The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน-เสร็จแล้ว-พร้อมส่ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 4373chotiwit, 2022-02-04 03:04:19

คำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย

วิจัยในชั้นเรียน-เสร็จแล้ว-พร้อมส่ง

การพฒั นาความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้แบบฝกึ 5W1H+M
สาหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6/2 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สงขลา

โชตวิ ิชญ์ สุกพรหม
พิมพกิ า ไกรเทพ
สณั ห์พงษ์ ศรีหะรัญ
อนาวิล มากหนู

งานวิจยั ฉบับนเ้ี ป็นสว่ นหนึง่ ของรายวชิ า 1044409 การวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา
พุทธศักราช 2563



บทคดั ย่อ

ช่อื งานวจิ ัย การพัฒนาความสามารถการเขียนเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้
แบบฝึก5W1H+M สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6/2
ผูว้ จิ ัย โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
นายสัณห์พงษ์ ศรหี ะรญั
ปริญญา นายโชตวิ ชิ ญ์ สกุ พรหม
อาจารย์ทีป่ รึกษาวิจยั หลกั นางสาวพิมพิกา ไกรเทพ
อาจารย์ทป่ี รึกษาวจิ ยั ร่วม นายอนาวิล มากหนู
ครศุ าสตร์บัณฑติ สาขาวิชาภาษาไทย
อาจารย์ ดร. ปรดี า เบ็ญคาร
อาจารย์ ดร. จงกล บัวแลว้
อาจารย์ วภิ าพรรณ นาอุทิศ

บทคัดย่อ

การวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเร่ือง
ตามจินตนาการระหว่าง ก่อนและหลังการใช้แบบฝึก 5W1H+M ของนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และ 2) เพ่ือศึกษาความพึงใจ
ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ที่มีต่อ
การเขียนเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้แบบฝึก 5W1H+M ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6/2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย
ราชภัฏสงขลา จานวน 33 คน เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การเขียน
เร่ืองตามจินตนาการ แบบทดสอบความสามารถด้านการเขียนเร่ืองตามจินตนาการและแบบสอบถาม
ความพึงพอใจต่อการเขียนเรื่องตามจินตนาการโดยใช้แบบฝึก 5W1H+M สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล
ไดแ้ ก่ คา่ เฉลี่ย ค่าความเบย่ี งเบนมาตรฐาน และรอ้ ยละ

ผลการวิจยั พบวา่
1. ผลของการเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการระหว่าง
ก่อนและหลังใช้แบบฝึก 5W1H+M สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6/2 โรงเรียนสาธิต
มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา สูงกว่ากอ่ นเรยี น
2. ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ โดยใชแ้ บบฝึก 5W1H+M
โดยความพึงพอใจในแต่ละด้านอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้
ดา้ นบรรยากาศการเรียนการสอน และด้านประโยชนท์ ่ไี ดร้ ับจากการเรียนการสอน



กิตตกิ รรมประกาศ

วิจัยฉบับน้ีสาเร็จได้ด้วยการให้คาปรึกษา คาแนะนาแนวทางท่ีถูกต้องและการตรวจแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ในงานวิจัยจากอาจารย์ ดร.ปรีดา เบ็ญคาร อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยหลัก
อาจารย์ ดร.จงกล บัวแก้ว และอาจารย์ วิภาพรรณ นาอุทิศ อาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัยร่วม
คณะผู้วจิ ัยร้สู ึกซาบซ้ึงและกราบขอบพระคณุ อยา่ งสงู ณ โอกาสนี้

ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญทุกท่านท่ีกรุณาตรวจสอบเคร่ืองมือ
ที่ใช้ในการวจิ ยั แนะนา และแกไ้ ขข้อบกพร่องเพ่ือการพัฒนาเคร่ืองมือวจิ ยั ที่ดีย่ิงขนึ้

ขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.พรรณี ผุดเกตุ ผู้อานวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย
ราชภัฏสงขลา และอาจารย์ณัฐวดี คมประมูล ครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2
คณะครูโรงเรียนสาธิตมหามหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา ที่ให้ความอนุเคราะห์และอานวยความสะดวก
ตลอดระยะเวลาดาเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย และขอขอบคุณนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ที่ใหค้ วามร่วมมอื ในการดาเนินการวจิ ยั ดว้ ยดี

ขอขอบพระคุณคณบดีคณะครุศาสตร์ และบุคลากร คณะครุศาสตร์ทุกท่านท่ีให้
ความอนุเคราะห์และอานวยความสะดวกในการดาเนนิ การวิจยั ในครัง้ นี้

ขอขอบคณุ เพื่อน ๆ ชนั้ ปที ่ี 4 สาขาวิชาภาษาไทย ทีค่ อยช่วยเหลอื และให้กาลังใจมาตลอด
คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขอมอบเป็นความกตัญญูกตเวทิตา
แดบ่ ิดามารดา ครอู าจารย์ ที่ให้ความรักความห่วงใย ตลอดจนผู้มพี ระคุณทกุ ทา่ น

คณะผวู้ ิจัย
14 พฤศจกิ ายน 2563



สารบญั

หนา้

บทคดั ยอ่ ………………………………………………………………………………………………………………………... ก
กิตติกรรมประกาศ ………………………………………………………………………………………………………....... ข
สารบัญ ……………………………………………………………………………………………………………………………. ค
สารบญั ตาราง ………………………………………………………………………………………………………………….. จ
สารบญั ภาพ ……………………………………………………………………………………………………………........... ฉ

บทที่ 1 บทนา ………………………………………………………………………………………………………………. 1

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา …………………………………………………………………. 1
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………… 3
สมมติฐานของการวิจยั ……………………………………………………………………………….………… 3
ขอบเขตของการศกึ ษา …………………………………………………………………………………………. 4
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ………………………………………………………………………….……….…… 4
ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ บั ……………………………………………………………………………………. 5
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ………………………………………………………………………………………….……... 5

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้อง ……………………………………………………………………. 6

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ………………………………………. 7
การเขยี นเร่อื งตามจนิ ตนาการ ……………………………………………………………………………….. 13
แนวคดิ 5W1H ……………………………………………………………………………............................ 18
แบบฝึกทักษะ ……………………………………………………………………………………………………… 24
ความพงึ พอใจ ……………………………………………………………………………………………………… 32
งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ………………………………………………………………………………………………. 41

บทที่ 3 วิธดี าเนนิ การวิจัย …………………………………………………………………………………………… 43

ประชากร ……………………………………………………………………………………………………………. 43
เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย ……………………………………………………………………………………….. 43
การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่อื งมอื …………………………………………………………………………. 43
วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู …………………………………………………………………………………....... 48



สารบญั (ต่อ)

การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถิติทีใ่ ช้ ……………………………………………………………………………. 48

บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ……………………………………………………………………………………. 51

สัญลักษณท์ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………. 51
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ………………………………………………………………………………………….. 51

บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………. 57

ผลของการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………. 57
การอภปิ รายผล ……………………………………………………………………………………………………. 57
ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ …………………………………………………………………………………… 58
ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยครัง้ ต่อไป ………………………………………………………………………..... 59

บรรณานกุ รม ………………………………………………………………………………………………………………...... 60
ภาคผนวก ……………………………………………………………………………………………………………………….. 64

ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชีย่ วชาญ …………………………………………………………………………… 65
ภาคผนวก ข เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการวิจัย ……………………………………………………………………. 67
ภาคผนวก ค การหาคุณภาพเครื่องมือ ……………………………………………………………………. 80
ภาคผนวก ง ภาพกิจกรรมและตัวอยา่ งผลงานนักเรยี น …………………………………………….. 92
ประวตั ิผู้วิจยั …………………………………………………………………………………………………………………… 118



สารบญั ตาราง

ตาราง หน้า

1 ตัวช้ีวดั ช้ันปี ระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 (สาระท่ี 2: การเขยี น) …………………………..... 10
2 คะแนนความสามารถการเขียนเร่ืองตามจินตนาการหลังใชแ้ บบฝกึ 5W1H+M

ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา ……….… 52
3 คะแนนความสามารถการเขยี นเร่ืองตามจนิ ตนาการกอ่ นและหลังใชแ้ บบฝึก 5W1H+M

ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา …..…….. 53
4 ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6

ตอ่ การเขยี นเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้ชุดแบบฝึก 5W1H+M ………………………………..… 55



สารบญั ภาพประกอบ

ภาพ หน้า

1. กรอบแนวคิดการวจิ ัย ......................................................................................................... 4

1

บทที่ 1
บทนา

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หาของการวจิ ัย

การศึกษาถือเปน็ รากฐานสาคญั สาหรับการพฒั นาเดก็ และเยาวชนของชาติ ระบบการจัดการ
การศึกษาที่ดีย่อมส่งผลให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากการพัฒนาบุคลากรท่ีดีให้กับประเทศ
เพื่อช่วยกนั ขับเคลือ่ นและพัฒนาประเทศไปสคู่ วามเจริญได้ โดยเฉพาะการศึกษาในรายวชิ าภาษาไทย
ถือว่าเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในรายวิชาต่าง ๆ เน่ืองจากจาเป็นจะต้องใช้ภาษาไทยในกระบวนการ
การสื่อสาร โดยตามธรรมชาติของมนุษย์เม่ืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็จะเกิดเป็นสังคมมนุษย์
การดาเนินชีวิตของมนุษย์ในแต่ละสังคมย่อมต้องติดต่อสื่อสาร เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน
ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้เกิดความเข้าใจในสังคมนั้น ๆ และส่ิงท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือในการสื่อสาร
คือ ภาษา (อัจฉรา ชีวพันธ์, 2552: 1) นอกจากน้ียังมีผู้ท่ีให้คานิยามเก่ียวกับภาษาอีกหลายท่าน
เช่น ภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีมนุษย์ใช้ส่ือสารกัน โดยการพูด การเขียน และท่าทาง ดังน้ันภาษา
จึงประกอบด้วยเสียงพูดและความหมาย ซ่ึงเสียงพูดและความหมายนี้ก็ต้องสัมพันธ์กัน
จะขาดอย่างใดอย่างหน่ึงไม่ได้ จึงทาให้ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกัน และผู้ฟังก็สามารถโต้ตอบได้
(จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ, 2555: 4) ภาษาหมายถึงระบบสัญลักษณ์ท่ีมนุษย์ใช้เป็น
เครื่องมือส่งความคิดกันและกัน ภาษาจึงทาหน้าที่เป็นสื่อความคิด คือ เป็นสะพานเชื่อมความคิดของ
มนษุ ย์ใหเ้ ขา้ ถึงกนั ได้ (ปรีชา ชา้ งขวัญยนื , 2525: 4)

ความสาคัญของการสื่อสารท้ังหมดที่ได้กล่าวมาน้ีพบว่า การสื่อสารของมนุษย์มีความสาคัญ
เป็นอย่างย่ิง โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นส่ือทางความคิด ซ่ึงระบบการสื่อสารของมนุษย์สามารถ
แบ่งประเภทตามโครงสร้างภาษา ได้แก่ ภาษาพูดและภาษาเขียน (ปรียา หิรัญประดิษฐ์, 2532: 13)
โดยเฉพาะภาษาเขียน เป็นภาษาที่ถ่ายทอดผ่านทางเคร่ืองหมายหรือสัญลักษณ์ไปยังผู้รับสา ร
ภาษาเขียนจึงจาเป็นจะต้องมีความกระชับและชัดเจน ดงั น้ันผใู้ ช้ภาษาเขยี นจึงต้องมีความระมัดระวัง
และพิถีพิถันในการเขียนมากกว่าภาษาพูด ภาษาเขียนจึงต้องมีลักษณะที่เป็นแบบแผนและ
เป็นทางการมากกว่าภาษาพูด (กมลทิพย์ สมบูรณ์พงษ์, 2560: 7) จะเห็นได้ว่าการเขียนถือว่า
มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้ในการสื่อสารผ่านการเขียน ผู้ส่งสารจะเป็นบุคคลท่ีมี
ความสาคัญ นยั ที่เป็นการถ่ายทอดผ่านทางอกั ษรหรอื สญั ลักษณซ์ ึ่งใชแ้ ทนความคิดหรือสารท่ีผู้ส่งสาร
ต้องการจะส่ือ นอกจากนี้การเขียนยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนตัวบุคคลผู้ส่งสารได้อีกด้วยกล่าวคือ
ผู้รับสารจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับการเขียนของผู้ส่งสาร ท่ีจะส่ือออกมาได้ตาม
วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขยี นครัง้ น้นั หรอื ไม่

จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตขิ ั้นพ้ืนฐาน (O-Net) ในภาพรวมทวั่ ประเทศพบว่า
นักเรียนไทยมีปัญหาด้านการเขียนส่ือความเป็นสาคัญ ซึ่งเป็นปัญหาที่น่าวิตก โดยปัจจัยที่ส่งผล
ทาให้เกิดปัญหาดังกล่าวมีหลายด้าน ท้ังปัจจัยทางตรงและทางอ้อมคือ ปัจจัยทางตรงเป็นเหตุที่เกิด
มาจากตัวบุคคลหรือนักเรียนเป็นสาคัญ เช่น ความสามารถทางด้านสติปัญญา ความสนใจ
หรือข้อจากัดบางประการของนักเรียนท่ีส่งผลโดยตรงต่อทักษะการเขียน สาหรับปัจจัยที่ส่งผล

2

ต่อการเขียนทางอ้อม เช่น การขาดแหล่งเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน สภาพแวดล้อม
รวมไปถึงขาดสื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ซ่ึงเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อทักษะการเขียน
ส่ือความของนักเรียนเช่นเดียวกัน และอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยที่สามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาให้
เป็นไปในทางทดี่ ีข้นึ ได้

ในการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) เนื้อหาภาษาไทยที่กล่าวถึง
การเขียนมี 2 ประเด็น ได้แก่ การเขียนสรุปความและการเขียนเร่ืองจากภาพ ถึงแม้ท้ัง 2 ประเด็นน้ี
เป็นลักษณะการเขียนเหมือนกัน แต่เนื้อหามีความแตกต่างกันอยู่มาก โดยเฉพาะในประเด็นการเขียน
เรื่องจากภาพ ซึ่งเป็นประเด็นท่ีสาคัญ สาหรับการเขียนเร่ืองจากภาพเป็นเน้ือหาส่วนหนึ่ง
ของการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ โดยใช้ภาพเป็นสื่อในการสร้างสรรค์ผลงานการเขียน เนื่องจาก
ภาพเป็นองค์ประกอบที่ง่ายต่อการทาความเข้าใจ และใช้เป็นโจทย์ในข้อสอบได้อย่างชัดเจนท่ีสุด
ท้ังการใช้ภาพยังสามารถแสดงถึงพฤติกรรม ความสร้างสรรค์ของผู้เขียนได้ และการเขียนเรื่อง
ตามจินตนการยังเชื่อมโยงกับกระบวนการคิด การวางแผน ความคิดริเร่ิมและความสร้างสรรค์
จึงถือว่าการเขียนเร่ืองตามจินตนาการนอกจากจะมีความสาคัญ ในแง่ที่นักเรียนได้ฝึกประสบการณ์
ในการเขียนแล้ว แตย่ ังเชอ่ื มโยงกับทักษะการคดิ ของนักเรยี นได้อีกด้วย

การรายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพื้นฐาน (O-Net) ของโรงเรียน
สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา พบว่า คะแนนในส่วนของรายวิชาภาษาไทย มีเกณฑ์คะแนน
ไม่เป็นไปตามเป้าหมายท่ีทางสถานศึกษาได้กาหนดไว้ ซ่ึงได้ผลคะแนน 60.91 โดยคะแนนเฉลี่ย
ระดับประเทศคือ 49.07 และเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์คะแนนในระดับสังกัด คือ 61.65 พบว่า
คะแนนท่ีได้ยังต่ากว่าเกณฑ์คะแนนในระดับสังกัดโรงเรียนสาธิตด้วยกัน โดยมีปัญหาสาคัญมาจาก
การเขียนเร่ืองจากภาพ จากปัญหาดังกล่าวเม่ือพิจารณาถึงสาเหตุอาจจะกล่าวได้หลายประการ
เช่น นักเรียนไม่ทราบว่าจะเขียนเร่ืองอะไร จึงเขียนข้อความเพียงแค่เร่ืองราวสั้น ๆ ไม่เป็นไปตามที่
เกณฑ์กาหนดเอาไว้ หรือการขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเช่ือมโยงเรื่องราว
ซ่ึงเกิดจากการขาดการฝึกฝน ฝึกคิด ขาดกระบวนการหรือขาดส่ือ ปัญหานี้จึงถือว่าเป็นปัญหา
ทคี่ วรแกไ้ ขอยา่ งเรง่ ดว่ น

จากที่กล่าวมาพบว่า ปญั หาการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ นอกจากจะเกิดจากการขาดทกั ษะ
การเขียน ปัญหาดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับกระบวนการคิดของผู้เขียน หากจะแก้ไขปัญหาการเขียน
เร่ืองตามจินตนาการ นอกจากจะต้องส่งเสริมเรื่องทักษะการเขียนก็ควรท่ีจะส่งเสริมกระบวนการคิด
ให้กับนักเรียนเป็นสาคัญ ซึ่งกระบวนการคิดจะช่วยให้นักเรียนสามารถเขียนเร่ืองราวได้
อย่างมีเอกภาพ สารัตถะภาพและสัมพนั ธภาพ อันเป็นองค์ประกอบสาคัญของการเขียน หากนักเรียน
สามารถฝึกกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบก่อนการเขียนได้ จะทาให้การเขียนคร้ังนั้นเป็นการเขียน
ทีส่ มบูรณ์มากยง่ิ ขนึ้

จากข้อความข้างต้น คณะผู้วิจัยเห็นว่าการเขียนถือเป็นทักษะท่ีสาคัญสาหรับการเรียนรู้
ในรายวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการเขียนเรื่องตามจินตนาการ ซึ่งทาให้นักเรียนได้แสดงศักยภาพ
ทักษะ และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สร้างสรรค์การเขียนเรื่องราวได้อย่างเสรี ภายใต้กรอบแนวคิด
สาคัญของหลักการเขียนและเกณฑ์ท่ีกาหนด ซ่ึงหากนักเรียนสามารถฝึกกระบวนการคิด
อย่างเป็นระบบ และเช่ือมโยงสู่การเขียนที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาศักยภาพ

3

และเป็นการตอบสนองเป้าหมายของสถานศึกษาได้อีกด้วย ทางคณะผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสาคัญ
และเกิดแนวคิดในการพัฒนาทักษะการเขียนเร่ืองตามจินตนาการของนักเรียน โดยใช้แบบฝึก
5W1H+M ซ่ึงเป็นแบบฝึกหัดท่ีเน้นให้นักเรียนได้แยกองค์ประกอบในการเขียนออกเป็นส่วนย่อย ๆ
ได้แก่ Who (ใคร) What (อะไร) When (เมื่อไร) Where (ท่ีไหน) Why (ทาไม) How (อย่างไร)
และ Moral (คติสอนใจ) เม่ือนักเรียนสามารถแยกองค์ประกอบเป็นประเด็นต่าง ๆ เหล่าน้ี
นักเรียนจะสามารถเข้าใจรายละเอียดของการเขียนได้มากย่ิงขึ้น ส่งผลต่อการเรียบเรียงเน้ือหา
ได้อย่างเป็นระบบ นาไปสู่กระบวนการเขียนท่ีสามารถสอ่ื ความออกมาได้อย่างชัดเจน ทาให้งานเขียน
มีประสิทธิ ภ าพมาก ย่ิงข้ึน แ ละการท่ี คณะผู้จัด ทาได้เลื อกทากา รศึกษากั บนักเรีย น
ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 เน่ืองด้วยนักเรียนในระดับช้ันดังกล่าวจาเป็นต้องนาความรู้
ในการเขียนเรื่องจากภาพไปใช้ในการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน (O-Net)
และการเขียนเรื่องตามจินตนาการยังเป็นเนื้อหาท่ีมีอยู่ในตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน ซึ่งนักเรียนจาเป็นจะต้องศึกษา และเป็นเน้ือหาท่ีนักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหามากที่สุด
หากสามารถพัฒนาศักยภาพของนักเรียนดังกล่าว ก็จะส่งผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิการเขียนเรื่อง
ตามจนิ ตนาการของนกั เรียนระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6/2 โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสงขลา
จังหวดั สงขลาได้

วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย

วิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการโดยใช้แบบฝึก5W1H+M
สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มีวัตถุประสงค์
เพือ่ เป็นแนวทางในการวจิ ยั ไดด้ งั นี้

1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการระหว่างก่อน
และหลังการใช้แบบฝึก 5W1H+M ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียน
สาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สงขลา

2. เพื่อศึกษาความพึงใจของนักเรียน ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6/2 โรงเรียน
สาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา ทีม่ ีตอ่ การเขยี นเรอ่ื งตามจนิ ตนาการโดยใช้แบบฝึก 5W1H+M

สมมตฐิ านของการวิจัย

ในการวิจยั คร้งั นี้คณะผู้วจิ ยั ไดต้ งั้ สมมตฐิ านของการวิจยั ไวด้ ังน้ี
ความสามารถในการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา หลงั เรยี นโดยใชแ้ บบฝกึ 5W1H+M สูงกว่าก่อนเรียน

4

ขอบเขตของการวจิ ยั

ขอบเขตของการวจิ ยั ในครัง้ นี้ คณะผู้วิจัยไดก้ าหนดขอบเขตของการวิจัยไวด้ ังน้ี
1. ประชากร

ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1
ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6/2
จานวน 33 คน

2. เนอ้ื หา
เน้ือหาท่ีใช้ในการทดลองครั้งนี้ การเขียนเร่ืองตามจินตนาการ รายวิชาภาษาไทย

ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6
3. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
คณะผู้วิจัยใช้เวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ช่ัวโมง โดยใช้เวลาในการสอน

3 ช่วั โมง ในภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563
4. ตัวแปรท่ีศกึ ษา
4.1 ตัวแปรตน้ ไดแ้ ก่ การใช้แบบฝึก 5W1H+M
4.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ความสามารถในการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ

กรอบแนวคดิ การวจิ ยั

การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้แบบฝึก

5W1H+M สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

คณะผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดเกี่ยวกับการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้กระบวนการสอน 5W1H+M

ตามกรอบแนวคิดการวจิ ัย ดังนี้

ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม

การเขียนเรื่องจากภาพโดยใช้แบบฝกึ 5W1H+M ความสามารถในการเขยี นเรื่อง
ประกอบด้วย ตามจนิ ตนาการของนกั เรยี น
- Who (ใคร)
- What (อะไร)
- When (เมื่อไร)
- Where (ท่ไี หน)
- Why (ทาไม)
- How (อย่างไร)
- Moral (คติสอนใจ)

ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั

5

ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ

การวิจัยครั้งน้ีประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับหลังจากการเรียนการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ
โดยใช้แบบฝกึ 5W1H+M มีดังน้ี

1. เป็นแนวทางสาหรบั ครูผูส้ อนในการสอนเรือ่ งการเขียนเรื่องตามจนิ ตนาการ
2. เปน็ การพัฒนาความสามารถในการเขียนเรื่องตามจนิ ตนาการของนกั เรยี นให้เพ่ิมข้ึน

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ

คณะผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดความหมายของคาศัพทท์ ่ีใชใ้ นการศกึ ษาวจิ ัยไว้ดงั นี้
1. ความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถเขียน
เรื่องตามจินตนาการจากภาพท่ีกาหนด โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ตามเกณฑ์ที่กาหนด โดยกาหนด
เกณฑ์ไว้ทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่ ด้านรูปแบบ ด้านเนื้อหาและด้านภาษา
2. แบบฝึก 5W1H+M หมายถึง นวัตกรรมแบบฝึกการเขียนเร่ืองจากภาพ ตามแนวคิด
5W1H+M ซึ่งประกอบไปด้ว ย Who (ใคร) What (อะไร) When (เมื่อไร) Where (ที่ไหน)
Why (ทาไม) How (อย่างไร) และ Moral (คตสิ อนใจ)
3. ความพึงพอใจต่อการเขียนเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้แบบฝึก 5W1H+M หมายถึง
ความรู้สึกชอบของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่มตี อ่ การเรียน เรือ่ งการเขยี นเร่อื งตามจินตนาการ
โดยใช้แบบฝึก 5W1H+M ท่ีคณะผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งจัดโดยการทาแบบสอบถามท่ีใช้มาตราส่วน
ประมาณคา่ 5 ระดับ ไดแ้ ก่ มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย และนอ้ ยท่ีสดุ จานวนท้งั ส้ิน 15 ข้อ

6

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง

ในการวิจัยครั้งน้ี คณะผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เพอื่ เปน็ พ้นื ฐานในการดาเนินการศกึ ษาและทาวิจยั โดยเสนอตามลาดับหัวข้อ ดังน้ี

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
2. การเขียนเรื่องตามจินตนาการ

2.1 ความหมายของการเขียนตามจนิ ตนาการ
2.2 ขนั้ ตอนของการเขียนเรื่องตามจนิ ตนาการ
2.3 การวัดและการประเมนิ ผลการเขยี นเร่ืองตามจนิ ตนาการ
2.4 ประโยชนข์ องการเขียนเรอ่ื งตามจนิ ตนาการ
3. แนวคดิ 5W1H
3.1 ความหมายของแนวคดิ 5W1H
3.2 ความสาคญั ของแนวคดิ 5W1H
3.3 หลักการของแนวคดิ 5W1H
3.4 ขน้ั ตอนการปฏิบัติของแนวคิด 5W1H
3.5 ประโยชน์ของแนวคดิ 5W1H
4. แบบฝึกทักษะ
4.1 ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึกทกั ษะ
4.2 ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ
4.3 หลกั จติ วิทยาท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การสรา้ งแบบฝึกทักษะ
4.4 ลักษณะของแบบฝกึ ทักษะที่ดี
5. ความพงึ พอใจ
5.1 ความหมายของความพึงพอใจ
5.2 แนวคดิ และทฤษฎขี องความพงึ พอใจ
5.3 การสรา้ งแบบวดั ความพึงพอใจ
6. งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง

7

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติให้
เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทย
และเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มคี วามรู้ และทักษะพ้นื ฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษา
ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนา
ตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ โดยการพัฒนานักเรยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐานม่งุ เน้น
พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนเกิดสมรรถนะสาคัญและ
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

การทาวิจัยในคร้ังนี้ได้ทาการศึกษาประเด็นเก่ียวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 ที่เก่ยี วขอ้ งกับการวจิ ัยในคร้งั น้มี รี ายละเอยี ด ดังน้ี

1. จดุ มงุ่ หมาย
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 5) ได้กล่าวไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ
จงึ กาหนดเปน็ จดุ หมายเพอ่ื ให้เกิดกบั นักเรยี นเม่ือจบการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ดังน้ี

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย
และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง

2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมที กั ษะชวี ิต

3. มสี ุขภาพกาย และสุขภาพจิตทีด่ ี มสี ุขนิสยั และรักการออกกาลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิต
และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์ และพัฒนา
สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมคี วามสขุ

2. สมรรถนะสาคัญของนกั เรียน
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 6) ได้กล่าวไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน

มุ่งให้นักเรียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม

ในการใชภ้ าษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สกึ และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียน
ข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ัง
การเจรจาต่อรองเพ่ือขจัด และลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสาร

8

ด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึง
ผลกระทบทีม่ ตี ่อตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์
การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้าง
องคค์ วามรหู้ รือสารสนเทศเพือ่ การตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปญั หา และอุปสรรคต่าง ๆ
ท่ีเผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์ และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้
มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบ
ทเี่ กิดขน้ึ ตอ่ ตนเอง สงั คม และสง่ิ แวดล้อม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ
ไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทางาน
และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา
และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคม
และสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี
ดา้ นตา่ ง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอื่ การพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้
การสอ่ื สาร การทางาน การแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสมและมคี ณุ ธรรม

3. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 7) ได้กล่าวไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน

มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคม
ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ดังน้ี

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซ่ือสัตยส์ ุจริต
3. มีวนิ ยั
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยอู่ ย่างพอเพียง
6. มุ่งม่ันในการทางาน
7. รกั ความเป็นไทย
8. มีจิตสาธารณะ
นอกจากน้ี สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้อง
ตามบรบิ ท และจุดเน้นของตนเอง

9

4. สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 12) ได้กลา่ วไวว้ ่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน

พทุ ธศกั ราช 2551 กาหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ดังน้ี
สาระที่ 1 การอา่ น
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้ และความคิดเพ่ือนาไปใช้ตัดสินใจ

แกป้ ัญหาในการดาเนนิ ชวี ติ และมีนสิ ัยรักการอ่าน
สาระท่ี 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.2 ใช้กระบวนการเขียน เขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ

และเขียนเร่ืองราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้า
อย่างมีประสทิ ธิภาพ

สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟัง และดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้
ความคดิ ความรสู้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณ และสร้างสรรค์
สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษา และหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง
ของภาษา และพลังของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ
สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจ และแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย
อย่างเหน็ คณุ ค่า และนามาประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจริง

5. คุณภาพของนักเรียนในรายวิชาภาษาไทยตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ระดบั ช่วงชั้น

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กาหนดคณุ ภาพของนักเรยี น
ในรายวิชาภาษาไทยตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานไว้ 4 ระดับ
ได้แก่ จบช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จบชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และ
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 12) คณะผู้วิจัยขอกล่าวเฉพาะคุณภาพ
ของนักเรียนภาษาไทยตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ระดับจบช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6

กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551: 40) ได้กล่าวไวว้ า่ จบชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6
- อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทานองเสนาะได้ถูกต้อง

อธิบายความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคา ประโยค ข้อความ สานวนโวหารจาก
เร่ืองท่ีอ่าน เข้าใจคาแนะนา คาอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง รวมท้ัง
จับใจความสาคัญของเร่ืองที่อ่าน และนาความรู้ความคิดจากเร่ืองท่ีอ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหา
ในการดาเนินชวี ิตได้ มมี ารยาท และมีนสิ ยั รักการอา่ น และเหน็ คุณค่าส่งิ ทีอ่ า่ น

- มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึ่งบรรทัด เขียนสะกดคา
แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนส่ือสารโดยใช้ถ้อยคาชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ

10

โครงเรื่อง และแผนภาพความคิดเพ่ือพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว
กรอกแบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเร่ืองตามจินตนาการ
อยา่ งสร้างสรรค์ และมมี ารยาทในการเขียน

- พูดแสดงความรู้ ความคิดเก่ียวกับเรื่องที่ฟังและดู เล่าเร่ืองย่อหรือสรุปจากเร่ือง
ท่ฟี ังและดู ต้ังคาถาม ตอบคาถามจากเร่อื งทฟ่ี ังและดู รวมท้ังประเมนิ ความนา่ เช่อื ถือจากการฟังและดู
โฆษณาอย่างมีเหตุผล พูดตามลาดับขั้นตอนเรื่องต่าง ๆ อย่างชดั เจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้า
จากการฟงั การดู การสนทนา และพดู โนม้ นา้ วไดอ้ ยา่ งมเี หตุผล รวมทัง้ มีมารยาทในการดูและพูด

- สะกดคาและเข้าใจความหมายของคา สานวน คาพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจ
ชนิดและหน้าท่ีของคาในประโยค ชนิดของประโยค และคาภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
ใช้คาราชาศัพท์และคาสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภท กลอนสุภาพ
และกาพย์ยานี 11

- เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดี และวรรณกรรมท่ีอ่าน เล่านิทานพ้ืนบ้าน
ร้องเพลงพื้นบ้านของท้องถิ่น นาข้อคิดเห็นจากเรื่องท่ีอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจา
บทอาขยานตามทก่ี าหนดได้

6. ตัวชว้ี ดั ชน้ั ปี (สาระท่ี 2: การเขียน)
ใน 5 สาระการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ท้ัง 4 ช่วงช้ัน

ไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 คณะผู้วิจัยของกล่าวเฉพาะตัวช้ีวัด
ชั้นปีของช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ในสาระท่ี 2 การเขยี น

กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551: 48-49) ไดก้ ล่าวไว้ว่า สาระท่ี 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1
ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวในรูปแบบต่าง ๆ
เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ตารางที่ 1 ตัวชวี้ ัดชัน้ ปี ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4-6 (สาระท่ี 2: การเขียน)

ช้นั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป.4 1. คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด  การคัดลายมอื ตัวบรรจงเตม็ บรรทัด และ

และครึง่ บรรทดั ค ร่ึ ง บ ร ร ทั ด ต า ม รู ป แ บ บ ก า ร เ ขี ย น ตั ว

อักษรไทย

2. เขียนสื่อสารโดยใช้คาได้ถูกต้อง  การเขยี นสอื่ สาร เชน่

ชดั เจน และเหมาะสม - คาขวญั

- คาแนะนา

11

ตารางท่ี 1 ตัวชว้ี ดั ช้ันปี ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 (สาระที่ 2: การเขียน) (ต่อ)

3. เขียนแผนภาพโครงเร่ือง และ  การนาแผนภาพโครงเรื่อง และ

แผนภาพค ว า ม คิ ด เ พ่ื อ ใ ช้ พั ฒ น า แผนภาพความคิดไปพัฒนางานเขยี น

งานเขยี น

4. เขียนยอ่ ความจากเร่ืองสนั้ ๆ  การเขียนย่อความจากส่ือต่าง ๆ เช่น

นิทาน ความเรียงประเภทต่าง ๆ

ประกาศ จดหมาย คาสอน

5. เขียนจดหมายถึงเพื่อนและบิดา  การเขียนจดหมายถึงเพ่ือนและบิดา

มารดา มารดา

6. เขียนบันทึกและเขียนรายงาน  การเขยี นบันทึกและเขียนรายงาน

จากการศึกษาค้นควา้ จากการศึกษาคน้ ควา้

7. เขียนเร่อื งตามจินตนาการ  การเขยี นเรอื่ งตามจินตนาการ
8. มีมารยาทในการเขยี น  มารยาทในการเขยี น

ป.5 1. คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด  การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด

และครง่ึ บรรทัด และครึ่งบรรทัดตามรูปแบบการเขียนตัว

อักษรไทย

2. เขียนส่ือสารโดยใช้คาได้ถูกต้อง  การเขียนสอื่ สาร เชน่

ชัดเจน และเหมาะสม - คาขวญั

- คาอวยพร

- คาแนะนาและคาอธิบายแสดง

ข้ันตอน

3. เขี ยนแผนภ าพโ ครงเรื่ องและ  การนาแผนภาพโครงเรื่อง และ

แผนภาพความคิดเพื่อใช้พัฒนางาน แผนภาพความคิดไปพฒั นางานเขยี น

เขยี น

4. เขียนยอ่ ความจากเรือ่ งทีอ่ ่าน  การเขียนย่อความจากสื่อต่าง ๆ เชน่

นิทาน ความเรยี งประเภทตา่ ง ๆ

ประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์

จดหมาย คาสอน โอวาท คาปราศรัย

12

ตารางที่ 1 ตวั ชว้ี ดั ช้ันปี ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 (สาระท่ี 2: การเขยี น) (ต่อ)

5. เขยี นจดหมายถงึ ผปู้ กครองและญาติ  การเขียนจดหมายถึงผู้ปกครองและ

ญาติ

6. เขียนแสดงความรู้สึกและความ  การเขียนแสดงคว ามรู้สึกและ

คดิ เหน็ ได้ตรงตามเจตนา ความคิดเห็น

7. กรอกแบบรายการตา่ ง ๆ  การกรอกแบบรายการ

- ใบฝากเงินและใบถอนเงนิ

- ธนาณัติ

- แบบฝากสง่ พัสดไุ ปรษณียภัณฑ์

8. เขียนเร่ืองตามจินตนาการ  การเขียนเรื่องตามจนิ ตนาการ

9. มมี ารยาทในการเขยี น  มารยาทในการเขียน

ป.6 1. คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด  การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด

และคร่งึ บรรทดั และ

คร่ึงบรรทัดตามรูปแบบการเขียนตัว

อกั ษรไทย

2. เขียนสื่อสารโดยใช้คาได้ถูกต้อง  การเขยี นสื่อสาร เช่น

ชดั เจน และเหมาะสม - คาขวญั

- คาอวยพร

- ประกาศ

3. เขียนแผนภาพโครงเร่ือง และ  การเขียนแผนภาพโครงเร่ือง และ

แผนภ าพ ค ว า ม คิ ด เ พื่ อ ใ ช้ พั ฒ น า แผนภาพความคิด

งานเขยี น

4. เขียนเรยี งความ  การเขียนเรยี งความ

5. เขียนยอ่ ความจากเรือ่ งทอ่ี า่ น  การเขียนย่อความจากส่ือต่าง ๆ เช่น

นิทาน ความเรียงประเภทต่าง ๆ

ประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์

จดหมาย คาสอน โอวาท คาปราศรัย

สุนทรพจน์ รายงาน ระเบยี บ คาส่งั

6. เขียนจดหมายส่วนตัว  การเขยี นจดหมายส่วนตวั

- จดหมายขอโทษ

- จดหมายแสดงความขอบคณุ

- จดหมายแสดงความเห็นใจ

- จดหมายแสดงความยินดี

13

ตารางท่ี 1 ตวั ชี้วดั ชั้นปี ระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 (สาระท่ี 2: การเขียน) (ต่อ)

7. กรอกแบบรายการตา่ ง ๆ  การกรอกแบบรายการ

- แบบคาร้องต่าง ๆ

- ใบสมัครศกึ ษาตอ่

- แ บ บ ฝ า ก ส่ ง พั ส ดุ แ ล ะ

ไปรษณียภัณฑ์

8. เขียนเรื่องตามจินตนาการและ  การเขียนเรื่องตามจินตนาการและ

สร้างสรรค์ สรา้ งสรรค์

9. มมี ารยาทในการเขยี น  มารยาทในการเขียน

สรุปได้ว่าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตร
แกนกลางในระดับชาติ ทาให้เห็นภาพรวมของแนวทางการศึกษาและการพัฒนานักเรียนท่ีสาคัญ
สาหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ท่ีมีการกาหนดสาระการเรียนรู้ 5 สาระ มาตรฐาน
การเรียนรู้ 5 มาตรฐาน และยังมีการกาหนดตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู้แกนกลางระดับชั้นปี
ในแต่ละสาระการเรียนรู้ ซึ่งเป็นแนวทางในการกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนไว้
เช่นกัน

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ให้มีความรู้
คู่กับทักษะในด้านการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษา การประกอบอาชีพ
และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ บนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้
และพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพของตนเอง ซึ่งในการพัฒนานักเรียนตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ช่วยให้นักเรียนเกิด
สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สาหรับการเขียนเรื่องตามจินตนาการเป็นเนื้อหา
ท่ีปรากฏอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 สาระที่ 2 การเขียน
ทางคณะผู้วิจัยได้ศึกษาตัวชี้วัดจากหลักสูตรแกนกลาง คือ มาตรฐาน ท 2.1 ป.6/8 เขียนเรื่อง
ตามจนิ ตนาการและสรา้ งสรรค์ เพ่อื นามาใช้ประกอบการทาวิจัยตอ่ ไป

การเขยี นเรอื่ งตามจนิ ตนาการ

การเขียนถือว่าเป็นลักษณะของการถ่ายทอดเร่ืองราวต่าง ๆ จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
อนั มสี ารเป็นตัวอักษรหรือสัญลกั ษณแ์ ทนภาษาพดู การเขียนมีมากมายหลากหลายรปู แบบ หน่งึ ในน้ัน
คือการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ เป็นการเขียนเร่ืองราวและการถ่ายทอดความคิดตามจินตนาการ
ของผู้เขียน ผ่านการคิดหรือการจินตนาการจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ได้พบหรือได้เห็น หรืออาจจะเกิดจาก
การเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ และความรู้เดิมของผู้เขียน ผู้เขียนจึงถ่ายทอดออกมา
ผ่านกระบวนการเขยี นเปน็ เรือ่ งราวต่อไป

ในการศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ คณะผู้วิจัยศึกษาเอกสารการวิจัยเก่ียวกับการเขียนเร่ือง
ตามจินตนาการทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการทาวจิ ัย สามารถแยกเปน็ ประเดน็ ศกึ ษาได้ ดงั นี้

14

1. ความหมายของการเขียนเรอ่ื งตามจินตนาการ
การเขียนเร่อื งตามจินตนาการนัน้ ไดม้ ีนกั วิชาการนยิ ามไวอ้ ย่างหลากหลาย ดงั นี้
วนิดา กุลภัทร์แสงทอง (2554: 12) ได้อธิบายความหมายของการเขียนเร่ืองตาม

จินตนาการไว้ว่า การเขียนเร่ืองตามจินตนาการและสร้างสรรค์ หมายถึง การถ่ายทอดเร่ืองราว
ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการโดยใช้ประสบการณ์ของผู้เขียนเชื่อมโยงความคิดและข้อมูลท้องถิ่น
ออกมาเป็นความเรียง หรอื การเล่าเรื่อง

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2527: 559) ได้อธิบายความหมายของการเขียน
เร่ืองตามจินตนาการไว้ว่า เป็นวิธีการเขียนแบบหน่ึงที่ผู้เขียนมีโอกาสแสดงออกทางความคิด
ความรู้สึกจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา หรือจากจินตนาการของตนเองได้อย่างอิสรเสรี ไมถ่ ูกบังคับ
เรือ่ งใดเรอื่ งหนึ่ง ทีต่ นไมม่ ีความรู้หรือความรสู้ ึกที่อยากจะระบายออก

สุทธิวรรณ อินทะกนก ( 2559: 25) ได้อธิบายความหมายของการเขียนเรื่อง
ตามจินตนาการไว้ว่า เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ความคิด จินตนาการ อารมณ์
ตลอดจนประสบการณ์ผ่านงานเขียนท่ีมีความแปลกใหม่ทั้งทางด้านรูปแบบและเน้ือหา โดยอาศัย
ศลิ ปะทางภาษา การใชส้ านวนโวหาร ตลอดจนเทคนคิ การนาเสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ

จากความหมายของการเขียนเรื่องตามจิตนาการ สามารถสรุปได้ว่าการเขียนเรื่อง
ตามจินตนาการ เป็นกระบวนการเขยี นที่ถ่ายทอดออกมาจากความคิด และจินตนาการของผู้เขียนเอง
โดยไม่มีการปิดกั้นหรือการบังคับ แต่ในลักษณะของการเขียนจะต้องเกี่ยวเน่ืองหรือสัมพันธ์กันกับ
ส่ิงท่ีได้พบหรือเห็น นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ได้เมื่อผู้เขียนนามาร้อยเรียงเป็น
ภาษาเขยี นแล้ว อาจจะเพม่ิ เตมิ สานวนภาษาเข้าไปประกอบความสมบรู ณ์ของเน้ือหาได้

2. ขน้ั ตอนของการเขยี นเร่อื งตามจินตนาการ
การเขียนเร่ืองตามจินตนาการ ถือเป็นกระบวนการเขียนอย่างหน่ึง ซึ่งจาเป็นอย่างย่ิง

ท่ีจะต้องมีขั้นตอนในการเขียนที่ชัดเจน โดยมีผู้กล่าวถึงข้ันตอนในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ
ดงั นี้

เอกรนิ ทร์ ส่ีมหาศาล (2554: ออนไลน์) อธิบายขนั้ ตอนของการเขียนเร่อื งตามจินตนาการ
ไว้ดงั นี้

1. เลอื กเรือ่ งท่จี ะเขยี น ควรเปน็ เร่ืองทต่ี นเองชอบและสนใจ
2. รวบรวมความคิด หรือความรทู้ เ่ี ก่ยี วขอ้ ง
3. วางโครงเรอ่ื ง และลาดับความคิดเกย่ี วกบั เหตุการณห์ รือเรอื่ งราวทจี่ ะเขยี น
4. เรียบเรียงให้เป็นเรือ่ งราวทส่ี มบรู ณ์
ชัยพร ธรรมโยธิน (2556: ออนไลน์) อธิบายเทคนิคการเขียนเร่ืองตามจินตนาการไว้
ดงั นี้
1. กาหนดเป้าหมายของการเขียน ให้ครอบคลมุ คาถาม 3 ประการ คือเขียนเพื่อใคร
ใครเป็นผู้อ่าน และประโยชน์ของงานเขียนน้ัน ๆ การกาหนดอย่างชัดเจนลงไปในงานเขียนแต่ละงาน
จะทาให้งานเขียนมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้อย่างไม่คาดเคล่ือน
นอกจากน้ียังเป็นประโยชน์ในการนาเสนองานเขียนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกาหนดอย่างชัดเจน

15

ว่าเขียนหนังสือให้ใครอ่านจะช่วยให้ผู้เขียนกาหนดความยาวความยากง่าย รวมไปถึงถึงการใช้ภาษา
สานวนทีเ่ ข้าถงึ กลุ่มผ้อู า่ นเฉพาะได้เปน็ อย่างดี

2. เลือกเร่ืองท่ีจะเขียน ขั้นตอนนี้ถือเป็นข้ันตอนท่ีสาคัญท่ีสุดของการเขียน
เพราะงานเขียนจะดีหรือประสบผลสาเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเร่ืองท่ีนักเขียนเลือกเขียน โดยแนวทาง
การเลือกเรื่องมีแนวทางดังตอ่ ไปนี้

- เลอื กเร่อื งท่ีนักเขยี นมคี วามรู้ ความสนใจ และมคี วามถนดั มากทสี่ ดุ
- เลือกเร่ืองท่มี ีความแปลกใหม่ น่าสนใจ และมีขอ้ มูลเพียงพอ ท่นี ักเขียนสามารถ
หาได้
- การเลือกเร่ืองท่ีมีคนอ่ืนเขียนมาก่อนแล้ว นักเขียนสามารถนามาต่อยอด
ใหก้ วา้ งและลึกซงึ้ กว่าเดมิ หรือนาเสนอในมุมมองวธิ ีการทแ่ี ปลกจากเดิม
- เลือกเร่ืองทอี่ ยู่ในกระแสนยิ ม
3. การกาหนดข้อมลู เบอื้ งตน้ ของงานเขียน
- กาหนดแนวทางการเขียน เช่น เขียนเชิงวิชาการ เขียนเรื่องส้ันสบาย ๆ
เขียนเล่าเร่อื งสารคดี เปน็ ตน้
- กาหนดผู้อ่าน เขียนให้ใครอ่าน อายุเท่าไหร่ เพศไหน อายุเท่าไหร่ และผู้อ่าน
จะได้อะไรจากการอ่านงานเขียน
- กาหนดความยาวของงานเขยี น
- กาหนดรูปแบบกลไกในการนาเสนองานเขียน จะนาเสนออย่างไรให้งานเขียน
มีความน่าสนใจ และเหมาะสมสาหรับกลมุ่ ผู้อา่ น
- กาหนดวัตถุประสงค์ท่ีต้องการเขียน เช่น เขียนนิทานสาหรับเด็กเพื่อส่งเสริม
ความรู้ เรอื่ งการปลกู ผักปลอดสารพษิ
- กาหนดขอบเขตของงานเขยี น เพื่อป้องกันไมใ่ ห้งานเขยี นกว้างเกินไปและยืดยาว
จนขาดความนา่ สนใจ
4. การศึกษารวบรวมขอ้ มูล
นักเขยี นตอ้ งศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริงกอ่ นการลงมือเขียนเพ่ือที่จะสื่อสารงานเขียน
ได้สมจริง การศึกษาข้อมูลสามารถศึกษาได้จากหลายแหล่ง เช่น ในหนังสือ ตารา นิตยสาร
อินเตอรเ์ น็ต หรอื แม้แตป่ ระสบการณต์ รงจากตัวเองหรอื บุคคลใกลต้ วั เป็นต้น
5. การเขยี นโครงเรื่อง
การเขียนโครงเรื่องน้ันมีความสาคัญต่อการเขียนเป็นอย่างมาก เพราะการเขียน
โครงเรื่องจะช่วยประโยชน์ตอ่ งานเขียน ดังนี้
- การเขียนโครงเรื่องเป็นตัวกาหนดงานเขียนให้อยู่ในแนวทางท่ีวางไว้ รวมทั้ง
ป้องกันการออกนอกประเด็น หรือหลงประเด็น
- การเขียนโครงเรื่องสามารถกาหนดงานเขียนได้อย่างเป็นระบบ รู้ว่าเนื้อเรื่อง
ชว่ งไหน จะเขยี นเรอ่ื งไหน

16

- การเขียนโครงเรื่องช่วยให้มองเห็นรูปร่างหน้าตาของงานเขียนได้อย่างคร่าว ๆ
ว่าจะออกมาเป็นประมาณไหน มีอะไรในงานเขียน มีส่วนที่ขาดหรือเกินตรงจุดไหน เพื่อท่ีจะได้
ปรับปรงุ ให้ดีขน้ึ

จะเห็นได้ว่าข้ันตอนในการเขียนนั้น จาเป็นต้องมีองค์ประกอบท่ีสาคัญคือ ข้ันตอน
การวางโครงเรื่อง ซึ่งเป็นข้ันตอนของการกาหนดเนื้อหา ขอบเขต และเรื่องราวท่ีผู้เขียน
ต้องการจะสอ่ื หากการกาหนดการวาวโครงเร่อื งไดด้ ี งานเขียนนั้นกจ็ ะออกมาได้อยา่ งสมบรู ณ์

3. การวัดและการประเมินผลการเขยี นเรอ่ื งจนิ ตนาการ
การเขียนเร่ืองตามจินตนาการ เป็นผลงานที่สร้างจากจินตนาการ มีความแปลกใหม่

ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตนเองโดยอาศัยประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคล
ดังน้ัน การวัดและประเมินผลจาเป็นจะต้องดูการพัฒนาทักษะการเขียนเรื่องตามจินตนาการ
จึงควรกาหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนท่ีเที่ยงตรง ครอบคลุมทุกด้าน มีผู้เสนอวิธีการวัดและ
ประเมินผลไวด้ งั นี้

กรรณิการ์ พวงเกษม (2534: 160) ได้กาหนดเกณฑ์ในการประเมินผลการเขียน
เรอ่ื งตามจินตนาการไว้ดงั น้ี

1. ความถกู ต้องเหมาะสมของเนอ้ื หาสอดคล้องกบั ภาพ
2. การเรียบเรยี งจัดลาดับความคิด
3. ความถูกต้องเหมาะสมของการใช้ภาษา โดยในแต่ละข้อจะกาหนดเกณฑ์คะแนน
ออกเป็น 3 ระดับ คือ ดีมาก = 3 ดี = 2 และ พอใช้ = 1
กระทรวงศึกษาธิการ (2536: 314) ได้กล่าวถึงการวัดและการประเมินการเขียน
เร่ืองตามจินตนาการไว้ว่า การเขียนแสดงความคิดอย่างเสรีและเขียนเรื่องตามจินตนาการ
เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย ดังน้ัน การวัดและประเมินผลท่ีถูกต้องและตรงที่สุด
คือ ใหน้ ักเรยี นเขยี นแล้วใหค้ ะแนนด้วยวธิ จี ดั อนั ดับคุณภาพ ดังน้ี
1. ความคิดแปลกใหม่ ไมซ่ า้ แบบหรือลอกเลยี นใคร
2. การใช้ภาษาคมคาย
3. มีประโยชน์ ให้ขอ้ คิด กอ่ ให้เกดิ จินตนาการ
4. เร้าความรู้สึกอย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลายอย่างตรงตามจุดประสงค์การเขียน
และควรมีเกณฑ์การให้คะแนนด้วย
อัจฉรา วงศ์โสธร (2538: 223-224) ได้กล่าวถึงการวัดและการประเมินการเขียนเรื่อง
ตามจินตนาการไว้ว่า เกณฑ์การตรวจพิจารณาเพื่อประเมินงานเขียนว่ามักจะประกอบด้วย
เกณฑด์ ังตอ่ ไปน้ี
1. ความถูกตอ้ งดา้ นการใชภ้ าษา ได้แก่ ศพั ท์ โครงสรา้ ง
2. ความเหมาะสมด้านการใช้ภาษา ได้แก่ ศัพท์ สานวนว่าส่ือได้ถูกต้องเหมาะสม
ชัดเจน และกระชบั ไดใ้ จความหรือไม่
3. มีจุดเนน้ ของความคิดและการนาเสนอที่ชดั เจน
4. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความคิดและความสมดุลของการนาเสนอ

17

5. การใชเ้ ทคนิควธิ กี ารนาเสนอขอ้ มลู ทั้งที่เปน็ นามธรรมและรูปธรรมท่ีเหมาะสม
6. การนาเข้าสูเ่ รือ่ งได้อย่างน่าสนใจ
7. การดาเนนิ เรอื่ งอยา่ งสมั พนั ธก์ ัน
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า การวัดและการประเมินการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ
มุ่งเน้นไปท่ีเน้ือหาและการใช้ภาษาเป็นสาคัญ เนื่องจากหัวใจสาคัญในการเขียนเป็นการสร้าง
ความเข้าใจท่ีตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้แนวคิดการวัดผลและประเมิน
การเขยี น ซง่ึ แบง่ ออกเปน็ 3 ดา้ น ประกอบไปด้วยดา้ นรปู แบบ ด้านเนอื้ หา และดา้ นภาษา

4. ประโยชนข์ องการเขยี นเรื่องตามจนิ ตนาการ
การเขียนเรื่องตามจินตนาการ นอกจากจะเป็นวิธีการพัฒนาทักษะการเขียนแล้ว

ยังมีประโยชน์อีกหลายประการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2527: 559-560) ได้อธิบาย
ประโยชนข์ องการเขียนเรือ่ งตามจินตนาการไว้ ดงั น้ี

1. พัฒนาทักษะการเขียนคา ประโยค เร่ืองราวต่าง ๆ โดยนักเรียนสามารถเลือกใช้
ภาษาทดี่ ี ทาให้ผอู้ ่านเกดิ ความซาบซึ้งและสนใจในงานเขียน

2. พัฒนาความสามารถทางภาษาในทักษะการเขียนมากกว่าความถูกต้อง
ตามกฎเกณฑ์ของภาษา การเขียนเรื่องตามจินตนาการเป็นการเขี ยนท่ีอิสระทางความคิด
ไม่มีกรอบกาหนดตายตัว เป็นการแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียนท่ีต้องการถ่ายทอดไปยังผู้อ่าน
ผู้เขียนต้องพัฒนาทักษะการเขียนให้ดียิ่งข้ึนอยู่เสมอ การพัฒนาทักษะการเขียนจากผลงาน
ของนักเรียน เป็นการนาความรู้มาประยุกต์ใช้จริง เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ จนเกิดเป็นรูปธรรม
และเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เป็นการส่งเสริมการพัฒนาความสามารถทางภาษาในทักษะ
การเขียนมากกว่าความถูกต้องตามกฎเกณฑ์โครงสร้างของภาษาท่ีมีแบบแผน มีลักษณะเฉพาะ
เป็นนามธรรมและยากตอ่ การทาความเข้าใจ

3. นักเรียนได้แสดงออกอย่างอิสรเสรี เป็นการส่งเสริมความสามารถตามธรรมชาติ
ทางวรรณคดที ม่ี ีในตัวเดก็ ให้สร้างสรรค์ผลงานทม่ี ีคุณค่าทางภาษาและวรรณคดี

4. นักเรียนได้แสดงความคิดและความรู้สึกจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
ตามความสนใจ และความต้องการของเด็ก มนุษย์ทุกคนย่อมมีความรู้สึกนึกคิดต่อสถานการณ์ต่าง ๆ
บางคร้ังอาจแสดงออกหรืออดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์เหตุการณ์น้ัน ๆ หากครูเปิดโอกาส
ให้เดก็ ไดแ้ สดงความรู้สกึ ตอ่ เหตกุ ารณ์หรือสถานการณด์ ังกลา่ ว ยอ่ มเกดิ ประโยชน์ในด้านทัศนคติ หาก
เป็นไปในด้านท่ีต้องชว่ ยเหลือกส็ ามารถดาเนินการชว่ ยเหลอื ไดท้ นั ที

6. พัฒนาบุคลิกภาพของเด็กให้มีความเชื่อม่ันในตนเองในการแสดงความรู้สึกนึกคิด
ต่าง ๆ เมื่อผลงานของนักเรียนเป็นผลงานที่ได้รับการยอมรับ ได้รับความช่ืนชม ทาให้นักเรียน
เกิดความสามารถ ตระหนักและเห็นคุณค่าของตนเอง มีความเช่ือม่ันในตนเอง ส่งผลให้นักเรียน
กล้าทจ่ี ะรังสรรคผ์ ลงานการเขยี นในมมุ มองต่าง ๆ

7. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ทักษะการเขียนแสดงออกทางจินตนาการและมีความคิด
รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ การเขยี นเร่ืองตามจนิ ตนาการ เป็นการถ่ายทอดเรอื่ งราวความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ
โดยใช้ประสบการณ์หรือจินตนาการของผู้เขียนได้อย่างอิสรเสรี ไม่ถูกบังคับ ทาให้นักเรียนมีอิสระ

18

ทางความคิด สามารถคิดและลงมือปฏิบัติได้อย่างเต็มท่ีตามความสามารถและความ สนใจ
หากนักเรียนได้รับความช่ืนชม หรือได้รับการสง่ เสริม ย่ิงทาให้นักเรียนเกิดแรงบันดาลใจทีจ่ ะรังสรรค์
ผลงานออกมาเพิม่ มากย่ิงข้นึ

8. เป็นการวางรากฐานการส่งเสริมให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงาน เม่ือครูสนใจ
ในงานเขียนของนักเรียน ให้กาลังใจ ยกย่องซักถามถึงความคิด ความต้องการที่จะสื่อความ
และจินตนาการของนักเรียนแล้ว นักเรียนจะเกิดความภาคภูมิใจและคิดที่จะพัฒนาทักษะการเขียน
โดยค้นคว้าเลือกหาคาหรือประโยค มาแต่งเป็นเรื่องราวที่มีลักษณะสานวนภาษาท่ีดี ทาให้ผู้อ่าน
เกิดความซาบซึ้งและประทบั ใจ เปน็ การส่งเสริมใหน้ กั เรียนสร้างสรรคว์ รรณคดวี รรณกรรมที่เปน็ มรดก
ของชาตอิ ีกต่อไปดว้ ย

จะเห็นได้ว่าการเขียนเร่ืองตามจินตนาการนั้น เป็นการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ที่สะท้อน
ออกมาผ่านความคิดและจินตนาการของผู้เขียนเป็นเรื่องราวที่ผ่านการร้อยเรียงเนื้อหาเชื่อมโยงกับ
สิ่งท่ีได้พบเห็นและประสบการณ์ของผู้เขียนเองได้โดยอิสระ ในการเขียนผู้เขียนสามารถเพ่ิมเติม
สานวนและการเรียบเรียงเน้ือหาที่น่าสนใจประกอบเข้าไปได้ ช่วยให้การเขียนน่าสนใจมากยิ่งข้ึน
ขั้นตอนสาคัญในการเขียนคือ ผู้เขียนจาเป็นต้องมีการวางโครงเร่ือง เป็นการกาหนดขอบเขต เน้ือหา
ลาดับการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ หากมีการจัดวางโครงเร่ืองอย่างเป็นระบบ การเขียนครั้งนั้น
ก็จะออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จากท้ังหมดท่ีกล่าวมานี้ทาให้เราสามารถเห็ นถึงความสาคัญและ
ประโยชน์ของการเขยี นเรอ่ื งตามจนิ ตนาการ โดยเฉพาะการพัฒนาทกั ษะการเขียนและการสอื่ ความ

แนวคิด 5W1H

5W1H เป็นแนวคิดการวิเคราะห์ท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นแนวคิดที่ใช้สาหรับ
การวิเคราะห์ โดยใช้ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลท่ีเป็นเหตุของสถานการณ์หรือเร่ืองราว
ให้มากที่สุด ก่อนนามาจาแนก แยกแยะ เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ
แล้วนามาจัดระบบ และเรียบเรียงใหมใ่ ห้งา่ ยแก่การทาความเขา้ ใจ

ในการศึกษาวิจัยในครั้งน้ี คณะผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารการวิจัยเกี่ยวกับแนวคิด 5W1H
ทเี่ กี่ยวข้องกบั การทาวิจยั สามารถแยกเปน็ ประเด็นศึกษาได้ ดงั นี้

1. ความหมายของแนวคดิ 5W1H
แนวคิด 5W1H เป็นลักษณะของแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจับใจความสาคัญ

ในเรือ่ งต่าง ๆ ได้มีนักวิชาการไดใ้ ห้ความหมายของแนวคิด 5W1H คือ
ตรีทิพย์นิภา จ่ีมุก (2562: 13) ได้ให้ความหมายของแนวคิด 5W1H ว่า เทคนิค

การต้ังคาถาม 5W1H เป็นเทคนิคที่สามารถพัฒนาการอ่านจับใจความโดยการฝึกต้ังคาถาม
ให้ครอบคลุมหลัก 5W1H ได้แก่ What (อะไร) Where (ท่ีไหน) When (เมื่อไร) Why (ทาไม)
Who (ใคร) และ How (อย่างไร) เพื่อให้ได้คาตอบที่ตรงประเด็นหรือสอดคล้องกับความต้องการใน
การเรียนรู้

19

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าแนวคิด 5W1H เป็นเทคนิคของการตั้งคาถาม
เหมาะสาหรับการใช้จับใจความสาคัญ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาที่ครอบคลุมตามสิ่งที่ต้องการ
จะทราบ

2. ความสาคัญของแนวคิด 5W1H
แนวคิด 5W1H เป็นแนวคิดที่ใช้สาหรับจับใจความสาคัญ ถือว่าเป็นเร่ืองหน่ึงท่ีสาคัญ

สาหรับกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ โดยมีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสาคัญของแนวคิด 5W1H
คอื

จุฑารัตน์ พันธุ (2556: 28) ได้กล่าวถึงความสาคัญของแนวคิด 5W1H ไว้ว่า การคิด
วิเคราะห์ด้วยเทคนิค 5W1H จะสามารถช่วยไล่เรียงความชัดเจนในแต่ละเร่ืองที่เรากาลังคิด
ได้เป็นอย่างดี ทาให้เกิดความเข้าใจท่ีครบถ้วนสมบูรณ์ ดังน้ัน ในบางครั้งการเร่ิมคิดวิเคราะห์
ถ้าคิดอะไรไม่ออกให้เร่ิมต้นถามตัวเอง โดยใช้คาถาม 5W1H ถามตัวเอง นอกจากการใช้เทคนิค
5W1H แลว้ อาจจะใชเ้ ทคนิคการตัง้ คาถามในลักษณะอืน่ ได้

จากท่ีกล่าวมาข้างตน้ จะเห็นไดว้ ่าแนวคิด 5W1H เป็นแนวคดิ หนึ่งที่สาคัญตอ่ กระบวนการ
การจับใจความสาคัญ การเข้าใจบริบทของเรื่องราวผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ รายละเอียดท่ีปรากฏอยู่
เพือ่ นาไปส่กู ารเขา้ ใจในภาพรวมได้

3. หลักการของแนวคดิ 5W1H
หลกั การของแนวคดิ 5W1H ได้มนี ักวิชาการได้กล่าวถึงหลักการของแนวคดิ 5W1H หลาย

ทา่ น ดังน้ี
ดว งพร เฟื่องฟู (2560 : 23) ได้ กล่าว ถึงหลักการของแนวคิด 5W1H ไว้ว่า

หลักการตั้งประเด็นถามตอบเพ่ือให้นักเรียนได้บรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ โดยใช้คาถาม 5W1H
เป็นส่วนหนึ่งของประเภทความคิดของบลูม (Bloom) หรือทฤษฎีการเรียนรู้เบนจามิน บลูม
และคณะ ไดจ้ าแนกจดุ มงุ่ หมายการเรียนร้อู อกเป็น 3 ด้าน คอื

1. ดา้ นพุทธพิ สิ ยั (Cognitive Domain)
2. ด้านทักษะพิสยั (Psychomotor Domain)
3. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain)

พทุ ธพิ สิ ัย (Cognitive Domain)
เป็นพฤติกรรมด้านสมองเก่ียวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด

ความสามารถในการคิดเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ซ่ึงเป็นความสามารถทางสตปิ ัญญา ได้แก่
1. ความรู้ความจา เป็นลักษณะของความสามารถในการเก็บรักษา มวล

ประสบการณ์ต่าง ๆ จากการท่ีได้รับรู้ไว้ และระลกึ ส่งิ น้นั ได้เม่อื ต้องการ เปรียบด่ังเทปบนั ทึกเสียงหรือ
วีดิทัศน์ ที่สามารถเก็บเสียง และภาพของเรื่องราวต่าง ๆ ได้ สามารถเปิดฟังหรือดูภาพเหล่าน้ันได้
เมื่อต้องการ

2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของสื่อ และสามารถ
แสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรอื การกระทาอน่ื ๆ

20

3. การนาความรู้ไปใช้ เป็นข้ันที่นักเรียนสามารถนาความรู้ ประสบการณ์ไปใช้
ในการแกป้ ญั หาในสถานการณต์ า่ ง ๆ ได้ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จงึ สามารถนาไปใชไ้ ด้

4. การวิเคราะห์ นักเรียนสามารถคิด หรือแยกแยะเร่ืองราวส่ิงต่าง ๆ
ออกเป็นส่วนย่อย และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนท่ีเกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการวิเคราะห์
จะแตกตา่ งกนั ไปแล้วแตค่ วามคดิ ของแต่ละคน

5. การสังเคราะห์ เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราว
เดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดส่ิงใหม่ท่ีสมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิด
ออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกาหนด วางแผนวิธีการดาเนินงานขึ้นใหม่ หรืออาจเกิดความคิด
ทสี่ ร้างความสัมพันธ์ของสิ่งท่เี ปน็ นามธรรมขึ้นมาในรูปแบบหรือแนวคิดใหม่

6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือสรุปเกี่ยวกับ
คุณค่าของส่ิงต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ท่ีเหมาะสม อาจเป็นไปตามเนื้อหา
สาระในเรื่องนั้น ๆ หรอื อาจเปน็ กฎเกณฑ์ทส่ี งั คมยอมรบั กไ็ ด้

จติ พสิ ยั (Affective Domain) (พฤตกิ รรมดา้ นจิตใจ)
เป็นค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเช่ือ ความสนใจ และคุณธรรม

พฤติกรรมด้านน้ีอาจไม่เกิดข้ึนทันที ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อม
ทเี่ หมาะสม และสอดแทรกสงิ่ ท่ีดีงามอยู่ตลอดเวลา ทาให้พฤติกรรมของนักเรียนเปลี่ยนไปในแนวทาง
ท่พี ึงประสงคไ์ ด้ ประกอบดว้ ยพฤติกรรมย่อย ๆ 5 ระดบั ไดแ้ ก่

1. การรับรู้ เป็นความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์ หรือส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหน่ึง
ซ่ึงเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของส่ิงเร้าน้ันว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมา
ในรปู ของความรูส้ ึกที่เกิดขน้ึ

2. การตอบสนอง เป็นการกระทาที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม
และพอใจตอ่ ส่ิงเรา้ นั้น ซง่ึ เปน็ การตอบสนองท่เี กิดจากการเลือกสรรแล้ว

3. การเกิดค่านิยม เป็นการเลือกปฏิบัติในส่ิงที่เป็นท่ียอมรับกันในสังคมการยอมรับ
นับถือในคุณค่าน้ัน ๆ หรือปฏิบัติตามในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง จนกลายเป็นความเช่ือและเกิดทัศนคติท่ีดี
ในสงิ่ นน้ั

4. การจัดระบบ การสร้างแนวคิด จัดระบบของค่านิยมท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัย
ความสัมพันธ์ ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไป แต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับ ซ่ึงอาจจะยอมรับค่านิยมใหม่
โดยยกเลกิ ค่านยิ มเก่า

5. บุคลิกภาพ การนาค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นนิสัยประจาตัว
ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม พฤติกรรมด้านนี้จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจซึ่งเริ่มจาก
การได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึก ด้านต่าง ๆ
จนกลายเป็นค่านิยม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งเป็นการควบคุมทิศทางพฤติกรรม
ของคนคนจะรดู้ รี ชู้ ่ัวอย่างไรนนั้ ก็เปน็ ผลของพฤติกรรมดา้ นนี้

21

ทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) (พฤตกิ รรมด้านกล้ามเนื้อประสาท)
พฤติกรรมท่ีบ่งบอกถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชานาญ

ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลา และคุณภาพของงานเป็นตัวช้ีระดับของทักษะ ประกอบด้วย
พฤตกิ รรมยอ่ ย ๆ 5 ขัน้ ดงั น้ี

1. การรับรู้ เป็นการให้นักเรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือเป็นการเลือก
หาตวั แบบที่สนใจ

2. กระทาตามแบบหรือเครื่องช้ีแนะ เป็นพฤติกรรมท่ีนักเรียนพยายามฝึก
ตามแบบท่ีตนสนใจและพยายามทาซ้า เพื่อให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือสามารถ
ปฏบิ ัตงิ านไดต้ ามขอ้ แนะนา

3. การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเคร่ือง
ชแ้ี นะ เม่ือไดก้ ระทาซา้ แล้วก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏบิ ัติ

4. การกระทาอย่างต่อเน่ือง หลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบท่ีเป็นของตัวเอง
จะกระทาตามรูปแบบน้ันอย่างต่อเน่ือง จนปฏิบัติงานท่ียุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง
คล่องแคล่ว การทนี่ กั เรยี นเกดิ ทักษะได้ ต้องอาศยั การฝกึ ฝน และกระทาอย่างสมา่ เสมอ

5. การกระทาได้อย่างเป็นธรรมชาติ พฤติกรรมที่ได้จากการฝึกอย่างต่อเน่ือง
จนสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างธรรมชาติซึ่งถือเป็นความสามารถ
ของการปฏบิ ตั ิในระดับสูง

กมลพร ทองนุช และจุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (ม.ป.ป.: 5) ได้กล่าวถึงหลักการ
ของแนวคิด 5W1H ไว้ว่า หลักการในการใช้เทคนิค 5W1H เป็นวิธีในการสารวจ และค้นพบความรู้
โดยการด้วยการตั้งคาถาม เทคนิค 5W1H สามารถพัฒนานักเรียนให้เป็นนักอ่านที่มีความเชี่ยวชาญ
ผ่านการตั้งคาถามต่าง ๆ เร่ิมจากการเรียนรู้จากการอ่าน แล้วต้ังคาถามประกอบด้วย Who (ใคร)
What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เม่ือไร) Why (ทาไม) และ How (อย่างไร) จากนั้นเม่ือนกั อ่าน
เกิดกระบวนการดังกล่าวแล้ว ก็จะสามารถค้นพบคาตอบด้วยตนเองได้ ซึ่งเกิดมาจาก
การตง้ั คาถามในลักษณะดังกลา่ ว

จากหลักการของแนวคิด 5W1H สามารถสรุปได้ว่า หลักการของแนวคิด 5W1H
เปน็ หลักการตั้งคาถาม ซึง่ สามารถใช้คาถามน้ีในการค้นหาคาตอบได้ด้วยตนเองของผู้อ่าน

4. ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิของแนวคิด 5W1H
แนวคิด 5W1H เป็นแนวคิดที่ใช้หลักการต้ังคาถาม ที่ใช้สาหรับการทาความเข้าใจ

ในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ค่อนข้างเป็นหลักเกณฑ์ชัดเจน โดยมีนักวชิ าการได้กล่าวถึง
ในประเดน็ ดังกล่าวหลายท่าน ดงั น้ี

กมลพร ทองนุช และจุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (ม.ป.ป.: 5) ได้กลา่ วว่า ข้ันตอนการจัดกิจกรรม
โดยใชเ้ ทคนคิ 5W1H ประกอบดว้ ยการต้ังคาถาม 6 คาถาม ดงั น้ี

คาถามที่ 1 Who ใคร คือ นกั เรียนบอกถึงบคุ คลทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
คาถามที่ 2 What อะไร คอื นกั เรียนบอกถงึ เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขน้ึ

22

คาถามท่ี 3 Where ทไ่ี หน คือ นักเรียนบอกถงึ สถานท่ี ตาแหนง่ บอกความแตกต่าง
ของในแต่ละสถานที่

คาถามท่ี 4 When เมื่อไร คือ นักเรียนบอกถึงลาดับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นทั้งอดีต
ปจั จบุ ันและอนาคต โดยอาจจะเปน็ การระบุวันที่หรอื เวลา

คาถามที่ 5 Why ทาไม คือ นกั เรยี นบอกถึงสาเหตุ ความเคลอื่ นไหวท่สี ง่ ผลต่อเรอ่ื ง
คาถามท่ี 6 How อย่างไร คือ นักเรียนบอกถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร
และจะแกไ้ ขปัญหาอยา่ งไร
สุวิทย์ มูลคา (2547: 21-22) กล่าวถึงเทคนิคและข้ันตอนในการคิดวิเคราะห์อย่างง่าย
ท่ีนยิ มใช้คือ 5W1H ประกอบไปด้วยข้นั ตอนในการตั้งคาถาม ดงั น้ี
1. What (อะไร) ปัญหาหรอื สาเหตุทเี่ กดิ ข้นึ

1.1 เกดิ อะไรขึ้นบา้ ง
1.2 มอี ะไรเกยี่ วขอ้ งกับเหตกุ ารณน์ ้ี
1.3 หลักฐานทีส่ าคัญทีส่ ุด คอื อะไร
1.4 สาเหตทุ ท่ี าใหเ้ กดิ เหตุการณน์ ้ี คอื อะไร
2. Where (ท่ไี หน) สถานทีห่ รือตาแหนง่ ทเี่ กดิ เหตุ
2.1 เรือ่ งน้ีเกิดท่ีไหน
2.2 เหตุการณ์นน้ี า่ จะเกิดขน้ึ ทใ่ี ดมากท่ีสดุ
3. When (เมื่อไร) เวลาทเี่ หตกุ ารณน์ นั้ ได้เกดิ ขึ้น หรือจะเกดิ ขนึ้
3.1 เหตุการณ์นัน้ นา่ จะเกิดข้ึนเมอื่ ไร
3.2 เวลาใดบ้างทส่ี ถานการณเ์ ช่นนี้จะเกดิ ขนึ้ ได้
4. Why (ทาไม) สาเหตหุ รอื มลู เหตุท่ีทาใหเ้ กดิ ข้ึนได้
4.1 เหตุใดต้องเปน็ คนนี้ เป็นเวลาน้ี เปน็ สถานท่นี ี้
4.2 เพราะเหตใุ ดเหตุการณ์จึงเกดิ ข้ึน
4.3 ทาไมจงึ เกิดเร่อื งน้ี
5. Who (ใคร) บุคคลสาคัญเป็นตัวประกอบหรือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องท่ีจะได้รับ
ผลกระทบทง้ั ด้านบวกและดา้ นลบ
5.1 ใครอยู่ในเหตกุ ารณ์บ้าง
5.2 ใครน่าจะเปน็ คนทท่ี าให้สถานการณน์ ีเ้ กิดมากท่ีสดุ
5.3 เหตุการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ ใครไดป้ ระโยชน์ ใครเสยี ประโยชน์
6. How (อย่างไร) รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือกาลังจะเกิดขึ้นว่า
มคี วามเป็นไปไดใ้ นลักษณะใด
6.1 เขาทาส่งิ นไ้ี ดอ้ ย่างไร
6.2 ลาดับเหตุการณ์นี้ดวู า่ เกดิ ขึน้ ไดอ้ ย่างไรบา้ ง
6.3 เหตุการณน์ ีเ้ กดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งไร
6.4 มีหลกั ในการพจิ ารณาคนดอี ยา่ งไรบ้าง

23

จากขั้นตอนการปฏิบัติของแนวคิด 5W1H ดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่าขั้นตอนการปฏิบัติ
ของแนวคิด 5W1H เกี่ยวข้องกับเทคนิคการตั้งคาถาม ซึ่งเป็นการต้ังคาถามท่ีเจาะจงรายละเอียดของ
เน้ือหา สามารถแยกเป็นประเด็นคาถามที่สาคัญได้ ได้แก่ Who (ใคร) What (อะไร) Where (ท่ีไหน)
When (เมื่อไร) Why (ทาไม) และ How (อย่างไร)

5. ประโยชน์ของแนวคดิ 5W1H
แนวคิด 5W1H เป็นการตั้งคาถามเพ่ือทาให้เกิดความเข้าใจในเร่ืองราวต่าง ๆ มากยิ่งข้ึน

เปน็ แนวคิดท่ีมีประโยชนเ์ ปน็ อย่างมาก โดยมีนักวชิ าการได้กล่าวถึงประโยชน์ของแนวคดิ 5W1H ดงั น้ี
ตรีทิพย์นิภา จ่ีมุก (2562: 12-13) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแนวคิด 5W1H

ว่าเทคนิค 5W1H ช่วยให้เกิดการคิดเชิงลึก คิดอย่างละเอียดจากเหตุไปสู่ผล ตลอดจนการเชื่อมโยง
ความสมั พันธใ์ นเชิงเหตแุ ละผล ความแตกตา่ งระหว่างขอ้ โตแ้ ย้งท่เี กยี่ วข้อง และไมเ่ ก่ยี วขอ้ ง

วนิช สธุ ารัตน์ (2547: 135) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องแนวคิด 5W1H ว่าการคดิ วิเคราะห์
ตามแนว 5W1H ช่วยให้บุคลากรมีหลักการ มีเหตุผล ทางานทุกอย่างอย่างมีเป้าหมาย มีความคิด
ทุกข้ันตอนที่ชัดเจน จนเกิดปัญญาที่พัฒนาความสามารถทางภาษา และเพิ่มพูนศักยภาพการเรียนรู้
ของบคุ คลไดก้ า้ วหนา้ มากย่งิ ขน้ึ

จากทั้งหมดท่ีกล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของแนวคิด 5W1H มีความเกี่ยวข้อง
กับกระบวนการคิดในลักษณะของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงรูปแบบของเหตุและผล อนั จะนาไปสู่
ความเขา้ ใจในเรอ่ื งนั้น ๆ มากยิง่ ขึน้

จากท้ังหมดที่ได้กล่าวมานี้สามารถสรุปได้ว่า แนวคิด 5W1H เป็นแนวคิดที่ใช้สาหรับ
การแสวงหารายละเอียดของส่ิงใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงนามาใช้ประกอบการตอบคาถามที่เก่ียวกับความใคร่รู้
หรือความต้องการท่ีจะเข้าใจในเรื่องใดเร่ืองราวหนึ่ง โดยจะต้องอาศัยแนวคิด ความคิด
หรือกระบวนการเพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริง หรือความเข้าใจใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการอธิบาย
การประเมิน การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ขั้นตอนกระบวนการของแนวคิด 5W1H
มีความเกี่ยวข้องกับการตั้งคาถาม นาไปสู่การจาแนกองค์ประกอบ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
โดยแนวคาถามจะอยู่ในขอบเขต 5W1H เพื่อนาไปสู่การค้นหาความจริงเก่ียวกับเรื่องที่ต้องการ
สาหรับในบางกรณีอาจจะไม่จาเป็นต้องใช้คาถามทุกข้อ แต่ต้องมีความครอบคลุม และตรงประเด็น
กับขอบเขตของสถานการณ์หรือเรื่องราวน้ัน ๆ เพ่ือวิเคราะห์เร่ืองราวตามส่ิงท่ีเราต้องการจะทราบ

ในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้นาเอาหลักการ 5W1H มาใช้ประกอบการวิจัย
สาหรับการพัฒนาการทักษะการเขียนเร่ืองตามจินตนาการของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจ
ประเด็นย่อยในการเขียนได้ และทางคณะผู้วิจัยได้เพ่ิมคติสอนใจ (Moral) เข้าไปประกอบในแนวคิด
ดังกล่าว เนื่องจากในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ ผู้เขียนควรจะมีคติสอนใจให้กับผู้อ่าน
ในการประกอบการเขยี นไว้ดว้ ยจึงจะเป็นการเขียนทส่ี มบูรณ์ข้ึน

24

แบบฝึกทกั ษะ

แบบฝึกทกั ษะเป็นเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ประกอบการเรยี นการสอนชนิดหนึ่ง ถือวา่ สาคัญเป็นอย่างย่ิง
โดยเฉพาะในแง่ของการใช้เป็นเครื่องมือท่ีส่งเสริมหรือใช้สร้างทักษะให้กับ นักเรียนเกิดการเรียนรู้
ท่ีรวดเร็ว และเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพมากยิ่งขน้ึ

ในการศึกษาวิจัยในครั้งน้ี คณะผู้วิจัยได้ทาการศึกษาเอกสารจากการวิจัยเก่ียวกับแบบฝึก
ทักษะทเี่ กยี่ วข้องกบั การทาวจิ ยั สามารถแยกเปน็ ประเด็นศกึ ษาได้ ดงั น้ี

1. ความหมายและความสาคญั ของแบบฝกึ ทกั ษะ
แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือหน่ึงที่สาคัญในการะบวนการเรียนการสอน เนื่องจาก

เป็นการฝึกฝนจนเกิดความชานาญ และให้นักเรียนสามารถใช้ทักษะทางภาษาได คลองแคล่ว
และมปี ระสทิ ธิภาพ โดยมนี ักวิชาการได้ให้ความหมาย และกลา่ วถึงความสาคัญของแบบฝกึ ทักษะไว้
ดังนี้

กมล ดิษฐกมล (2509: 16) ได้กล่าวถึงความหมายและความสาคัญของแบบฝึกทักษะ
ไว้ว่า กลวิธีการสอนวิชาทักษะหัวใจของการสอนวิชาทักษะอยู่ท่ีการฝึก (Drill) การฝึกอย่างถูกวิธี
เท่านั้นท่ีจะทาให้เกิดความชานาญ และทักษะทางด้านภาษาเป็นส่ิงจาเป็นจะต้องฝึกให้แกนักเรียน
เพื่อให้นักเรียนมีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร และการส่ือความหมายอันเป็นวัตถุประสงค์
สาคญั ของการสอนภาษา

สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 53) ได้กล่าวถึงความสาคัญ
ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะมีความสาคัญต่อนักเรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้าง
ทักษะให้กับนักเรียน ให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วข้ึน ชัดเจนขึ้น กว้างขวางข้ึน ทาให้การสอน
ของครู และการเรียนของนักเรียนประสบผลสาเร็จอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

ไพทูลย์ มูลดี (2546: 48) ได้กล่าวถึงความหมายและความสาคัญของแบบฝึกทักษะว่า
แบบฝึกทักษะ คือชุดฝึกการเรียนรู้ที่ครูสร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนรู้
มาแล้ว เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และช่วยเพ่ิมทักษะ ความชานาญ และฝึกกระบวนการคิด
ให้มากขึ้น ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอนให้กับครู อีกทงั้ พัฒนาความสามารถของนักเรียน
และทาให้นกั เรยี นสามารถมองเหน็ ความกา้ วหนา้ จากผลการเรยี นรู้ของตนเองได้

คมขา แสนกล้า (2547: 32) ได้กล่าวถึงความสาคัญของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึก
ทักษะเป็นส่วนสาคัญในการเรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพ่ือใช้ในการฝึกฝนทักษะ
ความรู้ต่าง ๆ หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็อาจจะลืมเลือนความรู้ท่ีเรียนไปได้ ซึ่งอาจส่งผลให้นักเรียน
ไม่มีประสิทธภิ าพเทา่ ที่ควร

ฐานิยา อมรพลงั (2548: 75) ได้กล่าวถึงความหมายและความสาคัญของแบบฝกึ ทักษะ
ไว้ว่า ความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งานกิจกรรม หรือประสบการณ์ท่ีครูจัดให้นักเรียนได้ฝึกหัด
กระทา เพื่อทบทวนฝกึ ฝนเน้ือหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรยี นไป แล้วให้เกิดความจา จนสามารถปฏิบัติได้
ดว้ ยความชานาญ และให้นักเรียนสามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวันได้

วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 40) ได้กล่าวถึงความหมายและความสาคัญของแบบฝึก
ไว้ว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัดหรือชุดฝึกท่ีครูจัดให้นักเรียน เพ่ือให้มีทักษะเพิ่มข้ึนหลังจากท่ีได้เรียนรู้

25

เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมที่น่าสนใจ
และสนุกสนาน

อกนษิ ฐ์ กรไกร (2549: 18) ได้กลา่ วถงึ ความหมายของแบบฝกึ ทักษะไว้ว่าแบบฝึกทกั ษะ
หมายถึงสื่อที่สร้างขึ้นเพ่ือเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้
นักเรียน ทาโดยมีการทบทวนสิ่งท่ีเรียนผ่านมาแล้วจากบทเรียน ให้เกิดความเข้าใจและเป็นการฝึก
ทักษะ และแก้ไขในจุดบกพร่องเพื่อให้นักเรียนได้มีความสามารถ และศักยภาพยิ่งขึ้นเข้าใจบทเรียน
ดขี ึน้

พินิจ จันทร์ซ้าย (2546: 90) ได้กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก
ทักษะ หมายถึง งานกิจกรรมหรือประสบการณ์ท่ีครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวน
ความรทู้ ่ีเรียนมาแล้วนามาปรบั ประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน

จากการศกึ ษาความหมายและความสาคัญของแบบฝึกทักษะ สามารถกลา่ วโดยสรุปได้ว่า
แบบฝึกทักษะเป็นชุดฝึกทักษะท่ีครูสร้างข้ึนให้นักเรียนได้ทบทวนเน้ือหาทเ่ี รียนรู้มาแล้วเป็นการสร้าง
ความเขา้ ใจ และชว่ ยเพ่ิมทักษะความชานาญและฝึกกระบวนการคดิ ให้มากขึ้น ท้ังยังสามารถทาให้ครู
ทราบถึงความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน สามารถฝึกให้นักเรียนมีความเช่ือมั่น และสามารถ
ประเมินผลของตนเองได้ นอกจากนยี้ งั มปี ระโยชน์ในการช่วยลดภาระการสอนของครู และยงั สามารถ
ช่วยพฒั นาตามความแตกต่างของบุคคล

2. ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ
แบบฝึกทักษะถือว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน ต่อการเรียนมาก เป็นสิ่งจาเป็น

ท่ีสามารถช่วยให้นักเรียนเกิดความชานาญในทักษะท่ีเรียน เนื่องจากการได้รับการฝึกฝนในเรื่องเดิม
บ่อยครั้ง และทาซ้า ๆ ทาให้นักเรียนมีความรู้ และสร้างความเข้าใจในเน้ือหาของบทเรียน
ได้เปน็ อย่างดี

เพ็ตต้ี (Petty. 1963: 469 - 472) ได้กล่าวถึงประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะไวว้ ่า
1. แบบฝึกทักษะใช้เป็นส่วนที่เพ่ิม หรือเสริมหนังสือเรียน แบบฝึกทักษะช่วยลดภาระ
ของครไู ดมาก เพราะแบบฝึกเป็นส่ิงทจี่ ดั ทาขนึ้ อย่างเปน็ ระบบระเบียบ นา่ เชือ่ ถอื สามารถนามาใช้ได้
2. แบบฝึกทักษะช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษา เป็นเครื่องมือท่ีช่วยให้เด็กฝึกทักษะ
การใช้ภาษาไดดีขึน้ แต่ต้องอาศัยการส่งเสริม และความเอาใจใสจากครผู ู้สอน
3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เน่ืองจากเด็กมีความสามารถทางภาษา
แตกต่างกัน การให้เด็กทาแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับความสามารถของเขา จะช่วยให้เด็ก
ประสบผลสาเร็จในดา้ นจิตใจมากขน้ึ
4. แบบฝึกทักษะชว่ ยเสริมใหท้ กั ษะทางภาษาคงทน โดยสามารถกระทาได้ ดงั นี้

4.1 ฝกึ ทนั ทหี ลงั จากทเ่ี ด็กเรียนรเู้ รื่องนัน้ ๆ
4.2 ฝกึ ซา้ ๆ หลาย ๆ ครง้ั
4.3 เนน้ เฉพาะเรอ่ื งทต่ี ้องการฝึก
5. แบบฝึกทักษะจะเป็นเครอื่ งมอื วัดผลการเรยี นหลังจากจบบทเรยี นในแตล่ ะครัง้

26

6. แบบฝึกทักษะที่จัดทาขึ้นเป็นรูปเล่ม ซึ่งนักเรียนจะสามารถเก็บ และรักษาไว้
ใชเ้ ป็นแนวทางเพ่ือทบทวนดว้ ยตนเองได้ต่อไป

7. การให้เด็กทาแบบฝึกทักษะ จะช่วยทาให้ครูมองเห็นจุดเด่น หรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็ก
ไดชดั เจนซ่ึงจะชว่ ยใหค้ รูดาเนนิ การปรับปรงุ แก้ไขปญั หาน้ัน ๆ ไดท้ นั ทว่ งที

8. แบบฝึกทักษะที่จัดทาขึ้น นอกจากท่ีอยู่ในหนังสือแบบเรียน ยังสามารถเป็นกิจกรรม
อน่ื ๆ ได้ ซึ่งช่วยใหเ้ ดก็ ไดฝึกฝนอยา่ งเต็มที่

9. แบบฝึกทักษะท่ีจัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยจะช่วยให้ครูประหยัดท้ังแรงงาน และเวลา
ในการเตรียมสร้างแบบฝึกทักษะอยู่เสมอ ในด้านนักเรียนก็ไมตองเสียเวลาคัดลอกแบบฝึกทักษะ
จากตาราเรียน ทาใหม้ ีโอกาสได้ฝึกทกั ษะตา่ ง ๆ มากขนึ้

10. แบบฝึกทักษะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพิมพ์ ข้ึนเป็นรูปเล่มที่แน่นอน
ย่อมลงทุนต่ากว่าท่ีพิมพ์ลงในกระดาษไขทุกคร้ัง ซ่ึงนักเรียนสามารถบันทึก และมองเห็น
ความก้าวหน้าของตนเองไดอ้ ยา่ งมรี ะบบและเปน็ ระเบียบ

ไพทูลย์ มูลดี (2546: 52) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความสาคัญ
และจาเปน็ ต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชว่ ยให้นักเรียนเข้าใจในบทเรียนได้ดขี ้ึนสามารถ
จดจาเนื้อหาในบทเรียนและคาศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ทาให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียน ทราบ
ความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนาแบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดมิ ด้วยตนเองได้ นามาวัดผลการเรียน
หลังจากที่เรียนแล้ว ตลอดจนครูสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียน และนาไปปรับปรุงแก้ไขได้
ทันท่วงที ซ่ึงจะมีผลทาให้ครูประหยัดเวลา ค่าใชจ้ ่าย และลดภาระได้มาก และยังให้นักเรียนนาภาษา
ไปใชส้ ื่อสารไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพดว้ ย

วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 41) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า
แบบฝกึ ชว่ ยในการฝกึ หรือเสริมทักษะทางภาษา การใชภ้ าษาของนกั เรียนสามารถนามาฝกึ ซ้าทบทวน
บทเรียน และนกั เรยี นสามารถนาไปทบทวนดว้ ยตนเอง จดจาเน้ือหาได้คงทน มีเจตคตทิ ด่ี ตี ่อการเรียน
ภาษาไทย แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอนอย่างหน่ึงซ่ึงสามารถทดสอบความรู้หรือใช้วัดผลการเรียน
และประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรียนได้เป็นอย่างดี ทาให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของ
นักเรียนเฉพาะจุดได้ และนักเรยี นทราบความก้าวหน้าของตนเอง ท้ังครูประหยัดเวลา ค่าใช้จา่ ย และ
ลดภาระไดม้ าก

ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550: 21) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ
แบบฝึกทักษะไว้ว่า เป็นส่ือการเรียนรู้ ท่ีมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนา
ในการจัดการเรียนร้ใู นหน่วยการเรียนรแู้ ละสามารถเรยี นรู้ได้ โดยสรปุ ไดด้ งั นี้

1. เป็นสอ่ื การเรยี นรู้ เพ่อื พัฒนาการเรียนรใู้ หแ้ ก่นกั เรียน
2. นักเรียนมีสื่อสาหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การคิดวิเคราะห์
และการเขยี น
3. เป็นสอ่ื การเรียนรสู้ าหรบั การแกป้ ญั หาในการเรยี นรู้ของนกั เรยี น
4. พฒั นาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตดิ า้ นต่าง ๆ ของนักเรยี น
จากประโยชน์ของแบบฝึกท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดี และมีประสิทธิภาพช่วยทาให้
นักเรียนประสบผลสาเร็จ ในการฝกึ ทักษะได้เปน็ อยา่ งดี

27

สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 53 - 54) ได้กล่าวถึงประโยชน์
ของแบบฝกึ ทกั ษะได้ ดงั นี้

1. ทาใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนดีขึน้ เพราะเปน็ เคร่อื งอานวยประโยชนใ์ นการเรียนรู้
2. ทาใหค้ รทู ราบความเข้าใจของนกั เรียนท่ีมตี อ่ บทเรียน
3. ฝกึ ใหเ้ ด็กมคี วามเชื่อมัน่ และสามารถประเมินผลของตนเองได้
4. ฝกึ ใหเ้ ดก็ ทางานตามลาพัง โดยมคี วามรับผิดชอบในงานท่ไี ด้รับมอบหมาย
5. ช่วยลดภาระครู
6. ชว่ ยให้เดก็ ฝึกฝนไดอ้ ย่างเต็มที่
7. ชว่ ยพัฒนาตามความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
8. ช่วยเสรมิ ใหท้ กั ษะคงทน ซ่ึงลกั ษณะการฝึกเพ่ือชว่ ยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นไดแ้ ก่

8.1 ฝกึ ทันทีหลังจากทีเ่ ด็กไดเ้ รียนรใู้ นเร่ืองน้ันๆ
8.2 ฝึกซ้าหลายๆครงั้
8.3 เน้นเฉพาะในเรือ่ งท่ผี ิด
9. เป็นเครอื่ งมอื วดั ผลการเรียนหลงั จากจบบทเรยี นในแตล่ ะคร้งั
10. ใช้เปน็ แนวทางเพอ่ื ทบทวนด้วยตนเอง
11. ชว่ ยให้ครมู องเหน็ จุดเด่นหรอื ปญั หาต่างๆของเดก็ ได้ชดั เจน
12. ประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายแรงงานและเวลาของครู
จา ก ก า ร ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า เ กี่ ย ว กั บ ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง แ บ บ ฝึ ก ทั ก ษ ะ ส รุ ป ไ ด้ ดั ง น้ี
แบบฝึกมีความสาคัญ และจาเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะช่วยให้นักเรียนเข้าใจ
บทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจาเน้ือหาในบทเรียนและคาศัพท์ต่าง ๆ ได้อย่างคงทน ทาให้เกิด
ความสนุกสนานในขณะเรียน สามารถนาแบบฝึกทักษะมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเอง
และทราบความก้าวหน้าของตนเอง สาหรับครูผู้สอนสามารถเล็งเห็นถึงจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ
ของนักเรียนได้อย่างชัดเจน ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียน และนาไปปรับปรุง
ไดท้ นั ท่วงที สง่ ผลใหค้ รูประหยัดเวลา และประหยัดคา่ ใช้จา่ ย

3. หลักจิตวิทยาที่เก่ยี วข้องกบั การสรา้ งแบบฝกึ ทักษะ
การสร้างแบบฝึกทักษะเพ่ือใช้ในการสอน จาเป็นต้องใช้หลักการทางจิตวิทยาการศึกษา

เข้าช่วย เพื่อให้แบบฝึกท่ีสร้างขึ้นสมบูรณ์ เหมาะท่ีจะนาไปใช้กับนักเรียนสอดคล องกับวัย
ความสามารถ และความสนใจของนักเรียน นักวิชาการหลายท่านกล่าวถึงหลักจิตวิทยา
กับการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะไว้ ดงั นี้

พรรณี ชูทัย (2522: 142) ได้กล่าวถึงหลักจิตวิทยาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสรา้ งแบบฝึกทักษะ
ไว้ โดยอ้างอิงข้อมูลตามแนวความคดิ ของนักจิตวทิ ยาการศึกษา ดงั นี้

1. กฎแห่งผล หมายถึง หลักการของธอร์นไดค์ ท่ีว่าการกระทาใด ๆ ก็ตาม ถ้าเป็น
สิ่งที่ผู้กระทาพึงพอใจ ก็จะทาพฤติกรรมน้ัน ๆ ซ้าอีก ในทางตรงข้ามการกระทาใด ๆ ถ้ามีผล
ไม่เป็นที่น่าพอใจ ผู้กระทาจะเลิกกระทาพฤติกรรมน้ัน ๆ ดังนั้นแบบฝึกท่ีสร้างข้ึนตามหลักจิตวิทยา

28

จึงต้องให้นักเรียนสามารถทาแบบฝึกหัดได้พอสมควร มีคาเฉลยให้นักเรียนสามารถตรวจคาตอบได้
หลงั จากทาแบบฝึกเสร็จแลว

2. การฝึกหัด หมายถึง การสรุปผลจากการทดลองของวัตสันท่ีว่าการเรียนรู้
เกิดจากการฝึกหัดและความใกล้ชิด โดยเฉพาะการฝึกหัด ซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมท่ีตอบสนอง
ต่อสิ่งเร้าหน่ึงซ้า ๆ เพื่อให้จาได้คงทน ซ่ึงเป็นเร่ืองจาเป็นในการฝึกทักษะต่าง ๆ ดังนั้นการสร้าง
แบบฝึกตามหลักจิตวิทยา จึงควรเน้นให้มีการกระทาซ้า ๆ เพื่อให้จาคาไดนาน และสามารถเขียนได้
ถูกต้อง เพราะการเขียนเป็นทกั ษะทต่ี อ้ งฝึกหดั อยู่เสมอ

3. การเสริมแรง หมายถึง หลักการของธอร์นไดค์ที่ว่าการกระทาใด ๆ ถ้าได้รับ
การเสริมแรงจะทาให้มีแนวโน้มในการเกิดการกระทานั้น ๆ อีก ส่วนการกระทาใด ๆ ท่ีไมได้
รับการเสริมแรงย่อมลดความถ่ีของการกระทาน้ัน ๆ ให้ห่างและหายไป ดังนั้นการเรียนการสอน
หากนกั เรียนมีปัญหาอยู่แล้ว ครจู ึงควรเสริมแรงด้วยการให้กาลังใจอย่างดีแกนักเรียน เพื่อให้นักเรียน
เกิดความรูสกึ ภาคภมู ใิ จในตนเอง และรูสกึ ประสบผลสาเร็จในงานที่ทา

4. แรงจูงใจ เป็นสิ่งสาคัญในการเรียน ครูต้องรู้จักให้นักเรียนต่ืนตัว อยากรู
อยากเรียน แบบฝึกที่น่าสนใจจะเป็นแรงจูงใจอย่างหน่ึงท่ีทาให้ นักเรียนอยากทา อยากฝึก
และอยากท่ีจะเรยี นรู

สุจริต เพียรชอบ (2523 : 52) ไดศึกษาหลักจิตวิทยาเก่ียวกับการเรียนการสอน
ทสี่ ามารถนาไปใช้ ในการสร้างแบบฝึกไดด้ ังต่อไปน้ี

1. กฎการเรียนรูของธอรนไดค เก่ียวกับกฎการฝึกหัดท่ีสอดคลองกับการทดลอง
ของวัตสันน่ันคือ ส่ิงใดก็ตามที่มีการฝึกทักษะ หรือกระทาบ่อย ๆ ย่อมทาให้ผู้ฝึกคล่องแคล่ว
สามารถทาได้ดี ในทางตรงกันข้ามสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้รับการฝึกหัด ทอดท้ิงไปนานแล้วย่อมทาได้
ไมด่ เี หมือนเดิม เมื่อมกี ารฝึกฝน หรอื กระทาซา้ ๆ ก็จะช่วยให้เกิดทกั ษะเพิ่มขึน้

2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นสิ่งที่ครูควรคานึงด้วยว่านักเรียนแต่ละคน
มีความรู ความถนัด ความสามารถ และความสนใจท่ีต่างกัน ฉะนั้นในการสร้างแบบฝึก
จึงควรพิจารณาถงึ ความเหมาะสม ไมยากหรอื งา่ ยจนเกนิ ไป และควรมหี ลายแบบ

3. การจูงใจนักเรียน ครูสามารถทาได โดยการจัดแบบฝึกจากง่ายไปหายาก
เพ่อื ดึงดดู ความสนใจของนักเรียน เปน็ การกระตุ้นให้ติดตามต่อไป และทาให้นักเรียนประสบผลสาเร็จ
ในการทาแบบฝึก นอกจากน้ันการใช้แบบฝึกสนั้ ๆ จะชว่ ยให้นักเรยี นไมเ่ กดิ ความเบอื่ หน่าย

4. การนาสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต และการเรียนรูมาให้นักเรียนไดทดลองทา
ภาษาท่ีใช้พูด และใช้เขียนในชีวิตประจาวัน จะทาให้นักเรียนไดเรียน และทาแบบฝึกสิ่งที่ใกล้ตัว
นอกจากจะจาไดแม่นยาแลว นักเรียนยังสามารถนาหลัก และความรู้ท่ีได้รับไปใช้ประโยชนไดอีกด้วย
หลักจิตวิทยาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจะช่วยเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกท่ีดี และน่าสนใจ
เหมาะกับวัย และความสามารถของนักเรียน ทั้งช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนาน
นักเรียนมคี วามพอใจทีจ่ ะเรียน และประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นน้ัน

จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า หลักจิตวิทยาสาหรับการออกแบบฝึกทักษะ
มีความเก่ียวข้องกับนักเรียนเป็นหลัก เนื่องจากแบบฝึกทักษะใช้ฝึกกระบวนการคิด และทักษะ
ของนักเรียน จึงส่งผลสาคัญสาหรับความรู้สึกภายในตัวของนักเรียน การใช้หลักจิตวิทยาสาหรับ

29

การออกแบบแบบฝึกทักษะจึงมีความจาเป็นในการศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของกฎแห่งการเรียนรู้
จาเปน็ อยา่ งยิง่ ในการที่ให้นักเรียนลงมอื ปฏิบัตซิ ้า ๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้ท่ีไดป้ ระสิทธิภาพ นอกจากนี้
การสร้างแรงจูงใจ หรือกฎการเสริมแรงให้กับนักเรียนยังถือว่ามีความสาคัญ และการใช้สิ่งท่ีนักเรียน
คุ้นเคยมาออกแบบฝึกทักษะ ทาให้นักเรียนเข้าถึง และเข้าใจได้ชัดเจนมากย่ิงขึ้น นาไปสู่การนาไปใช้
ในชีวติ ประจาวนั ได้

4. ลักษณะของแบบฝึกทักษะทดี่ ี
แบบฝึกเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญท่ีช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน การสร้างแบบฝึก

ให้มีประสิทธิภาพจาเป็นต้องศึกษาองค์ประกอบ และลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับ
ระดับความสามารถของนักเรียน ในการสร้างแบบฝึกสาหรับนักเรียนมีองค์ประกอบหลายประการ
ซง่ึ นักการศกึ ษาหลายท่านไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเกย่ี วกับลกั ษณะของแบบฝึกทดี่ ีไว้ ดังน้ี

ศศิธร สุทธิแพทย (2518: 72) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกทักษะท่ีดีไว้ว่าแบบฝึก
ที่นกั เรยี นสนใจ และกระตือรอื รน้ ท่ีจะทา แบบฝกึ ทกั ษะท่ีมีลกั ษณะ ดังนี้

1. ใช้หลักจิตวทิ ยา
2. สานวนใช้ภาษาง่าย
3. ให้ความหมายต่อชวี ติ
4. คิดไดเร็วและสนกุ
5. ปลกุ ความสนใจ
6. เหมาะกับวัยและความสามารถ
7. อาจศึกษาดว้ ยตนเอง
นิตยา ฤทธ์โิ ยธี (2520: 1) ได้กลา่ วถงึ ลกั ษณะของแบบฝกึ ทักษะท่ีดีไว้ ดงั น้ี
1. เกีย่ วขอ้ งกบั บทเรยี นทีเ่ รยี นมาแลว้
2. เหมาะสมกบั ระดบั วัย หรือความสามารถของเดก็
3. มีคาช้แี จงสั้น ๆ ที่ทาให้เดก็ เขา้ ใจวิธีทาไดง้ ่าย
4. ใช้เวลาเหมาะสม ไมใ่ ชเ้ วลานานหรอื เรว็ เกนิ ไป
5. เป็นสง่ิ ท่นี า่ สนใจและทา้ ทายให้แสดงความสามารถ
รเิ วอร (River. 1970: 97-105) ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของแบบฝึกที่ดไี ว้ ดงั น้ี
1. ตองมีการฝึกนักเรียนมากพอสมควรในเรื่องหน่ึง ๆ ก่อนจะฝึกเร่ืองอื่น ๆ ต่อไป
ซง่ึ แบบฝึกต้องสรา้ งขึ้นเพ่ือการสอนมิใช่สรา้ งข้ึนเพื่อทดสอบ
2. แต่ละบทควรฝกึ โดยใช้ประโยคเพียงแบบเดียวเทา่ นั้น
3. ฝกึ โครงสรา้ งใหมก่ บั สิ่งท่ีเรยี นรูไปแลว
4. ประโยคท่ีฝึกควรเปน็ ประโยคส้นั ๆ
5. ประโยค และคาศัพท์ควรเป็นแบบที่ใช้พูดกันในในชีวิตประจาวันที่นักเรียน
รจู ักดแี ล้ว
6. เปน็ แบบฝึกที่นกั เรียนใชค้ วามคิดด้วย
7. แบบฝกึ ควรมีหลาย ๆ แบบ เพอื่ ไมใ่ ห้นักเรียนเกดิ ความเบอื่ หน่าย

30

8. ควรฝกึ ให้นักเรียนสามารถนาสงิ่ ทีเ่ รียนแล้วไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
ฮารเรส (Harless.n.d.: 93-94) ไดกล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดีไว้วา่ การเขียนแบบฝึก
ต้องแน่ใจในภาษาท่ีใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน และควรสร้างโดยใช้หลักจิตวิทยาในการแกและ
สนองตอบ ดังนี้

1. ใช้แบบฝกึ หลาย ๆ ชนิด เพอื่ เร้าใหน้ กั เรียนเกดิ ความสนใจ
2. แบบฝึกที่จัดข้ึนน้ันต้องให้นักเรียนสามารถแยกออกมาพิจารณาไดว่าแต่ละแบบ
ต้องการอะไร
3. ใหน้ ักเรียนไดฝ้ กึ การตอบแตล่ ะชนดิ แตล่ ะรูปแบบว่ามีวธิ กี ารอยา่ งไร
4. นกั เรียนไดมีโอกาสตอบสนองส่งิ เร้าดงั กล่าวดว้ ยการแสดงออกทางความสามารถ
และความเข้าใจลงในแบบฝึกหดั
5. นกั เรียนไดนาสิง่ ทีเ่ รียนรู้จากบทเรียนมาตอบในแบบฝกึ ใหต้ รงเปา้ หมายทสี่ ุด
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 60-61) ได้กล่าวถึงลักษณะของ
แบบฝึกท่ีดีไว้ว่า ควรคานึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม
ความสอดคล้องกับเนื้อหา รปู แบบนา่ สนใจ และคาสง่ั ชัดเจน สามารถสรุปลักษณะของแบบฝึกไวด้ ังน้ี

1. ใชห้ ลกั จิตวทิ ยา
2. สานวนภาษาไทย
3. ให้ความหมายตอ่ ชวี ิต
4. คดิ ไดเ้ รว็ และสนกุ
5. ปลกุ ความนา่ สนใจ
6. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ
7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และได้แนะนาให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะของ
แบบฝกึ ไว้ ดังน้ี

7.1 แบบฝึกหัดทด่ี ีควรมีความชัดเจนทง้ั คาส่ัง และวิธีทาคาสั่งหรือตัวอย่างวิธีทา
ที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะทาให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับนักเรียน เพ่ือให้นักเรียน
สามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองไดถ้ า้ ต้องการ

7.2 แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อนักเรียน และตรงตามจุดมุ่งหมาย
ของการฝึกลงทนุ นอ้ ยใชไ้ ดน้ าน ๆ และทนั สมัยอย่เู สมอ

7.3 ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัย และพื้นฐานความรู้
ของนกั เรียน

7.4 แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเร่ืองไม่ควรยาวเกินไป
แต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพ่ือเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจ และไม่น่าเบื่อหน่ายในการทา
และเพื่อฝกึ ทกั ษะใดทักษะหนงึ่ จนเกิดความชานาญ

7.5 แบบฝึกหัดที่ดีควรมีท้ังแบบกาหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คา ข้อความ
หรือรูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งท่ีนักเรียนคุ้นเคย และตรงกับความในใจของนักเรียน

31

เพ่ือว่าแบบฝึกหัดที่สร้างข้ึน จะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการ
เรียนรไู้ ด้เร็วในการกระทาทีก่ อ่ ให้เกดิ ความพงึ พอใจ

7.6 แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้นักเรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้า
รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้ จะทาให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งข้ึน
และจะเชื่อมโยงความรู้ในชีวิตประจาวันอย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์ และมองเห็นว่าส่ิงท่ีเขาได้ฝึกฝน
มีความหมายตอ่ เขาตลอดไป

7.7 แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล นักเรียนแต่ละคน
จะมีความแตกต่างกันหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา
และประสบการณ์ เป็นต้น ฉะน้ันการทาแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทาให้มากพอ และมีทุกระดับ
ต้ังแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพ่ือว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทา
ตามความสามารถ ท้ังนี้เพือ่ ใหเ้ ดก็ ทุกคนประสบความสาเร็จในการทาแบบฝึกหัด

7.8 แบบฝึกหัดที่ดีควรเร้าความสนใจของนักเรียนได้ต้ังแต่หน้าปกไปจนถึง
หน้าสดุ ทา้ ย

7.9 แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอ
และควรใช้ได้ดีทั้งใน และนอกบทเรียน

7.10 แบบฝึกหัดท่ีดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจาแนกความเจริญ
งอกงามของนักเรียนได้ดว้ ย

ฐานิยา อมรพลัง (2548: 78) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดีไว้ว่าแบบฝึก
ท่ีเรียงลาดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบโดยอาศัย
หลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และระดับชั้นของ
นักเรียน มีคาส่ัง คาชี้แจงสั้น ชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ มีการจัดกิจกรรม การฝึกที่เร้า
ความสนใจ และแบบฝกึ นนั้ ควรทนั สมัยอย่เู สมอ

วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 43) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดีไว้ว่าควรมี
ความหลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย และต้องมีลักษณะท่ีเร้า ยั่วยุ จูงใจได้ให้คิด
พิจารณา ได้ศึกษาค้นคว้า จนเกิดความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจ
เหมาะสมกับวัยของนกั เรียน ตรงกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และมเี นื้อหาพอเหมาะ

ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ (2550: 20) ไดก้ ลา่ วถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดีไวว้ ่า ดงั นี้
1. จดุ ประสงค์
1.1 จุดประสงค์ชัดเจน
1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทกั ษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้

ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2. เนอ้ื หา
2.1 ถูกตอ้ งตามหลักวชิ า
2.2 ใชภ้ าษาเหมาะสม
2.3 มคี าอธิบายและคาสั่งทช่ี ดั เจน งา่ ยต่อการปฏบิ ตั ติ าม

32

2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นานักเรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอด
และหลกั การสาคัญของกลุม่ สาระการเรียนรู้

2.5 เป็นไปตามลาดับข้ันตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้และ
ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล

2.6 มีคาถาม และกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของ
ธรรมชาติวชิ า

2.7 มีกลยุทธ์การนาเสนอ และการต้ังคาถามท่ีชัดเจน น่าสนใจ ปฏิบัติได้
สามารถให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพ่อื ปรับปรงุ การเรียนไดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง

จากข้างต้นท่ีกล่าวมานี้ลักษณะของแบบฝึกที่ดีสามารถสรุปได้ดังนี้ แบบฝึกที่ดีและมี
ประสิทธิภาพ ช่ว ยทาให้นักเรียนประสบความสาเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี
และแบบฝึกท่ีดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยท่ีสาคัญของครู ทาให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทาให้นักเรียน
พัฒนาความสามารถของตนเพื่อสร้างความม่ันใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ครูจาเป็นต้อง
ศึกษาเทคนิควิธีการ ขั้นตอนในการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพท่ีสุด ส่งผลให้นักเรียนมีการ
พฒั นาทักษะต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ และแบบฝึกท่ีดจี ะต้องคานึงถงึ องค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตาม
เนือ้ หา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปัญหาของนกั เรียน

จากประเด็นศึกษาต่าง ๆ ข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นเคร่ืองมือหน่ึง
ท่ีมีความสาคัญ สาหรับใช้ประกอบการเรียนการสอน ทาให้นักเรียนเกิดกระบวนการที่ฝึกฝนและ
ปฏิบัติซ้าจนเกิดทักษะที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ด้วยกระบวนการการทาแบบฝึกทักษะ
เปน็ ลกั ษณะของการฝึกทกั ษะของนักเรียน ดงั นัน้ การใชห้ ลกั จิตวิทยา และการออกแบบแบบฝึกทักษะ
จะต้องมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากการออกแบบจะต้องคานึงถึงวัยของนักเรียน ประสบการณ์
การเรียนรู้ของนักเรียน และความสามารถในการเข้าใจ การทาแบบฝึกทักษะให้มีประสิทธิภาพ
จึงมีความสาคญั เปน็ อย่างย่งิ

ความพงึ พอใจ

ความพึงพอใจเป็นรูปแบบของความรู้สึกอันเป็นนามธรรม ซ่ึงเป็นความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ
และส่ิงจูงใจโดยเฉพาะในด้านบวก โดยอาจจะเกิดจากความประทับใจ หรือความทรงจาที่ดี
เกย่ี วกับเร่อื งนัน้ ๆ ความพงึ พอใจเปน็ ปจั จัยสนบั สนุนหน่ึงในการสรา้ งแรงจงู ใจ เพ่ือสร้างแนวความคิด
หรอื กระตนุ้ ใหบ้ คุ คลน้ัน ๆ สามารถปฏิบตั ิงานจนสาเร็จไปไดอ้ ยา่ งมีความสุข

ในการศึกษาวิจัยในคร้ังน้ี คณะผู้วิจัยได้ทาการศึกษาเอกสารการวิจัยเก่ียวกับความพึงพอใจ
ทเี่ กยี่ วข้องกบั การทาวิจัย สามารถแยกเปน็ ประเด็นศึกษาได้ ดงั น้ี

1. ความหมายของความพึงพอใจ
ความพึงพอใจ เป็นกระบวนการของความรู้สึกนึกคิด เกิดข้ึนภายในตัวบุคคล

จึงจาเป็นต้องรับทราบความหมายของความพึงพอใจ เพื่อใช้สาหรับการสร้างความเข้าใจในเร่ือง
ความพึงพอใจให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น โดยมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของ
ความพงึ พอใจไว้ ดงั นี้

33

พิกุล ดีพิจารณ์ (2548: 37) ได้กลา่ วถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพงึ พอใจ
ในการปฏิบัติงาน หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลท่ีมีต่องานในเชิงบวก มีผลทาให้งานมีประสิทธิภาพ
และประสบความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจ มีทัศนคติท่ีดี เสียสละ อุทิศแรงกาย
แรงใจ และสติปัญญาให้แก่งาน มีความมุ่งมั่นในการทางาน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับสิ่งจูงใจ องค์ประกอบ
ลักษณะของภาพรวม และสภาพแวดล้อมในการทางาน ทาให้สามารถตอบสนองตอ่ ความต้องการของ
บุคคลในองค์กรหรอื หนว่ ยงานน้นั ได้

ชวาลา กันทอง (2548: 37) ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของความพึงพอใจไวว้ า่ ความพงึ พอใจ
หมายถึง ความต้องการ ความคาดหวัง ทัศนะหรือความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียนที่มี ต่อ
การจดั การศึกษา มีความแตกต่างท่ีหลากหลายซ่ึงตา่ งเป็นตัวแปรท่สี าคัญ ทาให้เกิดความคิดเหน็ หรือ
แนวคดิ ของผู้ปกครองนักเรียน สภาพแวดล้อมและเศรษฐกจิ ทมี่ ีผลตอ่ การจัดการเรียนรู้

เสาวลักษณ์ กอผจญ (2548: 63) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า
ความพึงพอใจในการเรียน หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติที่เป็นไปตามความคาดหวังท่ีจะทา
ให้เกิดความสามารถในการเรยี นรู้ได้ดยี งิ่ ขน้ึ ด้วยความเต็มใจ

มยุรี พวงมาลัย (2549: 46) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า
ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติ ความชอบหรือไม่ชอบของบุคคลท่ีมีต่อส่ิงเร้า
ในด้านต่าง ๆ ของคนนั้น ๆ ความรู้สึกพึงพอใจเกิดขึ้นเม่ือบุคคลนั้นได้รับส่ิงที่ตนเองต้องการ
หรอื เปน็ ไปตามเปา้ หมายท่ตี นเองต้องการ

โชติก ศรชัยชนะ (2551: 21) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า
ความพึงพอใจมีสาเหตุมาจากความต้องการ เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนองความพึงพอใจ
ก็จะตามมาในทางบวก เช่นเดียวกับการเรียนการสอนถ้านักเรียนเกิดความเข้าใจ มีความชัดเจน
ในการเรียนการปฏิบัติ เม่ือเกิดการปฏิบัติเป็นผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายก็จะเกิดความพอใจ
มีความรู้สกึ ในทางบวก ซ่งึ จะเปน็ แรงกระต้นุ ท่ีอยากจะเรยี นอยากปฏบิ ตั ดิ ้วยความพอใจ

นัทลียา กานล (2551: 62) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า
ความพึงพอใจ หมายถึง ส่ิงที่บุคคลเกิดความชอบ รู้สึกสนใจและสบายใจ เม่ือได้รับสิ่งที่ทาให้
ตนร้สู ึกดี หรือไดร้ ับความสาเรจ็ ตามความมุ่งหมาย

ทิพยา นิลดี (2553: 50) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ
หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือความคิดเห็นของแต่ละบุคคลท่ีชอบ หรือพึงพอใจในด้านเน้ือหา
ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผล
ย่อมจะแตกต่างกันไปตามการรับรู้ของแต่ละคน พฤติกรรมต่อการปฏิบัติกิจกรรมที่ทาให้เกิด
ความเจรญิ งอกงามในทุกด้านของแตล่ ะบุคคลอาจเป็นทางบวก หรือทางด้านลบของพฤตกิ รรมนัน้ ๆ

จากข้อความข้างต้นเหล่าสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง
ความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติ และส่ิงจูงใจในด้านต่าง ๆ ของบุคคลในแต่ละคนที่มีต่องานและปัจจัย
หรือองค์ประกอบท่ีเกี่ยวข้องกับงานนั้น ๆ จนสามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน
ซ่ึงความพึงพอใจเป็นผลมาจากแรงจูงใจ หรือการกระตุ้นให้บุคคลปฏิบัติงานจนสาเร็จตาม
ความมุ่งหมาย และมีความสุขใจควบคู่กันไป

34

2. แนวคดิ และทฤษฎีของความพึงพอใจ
การท่ีบุคคลจะเกิดความพึงพอใจ ท้ังการทางานหรือในการเรียน จะต้องอาศัยปัจจัย

หลายอย่างมากระตุ้นใหเ้ กิดความรัก ความชอบใจต่อสิ่งที่กระทา การที่บุคคลจะเกดิ ความพึงพอใจได้
จะต้องมีการจูงใจให้เกิดขึ้น ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ข้อมูลเก่ียวกับแนวคิด และทฤษฎี
ของความพึงพอใจไว้ ดงั นี้

เสาวลักษณ์ กอผจญ (2548: 63-64) ได้กล่าวถึงแนวคิดและทฤษฎีของความพึงพอใจไว้
โดยการอ้างคากล่าวของ จอง – จาครุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ที่แสดงความคิด
ในแนวเดียวกับหนังสือ เอมิล (Emile) โดยให้ข้อคิดแก่ครูว่าจ้างทาให้เด็กเกิดความเช่ือว่า
เขาอยู่ในความควบคมุ ของตัวเขาเอง แมว้ ่าผคู้ วบคุมทีแ่ ท้จริง คือ ครู ไม่มีวิธีการใดดีไปกวา่ การให้เขา
ได้แสดงความรู้สึกว่าเขามีอิสรภาพ ด้วยวิธีน้ีคนจะมีกาลังใจด้วยตนเอง ครูควรปล่อยให้เด็กได้ทา
เฉพาะในสง่ิ ทเ่ี ขาอยากทา อนั จะเป็นการสร้างความพึงพอใจให้แก่เดก็ ได้

กิตติศักดิ์ ผาลี (2549: 44) ได้กล่าวถึงแนวคิดและทฤษฎีของความพึงพอใจไว้ว่า
จากการศึกษา ค้นคว้า ทฤษฎีที่เป็นมูลเหตุอันทาให้เกิดความพึงพอใจ เรียกว่า The motion
hygiene eory กล่าวถึงปจั จยั ที่ทาให้เกิดความพงึ พอใจในการทางาน 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยกระตุ้น (Motivation factors) เป็นปัจจัยที่เก่ียวกับงาน มีผลทาให้เกิด
ความพึงพอใจในการทางาน เช่น ความสาเร็จของงาน ความรับผิดชอบ ความก้าวหน้าของตาแหน่ง
เป็นต้น

2. ปัจจัยค้าจุน (hygiene factors) เป็นปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับสิ่งแว ดล้อม
ในการทางาน และมีหน้าท่ีให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทางาน เช่น เงินเดือน
โอกาสท่ีจะกา้ วหนา้ ในอนาคต ตาแหนง่ การงานในอาชพี สถานภาพการทางาน เปน็ ตน้

กิตติศักด์ิ ผาลี (2549: 45) ได้กล่าวเสนอแนวคิดในการสร้างแรงจูงใจให้เกิด
ความพงึ พอใจตอ่ การทางานทีจ่ ะทาให้ไดผ้ ลเชงิ ปฏบิ ัตมิ ีลกั ษณะ ดงั น้ี

1. งานควรมสี ่วนสาคัญกับความปรารถนาส่วนตัว งานจะมีความหมายตอ่ ผูท้ า
2. งานนั้นต้องมีการวางแผน และวัดความสาเร็จได้โดยใช้ระบบการทางาน
และการควบคุมท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ
3. เพอ่ื ให้ไดผ้ ลในการสรา้ งสิง่ จงู ใจภายในเป้าหมายของงานต้องมลี กั ษณะ ดังน้ี

3.1 คนทางานมสี ว่ นในการตง้ั เป้าหมาย
3.2 ผู้ปฏบิ ตั ิไดร้ บั ทราบผลสาเร็จในการทางานโดยตรง
3.3 งานน้ันสามารถทาให้สาเร็จได้เม่ือนาแนวคิดของสก๊อต มาประยุกต์
ใช้กับกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่อื สร้างแรงจูงใจให้เกดิ ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอน
ของนักเรยี นทมี่ ตี ่อกจิ กรรมมีแนวทาง ดังนี้

3.3.1 ศึกษาความต้องการความสนใจของนักเรียนและระดับความสามารถ
และพัฒนาการตามวยั ของนกั เรยี น

3.3.2 วางแผนการสอนอย่างเป็นกระบวนการ และประเมินผลอย่าง
มปี ระสิทธภิ าพ

35

3.3.3 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีให้นักเรียนมีส่วนร่วม และกาหนด
เป้าหมายในการทางาน สะท้อนผลงาน และการทางานร่วมกันได้

ทิพยา นิลคี (2553: 51) ได้กล่าวถึงทฤษฎีลาดบั ข้ันความตอ้ งการ นับว่าเปน็ ทฤษฎีหนึ่ง
ทีไ่ ด้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซ่ึงต้ังอยู่บนพื้นฐานว่ามนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ ไม่มีท่ีสิ้นสุด
และมีความเก่ียวเนื่องสัมพันธ์กับความพึงพอใจ โดยกล่าวว่าเม่ือความต้องการ ได้รับการตอบสนอง
หรือความพึงพอใจอยา่ งใดอย่างหนึ่งแลว้ ความต้องการสิ่งน้ันจะเกิดขึน้ มาอีกความต้องการของคนเรา
อาจจะซา้ ซอ้ นกนั ได้ ซง่ึ ความตอ้ งการของมนุษย์มีลาดบั ข้ัน ดังนี้

1. ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐาน
ของมนุษย์เน้นสิ่งจาเป็นในการดารงชีวิต ได้แก่ อาหาร อากาศ ท่ีอยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค
ความตอ้ งการพักผ่อน ความตอ้ งการทางเพศ

2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) ความม่ันคงในชีวิต ทั้งที่เป็นอยู่
ในปจั จุบันและอนาคต ความเจรญิ กา้ วหน้า ความอบอนุ่ ใจ

3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social needs) เปน็ สิ่งจูงใจทส่ี าคญั ก่อให้เกดิ พฤติกรรม
ความต้องการให้สังคมยอมรับตนเองเข้าเป็นสมาชิก ต้องการคว ามเป็นมิตร ความรัก
จากเพอ่ื นรว่ มงาน

4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem needs) มีความอยากเด่นในสังคม มีชื่อเสียง
หรือความตอ้ งการให้บุคคลยกย่องสรรเสริญตนเอง อยากมีความเปน็ เสรภี าพ

5. ความต้องการที่จะประสบความสาเร็จในชีวิต (Self actualization needs)
เปน็ ความตอ้ งการในระดบั สงู โดยอยากให้ตนเองประสบความสาเรจ็ ทุกอยา่ งในชีวิต ซ่ึงเป็นไปได้ยาก

จากข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาน้ีจะเห็นว่า แนวคิดหรือทฤษฎที ่ีเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ
มีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่สนับสนุนถึงความต้องการของบุคคลทั้งสิ้น อันเป็นพื้นฐานหน่ึงสาหรับ
การสร้างแรงจูงใจเพื่อความพึงพอใจในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เช่น การได้รับรางวัล การเลื่อนตาแหน่ง
การไดร้ ับการชมเชย เปน็ ตน้ ส่งิ เหล่าน้ีตอ้ งเกิดข้นึ ดว้ ยความสมคั รใจของบคุ คล

3. การสร้างแบบวัดความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจเป็นรูปแบบของความรู้สึกนึกคิดภายในบุคคล เป็นส่ิงท่ีเกิดในรูปของ

นามธรรม ซึ่งจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความพึงพอใจของบุคคลให้
ออกมาเป็นรูปธรรม โดยในการสร้างแบบวัดความพึงพอใจควรจะมีการศึกษา และทาความเข้าใจ
ในประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้

3.1 การวัดความพึงพอใจ
หากจะกล่าวถึงการวัดความพึงพอใจ ได้มีนักวิชาการหลายท่านที่เสนอแนวคิด

เกย่ี วกบั การวัดความพึงพอใจไว้ ดังน้ี
มยุรี พวงมาลัย (2549: 47) ได้กล่าวถึงเครื่องมือวัดความพึงพอใจโดยสรุปได้ว่า

การจะค้นหาได้ว่าบุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ วิธีที่ง่ายท่ีสุดก็คือการถาม ซึ่งการศึกษาในระยะหลัง
ท่ีต้องมีผู้บอกข้อมูลจานวนมาก ๆ มักใช้แบบสอบถาม ที่ใช้มาตราส่วนประมาณค่าตามแบบของ

36

ลิเคิร์ท (Likert) ประกอบด้วยชุดของคาถาม และมีตัวเลือกสาหรับเลือกตอบ คือ มากที่สุด มาก
ปานกลาง น้อย น้อยท่ีสุด และคะแนนความพึงพอใจสามารถนามาวิเคราะห์ได้ว่าบุคคลพึงพอใจ
ดา้ นใดสูงและดา้ นใดตา่ โดยใชว้ ิธีการทางสถติ ิ

ชวลิต ชูกาแพง (2551: 112-116) ได้กล่าวถึงการอธิบายถึงการวัดจิตพิสัย
สามารถทาไดห้ ลายวิธี ซง่ึ วิธีท่ีนิยมทาในปจั จุบนั คอื

1. การสังเกต (Observation) สังเกตการพูด การเรียนที่มีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง
ท่คี รูต้องการวดั และประเมินผล

2. การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นการพูดคุยกับนักเรียนในประเด็นท่ีครู
อยากรู้ ซ่ึงอาจเป็นทัศนคติของนักเรียน เพื่อนาส่ิงที่นักเรียนพูดออกมาแปลความหมายเกี่ยวกับ
ลักษณะจติ พสิ ยั ของนกั เรยี น

3. การใช้แบบวัดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นการสร้างเคร่ืองมือ
เพ่ือวัดทัศนคติ วัดความสนใจ วัดคุณธรรม จริยธรรม ถ้าเป็นการวัดทัศนคติ วัดความสนใจ
มีรปู แบบการวัด 3 รูปแบบ คอื แบบของลเิ คริ ท์ แบบของเธอร์สโตน และแบบของออสกดู

จากข้อความข้างต้นท่ีกล่าวมา จะเห็นได้ว่าการวัดความพึงพอใจของนักเรียนหรือ
บุคคลท่ัวไปสามารถจัดกระทาได้หลายวิธีการ แต่ที่นิยมใช้ คือแบบสอบถามท่ีใช้มาตราส่วน
ประมาณค่า

3.2 โครงสรา้ งของแบบสอบถามความพงึ พอใจ
อุทุมพร จามรมาน (2544: ออนไลน์) ได้กล่าวถึง โครงสร้างของแบบสอบถาม

ซึ่งประกอบไปด้วย 3 สว่ นสาคัญ ดังนี้
1. หนังสือนาหรือคาชี้แจง โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ส่วนแรกของแบบสอบถาม

อาจมีจดหมายนาอยู่ด้านหน้าพร้อมคาขอบคุณ โดยคาช้ีแจงจะระบุถึงจุดประสงค์ท่ีให้ตอบ
แบบสอบถาม การนาคาตอบที่ได้ไปใช้ประโยชน์ คาอธิบายลักษณะของแบบสอบถาม วิธีการตอบ
แบบสอบถาม พร้อมตัวอย่างชื่อ และท่ีอยู่ของผู้วิจัย ประเด็นที่สาคัญคือการแสดงข้อความที่ทาให้
ผู้ตอบมีความม่ันใจว่า ข้อมูลที่จะตอบไปจะไม่ถูกเปิดเผยเป็นรายบุคคล ไม่มีผลกระทบต่อผู้ตอบ
และมกี ารพทิ ักษ์สทิ ธขิ องผ้ตู อบดว้ ย

2. คาถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ เป็นต้น
การถามข้อมูลส่วนตัวอะไรบ้าง ขึ้นอยู่กับกรอบแนวความคิดในการวิจัย โดยดูตัวแปรท่ีสนใจศึกษา
มีอะไรบา้ งท่เี กยี่ วกับข้อมลู สว่ นตัว และควรถามเฉพาะข้อมูลทจี่ าเปน็ ในการวจิ ยั เทา่ น้นั

3. คาถามเกี่ยวกับคุณลักษณะ หรือตัวแปรที่จะวัด เป็นความคิดเห็นของผู้ตอบ
ในเรือ่ งของคุณลกั ษณะหรือตวั แปรนัน้

37

3.3 ขัน้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม
อุทุมพร จามรมาน (2544: ออนไลน์) ไดก้ ลา่ วถงึ การสร้างแบบสอบถามประกอบไปด้วย

ข้ันตอนสาคญั ดังนี้
ข้ันท่ี 1 ศึกษาคุณลักษณะท่ีจะวัด การศึกษาคุณลักษณะหรือตัวแปรที่จะวัด

อาจดูได้จากวัตถุประสงค์ของการวิจัย กรอบแนวความคิดหรือสมมติฐานการวิจัย จากน้ันจึงศึกษา
คณุ ลกั ษณะ หรือตัวแปรทจี่ ะวัดใหเ้ ข้าใจอยา่ งละเอียดทงั้ เชิงทฤษฎี และนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการ

ข้ันท่ี 2 กาหนดประเภทของข้อคาถาม ข้อคาถามในแบบสอบถามอาจแบ่งออก
เป็น 2 ประเภท คอื

1. คาถามปลายเปิด (Open Ended Question) เป็นคาถามที่เปิดโอกาส
ให้ผู้ตอบสามารถตอบได้อย่างเต็มที่ ซ่ึงคาดว่าน่าจะได้คาตอบท่ีแน่นอน สมบูรณ์ ตรงกับ
สภาพความเป็นจริงได้มากกว่าคาตอบที่จากัดวงให้ตอบ คาถามปลายเปิดจะนิ ยมใช้กันมาก
ในกรณีท่ีผู้วิจัยไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ว่าคาตอบจะเป็นอย่างไร หรือใช้คาถามปลายเปิด
ในกรณีที่ต้องการได้คาตอบเพื่อนามาเป็นแนวทางในการสร้างคาถามปลายปิด แบบสอบถามแบบนี้
มีข้อเสยี คอื มกั จะถามไดไ้ ม่มากนัก การรวบรวมความคดิ เห็น และการแปลผลมกั จะมีความยุ่งยาก

2 . ค า ถ า ม ป ล า ย ปิ ด ( Close Ended Question) เ ป็ น ค า ถ า ม ท่ี ผู้ วิ จั ย
มีแนวคาตอบไว้ให้ผู้ตอบเลือกตอบจากคาตอบท่ีกาหนดไว้เท่านั้น คาตอบที่ผู้วิจัยกาหนดไว้ล่วงหน้า
มกั ได้มาจากการทดลองใชค้ าถามในลักษณะทีเ่ ป็นคาถามปลายเปิด หรือการศกึ ษากรอบแนวความคิด
สมมติฐานการวิจัย และนิยามเชิงปฏิบัติการ คาถามปลายเปิดมีวิธีการเขียนได้หลาย ๆ แบบ
เช่น แบบให้เลือกตอบอย่างใดอย่างหน่ึง แบบให้เลือกคาตอบท่ีถูกต้องเพียงคาตอบเดียว
แบบให้ผตู้ อบจัดลาดบั ความสาคัญ หรือแบบใหเ้ ลอื กคาตอบหลายคาตอบ

ขั้นที่ 3 การร่างแบบสอบถามเม่ือผู้วิจัยทราบถึงคุณลักษณะหรือประเด็นท่ีจะวัด
และกาหนดประเภทของข้อคาถามท่ีจะมีอยู่ในแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจึงลงมือเขียน
ข้อคาถามให้ครอบคลุมทุกคุณลักษณะ หรือประเด็นท่ีจะวัด โดยเขียนตามโครงสร้าง
ของแบบสอบถามท่ไี ด้กล่าวไวแ้ ล้ว และหลกั การในการสร้างแบบสอบถาม ดังนี้

1. ต้องมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนว่าต้องการจะถามอะไรบ้าง โดยจุดมุ่งหมาย
จะตอ้ งสอดคล้องกับวัตถุประสงคข์ องงานวจิ ัยที่จะทา

2. ต้องสร้างคาถามให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันการมีข้อคาถาม
นอกประเด็น และมขี ้อคาถามจานวนมาก

3. ต้องถามให้ครอบคลุมเรื่องท่ีจะวัด โดยมีจานวนข้อคาถามที่พอเหมาะไม่มาก
หรอื น้อยเกินไป แต่จะมากหรอื น้อยเท่าใดน้นั ขึ้นอยกู่ บั พฤตกิ รรมทีจ่ ะวัด ตามปกติพฤติกรรมหรอื เรื่อง
ทจ่ี ะวดั เรือ่ งหนึ่ง ๆ ควรมขี ้อคาถาม 25-60 ข้อ

4. การเรียงลาดับข้อคาถาม ควรเรียงลาดับให้ตอ่ เนื่องสัมพันธ์กัน และแบ่งตาม
พฤติกรรมย่อย ๆ ไว้เพ่ือให้ผู้ตอบเห็นชัดเจนและง่ายต่อการตอบ นอกจากนั้นต้องเรียงคาถามง่าย ๆ
ไว้เปน็ ข้อแรก ๆ เพื่อชักจูงให้ผู้ตอบอยากตอบคาถามต่อ ส่วนคาถามสาคัญ ๆ ไม่ควรเรียงไว้ตอนท้าย

38

ของแบบสอบถาม เพราะความสนใจในการตอบของผู้ตอบอาจจะน้อยลง ทาให้ตอบอย่างไม่ตั้งใจ
ซึง่ จะส่งผลเสยี ตอ่ การวจิ ยั มาก

5. ลกั ษณะของขอ้ ความท่ีดี ข้อคาถามท่ีดขี องแบบสอบถามควรมลี ักษณะ ดังนี้
5.1 ข้อคาถามไม่ควรยาวจนเกินไป ควรใช้ข้อความสั้น กะทัดรัด ตรงกับ

วตั ถปุ ระสงค์ และสองคลอ้ งกับเรอ่ื ง
5.2 ขอ้ ความ หรือภาษาท่ีใชใ้ นขอ้ ความต้องชัดเจน เข้าใจง่าย
5.3 ค่าเฉลี่ยในการตอบแบบสอบถามไม่ควรเกินหน่ึงช่ัวโมง ข้อคาถาม

ไมค่ วรมากเกินไปจนทาใหผ้ ้ตู อบเบอ่ื หนา่ ยหรือเหน่ือยล้า
5.4 ไม่ถามเรื่องที่เป็นความลับเพราะจะทาให้ได้คาตอบที่ไม่ตรงกับ

ข้อเท็จจริง
5.5 ไม่ควรใช้ข้อความท่ีมีความหมายกากวม หรือข้อความที่ทาให้

ผตู้ อบแตล่ ะคนเข้าใจความหมายของข้อความไมเ่ หมือนกนั
5.6 ไม่ถามในเรอื่ งทร่ี ู้แลว้ หรอื ถามในส่งิ ทวี่ ัดไดด้ ว้ ยวธิ ีอนื่
5.7 ข้อคาถามต้องเหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง คือ ต้องคานึงถึง

ระดับการศึกษา ความสนใจสภาพเศรษฐกิจ เปน็ ต้น
5.8 ข้อคาถามหนึ่ง ๆ ควรถามเพียงประเดน็ เดียว เพ่ือให้ได้คาตอบท่ีชดั เจน

และตรงจดุ ซ่งึ จะง่ายต่อการนามาวิเคราะห์ข้อมูล
5.9 คาตอบหรือตัวเลือกในข้อคาถามควรมีมากพอ หรือให้เหมาะสมกับ

ข้อคาถาม แต่ถ้าไม่สามารถระบุได้หมดก็ใหใ้ ชว้ า่ อื่นๆ โปรดระบุ ……………….
5.10 ควรหลีกเลี่ยงคาถามท่ีเกี่ยวกับค่านิยมท่ีจะทาให้ผู้ตอบไม่ตอบ

ตามความเปน็ จริง
5.11 คาตอบที่ไดจ้ ากแบบสอบถาม สามารถแปลงออกมาในรูปของปรมิ าณ

และใช้สถิติอธิบายข้อเท็จจริงได้ เพราะปัจจุบันนิยมใช้คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ัน
แบบสอบถามควรคานงึ ถงึ วิธกี ารประมวลขอ้ มูล และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอรด์ ้วย

ข้ันที่ 4 การปรับปรุงแบบสอบถามหลังจากท่ีสร้างแบบสอบถามเสร็จแล้ว ผู้วิจัย
ควรนาแบบสอบถามนั้นมาพิจารณาทบทวนอีกครงั้ เพ่อื หาข้อบกพร่องที่ควรปรบั ปรงุ แก้ไข และควรให้
ผู้เช่ียวชาญได้ตรวจสอบแบบสอบถามด้วย เพื่อท่ีจะได้นาข้อเสนอแนะ และข้อวิพากษ์วิจารณ์
ของผูเ้ ชี่ยวชาญมาปรบั ปรงุ แก้ไขใหด้ ยี ่งิ ขน้ึ

ข้ันที่ 5 วิเคราะห์คณุ ภาพแบบสอบถามเปน็ การนาแบบสอบถามท่ีได้ปรับปรุงแล้ว
ไปทดลองใชก้ ับกลมุ่ ตวั อยา่ งเล็ก ๆ เพอ่ื นาผลมาตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถาม ซึ่งการวิเคราะห์
หรือตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถามทาได้หลายวธิ ี แตท่ ี่สาคัญมี 2 วิธี ได้แก่

1. ความตรง (Validity) หมายถึง เครื่องมือท่ีสามารถวัดได้ในส่ิงท่ีต้องการวัด
โดยแบง่ ออกได้เป็น 3 ประเภท คอื

1.1 ความตรงตามเน้ือหา (Content Validity) คือ การที่แบบสอบถาม
มีความครอบคลุมวัตถุประสงค์ หรือพฤติกรรมท่ีต้องการวัดหรือไม่ ค่าสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพ คือ

39

ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับวัตถุประสงค์ หรือเน้ือหา (IOC: Index of item Objective
Congruence) หรือดชั นีความเหมาะสม โดยให้ผูเ้ ชย่ี วชาญประเมินเนอื้ หาของข้อถามเปน็ รายขอ้

1.2 คว ามตรงตามเกณฑ์ ( Criterion-related Validity) หมายถึง
ความสามารถของแบบวัดท่ีสามารถวัดได้ตรงตามสภาพความเป็นจริง แบ่งออกได้เป็นความเที่ยงตรง
เชงิ พยากรณ์ และความเท่ียงตรงตามสภาพ สถติ ิทใี่ ช้วัดความเท่ียงตรงตามเกณฑ์ เช่น ค่าสมั ประสทิ ธ์ิ
สหสัมพนั ธ์ (Correlation Coefficient) ท้ังของ Pearson และ Spearman และ คา่ t-test เปน็ ต้น

1.3 ค ว า ม ต ร ง ต า ม โ ค ร ง ส ร้ า ง ( Construct Validity) ห ม า ย ถึ ง
ความสามารถของแบบสอบถามที่สามารถวัดได้ตรงตามโครงสร้างหรือทฤษฎี ซึ่งมักจะมีในแบบวัด
ทางจิตวิทยาและแบบวัดสติปัญญา สถิติที่ใช้วัดความเที่ยงตรงตามโครงสร้างมีหลายวิธี เช่น
การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ (Factor Analysis) การตรวจสอบในเชิงเหตผุ ล เป็นต้น

2. ความเท่ียง (Reliability) หมายถึง เครื่องมือที่มีความคงเส้นคงวา นั่นคือ
เคร่ืองมือท่ีสร้างข้ึนให้ผลการวัดท่ีแน่นอนคงท่ีจะวัดกี่คร้ังผลจะได้เหมือนเดิม สถิติท่ีใช้ในการหา
ค่าความเท่ียงมีหลายวิธีแต่นิยมใช้กันคือ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ คอนบาร์ช (Conbach’s Alpha
Coefficient: α coefficient) ซ่ึงจะใช้สาหรับข้อมูลท่ีมีการแบ่งระดับการวัดแบบประมาณค่า
(Rating Scale)

ข้ันที่ 6 ปรับปรุงแบบสอบถามให้สมบูรณ์ ผู้วิจัยต้องทาการแก้ไขข้อบกพร่อง
ที่ได้จากผลการวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถาม และตรวจสอบความถูกต้องของถ้อยคา
หรือสานวน เพื่อให้แบบสอบถามสมบูรณ์และมีคุณภาพ ผู้ตอบอ่านเข้าใจได้ตรงประเด็นที่ผู้วิจัย
ต้องการ ทาใหผ้ ลงานวิจัยเป็นทน่ี า่ เชอื่ ถือยง่ิ ขนึ้

ขั้นที่ 7 จัดพิมพ์แบบสอบถาม จัดพิมพ์แบบสอบถามที่ได้ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว
เพื่อนาไปใช้จริงในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย โดยจานวนท่ีจัดพิมพ์ควรไม่น้อยกว่า
จานวนเป้าหมายทีต่ ้องการเก็บรวบรวมข้อมูล และควรมีการพิมพ์สารองไว้ในกรณที ่ีแบบสอบถามเสีย
หรอื สูญหายหรอื ผ้ตู อบไมต่ อบกลบั แนวทางในการจัดพมิ พแ์ บบสอบถามมีดังนี้

1. การพมิ พแ์ บง่ หนา้ ใหส้ ะดวกตอ่ การเปดิ อา่ นและตอบ
2. เวน้ ทว่ี า่ งสาหรับคาถามปลายเปิดไวเ้ พยี งพอ
3. พมิ พอ์ ักษรขนาดใหญช่ ดั เจน
4. ใชส้ แี ละลักษณะกระดาษทีเ่ อื้อต่อการอ่าน
5. หลกั การสร้างแบบสอบถาม
6. สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์การวิจัย
7. ใชภ้ าษาท่ีเข้าใจงา่ ย เหมาะสมกบั ผูต้ อบ
8. ใช้ข้อความทส่ี นั้ กะทัดรัด ได้ใจความ
9. แตล่ ะคาถามควรมีนัย เพยี งประเด็นเดยี ว
10. หลกี เลีย่ งการใชป้ ระโยคปฏเิ สธซอ้ น
11. ไม่ควรใชค้ ายอ่
12. หลีกเล่ยี งการใชค้ าทเี่ ป็นนามธรรมมาก
13. ไม่ช้นี าการตอบให้เปน็ ไปแนวทางใดแนวทางหน่ึง

40

14. หลกี เล่ียงคาถามท่ที าใหผ้ ู้ตอบเกิดความลาบากใจในการตอบ
15. คาตอบที่มใี ห้เลอื กตอ้ งชัดเจนและครอบคลมุ คาตอบท่เี ปน็ ไปได้
16. หลีกเล่ียงคาที่สื่อความหมายหลายอย่าง
17. ไม่ควรเป็นแบบสอบถามที่มีจานวนมากเกินไป ไม่ควรให้ผู้ตอบใช้เวลา
ในการตอบแบบสอบถามนานเกินไป
18. ข้อคาถามควรถามประเดน็ ท่เี ฉพาะเจาะจงตามเปา้ หมายของการวิจยั
19. คาถามตอ้ งน่าสนใจสามารถกระตนุ้ ใหเ้ กิดความอยากตอบ
20. เทคนิคการใช้แบบสอบถาม
วิธีใช้แบบสอบถามมี 2 วิธี คือการส่งทางไปรษณีย์ กับการเก็บข้อมูลด้วย
ตนเอง ซ่ึงไม่ว่ากรณีใดต้องมีจดหมายระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ตลอดจนความสาคัญของ
ข้อมูล และผลท่ีคาดว่าจะได้รับ เพ่ือให้ผู้ตอบตระหนักถึงความสาคัญ และสละเวลาในการตอบ
แบบสอบถาม
การทาให้อัตราตอบแบบสอบถามสูงเป็นเป้าหมายสาคัญของผู้วิจัย
ข้อมูลจากแบบสอบถามจะเป็นตัวแทนของประชากรได้เมื่อมีจานวนแบบสอบถามคืนมามาก กว่า
ร้อยละ 90 ของจานวนแบบสอบถามที่ส่งไป แนวทางที่จะทาให้ได้รับแบบสอบถามกลับคืน
ในอัตราท่ีสูง มีการติดตามแบบสอบถามเม่ือให้เวลาผู้ตอบไประยะหนึ่ง ระยะเวลาที่เหมาะสม
ในการติดตามคือ 2 สัปดาห์ หลังครบกาหนดส่ง อาจจะติดตามมากกว่าหนึ่งครั้ง วิธีการติดตาม
แบบสอบถาม อาจใชจ้ ดหมาย ไปรษณยี ์ โทรศัพท์ เปน็ ตน้
ในกรณีที่ข้อคาถามอาจจะถามในเรื่องของส่วนตัว ผู้วิจัยต้องให้ความม่ันใจ
ว่าขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ะเปน็ ความลับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปความได้ว่า ความพึงพอใจเกิดข้ึนจากการได้รับ
ในส่ิงที่ตนเองต้องการ เช่น การได้รับรางวัล หรือการเอาชนะความลาบาก ยุ่งยากต่าง ๆ ที่นาไปสู่
การทาให้เกิดความภูมิใจ ความมั่นใจ ตลอดจนการได้รับคายกย่องชมเชยจากผู้อ่ืนซ่ึงมีความสาคัญ
สาหรับการสร้างความพึงพอใจในการเรียน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้เพราะหากนักเรียน
มีความพึงพอใจ หรือมีความต้ังใจท่ีจะร่วมกิจกรรม จะทาให้การเรียนรู้ประสบความสาเร็จ
เม่ือนักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข มีความกระตือรือร้นในการเรียน มีความเต็มใจท่ีจะเรียน
สง่ ผลให้ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสงู ขึน้
จากการศึกษาดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นนามธรรมท่ีผู้ปฏิบัติ
สามารถวัดผลให้อยู่ในรูปธรรมได้ โดยสามารถจัดทาเป็นแบบสอบถามให้อยู่ในรูปของข้อคาถาม
ที่สามารถวัดความพึงพอใจได้ ซึ่งมีความสาคัญในการทาการวิจัย เช่น การวัด ความพึงพอใจ
ของกระบวนการสอนของครูผู้สอน โดยมีการสร้างแบบสอบถามแยกเป็นส่วนนา ประวัติส่วนตัว
โดยย่อ ข้อคาถามและข้อเสนอแนะ ซึ่งในข้อคาถามจะมีข้ันตอนการสร้างโดยเร่ิมต้นจากการกาหนด
จุดมุ่งหมายแล้วกาหนดข้อคาถาม จากน้ันจะเป็นการวิเคราะห์ข้อคาถาม และหาคุณภาพของคาถาม
โดยผู้เชี่ยวชาญ และนามาปรับแกเ้ พ่ือให้เปน็ แบบวดั ความพึงพอใจท่ีสมบรู ณ์
โดยในการวิจัยคร้ังน้ี คณะผู้วิจัยได้ทาการออกแบบเคร่ืองมือวัดความพึงพอใจ
ตามหลักการมาตราส่วนประมาณค่า ประกอบด้วยชุดของคาถาม และมีตัวเลือกสาหรับเลือกตอบ

41

คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เนื่องจากคณะผู้วิจัยเล็งเห็นว่าเป็นหลักการที่สามารถ
นาไปใช้ได้จรงิ และเกิดประโยชน์ได้มากทส่ี ดุ

งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง

ผูว้ ิจัยไดท้ าการรวบรวมงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การวิจัยในครั้งนี้ ดงั นี้
วิภาฤดี วิการิน (2543: 64-65) ได้ศึกษาการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์สาหรับนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ ได้รับการสอนเร่ือง
การเขียนเชิงสร้างสรรค์โดยใช้สื่อประสม มีความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ หลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียน
โดยใช้ส่ือประสม พบว่า นักเรียนร้อยละ 96.35 มีความคิดเห็นท่ีดี โดยนักเรียนมีความรู้สึกชอบและ
ต้องการให้นากลับมาใช้เป็นส่ือการสอนอีก นักเรียนรู้สึกสนุกสนานกับการเรียนการสอน นักเรียน
สนใจ และอยากเรียนรตู้ ่อไปมากขึน้ และนกั เรยี นเขา้ ใจบทเรียนมากขึน้
สายตา ปาลี (2546: 26-31) ได้ศึกษาการสอนเขียนเชิงสร้างสรรคโ์ ดยใชห้ นังสือพิมพร์ ายวัน
สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทไ่ี ด้รับการสอนเขียนเชงิ สร้างสรรค์
โดยใช้หนังสือพิมพ์รายวันเป็นสื่อการสอน มีความสามารถทางการเขียนเชิงสร้า งสรรค์โดยมี
คะแนนเฉล่ียกอ่ นและหลงั การสอนแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ปนางฐิติยา จองหมุ่ง (2548: 43-49) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ผังมโนภาพ ผลการวิจัยพบว่า ได้แผนการจัดการเรียนรู้
ที่พฒั นาการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์โดยใช้ผังมโนภาพผา่ นสอื่ เช่น รูปภาพ โฆษณา เพลง ข่าว และนทิ าน
สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 10 แผน ใช้เวลาแผนละ 1 ช่ัวโมง รวมท้ังสิ้น
10 ช่ัวโมง และภายหลังจากท่ีเรียนโดยแผนการจัดการเรียนรู้การเขียนเชิงสร้างสรรค์โดยใช้
ผงั มโนภาพแลว้ นกั เรียนมที กั ษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยได้เฉล่ียรวมเท่ากับ 74.17 ซ่ึงผา่ นเกณฑ์
70%
วนิดา กุลภัทร์แสงทอง (2554: 137-146) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การพัฒนาแบบฝึก
การเขียนเรื่องตามจินตนาการและสร้างสรรค์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์หลักสูตร
และศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานพบว่า ต้องการให้มีการพัฒนาแบบฝึกการเขียนเรื่องตามจิน ตนาการ
และสร้างสรรค์โดยใช้ข้อมูลท้องถิ่นเก่ียวกับคาขวัญของอาเภอกระทุ่มแบน แบบฝึกมีรูปแบบ
หลากหลาย โดยการฝึกเป็นรายบุคคลมีภาพประกอบ เน้ือหาน่าสนใจเหมาะสมกับวัยของนักเรียน
จานวนข้อของแบบฝึกไมม่ ากเกนิ ไปใน 1 ชุด 2) แบบฝึกการเขียนเรอื่ งตามจินตนาการและสร้างสรรค์
โดยใช้ข้อมูลท้องถิ่นมี 4 ชุด ได้แก่ 1) ท่าจีนไหลผ่าน 2) โรงงานมากมี 3) ของดีเบญจรงค์
4) ดงกล้วยไม้ แต่ละชุดประกอบด้วยช่ือแบบฝึก คานา ตัวชี้วัด คาช้ีแจง แบบทดสอบก่อนเรียน
แบบฝึกการเขียนเรื่อง และแบบทดสอบหลังเรียน ซ่ึงแบบฝึกมีประสิทธิภาพ 84.66/86.67
3) ระหว่างการทดลองใช้แบบฝึกการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ และสร้างสรรค์โดยใช้ข้อมูลท้องถ่ิน
พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเขียนเรื่องตามจินตนาการและสร้างสรรค์โดยใช้ข้อมูลท้องถ่ิน
อยู่ในระดับดีและมีความสุข สนุกสนานกับการเรียน 4) ผลสัมฤทธิ์ในการเขียนเร่ืองตามจินตนาการ
และสรา้ งสรรค์โดยใช้ขอ้ มลู ท้องถ่ินของนักเรียนทีเ่ รยี นด้วยแบบฝึกการเขียนเร่ืองตามจินตนาการและ

42

สร้างสรรค์โดยใช้ข้อมูลท้องถิ่น ก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
โดยผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นักเรียนเห็นด้วยว่าแบบฝึกช่วยให้นักเรียนมีจินตนาการ
และความคิดสร้างสรรค์เพ่ิมขึ้นกว่าเดิม กิจกรรมของแบบฝึกไม่ยุ่งยากซับซ้อนระดับมากที่สุด
และนักเรียนมีคุณลักษณะรักความเป็นไทย คือ นักเรียนใช้ภาษาไทย เลขไทย ในการส่ือสารได้อย่าง
ถกู ต้องเหมาะสม

สุรีรัตน์ พะจุไทย (2558: 82-88) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบสอน 7E ร่วมกับเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H สาหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบสืบสอน 7E ร่วมกับเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H
รายวิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉล่ียหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้
มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีเรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติรายวิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนหลัง
การจัดการเรียนรู้สูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 3) ทักษะการคิดวิเคราะห์
ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ท่ีเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด
วิเคราะห์ โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบสอบ 7E ร่วมกับเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H มีคะแนนสูงกว่า
นักเรียนท่เี รียนด้วยแผนการจัดการเรยี นรู้ปกติ อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05

ดวงพร เฟ่ืองฟู (2560: 59-62) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่าน
จับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการอ่าน
จับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H โดยมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ
81.25 2) ชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H มีประสิทธิภาพ 84/87.50
ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ
โดยใช้เทคนคิ 5W1H โดยรวมมคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดบั มาก

จากการศึกษางานวิจัยปรากฏว่า วิจัยในประเภทการอ่านและการเขียนมักจะใช้เทคนิค
5W1H เป็นเทคนิคในการสอนในรายวิชาภาษาไทย เพื่อให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้
ซึ่งวิจัย 1 เร่ืองจะประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ของเร่ืองที่จะสอน เคร่ืองมือในการวัดและสถิติ
ทใี่ ช้วิเคราะห์ข้อมลู จงึ นาขอ้ มูลที่ไดม้ าสรุปผลการดาเนินการออกมาเปน็ งานวิจัย 1 งานวจิ ัย

กระบวนการสอนการเขยี นเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้เทคนิค 5W1H+M ไดศ้ ึกษาเนื้อหาของ
หลักสูตร และเน้ือหาในด้านต่าง ๆ อย่างละเอียด ข้อมูลเหล่านี้ทางคณะผู้วิจัยได้ใช้เป็นแนวทาง
ในการศึกษาเพื่อประกอบงานวิจัย และใช้ประกอบการออกแบบหลักการสอนเก่ียวข้องกับ
การเขียนเร่ืองตามจินตนาการ โดยเฉพาะการออกแบบเคร่ืองมอื การวิจยั และการออกแบบนวัตกรรม
เพื่อให้นักเรียนสามารถเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและเกิดประโยชนส์ ูงสดุ

43

บทที่ 3
วิธีดาเนนิ การวิจยั

การวิจัย เร่ือง การพัฒนาความสามารถการเขียนเร่ืองตามจินตนาการโดยใช้แบบฝึก
5W1H+M สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
เพือ่ ให้การวิจัยในคร้ังนีบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ทต่ี ัง้ ไว้ คณะผ้วู จิ ัยได้ดาเนินการวจิ ัยตามข้ันตอนดงั นี้

1. ประชากร
2. เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั
3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมอื
4. วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถิติทใ่ี ช้

ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6/2 ภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2563 โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา จานวน 33 คน

เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวิจยั

เครอ่ื งมอื ท่ีคณะผวู้ จิ ัยสรา้ งข้ึนเพ่ือประกอบการวิจัยมดี ังนี้
1. แผนการจดั การเรียนรู้การเขียนเร่อื งตามจนิ ตนาการ
2. แบบทดสอบความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจนิ ตนาการ
3. แบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ การเขียนเร่อื งตามจินตนาการ โดยใช้แบบฝกึ 5W1H+M

การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่อื งมอื

การสร้างเคร่ืองมือการวิจัยการพัฒนาความสามารถการเขียนเรื่องตามจินตนาการ
โดยใช้แบบฝึก 5W1H+M สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย
ราชภฏั สงขลา มีข้ันตอนการสรา้ งและหาคุณภาพเครือ่ งมือ ดงั น้ี


Click to View FlipBook Version