The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือกฎหมายอ่านเพิ่มเติม e-book

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by eieiza, 2022-09-22 01:43:12

ณภัทรตวัน ธัญชนก

หนังสือกฎหมายอ่านเพิ่มเติม e-book

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-BOOK
กฎหมายเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว ชุมชนและประเทศ

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1

ณภัทรตวัน 15 / ธัญชนก 19

คำนำ

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-BOOK เพิ่มเติม เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อ
เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา สังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เพื่อให้
ได้ศึกษาความรู้ในเรื่องกฎหมาย โดยเนื้อหาภายในหนังสืออ่าน
เพิ่มเติมเล่มนี้ ประกอบไปด้วยกฎหมายเกี่ยวกับตนเอง กฎหมาย
เกี่ยวกับครอบครัว กฎหมายเกี่ยวกับชุมชน และกฎหมายเกี่ยวกับ
ประเทศ ซึ่งเป็นผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน
มัธยมประชานิเวศน์

ทางผู้จัดทำขอขอบพระคุณ คุณครูธนกฤต ปราบสุธา
คุณครูประจำวิชาสังคมศึกษา ตั้งแต่การให้คำแนะนำ ตลอดจนถึง
การทำรูปเล่ม และขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนทำให้การทำหนังสือ
อ่านเพิ่มเติม E-BOOK เพิ่มเติมเล่มนี้ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

น.ส.ณภัทรตวัน สายนะรา
น.ส.ธัญชนก คงสมจิตต์
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๑

สารบัญ หน้า

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว 1
กฎหมายแพ่ง 2
- กฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์ 10
- บัตรประจำตัวประชาชน 19
- กฎหมายเกี่ยวกับการหมั้นการสมรส 25
- กฎหมายเกี่ยวกับการรับรองบุตร 26
- กฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรม - สัญญา 42
กฎหมายอาญา 43
- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 46
- ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
52
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ 54
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ 55
- กฎหมายการรับราชการทหาร 61
- กฎหมายภาษีอากร 64
- กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
- พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 67

บรรณานุกรม

กฎหมาย

ที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กฎหมายแพ่ง

เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับเอกชน หรือคนแต่ละคน ทั้งเมื่ออยู่ตามลำพังและ
เมื่อติดต่อกับผู้อื่น เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน นิติกรรม สัญญาต่าง ๆ
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทุกคน และจำเป็นต้องมีความรู้
ที่ถูกต้องเพื่ อให้สามารถปฏิบัติได้ครบถ้วน

กฎหมายแพ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

คือ ระเบียบ กฎเกณฑ์กับส่วนเอกชนและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ด้านสถานภาพ สิทธิและหน้ าที่ เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับทรัพย์สิน
ครอบครัว มรดก นิติกรรม เป็นต้น

ประเภทของทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่สำคัญ มี 2 ประเภท
คือ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์

สังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์เคลื่อนที่ได้
อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน

ทรัพย์ที่ติดอยู่กับดิน เช่น สิ่ งปลูกสร้าง เป็นต้น

สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 1

กฎหมาย

ที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์

ผู้เยาว์ คือ บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บุคคลที่อ่อนอายุ ซึ่ งไม่อาจจัดการ
กิจการและทรัพย์สินของตน ซึ่ งจะบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์
กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองช่วยเหลือจนกว่าบุคคลนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
จึงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ โดยกฏหมายได้กำหนดวิธีการบรรลุนิติภาวะจากการ
เป็นผู้เยาว์อยู่ 2 วิธี คือ

การบรรลุนิ ติภาวะโดยทางอายุ

การที่อายุครบ 20 ปี บริบูรณ์) ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์มาตรา 19 บัญญัติว่า "บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์
และบรรลุนิ ติภาวะเมื่ อมีอายุยี่สิ บปี บริบูรณ์"

การบรรลุนิ ติภาวะโดยทางสมรส

มาตรา 20 บัญญัติว่า "ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาสะเมื่อทำการ
สมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448

การสมรสของผู้เยาว์ ถ้าชายและหญิงมีอายุมากกว่า17ปีขึ้นไป
แต่ไม่เกิน20ปี ทั้งคู่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
ถ้าอายุไม่ถึง17ปี ต้องได้รับคำสั่งศาล คือ ศาลต้องอนุญาตให้สมรสก่อน
เพราะอาจมีเหตุอันสมควร เช่น หญิงตั้งครรภ์ จากข้อกฎหมาย ดังนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1454, 1436 บัญญัติว่า
ผู้เยาว์จะทำการหมั้น หรือสมรสได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดัง
ต่อไปนี้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 2

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

(๑) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา
(๒) บิดาหรือมารดา ในกรณีที่มารดาหรือบิดาตายหรือถูกถอนอำนาจปกครอง
หรือไม่อยู่ในสภาพหรือฐานะที่อาจให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์
ไม่อาจขอความยินยอมจากมารดาหรือบิดาได้
(๓) ผู้รับบุตรบุญธรรม ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม
(๔) ผู้ปกครอง ในกรณีที่ไม่มีบุคคลซึ่ งอาจให้ความยินยอมตาม (๑) (๒)
และ (๓) หรือมีแต่บุคคลดังกล่าวถูกถอนอำนาจปกครองการหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดย
ปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็ นโมฆียะ
การทำนิ ติกรรมของผู้เยาว์

มาตรา 21 ผู้เยาว์จะทำนิ ติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้
แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอม
เช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน

ผู้แทนฯ หมายถึงผู้ซึ่ งอาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ได้ เช่น บิดามารดาซึ่ งเป็น
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร หรือ บุคคลอื่นซึ่ งถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปกครองผู้เยาว์
การใด (นิติกรรม) ที่ผู้เยาว์กระทำลงไปโดยลำพังไม่ได้ขอความยินยอมจาก
ผู้แทนฯ การนั้นจะเป็นโมฆียะ
คำว่า “โมฆียะ” หมายความว่า ไม่บริบูรณ์ อาจให้สัตยาบรรณหรืออาจบอกล้างได้
กล่าวคือสมบูรณ์อยู่จนกว่าจะถูกบอกล้าง

ตัวอย่าง

นิ ติกรรมที่โจทก์ ทำกับจำเลยในขณะโจทก์ เป็ นผู้เยาว์ แต่มิได้
รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้ นเป็ นโมฆียะ
เมื่ อนิ ติกรรมนั้ นมิได้ถูกบอกล้างจึงมีผลผูกพันโจทก์ อยู่

การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
ในเรื่องของการให้ความยินยอมนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบเฉพาะไว้ว่าต้องให้
อย่างไร ดังนั้นจะให้ความยินยอมเป็นหนังสือหรือยินยอมด้วยวาจาหรือโดย
ปริยายก็ได้ ยินยอมโดยปริยายเช่น รู้ว่าผู้เยาว์จะลงทุนทำธุรกิจแล้วไม่ท้วงติงว่า
กล่าว หรือการให้คำปรึกษาว่าต้องทำอย่างไรซื้ อของที่ไหนควรจะซื้ อได้ในราคาเท่า
ไหร่ หรือลงนามเป็นพยานในสัญญา ช่วยติดต่อภาระกิจการงานให้ เป็นต้น

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 3

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

นิ ติกรรมที่ผู้เยาว์ สามารถทำเองได้โดย
ไม่ต้องได้รับความยินยอม

มาตรา 22 ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้ น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้
ไปซึ่ งสิทธิอันใดอันหนึ่ ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้ าที่อันใดอันหนึ่ ง
มาตรา 22 นี้ต้องเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์มีแต่ทางได้ไม่มีเสีย หากผู้เยาว์จะมีเสีย
อยู่ด้วยย่อมทำไม่ได้ เช่น สัญญาซื้ อขาย ผู้เยาว์มีเสียอยู่ด้วยคือเสียเงินหรือ
ทรัพย์สินที่จะทำการซื้ อขายจะทำไม่ได้ แต่ถ้าผู้เยาว์ได้อย่างเดียว เช่นได้รางวัล
ฉลากกินแบ่ง ได้รางวัลจากการส่งชิ้นส่วนเข้าชิงรางวัล ผู้เยาว์สามารถไปรับได้
โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม เพื่อให้หลุดพ้นจากหน้ าที่อันใดอันหนึ่ ง
เช่น ผู้เยาว์เป็นหนี้มีหน้ าที่ต้องชำระหนี้ แต่เจ้าหนี้จะปลดหนี้ให้ ผู้เยาว์
สามารถรับการปลดหนี้ ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมแทนฯ

มาตรา 23 ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้ น ซึ่ งเป็นการต้องทำเอง
เฉพาะตัว
การที่ต้องทำเองเฉพาะตัวผู้เยาว์ เช่น พินัยกรรม รับรองบุตร ระวัง! อย่า
สับสนกับการชำระหนี้ซึ่ งเป็นการเฉพาะตัวของลูกหนี้โดยแท้ เช่น เยาว์เป็นนัก
แสดง การแสดงหนังต้องแสดงเองการแสดงหนังเป็นการชำระหนี้ซึ่ งต้องทำเอง
เฉพาะตัว แต่การจะรับแสดงหนังหรือไม่นั้นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทน
โดยชอบธรรมเสียก่อน

มาตรา 24 ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้ น ซึ่ งเป็นการสมแก่
ฐานานุรูปแห่งตนและเป็ นการอันจำเป็ นในการดำรงชีพตามสมควร
สมแก่ฐานานุรูป เช่น การซื้ อสินค้าอันจำเป็นตามปกติ การใช้จ่ายที่ไม่ฟุ้ งเฟ้ อ
ตามปกติ การซื้ อโทรศัพท์มือถือปัจจุบันอาจเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนได้
แต่การซื้ อรถยนต์ ซื้ อที่ดิน ยังคงเกินฐานานุรูปของผู้เยาว์

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 4

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

มาตรา 25 ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุสิบห้าปี บริบูรณ์
การทำพินัยกรรมนั้นผู้เยาว์จะทำได้เมื่ออายุครบ 15 ปี บริบูรณ์แล้วเท่านั้น
แต่ถ้าผู้เยาว์ซึ่ งสมรสแล้วถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วแม้อายุเพียง 14 ปี ก็สามารถ
ทำพินัยกรรมได้ อีกทั้งการทำพินัยกรรมเป็นการที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัวตาม
มาตรา 23 อีกด้วย

มาตรา 26 ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ ายทรัพย์สิน
เพื่อการอันใดอันหนึ่ งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำหน่ ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการ
ใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร อนึ่ งถ้าได้รับอนุญาตให้
จำหน่ ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใดผู้เยาว์ก็จำหน่ ายได้ตามใจสมัคร
ตามมาตรานี้เป็นเรื่องผู้เยาว์ต้องการจำหน่ ายทรัพย์สินของตนเอง ซึ่ งการจำหน่ าย
ทรัพย์เป็นนิติกรรมเช่นกัน ดังนั้นผู้เยาว์จึงจำต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทน
โดยชอบธรรมเสียก่อน โดยความยินยอมตามมาตรานี้แบ่งเป็น

1. ความยินยอมให้จำหน่ ายทรัพย์สินเพื่อการอันใดอันหนึ่ งอันได้ระบุไว้ เช่น
ผู้แทนฯ ให้ผู้เยาว์นำเงิน 2000 บาทไปซื้ อเสื้อผ้า ผู้เยาว์ต้องนำเงินไปซื้ อเสื้อผ้า
ตามที่ระบุไว้ แต่ผู้เยาว์จะซื้ อแบบใดร้านใดก็ได้แล้วแต่ผู้เยาว์เนื่ องจากไม่ได้มีการ
ระบุเงื่อนไขไว้
ระวัง! คำว่า “จำหน่ าย” นักศึกษาหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการขายอย่างเดียว
เช่นการมีสิ่ งเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ าย หมายถึงการขายสิ่ งเสพติด
แต่จริง ๆ แล้วหมายถึงการซื้ อได้ด้วย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ให้ความหมายไว้ว่า

จำหน่ าย ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน โอน เอาออก เช่น จำหน่ ายจากบัญชี

2. ความยินยอมให้จำหน่ ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใดเช่น ผู้แทนฯ
ให้เงินผู้เยาว์ 2000 โดยไม่ได้ระบุว่าให้เอาไปจำหน่ ายอย่างไร ผู้เยาว์สามารถนำ
เงินไปซื้ ออะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 5

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

ผู้เยาว์ประกอบธุรกิจ

มาตรา 27 ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ใน
การประกอบธุรกิจทางการค้าหรือธุรกิจอื่น หรือในการทำสัญญาเป็นลูกจ้าง
ในสัญญาจ้างแรงงานได้ ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอม
โดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้เยาว์อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตได้ในความเกี่ยว
พัน กับการประกอบธุรกิจ หรือการจ้างแรงงานตามวรรคหนึ่ งให้ผู้เยาว์
มีฐานะเสมือนดังบุคคลซึ่ งบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าประกอบธุรกิจ หรือการทำงาน
ที่ได้รับความยินยอมหรือที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ ง ก่อให้เกิดความเสียหายถึง
ขนาดหรือเสื่ อมเสียแก่ผู้เยาว์ ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจบอกเลิกความยินยอมที่ได้
ให้แก่ผู้เยาว์เสียได้หรือในกรณีที่ศาลอนุญาต ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจร้องขอต่อ
ศาลให้เพิกถอนการอนุญาตที่ได้ให้แก่ผู้เยาว์นั้นเสียได้ ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบ
ธรรมบอกเลิกความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควรผู้เยาว์อาจร้องขอต่อศาล
ให้เพิกถอนการบอกเลิกความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมได้

การบอกเลิกความยินยอมโดยผู้แทนโดยชอบธรรม หรือการเพิกถอนการ
อนุญาตโดยศาล ย่อมทำให้ฐานะเสมือนดังบุคคลซึ่ งบรรลุนิติภาวะแล้วของผู้เยาว์
สิ้นสุดลงแต่ไม่กระทบกระเทือนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้กระทำไปแล้วก่อนมีการบอก
เลิกความยินยอมหรือเพิกถอนการอนุญาต เรื่องนี้เป็นเรื่องผู้เยาว์ต้องการจะทำ
ธุรกิจหรือการงานตามสัญญาจ้างแรงงานซึ่ งการทำธุรกิจหรือการงานก็เป็นการทำ
นิติกรรมอย่างหนึ่ งเช่นกันผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมเสียก่อน ซึ่ งในกรณีที่

ผู้เยาว์สามารถประกอบธุรกิจหรือการงานได้แล้วแต่ ผู้แทนฯ ไม่ให้ความยินยอม
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้เยาว์สามารถร้องขอต่อศาลได้ หากศาลพิจารณาแล้ว
เห็นว่าเป็นประโยชน์ ไม่มีผลเสียและกรณีมีความจำเป็นศาลอาจจะอนุญาตได้

ซึ่ งการอนุญาตหรือไม่เป็นดุลยพินิจศาล เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ผู้เยาว์มีฐานนะ
เสมือนบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว เช่น ดำต้องการทำธุรกิจค้าขายเสื้อผ้า ดำได้รับ
อนุญาตจากผู้แทนฯ แล้ว ดำสามารถดำเนินการซื้ อเสื้อผ้ามาขายแม้ว่าจะมีราคา
แพง หรือสามารถพิจารณาเรื่องราคาหากผู้ซื้ อต่อรองได้โดยไม่ต้องไปขอความ
ยินยอมอีก

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 6

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

หากปรากฎว่าดำซื้ อเสื้อผ้ามาราคาแพงเกินไป ผู้แทนฯ จะไปบอกล้าง
นิติกรรมไม่ได้ เพราะกฎหมายให้ถือว่าดำบรรลุนิติภาวะแล้วในเรื่องที่ได้รับ
อนุญาตนั้นแต่หากว่าดำซื้ อเสื้อผ้ามาแพงตลอด แต่ขายถูกตลอด เวลาไปขาย
เสื้อผ้าที่ตรอกข้าวศาลดำนั่งแท็กซี่ ตลอด ขายได้ก็นำเงินไปซื้ อเหล้าร้านข้าง ๆ กิน
ตลอดจนทุนหายกำไรหด เช่นนี้ ผู้แทนฯ สามารถบอกเลิกความยินยอมได้เพราะ
เป็นกรณีที่ผู้เยาว์ประกอบธุรกิจเสียหายหรือเกิดความเสื่ อมเสียแก่ผู้เยาว์อย่างมาก
ในกรณีที่ความยินยอมได้รับอนุญาตจากศาลผู้แทนก็อาจร้องขอให้ศาลเพิกถอน
ความยินยอมได้ กรณีนี้ผู้แทนฯจะเพิกถอนเองไม่ได้

เมื่อมีการบอกเลิกหรือเพิกถอนความยินยอมแล้ว ฐานะเสมือนบรรลุนิติภาวะ
ของผู้เยาว์ก็จะสิ้นสุดลง ผู้เยาว์จะกลับมาเป็นผู้เยาว์อีก ดังนั้นหลังจากนี้ผู้เยาว์จะไป
ซื้ อเสื้อผ้ามาขายไม่ได้แล้ว หากไปซื้ อมาอีกผู้แทนฯ สามารถบอกล้างนิติกรรมนั้น
ได้ตามมาตรา 21 แต่หากเผอิญว่าดำยังมีหนี้เก่าที่ไม่ได้ชำระค่าเสื้อที่ซื้ อมาขายก่อน
หน้ านี้ หนี้นั้นก็สมบูรณ์ทุกอย่าง ต้องชำระหนี้ไปจะอ้างว่าเมื่อบอกเลิกหรือเพิกถอน
ความยินยอมแล้วหนี้ เป็ นโมฆะไม่ได้เพราะการสิ้ นสุดในเรื่องความบรรลุนิ ติภาวะ
ของผู้เยาว์นั้นไม่กระทบกระเทือนถึงนั่นเอง

การที่บุคคลจะทำนิติกรรมต่างๆ เช่น ทำสัญญาซื้ อขายที่ดิน ,การขายบ้าน ,
การรถยนต์,การทำสัญญากู้ยืมเงิน และแม้กระทั่งการแต่งงาน ฯลฯ ได้นั้น บุคคล
คนนั้นจะต้องมีอายุเกิน 20 ปี หรือตามกฎหมายมักเรียกว่า บรรลุนิติภาวะ

(คนที่อายุไม่ถึง 20 ปี บริบูรณ์ ตามกฎหมายมักเรียกว่า เป็นผู้เยาว์ครับ)แต่อาจ
มีนิติกรรมบางอย่างที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้ อันได้แก่ นิติกรรมหรือกิจกรรม
ใดๆ ที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้เยาว์โดยไม่ก่อความเสียหายให้แก่ผู้เยาว์ เช่น การรับ
ทรัพย์สินหรือการรับโอนที่ดินโดยเสน่ หา และผู้ให้ไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไขใดๆ
ทั้งสิ้ น

สำหรับบุคคลใดต้องการจะโอนที่ดินให้ผู้เยาว์ หรือ มอบมรดกให้ผู้เยาว์ต้อง
ระวังนะครับ เพราะเมื่อโอนให้ผู้เยาว์แล้ว ไม่สามารถให้ผู้เยาว์โอนคืนหรือให้ผู้
เยาว์ทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับที่ดินนั้นได้ หรือแม้แต่ผู้เยาว์เสียชีวิตลง ผู้ที่โอน
ที่ดินให้ผู้เยาว์ก็ไม่สามารถโอนกลับไปให้เจ้าของเดิมได้ แต่ต้องว่ากันด้วยกฎหมาย
ที่ว่าด้วยมรดก คือ มรดกที่ดินดังกล่าวจะต้องตกกับทายาทของผู้เยาว์ที่ตายไป
นั่นเอง

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 7

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

แต่ในบางกรณี เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือผู้เยาว์ ก็สามารถ
ทำนิติกรรมหรือบรรลุนิติภาวะได้ เช่น เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 17 ปี แต่งงาน
และพ่อแม่ ผู้ปกครองให้การยินยอมให้แต่งงาน เมื่อเด็กและเยาวชนคนนั้น
แต่งงานเสร็จ ก็ถือว่า บรรลุนิติภาวะหรือสามารถทำนิติกรรมทุกอย่างได้ครับ

แต่ต้องเป็นการสมรสแบบถูกต้องตามกฎหมายนะครับ ถึงจะพ้นสภาพการเป็น
ผู้เยาว์ได้

สำหรับการกระทำความผิดต่อเด็กหรือผู้เยาว์ มีหลักการลงโทษโดยกฎหมาย
จะดูอายุของเด็กเป็นสำคัญหากผู้เยาว์หรือเด็กอายุยิ่งน้ อยความผิดในการลงโทษยิ่ง
มาก เช่น การพรากผู้เยาว์ เยาวชนอายุระหว่าง 15-18 ปี (ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 318 บัญญัติว่า “ ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี
ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ ผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไป
ด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง
20,000 บาท” ) , การพรากผู้เยาว์ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี (ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 317 บัญญัติว่า “ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุ
ยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ (6,000 บาท ถึง 30,000 บาท” )
โทษคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนอายุยิ่งน้ อย โทษจึงยิ่งมาก เพราะตามหลักของ
กฎหมาย กฎหมายมักคุ้มครองเด็ก เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่เอาเปรียบ รังแก ทำทารุณ
ความหมายของคำว่าเด็ก หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกิน 7 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน
14 ปีบริบูรณ์ เยาวชน หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน

18 ปีบริบูรณ์ ในปัจจุบัน เรามีศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่ งถือว่าดีมาก เพราะ
คดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนถือว่า เป็นคดีที่มีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ อีกทั้งศาลเด็ก
และเยาวชนยังมีความแตกต่างตรงที่มีผู้พิพากษาสมทบอีกด้วย สำหรับผู้พิพากษา
และผู้พิพากษาสมทบ คือ ผู้แทนของประชาชนในการตัดสินเด็กและเยาวชนที่
กระทำความผิดในรูปแบบของการแก้ไข บำบัด ฟื้ นฟู สงเคราะห์ และพัฒนา
คุณภาพชีวิตให้เด็กและเยาวชนที่หลงผิ ดกลับตัวเป็ นพลเมืองดีของสังคม

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 8

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

ความผิ ดเกี่ยวกับการพรากผู้เยาว์

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสีย
จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปี
ถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้ อ จำหน่ าย หรือรับตัวเด็กซึ่ งถูกพรากตามวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้
กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่ งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
พรากเด็กอายุ 15- --> จำคุก 3-5 ปี ปรับ 6,000-30,000 บาท
ถ้าหากำไรหรืออนาจาร จำคุก 5-20 ปี ปรับ 10,000-40,000 บาท

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318

ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสีย จากบิดามารดา
ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้ อ จำหน่ าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่ งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวาง
โทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อ
การอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพัน
บาทถึงสามหมื่นบาท
พรากเด็กอายุ 15-18 ไม่เต็มใจ --> จำคุก 2-10 ปี ปรับ 4,000-20,000 บาท ถ้าหา
กำไรหรืออนาจาร จำคุก 3-5 ปี ปรับ 6,000-30,000 บาท

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสีย
จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไร หรือเพื่อ
การอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้ อ จำหน่ าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่ งถูกพรากตาม
วรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พราก
พรากเด็กอายุ 15-18 เต็มใจ --> จำคุก 2-10 ปี
ปรับ 4,000-20,000 บาท

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 9

กฎหมาย

ที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

บัตรประจำตัวประชาชน

บัตรประจำตัวประชาชนเป็ นเอกสารราชการที่ออกให้สำหรับคนไทยที่มีชื่ อ
ในทะเบียนบ้านเท่านั้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแสดงตน

ใช้พิสูจน์ และยืนยันตัว บุคคลในการติดต่อราชการ การขอรับบริการหรือ
สวัสดิการในด้านต่างๆ จากหน่ วยงานของรัฐรวมทั้งใช้ประกอบการทำธุรกรรม
ต่างๆ ทำนิติกรรม ฯลฯ เช่น การสมัครงาน การขอเปิ ดบัญชีเพื่อทำธุรกรรมกับ
ธนาคาร การโอนอสังหารมทรัพย์/อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

คุณสมบัติของผู้ที่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน

1. มีสัญชาติไทย
2.ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14)
3.มีอายุตั้งแต่ 7 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี
สำหรับผู้มีอายุเกิน 70 ปี และผู้ได้รับการ
ยกเว้น จะขอมีบัตรประจำตัวประชาชนได้

บุคคลที่กฎหมายยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน

1. สมเด็จพระบรมราชินี
2. พระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นพระองค์ เจ้าขึ้นไป
3.ภิกษุ สามเณร นักพรต และนักบวช
4.ผู้มีกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง หรือจิตฟั่นเฟือน

ไม่สมประกอบ
5. ผู้อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
6.บุคคลซึ่ งกำลังศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ และไม่สามารถยื่นคำขอมีบัตรประจำตัว

ประชาชนได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 10

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

1. กรณีขอทำบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรก
เมื่อมีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14)

ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชนภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะเสียค่าปรับ
ไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1.สูติบัตร หรือหลักฐานอื่นที่ราชการออกให้ เช่น ใบสุทธิ สำเนาทะเบียน
นักเรียน หนังสือเดินทาง เป็นต้น เพื่อแสดงว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้มีชื่อใน
ทะเบียนบ้าน
2.หากเด็กเคยเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล ต้องนำใบสำคัญมาแสดงด้วย
และหากบิดา มารดาของเด็กเคยเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสุกล ต้องนำใบสำคัญมาแสดง
ด้วย
3.หากไม่มีเอกสารตามข้อ 2 ให้นำเจ้าบ้านหรือบุคคลผู้น่ าเชื่อถือมาให้การ
รับรอง
4.กรณีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว ให้นำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของ
บิดา มารดามาแสดงด้วย หรือนำใบมรณบัตรของฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งที่ถึงแก่กรรม
ไปแสดง

5.การขอมีบัตรครั้งแรกเมื่ออายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ต้องนำเอกสารหลักฐาน
ที่กำหนดตามข้อ 1,2,3,4 และให้นำเจ้าบ้านและบุคคลที่น่ าเชื่อถืออย่างน้ อย 2 คน
ไปพบเจ้าหน้ าที่เพื่อสอบสวนและให้การรับรอง
* บุคคลน่ าเชื่อถือ หมายถึง “บุคคลใดๆ ซึ่ งมีภูมิลำเนาที่อยู่แน่ นอน มีอาชีพมั่นคง
และมีความรู้จักคุ้นเคยกับผู้ขอมีบัตรเป็นอย่างดี อาจเกี่ยวข้องเป็นญาติกันหรือ
ไม่ก็ได้”

ไม่เสี ยค่าธรรมเนี ยม
2. กรณีบัตรเดิมหมดอายุ

เมื่อบัตรเดิมหมดอายุให้ทำบัตรใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตรเดิมหมด
อายุ หากพ้นกำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 บาท ผู้ถือบัตรสามารถขอทำ
บัตรใหม่ก่อนวันที่บัตรเดิมหมดอายุก็ได้ โดยให้ยื่นคำขอภายใน 60 วัน ก่อนวัน
ที่บัตรเดิมหมดอายุ

หลักฐาน
1. บัตรประจำตัวประชาชนเดิมที่หมดอายุ
2.หากบัตรเดิมหมดอายุเป็นเวลานาน ต้องนำเจ้าบ้านหรือพยานบุคคล

ที่น่ าเชื่อถือมารับรองด้วย (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 11

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

3. กรณีบัตรหาย หรือถูกทำลาย
เมื่อบัตรประจำตัวประชาชนหาย หรือถูกทำลายให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลัก

ฐาน ณ ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเขตเทศบาลหรือเมืองพัทยา แล้วแต่กรณี
และขอทำบัตรใหม่ภายใน 60 วันนับแต่วันที่บัตรหายหรือถูกทำลาย หากพ้น
กำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1.เอกสารที่มีรูปถ่ายของผู้ขอมีบัตรใหม่ที่ทางราชการออกให้ เช่น ใบอนุญาต
ขับขี่ หลักฐานการศึกษา หรือหนังสือเดินทาง เป็นต้น
2.หากไม่มีหลักฐานตามข้อ 2 ให้นำเจ้าบ้านหรือบุคคลผู้น่ าเชื่อถือมาให้
การรับรองเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท
4. กรณีเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุลแล้วต้องเปลี่ยนบัตร

เมื่อผู้ถือบัตรเปลี่ยนชื่อตัว/ชื่อสกุล ต้องเปลี่ยนบัตรภายใน 60 วัน นับแต่วัน
ที่แก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล ในทะเบียนบ้าน หากพ้นกำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน

100 บาท
หลักฐาน
1. บัตรประจำตัวประชาชนเดิมที่ต้องการเปลี่ยน
2.หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุล แล้วแต่กรณี
(เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท)

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 12

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

5. กรณีบัตรเดิมชำรุดในสาระสำคัญ บัตรถูกทำลาย
หากบัตรเดิมชำรุดในสาระสำคัญ บัตรถูกทำลาย เช่น บัตรถูกไฟไหม้บางส่วน

บัตรชำรุด เลอะเลือน เป็นต้น ต้องเปลี่ยนบัตรภายใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตรเดิม
ชำรุดหรือถูกทำลาย หากพ้นกำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1. บัตรประจำตัวประชาชนเดิมที่ชำรุดหรือถูกทำลาย
2. เอกสารที่มีรูปถ่ายของผู้ขอมีบัตรใหม่ที่ทางราชการออกให้

เช่น ใบอนุญาตขับขี่ หลักฐานการศึกษา หรือหนังสือเดินทาง เป็นต้น
3. หากไม่มีเอกสารตามข้อ 2 ให้นำเจ้าบ้านหรือบุคคลผู้น่ าเชื่อถือมาให้การ

รับรอง (เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท)
กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นการมีบัตรประจำตัวประชาชน เช่นพระภิกษุ
สามเณร ฯลฯ จะขอทำบัตรประจำตัวประชาชนก็ได้

หลักฐาน
1.กรณีพระภิกษุ หรือสามเณร ต้องย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านของวัดก่อน
แล้วแก้ไขคำนำหน้ านามในทะเบียนบ้านเป็นพระ สามเณร หรือสมศักดิ์
ก่อนจึงจะขอมีบัตรได้
2.หลักฐานที่แสดงว่าเป็นบุคคลซึ่ งได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตร เช่น
หนังสือสุทธิของพระ หรือหนังสือเดินทาง กรณีเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษา
ณ ต่างประเทศ (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

6. กรณีบุคคลที่พ้นสภาพได้รับการยกเว้นขอทำบัตร
ผู้ซึ่ งพ้นสภาพได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน เช่น
ผู้พ้นโทษจากเรือนจำหรือทัณฑสถาน เป็นต้น ต้องไปขอทำบัตรประชาชนภายใน

60 วัน นับแต่วันพ้นสภาพได้รับการยกเว้น หากพ้นกำหนดจะต้องเสียค่าปรับ
ไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1. หลักฐานที่แสดงว่าพ้นสภาพจากการยกเว้นไม่ต้องมีบัตร เช่น หนังสือสำคัญ
ของเรือนจำหรือทัณฑสถาน (ร.ท.5) หรือหนังสือเดินทางและเอกสารที่แสดงว่า
เป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ มีบัตรประจำตัวข้าราชการ พนักงาน
รัฐวิสาหกิจแล้วแต่กรณี เป็นต้น
2. หากไม่ปรากฏข้อมูลการทำบัตร หรือบัตรเดิมได้หมดอายุนานแล้ว ต้องนำ
เจ้าบ้านและบุคคลน่ าเชื่อถือมารับรองด้วย (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 13

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

7. กรณีผู้ถือบัตรย้ายที่อยู่
เพื่ อให้รายการที่อยู่ที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนตรงกับรายการ

ในทะเบียนบ้านผู้ถือบัตรผู้ใดย้ายที่อยู่จะขอเปลี่ยนบัตรโดยที่บัตรเดิมยังไม่หมด
อายุสามารถทำได้แต่หากไม่ขอเปลี่ยนบัตรก็สามารถใช้บัตรนั้นได้ต่อไปจนกว่า
บัตรจะหมดอายุ

หลักฐาน
1. บัตรประจำตัวประชาชนเดิม (เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท)
8. กรณีผู้ซึ่ งมีอายุเกิน 70 ปี ขอมีบัตร

คนสัญชาติไทยซึ่ งมีอายุเกิน 70 ปี จะขอมีบัตรประจำตัวประชาชนก็ได้
หลักฐาน

1. สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
2. บัตรประจำตัวประชาชนเดิม (ถ้ามี)
3. หากไม่ปรากฏข้อมูลการทำบัตร หรือบัตรเดิมได้หมดอายุนานมากแล้ว
ต้องนำเอกสารอื่นที่ทางราชการออกให้มาแสดง พร้อมทั้งนำเจ้าบ้านและบุคคล
ที่น่ าเชื่อถือมารับรอง (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

การขอมีบัตรกรณีเป็ นบุคคลได้รับการเพิ่ มชื่ อในทะเบียนบ้าน
ต้องยื่นขอมีบัตรประจำตัวประชาชนภายใน 60 วัน นับแต่วันที่เพิ่มชื่อใน
ทะเบียนบ้าน หากพ้นกำหนดมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1. เพิ่มชื่อกรณีแจ้งเกิดเกินกำหนด ใช้หลักฐานสูติบัตร และสอบสวนเจ้าบ้าน

หรือบุคคลน่ าเชื่อถือ
2. เพิ่มชื่อกรณีชื่อตกสำรวจให้สำเนาทะเบียนบ้านที่ผู้นั้นเคยมีชื่ออยู่ก่อน

หลักฐานการเพิ่มชื่อหรือหลักฐานที่ทางราชการออกให้ และสอบสวนเจ้าบ้าน
หรือบุคคลผู้น่ าเชื่อถือ (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 14

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การขอมีบัตรกรณีบุคคลซึ่ งได้สัญชาติไทย หรือได้รับอนุมัติให้มีสัญชาติไทย
หรือได้กลับคืนสัญชาติไทย

ยื่นคำขอมีบัตรภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับสัญชาติไทย
หากเกินกำหนดมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

หลักฐาน
1. กรณีได้ได้รับอนุมัติให้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ หรือได้กลับคืน
สัญชาติไทย ใช้หนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย หรือหนังสือสำคัญ
แสดงการได้กลับคืนสัญชาติเป็ นไทยแล้วแต่กรณี
2. หลักฐานอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ และสอบสวนเจ้าบ้านหรือบุคคลผู้น่ า
เชื่อถือ

ขอเปลี่ยนบัตร กรณีเปลี่ยนคำนำหน้ านาม
หลักฐาน

1. บัตรประจำตัวประชาชนเดิม
2. หลักฐานแสดงการเปลี่ยนคำนำหน้ านาม เช่น ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า
เป็นต้น (ไม่เสียค่าธรรมเนียม)

ความผิ ดที่เกี่ยวกับบัตรประชาชนที่ควรรู้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 15

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กฎหมายเกี่ยวกับการหมั้นการสมรส

การหมั้น
เป็นสัญญาอย่างหนึ่ งที่ฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงตกลงกันว่า ชายและหญิงคู่หมั้น

จะทำการสมรสกันในอนาคต สัญญาหมั้นไม่สามารถฟ้ องร้องบังคับคดีให้อีกฝ่ าย
หนึ่ งทำการสมรสได้ ถึงแม้ว่าจะมีข้อตกลงในเรื่องเบี้ยปรับกันเอาไว้ ข้อตกลงนั้น
ก็เป็ นอันใช้บังคับไม่ได้

ตัวอย่าง

นายแดง และนางสาวสร้อยศรีได้ทำการหมั้นกัน ต่อมา นางสาวสร้อยศรีเห็นว่า
นายแดงยากจนไม่อยากจะสมรสด้วย ที่ตกลงรับหมั้น ในตอนแรกนั้นเพราะ
คิดว่านายแดง เป็นคนมีฐานะดี นายแดงจะมาขออำนาจ ศาลบังคับให้นางสาว
สร้อยศรีทำการสมรสกับตนไม่ได้ เพราะในเมื่อฝ่ ายหนึ่ ง ฝ่ ายใดไม่สมัครใจที่
จะเป็นสามีภริยากันแล้ว หากว่าบังคับให้ทำการสมรสกัน ก็จะก่อให้เกิดปัญหา
ในครอบครัวอย่างแน่ นอน

บุคคลที่จะหมั้นกันได้นั้น ทั้งชายและหญิงจะต้องมีอายุอย่างน้ อยสิบเจ็ดปี บริบูรณ์
กฎหมายกำหนดอายุของทั้ง 2 คน ว่าแต่ละคนต้องมีอายุ ขั้นต่ำ 17 ปี บริบูรณ์
ดังนั้นหากชายอายุ 17 ปี หมั้นกับหญิงอายุ 15 ปี การหมั้นย่อมเป็นโมฆะ

บุคคลบางประเภทแม้มีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ทำการหมั้นกันไม่ได้เลย
บุคคลประเภทนี้ ได้แก่
- คนวิกลจริต คนบ้า หรือคนที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
- บุคคลผู้เป็นบุพการี (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) จะหมั้นกับผู้สืบสันดาน
(ลูก หลาน เหลน ลื้อ) ไม่ได้
- บุคคลที่เป็นพี่น้ องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมแต่มารดา หรือบิดาเพียงอย่าง
เดียว
- บุคคลที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว บุคคลที่จะให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการทำการหมั้น
ได้แก่ บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดาและมารดา

การหมั้นที่ปราศจากการให้ความยินยอมในกรณีที่ต้องให้ความยินยอม
นั้ นเป็ นการหมั้นที่ไม่สมบูรณ์ อาจถูกเพิ กถอนได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 16

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

ของหมั้น
คือ ทรัพย์สินที่ฝ่ ายชายได้ให้ไว้แก่ฝ่ ายหญิงในขณะทำการหมั้นเพื่อเป็นหลัก

ฐานการหมั้น และประกันว่าจะสมรสกับหญิงตามประเพณีของไทยเรานั้น ฝ่ ายชาย
เป็นฝ่ ายที่นำของหมั้นไปให้แก่ฝ่ ายหญิง ที่กล่าวว่าฝ่ ายชายหรือฝ่ ายหญิงนั้นไม่ได้
หมายความเฉพาะชายหญิงคู่หมั้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงบุคคลอื่น ๆ ซึ่ งมีความ
เกี่ยวพันกับชายหรือ หญิงคู่หมั้นด้วย เช่น บิดามารดา ผู้ปกครอง หากบุคคลเหล่า
นี้ทำการหมั้น แทนชายหรือหญิง การหมั้นจะผูกพันชายหรือหญิงต่อเมื่อชายหรือ
หญิงคู่หมั้นตกลงยินยอมในการหมั้นนั้นด้วย

ตัวอย่าง
นายแดงอายุ 22 ปี รักนางสาวสุชาดา ซึ่ งมีอายุ 19 ปี เป็นอันมาก แต่เนื่ องจาก
นางสาวสุชาดา ไม่ชอบตน นายแดงจึงไปขอหมั้น นางสาวสุชาดากับนางสร้อย มารดาของ
นางสาวสุชาดา โดยที่นางสาวสุชาดา ไม่ได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใด นางสร้อยได้ตกลงรับ
หมั้นนายแดง และนายแดงได้ส่งมอบแหวนเพชรให้เป็นของหมั้นในวันนั้น หากนางสาว
สุชาดาไม่ยอมทำการสมรสกับนายแดงไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ นายแดงจะฟ้ องเรียกค่าเสีย
หายจากนางสาวสุชาดาไม่ได้ เพราะสัญญาหมั้นรายนี้นางสาวสุชาดาไม่ได้เป็นคู่สัญญาแต่
อย่างใด ของหมั้นนั้นจะต้องมีการหมั้นและส่งมอบของหมั้นในขณะทำการหมั้น

สิ นสอด คำพิพากษาฎีกาที่ 126/2518 เงินที่ชายให้แก่
มารดาหญิงเพื่อ ขอขมาในการที่หญิงตามไปอยู่กิน
คือ ทรัพย์สิน ซึ่ งฝ่ ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตร กับชาย โดยชายหญิงไม่มีเจตนาจะสมรสกัน ตาม
บุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ ายหญิง เพื่อตอบแทนการ
ที่หญิงยอมสมรส บุคคลที่อยู่ในฐานะจะรับสินสอดได้คือ กฎหมาย ไม่ใช่สินสอดหรือของหมั้น เมื่อต่อมา
บิดามารดาของหญิงผู้ปกครองของหญิง หญิงไม่ยอมอยู่กินกับ ชาย ชายเรียกคืนไม่ได้

ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง

หรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่ งฝ่ ายชายต้องรับผิดชอบ ชายสามารถ
เรียกสินสอดคืนได้ แต่ถ้าเหตุที่ไม่มีการสมรสนั้นเกิดจาก
ความผิดของฝ่ ายชายแล้ว ชายไม่มีสิทธิเรียกคืนสินสอดมี
ลักษณะแตกต่างจากของหมั้นที่ว่า ของหมั้นต้องมีการส่ง มอบ
ให้แก่ฝ่ ายหญิงในขณะที่ทำการหมั้น แต่สินสอดนั้นจะส่งมอบ
ให้แก่บุคคล ที่มีสิทธิจะรับเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องมีวัตถุประสงค์
เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมทำการสมรสกับตน หากว่าได้ให้
ทรัพย์สินเป็นเพียงเพื่อแก้หน้ าบิดามารดาของ ฝ่ ายหญิงที่ตน
พาลูกสาวของเขาหนีแล้ว ทรัพย์สินนั้นไม่ใช่สินสอด แม้ต่อ
มาภายหลังไม่มีการสมรสชายจะเรียกคืนไม่ได้ เพราะสิ่ งของที่
ให้กันนั้ นกฎหมายไม่ถือว่าเป็ นสิ นสอด

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 17

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การผิ ดสัญญาหมั้น

ถ้าชายหรือหญิงคู่หมั้น ไม่ยอมทำการสมรสกับคู่หมั้นของตนโดยปราศจาก
มูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ถือว่าคู่หมั้นฝ่ ายนั้นผิดสัญญาหมั้น

เมื่อฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งผิดสัญญาหมั้น เช่นหญิงมีคู่หมั้นอยู่แล้วไปทำการสมรส
กับชายอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นของตน หรือหนีตามชายอื่นไป ชายคู่หมั้น จะฟ้ องร้องต่อ
ศาลให้ศาลบังคับให้หญิงทำการสมรสกับตนไม่ได้ เพราะการ สมรสนั้นต้องเกิด
จากความสมัครใจ ศาลจะใช้อำนาจไปบังคับให้ชายและหญิง ทำการสมรสกันไม่ได้
แม้ว่าจะมีการตกลงกันว่าถ้าฝ่ ายใดเป็นฝ่ ายผิดสัญญา หมั้นจะให้ปรับเป็นจำนวน
เท่าใด ข้อตกลงนั้นก็ใช้บังคับกันไม่ได้

แต่คู่หมั้นซึ่ งเป็นฝ่ ายผิดสัญญาหมั้น ต้องรับผิดจ่ายค่าทดแทนดังต่อไปนี้
1. ค่าทดแทนความเสียหายต่อกาย หรือชื่อเสียง
2. ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นนื่ องจากคู่หมั้น บิดามารดา
หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะ เช่น บิดามารดาได้ใช้จ่าย หรือตกเป็นลูกหนี้
เนื่ องจากการเตรียมการสมรสโดยสุจริต และตามสมควร เช่น ฝ่ ายหญิงได้ซื้ อ
เครื่องนอน เครื่องครัวไว้แล้ว ชายไปแต่งงานกับหญิงอื่น ชายต้องรับผิดในค่าใช้
จ่ายเหล่านี้
3. ค่าทดแทนความเสียหายเนื่ องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่น
อันเกี่ยวกับอาชีพ หรือทางทำมาหาได้ของตนไปโดย สมควรด้วยการคาดหมายว่า
จะมีการสมรส

ตัวอย่าง

สำหรับค่าทดแทนที่ 3 นายแดงอยู่กรุงเทพฯ หมั้นกับนางสาวนุสรา ซึ่ งมีอาชีพเป็น
พยาบาลอยู่ต่างจังหวัด มีการกำหนดวันที่จะทำการสมรส นางสาวนุสราจึงลาออกจาก
พยาบาลเพื่อที่จะเป็นแม่บ้าน เมื่อนางสาวนุสราได้ลาออกจากการเป็นพยาบาลแล้ว

นายแดงไม่ยอมทำการสมรสด้วย เนื่ องจากได้ไปสมรสกับผู้หญิงอื่น เช่นนี้นายแดงต้อง
รับผิด ใช้ค่าทดแทนความเสียหาย อันเกิดจากการที่นางสาวนุสราลาออกจากงาน

(สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนนี้ มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันผิดสัญญาหมั้น)

ในกรณีที่หญิงเป็นฝ่ ายผิดสัญญาหมั้น หญิงต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝ่ ายชาย
ถ้าฝ่ ายชายเป็นฝ่ ายผิดสัญญาหมั้นแล้ว หญิงไม่ต้องคืนของหมั้น

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 18

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การสมรส

1. ชายหญิงจะทำการสมรสกันได้ ชายและหญิงจะต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
หากมีอายุต่ำกว่านี้ เช่น ชายอายุ 16 ปี หญิงอายุ 15 ปี จะไปขอจดทะเบียนสมรสต่อ
นายทะเบียนที่อำเภอ นายทะเบียนจะไม่จดทะเบียนสมรสให้ เนื่ องจากเงื่อนไขของอายุ
ไม่ได้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ในกรณีที่อายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์ อาจจะจด
ทะเบียนสมรสได้ เมื่อมีเหตุอันควร และศาลได้อนุญาตให้จดทะเบียนสมรสก่อน
ซึ่ งหมายความว่าชายหญิงที่จะจดทะเบียนสมรสกัน หากอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ต้อง
ให้ศาลเป็นผู้อนุญาตก่อน โดยศาลจะพิจารณาให้จด ทะเบียนสมรสได้หรือไม่ โดย
การพิจารณาจากเหตุผลเป็นสำคัญ เช่น ชายหญิงเกิดอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันโดยที่
ทั้งคู่อายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และหญิงได้เกิดตั้งครรภ์ขึ้น จึงได้ไปร้องขอต่อศาลขอ
อนุญาตจดทะเบียน สมรส ศาลเห็นว่าการตั้งครรภ์ของหญิงควรอนุญาตให้จดทะเบียน
สมรสได้ จึงมีคำสั่งอนุญาต ชายหญิงก็นำคำสั่งอนุญาตจากศาลไปแสดงต่อนาย
ทะเบียน ที่อำเภอ นายทะเบียนถึงจะทำการจดทะเบียนสมรสให้ได้

2. การสมรสจะกระทำไม่ได้ หากชายหรือหญิงเป็นคนวิกลจริต
หรือเป็นคนที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ คนที่กล่าวมาทั้งสองประเภท
เมื่อไปขอจดทะเบียนสมรส นายทะเบียนจะไม่จดทะเบียนสมรสให้กับทั้งสองคน

3. พี่น้ องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมบิดาเดียวกัน แต่ต่างมารดากัน หรือร่วม
มารดาเดียวกันแต่ต่างบิดา หรือเป็นญาติสืบสายโลหิต โดยตรงขึ้นไปหรือลงมา เช่น
เป็นลูกผู้พี่ ผู้น้ อง ลูกของลุง ป้ า น้ า อา จะทำการสมรสกันไม่ได้นาย ก. ได้นาง ข.
แม่ม่ายมีบุตรชายมาแล้ว 1 คน เป็นภรรยา ต่อมา นาง ข. มีบุตรกับนาย ก. เป็น
หญิงอีก 1 คน บุตรชายเดิมของนาง ข. กับสามีเดิม และบุตรสาวของนาง ข. กับ นาย
ก. เมื่อโตเป็นหนุ่ มเป็นสาวเกิดรักใคร่ชอบพอกันเพราะความใกล้ชิดเป็นต้นเหตุ จึง
แอบหนีไปขอจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอ แต่นายทะเบียนได้ทราบจากสำเนาทะเบียน
บ้านว่า ฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิง เป็นพี่น้ องร่วมมารดาเดียวกัน จึงไม่สามารถทำการจด
ทะเบียนสมรสให้ ทั้งสองจึงเป็นสามีภรรยากันโดยไม่มีทะเบียนสมรส

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 19

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

4. พ่อแม่ของบุตรบุญธรรม จะทำการสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้ ดังนั้น ผู้ชายที่
ขอเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อหวังจะได้ทำการสมรส กับบุตรบุญธรรม โดยไป
ทำการจดทะเบียนสมรสกันย่อมกระทำไม่ได้ ผู้หญิงที่รับเด็กชายมาเป็นบุตรบุญธรรม
เพื่อหวังที่จะทำการสมรสด้วย ในอนาคตก็ทำไม่ได้เช่นกัน

5. ชายหรือหญิงที่ทำการสมรสในขณะที่ต่างคนต่างก็มีคู่สมรสกันอยู่แล้ว ย่อม
กระทำไม่ได้ เช่น นาย ก. กับนาง ข. จดทะเบียนสมรสกันแล้ว และนาย ค. กับนาง
ง. ก็จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งนาย ก. นาง ข. นาย ค. และนาง ง. จะไป
ทำการจดทะเบียนสมรสกับคนอื่นอีกไม่ได้ ถ้าขืนไปจดจะเป็นการจดทะเบียนสมรส
ซ้อน และมีความผิด ทางอาญาในฐานแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียน

6. หญิงที่สามีตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงจะทำการสมรสใหม่ ได้ต้องเลยเวลาสิ้น
สุดการสมรสไปแล้วไม่น้ อยกว่า 310 วัน ที่ต้องมีเงื่อนไขสำหรับหญิงที่จะทำการสมรส
ใหม่ เนื่ องจากต้องการ ให้พ้นภาระการตั้งครรภ์กับสามีเดิม แต่ก็มีข้อยกเว้นที่จะจด
ทะเบียนใหม่ได้ก่อน ดังนี้

คลอดบุตรแล้วในระหว่างเวลาห้าม
สมรสใหม่กับคู่สมรสเดิม
มีใบรับรองแพทย์ปริญญาว่ามิได้ตั้งครรภ์
ศาลมีคำสั่งให้สมรสได้

7. ผู้เยาว์หรือผู้ที่อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จะทำการสมรสได้จะต้องได้รับความ
ยินยอมจากบุคคลต่อไปนี้ก่อน บิดาและมารดาของฝ่ ายที่เป็นผู้เยาว์ บิดาหรือมารดา

ในกรณีที่บิดาหรือมารดาตาย หรือถูกถอนอำนาจ ปกครอง ส่วนการยินยอมนั้นจะ
กระทำได้โดย ลงลายมือชื่อยินยอมในทะเบียนขณะจดทะเบียนสมรส ทำเป็นหนังสือ
ยินยอม โดยระบุชื่อผู้จะสมรสทั้ง 2 ฝ่ าย และลงลายมือชื่อ ของผู้ยินยอม ถ้ามีเหตุ
จำเป็นก็ยินยอมด้วยวาจาต่อหน้ าพยานอย่างน้ อย 2 คน การยินยอมให้ผู้เยาว์ทำการ
สมรสแล้ว จะถอนการยินยอมไม่ได้ จะเห็นว่ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ งที่ได้กล่าวมาแล้ว

คือ ชายหญิงจะ ทำการสมรสได้จะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ การที่ชายหญิงอายุ
ครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ เพราะอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ดัง
นั้น การจดทะเบียนสมรสของชายหญิงเช่นนี้ จะต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลดังกล่าว
ด้วย

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 20

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

8. ชายหญิงที่จะทำการสมรสเป็นผู้เยาว์แต่ไม่มีบุคคลใดที่จะให้ความยินยอมได้
หรือ มีผู้ให้ความยินยอมแต่ก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ความยินยอมได้ ผู้เยาว์อาจจะ
ร้องขอต่อศาลเพื่ออนุญาตให้ทำการสมรส ในกรณีเช่นนี้ที่ผู้เยาว์ไม่มีผู้ให้ความ
ยินยอม เนื่ องจากผู้ที่มีอำนาจในการยินยอม ได้ตายไปหมดแล้ว หรือมีผู้ให้ความ
ยินยอมแต่ก็อยู่ในสภาพที่ให้ความยินยอม ไม่ได้เนื่ องจากป่ วย เขียนหนังสือไม่ได้

พูดไม่ได้ หรือถูกศาลสั่งให้กลายเป็น คนไร้ความสามารถซึ่ งถ้ามีเหตุเช่นนี้เป็น
อุปสรรค ผู้เยาว์ก็ต้องพึ่งศาล เพื่ออนุญาตให้ทำการจดทะเบียนสมรส

9. การสมรสจะกระทำได้เมื่อฝ่ ายชายหญิงจะต้องยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน และ
ต้องแสดงการยินยอมนั้นเปิ ดเผยต่อ หน้ านายทะเบียน และต้องให้นายทะเบียนจด
บันทึกการยินยอมนั้นไว้ด้วย ในกรณีเช่นนี้ เมื่อชายหญิงจะทำการสมรสโดยไปจด
ทะเบียนสมรสต่อ นายทะเบียนที่อำเภอหรือเชิญนายทะเบียนมาจดทะเบียนนอกสถาน
ที่ก็ตาม คู่สมรสจะต้องแสดงการยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากันก่อน โดยทั้งคู่ต้อง
แสดงการยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากันอย่างเปิ ดเผยต่อหน้ านายทะเบียนและต้องให้
นายทะเบียนบันทึกความยินยอมไว้ด้วย ดังนั้น การแสดงความยินยอมที่จะเป็นสามี
ภรรยากันโดยเปิ ดเผยต่อ หน้ านายทะเบียนจึงเป็นสาระสำคัญ หากชายหญิงไปขอจด
ทะเบียนสมรส มีสิ่ งแอบแฝงซ่อนเร้น ไม่แสดงการยินยอมให้ปรากฏเป็นที่เปิ ดเผย
เช่น เอาแต่นั่งร้องไห้ นั่งเฉย ไม่ยอมตอบคำถามนายทะเบียน แสดง อาการหวาดกลัว
นายทะเบียนจะจดทะเบียนสมรสให้ไม่ได้

10. ชายหญิงที่มีสัญชาติไทยทั้งคู่หรือฝ่ ายหนึ่ งฝ่ ายใดมีสัญชาติไทย มีความประสงค์ะ
ทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสในต่างประเทศ สามารถจดทะเบียนสมรสตาม
กฎหมายไทยหรือตามกฎหมายต่างประเทศ นั้นก็ได้ แต่ถ้าจะจดทะเบียนตามกฎหมาย
ไทยก็ไปจดทะเบียนต่อพนักงานทูต หรือกงศุลไทยที่ประจำอยู่ในประเทศนั้นเงื่อนไข
ตามข้อนี้ เอื้ออำนวยให้แก่คนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศ ต้องการจะจดทะเบียนสมรส

ไม่ว่าจะเป็นชายไทยหญิงไทยด้วยกัน หรือชายไทยกับหญิงต่างชาติ หรือชายต่างชาติ
กับหญิงไทย ก็ให้จดทะเบียนสมรสได้ 2 ลักษณะ คือ

1. จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายของประเทศที่ตนเองอยู่ เช่น คนไทยไปอยู่
ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ของประเทศสหรัฐอเมริกา

2. จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทย โดยไปขอจดทะเบียนสมรส ต่อเจ้าพนักงาน
ฑูตไทย หรือกงศุลไทยที่ประจำอยู่ ณ ประเทศนั้น

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 21

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

11. เมื่อมีเหตุการณ์พิเศษที่ทำให้ชายหญิงไม่สามารถ จะทำการจดทะเบียน
สมรสต่อนายทะเบียนได้ เนื่ องจากชายหรือหญิง หรือทั้งชายและหญิงได้รับอันตราย
ใกล้ความตาย หรืออยู่ในภาวะ การรบหรือสงครามกำลังดำเนินอยู่ ชายและหญิงนั้น
ก็อาจจะ แสดงเจตนาเพื่อจดทะเบียนสมรสได้ โดยต้องแสดงเจตนาที่ จะจดทะเบียน
สมรสต่อหน้ าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อยู่ ณ ที่นั้น และให้บุคคลดังกล่าวจดการแสดง
เจตนาที่จะจดทะเบียน สมรสของชายหญิงคู่นั้นไว้เป็นหลักฐาน และจดวัน เดือน ปี
สถานที่แสดงเจตนาที่จะขอจดทะเบียนสมรสไว้ และต่อมา ชายหญิงคู่นั้นได้จด
ทะเบียนสมรส ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่อาจทำการ จดทะเบียนสมรสได้ โดยได้
นำหลักฐานจากบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ ที่ได้จดการแสดงของคนทั้งสองไว้มาแสดงต่อ
นายทะเบียน ให้ถือว่าวันที่คนทั้งสองแสดงเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสต่อหน้ าบุคคล
นั้ นเป็ นวันที่ทำการจดทะเบียนสมรสจริง

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 22

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

สินสมรส กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้

(ก) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาในระหว่างสมรส หมายถึง ทรัพย์สินอื่น ๆ
นอกจากที่เป็นสินส่วนตัวแล้ว ถ้าคู่สมรสไม่ว่าฝ่ ายใดได้มาก็ถือว่าเป็นสินสมรส
ทั้งสิ้น เช่น เงินเดือน โบนัส เงินรางวัลจากลอตเตอรี่ เป็นต้น

(ข) ทรัพย์สินที่ฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งได้มาในระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม หรือโดย
การให้ที่ทำเป็ นหนังสือแต่พินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้ นต้องระบุว่าให้เป็ นสิ นสมรส
ด้วย กรณีนี้ต่างกับในเรื่องสินส่วนตัว เพราะว่าการให้หรือพินัยกรรมนั้นต้องระบุชัด
ว่า ให้เป็นสินสมรส ถ้าไม่ระบุก็ถือเป็นสินส่วนตัว

(ค) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว คำว่า "ดอกผล" หมายถึงผล
ประโยชน์ ที่ได้จากทรัพย์นั้นซึ่ งอาจเป็นผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิด
ขึ้นจากความผูกพันตามกฏหมายก็ได้ เช่น มีแม่วัว ลูกวัวก็เป็นดอกผลธรรมชาติ
มีรถแล้วเอารถไปให้เขาเช่า ค่าเช่าก็เป็นดอกผลที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย เป็นต้น

สามี-ภรรยากับสิ ทธิในสิ นสมรส
การสมรสเมื่อมีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย สามี-ภรรยาจะมีความ

สัมพันธ์ในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส โดยสามี-ภรรยาเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่าง ๆ
ร่วมกัน สามี-ภรรยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน หรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ ายหนึ่ ง
ในกรณีการจัดการสินสมรสที่สำคัญ ๆ เช่น ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้ อ จำนอง ซึ่ งอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่
อาจจำนองได้ ให้กู้ยืมเงิน ให้โดยเสน่ หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูป
อย่างไรก็ตามสามี-ภรรยา สามารถแยกกันจัดการสินสมรสได้ 4 กรณี ดังนี้
1. เมื่อคู่สมรสตกลงแยกกันจัดการสินสมรส โดยการทำสัญญาก่อนสมรสไว้ก่อน
2. เมื่อคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งตกเป็นคนไร้ความสามารถ อีกฝ่ ายมีสิทธิ์ร้องขอให้ศาลแยก
สินสมรสได้
3. เมื่อคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย จะมีผลให้สินสมรสแยก
กันตามกฎหมาย
4. เมื่อมีการร้องขอต่อศาลให้แยกสินสมรส เพราะสาเหตุเช่น อีกฝ่ ายทำความเสียหายแก่
สินสมรส ไม่อุปการะ เลี้ยงดู เป็นหนี้สินมากมาย หรือขัดขวางการจัดการสินสมรสโดย
ไม่มีเหตุอันควรและเมื่อมีการแยกสินสมรสออกจากกันแล้ว สินสมรสส่วนที่แยกออกมาจะ
ถือเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่ าย รวมถึงทรัพย์สิน เช่น มรดกดอกผลที่ได้มาหลังการแยก
สินสมรสด้วย
รู้กฎหมายเรื่องทรัพย์สิน เงินทองไว้ล่วงหน้ าก่อนแต่งงาน ย่อมเป็นประโยชน์ สำหรับการ
วางแผนครอบครัวได้เป็ นอย่างดี

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 23

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การสิ้ นสุดสมรส มีอยู่ 3 ประการ คือ
การตายของคู่สมรส
ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการสมรสที่เป็ นโมฆียะ
การหย่า (มี 2 ประเภท)
1. การหย่าแบบยินยอม ต้องทำเป็นหนังสือ มีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้ อย
2 คนและไปจดทะเบียนหย่า
2. การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล เนื่ องจากฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าซึ่ งจะ
ฟ้ องหย่าได้ต้องมีเหตุหย่าและหย่าได้ระบุไว้ในมาตรา 1516 ดังนี้

มาตรา 1516 เหตุฟ้ องหย่ามีดังต่อไปนี้

1.1.สสามาีมอีุอปุปกการาระเะลเี้ลยี้ยงดงูดหูหรืรอือยยกกย่ยอ่องหงหญิญงิองื่อนื่นฉัฉนันภภริรยิยาหาหรืรอือ 7. สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญหรือไป
((ข(จกคขะ(ข((จอกคข)))เ2ะองป)))เ2ภ็ฝ.งไไไป่นภ็ฝร.ดดดไาสไไ่ิน้้้รคยดยดดาสรรราิ้้้ัคััยวยาทรมรรบาบบีีัััา่มวาทมบบบหปคคคีีีมา่มชหปคคควูรวีวรม้ผืชาาวาูรววิรอะ้ผือมดมมาาพาิอภะีอกมดมมพทดอเภีรฤูสกัฝิทดอเบถีรา่ฤยตูสัูฝิยาบงิถีา่อกยตาชูยยหอัางิอากป่เาชวยหอกาัหายาป่เรอวญกยาหลายนหรึะอียญย่ลูหยนหาพร่งึะียต่ืูหยหรดาพรฟ่่องฤตืื้อหรดอรฟ่ชอขฤอืตื้อัไอรเชอิขงาองตปืดัไชเยเัอไิงาืห่งปดพชหอวมยเัไหืห่ย่พไหอวดมรร่หนยื่มาได้รรรอ่าถ่นไื้มาา้ว้ะรอาอถ่า่ดไ้รา้เาวะ้อ้นเา่ดหรคาเาป้้นเ็หเตยคาวปนกุ็เตยาิแวคนกุนเมาิแครงหนเมคปทรงงหีต่ควปทุงรสีตใ่รวุรสะาใหรพมะ้าหใีอพม้ฤีหใีนอกฤีหตรนกฝิเื่ตรอชมฝัิืเืา่่่อภชมวอัยืา่่ภนวรอเยัิ้อนรยเนัิ้อายานาา จากภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มี
สมหบหุบหมสหภพนราึุื3่คภพรนาาอกงึื.3่ำพคาอหนกงา.ัสนำพ้หนฐรมาึนัิสีนา่้งฐรมขาึนนิีมฟา่ปงนขอาีน้มปฟหปนอรองี้ะปหรอรองรแงะะีืระหกอรกงอแะลีืมะหกอกอยฝภละ่ม่าอบคยฝภราะา่่ิทาบคไวอรายยาีิทดหาไวอกยยหา้ีดมหารกทฝหาน้่ืึมเรทฝอ่ำนา่ืปงึเอ่เ็ำรยาปงห้นเ็รยาหทห้นยัยอา้หีทนงยัึยยอย่้ีนูนงงึ่ียดยห่รู้นน่ง่ีดัหรหร้ว้น่ถืนัหมรวอ้ย้ถืานมอ้ฟทยกาเา้ัฟทมปกานรอเ้็ัมปนรอนอมงฉ็ีัหอนกมงฉากนีัหกฝยนากนา่่สฝยนาราาร่่สา่ไยารารรามา้ด่ไยีหรางา้ม้ดภยีหกางน้ึภร่ยกาแนิงึรย่ยาแริหงยายหรงหราหืรงรอือืรอีอือกอจีิกฝตจ่ิฝตาใ่ ยาใจยจ ใครทราบแน่ ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ อง
ปฝหไอหภกเ่่ีปดเหกอปภไหฝยอร็าราู่้่ีปิื่ด546นถยยอรใ็ยอรารยอาูู้ิ่ีื่456น...ถยใยอรกยหหกใวอใแาู่ี้...สสสกมหหกกใจวฝจใแาเรดย่้ัืกสสสมำกจฝนาาใาจเรดยกอิกฝา่ัืก่ดัคมมมำนาาใานกยอเนิกฝากตุีีีา่ดัดคมมมกกั่นแหหยเนหกตุยนืกีีีาฉอดกกอัเ่าหแหลัหรรยนืกนาหฉอกไนอึืืรอเดาิล่ัรระออรนปาหกไนนนอยงึืืรกดสภึิรู่ะออรภภกป่่นนจน้ยงตกหรงสภึัรรูาอภภกร่ร้ร่นะจ้ิตฟนิหิรงมัะราานยอนเรร้้รยยึะะีิทฟ่นิิมปมะานยนอภทาฟเ้ยยงึ็ะเีาาทำ้่มปสกคอนภงทาฟรำปตจง็เาาอิำ้ิีคห้สำกคนงนมรำปยคตงจเใองิอิีคัวห้สำหนยมใยคงัวาคหเใคนงอง่่าัวสหยงใตไจาาัวาคหคครนวยงม่่าุคขดไงม่ตลไจาาำใรครวใยมาุ้คผวดขอดไม่ลโะผพำใริหอใไ้จา้าผวิดองิีท้ดดโะผพดิิหอไก้แจอดมพา้ศิงิ้ีท้ดดีงดยิกแฝอดยกมพน้ศผา้า่ีรัหงยิปฝ้ยก้ฝกนลาผกาา่นร่ัดหาริป้้ฝกยกลากกเืษางน่ดาทรอดัปกยีตกหยเนืษาอ็ง้่าทิอดัปยีอวนีตหยนหอนกส็ิ้่ถีอาึิยียุอนกวนึ่หนกสิเฝนถขีอยงงึึ่ยุนกูวฝึ่่ยเ่ฝนขตท่นยงงาเงึ่ีลแัูวฝ่่ยาพ้่อตท่ยนาไลเสงีนลแัลาย่าุพ้อมดยหไรลสอดนเลาะย้ฟุหมกดหรหราอ้นดดเกใิะ้ึฟหันกนอ่ะหราบ้นดรึกามใิหงึ่ัเืนนอ่ะง้บงรรึอคสาหมไหง่าจเืหงม้งรปเอคสรหวไาเตำาจิูหป้ยมกุปเไามรวเ็าเคเตำ่ิิูทปห้ยุกกนดุมานีไามเ็คเปก่็่ิิ้ทหุไไีกนดมานีนนมเสสปก่็ิ้ดมีสไไีนนมเส่ส้ีสหแมาดมีส่อยี่้ีมสหแมาลวน่ึอายี่มนลวนปะจงึาี่นปะจงี หย่าได้

8. สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีก
ฝ่ ายหนึ่ งตามสมควร หรือทำการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่
เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งรี้ถ้าการกระทำนั้น
ถึงขนาดที่อีกฝ่ ายหนึ่ งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ
ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา มาคำนึง
ประกอบ อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าได้

9. สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และ

ความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความ
วิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยาต่อไปไม่
ได้ อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าได้

10. สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือใน
เรื่องความประพฤติ อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าได้

11. สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจ
เป็นภัยให้อีกฝ่ ายหนึ่ ง และโรคมีลักษณะเป็นเรื้อรัง ไม่มี
ทางที่จะหายได้ อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าได้

12. สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายที่ไม่อาจร่วมประเวณี
ได้ตลอดกาล อีกฝ่ ายหนึ่ งฟ้ องหย่าได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 24

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การรับรองบุตร

การรับรองบุตร
บุตรที่เกิดโดยบิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสกันถือว่าเป็ นบุตรที่ชอบด้วย

กฎหมายของมารดาเพียงฝ่ ายเดียว แต่กฎหมายเปิ ดโอกาสให้ชายจดทะเบียน
รับรองบุตรได้และถือเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของฝ่ ายชายด้วย การจดทะเบียน
รับรองบุตรจึงมี 2 วิธี คือ การรับรองบุตรด้วยความสมัครใจของชาย
ผู้เป็นบิดา และโดยคำพิพากษาของศาล

การรับรองบุตรด้วยความสมัครใจของชายผู้เป็ นบิดา

บิดามารดาและบุตรต้องไปที่สำนักงานเขตหรืออำเภอ กิ่งอำเภอ
หรือสถานทูต สถานกงสุลไทยในต่างประเทศแห่งใดก็ได้ ถ้ามารดาและ
บุตรไม่ไปด้วย นายทะเบียนจะมีหนังสือแจ้งไปยังฝ่ ายที่ไม่มาเพื่อให้มา
ให้ความยินยอมหรือคัดค้านการจดทะเบียน ถ้าพ้น 60 วัน
นับแต่การแจ้งความของนายทะเบียนไปถึง ถือว่าไม่ให้ความยินยอม
ถ้ามารดาและบุตรอยู่ต่างประเทศจะขยายเวลาเป็น 180 วัน ในกรณีที่
เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดาหรือไม่ให้ความ
ยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้อง
มีคำพิพากษาของศาล

การรับรองบุตรโดยคำพิพากษาของศาล

บิดา มารดา หรือบุตรหรือผู้ที่มีส่วนได้เสียฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ ง
หากประสงค์จะให้มีการรับรองบุตร แต่ไม่สามารถดำเนินการโดยความ
ยินยอมของทุกฝ่ ายได้ จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้มี
การรับรองบุตรได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 25

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรม - สัญญา

นิติกรรม คือ การกระทำของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมายและมุ่งต่อผลใน
กฎหมายที่จะเกิดขึ้นอันได้แก่ การเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ มีการก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลง
สิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิและระงับซึ่ งสิทธิ เช่น สัญญาซื้ อขาย, สัญญากู้เงิน,
สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาให้และพินัยกรรมเป็นต้น มี 2 ประเภท

นิติกรรมฝ่ ายเดียว
ได้แก่ นิติกรรมซึ่ งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ ายหนึ่ ง

ฝ่ ายเดียวและมีผลตามกฎหมาย ซึ่ งบางกรณีก็ทำให้ผู้ทำนิติกรรมเสีย
สิทธิได้ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิ คำมั่นโฆษณาจะให้รางวัล การรับสภาพ
หนี้ การผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ คำมั่นจะซื้ อหรือจะขาย การทำ
พินัยกรรม การบอกกล่าวบังคับจำนอง เป็นต้น

นิติกรรมสองฝ่ าย
ได้แก่ นิติกรรมซึ่ งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่

สองฝ่ ายขึ้นไปและทุกฝ่ ายต้องตกลงยินยอมระหว่างกันกล่าวคือฝ่ ายหนึ่ ง
แสดงเจตนาทำเป็นคำเสนอ แล้วอีกฝ่ ายหนึ่ งแสดงเป็นเจตนาเป็นคำ
สนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกันจึงเกิดมีนิติกรรมสองฝ่ าย
ขึ้นหรือเรียกกันว่า สัญญา เช่น สัญญาซื้ อขาย สัญญากู้ยืม สัญญาแลก
เปลี่ยน สัญญาขายฝาก จำนอง จำนำ เป็นต้น

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 26

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

โมฆะกรรม & โมฆียะกรรม

โมฆะกรรม

โมฆะกรรม หมายความว่า เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพัน
ตามกฎหมาย เช่น สัญญาเป็นโมฆะ ดังนั้น โมฆกรรม จึงหมายความ
ว่า นิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย ถือเป็น
นิติกรรมที่เสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น เสมือนไม่เคยเกิดนิติกรรมนั้นขึ้นเลย
สาเหตุการเกิดโมฆะ
1.แบบของนิ ติกรรมไม่เป็ นไปตามที่กฎหมายบังคับไว้
2.มีวัตถุประสงค์ ของนิ ติกรรมที่ไม่สุจริต
3.มีการสำคัญผิ ดในสาระสำคัญของนิ ติกรรม

โมฆียะกรรม

โมฆียะ หมายความว่า อาจเป็นโมฆะได้เมื่อมีการบอกล้าง หรือมี
ผลสมบูรณ์เมื่อมีการให้สัตยาบัน ดังนั้น โมฆียกรรม จึงหมายความว่า
นิ ติกรรมที่สมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมายตั้งแต่ทำนิ ติกรรม
จนกว่าจะถูกบอกล้างซึ่ งหากถูกบอกล้างก็จะทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
ย้อนไปถึงขณะเริ่มทำนิ ติกรรม
สาเหตุการเกิดโมฆียะ
1.ความบกพร่องเกี่ยวกับเรื่องความสามารถ เช่น เป็นผู้เยาว์ เป็นคนไร้สามารถ
2.ความบกพร่องเรื่องการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด ถูกฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่

การบอกล้าง
การบอกล้างโมฆียกรรม จะทำให้นิติกรรมนั้น มีผลเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มต้น
โดยสามารถดำเนิ นการดังต่อไปนี้

1. จะต้องทำการแสดงเจตนาอย่างแจ้งชัดต่อคู่สัญญา กล่าวคือ มีการแจ้งไปยัง
อีกฝ่ ายหนึ่ งว่า ต้องการบอกล้างหรือยกเลิกนิติสัมพันธ์ตามนิติกรรมดังกล่าว

2. การบอกล้างอาจบอกได้ทั้งทางวาจาหรืออาจทำเป็นหนังสือก็ได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 27

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว ตัวอย่าง
เอกสารสัญญาซื้ อขาย

(pdf)

สัญญาซื้ อขาย

สัญญาซื้ อขาย หมายถึง สัญญาที่บุคคลคนหนึ่ งเรียกว่า ผู้ขาย ตกลงโอนกรรมสิทธิ์
แห่งทรัพย์สิน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ งเรียกว่า ผู้ซื้ อ และผู้ซื้ อตกลงจะใช้ราคา
ทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย หรือกล่าวโดยสรุป คือ เมื่อผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินที่ซื้ อขายกันนั้นให้แก่ผู้ซื้ อ สัญญาซื้ อขายย่อมเกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของผู้ซื้ อทันที แม้ว่าผู้ซื้ อยังไม่ชําระราคาก็ไม่ใช่สาระสําคัญ
ของ สัญญาซื้ อขาย อย่างไรก็ตามสัญญาซื้ อขายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.1 สัญญาซื้ อขายเสร็จเด็ดขาด

หมายถึง สัญญาซื้ อขายที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้ อขายกัน ตกเป็นของผู้ซื้ อทันที่สัญญา ซื้ อขายเกิดขึ้นอย่าง
สมบูรณ์ โดยไม่ต้องคํานึงว่าผู้ซื้ อชําระราคาแล้วหรือไม่เช่น แดงตกลงขายชุดสากลสําเร็จรูปให้ดําในราคา 3,000
บาท โดยพับใส่ถุงยื่นให้ ดังนี้ถือว่าการซื้ อขายชุดสากลระหว่างแดงกับดํา สมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์ในชุดสากล
ชุดนั้นตกเป็นของดําทันที ไม่ต้องคํานึงว่าดําชําระเงินให้แดงแล้วหรือไม่

1.1.1 การโอนกรรมสิทธิ์
1) ถ้าทรัพย์ที่ซื้ อขายกันนั้น ยังจะต้องหมาย นับ ชั่ง ตวง วัด คัดเลือก หรือทําด้วยวิธี อื่นใด ให้ระบุตัวทรัพย์
นั้นได้แล้ว กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้กระทําการเช่นว่านั้นเสียก่อน
2) ถ้าทรัพย์สินที่ซื้ อขายกันนั้น ยังจะต้อง นับ ชั่ง ตวง วัด คัดเลือก เพื่อให้ทราบราคา กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไป
จนกว่าจะได้กระทําการเช่นว่านั้นแล้ว

1.1.2 หน้ าที่และความรับผิดชอบของผู้ซื้ อและผู้ขาย
สัญญาซื้ อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น กฎหมายกําหนดหน้ าที่และความรับผิดชอบของผู้ซื้ อและผู้ขายไว้ดังนี้
1) หน้ าที่และความรับผิดชอบของผู้ขาย
เมื่อสัญญาซื้ อขายเสร็จเด็ดขาดเกิดขึ้นแล้ว หน้ าที่ประการแรกของผู้ขาย คือ
การส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้ อขายกันนั้นให้ผู้ซื้ อ เพราะเหตุว่ากรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังผู้ซื้ อแล้ว
แต่ในทางปฏิบัติ การส่งมอบอาจกระทําภายหลังก็ได้
2) หน้ าที่ของผู้ซื้ อ
สําหรับผู้ซื้ อ กฎหมายกําหนดให้มีหน้ าที่เพียงประการเดียว คือ ต้องชําระราคาให้แก่ผู้ขาย ส่วนจะต้องชําระราคา
เมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างกัน อาจชําระทันทีที่ตกลงซื้ อขายหรือ ชําระในเวลาถัดมาหรือผ่อนชําระเป็น
งวดๆ ก็ได้

1.2 สัญญาจะซื้ อจะขาย

สัญญาจะซื้ อจะขาย หมายถึง สัญญาซื้ อขายชนิดที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้ อขายยังไม่โอน
ไปเป็นของผู้ซื้ อในขณะนั้น คงมีผลแต่เพียงว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์กันอีกครั้งหนึ่ งในภายหน้ า

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 28

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว คลิปอธิบายสํญญา

เช่าทรัพย์เพิ่ มเติม
จากเนื้ อหา

สัญญาเช่าทรัพย์
การเช่าทรัพย์ คือสัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่ าย ฝ่ ายแรกคือผู้ให้เช่า
ฝ่ ายที่สองคือผู้เช่า ทั้งสองฝ่ ายต่างก็มีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่กันและกัน
โดยฝ่ ายผู้ให้เช่ามีหนี้ที่จะต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ ในทรัพย์
ที่เช่า ส่วนฝ่ ายผู้เช่าก็มีหนี้ที่จะต้องชำระค่าเช่าเป็นการตอบแทน การเช่า
ทรัพย์นั้น ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่า เพียงแต่มี
สิทธิครอบครองหรือสิทธิใด ๆ ก็ตามที่สามารถจะใช้สอยทรัพย์สินนั้นได้

การเช่าอสังหาริมทรัพย์ จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ ายที่ต้องรับ
ผิด มิฉะนั้นจะฟ้ องร้องกันไม่ได้ หมายถึงว่า ถ้าคุณจะเช่าอสังหาริมทรัพย์กันโดยไม่ต้อง
ทำสัญญากันก็ได้ แต่หากว่าฝ่ ายหนึ่ งฝ่ ายใดเบี้ยวขึ้นมาไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ าย
หนึ่ งก็ไม่สามารถที่จะนำเรื่องการผิดสัญญานั้นมาฟ้ องร้องบังคับคดีกันที่ศาลได้เท่านั้น
เอง แต่ถ้ามีสัญญาต่อกันไว้แล้วเกิดฝ่ ายใดเบี้ยวไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ ายหนึ่ งก็
สามารถฟ้ องร้องต่อศาลให้ฝ่ ายที่ผิดสัญญานั้นปฏิบัติตามสัญญาหรืออาจจะเรียกค่าเสีย
หายได้กำหนดเวลาในการเช่าอสังหาริมทรัพย์จะต้องไม่เกิน 3 ปี ถ้ามีการทำสัญญากัน
ไว้เกิน 3 ปี จะมีผลบังคับกันได้เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น กรณีที่ต้องการเช่า
อสังหาริมทรัพย์กันเกิน 3 ปี นอกจากจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ ายที่
ต้องรับผิดแล้ว จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ ซึ่ งก็คือเจ้าหน้ าที่ที่
สำนักงานที่ดินด้วย จึงจะบังคับกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็บังคับไว้อีกว่าจะเช่า
กันเกิน 30 ปีไม่ได้ หากเช่ากันเกิน 30 ปี ก็จะมีผลบังคับกันได้เพียง 30 ปีเท่านั้น และ
เมื่อครบ 30 ปีแล้วต้องมาทำสัญญากันใหม่ นอกจากนี้ยังสามารถที่จะกำหนดเวลาการ
เช่าว่าตลอดอายุของผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าก็ได้ แต่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและจด
ทะเบียผนู้เตช่่อาพจะนนักำงทารนัพเจย้์าสหินน้ทีา่เทีช่่ดา้ไวปยนั้นไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อ หรือจะโอนสิทธิการเช่าให้
แก่บุคคลอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ได้ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้ในสัญญา มิ
ฉะนั้น ผู้ให้เช่ามีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาได้ กรณีที่ผู้เช่ามีสิทธินำทรัพย์สินที่เช่าไปให้
ผู้อื่นเช่าช่วงได้นั้น กฎหมายบอกว่าผู้เช่าช่วงจะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมโดยตรง หมาย
ถึงว่า ผู้เช่าช่วงนั้นจะต้องผูกพันในหน้ าที่และความรับผิดในการเช่าโดยตรงต่อผู้ให้เช่า
เดิม มิใช่ผูกพันในหน้ าที่และความรับผิดต่อผู้เช่า

ผู้ให้เช่าเดิม ผู้เช่าทรัพย์ ผู้เช่าช่วง
(เจ้าของทรัพย์สิน)

มีบางกรณีที่ผู้เช่าช่วงได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าไปแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้เช่ามิได้นำเงิน
ค่าเช่านั้นไปชำระให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม ผู้ให้เช่าเดิมก็เลยฟ้ องขับไล่ผู้เช่าช่วง กรณีนี้ผู้เช่า
ช่วงไม่สามารถจะอ้างว่าตนเองได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าไปแล้วขึ้นต่อสู้กับผู้ให้เช่าเดิมได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 29

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

หน้ าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่า
1. ผู้ให้เช่าจะต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่าแก่ผู้เช่าในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้ว
2. ต้องซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่าในระหว่างการให้เช่า และรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่า
เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สิน เว้นแต่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซม
3. ถ้าผู้ให้เช่าส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า ในสภาพที่ไม่เหมาะแก่การที่ผู้เช่าจะใช้เพื่อ
ประโยชน์ ที่เช่ามา ผู้เช่าก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้

หน้ าที่และความรับผิดของผู้เช่า
1. จะต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามข้อตกลงในสัญญา หรือตามประเพณีนิยมปกติ
2. จะต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่า เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปที่ใช้สอยทรัพย์สินของตนเอง
หมายถึงว่าถ้าบุคคลทั่วไปใช้ความระมัดระวังในการใช้ทรัพย์สินนั้นเช่นไร ก็จะต้องใช้
ทรัพย์สินที่เช่าให้มีลักษณะเดียวกัน มิใช่ว่าเห็นเป็นทรัพย์สินที่เช่ามิใช่ของตนจึงใช้
โดยไม่ดูแลรักษาปล่อยให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และจะต้องบำรุงรักษารวมทั้ง
ซ่อมแซมเล็กน้ อยด้วย
3. จะต้องยอมให้ผู้ให้เช่าหรือตัวแทนของผู้ให้เช่าตรวจดูทรัพย์สินที่เช่านั้นเป็นครั้ง
คราว ในเวลาและระยะอันสมควร
4. หน้ าที่ในการชำระค่าเช่า
5. ผู้เช่าจะทำการดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สินที่เช่านั้นมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
จากผู้ให้เช่าก่อน
6. เมื่อสัญญาได้เลิกกันหรือมีเหตุให้สัญญานั้นระงับไป ผู้เช่าจะต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า
ในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิได้มีการซ่อมแซมมา
ตั้งแต่ก่อนเช่าแล้ว
7. จะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินที่เช่า เพราะความผิด
ของผู้เช่าหรือบุคคลซึ่ งอยู่กับผู้เช่า หรือของผู้เช่าช่วง

คลิปอธิบายเพิ่ มเติมเกี่ยวกับ
สํญญาเช่าทรัพย์

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 30

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

สัญญาเช่าซื้ อ

สัญญาเช่าซื้ อ คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออก
ให้ผู้อื่นเช่าเพื่อใช้สอยหรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ และให้คำมั่นว่าจะขาย
ทรัพย์นั้น หรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้ อเมื่อได้ใช้เงิน
จนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเงินเป็นงวด ๆ จนครบตามข้อตกลง

สัญญาเช่าซื้ อมิใช่สัญญาซื้ อขายผ่อนส่ง แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึง
กันเรื่องชำระราคาเป็นงวดๆ ก็ตาม เพราะการซื้ อขายผ่อนส่งนั้น
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นของผู้ซื้ อทันทีขณะทำสัญญา ไม่ต้องรอให้
ชำระราคาครบแต่ประการใด ส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้ อ เมื่อผู้เช่าบอกเลิก
สัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำระแล้ว ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และ
เจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้

แบบของสัญญาเช่าซื้ อ

สัญญาเช่าซื้ อจะต้องทำเป็นหนังสือ จะทำด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะเสียเปล่า ทำให้
ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะผูกพันผู้เช่าซื้ อกับผู้ให้เช่าซื้ อได้ การทำสัญญาเป็นหนังสือนั้น จะทำ
กันเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ ผู้เช่าซื้ อจะเขียนสัญญาเอง หรือจะใช้แบบพิมพ์ที่
มีไว้กรอกข้อความลงไปก็ได้ หรือจะให้ใครเขียนหรือพิมพ์ให้ทั้งฉบับก็ได้ แต่สัญญานั้นจะต้องลง
ลายมือชื่อของผู้เช่าซื้ อ และผู้ให้เช่าซื้ อทั้งสองฝ่ าย หากมีลายมือชื่อของคู่สัญญาแต่เพียงฝ่ ายใดฝ่ าย
หนึ่ ง เอกสารนั้นหาใช่สัญญาเช่าซื้ อไม่

สิทธิและหน้ าที่ของคู่สัญญา

ผู้เช่าซื้ อมีสิทธิได้รับมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้ อในสภาพที่ปลอดจากความชำรุดบกพร่องหรือ
ในสภาพ อันซ่อมแซม ดีแล้ว เพราะผู้ให้เช่าซื้ อมีหน้ าที่และความรับผิดชอบในเรื่องทรัพย์สินที่
ชำรุดบกพร่อง แม้ว่าผู้ให้เช่าซื้ อจะทราบถึงความชำรุดบกพร่องหรือไม่ก็ตาม ผู้เช่าซื้ อมีสิทธิบอกเลิก
สัญญาในเวลาใดก็ได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้ อ โดยตนเอง จะต้องเสียค่า
ใช้จ่ายในการส่งคืน การที่กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ ก็เพราะเงินที่ผู้เช่าซื้ อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้ อ
เป็นงวดๆ เปรียบเสมือนการชำระค่าเช่า ดังนั้น ผู้เช่าซื้ อจะบอกเลิกสัญญาก็ได้ การแสดงเจตนา
บอกเลิกสัญญาจะต้องส่งมอบ ทรัพย์สินคืนให้แก่เจ้าของ ถ้ามีการแสดงเจตนาว่าจะคืนทรัพย์สินให้
ในภายหลัง หาเป็นการเลิกสัญญาที่สมบูรณ์ไม่ การบอกเลิกสัญญาจะต้องควบคู่ไปกับการส่งคืนใน
ขณะเดียวกัน

ผู้เช่าซื้ อผิดนัดไม่ชำระเงินสองคราวติดกันหรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นสาระสำคัญ
เจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้ อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ ส่วนเงินที่ชำระราคามาแล้วแต่ก่อน
ให้ตกเป็นสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินโดยถือเสมือนว่าเป็นค่าเช่า ผู้เช่าซื้ อไม่มีสิทธิเรียกคืนจาก
เจ้าของได้ และเจ้าของทรัพย์สินก็ไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ค้างชำระได้ การผิดนัดไม่ชำระจะต้องเป็นการ
ไม่ชำระสองงวดติดต่อกัน หากผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งแต่ไม่ติดๆ

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 31

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

สามารถดูเพิ่ มเติมได้ที่นี้
ในการผิดสัญญาในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ หมายความว่าสัญญาเช่าซื้ อนั้นมีวัตถุประสงค์ให้ผู้
เช่าซื้ อมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินาและเคารพในกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้ อจนกว่าจะชำระราคาครบตาม
ข้อตกลง ถ้าผู้เช่าซื้ อนำทรัพย์สินไปจำนำและไม่ชำระเงิน ถือว่าผิดสัญญาเช่าซื้ อ เจ้าของมีสิทธิบอก
เลิกสัญญาและผู้เช่าซื้ อมีความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีก เนื่ องจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยัง
เป็นของผู้ให้เช่าซื้ ออยู่
อนึ่ ง ในกรณีผู้เช่าซื้ อกระทำผิดสัญญา เพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่ งเป็นงวดสุดท้ายนั้น เจ้าของ
ทรัพย์สิน มีสิทธิจะริบบรรดาเงินที่ชำระมาแล้วแต่ก่อน และยึดทรัพย์กลับคืนไปได้ต่อเมื่อรอให้ผู้
เช่าซื้ อมาชำระราคาเมื่อถึงกำหนดชำระราคาในงวดถัดไป ถ้าไม่มาผู้ให้เช่าซื้ อริบเงินได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 32

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

สัญญากู้ยืมเงิน

การยืม เป็นสัญญาชนิดหนึ่ ง ซึ่ งมีคู่กรณีเป็น
สองฝ่ าย คือ ฝ่ ายหนึ่ งเรียกว่า “ผู้ให้ยืม” และ
อีกฝ่ ายหนึ่ งเรียกว่า “ผู้ยืม” สัญญายืมนั้น เป็น
สัญญาที่ผู้ให้ยืมส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สิ นให้แก่ผู้ยืมเพื่ อใช้สอยทรัพย์สิ นนั้ น
และผู้ยืมก็ตกลงว่าจะส่งคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้
ใช้สอยเสร็จแล้ว

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

สัญญายืมใช้คงรูป และ สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ซึ่ งการกู้ยืมเงินนั้นจัดอยู่ในประเภท
ของสัญญายืมใช้สิ้ นเปลือง

สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาที่ผู้ให้ยืมได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเป็นปริมาณ
มีกำหนดให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันให้
แทนทรัพย์สินซึ่ งให้ยืมนั้น และสัญญายืมนี้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
ดังนั้น การกู้ยืมเงินหรือสัญญากู้ยืมเงิน จึงเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ที่ “ผู้กู้ยืม” ไปขอกู้ยืมเงิน
จากบุคคลหนึ่ งซึ่ งเรียกว่า “ผู้ให้กู้ยืม” โดยผู้กู้ยืมสัญญาหรือตกลงว่าจะใช้เงินคืนให้ภายในกำหนด
เวลาใดเวลาหนึ่ ง ซึ่ งในการกู้ยืมเงินนี้จะมีการกำหนดดอกเบี้ยในการกู้ยืมด้วยหรือไม่ก็ได้ และ
สัญญากู้ยืมเงินจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมกันแล้ว

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 33

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

หลักฐานการกู้ยืมเงิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน ไม่เกิน 2,000 บาท กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำหลักฐานการกู้ยืม
ต่อกัน ดังนั้น แม้ตกลงยืมเงินกันด้วยวาจา เมื่อเกิดการผิดข้อตกลงหรือผิดสัญญาก็สามารถฟ้ อง
ร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย

2.กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน เกิน 2,000 บาทขึ้นไป กฎหมายกำหนดให้การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลัก
ฐานแห่งการกู้ยืมเงิน มิเช่นนั้นจะฟ้ องร้องให้บังคับคดีต่อกันไม่ได้ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้นจะ
อยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร มีข้อความชัดแจ้งว่ามีการกู้ยืมเงินกันไปเป็น
จำนวนเท่าใดและตกลงจะใช้คืนเมื่อใด และที่สำคัญคือต้องมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญด้วย
ดังนั้น เนื้ อความในเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงิน

ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
1. วันที่ที่ทำสัญญากู้เงิน
2. ชื่อ ผู้ขอกู้เงินและผู้ให้กู้เงิน
3. จำนวนเงินที่กู้
4. กำหนดชำระ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
5. ดอกเบี้ย (ไม่เกิน 15% ต่อปี) เเต่ถ้าไม่ได้กำหนดเอาไว้กฎหมายเเพ่งเเละพาณิชย์

มาตรา 7 ได้ใช้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
6.ผู้กู้ยืมต้องลงลายมือชื่อ (กรณีลงลายพิมพ์นิ้ วมือจะต้องมีพยานรับรองลายนิ้ วมือ 2 คน)

ดอกเบี้ยกู้ยืมเงิน

ในการกู้ยืมเงินกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อป้ องกันไม่ให้เกิดการเอารัด
เอาเปรียบกัน กฎหมายได้กำหนดจำกัดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินไว้คือ ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน
อัตราร้อยละ 15 ต่อปี (คืออัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน) ยกเว้นกรณีเป็นสถาบันการเงินหรือ
ธนาคาร กฎหมายให้อำนาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ แต่ต้องเป็นไปตาม
ประกาศข้อกำหนดของธนาคารซึ่ งมีกฎหมายรองรับ(พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบัน
การเงิน)
กรณีกำหนดดอกเบี้ยไว้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีผลคือ

1. เป็นความผิดอาญาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475

2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด ฟ้ องบังคับไม่ได้เลย (แต่เงินต้นยังคงสมบูรณ์)
3. ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมชำระไปแล้ว เรียกคืนไม่ได้ (ถือว่าชำระหนี้ตามอำเภอใจ)
แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะตกเป็นโมฆะ แต่สำหรับดอกเบี้ยผิดนัด ผู้ให้กู้ยืมก็ยังคงบังคับได้

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 34

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว ตัวอย่าง
เอกสารสัญญากู้ยืม

เงินทั่วไป

(pdf)

อายุความฟ้ องคดีกู้ยืมเงิน

การฟ้ องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน มีอายุความ 10 ปีนับแต่วันถึงกำหนดชำระเงิน

กู้ยืมคืน แต่หากสัญญากู้ยืมตกลงกันกำหนดชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดๆ

ข้อแนะนำและข้อควรระวังเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

1. ห้ามลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเด็ดขาด
2. ก่อนลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ต้องตรวจสอบจำนวนเงินที่ระบุในสัญญาให้ถูกต้องและ
ครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ได้รับไป และในสัญญาต้องเขียนจำนวนเงินเป็นตัวหนังสือกำกับไว้ด้วย
เสมอ เช่น กู้ยืมเงินไปจำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน)
3. อย่านำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับการทำประโยชน์ ในที่ดิน(น.ส.3)ไปให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้
เป็ นประกันการกู้ยืมเงิน
4. สัญญาต้องทำอย่างน้ อย 2 ฉบับ โดยให้ผู้กู้ยืมถือไว้ด้วย 1 ฉบับ
5. ควรมีพยานฝ่ ายผู้กู้ยืมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาด้วยอย่างน้ อย 1 คน
6. การชำระหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ต้องขอรับใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงิน
ซึ่ งมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมลงกำกับด้วยทุกครั้ง (เพื่อไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ชำระหนี้แล้ว)
7. เมื่อชำระหนี้ทั้งหมดต้องขอสัญญากู้คืนจากผู้ให้กู้ยืมด้วย

เพื่อลดความเสียงของการไม่ชำระหนี้ ผู้ให้กู้ควรหาหลักประกันดังนี้

- ประกันด้วยตัวบุคคล คือ มีผู้ค้ำประกัน การค้ำประกันคือการที่คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้กู้ยอม
เอาตนเข้าประกันหนี้เงินกู้ หากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ผู้ค้ำประกันจะยอมชำระหนี้แทน ผู้ให้กู้ก็
สามารถเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ การทำสัญญาค้ำประกันนั้นก็ง่ายๆ แค่มีหลักฐานเป็น
หนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันไว้ก็เพียงพอ

- ประกันด้วยทรัพย์ คือ จำนอง คือการประกันด้วยทรัพย์สินไม่ว่าทรัพย์สินของผู้
จำนองหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ก็สามารถนำทรัพย์จำนองนั้นไปขาย
ทอดตลาดเพื่อบังคับจำนองเอาเงินมาชำระหนี้กู้ยืมเงินได้ สำหรับสัญญาจำนองนั้นต้องจดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่

เมื่อครบกำหนดคืนเงินแล้วผู้กู้ไม่ยอมคืนเงินจะทำอย่างไร

เมื่อผู้กู้ไม่ยอมคืนเงินตามที่กำหนดไว้ผู้ให้กู้สามารถทวงถามได้โดยการบอกกล่าว
ทวงถาม(โดยทำเป็นหนังสือบอกกล่าวทวงถาม หรือตามภาษาที่ทนายเรียกกัน
ติดปากว่า โนติส (Notice)ให้ผู้กู้คืนเงินโดยการทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามกำหนด
ระยะเวลาพอสมควรให้ผู้กู้คืนเงิน

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 35

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

จำนำ

สัญญาจำนำ คือสัญญาซึ่ งบุคคลคนหนึ่ ง
เรียกว่า ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่
บุคคลอีกคนหนึ่ งเป็นผู้ครองครองเรียกว่า ผู้รับ
จำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ ทรัพย์สินที่จำนำ
ได้คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้เช่น วิทยุ
โทรทัศน์ ช้าง ม้า โค กระบือ และเครื่องทอง
รูปพรรณ สร้อย แหวน เพชรเป็นต้น

ผู้รับจำนำต้องระวัง

ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ คือมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จำนำใครอื่น
จะเอาทรัพย์ของเขาไปจำนำหาได้ไม่เพราะฉะนั้นถ้ายักยอกยืมหรือลักทรัพย์ของเขามา
หรือได้ทรัพย์ของเขามาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่นแล้วนำไปจำนำเจ้าของอัน
แท้จริงก็ย่อมมีอำนาจติดตามเอาคืนได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่เพราะฉะนั้น ผู้รับจำนำ
ต้องระวังควรรับจำนำจากบุคคลที่รู้จักและเป็ นเจ้าของทรัพย์เท่านั้ นมิฉะนั้ นอาจจะเสีย
เงินเปล่าๆ

สิทธิหน้ าที่ผู้รับจำนำ

เมื่อรับจำนำแล้วทรัพย์สินที่จำนำก็อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำตลอดไป
จนกว่าผู้รับจำนำจะรับคืนไปโดยการชำระหนี้ ในระหว่างนั้ น

ผู้รับจำนำมีหน้ าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่จำนำบางประการ :
1. ต้องเก็บรักษาและสงวนทรัพย์ที่จำนำให้ปลอดภัย ไม่ให้สูญหาย หรือเสียหายเช่น

รับจำนำแหวนเพชรก็ต้องเก็บในที่มั่นคง ถ้าประมาทเลินเล่อวางไว้ไม่เป็นทางการคนร้ายลักไป
อาจจะต้องรับผิ ดได้

2. ไม่เอาทรัพย์ที่จำนำออกใช้เอง หรือให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเก็บรักษามิ
ฉะนั้นถ้าเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นก็ต้องรับผิดชอบเช่น เอาแหวนที่จำนำสวมใส่ไปเที่ยวถูก
คนร้ายจี้เอาไปก็ต้องใช้ราคาให้เขา

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 36

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

3. ทรัพย์สินจำนำบางอย่าง ต้องเสียค่าจ่ายในการบำรุงรักษา เช่น จำนำสุนัขพันธ์ดี
โคกระบือหรือม้าแข่ง อาจจะต้องเสียค่าหญ้า อาคารและยารักษาโรคผู้จำนำต้องชดใช้แก่ผู้รับ
จำนำมิฉะนั้นผู้รับจำนำก็มีสิทธิยึดหน่ วงทรัพย์ที่จำนำไว้ก่อนไม่ยอมคืนให้จนกว่าจะได้ชำระหนี้
ครบถ้วน

การบังคับจำนำ :
เมื่อหนี้ถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนำก็มีสิทธิบังคับจำนำได้คือ
1. เอาทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดคือกระทำได้เองไม่ต้องขออำนาจซึ่ งตาม

ตามธรรมดาก็ให้บุคคลซึ่ งมีอาชีพทางดำเนินธุรกิจขายทอดตลาดผู้รับจำนำจะต้องบอกกล่าวเป็น
หนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนให้ชำระหนี้และหนี้ที่เกี่ยวข้องกันเช่น ดอกเบี้ย ค่ารักษาทรัพย์ที่จำนำ
เป็นต้น ภายในเวลาอันควร

2. ถ้าผู้รับจำนำจะไม่บังคับตามวิธีที่ 1 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนทรัพย์ที่
จำนำคืนไปเจ้าหนี้ผู้รับจำนำจะยื่นฟ้ องต่อศาลให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนำก็ย่อมทำได้ไม่มี
อะไรห้าม

ข้อสังเกต

1. เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดต้องนำมาชำระหนี้พร้อมด้วยอุปกรณ์ คือค่าใช้จ่าย
ต่างๆถ้ามีเงินเหลือก็คืนให้แก่ผู้จำนำไป เพราะว่าเป็นเจ้าของทรัพย์ ถ้าเจ้าหนี้หลายคนผู้รับ
จำนำก็มีสิ ทธิได้รับชำระหนี้ ก่อนเจ้าหนี้ อื่น

2. เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้แล้วคู่สัญญาจะตกลงกันให้ทรัพย์สินที่จำนำตกเป็นของ
ผู้รับจำนำก็ย่อมทำได้ถือว่าเป็ นการชำระหนี้ ด้วยของคนอื่นแต่จะตกลงกันเช่นนี้ ในขณะทำสัญญา
จำนำหรือก่อนหนี้ ถึงกำหนดหาได้ไม่

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 37

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

จำนอง

จำนอง คือ การที่บุคคลคนหนึ่ งเรียกว่า
“ผู้จำนอง” เอาอสังหาริมทรัพย์ของตน เช่น
ที่ดินหรือทรัพย์ที่กฎหมายอนุญาตให้จำนองได้
ไปจดทะเบียนไว้กับบุคคลอีกคนหนึ่ งเรียกว่า
“ผู้รับจำนอง” เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระ
หนี้ ทั้งนี้โดยผู้จำนองไม่ต้องส่งมอบที่ดินหรือ
ทรัพย์สินดังกล่าวนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
(ป.พ.พ. มาตรา 702)

ตัวอย่าง
นายเอกได้กู้เงินจากนายโทเป็นจำนวน 1 แสนบาท โดยนายเอกได้นำ
ที่ดินของตนจำนวน 1 แปลงไปจดทะเบียนจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ เพื่อ
เป็นการประกันการชำระหนี้เงินกู้จำนวน 1 แสนบาท ที่นายเอกได้กู้ไปจากนาย
โท โดยนายเอกไม่ต้องส่งมอบที่ดินของตนให้แก่นายโท นายเอกยังคงมีสิทธิ
ครอบครองและใช้สอยที่ดินของตนได้ตามปกติ

การจำนองเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ แก่ผู้รับจำนองนั้น แบ่งออกเป็น 6 กรณีคือ

1. การจำนองทรัพย์ของตนเองเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ของตนเอง

2. การจำนองเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ของบุคคลอื่น

แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภทกล่าวคือ
1. อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน หรือสิ่ งปลูกสร้างทุกชนิดอันติดอยู่กับที่ดินนั้น
2. สังหาริมทรัพย์ ที่จำนองได้ คือ
ก. เรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือ
เรือยนต์ที่มีระว่างตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
ข. แพ

ค. สัตว์พาหนะ

ง. สังหาริมทรัพย์อื่นๆ ซึ่ งกฎหมายได้บัญญัติให้จดทะเบียนจำนองได้เช่น
เครื่องจักรขนาดใหญ่เป็ นต้น

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 38

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

หลักเกณฑ์ในการจำนอง

1. ผู้จำนองต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์ที่จะจำนอง
2. สัญญาจำนอง ต้องทำเป็นหนังสือและนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ มิฉะนั้นสัญญา
จำนองตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันแก่คู่สัญญาแต่อย่างใด ในการกู้ยืมเงินนั้นมีอยู่เสมอ ที่ผู้กู้ได้นำ
เอาโฉนดที่ดินของตนไปมอบให้แก่ผู้ให้กู้เก็บรักษาไว้เฉยๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้
โดยไม่มีการทำเป็นหนังสือและไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่การ
จำนอง ผู้ให้กู้หาได้มีสิทธิใดๆ ในที่ดินตามโฉนดแต่อย่างใด คงได้แต่เพียงกระดาษโฉนดไว้ใน
ครอบครองเท่านั้น ดังนั้น ถ้าผู้ให้กู้ประสงค์ที่จะให้เป็นการจำนองตามกฎหมายแล้ว จะต้องทำเป็น
หนังสือและนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่
3. ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่ที่มีอำนาจรับจดทะเบียนจำนองตามกฎหมาย
กล่าวคือ

ก. ที่ดินที่มีโฉนดต้องนำไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน หรือสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร
(สาขา) หรือสำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัด (สาขา) ซึ่ งที่ดินนั้นต้อง
อยู่ในเขตอำนาจ

ข. ที่ดินที่ไม่มีโฉนด ได้แก่ที่ดิน น.ส. 3 ต้องไปจดทะเบียนที่อำเภอ ซึ่ งที่ดินนั้นตั้งอยู่ใน
เขตอำนาจ

ค. การจำนองเฉพาะบ้านหรือสิ่ งปลูกสร้างไม่รวมที่ดินต้องไปจดทะเบียนจำนองที่อำเภอ
ง. การจำนองสัตว์พาหนะ หรือแพ ต้องไปจดทะเบียนที่อำเภอ
จ. การจำนองเรือต้องไปจดทะเบียนจำนองที่กรมเจ้าท่า
ฉ. การจดทะเบียนเครื่องจักรต้องไปจดทะเบียนที่กระทรวงอุตสาหกรรม

ผลของสัญญาจำนอง

1. ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ โดยไม่ต้องคำนึงว่า
กรรมสิทธิในทรัพย์สินนั้นจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือไม่ก็ตาม

2. นอกจากนี้ผู้รับจำนองยังมีสิทธิที่จะเรียกเอาทรัพย์สินที่จำนองนั้นหลุดเป็นกรรมสิทธิของตนได้
หากเข้าเงื่อนไข ดังนี้คือ
(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึงห้าปี
(2) ผู้จำนองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระ และ
(3) ไม่มีการจำนองรายอื่น หรือบุริมสิทธิอื่นได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้เอง

3. ถ้าเอาทรัพย์สินซึ่ งจำนองออกขายตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้ อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระ
กันอยู่ หรือ ถ้าเอาทรัพย์สินซึ่ งจำนองหลุดเป็นของผู้รับจำนองและราคาทรัพย์นั้นมีราคาต่ำกว่า
จำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ ทั้งสองกรณีนี้ เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ
จำนวนในเงินที่ยังขาดอยู่นั้น ข้อยกเว้น แต่ถ้าในสัญญาจำนองได้ตกลงกันไว้ว่า ในกรณีที่มีการ
บังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระยอดหนี้ เงินที่ยังขาดจำนวนนี้ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดชดใช้ให้แก่
ผู้รับจำนองจนครบถ้วนข้อตกลงเช่นนี้มีผลบังคับได้ไม่ถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย ผู้รับจำนองมีสิทธิที่
จะบังคับให้ลูกหนี้ ชำระหนี้ ส่ วนที่ยังขาดจำนวนอยู่ดังกล่าวได้อีกจนครบถ้วน

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 39

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

4. ในกรณีที่มีการบังคับจำนอง เมื่อนำที่ดินออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดแล้วก็ให้นำเงิน
ดังกล่าวชำระหนี้คืนให้แก่ผู้รับจำนอง หากมีเงินเหลืออยู่เท่าใดก็ให้ส่งมอบคืนให้แก่ผู้จำนองผู้รับ
จำนองจะเก็บไว้เสียเองไม่ได้

ขอบเขตของสิทธิจำนอง

ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองได้เฉพาะทรัพย์ที่จดทะเบียนจำนองเท่านั้น จะไปบังคับถึงทรัพย์สิ
นอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนจำนองไม่ได้

- จำนองเฉพาะบ้านซึ่ งปลูกอยู่ในที่ดินของคนอื่น ก็มีสิทธิเฉพาะบ้านเท่านั้น
- จำนองย่อมไม่ครอบคลุมถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่ งจำนอง เช่น จำนองสวนผลไม้ดอก

ผลที่ได้จากสวนผลไม้ยังคงเป็ นกรรมสิ ทธิของผู้จำนองอยู่
ทรัพย์สินซึ่ งจำนองอยู่นี้ ย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้ดังต่อไปนี้คือ

1. เงินต้น
2. ดอกเบี้ย
3. ค่าเสียหายในการไม่ชำระหนี้ เช่นค่าทนายความ
4. ค่าธรรมเนียมในการบังคับจำนอง

วิธีบังคับจำนอง

ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซึ่ งปกติ
จะใช้เวลาประมาณ 30 วัน หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คืนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้รับจำนองจะ
ใช้สิทธิบังคับจำนอง หากถึงกำหนดนัดแล้วลูกหนี้ไม่นำเงินมาชำระ ผู้รับจำนองต้องฟ้ องผู้จำนองต่อ
ศาล เพื่อให้ลูกหนี้ปฏิบัติการชำระหนี้ หากไม่ชำระหนี้ ก็ขอให้ศาลสั่งให้นำเอาทรัพย์ที่จำนองนั้น
ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ของตน หรือขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์ที่จำนองนั้นหลุดเป็นกรรม
สิทธิของตนหากเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้

จะเห็นได้ว่ากฎหมายบังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าการบังคับจำนองจะต้องฟ้ องคดีต่อศาลเสมอจะนำ
เอาที่ดินออกขายทอดตลาดเองไม่ได้ และต้องมีการออกจดหมายทวงหนี้ไปถึงลูกหนี้ก่อนเสมอจะฟ้ อง
คดีโดยไม่มีการบอกกล่าวทวงถามก่อนไม่ได้

การบังคับจำนองนี้จะไม่คำนึงเลยว่าในขณะที่มีการบังคับจำนองนั้น ทรัพย์สินที่จำเลยอยู่ใน
ความครอบครองของใคร หรือลูกหนี้ได้โอนกรรมสิทธิไปยังผู้อื่นกี่ทอดแล้วก็ตาม สิทธิจำนองย่อม
ติดตามตัวทรัพย์สินที่จำนองไปด้วยเสมอ แม้ว่าจะเป็นการโอนทางมรดกก็ตามสิทธิจำนองก็ติดตาม
ไปด้วย

แม้ว่าหนี้ที่เป็นประกันนั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ผู้รับจำนองก็ยังมีสิทธิที่จะบังคับจำนอง
เอาทรัพย์สินที่จำนองได้ ดังนั้น จึงไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้รับจำนองในทรัพย์สินที่จำนองแต่
อย่างใด แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่า 5 ปีไม่ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 745)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการจำนองเป็นหลักประกันการชำระหนี้อย่างแท้จริง ดังนั้นหากเจ้าหนี้ประสงค์ที่
จะได้รับชำระหนี้คืนแล้ว เจ้าหนี้จึงควรให้ลูกหนี้นำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ด้วย

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 40

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

การชำระหนี้ จำนอง

การชำระหนี้จำนองทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ดี การระงับหนี้จำนองไม่ว่าใน
กรณีใดๆ ก็ดีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงในการจำนองก็ดี กฎหมายบังคับให้ไป
จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่มิฉะนั้น แล้วจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้

ตัวอย่าง
นายเอกจำนองที่ดินของตนไว้กับนายโท ต่อมานายโทยอมปลดจำนอง
ที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเอกแต่ทั้งสองฝ่ ายมิได้ไปจดทะเบียนการปลดจำนองต่อ
พนักงานเจ้าหน้ าที่ต่อมานายโทโอนการจำนองให้นายจัตวาโดยจดทะเบียนถูก
ต้อง แล้วนายจัตวาได้บังคับจำนองที่ดินแปลงนี้ นายเอกจะยกข้อต่อสู้ว่านายโท
ปลดจำนองให้แก่ตนแล้วขึ้นต่อสู้กับนายจัตวาไม่ได้

คลิปอธิบายเพิ่ มเติม

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 41

กฎหมาย

ที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กฎหมายอาญา

เป็นกฎหมายที่กำหนดลักษณะความผิดต่่าง ๆ และกำหนดบทลงโืทษ
ซึ่ งบัญญัติขึ้น โดยมีจุดประสงค์ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในสังคม การกร
ทะที่มีผลกระทบต่อสังคมหรือคนส่ วนใหญ่ในประเทศถือว่าเป็ นความผิ ดทางอาญา
หากปล่อยให้มีการดำเนินเอง หรือปล่อยให้มีผู้กระทำผิดแล้วไม่ลงโทษ จะทำให้มี
ความผิดทางอาญามากขึ้น สังคมก็จะวุ่นวายขาดความสงบสุข

การถูกลงโทษจากการกระทำความผิดทางอาญานั้น นอกจากต้องเป็น
การกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดแล้ว ผู้กระทำยังต้องกระทำไปโดย
เจตนาอีกด้วย ยกเว้นการกระทำบางชนิดที่มีกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน แม้ว่าจะ
กระทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ก็ต้องรับความผิด

การกร
ะทำ ความ
หมาย บทลง
โทษ
เจตน

ประม
าท การกระทำผิดทางอาญา ที่ผู้ทำรู้อยู่ ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงที่เป็ นองค์ ประกอบภายนอกและต้อง
ไม่เจ
ตนา
แล้วว่าสิ่งที่ทำนั้นเป
็นความผิด แต่ยัง
ประสงค์ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น แต่หากเล็ง

ทำลงไปทั้งที่รู้สำนึ กในการกระทำ เห็นผลแต่ไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผล จะเรียกว่า "การกระ
ทำโดยพลาด" เช่น จะยิงผู้หนึ่ งให้ตายแต่โดนผู้อื่นตาย
การกระทำที่ผู้ทำไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผล
เป็นการกระทำโดยไม่เจตนา แต่กฎหมาย
ร้ายแก่ใคร แต่เนื่ อ
งจากกระทำโดยไม่
บัญญัติให้เป็นความผิด
เพราะเป็นการกระทำ
ระมัดระวังหรือระมัดระวังไม่เพียงพอ
โดยปราศจากความระมัดระวัง

การกระทำพี่ผูท
ำไม่ได้ตั้งใจทำ ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดประเภทลทุโทษ ที่แม้ผู้

เพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่ ง
กระทำผิ ดทำโดยไม่เจตนาหรือไม่ประมาทก็ต้องรับ

ผิด เช่นนี้เรียกว่าเป็นความผิดโดยเด็ดขาด

กฎหมายอาญาต่างจากกฎหมายแพ่ง ซึ่ งเน้ นการระงับข้อพิพาท
และการใช้ค่าสินไหมทดแทน มากกว่าการลงโทษหรือการทำให้กลับคืนดี

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 42

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

ความผิ ดเกี่ยวกับทรัพย์

การลักทรัพย์ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของ
ร่วมอยู่ด้วยโดยทุจริต โดยต้องการครอบครองไว้
เช่น การเอาสี่งของที่ของบุคคลอื่นวางไว้ไปขาย
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 3 ปี

ปรับไม่เกิน 6,000 บาท

การวิ่งราวทรัพย์ การลักทรัพย์ของผู่อื่นโดย
ฉกฉวยเอาไปซึ่ งหน้ า ถือว่าอุกอาจกว่าการลัก
ทรัพย์ธรรมดา เช่น การกระชากสร้อยคอผู้อื่น
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 5 ปี

ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

การชิงทรัพย์ คือ การลักทรัพย์โยประทุษร้าย
หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายถือ
ว่ารุนแรงกว่าลักทรัพย์ธรรมดา เช่น การใช้อาวุธจี้
โทษ ระวางโทษ 5 - 10 ปี

ปรับไม่เกิน 10,000 - 20,000 บาท

การปล้นทรัพย์ คือ การชิงทรัพย์โดยร่วมกัน
กระทำผิดตั้งแต่3คนขึ้นไป ถือเป็นความผิด
รุนแรงกว่าชิงทรัพย์ความผิ ดต่อทรัพย์4ข้อด้าน
บนนี้ ถ้าใช้อาวุธ หรือ ทำร้าย ให้เป็นอันตราย
ด้วย จะมีโทษเพิ่มหนักขึ้นตามลำดับ
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 10 - 15 ปี

ปรับไม่เกิน 20,000 - 30,000 บาท

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 43

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

กรรโชกทรัพย์ คือ การข่มขู่ให้ผู้อื่นให้ทรัพย์แก่
ตน โดยเป็นการกระทำต่อร่างกายหรือจิตใจ
และอยู่ในเหตุการรืที่ขัดขืนไม่ได้ เช่น วางยา
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 1 - 10 ปี

ปรับไม่เกิน 2,000 - 20,000 บาท

การรีดเอาทรัพย์ คือ การข่มขู่เอาประโยชน์ ใน
ลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น โดยการเปิ ด
เผยความลับของผู้อื่น หรือบุคคลที่ 3
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 1 - 10 ปี

ปรับไม่เกิน 20,000 - 200,000 บาท

ฉ้อโกงทรัพย์ คือ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยหลอก
ลวงให้เขาหลงเชื่อ และส่งมอบทรัพย์สินให้
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 3 ปี

ปรับไม่เกิน 6,000 บาท
หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ยักยอกทรัพย์ คือ การที่ผู้กระทำผิดครอบครอง
ทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย
เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 10 - 15 ปี

ปรับไม่เกิน 20,000 - 30,000 บาท

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 44

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

รับของโจร คือ คือ การที่ผู้กระทำผิดได้ช่วย
ซ่อนเร้นน จำหน่ าย พาเอาไป ซื้ อไว้ รับจำนำ
หรือรับไว้โดยประการใดซึ่ งทรัพย์ที่ได้มาโดย
กระทำผิด (แต่ถ้าสืบความแล้วพบว่า ผู้กระทำผิด
ไม่ทราบว่าของเป็นของใคร หรือทรัพย์ที่ได้มาผิด
กฎหมาย ก็จะไม่มีความผิด)
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 5 ปี

ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

การทำให้เสียทรัพย์ คือ การทำให้ผู้อื่น หรือ
ผู้อื่นเป็นเจ้าของร่วมด้วยนั้นเสียหาย เช่น ไม่
พอใจอาจารย์ฝ่ ายปกครองจึงเอาเหรียญไปขูดรถ
ของอาจารย์
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 3 ปี

ปรับไม่เกิน 6,000 บาท
หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

บุกรุก คือ ความผิดที่ผู้กระทำผิดได้เข้าไปใน
เคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันควร หรือ
มีเหตุผลสมควรแต่ผู้ให้เข้าไม่ให้อนุญาต ซึ่ ง
เป็ นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์
ของผู้อื่น
โทษ ระวางโทษไม่เกิน 1 ปี

ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 45

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

ความผิ ดเกี่ยวกับ
ชีวิตและร่างกาย

ความผิดต่อชีวิต หมายถึง การกระทำผิดกฎหมายที่ผู้กระทำผิดกระทำต่อ
ชีวิตร่างกายต่อผู้อื่นโดยตรง เช่น การทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา กระทำโดย
ไม่เจตนา กระทำโดยประมาท กระทำอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นฆ่าตนเองหรือพยามฆ่าตนเอง
หรือการเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้อันเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่ งบุคคลใดถึงแก่ความตาย

หมวด ๑ ความผิดต่อชีวิต

มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่สิ บห้าปี ถึงยี่สิ บปี

มาตรา ๒๘๙ ผู้ใด
(๑) ฆ่าบุพการี
(๒) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่ งกระทำการตามหน้ าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำหรือได้กระทำ

การตามหน้ าที่
(๓) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้ าที่หรือเพราะ

เหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว
(๔) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
(๕) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
(๖) ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น
(๗) ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่ งผลประโยชน์ อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด

อื่นเพื่อปกปิ ดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

ต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา ๒๙๐ ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่ งประการใด

ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความ

ตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 46

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว

มาตรา ๒๙๒ ผู้ใดกระทำด้วยการปฏิบัติอันทารุณ หรือด้วยปัจจัยคล้ายคลึงกันแก่บุคคล
ซึ่ งต้องพึ่งตน ในการดำรงชีพหรือในการอื่นใด เพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตนเอง ถ้าการฆ่าตนเอง
นั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน
หนึ่ งแสนสี่หมื่นบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๙๓ ผู้ใดช่วยหรือยุยงเด็กอายุยังไม่เกินสิบหกปี หรือผู้ซึ่ งไม่สามารถเข้าใจ
ว่าการกระทำของตนมีสภาพหรือสาระสำคัญอย่างไร หรือไม่สามารถบังคับการกระทำของตนได้
ให้ฆ่าตนเอง ถ้าการฆ่าตนเองนั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๙๔ ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และ
บุคคลหนึ่ งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่ ถึงแก่ความตายโดยการกระทำใน
การชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น
หรือเพื่อป้ องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๙๓ ผู้ใดช่วยหรือยุยงเด็กอายุยังไม่เกินสิบหกปี หรือผู้ซึ่ งไม่สามารถเข้าใจ
ว่าการกระทำของตนมีสภาพหรือสาระสำคัญอย่างไร หรือไม่สามารถบังคับการกระทำของตนได้
ให้ฆ่าตนเอง ถ้าการฆ่าตนเองนั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

ตัวอย่างความผิ ดต่อชีวิต
และตัวอย่างคดีความ

หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 47


Click to View FlipBook Version