คู่มือการบรรยาย
ความรู้เกี่ยวกับความรบั ผดิ ทางละเมิดของเจา้ หนา้ ท่ี
จดั ทาโดย
สานกั ความรบั ผดิ ทางแพ่ง
รว่ มกบั สานักงานคลงั เขต 7
คำนำ
กรมบัญชีกลางได้จัดให้มีโครงการ “1เขต 1 สานัก สนับสนุนภารกิจหลักกรมบัญชีกลาง” โดย
กาหนดให้สานักงานคลงั เขต 7 ทาหน้าท่ีเป็น Partner กับสานักความรับผิดทางแพ่ง ซึ่งสานักงานคลังเขต 7
และสานักความรับผิดทางแพ่งได้ร่วมกาหนด “โครงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างสานักงานคลังเขต 7 และ
สานักความรบั ผดิ ทางแพ่งเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการตรวจสอบสานวนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ของกรมบัญชีกลาง” ขึ้นเพื่อกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ ในการดาเนินการเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
ขา้ งต้น
โดยท่ีสานักความรับผิดทางแพ่งมีภารกิจสาคัญประการหนึ่งคือการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่
เจ้าหนา้ ที่ของหน่วยงานภาครัฐอยา่ งถกู ตอ้ งเก่ียวกับกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และ
สานักงานคลังเขต 7 ในฐานะหน่วยงานส่วนกลางซึ่งมีสานักงานตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคและมีบุคคลากรที่มี
ศักยภาพสามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของสานักความรับผิดทางแพ่งในการให้ความรู้ ความเข้าใจด้าน
กฎหมายว่าด้วยความรับผดิ ทางละเมิดให้แก่เจา้ หน้าท่ขี องหนว่ ยงานของรัฐแทนวิทยากรจากสานักความรับผิด
ทางแพง่ ไดก้ ต็ าม การท่ีจะให้วิทยากรของสานักงานคลังเขต 7 ซ่ึงอาจมิได้มีพ้ืนฐานความรู้ทางด้านนิติศาสตร์
บรรยายใหค้ วามรู้และได้รบั การยอมรบั จากเจา้ หน้าท่หี นว่ ยงานของรฐั เสมือนได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากร
ของสานักความรับผิดทางแพ่ง จึงได้กาหนดกิจกรรมการจัดทาคู่มือการบรรยาย หัวข้อวิชา “ความรู้เกี่ยวกับ
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่” โดยสานักความรับผิดทางแพ่งได้เสริมสร้างความรู้ด้านหลักกฎหมาย
เก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ีให้บุคลากรของสานักงานคลังเขต 7 โดยการจัดทา Power
point และการบรรยายให้ความรู้ เพื่อให้สานักงานคลังเขต 7 จัดทาคู่มือประกอบการบรรยายหลักกฎหมาย
ดงั กลา่ วและสามารถเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรูแ้ กเ่ จา้ หน้าทห่ี นว่ ยงานของรัฐได้อย่างมีประสทิ ธิภาพต่อไป
สานักความรับผิดทางแพง่ และสานกั งานคลังเขต 7 ขอขอบพระคุณ นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดี
กรมบัญชีกลาง ท่ีมอบโอกาสอันดีย่ิงในการทาให้หน่วยงานทั้ง 2 แห่งได้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดเครือข่าย
และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลากรที่ปฏิบัติงานในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สร้างนวตกรรมด้านการเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน คือการจัดทาคู่มือการบรรยายความรู้เก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของ
เจ้าหน้าท่ี และหวังวา่ คูม่ ือฉบบั น้จี ะเป็นเครือ่ งมอื ในการสร้างวทิ ยากรตัวคูณในการบรรยายหัวข้อวิชา “ความรู้
เก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี” ซึ่งเป็นกิจกรรมหน่ึงใน “โครงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง
สานักงานคลังเขต 7 และสานักความรบั ผิดทางแพง่ เพ่อื สนับสนุนภารกิจด้านการตรวจสอบสานวนความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง” เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของกรมบัญชีกลาง ตามโครงการ
“1เขต 1 สานกั สนบั สนุนภารกจิ หลักกรมบัญชีกลาง”
สานักความรบั ผิดทางแพ่งและสานักงานคลงั เขต 7
พฤษภาคม 2557
สารบญั
หนา้
พระราชบญั ญัตคิ วามรับผิดทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 ………………….……………………………… 1-35
1. ความเปน็ มาของกฎหมายว่าด้วยความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี ………………………………….………. 1
2. คานิยามที่สาคญั …………………………………………………………………………………………….………………………. 4
3. การกระทาละเมิดต่อเอกชน/บุคคลภายนอก ……………………………………………………………..………………. 7
- ความรับผิดทางละเมดิ ของหน่วยงานของรฐั ………………………………………………………..………………. 7
- สิทธกิ ารดาเนนิ คดีของผู้เสียหาย ………………………………………………………………………………………… 10
- การรอ้ งขอให้ชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทน …………………………………………………………………………………. 12
- สิทธไิ ล่เบยี้ ของหน่วยงานของรฐั ……………………………………………………………………………………..…. 16
- จงใจ ……………………………………………….………………………………………………………………………………. 20
- ประมาทเลนิ เล่ออย่ารา้ ยแรง ……………………………………………………………………………………………… 21
- สทิ ธไิ ลเ่ บีย้ ………………………………………………………………………………………………………………………. 23
4. กระกระทาละเมิดต่อหนว่ ยงานของรัฐ ………………………………………………………………………………………. 24
- อายุความการเรยี กชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทน ………………………………………………………………………….. 30
- การเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใชค้ า่ สินไหมทดแทน ………………………………………………………………………. 33
ระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีว่าดว้ ยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกย่ี วกับความรบั ผดิ ทางละเมิด
ของเจ้าหนา้ ท่ี พ.ศ. 2539 …………………................................................................................................ 36-62
5. ที่มา/นยิ ามสาคญั …………………………………………………………………………………………………………………… 37
6. หมวด 1 กรณีเจา้ หน้าท่ีกระทาละเมดิ ต่อหน่วยงานของรัฐ ………………………………………………………….. 39
- การดาเนนิ การเมื่อหน่วยงานของรัฐเกิดความเสยี หาย ………………………………………………………….. 40
- การแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ความรับผดิ ทางละเมิด ……………………………………………. 41
- ขอยกเวน้ ไมต่ ้องแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรบั ผิดทางละเมิด ……………………….…. 43
- กรณีร่วมกันแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรบั ผิดทางละเมิด ………………………….…….. 44
- ผู้มีอานาจแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ……………………….………….. 46
- หน้าท่ขี องคณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงความรับผดิ ทางละเมดิ …………………………………………….. 47
- การดาเนินการของผมู้ อี านาจแต่งตัง้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด .......... 50
- ประกาศกระทรวงการคลัง (ว 49) ……………………………………………………………………………….……… 53
- การพจิ ารณาตรวจสอบสานวนของกระทรวงการคลัง ……………………………………………………….…… 54
- การชดใช้คา่ เสียหาย …………………………………………………………………………………………………………. 55
- การผอ่ นชาระเงินกรณีละเมดิ …………………………………………………………………………………………….. 56
สารบญั (ตอ่ )
หน้า
7. หมวด 2 กรณีเจา้ หน้าท่ีกระทาละเมิดต่อบุคคลภายนอก …………………………………………………………….. 58
- การดาเนินการเมอื่ เจ้าหน้าที่ทาให้บุคคลภายนอกไดร้ ับความเสยี หาย ……………………………….……. 59
- การดาเนินการกรณีผู้เสียหาย (บุคคลภายนอก) …………………………………………………………………… 60
- ยนื่ คาขอใหช้ ดใช้ค่าสินไหมทดแทน …………………………………………………………………………. 60
- ฟอ้ งคดีต่อศาล .................................................................................................................. 62
ภาคผนวก ………………….......................................................................................…………..................... 63-77
1. พระราชบัญญตั ิความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. 2539 ........................................................ 64
2. ระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรี วา่ ด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกีย่ วกับความรบั ผดิ ทางละเมิด
ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 ................................................................................................................... 68
ความเป็นมา
1. โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีผลบังคับใช้ต้ังแต่ 15
พฤศจิกายน 2539 ดังนั้น ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนต้ังแต่วันท่ี 15 พฤศจิกายน 2539 หลักการของกฎหมายและ
ขัน้ ตอนการดาเนินการจึงเปน็ ไปตามพระราชบัญญัติละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 แต่สาหรับความเสียหาย
ท่ีเกิดข้ึนก่อนวันที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 ใช้บังคับ (ก่อนวันท่ี 15
พฤศจิกายน 2539) การพิจารณาความรับผิดของเจ้าหน้าท่ีจะเป็นไปตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์เร่ืองละเมิด โดยมีสาระสาคญั พอสรุปไดด้ งั นี้
1) เจ้าหนา้ ทรี่ ับผิดเมอื่ กระทาดว้ ยความประมาทเลินเลอ่
2) หนว่ ยงานเรียกใหเ้ จา้ หนา้ ที่รบั ผิดชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเตม็ จานวน
3) กรณีเจ้าหนา้ ท่ีกระทาละเมิดหลายคน หนว่ ยงานสามารถเรียกให้เจ้าหน้าท่ีทุกคน
หรอื คนใดคนหนง่ึ ชดใชค้ ่าเสยี หายไดเ้ ตม็ จานวนตามหลกั กฎหมายเรื่องลกู หนี้ร่วม
2. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม 113 ตอนที่ 60 ก ลงวันท่ี 14 พฤศจิกายน 2539 และเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539
(ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา) ดังนั้น หากมีความเสียหายเกิดข้ึนตั้งแต่วันท่ี 15 พฤศจิกายน 2539
หลักการของกฎหมาย หรือท่ีเรียกว่าส่วนที่เป็นสารบัญญัติ เช่น ฐานความผิด การแบ่งส่วนความรับผิดและ
1
อายุความฟูองคดี เปน็ ไปตามหลกั กฎหมายพระราชบัญญัตคิ วามรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซ่ึง
มสี าระสาคญั สรุปดงั นี้
1) เจ้าหนา้ ทีร่ ับผดิ เมือ่ กระทาโดยจงใจหรือประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรง
2) หน่วยงานเรียกให้เจ้าหน้าท่ีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายโดยคานึงถึงระดับความร้ายแรง
แห่งการกระทาและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยไม่ต้องให้ใช้เต็มจานวนความเสียหายก็ได้
นอกจากนี้ หากความเสียหายเกิดจากความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดาเนินงานส่วนรวม
ก็ตอ้ งหักสว่ นดงั กลา่ วออกด้วย
3) กรณเี จา้ หนา้ ทีก่ ระทาละเมดิ หลายคน มใิ หน้ าหลกั เรอื่ งลกู หน้รี ว่ มมาใช้บังคับ โดย
เจ้าหน้าท่ีแตล่ ะคนจะตอ้ งรบั ผิดเฉพาะสว่ นของตนเทา่ นนั้
สาหรับข้ันตอนการปฏิบัติเม่ือเกิดความเสียหายหรือท่ีเรียกว่าส่วนวิธีสบัญญัติจะต้องดาเนินการตาม
ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539
ไม่วา่ การกระทาละเมิดจะเกดิ ขน้ึ ก่อนหรือหลังวันท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2539
3. เจตนารมณ์ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
(ตามเจตนารมณ์ท้ายพระราชบญั ญัติ)
“การท่ีเจ้าหน้าท่ีดาเนินกิจการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐน้ันหาได้เป็นไปเพ่ือประโยชน์
อันเป็นการเฉพาะตัวไม่ การปล่อยให้ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ีในกรณีที่ปฏิบัติงานในหน้าท่ีและ
เกิดความเสียหายแก่เอกชนเป็นไปตามหลักกฎหมายเอกชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงเป็นการ
ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เจ้าหน้าท่ีจะต้องรับผิดในการกระทาต่างๆ เป็นการเฉพาะตัวเสมอไป
เมื่อการท่ีทาไปทาให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเพียงใดก็จะมีการฟูองไล่เบ้ียเอาจาก
เจา้ หนา้ ทเ่ี ตม็ จานวนน้นั ทงั้ ท่ีบางกรณีเกิดขึ้นโดยความไม่ต้ังใจหรือความผิดพลาดเล็กน้อยในการปฏิบัติหน้าท่ี
นอกจากน้ันยังมีการนาหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมในระบบกฎหมายแพ่งมาใช้บังคับให้เจ้าหน้าท่ีต้องร่วมรับผิด
ในการกระทาของเจ้าหน้าท่ีผู้อื่นด้วย ซ่ึงระบบน้ันมุ่งหมายแต่จะได้รับเงินครบโดยไม่คานึงถึงความเป็นธรรม
ท่ีจะมีต่อแต่ละคน กรณีเป็นการก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าท่ีและยังเป็นการบั่นทอนกาลังขวัญ
ในการทางานของเจ้าหน้าที่ด้วย จนบางคร้ังกลายเป็นปัญหาในการบริหารเพราะเจ้าหน้าท่ีไม่กล้าตัดสินใจ
ดาเนินงานเท่าท่ีควร เพราะเกรงความรับผิดชอบท่ีเกิดแก่ตน อนึ่ง การให้คุณให้โทษแก่เจ้าหน้าที่เพื่อควบคุม
การทางานของเจ้าหน้าทีย่ งั มวี ิธีการในการบริหารงานบุคคลและการดาเนินการทางวินัยกากับดูแลอีกส่วนหน่ึง
อันเป็นหลักประกันมิให้เจ้าหน้าที่ทาการใด ๆ โดยไม่รอบคอบอยู่แล้ว ดังนั้น จึงสมควรกาหนดให้เจ้าหน้าที่
ต้องรับผิดทางละเมิดในการปฏิบัติงานในหน้าที่เฉพาะเมื่อเป็นการจงใจกระทาเพ่ือการเฉพาะตัว หรือจงใจ
ให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่าน้ัน และให้แบ่งแยกความรับผิดของแต่ละคน
มใิ ห้นาหลกั ลูกหน้รี ว่ มมาใช้บังคับ ท้ังนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
ของรฐั ”
2
4. ความแตกต่างระหว่างความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนและหลังพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด
ของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. 2539 ใช้บงั คบั
ความเสียหายท่ีเกดิ ก่อนพระราชบญั ญัตคิ วามรบั ผิด ความเสียหายทเ่ี กิดเม่ือพระราชบัญญตั ิความรับผิด
ทางละเมดิ พ.ศ. 2539 ใช้บังคับ ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ใชบ้ ังคับ
1. เจ้าหน้าท่ีจะต้องรับผิดเมื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย
1. เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดเม่ือปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความ ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
บกพร่องไม่ระมัดระวังทาให้เกิดความเสียหายแม้ (ประมาทเลินเลอ่ ไม่ต้องรับผดิ )
เป็นความเสียหายเพียงเลก็ นอ้ ย 2. หากความเสียหายเกิดจาการกระทาของ
เจ้าหน้าทีห่ ลายคน เจ้าหนา้ ท่ีรับผิดเฉพาะในส่วน
2. หากความเสียหายเกิดจากการก ระทาของ ของตนเองเท่านั้นโดยไม่ต้องรับผิดในส่วนของ
เจ้าหน้าท่ีหลายคน เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดใน เจ้าหน้าท่ีผู้อื่น กล่าวคือไม่นาหลักเร่ืองลูกหนี้
ลักษณะลูกหน้ีร่วม คือ เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วม ร่วมมาใช้บังคับ เช่น ก. ข. ทาความเสียหาย
รับผิดชดใช้เงินเต็มจานวนจนกว่าทางราชการจะ จานวน 30,000 บาท รับผิดคนละ 15,000 บาท
ได้รับเงินคืนครบจานวนความเสียหาย ไม่ว่าคนใด หาก ข. ไม่ชดใช้ค่าเสียหาย เช่นนี้ ก. ไม่ต้องรับ
จะนาเงินมาคืนให้ทางราชการบางส่วน หรือมาก ผิดในส่วนของ ข. จานวน 15,000 บาท
เท่าใดกต็ าม กย็ ังไม่พน้ ความรบั ผิด 3. เจ้าหน้าท่ีไม่ต้องรับผิดในความเสียหายเต็ม
จานวนก็ได้ โดยให้คานึงถึงระดับความร้ายแรง
3. เจา้ หนา้ ทต่ี อ้ งรับผิดชดใช้เตม็ จานวนความเสยี หาย แห่งการกระทาและความเป็นธรรม และหาก
ชดใช้ทุกบาททุกสตางค์ ห น่ ว ย ง า น ห รื อ ร ะ บ บ ก า ร ด า เ นิ น ง า น มี ส่ ว น
บกพร่องก็ให้หักส่วนความรับผิดของหน่วยงาน
4. หากเจ้าหนา้ ทไี่ มช่ าระหนี้ให้แก่ทางราชการต้องถูก ออกดว้ ย
ฟูองเป็นบคุ คลล้มละลาย 4. หากเจา้ หน้าท่ีไม่มีเงินมาชาระหน้ีแก่ทางราชการ
ห้ามมิให้ฟูองเจ้าหน้าท่ีล้มละลาย ยกเว้นจะเข้า
เง่ือนไขเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม
ระเบยี บสานกั นายกฯ ข้อ 27
3
คานิยามท่ีสาคัญ
มาตรา 4 พระราชบัญญัติความรับผดิ ทางละเมดิ ฯ
“เจา้ หนา้ ท่ี” หมายความวา่ ขา้ ราชการ พนกั งาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งต้ัง
ในฐานะเป็นกรรมการหรอื ฐานะอน่ื ใด
เจา้ หนา้ ที่ ตามนัยมาตรา 4 เปน็ ผ้ไู ดร้ ับความคุม้ ครองตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของ
เจา้ หน้าที่
โดยที่พระราชบัญญัตินี้เน้นถึงการทางานแทนรัฐในลักษณะเจ้าหน้าที่ของภาครัฐทุกประเภท ดังน้ัน
เจา้ หน้าทีต่ ามคานิยามดังกล่าวจึงหมายความถึงบุคลากรทุกประเภทที่ทางานให้กับรัฐ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างหรือ
จะเป็นกรรมการ และไมว่ า่ จะเป็นการแตง่ ตัง้ ในฐานะใด
ตัวอย่าง การไฟฟูาส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทาสัญญาแต่งต้ังเอกชนซ่ึงเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
หรือองค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) ทาหน้าที่เป็นตัวแทนเก็บเงินค่าไฟฟูา เป็นผู้จัดหาเอาบุคคลมาเป็น
ผปู้ ฏบิ ัติงานแทน เชน่ แก้กระแสไฟฟูาขดั ข้อง ตามสัญญาจา้ งเหมาแบบเบ็ดเสร็จโดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญา
จ้างทาของ ตามนัยมาตรา 428 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังน้ัน คู่สัญญาของ กฟภ. และลูกจ้าง
ของคู่สัญญาจึงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของ กฟภ. และไม่เป็น “เจ้าหน้าท่ี” ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ
ความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 (คาวนิ จิ ฉยั คณะกรรมการกฤษฏกี า เร่ืองเสรจ็ ท่ี 869/2542)
ลูกจา้ งของหนว่ ยงานของรฐั ท่ีอยใู่ นบงั คับของพระราชบัญญัตินี้ได้น้นั จะต้องอยใู่ นฐานะที่เป็นเจ้าหน้าท่ี
ของหน่วยงานของรัฐและได้กระทาละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ การที่จะพิจารณาว่าลูกจ้าง คนใดเป็น
“เจ้าหน้าที่” หรือไม่น้ัน อาจพิจารณาโดยจาแนกตามลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับ
บคุ คลในสังกัดออกเป็น 2 ลักษณะ คอื
1. ลูกจ้างท่ีได้รับการบรรจุแต่งต้ังให้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐท่ีมีลักษณะเป็นการปฏิบัติงาน
ประจาและต่อเนื่องมีการกาหนดอัตราเงินเดือนการเล่ือนขั้นเงินเดือน การลงโทษทางวินัยตามหลักเกณฑ์ที่
กาหนดโดยกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับ เช่น กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทต่าง ๆ หรือ
4
ระเบียบวา่ ด้วยลกู จ้างประจา หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดต้ังรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นเจ้าหน้าท่ี ได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมายวา่ ด้วยความรับผดิ ทางละเมิดของเจา้ หน้าท่ี
ตัวอย่าง ลูกจ้างประจา พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย หรือพนักงานของรัฐในสังกัด
กระทรวงสาธารณสุข ได้รับบรรจุแต่งต้ังให้ปฏิบัติงานลักษณะเป็นการประจาและต่อเน่ือง มีการกาหนดอัตรา
เงินเดือนการเล่ือนขั้นเงินเดือน การลงโทษทางวินัย ลูกจ้างประเภทน้ีมีฐานะเป็น “เจ้าหน้าที่” ตาม
พระราชบัญญัตินี้และความรับผิดในมูลละเมิดของลูกจ้างประเภทน้ีย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติของ
พระราชบัญญัติน้ี
2. ลูกจ้างท่หี น่วยงานของรฐั ได้วา่ จ้างใหป้ ฏบิ ตั ิงานเป็นคร้ังคราวเฉพาะงานไม่ว่าจะเป็นสัญญาจ้างเป็น
หนังสือหรือไม่ก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างดังกล่าวกับหน่วยงานที่ว่าจ้างย่อมเป็นไปตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากลูกจ้างกระทาละเมดิ ต่อหน่วยงานของรฐั ความรับผิดทางละเมิดย่อมเป็นไปตาม
บทบัญญัตแิ หง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
“หน่วยงานของรฐั ” หมายความวา่ กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกช่ืออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจท่ีต้ังขึ้นโดยพระราชบัญญัติ หรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากาหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ
ตามพระราชบญั ญตั ินีด้ ้วย
สรปุ วา่ หน่วยงานของรฐั ตามคานยิ ามดังกลา่ วแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
1.ราชการส่วนกลาง ได้แก่กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกช่ืออย่างอ่ืนและมีฐานะเป็นกรม
และราชการสว่ นภูมภิ าค ได้แก่ จงั หวดั อาเภอ
2.ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตาบล
กรุงเทพมหานคร เมอื งพัทยา
3.รัฐวิสาหกิจท่ีต้ังข้ึนโดยพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจท่ีเป็นบริษัท
จากดั เน่ืองจากจดั ต้งั ข้ึนตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ซ่ึงเปน็ กฎหมายเอกชน
4. หนว่ ยงานอ่ืนของรฐั ทมี่ ีพระราชกฤษฎีกากาหนดใหเ้ ปน็ หนว่ ยงานของรัฐ
หน่วยงานท่ีไม่เข้าลักษณะความหมายดังกล่าวข้างต้นจึงไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้
เช่น ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจทางการเงินและประกอบ
กิจการอื่นให้สอดคล้องกับหลักการของศาสนาอิสลาม แม้มีพระราชบัญญัติจัดต้ัง แต่ตามพระราชบัญญัติระบุ
โดยชัดเจนว่าไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่อยู่ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานและเมื่อจัดตั้งขึ้นระยะหน่ึงและต้องนาหุ้น
ออกขาย
การตีความว่าหน่วยงานใดเป็นหน่วยงานของรัฐมีความสาคัญ เนื่องจากถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบญั ญตั ิละเมิดเช่นเดยี วกนั แล้วเกิดกรณหี ากเจา้ หน้าทห่ี ลายหน่วยงานกระทาให้เกิดความเสียหายหรือ
เจ้าหนา้ ท่ีกระทาใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐมากกว่าหนึ่งแห่ง หน่วยงานของรัฐที่เก่ียวข้องจะต้อง
แตง่ ตง้ั กรรมการละเมิดร่วมกนั
5
ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหนา้ ที่
การกระทาละเมิดของเจ้าหน้าทม่ี ี 2 ประเภท
1. การกระทาละเมดิ ต่อเอกชนหรือบคุ คลภายนอก
ความรบั ผดิ ของเจ้าหน้าท่ีผู้ทาละเมิดแก่เอกชนหรือบุคคลภายนอก เป็นไปตามความในมาตรา 8 แห่ง
พระราชบัญญัติ
2. การกระทาละเมดิ ตอ่ หนว่ ยงานของรฐั
ความรบั ผิดของเจา้ หน้าทผ่ี ้ทู าละเมดิ แก่หน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามความในมาตรา 10 ประกอบกับ
มาตรา 8 แห่งพระราชบญั ญัติฯ
6
การจะพิจารณาความรบั ผิดทางละเมดิ ของหน่วยงานของรฐั ต่อบุคคลภายนอกแบ่งเป็น 2 กรณี ไดแ้ ก่
1. กรณกี ารกระทาละเมดิ เกดิ จากการปฏบิ ตั หิ น้าที่ของเจา้ หน้าท่ี (มาตรา 5)
2. กรณกี ารกระทาละเมิดเป็นการกระทานอกเหนือการปฏิบตั ิหน้าที่ของเจา้ หนา้ ที่ (มาตรา 6)
กรณีที่ 1 ความรับผิดทางละเมดิ ของหน่วยงานของรัฐท่เี กดิ จากการปฏบิ ัตหิ น้าทข่ี องเจ้าหนา้ ท่ี
“มาตรา 5 หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าท่ีของตนได้กระทา
ในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีน้ีผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้า ท่ี
ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าท่ีซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เปน็ หน่วยงานของรัฐท่ตี อ้ งรับผิดตามวรรคหน่งึ ”
เจ้าหน้าท่ีซง่ึ ปฏิบัติหน้าที่ไดก้ ระทาการละเมิด หนว่ ยงานของรัฐต้องรับผิด/ถูกฟูองแทนเจ้าหน้าที่ ตาม
มาตรา 5 วรรคแรก ผเู้ สียหายต้องฟอู งหน่วยงานของรฐั จะฟูองเจา้ หน้าท่ไี มไ่ ด้
ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการไปติดต่องานราชการแล้วเกิดอุบัติเหตุชนรถยนต์ของ
บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัดเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในผลแห่ง
ละเมิดนั้น โดยบุคคลภายนอกหรือประชาชน ผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟูองคดีให้หน่วยงานของรัฐชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนได้แต่จะฟูองร้องเจ้าหน้าท่ีไม่ได้ หรือเจ้าหน้าที่ตารวจไล่จับผู้ร้ายแล้วเกิดการยิงต่อสู้กัน
7
กระสุนปืนพลาดเปูาหมายไปถูกประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต กรณีเช่นน้ี หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าท่ี
นั้นสังกัดอยู่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในผลแห่งละเมิดน้ัน บุคคลภายนอกหรือประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย
สามารถร้องขอให้หนว่ ยงานของรัฐชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนได้ แต่จะฟูองรอ้ งเจ้าหนา้ ทไี่ ม่ได้
ทานองเดียวกันกับกรณีเจ้าหน้าท่ีไม่สังกัดหน่วยงานใด ผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟูองหรือ
ร้องขอให้กระทรวงการคลังชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ตามมาตรา 5 วรรค 2 แต่จะฟูองร้องให้เจ้าหน้าที่ชดใช้
โดยตรงไม่ได้ เช่น คณะกรรมการการเลือกต้ังถือเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด
กระทรวงการคลังจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. 64/2552) หรือ
กรณคี ณะรัฐมนตรี ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ ว่า คณะรัฐมนตรีมิใช่หน่วยงานของรัฐ และไม่ได้สังกัดหน่วยงานของ
รัฐแห่งใด จึงถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด (คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 286/2547)
แตก่ รณยี งั ไมม่ คี าพพิ ากษาสูงสุด
การพิจารณาว่าเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติหนา้ ที่
1.เป็นการปฏบิ ตั ิหน้าทต่ี ามกฎหมาย
ตัวอย่าง สรรพสามิตจังหวัดเดินทางไปราชการโดยรถยนต์ของสานักงาน แล้วพนักงานขับรถยนต์
ขับรถไปชนกับรถคันอนื่ ถือวา่ พนักงานขบั รถยนต์กระทาละเมิดโดยปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ตี ามกฎหมาย
2.เปน็ การปฏบิ ตั ิหน้าท่ตี ามคาสงั่ ทช่ี อบด้วยกฎหมาย
ตัวอย่าง สรรพสามิตจังหวัดจะต้องเดินทางไปราชการ แต่พนักงานขับรถยนต์ลาหยุด จึงขอให้
เจ้าหน้าทก่ี ารเงินชว่ ยขบั รถให้แทน หากรถเกดิ อุบัตเิ หตุชนกับรถคันอ่นื กรณีเช่นนีถ้ อื ว่าเจ้าหน้าที่การเงินปฏิบัติ
หนา้ ทตี่ ามคาส่ัง
กรณีท่ี 2 ความรับผิดทางละเมิดของหน่วยงานของรัฐท่ีเกิดข้ึนจากการกระทานอกเหนือการปฏิบัติหน้าที่
ของเจา้ หนา้ ที่
“มาตรา 6 ถา้ การกระทาละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ีมใิ ช่การกระทาในการปฏิบตั ิหนา้ ท่เี จ้าหน้าทีต่ อ้ งรับผิด
ในการนั้น เป็นการเฉพาะตัวในกรณีน้ีผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐ
ไม่ได้”
ถ้าการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าท่ีมิใช่การกระทาในการปฏิบัติหน้าท่ี (นอกเหนือการปฏิบัติหน้าท่ี)
หน่วยงานของรัฐไม่ต้องรับผิดหรือถูกฟูอง ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯกล่าวคือ
เจ้าหน้าทต่ี ้องรบั ผิดชดใชเ้ ป็นการเฉพาะตัว
การพจิ ารณาว่าเปน็ การกระทานอกเหนอื การปฏิบัติหนา้ ท่ขี องเจา้ หนา้ ท่ี
พิจารณาจากพฤติกรรม ต้องเป็นการส่วนตวั โดยแท้
8
ตัวอยา่ ง -พนกั งานไปรษณยี ์จอดรถเก็บจดหมายขา้ งทาง ตารวจบอกว่าจอดไม่ได้เน่ืองจากเป็นชั่วโมง
เร่งด่วน พนักงานไปรษณีย์โมโหจึงออกรถอย่างแรงเป็นเหตุให้ตารวจหัวฟาดพื้น การกระทาดังกล่าวเป็นการ
กระทานอกเหนือการปฏบิ ัติหนา้ ท่ี เป็นการกระทาส่วนตวั โดยแท้
-เจ้าหน้าที่ตารวจซ่ึงมิได้อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าท่ีราชการได้ไปทะเลาะวิวาทแล้วทาร้ายร่างกาย
ประชาชนเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทาละเมิดโดยส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอง เนื่องจากมิใช่กิจการในการ
ปฏบิ ัติหน้าทรี่ าชการ
กรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีตารวจออกเวรแล้วไปตลาดและประสบเหตุคนทะเลาะวิวาทกันอยู่แล้วเข้าไประงับ
เหตุและเกิดปืนล่ันไปถูกชาวบ้านในบริเวณน้ันการกระทาของเจ้าหน้าท่ีตารวจในการเข้าไประงับเหตุดังกล่าว
ถือว่าเป็นการกระทาในการปฏิบัติหน้าที่ เน่ืองจากตารวจมีอานาจหน้าท่ีจับกุมผู้กระทาความผิดหรือระงับเหตุ
ซงึ่ หนา้ ได้ตลอด 24 ชว่ั โมง
9
พระราชบญั ญัติละเมิดมบี ทบัญญัตใิ หผ้ ้เู สียหายใช้สทิ ธิเรียกร้องค่าสนิ ไหมทดแทนได้ 2 ทาง คือ
1. ใชส้ ิทธิฟูองคดีตอ่ ศาล ตามนัยมาตรา 5 หรอื มาตรา 6 หรอื
2. ใช้สิทธิย่ืนคาขอตอ่ หน่วยงานของรัฐ ตามนัยมาตรา 11
การใช้สทิ ธิฟอ้ งคดีต่อศาล
บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟูองคดีต่อศาลเพ่ือให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาส่ังให้
เจ้าหน้าทีห่ รือหนว่ ยงานของรฐั ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง โดยไม่ต้องย่ืนคาขอต่อหน่วยงานของรัฐก่อน
โดยหากการกระทาละเมิดของเจ้าหนา้ ทีม่ ิใช่การกระทาในการปฏบิ ัติหน้าท่ีผู้เสียหายต้องฟูองเจ้าหน้าท่ีโดยตรง
จะฟูองหน่วยงานของรัฐไม่ได้ (มาตรา 6) แต่หากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าทีเป็นการกระทาในการปฏิบัติ
หนา้ ที่ผ้เู สยี หายตอ้ งฟูองหนว่ ยงานของรัฐโดยตรงจะฟอู งเจ้าหน้าทไี่ มไ่ ด้ (มาตรา 5)
บุคคลภายนอก คือบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือ
ผู้เสียหายได้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลท่ีมิใช่หน่วยงานของรัฐท่ีได้รับความเสียหายจากการกระทาของเจ้าหน้าท่ี
และให้หมายความรวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีได้รับความเสียหายจากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
คนอ่ืนไม่ว่าเจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดจะสังกัดหน่วยงานเดียวกันกับเจ้าหน้าท่ีผู้ได้รับความเสียหายหรือสังกัด
หน่วยงานของรัฐแหง่ อน่ื หรือไม่ก็ตาม
ตัวอย่าง นาย ส. ลูกจ้างชั่วคราวตาแหน่งพนักงานขับรถยนต์บรรทุกน้า กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ
นาย ป.ลกู จา้ งประจา ตาแหน่งคนงานทาหน้าที่รดน้าต้นไม้ริมถนน ในระหว่างการขับรถยนต์บรรทุกน้าออกไป
ปฏบิ ตั หิ น้าที่ได้เกิดอบุ ัติเหตเุ ฉ่ียวชนกบั รถยนต์นั่งสว่ นบุคคลอยา่ งกะทนั หัน นาย ส.จงึ ห้ามลอ้ รถยนต์บรรทุกน้า
อย่างแรง ทาใหร้ ถยนต์บรรทกุ นา้ พลิกควา่ ไดร้ ับความเสียหาย นาย ส.ได้รบั บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนนาย ป. ได้รับ
บาดเจ็บสาหัส กรณีดังกล่าวถือว่า นาย ส. พนักงานขับรถยนต์บรรทุกน้าซ่ึงเป็นเจ้าหน้าที่ของ กทม. กระทา
ละเมิดตอ่ นาย ป. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ กทม. เช่นกัน เมื่อนาย ป. มิได้มีส่วนร่วมในการกระทาละเมิดและเป็น
ผู้ได้รับความเสียหาย จากการกระทาละเมิดของนาย ส. นาย ป.จึงเป็น "ผู้เสียหาย" และมีสิทธิเรียกร้อง
ให้ กทม. ต้นสังกัดของนาย ส. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ได้ (ความเห็น
คณะกรรมการกฤษฎีกา เรอ่ื งเสรจ็ ท่ี 421/2543)
10
กรณผี เู้ สยี หายฟ้องผดิ ตวั
กรณีทศี่ าลยกฟอู งเพราะเหตุหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีที่ถูกฟูองมิใช่ผู้ต้องรับผิด กฎหมายให้
โอกาสผู้เสยี หายฟอู งใหมไ่ ด้ภายใน 6 เดือนนบั แต่วนั ทีศ่ าลมคี าพิพากษาถึงที่สดุ
อายุความในการใชส้ ิทธิของผเู้ สยี หาย
การใช้สิทธิฟูองคดีต่อศาล ผู้เสียหายจะต้องฟูองคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการ
ฟูองคดี แตไ่ ม่เกิน 10 ปนี ับแต่วันท่ีมีเหตุแห่งการฟูองคดี หรืออีกนัยหน่ึง ภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้ถึงการละเมิด
และรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิเรียกร้องตามท่ีกาหนดไว้เป็นการเฉพาะ
ดังกล่าวข้างต้น จะต้องกระทาภายในกาหนดอายุความท่ัวไปตามมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ กาหนดให้ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่มูลละเมิดมีอายุความสิบปีนับแต่วันทาละเมิด
ดว้ ย
ตัวอย่าง ตามคาสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 573/2549 ที่ระบุว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทาละเมิดต่อ
บคุ คลภายนอกในการปฏบิ ตั หิ น้าที่ พระราชบญั ญตั คิ วามรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้
ผู้เสียหายใช้สทิ ธเิ รยี กร้องคา่ สินไหมทดแทนได้ 2 ทาง กล่าวคือ ผู้เสียหายอาจฟูองคดีต่อศาลขอให้พิพากษาให้
หน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าหน้าท่ีผู้กระทาละเมิดอยู่ในสังกัดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีรู้หรือ
ควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟูองคดี แต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟูองดดี หรืออีกนัยหน่ึงภายใน 1 ปี
นับแต่วันท่ีผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันทา
ละเมิดทางหน่ึง กับผู้เสียหายอาจยื่นคาขอต่อหน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดอยู่ในสังกัดให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ตนอีกทางหน่ึง และแม้กฎหมายจะมิได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่า
ผู้เสียหายจะต้องยื่นคาขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาค่าสินไหมทดแทนสาหรับความเสียหายที่เกิดแก่ต น
ภายในระยะเวลาเท่าใด แต่ก็เป็นท่ีเห็นได้จากเหตุผลของเร่ืองว่าผู้เสียหายจะต้องยื่นคาขอต่อหน่วยงานของรัฐ
ภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทา
ละเมิดเช่นเดียวกบั การฟูองคดีต่อศาล
11
การใช้สิทธิยน่ื คาขอตอ่ หนว่ ยงานของรฐั ตามนัยมาตรา 11
บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่
ผเู้ สยี หายสามารถย่ืนคาขอต่อหน่วยงานของรัฐตามนัยมาตรา 11
มาตรา 11 ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตามมาตรา 5 ผู้เสียหายจะยื่นคาขอต่อ
หน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสาหรับความเสียหายท่ีเกิดแก่ตนก็ได้ ในการนี้
หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคาขอให้ไว้เป็นหลักฐานและพิจารณาคาขอนั้นโดยไม่ชักช้า เม่ือหน่วยงาน
ของรัฐมีคาส่ังเช่นใดแล้ว หากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐก็ให้มีสิทธิร้อง
ทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับ
แต่วนั ทต่ี นได้รับแจง้ ผลการวินจิ ฉยั
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคาขอท่ีได้รับตามวรรคหน่ึงให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อ ยแปดสิบวัน
หากเร่ืองใดไม่อาจพิจารณาได้ทันในกาหนดน้ันจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด
หรือกากับ หรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบ และขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่
รฐั มนตรดี งั กล่าวจะพจิ ารณาอนมุ ตั ใิ หข้ ยายระยะเวลาให้อกี ไดไ้ ม่เกนิ หนงึ่ ร้อยแปดสบิ วัน
การรอ้ งขอให้หนว่ ยงานของรัฐรบั ผิดชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทน ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติความ
รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ผู้เสียหายสามารถร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้ชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนได้โดยตรง และเมื่อหนว่ ยงานของรฐั มคี าส่ังเช่นใดแล้ว หากผู้เสียหายไม่พอใจคาวินิจฉัย ก็สามารถฟูอง
คดีต่อศาลได้
พระราชบัญญัติน้ีได้ให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเลือกใช้วิธีย่ืนคาขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ แทนท่ีจะใช้วิธีฟูองคดีหน่วยงานของรัฐซ่ึงอาจต้องใช้เวลาพอสมควรเป็นการสร้าง
ภาระให้แก่ประชาชนที่ถูกกระทาละเมิดโดยเจ้าหน้าท่ีของรัฐซึ่งบางคร้ังค่าสินไหมทดแทนอาจจะเป็นจานวน
เงินเพียงไม่ก่ีพันบาท ซ่ึงถ้าจะต้องไปฟูองคดีต่อศาลก็จะไม่คุ้มค่าทนายความและค่าธรรมเนียมต่างๆ กรณีที่
12
ผู้เสียหายได้ย่ืนฟูองคดีต่อศาลและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศา ลถือได้ว่าผู้เสียหายเลือกใช้สิทธิ
ย่ืนฟูองคดีต่อศาลแล้ว แม้ต่อมาผู้เสียหายจะได้มีการย่ืนคาขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หน่วยงานของรัฐไม่จาต้องรับคาขอไว้พิจารณาเน่ืองจากการท่ีให้ทั้งหน่วยงานของรัฐและศาลพิจารณาเร่ือง
ที่มีมูลเหตุอย่างเดยี วกนั อาจทาใหก้ ารวนิ จิ ฉยั ชี้ขาดแตกต่างกนั ได้ (เรือ่ งเสร็จที่ 603/2551)
การร้องขอให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติละเมิด
ผู้เสียหายสามารถร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง และเมื่อหน่วยงานของรัฐ
มีคาสั่งเช่นใดแล้ว หากผู้เสียหายไม่พอใจคาวินิจฉัย ก็สามารถฟูองคดีต่อศาลได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันท่ี
ไดร้ ับแจ้งการวินิจฉัยได้
การย่นื คาขอ
ให้ผเู้ สียหายยืน่ คาขอตอ่ หนว่ ยงานของรัฐที่เจ้าหน้าท่ีผู้กระทาละเมิดสังกัดอยู่โดยตรง หากเจ้าหน้าที่
ไมส่ งั กดั หนว่ ยงานของรัฐแห่งใด ให้ผเู้ สียหายย่นื คาขอต่อกระทรวงการคลัง
ในกรณที ่ีผู้เสยี หายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดเนื่องจากเจ้าหน้าท่ีกระทาละเมิดต่อผู้เสียหาย
ในการปฏิบตั ิหน้าที่ ผเู้ สยี หายจะยนื่ คาขอต่อหน่วยงานของรัฐใหช้ ดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยหน่วยงานของรัฐ
ต้องออกใบรับคาขอไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ ใบรับคาขอต้องเป็นเอกสารท่ีหน่วยงานของรัฐได้จัดทาขึ้นเพื่อให้
ทราบว่าหน่วยงานของรัฐได้รับคาขอของผู้เสียหายแล้ว ซ่ึงการออกใบรับคาขอจะมีผลต่อการนับระยะเวลา
การพิจารณาคาขอ
ตัวอย่าง ผู้เสียหายส่งคาขอทางไปรษณีย์และได้รับใบตอบรับของไปรษณีย์ ใบตอบรับของไปรษณีย์
ไมใ่ ช่ใบรับคาขออนั เป็นหลักฐานท่หี น่วยงานเป็นผู้ออกให้ แต่เป็นเพียงหลักฐานทางไปรษณีย์ว่าได้มีการส่งซอง
เอกสารทางไปรษณียใ์ ห้แก่ผูร้ ับแลว้ เทา่ น้นั มิได้บ่งบอกว่าเอกสารในซองเปน็ อะไร (อ.91/2547)
วธิ ีการยื่นคาขอให้หน่วยงานของรฐั รบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทน มี 2 วธิ ี
1. ย่นื คาขอดว้ ยตัวเอง
2.ยื่นคาขอทางจดหมาย กรณีเชน่ น้ีให้ตอบใบรบั คาขอโดยจดหมายเชน่ กนั
กรณีที่ผู้เสียหายยื่นผิดหน่วยงาน หน่วยงานนั้นๆ ต้องรับเรื่องไว้ก่อน จะปฏิเสธไม่ได้ แล้วจึงส่งต่อไป
ยังหน่วยงานที่รับผิดหรือกระทาละเมิด เมื่อส่งเรื่องแล้วต้องแจ้งต่อผู้เสียหายท่ีมายื่นคาขอว่าผู้ท่ีกระทาละเมิด
คือใคร เพ่ือผู้เสียหายสามารถติดตามเร่ืองได้ต่อไป โดยเริ่มนับเวลาในการพิจารณาคาขอ 180 วันจากวันท่ี
หน่วยงานท่ีกระทาละเมดิ ได้รับเร่อื ง
13
สาระสาคัญของใบรบั คาขอใหห้ น่วยงานของรฐั รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ควร
มสี าระสาคญั ดังน้ี
1. ชื่อหนว่ ยงานที่รับคาขอใหห้ นว่ ยงานของรฐั รบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
2. เร่อื งทีข่ อให้หนว่ ยงานของรัฐรับผดิ ชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน
3. วันเดือนปี ที่รบั คาขอให้หน่วยงานของรฐั รับผิดชดใชค้ า่ สินไหมทดแทน
4. ช่ือผูย้ ่ืนคาขอให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชดใช้คา่ สินไหมทดแทน
5. จานวนเงินทีข่ อใหช้ ดใช้
6. ลายมอื ชอื่ ผู้รบั คาขอ
ระยะเวลาในการยืน่ คาขอ
ผเู้ สยี หายต้องยนื่ คาขอต่อหน่วยงานของรัฐภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง
ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันกระทาละเมิด (คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 573/2549) ซึ่งเป็น
ระยะเวลาเดียวกับการย่ืนฟูองคดีต่อศาล ดังน้ัน หากผู้เสียหายย่ืนคาขอต่อหน่วยงานของรัฐเมื่อพ้นระยะเวลา
ดังกล่าว แม้หน่วยงานของรัฐจะพิจารณาคาขอ ผู้เสียหายซ่ึงไม่พอใจผลการวินิจฉัยก็ไม่มีสิทธิฟูองคดีต่อศาล
ปกครองได้ เพราะถือว่าฟอู งคดีเมือ่ พ้นระยะเวลาท่กี ฎหมายกาหนด
การพจิ ารณาคาขอ
ระยะเวลาในการพิจารณาคาขอนน้ั ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติละเมดิ กาหนดให้หน่วยงานของรัฐ
พจิ ารณาคาขอให้แลว้ เสรจ็ ภายใน 180 วัน
การพิจารณาคาขอจึงต้องกระทาโดยไม่ชักช้า และหากหน่วยงานของรัฐท่ีได้รับคาขอพิจารณาแล้ว
เห็นว่าเป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับตน ก็ให้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดขึ้นเพื่อ
ดาเนนิ การต่อไปโดยไม่ชักชา้ และจะต้องพิจารณาคาขอใหแ้ ลว้ เสร็จภายใน 180 วัน
หากเรอ่ื งใดไมอ่ าจพิจารณาได้ทันภายในกาหนด ต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด
หรือกากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐนั้นทราบ สามารถขอขยายระยะเวลาออกไปอีกได้ แต่ไม่เกิน
หนึ่งรอ้ ยแปดสบิ วนั
เม่ือกฎหมายได้กาหนดกระบวนการพิจารณา ระยะเวลาการพิจารณา และภาระหน้าที่ของ
หน่วยงานของรัฐผู้รับคาขอไว้ชัดแจ้ง หากหน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติ ย่อมถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่
ตามทก่ี ฎหมายกาหนดใหต้ ้องปฏิบตั ิ
14
กรณหี น่วยงานของรัฐพิจารณาเหน็ ว่าเจ้าหน้าท่ีของตนกระทาละเมิดจริง ให้กาหนดค่าเสียหายและส่ง
คาส่ังนั้นให้แก่ผู้เสียหาย ตามประกาศกระทรวงการคลัง เร่ืองหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณี
เจ้าหน้าทีข่ องรฐั กระทาละเมิดตอ่ บคุ คลภายนอก ลงวนั ที่ 3 ตุลาคม 2554
กรณีหน่วยงานของรัฐพิจารณาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของตนไม่ต้องรับผิดก็ให้ยกคาร้องและแจ้งให้ผู้ย่ืน
คาร้องทราบ
การฟอ้ งคดกี รณที ีย่ งั ไม่พอใจผลการพจิ ารณาคาขอ
หากผู้เสียหายไม่เห็นด้วยกับคาวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐ ให้มีสิทธิย่ืนฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขต
อานาจ ซึง่ อาจจะเป็นศาลยุติธรรมหรอื ศาลปกครองแลว้ แตก่ รณี ภายใน 90 วัน
15
การกระทาละเมิด การจะพิจารณาว่าการกระทาของเจ้าหน้าที่เป็นการ “ละเมิด” หรือไม่น้ัน
พระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิดฯ มิได้บัญญัตินิยามศัพท์คาว่า “ละเมิด” ไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนา
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องมาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้ง
กับพระราชบัญญัติ ความรับผิด ทางละเมิดฯ (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 101/2548) โดยประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 420 เปน็ หลกั ทั่วไปของการกระทาทถี่ ือเป็น “ละเมิด”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทาต่อบุคคลอื่นโดย
ผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่ง
อย่างใดกด็ ี ท่านวา่ ผูน้ น้ั ทาละเมดิ จาต้องใชค้ ่าสินไหมทดแทนเพอ่ื การนนั้
การกระทาทถ่ี ือเป็น “ละเมิด” มีหลกั เกณฑ์ 3 ประการ
1. กระทาโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอ่
2. กระทาต่อบคุ คลอ่นื โดยผดิ กฎหมาย
3. บคุ คลอ่นื ไดร้ บั ความเสยี หาย
เมื่อเจ้าหน้าที่กระทาละเมิดต่อบุคคลภายนอก ความรับผิดของเจ้าหน้าท่ีจะมีเพียงใดต้องพิจารณาตาม
มาตรา 8
มาตรา 8 พระราชบญั ญตั ิความรับผิดทางละเมิดฯ
“ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าท่ี
ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทาละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้
ถา้ เจ้าหนา้ ทไี่ ดก้ ระทาการนนั้ ไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง จะมีได้เพียงใดให้คานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่ง
การกระทาและความเปน็ ธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยมิต้องให้ใช้เต็มจานวนของความเสยี หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดาเนินงาน
สว่ นรวม ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกลา่ วออกด้วย
ในกรณีท่ีการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าท่ีหลายคน มิให้นาหลักเรื่องลูกหน้ีร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าท่ี
แตล่ ะคนตอ้ งรับผดิ ใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะสว่ นของตนเท่านนั้ ”
16
คือ หน่วยงานของรัฐจะมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่
กระทาใหเ้ กิดความเสยี หายด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเลอ่ อยา่ งรา้ ยแรงเท่าน้ัน (มาตรา 8 วรรคแรก) โดย
ไม่ต้องเรียกให้ใช้เต็มจานวนก็ได้ (มาตรา 8 วรรค 2) สามารถหักความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงาน
ของรัฐหรือระบบการดาเนินงานส่วนรวมออกจากความรับผิดได้ (มาตรา 8 วรรค 3) และเรียกให้เจ้าหน้าที่
รบั ผิดไดเ้ ฉพาะสว่ นความรับผดิ ของตนเท่าน้ัน (มาตรา 8 วรรค 4)
ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ทาละเมิดต่อเอกชน เช่น พนักงานขับรถราชการชนรถยนต์ของบุคคลภายนอก
หน่วยงานของรฐั มีสทิ ธิเรยี กให้เจา้ หน้าที่ผ้กู ระทาละเมิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนได้ ถ้าความเสียหายน้ันเกิดจาก
การกระทาโดยจงใจหรือประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรง
ในกรณีเจ้าหน้าที่กระทาละเมิดต่อบุคคลภายนอกน้ัน แม้ว่า เจ้าหน้าที่จะไม่ต้องรับผิดโดยตรงต่อ
ผู้เสียหายก็ตาม แต่ก็มิได้พ้นความรับผิดไปท้ังหมด กล่าวคือ เจ้าหน้าที่จะมีความรับผิดเพียง 2 ระดับ
เท่าน้ัน คือ กรณีจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กรณีเจ้าหน้าท่ีกระทาโดย
ประมาทเลินเล่อไม่ถึงข้ันร้ายแรง หน่วยงานของรัฐไม่สามารถไล่เบ้ียจากเจ้าหน้าที่ได้อีกต่อไป
เมื่อหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้เสียหายไปแล้ว ความรับผิด
ตกเป็นพับแก่หน่วยงานของรัฐแหง่ นนั้ ไม่สามารถไล่เบ้ยี เอาจากเจา้ หน้าทผ่ี กู้ ระทาละเมิดได้
แต่หากเป็นกรณีเจ้าหน้าท่ีกระทาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐ
ยงั มีสทิ ธไิ ลเ่ บี้ยจากเจา้ หน้าทผ่ี ูก้ ระทาละเมดิ ดงั กล่าวต่อไป
อย่างไรคือการกระทาโดยจงใจหรือประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรง
1. การกระทาโดยจงใจ คือ การกระทาโดยรู้สานึกถึงการกระทาของตนว่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย
แกบ่ ุคคลอน่ื ไม่วา่ ความเสยี หายนัน้ จะเกดิ ขึ้นมากน้อยเพียงใดก็ตาม อย่างไรก็ดี การกระทาโดยจงใจมิได้หมาย
เลยไปถึงกับว่าจะต้องเจาะจงให้เกิดผลเสียอย่างใดอย่างหน่ึงขึ้นโดยเฉพาะ เช่น กรณีรู้อยู่แล้วว่า ผิดระเบียบ
กลับมคี าสงั่ อนุมัติ คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. 37/2552 (การท่ีผู้ฟูองคดี (ผู้อานวยการโรงเรียน) ซึ่งมี
อานาจพจิ ารณาดาเนนิ การให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 จะต้องใช้ดุลพินิจ
จัดให้ข้าราชการท่ีมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน ให้เข้าพักอาศัยในบ้านพักราชการที่ว่างอยู่ก่อนน้ัน แต่กลับมีคาส่ัง
อนุมัติให้นางสาว ส. ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ ทั้ง ๆ ท่ีรู้อยู่แล้วว่ามีบ้านพักครูว่างอยู่และมีสภาพ
สมบรู ณ์เหมาะทจี่ ะใหข้ ้าราชการครูเข้าพกั อาศัยได้ นอกจากนั้น ยังรู้อยู่แล้วว่าการอนุมัติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
2539 ถึงเดือนกันยายน 2541 เป็นการอนุมัติที่ผิดระเบียบ พฤติการณ์ของผู้ฟูองคดีจึงเป็นการจงใจกระทาผิด
ตอ่ กฎหมาย หรอื ระเบยี บของทางราชการ ทาใหร้ าชการได้รับความเสยี หาย)
17
2. กระทาโดยความประมาทเลนิ เล่ออยา่ งร้ายแรง
การท่ีจะพิจารณาว่ากรณีใดเป็นการกระทาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าหน้าท่ี
หรือไม่นนั้ เป็นหนา้ ทข่ี องเจ้าหน้าทผี่ ้มู ีอานาจดาเนินการตามกฎหมายและระเบียบ หรือศาล ซึ่งความประมาท
เลนิ เล่อน้ันเปน็ การกระทาท่ีมิใช่โดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล แต่เป็นการกระทาโดยปราศจาก
ความระมัดระวังซ่ึงบคุ คลในภาวะเช่นน้ันจาต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โดยวิสัย หมายถึง สภาพเกี่ยวกับตัว
ผ้กู ระทา เช่น การเป็นเจ้าหน้าท่ีช้ันผู้ใหญ่หรือชั้นผู้น้อย เป็นเจ้าหน้าท่ีธรรมดา เป็นผู้ประกอบวิชาชีพหรือเป็น
ผเู้ ช่ยี วชาญทางด้านใดด้านหน่ึง และหมายรวมถงึ ระยะเวลาในการปฏิบัติหนา้ ท่ีของผูน้ ั้นดว้ ย เปน็ ตน้
ส่วนอย่างไรเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไปซ่ึงในกรณี
การกระทาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลปกครองสูงสุดได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง
การกระทาโดยมิได้เจตนา แต่เป็นการกระทาซ่ึงบุคคลพึงคาดหมายได้ว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายข้ึน และ
หากใช้ความระมัดระวังแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจปูองกันมิให้เกิดความเสียหายได้ แต่กลับมิได้ใช้ความระมัดระวัง
เช่นวา่ นั้นเลย (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. 10/2552)
ตัวอย่างที่มักจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาบ่อยถึงพฤติการณ์การกระทาด้วยความประมาทเลินเล่อ
อย่างรา้ ยแรง เชน่
1. กรณเี จ้าหนา้ ที่โรงงานของกรมธนารักษ์เผาเศษปอริมถนนหลวง ทาให้มีควันดาปกคลุมถนนจนมอง
ไม่เห็นทางขา้ งหนา้ เป็นเหตุให้มีรถยนต์ประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกัน ซึ่งเหตุการณ์เช่นน้ีเคยเกิดข้ึนมา 2-3 คร้ัง
แล้ว แต่โรงงานของกรมธนารักษ์ก็ปล่อยปละละเลยไม่เปล่ียนวิธีการเผาเศษปอ ถือเป็นกรณีเจ้าหน้าท่ีกระทา
โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าของรถยนต์คันท่ีได้รับความเสียหาย
จากอบุ ัตเิ หตรุ ถชนดังกล่าว
2. กรณีสานักงานธนานุเคราะห์จ้างบุคคลท่ีมีความรู้ความเช่ียวชาญในการตรวจสอบคุณภาพและ
ประเมินราคาทรัพย์ที่จานาได้ มาเป็นผู้จัดการสถานธนานุเคราะห์แต่ละแห่ง กรณีจึงถือได้ว่า ผู้รับจานาต้อง
เปน็ ผทู้ ี่มีความรู้ความเช่ียวชาญในการประกอบวิชาชีพนี้ หากผู้รับจานาประเมินราคาทรัพย์ที่รับจานาผิดพลาด
พฤตกิ ารณถ์ อื ได้ว่าเป็นการปฏบิ ัตหิ น้าที่ดว้ ยความประมาทเลินเล่ออยา่ งร้ายแรง
3. กรณีพนักงาน Teller ของธนาคาร เป็นบุคคลท่ีมีความเช่ียวชาญในการตรวจสอบลายมือช่ือ ใน
ฐานะผู้มีวิชาชีพด้านการรับฝากเงินโดยตรง หากมีกรณีปรากฏลายมือช่ือปลอมในใบถอนเงินหรือเช็ค และ
พนกั งาน Teller อนุมตั จิ ่ายเงนิ ไป ถือวา่ เปน็ การปฏิบตั หิ น้าทีด่ ว้ ยความประมาทเลินเลอ่ อยา่ งร้ายแรง เชน่ กัน
ในการเรียกค่าสินไหมทดแทนนั้นหน่วยงานไม่จาต้องเรียกชดใช้เต็มจานวน ทั้งนี้กฎหมายกาหนดให้
หน่วยงานต้อง
- คานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทาและความเป็นธรรมในแต่ละกรณี เช่น บุคคลใด
ก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่ากัน หรือหลักความใกล้ชิดกับความเสียหาย หรือหลักจานวนมูลค่า
ความเสียหายเทียบกับศักยภาพในการชดใช้ของเจ้าหน้าที่ เช่นการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ทาให้เกิด
ความเสียหายเป็นเงินจานวน 100 ล้านบาท เจ้าหน้าท่ีย่อมไม่มีเงินเพียงพอท่ีจะชดใช้เต็มจานวนของ
18
ความเสียหายได้อย่างแน่นอน หรือกรณีพนักงานขับรถยนต์ชนบุคคลภายนอกต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน
จานวน 700,000 บาท แต่เจา้ หนา้ ที่ผู้นั้นมีเงินเดือนเพียงเดือนละ 7,000 บาท หรือกรณีความเสียหายเกิดจาก
การกระทาของบุคคลหลายกลุ่ม เช่น คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เจ้าหน้าท่ีพัสดุและผู้บริหารซึ่งเป็นผู้อนุมัติ
หรืออนุญาตให้ดาเนินการ ซ่ึงบุคคลแต่ละกลุ่มและแต่ละคนมีพฤติกรรมการกระทาความผิดแตกต่างกัน
หากจะให้ชดใชเ้ งนิ เตม็ จานวนทีท่ างราชการจ่ายไปย่อมตอ้ งมีการพจิ ารณาจานวนเงนิ ทเี่ หมาะสม
3. หักสว่ นความเสยี หาย
การคานึงถึงความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดาเนินงานส่วนรวม เช่น
เจ้าหน้าท่ีนารถยนต์ของทางราชการไปปฏิบัติหน้าท่ีแล้วเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรถยนต์ของบุคคลภายนอก
เน่ืองจากระบบเบรกของรถราชการไม่ทางานอันสืบเนื่องมาจากความบกพร่องของหน่ วยงานของรัฐซึ่งมิได้จัด
ให้มีการบารุงรักษารถยนต์คันดังกล่าว ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติ หรือในกรณีระบบการฝึกงานของ
หน่วยงานบกพร่องโดยส่งเจ้าหน้าท่ีบรรจุใหม่ไปปฏิบัติงานในขณะที่ยังมิได้จัดให้มีการฝึกงานอย่างเพียงพอให้
ปฏิบัติงานได้ในระดับหน่ึง เป็นต้น โดยหน่วยงานของรัฐต้องหักส่วนแห่งความรับผิดและความบกพร่อง
ดังกล่าวออกด้วยการพจิ ารณาวา่ การละเมิดเกิดจากสว่ นใดมากกวา่ กัน และควรกาหนดสัดส่วนตอ่ กันเท่าใด
หากความเสียหายที่เกิดขึ้นมีส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือ
ระบบการดาเนินงานส่วนรวม เมื่อได้หักส่วนความรับผิดดังกล่าวออกจากค่าสินไหมทดแทนท่ีเจ้าหน้าท่ีจะต้อง
ชดใช้แล้ว ค่าเสียหายท่ีเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดาเนินงาน
ส่วนรวมดังกล่าว ถือเป็นความรับผิดของหน่วยงานของรัฐตามนัยมาตรา 8 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ
ความรับผดิ ทางละเมิดของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. 2539 จงึ ตกเป็นพบั แก่หน่วยงานของรัฐแหง่ น้ัน
4. ไมน่ าหลักเร่ืองลกู หน้รี ว่ มมาใชบ้ งั คับ
กรณีการกระทาละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าท่ีหลายคน เจ้าหน้าท่ีแต่ละคนต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่าน้ัน แต่เดิมก่อนกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่บังคับใช้
หากการกระทาละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน เจ้าหน้าท่ีทั้งหลายนั้นต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทาให้เจ้าหน้าที่ผู้เก่ียวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ตามกฎหมายว่าด้วย
ความรบั ผดิ ทางละเมดิ ฉบับน้ี ให้ความเปน็ ธรรมกบั เจา้ หน้าทีซ่ ึ่งอาจมีส่วนร่วมในการกระทาละเมิดแต่เป็นเพียง
ผูก้ ระทาด้วยความจงใจหรอื ประมาทเลนิ เล่ออยา่ งรา้ ยแรงให้ชดใช้แตเ่ ฉพาะในสว่ นของตนเองเท่าน้นั เชน่
ในฐานะผู้บังคับบัญชาปล่อยปะละเลยอาจต้องรับผิดชดใช้เพียงอัตราร้อยละ 60 ของค่าเสียหาย
เท่านนั้ ก็เป็นไปได้ หรือหากอยู่ในฐานะที่ยากแก่การควบคุมดูแลบุคคลดังกล่าวอาจไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายเลย
หรอื ชดใชอ้ ัตราน้อยทสี่ ุดกไ็ ด้ ขน้ึ อยกู่ ับข้อเทจ็ จริงในแต่ละกรณไี ป
19
:
Company Logo
มาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทาต่อบุคคลอ่ืน โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่
รา่ งกายกด็ ี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหน่ึงอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้น้ันทาละเมิด จาต้อง
ใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนเพื่อการนัน้
คาจากัดความของจงใจเป็นการกระทาโดยรู้สานึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทาของตน โดย
ไม่คานึงถึงผลเสียหายจะมากน้อยเพียงใดก็ไม่สาคัญ แม้ผลเสียหายจะมากกว่าหรือน้อยกว่าที่คิดก็ถือเป็นการ
กระทาโดยจงใจ หากกระทาไปโดยรู้ว่าการกระทานั้นจะเกิดผลเสียหายแก่เขาก็เป็นการจงใจกระทาละเมิด
แลว้
20
ประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ งร้ายแรง
1. มีลกั ษณะไปในทางทีบ่ คุ คลนนั้ ได้กระทาไปโดยขาดความระมัดระวัง
2. ทีเ่ บยี่ งเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างมาก เช่น พึงคาดเห็นได้ว่าความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ หรือ
หากระมัดระวงั สกั เล็กนอ้ ย ก็คงคาดเห็นการอันอาจเกดิ ความเสยี หายเชน่ นั้น
การพิจารณาว่าอย่างไรเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้างแรงหรือไม่น้ันเป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ผู้มี
อานาจดาเนินการตามกฎหมายและระเบียบหรือศาล ย่อมข้ึนอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละกรณีเป็นกรณี ๆ ไป
ซึ่งความประมาทเลินเล่อนั้นมิใช่เป็นการกระทาโดยเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล แต่เป็นการ
กระทาโดยปราศจากความระมัดระวงั ซงึ่ บุคคลในภาวะเช่นนั้น จักตอ้ งมีตามวิสยั และพฤตกิ ารณ์
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจะมีลักษณะไปในทางบุคคลนั้นได้ทาไปโดยขาดความระมัดระวังท่ี
เบ่ียงเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างมาก เช่น คาดเห็นได้ว่า ความเสียหายเกิดข้ึน หรือหากระมัดระวัง
สกั เลก็ นอ้ ย กค็ งไดค้ าดเหน็ เชน่ น้นั
ตัวอยา่ งการประมาทเลินเล่ออยา่ งรา้ ยแรง
1. ผ้บู ังคับบญั ชาลงลายมือชือ่ ในใบเสรจ็ รบั เงนิ คา่ ธรรมเนียมไว้ล่วงหน้าและไม่ทาลายใบเสร็จดังกล่าว
กอ่ นท่จี ะย้ายไปดารงตาแหนง่ อืน่ จนทาใหผ้ ้ใู ตบ้ ังคับบัญชานาใบเสร็จไปเรียกเก็บเงินเพ่ือประโยชน์ส่วนตน ถือ
ได้วา่ เป็นการกระทาโดยประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ งรา้ ยแรง ( พ.กลาง ท่ี 1287/2549)
2. การเบิกจา่ ยเงนิ ค่าจ้างทั้งท่ีผ้รู ับจา้ งไม่ไดด้ าเนินการตามทีก่ าหนดในสญั ญาเป็นการฝุาฝืนต่อระเบียบ
ของทางราชการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเป็นการกระทาด้วยความประม าทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
(คาพพิ ากษาศาลปกครองขอนแกน่ ที่ 133/2551)
3. การท่ีเจ้าหน้าท่ีซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้รถยนต์ของทางราชการ และนารถไปจอดไว้ที่พักได้เฉพาะ
กรณีจาเป็นเร่งด่วน หรือที่จอดรถของทางราชการไม่ปลอดภัย โดยจอดรถไว้นอกร้ัวบริเวณหน้าบ้านพักท้ังท่ี
21
สามารถนารถยนตเ์ ขา้ ไปจอดภายในบ้านพัก เปน็ เหตุให้รถยนต์ของทางราชการสูญหาย ถือเป็นการกระทาโดย
ประมาทเลินเล่ออย่างรา้ ยแรง (คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. 462/2551)
4. กรณีเจ้าหน้าที่ขออนุญาตใช้รถยนต์ และขออนุญาตนารถของทางราชการมาเก็บรักษาไว้ที่บ้านพัก
ของตน ทราบว่าพนักงานขบั รถไมน่ ารถมาเก็บรักษาไว้ทบี่ า้ นพกั ของตนภายในเวลาอันสมควร แต่มิได้เอาใจใส่
ติดตามรถยนต์กลับคืนมาให้เพียงพอตามวิสัยและพฤติการณ์ท่ีผู้ควบคุมรถพึงกระทา และมิได้รายงานให้
ผบู้ งั คบั บญั ชาทราบ เป็นเหตใุ หพ้ นกั งานขับรถนารถไปใชจ้ นเกิดอบุ ัตเิ หตุ ถือว่า ความเสียหายส่วนหนึ่งเกิดจาก
การกระทาโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ควบคุมรถจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ
50 (คาพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. 549/2551)
5. การทผ่ี บู้ ังคบั บญั ชาซ่งึ มีหน้าทีค่ วบคุมการปฏบิ ัติงานดา้ นการจัดเก็บภาษีอากรและเงินผลประโยชน์
ของรฐั ไมจ่ ดั ทาสมดุ ทะเบยี นคมุ เช็ค ตามระเบยี บของทางราชการ เปน็ การเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุจริต
ยกั ยอกเงิน ถอื เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่
อ. 72/2552 อ. 73/2550 อ. 456/2550)
22
อายคุ วามการใช้สิทธิไลเ่ บีย้ เพื่อชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนแก่ผ้เู สียหาย
มาตรา 9 ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายสิทธิที่จะเรียกให้อีกฝ่าย
หนง่ึ ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนแก่ตน ให้มีกาหนดอายุความหน่ึงปีนับแต่วันท่ีหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่
ไดใ้ ช้ค่าสินไหมทดแทนนนั้ แกผ่ ้เู สยี หาย
ไม่ว่าจะเป็นค่าสินไหมทดแทนตามคาขอของบุคคลภายนอกหรือค่าสินไหมทดแทนตามคาพิพากษา
เมื่อหน่วยงานหรือเจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินไปแล้วสามารถไล่เบี้ยให้อีกฝุายชดใช้แก่ตนได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ี
จ่ายเงินไป แม้จะเกินกาหนดอายุความ 10 ปี นับแต่เหตุเกิดก็สามารถไล่เบ้ียได้แต่ต้องภายใน 1 ปี ดังกล่าว
เพราะเปน็ การรับช่วงสิทธิจากบุคคลภายนอกมาไล่เบ้ยี
23
การกระทาละเมดิ ต่อหน่วยงานของรฐั
1. หากเป็นกรณีเจ้าหน้าทกี่ ระทาการในการปฏิบัตหิ นา้ ท่ีแล้วเกิดความเสียหายขึ้นกับหน่วยงานของรัฐ
ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกฎหมายบัญญัติให้หน่วยงานนาบทบัญญัติกรณีเจ้าหน้าท่ีกระทาละเมิดต่อ
บุคคลภายนอก ตามมาตรา 8 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีเจ้าหน้าที่กระทาโดยจงใจหรือ
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจึงต้องรับผิด ต้องคานึงถึงความเป็นธรรมท่ีจะให้แก่เจ้าหน้าท่ีและดูอีกว่า
ความเสียหายเกิดจากความบกพร่องหรือความผิดของหน่วยงานด้วยหรือไม่หรือเกิดจากระบบการดาเนินการ
ส่วนรวมของทางราชการหรือไม่ เช่น การวางระบบการทางานของทางราชการหละหลวม เป็นช่องทางหรือ
เป็นโอกาสใหส้ ามารถกระทาการทจุ รติ ไดโ้ ดยงา่ ย
2. ถ้ามิใช่การกระทาในการปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ กล่าวคือ ต้องรับผิดเม่ือกระทาด้วยความประมาทเลินเล่อ ต้องรับผิดเต็มจานวนความเสียหาย และ
กรณกี ารกระทาละเมิดเกดิ จากเจ้าหน้าทห่ี ลายคนใหร้ ว่ มกันรบั ผดิ ชดใช้อยา่ งลูกหน้รี ว่ ม
24
มาตรา 10 ในกรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีเป็นผู้กระทาละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ผู้น้ันอยู่
ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทาในการปฏิบัติหน้าที่ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นา
บทบัญญัติมาตรา 8 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทาในการปฏิบัติหน้าท่ีให้บังคับตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าท่ีทั้งสองประการตามวรรคหนึ่ง ให้มีกาหนดอายุความ
สองปนี บั แตว่ ันทห่ี นว่ ยงานของรัฐรถู้ งึ การละเมิดและรตู้ ัวเจ้าหน้าท่ีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน และกรณีที่
หน่วยงานของรัฐเห็นว่าไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องรับผิด ให้สิทธิเรียกร้อง
ค่าสินไหมทดแทนน้ัน มีกาหนดอายุความหน่ึงปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคาส่ังตามความเห็น
ของกระทรวงการคลงั
มาตรา 8 พระราชบญั ญัติความรบั ผดิ ทางละเมิดฯ
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าท่ี
ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าท่ีผู้ทาละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้
ถ้าเจา้ หน้าท่ีได้กระทาการน้นั ไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง จะมีได้เพียงใดให้คานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่ง
การกระทาและความเปน็ ธรรมในแต่ละกรณเี ปน็ เกณฑ์ โดยมิต้องใหใ้ ช้เตม็ จานวนของความเสียหายกไ็ ด้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดาเนินงาน
สว่ นรวม ให้หักสว่ นแห่งความรับผดิ ดงั กล่าวออกดว้ ย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าท่ีหลายคน มิให้นาหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่
แต่ละคนต้องรับผิดชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านน้ั
ตัวอย่าง กรณีที่ไม่ถือว่ากระทาละเมิดในการปฏิบัติหน้าท่ี เช่น นอกเวลาราชการ หรือส้ินสุด
การปฏิบัติหน้าท่ีแล้ว เช่น เม่ือผู้ฟูองคดีพาคณะเจ้าหน้าที่เดินทางกลับจากไปราชการถึงสานักงานแล้ว
ถือว่าเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ ต่อมา นาย ส.พนักงานขับรถยนต์ไปส่งครูสตรีที่ไม่มีพาหนะกลับบ้าน และนา
รถยนต์ดังกล่าวไปจอดเก็บไว้ที่บ้านพักของนาย ส. แล้วรถยนต์สูญหายไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าท่ี
(คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.231/2549)
ตวั อย่าง กรณจี งใจ
ผูม้ ีอานาจพิจารณาอนมุ ตั ใิ ห้ข้าราชการเบิกค่าเช่าบ้านโดยไม่ได้ใช้ดุลพินิจให้ข้าราชการเข้าพักอาศัยใน
บ้านท่ีว่างอยู่ ถือเป็นการจงใจกระทาผิดต่อกฎหมายหรือระเบียบ (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.37/2552)
25
ตัวอย่าง กรณีประมาทเลนิ เล่ออยา่ งร้ายแรง
การท่ีกรรมการตรวจการจ้างทารายงานเสนอผู้มีอานาจเก่ียวกับการเ พิ่มและลดงานตามสัญญาจ้าง
ก่อสร้างอาคาร โดยไม่เป็นไปตามระเบียบและไม่ตรวจสอบราคาท่ีแท้จริง จนเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับ
ความเสียหาย เน่ืองจากงานส่วนที่ลด มีราคาสูงกว่างานส่วนท่ีผู้รับจ้างต้องทาเพิ่ม ถือเป็นการกระทา
โดยประมาทเลินเลอ่ อยา่ งร้ายแรง (คาพิพากษาศาลปกครองสงู สุด ที่ อ 13/2548)
การท่เี ลขานุการไม่ตรวจสอบใบเบิกเงินท่ผี ้ชู ่วยเลขานุการนาเสนอ จนเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตยักยอก
เงินของทางราชการไป ย่อมเป็นการกระทาละเมิดในการปฏิบัติปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ
อย่างรา้ ยแรง (คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ 214/2549)
การท่ีผู้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามหนังสือเวียนกระทรวงการคลังท่ีกาหนดมาตรการปูองกัน
การทุจริตในการนาเงินรายได้แผ่นดินส่งคลัง เป็นช่องทางให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทาการทุจริตยักยอกเงิน
ถือเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (คาพิพากษาศาลปกครองกลาง
ท่ี 1287/2549)
ผู้ควบคุมงานก่อสร้างมีหน้าท่ีจดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวัน
และผลการปฏบิ ัตงิ านเพือ่ รายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์ การท่ีผู้ควบคุมงานก่อสร้างไป
ดูแลงานบางวัน และมิได้ปฏิบัติตามหน้าท่ีดังกล่าว ถือว่าผู้ควบคุมงานไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เป็นการกระทา
โดยประมาทเลนิ เลอ่ อย่างร้ายแรง (คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.267/2550)
การทค่ี ณะกรรมการตรวจการจา้ ง ตรวจรับงานก่อสรา้ งอาคาร โดยไม่มีการปรับลดค่าจ้างก่อสร้างจาก
การเปลี่ยนแปลงเสาเข็ม และการไม่ติดต้ังระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
เปน็ การกระทาโดยประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรง (คาพพิ ากษาศาลปกครองกลาง ที่ 1022/2550)
การท่เี จ้าหนา้ ท่ีซ่ึงเปน็ ตาแหน่งยามมหี นา้ ท่ีรกั ษาความปลอดภยั และทรัพยส์ ินของทางราชการ ได้หลับ
ในขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นการบกพร่องต่อหน้าท่ีในการดูแลรกั ษาความเรียบรอ้ ยและความปลอดภัยตามที่ได้รับ
มอบหมาย เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทางราชการสูญหาย ถือเป็นการกระทาโดยประมาทเลินเล่ออย่าง
รา้ ยแรง (คาพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ 254/2550)
ผู้มีอานาจอนุมัติจ่ายเงินของทางราชการโดยไม่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานท้ังที่ปรากฏข้อพิรุธโดย
ชดั แจ้ง เชน่ การท่กี รรมการตรวจรบั สินคา้ ลงชื่อตรวจรับสนิ ค้าโดยไมต่ รวจสินค้าจรงิ (คาพิพากษาศาลปกครอง
สูงสดุ ที่ อ.338-339/2549)
กรณีได้รับอนุญาตให้นารถราชการไปเก็บรักษาท่ีบ้านพักเป็นคร้ังคราว แต่นาไปเก็บรักษาไว้เป็น
ประจาทุกวัน บ้านพักเป็นสถานท่ีไม่รั้วรอบขอบชิด เป็นทางสาธารณะที่คนท่ัวไปใช้ร่วมกัน เป็นเหตุให้รถ
ดังกลา่ วถกู ขโมย (คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.362/2549)
26
กรณีได้รับอนุญาตให้ใช้รถราชการ โดยจอดรถดังกล่าวไว้นอกรั้วบริเวณบ้านพัก ท้ังที่สามารถนา
รถยนต์เข้าไปจอดภายในบ้านพัก เป็นเหตุให้รถคันดังกล่าวสูญหาย (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.462/2551)
ได้รับอนุญาตให้ใช้รถราชการและเก็บรักษาไว้ที่บ้านพัก เม่ือทราบว่าพนักงานขับรถไม่นารถมาเก็บ
รักษาไว้ที่บ้านพักในเวลาอันสมควร แต่มิได้เอาใจใส่ติดตามรถคืนอย่างเพียงพอตามวิสัยและพฤติการณ์ที่
ผู้ควบคุมดูแลรถยนต์จะพึงกระทา และมิได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้พนักงานขับรถนารถ
คันดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวจนประสบอุบัติเหตุ ถือว่าความเสียหายส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาท
เลนิ เลอ่ อยา่ งร้ายแรงของเจ้าหน้าที่ดงั กลา่ วท่ีต้องร่วมรบั ผดิ (คาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด ท่ี อ.549/2551)
กรณีผู้บังคับบัญชาไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
กระทาการทุจริต ยักยอกเงินราชการ (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.214/2549,อ.72/2550,
อ.73/2550 และ อ.456/2550)
กรณีผู้มีอานาจลงลายมือชื่อในเช็ค ไม่ตรวจสอบว่ามีการขีดฆ่า คาว่า “หรือผู้ถือ” ออก และขีดคร่อม
เช็คแล้วหรือไม่ เป็นเหตุให้มีผู้ทุจริตนาเช็คไปเบิกเงินสดจากธนาคารและนาไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
หลายคร้ัง (คาพพิ ากษาศาลปกครองกลาง ที่ 549/2550)
คณะกรรมการตรวจการจ้างรับรองว่าผู้รับจ้างทางานแล้วเสร็จ ท้ังที่งานไม่เป็นไปตามท่ีกาหนดใน
สัญญา โดยไม่ได้ออกไปตรวจวัดผลงานท่ีส่งมอบจริง เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเต็ม
จานวน แต่ไดร้ ับผลงานน้อยกวา่ ตามสญั ญา เปน็ การกระทาโดยประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรง (คาพิพากษาศาล
ปกครองกลาง ท่ี 1989/2549) และศาลฎกี าวนิ ิจฉยั ในแนวทางเดียวกัน (ฎ. 2288/2534)
การท่ีเจ้าหน้าท่ีตารวจปฏิเสธไม่ส่งคืนของกลางที่ยึดไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการกระทา
โดยประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรง (คาพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ 1576/2549)
ตวั อยา่ ง กรณีไมเ่ ป็นการจงใจหรือประมาทเลนิ เลอ่
กรณีครสู งั่ ลงโทษนกั เรยี นโดยให้ว่งิ รอบสนามหลายรอบเพ่ืออบรมสั่งสอนให้มีระเบียบวินัย เป็นเหตุให้
เด็กนักเรียนถึงแก่ความตาย ถือว่ากระทาโดยประมาทเลินเล่อ แต่มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
(ฎ. 5129/2546)
กรณีผมู้ อี านาจลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินโดยตรวจว่ามีลายมือชื่อผู้ช่วยสมุห์บัญชีและสมุห์บัญชีลงนาม
รับรองความถูกต้องแล้ว แม้เจ้าหน้าท่ีจะปลอมเอกสารเบิกจ่ายเงินดังกล่าว ก็ถือว่าผู้มีอานาจได้ใช้
ความระมัดระวังในการปฏบิ ัตหิ น้าทมี่ ิไดป้ ระมาทเลินเล่อ (ฎ. 3656/2531)
27
ตวั อยา่ ง การคานึงถงึ ระดบั ความร้ายแรงแหง่ การกระทาและความเป็นธรรมในแต่ละกรณี
นักการภารโรงมิได้มีหน้าท่ีโดยตรงในการรักษาความปลอดภัย และมหาวิทยาลัยก็มิได้จัดให้มี
เจ้าหน้าท่ีโดยตรงในการรักษาความปลอดภัย ท้ังที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูง แต่ได้ให้เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติราชการปกติ
มาอยู่เวรโดยไม่มีผู้ตรวจเวร และไม่มีระเบียบข้อบังคับหรือข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษาเวรยาม เม่ือคานึงถึง
ระดับความร้ายแรงแห่งการกระทาและความเป็นธรรมในกรณีนี้ รวมทั้งความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ
ให้รับผิดอัตราร้อยละ 20 (คาพพิ ากษาศาลปกครองกลาง ท่ี 147/2550)
ตัวอยา่ ง การคานึงถงึ ความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ
มหาวิทยาลัยไม่มีระเบียบปฏิบัติในการควบคุมตรวจสอบเก่ียวกับการคืนเงินของผู้วิจัยท่ีขอถอน
โครงการวิจัย ใหช้ ัดเจนจนเปน็ ช่องทางให้เจ้าหน้าที่สามารถยักยอกเงินที่ได้รับคืนจากผู้วิจัยไปได้ นอกจากต้อง
หักส่วนความรบั ผิดเฉพาะกรณที ี่ผู้ฟอู งคดีเปน็ ผตู้ รวจพบการทุจริตและรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ต้อง
หักส่วนความรับผิดอันเกิดจากความบกพร่องของมหาวิทยาลัยท่ีไม่ได้กาหนดวิธีคืนเงินดังกล่าว ออกด้วย
(อ 314/2549)
ผู้ฟูองคดีมิได้มีส่วนร่วมเป็นผู้กระทาทุจริตหากแต่ต้องรับผิดในฐานะผู้บังคับบัญชามิได้ควบคุมดูแล
การปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา กรมฯทราบดีว่า อัตรากาลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ มิได้จัดการแก้ไข
ปล่อยปละละเลยตลอดมา ประกอบกับการทุจริตยากแก่การตรวจสอบและมีบุคลากรไม่เพียงพอ จาเป็นต้อง
แต่งตั้งบุคลากรที่ไม่เหมาะสมเข้าปฏิบัติงานในอีกหน้าที่หนึ่ง เป็นเหตุให้ขาดความรอบคอบและ
ขาดการตรวจสอบซง่ึ กันและกนั อีกท้งั การคัดเลือกบุคคลเขา้ รบั ราชการก่อให้เกิดความเสียหายในกรณีน้ี ถือว่า
กรมฯมีส่วนบกร่องทาให้ได้คนท่ีดีไม่เท่าท่ีควรเข้ามารับราชการ จึงเห็นควรหักส่วนความรับผิดลงร้อยละ 80
(อ 73/2550)
เจ้าหน้าท่ีได้รับมอบหมายให้ทาหน้าท่ีเวรรักษาการณ์ประตูเรือนจา ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจที่สาคัญ
ไม่อาจทิ้งหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าท่ีอย่างอ่ืนได้ และได้รับแต่งต้ังให้เป็นกรรมการตรวจรับสินค้าอีกหน้าท่ีหนึ่ง
ไปพร้อมกัน การลงชื่อตรวจรับสินค้าโดยไม่ได้ตรวจสินค้าจริงเป็นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
แต่ความเสียหายมีสาเหตุมาจากความบกพร่องของระบบงานของทางราชการด้วย หักส่วนความรับผิดลง
รอ้ ยละ 50 (อ 338-339/2549)
28
ตัวอย่าง การละเมดิ เกิดจากเจ้าหน้าทีห่ ลายคนไม่นาหลกั ลกู หน้ีร่วมมาใช้บงั คับ
พิจารณาตามส่วนของการกระทา ผู้ใดมีส่วนในการทาละเมิดมากกว่าก็ย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนมากกว่า หากมีส่วนในการทาละเมิดเท่ากัน ก็ย่อมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามส่วนที่เท่ากันด้วย
เช่น กรณีให้หัวหน้างานรับผิดร้อยละ 60 เน่ืองจากเป็นผู้บังคับบัญชาช้ันต้นท่ีใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชา
ท้ังหมดมากกว่าสรรพากรอาเภอ ร้อยละ 40 ซ่งึ เป็นผบู้ งั คับบญั ชาสงู สุด ถือว่าเหมาะสม (อ 72-73/2550)
ผู้เสียหายมีส่วนในการทาละเมิดปะปนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง เช่น ผู้รับเหมาทาการก่อสร้างทางใช้ถังน้ามัน
ปิดก้ันขวางถนนที่กาลังก่อสร้างโดยไม่ติดต้ังอุปกรณ์ส่องสว่าง เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน
กรมทางหลวงต้องร่วมรับผิดกับผู้รับเหมา แต่ฟังได้ว่าโจทก์ขับรถด้วยความเร็วมิได้ใช้ความระ มัดระวัง
โจทกจ์ ึงได้ชอ่ื วา่ มีสว่ นในความประมาททก่ี ่อให้เกดิ ความเสียหายดว้ ย จึงหักส่วนลง 1 ใน 3 (ฎ 4129/2530)
กรณลี ะเมิดในคดีนี้มใิ ชเ่ กดิ จากผฟู้ ูองคดี กับหวั หน้างาน จงใจกระทาละเมิด อันจะถือว่าร่วมกันกระทา
ละเมิด หากแต่เป็นเรื่องต่างคนต่างทาละเมิด จึงต้องรับผิดในผลละเมิดเฉพาะส่วนท่ีตนได้กระทาลง การแบ่ง
สว่ นความรับผดิ ร้อยละ 40 และร้อยละ 60 ถอื วา่ เหมาะสม (อ 72/2550)
29
Company Logo
อายุความการใชส้ ิทธเิ รียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหนา้ ท่ี
มาตรา 10 วรรคสอง พ.ร.บ. ละเมิด
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าท่ีท้ังสองประการตามวรรคหน่ึง ให้มีกาหนดอายุความ
สองปนี บั แตว่ ันที่หนว่ ยงานของรฐั รถู้ งึ การละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน และกรณีที่
หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าท่ีผู้นั้นไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องรับผิด
ให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนน้ันมีกาหนดอายุความหนึ่งปีนับแต่วันท่ีหน่วยงานของรัฐมีคาส่ัง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลงั
อายคุ วามในการใชส้ ิทธิเรยี กร้องคา่ เสยี หาย
1. หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ภายในกาหนดอายุความ 2 ปี
นบั แตว่ นั ทีห่ นว่ ยงานของรฐั รถู้ ึงการละเมดิ และรู้ตวั เจ้าหน้าที่ผู้จะพงึ ต้องชดใชค้ ่าสินไหมทดแทน
อายคุ วาม 2 ปี ตามมาตรา 10 วรรคสอง นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าท่ีได้กระทาละเมิดในการปฏิบัติ
หน้าทห่ี รอื กรณไี ม่ใช่การกระทาละเมิดในการปฏิบัติหน้าท่ีก็ตามถือว่าอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 10
ท้ังสน้ิ
การเร่ิมนับอายุความนั้น ต้องถือเอาวันที่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีได้รับความเสียหายได้รู้ถึงการ
ละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นวันเริ่มนับอายุความ ซ่ึงในกรณีท่ีหัวหน้าหน่วยงาน
ของรฐั ไดแ้ ตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวนเพือ่ หาตวั ผ้ตู ้องรบั ผดิ ทางละเมิด เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอ
รายงานการสอบสวนที่ได้ระบุตัวผู้จะต้องรับผิดไว้แล้วต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ โดยปกติศาลจะถือเอาวันที่
หัวหน้าหนว่ ยงานของรัฐได้รับทราบรายงานการสอบสวนดังกล่าวเปน็ วันเร่ิมนับอายคุ วาม
30
หรือในทางกรณีอายุความ 2 ปี ที่จะเริ่มนับกรณีมีผู้ต้องรับผิดต้องนับแต่ผู้แต่งต้ังลงนามเห็นชอบด้วย
กบั คณะกรรมการสอบข้อเท็จจรงิ ความรบั ผดิ ทางละเมิด และต้องออกคาสั่งเรียกให้ผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนใหท้ นั ภายใน 2 ปี ดงั กลา่ ว
คาพิพากษาฎีกาท่ี 755/2550 โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล มีอธิบดีเป็นผู้แทน การนับ
อายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ต้องเร่ิมนับต้ังแต่วันที่อธิบดี
ผู้แทนโจทก์รูถ้ งึ การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน น. เป็นนายช่างแขวงการทาง ซึ่งเป็นเพียง
ข้าราชการในกรมของโจทก์เท่าน้ัน ไม่ใช่ผู้แทนของโจทก์ แม้ น. จะรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง
ใช้ค่าสินไหมทดแทนต้ังแต่ปี 2539 แล้วแต่อธิบดีผู้แทนโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวเม่ือวันที่ 26 กันยายน 2546
จึงถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 26 กันยายน 2546 นับถึงวันที่
12 มีนาคม 2547 ซง่ึ เป็นวนั ฟอู งยงั ไม่พ้นกาหนด 1 ปี คดีของโจทกจ์ ึงไมข่ าดอายคุ วาม
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2956/2538 กองทับบกโจทก์เป็นนิติบุคคล มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้แทน
มีอานาจบังคับบัญชาและรับผิดชอบจึงเป็นผู้มีอานาจทาการแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 75 หรือที่แกไ้ ขใหม่มาตรา 70 การที่กองบญั ชาการควบคมุ กองพลทหารราบที่ 4 ส่วนราชการของโจทก์
มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทราบข้อเท็จจริงและมีการรายงานเหตุการณ์เสียชีวิตของนายทหาร
ช้ันสัญญาบัตรให้โจทก์ทราบตลอดจนมีการทาบันทึกเรื่องค่าเสียหายจะถือว่าโจทก์ทราบไม่ได้ กรณีต้องถือว่า
โจทก์เพิ่งทราบเหตุและตัวผู้ต้องรับผิดเม่ือผู้บัญชาการทหารบกได้ทราบรายงานและลงนามอนุมัติ
ใหฟ้ อู งเรยี กค่าเสียหายจากจาเลยทั้งสาม
ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จที่ 618/2543 กรณีผู้อานวยการองค์การสะพานปลา
ไมอ่ ยูเ่ พราะไปต่างประเทศ ผูร้ ักษาการแทนผอู้ านวยการองค์การสะพานปลาจะมีอานาจวินิจฉัยส่ังการได้ หรือไม่
และจะถือว่าองค์การสะพานปลารู้ถึงการละเมิดน้ันหรือไม่ อย่างไร น้ัน เห็นว่า ข้อ 4 แห่งข้อบังคับองค์การ
สะพานปลาว่าด้วยระเบียบบริหารและแบ่งส่วนงาน (ฉบับท่ี 4) พ.ศ.2523 กาหนดว่า ในกรณีผู้อานวยการ
ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ รองผู้อานวยการหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้รักษาการแทน ประกอบกับคาสั่งองค์การ
สะพานปลา ที่ 29/2543 เร่ืองมอบหมายให้รองผู้อานวยการปฏิบัติงานแทนผู้อานวยการ ลงวันท่ี 18 กุมภาพันธ์
2543 ได้กาหนดเรื่องการรักษาการแทนไว้ โดยให้รองผู้อานวยการฝุายปฏิบัติการและรองผู้อานวยการฝุายบริหาร
รักษาการแทนตามลาดับ ดังน้ัน ผู้รักษาการแทนย่อมมีอานาจวินิจฉัยส่ังการได้ และหากใน รายงาน
ก า ร ส อ บ ส ว น ข อ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ส อ บ ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง ค ว า ม รั บ ผิ ด ท า ง ล ะ เ มิ ด ไ ด้ ร ะ บุ เ กี่ ย ว กั บ เ จ้ า ห น้ า ท่ี
ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้ ย่อมถือได้ว่าองค์การสะพานปลาได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่
31
ผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ตามนัยมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด
ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ.2539
หากหน่วยงานของรัฐออกคาสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อพ้นอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่
หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าท่ีผู้พึงจะต้องชาระค่าสินไหมทดแทน ตามท่ีมาตรา 10
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. 2539 ได้กาหนดไว้ สิทธิเรียกร้อง
ค่าสินไหมทดแทนของหน่วยงานของรัฐย่อมส้ินสุดลง ซ่ึงศาลปกครองสูงสุดวางแนววินิจฉัยไว้ว่า
“… เมื่อหน่วยงานของรัฐออกคาสั่งให้เจ้าหน้าท่ีผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเม่ือพ้นอายุความใช้สิทธิ
เรยี กรอ้ งดังกลา่ วแล้วจงึ เป็นการออกคาส่ังท่ีไมช่ อบด้วยกฎหมาย...”
2.กรณีท่ีหน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่น้ันไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าต้องรับผิด ให้สิทธิเรียกร้องน้ันมีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่หน่วยงานรัฐมีคาสั่งตามความเห็นของ
กระทรวงการคลงั
กรณีที่หวั หน้าหน่วยงานของรัฐมีความเห็นว่าเจ้าหน้าท่ีผู้นั้นไม่ต้องรับผิด อายุความในการออกคาส่ัง
เรียกให้เจ้าหน้าท่ีชาระเงินจะมีเพียง 1 ปี นับแต่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐมี คาสั่งตามความเห็นของ
กระทรวงการคลัง แต่การออกคาสั่งดงั กลา่ วต้องไมเ่ กนิ 10 ปี นับแตว่ ันเกดิ เหตุ
32
การเรียกให้เจา้ หนา้ ที่ผู้กระทาละเมิดชดใชเ้ งินใหแ้ ก่หนว่ ยงานของรัฐ
1.หนว่ ยงานของรฐั มีอานาจออกคาสง่ั เรียกใหเ้ จ้าหนา้ ทผี่ ู้กระทาละเมิด (มาตรา 12)
มาตรา 12 ในกรณีที่เจา้ หนา้ ท่ตี ้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐได้ใช้ให้แก่ผู้เสียหาย
ตามมาตรา 8 หรือในกรณีที่เจ้าหน้าท่ีต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้น้ันได้กระทาละเมิด
ตอ่ หน่วยงานของรฐั ตามมาตรา 10 ประกอบกับมาตรา 8 ให้หน่วยงานของรัฐที่เสียหายมีอานาจออกคาส่ัง
เรียกให้เจา้ หน้าท่ผี ้นู ้นั ชาระเงินดังกล่าวภายในเวลาท่ีกาหนด
หน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเสียหายมีอานาจออกคาสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนได้ โดยไม่ต้องฟูองคดีต่อศาล แต่ถ้าไม่ใช่การกระทาในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐ
ต้องยื่นฟูองคดีต่อศาลตามปกติ โดยไม่ต้องคานึงว่าผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเป็นเจ้าหน้าท่ี
ในสงั กดั ของหนว่ ยงานใด
การอทุ ธรณ์คาสัง่ เรียกให้ชดใช้คา่ สินไหมทดแทน
กรณีที่เจ้าหน้าท่ีผู้นั้นไม่เห็นด้วยกับคาส่ังน้ันเพราะเห็นว่า คาสั่งดังกล่าวท่ีหน่วยงานของรัฐสั่งน้ัน
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจเป็นเพราะเห็นว่าการกระทาของตนไม่ได้เป็นการกระทาโดยจงใจหรือประมาท
เลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเป็นการกระทาท่ีต้องรับผิดแต่จานวนเงินที่ต้องชดใช้นั้นไม่เป็นธรรม หรือคาส่ังน้ัน
ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย เจ้าหน้าท่ีก็มีสิทธิท่ีจะอุทธรณ์คาสั่งนั้นได้โดยหลักเกณฑ์และเง่ือนไข
ในการอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 โดยเจ้าหน้าท่ีผู้ถูกออกคาส่ังนั้น
จะต้องอุทธรณ์ภายในระยะเวลา 15 วนั นับแต่ได้รับแจ้งคาสั่งดังกล่าว (ตามมาตรา 44) แต่หากหน่วยงานของรัฐ
ได้ออกคาส่ังฯ โดยไม่ได้แจ้งสิทธิอุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์ทราบว่าเจ้าหน้าที่ผู้น้ันมีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้ใดภายใน
ระยะเวลาเท่าใดแล้ว ระยะเวลาการอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่ผู้น้ันจะขยายออกเป็นหน่ึงปีนับแต่วันท่ีเจ้าหน้าที่
ผูน้ ั้นได้รับคาสั่งทางปกครอง (ตามมาตรา 45) โดยอุทธรณ์ต้องทาเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง
หรอื ข้อกฎหมายทอี่ ้างอิงประกอบด้วย
เจ้าหน้าทผ่ี ู้พจิ ารณาอทุ ธรณม์ ีอานาจทบทวนคาสงั่ ไดไ้ มว่ า่ จะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาข้อกฎหมาย
หรือข้ันตอนตามกฎหมายบัญญัติไว้ ดังน้ัน ผู้อุทธรณ์จึงสามารถยกเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ได้ โดย
เจ้าหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์
ในกรณีที่เห็นด้วยกับคาอุทธรณ์ไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วน ก็ให้ดาเนินการเปล่ียนแปลงคาสั่งทางปกครองตาม
ความเห็นของตนภายในกาหนดเวลาดังกล่าวด้วย ถ้าเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา 44 วรรคหน่ึง ไม่เห็นด้วยกับ
33
คาอทุ ธรณไ์ มว่ ่าทง้ั หมดหรือบางส่วนก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังผู้มีอานาจพิจารณาคาอุทธรณ์
ภายในกาหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีอานาจพิจารณาคาอุทธรณ์ พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับ
แต่วันที่ตนได้รับรายงาน ถ้ามีเหตุจาเป็นไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอานาจ
พิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกาหนดเวลาดังกล่าว ในการนี้ให้ขยายระยะเวลา
พิจารณาอทุ ธรณอ์ อกไปได้ไม่เกินสามสิบวันนบั แต่วันทค่ี รบกาหนดเวลาดงั กล่าว
สาหรับผู้ที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ได้กาหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540) ออกตาม
ความในพระราชบญั ญตั วิ ิธีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ในเร่ืองอานาจการพิจารณาอุทธรณ์นี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยตอบข้อหารือไว้ว่า ผู้มีอานาจ
พิจารณาคาอุทธรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทส่วนราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต้องผูกพันตาม
ความเหน็ ของกระทรวงการคลังด้วย (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 668/2551)
อายุความทเ่ี จา้ หนา้ ทจี่ ะตอ้ งไปฟูองต่อศาลปกครองนั้นมีกาหนดภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควร
รู้ถึงเหตุแห่งการฟูองคดี ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542 แต่หากคาสงั่ ท่ีเรยี กใหช้ ดใช้คา่ สินไหมทดแทนไม่ได้แจ้งสิทธิตามข้อ 19 ระยะเวลาในการยื่นคาฟูอง
ต่อศาลปกครองให้ขยายเปน็ หนงึ่ ปีตั้งแตว่ นั ที่ได้รับคาส่ัง ตามมาตรา 50 วรรคทา้ ยแห่งพระราชบญั ญตั ดิ ังกล่าว
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 161/2553
ศาลปกครองจะรับคาฟูองท่ีย่ืนต่อศาลไว้พิจารณาได้ต่อเมื่อคดีพิพาทตามคาฟองนั้น เปนคดีที่อยู่ใน
อานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและการฟู องคดีนั้นเป็ นไปตามเงื่อนไขการฟองคดีตามที่กฎหมาย
ว่าด้วยการจัดตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองกาหนด เม่ือได้ยื่นอุทธรณคาส่ังดังกล่าวแล้วผู้ฟูองคดี
ชอบท่ีจะรอให้ผู้ถูกฟูองคดีวินิจฉัยอุทธรณคาสั่งน้ันก่อนหรือรอให้พ้นระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์ตาม
ที่กฎหมายกาหนดไว้กอ่ น จงึ จะมสี ิทธนิ าคดนี ีม้ าฟูองต่อศาลปกครอง
การท่ีผู้ถูกฟูองคดีได้มีคาส่ังเรียกให้ผู้ฟูองคดีชดใชค่าสินไหมทดแทน เป็นกรณีที่ผู้ถูกฟูองคดีใช้อานาจ
ตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าท่ีของผู้ฟู องคดีจึงมีลักษณะเป็นคาสั่งทางปกครอง
ตามมาตรา 5 แหง่ พระราชบัญญตั ิวธิ ีปฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 หากผู้ฟูองคดีเห็นว่าคาสั่งเรียกให้
ชดใช้เงินของผู้ถูกฟูองคดีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟูองคดีจะต้องดาเนินการอุทธรณ์คาส่ังน้ันต่อผู้ทา
คาสั่งภายในสิบห้าวันนับแต่ วันที่ตนได้ รับแจ้งคาส่ังดังกล่ าวเพราะเป นคาสั่งทางปกครองที่ไม่ได้ออกโดย
รัฐมนตรแี ละไมม่ ีกฎหมายกาหนดขัน้ ตอนอทุ ธรณ์ภายในฝุายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ตามนัยมาตรา 44 แห่ง
พระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟูองคดีได้มีหนังสือยื่นอุทธรณ์คาส่ังชดใช้เงินดังกล่าวต่อผู้ถูกฟูองคดี
โดยย่ืนทางไปรษณีย์ เม่ือได้ย่ืนอุทธรณ์คาสั่งดังกล่าวแลวผู้ฟูองคดีชอบที่จะรอให้ผู้ถูกฟูองคดีวินิจฉัยอุทธรณ์
คาส่งั นั้นก่อน หรือรอให้พ้นระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์ตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้ก่อน จึงจะมีสิทธินาคดีนี้
มาฟูองตอ่ ศาลปกครอง แต่ผูฟ้ ูองคดีนาคดีมาฟูองตอ่ ศาลปกครองโดยมิได้รอให้ผู้ถูกฟูองคดีวินิจฉัยอุทธรณ์หรือ
รอให้พ้นกาหนดระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้เสียก่อน และขณะที่ย่ืนฟูองคดีนี้ผู้ถูก
ฟอู งคดยี ังไมไ่ ดร้ ับหนงั สืออทุ ธรณ์ดงั กลา่ ว กรณีน้ีจึงถือว่าผู้ฟูองคดียังมิได้มีการดาเนินการแก้ไขความเดือดร้อน
34
เสียหายตามข้ันตอนและวิธีการท่ีกฎหมายกาหนด ตามมาตรา 42 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 สทิ ธิในการฟูองคดีจึงยังไม่เกิดข้นึ
2. กรณีเจ้าหน้าที่ไม่ชาระเงินภายในเวลาที่กาหนดหน่วยงานของรัฐมีอานาจใช้มาตรการบังคับ
ทางปกครอง
เมือ่ หน่วยงานของรฐั ได้ออกคาส่งั ให้ชาระเงนิ ภายในระยะเวลาเท่าใด ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ชาระ หน่วยงาน
ของรัฐก็จะออกหนงั สอื เตือนให้ชาระภายในเวลาที่กาหนด ซ่ึงต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่ชาระอีกก็ดาเนินการ
ยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาด เพ่ือบังคับชาระหน้ีต่อไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีประโยชน์ต่อ
หน่วยงานของรัฐที่สามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อบังคับชาระหน้ีได้เอง โดยไม่จาเป็นต้องฟูองคดี
ตอ่ ศาลเพ่ือขอให้มีคาบังคับให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐ ตามนัย
มาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
35
ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของ
เจ้าหนา้ ที่ พ.ศ. 2539 เป็นการกาหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่โดย
กาหนดข้นั ตอนการปฏบิ ัติตั้งแตเ่ กดิ ความเสียหายจนถึงเมื่อถูกฟูองคดีและการไล่เบ้ยี
36
ระเบยี บดังกลา่ ว มีคาจากัดความท่สี าคัญ 3 คา
เจ้าหน้าท่ี หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็น
การแต่งต้ังในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอ่ืนใด รวมถึงบุคลากรทุกประเภทที่ทางานให้กับรัฐไม่ว่าจะเป็น
ลกู จา้ งหรือกรรมการ และไมว่ ่าจะเปน็ การแตง่ ตั้งในฐานะใด
ความเสยี หาย หมายถึงความเสียหายที่เกิดจากการละเมิดท่ัว ๆไป แต่ไม่รวมถึงการออกคาส่ังหรือกฎ
(เช่น ผ้วู า่ มคี าสงั่ ปลดผู้ใหญบ่ ้านถือเป็นการออกคาสั่งหากมีการเรียกร้องข้ึนมาไมต่ ้องตัง้ กรรมการสอบละเมิด)
ตัวอย่างความเสียหายที่เกดิ จากการละเมิดทั่วๆ ไป เช่น
1. ความเสยี หายทเ่ี กดิ จากการตรวจรบั การจ้าง/ตรวจรับพสั ดไุ มค่ รบ
2. ความเสียหายทีเ่ กิดจากการทุจรติ /ไม่ปฏิบัติตามระเบียบทางการเงิน
3. ความเสียหายจากอุบัตเิ หตุ/ทรัพยส์ นิ สูญหาย เสยี หาย
ผู้แต่งตั้ง คือ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ หรือผู้ท่ีได้รับมอบอานาจให้ตั้งกรรมการสอบละเมิด
(ส่วนกลาง = อธบิ ดี, ส่วนภมู ิภาค = ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั )
หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีมีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด หมายถึง
หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเป็นเจ้าของทรัพย์สินท่ีได้รับความเสียหาย ในกรณีที่เกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน
ของรัฐมากกว่าหนึ่งแห่ง หรือ ความเสียหายเกิดจากผลการกระทาของเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานให้ผู้มีอานาจ
แต่งตั้งฯ ร่วมกนั แต่งตัง้ คณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จรงิ ความรบั ผิดทางละเมิด
37
ระเบียบฯ กาหนดแนวทาง/ขั้นตอนการปฏิบตั เิ มือ่ เจา้ หน้าท่ขี องรฐั กระทาละเมดิ ไว้เปน็ 2 กรณี คอื
หมวด 1 กรณเี จ้าหน้าที่กระทาละเมิดต่อหนว่ ยงานของรัฐ
หมวด 2 กรณเี จา้ หน้าที่กระทาละเมดิ ต่อบคุ คลภายนอก
38
หมวด 1 กรณีเจ้าหน้าที่กระทาละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ระเบียบให้ใช้บังคับกับหน่วยงานของรัฐทุก
หนว่ ยงาน (ตามระเบยี บฯข้อ 6) ดังน้ี
1. กระทรวง ทบวง กรม (สว่ นกลาง, ส่วนภูมภิ าค) และ
2. ส่วนท้องถน่ิ รฐั วสิ าหกิจ หนว่ ยงานอนื่ ฯ
39
เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแก่หน่วยงานของรัฐแห่งใดไม่ว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐแห่งนั้นจะเป็นผู้กระทาหรือ
เจา้ หน้าทข่ี องรฐั หนว่ ยงานอน่ื เป็นผกู้ ระทาใหเ้ กิดความเสียหายขึน้ มขี นั้ ตอนการดาเนนิ การดงั น้ี
1. ให้เจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวข้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันต้นโดยด่วน และให้ผู้บังคับบัญชา
ช้ันต้นรายงานตามลาดับช้ัน จนถึงหัวหน้าหน่วยงานของรัฐแห่งน้ัน ตามนัย ข้อ 7 แห่งระเบียบสานัก
นายกรัฐมนตรฯี )
2. เมื่อหน่วยงานได้รับรายงานและไม่ทราบแน่ชัดว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นหรือไม่ หรือความเสียหาย
นั้นเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าท่ีหรือไม่ เช่นกระจกรถราชการแตกโดยไม่ทราบสาเหตุก็ให้มีการสอบ
ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นและหากเหน็ ว่า
2.1 มีเหตุอันควรเช่ือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าท่ีให้ตั้งคณะกรรมการ
สอบข้อเท็จจรงิ ความรับผิดทางละเมดิ
2.2 ไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าความเสียหายเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าที่ก็ไม่จาต้องแต่งต้ัง
คณะกรรมการฯ แต่ต้องรายงานผู้บังคับบัญชาหรือกากับดูแลหรือควบคุมการปฏิบัติงาน เพ่ือพิจารณา
ว่าสมควรแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงความรบั ผดิ ทางละเมิด (ขอ้ 12) หรือไม่
40
กรณมี ีเหตุอนั ควรเชือ่ ว่าความเสียหายเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าที่ ใหห้ ัวหนา้ หนว่ ยงานที่เป็น
เจา้ ของทรพั ย์สินท่ีไดร้ ับความเสียหาย (ข้อ 8) แต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงความรับผิดทางละเมิด เพ่ือ
พจิ ารณาเสนอความเห็นเกีย่ วกับผ้ตู อ้ งรับผิดและจานวนค่าสินไหมทดแทนท่ีผนู้ ั้นต้องชดใช้ (สว่ นการพิจารณา
วา่ หน่วยงานใดเป็นเจ้าของทรัพยส์ ินที่ไดร้ ับความเสียหายนั้นในทางปฏิบัตใิ ห้ถือว่า หวั หนา้ หน่วยงานของรัฐท่ี
ไดร้ บั จดั สรรงบประมาณเพอื่ ใหไ้ ดท้ รพั ยส์ ินดังกล่าวเป็นเจา้ ของทรพั ย์สิน)
ตัวอย่างกรณีทรัพย์สินของโรงพยาบาลประจาจังหวัด ซึ่งจัดซื้อโดยงบประมาณของสานักงานปลัดกระทรวง
สาธารณสุข สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และมีอานาจแต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และมีอานาจฟูองคดีในกรณีผู้กระทาละเมิดต่อทรัพย์สินดังกล่าว
ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดแม้จะมีอานาจบังคับบัญชาข้าราชการในส่วนภูมิภาคในจังหวัดนั้นก็ตาม ไม่มีอานาจ
แต่งตั้งคณะกรรมการฯหรือฟูองคดี เว้นแต่จะได้รับมอบอานาจตามนัยมาตรา 38(5)แห่ง พระราชบัญญัติ
ระเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534
- กรณีไมม่ เี หตอุ ันเช่ือว่าความเสยี หายเกดิ จากการกระทาของเจ้าหนา้ ท่ี ไมต่ อ้ งตัง้ คณะกรรมการฯ
- การแต่งต้งั คณะกรรมการฯ อย่างน้อยต้องประกอบด้วย
1. คณะกรรมการฯ จานวนไม่เกิน 5 คน จากเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน หรือหน่วยงานอื่น (อยู่ใน
พระราชบญั ญัติละเมดิ เหมอื นกัน) ตามความเหมาะสม
2. ให้กาหนดเวลาแล้วเสร็จของการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตามแต่กรณีว่าเป็นเรื่องยากหรือ
เร่ืองง่าย โดยใช้ดุลพินิจตามความเหมาะสม เช่น ให้คณะกรรมการดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน
เปน็ ตน้
กระทรวงการคลงั มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจให้หน่วยงานของรัฐดาเนินการเมื่อเกิดความเสียหายแก่
หน่วยงาน ให้หัวหน้าหน่วยงานฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโดยไม่ชักช้า
อยา่ งชา้ ไม่ควรเกิน 15 วัน นับแตร่ ู้หรือทราบความเสยี หายและให้รีบดาเนนิ การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทาง
ละเมดิ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อย่างช้าไมค่ วรเกนิ 60 วนั นบั แต่วันท่แี ต่งตงั้ หากคณะกรรมการไม่สามารถสอบสวน
ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด ผู้แต่งต้ังฯ อาจอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน
โดยคานึงถึงเหตุผลความจาเป็นในการขอขยาย และระมัดระวังเรื่องอายุความด้วย (หนังสือกระทรวงการคลัง
41
ที่ กค 0406.2/ว.75 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2550 เรื่องซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติในการสอบข้อเท็จจริง
ความรบั ผิดทางละเมิด)
3. ประกาศ กระทรวงการคลงั “ระเบียบฯ ให้อานาจ กระทรวงการคลัง มีอานาจประกาศมูลค่าความ
เสียหายตั้งแต่จานวนเท่าใด จะให้มีผู้แทนของหน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้”
(ปัจจุบันยังไมม่ ีการประกาศฯ)
และระเบียบฯ ยังได้ให้อานาจกระทรวงการคลังในการประกาศกาหนดจานวนความเสียหายหรือผู้แทน
หนว่ ยงานใดรว่ มเป็นกรรมการด้วยก็ได้
42
ข้อยกเวน้ ไม่ตอ้ งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรบั ผดิ ทางละเมิด
1. ในชั้นสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น กรณีไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าความเสียหายเกิดจากการกระทาของ
เจ้าหน้าท่ี (เช่น ขับรถไปปฏิบัติราชการแล้วกระจกบังลมเกิดแตกร้าวข้ึนเอง หรือภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถ
ปูองกันได้ ) ให้รายงานผู้บังคับบัญชา หากผู้บังคับบัญชาเห็นด้วย ให้ยุติเร่ือง แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบขอ้ เท็จจริงความผิดทางละเมดิ
2. ในกรณีหน่วยงานของรัฐทราบแน่ชัดว่าเจ้าหน้าท่ีผู้กระทาละเมิดคือผู้ใด(รู้เหตุ รู้ตัว รู้จานวน
ค่าเสียหาย) และทราบจานวนค่าเสียหายท่ีแน่นอน และเจ้าหน้าที่ผู้กระทาละเมิดยินยอมชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนใหแ้ ก่หนว่ ยงานของรฐั แล้ว หน่วยงานของรฐั ไมจ่ าเป็นตอ้ งแต่งต้งั คณะกรรมการฯ
3. ท้งั น้ีกรณยี ุตเิ ร่ือง ท้ังข้อ1 และ 2 หวั หน้าหนว่ ยงานต้องรายงานผลการพจิ ารณาให้ปลัดกระทรวง ปลัด
ทบวงหรือรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา พิจารณาว่าสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมดิ (ตามข้อ 12) ต่อไปหรอื ไม่
43
กรณที ่ตี ้องรว่ มกนั แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบข้อเทจ็ จริงความรับผดิ ทางละเมดิ
1. เจ้าหน้าท่ีหน่วยงานของรัฐทาความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐอีกแห่งหนึ่ง เช่น พขร. ของ
หน่วยงาน ก. ขับรถรถยนต์ไปราชการท่ีสานักงบประมาณ ขณะถอยรถจอดเกิดเฉ่ียวชนกระจกรถของ
หน่วยงาน ข. แตกเสียหาย) ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเสียหาย และหัวหน้าหน่วยงานท่ี
เจ้าหน้าท่ีผู้กระทาให้เกิดความเสียหายสังกัดอยู่ มีอานาจร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
ความรับผดิ ทางละเมิด และจะตอ้ งรว่ มกันพจิ ารณาลงนามในคาสงั่ แต่งต้ังคณะกรรมการฯ
2. หน่วยงานของรัฐมากกว่าหนึ่งแห่งได้รับความเสียหาย (เช่น รถราชการของหน่วยงาน ก. เกิด
อุบตั ิเหตุเฉี่ยวชนกบั รถราชการหน่วยงาน ข ทาใหร้ ถของหน่วยงาน ก. และรถของหนว่ ยงาน ข. เสยี หาย)
3. เกดิ การทาละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ีหลายหน่วยงาน (เช่น กรณีคณะกรรมการกาหนดราคากลางสูงกว่า
ความเป็นจริง คณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ ผู้แทนหน่วยงานด้านโยธาฯ
รว่ มเป็นกรรมการ เปน็ ต้น)
กรณีข้อ 2-3 ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเสียหาย และหัวหน้าหน่วยงานท่ีเจ้าหน้าที่
ผูก้ ระทาให้เกดิ ความเสยี หายสงั กัดอยู่ บรรดาท่เี กีย่ วขอ้ งร่วมกันแต่งตง้ั คณะกรรมการฯ
ในการแตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดร่วมกัน ให้ตกลงกันว่าหน่วยงานใด
จะเป็นผู้ออกคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เม่ือตกลงกันได้ก็ให้ออกคาส่ังตั้งคณะกรรมการ โดยหัวหน้า
หนว่ ยงานทุกแหง่ ต้องร่วมกนั ลงนามในคาสง่ั แต่งตงั้ กรรมการฉบบั เดยี วกนั
ท้ังน้ี ในการออกคาส่ังเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะต้องออกโดยหัวหน้าหน่วยงานของรัฐผู้ได้รับ
ความเสียหายเท่านน้ั
คาว่า “หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ” ตามมาตรา 12 หมายถึง หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเสียหาย
จากการทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ แต่หากเป็นกรณีที่ผู้ลงนามในคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดไม่ใช่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเสียหายแต่เป็นบุคคลอ่ืน ผู้ใดจะเป็นผู้มีอานาจออก
คาสั่งเรียกให้เจ้าหน้าท่ีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นไว้ว่า
ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ ได้กาหนดให้หน่วยงานของรัฐ
ที่เสียหายจากการทาละเมิดของเจ้าหน้าที่มีอานาจออกคาส่ังเรียกให้เจ้าหน้าที่ชาระเงิน ผู้มีอานาจออกคาสั่ง
จึงได้แก่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเสียหาย ส่วนการที่ข้อ 18 ของระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย
44
หลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ีฯ กาหนดให้ผู้แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพ่ือหาผู้รับผิด ออกคาส่ังให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น หมายเฉพาะ
กรณที ผ่ี ้แู ตง่ ตง้ั เปน็ บุคคลอืน่ ทม่ี ิใช่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐท่ีเสียหาย ตามข้อ 18 จึงมุ่งหมายเพียงให้ผู้แต่งต้ัง
ดาเนินการใดๆ เพ่ือให้มีการออกคาสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่าน้ัน ส่วนผู้ที่มีอานาจออกคาส่ังให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนต่อไปก็ยังคงต้องเป็นหน่วยงานของรัฐที่เสียหายตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ
ความรับผิดทางละเมดิ ของเจ้าหนา้ ที่ฯ
กรณีที่หารือมานี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบ
ข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดแทนนายกเทศมนตรีตาบลต้นเปาซ่ึงเป็นหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เสียหาย
ดังน้ัน เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในฐานะผู้แต่งต้ังได้แจ้งให้เทศบาลตาบลต้นเปาออกคาสั่งให้เจ้าหน้าท่ี
ผทู้ าละเมดิ ชดใช้คา่ สินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว จงึ เปน็ กรณที ผ่ี แู้ ต่งต้ังได้ดาเนินการ
เพ่ือให้มีการออกคาส่ังให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ 18 ของระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีฯ แล้ว เทศบาล
ตาบลต้นเปาในฐานะหน่วยงานของรัฐที่เสียหายจึงมีอานาจหน้าท่ีออกคาส่ังให้เจ้าหน้าท่ีชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนต่อไปตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ โดยนายกเทศมนตรี
ตาบลต้นเปาปัจจบุ นั ซึ่งมิไดเ้ ปน็ ผู้มสี ่วนร่วมหรือมีสว่ นเกย่ี วข้องกบั การทาละเมดิ ยอ่ มมอี านาจออกคาสั่งให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่มีเหตุอันจะทาให้ขาดความเป็นกลางในการพิจารณาออกคาส่ัง และกรณีท่ี
นายกเทศมนตรตี าบลต้นเปาได้พิจารณามีคาสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
หรือได้มีคาส่ังตามการวินิจฉัยส่ังการของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ไปแล้ว หากมีการย่ืนอุทธรณ์คาสั่ง
นายกเทศมนตรีตาบลตน้ เปายอ่ มตอ้ งผูกพันตามความเหน็ ของกระทรวงการคลงั หรือตามการวินิจฉัยสั่งการของ
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ด้วย แล้วแต่กรณี ไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์แตกต่างไปจากคาสั่งเดิมได้ ทั้งน้ี โดย
เทียบเคยี งหลกั การทค่ี ณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เคยวินิจฉยั ไวใ้ นเร่ืองเสร็จท่ี 194/25491
1 ความเหน็ คณะกรรมการกฤษฎีกา เร่อื งเสร็จท่ี 335/2550
45
กรณีผู้มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการ ไม่ดาเนินการภายในเวลาสมควร หรือแต่งตั้งคณะกรรมการ
ไม่เหมาะสม ให้ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง รัฐมนตรีซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชา หรือกากับดูแล หรือควบคุมการ
ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าวมีอานาจ แต่งตั้ง/เปลี่ยนแปลงกรรมการแทนผู้มีอานาจแต่งต้ังน้ันได้ตามท่ี
เหน็ สมควร (ข้อ 12)
- กรณีไม่ดาเนินการภายในเวลาสมควร เช่น ปล่อยปละละเลยไม่แต่งตั้งคณะกรรมการ ในเวลาอันควร
ลว่ งเลยเวลา 60 วนั นบั แต่วนั ที่รู้ว่าเกิดเหตุละเมดิ
- กรณีแต่งตั้งคณะกรรมการไม่เหมาะสม เช่น แต่งต้ังบุคคลท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือ
อาจมีส่วนเก่ียวขอ้ งกับเรอื่ งทส่ี อบขอ้ เทจ็ จริงเป็นคณะกรรมการฯ เพราะอาจทาให้การสอบสวนไม่ได้ข้อเท็จจริง
ครบถว้ นหรอื ข้อเทจ็ จริงอาจบิดเบือน หรอื ผ้มู สี ว่ นเกี่ยวข้องผอู้ ื่นอาจไมไ่ ดร้ บั ความเป็นธรรม
ตัวอย่าง แต่งตั้งผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ท่ียักยอกเงินของทางราชการไป และผู้บังคับบัญชาผู้น้ันอาจต้อง
รับผิดชดใช้เงินแก่ทางราชการร่วมกับเจ้าหน้าท่ีผู้นั้นด้วย เนื่องจากผู้บังคับบัญชาผู้นั้นมีส่วนบกพร่องในการ
ปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว เป็นเหตุหรือเป็นช่องทางให้ผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินของทางราชการ เป็นคณะ
กรรมการฯ
46