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ นานโยบายและจุดเน้น เป็นกรอบ
แนวทางมาใช้ในการวางแผนและจัดทางบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยคานึงถึง
มาตรการ ๔ ข้อ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้แนวทางในการบริหารงบประมาณไว้ ดังนี้
(๑) งดดูงานต่างประเทศ ๑ ปี ยกเว้นกรณีที่มีความจาเป็นและเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการ (๒) ลดการ
จดั อบรมสมั มนาที่มีขนาดใหญ่และใช้งบประมาณมาก (๓) ยกเลิกการจัดงาน Event และ (๔) ทบทวนงบประมาณ
ท่ีมีความซ้าซ้อน
2. ให้มีคณะกรรมการติดตาม ประเมินผล และรายงานการขับเคล่ือนนโยบายและจุดเน้นสู่การ
ปฏิบัติระดับพื้นท่ี โดยให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน สานักงานศึกษาธิการภาคและสานัก
ตรวจราชการและตดิ ตามประเมินผล สป. เปน็ ฝา่ ยเลขานุการและผูช้ ว่ ยเลขานุการตามลาดับ โดยมีบทบาทภารกิจ
ในการตรวจราชการ ติดตาม ประเมินผลในระดับนโยบาย และจัดทารายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ และคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของ
กระทรวงศึกษาธิการ ทราบตามลาดับ
3. กรณีมปี ัญหาในเชงิ พืน้ ท่ีหรือข้อขดั ขอ้ งในการปฏิบตั งิ าน ให้ศกึ ษา วเิ คราะหข์ อ้ มลู และดาเนินการ
แก้ไขปัญหาในระดับพ้ืนท่ีก่อน โดยใช้ภาคีเครือข่ายในการแก้ไขข้อขัดข้อง พร้อมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการ
ติดตามฯ ข้างต้น ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตามลาดับ อน่ึง สาหรับ
ภารกิจของส่วนราชการหลกั และหนว่ ยงานท่ีปฏบิ ัติในลกั ษณะงานในเชงิ หน้าที่ (Function) งานในเชิงยุทธศาสตร์
(Agenda) และงานในเชิงพ้ืนที่ (Area) ซึ่งได้ดาเนินการอยู่ก่อนเม่ือรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบาย
11
สาคัญเพ่ิมเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ นอกเหนือจากที่กาหนด หากมีความสอดคล้องกับหลักการนโยบาย
และจุดเน้นข้างต้น ให้ถือเป็นหน้าท่ีของส่วนราชการหลักและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องต้องเร่งรัด กากับ ติดตาม
ตรวจสอบให้การดาเนินการเกิดผลสาเรจ็ และมีประสทิ ธิภาพอย่างเป็นรปู ธรรมดว้ ยเช่นกันท้ังน้ี ต้ังแต่บัดนี้เป็นต้น
ไป
กล่าวโดยสรุป การจัดส่ิงแวดล้อมศึกษาของประเทศไทยและต่างประเทศ ได้กาหนดทิศทาง และนโยบาย
ไวด้ ังน้ี คือ ใหม้ กี ารพฒั นาหลักสตู รส่งิ แวดลอ้ มศึกษาในทุกระดับ ทุกประเภทการศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ
โรงเรียน ทั้งในรูปแบบเป็นวิชาเฉพาะ และรูปแบบการสอดแทรก การบูรณาการเข้ากับวิชาต่างๆ กระบวนการ
เรียนการสอนและการจัดกิจกรรมในเรื่องส่ิงแวดล้อม ศึกษา เน้นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความ
เขา้ ใจแนวคิด ในเร่อื งสง่ิ แวดลอ้ มและ การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื สภาวะสงิ่ แวดล้อมของท้องถ่ิน และภมู ภิ าค ประชากร
น้าด่ืมและอาหารท่ี ปลอดภัย การสุขาภิบาล และผลกระทบทางเศรษฐกิจและ สิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากร
คุณค่า ของสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และในเร่ืองการพัฒนามนุษย์ ได้เรียนรู้สภาพส่ิงแวดล้อม พื้นฐานที่
สาคัญของประเทศและโลก เน้นสภาพส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นปัญหาเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น มุ่งปลูกฝังนิสัย สร้าง
จิตสานึก ทัศนคติ ค่านิยม จริยธรรม และพฤติกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ ตระหนักถึงผลกระทบ
ความเส่ือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม เน้น กระบวนการให้มีประสบการณ์ตรงและการ
แก้ปัญหา มีทักษะในการร่วมคิดร่วมทา กาหนดทางเลือก และการตัดสินใจในการดาเนินการได้อย่างเหมาะสม
มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ป้องกันติดตาม เฝ้า ระวังและแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในด้าน
เน้ือหาการเรียนการสอนให้เลือก เน้ือหาท่ีวิกฤติที่สุดด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศ มาเป็นเน้ือหาในการสอน จัดทา
และพัฒนาสื่อ การเรียนการสอนสิ่งแวดล้อมศึกษา ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สอดคล้องทันต่อเหตุการณ์
ปัญหาและความต้องการในปัจจุบัน เหมาะสมกับรูปแบบวิธีการเรียนการสอน และการจัดกิจกรรม การศึกษา
พัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมศึกษา ให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความ รับผิดชอบร่วมมือกันจัด
ส่ิงแวดล้อมศึกษา ส่งเสริมให้ภาคเอกชน และประชาชนมีส่วนร่วมส่งเสริม การให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง
ต่อเนื่อง
๒. แนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ยี วขอ้ งกับส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ
สิ่งแวดล้อมศึกษาเกิดจากแนวคิดท่ีจะนาการศึกษามาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยจัด กระบวนการเรียน
การสอน เพื่อพัฒนาเยาวชน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม
ความสัมพันธ์ที่เก่ียวข้องกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม มีความตระหนักต่อปัญหาส่ิงแวดล้อมมีส่วนร่วมในการ
ปรบั ปรงุ และแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดล้อมปัจจบุ นั ไดม้ ีนักการศึกษาหลายทา่ นได้กล่าวถึงความหมาย จุดหมาย หลักการ
เปา้ หมาย มโนทศั นข์ องสิ่งแวดล้อมศกึ ษาไว้ดังต่อไปนี้
๒.๑ ควำมหมำยของส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษำ
กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม (๒๕๔๔ : ๕) ได้ให้ความหมายว่า ส่ิงแวดล้อมศึกษา คือ กระบวนการที่
ทาให้เห็นคุณค่า เกิดความตระหนัก และเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันของส่ิงแวดล้อม ทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ดว้ ยการใหโ้ อกาสทกุ คนพัฒนาความรู้ เจตคติ ทักษะ การรู้จกั ตัดสินใจ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลง
ทัศนคติ และพฤติกรรม เพ่ือที่จะปกป้องและแก้ไข สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ตลอดจนสร้างรูปแบบการดาเนินชีวิตใหม่
เพอ่ื ส่งิ แวดลอ้ ม ท้งั ในระดบั บุคคล กลมุ่ และสงั คม
12
กรีนเนล (Greennal, ๑๙๘๐ : ๗) อรรถพล อนันตวรสกุล (๒๕๔๔: ๕๓) วินัย วีระวัฒนานนท์ (๒๕๓๙ :
๑๕) ศริ พิ ร หงสพ์ ันธ์ุ (อา้ งถึงในกรมวิชาการ ๒๕๔๒ : ๑) กนก จนั ทร์ทอง (๒๕๔๑ : ๖๖) เกษม จนั ทรแ์ กว้ (๒๕๓๖
: ๗๑) เต็มดวง รัตนทัศนีย (๒๕๓๙ : ๑๗๖) อินทิรา ชัยรัตน์ (๒๕๔๓ : ๑๑) สุพรรณี มีเทศน์ บุญล้อม นามบุตร
(อา้ งถงึ ในสพุ รรณี มีเทศน์, ๒๕๓๙) ศริ พิ ร หงส์พันธ์ุ (๒๕๔๒ : ๒๓) ได้ใหค้ วามหมาย ท่ีสอดคลอ้ งกนั วา่ สง่ิ แวดล้อม
ศึกษา หมายถงึ กระบวนการทางการศึกษาที่จัดขึ้น เพ่ือมุ่งพัฒนา ผ้เู รียนใหม้ คี วามรู้ความเข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม
ทางธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมท่ีมนุษยส์ รา้ งขึ้น รวมทั้งความสัมพันธร์ ะหว่างมนุษย์กับสิง่ แวดล้อม จนเกิดความ
ตระหนัก ค่านิยม เจตคติในการ ระวังรักษา ห่วงใยส่ิงแวดล้อม มีทักษะในการตัดสินใจทางสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมี
ส่วนร่วมในการ อนุรักษ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
และคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มที่ยั่งยนื
ฟื้น (Fien, อ้างถึงในกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม ๒๕๔๑ : ๖) ได้ให้ความหมายว่า สิ่งแวดล้อมศึกษา
คือ การเรียนรู้ด้วยการศึกษาแบบสหวทิ ยาการร่วม ซ่ึงจะช่วยให้บุคคลแต่ละคน หรือกลุ่มบุคคลเกิดความเข้าใจใน
สิ่งแวดลอ้ ม โดยมเี ป้าหมายสูงสดุ เพ่อื พฒั นาเจตคติในการ ระวังรกั ษาและความผกู พันห่วงใย อันจะชว่ ยเสริมสรา้ ง
ความปรารถนาที่จะปฏิบัติตน อย่างมีความ รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ดังน้ัน ส่ิงแวดล้อมศึกษาจึงไม่ได้เก่ียวข้อง
เฉพาะเร่อื งของความรู้เท่านนั้ แตย่ ังรวมถึงความร้สู กึ เจตคติ ทกั ษะ และการปฏบิ ตั ทิ างสงั คมเขา้ ไปดว้ ย
ทบิลิซิ (Tbilisi Conference. ๑๙๗๗) ได้สรุปความหมายของสิ่งแวดล้อม ศึกษาว่าเป็นส่วนบูรณาการ
ของการศกึ ษา ซึ่งเปน็ การเนน้ ปัญหาและสหวทิ ยาการ มเี ปา้ หมาย ในการสรา้ งค่านิยม ส่งเสริมความเป็นอยู่ท่ดี ีโดย
ส่วนรวมและสานึกต่อสิ่งแวดล้อม ซ่ึงควรให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงออก และควรเป็นแนวทางสาหรับการ
สร้างความสานึก ท้งั ในปจั จบุ นั และอนาคต (UNESCO. ๑๙๗๘ : ๒๑)
สแตปป์ และคอกซ์ (Stap and Cox. ๑๙๗๙ : ๗๖๔) ได้ให้ความหมายว่า สิ่งแวดล้อมศึกษา
คือ ขบวนการม่งุ พฒั นาประชากรโลก ใหม้ คี วามเข้าใจตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มและปญั หาท่เี กิดขน้ึ ได้แก่ ความรอบรู้ ทัศนคติ
แรงจูงใจ การยอมรับและทักษะ เพ่ือจะได้นาไปแก้ไขปัญหาต่อตนเองและ ส่วนรวม รวมท้ังแนวทางการป้องกัน
ปัญหาใหม่ ๆ ที่จะเกดิ ขน้ึ
IUCN (International Union for Conservation of Nature and Natural Resources) (ศิ ริ พ ร ห ง ส์
พันธุ์, ๒๕๔๒ : ๒๒ : อ้างอิงจาก Webb. ๑๙๘๐ : ๑๐) ได้ให้ความหมายของส่ิงแวดล้อมศึกษาไว้ว่า ส่ิงแวดล้อม
ศึกษา คือกระบวนการท่ีทาให้เกิดค่านิยมและให้รู้ถึงแนวความคิดหลัก (concept)เพื่อพัฒนาทักษะและเจตคติท่ี
จาเป็นท่จี ะทาให้เกิดความเขา้ ใจ และซาบซงึ้ ถงึ ความสัมพันธ์ ระหวา่ งมนุษยก์ ับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางด้าน
กายภาพและชีวภาพ
จากความหมายของส่ิงแวดล้อมศกึ ษาดังกล่าว สรุปไดว้ า่ ส่ิงแวดล้อมศึกษา หมายถงึ กระบวนการทางการ
ศึกษาท่ีจัดข้ึน เพ่ือมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองสิ่งแวดล้อม ตามธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อมที่มนุษย์
สร้างข้ึน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้อม และสภาพปัญหา
สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น จนเกิดความรู้สึกเห็นคุณค่าของ สิ่งแวดล้อมตระหนักและห่วงใยถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมี
ค่านยิ ม เจตคติ และแรงจงู ใจท่จี ะเข้าไปมี สว่ นรว่ มในการป้องกันและปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มใหม้ ีสภาพที่ดีข้ึน
13
การจดั การศึกษาทางด้านส่งิ แวดล้อม นอกจากจะจัดการศึกษาตามแนวคิดของสง่ิ แวดล้อม ศกึ ษาดงั กล่าว
แล้ว ในปัจจุบันยังมีการจัดการศึกษาในอีกแนวคิดหนึ่งท่ีเรียกว่า การศึกษาสิ่งแวดล้อม (Environmental Study)
ซึ่งนกั การศกึ ษาหลายทา่ น ได้ให้ความหมายไวด้ งั ต่อไปน้ี
นีลและปาล์มเมอร์ (Neal and Palmer. ๑๙๙๐ : ๙) ไดใ้ หค้ วามหมายว่า การศึกษาสง่ิ แวดล้อม หมายถึง
การเรียนรซู้ ่ึงเกีย่ วขอ้ งกับการพัฒนาทักษะทเ่ี ฉพาะเจาะจง รวมทง้ั ทกั ษะพ้นื ฐานของ การอ่านออก เขยี นได้ และใน
ดา้ นการคดิ คานวณ
วินัย วีระวัฒนานนท์ และบานชื่น สีพันผ่อง (๒๕๓๗ : คานา) ได้ให้ความหมายว่า การศึกษา ส่ิงแวดล้อม
หมายถึงการศึกษาที่มุ่งเน้นเฉพาะเน้ือหาสาระเร่ืองสิ่งแวดล้อมที่สาคัญ ควรค่าในการเรียนรู้อันจะเป็นพื้น
ฐานความรู้ที่สาคัญในการดารงชีวิตของมนุษย์ เช่น การศึกษาในเรื่อง ส่ิงแวดล้อมกับการพัฒนา นิเวศวิทยา
ประชากรกับส่ิงแวดลอ้ ม ทรพั ยากรธรรมชาติ ดนิ ป่าไม้ สตั ว์ พืช อาหาร นา้ อากาศแร่ พลังงาน สารพิษ มลภาวะ
เป็นต้น
โครงการส่ิงแวดล้อมศึกษาระหว่างประเทศ (International Environmental Education Program)
(UNESCO-UNEP. ๑๙๘๓ : ๑๔) ได้ให้ความหมายว่า การศึกษาส่ิงแวดล้อม หมายถึง โปรแกรมและรายวิชาใน
ระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย (หลังระดับมัธยมศึกษา) ที่เก่ียวข้องกับ เรื่องราว หรือปัญหาส่ิงแวดล้อม
บนพื้นฐานของสหวิทยาการ ใช้รายวิชาจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์สังคม วิทยาศาสตร์ประยุกต์
เทคโนโลยี อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ให้เป็นประโยชน์ ต่อการฝึกหัดผู้เรียน โดยการปรับให้มีความ
เหมาะสมกับวิธีการท่ัวไปสรุปการศึกษาสิ่งแวดล้อม หมายถึงการศึกษาท่ีมุ่งเน้นเน้ือหาสาระเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สาคัญ เช่น การศึกษาในเร่ืองสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา นิเวศวิทยา ประชากร กับส่ิงแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน ป่าไม้ สัตว์ พืช อาหาร น้า อากาศแร่ พลังงาน สารพิษ มลภาวะ เป็นต้น เพ่ือให้ผู้เรียนมี
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องส่ิงแวดล้อมหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น อันจะเป็นพ้ืนฐานความรู้ท่ีสาคัญในการ
ดารงชีวิตของมนุษย์จากการเปรียบเทียบความหมายของการศึกษาสิ่งแวดล้อมดังกล่าว กับความหมาย
ของสิ่งแวดล้อมศึกษา พบว่ามีความแตกต่างกนั คือการศึกษาสิ่งแวดล้อม เปน็ การศกึ ษาทม่ี ุ่งเน้น เนื้อหาสาระเร่ือง
ส่ิงแวดล้อม หรือปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีสาคัญ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือปัญหา
ส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึน อันจะเป็นพ้ืนฐานความรู้ที่สาคัญในการดารงชีวิต ของมนุษย์ ส่วนสิ่งแวดล้อมศึกษาเป็น
กระบวนการทางการศึกษาท่ีจัดขึ้น เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ มีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองสิ่งแวดลอ้ มตามธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม ที่มนุษย์สร้างขึ้น ความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม
และสภาพปัญหาส่ิงแวดล้อมที่ เกิดข้ึน จนเกิดความรู้สึกเห็นคุณค่าของส่ิงแวดล้อม ตระหนักและห่วงใยถึงปัญหา
ส่ิงแวดล้อม มีค่านิยม เจตคติ และแรงจูงใจท่ีจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกัน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้
มีสภาพที่ดีข้นึ รวมท้ังมที ักษะในการระบุปญั หา และการตัดสนิ ใจหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ได้อยา่ งเหมาะสม
ตลอดจนร่วมมือกันรับผิดชอบในการปกป้อง และแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมที่ เกิดข้ึนให้บรรเทาลงท้ังในระดับบุคคล
กลุม่ และสงั คม เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพชีวิตและคณุ ภาพส่ิงแวดล้อม ใหย้ ่ังยนื ตลอดไป
แต่อย่างไรก็ตามในการศึกษาครั้งนี้ คณะผู้จัดทาได้นาแนวคิดของกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม
(๒๕๔๔ : ๕) ที่ให้ความหมายของสิ่งแวดล้อมศึกษาไว้ว่า เป็นกระบวนการที่ทาให้เห็นคุณค่าเกิด ความตระหนัก
และเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันของส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ด้วยการให้โอกาสทุกคน
14
พัฒนาความรู้ เจตคติ ทักษะ การรู้จักตัดสินใจ เพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง ทัศนคติ และพฤติกรรม เพ่ือท่ีจะ
ปกป้องและแก้ไขสิ่งแวดล้อมให้ดีข้ึน ตลอดจนสร้างรปู แบบการ ดาเนินชีวติ ใหม่เพ่ือสงิ่ แวดลอ้ ม ทั้งในระดับบุคคล
กลุม่ และสังคม เปน็ ฐานคิดในการศกึ ษาในครัง้ นี้
๒.๒ ควำมจำเป็นของกำรศึกษำสงิ่ แวดล้อมศึกษำ
องค์การสหประชาชาติ (อ้างถึงในเกษม จันทร์แก้ว และประพันธ์ โกยสมบูรณ์, ๒๕๒๕ : ๑๕) ได้กล่าวถึง
ความเปน็ มาและความจาเป็น ในการศกึ ษาสิ่งแวดลอ้ มไว้หลายประเด็นทส่ี าคญั คอื ทรัพยากรธรรมชาติบนพนื้ ฐาน
โลกได้ร่อยหรอ และเกิดปัญหาอย่างมาก จนเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะการเพ่ิมขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว
จาเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากข้ึนไปด้วย ย่ิงในภาวะสังคม ท่ีมีการแก่งแย่งกันมากแล้ว การแก่งแย่งทรัพยากรเพื่อ
ตนเองจะมีมากข้ึน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึง เป็นสิ่งท่ีหลีกเล่ียงไม่ได้ที่อาจมีการใช้ทรัพยากรอย่างขาดหลั กการ
ไม่ระมัดระวัง และอาจมีผลทา ให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรในอนาคตได้ และอาจมีมลพิษเกิดขึ้นจากการใช้
ทรัพยากรมีผลกระทบ ต่อทรัพยากรท่ีเหลืออยู่อาจสูญพันธุ์ไปได้ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาถึงสถานภาพ
ส่ิงแวดล้อมโดยท่ัวไปของประเทศไทยและจากเอกสารทั่วโลก อาจสรุปถึงความจาเป็นของส่ิงแวดล้อม ศึกษาได้
ดงั น้ี
๑. ความจาเป็นในการปรบั ปรงุ คุณภาพชวี ติ ของมวลมนุษย์ให้อยู่ดกี ินดีข้ึนกวา่ เป็นอยู่สง่ิ แวดล้อมศึกษา
น่าจะเป็นสว่ นหนึ่งทจ่ี ะทาให้คณุ ภาพประชากรไทยดขี น้ึ และเปน็ แนวทางทจ่ี ะเสริมสร้างใหท้ ัศนคติในการใช้
ทรพั ยากรไดถ้ ูกต้อง คุณภาพชีวิตก็คงจะดตี ามมาดว้ ย
๒. ส่ิงแวดล้อมศึกษา เปน็ หลักการท่ีจะชว่ ยเสริมสร้างความเข้าใจของประชากร ต่อปัญหาส่ิงแวดล้อมและ
การอนุรักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม เป็นอยา่ งดี ทง้ั นี้หลักการหรือแนวทางใหก้ ารศึกษา สิง่ แวดล้อมศึกษานัน้ จะต้องสอดคล้อง
กบั สภาพทว่ั ไปและสภาพสิง่ แวดล้อมน้นั ๆ
๓. สิง่ แวดลอ้ มศึกษา เป็นแนวทางทจ่ี ะให้ผเู้ รียน สามารถมีความเข้าใจในการ เสริมสรา้ งแนวความคิดทจี่ ะ
ป้องกนั สง่ิ แวดลอ้ ม มิใหเ้ กดิ มลพิษส่ิงแวดลอ้ มขน้ึ ทัง้ ในปัจจุบัน และอนาคต
๔. ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา มวี ตั ถุประสงค์ทจ่ี ะเพมิ่ ทักษะให้แกผ่ ้เู รียน ในการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดลอ้ ม ทงั้ โดยการ
แก้ไขปญั หาเพื่อตนเองและเพ่ือสว่ นรวม
๕. สิ่งแวดล้อมศกึ ษา จะช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพของประชากร ในการประเมนิ แผนต่างๆ เพ่อื การพัฒนา
ในแง่สงั คม การเมือง วัฒนธรรม และการศกึ ษา
๖. สิ่งแวดล้อมศึกษาสามารถทาให้ประชาชนร่วมทาการตดั สนิ ใจบางอยา่ ง เกย่ี วกับสงิ่ แวดลอ้ ม เพือ่ ชมุ ชน
และเพ่ือตนเองไดอ้ ยา่ งดแี ละถกู ต้องมากยิง่ ขน้ึ
๗. สง่ิ แวดล้อมศึกษา เป็นกระบวนการให้ความรูท้ ี่ทาให้เกิดความรู้ ความสัมพนั ธ์ ตอ่ กนั และกันของ
เศรษฐศาสตร์ การเมือง และนิเวศวทิ ยา ดีย่ิงขน้ึ ทาให้การอนุรักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม สัมฤทธผ์ิ ลดขี ึน้
จากความจาเปน็ ของส่งิ แวดลอ้ มศึกษาดังกลา่ วสรปุ ไดว้ า่ สง่ิ แวดลอ้ มศึกษามคี วามจาเป็น ต่อการปรับปรุง
คุณภาพชวี ติ ของมวลมนษุ ย์ ชว่ ยเสรมิ สรา้ งความเข้าใจของประชาชนตอ่ ปัญหา สง่ิ แวดล้อมและการอนุรักษ์
สง่ิ แวดลอ้ ม สร้างแนวความคดิ ท่จี ะป้องกันสง่ิ แวดลอ้ ม ทกั ษะในการ แกไ้ ขปญั หาส่ิงแวดล้อม และการตดั สินใจ
เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน เพื่อใหก้ ารอนุรกั ษ์ สิ่งแวดล้อมสมั ฤทธผ์ิ ลมากข้นึ
15
๒.๓ หลักกำรของส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษำ
ปฏิญญาเบลเกรด (Belgrade Charter) (UNESCO. ๑๙๗๖ : ๒) ได้กาหนดหลักการส่ิงแวดล้อม ศึกษา
เพื่อเป็นแนวทางสาหรบั การดาเนนิ งานส่งิ แวดลอ้ มศึกษา ไวด้ งั น้ี
๑. สิ่งแวดล้อมศึกษา ควรจะได้พิจารณาสิ่งแวดลอ้ มท้ังมวล (Totality) ทั้งส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ และ
มนษุ ย์สรา้ งข้ึน ทงั้ ในแง่นิเวศวทิ ยา การเมอื ง เศรษฐกจิ เทคโนโลยี สังคม กฎหมาย วฒั นธรรมและสุนทรียภาพ
๒. สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา ควรจะเปน็ กระบวนการตลอดชวี ติ ทัง้ ในระบบโรงเรยี นและนอกระบบโรงเรียน
๓. สิ่งแวดลอ้ มศึกษาควรมลี ักษณะเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary)
๔. สงิ่ แวดล้อมศึกษาควรจะเน้นการเข้ามามสี ่วนร่วมในการป้องกนั และแก้ไขปญั หา ส่งิ แวดลอ้ ม
๕. สิ่งแวดล้อมศึกษาควรจะพิจารณาเร่ืองราวของสิ่งแวดล้อมในวงกว้างจากระดับโลก พร้อมทั้งคานึงถึง
ความแตกต่างของแตล่ ะภูมิภาคดว้ ย
๖. สิ่งแวดลอ้ มศึกษาควรเน้นสถานการณส์ ง่ิ แวดล้อมปจั จบุ ันและอนาคต
๗. ส่ิงแวดลอ้ มศึกษาควรพจิ ารณาการพฒั นาความเจรญิ กา้ วหน้าท้ังมวลจากสัดสว่ นของสงิ่ แวดล้อม
๘. ส่ิงแวดล้อมศึกษาควรส่งเสริมให้เห็นคุณค่า และความจาเป็นในการที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหา
ส่งิ แวดล้อม ทั้งในระดบั ทอ้ งถนิ่ ระดับประเทศ และระดบั โลก
จากการประชุมท่ีเมืองทบิลิซิ (Tbilisi) ค.ศ. ๑๙๗๗ (UNESCO. ๑๙๗๘ : ๒๗) ได้วางหลักการ อันเป็น
แนวทางสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา ไวด้ งั น้ี
๑. พิจารณาสิ่งแวดล้อมท้ังมวล (Totality) ทั้งท่ีเป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและมนุษย์สร้างข้ึนในด้าน
เทคโนโลยีและสังคม เศรษฐกจิ การเมือง เทคโนโลยี วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ ศลี ธรรม สนุ ทรยี ภาพ)
๒. สิ่งแวดล้อมศึกษา เป็นกระบวนการต่อเน่ืองตลอดชีวิต โดยเร่ิมต้ังแต่วัยเด็กใน วัยก่อนเข้าโรงเรียนไป
เร่ือย ๆ ทง้ั ระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา
๓. ส่ิงแวดล้อมศึกษาเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) โดยเอาเนื้อหาแต่ละวิชามารวมกันเพื่อให้เหน็
ภาพรวมของสิ่งแวดลอ้ ม
๔. ให้มองเห็นส่ิงแวดล้อมต้ังแต่ระดับท้องถ่ินประเทศจนถึงระดับภูมิภาคเพื่อนักเรียนจะได้มีความเข้าใจ
ในสภาพแวดล้อมส่วนอื่นของโลกได้อยา่ งลึกซง้ึ
๕. เนน้ สถานการณส์ ่ิงแวดลอ้ มทีเ่ ป็นอยู่ โดยคานึงถงึ สภาพในอดีตด้วย
๖. ส่งเสรมิ ใหเ้ หน็ คุณค่าและความจาเปน็ ในการร่วมมือป้องกันและหาข้อยุตปิ ัญหาส่ิงแวดล้อมทั้งในระดับ
ท้องถน่ิ ระดบั ประเทศ และระหวา่ งประเทศ
๗. แสดงให้เห็นว่าในการวางแผนการพัฒนาเพ่ือความก้าวหน้าใดๆ น้ันควรจะได้มีการพิจารณาเรื่องของ
ส่ิงแวดล้อมดว้ ย
๘. ทาให้ผู้เรียนได้มีบทบาทในการวางแผนประสบการณ์การเรียนพร้อมให้โอกาสตัดสินใจและยอมรับใน
ผลท่ีเกิดข้ึนด้วย
๙. สร้างความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกต่อส่ิงแวดล้อม ความรู้ ทักษะ ในการแก้ปัญหา และรู้สึกเลือกสรร
คา่ นิยมในบคุ คลทุกวยั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เนน้ ความรทู้ มี่ ีต่อส่งิ แวดลอ้ มในชมุ ชน ของเดก็
๑๐. ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นร้จู ักคน้ ควา้ เรือ่ งราว และสาเหตทุ ่ีแท้จริงของปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม
16
๑๑. เน้นความซบั ซ้อนและปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม ดังนน้ั จาเป็นท่จี ะตอ้ งพัฒนาความคดิ ในเชิงวิพากษ์ (Critical
Thinking) และทกั ษะในการแกป้ ัญหา
๑๒. ต้องใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้โดยถือว่าเป็นวิธีการทางการศึกษาวิธีหนึ่งมีการจัด
กจิ กรรมเกีย่ วกับส่งิ แวดลอ้ ม และให้ผู้เรียนมปี ระสบการณ์ตรง
จำกกำรศึกษำแนวคดิ เกย่ี วกับสิง่ แวดล้อมศึกษำมีหลกั กำร ดงั น้ี
๑. สิ่งแวดล้อมศึกษา ควรจะได้พิจารณาสิ่งแวดล้อมทั้งมวล (Totality) ทั้งส่ิงแวดล้อม ตามธรรมชาติและ
ท่ีมนุษย์สร้างข้ึน ทั้งในแง่นิเวศวิทยา การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม กฎหมาย ประวัติศาสตร์ศีลธรรม
วัฒนธรรม และสุนทรยี ภาพ
๒. สงิ่ แวดลอ้ มศึกษา ควรจะเปน็ กระบวนการตลอดชวี ติ ทุกรูปแบบ ทงั้ ในระบบ โรงเรียน และนอกระบบ
โรงเรียน
๓. สง่ิ แวดลอ้ มศึกษา เปน็ การศกึ ษาเพ่ือชวี ติ (Learning for Life) ๔. ส่ิงแวดล้อมศึกษาควรมีลักษณะ
เปน็ สหวทิ ยาการ (Interdisciplinary)
๕. สงิ่ แวดลอ้ มศึกษาควรจะพิจารณาเร่อื งราวของสิง่ แวดลอ้ มในวงกว้าง ต้งั แต่ ระดบั ท้องถิ่น ประเทศ
ระดบั ภมู ภิ าค จนถงึ ระดับโลก
๖. สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษาควรเน้นสถานการณส์ ่ิงแวดลอ้ มปจั จบุ นั และอนาคต
๗. ส่ิงแวดล้อมศึกษาควรส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมท้ังในระดับท้องถ่ิน
ระดับประเทศ และระดบั โลก
๘. ช่วยให้ผ้เู รยี น รูจ้ ักคน้ ควา้ เรือ่ งราว และสาเหตุทแี่ ท้จริงของปัญหาสิง่ แวดล้อม
๙. เนน้ ความซบั ซ้อนและปัญหาส่ิงแวดล้อม พฒั นาความคิดในเชงิ วพิ ากษ์ (Critical Thinking) และทักษะ
ในการแก้ปญั หา
๑๐. ใช้ส่งิ แวดลอ้ มใหเ้ ป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ เพ่ือให้ผูเ้ รียนมปี ระสบการณ์ตรง
๑๑. สิง่ แวดลอ้ มศึกษา เป็นกระบวนการศึกษา เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามสามารถในการ วางแผน และตัดสินใจ
อนรุ กั ษ์และป้องกนั สิ่งแวดลอ้ ม ยอมรบั ผลทุกกรณีทีเ่ กิดจากการตัดสนิ ใจน้นั
๑๒. สิ่งแวดลอ้ มศึกษาส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนเกิดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์กับ สง่ิ แวดลอ้ ม
๑๓. ส่ิงแวดล้อมศึกษา เปน็ การสร้างจรยิ ธรรม (Environmental Ethics)
๑๔. เป็นการเรยี นเชงิ ระบบ (System Approach)
๑๕. เปน็ การเรยี นรู้ที่ผเู้ รยี นต้องมีส่วนรว่ มในบทเรียน (Active Participation) เน้อื หา ในการเรียนมงุ่
ให้ผูเ้ รยี นนาไปใช้ในชวี ิตประจาวนั
๑๖. เปน็ การเรยี นท่ีมุ่งสร้างความรู้ ความตระหนัก เจตคติ และค่านิยม ทกั ษะการ แก้ปัญหา และคุณค่า
ทางสิ่งแวดล้อม
๒.๔ จุดม่งุ หมำยของสง่ิ แวดล้อมศึกษำ
สแตปป์ (Stapp. ๑๙๗๔ : ๒๓๒-๒๔๑) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของส่ิงแวดล้อมศึกษาไว้ว่า การจัด
สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษานนั้ จะเนน้ ให้ความรู้ ความเขา้ ใจตอ่ ไปน้ี
17
๑. ให้เกดิ ความเข้าใจว่า มนษุ ย์เปน็ ส่วนหนงึ่ ท่มี อิ าจแยกตัวออกมาไดจ้ ากระบบ อนั ประกอบดว้ ยตวั มนษุ ย์
เอง รวมทง้ั สง่ิ แวดล้อมทางวฒั นธรรม และส่ิงแวดล้อมทางชีวกายภาพ ทัง้ ให้เข้าใจวา่ กิจกรรมของมนุษย์นั้น สง่ ผล
กระทบต่อระบบความสัมพันธ์ในส่ิงแวดลอ้ มได้เสมอ
๒. ใหม้ ีความเขา้ ใจส่งิ แวดล้อมทางชีวกายภาพ ทั้งทม่ี ีอยู่โดยธรรมชาติและท่ี มนุษย์สร้างขึน้ และใหเ้ ข้าใจ
อทิ ธพิ ลของสง่ิ แวดล้อมดงั กล่าวตอ่ สภาพสงั คมปจั จบุ นั
๓. ใหม้ คี วามเข้าใจพ้นื ฐานเก่ียวกบั ปัญหาส่ิงแวดล้อมทางชีวกายภาพทีม่ นุษย์กาลงั เผชิญอยู่ มองเห็น
วิถที างแก้ไข และเข้าใจบทบาทความรับผดิ ชอบของรัฐและประชาชนตอ่ ปัญหาน้ี
๔. ให้มเี จตคติมองเห็นคณุ ค่าของสง่ิ แวดล้อมท่ีดีมคี ุณภาพ ทงั้ น้เี พื่อจะไดเ้ ปน็ แรง กระตุ้นใหเ้ ขา้ มามสี ว่ น
รว่ ม ในการสรา้ งสรรคส์ ิ่งแวดลอ้ มทดี่ ีข้นึ
๕. การเขา้ มสี ่วนรว่ ม สนับสนนุ ให้บคุ คลและสงั คม ไดม้ โี อกาสเข้ารว่ มงานที่ เกีย่ วกับการแกไ้ ขปญั หา
สงิ่ แวดลอ้ มทุกระดบั อย่างจริงจงั
ปฏิญญาสากลเบลเกรดได้กาหนดจุดมุ่งหมายของส่ิงแวดล้อมศึกษาไว้ สาหรับบุคคล และกลุ่มบุคคล
(UNESCO. ๑๙๗๖ : ๒) ดังตอ่ ไปนี้
๑. ความตระหนัก (Awareness) ให้มีความตระหนักและความรู้เรือ่ งสิ่งแวดล้อม ทงั้ มวล รวมถงึ ปญั หาที่
เกีย่ วขอ้ งดว้ ย
๒. ความรู้ (Knowledge) ให้มีความเข้าใจเกยี่ วกบั พืน้ ฐานทางส่ิงแวดลอ้ มทงั้ มวล รวมทั้งปญั หาและ
หน้าท่คี วามรบั ผิดชอบและบทบาทของมนุษย์ท่ีมีตอ่ สิง่ แวดล้อม
๓. เจตคติ (Attitude) ให้มคี ่านยิ มและความรสู้ กึ ในเร่ืองของส่งิ แวดลอ้ มเป็นอันมาก และพรอ้ มทจ่ี ะเข้ามา
มีส่วนรว่ มในการป้องกนั และปรับปรุงสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย
๔. ทักษะ (Skill) ใหม้ ีทักษะในการแก้ปัญหาทางด้านสงิ่ แวดล้อม
๕. ความสามารถในการประเมนิ (Evaluation Ability) ใหร้ ู้จักประเมินมาตรการ ส่งิ แวดลอ้ ม รวมทั้งศึกษา
โครงการในส่วนท่ีเกยี่ วข้องกับปจั จยั ทางนเิ วศวิทยา การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม และการศึกษา
๖. การมีสว่ นรว่ ม (Participation) ให้มีการพัฒนาความรสู้ ึกรับผดิ ชอบต่อการหา กลวิธีทเี่ หมาะสมเพือ่
แก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมทเี่ กดิ ขึ้นอย่างเรง่ ด่วน
สาหรับการประชุมสิ่งแวดล้อมศึกษาระหว่างประเทศ (The Intergovernmental Conference on
Environmental Education) ที่เมืองทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศรัสเซีย ค.ศ. ๑๙๗๗ (UNESCO. ๑๙๗๘ : ๒๖-๒๗)
ได้กาหนดจุดมงุ่ หมายของส่งิ แวดล้อมศกึ ษา ไวส้ าหรบั บคุ คลและสังคม ดงั ต่อไปน้ี
๑. ความตระหนัก (Awareness) เกดิ ความตระหนักและไวตอ่ ปัญหาสิ่งแวดล้อม
๒. ความรู้ (Knowledge) มปี ระสบการณ์และความเข้าใจพ้ืนฐานเก่ียวกบั สภาพแวดล้อม และปญั หา
สิง่ แวดล้อม
๓. เจตคติ (Attitude) ใหม้ คี ่านยิ มและความรู้สึกในการจะรักษาคุณภาพสงิ่ แวดล้อม และชกั จูงใจใหเ้ ข้าไป
มสี ว่ นร่วมในการปอ้ งกันและปรับปรุงสภาพแวดลอ้ ม
๔. ทกั ษะ (Skill) ใหม้ ีทักษะในการระบปุ ัญหาและทางเลอื กในการแก้ไขปญั หา สง่ิ แวดล้อม กอง
๕. การให้ความร่วมมือ (Participation) เพื่อใหม้ โี อกาสร่วมกันในการแก้ไขปญั หา ส่งิ แวดล้อม
18
จำกควำมหมำยของจุดมุ่งหมำยส่ิงแวดล้อมศึกษำสรปุ ไดว้ ่ำ สง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษามี จุดมงุ่ หมายดังนี้
๑. เพ่ือใหบ้ ุคคลเกดิ ความรู้เร่ืองความสัมพันธร์ ะหว่างมนุษย์กับสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทั้งมีประสบการณแ์ ละ
ความเขา้ ใจพื้นฐานเกย่ี วกับสภาพแวดลอ้ มและปัญหาส่ิงแวดล้อม
๒. เพื่อให้บุคคลรคู้ ุณค่าและความสาคัญของส่ิงแวดลอ้ ม และตระหนักถงึ สถานภาพ และแนวทาง
การใช้ทรพั ยากร โดยมิให้เกิดปญั หาส่งิ แวดลอ้ มตามมา โดยเฉพาะอย่างย่ิงมลพิษทาง ส่ิงแวดล้อม
๓. เพื่อให้บุคคลมเี จตคติ ค่านิยมและความรู้สกึ ในการจะอนุรักษค์ ุณภาพสงิ่ แวดล้อม และชกั จงู ใจใหเ้ ข้า
ไปมีสว่ นรว่ มในการป้องกันและปรบั ปรงุ สภาพแวดล้อม
๔. เพ่ือให้บุคคลมีทักษะในการระบุปญั หา คดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ และตดั สินใจ หาทางเลอื กในการแก้ไข
ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม
๕. เพื่อใหบ้ ุคคลมคี วามร้สู ึกรับผิดชอบตอ่ สถานภาพสิ่งแวดลอ้ มของชุมชนประเทศ และของโลกตลอดจน
รว่ มกนั ลงมอื ปฏิบตั ิกจิ กรรม ในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาส่งิ แวดล้อม
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสงิ่ แวดล้อมศึกษา เป้าหมายของส่ิงแวดล้อมศึกษาคือ การพัฒนามนุษย์ให้
เกิด การลงมือกระทาเพ่อื ส่งิ แวดลอ้ มที่ดีขึ้น ทงั้ โดยการ ปรับปรงุ และแกไ้ ขปัญหาที่มอี ยู่เดิม และการป้องกนั ปัญหา
ใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการลงมือกระทานั้นจะต้องเป็นการกระทาท่ีเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของ
ผกู้ ระทาเอง (ไมใ่ ชก่ ารบังคับใหท้ าหรือตอ้ งจาใจทา ซง่ึ กระบวนการในการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมของมนุษย์นั้นเป็น
เร่ืองทยี่ ากและตอ้ งใชร้ ะยะเวลา โดยเฉพาะพฤตกิ รรมทมี่ ีต่อสิ่งแวดลอ้ มจาเป็นต้องอาศัยกระบวนการในการพัฒนา
จาก “ไมร่ ”ู้ เปน็ “รู้”, จาก “รู้” เปน็ “รู้สกึ ”, จาก “รู้สึก” เป็น “คิดจะทา” และ จาก “คดิ จะทา” ไปสู่ “การ ลง
มอื กระทา” จนเกิดเป็นพฤติกรรม
หลายคร้งั ที่การจดั สิ่งแวดลอ้ มศึกษาไมป่ ระสบความสาเร็จ เนอื่ งจากการลงมือกระทาทเี่ กดิ ข้นึ นัน้ เป็นเพยี ง
“กจิ กรรม” ไม่ใช่ “พฤติกรรม” ซงึ่ ข้ันตอนหรอื กระบวนการในการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมของมนุษยใ์ หใ้ ส่ใจต่อ
สิ่งแวดลอ้ มนน้ั ผ้ดู าเนนิ การควรเน้นให้ครอบคลุมวตั ถปุ ระสงคท์ ั้ง ๕ ข้อของสง่ิ แวดล้อมศึกษา คือ ความรู้ ความ
เข้าใจ,ความตระหนกั ,เจตคต,ิ ทกั ษะและการมีสว่ นร่วม
ความรู้ ความเข้าใจ เกีย่ วกับพืน้ ฐานการทางานของธรรมชาติ ระบบนิเวศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ บั
ส่ิงแวดล้อม สาเหตขุ องปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ผลกระทบทีเ่ กิดจากการกระทาของมนุษย์ รวมทงั้ แนวทางในการป้องกนั
และแก้ไขปัญหา
ความตระหนัก ถึงปัญหาและผลกระทบสง่ิ แวดล้อม รวมไปถงึ ความรสู้ กึ รัก หวงแหน มจี ติ สานกึ และเหน็ ถงึ
คณุ ค่าความสาคญั ของทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม
เจตคติ และ “คา่ นยิ ม” ทีด่ ตี อ่ สง่ิ แวดล้อม ความตั้งใจจริงและมุ่งมน่ั ที่จะปกป้อง รกั ษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม
ให้คงสภาพที่ดีแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อมที่เป็นอยู่และป้องกันปญั หาใหมท่ ี่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทกั ษะ ท่ีควรให้มีการพัฒนา ได้แก่ ทักษะการสังเกต การช้ีบ่งปัญหา การเก็บข้อมูล การตรวจสอบ การ
วางแผน การคิดวเิ คราะห์ การแกป้ ญั หา รวมถงึ ทักษะในการตัดสินใจซึ่งเปน็ ทักษะท่ีสาคญั อย่างย่งิ สาหรบั
สถานการณ์ปัญหาความขัดแยง้ ดา้ นส่งิ แวดล้อมของสงั คมไทยในปจั จบุ ัน
การมีส่วนรว่ ม ท้งั ในระดบั บุคคลและในระดบั สังคม จะช่วยใหม้ นษุ ย์มีประสบการณใ์ นการนาความรู้และ
ทกั ษะที่ได้รบั มาใชใ้ นการป้องกันและแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อมและสามารถทางานรว่ มกบั ผู้อืน่ ได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ ควรจะจัดให้กบั ใครส่งิ แวดลอ้ มศึกษาควรจะจัดใหก้ บั ใคร? ส่งิ แวดลอ้ มศึกษาคือ “เครือ่ งมือ” ทส่ี าคัญ
19
ในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มโดยอาศัยกระบวนการทางการศึกษา
ด้วยเหตุนีจ้ งึ ทาให้หลายคนเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราควรจะจดั ส่ิง แวดลอ้ มศกึ ษาให้น่าจะเปน็ กล่มุ นกั เรยี น
ซง่ึ อยใู่ นระบบโรงเรยี นเทา่ น้นั แต่หากลองพิจารณาถงึ เป้าหมาย และหลักการของส่งิ แวดลอ้ มศึกษาแล้วจะพบว่า
เป้าหมายทแี่ ท้จรงิ ของสง่ิ แวดลอ้ มศึกษาคอื การพัฒนาคุณภาพของ“ประชากรโลก”โดยใช้กระบวนการสิ่งแวดลอ้ ม
ศกึ ษา ซงึ่ เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอด ชีวิตทีเ่ ริม่ ตั้งแตร่ ะดบั กอ่ นวยั เรยี นต่อเน่อื งไปทุกระดบั ทั้งในและนอกระบบ
โรงเรยี น
ดงั นั้นสงิ่ แวดล้อมศึกษาทด่ี ี จงึ ไม่ควรจากดั กลุ่มเป้าหมายอยูเ่ ฉพาะกลมุ่ นักเรยี นในระบบโรงเรยี นเท่านน้ั แต่
ควรจะจดั ใหก้ ับประชาชนทุกคน (ทุกเพศ ทุกวัย ทกุ สาขาอาชีพ) ตามความเหมาะสม
๒.๕ เปำ้ หมำยของสงิ่ แวดล้อมศึกษำ
วินยั วรี ะวัฒนานนท์ และคณะ (๒๕๔๐ : ๙) ได้กลา่ วถงึ เปา้ หมายของสิง่ แวดล้อมศกึ ษาไว้ ดังตอ่ ไปน้ี
๑. เพ่ือใหเ้ กดิ ความตระหนกั ในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง และ นิเวศวทิ ยาท้ังใน
เมอื ง และชนบท
๒. เพ่ือให้ทุกคนมีโอกาสได้รบั รู้ ค่านิยม เจตคติ ความผูกพัน และทักษะทจ่ี าเป็น ในการป้องกันและ
ปรับปรุงส่งิ แวดล้อม
จากการประชุมปฏิบัติการส่ิงแวดล้อมศึกษาระหว่างประเทศ (The International Environment
Education Workshop) ที่กรุงเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวีย ค.ศ. ๑๙๗๕ (UNESCO. ๑๙๗๖ : ๒) ได้มี การ
วางเป้าหมายของสงิ่ แวดล้อมศึกษาไว้วา่ เพ่ือพัฒนาประชากร ให้ตระหนักในเรอื่ งสิ่งแวดล้อม และปัญหาท่ีเกิดขึ้น
ให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ แรงจูงใจ และพร้อมที่จะทางานทั้งส่วนบุคคลและ ส่วนรวมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่
เกิดข้ึนในปัจจุบัน และป้องกันปัญหาท่ีเกิดขึ้นในอนาคตต่อมาได้มี การประชุมส่ิงแวดล้อมศึกษาระหว่างประเทศ
(The Intergovernmental Conference on Environmental Education) ที่เมือง Tbilisi ประเทศรัสเซีย
ค.ศ. ๑๙๗๗ (UNESCO. ๑๙๗๘ : ๒๖) ได้วางเป้าหมายของ ส่ิงแวดล้อมศึกษา ไวด้ งั ต่อไปนี้
๑. เพอื่ สง่ เสรมิ ให้มีความตระหนักชดั เจนในเร่ืองราว และความสัมพนั ธร์ ะหว่าง เศรษฐกิจ สงั คม การเมือง
และระบบนเิ วศทั้งในเมอื งและชนบท
๒. เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้รับความรู้ ค่านิยม เจตคติ และทักษะท่ีจาเป็น เพื่อป้องกันและปรับปรุง
สง่ิ แวดล้อม
๓. เพ่ือสร้างแบบแผนพฤติกรรมเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมทั้งของบุคคล กลุ่ม และสังคมจากความหมายของ
เป้าหมายสิ่งแวดล้อมศกึ ษาดงั กล่าว สรปุ ไดว้ ่า มเี ปา้ หมายเพื่อพัฒนา ประชากรใหต้ ระหนกั ในเร่อื งส่ิงแวดล้อมและ
ปัญหาที่เกิดข้ึน ตลอดจนมีความรู้ เจตคติ แรงจูงใจ ค่านิยม และทักษะท่ีจาเป็นสาหรับปรับปรุงส่ิงแวดล้อม
สามารถทางานรว่ มกับบุคคล และส่วนรวม เพอ่ื หาทางแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนในปจั จุบัน และปอ้ งกันปัญหาที่เกิดข้ึน
ในอนาคต
๒.๖ แนวคิดเกย่ี วกับวิวัฒนำกำรสง่ิ แวดล้อมศึกษำกับกำรพัฒนำทย่ี ั่งยืน
แนวคิดสิ่งแวดล้อมศึกษาเกิดขึ้นในยุคท่ีสังคมโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม กระทั่งการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อมมนษุ ย์ที่ เมืองสต๊อกโฮล์ม ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕
(ค.ศ. ๑๙๗๒) ได้มีการกล่าวถงึ ส่งิ แวดล้อมศึกษาเป็นครั้งแรกใน เวทีผู้นาโลก หลังจากนั้นสงิ่ แวดล้อมศึกษาก็ไดร้ ับ
20
การยกระดับให้เป็นเคร่ืองมือหน่ึงท่ีสาคัญใน การรับมือวิกฤตการณ์ส่ิงแวดล้อมโลก ต่อมาเม่ือมีการเสนอแนวคิด
เรื่องการพัฒนาที่ย่ังยืนผ่านรายงาน Our Common Future (อนาคตร่วมกันของเรา) ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ (ค.ศ.
๑๙๘๗) ตามมาด้วยการประชุมสหประชาชาติว่าด้วย ส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา หรือ การประชุมเอิร์ธซัมมิต ท่ี
เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. ๑๙๙๒) การประชุมครั้งน้ัน ท่ีประชุมได้รับรอง
แผนปฏิบัติการ ๒๑ ซ่ึงเปรียบ เสมือนแผนแม่บทที่จะนาพาโลกสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ ๒๑ โดยใจความ
ตอนหนึ่งได้ กล่าวถึงการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบว่าเป็นปัจจัยสาคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและนับ แต่นั้น
เป็นต้นมาเป้าหมายหลักของส่ิงแวดล้อมศึกษาก็ไม่ใช่เพียงแค่พัฒนาคนเพื่อปกปักษ์รักษาธรรมชาติและแก้ไข
ปัญหาส่ิงแวดล้อมเท่าน้ันแต่ได้ขยายขอบเขตไปสู่การสร้างสรรค์พฤติกรรมที่จะทาให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในเชิง
โครงสร้างที่ครอบคลุมทั้งด้านส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ และความยุติธรรมในสังคม โดยแนวคิดดังกล่าวน้ียังคงได้รับ
การสานตอ่ มาจนถงึ ปัจจุบัน
ช่วงที่ ๑ : จุดเรมิ่ ตน้ พ.ศ. ๒๔๐๐-พ.ศ. ๒๔๗๕
ตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา
ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นับเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีความมุ่งมั่นท่ีจะพิชิตธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มท่ี การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมท้ังการประดิษฐ์เครื่องจักรกลต่าง ๆ
ก็เพื่อสร้างผลผลิตในปริมาณมากให้ทันกับการขยายตัวของ ประชากรโลก ตลอดจนสนองความต้องการท่ีมีความ
ละเอียดอ่อนมากข้นึ กวา่ ในยคุ เกษตรกรรม ท่ผี ่านมา
ความเจริญดังกล่าว ก่อให้เกิดการทาลายธรรมชาติและปัญหามลพิษต่าง ๆ ท่ีมีความ ย่ิงใหญ่ไม่แพ้กัน ความคิด
ท่ีว่ามนุษย์สามารถจัดการธรรมชาติได้ตามต้องการอย่างไร้ขอบเขตจึงถูกต้ังคาถามและนาไปสู่การเคลื่อนไหวดา้ น
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสัตวป์ ่าอย่าง กว้างขวาง เหตุการณ์หน่ึงที่สาคัญในช่วงนค้ี ือ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๕
(ค.ศ. ๑๘๗๒) รฐั บาลสหรัฐอเมรกิ า ประกาศจดั ต้งั อทุ ยานแหง่ ชาตแิ หง่ แรกของประเทศและของโลก ชื่อว่า อุทยาน
แห่งชาติเยลโลว์ สโตน (Yellowstone National Park) ตงั้ อยทู่ รี่ าบสงู บนเทอื กเขาร็อคกี้
ด้านการศึกษาธรรมชาติก็มีพัฒนาการเช่นกัน ดังปรากฏในปี พ.ศ.๒๔๐๙ (ค.ศ. ๑๘๖๖) นักชีววิทยาชาว
เยอรมันชื่อ เอินสท์ ไฮน์ริช เฮคเกล (Ernst Heinrich Haeckel) ได้สร้างสรรค์ แนวคิดใหม่และต้ังชื่อศาสตร์นี้ว่า
“นิเวศวิทยา” (Ecology) โดยเขียนอธิบายความหมายว่า นิเวศวิทยา หมายถึง ศาสตร์ความรู้ท่ีเกี่ยวกับระบบ
เศรษฐกิจของธรรมชาติ ความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
(สัตว์ พืช) กับสิ่งมีชีวิต (พืช/สัตว์) กล่าวโดยย่อคือความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้เกี่ยวข้องกับการด้ินรนต่อสู้เพ่ือการ
ดารงอยู่
หลักการศึกษาแบบนิเวศวิทยาข้างต้น ทาให้มนุษย์เริ่มตระหนักมากย่ิงข้ึนถึงความสัมพันธ์ ระหว่าง
ส่ิงมีชีวิต (ซ่ึงย่อมรวมถึงมนุษย์ด้วย) กับธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมท่ีอาศัยอยู่ ต่างจาก ช่วงเวลาก่อนหน้าน้ีท่ี
การศึกษาธรรมชาติจะเป็นแบบแยกส่วนคือ เจาะลึกเฉพาะในแต่ละประเภท ของสิ่งมีชีวิตโดยขาดการศึกษาถึง
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในยุคเร่ิมต้นของนิเวศวิทยา ซ่ึงเป็นยุคท่ีการค้นคว้าและศึกษาธรรมชาติ เป็นท่ีนิยม กัน
มาก เซอร์ แพทริค เก็ดดิส (Sir Patrick Geddes) ศาสตราจารย์ ด้านพฤษศาสตร์และนักออกแบบ ผังเมือง
ชาวสก๊อต เป็นบุคคลแรกที่เช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพส่ิงแวดล้อมกับคุณภาพ การศึกษารวมท้ังเป็น
ผู้บุกเบิกวิธีการเรียนรู้ท่ีนาผู้เรียนออกไปสัมผัสสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยตรง นักวิชาการด้านส่ิงแวดล้อมศึกษาจึง
21
ยกยอ่ ง เซอร์ แพทริค เก็ดดสิ วา่ เปน็ ผรู้ ิเร่มิ งานสง่ิ แวดล้อมศึกษา ในประเทศองั กฤษ แม้ว่าในขณะนั้นจะไม่ได้ใช้คา
ว่าสิ่งแวดล้อมศึกษาก็ตาม
ช่วงที่ ๒ : “กาเนิดสิง่ แวดล้อมศกึ ษา” พ.ศ. ๒๔๙๐-พ.ศ. ๒๕๒๐
การทจ่ี ะกล่าวถงึ กาเนดิ ส่ิงแวดล้อมศึกษา ควรมีความเข้าใจเรอื่ ง พ้นื ฐาน ๒ เรอ่ื ง ได้แก่ เร่อื งแรกคือ ท่ีมา
ของคาว่า “ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา” (Environmental Education) และแนวคิดเบ้ืองตน้ เร่ืองทสี่ องคือ รคู้ วามหมาย
และขอบขา่ ยเนื้อหาสาระของสิ่งแวดล้อมศึกษาว่ามีพฒั นาการมาอยา่ งไร
ท่มี าของคาและแนวคดิ มีการกล่าวถงึ ต้นกาเนิดของคาวา่ สิ่งแวดลอ้ มศึกษาวา่ ปรากฏครง้ั แรกในหนังสือ
ชื่อ Communitas-Ways of Livelihood and Mcans of Life เขียนโดย เพอร์ซิวาล และ พอล กู๊ดแมน (Percival
และ Paul Goodman) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. ๑๙๔๗) ต่อมาก็มกี ารใชค้ าน้ีในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ (ค.ศ. ๑๙๔๘) ณ ที่
ประชมุ The International Union for the Protection of Nature (ปัจจุบันคอื องค์กรระหว่างประเทศเพ่ือการ
อนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ - The International Union for the Conservation of Nature and Natural
Resources - IUCN) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรง่ั เศส โดย โทมสั พริตชารค์ (Thomas Pitchard) ไดน้ าเสนอความคิด
วา่ ควรมวี ิธกี ารจดั การศึกษารปู แบบ ใหมท่ ี่อาจเรียกวา่ Environmental Education ในประเทศองั กฤษมีการ
สืบค้นและพบวา่ มีการใชค้ านี้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. ๑๙๖๕) ในการประชุมเกย่ี วกับการอนุรักษแ์ ละ
การศึกษา ณ มหาวิทยาลยั คีล (Keele University) ซ่งึ การประชมุ ครง้ั นั้นมีความหมายอยา่ งย่ิง ในสายตาของชาว
อังกฤษ เพราะสง่ ผลใหเ้ กิดความรว่ มมอื ระหวา่ งนักการศกึ ษาและนักอนรุ ักษ์ในการก่อต้ัง The Council for
Environmental Education (CEE) ขนึ้ ซ่ึงยังคงมีการดาเนินงานเรื่อยมาจนถงึ ทุกวนั นใี้ นชว่ งจดุ ประกายการศกึ ษา
รูปแบบใหมท่ เ่ี รยี กวา่ สง่ิ แวดลอ้ มศึกษาสง่ ผลให้มกี ารสัมมนาและงานเขียนเชิงวิชาการเกิดข้นึ อยา่ งหลากหลาย โดย
ผรู้ เิ ริม่ และพยายามพฒั นาคานิยามและแนวคดิ มีอยดู่ ว้ ยกนั ๒ กลมุ่ ทีส่ าคัญ ได้แก่ กลุ่มอาจารยข์ องมหาวิทยาลัย
มชิ ิแกน ซงึ่ มีวิลเลยี ม ปี สแทปป์ (William B. Stapp) เป็นผ้นู าทางความคดิ ส่วนอกี กลมุ่ คอื IUCN รว่ มกับ องค์การ
การศึกษาวิทยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมแหง่ สหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and
Cultural Organization - UNESCO) วลิ เลยี ม บี สแทปป์ เผยแพรแ่ นวคิดโดยการเขยี นบทความ แนวคิด
สิ่งแวดล้อมศึกษา (The Concept of Environmental Education) ซึง่ มีเนอ้ื หามาจากการสัมมนาของกลุ่ม
อาจารยภ์ าค วิชาการวางแผนทรัพยากรและการอนรุ ักษ์ธรรมชาติ มหาวทิ ยาลยั มิชิแกน ประเทศสหรฐั อเมริกา
บทความเร่ืองนตี้ ีพิมพ์ครัง้ แรกเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. ๑๙๖๙) ในวารสารชือ่ วา่ The Journal of Environmental
Education กลา่ วถงึ ความจาเป็นทีต่ อ้ ง มีวธิ กี ารจัดการศึกษารูปแบบใหมท่ ่ีเขา้ ถึง พลเมอื งทุกวัยเพ่ือเรียนรเู้ ร่อื ง
สง่ิ แวดลอ้ มและการแกไ้ ขปญั หาที่เกยี่ วข้อง ซ่งึ คาดว่าประเทศ สหรัฐอเมริกา จะต้องเผชญิ ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ มเมือง
ในอกี ๑๐ปีข้างหนา้ อยา่ งแนน่ อนเนอื่ งมาจากการเติบโตของประชากร โดยเรียกวธิ ีการจัดการศกึ ษานว้ี ่าสิง่ แวดล้อม
ศึกษา และให้คานยิ าม ไวด้ งั นี้
“ส่ิงแวดล้อมศึกษามีเป้าหมายเพ่ือสร้างคนให้มีความรู้เกี่ยวกับ ส่ิงแวดล้อมทาง ชีวภาพกับปัญหาท่ี
เชอื่ มโยงกัน มคี วามตระหนกั ถงึ การช่วยแก้ไขปญั หาและเกดิ แรงดลใจที่จะ หาทางแก้ไขปัญหาเหล่าน้นั ”
22
จำกกำรศึกษำแนวคิดเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมศึกษำได้สรุปและนาแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษามาเป็น
ฐานความรู้ครงั้ นี้ ดังนี้
๑. สิ่งแวดล้อมศึกษา หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาท่ีจัดขึ้น เพ่ือมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้มีความรู้ความ
เข้าใจในเรื่องส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อมที่มนุษย์สร้างข้ึน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อม
การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม และสภาพปัญหา ส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึน จนเกิดความรู้สึกเห็นคุณค่าของ
ส่ิงแวดล้อม ตระหนักและห่วงใยถึงปัญหา สิ่งแวดล้อม มีค่านิยม เจตคติ และแรงจูงใจที่จะเข้าไปมีส่วนรว่ มในการ
ป้องกัน และปรับปรุง สภาพแวดล้อมให้มีสภาพที่ดีข้ึน รวมท้ังมีทักษะในการระบุปัญหา และการตัดสินใจหา
ทางเลือก ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนร่วมมือกันรับผิดชอบในการปกป้องและแก้ไข ปัญหา
ส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึนให้บรรเทาลง ท้ังในระดับบุคคล กลุ่ม และสังคม เพ่ือพัฒนาคุณภาพ ชีวิตและคุณภาพ
ส่ิงแวดล้อมใหย้ ั่งยนื ตลอดไป
๒. ส่ิงแวดล้อมศึกษา มีความจาเป็นต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมวลมนุษย์ ช่วยเสริมสร้างความ
เขา้ ใจของประชาชน ตอ่ ปญั หาส่ิงแวดลอ้ มและการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดล้อม สรา้ ง แนวความคิดทจ่ี ะป้องกนั สง่ิ แวดล้อม
ทักษะในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และการตัดสินใจ เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน เพ่ือให้การอนุรักษ์
ส่ิงแวดล้อมสัมฤทธ์ิผลมากขน้ึ
๓. การจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาของประเทศไทย ได้กาหนดทิศทางและนโยบายไว้ดังน้ี คือให้มีการพัฒนา
หลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาในทุกระดับ ทุกประเภทการศึกษา ทั้งในระบบและ นอกระบบโรงเรียนท้ังในรูปแบบ
เป็นวิชาเฉพาะ และรูปแบบการสอดแทรกบูรณาการเข้ากับวิชา ต่าง ๆ กระบวนการเรียนการสอนและการจัด
กิจกรรมในเรื่องสิ่งแวดล้อมศึกษา เน้นกระบวนการ เรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจแนวคิด ในเรื่อง
สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างย่ังยืน สภาวะส่ิงแวดล้อมของท้องถิ่น และภูมิภาค ประชากรน้าด่ืมและอาหารที่
ปลอดภัย การสุขาภิบาล และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรคุณค่าของส่ิงแวดล้อม
ทาง เศรษฐกิจ สังคม และในเรื่องการพัฒนามนุษย์ ได้เรียนรู้สภาพสิ่งแวดล้อมพ้ืนฐานท่ีสาคัญของ ประเทศและ
โลก เน้นสภาพส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นปัญหาเฉพาะของแต่ละท้องถ่ิน มุ่งปลูกฝังนิสัย สร้าง จิตสานึก ทัศนคติ ค่านิยม
จริยธรรม และพฤติกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตระหนักถึง ผลกระทบความเสื่อมโทรมของ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นกระบวนการให้มีประสบการณ์ตรงและการแก้ปัญหา มีทักษะในการร่วม
คิด รว่ มทากาหนดทางเลือกและการตดั สินใจ ในการดาเนนิ การได้อย่างเหมาะสม มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ป้องกัน
ติดตาม เฝ้าระวังและแก้ไข ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ในด้านเน้ือหาการเรียนการสอน ให้เลือก
เนื้อหาที่วิกฤติ ท่ีสุดด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศ มาเป็นเน้ือหาในการสอน จัดทาและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
ส่ิงแวดล้อมศึกษา ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สอดคล้องทันต่อเหตุการณ์ ปัญหาและความ ต้องการในปัจจุบนั
เหมาะสมกับรูปแบบวธิ กี ารเรยี นการสอน และการจดั กจิ กรรมการศึกษา พัฒนาบคุ ลากรที่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อม
ศึกษาให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ ร่วมมือกันจัดส่ิงแวดล้อมศึกษา ส่งเสริมให้ภาคเอกชนและ
ประชาชนมีส่วนรว่ มสง่ เสรมิ การให้ การศึกษาดา้ นสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
๔. สิ่งแวดล้อมศึกษา มีเป้าหมายเพ่ือพัฒนาประชากรให้ตระหนักในเร่ืองสิ่งแวดล้อม และปัญหาท่ีเกิดขน้ึ
ตลอดจนมี ความรู้ เจตคติแรงจูงใจ ค่านิยม และทักษะที่จาเป็นสาหรับปรับปรุง สิ่งแวดล้อม สามารถทางาน
ร่วมกบั บุคคลและส่วนรวม เพ่อื หาทางแก้ไขปัญหาท่เี กิดข้นึ ใน ปจั จบุ นั และปอ้ งกนั ปัญหาทเี่ กิดขึน้ ในอนาคต
23
๕. สิ่งแวดล้อมศึกษามีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้บุคคลเกิดความรู้ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับ
ส่ิงแวดล้อม รวมท้ังมีประสบการณ์และความเข้าใจพ้ืนฐาน เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและ ปัญหาส่ิงแวดล้อมรคู้ ุณค่า
และความสาคัญของส่ิงแวดล้อม และตระหนักถึงสถานภาพและ แนวทางการใช้ทรัพยากร โดยมิให้เกิดปัญหา
สิ่งแวดล้อมตามมา โดยเฉพาะอย่างย่ิงมลพิษทาง สิ่งแวดล้อม มีเจตคติ ค่านิยม และความรู้สึกในการจะอนุรักษ์
คุณภาพสิ่งแวดล้อม และชักจูงใจให้ เข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกัน และปรับปรุงสภาพแวดล้อม มีทักษะในการ
ระบุปญั หา คิดอย่างมี วจิ ารณญาณ และตดั สนิ ใจหาทางเลือกในการแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อม มคี วามร้สู กึ รับผิดชอบ
ต่อ สถานภาพส่ิงแวดล้อมของชุมชน ประเทศ และของโลก ตลอดจนร่วมกัน ลงมือปฏิบัติกิจกรรมใน การป้องกัน
และแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อม
๖. หลักการของส่ิงแวดล้อมศึกษา คือ ควรจะได้พิจารณาส่ิงแวดล้อมทั้งมวล ควรจะ เป็นกระบวนการ
ตลอดชีวิต เป็นการศึกษาเพื่อชีวิต มลี กั ษณะเป็นสหวิทยาการ ควรจะพจิ ารณาเร่ืองราว ของส่งิ แวดล้อมในวงกว้าง
ต้ังแต่ระดับท้องถิ่น ประเทศ ระดับภูมิภาค จนถึงระดับโลก เน้นสถานการณ์ ส่ิงแวดล้อม ปัจจุบันและอนาคต
สง่ เสริมใหเ้ กิดการรว่ มมอื กนั แกป้ ัญหาสิ่งแวดลอ้ ม ทง้ั ในระดับ ทอ้ งถิน่ ระดับประเทศ และระดบั โลก ชว่ ยให้ผูเ้ รียน
รู้จักค้นคว้าเรื่องราว และสาเหตุที่แท้จริงของ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เน้นความซับซ้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อม พัฒนา
ความคิดในเชิงวิพากษ์และ ทักษะในการแก้ปัญหาใช้สิ่งแวดล้อม ให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้ เรียนมี
ประสบการณ์ ตรงเป็นกระบวนการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการวางแผน และตัดสินใจอนุรักษ์และ
ป้องกันส่ิงแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การสร้าง จริยธรรม เป็นการ
เรียนเชิงระบบ ท่ีผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในบทเรียน มุ่งสร้างความรู้ ความตระหนัก เจตคติ ค่านิยม ทักษะการ
แกป้ ญั หา และคุณคา่ ทางส่งิ แวดลอ้ ม
3. ทฤษฎกี ำรเรียนรู้แบบรว่ มมอื
3.1 ควำมหมำยของกำรจัดกำรเรียนรแู้ บบร่วมมือ
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546, หน้า 10) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือว่า หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ให้นักเรียนทางาน
ร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนสูงสุดแก่ตนเองและกับนักเรียนท่ีทางานร่วมกันตามที่ได้รับมอบหมาย
จนกระท่ังสมาชิกของกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องและและทางานจนเสร็จสมบู รณ์ความพยายามที่เกิดข้ึน
ร่วมกันเป็นผลมาจากที่นักเรียนการท่ีนักเรียนพยายามต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของทุกคนทาให้สมาชิกในกลุ่มได้รับ
ประโยชน์จากความพยายามร่วมกนั
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2552, หน้า 182) กล่าวไว้ว่า เป็นวิธีการสอนท่ีออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดย
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันในกลุ่มย่อย ๆ เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกท่ีมี
ความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ผู้เรียนแต่ละคนจะต้องร่วมมือกันในการเรียนรู้ร่วมกันมีการช่วยเหลือและ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้กาลังใจซึ่งกันและกันคนที่เก่งกว่าจะช่วยคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มจะต้องร่วมกัน
รับผิดชอบต่อการเรียนร้ขู องเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม เพราะยึดถือแนวคิดที่ว่า ความสาเร็จของสมาชกิ ทุกคนจะ
รวมเป็นความสาเรจ็ ของกลมุ่ พรรณรศั มิ์ เงา่ ธรรมสาร (2533, หน้า 53 ) กลา่ ววา่ การเรียนรแู้ บบร่วมมือ
เป็นการเรียนแบบทางานรับผิดชอบร่วมกัน ( Cooperative Learning ) เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่
แบ่งผู้เรียนเปน็ กลุ่มเลก็ ๆ สมาชิกในกล่มุ จะมีความสามารถแตกตา่ งกนั ผเู้ รียนแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ชว่ ยเหลือ
ซง่ึ กนั และกนั และรับผดิ ชอบการทางานของตัวเองเทา่ ๆ กับรับผิดชอบการทางานของสมาชิกในกลมุ่ ดว้ ย
24
ฐิติมา อุ่นใจ (2538, หน้า 28) ได้เรียกการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า หมายถึง กระบวนการเรียนรู้โดย
ครูต้องจดั สภาพการณแ์ ละเง่ือนไขใหผ้ ู้เรยี นทางานประสานกนั เปน็ กล่มุ ตง้ั แต่ 2 คนขึ้นไปโดยปกติ จะประกอบด้วย
สมาชิก 2-5 คน ท่ีมีความสามารถและบทบาทในกลุ่มแตกต่างกัน ผู้เรียนแลกเปล่ียนความคิดเห็น ช่วยเหลือซ่ึง
กนั และกนั ในการแกไ้ ขปญั หาภายในกลมุ่ เพือ่ ทกุ คนจะไดร้ บั ความสาเรจ็ ร่วมกัน
กนกพร แสงสว่าง (2540, หน้า 11) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนท่ีจัดนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ โดยการจัดให้สมาชิกแต่ละกลุ่มมีความหลากหลายท้ังในความสามารถ
ความสนใจ เพศ และอื่น ๆ โดยแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าท่ีและความรับผิดชอบท่ีต้องพ่ึงพาอาศัยกัน โดยเน้น
กระบวนการร่วมมอื กันมากกว่าการแขง่ ขัน ความสาเร็จของตนเองจะต้องควบคู่ไปกับความสาเรจ็ ของกลมุ่
อรพรรณ พรสีมา (2540, หน้า 1-4) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงวิธีการเรียนท่ีเน้น
การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มี
ความรู้ ความสามารถแตกตา่ งกัน แต่ละคนจะต้องมีส่วนรว่ มอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสาเรจ็ ของกลุ่ม
ทง้ั โดยการแลกเปลยี่ นความคิดเห็น รวมทง้ั การเป็นกาลังใจแกก่ นั และกัน
วชั รา เลา่ เรยี นดี (2547, หน้า 1) กลา่ ววา่ เปน็ การจัดการเรียนการสอนทเ่ี น้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญอกี
แบบหนง่ึ เพื่อให้นกั เรียนได้ร่วมกนั เรยี นรู้และปฏบิ ตั ิกิจกรรมใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามจดุ มุ่งหมาย มุง่ เนน้ การรวมกัน
ปฏิบัตงิ านช่วยเหลอื ซึง่ กนั และกนั และม่งุ สง่ เสรมิ พัฒนาทักษะทางสังคมและให้ทุกคนรับผิดชอบต่อผลงานของ
ตนเองและของกลุ่มทกุ คนตอ้ งมกี ารแลกเปล่ียนความคดิ เห็นชว่ ยเหลอื พ่งึ พากนั ยอมรับกันและกนั รวมท้ังช่วยเหลือ
เพ่ือนสมาชกิ ให้สามารถเรียนรู้ไดต้ ามวตั ถุประสงค์ท่กี าหนด
Slavin (อ้างใน สุรีย์ บาวเออร์, 2535, หน้า 15) ได้ให้คาจากัดความว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือคือ
การสอนแบบหนึ่งซ่ึงนักเรียนทางานกันเป็นกลุ่มเล็ก (ปกติ 4 คน) และการจัดกลุ่มต้องคานึงถึงความสามารถของ
นักเรียน ( เช่น นักเรียนที่มีความสามารถสูง 1 คน ความสามารถปานกลาง 2 คน ความสามารถน้อย 1 คน )
หน้าท่ีของนกั เรยี นในกลุม่ จะต้องช่วยกันทางานรบั ผิดชอบและชว่ ยเหลอื การเรียนซ่ึงกนั และกัน
Van De Kley ( อ้างใน วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2541 , หน้า 45) ให้ความหมายของการเรียนรู้
แบบร่วมมือว่า หมายถึง การท่ีนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในการทางานช่วยเหลือเกื้อกูล สนับสนุนความสาเร็จ
ของกันและกัน โดยท่ีนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มจะมีความรับผิดชอบงานของตนเอง การทางานท่ีได้รับมอบหมาย
ของนักเรียนแต่ละคน จะมีการตรวจสอบ และการนาผลการทางานเสนอในกลุ่ม กลุ่มจะทาหน้าท่ีช่วยเหลือว่า
ใครอ่อนดา้ นใด คนทีเ่ กง่ จะช่วยเหลือ
ดา้ นนั้น ซงึ่ จะทาใหก้ ารทางานเขม้ แข็งขึ้น
จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือหมายถึง
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ ใหน้ ักเรียนเรยี นรโู้ ดยมีการแบ่งเป็นกล่มุ ย่อย ประมาณ 4-5 คน ซงึ่ สมาชิก
ในกลุ่มจะมีความสามารถทางดา้ นการเรยี นแตกต่างกนั คือ เกง่ ปานกลาง อ่อน โดยสมาชิกในกลุ่มจะช่วยแหลือซึ่ง
กันและกันในการเรียนรู้ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเรียน ความสาเร็จทางการเรียนของแต่ละบุคคล คือ
ความสาเร็จของกลุ่มด้วย
3.2 ลักษณะสำคญั ของกำรเรียนรู้แบบรว่ มมือ
วัชรา เล่าเรียนดี (2547, หน้า 2) ได้สรุปลักษณะสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือดังนี้คือ การ
จัดการเรียนการสอนโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไม่ใช่การสอนโดยเน้นให้นักเรียนเข้ากลุ่มกันเรียนรู้แบบปกติที่ครู
25
ใช้เปน็ ประจา แตจ่ ะตอ้ งเปน็ การเรยี นรู้รว่ มกนั อย่างจริงจังของสมาชิกกลุ่มทุกคน เป็นการม่งุ ส่งเสริมพฒั นาทักษะ
ทางสังคม และพฤติกรรมการทางานกลุ่มท่ีช่วยเหลือ พึ่งพาแนะนาซึ่งกันและกันจนงานบรรลุผลสาเร็จ ครูจึง
ต้องติดตามดูแลการเรียนรู้และปฏิบัติงานกลุ่มของนักเรียนตลอดเวลา ให้ทุกคนรับผิดชอบต่อผลงานของตนเอง
และของกลุ่ม ทุกคนต้องมีการแลกเปล่ียนความคิดเห็น ช่วยเหลือพ่ึงพากัน ยอมรับกันและกัน รวมท้ังช่วยเหลอื
เพ่ือนสมาชกิ ใหส้ ามารถเรยี นรไู้ ดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ที่กาหนด
จอหน์ สัน และ จอห์นสัน (1987, อา้ งใน ชวี พร ตปนียกร, 2538, หน้า 9-10) ไดส้ รปุ ลกั ษณะสาคัญ
ของการเรียนรูแ้ บบร่วมมือดงั น้ี
1. สมาชกิ ในกลมุ่ มีความรบั ผิดชอบต่อกลมุ่ ร่วมกัน“อยู่ด้วยกนั หรือตายดว้ ยกัน” ช่วยกนั ทางานทไี่ ด้รบั
มอบหมายให้สาเรจ็ โดยมีจุดมงุ่ หมายการปฏบิ ัติงานร่วมกัน มกี ารแบ่งข้อมูลและอปุ กรณ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่ม
2. สมาชกิ ในกล่มุ มีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ต่อกัน อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ซึง่ กนั และกนั
3. สมาชิกกลุ่มแต่ละคนมีความรับผิดชอบในตัวเอง ต่องานท่ีได้รับมอบหมาย จุดมุ่งหมายที่สาคัญคือ
การทแี่ ตล่ ะคนทางานอย่างเตม็ ความสามารถ
4. สมาชิกในกลุ่มมีทักษะในการทางานกลุ่ม (Small Group Skills) และมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี ครูสอน
ทักษะการทางานกลุ่ม และประเมินการทางานกลุ่มของนักเรียน การท่ีจับให้นักเรียนท่ีขาดทักษะการทางานกลุ่ม
มาทางานรว่ มกัน จะไมป่ ระสบความสาเรจ็ ปทีป เมธาคุณวุฒิ (2543, หน้า 1-2) ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะสาคัญของ
การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ดังต่อไปนี้
1) การพึงพาอาศัยซ่ึงกันและกันเชิงบวก ผู้เรียนต้องมีความเช่ือว่า ตนเองจะต้องเช่ือมโยงกับผู้อ่ืน
ในทางที่จะไม่มีใครประสบความสาเร็จ ถ้าสมาชิกคนอ่ืนของกลุ่มไม่ประสบความสาเร็จด้วย ผู้เรียนจะต้องทางาน
ด้วยกันเพ่ือให้งานสาเร็จ ทุกคนในกลุ่มต้องพ่ึงกันในทางทรัพยากร แบ่งปันในสิ่งที่ตนมีอยู่แก่กันและกัน ต้องรู้จัก
แบ่งงานกนั ทาตามสายงาน ตามความถนัด แลความเชยี่ วชาญของตน
2) ปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมการทางานร่วมกัน การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นวิธีการเรียนการสอนท่ีเน้นให้
ผู้เรียนเป็นตัวเชื่อมโยง ผู้เรียนต้องมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลืออธิบายให้ และสอนกันและกัน
คิดแก้ปญั หารว่ มกัน สง่ เสริมความสาเร็จของกนั และกัน
3) ความรับผิดชอบส่วนบุคคล สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรับผิดชอบงานส่วนของตนท่ีได้จัดสรรกันใน
กลมุ่ แล้ว และรับผิดชอบสอนเพ่ือนในกลุ่มอกี 1-2 คน วิธีน้ีเป็นการเรียนร้ดู ้วยกันเพอ่ื ใหแ้ ตล่ ะคนดีขึ้น ดังนัน้ กลุ่ม
จาเปน็ ต้องร้วู ่าบคุ คลใดควรเป็นผ้รู บั ความชว่ ยเหลือ
4) ทักษะการทางานเป็นทีม ทักษะกลุ่มย่อย เช่น ทักษะการฟัง การสรุปข้อสนับสนุนของผู้อื่น
การขยายคาอธบิ ายของผู้อืน่ การแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งนักวชิ าการ การแสดงความนับถอื ในงานหรือหน้าท่ีหรือ
ตาแหน่งของผู้อื่นท่ีได้รับมอบหมายจากกลุ่ม ทักษะการเป็นผู้นา การตัดสินใจ และทักษะการจัดการกับความ
ขดั แยง้
5) กระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการกลุ่ม เพ่ือให้
องคป์ ระกอบท่ีกลา่ วมาทัง้ 4 ประการประสบความสาเร็จในการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื
26
3.3 องคป์ ระกอบของกำรเรียนร้แู บบร่วมมอื
ทิศนา แขมมณี. (2553, หน้า 99-101) กล่าวถึงองค์ประกอบสาคัญของการเรียนแบบร่วมมือ
ไว้ 5 ประการ ดงั น้ี
1. การสร้างความรู้สึกพ่ึงพากันทางบวกให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักเรียน (Positive interdependence)
วิธีการท่ีทาให้นักเรียนเกิดความรู้สึกพ่ึงพากันจะต้องจัดกิจกรรมการเรียน การสอนให้มีการพ่ึงพากันในด้านการ
ได้รับประโยชน์จากความสาเร็จของกลุ่มรว่ มกัน เชน่ รางวัลหรือคะแนน และพึ่งพากนั ในด้านกระบวนการทางาน
เพื่อให้งานกลุ่มสามารถบรรลุได้ตามเป้าหมายโดยมีการกาหนดบทบาทของแต่ละคนท่ีเท่าเทียมกันและสัมพันธ์ตอ่
กนั จึงจะทาให้งานสาเรจ็ และการแบง่ งานใหน้ ักเรยี นแต่ละคนในกล่มุ ใหม้ ลี ักษณะท่ีต่อเน่ืองกนั ถา้ ขาดสมาชิกคน
ใดจะทาให้งานดาเนนิ ต่อไปไม่ได้
การพ่งึ พากันทางบวกสามารถจดั โครงสรา้ งไดเ้ ป็น 4 วธิ ีในการจัดการเรียนรู้ ดงั นี้
1.1 การพ่งึ พากนั ทางบวกด้านเป้าหมาย
นักเรียนจะต้องรับรู้ว่าตนสามารถบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ได้ถ้าสมาชิกกลุ่มทั้งหมดบรรลุ
เปา้ หมาย เพือ่ ให้มนั่ ใจว่านักเรยี นเช่ือเช่นนัน้ และใสใ่ จกันและกันวา่ แต่ละคนเรียนรู้ไดม้ ากน้อยเพียงใด ต้องรู้จัด
วางโครงสร้างเป้าหมายกลุ่มหรือเป้าหมายร่วมให้ชัดเจน เช่น “เรียนรู้ส่ิงที่ได้รับมอบหมาย และให้แน่ใจว่าสมาชกิ
ทุกคนในกลุ่มของเธอเรียนรดู้ ้วย” เปา้ หมายกลมุ่ ต้องเป็นส่วนหน่ึงของบทเรยี นเสมอ
1.2 การพง่ึ พากันทางบวกดา้ นรางวัล / การยกยอ่ ง
สมาชกิ กลุ่มแต่ละคนไดร้ ับรางวลั เหมอื นกนั เมอื่ กลุ่มบรรลุเปา้ หมาย เพ่อื เสริมให้มกี ารพ่งึ พากันเพ่ือ
เป้าหมาย ครอู าจเพิม่ รางวลั รวม เชน่ ถา้ สมาชกิ ทงั้ หมดในกล่มุ ทาข้อสอบถูก 90 เปอรเ์ ซ็นต์หรอื มากกว่า ทกุ คน
จะได้โบนัสเพิ่มอีก 5 คะแนน บางครง้ั ครอู าจให้คะแนนกลุ่มสาหรบั ผลการทางานท้ังหมด และให้คะแนนแต่ละคน
สาหรับการสอบ การแสดงความยินดีในความพยายามและความสาเร็จของกลุ่มอย่างสม่าเสมอจะส่งเสริมคุณภาพ
ของการร่วมมอื
1.3 การพึ่งพากันทางบวกด้านทรัพยากร
สมาชิกกลุ่มแต่ละคนได้รับสัดส่วนของทรัพยากร ข้อสนเทศ หรือส่ือวัสดุที่จาเป็นเพ่ือให้ทางาน
ที่ได้รับมอบหมายสาเร็จ ดังนั้นสมาชิกต้องรวมทรัพยากรมาใช้ร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ครูอาจจะให้
ความสาคัญกับสัมพันธภาพแบบร่วมมือ โดยการจัดทรัพยากรให้นักเรียนอย่างจากัดทาให้ต้องแบ่งปันกันใช้ หรือ
จดั ทรัพยากรท่จี าเป็นบางสว่ นใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนนามาใชป้ ระกอบกัน เปน็ ต้น
1.4 การพงึ่ พากนั ทางบวกดา้ นบทบาท
สมาชิกแต่ละคนได้รับบทบาทเสริมและบทบาทเช่ือมโยงที่ระบุความรับผิดชอบท่ีจาเป็นต่อกลุ่มใน
การทางานร่วมกันให้สาเร็จ ครูสร้างการพึ่งพากันด้วยบทบาทในหมู่นักเรียน โดยการมอบบทบาทเสริมให้ เช่น
เป็นผ้อู ่าน ผบู้ ันทกึ ผูต้ รวจสอบความเขา้ ใจ ผูก้ ระตุ้นใหร้ ว่ มกจิ กรรม และผบู้ รรยาย ซึ่งบทบาทเหล่านี้มีความสาคัญ
ต่อการเรยี นรทู้ ม่ี ีคุณภาพสงู
2. การมปี ฏิสัมพันธ์ท่ีส่งเสริมเกื้อหนุนกันระหวา่ งนักเรียน (Face-to-face primitive interaction) คือ
นกั เรียนในแตล่ ะกลุ่มจะมีการอภปิ ราย อธบิ าย ซกั ถาม แลกเปลยี่ นความคดิ เห็น
ซึ่งกันและกัน เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ และการเรียนรู้เหตุผลซึ่งกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลับ
เก่ียวกับการทางานของตน สมาชิกในกล่มุ มีการชว่ ยเหลือ สนับสนุน กระตุ้น ส่งเสริมและให้กาลังใจกัน และกันใน
การทางานและการเรยี นเพ่ือใหป้ ระสบผลสาเร็จบรรลุเปา้ หมายของกล่มุ
27
3. ความรับผดิ ชอบของสมาชกิ แต่ละบุคคล (Individual accountability) คอื ความรับผิดชอบในการ
เรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนโดยต้องทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถต้องรับผิดชอบในผลการเรียน
ของตนเองและของเพ่ือนสมาชิกในกลุ่ม ทุกคนในกลุ่มจะรู้ว่าใครต้องการความช่วยเหลือ ส่งเสริมสนับสนุนใน
เรื่องใด มีการกระตุ้นกันและกันให้ทางานท่ีได้รับมอบหมายให้สมบูรณ์ มีการตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียน
เกิดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลหรือไม่โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบ
เปน็ รายบุคคลเพ่อื เป็นการประกันวา่ สมาชกิ ทกุ คนในกลุ่มมีความรบั ผดิ ชอบรว่ มกันกบั กลมุ่
4. ทกั ษะระหว่างบคุ คลและทกั ษะการทางานกลุ่มย่อย (Interpersonal and small group skills) การ
ทางานกลุ่มย่อยจะต้องได้รบั การฝึกฝนทักษะทางสังคมและทักษะในการทางานกลุ่ม เพ่ือใหส้ ามารถทางานร่วมกับ
ผู้อื่นได้อย่างมีความสขุ ดังนั้นนักเรียนควรจะต้องทาความรจู้ ักกัน เรียนรู้ลักษณะนิสัยและสร้างความไวว้ างใจตอ่
กนั และกนั รับฟงั และยอมรบั ความคิดเหน็ ของผอู้ ื่นอย่างมเี หตผุ ล รู้จักตดิ ตอ่ ส่ือสาร และสามารถตดั สินใจแกป้ ญั หา
ข้อขดั แยง้ ในการทางานร่วมกนั ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
5. กระบวนการกลุ่ม (Group process) เป็นกระบวนการทางานที่มีข้ันตอนหรือวิธีการท่ีจะช่วยให้การ
ดาเนินงานของกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้ โดยสมาชิกกลุ่มต้องทาความเข้าใจใน
เป้าหมายการทางาน วางแผนปฏบิ ตั ิงานและดาเนินงานตามแผนร่วมกัน และท่สี าคญั จะต้องมีการประเมินผลงาน
ของกลุ่ม ประเมินกระบวนการทางานกลุ่ม ประเมินบทบาทของสมาชิกว่า สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มสามารถ
ปรับปรุงการทางานของตนให้ดขี ึ้นได้อยา่ งไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มช่วยกันแสดงความคิดเห็น และตัดสินใจวา่ ควร
มีการปรับปรุง หรือเปล่ียนแปลงอะไร และอย่างไรดังนั้นกระบวนการกลุ่มจะเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญที่นาไปสู่
ความสาเร็จของกลมุ่
สุจินต์ วิศวธีรานนท์ (2536, หน้า 231-232) ได้กาหนดองค์ประกอบของการจัดการเรยี นการสอน
ด้วยวธิ ีการเรยี นรู้แบบรว่ มมือดังต่อไปนี้
1. สร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักเรียน โดยกาหนดวัตถุประสงค์เก่ียวกับการพึ่งพาช่วยเหลือกัน
เพื่อนาไปสู่ความสาเร็จร่วมกัน เช่น ให้ศึกษาจากเอกสารท่ีได้รับและตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนในกลุ่มเข้าใจ
เน้อื หาสาระในเอกสารน้ัน และเพื่อสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารพึง่ พากัน ครูอาจจะมกี ารกาหนดให้มีการใหร้ างวัลรวม (Joint
Rewards) เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนของกลุ่มใดได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 90.00 ข้ึนไปของคะแนนเต็ม สมาชิกใน
กล่มุ นนั้ จะไดร้ างวัลพเิ ศษ (Bonus Point) อกี คนละ 5 คะแนน การส่งเสรมิ การพ่ึงพาอีกวธิ ีหน่ึง ได้แก่ การแยก
แหล่งข้อมูลที่จะให้นักเรียน เช่น ให้สมาชิกแต่ละคนมีข้อมูลเพียงบางส่วนของข้อมูลทั้งหมด ในการทางานท่ีได้รับ
มอบหมาย แต่กาหนดให้ท้ังกลุ่มทางานใหเ้ สร็จ นอกจากนั้นการส่งเสริมพึ่งพากัน อาจทาได้โดยการใชว้ ิธีกาหนด
บทบาทของสมาชกิ ในกลมุ่ เปน็ ผู้อา่ น ผูต้ รวจสอบ ผใู้ ห้กาลงั ใจ และผ้ชู ้แี จงรายละเอียด
2. จัดให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน เม่ือครูจัดให้มีความรู้สึกพึ่งพากันแล้ว ครูต้องเปิดโอกาส
ใหน้ ักเรยี นมีปฏสิ มั พันธ์ต่อกัน เพือ่ ชว่ ยและสง่ เสรมิ การทางานใหส้ าเร็จ นกั เรยี นจะตอ้ งซักถามและอภิปรายถึงสิ่ง
ท่ไี ดเ้ รียนรู้ อธิบายกนั และกัน ใหเ้ ข้าใจวธิ กี ารทางานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย ช่วยเหลือ สนบั สนนุ และใหก้ าลังใจแก่กัน
2.1 สมาชิกกล่มุ ทุกคนต้องมคี วามรับผิดชอบต่อผลสาเร็จของกลุ่มมีการร่วมมือร่วมใจกนั ปฏิบัติงาน
โดยไมเ่ อาเปรยี บซงึ่ กนั และกัน
2.2 สมาชิกกลุ่มต้องเข้าใจตรงกันเก่ียวกับเป้าหมายการทางานกลุ่ม ต้องสามารถวัดได้ รวมถึง
ความก้าวหน้าและความพยายามในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบว่าสมาชิกคนใดต้องการความช่วยเหลือ การ
28
สนับสนุน การกระตุ้นเสรมิ แรงเป็นพเิ ศษ เพ่ือใหส้ ามารถปฏบิ ัติงานได้ประสบความสาเรจ็ โดยท่ที กุ คนต้องเข้มแข็ง
และพฒั นาขึน้
3. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีและการสร้างสรรค์กันระหว่างบุคคลและระหว่างสมาชิกทุกคนในกลุ่ม
เน่อื งจากนกั เรียนตอ้ งร่วมกันปฏบิ ตั ิงานอยา่ งจริงจงั ทุกคนตอ้ งสนบั สนนุ ช่วยเหลือกัน เพ่อื ให้ประสบผลสาเร็จใน
เป้าหมายเดียวกัน โดยแบ่งปันวัสดุอุปกรณ์กัน ช่วยเหลือ สนับสนุน กระตุ้นและชมเชยในความพยายามของกัน
และกัน การเรียนรู้แบบร่วมมือกันเป็นระบบการให้การสนับสนุน ท้ังด้านวิชาการและบุคคล จะเห็นได้ว่า
กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน การช่วยเหลือการสนับสนุนพึ่งพาอาศัยกันจะปรากฏก็ต่อเมื่อนักเรียนช่วยเหลือกัน
การยอมรับวิธีการแก้ปัญหา วิธีปฏิบัติร่วมอภิปราย การระดมความรู้ที่ได้เรียนมา มีการสอนหรืออภิปรายเพื่อ
เสรมิ ความรู้และความเข้าใจให้แกเ่ พ่ือนดว้ ย หรอื เชอ่ื มโยงความร้ใู หม่กบั ความรเู้ ดมิ เป็นต้น
4. การสอนทักษะทางสังคม ทักษะในการช่วยเหลือพ่ึงพาอาศัยกัน และทักษะการปฏิบัติงานกลุ่มเป็น
สง่ิ จาเป็น และเปน็ เป้าหมายทสี่ าคญั ของการเรียนรู้ในแบบดังกล่าว ดงั นนั้ การเรยี นรู้แบบรว่ มมือกันเป็นกิจกรรม
ท่ีซับซ้อนละเอียดมากกว่าการเรียนแบบแข่งขัน หรือเรียนด้วยตนเอง เพราะนักเรียนจะต้องเรียนทั้งสาระความรู้
ด้านวิชาการ ( Task work) เช่นเดียวกับทักษะทางด้านสังคม การปฏิบัติงานร่วมกันภายในกลุ่ม ( Team work)
ดังนั้นสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะต้องรู้ เข้าใจ และมีความสามารถในการใช้ภาวะผู้นาอย่างมีประสิทธิผล
การตัดสินใจ การสร้างความเชื่อถือ การสื่อความหมาย การจัดการ แก้ไขข้อขัดแย้งในกลุ่มและการจูงใจให้
ปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ดังนั้นครูผู้สอนจึงต้องสอนทักษะการทางานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง
เช่นเดียวกับการให้ความรู้และทักษะทางวิชาการต่าง ๆ เพราะการร่วมมือกับความขัดแย้ง มีความสัมพันธ์ซ่ึงกัน
และกัน
5. กระบวนการกลุ่ม (Group processing) การปฏิบัตงิ านกล่มุ หรือกระบวนการกลมุ่ เป็นองค์ประกอบ
ท่ีสาคัญองค์ประกอบหนึ่งของการเรียนรู้แบบร่วมมือ กระบวนการจะปรากฏเมื่อสมาชิกกลุ่มร่วมกันอภิปรายจน
บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชกิ กลุ่มทุกคนมีความสมั พันธ์ท่ีดีต่อกัน ดังนั้นกลุ่มจะต้องอภิปรายให้
สมาชิกกลุ่มทุกคนได้เข้าใจการปฏบิ ัติงานอย่างไรที่ช่วยและไม่ช่วยให้งานกลุม่ ประสบผลสาเรจ็ ตามเป้าหมาย และ
ช่วยตัดสินใจว่าพฤติกรรมใดในกลุ่มท่ีควรปฏิบัติต่อไป พฤติกรรมใดควรเปล่ียนแปลง กระบวนการเรียนรู้จะเกิด
อย่างต่อเน่ืองเป็นผลจากการวิเคราะห์อย่างละเอียดว่า สมาชิกปฏิบัติงานร่วมกันอย่างไร และประสิทธิภาพกลุ่ม
จะพัฒนายิ่งข้นึ อยา่ งไร
3.4 ขนั้ ตอนในกำรสอนกำรเรียนรู้แบบรว่ มมือ
สหวิทยาลัยทวาราวดี (กรมการฝกึ หัดครู, 2536, หนา้ 29) ไดล้ าดบั ขนั้ ตอนการเรียน
การสอนการเรยี นรู้แบบร่วมมอื ไว้ 5 ขน้ั ตอน ดงั นี้
ข้ันท่ี 1 ข้นั เตรียม
- ครูสอนทักษะในการเรียนรู้แบบร่วมมือ
- จัดกลุ่มนกั เรยี น
- บอกจุดประสงคข์ องบทเรียน
- บอกจุดประสงค์ของการทางานรว่ มกัน
29
ขั้นท่ี 2 ขน้ั สอน
- ครูอธบิ ายเนอ้ื หาบทเรียน
- ให้งาน
ขน้ั ท่ี 3 นักเรยี นทางานกลุม่
- นักเรียนทางานกลุม่ ตามบทบาทท่ที กุ คนตอ้ งปฏบิ ัติ
ขน้ั ท่ี 4 ตรวจผลงานและทดสอบ
- ครตู รวจผลงาน ( กลุ่ม และ/หรอื รายบคุ คล )
- ครทู ดสอบ ( กล่มุ และ/หรอื รายบคุ คล )
ขั้นท่ี 5 สรุปบทเรยี นและประเมินผลการทางานกล่มุ
- ครกู บั นักเรียนช่วยกันสรปุ บทเรียน
- ครกู ับนกั เรียนชว่ ยกันประเมินผลการทางานกลุ่ม
ผลดวี ธิ กี ำรสอนกำรเรยี นรู้แบบร่วมมอื
จอห์นสันและจอห์นสัน (อ้างใน สุรศักด์ิ หลาบมาลา, 2531, หน้า 5) ได้กล่าวถึงสาเหตุที่วิธีการสอน
การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือได้ผลดกี ว่าแบบเก่าไวด้ ังน้ี
1. เด็กเก่งท่ีเข้าใจคาสอนของครูได้ดี จะเปล่ียนคาสอนของครูเป็นภาษาพูดของเด็ก อธิบายให้เพ่ือนฟงั
ได้ ทาใหเ้ พ่ือนเขา้ ใจดขี ้นึ
2. เดก็ ทที่ าหนา้ ที่อธบิ ายบทเรยี นใหเ้ พอื่ นฟังจะเข้าใจบทเรียนไดด้ ีข้ึน ครทู กุ คนทราบ
ข้อนดี้ ี คือยิ่งสอนย่ิงเข้าใจบทเรยี นทีต่ นสอนไดด้ ียิง่ ข้ึน
3. การสอนเพื่อนเปน็ การสอนแบบตวั ตอ่ ตวั ทาใหเ้ ด็กได้รับความเอาใจใสแ่ ละมคี วามสนใจมากยิ่งข้ึน
4. เดก็ ทกุ คนตา่ งก็พยายามช่วยเหลือซ่ึงกันและกันเพราะครคู ิดคะแนนเฉลี่ยของทั้งกลมุ่ ด้วย
5. เด็กทุกคนเขา้ ใจดวี า่ คะแนนของตนมีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดค่าเฉล่ยี ของกลุ่ม ดังนั้นทกุ คนตอ้ งพยายาม
อยา่ งเต็มที่ จะคอยอาศยั เพอ่ื นอย่างเดียวไม่ได้
6. เด็กทุกคนมีโอกาสฝกึ ทกั ษะทางสังคม มหี วั หน้ากลมุ่ มผี ชู้ ่วย มเี พ่ือนรว่ มกล่มุ เปน็
การเรียนรู้วิธีการทางานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมงาน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์มากเมื่อเข้าสู่วงงานอันแท้จริงเม่ือโตเป็น
ผใู้ หญแ่ ลว้
7. เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการกลุ่มเพราะในการปฏิบัติงานร่วมกันน้ันก็ต้องมีการทบทวน
กระบวนการทางานของกล่มุ เพ่ือใหป้ ระสทิ ธภิ าพการปฏบิ ตั ิงานหรอื คะแนนของกลุ่มดีขึน้
8. เด็กเก่งจะมีบทบาททางสังคมในชั้นมากขึ้น เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรียนหรือหลบไปท่องหนังสือ
เฉพาะตน เขามหี นา้ ที่ต่อสังคมดว้ ย
9. ในการตอบคาถามในห้องเรียน ถ้าตอบผดิ เพ่ือน ๆ จะหวั เราะ เม่อื ทางานเป็นทีมเด็กจะชว่ ยเหลือซึ่ง
กันและกนั ถ้าตอบผิดก็ถอื ว่าผิดทง้ั ทมี คนอ่ืน ๆ อาจจะช่วยเหลือบ้าง เด็กในทมี จะมีความผูกพันกนั มากขึ้น
30
จากสาเหตุดังกล่าว จะเห็นได้ชัดว่า วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือจะส่งผลดีกว่าแบบเก่าที่บทบาทส่วน
ใหญ่อยู่ท่ีตัวครู เพราะการเรียนรู้แบบร่วมมือเด็กจะมีการช่วยเหลือพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน ร่วมกันคิด ร่วมกัน
ทา ซงึ่ จะสง่ ผลใหก้ ารเรียนบรรลผุ ลตามจดุ ม่งุ หมายทหี่ ลักสูตรกาหนด
3.5 รูปแบบกำรเรยี นรแู้ บบร่วมมอื
ทิศนา แขมมณี (2553, หนา้ 102–103) ไดแ้ บง่ กลมุ่ การเรยี นรู้ทใี่ ชอ้ ยโู่ ดยทว่ั ไป
มี 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออยา่ งเป็นทางการ (Formal Cooperative Learning Group) กลุม่
ประเภทนี้ ครูจดั ขึ้นโดยการวางแผน จดั ระเบยี บ กฎเกณฑ์ วธิ ีการและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อใหผ้ ้เู รยี นได้ร่วมมือกนั
เรยี นร้สู าระต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง ซ่งึ อาจเปน็ หลายๆชว่ั โมงตดิ ตอ่ กนั หรอื หลายสัปดาห์ตดิ ตอ่ กัน จนกระท่ังผ้เู รยี น
เกดิ การเรียนรแู้ ละบรรลุจดุ มุ่งหมายตามที่กาหนด
2. กลมุ่ การเรียนรู้แบบร่วมมืออยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ (Informal Cooperative Learning Group)
กลมุ่ ประเภทนี้ ครูจดั ขน้ึ เฉพาะกิจเปน็ ครัง้ คราว โดยสอดแทรกอยูใ่ นการสอนปกติอน่ื ๆโดยเฉพาะการสอนแบบ
บรรยาย ครสู ามารถจัดกลุ่มการเรยี นรแู้ บบร่วมมือสอดแทรกเข้าไปเพ่ือช่วยให้ผเู้ รียนม่งุ ความสนใจ หรือใช้ความคดิ
เปน็ พิเศษในสาระบางจดุ
3. กลุ่มการเรยี นรู้แบบรว่ มมืออย่างถาวร (Cooperative Base Group หรอื Long – Term Group)
กลุ่มประเภทนี้ เปน็ กลุ่มการเรียนรทู้ ส่ี มาชกิ กลุม่ มปี ระสบการณ์การทางาน / การเรยี นร้รู ่วมกนั มานานมากกว่า
1 หลักสตู ร หรอื ภาคการศกึ ษา จนกระท่ังเกิดสัมพันธภาพทแ่ี น่นแฟ้ม สมาชกิ กลุม่ มีความผกู พนั หว่ งใย ช่วยเหลอื
กนั และกนั อย่างตอ่ เน่ือง
ในการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ มักจะมีกระบวนการดาเนินงานทตี่ อ้ งทาเปน็ ประจา เชน่ การเขยี นรายงาน
การเสนอผลงานของกลุม่ การตรวจผลงาน เป็นต้น ในกระบวนการท่ใี ชห้ รอื ดาเนนิ การเป็นกิจวัตรในการเรียนรู้
แบบรว่ มมือนี้ เรยี กวา่ Cooperative Learning Scripts ซ่งึ หากสมาชิกกลุม่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งต่อเนื่องเปน็ เวลานาน
จะเกดิ เปน็ ทกั ษะท่ีชานาญในที่สดุ ทิศนา แขมมณี (2553, หนา้ 266 – 271) ไดเ้ สนอกระบวนการเรยี นการสอน
ของรปู แบบการเรยี นร้แู บบร่วมมือทง้ั หมด 8 รปู แบบ ซึง่ สอดคล้องกบั สุรศกั ด์ิ หลาบมาลา (2535, หนา้ 97) ได้
กล่าวถงึ รูปแบบการเรียนรแู้ บบร่วมมอื ทนี่ ิยมใช้กัน 8 รปู แบบ ดงั นี้
1. การเรียนการสอนแบบกลุ่มแข่งขันแบบแบ่งตามผลสัมฤทธ์ิ (Student Teams – Achievement
Divisions หรือ STAD) สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน ระดับสติปัญญาต่างกัน เช่นเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และ
ออ่ น 1 คน ครกู าหนดบทเรียนและงานของกลุ่มไว้ แลว้ ครูสอนบทเรยี นให้นกั เรยี นทั้งช้นั แล้วให้กลมุ่ ทางานตาม
กาหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพ่ือนให้ถูกต้องก่อนนาส่งครู ครูจัดลาดับ
คะแนนของทกุ กลุ่มและปิดประกาศใหท้ กุ คนทราบ
31
2. เกมการแข่งขันเป็นทีม (Team Game Tournament หรือ TGT.) จัดกลุ่มเช่นเดียวกับ STAD แต่
ไมม่ กี ารสอบทุกสปั ดาห์ แตล่ ะทมี ท่ีมีความสามารถเทา่ กนั จะแข่งขันกันตอบปัญหา จะมกี ารจดั กลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์
โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบคุ คล
3. การเรียนการสอนกลุ่มเพื่อนช่วยเหลือเพ่ือนเป็นรายบุคคล (Team Assisted Individualization
หรอื TAI) สมาชกิ ของกล่มุ 4 คน มรี ะดบั ความรตู้ ่างกนั ใชส้ าหรบั ระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3-6 ครูเรียกเด็ก
ท่ีมีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอน ความยากง่ายของเน้ือหาวิชาที่จะสอนแตกต่างกัน เด็กกลับไปยงั
กลุ่มของตนและต่างคนต่างทางานที่ได้รับมอบหมายแต่ช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ทุกคนทาข้อสอบโดยไม่มีการ
ช่วยเหลือกนั มีการใหร้ างวัลทีมทที่ าคะแนนไดด้ กี ว่าเดมิ
4. การเรียนรู้แบบร่วมมือผสมผสานการอ่านและการเขียน (Cooperative Integrated Reading and
Composition หรือ CIRC) ใชส้ าหรับวิชาอ่านเขยี นและทักษะอื่น ๆ ทางภาษา สมาชกิ ในกล่มุ มี 4 คน มีพนื้ ความรู้
เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากันแต่ต่างระดับความรู้กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกครูท่ีมีระดับความรู้เท่ากันจากทุก
กลุ่มมาสอนแล้วให้กลับเข้ากลุม่ แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบ
ของสมาชกิ กลมุ่ เป็นรายบุคคล
5. เทคนคิ การต่อบทเรยี น (Jigsaw)ใชส้ าหรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3-6 สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน
ความร้ตู า่ งระดบั กนั สมาชิกแต่ละคนไปเรียนรว่ มกบั สมาชิกของกล่มุ อื่น ๆในหัวขอ้ ทแ่ี ตกตา่ งกันออกไป แลว้ ทุก
คนกลับมายังกลุ่มของตนและสอนเพื่อนในสิ่งท่ีตนไปเรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ มา การประเมินผลเป็น
รายบคุ คลแล้วร่วมเปน็ คะแนนของกลุ่ม
6. เทคนิคการต่อบทเรียน 2 (Jigsaw 2) สมาชิกในกลุ่มมี 4-5 คน นักเรียนทุกคนเรียนบทเรียน
เดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยในบทเรียนต่างกัน ใครที่สนใจในหัวข้อเดียวกันจะไป
ประชุมกันค้นคว้าและอภิปรายแล้วกลับมาท่ีกลุ่มเดิมของตน แล้วสอนเพ่ือนในเร่ืองที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิก
ของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มท่ีทาคะแนนรวมได้ดีกว่าครั้งก่อนจะได้รับ
รางวัล
7. การเรยี นด้วยกนั (Learning Together) สมาชิกในกลุ่มมี 4-5 คน ระดบั ความร้แู ตกต่างกัน ใช้
สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-6 เด็กแต่ละกลุ่มทางานตามท่ีครูมอบหมาย คะแนนของกลุ่มพิจารณาจาก
คะแนนของกลมุ่
8. การสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่ม (Group Investigations) สมาชิกในกลุ่มมี 2-6 คน แต่ละกลุ่มเลือก
หัวข้อเร่ืองท่ตี ้องการคน้ ควา้ สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกันทา และเสนอผลงานหรือรายงานหนา้ ชน้ั การใหร้ างวัลหรือ
คะแนนใหเ้ ป็นกลุ่ม
32
4. วิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องกบั กำรจัดกจิ กรรมสงิ่ แวดล้อมศกึ ษำ
ผศ.ดร.พงศเ์ ทพ สุวรรณวารี (๒๕๕๕ : บทคัดยอ่ ) ช่ือเรอ่ื งการจดั การขยะและน้าเสียโดยชุมชนมสี ว่ นร่วม
ในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา
ปัญหาความเน่าเสียของแม่น้าลาตะคองส่วนที่ผ่านเทศบาลนครนครราชสีมา มีมานานและยังไม่ได้รับ
การแก้ไขให้เสร็จส้ินไปได้ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมให้เกิดการจัดการขยะและน้าในระดับ ชุมชน
โดยชุมชนมีส่วนร่วมโดยมุ่งเน้นชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้าลาตะคอง การศึกษานี้จัดเป็นการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยคณะผู้วิจัยได้จดั การประชุม อบรม และ นาหัวหน้าหรือตัวแทนชมุ ชนท่ีสมัครใจเข้า
ร่วมโครงการ เดินทางไปทัศนศึกษา ดูตัวอย่างแห่งความสาเร็จ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และเห็นแนวทางใน
การจัดการของเสียในชุมชนของตนเอง จากนั้นให้แต่ละ ชุมชนลงมือทากิจกรรม โดยมีการติดตามเดือนละ ๑ คร้ัง
เป็นเวลา ๗ เดือน ทาการรวบรวมข้อมลู และ ทัศนคติในการจัดการสิ่งแวดล้อมของแต่ละชมุ ชน โดยการสังเกตและ
สัมภาษณจ์ านวน ๒๑๐ ตัวอย่าง มกี าร ตดิ ตามคณุ ภาพน้าในลาตะคองท้ังก่อนและหลังกาดาเนนิ การ ผลการศกึ ษา
พบว่า ประชาชนในชุมชนท่ีเข้าร่วมโครงการท้ัง ๗ ชุมชน มีความรู้ความเข้าใจ มีทัศนคติ และจิตสานึกที่ดีในการ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการจัดการของเสียในชุมชนมากแต่เนื่องจากองค์ประกอบ ภายในชุมชนที่แตกต่างกัน
ประกอบกับสภาพพื้นที่อยู่อาศัยท่ีแออัด ลักษณะการดาเนินชีวิตท่ีเร่งรีบ ประชาชนมีอาชีพรับจ้างท่ัวไปเป็นส่วน
ใหญ่ จึงทาให้ ขาดความใส่ใจ เลิกกิจกรรมในท่ีสุดมีเพียงชุมชน มิตรภาพซอย ๔ และชุมชนท้าวสุระซอย ๓
ที่ดาเนินกิจกรรมของโครงการอย่างต่อเนื่อง ชุมชนมิตรภาพ นอกจากจะมีกลุ่มเยาวชนท่ีร่วมกิจกรรมอย่าง
สม่าเสมอ ยังมีสภาพพื้นท่ีเป็นการเกษตร จึงเห็นประโยชน์ของ การทาน้าหมักชีวภาพ นาไปใช้ในการเกษตร การ
ดับกลิ่นและบาบัดน้าเสียแต่ก็ยังไม่สามารถทาให้เกิดการ ปรับปรุงคุณภาพน้าลาตะคองได้ เพราะมีปริมาณน้อย
สว่ นชมุ ชนท้าวสรุ ะซอย ๓ นั้น มีผู้นาชมุ ชนที่สนใจและ มีการนานา้ หมักชีวภาพไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นอ่ืนๆ นอกจากน้ี
เครือข่ายเยาวชนส่ิงแวดล้อม ซึ่งเป็นนักเรียนจาก โรงเรียนเทศบาล ๔ ซ่ึงเป็นสถานศึกษาเพียงแห่งเดียวที่เข้าร่วม
โครงการ ก็เป็นกาลังสาคัญในการเผยแพร่ ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมไปยังผู้ปกครอง ทาให้ความรู้ด้านส่ิงแวดล้อมมี
การกระจายตัวออกไปมากข้ึน
คาสาคัญ: การจัดการสิ่งแวดล้อม ลาตะคอง การมสี ว่ นรวม น้าเสยี การจัดการขยะ
สมยศ วิเชียรนิตย์, ประยูร วงศ์จันทรา, บัญญัติ สาลี (๒๕๕๙ : บทคัดย่อ) ช่ือเร่ือง การพัฒนารูปแบบ
กิจกรรมค่ายส่ิงแวดล้อมสิ่งแวดล้อมศึกษาในการอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรป่าไม้สาหรับเยาวชนจังหวัด
กาฬสินธุ์การพัฒนากิจกรรมส่ิงแวดล้อมศึกษาสาหรับเยาวชนมีความสาคัญที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับ
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราสนุกและน่าตื่นเต้น และสร้างความตระหนักต่อการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม กิจกรรมต่างๆ จะช่วยให้การศึกษาเยาวชนและส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการ
อนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบกิจกรรมค่าย
สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรป่าไม้ กลุ่มตัวอย่างเป็นเยาวชน จานวน ๓๐ คน จาก
จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้จากการสมัครใจ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือกิจกรรมการเรยี นรู้ แบบสอบถามความรู้
เก่ียวกับส่ิงแวดล้อม แบบวัดความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมและแบบวัดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และป้องกัน
ทรัพยากรป่าไม้ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิตที่ใช้ในการทดสอบ
สมมติฐาน ได้แก่ One-way MANCOVA และ One-way ANCOVA ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบกิจกรรมค่าย
33
สิ่งแวดล้อมศึกษาที่ออกแบบมีประสิทธิภาพ เท่ากับ๘๗.๕๔/๘๕.๒๒ และความรู้เก่ียวกับสิ่งแวดล้อม ความ
ตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรป่าไม้ของเยาวชนเพิ่มข้ึนหลังการ
เข้าร่วมกิจกรรมค่ายสิ่งแวดล้อมศึกษาอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และเยาวชนท่ีมีอายุต่างกันมีความรู้
เก่ียวกับสิ่งแวดล้อม ความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรป่าไม้
ต่างกันโดยสรุปกิจกรรมค่ายส่ิงแวดล้อมศึกษาที่พัฒนาสาหรับเยาวชนจังหวัดกาฬสินธ์ุมีประสิทธิภาพช่วยพัฒนา
ความรู้เกี่ยวกบั ส่งิ แวดลอ้ ม ความตระหนักต่อสงิ่ แวดลอ้ มและการมีสว่ นรว่ มในการอนรุ กั ษ์และป้องกนั ทรัพยากรป่า
ไมข้ องเยาวชน ดงั นน้ั หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องควรใชร้ ปู แบบนสี้ าหรบั ค่ายส่ิงแวดล้อมศึกษาเพ่ือพฒั นาความรู้เก่ียวกับ
สง่ิ แวดลอ้ มและความตระหนักตอ่ สงิ่ แวดล้อมสาหรบั เยาวชน
คำสำคญั : การพัฒนารปู แบบ กิจกรรมค่ายสงิ่ แวดล้อมศึกษา การอนรุ ักษ์และการป้องกนั ทรัพยากร
ป่าไม้
34
35
ข้นั ตอนกำรดำเนนิ งำนส่งิ แวดลอ้ มศึกษำในโรงเรยี น
สำรวจ วเิ ครำะหป์ ัญหำเกยี่ วกับสง่ิ แวดล้อม
ตำมบรบิ ทของโรงเรียน /ชมุ ชน
กำหนดวิสยั ทศั น์ / นโยบำย /
แผนงำน/โครงกำรตำ่ ง ๆ ดำ้ นส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ
กำหนดโครงสร้ำงทมี งำนสิ่งแวดล้อมศึกษำ
วำงแผนจัดกิจกรรมกำรเรยี นร้แู ละกิจกรรมสร้ำงควำมตระหนัก
ด้ำนส่งิ แวดล้อมศึกษำ
กำรนิเทศ ตดิ ตำมและประเมินผล
บรรลุตำมเกณฑ์ N ปรบั ปรุง พฒั นำ
ตัวช้ีวดั /เปำ้ หมำย
หรือไม่ ?
Y
จัดกิจกรรมแลกเปลยี่ นเรียนรู้ /
สรุปผลกำรดำเนินงำน
36
รำยละเอียดขัน้ ตอนกำรดำเนนิ โครงกำรส่งิ แวดล้อมศกึ ษำในโรงเรยี น
ขน้ั ท่ี ๑ สารวจ วเิ คราะหป์ ัญหาเกย่ี วกบั สงิ่ แวดล้อม ตามบริบทของโรงเรยี น /ชุมชน เป็นขนั้ ตอนการดาเนนิ การ
โครงการสงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษาในโรงเรยี น ซง่ึ กิจกรรมทสี่ ามารถดาเนินการได้ คือ
๑. การจัดทาแผนทส่ี เี ขียว (Green Map)
๒. การจัดทาแผนทว่ี ถิ ีพอเพียง
๓. การสารวจพนั ธุไ์ ม้ท้งั ในโรงเรยี นและในชุมชน
๔. การสารวจปัญหาขยะและปัญหาการใชพ้ ลังงานในโรงเรียน
ขน้ั ที่ ๒ กาหนดวิสัยทศั น์ / นโยบาย /แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ด้านสิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา โดยกาหนดประเดน็ ดังน้ี
๑. กาหนดวสิ ัยทัศนใ์ หส้ อดคล้องกับนโยบายดา้ นสิ่งแวดล้อม
๒. จดั ทาโครงการสิง่ แวดล้อมศกึ ษา
๓. กาหนดคุณลักษณะอนั พงึ ประสงคข์ องนักเรียนให้สอดคลอ้ งกบั สิ่งแวดล้อมศึกษา
ขัน้ ที่ ๓ กาหนดโครงสร้างทีมงานสิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา ควรกาหนดทมี งานเพ่ือร่วมดาเนินงาน ดังนี้
๑. คัดเลือกครูแกนนาสง่ิ แวดล้อมศึกษา หรอื ทมี งานสงิ่ แวดลอ้ มศึกษา
๒. คดั เลอื กนักเรยี นแกนนาสิ่งแวดลอ้ มศึกษา
๓. กจิ กรรมที่เสนอแนะ คือ
- คา่ ยแกนนาส่ิงแวดล้อมศึกษา
- อบรมให้ความรู้ Zero waste
- อบรมนกั เรยี นแกนนาด้านการอนุรกั ษ์พลงั งานและสิง่ แวดลอ้ ม
- ศึกษาแหลง่ เรยี นรู้
- ตง้ั ชมุ นุม/ชมรม อนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
- แต่งตง้ั ผนู้ าชุมชนเป็นที่ปรึกษากรรมการดาเนนิ งานสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา
- ประสานหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องเขา้ มามสี ่วนรว่ มในโครงการส่ิงแวดลอ้ มศึกษา
ขั้นท่ี ๔ วางแผนจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้และกิจกรรมสรา้ งความตระหนกั ด้านส่ิงแวดล้อมศึกษา ควรดาเนินการ
ดังน้ี
๑. การจดั กิจกรรมการเรียนรสู้ ่ิงแวดลอ้ มศึกษา
๑.๑ ประชุมครูในสายชั้น/ ช่วงช้ัน /กล่มุ สาระ เพ่ือวางแผนจัดทาหลักสูตรหรือจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
บรู ณาการส่งิ แวดล้อมศึกษา
๑.๒ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ส่งิ แวดล้อมศึกษา
๒. จัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ เพอื่ สร้างความตระหนักโดยกิจกรรมทีส่ ามารถดาเนินการได้ คือ
๒.๑ กจิ กรรม Zero waste
37
๒.๒ กิจกรรมคา่ ยส่งิ แวดล้อม
๒.๓ กจิ กรรมนกั สืบสายน้า
๒.๔ กิจกรรมจติ อาสาตาวิเศษ
๒.๕ กิจกรรมวันสาคัญดา้ นสิง่ แวดล้อม
๒.๖ กิจกรรม Big Cleaning Day
ฯลฯ
ขน้ั ที่ ๕ การนิเทศติดตาม และประเมนิ ผล
๑. สรา้ งเครอื่ งมอื การนเิ ทศ
๒. กาหนดปฏทิ นิ การนเิ ทศ
๓. ดาเนนิ การนิเทศ
ในการนิเทศตดิ ตาม และประเมินผล เพื่อตรวจสอบวา่ บรรลตุ ามเกณฑ์ตวั ช้วี ดั /เปา้ หมายหรอื ไม่ ? โดย
ดาเนินการ ดังน้ี
๑. วิเคราะห์ผลการนเิ ทศ ประเมินว่าบรรลุตามเกณฑต์ วั ชว้ี ัด/เปา้ หมายหรอื ไม่
๒. ปรับปรุง พฒั นา
ข้ันที่ ๖ จัดกจิ กรรมแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ /สรปุ ผลการดาเนนิ งาน
๑. นาเสนองาน Best Practice ของแต่ละโรงเรยี น
๒. จัดทาเอกสารเผยแพรผ่ ลงาน
38
39
กิจกรรมแผนที่สเี ขียว(Green Map) สู่แผนที่วิถพี อเพยี ง(Sufficiency Map)
โรงเรียนบำ้ นสันปำ่ สัก
กจิ กรรมแผนทส่ี ีเขยี ว(Green Map) สู่แผนที่วิถีพอเพียง(Sufficiency Map)
คำชี้แจง ให้ศึกษาความหมายของแผนท่ี แผนท่สี เี ขยี ว และแผนท่วี ิถีพอเพียง แลว้ วางแผนการสารวจชุมชน
เพือ่ นาข้อมูลมาจัดทาแผนทีว่ ิถีพอเพยี ง
1. แผนที่ (Map)
แผนท่ี คือ การนารูปภาพอย่างง่ายซ่ึงจาลองบริเวณบริเวณหนึ่ง และมีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
องค์ประกอบตา่ ง ๆ เช่น วตั ถุ หรือบรเิ วณยอ่ ย ๆ ท่อี ยู่ในบรเิ วณนน้ั
องค์ประกอบของแผนที่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เช่น ภูมิประเทศแบบต่าง ๆ ป่าไม้ ปริมาณน้าฝน และสิ่งที่มนุษย์สร้างข้ึน เช่น ที่ตั้งของเมือง เส้นทางคมนาคม
พ้ืนทเี่ พาะปลกู โดยมีองค์ประกอบท่สี าคญั ดังน้ี
1) ช่อื แผนที่ เป็นส่งิ ที่มีความจาเป็นสาหรบั ใหผ้ ู้ใช้ได้ทราบว่าเปน็ แผนท่เี รื่องอะไร แสดงรายละเอียด
อะไรบ้าง เพอ่ื ให้ผูใ้ ช้ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง และตรงความตอ้ งการ
2) ทิศทาง มีความสาคัญต่อการค้นหาตาแหนง่ ท่ีต้ังของส่งิ ต่าง ๆ ในแผนที่จะต้องมีภาพเข็มทิศหรือลูกศร
ชี้ไปทางทิศเหนอื เสมอ
3) สัญลกั ษณ์ เปน็ เคร่อื งหมายทใ่ี ช้แทนสิ่งตา่ ง ๆ ในภูมปิ ระเทศจริง เพ่ือชว่ ยให้ผใู้ ช้สามารถอ่านและแปล
ความหมายจากแผนท่ไี ด้อยา่ งถกู ต้อง
4) สีทใ่ี ชใ้ นแผนท่ี ทแ่ี สดงรายละเอยี ดบนแผนท่ี สที ใ่ี ชเ้ ปน็ มาตรฐาน มี 6 สี
4.1 สีดา ใชแ้ สดงรายละเอยี ดทเี่ กดิ จากแรงงานของมนุษย์ เช่น วดั โรงเรยี น หมู่บา้ น
4.2 สแี ดง ใชเ้ ป็นสญั ลกั ษณ์ทีเ่ ปน็ ถนน
4.3 สีน้าเงนิ ใชเ้ ปน็ สัญลกั ษณ์ทเี่ ป็นนา้ เช่น แม่น้า ลาคลอง บึง ทะเล ฯลฯ
4.4 สนี า้ ตาล ใช้เป็นสัญลกั ษณ์ท่ีเก่ยี วกับความสงู และทรวดทรงของพ้นื ทสี่ ูง ๆ ตา่ ๆ
4.5 สเี ขยี ว ใชเ้ ป็นสญั ลกั ษณ์ทเ่ี กีย่ วกับทร่ี าบ ป่าไม้ บรเิ วณที่ทาการเพาะปลกู พชื สวน
4.6 สเี หลอื ง ใชเ้ ปน็ สัญลกั ษณ์ท่ีเกย่ี วกับทร่ี าบสงู
4.7 สีอน่ื ๆ เพื่อแสดงรายละเอียดพิเศษบางอยา่ ง ท่ีบง่ ไวใ้ นรายละเอยี ดในแผนท่ี
5) มาตราส่วน เป็นอัตราส่วนระหว่างระยะทางท่ีย่อส่วนมาลงในแผนที่กับระยะทางจริง มาตราส่วนช่วย
ใหผ้ ใู้ ชท้ ราบว่าแผนทน่ี นั้ ๆ ยอ่ ส่วนมาจากสภาพในภมู ิประเทศจริงในอัตราสว่ นเท่าใด
2. แผนทสี่ ีเขียว (Green Map)
เป็นแผนท่ีซึ่งแต่ละท้องถิ่นจัดทาข้ึนเพื่อสะท้อนภาพเมืองของตนในมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและ
ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งแผนที่สีเขียวน้ีมีความแตกต่างจากแผนท่ีทั่ว ๆ ไป คือ มีการใช้สัญลักษณ์รูปภาพ แบ่งเป็น
40
3 หมวดหลัก คือ สัญลักษณ์เชิงทรัพยากร สัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรม และสัญลักษณ์เชิงสังคม นอกเหนือจากการ
แสดงตาแหนง่ ของเสน้ ทางและสถานท่สี าคัญของเมือง
แผนทสี่ ีเขียวทสี่ ร้างมาจากความรว่ มมือร่วมใจของประชาชน จะช่วยสร้างจิตสานึกและความตระหนักใน
เรอ่ื งการรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มของชุมชน การปรับพฤติกรรมการบรโิ ภคที่คานึงถึงสิง่ แวดลอ้ ม
3. แผนท่วี ิถีพอเพียง (Sufficiency Map)
แผนที่วิถีพอเพียง เป็นเครื่องมือที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพของวิถีชุมชนที่น้อมนาพระราชดาริเศรษฐกิจ
พอเพียงมาประยุกต์ใช้และแสดงออกมาเป็นรูปธรรมในสังคม โดยเพิ่มเติมมุมมองปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจาก
การทาแผนทสี่ ีเขยี ว เพื่อสะทอ้ นการดารงชีวติ ที่มีการกนิ อยูแ่ ต่พอดี การตดั สนิ ใจอยา่ งมีเหตผุ ลคานงึ ถึงส่ิงแวดล้อม
พ่ึงพาตนเองได้เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้ามากระทบ มีปัญญาในการดาเนินชีวิต และมีความเป็นกัลยาณมิตรที่
กอ่ ให้เกดิ พลังของชุมชน
4. ขน้ั ตอนกำรทำแผนท่ีวิถีพอเพยี ง
การทาแผนที่วิถีพอเพียงเริ่มจากการทาแผนทีส่ ีเขียว โดยการสารวจชุมชนในมุมมองด้านสิง่ แวดล้อมและ
ศิลปวัฒนธรรม หลงั จากนนั้ ทาการสารวจหรอื ค้นหาวถิ พี อเพียงในชมุ ชน โดยมขี ัน้ ตอนดังน้ี
ขน้ั ท่ี 1 สารวจชมุ ชนดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ด้านศลิ ปวัฒนธรรม และดา้ นสงั คม
ข้ันท่ี 2 จัดทาแผนทสี่ ีเขียว โดยกาหนดสญั ลักษณ์เชงิ ส่งิ แวดลอ้ ม สัญลกั ษณเ์ ชิง
ศลิ ปวัฒนธรรมและสญั ลกั ษณ์เชิงสังคม
ขั้นท่ี 3 ค้นหากจิ กรรมของชุมชนจากแผนทส่ี เี ขียว ด้านความพอเพียง
ข้นั ท่ี 4 เพ่ิมเติมรายละเอยี ดการปฏบิ ัติทีส่ อดคล้องกบั วิถพี อเพียงของกิจกรรมนนั้ ๆ
ขนั้ ท่ี 5 นาเสนอแผนที่วถิ ีพอเพียงสสู่ าธารณชน เพอื่ รบั ฟังขอ้ เสนอแนะและ
ข้อคิดเหน็
ขนั้ ท่ี 6 ปรบั ปรงุ แผนท่วี ถิ ีพอเพียง เพ่ิมเติมจดุ เรียนรหู้ รือกิจกรรมท่ีสอดคล้องกับ
วิถพี อเพียง
41
บันทกึ กำรสำรวจชุมชนเพ่ือจัดทำแผนที่สเี ขียว
ด้านสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากร ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและภมู ิปัญญา ดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม
กำรจัดทำแผนท่ีสเี ขียวทรี่ ะบุกิจกรรมกำรปฏบิ ัติทส่ี อดคล้องกบั วิถีพอเพียง(จะได้แผนที่วิถีพอเพยี ง)
มาตราสว่ น ………………………………………………………………………………….…………………….
สญั ลกั ษณ์ ................................. ................................. .................................
................................. ................................. .................................
................................. ................................. ................................
42
กจิ กรรมกำรประเมินวฏั จักรชวี ติ ผลติ ภณั ฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA)
โรงเรยี นบ้ำนสันป่ำสกั
คำช้แี จง ให้ศึกษาความหมายและตวั อย่างการประเมนิ วฏั จักรชีวิต (LCA) แลว้ นาผลติ ภณั ฑม์ าประเมินเพ่ือ
ตดั สนิ ใจเลอื กซื้อและเลอื กใช้
ควำมหมำยของกำรประเมินวฏั จักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA)
การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) คือ กระบวนการวิเคราะห์และประเมินค่า
ผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อส่ิงแวดล้อมตลอดช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซ่ึงวัตถุดิบ กระบวนการ
ผลิต การขนส่งและการแจกจ่าย การใช้งานผลิตภัณฑ์ และการจัดการเศษซากของผลิตภัณฑ์ หลังการใช้งาน
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพิจารณาผลิตภัณฑ์ต้ังแต่เกิดจนตาย (Cradle to Grave) โดยจะมีการระบุถึงปริมาณพลังงาน
และวัตถุดิบท่ีใช้ รวมถึงของเสียที่ปล่อยออกสู่ส่ิงแวดล้อมและการประเมินโอกาสท่ีจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
และสุขอนามัยของชุมชน
ตัวอยำ่ ง แบบประเมินวัฏจักรชีวติ (Life Cycle Assessment : LCA)
ตัวอยำ่ ง กำรประเมนิ วัฏจักรชวี ติ (Life Cycle Assessment : LCA) ของกระทงท่ีทาจากวสั ดุ 3 ชนิด
เพื่อใชต้ ัดสินใจเลือกซ้ือหรอื ประดษิ ฐ์กระทงจากวัสดุชนดิ ต่าง ๆ
43
กจิ กรรมรอยเทำ้ คำร์บอน (Carbon Footprint)
โรงเรียนบ้ำนสันปำ่ สกั
คำช้ีแจง ให้ศึกษาความหมายของรอยเทา้ คารบ์ อน (Carbon Footprint) แลว้ บันทกึ กิจกรรมต่างๆ ของ
โรงเรียนเพอ่ื ติดตามรอยเท้าคาร์บอน
ควำมหมำยของรอยเทำ้ คำรบ์ อน (Carbon Footprint)
รอยเท้ำคำร์บอน (Carbon Footprint) เป็นการวัดผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ท่ีมีต่อระบบ
ส่ิงแวดล้อมในแง่ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกท่ีสร้างข้ึนมาจากกิจกรรมนั้นๆ โดยวัดคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีปล่อย
ออกมา รอยเท้าคาร์บอนใช้ประเมินว่าคน ประเทศ หรือองค์กรหน่ึงๆ สร้างผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากน้อย
เพียงใด วิธีการหลักของรอยเท้าคาร์บอนคือ ประเมินปริมาณคาร์บอนท่ีปล่อยออกมาสู่ส่ิงแวดล้อมและประเมิน
ความมากน้อยในการส่งเสริมพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดขององค์นั้น เช่น พลังงานลม พลังงาน
แสงอาทติ ย์ หรือการปลกู ปา่ รอยเทา้ คาร์บอนเป็นส่วนย่อยของรอยเท้าระบบนิเวศ (Ecological footprint) ซงึ่ จะ
รวมเอาความตอ้ งการของมนษุ ย์ทง้ั หมดในระบบชวี นเิ วศนเ์ ข้าไปด้วย
Carbon Footprint (CF) เปน็ คา่ ทางวิทยาศาสตร์ที่คานวณปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก
ผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมต่างๆ สู่บรรยากาศ โดยคานวณออกมาในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งการวัดการ
ปลดปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกมที ง้ั ทางตรงและทางอ้อม
1) ทางตรง เป็นการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกท่ีปล่อยอกมาจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นโดยตรง เช่น การเผาไหม้
ของเช้อื เพลิงรวมถงึ การใช้พลงั งานในครัวเรือนและยานพาหนะ
44
2) ทางออ้ ม เป็นการวดั ปรมิ าณก๊าซเรือนกระจกจากผลผลิต หรือผลิตภณั ฑท์ เี่ ราใช้ โดยคานวณรวมทง้ั
กระบวนการผลิตตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การเพาะปลูก การแปรรูป การขนส่ง การใช้งาน รวมไปถึง
กระบวนการจดั การซากผลิตภณั ฑ์หรือบรรจุภัณฑห์ ลงั การใช้งาน เรยี กได้ว่าตลอดวัฎจักรช์ วี ติ ของผลิตภัณฑ์ (LCA:
Life Cycle Assessment)
Carbon footprint กับชีวิตประจำวัน กิจกรรมในชีวิตประจาวันของเราทุกคน ล้วนมีส่วนที่ทาให้เกิด
Carbon Footprint ท้ังการเดินทาง การรับประทานอาหาร กจิ กรรมในครวั เรอื น และในที่ทางาน
เคร่ืองหมำย Carbon Footprint ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้
ผู้บริโภคได้ทราบว่าตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณ
เท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกาจัดเม่ือกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะ
ช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการให้เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อมมากยง่ิ ขึ้น
กำรคำนวณ Carbon Footprint ในชีวิตประจาวันของแต่ละคน สามารถทาได้โดยใช้โปรแกรมการ
คานวณคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Calculator) ได้ทางเว็บไซต์ http://thaicfcalculator.tgo.or.th/
จัดทาโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งจะคานวณจากการใช้พลังงาน ในบ้านเรือน ที่ทางาน
การเดินทาง การขนส่ง ตลอดจนการ บริโภคอาหาร ซ่ึงโปรแกรมจะคานวณออกมาเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
เทยี บเท่าต่อปี
45
หลกั สตู รบูรณำกำรสำระกำรเรียนร้สู ่ิงแวดลอ้ มศึกษำ
โรงเรยี นบ้ำนสนั ปำ่ สัก
1. ลักษณะของหลกั สตู รบูรณำกำรสำระกำรเรยี นรู้สิ่งแวดล้อมศึกษำ โรงเรยี นบ้ำนสนั ป่ำสกั
โรงเรียนได้บูรณาการการเรียนการสอน (Integrated by Learning management) ที่เน้นบูรณาการ
ทักษะ (Integrated by skills) การบูรณาการในลักษณะนี้เป็นได้ทั้งภายในวิชาเดียวกันหรือบูรณาการหลายวิชา
ซึ่งจะบูรณาการทักษะที่จาเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกัน โดยผู้สอนจะต้องมาตกลงกันเก่ียวกับเนื้อหา ลาดับความ
ยากง่าย จะแยกสอนเป็นวิชาหรือสอนเป็นทีม ครูต้องร่วมกันกาหนดคาถามสาคัญท่ีจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
และทักษะทตี่ ้องการให้เกิดกบั ผูเ้ รียนใหค้ รบถ้วนและเหมาะสม อกี ทงั้ ให้สอดคล้องกับเน้ือเรือ่ งท่จี ะเรยี นด้วย
การบูรณาการใช้ลักษณะการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นโครงงาน (Projects) ประเด็นปัญหา (Issues)
สภาพชุมชน (Community) อาชีพ (Careers) หรือแม้แต่ศาสนา การจัดทาหลักสูตรในลักษณะโมดูล (Modules)
กอ็ ยใู่ นประเภทน้ี
2. ข้นั ตอนกำรจัดทำหลักสตู รบรู ณำกำรสิง่ แวดล้อมศกึ ษำ ของโรงเรียนบ้านสนั ปา่ สัก มขี ั้นตอน ดงั นี้
1) เลือกสาระการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดการเรยี นร้ตู ามหลักสตู รที่เก่ียวกับส่ิงแวดลอ้ ม แล้วจัดเนื้อหาในลักษณะ
หัวขอ้ เรอ่ื งหรือโครงงาน
2) กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ครูต้องกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ชัดเจน ว่าเม่ือเรียนรู้เร่ืองน้ีจบ
แล้วผู้เรียนควรจะได้อะไรบ้าง ซ่ึงควรจะสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ตามช่วงช้ันด้วย โดยมีการวางแผน
ร่วมกนั เพอื่ หลีกเลยี่ งความซา้ ซ้อน
3) กาหนดหัวข้อเรื่อง (Themes) ที่จะบูรณาการเพราะผู้เรียนเข้าใจง่ายและเห็นความเก่ียวข้องกับชีวิต
จรงิ และสามารถบรู ณาการได้มากวา่ 2 รายวชิ า
4) กาหนดขอบเขตการเรียนรู้ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน และจัดคาบเวลาให้เหมาะสมกับ
เน้อื หา กิจกรรม และต้องมีความยดื หยุ่นตามกิจกรรมการเรยี นรแู้ ละเนื้อหา
5) ดาเนนิ กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีกาหนดไว้ด้วยวธิ ีการที่หลากหลายและให้มีการศึกษาค้นคว้าจาก
แหล่งข้อมลู ตา่ งๆ ทงั้ ภายในท้องถิน่ และชุมชนและจากแหล่งขอ้ มูลภายนอก
6) ประเมินผล โดยเน้นการประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ และประเมินดว้ ยวิธีการทหี่ ลากหลาย อาจจะ
ประเมินในลักษณะของการใช้แฟม้ สะสมผลงานของนักเรียน การสังเกตกิจกรรมการปฏบิ ัติจริง การสนองตอบต่อ
การเรยี นรขู้ องผู้เรียนและการพัฒนาความรู้ของผ้เู รยี นได้
3. กำรประเมินผล การประเมนิ ผลการเรียนการสอนแบบบรู ณาการส่ิงแวดล้อมศึกษา สามารถทาได้ ดังน้ี
1) ประเมนิ ผลดว้ ยวธิ กี ารและเคร่ืองมือท่หี ลากหลาย เชน่ สังเกตพฤติกรรมแลว้ บันทึกผลสังเกต การทา
โครงงาน/ช้นิ งาน/สง่ิ ประดิษฐ์ ด้านสิ่งแวดลอ้ ม โดยใหน้ าเสนอผลงานหรอื อภิปรายผลงานของตนหรือของเพ่ือน
เปน็ ต้น
46
2) ประเมนิ โดยบรู ณาการพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ ไปพร้อม ๆ กัน จาก
การใช้ผูเ้ รยี นลงมือปฏิบตั ิงาน สร้างชิน้ งาน แลว้ วดั ความรแู้ ละทกั ษะจากกการแสดงผลงาน วดั เจตคตจิ ากการทา
กจิ กรรมทางส่ิงแวดลอ้ ม
3) ประเมนิ จากแหล่งขอ้ มลู ท่ีหลากหลาย เชน่ ประเมนิ จากผลงานหลายๆ ช้ิน ประเมนิ จากการทางานกลุ่ม
หลายๆ ครั้ง ประเมินทกั ษะการทางานจากความคล่องแคล่วและความชานาญ
4) ประเมินโดยการบูรณาการทกั ษะที่ต้องการวดั เช่น บรู ณาการความรกู้ บั ทักษะอยา่ งใดอย่างหนึ่ง หรือ
หลายอยา่ งทส่ี อดคล้องกัน บูรณาการทักษะกบั คา่ นยิ ม เป็นตน้
5) ประเมินจากกลุ่มผู้มสี ่วนเก่ยี วข้อง เช่น ครู นักเรยี น (ประเมนิ ตนเอง) เพือ่ น ผู้ปกครอง เปน็ ต้น
ตวั อย่ำง หัวเรอื่ งที่นาไปบรู ณาการหรือจัดกิจกรรมการเรียนร้ดู ้านสิ่งแวดลอ้ มศึกษา ของโรงเรยี นบา้ นสันป่าสัก
การประเมินวงจรชวี ิตผลิตภณั ฑ์ ขยะน่ารู้ ลดใชพ้ ลงั งาน
(LCA) ไฟฟ้า, น้ามนั เชื้อเพลงิ
2A 3R สันป่ำสกั …… รอยเทา้ คารบ์ อน
(Awareness, Avoid, (Carbon Footprint)
Reuse, Reduce, Recycle) รกั ษโ์ ลก
ภาวะโลกร้อน
พลงั งานทดแทน
ความหลากหลายทาง
เกษตรอินทรีย์ ชวี ภาพในชมุ ชน
หลักปรชั ญา การเตรียมความพร้อม
ของเศรษฐกิจ พอเพยี ง รบั มอื ภยั พบิ ัติ