The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน CBL 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chalikae, 2023-09-11 05:24:30

วิจัยในชั้นเรียน CBL 2565

วิจัยในชั้นเรียน CBL 2565

ส่วนราชการ ฝ่ายบริหารวิชาการ โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ . ที่ บว / 2566 วันที่ 23 มีนาคม ๒๕66 . เรื่อง รายงานการจัดส่งวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ข้าพเจ้า นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้จัดทำรายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน รายวิชาภาษาไทย 2 รหัสวิชา ท 21102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 รายละเอียดตามเอกสารแนบ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณา (นางสาวชาลิสา หาญกิจ) ตำแหน่ง ครู บันทึกข้อความ


ก วิจัยในชั้นเรียน การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้วิจัย นางสาวชาลิสา หาญกิจ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ประชากรเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1.แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ จำนวน 1 แผน 4 ชั่วโมง 2.แบบทดสอบวัดทักษะทางการเรียนจำนวน 1 ข้อ 3. แบบประเมินทักษะในการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์4. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และ 5.แบบสัมภาษณ์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี ของนักเรียนจำนวน 20 คน ผลการทดสอบทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ มี ค่าเฉลี่ย 15.00 คิดเป็นร้อยละ 60 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.29 และมีจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 70 จำนวน 20คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด


ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ สำเร็จลุล่วงโดยได้รับการสนับสนุนจากผู้อำนวยการ สถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา และหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ที่กรุณาให้คำปรึกษาพร้อมทั้งช่วยเหลือ แนะนำตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนในโรงเรียนทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้สู่งานวิจัยในครั้งนี้ด้วยดี คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูแด่บิดามารดา ผู้มี พระคุณ ตลอดจนคณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้ศึกษา ที่ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มี สติปัญญาและคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของผู้รายงาน ชาลิสา หาญกิจ


ค สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง สารบัญภาพ จ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 คำถามการวิจัย 2 วัตถุประสงค์การวิจัย 2 กรอบแนวคิดการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 ประโยชน์ที่จะได้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 แนวคิดและทฤษฎี 5 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ 37 ประชากรเป้าหมาย 37 ระเบียบวิธีการวิจัย 37 เครื่องมือการวิจัย 38 การวิเคราะห์ข้อมูล 41 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 43 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ 43 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 47 สรุปผล 47 อภิปรายผล 49 ข้อเสนอแนะ 50 บรรณนุกรม 51 ภาคผนวก 53


ง สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 แสดงคะแนนจากแบบทดสอบอัตนัย วงจรที่ 1 44 หลังจากการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี ตารางที่ 1 แสดงคะแนนจากแบบทดสอบอัตนัย วงจรที่ 2 46 หลังจากการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี


จ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1 วงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart 23


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และสร้าง เสริมบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือ การติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและสัมพันธ์ที่ ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระการงาน การดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ความคิดวิเคราะห์ วิจารณ์และความคิดสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาชีวิตให้มั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษด้านวัฒนธรรมประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพโดยบันทึกไว้เป็นวรรณกรรมอันล้ำค่า ภาษาจึง เป็นสมบัติของชาติที่ควรเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์และสืบสาน ให้คงอยู่สู่ไทยตลอดไป (กรมวิชาการ, 2545) ด้วยความสำคัญของภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติและเป็นเครื่องแสดงถึงเอกลักษณ์และความเป็นชาติ ไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดให้กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งในจำนวน 8 กลุ่มสาระ โดยกำหนดให้ผู้เรียนทุกช่วงชั้นได้ เรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 5 สาระ ได้แก่ สาระการอ่าน สาระการเขียน สาระการฟัง การดูและการพูด สาระ หลักการใช้ภาษา และสาระวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเนื้อหาที่เกี่ยวกับการแต่งบทร้อยกรอง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยได้บรรจุอยู่ในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ท 4.1 ม.1/5 แต่งบทร้อยกรอง นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึง คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยว่า ผู้เรียนจะต้องแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และ โคลงสี่สุภาพได้ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551) แสดงให้เห็นว่า ทักษะในการแต่งบทร้อยกรอง เป็น ทักษะที่นักเรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ควรมีและเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนดังกล่าว แม้ว่าการแต่งร้อยกรองจะมีความสำคัญและเป็นเรื่องหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน แต่จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เกี่ยวกับการแต่งบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 กลับพบว่า นักเรียนขาดความรู้และความเข้าใจในฉันทลักษณ์ของกาพย์ยานี 11 เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์(2554) ได้กล่าวว่า ขั้นตอนแรกของการแต่งบทรอยกรองนั้น ผู้แต่งจะต้องแม่นฉันทลักษณ์เสียก่อน เพราะฉันทลักษณ์เป็นพื้นฐานของการรู้จักจังหวะ รู้จักเสียง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของความงามและความสุนทรียะใน บทกวี เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจในฉันทลักษณ์จึงส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะในการแต่งร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี 11 นอกจากนี้ยังพบปัญหานักเรียนไม่สามารถเขียนคำคล้องจองต่อได้ เนื่องจากมีคลังคำศัพท์น้อย จึงทำให้ไม่สามารถ หาคำที่เหมาะสมมาร้อยเรียงให้เกิดความสละสลวยและถูกต้องตามฉันทลักษณ์ และนักเรียนขาดกำลังใจในการเรียน คิดว่าตนเองไม่มีความสามารถเพียงพอ และคิดว่าการแต่งบทร้อยกรองกาพย์ยานี 11 เป็นเรื่องยากไม่สามารถทำได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่ชอบการแต่งคำประพันธ์และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ไม่สนุกสนาน สอดคล้อง


2 กับ สุกัญญา จันทร์เพ็ญ (2524) ที่พบว่า อุปสรรคในการแต่งคำประพันธ์ คือ นักเรียนส่วนใหญ่คิดว่าคนเองไม่มี ความสามารถครูขาดความสนใจในการสอนคำประพันธ์ และเวลาที่ใช้ในการเรียนน้อยเกินไป ส่วนผู้วิจัยพบปัญหาใน การสอนแต่งคำประพันธ์ คือ นักเรียนแต่งคำประพันธ์ไม่ได้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องยาก ตนเองไม่ถนัดผู้ที่ทำได้คือผู้ที่มี พรสวรรค์ หรือมีความสามารถพิเศษเท่านั้น และนักเรียนจะเขียนโดยไม่คำนึงถึงสัมผัสคล้องจอง จึงไม่ถูกต้องตาม ฉันทลักษณ์ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากสาเหตุครูเองไม่มีความถนัด ขาดเทคนิคหรือสื่อการสอนที่เร้าใจที่จะนำ มา พัฒนาการสอนของตนให้น่าสนใจขึ้น ครูส่วนใหญ่ยังใช้วิธีบรรยายเนื้อหาตามหนังสือเรียนจึงทำให้นักเรียนเกิดความ เบื่อหน่าย จากสภาพปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวทางการพัฒนาการสอนด้วยวิธีสอนที่ส่งเสริมทักษะ ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาวิธีสอนรูปแบบหนึ่ง คือ การจัดการ เรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ซึ่ง วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์และวรวรรณ นิมิตพงษ์กุล (2562) ได้กล่าวไว้ว่า เป็นการ นำหลักการสอน Active Learning มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และพัฒนามาจากวิธีสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) และแนวทางการพัฒนาความคิดแนวขนาน ( Parallel Thinking) ของเอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน โดยสังเคราะห์เป็น กระบวนการเรียนรู้ ๕ ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่ม 3) ข้นการค้นและคิด 4) ขั้น นำเสนอ และ 5) ขั้นประเมินผล ซึ่งจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) นั้น สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร และนำเสนอ ทักษะ การทำงานเป็นทีมและทักษะด้านสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นต่ออนาคต (สำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะที่เป็นครูผู้สอนในรายวิชาภาษาไทย เกิดความตระหนักและเห็น ความสำคัญของการพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ จึงสนใจนำการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมีมาเป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ให้ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยจัดทำวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ 1.2 คำถามการวิจัย ผลการพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 หรือไม่ 1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ กับเกณฑ์ ร้อยละ 70


3 1.4 กรอบแนวคิดการวิจัย จากการศึกษาแนวคิดจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ผู้วิจัยได้นำการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์และวรวรรณ นิมิตพงษ์กุล มาใช้ในการ ดำเนินการวิจัย นำเสนอได้ดังนี้ นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในการวิจัย เรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย ดังนี้ 1. ทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์หมายถึง ความเข้าใจอันนำไปสู่การแสดงผลให้เห็นความสามารถในการ แต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ วัดได้จากแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ สำหรับนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบทดสอบอัตนัย จำนวน 1 ข้อ 2. คำประพันธ์ประเภทกาพย์หมายถึง คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 3. การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) หมายถึง วิธีการสอนที่ผู้เรียนได้ฝึกการทำงานร่วมกับ ผู้อื่น การใฝ่รู้และฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นกระบวนการลงมือทำ โดยนำหลักการสอน Active Learning มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ มีกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ดังนี้1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นตั้งปัญหาและ แบ่งกลุ่ม 3) ข้นการค้นและคิด 4) ขั้นนำเสนอ และ5) ขั้นประเมินผล . กิจกรรมผะหมี หมายถึง การเล่นทายปริศนาของจีน ซึ่งประเทศไทยได้ประยุกต์โดยนำคำประพันธ์ไทยมา ใช้ในการแต่งบทปริศนา การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่ม 3) ข้นการค้นและคิด 4) ขั้นนำเสนอ 5) ขั้นประเมินผล ทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 กิจกรรมผะหมี


4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.1 นักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ 1.2 ครูผู้สอนได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภท กาพย์ ให้มีความสนุกสนานน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความสนใจในการเรียนรู้และแก้ปัญหาความเบื่อหน่ายในการ เรียนวิชาภาษาไทย 1.3 ครูผู้สอนได้แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ที่ใช้การ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.2 วิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.2 ทำไมต้องเรียนภาษาไทย 2.1.3 คุณภาพผู้เรียน 2.1.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 2.2 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2.2.1 วิสัยทัศน์ของโรงเรียน 2.2.2 สมรรถนะสำคัญของนักเรียน 2.2.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.2.4 โครงสร้างเวลาเรียนหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 2.2.5 คำอธิบายรายวิชาภาษาไทย ท21102 2.2.6 โครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ท21102 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแต่งคำประพันธ์ 2.3.1 ความหมายของคำประพันธ์ 2.3.2 ประเภทของคำประพันธ์ 2.3.3 ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ 2.2.4 การประเมินผลการแต่งคำประพันธ์ 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) 2.4.1 ความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน 2.4.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกิจกรรมผะหมี 2.5.1 ประวัติความเป็นมาของปริศนาคำทายผะหมี 2.5.2 ลักษณะคำประพันธ์ที่ใช้ในปริศนาคำทายผะหมี 2.5.3 ลักษณะคำตอบของปริศนาคำทายผะหมี 2.5.4 วิธีการเล่นปริศนาคำทายผะหมี 2.5.5 ประโยชน์ของการเล่นปริศนาคำทายผะหมี


6 2.6 แนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติติการ 2.6.1 ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.2 แนวคิดของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.3 ความเป็นมาของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.4 รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.5 หลักการของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.6 ประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2.6.7 แนวคิดของการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2.1.2 วิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุก คนซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด ชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 2.1.2 ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิต ร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มี ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และ สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสาน ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 2.1.3 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความ


7 คิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความ ถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษาเขียน คำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้ง อย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมี เหตุผลน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์ บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และ โคลงสี่สุภาพ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่า ที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.1.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และ เขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐานการเรียนรู้ ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม


8 มาตรฐานการเรียนรู้ ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.2 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2.2.1 วิสัยทัศน์ของโรงเรียน โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา เป็นที่ ยอมรับของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน โดยน้อมนำหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2.2.2 สมรรถนะสำคัญของนักเรียนสมรรถนะสำคัญของนักเรียน หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีสมรรถนะจำเป็นพื้นฐาน 5 ประการที่นักเรียนพึงมี ซึ่งกำหนดไว้ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สมรรถนะเหล่านี้ได้หลอมรวมอยู่ในมาตรฐานการ เรียนรู้ และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้ง 8 กลุ่ม สมรรถนะสำคัญของนักเรียนทั้ง 5 ประการ ได้แก่ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศเข้าใจความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผล กระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้าน ต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ ทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม


9 2.2.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2561 มุ่งพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณลักษณะในฐานะพลเมืองไทย ต้องรู้คุณค่าหวงแหนและ เทิดทูนสถาบันสูงสุดของชาติ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นคุณลักษณะที่นักเรียนมีจิตสำนึกค่านิยม และมีคุณธรรมจริยธรรมใน การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข 3. มีวินัย เป็นคุณลักษณะของนักเรียนด้านการประพฤติปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม อย่างมีความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น 4. ใฝ่เรียนรู้ เป็นคุณลักษณะของนักเรียนด้านความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ อยากรู้อยากเรียน รักการอ่าน การเขียน การฟัง รู้จักตั้งคำถามเพื่อหาเหตุผลทั้งด้วยตนเองและร่วมกับผู้อื่นด้วย ความขยันหมั่นเพียรและอดทน และเปิดรับความคิดใหม่ ๆ 5. อยู่อย่างพอเพียง เป็นคุณลักษณะของนักเรียนในการดำรงชีวิตอย่างมีความพอประมาณ ใช้สิ่งของอย่างประหยัด พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่บนหลักเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี 6. มุ่งมั่นในการทำงาน เป็นคุณลักษณะของนักเรียนที่มีจิตสำนึกในการใช้บริการงานและ ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ในการทำงานตามความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะและมุ่งมั่นต่อความสำเร็จของงาน 7. รักความเป็นไทย เป็นคุณลักษณะของนักเรียนที่รู้จักหวงแหน อนุรักษ์ พัฒนาวิถีชีวิตของ คนไทย ประพฤติตามวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่ไทย 8. มีจิตสาธารณะ เป็นคุณลักษณะที่นักเรียนได้ทำประโยชน์ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ ในลักษณะอาสาสมัครเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ความเสียสละ มีจิตมุ่งทำประโยชน์ต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม 2.2.4 โครงสร้างเวลาเรียนหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) โรงเรียนมัธยมหลวงพอคูณ ปริสุทฺโธ ได้จัดโครงสร้างเวลาเรียนวิชาภาษาไทย ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ดังโครงสร้างเวลาเรียนต่อไปนี้


10 ตารางที่ 1 โครงสร้างเวลาเรียนวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 รายวิชาพื้นฐาน (เน้นสมรรถนะหลัก) จำนวน หน่วยกิต เวลาเรียน (ชั่วโมง) รายวิชาพื้นฐาน (เน้นสมรรถนะหลัก) จำนวน หน่วยกิต เวลาเรียน รหัสวิชา ชื่อรายวิชา รหัสวิชา ชื่อรายวิชา (ชั่วโมง) ท21101 ภาษาไทย 1 1.5 60 ท21102 ภาษาไทย 2 1.5 60 ค21101 คณิตศาสตร์ 1 1.5 60 ค21102 คณิตศาสตร์ 2 1.5 60 ว21101 วิทยาศาสตร์ 1 1.0 40 ว21102 วิทยาศาสตร์ 2 1.0 40 ว21181 เทคโนโลยีและวิทยาการ คำนวณ 1 0.5 20 ว21182 เทคโนโลยีและวิทยาการ คำนวณ 2 0.5 20 ส21101 สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม 1 1.0 40 ส21102 สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม 2 1.0 40 ส21103 พระพุทธศาสนา 1 0.5 20 ส21104 พระพุทธศาสนา 2 0.5 20 ส21105 ประวัติศาสตร์1 0.5 20 ส21106 ประวัติศาสตร์2 0.5 20 พ21101 พลศึกษา 1 0.5 20 พ21102 พลศึกษา 2 0.5 20 พ21103 สุขศึกษา 1 0.5 20 พ21104 สุขศึกษา 2 0.5 20 ศ21101 ศิลปะ 1 1.0 40 ศ21102 ศิลปะ 2 1.0 40 ง21101 การงานอาชีพ 1 1.0 40 ง21102 การงานอาชีพ 2 1.0 40 อ21101 ภาษาอังกฤษ 1 1.5 60 อ21102 ภาษาอังกฤษ 2 1.5 60 รวม 11.0 440 รวม 11.0 440 รายวิชาเพิ่มเติม (เนนสมรรถนะเฉพาะ) รายวิชาเพิ่มเติม (เนนสมรรถนะเฉพาะ) ว21201 ไมโครซอฟ์ออฟฟิศเพื่อ การทำงาน 1.0 40 ว21201 ไมโครซอฟ์ออฟฟิศเพื่อ การทำงาน 1.0 40 ส21231 หนาที่พลเมือง 0.5 20 ส21231 หนาที่พลเมือง 0.5 20 ง21201 การออกแบบผลิตภัณฑ จากวัสดุเหลือใช 0.5 20 ง20202 ขนมไทยใสใจสุขภาพ 0.5 20 อ21201 การสนทนาภาษาอังกฤษ 0.5 20 อ20202 ภาษาอังกฤษใน สถานการณจำลอง 0.5 20 รวม 2.5 100 รวม 2.5 100 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมแนะแนว 1 20 กิจกรรมแนะแนว 2 20 กิจกรรมลูกเสือ 1 20 กิจกรรมลูกเสือ 2 20 กิจกรรมชุมนุม 1 10 กิจกรรมชุมนุม 2 10 กิจกรรมเพื่อสังคมฯ 1 10 กิจกรรมเพื่อสังคมฯ 2 10 รวม 60 รวม 60 รวมทั้งสิ้น 13.5 600 รวมทั้งสิ้น 13.5 600


11 2.2.5 คำอธิบายรายวิชาภาษาไทย ท21102 คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน รหัสวิชา ท21102 วิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต ............................................................. ศึกษาการอ่าน การเขียน การฟัง พูดและดู หลักการใช้ภาษา วรรณกรรมและวรรณคดีเกี่ยวกับ การอ่าน ออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง การอ่านจับใจความสำคัญ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ การอ่าน หนังสือตามความสนใจ การมีมารยาทในการอ่าน การเขียนสื่อสาร การเขียนแนะนำตนเอง การเขียนแนะนำสถานที่ สำคัญ การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การบรรยายประสบการณ์ การเขียนแสดงความคิดเห็น การเขียนจดหมาย ส่วนตัว การเขียนรายงาน การมีมารยาทในการเขียน การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์ จากเรื่องที่ฟังและดู การพูดประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าว การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า การ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด การสร้างคำ ภาษาพูดภาษาเขียน กาพย์ยานี ๑๑ วรรณคดีและวรรณกรรม การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรม บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า โดยใช้กระบวนการทางภาษาฟัง พูด อ่านและเขียน เพื่อฝึกทักษะอ่านออกเสียง จับใจความสำคัญ ระบุและอธิบาย เปรียบเทียบ ปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ วิเคราะห์คุณค่า เขียนสื่อสาร บรรยายประสบการณ์ เขียน แสดงความคิดเห็น เขียนจดหมาย เขียนรายงาน พูดสรุปใจความสำคัญ พูดแสดงความคิดเห็น ประเมินความ น่าเชื่อถือ พูดรายงาน สร้างคำ วิเคราะห์ภาษาพูดและภาษาเขียน แต่งบทร้อยกรอง สรุปเนื้อหาวรรณคดีและ วรรณกรรม วิเคราะห์ อธิบายคุณค่า สรุปความรู้วรรณคดีและวรรณกรรม สรุปความรู้และข้อคิดเพื่อประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง ท่องจำบทอาขยาน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางภาษาฟัง พูด อ่านและเขียนได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ มีนิสัยรักการอ่าน มีมารยาทในการอ่าน มี มารยาทในการเขียน มีมารยาทในการฟัง การดู การพูด และเห็นคุณค่ารักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติเกิด ความสามารถในการคิด ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการ แก้ปัญหา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รหัสตัวชี้วัดทั้งสิ้น 25 ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/4 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9 ท 2.1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9 ท 3.1 ม.1/1 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ท 4.1 ม.1/2 ม.1/4 ม./5 ท 5.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5


12 2.2.6 โครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ท21102 ตารางที่ 2 โครงสร้างรายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท21102 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ โครงสร้างรายวิชา รหัสวิชา ท21102 รายวิชา ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2565 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 1 การสื่อสาร เชิงสร้างสรรค์ ท1.1 ม.1/7 ม.1/9 ท2.1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/9 ท3.1 ม.1/1 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/6 ปฏิบัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใช้ งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ ในระดับที่ยากขึ้น มีมารยาทใน การอ่าน เขียนสื่อสารโดยใช้ ถ้อยคำถูกต้องชัดเจนเหมาะสม และสละสลวย เขียนบรรยาย ประสบการณ์โดยระบุ สาระสำคัญและรายละเอียด สนับสนุน เขียนจดหมาย ส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ เขียนแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสาระจากสื่อที่ได้รับ มี มารยาทในการเขียน พูดสรุป ใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และดูพูดแสดงความคิดเห็น อย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟัง และดูประเมินความน่าเชื่อถือ ของสื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าวใจ และมีมารยาทในการฟังการดู และการพูด 12 10 2 วรรณคดีสอน ชีวิต ท1.1 ม.1/1 ม.1/8 ท2.1 ม.1/2 ม.1/8 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและ บทร้อยกรองได้ถูกต้อง เหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการ 12 10


13 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน ม.1/9 ท3.1 ม.1/5 ม.1/6 ท5.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 อ่าน งานเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำ ถูกต้องชัดเจน เหมาะสมและ สละสลวย เขียนรายงาน การศึกษาค้นคว้าและโครงงาน มีมารยาทในการเขียน พูด รายงานเรื่องหรือประเด็นที่ ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และการสนทนา มีมารยาทใน การฟังการดูและการพูด สรุป เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่ อ่าน วิเคราะห์วรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่านพร้อมยก เหตุผลประกอบอธิบายคุณค่า ของวรรณคดีและวรรณกรรมที่ อ่านสรุปความรู้และข้อคิดจาก การอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิต จริงท่องจำบทอาขยานตามที่ กำหนดและบทร้อยกรองที่มี คุณค่าตามความสนใจ 3 สะท้อนความคิด พินิจกาพย์ ท1.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/4 ม.1/9 ท2.1 ม.1/8 ม.1/9 ท4.1 ม.1/5 ท5.1 ม.1/1 ม.1/2 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและ บทร้อยกรองได้ถูกต้อง เหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน จับ ใจความสำคัญระบุและอธิบาย คำเปรียบเทียบและคำที่มีหลาย ความหมายในบริบทต่าง ๆ เขียนรายงานโครงงาน แต่ง กาพย์ยานี ๑๑ และมีมารยาท การเขียน สรุปเนื้อหาวรรณคดี 12 10


14 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน ม.1/3 ม.1/4 และวรรณกรรมที่อ่านวิเคราะห์ วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน สรุปความรู้ และข้อคิดจากการอ่านเพื่อ ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 4 สืบสานเสน่ห์ คำไทย ท1.1 ม.1/4 ท2.1 ม.1/2 ม.1/9 ท4.1 ม.1/2 ม.1/4 ระบุและอธิบายคำเปรียบเทียบ และคำที่มีหลายความหมายใน บริบทต่าง ๆ จากการอ่าน เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำ ถูกต้องชัดเจนเหมาะสม สละสลวยมีมารยาทในการ เขียน สร้างคำในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างของ ภาษาพูดและภาษาเขียน 12 10 5 วินิจฉัยวรรณกรรม ท1.1 ม.1/8 ท5.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วได้ ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการ อ่าน งานเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต สรุปเนื้อหาวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน สรุปความรู้ และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 12 10 รวมตลอดภาคเรียน 60 100


15 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแต่งคำประพันธ์ 2.3.1 ความหมายของคำประพันธ์ คำประพันธ์หรือบทร้อยกรอง มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ ปทุมพร พงศ์ทองและเตือนจิตต์ ศรีอนันต์(2556) ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่าประพันธ์ ว่า คำประพันธ์มาจากภาษาบาลีว่า ปพนธ และภาษาสันสกฤตที่ว่า ปรพ.นธ ซึ่งหมายถึงการร้องกรอง การผูก ถ้อยคำเป็นเชิงวรรณคดี คำประพันธ์ คือถ้อยคำที่ได้ร้อยกรองหรือเรียบเรียงขึ้น โดยมีข้อบังคับ จำกัดคำ และวรรค ตอน ให้รับสัมผัสกัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ คำประพันธ์ จำแนกออกเป็น ๗ ชนิด คือ โคลง ร่าย ลิลิต กลอน กาพย์ฉันท์กล ธีรวัช นิลขลัง (2553) ได้กล่าวถึงความหมายของคำประพันธ์หรือร้อยกรอง คือ การนำถ้อยคำ มาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบ ตามที่บัญญัติไว้ในตำราว่าด้วยการแต่งโคลง ฉันท์ กลอน และร่าย ตำราดังกล่าวนี้ เรียกว่า “ฉันทลักษณ์” ราชบัณฑิตยสถาน (2546) ให้ความหมายคำประพันธ์ว่า หมายถึง แต่ง เรียบเรียงร้อยกรอง ผูกถ้อยคำ เป็นข้อความเชิงวรรณคดี กำชัย ทองหล่อ (2543) กล่าวว่าคำประพันธ์ คือ ถ้อยคำที่ได้ร้อยกรอง หรือเรียบเรียงขึ้นโดยมี ข้อบังกับ จำกัดคำ และวรรคตอน ให้รับสัมผัสกันไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ 2.3.2 ประเภทของคำประพันธ์ มณี จานโอ (2546) ได้จำแนกคำ ประพันธ์ใช้ ชนิด คือ โคลง ฉันท์ กาพย์กลอน และร่าย 1. โคลง คือคำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่กำหนดคณะ กำหนดคำเอกโท และสัมผัสเป็นสำคัญ โคลงให้ลีลาขึงขัง ลงตัวด้วยจำนวนคำ ดูเคร่งขรึมและสง่างาม โคลงแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1.1 โคลงสุภาพ ได้แก่ โคลง2 โคลง 3 โคลง 4 โคลง 5 1.2 โคลงดั้น ได้แก่ โคลง2 โคลง 3 โคลงวิวิธมาลี โคลงดั้นบาทกุญชร โคลงดั้น ตรีพิธพรรณ โคลงดั้นจัตวาทัณที 1.3 โคลงโบราณ ได้แก่ โคลงวิชชุมาสี โคลงมหาวิชชุมาลี โคลงจิตรลตา โคลงมหา จิตรลดา โคลงสินธุมาลี โคลงมหาสินธุมาลี โคลงนันททายี โคลงมหานันททายีแต่ที่นิยมกันมากคือ โคลงสี่สุภาพ 2. ฉันท์ เป็นร้อยกรองที่บังคับ ครุ ลหุ คณะ พยางค์ และสัมผัส มักนิยมเต่งร่วมกับ กาพย์ เรียกว่า คำฉันท์ เป็นคำประพันธ์ที่บังคับตายตัวหลายด้าน ทำให้แต่งยาก อ่านยาก มีลักษณะเป็นของสูง ศักดิ์สิทธิ์ เสียงบังคับของฉันท์ สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี ฉันท์ตามคัมภีร์วุตโตทัย ซึ่งเป็นคำตำราฉันท์ในภาษาบาลี มี08 ฉันนท์ แต่ไทยเลือกมา เฉพาะฉันท์ที่เห็นว่าไพเราะ มีทำนองอ่านสละสลวย เหมาะแก่การบรรจุคำในภาษาได้ดีเท่านั้น และที่นิยมแต่ง มี 6 ชนิด คือ 2.1 อินทรวิเชียรฉันท์ 2.2 โตฎกฉันท์


16 2.3 วสันตดิลกฉันท์ 2.4 มาลินีฉันท์ 2.5 สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 2.6 สัทธราฉันท์ 3. กาพย์ เป็นร้อยกรองที่กำหนด กณะ พยางค์ และสัมผัส มีลักษณคล้ายกับฉันท์ แต่ไม่ได้ กำหนด ครุ ลหุ เหมือนฉันท์ กาพย์มีคำในแต่ละวรรคไม่มาก ทำให้เสียงของคำในกาพย์สั้น ห้วน ให้ความรู้สึกแกร่ง ฮึกเหิม กาพย์ ที่นิยมใช้ในภายาไทยมี3 ชนิด คือ 3.1 กาพย์ยานี11 3.2 กาพย์ฉบัง 16 3.3 กาพย์สุรางคนางค์28 4. กลอน เป็นร้อยกรองที่บังกับคณะและสัมผัส ความไพเราะของกลอนอยู่ที่สัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสสระพยัญชนะ รวมทั้งเสียงของคำลงท้ายวรรคในบทกลอน เนื่องจากกลอนมีสัมผัสแพรวพราวทำให้ กลอนมีลักษณะพลิ้ว สื่ออารมณ์ และเล่าเรื่องราวได้ดี ชนิดของกลอนแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 4.1 กลอนสุภาพ คือกลอนที่ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบ ๆ ถือว่าเป็นกลอนหลักของ กลอนทุกชนิด แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ กลอน 6 กลอน 7 กลอน 8 และกลอน 9 4.2 กลอนลำนำ คือกลอนที่ใช้ขับร้อง หรือสวด ให้ทำนองต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ กลอนบทละคร กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนดอกสร้อย และกลอนขับร้อง 4.3 กลอนตลาด คือกลอนที่ผสมหรือกลอนคละ ไม่กำหนดตายตัวเหมือนกลอน สุภาพ ในกลอนบทหนึ่งอาจมีวรรคละ 7 คำ 8 คำ หรือ 9 คำ เป็นกลอนที่นิยมใช้ในการขับร้องแก้กันทั่วไป จึง เรียกว่า กลอนตลาด แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ กลอนเพลงยาว กลอนนิราศ กลอนนิยาย กลอนเพลงปฏิพากย์ แต่ที่ นิยมกันมากคือ กลอนสุภาพหรือกลอนแปด 5. ร่าย เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดบทหรือบาท จะแต่งยาวเท่าใดก็ได้ แต่ต้อง เรียบรียงคำให้คล้องจองกันตามลักษณะบังคับ คือมี คณะ สัมผัส พยางค์ คำเอก คำโท ในการแต่งจัดเป็นวรรคละ 5 คำ แต่งไปเรื่อย ๆ แต่สามวรรคก่อนจะจบ จะต้องเป็น โคลง2 เสมอ ร่าย แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ ร่ายสุภาพ ร่าย ดั้น ร่ายโบราณ และร่ายยาว 2.3.3 ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ ทิพวรรณ หอมพูล (2547) ได้นำเสนอลักษณะบังคับในการเรียบเรียงคำประพันธ์8 อย่าง คือ คณะ สัมผัส ครุลทุ คำเอก-โท คำเป็นคำตาย พยางค์ คำนำ คำสร้อย ดังนี้ 1. คณะ เป็นข้อกำหนดเรื่อง จำนมคำ วรรค บาท บท รวมถึงการกำหนดคำเอกคำโทในคำ ประพันธ์ประเภทโคลง คำครุ ลหุ ในคำประพันธ์ประเภทฉันท์ 2. สัมผัส ถือ การกำหนดบังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน แบ่งเป็น 2.1 สัมผัสสระ คือคำที่ใช้สระเดียวกัน หรือเสียงสระท้องกัน เช่น


17 เสียง - เพียง - เขียง - เตียง ร้าว - ขาว - สาว - หนาว 2.2 สัมผัสพยัญชนะ คือคำที่มีพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน หรือตัวอักษรเดียวกัน หรือพยัญชนะที่มีเสียงสูงต่ำมาเข้าคู่กันได้ เช่น แน่น - น้อง - เนื่อง - นอง ปรุง - ปราง - ปรับ - เปลี่ยน แก้ว - กานต์ – เกื้อ - ก้าว 2.3 สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับระหว่างวรรค บท บาท กำหนดให้ใช้เฉพาะสัมผัส สระเท่านั้น 2.4 สัมผัสใน เป็นสัมผัสภายในวรรค มีทั้งสัมผัสสระ หรือ พยัญชนะ ที่ช่วยให้ร้อย กรองมีความไพเราะยิ่งขึ้น 3. คำครุ-ลหุ เป็นคำบังคับที่ใช้เฉพาะร้อยกรองประเภทฉันท์ครุ คือคำที่มีเสียงหนัก ได้แก่ คำที่ประสมสระเสียงยาวในแม่ ก กา และคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นหรือยาว ที่มีตัวสะกดทุกคำที่ลหุ คือที่มีเสียง เบา ได้แก่ คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา และคำที่ใช้พยัญชนะตัวเดียวเช่น บ บ่ ก็ ธ ณ 4. คำเอก-โท เป็นลักษณะบังคับในการแต่งโคลงและร่าย คำเอก หมายถึง พยางค์ที่มีไม้เอก บังคับทั้งหมดและพยางค์ที่เป็นคำตายทั้งหมด คำโท หมายถึง พยางค์ที่มีไม้ โทบังคับทั้งหมด 5. คำเป็นคำตาย คำเป็น หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา รวมทั้ง อำ ใอ ไอ เอา และคำที่มีตัวสะกดในแม่ กง กน กม เกย เกอว คำตาย หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระสียงสั้นในแม่ ก กา รวมทั้งคำที่มีตัวสะกดในแม่ กก กด กบ 6. พยางค์ หมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆใช้ในการแต่งกำประพันธ์ประเภทฉันท์ 7. คำนำคือคำที่ใช้กล่าวขึ้นต้นสำหรับเป็นบทนำในคำประพันธ์ อาจเป็นคำเดียว หรือเป็นวลี เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น นักเอ๋ยนักเรียน ครานั้น สักวา 8.คำสร้อย คือคำที่ใช้ลงท้ายบทหรือท้ายบาทของคำประพันธ์ การเติมคำสร้อยเพื่อให้มีคำครบจำนวนและ เป็นกรณีเพิ่มเสียงให้ไพเราะยิ่งขึ้น คำสร้อยต้องเป็นคำเป็น จะใช้คำตายไม่ได้และใช้เฉพาะคำประพันธ์ชนิดโคลงและ ร่ายเท่านั้น 2.2.4 การประเมินผลการแต่งคำประพันธ์ การประเมินผลการแต่งคำประพันธ์ มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนวการตรวจและ ประเมินผลการเขียนคำประพันธ์ไว้ดังนี้ บรุค และวอเรน (1955) ได้เสนอให้เพื่อนนักเรียนช่วยกันตัดสินผลงานคำประพันธ์ของเพื่อน โดยสร้างเกณฑ์ ดังนี้ 1. ความคิดริเริ่มที่ไม่ซ้ำแบบใคร เป็นตัวของตัวเองการเลือกคำใช้ในเรื่องและการใช้ จินตนาการในการเขียน


18 2. แบบแผนตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (2545) ได้เสนอวิธี วัดและประเมินผลคำประพันธ์ไว้ดังนี้ วิธีวัดและประเมินผลการเขียนประเภทที่ดีที่สุด คือ ให้นักเรียนเขียนคำคล้องของ หรือ ร้อย กรองตามที่หลักสูตรกำหนด แล้วให้คะแนนโดยวิธีจัดอันดับคุณภาพตามรายการประเมิน โดยคำนึงถึงวัย ของนักเรียนด้วย ซึ่งรายการประเมินอาจเป็นดังนี้ เขียนตรงจุดมุ่งหมายที่ตนเองคิดเขียนถึงอะไร เพื่ออะไร เขียนถูกฉันทลักษณ์ การเลือกใช้คำมีความหมายสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง มีความไพเราะ การดำเนินเรื่องสอด ต้องกัน กล่าวถึงสิ่งใดหรือเหตุการณ์ใด จะต้องดำเนินเรื่องเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน นิสัยที่ดีในการเขียน สะอาดเรียบร้อย 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) 2.4.1 ความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์และวรวรรณ นิมิตพงษ์กุล (2562) ได้เสนอความเป็นมาของการจัดการ เรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ว่า เป็นทำงานวิจัยต่อยอดมาจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem -based Learning : PBL) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่ได้ผลดีในหลายประเทศ เป็นการสอน แบบ Active Learning คือ การจัดการสอนให้ผู้เรียนตื่นตัวในการค้นคว้า แต่สิ่งที่ยังขาดไปในการเรียนแบบ การ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem - based Learning : PBL) คือ ทักษะในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ จึงได้ นำเอาทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เข้ามาใช้ร่วมกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem - based Learning : PBL) เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนใหม่ที่เหมาะกับเด็กไทย คือ การเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative - based Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการสอนแนว active learning เพื่อออกแบบการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนครบสอง ด้าน คือ ด้านเนื้อหาวิชาและทักษะในศตวรรษที่ 21 การสอนรูปแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการคิดสร้างสรรค์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการสอนที่ทำให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ ต่างจากการสอนแบบดั้งเดิม โดย การสอนแบบใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative - based Learning) นั้น ผู้สอนจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น ผู้บรรยายเนื้อหาต่าง ๆ อย่างละเอียด มาเป็นผู้อำนวยการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แปลงจาก Lecturer มาเป็น Facilitator 2.4.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์และวรวรรณ นิมิตพงษ์กุล (2562) กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้ของวิธี สอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) มี5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นกระตุ้นความสนใจ เป็นการกระตุ้นเชิงบวกที่ส่งผลให้ผู้เรียนสนใจ อยากเรียน อยากรู้ อยากค้นหาคำตอบ และตื่นตัวในการค้นหาความรู้ด้วยตนเอง เช่น การนำปัญหาที่ผู้เรียนสนใจมาตั้งเป็นหัวข้อ ให้ค้นคว้า หรือใช้เหตุการณ์ต่าง ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนหรือสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเป็นตัวกระตุ้น ด้วยวิธีนี้เด็กจะไม่ได้เรียน เพื่อสอบ แต่เรียนเพื่อรู้ และความรู้ที่เด็กค้นหาก็สามารถนำไปใช้ในชีวิตได้จริง กระตุ้นการเรียนด้วยสื่อ คลิป วิดีโอ


19 เกม เป็นตัวเลือกที่ดีมากในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เพราะเด็กได้ฝึกทักษะการสื่อสารด้านปฏิสัมพันธ์ การ ทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้จักแพ้ ชนะ และรู้จักปรับปรุงแก้ไขตนเองมากกว่าการคิดเอาชนะอย่างเดียว 2. ขั้นตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่ม เนื้อหาที่สอนมีประโยชน์อะไร หรือจะนำไปใช้งานเรื่องอะไรที่ เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงอย่างไร การนำปัญหาในชีวิตจริงเป็นตัวตั้ง เช่น อ่านออกเสียงผิดจะทำให้ความหมายผิด ตามไปด้วยหรือไม่ 3. ขั้นการค้นและคิด หนึ่งในบริบทของ CBL คือ การให้ความสมัครใจ ความสนใจ และ ความร่วมมือกันของเด็ก ดังนั้นการแบ่งกลุ่มเพื่อคันและคิดจึงให้แบ่งตามความสนใจ ซึ่งจะทำให้เด็กร่วมกันค้นคว้า ในเรื่องที่ตนสนใจ เป็นการค้นหาด้วยความ "อยากรู้" ครูควรตั้งปัญหาให้แต่ละกลุ่มค้นคว้าเรื่องที่แตกต่างกัน เพราะ จะทำให้เด็กได้ความรู้นอกเหนือจากเรื่องที่ตนค้นหามาเอง และไม่เบื่อที่จะฟังกลุ่มอื่นนำเสนอ 4. ขั้นนำเสนอ หลังจากที่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลและร่วมกันคิดหาข้อสรุปแล้ว เด็ก ๆ จะออกมา นำเสนอผลงานทีละกลุ่ม ยิ่งเด็กมีโอกาสนำเสนอบ่อย ๆ ก็ยิ่งเพิ่มพูนทักษะการนำเสนอ ส่วนสมาชิกในกลุ่มก็เกิด ทักษะการทำงานร่วมกัน ทักษะการค้นคว้า และทักษะการคิด ครูส่งเสริมทักษะต่าง ๆ โดยสนับสนุนและเปิดโอกาส ให้แสดงความสามารถตามความถนัดให้กับผู้เรียน เช่น นำเสนอด้วย PowerPoint พูดคนเดียวอภิปรายกลุ่ม หรือ นำเสนอเป็นโปสเตอร์ แชร์ลง Facebook แชร์ลงเพจ หรือนำเสนอทางโซเชียลมีเดีย ครูควรกำหนดกติกาของ ห้องเรียน เช่น ต้องฟังเวลาเพื่อนนำเสนอ ครูอาจใช้วิธีถามนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ทันทีหลังจากจบการนำเสนอ หรือให้ ผู้เรียนต่างกลุ่มถามคำถาม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ตั้งใจฟัง ควรให้เวลากับการถามตอบ เพราะเป็นกระบวนการที่ทำ ให้ผู้นำเสนอและผู้ฟัง ได้ทบทวนตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่นำเสนอ ครูช่วยเพิ่มเพิ่มเติมหรือแก้ไขได้ 5. ขั้นประเมินผล การประเมินผลจึงจำเป็นต้องทำให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attributes) และควรแยกแสดงผลแต่ละด้าน โดยไม่นำมารวมกัน เพื่อให้ผู้เรียนใช้ผลการประเมินไปพัฒนาตนเอง สรุปได้ว่า กระบวนการเรียนการสอน 5 ขั้นตอนของวิธีสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ได้แก่ขั้นกระตุ้นความสนใจ ขั้นตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่ม ขั้นการค้นและคิด ขั้นนำเสนอ และขั้นประเมินผล สามารถ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการค้นคว้าหาความรู้ ทักษะในการทำงาน ทักษะในการสื่อสาร การนำเสนอ การ ทำงานเป็นทีม และทักษะในการคิดสรรค์ 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกิจกรรมผะหมี 2.5.1 ประวัติความเป็นมาของปริศนาคำทายผะหมี สนองชาติ เศรษฐศิโรต์ม (อ้างถึงใน ประวัติชอุ่ม, 2548) เล่าถึงประวัติความเป็นมาของผะ หมี สรุปได้ว่า นายจิตติ เตชะวณิชย์ ซึ่งอาศัยอยู่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2478 ได้เห็น การเล่นผะหมีที่สำเพ็ง กรุงเทพฯ โดยคนจีน ที่มีความรู้ได้นำคำประพันธ์ของจีนมาทำเป็นตัวปัญหาให้ทายกัน คน ไทยที่เห็นวิธีการเล่นจึงนำมาดัดแปลง โดยนำฉันทลกัษณ์ที่มีอยู่ในภาษาไทยมาแต่งเป็นปัญหา แล้วกำหนดวิธีการ ทายใหม่ให้ผิดไปจากเดิมจนเป็นลักษณะเฉพาะ ต่อมาได้มีผู้นำผะหมีแบบไทย ๆ ไปเล่นในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่ชลบุรี ราชบุรี สมุทรปราการ แต่ที่นิยมเล่นกันมากที่สุด คือที่อำเภอบางบ่อจังหวัดสมุทรปราการ การประพันธ์ผะหมีเล่น


20 ทายกันได้แพร่หลายไปจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎุ ราชกุมาร ซึ่งโปรดการเล่นผะหมีได้แต่งบทประพันธ์ เป็นปัญหาทายข้าราชบริพารเพื่อความบันเทิง จนเป็นเหตุให้ข้า ราชบริพารมหาดเล็กมีประสบการณ์ในการเล่น ผะหมีและต่อมาได้แพร่หลายเล่นกันโดยทั่วไป สมดุลย์ ทาเนาว์ (2552, หน้า 7 –23) ประธานชมรมโจ๊กปริศนาพนัสนิคม เล่าถึงที่มาของ โจ๊กปริศนาเมืองชล สรุปว่าการทายโจ๊กมีวิวัฒนาการมาจากการ เล่นผะหมีภาษาจีนของจีนแต้จิ๋วที่ตลาดสำเพ็ง กรุงเทพมหานคร ที่เผยแพร่เข้ามาเมืองไทยก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 6 เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช ได้ทรงดำริให้ข้าราชบริพารนำแบบอย่างมาใช้กับคำ ประพันธ์ไทย ซึ่งผสมกลมกลืนได้ดีกับโคลงทายของไทยที่เผยแพร่ในหนังสือวชิรญาณ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรก ของไทยเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2429 จนแพร่หลายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ๆ ใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัด สมุทรปราการ จังหวัดชลบุรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งชาวชลบุรีได้ปรับปรุงพัฒนาการเล่นดังกล่าวจนมีรายละเอียดมาก ขึ้น เรียกชื่อว่า โจ๊กหรือโจ๊กปริศนา ศิริพร ภักดีผาสุก (2548, หน้า 15 – 20) กล่าวถึงที่มาของคำว่าผะหมีว่า ผะหมีของไทย ประยุกต์มาจากการเล่นทายปริศนาของจีน โดยการแต่งบทปริศนาด้วยคำประพันธ์ไทย ในแถบจังหวัดชลบุรีและ จังหวัดใกล้เคียง เช่น ระยอง สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา มีศัพท์พื้นบ้านเรียกว่าโจ๊ก ผะหมีและโจ๊กเป็นกลุ่มปริศนา ที่ มีพัฒนาการเกี่ยวเนื่องกันแต่มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์บางประการส่งผลให้ปริศนา กลุ่มที่เรียกว่าโจ๊ก มีลักษณะบาง ประการต่างไปจากผะหมี สรุปได้ว่า การเล่นทายปริศนาผะหมีมีมานานแล้ว โดยเป็นการดัดแปลงมาจากการเล่นทายคำ ของคนจีน ต่อมาได้แพร่หลายในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง บางท้องถิ่นพัฒนาไปจนเป็นการละเล่นที่เรียกว่าโจ๊ก 2.5.2 ลักษณะคำประพันธ์ที่ใช้ในปริศนาคำทายผะหมี การสร้างปริศนาคำทายผะหมี นอกจากจะต้องยึดรูปแบบคำตอบของปริศนาผะหมีแล้วนั้น ยังต้องยึดตำราฉันทลักษณ์ของไทยอีกด้วย สมดุลย์ ทำเนาว์ (2555) การเลือกคำประพันธ์ในการสร้างโจ๊กปริศนาควรเลือกคำประพันธ์ที่ เหมาะสมกันคนตนเองมากที่สุด มีดังนี้ 1. กลอน เป็นคำประพันธ์ที่ได้รับความนิยมนำมาสร้างโจ๊กปริศนามากที่สุด เพราะผู้ทาย สามารถอ่านได้ง่าย ทำให้เกิดความมั่นใจในการทายและติดใจในการเล่น นอกจากนี้ยังไม่ต้องระวังจังหวะในการอ่าน เหมือนคำประพันธ์ชนิดอื่น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มเขียนปริศนา ตัวอย่าง คนโทดินทางเหนือมีเหลือใช้ คนปลูกไว้กินผลยลพืชเถา คนชงกาแฟตักลงจากเตา คนคลุกเคล้าเอาเกสรภมรกลิ่น คำตอบ น้ำต้น น้ำเต้า น้ำต้ม น้ำห้อย


21 2. โคลง โคลงที่นิยมกันมากทั้งผู้สร้างโจ๊กและผู้ทายโจ๊ก คือ โคลงสี่สุภาพ เพราะมี 4 บรรทัด เหมือนกลอนแปดทำให้สามารถใช้ธง (คำตอบ) เช่นเดียวกับกลอนแปดได้ บางครั้งสลับกันไปสลับกันมาระหว่างโคลง กับกลอน ผู้ทายจะไม่เบื่อ ส่วนผู้สร้างก็ภูมิใจที่ตนเองสามารถเขียนได้ถึง 2 ชนิด ดังนั้นโคลงกลอนจึงเป็นของคู่กัน ของนักสร้างโจ๊ก ตัวอย่าง ขอถามนามหนึ่งนั้น วานร ขอถามนามเอวอร อ่อนย้าย ขอถามนามอากร เก็บด่าน เรือแห่ ขอถามนามตอนท้าย คัดให้เรือเห คำตอบ จำเกียง จังเก จังกวด จังกูด 3. กาพย์ เป็นคำที่ไพเราะซึ่งนักเรียนโจ๊กทั้งหลายชอบเขียนชอบอ่าน แต่ก็หาคนที่ชำนาญได้ น้อย จะมีก็เพียงกาพย์ยานีและสุรางคนางค์เท่านั้น ตัวอย่าง นงนุชสุดที่รัก ฉุนยิ่งนักมันเที่ยวบิน เถาวัลย์พันพฤกษิน สาวกยินของเยซู คำตอบ กานดา แมงดา ลัดดา ยูดา 4. ฉันท์ เป็นคำประพันธ์ที่แต่งยากและอ่านยาก เพราะต้องมีครุ-ลหุ และยังมีอยู่หลายชนิด จึงไม่เป็นที่นิยมในการเล่นมากนัก ตัวอย่าง อิเหน่าหึงคะนึงหวง ผกาพวงพระเยียหอม อุบลมีภมรตอม ขนาดย่อมก็เรือนหลวง คำตอบ บุษนา บุษบัน บุษบง บุษบก สรุปได้ว่า คำประพันธ์ที่นำมาใช้ในการสร้างปริศนาผะหมีนั้นมีอยู่ 4 ชนิด คือ กลอน โคลง กาพย์ และฉันท์ ซึ่งกลอนและกาพย์ยานี 11 เป็นคำประพันธ์ที่นิยมนำมาแต่งเป็นปริศนาผะหมีมากที่สุด เพราะอันท ลักษณ์ไม่ยุ่งยาก ส่วนโคลงและฉันท์เป็นฉันทลักษณ์ที่มีความยุ่งยากมากกว่าฉันทลักษณ์ชนิดอื่น จึงมีความนิยมน้อย กว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันท์ เป็นฉันทลักษณ์ที่ยากกว่าชนิดอื่น /มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดในเรื่องการใช้คำครุ ลหุ จึง นำมาแต่งเป็นปริศนาผะหมีค่อนข้างน้อย 2.5.3 ลักษณะคำตอบของปริศนาคำทายผะหมี ผจญ สุวรรณวงษ์ (2522, หน้า 10 – 13) อธิบายลักษณะผะหมี ของอำเภอบางบ่อจังหวัด สมุทรปราการว่ามี 6 ลักษณะ ดังนี้ 1. ผะหมีที่เป็นคำปริศนาอะไรเอ่ย เช่น


22 อะไรเอ่ย 2 ไม่ตรง คำตอบคือ ยี่เก (2 คือ ยี่ ไม่ตรงคือ เก คำตอบคือ ยี่เก) 2. ผะหมีที่เป็นภาพปริศนา เช่น คำตอบคือ จรกา 3. ผะหมีที่มีคำตอบเป็นคำผันวรรณยุกต์ เช่น คันหูหาไม้ไชหู เอกสู่อุตลุดยดุยื้อหา เจอโทโต้กลั่นลั่นมา ทายมาเร็วเข้าเอ้าไว คำตอบคือ แยง แย่ง แย้ง แยง-ยาง-แย้ง 4. ผะหมีที่มีคำตอบเป็นคำผวน เช่น รูหนึ่งนางเท่านั้น จึงมี รู แอบอิงมาลี เร่งอ้าง รู ครอบครองธานี เมืองย่อย รู มุ่งจองคิดล้าง นุ่งน้องตนเสีย คำตอบคือ รูด๊ะ-ระดู รูเณ-เรณู รูต๊ะ-ระตู รูหา-ราหู 5. ผะหมีที่มีคำตอบขึ้นต้นเหมือนกัน เช่น จตุบาทมันชาติเชื้อ วานร ไร้บาทเนาสาคร ใหญ่กว้าง นามจังหวัดวานวอน ทายหน่อย ใช้ใส่สิ่งของอ้าง เอ่ยให้เรียนนิยม ตอบคือ กระบี่ กระเบน กระบี่ กระบุง 6. ผะหมีที่มีคำตอบลงท้ายเหมือนกัน เช่น เป็นโรคนี้ทีต้องดับ ทุกคนมีครับ ตามจับตามยิงกลิ้งหนี ในน้ำจืดหนอพอมี เถาพฤกษ์นึกที จังหวะมีเต้นเห็นกัน คำตอบคือ โรคพิษสุนัขบ้า สะบ้า (หัวเข่า) ลูกสะบ้า ปลาบ้า กระทุงหมาบ้า แซม บ้าหรือรุมบ้า


23 ประวิต ชอุ่ม (2548, หน้า 22 –23) กล่าวถึงลักษณะคำตอบของปริศนาผะหมีไว้ 5 ลักษณะ ดังนี้ 1. คำตอบที่ขึ้นต้นเหมือนกัน เช่น ยามเย็นแดดอ่อนล้า เหลืองแสง พรวดพุ่งวาบไฟแดง จากฟ้า ลักพาพระจำแลง สมสู่ จากถิ่นโดยมิช้า เพราะไม้ใบเถา คำตอบคือ ผีตากผ้าอ้อม ผีพุ่งไต้ ผีเสื้อสมุทร ผีตองเหลือง 2. คำตอบที่ลงท้ายเหมือนกัน เช่น ปลอมพระองค์เที่ยวด้น ประพาสไป กินอร่อยมันถึงใจ เหงือกเขี้ยว กฎระเบียบเคร่งวินัย ยอดเยี่ยม เรือล่องลอยลดเลี้ยว จับไว้วาดหวือ คำตอบคือ พระเจ้าเสือ มันมือเสือ ลูกเสือ หางเสือ 3. คำตอบที่เป็นคำผวน เช่น แต เป็นสัตว์สี่เท้า ชอบกล แต ปากชอบซุกซน หยอกเย้า แต เหลืองอ่อนสีขน คันยิ่ง แต ชอบโกหกเว้า อย่าได้นับถือ คำตอบคือ แตกุ๊ก-ตุ๊กแก แตยอ-ตอแย แตยำ-ตำแย แตหลอ-ตอแหล 4. คำตอบแบบลูกโซ่ เช่น ลูกโซ่ดอกสร้อย คลื่นเอ๋ยคลื่นยักษ์ ตอบง่ายนักเดือนหกยกมาถาม หมายถึงหญิงศัพท์ใดช่วยไขความ เกาะเอวตามซุ้มลอดแถวทอดยาว บอกชื่อเรื่องบ่งว่าอยู่หน้าไหน รับจ่ายไว้ทำตารางจดหางว่าว ผ้าเบาบางของสตรีสีแพรวพราว ลอยฟ่องขาวพลันกลับแตกดับเอย คำตอบคือ สึนามิ มิถุนา นารี รีรีข้าวสาร สารบัญ บัญชี ชีฟอง ฟองน้ำ 5. คำตอบแบบผันวรรณยุกต์ เช่น ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า ลา หล่า ล่า ล้า หลา


24 สรุปได้ว่า ลักษณะคำตอบของผะหมีมีหลายลักษณะ ในการทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำ ลักษณะของผะหมีข้างต้นมาใช้ในการศึกษา 5 ลักษณะ ดังนี้ 1. ผะหมีที่มีคำตอบที่ขึ้นต้นเหมือนกัน 2. ผะหมีที่มีคำตอบที่ลงท้ายเหมือนกัน 3. ผะหมีที่มีคำตอบที่เป็นคำผวน 4. ผะหมีที่มีคำตอบที่เป็นการผันวรรณยุกต์ 5. ผะหมีที่เป็นคำปริศนาอะไรเอ่ย 2.5.4 วิธีการเล่นปริศนาคำทายผะหมี ประเทือง คล้ายสุบรรณ์ (2529, หน้า 144 - 145) อธิบายองค์ประกอบและวิธีเล่นผะหมี สรุปได้ดังนี้ องค์ประกอบในการเล่นผะหมี ได้แก่ สถานที่เล่นผะหมี เรียกว่า โรงด้านหน้าโรงเปิด โล่ง ขึง ลวดไว้เป็นชั้นๆ ห่างกันประมาณ 1 ฟุต ใช้สำหรับแขวนปริศนา มีนายโรงเป็นผู้คิดปริศนาและดำเนินการ มีเข้าหน้าที่ สำหรับให้สัญญาณและแจกรางวัล มีแผ่นปริศนาเขียนเอาไว้ให้อ่านได้ชัดเจนแขวนติดอยู่กับราวลวดที่ขึงไว้ มีอุปกรณ์ การเล่น เช่น กริ่ง ฉาบ กลอง ใช้สำหรับให้สัญญาณ ของรางวัล มีผู้ทายและมีผู้ดู วิธีการเล่นนั้น นายโรงจะต้องคิดปริศนาจำนวนหนึ่งให้มากเพียงพอ สำหรับการเล่นทั้งคืน เสร็จแล้วเขียนปัญหานั้นลงกระดาบสีต่าง ๆ ให้อ่านได้ชัดเจน ติดไว้รอบหน้าโรง ปริศนาเหล่านี้เมื่อมีผู้ทายได้แผ่น ปริสนานั้นก็จะถูกปลดออก แล้วนำปริศนาใหม่มาติดแทน นายโรงจะเป็นผู้ประกาศเชิญชวน ชี้แจงกติกาและ รายละเอียดต่าง ๆ เมื่อมีผู้ต้องการทายปริศนาก็จะแจ้งกับนายโรง นายโรงได้ยินก็จะดีกลอง 1 ครั้ง เป็นสัญญาณว่า ให้ทายได้ ถ้าทายถูกนายโรงจะกดกริ่งเป็นสัญญาณแล้วให้จับสลากของรางวัล ถ้าทายผิด นายโรงจะดีกลองเป็นเสียง "ตะลุ่งตุ้ง" คนดูหน้าโรงจะร้องพร้อมกันว่า "เฮิ้ว" เช่นนี้ประมาณ 4 - 5 ครั้ง 2.5.5 ประโยชน์ของการเล่นปริศนาคำทายผะหมี สมดุลย์ ทำเนาว์ (2552, หน้า 73 – 76) กล่าวถึงประโยชน์ของการเล่นทายโจ๊กปริศนาหรือ ปริศนาผะหมีไว้ 10 ประการ ดังนี้ 1. เป็นการฝึกสมองทดลองปัญญา 2. เป็นการสนุกสนานเพลิดเพลิน 3. เป็นการส่งเสริมภาษาทุกภาษาที่เป็นความรู้รอบตัว 4. เป็นการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาไทย 5. เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 6. เป็นการฝึกตนให้มีเหตุผล 7.เป็นการฝึกตนใหม่ความกล้าต่อสาธารณชน 8. เป็นการสร้างความภูมิใจในตนเอง


25 9. เป็นการอนุรักษ์คำประพันธ์ไทย 10. เป็นการฝึกตนให้ค้นคว้าหาความรู้ใส่ตนเองอยู่เสมอ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ (2552) กล่าวถึงประโยชน์ของการปริศนาคำทายหรือ ปริศนาผะหมีไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1. การเล่นปริศนาคำทายช่วยในการฝึกไหวพริบ เชาวน์ปัญญา ผู้ที่เล่นปริศนาคำทายจะได้ ฝึกคิดแก้ปมปริศนาดังที่กล่าวไปแล้วว่า ปริศนาคำทายเกิดจากกรอบวิธีคิดที่สร้างสรรค์ แหวกขนบ การจะคลี่คลาย ปมปริศนาได้ต้องคิดอย่างรอบด้านและคิดแบบนอกกรอบ ผู้ที่จะเข้าใจและหาทางไขปริศนาได้นั้น ต้องมองโจทย์ อย่างถี่ถ้วนและคิดอย่างรอบคอบ 2. การเล่นปริศนาคำทายให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้เล่น ผู้ร่วมทายปริศนาจะได้เห็น การใช้กลวิธีต่าง ๆ ในการลวงให้หลงคิดไปในทางที่ไม่ถูกต้อง การค้นพบดังกล่าวทำให้เกิดความขบขัน ทั้งนี้เพราะ ผู้ทายได้เรียนรู้ว่าตนถูกลวงให้คิดไปในแนวทางที่เบี่ยงเบนออกไปและได้เห็นความไม่เข้ากัน ระหว่างแนวทางที่ ปริศนาลวงให้หลงเข้าใจผิดกับแนวทางที่ใช้สำหรับไขปริศนา 3. การเล่นปริศนาคำทายมีส่วนในการให้ความรู้ เพราะเนื้อหาของปริศนาคำทายบางส่วน โดยเฉพาะเนื้อหาของปริศนาผะหมีนั้น นอกจากจะเน้นความสนุกสนานแล้ว ยังมีส่วนในการถ่ายทอดความรู้ บางอย่างให้แก่ผู้เล่นทายด้วย 4. การเล่นปริศนาคำทายมีส่วนช่วยอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะการประพันธ์ของไทย สำหรับ ปริศนาร้อยกรองสร้างโดยใช้คำประพันธ์ไทยประเภทต่าง ๆ เมื่อเยาวชนร่วมกิจกรรมเล่นทายปริศนาร้อยกรอง ก็จะ ได้เห็นการประยุกต์ใช้คำประพันธ์ไทยในลักษณะที่สร้างสรรค์ ช่วยให้เยาวชนเห็นคุณค่าและเกิดความคุ้นเคยกับคำ ประพันธ์ไทยรูปแบบต่าง ๆ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการเล่นปริศนาคำทายผะหมีนอกจากจะสร้างความบันเทิงแล้ว ยัง เสริมสร้างความรู้ ความคิด ความสัมพันธ์ของคน และยังช่วยอนุรักษ์คำประพันธ์ไทยได้อีกด้วย 2.6 แนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติติการ การศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นการวิจัยที่มุ่งนำผลที่ได้จากการ ตรวจสอบประเด็นปัญหาในองค์กรของตนเองไปศึกษาวิจัย เพื่อนำผลที่ได้จากการปฏิบัติงานไปใช้พัฒนาปรับปรุง องค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้จากการศึกษาวิจัย มากกว่าการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ ผู้วิจัยนำเสนอสาระสำคัญ ประกอบด้วย 7 ประเด็น ได้แก่ ความหมายของ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ความเป็นมาของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ รูปแบบการ วิจัยเชิงปฏิบัติการ หลักการของวิจัยเชิงปฏิบัติการ ขั้นตอนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแนวคิดของ Kemmis and Mc Taggart และประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ


26 2.6.1 ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดังนี้ วีระยุทธ ชาตะกาญจน (2553) กล่าวถึงความหมายของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการว่า การวิจัย เชิงปฏิบัติการเป็นการศึกษารวบรวมหรือการแสวงหาขอเท็จจริงโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อใหได้มาซึ่งข อสรุป อันจะนําไปสู่การแกปญหาที่เผชิญอยู่ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานในขอบข่ายที่รับผิดชอบ โดยผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้หลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งผลการปฏิบัติงานนั้นบรรลุวัตถุประสงคหรือแกไขปญหาที่ ประสบอยู่ได้สำเร็จ โดยกำหนดขั้นตอนของการวิจัยประกอบด้วย การวางแผน (plan) การปฏิบัติ (action) การ สังเกต (observation) และการสะทอนกลับ (reflection) การวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงเป็นการวิจัยระหว่างการ ปฏิบัติงานเพื่อแกปญหาที่ผู้ปฏิบัติงานกําลังเผชิญอยู่ จอนสัน (2008) ให้ความหมายการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่าเป็นการวิจัยระหว่างการปฏิบัติงาน เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ปฏิบัติงานกำลังเผชิญอยู่ โดยเป็นกระบวนการศึกษาสภาพหรือสถานการณ์ที่เป็นจริงของ สถานศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพของการปฏิบัติงาน Mertler and Charles (2010) ให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า เป็นงานวิจัยที่ ปฏิบัติโดยครู ผู้บริหาร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาระดับท้องถิ่น มีจุดเน้นเพื่อการพัฒนา และสร้างผลผลิต แผนปฏิบัติการหรือวิธีการใหม่ Mills (2013) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการดำเนินการเป็นขั้นตอนที่เป็นระบบของ ครู(หรือบุคคลอื่น ๆ ในสถานศึกษา) เพื่อรวบรวมข้อมูลและปรับปรุงปรับปรุงวิธีการดำเนินงานด้านการศึกษ เฉพาะ ด้านการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียน สุวิมล ว่องวาณิช (2546) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนว่าเป็นการ วิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนหรือ ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่าง รวดเร็ว นำผลไปใช้ทันที และสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของตนเอง ให้ทั้งตนเอง และกลุ่มเพื่อนร่วมงานในโรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแนวทางที่ได้ปฏิบัติ และผลที่ เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ทั้งของครูและผู้เรียน วีระยุทธ์ ชาตะกาญจน์ (2558 : 31) ได้กล่าวถึงความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ว่า เป็นการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และตีความหมายอย่างมีระบบ และยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองต่อ ความต้องการจำเป็นที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะถึงการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความเข้าใจดีขึ้น หรือแก้ปัญหา เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ของผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง สมปอง พะมุลิลา (2561) ได้ให้ความหมายการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า เป็นกระบวนการวิจัยที่ มีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหา เป็นการทดลองปฏิบัติในสถานการณ์ตามธรรมชาติโดยวิเคราะห์สถานการณ์อย่างลึกซึ้ง และเหมาะสม เน้นที่การสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นขั้นตอนและบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการมี ส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการวิจัย จนเกิดองคความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากกระบวนการวิจัยนำมาประมวลเป็น แนวคิด หลักการ และสร้างเป็นทฤษฎี


27 จากการศึกษาความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการสรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ งานวิจัยที่ปฏิบัติโดยครู ผู้บริหาร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เพื่อรวบรวมข้อมูลและปรับปรุงปรับปรุง วิธีการดำเนินงานด้านการศึกษาและเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และนำผลมาใช้พัฒนาการเรียนการสอนของ ครูหรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น 2.6.2 ความเป็นมาของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ วีระยุทธ ชาตะกาญจน (2553) กล่าวถึงความเป็นมาของการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ว่า การ วิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการศึกษารวบรวมหรือการแสวงหาขอเท็จจริงโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อใหได้มา ซึ่งขอสรุปอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ทั้งในด้าน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานในขอบข่ายที่รับผิดชอบ โดยผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้หลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งผลการปฏิบัติงานนั้นบรรลุวัตถุประสงค์หรือแก้ไขปัญหาที่ประสบอยู่ได้สำเร็จ โดยกำหนดขั้นตอนของ การวิจัยประกอบด้วยการวางแผน (plan) การปฏิบัติ (action) การสังเกต (observation) และการสะท้อนกลับ (reflection) การวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงเป็นการวิจัยระหว่างการ ปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ปฏิบัติงานกำลังเผชิญอยู่ การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีจุดกำเนิดมาจากการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมของเลวิน (Kurt Lewin) นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกา ที่ต้องการจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเพื่อปรับปรุง คุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โดยอาศัยแนวความคิดสำคัญ 2 ประการ คือการร่วมกันตัดสินใจของกลุ่ม และความตั้งใจที่จะทำการปรับปรุงในส่วนของวงการศึกษานั้น อาจกล่าได้ว่า คอร์รี่ (Stephen M. Corey) จาก มหาวิทยาลัย Columbia สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำการวิจัยเชิงปฏิบัติการมาใช้กับการจัดการการศึกษาเป็นบุคคลแรก ในลักษณะของการปรับปรุหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ค.ศ. 1967-1972 สเต็นเฮ้าส์ (Lawrence Stenhouse) แห่งมหาวิทยาลัย East Anglia ซึ่ง เป็นผู้อำนวยการโครงการ Humanities Curriculum Project ได้กระตุ้นให้ครูผู้สอนนำวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการมา ใช้กับการจัดการศึกษา มุ่งเปลี่ยนสภาพของครูจากการเป็นผู้สอนตามปกติให้เป็นครูในฐานะนักวิจัย ค.ศ. 1973 -1975 แอลเลียท และอเดลแมน (John Elliott & Clem Adelman) ได้นำ วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการมาใช้ในโครงการ Ford Teaching Project โดยให้ครูได้พัฒนาการจัดการเรียนการสอในชั้น เรียนแล้วนำผลการปฏิบัติงานมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่น ๆ โดยใช้วิธีการติดตามผลการกระทำที่เกิดจาก ช่องว่างระหว่างความคาดหวังกับการปฏิบัติงานจริงของครู สำหรับเป็นแนวทางช่วยเหลือครูให้ได้ทำการพัฒนาการ เรียนการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสืบสวนสอบสวนในชั้นเรียน และเน้นการปฏิบัติงานด้วยการควบคุมตนเอง หรือด้วยกลุ่มมากกว่าการใช้ผู้ควบกุมคุณภาพที่มาจากภายนอก ค.ศ. 1982 เคมมิส, คาร์ และแมคทาก การ์ท (Stephen Kemmis, Wilf Carr & Robin McTaggart) ได้เสนอกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ในรูปของวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (the action research spiral) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน


28 การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติ ซึ่งเมื่อครบวงจรหนึ่ง ๆ จะพิจารณาปรับปรุงแผนเพื่อนำไป ปฏิบัติในวงจรต่อไปจนกว่าจะบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติงาน 2.6.3 จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดังนี้ วีระยุทธ์ชาตะกาญจน์ (2558) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่าเป็นวิจัย เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานประจำให้ดีขึ้น โดยนำเอางานที่ปฏิบัติอยู่มา วิเคราะห์สภาพปัญหาอันเป็นเหตุให้งานนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนั้นต้องใช้แนวคิดทางทฤษฎีและ ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เสาะหาข้อมูลและวิธีการที่คาดว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ แล้วสะท้อน วิธีการดังกล่าวไปทดลองใช้กับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น ๆ องอาจ นัยพัฒน์(2548) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า เพื่อการทำ ความเข้าใจต่อสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของครู ผู้บริหารการศึกษาอย่างลุ่มลึกและกระจ่างชัด ภายใต้ กระบวนการใคร่ครวญตรวจสอบในลักษณะสะท้อนกลับของยุทธวิธีปฏิบัติที่นักวิจัยเชิงปฏิบัติการได้ลงมือกระทำลง ไปอย่างวิพากษ์วิจารณ์ อันจะนำไปสู่การได้ แนวทางปฏิบัติการสำหรับใช้แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สำหรับการ ดำเนินงานในลำดับต่อไป นอกจากนั้นยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานรวมทั้งสภาวการณ์เงื่อนไข ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานมากกว่าการมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสร้างสรรค์องค์ความรู้เชิงวิชาการอย่างใดอย่าง หนึ่งเป็นการเฉพาะ ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า จุดหมายที่ สำคัญของการนำวิธีการวิจัยปฏิบัติการมาใช้กับการเรียนการสอน เพื่อให้ครู ปรับเปลี่ยนบทบาทของตนจากการเป็นผู้บริโภคงานวิจัยไปเป็นผู้ที่ทำการวิจัยด้วยตนเอง และเพื่อให้ เกิดการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ งานวิจัยทางการศึกษาทั่วไป พบว่าผลการวิจัยที่ได้มักไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ กับสภาพความเป็นจริงของการจัดการศึกษาได้ 1. ต้องการให้ครูปรับปรุงคุณภาพการเรียนรู้ ซึ่งอาจเกิดจากครูสร้างสรรค์ค้นคว้าหรือนำ นวัตกรรมมาทดลองใช้ศึกษา 2. ต้องการให้ครูปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างเต็ม ศักยภาพ 3. ต้องการให้ครูสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการสอน กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนของผู้เรียน เป็นกระบวนการที่ทำให้ครูประสานการจัดการเรียนรู้ของครูเข้ากับการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่สามารถสร้างให้ครูมี ความรู้ ความเข้าใจ ปรากฏการณ์ของชั้นเรียนเพื่อพัฒนาได้ผลการวิจัยที่เกิดขึ้นเป็นข้อความรู้หรือวิธีการแก้ปัญหาที่ มีความจำเพาะ ใช้สำหรับสถานการณ์ของการปฏิบัติการนั้น ๆ ไม่สามารถสรุปเป็นความรู้ใหม่ที่ใช้ได้ทั่วไป


29 จากการศึกษาจุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการ คือการทำความเข้าใจต่อสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของครู ผู้บริหาร และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง กับการศึกษา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานประจำให้ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อการสร้างองค์ ความรู้เชิงวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่งและไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสภาพความเป็นจริงขององค์กรอื่น ๆ ได้ 2.6.4 รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ นักวิชาการหลายท่านได้เสนอรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ การจำแนกรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Shirley Grundy และ Stephen Kemmis (อ้างถึงใน Kemmis and McTaggart, 1988, Kemmis, 2001, นุชวนา เหลืองอังกูร, 2563) ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รูปแบบที่ 1 การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบเทคนิค (Technical Action Research) งานวิจัย ลักษณะนี้จะมุ่งวัดผลสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ (Outcomes of Practices) ปัจจุบันมีงานวิจัยเชิงปฏิบัติการลักษณะนี้มากที่สุดจุดมุ่งหมายการวิจัย ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มหรือลด ผลลัพธ์ ยกตัวอย่าง เช่น ลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในชั้นเรียน เพิ่มอัตราการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น จุดมุ่งหมายของการวิจัยรูปแบบนี้ คือ หาแนวทางการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพโดยที่มองเห็นผลลัพธ์จากการ ปฏิบัติงานอยู่ในสมองแล้ว การวิจัยอาจเกิดจากแรงบันดาลใจของกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวขาญ/ประสบการณ์เป็นผู้ที่ทำ หน้าที่อำนวยการวิจัย เช่น กรณีที่ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งตระหนักถึงปัญหาว่า ครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนยังไม่ได้ จัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงได้พยายามพัฒนาครูกลุ่มนี้ โดยการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการร่วมกัน จนกระทั่ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครูไปสู่วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ รูปแบบที่ 2 การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเชิงปฏิบัติ (Practical Action Research) จุดมุ่งหมายการวิจัยไม่เพียงแต่ปรับปรุงผลการปฏิบัติงานในหน้าที่ แต่ยังได้แสดงถึงการที่ผู้ร่วมวิจัยเข้าใจถึงเป้าหมาย ของงาน ประเมินตนเอง และเข้าใจตนเองในบริบทนั้น ๆ ดังนั้นกระบวนการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือกระบวนการให้ การศึกษาแก่ตนเองสำหรับผู้ปฏิบัติงาน (Process of Self-Education for the Practitioner) แม้ว่าผู้ร่วมวิจัยบาง คนอาจจะสามารถแสดงความคิดเห็น และรายงานผลโดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจงานชัดเจนขึ้นด้วย ตัวอย่างของงานวิจัยประเภทนี้จะรวมถึงโครงการที่มีการสะท้อนตนเอง โครงการที่ผู้ร่วมงานวิจัยเป็นผู้เล่าเรื่องและ เขียนเรื่องราวการมีส่วนร่วมในอันที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบ มีส่วนร่วมเชิงปฏิบัติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเข้าใจตนเองและเปลี่ยนแปลงตนเองในฐานะผู้ปฏิบัติงาน เพื่อที่จะทำให้ผล ลัพธ์ของงานเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ครูภาษาไทยพบว่านักเรียนที่ตนสอนส่วนหนึ่งมีปัญหาการอ่านออกเสียงควบ กล้ำ จึงได้พยายามทำวิจัยเชิงปฏิบัติการร่วมกับเพื่อนครูที่สอนวิชาเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยวิธีการต่าง ๆ เช่นพัฒนาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาสื่อ นวัตกรรม พยายามทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนกระทั่งนักเรียนสามารถอ่านออกเสียงควบกล้ำได้ถูกต้อง รูปแบบที่ 3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเชิงปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Critical or Emancipatory Action Research or Participatory Action Research) มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์


30 ปรับปรุงความเข้าใจตนเองของผู้ปฏิบัติงาน และช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานบรรลุถึงการวิพากษ์สังคม วิถีการทำงานของตน ขณะที่รูปแบบการวิจัย 2 รูปแบบแรก เป็นการปฏิบัติจากปัญหา แต่ PAR เริ่มจากการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างถ่องแท้ รุนแรง จนเกิดแรงจูงใจ อาศัยการสร้างจิตสำนึกให้เกิดกับในกลุ่มจะมีพลังอำนาจและร่วมกันผลักดัน เพื่อนำไปสู่การ หลุดพ้นจากระบบเดิม เช่น ในโรงเรียนแห่งหนึ่งการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกิดจากความเห็นพ้องกัน ของคณะครู และผู้บริหารว่าแนวปฏิบัติตามระบบดูแลของตนมีปัญหา จึงค่อย ๆ ปรับโดยมีส่วนร่วมของทุกคน เช่น ประการแรกการเปลี่ยนคาบกิจกรรม Homeroom จากเดิมเวลาเช้าหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ มาเป็นคาบสุดท้าย ก่อนกลับบ้าน เนื่องจากพบว่า เวลาเช้าคุณครูมักจะรีบร้อนเพราะกังวลในเรื่องการเตรียมสอนคาบแรก ขณะที่ นักเรียนส่วนหนึ่งมาสายไม่ทันกิจกรรม Homeroom เมื่อปรับเป็นเวลาเลิกเรียน พบว่า ทุกฝ่ายสามารถเข้าร่วม กิจกรรม Homeroom ได้อย่างสบายใจ ประการที่สอง คณะครูช่วยกันแสดงความคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงเครื่องมือ หรือแบบบันทึกต่าง ๆ สำหรับระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนทั้งโรงเรียน ทำให้สะดวกต่อการปฏิบัติงาน ประการที่ สามการปรับเปลี่ยนวิธีการประชุมผู้ปกครอง จากที่เคยประชุมกลุ่มใหญ่ในหอประชุมแล้วไม่ได้ผล เป็นการประชุม กลุ่มย่อยตามชั้นเรียนต่าง ๆ และประการสุดท้ายการประเมินเพื่อทบทวนระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนทุกภาคเรียน จึงทำให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกระบวนการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนดังกล่าวนับว่าเป็นการทำ PAR ในโรงเรียน เดิม Shirley Grundy และ Stephen Kemmis มีมุมมองว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการทั้งหมด ควรจัดอยู่ในเฉพาะรูปแบบที่ 3 แต่ต่อมาพวกเขาพบว่างานวิจัยเชิงปฏิบัติการทางการศึกษาประกอบด้วยการวิจัยทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมาแล้ว (Kemmis, 2001) 2.6.5 หลักการของวิจัยเชิงปฏิบัติการ หลักการของการวิจัยปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart (อ้างถึงใน ส. วาสนา ประวาลพฤกษ์, 2538, นุชวนา เหลืองอังกูร, 2563) 1. การวิจัยปฏิบัติการเป็นวิธีการที่จะปรับปรุงการศึกษาโดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและ อาศัยการเรียนรู้จากผลสืบเนื่องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 2. การวิจัยปฏิบัติการเป็นการวิจัยที่ต้องนำตัวเองเข้าไปร่วมในกิจกรรม เป็นการวิจัยที่บุคคล จะต้องดำเนินการเพื่อที่จะปรับปรุงงานที่ตนปฏิบัติอยู่ (และใช้แนวทางปฏิบัติของบุคคลอื่นเป็นข้อมูลทุติยภูมิ) 3. การวิจัยปฏิบัติการดำเนินการผ่านขั้นตอนของการสะท้อนภาพตนเองในลักษณะเกลียว สว่านซึ่งมีวัฏจักรของการวางแผน การดำเนินการ (การใช้แผนดำเนินงาน) การสังเกต (อย่างมีระบบ) การสะท้อน ข้อมูล และหลังจากนั้นก็ย้อนกลับไปวางแผน การดำเนินการ การสังเกต และการสะท้อนข้อมูลเพื่อการวางแผน ต่อไปใหม่ การเริ่มต้นวิจัยปฏิบัติการที่ดีวิธีหนึ่ง อาจทำโดยการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่สนใจทั่ว ๆ ไป (ในลักษณะของการสำรวจทั่วไปเพื่อหาข้อมูล) หลังจากนั้นก็พิจารณาดูว่าข้อมูลเหล่านั้นสามารถสะท้อนให้เห็น อะไรได้บ้าง แล้วนำมาวางแผนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะเริ่มต้นด้วยการคันคว้าหา สิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลง รวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์และสร้างแผนงานที่ดี เพื่อ การปฏิบัติการ ซึ่งการเริ่มต้นทั้งสองกรณีนี้ก็คือ การทำความเข้าใจในประเด็นปัญหาในด้านหนึ่ง และการปฏิบัติงาน


31 อีกด้านหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อพัฒนาและปฏิรูปโดยผ่านกระบวนการของการวิจัยปฏิบัติการ แต่ในการสะท้อนภาพจากข้อมูล ในเกลียวของการปฏิบัติงานนั้น จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและมีระบบ โดยผ่านการกลั่นกรองวิพากษ์วิจารณ์จาก กลุ่มผู้ดำเนินงานร่วมกันกระทำเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ขยายขอบเขตของความร่วมมือระหว่างกลุ่มที่ทำงานด้วยกัน โดยตรงไปให้กว้าง 4. การวิจัยปฏิบัติการเป็นการร่วมมือกันทำงาน การวิจัยประเภทนี้ต้องมีความรับผิดชอบใน การที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อผลของการปฏิบัติที่จะตามมา 5. การวิจัยปฏิบัติการก่อให้เกิดชุมชนแบบพัฒนาตัวเอง โดยสมาชิกจะเข้าร่วมกิจกรรมและ ให้ความร่วมมือทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย (การวางแผน การปฏิบัติงานตามแผนการสังเกต และการสะท้อน ข้อมูล) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างชุมชนให้พึ่งตนเอง มีความรับผิดชอบในการพัฒนาตนเองในด้านความสัมพันธ์ของ เหตุการณ์ การปฏิบัติ และผลสืบเนื่องที่ตามมา มีความเป็นอิสระในการที่จะคิดเกี่ยวกับสถาบันและตนเอง เพื่อที่จะ สร้างกฎ ระเบียบ และคุณค่าทางสังคมของตนเองขึ้น 6. การวิจัยปฏิบัติการเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างมีระบบที่บุคคลปฏิบัติการตามเจตนาที่ ไตร่ตรองดีแล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบังเอิญ หรือไม่มีแผนงาน แต่เป็นกระบวนการของการใช้สติปัญญาอย่าง รอบคอบ เพื่อที่จะดำเนินการใดๆ ในการพัฒนาการศึกษาให้เป็นที่ยอมรับ (มีข้อมูลพร้อมเพรียงที่จะยอมรับในการ ปฏิบัติ โดยผ่านแนวทางของชีวิตที่แน่นอน มีคุณค่าทางการศึกษา 7. การวิจัยปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับบุคคล ในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการปฏิบัติ สอบถามถึง ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องระหว่างเหตุการณ์ การกระทำ และผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจสภาพความสัมพันธ์ ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำที่กระทบต่อชีวิตของเขา ซึ่งทฤษฎีของการวิจัยปฏิบัติการได้พัฒนาตาม แนวหลักการนี้ กล่าวคือ ใช้ผลของการกระทำ เป็นแนวทางในการพินิจพิเคราะห์เพื่อพัฒนาการกระทำที่ผ่าน กระบวนการของการวิจัยปฏิบัติการ 8. การวิจัยปฏิบัติการเป็นการเปิดให้บุคคลทำการปฏิบัติตามแนวคิดของข้อสมมุติ เกี่ยวกับ สถาบันที่ไปทดสอบ โดยเก็บรวบรวมกิจกรรมของจากแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งมีความผิดพลาดมาตรวจสอบ เพื่อ ปรับปรุงการปฏิบัติในครั้งต่อไป 9. การวิจัยปฏิบัติการเป็นการเปิดใจกว้างในการรวบรวมเหตุการณ์ (หรือข้อมูล) โดยไม่ เพียงแต่เก็บรายละเอียดที่จะอธิบายสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนถูกต้องที่สุดเท่านั้น (โดยกำหนดคำถามที่จะหาคำตอบ และการเก็บข้อมูลจากชีวิตจริง) แต่จะรวบรวมและวิเคราะห์ด้วยตนเอง พร้อมทั้งการตัดสินใจชี้ขาดปฏิกิริยาโต้ตอบ และความประทับใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นด้วย 10. การวิจัยปฏิบัติการเป็นการเก็บเรื่องราวส่วนตัว ซึ่งเราสามารถจะบันทึกความก้าวหน้า และสะท้อนความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับการเรียนรู้ 2 ชุดคู่ขนานกัน คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติที่เรากำลัง ศึกษาอยู่ (การปฏิบัติของเรากำลังพัฒนาไปอย่างไร) และการเรียนรู้ เกี่ยวกับกระบวนการ (การปฏิบัติการ) ของ การศึกษา (โครงการวิจัยปฏิบัติการของเราดำเนินไปอย่างไร)


32 11. การวิจัยปฏิบัติการเป็นกระบวนการทางการเมือง เพราะการวิจัยนี้เกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงที่จะมีผลต่อผู้อื่น ด้วยเหตุผลนี้ การวิจัยปฏิบัติการจะทำให้เกิดการต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในตัว ของผู้วิจัยและผู้อื่นอีกด้วยโรงเรียน ระบบ) ที่เขาดำเนินการอยู่ สภาพการณ์เหล่านี้เป็นระบบของสถาบัน หรือแบบ ของการต่อต้าน 12. การวิจัยปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับคนในการวิเคราะห์ขั้นวิกฤติเกี่ยวกับสถานการณ์ (ชั้น เรียนที่นักวิจัยปฏิบัติการพบก็คือ การเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างแนวทางใหม่กับแนว เดิมที่ได้รับการยอมรับในสถาบันอยู่แล้ว (การยอมรับในแง่ของการสื่อสาร การปฏิบัติ การตัดสินใจและงานด้าน การศึกษา) ด้วยการวิเคราะห์อย่างวิกฤติในสถาบันหนึ่งนั้น นักวิจัยปฏิบัติการสามารถจะเข้าใจถึงรากฐานของการ ต่อต้านและความขัดแย้ง โดยมีการแข่งขันระหว่างการปฏิบัติ แนวคิดด้านการศึกษาและคุณค่าด้านองค์กรและการ ตัดสินใจ ซึ่งความเข้าใจนี้จะช่วยให้นักวิจัยปฏิบัติการสามารถผ่านพ้นอุปสรรคและการต่อต้านนี้ไปได้ (ดัง ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือกับผู้อื่นในกระบวนการวิจัย ชักชวนให้ผู้อื่นตรวจค้นการกระทำหรือการปฏิบัติงาน หรือโดยการทำงานร่วมกันในบริบทของโรงเรียนที่กว้างออกไป เพื่อที่จะเข้าใจระบบการศึกษาดีขึ้น เข้าใจระบบการ ตัดสินใจ และงานการศึกษาด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง) 13. การวิจัยปฏิบัติการเริ่มต้นด้วยงานเล็ก ๆ โดยการทำงานผ่านกระบวนการของการ เปลี่ยนแปลงซึ่งอาจจะเป็นเพียงบุคคลเดียว (ตัวฉันเอง) ก็สามารถจะลองทำได้ และขยายงานต่อไปเพื่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดหรือสถาบัน ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิรูปนโยบายหรือแนวปฏิบัติใน ชั้นเรียน โรงเรียน หรือระบบในวงกว้างออกไป 14. การวิจัยปฏิบัติการเริ่มจากวัฏจักรเล็กๆ ของการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และ การสะท้อนภาพ ซึ่งจะช่วยให้นิยาม ประเด็นปัญหา แนวคิด และข้อตกลงเบื้องต้นได้ชัดเจนขึ้นอันจะนำไปสู่การ นิยามปัญหาที่มีพลังสูงขึ้น เมื่อการดำเนินงานก้าวหน้าต่อไป 15. การวิจัยปฏิบัติการเริ่มจากผู้ทำงานร่วมมือกันในกลุ่มเล็ก ๆ แต่จะกว้างขวางในการ ปฏิบัติการในชุมชน จนขยายผลของการปฏิบัติออกไป 16. การวิจัยปฏิบัติการจะช่วยให้เราสามารถรวบรวมบันทึกความก้าวหน้าต่าง ๆ (ก) บันทึก เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านกิจกรรมและการปฏิบัติ (ข) บันทึกความเปลี่ยนแปลงของสื่อภาษา คำอธิบาย และ วิจารณญาณเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน (ค) บันทึกการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ ทางสังคม และรูปแบบขององค์กรที่ อธิบายคุณลักษณะของการปฏิบัติของเราและ (ง) บันทึกพัฒนาการในการรอบรู้เกี่ยวกับการวิจัยปฏิบัติการของเรา 17. การวิจัยปฏิบัติการทำให้เราให้เหตุผลเกี่ยวกับงานด้านการศึกษาแก่บุคคลอื่นได้โดย สามารถแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เรานำมาใช้ การวิเคราะห์และการตรวจสอบเหตุผลว่าเรากำลังทำอะไรในการ พัฒนาเหตุผลเหล่านี้ เราอาจจะขอให้ผู้อื่นพิจารณาการปฏิบัติงานของเขาในแง่ของทฤษฎีและหลักฐานเพื่อการ สะท้อนผลการปฏิบัติด้วยตนเองอีกด้วย หลักการบางประการของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ (อ้างถึงใน Bruce A. Jeans Jeans, 2000, นุชวนา เหลืองอังกูร, 2563) 1. จุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงหรือพัฒนา


33 2. เป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ใช่จัดกระทำกับผู้อื่น 3. ทำงานเป็นทีม-ไม่ใช่เพียงบุคคลเดียว 4. ตัดสินใจร่วมกัน 5. เป็นวงรอบ-วงจร 6. แต่ละวงจรประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต การสะท้อนผล และการ เขียน 7.ดำเนินการหลายวงจรต่อเนื่องจนกว่าผลการพัฒนาจะเป็นที่พึงพอใจ 8. การแลกเปลี่ยนข้อมูล (เผยแพร่ความรู้) 2.6.6 ขั้นตอนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแนวคิดของ Kemmis and Mc Taggart Kemmis และ McTaggart (1988) ได้นำเสนอขั้นตอนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล ดังแสดง ในภาพที่ 2.1 ภาพที่ 1 วงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart นุชวนา เหลืองอังกูร (2563) ได้อธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดวงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แนวคิดของ Kemmis and Mc Taggart ดังนี้ แผน คือ การปฏิบัติงานที่มีโครงสร้าง และตามคำจำกัดความแล้ว แผน คือ แนวทางปฏิบัติ ซึ่งตั้งความคาดหวังไว้ เป็นการมองไปในอนาคตข้างหน้า โดยจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า เหตุการณ์ทางสังคมนั้นไม่ สามารถจะทำนายหรือกำหนดล่วงหน้าได้ และจะต้องมีการเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนอยู่บ้าง การกำหนดแผนทั่วไปจึง ต้องมีความยืดหยุ่นพอสมควร เพื่อที่จะสามารถปรับให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ กิจกรรมหรือการปฏิบัติที่กำหนดไว้ในแผนจะต้องมี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับความเสี่ยง อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากในสภาพจริง เช่น เกี่ยวกับ สภาพการณ์ของสิ่งต่าง ๆ และการเมือง ลักษณะที่สอง กิจกรรมที่ถูกเลือกมากำหนดในแผนจะต้องได้รับเลือกมา


34 เนื่องจากกิจกรรมนั้นสามารถปฏิบัติได้ดีกว่ากิจกรรมอื่น ๆ สามารถลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ (อย่างน้อยใน ระดับหนึ่ง และช่วยให้เกิดพลังในการปฏิบัติที่เหมาะสมกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ในฐานะนักการศึกษาที่จะช่วย แก้ปัญหานั้น กิจกรรมหรือการปฏิบัติควรช่วย การปฏิบัติตามความหมายที่ตั้งไว้ ณ ที่นี้ เป็นสิ่งที่ละเอียด จงใจ และภายใต้การควบคุม เป็นการปฏิบัติงานจากแนวคิดหลากหลายอย่างไตร่ตรองและรอบคอบ และมีหลักฐานที่ได้รับการวิจารณ์ และใช้การ ปฏิบัตินี้เป็นฐานของการพัฒนาการปฏิบัติในขั้นต่อไป ซึ่งเป็นการปฏิบัติ ที่มีจุดปรารถนาเชิงการศึกษาอย่างละเอียด ดีถ้วน การปฏิบัติงานจะดำเนินตามแนวที่ได้วางแผนไว้อย่างมีเหตุผลและมีการควบคุมอย่างสมบูรณ์ แต่การปฏิบัติ จากแนวทางที่วางไว้นี้ มีโอกาสของการเสี่ยงอยู่ด้วย เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นจริงตามเหตุการณ์ทางการ เมืองและสภาพจริง (ซึ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดไม่สามารถทำนายได้ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมและการเมือง) ดังนั้น แผนที่วางไว้สำหรับการปฏิบัติจะต้องสามารถแก้ไขได้ โดยการกำหนดให้มีความ ยืดหยุ่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการให้ข้อมูลจากกิจกรรมก่อนหน้านั้นจะต้องต่อเนื่อง และนำมาใช้ในกิจกรรม ต่อไป (สิ่งที่เคยทำมาก่อนหรือวิธีการทำงานก่อน ๆ) แต่การทำงานที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องนำมาเป็นแนวทางสำหรับ ปัจจุบันเสมอไปการปฏิบัติงานจะต้องเปลี่ยนรูปไป หรือปรับปรุงไปได้เรื่อย ๆ ตามผลการตัดสินใจเกี่ยวกับการ กระทำนั้น ๆ การดำเนินงานของแผนปฏิบัติการนั้นจะต้องเป็นตามคุณลักษณะของสิ่งที่มีอยู่ ตามสภาพการต่อสู้ทาง สังคมและการเมืองไปสู่การพัฒนา การปรับปรุง การเจรจาต่อรอง และการประนีประนอมกันเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่เป็น การประนีประนอมที่มีบริบทยุทธศาสตร์ของพวกตน ในขั้นแรกอาจหวังผลเพียงปานกลาง การปฏิบัติที่มีการรายงาน อย่างวิพากษ์วิจารณ์กันในภายหลังก็จะอยู่บนพื้นฐานของผลที่ได้ปฏิบัติขั้นที่แล้วมา ลักษณะอาการอย่างหนึ่งที่การวิจัยปฏิบัติการแตกต่างไปจากการปฏิบัติในสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปก็คือ วิจัยปฏิบัติการนั้นมีการสังเกตได้ ผู้ปฏิบัติงานมุ่งที่จะรวบรวมหลักฐานข้ออ้างอิงเกี่ยวกับ การกระทำ ของตน เพื่อที่จะสามารถประเมินได้อย่างตลอด ในการเตรียมพร้อมเพื่อการประเมินนั้น ผู้ปฏิบัติจะเสนอความคิดเห็นก่อนลง มือกระทำต่อประเภทของหลักฐานที่ต้องมีการประเมินการกระทำของตนโดยใช้ วิจารณญาณ การสังเกต ทำหน้าที่เก็บบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผลที่ได้จากการปฏิบัติงานอย่างมีรายงาน หลักฐาน เชิงวิจารณญาณ การสังเกตจะช่วยมองไปข้างหน้า โดยเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะสะท้อนเหตุการณ์ในปัจจุบัน แต่จะมากขึ้นในลักษณะของเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ ที่ดำเนินการต่อเนื่องกับเหตุการณ์ปัจจุบันการสังเกตอย่าง รอบคอบระมัดระวังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากการปฏิบัตินั้นจะมีข้อจำกัดจากการบีบบังคับ ของสภาพความเป็นจริง และข้อขัดข้องทั้งหมดเหล่านี้จะไม่ค่อยชัดเจนและบอกให้รู้ล่วงหน้าได้เลย การสังเกตจึงต้องมีการวางแผนจนกระทั่งได้ ข้อมูลเป็นเรื่องราวสะท้อนต่อเนื่องและสอดคล้องต่อกันแต่จะต้องไม่เป็นแผนการที่แคบจนเกินไป ข้อมูลจากการ สังเกตจะต้องตอบสนองและเปิดกว้าง คือจะต้องมองหลายแง่หลายมุมในทุก ๆ ด้าน ส่วนประเภทของการสังเกต (รวมถึงการวัด) ที่วางแผนไว้ล่วงหน้านั้น จะไม่เป็นการเพียงพอ ผู้สังกตจะต้องมีความไวในการจับภาพหรือเหตุการณ์ที่ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากจะสังเกตข้อมูลตามที่วางแผนเอาไว้แล้ว ยังต้องมีความยืดหยุ่นที่จะจัดเก็บข้อมูล ลักษณะที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนด้วย นักวิจัยปฏิบัติการจะต้องรายงานผลการสังเกตอย่างครบถ้วนนักวิจัยปฏิบัติการจำเป็นจะต้อง สังกตกระบวนการของการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) สังเกตสถานการณ์และข้อขัดข้องของ


35 การปฏิบัติ สังเกตวิธีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพล หรือมีผลเกี่ยวเนื่อง และปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินงานการสังเกตจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่จะมีพื้นฐานที่สมบูรณ์สำหรับการสะท้อน ภาพการกระทำที่สำคัญของตนเอง การสังเกตจะฉายภาพสลัวในสัมฤทธิผลของการสะท้อนภาพการดำเนินงาน ใน กรณีเช่นนี้ข้อมูลจากการสังเกตจะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการปฏิบัติงานโดยเกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น และมีการปฏิบัติที่มี ยุทธศาสตร์ที่มีหลักฐานรายงานอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระของการสังเกตจะเป็นเรื่องการปฏิบัติงาน ผล ของการปฏิบัติและสภาพแวดล้อมของสถานการณ์ที่การปฏิบัติกำลังดำเนินอยู่ การสะท้อน ทำให้หวนคิดถึงการกระทำตามที่ได้บันทึกไว้จากการสังเกตเก็บข้อมูล แต่เป็น การกระทำที่ยังกระฉับกระเฉงซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของกระบวนการ ปัญหาข้อขัดแย้งและแรงบีบบังคับที่ปรากฎ ในการปฏิบัติที่มียุทธศาสตร์ การสะท้อนจะเป็นลักษณะของความเป็นไปได้ของสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ปฏิบัติลงไป การสะท้อนภาพจะพิจารณาโดยใช้การอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้ร่วมงาน โดย วิธีนี้จะช่วยให้ได้ภาพสะท้อนของกลุ่ม ที่จะนำไปสู่การปรับสถานการณ์ทางสังคม และปรับปรุงโครงการ การสะท้อน ภาพจะมีลักษณะเป็นการประเมินอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจจากประสบการณ์ของตนว่า ผลของ การปฏิบัติ (หรือผลที่เกิดขึ้น) นั้นเป็นสิ่งที่ต้องประสงค์หรือไม่ และให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติต่อไป นอกจากนั้นการ สะท้อนภาพยังหมายถึงการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่จะดำเนินการจริงอีกด้วย การสะท้อนข้อมูลนี้จะช่วยในการ วางแผนการดำเนินการในขั้นต่อไป ที่จะเป็นไปได้สำหรับกลุ่ม และสำหรับแต่ละบุคคลในโครงการ ในการที่จะ ยอมรับจุดมุ่งหมายของการดำเนินการของกลุ่มด้วย 2.6.7 ประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ นักวิชาการหลายท่านได้เสนอประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ดังนี้ นุชวนา เหลืองอังกูร (2563) ได้เสนอประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดังนี้ 1. ประโยชน์ต่อผู้เรียน ผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ส่งผลต่อผู้เรียน ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการจัดการศึกษา กล่าวคือ ผู้เรียนจะได้รับการปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ไม่บรรลุ หรือผู้เรียนอาจจะ ได้รับการส่งเสริมพัฒนาองค์ความรู้ให้เพิ่มมากขึ้น 2.ประโยชน์ต่อครูผู้สอน การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการได้ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทำวิจัย การประยุกต์ การตระหนักถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ผลการวิจัยที่ ได้จาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีผลโดยตรงต่อครูผู้สอนเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ครูผู้สอนที่ทำวิจัยเชิงปฏิบัติการเกิดการ เปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพมากขึ้น สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาที่ทำให้ครูปรับเปลี่ยนตนเอง สามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนของตนเอง ส่วนผลพลอยได้คือ ครูผู้สอนได้ นวัตกรรมทางการศึกษาที่ตนเองพัฒนาขึ้นมาเอง และสามารถนำไปปรับใช้กับผู้เรียนรุ่นต่อไป หรือกลุ่มสาระการ เรียนรู้อื่น ๆ ได้ 3. ประโยชน์ต่อสถานศึกษา การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หากได้มีการดำเนินการในสถานศึกษา เกิดสังคมการเรียนรู้ทางการวิจัยระหว่างครูในสถานศึกษา ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษากับครูใต้บังคับบัญชา และ ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ซึ่งจะทำให้เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ของสถานศึกษาต่อไป


36 4. ประโยชน์ต่อวงการศึกษา การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของวงการ การศึกษาไทยที่จะทำให้ครูผู้สอนปฏิบัติตนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ทำให้วงการศึกษาไทยมีการปฏิรูป การศึกษาที่เป็นรูปธรรม สุวิมล ว่องวาณิช (2550) กล่าวถึงความสำคัญและความจำเป็นของการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียนไว้ดังนี้ 1. ให้โอกาสครูในการสร้างองค์กรความรู้ทักษะการทำวิจัย การประยุกต์ใช้การตระหนักถึง ทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ดีขึ้น 2. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือ สะท้อนผลงาน 3. เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติโดยตรงเนื่องจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ 4. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยในที่ทำงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติและการแก้ปัญหา 5. เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติในการวิจัย ทำให้ กระบวนการวิจัยมีความจำเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดยอมรับความรู้ในผู้ปฏิบัติ 6. ช่วยตรวจสอบวิธีการทำงานของครูที่มีประสิทธิผล 7. ทำให้ครูเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง จากการศึกษาประโยชน์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการสรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการทาง การศึกษามีความสำคัญต่อวงการศึกษา เพราะเป็นแนวทางช่วยเหลือครูให้ได้ทำการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา และการพัฒนาวิชาชีพครู เนื่องจากให้ข้อค้นพบที่ได้มาจาก กระบวนการสืบค้นที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ ทำให้นักเรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้และครูเกิดการพัฒนาการ จัดการเรียนการสอน


37 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัย เรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ มีวิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 3.2 ระเบียบวิธีการวิจัย 3.3 เครื่องมือการวิจัย 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรเป้าหมาย ประชากรเป้าหมาย คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ของโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 20 คน 3.2 ระเบียบวิธีการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้วิจัยใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติ ตามแนวคิดของ Kemmis and McTagart (1990) ซึ่งเสนอว่า มีกระบวนการในการดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ กระบวนการ PAOR ซึ่งกระบวนการ ทั้ง 4 ขั้นตอน เป็นกระบวนการที่ดำเนินการต่อเนื่องในลักษณะบันไดเวียน ดังนี้ 3.2.1 ขั้นการวางแผน (Planning) ผู้วิจัยศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺ โธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 14 พุทธศักราช 2551 ศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ วางแผนการพัฒนาและจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี 3.2.2 ขั้นการลงมือปฏิบัติ (Action) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี ที่จัดทำขึ้นไปปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนจริง 3.2.3 ขั้นการสังเกตการณ์ (Observation) สังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะด้าน การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ตามแผนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โดยอาศัยการสังเกตการณ์ กระบวนการปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ ประเมินพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการจัดการ เรียนการสอนในชั้นเรียน


38 3.2.4 ขั้นการสะท้อนผล (Refection) ผู้วิจัยตรวจสอบและสะท้อนผลการปฏิบัติการพัฒนาทักษะด้านการ แต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ½ หากมีปัญหาหรืออุปสรรค ผู้วิจัยดำเนินการ วิเคราะห์ ปรับปรุง พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้และสื่อการเรียนรู้เพื่อดำเนินการวิจัยในวงจรที่ 2 3.3 เครื่องมือการวิจัย 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์จำนวน 1 แผน 4 ชั่วโมง 3.3.2 แบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์จำนวน 1 ข้อ 3.3.3 แบบประเมินทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ 3.3.4 แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 3.3.5 แบบสัมภาษณ์ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือในการศึกษาตามลำดับ ดังนี้ 3.3.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี 1) ผู้วิจัยศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) ผู้วิจัยศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 เพื่อให้ทราบแนวทางในการจัดสร้างแผนการจัดการ เรียนรู้ 3) ผู้วิจัยวิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหาสาระ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและสาระการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 4) ผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยแต่ละแผน ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล และสื่อและแหล่งการเรียนรู้ 5) ผู้วิจัยสร้างแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ 6) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้พร้อมแบบประเมินการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการ จัดการเรียนรู้กับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (IOC) โดยกำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนการตรวจสอบแผนการจัดการ เรียนรู้ ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม


39 ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จากนั้นพิจารณาคัดเลือกค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญ โดยกำหนดเกณฑ์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index ofcongruence : IOC) ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปแสดงว่าข้อคำถามหรือรายการที่ใช้วัดสามารถวัดตัวแปรนั้นได้จริง และสามารถนำมาใช้ในการวิจัยต่อไปได้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) 7) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 8) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมีที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง (Try out) คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 20 คน 9) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมีไปใช้กับประชากรเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 20 คน 3.3.2 แบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ 1) ผู้วิจัยศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา คู่มือการวัดผลและประเมินผลตามหลักสูตร โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ 3) ผู้วิจัยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนแบบอิงเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) 4) ผู้วิจัยกำหนดเนื้อหาและกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ 5) ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์แบบอัตนัย จำนวน 1 ข้อ 6) ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ที่สร้างขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของ แผนการจัดการเรียนรู้กับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (IOC) โดยกำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนการตรวจสอบ แผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม


40 ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบไม่วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จากนั้นพิจารณาคัดเลือกค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญ โดยกำหนดเกณฑ์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index ofcongruence : IOC) ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปแสดงว่าข้อคำถามหรือรายการที่ใช้วัดสามารถวัดตัวแปรนั้นได้จริง และสามารถนำมาใช้ในการวิจัยต่อไปได้(บุญชม ศรีสะอาด, 2553) 7) ผู้วิจัยนำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง คำถามกับจุดประสงค์ โดยใช้สูตรของโรวิเนลลีและแฮมแบลตัน (Rowinelli andHambleton, 2013 อ้างถึง ใน บุญ ชม ศรีสะอาด, 2545) 8) ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง (Try out) คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 20 คน 9) นำแบบทดสอบวัดทักษะในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ไปใช้กับประชากรเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 20 คน 3.3.3 การสร้างแบบประเมินทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้เกณฑ์Rubric 1) ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับแบบประเมินทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ โดยใช้เกณฑ์Rubric 2) สร้างแบบประเมินทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์โดยใช้เกณฑ์Rubric 3) ผู้วิจัยนำแบบประเมินทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้กับ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (IOC) โดยกำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนการตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จากนั้นพิจารณาคัดเลือกค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญ โดยกำหนดเกณฑ์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index ofcongruence : IOC) ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปแสดงว่าข้อคำถามหรือรายการที่ใช้วัดสามารถวัดตัวแปรนั้นได้จริง และสามารถนำมาใช้ในการวิจัยต่อไปได้(บุญชม ศรีสะอาด, 2553) 4) ผู้วิจัยนำผลการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้มีความ เหมาะสม 5) ผู้วิจัยนำแบบประเมินทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ไปใช้ประเมิน


41 3.3.4 การสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 1) ผู้วิจัยศึกษาทฤษฎี วิธีการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 2) ผู้วิจัยศึกษาหลักการเขียนแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มเพื่อเป็นแนวคิดในการสร้าง แบบประเมิน 3) ผู้วิจัยกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อบันทึกพฤติกรรมการแสดงออกของนักเรียนระหว่างเรียน เป็น ข้อมูลวิเคราะห์เชิงคุณภาพของด้านการจัดการเรียนการสอน 4) ผู้วิจัยสร้างแบบสังเกตเชิงพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน 5) ผู้วิจัยการหาคุณภาพของแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน 6) ผู้วิจัยนำไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนห้องอื่นที่ไม่ใช่ตัวอย่างจริงสำหรับการวิจัยใน ครั้งนี้ 8) ผู้วิจัยจัดทำแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนฉบับจริง เพื่อนำไปใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 3.3.5 แบบสัมภาษณ์ 1) ผู้วิจัยศึกษาหลักการสร้างแบบสัมภาษณ์ 2) ผู้วิจัยกำหนดจุดมุ่งหมายและหัวข้อประเด็นที่ต้องการสัมภาษณ์ 3) ผู้วิจัยรวบรวมข้อคำถามที่ต้องการสัมภาษณ์ ตามประเด็นที่กำหนดไว้ 4) ผู้วิจัยพิจารณาแต่ละข้อคำถามว่า มีความเป็นปรนัยหรือความชัดเจนทางภาษาเหมาะกับ การถามผู้ให้ข้อมูลหรือไม่ 5) ผู้วิจัยพิจารณาข้อคำถามโดยรวมให้ครอบคลุมทุกประเด็นที่ต้องการสอบถามทั้งหมดหรือไม่ นำข้อคำถามไปขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าข้อคำถามแต่ละข้อ เพื่อวัดได้ตรงและครอบคลุมประเด็นที่ต้องการ ศึกษา ปรับปรุงแก้ไขตามข้อแนะนำ 6) ผู้วิจัยจัดทำแบบสัมภาษณ์ 7) ผู้วิจัยนำไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนห้องอื่นที่ไม่ใช่ตัวอย่างจริงสำหรับการวิจัยใน ครั้งนี้ 8) ผู้วิจัยจัดทำแบบสัมภาษณ์ฉบับจริง เพื่อนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.4.1 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพ ปัญหาและทางการพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ


42 3.4.2 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ผู้วิจัยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยการนำเสนอค่าเฉลี่ยของ ประชากรเป้าหมายและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากรเป้าหมาย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) การหาค่าเฉลี่ยของประชากรเป้าหมาย (บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. 2562 : 139) สูตร μ = ∑ x N เมื่อ μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากรเป้าหมาย ∑ แทน ผลบวกของข้อมูลทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมดของประชากรเป้าหมาย 2) การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากรเป้าหมาย (บุญชม ศรีสะอาด และ คณะ. 2562 :146) สูตร σ = √ ∑(− ) 2 เมื่อ σ แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากรเป้าหมาย แทน ข้อมูลแต่ละตัว แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมดของประชากรเป้าหมาย μ แทน ค่าเฉลี่ยประชากรเป้าหมาย


43 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัย เรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับกิจกรรมผะหมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน มัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ วงจรที่ 1 1. การวางแผน ผู้วิจัยได้ศึกษาปัญหาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอ ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา พบว่า นักเรียนความรู้และความเข้าใจในฉันทลักษณ์ของกาพย์ยานี 11 นักเรียนไม่ สามารถเขียนคำคล้องจองต่อได้ เนื่องจากมีคลังคำศัพท์น้อย และนักเรียนขาดกำลังใจในการเรียน คิดว่าตนเองไม่มี ความสามารถเพียงพอ และคิดว่าการแต่งบทร้อยกรองกาพย์ยานี 11 เป็นเรื่องยากไม่สามารถทำได้ จึงเป็นสาเหตุที่ ทำให้นักเรียนไม่ชอบการแต่งคำประพันธ์และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ไม่สนุกสนาน จากนั้นผู้วิจัยจึงได้พัฒนาโดยจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 แผน 4 ชั่วโมง โดยกำหนด จุดประสงค์และรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ได้ถูกต้อง 2. การปฏิบัติ ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับ กิจกรรมผะหมีเพื่อพัฒนาทักษะด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ที่จัดทำขึ้นไปปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนจริง โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่ม 3) ข้นการค้นและคิด 4) ขั้นนำเสนอ และ 5) ขั้นประเมินผล 3. การสังเกต ในขณะที่มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น ผู้วิจัยและผู้เข้าร่วม PLC ได้สังเกตและรวบรวม ข้อมูลโดยได้ทำการจดบันทึกไว้ในเครื่องมือและสะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม


Click to View FlipBook Version