รายงาน เรื่อง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร รายงานเล่มนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชา ภาษไทยเพื่อการสื่อสาร รหัส GE3001 ปี การศึกษา 2565 ผู้จัดท า นายอภิวฒัน ์ สิงหส ์ นัน่สาขาวิชาการประถมศึกษา รหัสนักศึกษา 6510740531003 เสนอ ดร.จรุงภรณ์ กลางบุรัมย์ มหาวิทยาลยัมหามกฏุราชวิทยาลยัวิทยาเขตร้อยเอด ็
ค าน า รายงานเล่มนี้จัดท าขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยเพื่อการ สื่อสาร รหัสวิชา GE3001 ซึ่งเป็นรายวิชาที่ได้กำหนดไว้ในกลุ่มวิชาภาษาหลักสูตรการศึกษาของสำนัก วิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มีเนื้อหาอันประกอบไปด้วยความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความหมายของภาษา การกำเนิดภาษา การจำแนกภาษา ความหมายแคบ ความหมายกว้าง สระ พยัญชนะ เสียงของวรรณยุกต์ มาตรา คำเป็น คำตาย อักษรสามหมู่ อักษรประสม ชนิดของคำ การสร้างคำในภาษาไทย ประโยค หลักการอ่านคำในภาษาไทย การสื่อสารการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การฟังเพื่อการสื่อสาร การพูดเพื่อ การสื่อสาร การอ่านเพื่อการสื่อสารและการเขียนเพื่อการสื่อสาร ซึ่งเนื้อหา ดังกล่าว สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ที่ต้องการให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะ เกี่ยวกับการสื่อสารครอบคลุมทุกทักษะทั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อต้องการให้ผู้ศึกษาตระหนักถึง ความสำคัญของการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการสื่อสารตลอดจนสามารถนําไปประยุกต ใช้ในชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพในอนาคตต่อไป อภิวัฒน์ สิงห์สนั่น ผู้จัดทำ
สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษา ความหมายของภาษา 1 องค์ประกอบของการสื่อสาร 2-3 ประเภทของการสื่อสาร 4 วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร 4 บทที่ 2 ธรรมชาติของภาษาไทย ความหมายกว้าง 5 ความหมายแคบ 5 บทที่ 3 เสียงในภาษาไทย สระ 6-8 พยัญชนะ 8-11 วรรณยุกต์ 12-14 มาตราตัวสะกด 15-17 คำเป็น-คำตาย 17 อักษรสามหมู่ 18 อักษรประสม 21
ตัวการันต์ 21-22 บทที่ 4 ชนิดของคำ 1.คำนาม 23 2.คำสรรพนาม 24 3.คำกริยา 25 4.คำบุพบท 27 6.คำสันธาร 28 7.คำอทาน 28 บทที่ 5 การสร้างคำในภาษาไทย 1.ความหมายของคำ 29 2.คำมูล 29 3.คำประสม 30 4.คำซ้อน 31 5.คำซ้ำ 32 6.คำสมาส 33 7.คำสนธิ 34-35 บทที่ 6 ประโยค ประโยค 36 ประโยคความรวม 37
ประโยความซ้อน 37-38 บทที่ 7 คำไวพจน์ คำพ้องรูป 39 คำพ้องเสียง 39 คำพ้องความหมาย 40 คำอัพภาส 41 คำไทยแท้ 41-42 บทที่ 8 ทักษะการสื่อสาร ทักษะการฟัง 44 ทักษะการอ่าน 45 ทักษะการพูด 45 ทักษะการเขียน 46 บทที่ 9 ลักษณะคำประพันธ์ไทย ความหมายของคำประพันธ์ 47 ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ 47 คำ 47 คณะ 47 สัมผัส 47 คำครุ-คำลหุ 48
คำเอก -คำโท 48 คำนำ 48 คำสร้อย 49 โวหารหรือภาพพจน์ที่กวีนิยมใช้ 50 อุปมา 50 อุปลักษณ์ 50 อติพจน์ 50 บุคคลวัต หรือ บุคลาธิษฐาน 51 สัทพจน์ 51 นามนัย 5 2
2 บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษา ความหมายของภาษา ภาษา หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อ ความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด ในพจนาณุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่าภาษาคือเสียงหรือกิริยาอาการ ที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะนอกจากจะ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และ เป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความ สามัคคีของคนในชาติอีกด้วย เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม การ วางเงื่อนไขในการสื่อสารของกลุ่มหรือสังคมนั้น ๆ โดยเข้าใจร่วมกันว่าเงื่อนไขหรือรหัสที่กำหนดไว้ หมายถึงอะไร ซึ่งใช้สื่อสารความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกของผู้สื่อไปยังผู้รับโดยอาศัยเงื่อนไขที่ กำหนดไว้(ภาษา) เป็นเครื่องสื่อความโดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ ความหมาย และโครงสร้างเพื่อให้ เข้าใจตรงกันผู้อยู่ในกลุ่มหรือสังคมนั้น ๆ จึงต้องเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน แต่บางครั้งสิ่งที่เกิดจาก สัญชาตญาณก็อาจเป็นภาษาได้เช่น ภาษาสัตว์ ภาษาดนตรี ภาษานก เป็นต้น
3 องค์ประกอบของการสื่อสาร ในการสื่อสารแต่ละครั้งนั้นมิใช่จะประกอบเพียงผู้พูดและผู้ฟังเท่านั้น ยังต้องประกอบส่วนอื่นอื่น ที่เรียกว่าองค์ประกอบของการสื่อสาร เพื่อให้การสื่อสารแต่ละครั้งประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ พูดตั้งไว้ จึงควรทำความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบของการสื่อสารองค์ประกอบของการสื่อสารคือ ส่วนที่ นำมาประกอบกันเพื่อทำให้เกิดการสื่อสาร หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งแล้ว จะทำให้การ สื่อสารนั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งการสื่อสารมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1 ผู้ส่งสาร หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งสาร หรือเป็น แหล่งกำเนิดสาร ที่เป็นผู้เริ่มต้นส่งสารด้วยการแปลสารนั้นให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นแทน ความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึก ข่าวสาร ความต้องการและ วัตถุประสงค์ของตนไปยังผู้รับสารด้วยวิธีการใด ๆ หรือส่งผ่านช่องทางใดก็ตาม จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม เช่น ผู้พูด ผู้เขียน กวี ศิลปิน นักจัดรายการวิทยุ โฆษกรัฐบาล องค์การ สถาบัน สถานี วิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์ กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หน่วยงานของรัฐ บริษัท สถาบันสื่อมวลชน เป็นต้น คุณสมบัติของผู้ส่งสาร 1. เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดที่จะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์ของตนในการส่งสาร แสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์ ฯลฯ 2. เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาของสารที่ต้องการจะสื่อออกไปเป็นอย่างดี 3. เป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดี มีความน่าเชื่อถือ แคล่วคล่องเปิดเผยจริงใจ และมีความรับผิดชอบ ใน ฐานะเป็นผู้ส่งสาร 4. เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความพร้อมและความสามารถในการรับสารของผู้รับสาร 5. เป็นผู้รู้จักเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการส่งสารหรือนำเสนอสาร
4 2. สาร หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของข้อมูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้ และแสดงออกมาโดยอาศัย ภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ เช่น ข้อความที่พูด ข้อความที่เขียน บทเพลงที่ร้อง รูปที่วาด เรื่องราวที่อ่าน ท่าทางที่สื่อความหมาย เป็นต้น 2.1 รหัสสาร ได้แก่ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่มนุษย์ใช้เพื่อแสดงออกแทนความรู้ ความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึกต่าง ๆ 2.2 เนื้อหาของสาร หมายถึง บรรดาความรู้ ความคิดและประสบการณ์ที่ผู้ส่งสารต้องการจะ ถ่ายทอดเพื่อการรับรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกันหรือโต้ตอบกัน 2.3 การจัดสาร หมายถึง การรวบรวมเนื้อหาของสาร แล้วนำมาเรียบเรียงให้เป็นไปอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ใจความตามเนื้อหา ที่ต้องการด้วยการเลือก ใช้รหัสสารที่เหมาะสม 3. สื่อหรือช่องทาง เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งในการสื่อสาร ผู้ส่งสารต้องอาศัยสื่อหรือ ช่องทางทำหน้าที่นำสารไปสู่ผู้รับสาร สื่อที่มนุษย์ใช้ได้แก่ประสาทสัมผัส สื่อธรรมชาติ สื่อที่มนุษย์สร้าง ขึ้น เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ IT สื่อที่ดีจะต้องเป็นสื่อที่เหมาะสมในการสื่อสาร 4) ผู้รับสาร ผู้รับสารที่ดีควรทำหน้าที่ตามบทบาทของตนเองและควรพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติดังนี้ 4.1) เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดและกระตือรือร้นที่จะรับสาร 4.2) เป็นผู้พยายามรับรู้เรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ 4.3) เป็นผู้ที่มีความไหวรู้สึกรวดเร็ว และถูกต้อง 4.4) เป็นผู้ที่มีสมาธิ สามารถบังคับใจให้ให้อยู่ที่เรื่องราวที่กำลังสื่อสาร
5 ประเภทของการสื่อสาร การสื่อสารของมนุษย์เรานั้นจำแนกออกได้เป็นหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามในสถานการณ์การสื่อสาร (Communication Situation) หนึ่งๆ นั้น อาจเรียกชื่อได้หลายๆ ชื่อ หรืออาจจัดเป็นประเภทของการสื่อสารได้หลายประเภท สุดแท้แต่ว่าเราจะใช้ อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ในที่นี้จะแสดงการจำแนกประเภทของการสื่อสารโดยใช้ เกณฑ์ในการจำแนกที่สำคัญ 5 เกณฑ์ดังนี้ 1. เส้นทางการไหลของข่าวสาร 2. จำนวนของผู้ทำการสื่อสาร 3. ภาษาหรือสัญลักษณ์ 4. การเห็นหน้ากัน 5. ความแตกต่างระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร การที่คนเราทำการสื่อสารกันนั้น ผู้ส่งสารกับผู้รับสารจะมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้การสื่อสารประสบความสำเร็จ โดยทั่วไปแล้วเราพอสรุปได้ว่าผู้ส่งสารและผู้รับสารมีวัตถุประสงค์ที่ แสดงความต้องการในการสื่อสาร ดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร วัตถุประสงค์ของผู้รับสาร 1.เพื่อแจ้งให้ทราบ 2.เพื่อสอนหรือให้การศึกษา 3.เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง 4.เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ 1.เพื่อทราบ 2.เพื่อเรียนรู้ 3.เพื่อหาความพอใจ 4.เพื่อกระทำหรือตัดสินใจ
6 บทที่ 2 ธรรมชาติของภาษา ธรรมชาติของภาษา คือ ภาษาคือการสื่อสารระหว่างสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าคนหรือสัตว์ เมื่อรวมกันเป็นกลุ่ม ย่อมมีการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ เช่นการเรียนการสอน เพื่อบ่งบอกความรู้สึก เช่นการโอบกอด เพื่อให้สัญญาณ เช่นการบินวนของฝูงผึ้ง อาจอยู่ในรูปใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น วัจนภาษา หรืออวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ) อาจอยู่ในรูปของเสียงคือการพูด หรืออยู่ในรูปของถ้อยคำในการ ขีดเขียน ซึ่งมนุษย์น่าจะเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถประดิษฐ์คำเพื่อแทนเสียงพูดได้ ความหมายกว้าง ภาษาในความหมายกว้าง หมายถึง ภาษาที่ใช้คำพูด (วัจนภาษา) และภาษาที่ไม่ใช่คำพูด (อวัจนภาษา) ทั้งนี้ภาษาในความหมายนี้ อาจนับรวมไปถึงภาษาของสัตว์ด้วย แต่เรื่องภาษาของสัตว์นี้ยัง มีข้อมูลไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีใครนำมากล่าวรวมกับภาษาของมนุษย์ ความหมายแคบ ภาษาในความหมายแคบ หมายถึง ภาษาที่ใช้คำพูด จะเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็น ความหมายใช้แทนคำพูดก็ได้
7 บทที่ 3 เสียงในภาษาไทย เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมายระหว่างกันซึ่งการที่เสียงใน ภาษาจะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องอาศัยอวัยวะต่างๆที่ทําให้เกิดเสียงสําหรับอวัยวะที่ทำให้เกิดเสียง ได้แก่ ริม ฝีปาก ปุ่มเหงือก ฟัน ลิ้น เพดานปาก ลิ้นไก่กล่องเสียง หลอดลม และปอด เสียงในภาษาแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ 1.) เสียงสระ หรือเสียงแท้คือ เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอโดยตรง ไม่ถูกสกัดกั้นด้วยอวัยวะส่วน ใดในปาก แล้วเกิดเสียงก้องกังวาน และออกเสียงได้ยาวนาน 2.) เสียงพยัญชนะ หรือเสียงแปร คือ เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ แล้วกระทบกับอวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งในปาก เช่น คอ ปุ่มเหงือก ฟัน ริมฝีปาก ซึ่งทำให้เกิดเป็นเสียงต่าง ๆ 3.) เสียงวรรณยุกต์หรือเสียงดนตรีคือ เสียงสระ หรือเสียงพยัญชนะ ซึ่งเวลาเปล่งเสียงแล้วเสียง จะมีระดับสูง ต่ำ เหมือนกับเสียงดนตรี สระ สระในภาษาไทย หมายถึง เครื่องหมายใช้แทนเสียงที่เปล่งออกมา ตามหลักของภาษา สระมีความสำคัญ มาก เพราะพยัญชนะจำเป็นต้องอาศัยสระ จึงจะสามารถอ่านออกเสียงได้ ตลอดจนทำให้คำๆนั้นมี ความหมายขึ้นมา สระภาษาไทย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1 รูปสระ ลำดับ รูปสระ คำเรียก ลำดับ รูปสระ คำเรียก ๑ ะ วิสรรชนีย์ ๑๒ ใ ไม้ม้วน ๒ั ไม้หันอากาศ หรือ ไม้ผัด ๑๓ ไ ไม้มลาย
8 ๓็ ไม้ไต่คู้ ๑๔ โ ไม้โอ ๔ า ลากข้าง ๑๕ อ ตัวออ ๕ิ พินทุ หรือ พิทุอิ ๑๖ ย ตัวออ ๖่ ฝนทอง ๑๗ ว ตัวออ ๗ ” ฟันหนู ๑๘ ฤ ตัว ฤ (รึ) ๘ํ นฤคหิต หรือ หยาดน้ำค้าง ๑๙ ฤๅ ตัว ฤๅ (รือ) ๙ุตีนเหยียด ๒๐ ฦ ตัว ฦ (ลึ) ๑๐ู ตีนคู้ ๒๑ ฦๅ ฦ (ลึ) ๑๑ เ ไม้หน้า 2. เสียงสระ เสียงสระในภาษาไทยมี 32 เสียง ดังนี้ ะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ เเอะ เเอเอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ อำ ใอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เสียงสระ แบ่งออกเป็น 5 เสียง คือ 2.1 สระเสียงสั้น ได้แก่ สระที่ออกเสียงสั้น คือ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ เออะ เอียะ เอือะ อัวะ ฤ ฦ อำ ไอ ใอ เอา 2.2 สระเสียงยาว ได้แก่ สระที่ออกเสียงยาว คือ อา อี อื อู เอ แอ โอ ออ เออ เอีย เอือ อัว ฤๅ ฦๅ 2.3 สระเดี่ยว ได้แก่ สระที่เปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงเดียว ไม่มีเสียงอื่นประสมมี 18 ตัวได้แก่ อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ เออะ เออ โอะ โอ เอาะ ออ
9 2.4 สระประสม คือ สระที่มีเสียงสระเดี่ยว 2 ตัวประสมกัน มี 6 ตัวได้แก่ เอียะ เสียง อิ กับ อะ ประสมกัน เอีย เสียง อี กับ อา ประสมกัน เอือะ เสียง อึ กับ อะ ประสมกัน เอือ เสียง อื กับ อา ประสมกัน อัวะ เสียง อุ กับ อะ ประสมกัน อัว เสียง อู กับ อา ประสมกัน 2.5 สระเกิน คือ สระที่มีเสียงซ้ำกับสระเดี่ยว ต่างกันก็แต่ว่าสระเกินจะมีเสียงพยัญชนะประสมหรือสะกด อยู่ด้วย มี 8 ตัว ได้แก่ – ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ (รึ รือ ลึ ลือ) มีเสียงพยัญชนะ ร ล ประสมอยู่ – อำ มีเสียง อะ และพยัญชนะ ม สะกด – ใอ ไอ มีเสียง อะ และพยัญชนะ ย สะกด (คือ อัย) – เอา มีเสียง อะ และพยัญชนะ ว สะกด พยัญชนะ พยัญชนะไทยมีรูป 44 รูป มีเสียง 21 เสียง
10 พยัญชนะไทยมี 21 เสียง คือ ก ค ง จ ช ซ ด ต ท น บ ป พ ฟ ม ย ร ล ว อ ฮ
11
12 พยัญชนะสะกดหรือพยัญชนะท้าย พยัญชนะที่ไม่ใช้เป็นตัวสะกด มีดังนี้ ฃ ฅ ฉ ฌ ผ ฟ ฝ ห อ ฮ ลักษณะที่ควรสังเกต รูปพยัญชนะบางรูปไม่ออกเสียง คือ 1. พยัญชนะที่มีเครื่องหมาย ทัณฑฆาต กำกับ เช่น สัตว์ สงฆ์ วิทย์ 2. ร หรือ ห ซึ่งนำหน้าพยัญชนะสะกดในบางคำ เช่น สามารถ พรหม 3. พยัญชนะ ซึ่งตามหลังพยัญชนะสะกดในบางคำ เช่น พุทธ จักร 4. ร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอักษรควบไม่แท้ เช่น จริง โทรม สร้าง 5. ห หรือ อ ซึ่งนำอักษรต่ำเดี่ยว เช่น หลาย อยาก 6. คำบางคำมีเสียงพยัญชนะ แต่ไม่ปรากฏรูปพยัญชนะ เช่น ดำ มีเสียง ม สะกด แต่ไม่ปรากฏ
13 วรรณยุกต์ หมายถึง ระดับเสียงสูงต่ำของคำ ในภาษาไทยแบ่งวรรรณยุกต์ออกเป็น 2 ชนิด คือ วรรณยุกต์มีรูป และวรรณยุกต์ไม่มีรูป 1.วรรณยุกต์มีรูป หมายถึง วรรณยุกต์ที่มีเครื่องหมายบอกระดับของเสียงใช้เขียนไว้บน พยัญชนะต้นของคำ หากพยัญชนะต้นมีรูปสระอยู่ข้างบนจะเขียนรูปวรรรณยุกต์อยู่เหนือสระ คำที่มีอักษร ควบและอักษรนำ จะเขียนรูปวรรณยุกต์ไว้บนพยัญชนะตัวที่ 2 รูปวรรณยุกต์มี 4 รูป คือ เช่น ค่ะ ป่า หมู่ เช่น กล้อง ข้อ ครั้ง เช่น โต๊ะ อุ๊ย ตั้กแตน เช่น เก๋ จ๋า ตั๋ว 2.วรรณยุกต์ไม่มีรูป คือ ระดับเสียงสูงต่ำของคำแต่ละคำ ตามหมู่ของอักษร 3 หมู่ ได้แก่ อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ ซึ่งไม่ต้องมีรูปวรรณยุกต์กำกับก็อ่านออกเสียงได้เหมือนรูป วรรณยุกต์กำกับเสียงวรรณยุกต์มี 5 เสียง คือ 1) เสียงสามัญ เช่น คา ตา มา 2) เสียงเอก เช่น ขะ ฉก หุบ 3) เสียงโท เช่น คาบ รีบ วูบ 4) เสียงตรี เช่น คะ ลิด ทุบ 5) เสียงจัตวา เช่น ขา หนี ฝูง
14 ลักษณะและประเภทของเสียงวรรณยุกต์วรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายแสดงระดับเสียงสูงต่ำในภาษา คำที่ มีรูปพยัญชนะและสระเหมือนกันถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน จะทำให้คำนั้นมีความหมายต่างกัน เช่น นา น่า น้า ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า ไข ไข่ ไข้ เรือ เรื่อ วรรณยุกต์มี 4 รูป 5 เสียง ดังนี้ เสียงวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์ ระดับเสียง ตัวอย่าง หมายเหตุ สามัญ - ปานกลาง มีระดับ เสียงคงที่ กิน ทอง ลืม ยำ ไม่มีรูปวรรณยุกต์ แทนเสียง เอก่ ต่ำสุด มีเสียงคงที่ สม่ำเสมอ เก่ง ผ่า หนัก สุข บางคำไม่มีรูป วรรณยุกต์ โท ้ ตอนต้นเป็นเสียง สูงปลายเสียง เปลี่ยนระดับเป็น เสียงต่ำ ใกล้ ข้า ค่า ช่าง มาก นาบ บางคำมีรูป วรรณยุกต์ ่ กำกับ แต่มีเสียง วรรณยุกต์โท บาง คำไม่มีรูป วรรณยุกต์กำกับ ตรี ๊สูง โต๊ะ จ๊ะ กั๊ก รัก คิด น้อง ไว้ ใช้ บางคำมีรูป วรรณยุกต์กำกับ และบางคำใช้รูป วรรณยุกต์ ้ แต่มี เสียงวรรณยุกต์ตรี จัตวา ๋ ตอนต้นเสียงต่ำ ตอนปลายเสียงเน ระดับเสียงที่สูงขึ้น แจ๋ว ก๋วยเตี๋ยว เหลือง เขียว บางคำไม่มีรูป วรรณยุกต์กำกับ
15 วรรณยุกต์ไม่มีรูป เช่น วรรณยุกต์ที่มีเสียงกับรูปตรงกัน เช่น วรรณยุกต์ที่มีเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น กา มา เดือน เสียงสามัญ ขาด จาก หลบ เสียงเอก ฆาต แรด พูด เสียงโท รัก น้อง วัด เสียงตรี สาว ขา สวย เสียงจัตวา ข่า สง่า หมี่ วรรณยุกต์เอก เสียงเอก ก้อง จ้า ป้า วรรณยุกต์รูปโท เสียงโท โต๊ะ แก๊ส กั๊ก วรรณยุกต์รูปตรี เสียงตรี แต๋ว จ๋า ปึ่ม วรรณยุกต์เสียงจัตวา เสียงจัตวา ว่า ค่า ง่า โล่ง วรรณยุกต์รูปเอก เสียงโท ร้อน น้อง ฟ้า ค ้า วรรณยุกต์รูปโท เสียงตรี
16 มาตราตัวสะกด มาตราตัวสะกด คือ หลักเกณฑ์ที่วางไว้เพื่อให้กำหนดได้ว่าคำที่มีพยัญชนะตัวใดบ้างเป็นตัวสะกดอยู่ใน มาตราใดหรือแม่ใด หรือกล่าวได้ว่า มาตราตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ผสมอยู่ข้างหลังคำหรือพยางค์ ในแม่ ก กา ทำให้คำในแม่ ก กา มีตัวสะกด โดยมีทั้งที่ใช้ตัวสะกดตรงมาตรา เช่น แม่เกอว แม่กม และไม่ ตรงมาตรา เช่น แม่กน แม่กก การเรียนรู้มาตราตัวสะกดต่าง ๆ ช่วยทำให้ผู้เรียนเขียนและอ่านคำได้ ถูกต้อง มาตราตัวสะกดมี 9 มาตรา ได้แก่ แม่ก กา แม่กก แม่กง แม่กด แม่กน แม่กบ แม่กม แม่เกย และแม่เกอว แม่กง ง แม่กม ม แม่เกย ย แม่เกอว ว แม่กก ก ข ค ฆ แม่กบ บ ป พ ฟ ภ แม่กน น ญ ณ ร ล ฬ แม่กด ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส
17 โดยสามารถแบ่งได้เป็นมาตราตัวสะกดตรงมาตรา และมาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา มาตราตัวสะกดตรงมาตรา มาตราตัวสะกดตรงมาตราหรือตรงแม่ คือ มาตราที่มีพยัญชนะเพียงตัวเดียวเป็นตัวสะกด โดยมีอยู่ 4 มี มาตรา ได้แก่ แม่กง แม่กม แม่เกย และแม่เกอว แม่กง ใช้ ง สะกด ตัวอย่างคำในแม่กง เช่น ลิง ม่วง กางเกง รองเท้า เลี้ยง ทุ่ง สอง บาง กรง ทรง งง กวาง กล่อง มอง คล้องจอง แม่กม ใช้ ม สะกด ตัวอย่างคำในแม่กม เช่น ส้ม อุ้ม ส้อม ซ่อม ธรรม กลม กรรม ลม นม มุม มะขาม ยิ้ม ถนอม ชมรม เกม แม่เกย ใช้ ย สะกด ตัวอย่างคำในแม่เกย เช่น เฉย เนย เตย สร้อย ขาย ชาย ยาย พลอย วินัย ลอย คอย ทยอย ง่าย สาย ด้าย แม่เกอว ใช้ ว สะกด ตัวอย่างคำในแม่เกอว เช่น แมว หิว แก้ว คิ้ว นิ้ว สาว กาว ยาว หนาว เที่ยว เอว ว่าว ผิว ขาว แถว เขียว เดียว มาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา มาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราหรือไม่ตรงแม่ คือ มาตราที่มีพยัญชนะหลายตัวเป็นตัวสะกด ซึ่งต่างก็ ออกเสียงเหมือนตัวสะกดเดียวกัน โดยมีอยู่ 4 มีมาตรา ได้แก่ แม่กก แม่กด แม่กน และแม่กบ แม่กก มีตัวสะกด ก ข ค ฆ ตัวอย่างคำแม่กก ตรงมาตรา เช่น กก ตก บก ฉาก จาก สุก ลูก ผูก ถูก ปีก ฉีก บอก ศอก ลอก เด็ก เล็ก ตัวอย่างคำแม่กก ไม่ตรงมาตรา เช่น เลข สุนัข มุข โรค เทคนิค พรรค บริจาค วัคซีน เมฆ
18 แม่กด มีตัวสะกด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส ตัวอย่างคำแม่กด ตรงมาตรา เช่น จด ลด โดด ตลอด รอด รัด ชัด สกัด พลาด ขาด หาด ตัวอย่างคำแม่กด ไม่ตรงมาตรา เช่น กิจ ตรวจ ตำรวจ บทบาท ประโยชน์ ประเสริฐ อูฐ ก๊าซ แก๊ส กฎ ปรากฏ ครุฑ บัตร เพชร สวิตช์ อนุญาต อุโบสถ ปฏิเสธ เทศนา โทรทัศน์ เศรษฐี กระดาษ โอกาส บวช แม่กน มีตัวสะกด ญ ณ น ร ล ฬ ตัวอย่างคำแม่กน ตรงมาตรา เช่น ขน บน เย็น เป็น จาน ขาน ยานยนต์ ถนน ปฏิทิน ตัวอย่างคำแม่กน ไม่ตรงมาตรา เช่น ขวัญ เหรียญ ปัญหา คูณ คุณ โบราณ สัญญาณ บริเวณ อาหาร เณร เกสร พยาบาล บอล ศีล อนุบาล ผล วาฬ ทมิฬ กาฬโรค แม่กบ มีตัวสะกด บ ป พ ฟ ภ ตัวอย่างคำแม่กบ ตรงมาตรา เช่น จบ ลบ กบ ขนบ กรอบ ชอบ ตะเกียบ เรียบ รอบคอบ กลับ ตัวอย่างคำแม่กบ ไม่ตรงมาตรา เช่น ธูป รูป สรุป ทวีป คำสาป ยีราฟ กราฟ ไมโครเวฟ เสิร์ฟ ลิฟต์ ชีพ ภาพ อพยพ เคารพ ลาภ โลภ คำเป็น - คำตาย คำเป็น ได้แก่ คำที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น มา ดู ปู เวลา ปี ฯลฯ 2. คำที่พยัญชนะประสมกับสระ –ำ ใ - ไ - เ – า เช่น จำ น้ำ ใช่ เผ่า เสา ไป ฯลฯ 3. คำที่มีตัวสะกดอยู่ในแม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น จริง กิน กรรม สาว ฉุย ฯลฯ คำตาย ได้แก่ คำที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น กะทิ เพราะ ดุ แคะ ฯลฯ 2. คำที่มีตัวสะกดในแม่ กก กบ กด เช่น บทบาท ลาภ เมฆ เลข ธูป ฯลฯ
19 อักษรสามหมู่ อักษร 3 หมู่ หรือไตรยางศ์ มาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า ตฺรยฺ ซึ่งแปลว่า สาม รวมกับ อํศ ซึ่งแปลว่า ส่วน ดังนั้น ไตรยางศ์ จึงแปลรวมกันได้ว่า สามส่วน ไตรยางศ์ ก็คือ การจัดหมวดหมู่เพื่อแบ่งพยัญชนะไทยออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
20 อักษรสูง หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับสูง มีทั้งหมด 11 ตัว วิธีท่องจำง่ายๆ ผ ฝ ถ ฐ ข ฃ ศ ษ ส ห ฉ (ผี ฝาก ถุง ขาว สาร ให้ ฉัน) อักษรกลาง หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับกลาง มีทั้งหมด 9 ตัว วิธี ท่องจำง่าย ๆ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ (ไก่ จิก เด็ก ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง) อักษรต่ำ หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับต่ำ มีทั้งหมด 24 ตัว ต่ำคู่ มีเสียงคู่อักษรสูง 14 ตัว พ ภ ฟ ฑ ฒ ท ธ ค ต ฆ ซ ฮ ช ฌ ต่ำเดี่ยว (ไร้คู่) 10 ตัว วิธีท่องจำง่าย ๆ ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล (เณร โง่ วิ่ง หนี หญิง มา ยัง โรง เลี้ยง ฬา) อักษรประสม อักษรประสมแบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ ๑.อักษรควบ ๑.๑.คำควบแท้คือ อักษรควบที่พยัญชนะ ๒ ตัวควบกัน ในสระเดียวกัน ออกเสียงกล้ำกัน คำที่มีพยัญชนะต้นตัวหน้าเป็น ก ข ค ต ป ผ พ พยัญชนะต้นตัวหลังเป็น ร ล หรือ ว ประสมสระ เดียวกัน ออกเสียงกล้ำกันสนิท เช่น กล่าวย้ำ อ่านว่า กล่าว – ย้ำ ขว้างขวาน อ่านว่า ขว้าง – ขวาน ครบครัน อ่านว่า ครบ – ครัน ตรากตรำ อ่านว่า ตราก – ตรำ เปลี่ยนแปร อ่านว่า เปลี่ยน – แปร
21 ๑.๒.คำควบไม่แท้คือ อักษรควบที่มีพยัญชนะ ๒ ตัว ควบกัน ในสระเดียวกัน แต่ออกเสียงเฉพาะ พยัญชนะตัวแรกเท่านั้น สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑ พยัญชนะต้นตัวหน้าเป็น ซ ศ ส จ พยัญชนะต้นตัวหลังเป็น ร อ่านออกเสียงเฉพาะตัวหน้า เช่น ไซร้ อ่านว่า ไซ้ ศรัทธา อ่านว่า สัด - ทา สร่างเศร้า อ่านว่า ส่าง - เส้า จริง อ่านว่า จิง ๒ พยัญชนะตัวหน้าเป็น ท พยัญชนะตัวหลังเป็น ร ออกเสียง ทร เป็น ซ เช่น ทราย อ่านว่า ซาย ทรัพย์ อ่านว่า ซับ ปลาอินทรี อ่านว่า ปลา - อิน - ซี ทรวดทรง อ่านว่า ซวด - ซง พุทรา อ่านว่า พุด - ซา ๒.อักษรนำ คือ คำที่มีพยัญชนะ ๒ ตัวประสมอยู่ในสระเดียวกัน เวลาอ่านให้อ่านออก เสียงพยางค์หลังตามเสียงพยัญชนะตัวที่นำ คำที่มี ห นำ หยุมหยิม หนักหนา หรูหรา หญิงใหญ่ แหงนหงาย หลังไหล่ หวั่นไหว หมักหมม คำที่มีพยัญชนะต้นเป็น ห นำพยัญชนะตัวหลัง คือ ง ญ น ม ย ร ล ว ไม่ออกเสียงตัว ห แต่ออกเสียงพยัญชนะตัวหลังให้มีเสียงวรรณยุกต์ตามตัว ห
22 คำที่มี อ นำ อย่า อยู่อย่างอยากได้ ของเขา อยู่อย่างคนตัวเบา สุขล้ำ อย่าง อยากอยู่อย่าเอา แต่ได้ อยาก อยู่อย่างอย่าย้ำ เหล่านี้ อ นำ คำที่มีพยัญชนะตัวหน้าเป็น อ นำ ย ไม่ออกเสียง อ แต่เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ออก เสียงตามพยัญชนะ อ มี ๔ คำ ได้แก่ อย่า อยู่ อย่าง อยาก ตัวการันต์ ตัวการันต์คือ คำที่มีไม้ทัณฑฆาตกำกับ ( ์ ) กำกับอยู่บนพยัญชนะ เพื่อแสดงให้รู้ว่าไม่ต้องอ่านออก เสียงพยัญชนะตัวนั้น ์ เรียกว่าไม้ทัณฑฆาต ใช้วางบนพยัญชนะที่ไม่ต้องการออกเสียง ซึ่งอาจวางไว้บนพยัญชนะซึ่งอยู่ท้ายประโยค หรือบางคำมีพยัญชนะที่ไม่ใช่ตัวสะกดอยู่ข้างหน้าพยัญชนะ ที่มีไม้ทัณฑฆาต ก็ไม่ออกเสียงพยัญชนะ ตัวการันต์มีหลายลักษณะ ดังนี้ ย์ ล์ น์ ษ์ ร์ ห์ ท์ ธิ์ ธุ์ ธ์ ณ์ ตร์ ทร์ ฐ์ ก์ ดิ์ ดร์ ว์ การอ่านคำที่มีตัวการันต์มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้ ไม่ต้องอ่านออกเสียงพยัญชนะที่มีไม้ทัณฑฆาตกำกับ ซึ่งอาจวางไว้บนพยัญชนะซึ่งอยู่ท้ายประโยค มี หลายลักษณะ เช่น ๑.๑ คำที่มีตัวการันต์ตัวเดียว เช่น วันเสาร์ ศิษย์ ประจักษ์ ๑.๒ คำที่มีตัวการันต์สองตัว เช่น ประชาราษฎร์ ภาพยนตร์ พระจันทร์ ประวัติศาสตร์
23 ๑.๓ คำที่มีตัวการันต์สามตัว เช่น พระลักษมณ์ ไม่อ่านออกเสียงพยัญชนะที่มีไม้ทัณฑฆาตกำกับ ถึงแม้พยัญชนะตัวนั้นจะอยู่กลางคำ เช่น ฟิล์ม คอนเสิร์ต นิวยอร์ก เฟิร์น กอล์ฟ ไม่อ่านออกเสียงตัวการันต์ที่มีสระประกอบ เช่น บริสุทธิ์ พันธุ์ไม้ ศักดิ์ศรี กษัตริย์
24 บทที่ 4 ชนิดของคำ 7 ชนิด 1 คำนาม 2 คำสรรพนาม 3 คำกริยา 4 คำวิเศษณ์ 5 คำบุพบท 6 คำสันธาน 7 คำอุทาน คำนาม คำนาม คือคำที่ใช้เรียนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เช่น ครู นักปลา ดินสอโต๊ะ บ้าน โรงเรียน แบ่ง 5 ชนิด ได้แก่ 1. สามานยนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อทั่ว ๆ ไป เช่นหนู ไก่ โต๊ะ บ้าน คน 2. วิสามานนาม เป็นชื่อเฉพาะ เช่น นายทอง เจ้าดำ ชื่อวัน ชื่อเดือน ชื่อจังหวัด ชื่อประเทศ ชื่อแม่น้ำ ชื่อ เกาะ 3. สุหนาม นามที่เป็นหมู่คณะ เช่น ฝูง โขลง กลอง หรือคำที่มีความหมายไปในทางจำนวนมาก เช่น รัฐบาล องค์กร กรม บริษัท 4. ลักษณนาม เป็นคำนามที่บอกลักษณะของนาม มักใช้หลังคำวิเศษที่บอกจำนวนนับ เช่น ภิกษุ 4 รูป นาฬิกา 4 เรือน 5. อาการนาม คือ นามที่เป็นชื่อกริยาอาการในภาษามักใช้คำว่า “การ” และ “ความ” นำหน้า เช่น การ นั่งการกิน ความดี ความจน คำนามที่อยู่ในประโยคจะทำหน้าที่ได้ทั้งเป็นประธานและกริยาของประโยค เช่น ประโยค ประธาน กริยา กรรม ม้าวิ่ง ม้า วิ่ง - นักเรียนไปโรงเรียน นักเรียน ไป โรงเรียน แมวจับหนู แมว จับ หนู ครูทำโทษสมชาย ครู ทำโทษ สมชาย
25 คำสรรพนาม คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม เช่น ผม ฉัน หนู เธอ คุณข้าพเจ้า เขา ท่าน มัน เป็นต้น แบ่งเป็น 6 ชนิดได้แก่ 1. บุรุษสรรพนาม คือคำนามที่ใช้แทนชื่อ เวลาพูดกัน บุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้พูด เช่นผมฉัน ข้าพเจ้า บุรุษที่2 ใช้แทนผู้ฟัง เช่นคุณ เธอ บุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้กล่าวถึง เช่นเขา มัน 2. ประพันธสรรพนาม คือคำสรรพนามที่ใช้แทน(เชื่อม)คำนามที่อยู่ข้างหน้า ได้แก่ คำว่า ที่ ซึ่ง อัน เช่น คนที่ออกกำลังกายเสมอร่างการมักแข็งแรง อเมริกาซึ่งเป็นเจ้าภาพแข่งขันชกมวยกำลังมีชื่อเสียงทั่วโลก มีดอันที่อยู่ในครัวคมมาก 3. นิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่กำหนดความให้รู้แน่นอนได้แก่ นี่ นั่น โน่น หรือ นี้ นั้น โน้น เช่น นี่เป็นเพื่อนของฉัน นั่นอะไรน่ะ โน่นของเธอ ของเธออยู่ที่นี่ 4. อนิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่แทนสิ่งที่ไม่ทราบ คือไม่ชี้เฉพาะลงไปและไม่ได้กล่าวในเชิงถาม หรือ สงสัย ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ใด เช่น ใครขยันก็สอบไล่ได้ เขาเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร 5. ปฤจฉสรรพนาม ได้แก่สรรพนามใช้เป็นคำถาม ได้แก่คำ อะไร ใคร ที่ไหน แห่งใด ฯลฯ เช่น ใครอยู่ที่นั่น อะไรเสียหายบ้าง ไหนละโรงเรียนของเธอ 6. วิภาคสรรพนาม หมายถึงคำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามซึ่งแสดงให้เห็นว่านามนั้น จำแนกออกเป็นหลาย ส่วน ได้แก่ ต่างบ้าง กัน เช่น นักเรียนต่างก็อ่านหนังสือ เขาตีกัน นักเรียนบ้างเรียนบ้างเล่น
26 คำกริยา คำกริยา คือ คำแสดงอาการของนาม สรรพนาม แสดงการกระทำของประโยค เช่น เดิน วิ่ง เรียน อ่าน นั่ง เล่น เป็นต้น แบ่งเป็น 4 ชนิด 1. สกรรมกริยา คือคำกริยาที่ต้องมีกรรมรับ เช่น ฉันกินข้าว เขาเห็นนก 2. อกรรกริยา คือคำกริยาที่ไม่ต้องมี่กรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เช่น เขานั่ง เขายืน 3. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความต้องมีคำอื่นมา ประกอบจึงจะได้ความ ได้แก่ เหมือน เป็น คล้าย เท่า คือ เช่น ผมเป็นนักเรียน คนสองคนนี้เหมือนกัน ลูกคนนี้คล้ายพ่อ ส้ม 3 ผลใหญ่เท่ากัน เขาคือครูของฉันเอง 4. กริยานุเคราะห์ คือคำกริยามี่ไม่มีความหมายในตัวเอง ทำหน้าที่ช่วยกริยาให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่คำ จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น แดงจะไปโรงเรียน เขาถูกตี รีบไปเถอะ
27 คำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่นให้ได้ใจความชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น 10 ชนิดคือ 1. ลักษณะวิเศษณ์ บอกลักษณะ เช่น สูง ใหญ่ ดำ อ้วน ผอม แคบ หวาน เค็ม กว้าง 2. กาลวิเศษณ์ บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น ดึก เดี๋ยวนี้ โบราณ 3. สถานวิเศษณ์ บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง 4. ประมาณวิเศษณ์ บอกจำนวน เช่น หนึ่ง สอง น้อย มาก ทั้งหมด ทั้งปวง บรรดา 5. นิยมวิเศษณ์ บอกความแน่นอน เช่น นี่ นี้ โน่น นั้น 6. อนิยมวิเศษณ์ บอกความไม่แน่นอน เช่น กี่ อันใด ทำไม อะไร ใคร - กี่คนก็ได้ - ใครทำก็ได้ - เป็นอะไรก็เป็นกัน - คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น 7. ปฤจฉาวิเศษณ์ บอกความเป็นคำถาม เช่น - แม่จะไปไหน - เธออายุเท่าไร - แกล้งเขาทำไม - ไยจึงไม่มา 8. ประติชฌาวิเศษณ์ (บอกการตอบรับ) มีคำว่า คะ ครับ จ้ะ จ๋า ขา ฯลฯ 9. ประติเศษวิเศษณ์ แสดงความปฏิเสธ เช่น ไม่ ไม่ใช่ หามิได้ บ่ 10. ประพันธวิเศษณ์ แสดงหน้าที่เชื่อมประโยค เช่น ที่ ซึ่ง อัน - เขาพูดอย่างที่ใคร ๆ ไม่คาดคิด - เธอเดินไปหยิบหนังสือซึ่งอยู่บนโต๊ะ - ของมีจำนวนมากอันมิอาจนับได้
28 คำบุพบท คำบุพบท คือคำที่ใช้นำหน้าคำอื่นแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ 1. ไม่เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ คำทักทาย หรือร้องเรียน เช่น ดูกร ข้าแต่ อันว่า แน่ะ เฮ้ย 2. เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ โดย ของ บน - พวกเราเดินทางโดยรถยนต์ - ขนมเหล่านั้นเป็นของคุณแม่ - นกเกาะอยู่บนต้นไม้ - เขาเดินไปตามถนน - ฉันเขียนหนังสือด้วยปากกา - เขามาถึงตั้งแต่เช้า - ในหลวงทรงเป็นประมุขแห่งชาติ - เขาบ่นถึงเธอ การใช้คำ กับ แก่ แด่ ต่อ กับ ใช้กับการกระทำที่ร่วมกันกระทำ - เขากับเธอมาถึงโรงเรียนพร้อมกัน - พ่อกับลูกกำลังอ่านหนังสือ แก่ ใช้นำหน้าผู้รับที่มีอายุน้อยกว่าผู้ให้ หรือเสมอกัน - คุณครูมอบรางวัลแก่นักเรียน - เขามอบของขวัญปีใหม่แก่เพื่อน แด่ ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้รับที่มีอายุมากกว่า หรือกับบุคคลที่เคารพ - นักเรียนมอบของขวัญแด่อาจารย์ใหญ่ - ฉันถวายอาหารแด่พระสงฆ์ ต่อ ให้ในการติดต่อกับผู้รับต่อหน้า - จำเลยให้การต่อศาล - ประธานนักเรียนเสนอโครงการต่ออาจารย์ใหญ่ - หาคนหวังดีต่อชาติ - ผู้แทนราษฎรแถลงนโยบายต่อประชาชาน
29 คำสันธาน คำสันธาน คือคำเชื่อมคำ หรือประโยคเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกัน มี 2 ลักษณะ คือ 1. เชื่อมคำกับคำ เช่น พี่กับน้อง เขียนกับอ่าน ลูกและหลาน 2. เชื่อมประโยคกับข้อความ หรือข้อความกับประโยค มี 4 ลักษณะคือ - คล้อยตามกัน เช่น พอล้างมือเสร็จก็ไปรับประทานอาหาร - ขัดแย้งกัน เช่น แม้เขาจะขยั้นแต่ก็เรียนไม่สำเร็จ - เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เธอจะอ่านหนังสือกรหรือจะเล่น - เป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น เพราะรถติดเขาจึงมาสาย คำอุทาน คำอุทาน คือคำที่เปล่งออกมาบอกอาการ หรือความรู้สึกของผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ 1. อุทานบอกอาการ หรือบอกความรู้สึก จะใช้เครื่องหมาย อัศเจรีย์ ( ! ) กำกับข้างหลัง เช่น อุ๊ย ! พุทโธ่ ! ว๊าย! โอ้โฮ! อนิจจา! 2. อุทานเสริมบท เป็นคำพูดเสริมเพื่อให้เกิดเป็นคำที่สละสลวยขึ้น เช่น - รถรา - กระดูกกระเดี้ยว - วัดวาอาราม - หนังสือหนังหา - อาบน้ำอาบท่า - กับข้าวกับปลา
30 บทที่ 5 การสร้างคำในภาษาไทย คำ คำ คือพยางค์ที่มีความหมาย ซึ่งเริ่มมีความหมายได้ตั้งแต่ 1 พยางค์ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา คำที่ไม่มีตัวสะกด คือมี 3 ส่วนประกอบ คือ พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ เรียกว่า พยางค์เปิด เช่น งู ม้า ลา ไก่ คำที่มีตัวสะกด คือมี 4 ส่วนประกอบ คือ พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เรียกว่า พยางค์ ปิด เช่น มด ยุง หุง ข้าว แต่คำที่ใช้ตัวการันต์บนตัวสะกด เราจะไม่ออกเสียงตัวสะกดนั้น เช่น เล่ห์ เสน่ห์ จันทร์ เทศน์ ทุกข์ คำมูล “มูล” มีความหมายว่า โคน รากเหง้า “คำมูล” จึงหมายถึง คำพื้นฐานที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง เป็นคำที่สามารถนำไปใช้สร้างเป็นคำประสม คำซ้ำ และคำซ้อน ที่เราจะได้เรียนรู้กันต่อไป คำมูล เป็นคำที่มีความหมายเดียว เช่น ทำ บ้าน พ่อ แม่ หรือหลายความหมายก็ได้ เช่น สาว พาย ชาย แก ปาน กา รา ดำ คำมูลอาจมีพยางค์เดียว หรือหลายพยางค์ก็ได้ เช่น กระจอก สนุก สับปะรด บันได ลิเก นิโคติน เป็นต้น คำมูลที่มีหลายพยางค์นั้น เมื่อแยกพยางค์ออกแล้ว แต่ละพยางค์จะต้องไม่มีความหมาย แต่ถ้ามีพยางค์ใด พยางค์หนึ่ง หรือทุกพยางค์มีความหมายในตัวเอง ความหมายนั้นต้องไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความหมาย ของคำมูลนั้น
31 ตัวอย่าง คำมูลที่มีหลายพยางค์ ก็เช่น “ซะซร้าว” แยกเป็น “ซะ” + “ซร้าว” (พยางค์หลังออกเสียงว่า ซ้าว) เมื่อแยกพยางค์แล้ว แต่ละพยางค์ ไม่มีความหมาย “กระต่าย” แยกเป็น “กระ” (เต่าชนิดหนึ่ง หรือจุดดำๆ) + “ต่าย” (ไม่มีความหมาย) เมื่อรวมกันหมายถึง กระต่าย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน “สับปะรด” แยกเป็น “สับ” (ใช้ของมีคมฟันลงไป) + “ปะ” (พบกัน หรือปิดทับส่วนที่ชำรุด) + “รด” (เท ราด สาด ฉีดของเหลวลงไป) เมื่อรวมกันหมายถึง ผลไม้ชนิดหนึ่ง ตัวอย่างคำที่ไม่ใช่คำมูลก็เช่น “สู้รบ” เมื่อแยกพยางค์ออก ทั้งคำว่า “สู้” และ “รบ” มีความหมายไปในทางเดียวกับคำว่า “สู้รบ” การสร้างคำในภาษาไทยจากคำมูลนั้น มีด้วยกัน 3 แบบ คือ ประสมกันเป็นคำประสม ซ้อนกันเป็นคำซ้อน และซ้ำกันเป็นคำซ้ำ คำประสม คำประสมสร้างจากคำมูล ที่มีความหมายต่างกัน มารวมกันตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป แล้วมีความหมายใหม่ แต่ก็ ต้องมีความหมายใกล้เคียงกับคำมูลเดิมคำใดคำหนึ่ง ที่นำมาประสมกัน หรือมีความหมายไปในเชิง เปรียบเทียบ เช่น “แม่ทัพ” คำว่า “แม่” หมายถึง “มารดา” มีความหมายต่างจากคำว่า “ทัพ” ที่หมายถึง “กองกำลัง ทหาร” แต่เมื่อรวมกัน จะหมายถึง ผู้ออกคำสั่ง หรือหัวหน้าสูงสุดของกองทหาร ซึ่งเป็นความหมายใหม่ แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับความหมายของคำมูลเดิม คือ เป็นเรื่องของการทหาร และหมายถึงตัวผู้มีอำนาจ สูงสุด ผู้เป็นใหญ่ในกองทหาร ซึ่งเปรียบเหมือน “แม่” ที่เป็นใหญ่ในบ้าน ตัวอย่างคำประสมอื่นๆ ก็เช่น แม่บ้าน พ่อครัว รถบรรทุก ปลาเสือ ละครลิง น้ำปลา ผงซักฟอก เป็นต้น
32 คำซ้อน เกิดจากการเอาคำที่มีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือตรงข้ามกัน มารวมกันเป็นคำใหม่ เพื่อให้มี ความหมายชัดเจนมากขึ้น หนักแน่นมากขึ้น ให้รายละเอียดมากขึ้น เช่น เสียดสี เกียจคร้าน รุ่งเรือง มุ่ง หมาย ผลัดเปลี่ยน โดยคำซ้อนมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ 1.) คำซ้อนมีลักษณะคล้ายคำประสม คือ คำซ้อนมาจากคำในภาษาใดก็ได้ เป็นคำชนิดใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น คำนาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน โดยจะแตกต่างจากคำประสมตรงที่ คำซ้อนจะ มาจากคำมูลที่มีความหมายคล้ายกัน หรือเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกัน โดยเป็นไปในทางเดียวกัน หรือทาง ตรงกันข้ามก็ได้ เปรียบเทียบความแตกต่างกันดังตัวอย่าง คำซ้อน คำประสม รากฐาน ภูมิฐาน เรือแพ เรือรบ บ้านเรือน บ้านนอก ลูกหลาน ลูกค้า ตื้นลึก รูปถ่าย ถี่ห่าง ปูเค็ม
33 2.) ความหมายของคำซ้อนจะอยู่ในคำมูลคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียว ส่วนคำประสมความหมายจะเป็น ความหมายใหม่ต่างจากคำมูลเดิม เปรียบเทียบความแตกต่างกันดังตัวอย่าง คำซ้อน คำประสม กีดกัน (ความหมายอยู่ที่คำว่า กัน) กันสาด (ความหมายใหม่) เขตแดน (ความหมายอยู่ที่คำว่า เขต หรือ แดน) ดินแดน (ความหมายใหม่) เนื้อตัว (ความหมายอยู่ที่คำว่า ตัว) เล่นตัว (ความหมายใหม่) ปากคอ (ความหมายอยู่ที่คำว่า ปาก) ปากกา (ความหมายใหม่) คำซ้ำ คำซ้ำมีรูปแบบคล้ายกับคำซ้อน คือ เป็นคำที่เกิดจากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน แต่คำมูลที่ นำมาประสมกันนั้น ต้องเป็นคำเดียวกัน จึงจะเกิดเป็นคำซ้ำ โดยคำที่เกิดขึ้นใหม่ จะมีความหมายคล้าย เดิม แต่เน้นน้ำหนักของความหมาย ให้หนักขึ้น หรือเบาลง หรืออาจเปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่นก็ได้ คำซ้ำมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ 1.) เป็นคำประเภทใดก็ได้เช่น คำนาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ 2.) นำคำหนึ่งคำมาซ้ำกันสองครั้ง เช่น “ร้อนๆ” “หนาวๆ” “เด็กๆ” “เล่นๆ” 3.) น้ำคำซ้อนมาแยกเป็นคำซ้ำสองคำ เช่น “ลูบคลำ” เป็น “ลูบๆ คลำๆ” “ดีชั่ว” เป็น “ดีๆ ชั่วๆ” “เงิน ทอง” เป็น “เงินๆ ทองๆ” 4.) น้ำคำซ้ำมาประสมกัน เช่น “งูๆ ปลาๆ” “ไปๆ มาๆ” “ลมๆ แล้งๆ”
34 คำสมาส คำสมาสเป็นวิธีสร้างคำจากภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประกอบกันคล้ายคำ ประสม หลักในการสังเกตคำสมาสมีดังนี้ 1. เป็นคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าอีกคำเป็นภาษาไทย ถือเป็นแค่คำประสม ราช + ฤทธิ์ เป็น ราชฤทธิ์ จักร + ราศี เป็น จักรราศี กิจ + วัตร เป็น กิจวัตร อุทก + ภัย เป็น อุทกภัย 2. การอ่านคำสมาสจะมีเสียงสระกลางคำเสมอ แม้ว่าจะไม่มีรูปสระกำกับก็ตาม เทวนคร อ่านว่า เท-วะ-นะ-คอน จันทรคติ อ่านว่า จัน-ทะ-ระ-คะ-ติ อิสรภาพ อ่านว่า อิด-สะ-หระ-พาบ ทันตกรรม อ่านว่า ทัน-ตะ-กำ 3. การแปลความหมายจะต้องแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เพราะคำที่มีความหมายหลักอยู่คำหลัง คำ ข้างหน้าเป็นตัวขยาย คำสมาส คำขยาย คำตั้ง คำแปล สังคมศาสตร์ สังคม ศาสตร์ วิชาว่าด้วยสังคม ราชรถ ราช รถ รถของพระราชา รัฐสภา รัฐ สภา สภาของรัฐ 4. “พระ” มาจาก “วร” คำบาลี-สันสกฤตที่มีคำว่า “พระ” จะกลายเสียงมาจากคำบาลี-สันสกฤตว่า “วร” (วะ-ระ) เช่น พระกรรณ พระขรรค์ พระคฑา พระจันทร์ พระฉวี 5. คำสมาสต้องไม่ประวิสรรชนีย์ระหว่างคำ มีแต่เพียงเสียงสระเท่านั้น อิสระ + ภาพ = อิสรภาพ พละ + ศึกษา = พลศึกษา วีระ + ชน = วีรชน
35 คำสนธิ คำสนธิ คือการสมาสโดยการเชื่อมคำเข้าระหว่างพยางค์หลังของคำหน้ากับพยางค์หน้าของคำหลัง เป็น การย่ออักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิดเสียงกลมกลืนเป็นคำเดียวกัน หลักสังเกตคำสนธิในภาษาไทย การสนธิแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยัญชนะสนธิ 3. นฤคหิตสนธิ 1. สระสนธิ คือการนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการ เปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฏเกณฑ์ - ตัดสระพยางค์ท้ายคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำหลัง เช่น ราช อานุภาพ = ราชานุภาพ สาธารณ อุปโภค = สาธารณูปโภค นิล อุบล = นิลุบล - ตัดสระพยางค์ท้านคำหน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำหลัง โดยเปลี่ยนสระพยางค์ต้นของคำหลัง อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู อุ, อู เป็น โอ เช่น พงศ อวตาร = พงศาวตาร ปรม อินทร์ = ปรเมนทร์ มหา อิสี = มเหสี - เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็นพยัญชนะ คือ อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว ใช้สระพยางค์ต้นของคำหลังซึ่งอาจเปลี่ยนรูปหรือไม่เปลี่ยนรูปก็ได้ ในกรณีที่สระพยางค์ต้นของคำหลัง ไม่ใช่ อิ อี อุ อู อย่างสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น กิตติ อากร = กิตยากร สามัคคี อาจารย์ = สามัคยาจารย์ ธนู อาคม = ธันวาคม คำสนธิบางคำไม่เปลี่ยนสระ อิ อี เป็น ย แต่ตัดทิ้ง ทั้ง สระพยางค์หน้าคำหลังจะไม่มี อิ อี ด้วยกัน เช่น
36 ศักคิ อานุภาพ = ศักดานุภาพ ราชินี อุปถัมภ์ = ราชินูปถัมภ์ หัสดี อาภรณ์ = หัสดาภรณ์ 2. พยัญชนะสนธิ คือการเชื่อมคำด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อมเสียง พยัญชนะในพยางค์ท้ายของคำแรกกับ เสียงพยัญชนะหรือสระในพยางค์แรก ของคำหลัง เช่น -สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้ายของคำหน้าทิ้ง เช่น นิรส ภัย = นิรภัย ทุรส พล = ทุรพล อายุรส แพทย์ = อายุรแพทย์ -สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้ายของคำหน้า เป็นสระ โอ แล้วสนธิตามปกติ เช่น มนส ภาพ = มโนภาพ ยสส ธร = ยโสธร รหส ฐาน = รโหฐาน 3. นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อมเมื่อพยางค์หลังของคำแรกเป็นนฤคหิตกับเสียง สระในพยางค์แรกของคำหลัง มี 3 วิธี คือ 1. นฤคหิตสนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัน เช่น สํ อาคม = สม อาคม = สมาคม สํ อุทัย = สม อุทัย = สมุทัย 2. นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของพยัญชนะในแต่ ละวรรค ได้แก่ วรรคกะ เป็น ง วรรคจะ เป็น ญ วรรคตะ เป็น น วรรคฏะ เป็น ณ วรรคปะ เป็น ม เช่น สํ จร = สญ จร = สัญจร สํ นิบาต = สน นิบาต = สันนิบาต 3. วรรคกะ เป็นสนธิกับพยัญชนะเศษวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิต เป็น ง เช่น สํ สาร = สงสา สํ หรณ์ = สังหรณ์
37 บทที่ 6 ประโยคในภาษาไทย ประโยค ประโยค หมายถึงหน่วยหนึ่งของภาษา ที่มีความสมบูรณ์โดยเป็นการแทนความหมายของสภาพ จะ ประกอบด้วยสองส่วนเป็นอย่างน้อย คือภาคประธานและภาคแสดง ภาคประธาน คือ ส่วนของผู้แสดงกริยาอาการต่างๆ ภาคแสดง คือ ส่วนของการแสดงกิริยาอาการต่างๆ โดยจะต้องมีคำกริยา และอาจมีกรรมเป็นภาคขยาย เพื่อแสดงรายละเอียดของประโยคให้ได้ความสมบูรณ์ ประโยคแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ 1. ประโยคความเดียว ประโยคความเดียว (เอกัตถประโยค) คือประโยคที่มีใจความเดียว ซึ่งจะมีประธานเดียว และกริยาเดียว แบ่งออกได้เป็น การจำแนกตามบทกริยา คือ ดูรายละเอียดที่บทกริยา แบ่งได้ดังนี้ - ประโยคที่ใช้กริยาไม่มีกรรม เช่น “ม้าวิ่ง” เป็นประโยคเล็กที่สุด ประกอบด้วย ประธาน และกริยา - ประโยคที่ใช้กริยามีกรรม เช่น “นกเกาะกิ่งไม้” ประกอบด้วย ประธาน กริยา และกรรม - ประโยคที่ใช้กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม เช่น “การวิ่งเป็นการออกกำลังกาย” ประกอบด้วย ประธาน กริยา และบทประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม ในที่นี้คำว่า “เป็น” คือกริยาอาศัยส่วนเติมเต็มที่ต้องอาศัยคำว่า “ออกกำลังกาย” เพื่อให้ได้ใจความสมบูรณ์ - ประโยคที่ใช้กริยาช่วย เช่น “ประสิทธิ์ได้เป็นนักร้อง” ประกอบด้วย ประธาน กริยาช่วย กริยา และและ บทประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม โดยคำว่า “ได้” เป็นกริยาช่วย โดยมี “เป็น” เป็นกริยาหลักที่อาศัย ส่วนเติมเต็มคือคำว่า “นักร้อง” อีกที
38 2. ประโยคความรวม ประโยคความรวม (อเนกัตถประโยค) คือ ประโยคที่รวมประโยคความเดียวตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปเข้า ด้วยกัน โดยมีสันธานเป็นตัวเชื่อม เช่น “ม้าอยู่ในทุ่งหญ้าและกำลังกินหญ้า” มีประธานตัวเดียวคือ “ม้า” ทำ 2 กริยา คือ “อยู่ในทุ่งหญ้า” และ “กำลังกินหญ้า” “ออกซิเจนและไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบของน้ำ” มีประธานสองตัว คือ “ออกซิเจน” และ “ไฮโดรเจน” ทำกริยาเดียวกัน คือ “เป็นส่วนประกอบของน้ำ” “เด็กๆ ช่วยกันทำงานจึงเสร็จเร็ว” มี “จึง” เป็นตัวเชื่อม 2 ประโยคเข้าด้วยกัน โดยคำว่า “งาน” เป็น กรรมในประโยคหนึ่ง และเป็นประธานในอีกประโยค คือ “เด็กๆ ช่วยกันทำงาน” และ “งานเสร็จเร็ว” “คุณชอบไปทะเลหรือน้ำตก” มี “หรือ” เป็นตัวเชื่อม 2 ประโยคเข้าด้วยกันคือ “คุณชอบไปทะเล” กับ “คุณชอบไปน้ำตก” โดย “หรือ” ทำให้ประโยคใหม่กลายเป็นประโยคคำถาม 3. ประโยคความซ้อน ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคที่รวมประโยคความเดียว 1 ประโยคเป็นประโยค หลัก แล้วมีประโยคความเดียวอื่นมาเสริม มีข้อสังเกตคือ ประโยคหลัก (มุขยประโยค) กับ ประโยคย่อย (อนุประโยค) ของประโยคความช้อนมี น้ำหนักไม่เท่ากัน อนุประโยค หรือประโยคย่อย มี 3 ชนิด ทำหน้าที่ต่างกันดังต่อไปนี้
39 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม (นามานุประโยค) อาจใช้เป็นบทประธาน หรือบทกรรม หรือส่วน เติมเต็มก็ได้ เช่น “เด็กหนีเรียนไปร้านเกม” มีประโยค “เด็ก..... ไปร้านเกม” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “เด็กหนี เรียน” เป็นประโยคย่อยทำหน้าที่บทประธาน “เขาเห็นตำรวจยิงผู้ร้าย” มีประโยค “เขาเห็น.....” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “ตำรวจยิงผู้ร้าย” เป็น ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทกรรม ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายประธาน หรือบทขยายกรรม หรือบทขยายส่วนเติมเต็ม (คุณานุ ประโยค) เช่น “คนที่ก้าวเท้ายาวเกินไปจะเดินได้ช้าลง” มีประโยค “คน.....จะเดินได้ช้าลง” เป็นประโยคหลัก โดย ประโยค “คนก้าวเท้ายาวเกินไป” เป็นประโยคย่อยทำหน้าที่ขยายประธาน (เป็นการบอกคุณสมบัติเพื่อชี้ ชัดประธาน เชื่อมประโยคด้วยคำว่า “ที่”) ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายคำกริยา หรือบทขยายคำวิเศษณ์ในประโยคหลัก (วิเศษณานุ ประโยค) เช่น “ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี” มีประโยค “ดวงจันทร์โคจรรอบโลก” เป็นประโยคหลัก โดยประโยค “ดวงจันทร์โคจรเป็นวงรี” เป็นประโยคย่อยขยายกริยา (ขยายความว่า “โคจร” อย่างไร)
40 บทที่ 7 คำไวพจน์ คำไวพจน์ คำไวพจน์ คือ คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกันมาก แต่เขียนออกมาไม่เหมือนกัน หลายคนเรียกกันว่าการหลากคำ ซึ่งประกอบไปด้วย คำพ้องเสียง , คำพ้องรูป ,คำพ้องความหมาย ประเภทของคำไวพจน์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.คำพ้องรูป หมายถึง คำที่มีรูปเขียนเหมือนกัน อาจจะอ่านออกเสียงเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ และ ความหมายโดยรวมก็สื่อความหมายที่ต่างกันเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า พยาธิ หากอ่านออกเสียงว่า พะ – ยา – ทิ จะแปลว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้าหากอ่านออกเสียงว่า พะ – ยาด จะแปลว่า เชื้อโรคชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกาย อาจเกิดขึ้นจาก การที่กินอาหารไม่สุก เป็นต้น 2.คำพ้องเสียง หมายถึง คำที่มีรูปเขียนต่างกัน อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายโดยรวมสื่อ ความหมายที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า กัน ,กันต์ ,กรรณ ,กัณฐ์ ,กัลป์ และ กันย์ จะเห็นได้ว่าได้หกคำนี้อ่านออกเสียงว่า ‘กัน’ ทั้งสิ้น แต่ความหมายของแต่ละคำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีความหมายดังต่อไปนี้ กัน แปลว่า ลักษณะท่าทางของการบัง หรือห้าม กันต์แปลว่า การโกนหรือการตัดออก กรรณ แปลว่า อวัยวะหู กัณฐ์แปลว่า อวัยวะคอ กัลป์แปลว่า ระยะเวลาที่ยาวนาน กันย์แปลว่า ชื่อของจักรราศีที่หก เรียกว่า ราศีกันย์
41 3.คำพ้องความหมาย หมายถึง คำที่ต่างทั้งรูปและเสียง กล่าวคือเขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่ เหมือนกัน แต่เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ท้องฟ้า มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่ เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ เวหา ,นภ ,ทิฆัมพร ,คคนางค์ ,อัมพร และหาว เป็นต้น ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ดอกไม้ มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ บุป ผา ,บุปผชาติ ,บุหงา ,บุษบัน ,ผกา ,มาลา และ บุษบา เป็นต้น ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ช้าง มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ กุญชร ,กรี ,ดำริ ,คชาธาร ,หัสดี ,คช ,คชินทร์ และหัตถี เป็นต้น ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ผู้หญิง มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ แก้วตา ,นงคราญ ,บังอร ,สตรี ,อรไท ,ดวงสมร ,นงพะงา และร้อยชั่ง เป็นต้น ยกตัวอย่างคำไวพจน์ น้ำ นที ,สาคร ,ชลาลัย ,ชโลทร ,คงคา ,สินธุ์ ,สมุทร และอุทก เป็นต้น
42 คำอัพภาส คำอัพภาส คือ เป็นคำซ้ำในไวยากรณ์ภาษาบาลีและสันสกฤต ที่กร่อนเสียงของคำข้างหน้าให้สั้นลงเหลือ เพียงเสียง อะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คำอัพภาส ริกริก กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ระริก ยิบยิบ กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ยะยิบ วับวับ กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น วะวับ รื่นรื่น กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ระรื่น ฉานฉาน กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ฉะฉาน คำไทยแท้ในภาษาไทย คำไทยแท้ในภาษาไทย หมายถึง คำไทยที่มีลักษณะพยางค์เดียว หรือเรียกว่าเป็น ภาษาคำโดด และมี ความหมายสมบูรณ์ในคำๆ นั้น มีวิธีสังเกตุลักษณะคำไทยแท้ ดังนี้ 1.เป็นคำพยางค์เดียว และมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง เช่นคำว่า ฟ้า ,ฝน ,มีด ,ตู้ ,ปู่ ,ย่า ,แขน ,ขา , หมา ,กบ เป็นต้น หรือถ้าหากมีหลายพยางค์จะเรียกว่า การกร่อนเสียง ,การแทรกเสียง และการเติม พยางค์ท้าย - การกร่อนเสียง เช่นคำว่า หมากม่วง กร่อนเสียงเป็น มะม่วง ,ตาวัน กร่อนเสียงเป็น ตะวัน หรือสายดือ กร่อนเสียงเป็น สะดือ เป็นต้น - การแทรกเสียง เช่นคำว่า ลูกเดือก แทรกเสียงเป็น ลูกกระเดือก ,นกจอก แทรกเสียงเป็น นกกระจอก เป็นต้น
43 2.คำไทยแท้มักเป็นคำที่มีตัวสะกดเดียว และตัวสดตรงตามมาตรา เช่น แม่กง สะกดด้วยตัว ง เช่น เก่ง ,นั่ง ,พิง ,ถัง ,กรง เป็นต้น แม่กน สะกดด้วยตัว น เช่น กิน ,นอน ,ฉุน ,เห็น ,เพลิน เป็นต้น แม่กม สะกดด้วยตัว ม เช่น ชาม ,หอม ,ดื่ม ,ตุ่ม ,จาม เป็นต้น 3.คำไทยแท้มักไม่มีพยัญชนะ ฆ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ 4.คำไทยแท้มักใช้ไม้ม้วน (ใ) ได้แก่คำว่า ใหญ่ ,ใหม่ ,ให้ ,สะใภ้ ,ใช้ ,ใฝ่ ,ใจ ,ใส่ ,หลงใหล ,ใคร ,ใคร่ ,ใบ , ใส ,ใด ,ใน ,ใช่ ,ใต้ ,ใบ้ ,ใย และใกล้ 5.คำไทยมักมีรูปวรรณยุกต์ เช่น ปา ,ป่า ,ป้า ,ป๊า ,ป๋า เป็นต้น 6.คำไทยมักไม่นิยมใช้ตัวการันต์และคำควบกล้ำ เช่นคำว่า วิ่ง ,กวน ,ปีน ,จับ เป็นต้น และยังมีคำอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าคำเป็น ขอยกตัวอย่างคำเป็นมีอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้ 1.คำเป็นมักมีพยัญชนะประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่นคำว่า ดู ,ปู ,มา ,ปี เป็นต้น 2.คำเป็นมักมีพยัญชนะประสมกับสระ –ำ ,ใ ,ไ ,เ-า เช่นคำว่า กำ ,น้ำ ,ใจ ,เป่า ,เกา ,ไป เป็นต้น 3.คำเป็นมักตัวสะกดอยู่ในแม่ กง ,กน ,กม ,เกย ,เกอว เช่นคำว่า ปลิง ,กัน ,กลม ,สาว เป็นต้น
44 ระดับภาษา ในปัจจุบันมีทั้งหมด 5 ระดับ ประกอบด้วยดังต่อไปนี้ 1.ภาษาระดับพิธีการ เหมาะสำหรับการสื่อสารกับบุคคลสำคัญและงานที่เป็นพิธีการ 2.ภาษาระดับทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารอย่างการอภิปรายหรือบรรยายอย่างเป็นทางการ 3.ภาษาระดับกิ่งทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารในการประชุมกลุ่ม หรืออภิปรายกลุ่ม 4.ภาษาระดับไม่เป็นทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารระหว่างกลุ่มคน 4-5 คน ใช้ถ้อยคำกันเองในระดับกลุ่มนั้นๆ 5.ภาษาระดับกันเอง เหมาะสำหรับการสื่อสารที่มีความสนิทสนมกัน เช่น พ่อ ,แม่ ,เพื่อน เป็นต้น คำไทยยังมีคำและความหมายที่สามารถสร้างให้เป็นบทกลอน หรือคำประพันธ์ที่ไพเราะได้อีกมาก เช่น การเล่นคำ คือ การเลือกใช้คำและพลิกแพลงคำเพื่อให้เกิดความหมายที่ต่างออกไป ประกอบไปด้วย 3 ชนิด ได้แก่ การเล่นคำพ้อง ,การเล่นคำซ้ำ และการเล่นคำเชิงคำถาม สำหรับบทเรียนนี้จะเน้นเฉพาะการ เล่นคำพ้อง ที่เป็นการนำคำพ้องมาใช้คู่กันเพื่อให้เกิดความหมายที่สัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ “นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสะการะวาตี”
45 บทที่ 8 ทักษะการสื่อสาร ทักษะการสื่อสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความ คิดเห็น ความรู้สึก หรือ ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่างๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน การใช้ สัญลักษณ์ การแสดงท่าทาง หรือการจัด กิจกรรมต่างๆ ไปยังผู้รับสาร ดังนั้น ทักษะการสื่อสาร จึง หมายถึง ความสามารถในการรับและส่งสาร เพื่อถ่ายทอด ความคิด 1. ทักษะการฟัง ความหมายการฟัง คือ การได้รับสารที่ส่งมาและทำความเข้าใจความหมายของสารที่รับมา ได้อย่างเข้าใจ ตรงกัน ความสำคัญ - ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน - ช่วยพัฒนาความรู้ - ช่วยให้สบายใจ - ช่วยระบายความรู้สึก - ช่วยให้พูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ