กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย
มาตรา ๒๙๕ ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่
หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
มาตรา ๒๙๖ ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าความผิดนั้น มีลักษณะประการ
หนึ่ งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่
เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
มาตรา ๒๙๗ ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้าย
รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่ งหมื่นบาทถึง
สองแสนบาท
อันตรายสาหัสนั้น คือ
(๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท
(๒) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์
(๓) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ วหรืออวัยวะอื่นใด
(๔) หน้ าเสียโฉมอย่างติดตัว
(๕) แท้งลูก
(๖) จิตพิการอย่างติดตัว
(๗) ทุพพลภาพ หรือป่ วยเจ็บเรื้อรังซึ่ งอาจถึงตลอดชีวิต
(๘) ทุพพลภาพ หรือป่ วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบ
กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
มาตรา ๒๙๘ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๙๗ ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะ
ประการหนึ่ งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่สี่ หมื่ นบาทถึงสองแสนบาท
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 48
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
มาตรา ๒๙๙ ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป และบุคคล
หนึ่ งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส โดยการกระทำในการ
ชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่ งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น
หรือเพื่อป้ องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
มาตรา ๓๐๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตราย
สาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 49
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
หมวด ๓ ความผิดฐานทำให้แท้งลูก
มาตรา ๓๐๑ หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษแก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๕๖๐
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๓๒ ก หน้ า ๖๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐)]
มาตรา ๓๐๒ ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
ห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับ
อันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งแสน
สี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
[อัตราโทษแก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๕๖๐
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๓๒ ก หน้ า ๖๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐)]
มาตรา ๓๐๓ ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้
หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่ งปีถึงสิบปีและปรับ
ตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่ งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
[อัตราโทษแก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๕๖๐
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๓๒ ก หน้ า ๖๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐)]
มาตรา ๓๐๔ ผู้ใดเพียงแต่พยายามกระทำความผิดตามมาตรา ๓๐๑
หรือมาตรา ๓๐๒ วรรคแรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา
๓๐๑ หรือมาตรา ๓๐๒ นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์ และ
(๑) จำเป็นต้องกระทำเนื่ องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ
(๒) หญิงมีครรภ์เนื่ องจากการกระทำความผิดอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๖
มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๘๒ มาตรา ๒๘๓ หรือมาตรา ๒๘๔ ผู้กระทำไม่มีความผิด
ตัวอย่างความผิ ด
ฐานทำแท้งให้ลูก
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 50
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
หมวด ๔ ความผิดฐานทอดทิ้งเด็กคนป่ วยเจ็บหรือคนชรา
มาตรา ๓๐๖ ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปี ไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสีย
จากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ
ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษแก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๕๖๐
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๓๒ ก หน้ า ๖๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐)]
มาตรา ๓๐๗ ผู้ใดมีหน้ าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่ งพึ่งตนเองมิได้
เพราะอายุ ความป่ วยเจ็บ กายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่ งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดย
ประการที่น่ าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่
เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษแก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.๒๕๖๐
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๓๒ ก หน้ า ๖๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐)]
มาตรา ๓๐๘ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๐๖ หรือมาตรา ๓๐๗
เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่
บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๐ มาตรา ๒๙๗ หรือมาตรา ๒๙๘ นั้น
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 51
กฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุดของการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญเป็น
แม่บทของกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงในประเทศ ถ้ากฎหมายใดที่ขัดต่อกฎหมาย
รัฐธรรมนูญกฎหมายนั้นถือว่าเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ และโดยทั่วไปแล้ว
รัฐธรรมนูญจะบัญญัติหลักการที่สำคัญ ๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศไว้ เช่น รูป
ของรัฐ การแบ่งอำนาจอธิปไตย สิทธิหน้ าที่ของประชาชน และระเบียบแบบแผน
ของการปกครอง เป็นต้น
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) ความเป็นกฎหมายสูงสุดของ
รัฐจะเห็นได้ชัดเจน คือ รัฐธรรมนูญจะบรรจุเฉพาะเนื้ อหาสาระที่สำคัญที่สุดต่อการ
บริหารบ้านเมือง เป็นต้นแบบของกฎหมายอื่นในเวลาต่อมา กฎหมายใดที่มี
บทบัญญัติขัดกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกฎหมายนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลทางปฏิบัติ
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก (Basic Law) หรือกฎหมายอันเป็นรากฐาน
(Fundamental Law) หรือกฎหมายเบื้องต้น (Private Law) เพราะในรัฐธรรมนูญ
แต่ละฉบับจะระบุไว้เฉพาะเรื่องที่เป็นสาระสำคัญอย่างกว้าง ๆ ไม่มีรายละเอียด เช่น
เรื่องของการดำรงตำแหน่ งของฝ่ ายบริหาร จำนวนสมาชิกแต่ละสภา การประชุม
สามัญและวิสามัญ สิทธิหน้ าที่ของประชาชน เป็นต้น กล่าวได้ว่ากฎหมาย
รัฐธรรมนูญอาจเปรียบเสมือนกฎหมายหลักที่กำหนดขอบเขตหรือสาระของกฎหมาย
ต่าง ๆ นั้นเอง
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 52
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีความคงทนถาวร (Permanence) ยากต่อการแก้ไข
กฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเป็ นเครื่องมือสำหรับการปกครองประเทศเพื่ อ
ให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้ า บทบัญญัติต่าง ๆ ใน
รัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องที่มีสาระสำคัญ ๆ ดังนั้นจึงยากต่อการแก้ไขซึ่ งเป็นผลดีต่อ
บ้านเมือง เพราะเท่ากับเป็นการสกัดกั้นมิให้องค์การบริหารบ้านเมืองแก้ไข
รัฐธรรมนูญเพื่อปกครองประเทศตามอำเภอใจได้ แต่อาจมีผลเสียทำให้เกิดการปฏิวัติ
หรือรัฐประหารได้เช่นเดียวกัน อันเป็นผลทำให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทน
ในการปกครองประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการปกครอง ทั้งนี้เพื่อ
ให้วิธีการดำเนินงานต่างๆ ทางการปกครองเป็นไปอย่างเรียบร้อย การทำงานของ
สถาบันทางการปกครอง หรือองค์การต่างๆ ของรัฐ มีการจัดแบ่งอำนาจหน้ าที่กัน
หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง เหล่านี้จะต้องมีหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แน่ นอน
ชัดเจน ซึ่ งกฎหมายดังกล่าวก็คือรัฐธรรมนูญ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
ตราไว้ ณ วันที่ ๖ เมษายน
พุทธศักราช ๒๕๖๐
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 53
กฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
กฎหมายรับราชการทหาร
ชายไทยทุกคน มีหน้ าที่ต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารตามระยะเวลา
ที่ทางราชการกาหนด โดยมีพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 กล่าว
ไว้ว่า "บรรดาชายที่มีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย เมื่อมีอายุย่างเข้าสิบแปดปี
ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินที่อาเภอท้องที่ซึ่ ง
เป็นภูมิลาเนาของตนภายในเดือนพฤศจิกายนของพุทธศักราชนั้น ผู้ใดไม่
สามารถจะไปลงบัญชีทหารกองเกินด้วยตนเองได้ ต้องให้บุคคลซึ่ งบรรลุนิติภาวะ
และพอจะเช่ือถือได้ไปแจ้งแทนให้นายอาเภอสอบสวนให้แน่ ชัดเพื่อลงบัญชีหาร
กองเกินไว้ถ้าไม่มีผู้แทน ให้ถือว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงขัดขึ้น" โดยชายไทยที่มี
คุณสมบัติดังกล่าวจะต้องปฏิบัติดังนี้
1. การลงบัญชีทหารกองเกิน ชายซึ่ งมีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุ
ย่างเข้า 18 ปีใน พ.ศ.ใด ให้ไปแสดงคนที่อำเภอซึ่ งเป็นภูมิลา
เนาทหารของตน เพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปี พ.ศ.นั้น ถ้า
ฝ่ าฝื นมีโทษจาคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 300 บาท
หรือทั้งจาทั้งปรับหลักฐานที่จะต้องนาไปแสดง คือ สูติบัตร
บัตรประจาตัวประชาชน และสาเนาทะเบียนบ้านเมื่อไปแสดงตน
แล้วทางอาเภอจะออกไปสำคัญ (สด.9) หรือใบรับ (สด.10) ให้
เก็บไว้เป็ นหลักฐาน
2. การรับหมายเรียกผู้ลงบัญชีเป็นทหารกองเกิน เมื่อมีอายุ
ย่างเข้า 21 ปี ในพ.ศ.ใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่
อาเภอที่เขต ซึ่ งเป็นภูมิลาเนาทหารของตน ภายในปี พ.ศ.นั้น
ถ้าฝ่ าฝื นมีโทษจาคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 300 บาท
หรือทั้งจาทั้งปรับ
3. การตรวจคัดเลือกทหาร เมื่อรับหมายเรียกแล้ว ทหารกอง
เกินจะต้องไปแสดงตนเพื่ อรับการตรวจเลือกเป็ นทหารประจา
การ ในวัน และเวลา และสถานที่ที่กาหนด มิฉะนั้นมีความผิด
ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 3 ปี หลักฐานที่จะต้องนาไปแสดง
คือ ใบสาคัญทหารกองเกน บัตรประจาตัวประชาชน และ
ประกาศนียบัตรหรือหลักฐานการศึกษา
4. บุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ได้แก่
พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ หรือมีเปรียญข้าราชการครูและคนพิการ
ทุพพลภาพไม่สามารถเป็ นทหารได้
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 54
กฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
กฎหมายภาษีอากร
ภาษีอากร หมายถึง สิ่ งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎร เพื่อนำไปใช้เป็น
ประโยชน์ ต่อสังคมโดยรวม โดยมิได้มีสิ่ งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษี
ภาษีอากรมีลักษณะเป็นการบังคับเก็บ ประชาชนทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบในการเสีย
ภาษี วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินภาษีคือ นำไปใช้เพื่อสาธารณะหรือสังคมโดยรวม
วัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษี
1. เพื่อหารายได้ให้เพียงพอมาใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาล
2. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายรายได้
3. เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
4. เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
5. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้กำหนดให้ประชาชนชาวไทยต้องมีหน้ าที่เสียภาษีอากร
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 55
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ วิดีโอเพิ่ มเติม
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่ วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ
ตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่เกิดขึ้น
ในปีใดๆ ผู้มีรายได้มีหน้ าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเองตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ภายใน
เดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป สำหรับผู้มีเงินได้บางกรณีกฎหมายยังกำหนดให้ยื่นแบบฯ เสียภาษีตอน
ครึ่งปี สำหรับรายได้ ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีที่ต้องชำระและเงินได้บาง
กรณี กฎหมายกำหนดให้ ผู้จ่ายทำหน้ าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินได้ที่จ่ายบางส่วน เพื่อให้มีการทยอยชำระ
ภาษีขณะที่มีเงินได้เกิดขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ โดยเก็บจากเงินได้พึงประเมินที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตาม
อัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ เหลือเท่าใดก็เป็นเงินได้สุทธินำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีที่ประมวลรัษฎากร
กำหนดไว้ ซึ่ งอัตราภาษีนี้เป็นอัตราก้าวหน้ าตั้งแต่ร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 35 ดังนั้น ผู้มีเงินได้มากยิ่งขึ้น จะ
ต้องเสียภาษีในอัตราสูง
ปกติการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเสียปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของทุกปีโดยนำเงินที่
ได้รับตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มาคำนวณภาษี อย่างไรก็ตาม มีผู้มีเงินได้บางประเภทต้องเสียภาษีปีละ 2 ครั้ง
ได้แก่ ผู้มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การประกอบวิชาชีพอิสระ การรับเหมาก่อสร้าง การประกอบธุรกิจ
การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่น ซึ่ งครั้งแรกจะต้องยื่นเสียภายในเดือน
กันยายนของทุกปี โดยนำเงินที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนมาคำนวณภาษี ส่วนครั้งที่ 2 เสีย
ภาษีในเดือนมีนาคมตามปกติ โดยนำเงินได้ที่ได้รับตลอดทั้งปีมาคำนวณภาษี แม้จะเป็นเงินได้ที่เสียภาษีไป
แล้วในครั้งแรกก็ตาม เป็นเงินภาษีเท่าใด ให้นำภาษีที่เสียไปแล้วในครั้งแรกมาหักออก และเสียภาษีแต่เพียง
จำนวนที่ขาดอยู่นั้น
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 56
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
ภาษีเงินได้นิ ติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีที่จัดเก็บจากห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัท
จำกัด บริษัทมหาชน ฯลฯ ตามปกติจะเก็บจากกำไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีได้รับ โดยเก็บในอัตราร้อยละ 30 ของ
กำไรสุทธิ ซึ่ งการเสียภาษีจากกำไรสุทธินี้จะเสียปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกเสียภายใน 2 เดือน นับแต่วันครบ 6
เดือนแรก ของรอบระยะเวลาบัญชี โดยคำนวณและชำระภาษีจากกึ่งหนึ่ งของประมาณการกำไรสุทธิในรอบ
ระยะเวลาบัญชี ส่วนครั้งที่ 2 จะเสียภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี โดยคำนวณ
และชำระภาษี จากกำไรสุทธิจริงที่คำนวณได้ในระยะเวลาบัญชีนั้นแล้วนำภาษีที่ชำระไปแล้วในครั้งแรก มาหัก
ออกและเสียภาษี แต่เพียงจำนวณที่ยังขาดอยู่เท่านั้น
ผู้มีหน้ าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวล
กฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และหมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ด้วย
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้ าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีดังนี้
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
ก. บริษัท จำกัด
ข. บริษัทมหาชน จำกัด
ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่ งมีหน้ าที่เสียภาษีเงินได้
นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ ง ดังต่อไปนี้
ก. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น เข้ามากระทำกิจการในประเทศไทย
(มาตรา 66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร)
ข. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งใน
ประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
ค. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการอื่นๆรวมทั้งใน
ประเทศไทยและกิจการที่กระทำนั้นเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศ (มาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร)
ง. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
(มาตรา 70)
จ. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
ตามมาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จำหน่ ายเงินกำไรหรือเงินประเภท
อื่นที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ แห่งประมวล
รัษฎากร)
ฉ. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทำกิจการในประเทศไทย
โดยตรง หากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่ ง
เป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ)
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 57
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
(3) กิจการซึ่ งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไร โดย
ก. รัฐบาลต่างประเทศ
ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
ค. นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
(4) กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไร
ระหว่างบุคคลดังต่อไปนี้ คือ
ก. บริษัทกับบริษัท
ข. บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ค. ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ง. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
จ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ฉ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
ช. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
(5) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่ งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรี
ประกาศกำหนดให้เป็ นองค์ การหรือสถานสาธารณกุศล
(6) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัท
หรือห้างหุ้นส่ วนนิ ติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 58
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
นิ ติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
นิติบุคคลอื่นๆ นอกจากที่กล่าวในข้างต้น และเฉพาะที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น กระทรวง
ทบวง กรม องค์การ ของรัฐบาลหรือสหกรณ์ ไม่มีหน้ าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ยังมีนิติบุคคลอีกบางประเภทที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
แต่ได้รับการยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างๆ ได้แก่
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือ
ทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ
(2) บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
(3) บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่ งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือ
กฎหมายต่าง ประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิ โตรเลียม
(4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
กับประเทศไทย ตามเงื่อนไขที่กำหนดในอนุสัญญา
( เว็บไซต์ กรมสรรพากร )
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 59
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
ภาษีมูลค่าเพิ่ ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือ VAT) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แวต คือภาษี 1 ใน 5
ประเภทที่รัฐบาลเรียกเก็บเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจาก
มูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตสินค้าหรือบริการ และการจำหน่ ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ
ขั้นตอนการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะทำหน้ าที่เก็บจากลูกค้า แล้วนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระให้แก่
รัฐบาล
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการของผู้ผลิตสินค้า หรือผู้บริการ
ผู้นำเข้า โดยจัดเก็บเฉพาะมูลค่าที่เพิ่มขึ้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีขอบเขตกว้างขวาง และครอบคลุมทุกขั้น
ตอนในการผลิตการจำหน่ ายและให้บริการ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น จากคนทำธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ
ประเภทต่างๆ โดยผู้ที่มีหน้ าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ผู้ประกอบการ และผู้นำเข้า ซึ่ งรวมไปถึงผู้ผลิต ผู้ให้
บริการผู้ขายส่ง ผู้ขายปลีก ส่งออก ผู้นำเข้า ซึ่ งมีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 1,800,000 บาทขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นบุคคล
ธรรมดาหรือนิ ติบุคคลก็ตาม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้ อสินค้าทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศ
หรือเป็นผู้ได้รับบริการคนสุดท้าย ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะจ่ายภาษีซื้ อ 7% ในตอนซื้ อ
สินค้า และเรียกเก็บภาษีขาย 7% ในตอนขายสินค้า เมื่อสิ้นเดือนจะนำภาษีซื้ อและภาษีขายมาหักลบกัน
ผลต่างหากภาษีซื้ อมากกว่าภาษีขายจะเป็น ลูกหนี้-สรรพากร หรือภาษีขายมากกว่าภาษีซื้ อจะเป็น
เจ้าหนี้-สรรพากร ในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540
เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 ใน 9
ที่เก็บได้ จะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่เหลืออีก 8 ส่วนจะถูกโอนให้แก่รัฐบาลกลาง
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 60
กฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
กฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2552
ซึ่ งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคุ้มครอง
ผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 มาตรา 4 ได้บัญญัติ
สิทธิผู้บริโภคที่จะได้รับการคุ้มครอง 5 ประการ ได้แก่
1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับ
สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่ จะได้รับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความ
เป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับทราบ ข้อมูลเกี่ยว
กับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้องและเพียงพอที่จะไม่หลงผิด ในการซื้ อสินค้าหรือรับ
บริการโดยไม่เป็ นธรรม
2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะเลือกซื้ อสินค้า
หรือรับบริการโดยความ สมัครใจของผู้บริโภค และปราศจากการชักจูงใจ
อันไม่เป็ นธรรม
3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับ
สินค้าหรือบริการที่ปลอดภัย มีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่
ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือ
ระมัดระวังตามสภาพของสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว
4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับข้อสัญญา
โดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ
5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการ
คุ้มครองและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคตามข้อ 1, 2, 3 และ
4 ดังกล่าว
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 61
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
1. กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคจะได้รับ โดยกฎหมายกำหนดไว้
5 ประการ คือ
สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้อง
และเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย
2. การก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สังกัดสำนัก
นายกรัฐมนตรี อำนาจหน้ าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค คือ
พิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือ
เสียหาย เนื่ องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ
ดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และข่าวสาร
เกี่ยวกับการบริโภคที่ผู้บริโภคควรทราบ
3. การกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภค มีมาตรการคุ้มครอง
ผู้บริโภค ที่สำคัญได้แก่
การคุ้มครองผู้บริโภคด้านการโฆษณา
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านฉลาก
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญา
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 62
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
1. กำหนดให้มีการประกาศให้อาหารใดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ
2. ให้มีคณะกรรมการ คือคณะกรรมการอาหารและยา
ทำหน้ าที่ให้คำปรึกษาในกรณีต่างๆ เพื่อควบคุมคุณภาพ
ของอาหาร
3. กำหนดให้มีการขออนุญาตเพื่อผลิต จำหน่ าย
4. กำหนดลักษณะของอาหารลักษณะต่างๆ ที่ผิดกฎหมาย
หรือห้ามผลิต จำหน่ าย หรือนำเข้าเพื่อจำหน่ าย ได้แก่
อาหารไม่บริสุทธิ์ อาหารปลอม อาหารผิดมาตรฐาน
พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2522
พระราชบัญญัติยากำหนดประเภทของยาไว้หลาย 1. ยาแผนปัจจุบัน
ประเภทด้วยกันเพื่อสะดวกในการควบคุม และกำหนด 2. ยาแผนโบราณ
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ งเรียกว่า คณะกรรมการยา 3. ยาสามัญประจำบ้าน
การควบคุมพรบ.ยากำหนดให้มีการควบคุมการผลิต 4. ยาอันตราย
และการขายยาโดยเภสัชกรและผู้ประกอบโรคศิลป 5. ยาควบคุมพิเศษ
6. ยาบรรจุเสร็จ
แล้วแต่ประเภทของยา พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 5) 7. ยาสมุนไพร
พ.ศ.2530 ได้แบ่งยาออกเป็น 9 ประเภท 8. ยาใช้ภายนอก
9. ยาใช้เฉพาะที่
หน่ วยงานของรัฐที่ทำหน้ าที่คุ้มครองผู้บริโภค
1. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำหน้ าที่ตรวจสอบและคุม
ภาพของอาหารและยา เช่น อาหารกระป๋ อง เครื่องสำอางและยา
2. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีหน้ าที่ให้การ
คุ้มครองผู้บริโภค เช่น พิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้บริโภคที่ถูก
เอาเปรียบจากผู้ประกอบการ ควบคุมการโฆษณาสินค้าที่เป็นเท็จ
3. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ทำหน้ าที่ กำหนด
มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้ าต่าง ๆ ภาชนะ
และเครื่องมือในครัวเรือน
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 63
กฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
วันที่ 5 พฤษภาคม 2563
ถ้ายังจำกันได้ถึงการผลักด้น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิด
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ที่สภานิ ติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบเมื่อเดือน
ธันวาคม เมื่อปี 2559 และได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560
มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 24 พ.ค.2560
เพื่อการใช้ออนไลน์ อย่างถูกกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญที่หลายคนควรพึงระวังใน
พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ
2มีสาระสำคัญจำง่ายๆ ดังนี้
1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้
ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
4. การกดไลค์เรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม
5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความ
ผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 64
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ สามารถดาวน์ โหลด
และอ่านพ.ร.บ.ฉบับเต็มได้ที่นี้
6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่ งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์
กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่ วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะ
ไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดง
ความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่ วยงานที่รับผิดชอบ
เพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด
7. สำหรับแอดมินเพจที่เปิ ดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ
เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด
8. ไม่โพสต์สิ่ งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
9. การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิ ดบังใบหน้ า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม
อย่างให้เกียรติ
10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่ อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น
เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้ องร้องได้ตามกฎหมาย
11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าว
หา เอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ
13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์
หารายได้
นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่ งของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่ งยังมีอีกหลาย
ประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานสื่ อสังคมออนไลน์ ดังนั้นจึงควรรู้กฎกติกาการใช้งานไว้
ก่อน ก็จะช่วยป้ องกันไม่ให้เราเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายได้
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 65
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 66
บรรณานุกรม
พรชัย สุนทรพันธุ์.ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์.ครั้งที่1ฉบับสมบรูณ์ แก้ไขเพิ่ม
เติม พ.ศ.2551.กรุงเทพฯ : บริษัท ธนธัชการพิมพ์ จำกัด,2551.
ผศ.เนติรัตน์ อรรถุวุฒิศิลป์.หลักกฏหมายเอกชน ส่วนที่ 2 ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หัวหมาก,2552.
เทพวิฑูรม พระยา. คำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ1-2 มาตรา 1-240
(2500).กรุงเทพฯ : เนติบัณฑิตยสภา, 2550
คมกริช วัฒนเสถียร. คู่มือนักศึกาว่าด้วยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ถึง 6.
พิมม์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ : มงคลการพิมพ์, 2550
ศรียาภัย, ขุน. หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บุคคล ว่าด้วย ทรัพย์ นิติกรรม หนี้.
พระนคร : โรงพิมพ์หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2512.
https://www.marketingoops.com/news/viral-update/computer-law/
เขียนโดย ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บก.อก.บช.ส.
https://www.vallartaescapes.com/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E
0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%
E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80
%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/
https://www.facebook.com/weareoja/photos/ความผิดเกี่ยวกับ-ทรัพย์-ที่มักทำให้
เราสับสนยิ่งนักความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในคดีอาญ/946635935422179/
http://www.digitalschool.club/digitalschool/social1_1_1/social2_2/more/page0
5.php
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 67
บรรณานุกรม
https://saimoon.thai.ac/client-upload/saimoon/uploads/files/ใบความรู้
ที่%2043กฏหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร.pdf
https://th.wikipedia.org/wiki/กฎหมายอาญา
http://marines30.com/kunena-2017-07-07/wiroch-2/98
https://www.rama.mahidol.ac.th/studentaffairs/th/conscriptio_for_
army_service
https://www.sbpolice.go.th/news/สรุป13ข้อสาระสำคัญจำง่ายๆ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์60_189.html
https://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/news_view.php?
nid=7
https://sites.google.com/site/ordinarylawthai/bth-thi-3-kdhmay-kab-
khwam-samphanth-phayni-khrxbkhraw/3-1-kar-hman-laea-kar-smrs
https://www.itax.in.th/pedia/ภาษีเงินได้/
https://www.ktc.co.th/article/knowledge/what-is-a-sme-business
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book | 68
ความพยายาม อยู่ที่ไหน
where is the effort