ปฏิบตั กิ ารที่ 3
อาณาจกั รสัตว์ (Kingdom Animalia)
วัตถุประสงค์
1 อธิบายรูปร่างลกั ษณะสาคญั ของสัตว์ในไฟลมั ต่างๆ ได้
2 สามารถยกตวั อยา่ งสตั วใ์ นไฟลมั และคลาสต่างๆ ได้
3 สามารถบอกได้ว่าสัตว์ชนิดต่างๆ จดั อยู่ในไฟลมั และคลาสใด
บทนา
สิ่งมีชีวติ ในอาณาจกั รสัตวเ์ รียกวา่ สัตว์ (animals) มีววิ ฒั นาการมาจากโพรทิสต์ (protists) พวกโคแอโนแฟลเจลเลท (choanoflagellates)
ซ่ึงเป็นพวกแฟลเจลเลทที่มีปลอกคอ สัตวม์ ีลกั ษณะสาคญั ที่แยกออกจากอาณาจกั รอี่นๆ ไดแ้ ก่ เป็นพวกยคู าริโอท (eukaryotes) ที่ไม่มี
ผนงั เซลล์ (cell wall) และพลาสทิด (plastid) ร่างกายประกอบดว้ ยหลายเซลลซ์ ่ึงมีการพฒั นาเป็นเน้ือเยอื่ (tissue, ยกเวน้ พวกฟองน้า) เป็น
พวกท่ีไม่สามารถสังเคราะห์สารอาหารเองได้ (heterotrophs) สามารถเคล่ือนท่ีได้ (อยา่ งนอ้ ยในช่วงหน่ึงของวงชีวติ ) และมีเน้ือเยอื่
หรือระบบประสาท (ยกเวน้ พวกฟองน้า) ------ > บทปฏิบัติการนีจ้ ะศึกษาเฉพาะ 9 ไฟลมั หลกั
ภาพท่ี 1 แผนภูมิแสดงสายววิ ฒั นาการของสตั ว์
โดยพิจารณาจากขอ้ มูลดา้ นชีวโมเลกุล
(molecular data) ร่วมกบั ลกั ษณะทางสณั ฐานวทิ ยา
และการเจริญของตวั อ่อน
(ดดั แปลงจาก Ruppert et al., 2004)
กจิ กรรมในห้องปฏิบตั ิการ
กจิ กรรมท่ี 1 กจิ กรรมท่ี 2 กจิ กรรมท่ี 3 กจิ กรรมท่ี 4
กล่มุ สัตว์ทไ่ี ม่มสี มมาตร สัตว์ท่มี สี มมาตรแบบสองข้าง สัตว์ท่มี ีสมมาตรแบบสอง การจาแนกไฟลมั ใน
และมสี มมาตรแบบรัศมี พวกทม่ี ีปากเกดิ ก่อนทวารหนัก ข้าง พวกที่มีทวารหนักเกดิ อาณาจกั รสัตว์
(Protostomes) ก่อนปาก (Deuterostomes)
กจิ กรรมที่ 1.1
สมมาตรของวตั ถุ กจิ กรรมที่ 2.1 กจิ กรรมที่ 3.1
กล่มุ สัตว์มรี ยางค์เคล่ือนทไี่ ม่ Deuterostomes พวกที่ไม่มี
เป็ นข้อปล้อง หรือที่ไม่มรี ยางค์ กระดูกสันหลงั
กจิ กรรมที่ 1.2 กจิ กรรมที่ 2.2 กจิ กรรมที่ 3.2
กลุ่มสัตว์ทมี่ ไี ม่มีสมมาตร สัตว์ที่มรี ยางค์เคลื่อนทเ่ี ป็ นข้อ สัตว์มีกระดูกสันหลงั
และมีสมมาตรแบบรัศมี (Vertebrates) :
ปล้อง
Subphylum Vertebrata
กจิ กรรมท่ี 1
กลุ่มสัตว์ทไ่ี ม่มสี มมาตร และมสี มมาตรแบบรัศมี
กจิ กรรมท่ี 1 กลุ่มสัตว์ทไี่ ม่มสี มมาตร และมีสมมาตรแบบรัศมี
กจิ กรรมท่ี 1.1 สมมาตรของวตั ถุ (ภาพที่ 2)
สมมาตร (Symmetry) หมายถึง การท่ีรูปร่างหรือรูปทรงสามารถแบ่งคร่ึงออกเป็น 2 ส่วน
ที่คลา้ ยคลึงกนั แบบตรงกนั ขา้ มกนั ในพวกสตั วม์ ีท้งั พวกที่ไม่มีสมมาตร (asymmetry) และมีสมมาตร
ภาพที่ 2 แสดงลกั ษณะของสมมาตร (Symmetry) ของวตั ถุแบบต่างๆ : A. ไม่มีสมมาตร (Asymmetry), B. สมมาตรแบบ
สองขา้ ง (Bilateral symmetry), C. สมมาตรแบบรัศมี (Radial symmetry), D. สมมาตรแบบทรงกลม (Spherical symmetry)
กจิ กรรมที่ 1.1 สมมาตรของวตั ถุ
วธิ ีการ
1.ใหน้ กั ศึกษาสงั เกตรูปร่างลกั ษณะภายนอกของ จานเพาะเช้ือ หลอดทดลอง บีกเกอร์ กอ้ นกระดาษ ปากกาลูกล่ืน และลูกปิ งปอง
ท่ีต้งั ไวใ้ หเ้ ปรียบเทียบกบั ภาพท่ี 2
2. บนั ทึกขอ้ มูลลงในบนั ทึกผลทา้ ยกิจกรรม ไดแ้ ก่ ลกั ษณะรูปร่าง จานวนระนาบ (แนวต้งั -นอน-เฉียง) และจานวนคร้ังที่แบ่งได้
3. บอกชนิดสมมาตรของวตั ถุดงั กล่าว
จานเพาะเช้ือ หลอดทดลอง บีกเกอร์ กอ้ นกระดาษ ปากกาลูกล่ืน ลูกปิ งปอง
ตารางบนั ทกึ กจิ กรรมท่ี 1.1 สมมาตรของวตั ถุ
กลม แบน 1 >1 รัศมี
ตัวอย่าง
กจิ กรรมที่ 1.2 กลุ่มสัตว์ทม่ี ไี ม่มสี มมาตร และมีสมมาตรแบบรัศมี
1.2.1 ฟองนา้ (Sponges) : Phylum Porifera (ภาพที่ 3)
* ฟองน้าเป็นสตั วท์ ี่มีเน้ือเยอ่ื ไม่แทจ้ ริง ยงั ไม่มีอวยั วะ ร่างกายเป็นรูพรุนเป็นระบบทางน้า (canal
system) มีโครงร่างค้าจุนเป็นพวกขวาก (spicules) หรือเส้นใยสปันจิน (spongin fiber)
ภาพท่ี 3 แสดงลกั ษณะภายนอกของฟองน้า (Sponges) :A. ฟองน้าหินปูน (Calcareous sponge), B. ฟองน้าแกว้
(Glass sponge), C. ฟองน้าเส้นเชือก (Mermaid’s gloves sponge) (ดดั แปลงจาก Jordan and Verma, 2007)
วธิ ีการ
1. ใหศ้ ึกษาขวาก (spicule) และเสน้ ใยสปันจิน (spongin fiber) ของฟองน้าภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์
2. วาดภาพ บนั ทึกผล และตอบคาถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 1.2
1. ขวากของฟองนา้ (spicule)
2. เส้นใยสปันจิน (spongin fiber)
3. ขวากผสมเส้นใยสปันจนิ
บนั ทกึ ผล และคาถามกจิ กรรมท่ี 1.2
กจิ กรรมที่ 1.2 กลุ่มสัตว์ทม่ี ไี ม่มสี มมาตร และมสี มมาตรแบบรัศมี
วธิ ีการ
1. ใหน้ กั เรียนศึกษารูปร่างลกั ษณะภายนอกของฟองน้า ประกอบภาพที่ 3 ฟองนา้
2. วาดภาพ บนั ทึกผล และตอบคาถามทา้ ยกิจกรรมที่ 1.2
ตัวอย่างฟองนา้ ในห้องปฏบิ ัตกิ าร
ฟองนา้ ถูตวั
ตวั อย่างฟองนา้ ในห้องปฏบิ ตั ิการ
ฟองนา้ หินปูน
ฟองน้าแกว้
ฟองนา้ แก้ว
วดิ ทิ ัศน์แนะนาตวั อย่างฟองนา้ (Sponges) ในกจิ กรรม
กจิ กรรมท่ี 1.2 กลุ่มสัตว์ทมี่ ไี ม่มสี มมาตร และมสี มมาตรแบบรัศมี
1.2.2 ไนดาเรียน (Cnidarians) : Phylum Cnidaria (ภาพท่ี 4)
* มีรูปร่างพ้นื ฐาน 2 แบบ คือ polyp (เกาะติด)
และ medusa (ลอยในน้า)
* มีหนวดรอบปาก
ภาพท่ี 4 แสดงลกั ษณะภายนอกของไนดาเรียน (Cnidarians) :
A.ไฮดรา (Hydra), B. แมงกะพรุนน้าจืด (freshwater jellyfish),
C. แมงกะพรุน (Jellyfish), D. ดอกไมท้ ะเล (Sea anemone),
E. ปะการังเห็ด (Mushroom coral), F. ปะการังกอ้ น
(Massive stony coral), G. ปะการังสมอง (Brain coral),
H. ปะการังเขากวาง (Staghorn coral), I. ปะการังอ่อน (Soft coral),
J. ปากกาทะเล (Sea pen), K. กลั ปังหาพมุ่ ไม้ (Bushy seafan)
(ดดั แปลงจาก Jordan and Verma, 2007)
วธิ ีการ (ต่อ)
1. ใหน้ กั เรียนศึกษารูปร่างลกั ษณะภายนอกของไนดาเรียนชนิดต่างๆ ประกอบภาพท่ี 4
2. ใหศ้ ึกษาลกั ษณะของไฮดราที่ยงั มีชีวิตภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนส์ เตอริโอ
3. วาดภาพ บนั ทึกผล และตอบคาถามทา้ ยกิจกรรมที่ 1.2
1.2. ข. จงเปรียบเทียบสมมาตร และรูปร่างลกั ษณะของสตั วท์ ้งั 2 ไฟลมั
ตวั อย่างไนดาเรียนในห้องปฏิบตั ิการ
แมงกระพรุน
แมงกระพรุนนา้ จืด
ตวั อย่างไนดาเรียนในห้องปฏิบตั กิ าร
ดอกไม้ทะเล ปะการังเห็ด
ตวั อย่างไนดาเรียนในห้องปฏบิ ตั กิ าร
กลั ปังหา (Sea
fan)
วดิ ทิ ศั น์ไฮดรา
วดิ ทิ ศั น์แนะนาตวั อย่างไนดาเรียน (Cnidarians) ในกจิ กรรม
กจิ กรรมท่ี 2
สัตว์ทม่ี ีสมมาตรแบบสองข้าง พวกที่มีปากเกดิ
ก่อนทวารหนัก (Protostomes)
กจิ กรรมที่ 2.1 กล่มุ สัตว์มรี ยางค์เคล่ือนทไ่ี ม่เป็ นข้อปล้องหรือท่ีไม่มีรยางค์
กจิ กรรมท่ี 2 สัตว์ทีม่ สี มมาตรแบบสองข้าง พวกทมี่ ีปากเกดิ ก่อนทวารหนัก (Protostomes)
กจิ กรรมที่ 2.1 กลุ่มสัตว์มรี ยางค์เคลื่อนทไ่ี ม่เป็ นข้อปล้องหรือทไี่ ม่มรี ยางค์
2.1.1 หนอนตวั แบน (Flatworms : ภาพท่ี 6)
* รูปร่างกวา้ งแบนเป็นแผน่ บาง แบนแบบบน-ล่าง ไม่มีขอ้ ปลอ้ ง ไม่มีรยางค์
ภาพท่ี 6 แสดงลกั ษณะภายนอกของหนอนตวั แบน (Flatworms) : A. พลานาเรีย (Planaria), B. พยาธิใบไม้ (Flukes),
C. พยาธิตวั ตืด (Tapeworms) (ดดั แปลงจาก Barnes, Calow and Olive, 1993. และ Hickman et al., 2009)
ตวั อย่างหนอนตวั แบนในห้องปฏบิ ัตกิ าร
VDO. พลานาเรีย
ตวั อย่างหนอนตวั แบนในห้องปฏิบตั กิ าร
วดิ ทิ ัศน์แนะนาตวั อย่างหนอนตวั แบน (Flatworms) ในกจิ กรรม
2.1.2 หอยและหมกึ (Molluscs : shells and squids : ภาพท่ี 7)
* ร่างกายอ่อนนุ่ม มกั สร้างเปลือกแขง็ (shell)
หุม้ ตวั ร่างกายไม่มีปลอ้ ง แบ่งเป็นส่วนหวั
ตีน (foot) เยอ่ื แมนเทิล (mantle) และ
กลุ่มอวยั วะภายใน (visceral mass)
* ส่วนหวั มีตา (eyes) และหนวด (tentacles)
ภาพท่ี 7 แสดงลกั ษณะภายนอกของหอย ทาก และหมึก
(Molluscs) : A. ลิ่นทะเล (Chiton), B. หอยงาชา้ ง
(Tusk shell), C. หอยกาบ (Clam), D. หอยสงั ขโ์ มฬี
(Whelk), E. หอยทาก (Garden snail), F. ทากบก, ลิ้นหมา
(Land slug), G. หมึกกลว้ ย (Squid), H. หมึกสาย (Octopus)
(ดดั แปลงจาก สุชาติและคณะ, 2538; Hickman et al., 2009.)
ตวั อย่างมอลลสั ในห้องปฏบิ ัตกิ าร
ลน่ิ ทะเล หอยกาบ หอยงาช้าง
ตวั อย่างมอลลสั ในห้องปฏบิ ตั กิ าร
หอยโข่ง ทากบก
ตวั อย่างมอลลสั ในห้องปฏบิ ัตกิ าร
หมกึ กล้วย
https://kingdominvertebrates.wordpress.com
หมึกสาย
หมึกสาย https://sites.google.com/site/painatthaphorn/hmuk-say
วดิ ทิ ัศน์แนะนาตวั อย่างหอยและหมกึ (Molluscs) ในกจิ กรรม
2.1.3 หนอนปล้อง (Annelids : segmented worms : ภาพท่ี 8 )
* ร่างกายกลมยาว หรือแบนแบบบน-ล่างเลก็ นอ้ ย ลาตวั มีขอ้ ปลอ้ ง มีท้งั พวกท่ีไม่มีรยางค์ และมีรยางค์ ถา้ มี
รยางคจ์ ะไม่เป็นขอ้ ปลอ้ ง
ภาพท่ี 8 แสดงลกั ษณะภายนอกของหนอนปลอ้ ง (Segmented worms) : A. แม่เพรียง (Clamworm) ขยายรยางคซ์ ่ึงไม่
มีขอ้ ปลอ้ ง, B. หนอนดอกไม้ (Fanworm), C. ไส้เดือนดิน (Earthworm), D. ปลิง (Leech). (ที่มา A., C, D. จาก Barnes,
Calow and Olive, 1993; B. จาก Brusca and Brusca, 2003)
ตวั อย่างหนอนปล้องในห้องปฏบิ ัตกิ าร
แสดงพาราโพเดยี
หนอนดอกไม้ แม่เพรียง
ตวั อย่างหนอนปล้องในห้องปฏบิ ตั ิการ
ไส้ เดือนดนิ ปลงิ
วดิ ทิ ัศน์แนะนาตวั อย่างหนอนปล้อง (Annelids) ในกจิ กรรม
2.1.4 หนอนตวั กลม (Nematodes : roundworms : ภาพท่ี 9
* ร่างกายกลมยาว หวั ทา้ ยแหลม ไม่มีขอ้ ปลอ้ ง ไม่มีรยางค์
ภาพที่ 9 แสดงลกั ษณะภายนอกของหนอนตวั กลม (Roundworm) : A. เพศเมีย (female), B. เพศผู้ (male)
(ดดั แปลงจาก Jordan and Verma, 2007)
ตวั อย่างหนอนตวั กลม ในห้องปฏบิ ัตกิ าร
หนอนตวั กลม
วดิ ทิ ัศน์แนะนาตวั อย่างหนอนตวั กลม (Nematodes) ในกจิ กรรม
เมื่อศึกษาตวั อย่างสัตว์ในกจิ กรรมที่ 2.1 แล้ว ให้ทากจิ กรรม ดงั นี้
วธิ ีการ
1. ใหน้ กั เรียนศึกษารูปร่างลกั ษณะภายนอกของสตั วต์ วั แทนที่กาหนดใหใ้ นกลุ่ม หนอนตวั แบน
หนอนตวั กลม หอย หนอนปลอ้ ง และสตั วข์ าขอ้ ประกอบภาพที่ 6, 7, 8, 9 และ 10 ตามลาดบั
2. บนั ทึกผลทา้ ยกิจกรรม และใชร้ ูปวธิ านจาแนก Phylum ของสตั วพ์ วกโพรโทสโทมจาแนกสตั ว์
ในกลุ่ม หนอนตวั แบน หอย หนอนตวั กลม หนอนปลอ้ ง และสตั วข์ าขอ้ วา่ จดั อยใู่ น Phylum ใด
3. บนั ทึกผล และคาถามทา้ ยกิจกรรมที่ 2.1
บนั ทกึ ผล และคาถามท้ายกจิ กรรมท่ี 2.1
2.1.1 ลกั ษณะภายนอกท่ีสังเกตไดว้ า่ มีความแตกตา่ งกนั ของสัตวก์ ลุม่ หนอนตวั แบน หนอนตวั กลม หอย หนอนปลอ้ ง และ
สตั วข์ าขอ้ (ถา้ มีใหใ้ ส่เครื่องหมาย √ หรือถา้ ไม่มี ใหใ้ ส่ - )
1.2 จงใชข้ อ้ มลู จากขอ้ 2.1.1 มาใช้จาแนกสัตว์ทง้ั 5 กลุ่มออกเปน็ ไฟลมั ตามรปู วิธานท่กี าหนดใหข้ ้างลา่ ง
รูปวธิ านจาแนก Phylum ของสัตว์พวกโพรโทสโทม
เช่น
กจิ กรรมท่ี 2
สัตว์ทมี่ สี มมาตรแบบสองข้าง พวกทีม่ ีปากเกดิ
ก่อนทวารหนัก (Protostomes)
กจิ กรรมที่ 2.2 สัตว์ที่มีรยางค์เคลื่อนท่ีเป็ นข้อปล้อง
กจิ กรรมท่ี 2 สัตว์ทีม่ สี มมาตรแบบสองข้าง พวกที่มีปากเกดิ ก่อนทวารหนัก (Protostomes)
กจิ กรรมท่ี 2.2 สัตว์ทม่ี รี ยางค์เคล่ือนทเี่ ป็ นข้อปล้อง
สัตว์ขาข้อ (Arthropods : ภาพท่ี 10)
• สตั วข์ าขอ้ มีโครงร่างแขง็ ภายนอก (exoskeleton) ร่างกายประกอบดว้ ยปลอ้ งจานวนมาก ซ่ึงมีการจดั
รวมกนั เป็น 3 ส่วนคือ หวั (head) อก (thorax) และทอ้ ง (abdomen) แต่ละส่วนอาจมีการเช่ือมรวมกนั เป็น
รูปร่างหลายแบบ
- ร่างกายแบ่งเป็น 3 ส่วน = หวั (head) + อก (thorax) + ทอ้ ง (abdomen) --- > A
- ร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน = หวั (head) + ลาตวั (trunk = อก + ทอ้ ง) --- > B
- ร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน = เซฟาโลทอแรกซ์ (cephalothorax = หวั + อก) + ทอ้ ง (abdomen) --- > C
B C
A
วธิ ีการ
1.ใหน้ กั เรียนศึกษารูปร่าง และลกั ษณะภายนอกของสตั วข์ าขอ้ ควบคู่กบั ภาพท่ี 10 และรูปวธิ านจาแนกสตั วข์ าขอ้
2. จาแนกสตั ว์ขาข้อ A - J ท่ีต้งั ไวใ้ หอ้ อกเป็น Class ต่างๆ บนั ทึกลงในตารางท่ี 2.2
ภาพท่ี 10 แสดงลกั ษณะภายนอกบางประการของสตั วข์ าขอ้ : A. ร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ หวั +อก และทอ้ ง, B. ร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ หวั และลาตวั ,
C. ร่างกายแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ หวั อก และทอ้ ง, D. ไม่มีหนวด, E. มีหนวด 1 คู่, F. มีหนวด 2 คู่, G. เปลือกหุม้ ส่วนหวั +อกกวา้ งเป็นรูปคร่ึงวงกลม
ดา้ นทอ้ งเป็นรูปเกือกมา้ , H. รยางคแ์ ตกแขนง ปลอ้ งละ 1 คู่, I. รยางคไ์ ม่แตกแขนง ปลอ้ งละ 1 คู่, J. รยางคไ์ ม่แตกแขนง ปลอ้ งละ 2 คู่
เช่น
ตัวอย่างสัตว์ขาข้อ A-J ในห้องปฏบิ ัติการ
AB C
ตวั อย่างสัตว์ขาข้อ A-J ในห้องปฏิบัติการ
DE
ตวั อย่างสัตว์ขาข้อ A-J ในห้องปฏบิ ัตกิ าร
FG
ตวั อย่างสัตว์ขาข้อ A-J ในห้องปฏิบตั ิการ
H IJ