ค่มู ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 ก
ศนู ยเ์ ฉพาะกิจค้มุ ครองและช่วยเหลอื เดก็ นกั เรียน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
ค่มู ือระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรยี นรู้
ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ิตร เขต 2
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร
คูม่ ือระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจดั การเรยี นร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 ข
คำนำ
คู่มือระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค-19
ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตรเขต 2 ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวปฏิบัติการคุ้มครอง
และช่วยเหลือนักเรยี นให้มีสุขภาพกายใจแข็งแรงสมบูรณ์รวมถึงการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์แพร่ระบาด
ไวรัสโคโรนา (โควิค-19) สำหรับ สถานศึกษา ผู้บริหาร ครู และบุคลากร ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกดิ
ประโยชนแ์ กเ่ ดก็ นกั เรยี น ผ้ปู กครอง ชมุ ชน และสงั คมตอ่ ไป
โอกาสนี้ ขอขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มอบนโยบายและความห่วงใย
มายังสำนกั งานเขตพนื้ ท่ี สถานศกึ ษา ชมุ ชน ร่วมรับผิดชอบสังคมอยา่ งเปน็ รปู ธรรมมาโดยตลอด
ขอขอบคุณทา่ น ว่าท่ีร้อยเอก ดร.สาโรช ยกให้ ผูอ้ ำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษา
พจิ ติ ร เขต 2 ที่เลง็ เหน็ ความสำคัญใหจ้ ัดทำคู่มือพร้อมนำคณะกรรมการรว่ มจดั ทำคูม่ ือฉบับน้จี นสำเร็จลุล่วงไป
ไดด้ ว้ ยดมี า ณ โอกาสน้ีเปน็ อยา่ งสูง
คณะผูจ้ ัดทำ
คู่มือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 ก
สารบญั
คำนำ หน้า
สารบญั ก
บทท่ี 1 บทนำ ข
บทที่ 2 การคมุ้ ครองและช่วยเหลือเดก็ นักเรยี น 1
2
• คำนยิ ามเกีย่ วกับการค้มุ ครองและช่วยเหลือเดก็ นักเรียน 3
4
• กระบวนการและบทบาทคุ้มครองและชว่ ยเหลอื เดก็ นักเรียน 5
8
• แผนผังกระบวนการดำเนินงานคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนกั เรียน 8
10
• กระบวนการดำเนินงานคมุ้ ครองและช่วยเหลือเด็กนกั เรียน 10
• บทบาทการคุ้มครองชว่ ยเหลือเด็กนกั เรยี น 11
บทท่ี 3 แนวทางการคมุ้ ครองและช่วยเหลอื เด็กนักเรยี นในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคโควดิ -19 16
20
1. การคมุ้ ครองเด็กนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 30
2. สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพิจติ ร เขต 2 กบั กลุ่มเด็กและครอบครวั ที่ตอ้ งการ 34
35
คุม้ ครองเดก็ จากผลกระทบของโรคโควิด-19
3. การเตรยี มความพร้อมในการดูแลค้มุ ครองเดก็ นักเรยี น 39
4. การปอ้ งกันและค้นหากลุ่มเส่ียง 40
5. การชว่ ยเหลอื เดก็ และครอบครัวกลุ่มเส่ียง 51
57
• แนวปฏิบตั ิการจัดการเรยี นการสอนและการวัดผลประเมนิ ผล 63
• การจัดการเรยี นการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
• แนวทางการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้บรรลตุ ามมาตรฐานและตัวช้วี ัด
ของหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
• แนวทางการจดั การเรียนการสอนสำหรบั เด็กท่ีมีความตอ้ งการพิเศษ
• การสอนสำหรบั เด็กท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19
• ตวั อยา่ งรูปแบบการจดั การเรียนการสอน ยคุ โควิด บูรณาการ ON ต่าง ๆ
• แนวทางการเย่ยี มบา้ นนกั เรียนในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19
คมู่ ือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนร้ใู นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 ข
สารบญั (ต่อ) หนา้
64
บรรณานุกรม 65
ภาคผนวก ก คำส่ังสำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2 69
ภาคผนวก ข แบบ ฉก.01/1 71
ภาคผนวก ค นร.กสศ.01 75
ภาคผนวก ง แบบสรุปขอ้ มลู การคดั กรองนกั เรยี น 82
คณะผจู้ ัดทำ
คู่มอื ระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียนและการจัดการเรยี นรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ค
บทท่ี 1
บทนำ
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ออกแถลงการณ์ประกาศให้การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ถือเป็นการระบาดครัง้ ใหญ่มีการแพร่กระจายเชื้ออยา่ งรวดเรว็
และกว้างขวางหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่รับผลกระทบรอบด้านคือ ด้านสาธารณสุข
ด้านเศรษฐกิจ สังคมความเป็นอยู่ และการศึกษา ซึ่งอาจทำให้เด็กในวัยเรียนขาดโอกาสการพัฒนาอย่าง
ตอ่ เนอ่ื ง การคุม้ ครองและการชว่ ยเหลอื นกั เรียนตามบทบญั ญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้หาก
ทุกฝา่ ยท่ีเกี่ยวข้องไมใ่ หค้ วามร่วมมอื กันอย่างจรงิ จงั
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการได้ทำงานด้านการป้องกันแก้ไข
ปัญหาร่วมกบั กระทรวง องคก์ ร หนว่ ยงานท่ีเกีย่ วข้องอยา่ งเข้มแข็ง โดยกำหนดนโยบายการคมุ้ ครองช่วยเหลือ
นักเรียน และให้แนวทางการจดั การเรียนร้ภู ายใต้สถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควิค-19 มายงั สำนกั งานเขต
พ้ืนที่การศกึ ษา ผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากร ใหส้ ามารถดำเนินการจดั การเรยี นรู้อยา่ งหลากหลายรปู แบบควบคู่
กับการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ผปู้ กครอง ชุมชน ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง
สำนกั งานเขตการศกึ ษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 มีความตระหนักอย่างยง่ิ ในเร่ืองการจัดการเรียนรู้
รวมถึงการจัดระบบการคุ้มครองดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มีความปลอดภัย ตามปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
ตลอดเวลา เช่น การถูกละเมิดทางเพศ ความรุนแรง การไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบการศึกษา
และการป้องกันการติดเช้ือไวรัสโคโรนาที่มกี ารระบาดตัง้ แตป่ ลายปี 2563 เป็นต้นมา นับว่าเป็นปัญหาสำคญั
ต่อการพัฒนา และการบรหิ ารจัดการศกึ ษา ดังนัน้ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2 จึง
ได้นำนโยบายจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ผนวกกับหน่วยงาน
องค์กรที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดบทเรียน การรายงานของสถานศึกษา
ที่ประสบความสำเรจ็ มาจัดทำเป็นคู่มือระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียนและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคโควิค-19 เพื่อเป็นแนวทางให้แก่สถานศึกษาภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 และสถานศึกษาที่สนใจโดยทั่วไปเพ่ือเป็นแนวทางในการปฏบิ ัตไิ ด้อย่างเหมาะสม
สอดคล้องสัมพันธก์ ันอยา่ งเป็นระบบ ซึ่งเนื้อหาประกอบด้วย การคุ้มครองเดก็ ในสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคโควคิ -19 บทบาทของสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาพิจติ ร เขต 2 บทบาทของสถานศึกษา
(ผู้บริหาร ครู บุคลากร และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน) บทบาทของผู้ปกครองและเครือข่ายการ
เตรยี มความพรอ้ ม การปอ้ งกันและค้นหากลมุ่ เสี่ยง การช่วยเหลอื เดก็ และครอบครวั และทีส่ ำคัญแนวทางการ
จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์โควิค-19 ซึ่งรวบรวมไว้ในคู่มือฉบับนี้ในสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง
ตอ่ ไป
คมู่ อื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรียนและการจดั การเรียนรูใ้ นสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 1
บทที่ 2
การคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนกั เรียน
สถานศึกษาเป็นสถานที่ที่เด็กนักเรียนมีความใกล้ชิดมากที่สุด รองลงมาจากครอบครัว ผู้ปกครอง
ใหก้ ารยอมรับ และคาดหวงั ว่าจะได้รับความรู้ การอบรมสัง่ สอน การดูแลด้วยการเอาใจใส่ สถานศึกษาจะตอ้ ง
คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเดก็ นกั เรยี นเป็นหลัก ให้เด็กนกั เรียนได้อยูใ่ นสภาพแวดลอ้ มทางการศึกษาทีม่ ี
ความปลอดภัย การจัดการเรียนการสอนต้องครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ และคุณลักษณะ
อันพงึ ประสงค์ รวมทงั้ สอนทักษะชีวิตที่จำเปน็ สำหรับการใชช้ ีวิตทป่ี ลอดภัยและมีคณุ ภาพ ตรงตามจุดมุง่ หมาย
ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) คือ มุ่งพัฒนา
ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความรู้ คู่คุณธรรม มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ นั่นคือ
เดก็ นักเรียนไดร้ บั การพฒั นาใหเ้ ป็น “คนดี เก่ง และมคี วามสุข”
นอกจากนี้ ครูต้องบูรณาการเนื้อหาความรู้ และพัฒนาคุณภาพเด็กนักเรียนให้มีความพร้อม
อย่างเป็นองค์รวม โดยการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเด็กนักเรียน และแก้วิกฤติทางสังคม สถานศึกษาต้องจัด
ระบบงาน กิจกรรมที่ส่งเสริมความประพฤตใิ หเ้ หมาะสม ความรับผิดชอบต่อสงั คม และความปลอดภัยให้กับ
เดก็ นักเรียน นำระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของเดก็ นักเรียน โดยการนำกระบวนการ
ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ขั้นตอน ได้แก่ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรยี น
การส่งเสริมนักเรียน การป้องกัน และแก้ไขปัญหา และการส่งต่อ ไปใช้ในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม
เด็กนักเรียนจะต้องได้รับการพทิ ักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง และดูแล โดยมีผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากร
ทางการศกึ ษาในสถานศึกษาเปน็ แบบอย่างทดี่ ใี นการดำเนินชวี ติ
การสร้างความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียน เป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่สุดที่สถานศึกษาจะต้อง
ดำเนินการ โดยต้องจดั ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของสถานศึกษา ผู้บรหิ ารสถานศึกษา และครู เปน็ ผู้มีความสำคัญ
ที่สุดในการขับเคลื่อนเพื่อคุ้มครองดูแลเด็กนักเรียน สถานศึกษาเป็นสถานที่ที่มีความใกล้ชิดกับเด็กนักเรียน
ดังนั้นในการสร้างความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย เพื่อให้เกิด
ความปลอดภยั กบั เด็กนกั เรียนอย่างแท้จริง สถานศกึ ษาตอ้ งสง่ เสรมิ และพฒั นาใหเ้ ดก็ นกั เรียนเติบโตอย่างเต็ม
ศักยภาพด้วยการสร้างความปลอดภัยในชีวิตของเดก็ นกั เรียน รวมทั้งการปกปอ้ ง คมุ้ ครอง และช่วยเหลือเด็ก
นกั เรียนจากอนั ตรายต่าง ๆ ทงั้ ทางด้านรา่ งกายและจิตใจ การสรา้ งความปลอดภยั ให้กับเดก็ นกั เรียนย่อมส่งผล
ต่อคณุ ภาพการเรยี นของเดก็ นกั เรยี น สามารถดำรงชวี ติ อยู่ในสังคมไดอ้ ย่างเปน็ สขุ ซ่งึ จะนำไปสูก่ ารพฒั นาชวี ิต
ท่ีดี และเป็นกำลังสำคญั ในการพฒั นาประเทศต่อไป
คู่มอื ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 2
คำนยิ ามเก่ียวกบั การคมุ้ ครองและชว่ ยเหลอื เด็กนกั เรียน
การคุ้มครอง หมายถึง การดูแลช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่เสี่ยง หรือต้องสงสัยว่าถูกกระทำรุนแรง
หรือล่วงละเมิด เด็กนักเรียนที่ถูกกระทำรุนแรง หรือถูกลว่ งละเมิด และเด็กนักเรียนทีก่ ระทำรุนแรง หรือล่วง
ละเมิดต่อบุคคลอื่น โดยมีระบบและขั้นตอนการปฏิบัติที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียน
เปน็ หลักสอดคล้องกบั หลักปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย และหลกั ปฏบิ ตั ทิ ่มี มี าตรฐาน
การช่วยเหลือ หมายถึง การส่งเสริม พัฒนา การป้องกัน และแก้ไขปัญหา เพื่อให้เด็กนักเรียนได้
พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ มีคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ มภี มู คิ ุ้มกันทางจติ ใจที่เขม้ แขง็ มคี ณุ ภาพชีวติ ที่ดี มีทักษะ
การดำรงชีวติ และรอดพ้นจากวิกฤตท้ังปวง
เดก็ หมายถงึ บุคคลซึ่งมีอายุตำ่ กวา่ สบิ แปดปีบริบูรณ์ แตไ่ มร่ วมถึงผู้ทบ่ี รรลุนิตภิ าวะด้วยการสมรส
นกั เรยี น หมายถึง เดก็ ซึ่งกำลังรับการศกึ ษาที่อยใู่ นความดูแลของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษา
ขัน้ พนื้ ฐาน
เด็กนักเรียน หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะ
ด้วยการสมรส และเป็นเด็กนักเรียนซึ่งกำลังรับการศึกษาที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
บดิ า มารดา หมายถึง บิดา มารดาของเดก็ นกั เรยี นไมว่ า่ จะสมรสกันหรอื ไม่
ผ้ปู กครอง หมายถึง บดิ า มารดา ผูอ้ นบุ าล ผู้รบั บุตรบุญธรรม และผปู้ กครอง ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ และให้หมายความรวมถึง พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง ผู้ปกครองสวัสดิภาพ นายจ้าง ตลอดจนบุคคล
อน่ื ซ่งึ รบั เด็กนกั เรียนไวใ้ นความอปุ การะเลยี้ งดู หรือซงึ่ เดก็ นักเรียนอาศัยอยู่ด้วย
พนักงานเจ้าหน้าท่ี หมายถึง ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. 2546
ผู้บริหารสถานศึกษา หมายถึง บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่ง
ทงั้ ของรัฐและเอกชน
ผู้บรหิ ารระดบั จังหวัดสงั กัด สพฐ. หมายถึง ผ้อู ำนวยการสำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษา/
ผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา/ ผอู้ ำนวยการศนู ย์การศึกษาพิเศษจงั หวัด/ ผอู้ ำนวยการ
สำนกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวดั
ฉก.ชน.สพฐ. หมายถึง ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉก.ชน.สพป./สพม. หมายถึง ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเดก็ นักเรยี น สำนักงานเขตพ้นื ที่
การศึกษาประถมศึกษา/สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา
สถานศึกษา หมายถงึ สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัย โรงเรียนศูนย์การเรยี น วิทยาลัย สถาบัน มหาวทิ ยาลัย
หน่วยงานทางการศึกษา หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ หรือเอกชนที่มีอำนาจหน้าท่ี หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัด
การศกึ ษา
ทีมสหวิชาชีพ หมายถึง กลุ่มบุคคลที่ทำงานประสานความร่วมมือจากหลายสาขาวิชาชีพ
เพื่อมุ่งแก้ปัญหาอย่างมีระบบ เป็นกระบวนการอยู่บนพื้นฐานที่มีจุดประสงค์ และเป้าหมายเดียวกันในการ
ปฏิบัติงาน โดยมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อการประเมินสภาพการณ์ของปัญหา
และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งกระบวนการ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (OSCC) มูลนิธิต่าง ๆ นักจิตวิทยา
ค่มู ือระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี นและการจัดการเรยี นรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 3
นกั สังคมสงเคราะห์ แพทย์ พยาบาล เจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสุข เจา้ พนกั งานสว่ นท้องถน่ิ พนักงานเจา้ หนา้ ท่ตี ำรวจ
องค์กรเพ่ือการกุศล บา้ นพักเดก็ และครอบครวั สำนกั งานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนษุ ย์ เปน็ ต้น
ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (OSCC) หมายถึง ศูนย์ช่วยเหลือสังคมภายใต้ชื่อ OSCC (One Stop Crisis
Center) เป็นศูนย์บริการประชาชน ผู้ประสบปัญหาที่มีลักษณะบูรณาการและครบวงจร โดยมีหน้าท่ี
รับแจ้งเหตุ เบาะแส ประสาน ส่งต่อ และติดตามการใช้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
การค้ามนษุ ย์ การใช้แรงงานเด็ก การกระทำความรนุ แรงต่อเด็กสตรี ผสู้ งู อายุ และคนพกิ าร
กระบวนการและบทบาทคุ้มครองชว่ ยเหลอื เด็กนักเรียน
การคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สถานศึกษาและครูต้องมีความตระหนักและเห็นความสำคัญ
ในการปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เพื่อเด็กนักเรียนจะได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้
เดก็ นักเรยี นเตบิ โตอย่างมีศักยภาพ ทง้ั ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา สามารถดำรงชีวิตอยู่
ได้อย่างมีความสุข ดังนั้น ครูและสถานศึกษาจะต้องมีกระบวนการดำเนินงานคุ้มครอง และช่วยเหลือ
เด็กนักเรียน ดงั นี้
ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดำเนินงานดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนอย่างเปน็ ระบบ
มขี ัน้ ตอน มคี รทู ีป่ รกึ ษาเปน็ บุคลากรหลักในการดำเนินงาน โดยการมสี ว่ นรว่ มของบุคลากรทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง
ทั้งภายในและนอกสถานศึกษา ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ผู้บริหาร และครูทุกคน
มีวิธกี ารและเครอ่ื งมอื ท่ชี ัดเจน มีมาตรฐานคณุ ภาพ และมีหลักฐานการทำงานทีต่ รวจสอบได้
คู่มือระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียนและการจัดการเรยี นรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 4
การบรหิ ารจดั การระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น
สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2
นโยบาย/กฎหมาย กำหนดทศิ ทาง/กลยุทธ์ - วิเคราะห์สภาพปัญหา P
ท่เี ก่ยี วข้อง - ศกั ยภาพของสถานศกึ ษา
มาตรฐาน/จุดเน้น - บริการชมุ ชน
การวางระบบและแผนการ คณะกรรมการดำเนนิ งาน D
ดำเนินการ - ทมี นำ ผอ.สพป./รองสพป.
- ทมี ทำ กลุม่ ส่งเสรมิ การจดั การศกึ ษา
ขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน - ทีมประสบการณ์
1. ศกึ ษาขอ้ มลู จากสถานศกึ ษา
2. คดั กรองสภาพปญั หา - เจา้ หน้าทผ่ี ู้รับผดิ ชอบโดยตรง
3. การส่งเสริมและพฒั นา - เจา้ หน้าที่ พสน.
4. การปอ้ งกนั และช่วยเหลอื
5. การสง่ ต่อ
การนเิ ทศ กำกับ ติดตามและ วจิ ยั C
ประเมินผล A
ปรบั ปรุง พัฒนา เปน็ มาตรฐาน
ชอง สพป.พิจิตร เขต 2
คู่มอื ระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรียนและการจดั การเรียนรูใ้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 5
กระบวนการและขัน้ ตอนของระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี น มีองค์ประกอบ 5 ประการ คอื
1. การร้จู กั นักเรียนเปน็ รายบุคคล
2. การคดั กรองนกั เรยี น
3. การป้องกนั และแก้ไขปญั หา
4. การพัฒนาและส่งเสรมิ นักเรยี น
5. การส่งตอ่
1. การรูจ้ กั นักเรียนเปน็ รายบคุ คล
ด้วยความแตกตา่ งของนกั เรยี นแต่ละคนทีม่ พี ้นื ฐานความเป็นมาของชวี ิตทไ่ี ม่เหมอื นกนั หล่อหลอม
ให้เกิดพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้น การรู้จักข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับ
ตัวนกั เรยี น จงึ เปน็ ส่งิ สำคัญทจ่ี ะชว่ ยใหค้ รทู ี่ปรกึ ษามีความเข้าใจนกั เรียนมากข้ึน สามารถนำขอ้ มูลมาวิเคราะห์
เพือ่ การคัดกรองนกั เรยี น เปน็ ประโยชนใ์ นการส่งเสรมิ การปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาของนกั เรยี นไดอ้ ย่างถกู ทาง
ซ่งึ เปน็ ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ มใิ ชก่ ารใช้ความรสู้ ึกหรอื การคาดเดา โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหานกั เรยี น ซง่ึ จะทำ
ใหไ้ มเ่ กดิ ข้อผิดพลาดตอ่ การชว่ ยเหลือนักเรียนหรือเกดิ ไดน้ อ้ ยที่สุด
2. การคัดกรองนกั เรยี น
การคัดกรองนักเรียน เป็นการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวนักเรียน เพื่อการจัดกลุ่มนักเรียน
อาจนิยามกลุ่มได้ 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มปกติ คอื นกั เรียนที่ได้รบั การวิเคราะห์ข้อมูลตา่ ง ๆ ตามเกณฑก์ ารคัดกรองของโรงเรียนแล้ว
อยใู่ นเกณฑ์ของกลมุ่ ปกติ ซ่งึ ควรได้รบั การสรา้ งเสริมภมู คิ มุ้ กันและการส่งเสริมพัฒนา
กลุ่มเส่ียง คือ นักเรยี นท่จี ัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเส่ยี งตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน
ซง่ึ โรงเรยี นต้องให้การป้องกนั หรือแกไ้ ขปญั หาตามแตก่ รณี
กลุ่มมีปัญหา คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มมีปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน
ซึง่ โรงเรียนต้องชว่ ยเหลือและแกป้ ญั หาโดยเรง่ ด่วน
กลุ่มพิเศษ คือ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ มีความเป็นอัจฉริยะ แสดงออกซึ่งความสามารถ
อันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน อย่างเป็นที่ประจักษ์เมื่อเทียบกับผู้มีอายุในระดับเดียวกันภายใต้
สภาพแวดล้อมเดียวกนั ซง่ึ โรงเรียนต้องใหก้ ารสง่ เสริมนกั เรียนได้พัฒนาศกั ยภาพความสามารถพเิ ศษน้ันจนถึง
ขนั้ สูงสดุ
การจัดกลุ่มนักเรียนนี้ มีประโยชน์ต่อครูที่ปรึกษาในการหาวิธีการเพื่อดูแลช่วยเหลือนักเรียนได้
อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับปัญหาของนักเรียนยิง่ ขึ้น และมีความรวดเร็วในการแก้ไข
ปัญหา เพราะ มขี ้อมูลของนกั เรยี นในด้านต่าง ๆ ซง่ึ หากครูท่ปี รึกษาไมไ่ ด้คัดกรองนกั เรียนเพ่ือการจัดกลุ่มแล้ว
ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อการแก้ไขปัญหาของนักเรียนจะมีนอ้ ยลง มีผลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ
ซง่ึ บางกรณจี ำเป็นตอ้ งแกไ้ ขโดยเรง่ ดว่ น
คู่มอื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นรใู้ นสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 6
3. การป้องกันและแก้ไขปญั หา
ในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูควรให้ความเอาใจใส่กับนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
แต่สำหรับนักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหานั้น จำเป็นอย่างมากที่ต้องให้ความดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและหา
วิธกี ารช่วยเหลือท้ังการปอ้ งกัน และการแก้ไขปัญหา โดยไมป่ ลอ่ ยปละละเลยนักเรียนจนกลายเป็นปัญหาของ
สังคม การสร้างภูมิคุ้มกัน การป้องกัน และแก้ไขปัญหาของนักเรียน จึงเป็นภาระงานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่า
อย่างมากในการพฒั นาให้นักเรยี นเตบิ โตเป็นบุคคลทมี่ คี ุณภาพของสังคมตอ่ ไป
การป้องกันและการแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียนนั้นมีหลายเทคนิค วิธีการ แต่สิ่งที่ครูประจำชั้น/
ครูที่ปรึกษา จำเปน็ ต้องดำเนนิ การ มีอย่างน้อย 2 ประการ คอื
1. การใหค้ ำปรกึ ษาเบอื้ งต้น
2. การจัดกิจกรรมเพื่อปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หา
4. การพฒั นาและสง่ เสรมิ ผเู้ รยี น
การพฒั นาและส่งเสริมนักเรียนเป็นการสนับสนุนใหน้ ักเรยี นทุกคน ไม่ว่าจะเปน็ นักเรียนกลุ่มปกติ
หรือกลมุ่ เสีย่ ง/มีปัญหา กลุ่มความสามารถพเิ ศษ ใหม้ ีคุณภาพมากขน้ึ ไดพ้ ัฒนาเต็มศกั ยภาพ มีความภาคภมู ิใจ
ในตนเองในดา้ นต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันมใิ ห้นักเรยี นที่อยูใ่ นกลุ่มปกติและกลุ่มพิเศษกลายเป็นนกั เรียนกลมุ่
เสี่ยง/มีปัญหา และเป็นการช่วยให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหากลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติและมีคุณภาพ
ตามมาตรฐานทโี่ รงเรียนหรือชุมชนคาดหวงั ต่อไป
การส่งเสรมิ พฒั นานกั เรียนมีหลายวธิ ีที่โรงเรียนสามารถพิจารณาดำเนนิ การได้ แต่มีกิจกรรมหลัก
สำคัญที่โรงเรียนตอ้ งดำเนินการ คอื
1. การจัดกจิ กรรมโฮมรูม
2. การเย่ียมบ้าน
3. การจัดประชุมผู้ปกครองชนั้ เรยี น (Classroom Meeting)
4. การจดั กิจกรรมเสรมิ สร้างทักษะการดำรงชีวติ และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น
5. การสง่ ตอ่
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนโดยครูที่ปรึกษา อาจมีกรณีที่บางปัญหามีความยาก
ตอ่ การชว่ ยเหลอื หรอื ช่วยเหลอื แล้วนักเรยี นมพี ฤติกรรมไม่ดขี ึน้ ก็ควรดำเนนิ การสง่ ต่อไปยงั ผู้เช่ียวชาญเฉพาะ
ดา้ นต่อไป เพอื่ ใหป้ ญั หาของนกั เรยี นได้รับการช่วยเหลอื อย่างถกู ทางและรวดเรว็ ข้ึน หากปลอ่ ยให้เป็นบทบาท
หน้าที่ของครูที่ปรึกษา หรือครูคนใดคนหนึ่งเพียงลำพังความยุ่งยากของปัญหาอาจมีมากขึ้น หรือลุกลาม
กลายเป็นปัญหาใหญ่โตจนยากต่อการแก้ไข ซึ่งครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษาสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่
กระบวนการรูจ้ ักนักเรียนเป็นรายบคุ คล หรือการคดั กรองนกั เรยี น ทั้งนีข้ ึน้ อยู่กับลกั ษณะปัญหาของนกั เรียน
ในแตล่ ะกรณี
5. การส่งตอ่ แบ่งเป็น 2 แบบ คอื
1. การสง่ ต่อภายใน ครทู ่ีปรึกษาส่งตอ่ ไปยงั ครูทสี่ ามารถใหก้ ารช่วยเหลอื นกั เรียนได้ ทง้ั นข้ี นึ้ อยู่กับ
ลักษณะปญั หา เชน่ ส่งตอ่ ครแู นะแนว ครพู ยาบาล ครปู ระจำวชิ า หรือฝ่ายปกครอง
2. การส่งต่อภายนอก ครูแนะแนวหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้ดำเนินการส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ
ภายนอก หากพจิ ารณาเหน็ ว่าเป็นกรณีปัญหาที่มีความยากเกินกวา่ ศักยภาพของโรงเรยี นจะดูแลช่วยเหลอื ได้
คูม่ ือระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรียนและการจดั การเรยี นรูใ้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 7
กระบวนการดำเนนิ งานคุม้ ครองและชว่ ยเหลือเดก็ นักเรยี น
การดำเนนิ การคุม้ ครองและชว่ ยเหลือเดก็ นกั เรียนเปน็ กระบวนการท่ีมีข้นั ตอน วธิ ีการปฏิบัติงานและ
เครื่องมือ โดยมีผู้บริหารสถานศึกษา ครูเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงาน และบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในและนอกสถานศึกษา ไดแ้ ก่ ผู้ปกครอง ชมุ ชน คณะกรรมการสถานศกึ ษา มีส่วนรว่ มในการคุ้มครองและ
ชว่ ยเหลอื เดก็ นกั เรยี น ซงึ่ มีกระบวนการ ดังต่อไปนี้
1. ผ้บู ริหารสถานศึกษา ครูที่ไดร้ ับแจ้งเหตุ หรือประสบเหตุ
2. บันทกึ ขอ้ มูลตามแบบรายงาน ฉก.01 รายงานเหตุการณ์ และแจ้งไปยงั ศูนยเ์ ฉพาะกิจคุ้มครองและ
ช่วยเหลือเด็กนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากกรณีต้องการพนักงานเจ้าหน้าท่ี
ให้แจง้ ตามสภาพปัญหาที่ตอ้ งการชว่ ยเหลือ เชน่ ผูม้ ีหน้าทคี่ มุ้ ครองสวัสดิภาพเดก็ นกั เรียนตามพระราชบัญญัติ
คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 24 ตำรวจ พนักงานฝ่ายปกครอง โรงพยาบาล เปน็ ตน้
3. ผ้ทู ไ่ี ด้รบั แจง้ เหตุ ดำเนนิ การชว่ ยเหลือดา้ นร่างกายและจติ ใจ พร้อมประเมนิ สถานการณเ์ บื้องตน้
โดยทนั ที
4. ใหก้ ารคุ้มครองและชว่ ยเหลือเด็กนักเรียนโดยคำนงึ ถึงความปลอดภัยของเดก็ นักเรยี น
5. กรณีเด็กนักเรียนมีความเสี่ยงต้องได้รับการคุ้มครอง ให้จัดเจ้าหน้าที่ให้ความคุ้มครองขั้นต้ น
กับเด็กนักเรียน ผู้ประสบเหตุ ซ่งึ จะตอ้ งคำนงึ ถึงผลความปลอดภยั ของเดก็ นักเรียน พรอ้ มดำเนินการหาข้อมูล
ข้อเท็จจริง และกรณีเร่งดว่ นให้รายงานหนว่ ยงานตน้ สังกัดทนั ที
6. กรณเี ดก็ นกั เรียนพึงไดร้ บั การสงเคราะห์ ใหเ้ จา้ หนา้ ทสี่ ง่ ต่อไปรบั บริการสงเคราะห์
7. ประสานข้อมลู จัดทำ/ จัดเกบ็ ข้อมลู สถานศกึ ษา และรายงานไปยัง สพป./ สพม./ สพฐ. และ
ผูเ้ กยี่ วขอ้ งทราบ
8. รายงานและประสานความร่วมมอื เพอื่ สง่ ตอ่ ความรบั ผดิ ชอบดา้ นขอ้ มูลแกผ่ ู้เกีย่ วข้อง
9. ตดิ ตามสถานการณ์ ทบทวนการดำเนินงาน และรายงานสถานการณ์ต่อศูนย์เฉพาะกจิ คุม้ ครอง
และช่วยเหลอื เดก็ นกั เรยี น
บทบาทการคุ้มครองช่วยเหลือเดก็ นักเรยี น 8
บทบาทของครู
1. ใหก้ ารศกึ ษาแก่เดก็ นักเรียน โดยมุ่งพัฒนาผเู้ รียนใหเ้ ป็นคนดี มีปญั ญา และมคี วามรู้
2. จดั ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี น 5 ขน้ั ตอน และใหค้ ำปรึกษากบั เด็กนักเรียน
3. จัดสิ่งแวดล้อมและเฝ้าระวงั ปัจจัย/ พื้นที่เสย่ี งดา้ นสังคมรอบ ๆ ตวั เด็กนกั เรยี น
4. จดั กจิ กรรมส่งเสรมิ สนับสนุนทั้งในและนอกชัน้ เรยี น
5. ดูแลสุขภาพเด็กนักเรยี นขณะอยู่ในสถานศึกษา
6. สง่ เสรมิ ให้พ่อ แม่ และผูป้ กครองมสี ่วนร่วมในการดำเนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของสถานศึกษา
7. ครูและผปู้ กครองมีส่วนรว่ มในการดแู ลเดก็ นักเรียน
8. สรา้ งเครือขา่ ย/ประสานความร่วมมือในการค้มุ ครองและชว่ ยเหลอื เดก็ นกั เรยี น
9. มีเครอื่ งมอื ในการตดิ ตามสภาวะเดก็ นักเรียน
10. ให้ความชว่ ยเหลอื เด็กนกั เรยี นเบอ้ื งต้นในกรณีที่เกิดเหตกุ ารณ์ผิดปกตกิ ับเดก็ นักเรียน
11. รายงานต่อ สพป./ สพม. เมือ่ พบเหตคุ วามผิดปกติ
คมู่ ือระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียนและการจดั การเรยี นรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19
บทบาทสถานศึกษา
1. ผู้บริหารสถานศึกษาตระหนัก และให้ความสำคญั ในการคุ้มครองและช่วยเหลือเดก็ นักเรยี นท้งั ใน
และนอกสถานศึกษา
2. สถานศึกษาจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเข้มแข็ง โดยจัดระบบคัดกรอง ระบบการ
เข้าถงึ สภาวะปัญหาของเดก็ นกั เรียน ระบบการประเมนิ สภาวะปญั หา และระบบการให้คำปรึกษา
3. ป้องกันและเฝ้าระวงั เพือ่ ไม่ให้เด็กนกั เรยี นเสีย่ งตอ่ ภยั อันตราย ป้องกนั ให้เดก็ นักเรียนปลอดภยั จาก
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและบุคคล โดยสถานศึกษาจะต้องหามาตรการป้องกัน แก้ไขบริเวณเสี่ยงอันตราย
และมรี ะบบกฎเกณฑค์ วามปลอดภยั ท่ีเหมาะสม
4. จดั ระบบงานและกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนและผู้มสี ่วนรว่ ม
5. ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาจะตอ้ งแจง้ เหตุ พร้อมทั้งรายงาน สพป./ สพม. ทราบ
ค่มู ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 9
บทที่ 3
แนวทางการคุ้มครองและช่วยเหลอื เด็กนักเรยี น
ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควดิ -19
1. การคุ้มครองเดก็ นักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควดิ -19
การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าสายพนั ธ์ุใหม่หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ได้รับการประกาศ
จากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) ให้เป็น “ภาวะการแพร่ระบาดใหญ่ระดับ
โลก” (Pandemic) ภายหลังจากที่มีการแพร่ระบาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย และมี
แนวโน้มจะรุนแรงและขยายวงกวา้ งขึ้นเรอื่ ย ๆ
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัว มีทั้งที่ส่งผล
ในระยะสั้น ซึ่งรวมถึงความวิตกกังวลต่อการติดโรค การเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล การหยุด
ให้บริการบางอย่าง เช่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การถูกจำกัดการออกจากบ้าน และผลกระทบใน
ระยะยาว เช่น การเสยี ชวี ิตจากโรคระบาด การตกงาน และขาดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ เปน็ ตน้ ซ่งึ ล้วนมีผล
ต่อความสามารถในการจัดการและความเครียดที่เกิดข้นึ ภายในครอบครวั ทำใหเ้ กิดความเสี่ยงต่อความเป็นอยู่
ท่ดี ขี องตัวเด็ก ครอบครวั และชมุ ชนได้
1.1 ผลกระทบดา้ นการคุ้มครองเดก็ นกั เรยี นทอี่ าจเกิดข้นึ ในชว่ งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
• ผลกระทบต่อตัวเด็กนักเรยี น-เด็กนักเรียนได้รบั ผลกระทบทางจิตใจ/พัฒนาการ รวมถึงมีความ
เสย่ี งตอ่ การเล้ยี งดูทีไ่ ม่เหมาะสมเพม่ิ มากข้นึ ทั้งการปล่อยปละละเลย การใช้ความรนุ แรง (ท้ังต่อเด็กนักเรียน
และระหว่างคนในครอบครวั ) และการแสวงประโยชน์จากเดก็ นกั เรยี น หรอื การขาดผดู้ แู ล
• ผลกระทบตอ่ ผูด้ แู ล-ผลกระทบทางความเครยี ด (กังวลในการตดิ โรค) และดา้ นสภาวะเศรษฐกจิ
• ผลกระทบต่อชุมชน-ในสภาวการณข์ องโรคระบาด อาจเกดิ ความไมไ่ ว้เน้ือเช่ือใจในชุมชน ส่ิงของ
ขาดแคลน มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการบริการพื้นที่การศึกษา พื้นที่เล่นสำหรับเด็กนักเรียน และมีการเลือก
ปฏบิ ตั ิกับคนบางกล่มุ
1.2 สิ่งท่ตี ้องคำนงึ ถงึ ในการคุ้มครองและดูแลเดก็ นกั เรียน
• การทำงานเชิงลึก เพื่อให้ความรู้กับเด็กนักเรียน ครอบครัวและชมุ ชน เพื่อลดผลกระทบเชิงลบ
ที่อาจเกดิ ขึ้น
• การทำงานร่วมกบั เครอื ขา่ ยเพ่อื สอดส่องความเปน็ อยู่ของเด็กนกั เรยี นและครอบครวั ในพ้นื ที่
• มาตรการดูแลด้านจิตสังคมสำหรับครอบครวั และเด็กนกั เรียน ทมี่ ีความเหมาะสมตามช่วงวยั
• มาตรการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กนักเรียนและครอบครัว หากเด็กนักเรียนถูกแยกจาก
ครอบครัว
• มาตรการดูแลไมใ่ หเ้ กิดการใชค้ วามรุนแรงระหวา่ งเด็กนักเรยี นในชว่ งภาวะท่มี คี วามเครียด
คูม่ อื ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจดั การเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 10
2. สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพิจติ ร เขต 2 กับกลุม่ เดก็ นักเรยี นและครอบครัว
ทีต่ อ้ งการคุม้ ครองจากผลกระทบของโรคโควดิ -19
2.1 บทบาทการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเด็กนกั เรียนในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคโควดิ -19
• บทบาทของสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษา
1) วางแผนและจัดทำแผนการดําเนนิ งานของสำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา เพอื่ ขับเคลอื่ นการ
จดั การศึกษาในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 ไปสู่การปฏบิ ตั ิ
2) ประสานการทำงานรว่ มกับสถานศกึ ษา
3) นิเทศ กำกับ ตดิ ตาม และประเมนิ ผลการจัดการศึกษาในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรค
โควิด-19 ใหเ้ ป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพและมคี ณุ ภาพ
4) ดูแล ช่วยเหลือ สนับสนุน และแก้ปัญหาร่วมกันกบั โรงเรียนตามความเหมาะสมของแต่ละ
บริบท
5) สรปุ และรายงานผลการดําเนินงานตอ่ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
6) ปฏิบัตหิ นา้ ทอ่ี ื่น ๆ ตามประกาศของ ศบค. ทุกระดับ
• บทบาทของสถานศกึ ษา
1) จัดโต๊ะ เก้าอี้ หรอื ท่นี ง่ั ให้มกี ารเว้นระยะหา่ งระหว่างบุคคล อยา่ งนอ้ ย 2 เมตร
2) มีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องเหมาะสมกบั สถานการณ์ เช่น เหลื่อมเวลาเรียน และการเรียน
กล่มุ ยอ่ ย
3) จดั ให้มีการระบายอากาศท่ดี ี อากาศถา่ ยเทและทำความสะอาดโตะ๊ เก้าอี้ อุปกรณก์ ารเรียน
ทกุ ครั้ง และจุดสัมผสั เสีย่ ง กอ่ น - หลงั ใชง้ าน
4) จัดให้มหี นา้ กากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ หรือจุดล้างมือตามจดุ ต่าง ๆ ทจ่ี ำเปน็
5) จำกดั จำนวนผูใ้ ช้งาน หรอื ลดระยะเวลาทำกจิ กรรม หรือเหลื่อมเวลา
6) ปฏิบัตหิ น้าที่อ่นื ๆ ตามประกาศของสำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพิจติ ร เขต 2
และ ศบค. ทุกระดบั
• บทบาทของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
1) ขน้ั เตรยี มความพรอ้ ม
- วางแผนการดำเนินงานการจัดการศกึ ษาในสถานการณ์โรคโควดิ -19
- ประกาศนโยบายและแนวปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดตั้งคณะทำงานดำเนินการป้องกนั การแพร่
ระบาดของโรคโควิด-19
- สำรวจความพร้อม
- วางแผนพฒั นาให้ความชว่ ยเหลือคณะครู นกั เรียน และผ้ปู กครอง
- ประชาสัมพันธ์การป้องกันโรคโควิด-19 เกี่ยวกับนโยบาย มาตรการการปฏิบัติตน
การจัดการเรยี นการสอนให้กบั ผ้เู กย่ี วขอ้ ง และลดการตีตราทางสงั คม (Social stigma)
- ประสานงานหน่วยงานภายนอก
- จัดหาสือ่ อำนวยความสะดวกแกค่ ณะครู
- จดั งบประมาณสนับสนนุ
- เพิม่ ชอ่ งทางการสอ่ื สาร
- สรา้ งขวญั กำลังใจแกค่ ณะครู นกั เรยี น และผู้ปกครอง
ค่มู อื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรยี นรู้ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 11
2) ขัน้ กำกบั ตดิ ตาม ช่วยเหลอื แกป้ ัญหา
- มมี าตรการคดั กรองสุขภาพทกุ คน บริเวณจดุ แรกเข้าไปในสถานศึกษา (Point of entry)
- ควบคมุ ตรวจสอบ การจดั การเรียนการสอน ควรพิจารณาการจดั ใหน้ กั เรยี นสามารถ
เขา้ ถึงการเรียนการสอนท่มี คี ณุ ภาพเหมาะสมตามบรบิ ทไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง รวมถึงการติดตามนักเรยี นขาดเรยี น
ลาปว่ ย
- ติดต่อสื่อสารกบั ผูป้ กครอง และนกั เรียน เพื่อชว่ ยเหลอื ติดตาม แกป้ ญั หา และมีมาตรการ
ให้นกั เรียนไดร้ ับอาหารกลางวันและอาหารเสรมิ นมตามสทิ ธทิ ีค่ วรได้รับ กรณีพบอยใู่ นกลมุ่ เสยี่ งหรอื กกั ตวั
- กรณีพบนักเรียน ครู บุคลากร หรือผู้ปกครองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยยืนยันเข้ามา
ในสถานศึกษา ให้รีบแจง้ เจา้ หน้าทสี่ าธารณสุขในพนื้ ที่
- นัดพบครู อย่างนอ้ ยสัปดาหล์ ะ 1 คร้งั
3) ข้ันประเมินผลการเรียนการสอน
- ตรวจบันทึกการจัดการเรยี นการสอน
- การวดั และประเมนิ ผลการเรียนร้ใู หย้ ึดหยุ่นตามสถานการณ์
- ควบคุม กำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และ
ตอ่ เน่ือง
- วิเคราะหผ์ ลการดำเนินงาน เพื่อพฒั นาปรับปรุง แก้ไข
- รายงานผลการจัดการเรียนการสอนตอ่ สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษา
• บทบาทของครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา
1) ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พื้นที่เสี่ยง คำแนะนำ
การป้องกนั ตนเอง และลดความเสี่ยงจากแหลง่ ข้อมลู ทีเ่ ช่ือถือได้
2) สังเกตอาการป่วยของตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เหนื่อย
หอบ ไม่ได้กลิน่ ไมร่ รู้ ส ใหห้ ยดุ ปฏบิ ตั งิ านและรีบไปพบแพทยท์ นั ที กรณคี นในครอบครัวป่วยดว้ ยโรคโควิด-19
หรอื กลบั จากพ้นื ทีเ่ สย่ี งและอยูใ่ นชว่ งกักตัว ใหป้ ฏิบตั ิตามคำแนะนำของเจา้ หนา้ ทส่ี าธารณสุขอยา่ งเครง่ ครัด
3) ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ได้แก่ ล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากผ้า หรือ
หน้ากากอนามยั และเวน้ ระยะห่างระหว่างบุคคล หลีกเล่ยี งการไปในสถานทีท่ ่ีแออัดหรือแหล่งชุมชน
4) แจ้งผู้ปกครองและนักเรียนให้นำของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์ป้องกันมาใช้เป็นของตนเอง พร้อมใช้
เชน่ ชอ้ น สอ้ ม แกว้ น้ำ แปรงสฟี ัน ยาสีฟนั ผ้าเช็ดหน้า หน้ากากผ้า หรือหนา้ กากอนามัย เปน็ ตน้
5) จัดหาสื่อประชาสมั พันธใ์ นการป้องกัน และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ให้แกน่ กั เรียน เชน่ สอนวิธีการลา้ งมอื ที่ถูกต้อง การสวมหนา้ กากผ้าหรือหน้ากากอนามัย คำแนะนำการปฏิบัติตน
การเว้นระยะหา่ งทางสังคม การทำความสะอาด หลกี เลีย่ งการทำกจิ กรรมร่วมกันจำนวนมากเพ่อื ลดความแออดั
6) ทำความสะอาดสื่อการเรียนการสอน หรืออุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกัน ที่เป็นจุดสัมผัส
เสี่ยงทุกครงั้ หลงั ใชง้ าน
7) ควบคุมดูแลการจัดที่นั่งในห้องเรียน ระหว่างโต๊ะเรียน ที่นั่งในโรงอาหาร การจัดเว้น
ระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 2 เมตร หรือเหลื่อมเวลาพักกินอาหารกลางวัน และกำชับให้นักเรียน
สวมหนา้ กากผา้ หรือหนา้ กากอนามัยตลอดเวลา และลา้ งมือบอ่ ย ๆ
8) ตรวจสอบ กำกับ ติดตามการมาเรียนของนกั เรียน ขาดเรียน ถูกกักตัว หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงตอ่
การตดิ โรคโควิด-19 และรายงานตอ่ ผู้บรหิ าร
9) ตรวจคัดกรองสขุ ภาพทกุ คนทเี่ ขา้ มาในสถานศึกษาตามข้นั ตอน
คมู่ ือระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี นและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 12
- กรณีพบนักเรียนหรือผู้มีอาการมีไข้ อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ ๓๗.๕ องศาเซลเซียสขึ้นไป
ร่วมกับอาการระบบทางเดนิ หายใจอย่างใดอย่างหน่ึง จัดใหอ้ ยใู่ นพืน้ ท่ีแยกส่วน ใหร้ ีบแจง้ ผู้ปกครองมารับและ
พาไปพบแพทย์ ให้หยุดพักที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณ สุขเพื่อประเมิน
สถานการณ์ และดำเนินการสอบสวนโรค และแจง้ ผ้บู ริหารเพ่อื พจิ ารณาการปิดโรงเรียนตามมาตรการแนวทาง
ของกระทรวงสาธารณสขุ
- บันทกึ ผลการคัดกรองและส่งตอ่ ประวัติการป่วย ตามแบบบนั ทกึ การตรวจสขุ ภาพ
- จัดอปุ กรณก์ ารล้างมือ พรอ้ มใช้งานอย่างเพยี งพอ เชน่ เจลแอลกอฮอลว์ างไว้บริเวณทางเขา้
สบู่ลา้ งมอื บรเิ วณอา่ งล้างมอื
10) กรณีครูสังเกตพบนักเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม เช่น เด็กสมาธิสั้น เด็กที่มีความวิตกกังวลสูง
อาจมีพฤติกรรมดูดนิ้วหรือกัดเล็บ ครูสามารถติดตามอาการและนำเข้าข้อมูลที่สังเกตพบในฐานข้อมูลด้าน
พฤตกิ รรมอารมณ์สงั คมของนักเรียน (หรอื ฐานข้อมลู HERO) เพื่อใหเ้ กิดการดูแลชว่ ยเหลือร่วมกับผเู้ ชย่ี วชาญด้าน
สุขภาพจติ ต่อไป
11) วิธีการปรับพฤติกรรมสำหรับนักเรียนที่ไม่ร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการที่ครูกำหนดด้วยการ
แก้ปญั หาการเรียนรใู้ หม่ให้ถูกต้อง นั่นคือ “สรา้ งพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค”์ หรือ “ลดพฤตกิ รรมท่ีไม่พึงประสงค์”
12) ครูสื่อสารความรู้เกี่ยวกับความเครียด ว่าเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นได้ในภาวะวิกฤติที่มีการ
แพรร่ ะบาดของโรคโควดิ -19 และนำกระบวนการการจัดการความเครียด การฝึกสติใหก้ ลมกลืน และเหมาะสมกับ
นักเรียนแต่ละวัย ร่วมกับการฝึกทักษะชีวิตที่เสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ (Resilience) ให้กับนักเรียน ได้แก่
ทักษะชีวิตดา้ นอารมณ์ สังคม และความคดิ เป็นต้น
• บทบาทของนกั เรียน
1) ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พื้นที่เสี่ยง คำแนะนำ
การป้องกนั ตนเอง และลดความเสี่ยงจากการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 จากแหล่งขอ้ มูลท่ีเชื่อถอื ได้
2) สงั เกตอาการปว่ ยของตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ มีนำ้ มูก เจบ็ คอ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ
ไมไ่ ดก้ ลิ่น ไมร่ รู้ ส รบี แจง้ ครูหรอื ผูป้ กครองให้พาไปพบแพทย์ กรณีมคี นในครอบครวั ป่วยด้วยโรคโควดิ -19 หรอื
กลับจากพื้นทเ่ี สียงและอยใู่ นช่วงกักตวั ใหป้ ฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหนา้ ทีส่ าธารณสุขอย่างเคร่งครดั
3) มีและใช้ของใช้ส่วนตัว ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ช้อน ส้อม แก้วน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน
ผ้าเช็ดหนา้ หน้ากากผา้ หรือหน้ากากอนามัย และทำความสะอาดหรอื เกบ็ ใหเ้ รียบรอ้ ยทุกครั้งหลงั ใช้งาน
4) กรณีนักเรียนดื่มน้ำบรรจุขวดควรแยกเฉพาะตนเอง และทำเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์
เฉพาะ ไมใ่ หป้ ะปนกับของคนอื่น
5) หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยวิธีล้างมอื 7 ขั้นตอน อย่างน้อย 20 วินาที ก่อนกินอาหาร หลังใช้
ส้วม หลีกเลี่ยงใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จำเป็น รวมถึงสร้างสุขนสิ ัยที่ดีหลังเล่นกบั เพื่อนเมอ่ื
กลับมาถึงบ้าน ต้องรบี อาบน้ำ สระผม และเปล่ียนเสอ้ื ผา้ ใหม่ทันที
6) เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อย่างน้อย 2 เมตร ในการทำกิจกรรมระหว่างเรียน ช่วงพัก
และหลงั เลกิ เรยี น เช่น นัง่ กนิ อาหาร เลน่ กบั เพอื่ น เขา้ แถวต่อควิ ระหว่างเดินทางอยบู่ นรถ
7) สวมหน้ากากผา้ หรือหนา้ กากอนามยั ตลอดเวลาท่ีอยู่ในโรงเรยี น
8) หลีกเลย่ี งการไปในสถานทท่ี ี่แออัดหรือแหล่งชุมชนทเ่ี สย่ี งต่อการตดิ โรคโควดิ -19
9) ดแู ลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการกนิ อาหารปรงุ สุก ร้อน สะอาด อาหารครบ 5 หมู่ ผัก ผลไม้
5 สี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงออกกำลังกายอย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน และนอนหลับอย่างเพียงพอ
9 - 11 ชวั่ โมงต่อวัน
คู่มอื ระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียนและการจดั การเรียนรูใ้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 13
10) กรณีนักเรียนขาดเรียนหรือถูกกักตัว ควรติดตามความคืบหน้าการเรียน อย่างสม่ำเสมอ
ปรกึ ษาครู เชน่ การเรยี นการสอน สื่อออนไลน์ อา่ นหนงั สอื ทบทวนบทเรยี น และทำแบบฝึกหดั ท่ีบ้าน
11) หลีกเลี่ยงการล้อเลียนความผิดปกติหรืออาการไม่สบายของเพื่อน เนื่องจากอาจจะ
กอ่ ให้เกิดความความหวาดกลวั มากเกินไปตอ่ การปว่ ย หรือการติดโรคโควิด-19 และเกิดการแบ่งแยกกีดกันใน
หมู่นักเรยี น
• บทบาทของผูป้ กครอง
1) ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พื้นที่เสี่ยง คำแนะนำ
การป้องกันตนเอง และลดความเสย่ี งจากการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 จากแหลง่ ข้อมลู ท่เี ช่อื ถือได้
2) สงั เกตอาการป่วยของตนเอง หากมอี าการไข้ ไอ มนี ้ำมกู เจบ็ คอ หายใจลำบาก เหนอ่ื ยหอบ
ไม่ไดก้ ลน่ิ ไมร่ รู้ ส ใหร้ บี พาไปพบแพทย์ ควรแยกเด็กไม่ใหไ้ ปเล่นกับคนอน่ื ใหพ้ ักผ่อนอยู่ท่ีบ้านจนกว่าจะหาย
เป็นปกติ กรณีมีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคโควิด-19 หรือกลับจากพื้นที่เสี่ยงอยู่ในช่วงกักตัวให้ปฏิบัติตาม
คำแนะนำของเจ้าหน้าท่สี าธารณสขุ อยา่ งเครง่ ครดั
3) จัดหาของใชส้ ่วนตวั ใหน้ กั เรียนอยา่ งเพียงพอในแตล่ ะวัน ทำความสะอาดทกุ วนั เช่น หนา้ กากผ้า
หรือหนา้ กากอนามยั ช้อน ส้อม แกว้ น้ำ แปรงสีฟัน ยาสฟี นั ผ้าเช็ดหนา้ ผ้าเชด็ ตวั
4) จัดหาสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์และกำากับดูแลนักเรียนให้ล้างมือบ่อย ๆ ก่อนกินอาหารหลังใช้
สว้ ม หลีกเลี่ยงการใชม้ ือสัมผสั ใบหนา้ ตา ปาก จมูก โดยไม่จำเป็น และสรา้ งสขุ นสิ ยั ทด่ี หี ลังเล่นกับเพอื่ น และเม่ือ
กลับมาถึงบ้าน ควรอาบนำ้ สระผม และเปลีย่ นชดุ เสอื้ ผ้าใหม่ทนั ที
5) ดูแลสุขภาพนักเรยี น จัดเตรียมอาหารปรุงสุกใหม่ ส่งเสริมให้กนิ อาหารรอ้ น สะอาด อาหารครบ
5 หมู่ ผัก ผลไม้ 5 สี ออกกำลังกายอย่างนอ้ ย 60 นาทีทุกวนั และนอนหลบั อย่างเพียงพอ 9 - 10 ชว่ั โมงตอ่ วนั
6) หลีกเลี่ยงการพานักเรียนไปในสถานเสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19 สถานที่แออัดที่มีการรวมกัน
ของคนจำนวนมาก หากจำเป็นต้องสวมหน้ากากผา้ หรือหนา้ กากอนามัย ล้างมือบอ่ ย ๆ 7 ขัน้ ตอน ด้วยสบู่และน้ำ
นาน 20 วินาที หรือใชเ้ จลแอลกอฮอล์
7) การเดินทางมาโรงเรียนของนักเรียนสำหรับนกั เรียนท่ีเดนิ ทางมาโรงเรยี น โดยรถโรงเรียน หรือ
รถอื่น ๆ ผู้ปกครองและโรงเรียนต้องขอความร่วมมือกับคนขับรถในการหามาตรการความปลอดภัยในขณะท่ี
นกั เรียนอยบู่ นรถ โดยเนน้ มาตรการทางสาธารณสขุ อย่างเคร่งครัด
8) กรณีมีการจัดการเรียนการสอนทางไกล ออนไลน์ ผู้ปกครองควรให้ความร่วมมือกับครูในการ
ดแู ลจดั การเรียนการสอนแก่นักเรียน เชน่ การส่งการบา้ น การรว่ มทำกจิ กรรม เปน็ ตน้
• บทบาทของแม่ครวั ผู้จำหน่ายอาหาร และผปู้ ฏิบตั งิ านทำความสะอาด
1) ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พื้นที่เสี่ยง คำแนะนำ
การป้องกนั ตนเอง และลดความเส่ียงจากการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 จากแหลง่ ขอ้ มูลทีเ่ ชอ่ื ถือได้
2) สังเกตอาการป่วยของตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ
ไม่ได้กลิ่นไม่รู้รส ให้หยุดปฏิบัติงาน และรีบไปพบแพทย์ทันที กรณีมีคนในครอบครัวป่วยดว้ ยโรคโควิด-19 หรือ
กลบั จากพืน้ ทเ่ี สี่ยงและอยู่ในชว่ งกกั ตัว ให้ปฏบิ ตั ิตามคำแนะนำของเจ้าหนา้ ท่สี าธารณสขุ อย่างเครง่ ครัด
3) ลา้ งมือบ่อย ๆ ก่อน – หลงั ปรงุ และประกอบอาหาร ขณะจำหนา่ ยอาหาร หลังสัมผัสสิ่งสกปรก
4) ขณะปฏิบัติงานของผู้สัมผัสอาหาร ต้องสวมหมวกคลุมผม ผ้ากันเปื้อน ถุงมือ สวมหน้ากากผ้า
หรอื หน้ากากอนามัย และปฏิบัติตนตามสขุ อนามัยสว่ นบุคคลทีถ่ กู ต้อง
5) ปกปิดอาหาร ใส่ถุงมือและใชท้ ค่ี บี หยิบจับอาหาร
คู่มอื ระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี นและการจดั การเรยี นรูใ้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 14
6) จัดเตรียมอาหารปรุงสกุ ใหม่ ใหน้ ักเรียนกิน ภายในเวลา 2 ชั่วโมง
7) ผู้ปฏิบัติงานทำความสะอาด ผู้ปฏิบัติงานเก็บขนขยะ ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเองและปฏิบัติ
ตามขั้นตอนการทำ ความสะอาดให้ถกู ตอ้ ง
2.2 บทบาทขององค์กรอืน่ ท่เี กย่ี วขอ้ งในงานคมุ้ ครองเดก็
เพอื่ ขับเคลื่อนงานด้านการคุม้ ครองเดก็ ของสำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษา พจิ ติ ร เขต 2
แล้วยังต้องมีการประสานหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้เห็นถึงบริการสนับสนุนที่มีอยู่ รวมถึง
นักวิชาชีพที่มีความหลากหลายอันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่มีความสำคัญในการจัดบริการด้านคุ้มครองเดก็
ซึ่งต้องอาศัยทีมสหวิชาชพี ทเี่ ข้มแขง็ โดยหนว่ ยงานท่ีเกยี่ วขอ้ งรวมถงึ
• หน่วยงานด้านสวัสดิการสังคม เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นงของมนุษย์จังหวัด
บ้านพักเด็กและครอบครัว ซี่งมพี นักงานเจ้าหน้าทีต่ ามพระราชบัญญัติคุม้ ครองเด็ก พ.ศ. 2546 สถานรองรบั
เด็กทง้ั ภาครัฐ และเอกชน
• หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล อำเภอ และจังหวดั
ศนู ย์พง่ึ ไดเ้ พื่อเด็กและสตรี ตง้ั อยใู่ นโรงพยาบาลระดับอำเภอ และจังหวัดทำหน้าท่ีในการตรวจรักษาทางกาย
และจิตแก่เด็กและสตรีท่ีถูกใช้ความรุนแรง รวมทั้งการช่วยเหลือเฉพาะทางจิตวิทยา บริการสงเคราะห์
ชว่ ยเหลือ และบริการทางกฎหมาย
• หนว่ ยงานดา้ นกฎหมายและความปลอดภัย เชน่ พนกั งานฝ่ายปกครอง ตำรวจ อยั การ ยตุ ธิ รรม
ศาล เยาวชนและครอบครัว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน
ทำหน้าทใ่ี นการคมุ้ ครองเดก็ เกย่ี วกบั การรบั รองสถานะบุคคล เด็กทีอ่ ยใู่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม และเด็กท่ตี อ้ งมี
การดำเนินการด้านกฎหมาย
• หน่วยงานอื่น ๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ องคก์ รพัฒนาเอกชน องค์กรศาสนา สภาเด็ก
และเยาวชน เครือข่ายอาสาสมคั ร ในการสนับสนุนการรณรงค์ การจัดกิจกรรมป้องกัน และการให้บริการแก่
เด็กและครอบครวั การแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ในงานคุ้มครองเด็ก ตอ้ งใชก้ ารประสานความร่วมมอื ร่วมกันระหว่าง
หน่วยงานด้านสวัสดิการสังคม การศึกษา และกฎหมาย เชื่อมโยงกันในระดับชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด และ
กระทรวง รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรศาสนา สภาเด็กและเยาวชน และเครือข่าย
อาสาสมัคร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มกี ฎหมายกำหนดบทบาทหน้าที่ในการจัดสวัสดิการและการคุม้ ครองเด็ก แต่ก็มี
บทบาทสำคญั ในการสง่ เสริมและสนับสนุนการทำงานของรฐั เพอื่ ใหเ้ ดก็ และครอบครัวกลมุ่ เสย่ี งเข้าถึงบริการ
ไดท้ นั การณ์
2.3 กล่มุ เด็กและครอบครัวทต่ี ้องการการคมุ้ ครองจากผลกระทบของโรคโควิด-19
ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทเี่ ด็กและครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ทัง้ ทางดา้ นสังคม เศรษฐกจิ ส่งผลใหจ้ ำนวนเด็กและครอบครวั ท่ตี ้องการการสงเคราะหแ์ ละคุ้มครองสวัสดิภาพ
ตามพระราชบัญญตั ิค้มุ ครอง เดก็ พ.ศ.2546 เพ่ิมสูงขึ้น
โดยกลุ่มเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 และจำเป็นต้องได้รับการดูแลและ
คุ้มครองเป็นพิเศษ ทัง้ ในช่วงของการระบาดของโรคนี้ รวมถึงชว่ งของการฟ้ืนฟทู างเศรษฐกิจและสังคมน้ัน
คู่มือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นและการจัดการเรียนร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 15
กลุ่มที่ 1 เด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทางตรง ได้แก่ ครอบครัวที่มีสมาชิกถูกกักตัว
หรอื ตดิ เชื้อ รวมถึงเด็ก/ผ้ดู ูแลท่ีถกู กักตัวหรอื ติดเช้อื
หากตัวเด็กต้องถูกกักตัวหรือติดเชื้อโรคโควิด-19 ต้องจัดให้เด็กสามารถเข้าถึงบริการทาง
การแพทย์ โดยเด็กควรจะสามารถติดต่อกับผู้ดูแลได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง โดยอาจเป็นการติดต่อออนไลน์
หรอื สอ่ื อน่ื ๆ ท่มี ีความเหมาะสมเพื่อลดผลกระทบทางจิตใจ กรณีทใ่ี นครอบครัวมเี ดก็ หลายคน และมีท้ังเด็กที่
ถูกกักตัว/ตดิ เชื้อ และไม่ถูกกกั ตัว/ไม่ติดเชือ้ ต้องมีการจัดการให้เดก็ ทัง้ สองกลุ่มได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม
เด็กที่ผู้ดูแลถูกกกั ตวั หรือติดเชื้อ ซึ่งส่งผลให้เด็กไม่มีผู้ดูแล การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลให้เดก็
หรือผูท้ มี่ ีหนา้ ที่ดูแลเด็กได้รับเชื้อโควิด หรอื โรคอน่ื ๆ อนั เป็นผลจากสถานการณก์ ารระบาดของโรคโควิด-19
ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปว่ ย ตอ้ งเข้ารับการรักษาพยาบาล หรอื เสยี ชีวิตลงได้ กรณีที่ผดู้ ูแลเด็กต้องเข้ารับการ
รักษา หรือเสยี ชีวิต จะส่งผลให้เดก็ ไมม่ ีผู้ดูแลได้ โดยเฉพาะกรณีท่เี ป็นครอบครวั เลี้ยงเดี่ยว และไมม่ ีญาติอาศัย
อยูใ่ นพื้นที่ใกลเ้ คียง
กลุม่ ที่ 2 เด็กและครอบครัวทไ่ี ด้รบั ผลกระทบทางอ้อม ไดแ้ ก่ เดก็ ทผี่ ู้ปกครองไดร้ บั ผลกระทบ
ทางเศรษฐกิจ สังคม และไม่สามารถเลีย้ งดูเดก็ ได้อยา่ งเหมาะสม รวมถงึ กรณที ่ีมกี ารใชค้ วามรนุ แรงต่อเด็ก
เด็กทผ่ี ดู้ แู ลไดร้ ับผลกระทบและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเหมาะสม ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์โรคโควิด-19 นั้นมีความรุนแรง และส่งผลให้หลายครอบครัวต้องตกงานหรือขาดรายได้
ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการเลี้ยงดูเด็ก เช่น การจัดหาอาหารที่มีประโยชน์และพอเพียง
สำหรับเด็ก โดยหากมีความรุนแรงมาก อาจทำให้เด็กขาดสารอาหาร หรือไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กต่อไปได้
หรือต้องส่งเด็กเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อแบ่งเบาผลกระทบทางเศรษฐกิจให้ครอบครัว ซึ่งส่งผลไม่ได้กลับเข้า
ระบบการศึกษาหรือ ต้องออกจากโรงเรียนกลางคนั อันมผี ลต่อการพัฒนาเดก็ ในระยะยาว ในกรณที ี่ผู้ปกครอง
ยังมีงานทำและมีรายได้ อาจได้รับผลกระทบจากการไม่มีบริการดูแลเด็กในระหว่างวัน เนื่องจากการปิดตัว
ชั่วคราวของโรงเรียน และสถานรับเลี้ยงเด็ก ทำให้ต้องทิ้งเด็กไว้ลำพงั ระหว่างวัน ซึ่งอาจเกิดอันตรายกับเด็ก
โดยเฉพาะในกรณีของเด็กเล็ก หรอื อาจต้องฝากเด็กไวก้ ับบุคคลอืน่ ซงึ่ หากเป็นผู้สูงอายอุ าจดูแลเด็กท่ีมีความ
ซกุ ซนได้ไม่ท่ัวถึง อาจสง่ ผลต่อความปลอดภัยของเด็ก เช่น การพลดั หลง หรอื การเกิดอุบัติเหตุได้
3. การเตรยี มความพรอ้ มในการดูแลคมุ้ ครองเดก็ นกั เรยี น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 มีการเตรียมความพร้อมในการรองรับกลุ่ม
เด็กและครอบครัวในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดทำแนวปฏิบัติ
เพื่อคุ้มครองและดูแลเด็กนักเรียน โดยการให้บริการที่เหมาะสม และการส่งต่อระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ภายในพื้นที่และนอกพื้นที่ สมมุติฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและผลกระทบของโรคโควิด-19
(สมมุตฐิ านเหลา่ น้อี าจเปลีย่ นแปลงไปเม่ือมีข้อมลู เพ่ิมมากขึน้ )
• การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีผลกระทบต่อบริการโดยรวม ทั้งระบบสาธารณสุข สวัสดิการ
สังคม และบริการอื่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 อาจไม่สามารถพึ่งพาการ
สนับสนุนจากหนว่ ยงานเหล่านี้ไดเ้ หมอื นในสภาวะปกติ โดยเฉพาะบคุ ลากรและอปุ กรณ์ทางการแพทย์
• วัคซีนป้องกันโรคโรคโควิด-19 ยังไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สภาพเศรษฐกิจ
และสังคมอยา่ งต่อเน่อื ง
• เครือข่ายทางสังคมในการดูแลเด็กของชุมชน ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอาสาสมัครเครือข่ายอาจ
ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ไม่สามารถให้บริการ หรือใช้เวลาในการดูแลเด็กได้อยา่ งเต็มท่ี
คมู่ อื ระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี นและการจัดการเรียนร้ใู นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 16
จากสมมุติฐานขา้ งตน้ สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 มีการเตรยี มความพร้อมในการ
รับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวให้น้อยที่สุด
เพ่ือให้สภาพสงั คมและเศรษฐกิจฟน้ื ตัวไดเ้ ร็วท่ีสุดเชน่ กนั
3.1 การวางแผน
ขั้นตอนแรกในการจัดทำแผน เริ่มจากการกำหนดบุคลากร เพื่อให้มีกลไกในการขับเคลื่อนงาน
อย่างชัดเจน รวมถึงการ จัดทำแผนการดูแลคุม้ ครองเด็กในพืน้ ที่ ซึ่งครอบคลุมทั้งการเตรียมความพร้อม การ
ป้องกัน และการรับมือกรณีเด็กต้องได้รับการคุ้มครอง โดยเริ่มจากการประเมินตนเอง โดยใช้ “แนวการ
ประเมินตนเองด้านการดูแลคุ้มครองเด็กเพื่อรองรับสถานการณ์โรคโควิด-19 สำหรับสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 เพื่อให้เห็นว่าได้มีการดำเนินการในส่วนใดไปบ้างแล้ว และจำเป็นต้อง
ดำเนนิ การเพ่มิ เติมในส่วนใดบา้ ง
3.1.1 การกำหนดบุคลากร เริ่มจากการกำหนดเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรเพ่ือรับผิดชอบด้านการ
ดูแลคุ้มครองเด็กในพื้นที่ ซึ่งจะเรียกว่า “เจ้าหน้าที่ คุ้มครองเด็ก” โดยหากเป็นไปได้ควรเป็นนักสังคม
สงเคราะห์ หรือครูนักจติ วิทยาประจำโรงเรียน กรณีที่ไม่มสี ่วนงานสวัสดิการสังคม อาจพิจารณาเจ้าหน้าที่ท่ี
ดแู ลดา้ นงานสงั คมอื่น ๆ เชน่ พัฒนาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย์ ด้านการศึกษา หรอื ดา้ นการสาธารณสุข
เจา้ หนา้ ทีค่ ุม้ ครองเด็กจะมีหน้าที่เป็นศูนยก์ ลางในการรวบรวมข้อมูล ประสานงาน และตดิ ตามการดำเนินงาน
ร่วมกับเครือข่าย/หน่วยงานที่เกีย่ วขอ้ ง รวมถึงเตรียมแผนป้องกันซึ่งจะช่วยระบุและจดั การผลกระทบต่อเด็ก
และครอบครัวที่เกิดจากการระบาดของโรคโควดิ -19 ซึ่งนำไปสู่มาตรการที่ลดความเปราะบางของครอบครัว
และแนวทางในการคน้ หากลมุ่ เสี่ยงทค่ี รอบคลุมและทนั การณ์ เพ่ือลดความรนุ แรงของผลกระทบ
แนวปฏิบัติในการป้องกันและคุ้มครองเด็กนักเรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2 ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19
ท้งั น้ี จำนวนบุคลากรทจ่ี ำเปน็ ในการดูแลคุ้มครองเด็กนกั เรยี นน้ัน ขน้ึ กบั จำนวนเดก็ นกั เรียนและ
ครอบครัวที่มคี วามเสยี่ งในพน้ื ท่ี (ตาม มาตรฐานสากล เจา้ หนา้ ท่ี 1 คน สามารถดแู ลรบั ผิดชอบเด็กนักเรียนได้
ประมาณ 25-30 คน)
3.1.2 การสร้างระบบเครือข่าย เพื่อให้สามารถดูแลเด็กและครอบครัวทั้งหมดในพื้นที่ภายใต้
สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ติ ร เขต 2 ได้อย่างครอบคลุมและทันตอ่ เหตุการณ์น้นั จำเปน็ ตอ้ ง
มกี ารสร้างระบบเครือขา่ ย เพอ่ื ดึงการมีส่วนร่วมของทกุ ภาคสว่ นที่เก่ยี วข้อง รวมถึง
• เครือขา่ ยผูป้ กครอง
• เครือขา่ ยคณะกรรมการสถานศกึ ษา
• หน่วยงานดา้ นการศึกษา เชน่ ครใู นโรงเรียน
• หนว่ ยงานด้านสาธารณสุข เช่น อาสาสมคั รสาธารณสุขประจำหมู่บา้ น (อสม.)
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล
• หนว่ ยงานดา้ นกฎหมายและความปลอดภัย เชน่ พนกั งาน ฝ่ายปกครอง ตำรวจ อยั การ ยตุ ิธรรม
ทหาร
• เครือข่ายด้านสังคม เช่น อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.)
ผนู้ ำชมุ ชน ผ้นู ำศาสนา ปราชญ์ ชาวบ้าน เครือข่ายองค์กรการพฒั นาเด็กและเยาวชน
คูม่ อื ระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี นและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 17
• เครือข่ายเด็กและเยาวชนเช่น สภาเด็กและเยาวชนชมรม/สมาคม/กลุม่ /เครือข่ายเดก็
และเยาวชน
นอกจากนี้ยงั รวมถึงการทำงานร่วมกับทมี อาสาโรคโควิด-19 ของพื้นที่ ที่มีบทบาทในการค้นหา
ผู้ป่วยเชิงรุก โดยเครือข่ายในการทำงานคุ้มครองเด็กควรประกอบด้วย สมาชิกที่มีความหลากหลาย โดยให้
ความสำคัญกับมุมมองความเข้าใจเรื่องมิติทางเพศและช่วงวัยของเดก็ เครือข่ายมีบทบาทในการร่วมติดตาม
สถานการณ์ และเข้าดูแลช่วยเหลือ กรณีเด็กในชุมชนที่ต้องการการดูแล คุ้มครอง ทั้งนี้ต้องมกี ารสร้างความ
เข้าใจถึงความจำเป็นในการเก็บรักษาความลับของข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อตัวเด็กและ
ครอบครัว
การทำงานร่วมกับสภาเดก็ และเยาวชนระดับตำบล/หมู่บ้าน/ชมรม/สมาคม/กลมุ่ /เครือข่ายเด็ก
และเยาวชน สามารถเปน็ ช่องทางเพอ่ื รบั ฟังเสียงของเด็กในมุมมองของความกังวลเกย่ี วกับความรุนแรง/ปล่อย
ปละละเลย/ แสวงประโยชน์ตอ่ เด็ก และสามารถเป็นช่องทางในการให้ข้อมูลความรู้แก่เด็กและเยาวชน โดย
เดก็ และเยาวชนดว้ ยกันเองได้
เครือข่ายในพืน้ ที่จะต้องทำหน้าที่ในการประสาน ส่งต่อเด็กและครอบครัว ร่วมกับหนว่ ยงานใน
ระดับอำเภอ และจังหวัด เพื่อให้บริการด้านการคุ้มครองเด็กด้วยแนวปฏิบัติในการป้องกันและคุ้มครองเด็ก
สำหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควดิ -19
3.1.3 การจัดทำระบบข้อมูล จัดทำทะเบียนข้อมูลหน่วยบริการที่มีอยู่ สำหรับเด็กที่อยู่ใน
สถานการณ์ความรุนแรง/ปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ ทั้งภายในพื้นที่ และนอกพื้นที่ เช่น หน่วยงาน
ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับภูมิภาค เพื่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ เครือข่าย และครอบครัวในชุมชน
สำหรบั ใชใ้ นการดำเนนิ การดแู ลช่วยเหลือ และส่งตอ่ เดก็ หรอื ครอบครวั ไปรบั บรกิ ารไดอ้ ย่างเหมาะสม
จดั ทำทะเบียนเพื่อใชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับกรณีการใช้ความรนุ แรง/ปล่อยปละละเลย/แสวง
ประโยชน์ต่อเด็กในพื้นที่ หรือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 โดย จำแนกตามเพศ อายุ
ความพิการ สัญชาติ ประเภทความรุนแรง รวมถึงสาเหตุที่เด็กได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19
(ถา้ มี) ฯลฯ
ข้อมูลตัวเลข สถิติ ตลอดจนพฤติกรรม และปัจจัยเสี่ยงในการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก จะช่วยให้
ผู้ปฏิบัติงานเห็นภาพรวมของปัญหา สามารถร่วมกนั ป้องกัน และคุ้มครองเด็กได้ตรงจดุ การเก็บบนั ทึกข้อมูล
เปน็ ประโยชนใ์ นการติดตาม และชว่ ยเหลือเดก็ ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมาก มาตรการในการรักษาความลบั และความ
ปลอดภัยของข้อมลู เด็กและครอบครัวเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเดก็ ฯ โดยควรมีการกำหนดสิทธใิ น
การเข้าถึงข้อมูลทั้งระบบการจัดเก็บแบบแฟ้ม หรือการจัดเก็บไวใ้ นระบบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ระบบการ
รักษาความปลอดภยั และระบบการสำรองขอ้ มลู ดว้ ย
3.2 การใหค้ วามรู้
การใหค้ วามร้กู บั ผูป้ ฏิบตั ิงานและเครอื ข่าย เป็นแนวทางที่มี ความสำคัญในการเตรียมความพร้อม
เพื่อดูแลคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเจ้าหน้าท่ี
คุ้มครองเดก็ / ครู มีหนา้ ทีใ่ นการประสานและจัดให้มกี ารให้ความรู้ดังต่อไปนี้
• “ผลกระทบของโรคโควิด-19 ต่อสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก/ ความรุนแรงในครอบครัว
การปล่อยปละ ละเลย/ แสวงประโยชนจ์ ากเด็ก”
• “ประเภทของการใช้ความรุนแรง/การปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็ก ผลกระทบที่
เกิดขึ้นกลุ่มเด็กและครอบครัวท่ีมคี วามเส่ียง”
คู่มือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 18
• “การอยู่ร่วมกันในชุมชนของกลุ่มคนที่มีความแตกต่างในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
โควดิ -19 โดยไม่ตีตรา หรือรงั เกยี จเดก็ หรอื ครอบครวั กล่มุ ใดกลุ่มหนึง่ (รวมถึงกรณที ม่ี ีการติดเชือ้ เกิดขน้ึ )” มุ่ง
สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเชื้อไวรัส สาเหตุ แนวทางการแพร่กระจายของโรค แนวทางในการดูแลป้องกัน
ตนเองจากการตดิ เช้ือ และแก้ไขความเขา้ ใจที่ผิดทนี่ ำไปสกู่ ารแปลกแยกและเลือกปฏบิ ตั ิ
ประเด็นสำคัญ
ความรนุ แรงต่อเด็ก คอื การกระทำหรอื ละเวน้ การกระทำและเล้ยี งดเู ด็กจนส่งผลใหเ้ ดก็ ได้รบั อันตราย
ดา้ นร่างกาย พัฒนาการ และสุขภาพจติ แนวทางการให้ความรู้ รวมถึงการจัดอบรม (ท้ังแบบพบหน้า และแบบ
ออนไลน์ เพื่อช่วยรักษาระยะห่างทางสงั คม) การจัดทำสื่อเพ่ือใช้แจกจา่ ยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การรณรงค์
(เชน่ เสียงตามสาย หรอื ใบความร)ู้ ซึ่งต้องพจิ ารณาถึงความเหมาะสมในการเขา้ ถึงและทำความเขา้ ใจกับแต่ละ
กลุ่มเป้าหมายที่อาจมีความแตกต่างกันในการรับรู้ โดยเฉพาะการสื่อสารกับกลุ่มเด็กต้องเลือกใช้วธิ ีการและ
แนวทางที่คำนึงถึงเพศและอายุของเด็ก รวมถึงความเหมาะสมกับพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก เพื่อให้เด็ก
สามารถเขา้ ใจถงึ เนอื้ หาท่ีต้องการส่อื สารได้
กรณีท่ีต้องการสรา้ งความตระหนักในวงกวา้ ง พจิ ารณาใชแ้ นวทางการรณรงคป์ ระชาสัมพันธ์ เช่น การ
สร้างความตระหนักเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัว รวมถึงแนวทางการป้องกันและ
เขา้ ถึงบรกิ าร หรอื การรณรงคเ์ พื่อสรา้ งความรคู้ วามเข้าใจทถ่ี กู ตอ้ ง
การให้ความร้เู บื้องต้นน้ี เปน็ เพียงสว่ นหนึ่งของการเสรมิ สร้างศกั ยภาพของผปู้ ฏิบัตงิ านและเครือข่าย
ซึง่ ต้องมกี ารตอ่ ยอดความร้เู พ่มิ เติมในส่วนของเนอื้ หาอ่ืน ๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง
ความรุนแรงต่อเด็ก คือการกระทำหรือละเว้นการกระทำในการเลี้ยงดูเด็ก จนส่งผลให้เด็ก
ไดร้ ับอันตรายดา้ นร่างกาย พัฒนาการ และสุขภาพจิต
3.3 แนวทางการทำงานรว่ มกับหนว่ ยงานภายนอก
นอกจากการมีเครอื ข่ายในพ้นื ท่ีการทำงานคุ้มครองเด็กต้องขบั เคลือ่ นร่วมกับหน่วยงานภายนอก
เป็นจำนวนมาก เพื่อให้การประสานงานและทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น จำเป็นต้องมีการหารือ
เพ่อื พัฒนาแนวปฏบิ ัตริ ่วมกนั ให้เกดิ การขบั เคลอ่ื นงานทส่ี อดคล้องเป็นไปในทิศทางเดยี วกัน โดยแนวปฏิบัติน้ัน
รวมถึงมีแนวปฏิบัติรว่ มในการแบง่ ปันขอ้ มูลเด็กและครอบครัวกับหน่วยงานอ่ืน เช่น สาธารณสุข บ้านพักเด็ก
และครอบครวั โรงเรยี น เพอื่ สง่ ต่อเดก็ ในกรณที ี่ต้องการรับบริการคุ้มครองเดก็ เน่ืองจากข้อมูลเหล่าน้ี มีความ
ออ่ นไหว จึงตอ้ งมีการตกลงรว่ มกันวา่ จะตอ้ งแบง่ ปันข้อมูลสว่ นใดบา้ ง และข้อมลู ใดทีเ่ ป็นความลับ และไม่ควร
มกี ารเปดิ เผย การแชร์ข้อมลู จะตอ้ งเลือกแชร์เฉพาะขอ้ มลู ทผ่ี ้รู ับจำเป็นต้องรเู้ ท่านั้น และควรหลกี เลยี่ งการแชร์
ข้อมูลบน social media ที่ไม่มีกลไกที่ชัดเจนในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ควรหลีกเลี่ยงการ
ส่งผา่ นข้อมูลทาง Facebook Messenger หรือ LINE
มีแนวปฏิบัติและส่งต่อระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในพื้นที่และนอกพื้นที่ กรณีเด็กและ
ครอบครัวที่ต้องการการคุ้มครอง โดยพิจารณานาแนวปฏิบัติการคัดกรองและช่วยเหลือเด็ก จากแนวปฏิบัติ
เพอ่ื พฒั นาระบบคมุ้ ครองเด็กระดับทอ้ งถนิ่ มาปรบั ใชใ้ นพ้ืนทเี่ พือ่ ให้เกดิ แนวทางการทำงานรว่ มกัน
มแี นวปฏบิ ัตดิ ้านการเล้ยี งดทู ดแทนสำหรับเด็กในกรณีทผ่ี ู้ดแู ลปัจจบุ ันไม่สามารถทำหน้าท่ีเลี้ยงดู
เด็กต่อไปได้อันอาจเนื่องมาจากการเจ็บป่วย เสียชีวิต หรือมีการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก โดยแนวปฏิบัติ
ควรเป็นไปตามมาตรฐานสากลแนวปฏบิ ตั ดิ ้านการเล้ียงดูทดแทนสำหรบั เดก็ แหง่ สหประชาชาติ
ค่มู อื ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจดั การเรยี นรใู้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 19
4. การป้องกันและค้นหากลมุ่ เส่ยี ง
การทำงานเชิงป้องกันมุ่งเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้เด็กนักเรียนต้องตกอยู่ใน
สถานการณ์ของการขาดผ้ดู ูแล ปล่อยปละละเลยทอดท้ิง แสวงประโยชน์ หรอื ถกู ใชค้ วามรุนแรง
4.1 การสนบั สนุนค่านิยมและพฤติกรรมท่ีช่วยดแู ลค้มุ ครองเดก็ นกั เรียน
มุ่งสร้างและสนับสนุนค่านิยมและพฤติกรรมเชิงบวกในการดูแลเด็ก และไม่ส่งเสริมค่านิยม
และพฤติกรรมท่สี ่งผลเชงิ ลบต่อเดก็ นักเรียนโดย
ระบพุ ฤติกรรมทั้งเชิงบวกและเชงิ ลบ ท่เี ปน็ ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควดิ -19
➢ เกี่ยวกบั โรคโรคโควดิ -19
- คา่ นยิ มและพฤตกิ รรมเชิงบวก ได้แก่ การสวมใส่อปุ กรณป์ อ้ งกันที่เหมาะสม และมีการรักษา
ระยะห่างทางกายภาพ
- ค่านิยมและพฤตกิ รรมเชงิ ลบ ได้แก่ การตีตรา หรอื รงั เกียจผู้ท่ตี ดิ เชือ้ โรคโควดิ -19
➢ เก่ียวกับการใช้ความรุนแรงตอ่ เดก็
- ค่านิยมและพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ การที่สถานศึกษาช่วยกันดูแลและสอดส่องเรื่อง
ความปลอดภัยของเด็ก (รวมถึงสอดสอ่ งบคุ คลภายนอกท่เี ข้ามาให้ความชว่ ยเหลอื ในพน้ื ที่)
- ค่านยิ มและพฤติกรรมเชงิ ลบ ไดแ้ ก่ การด่ืมสุราหรือ ใช้ยาเสพติด การใชค้ วามรนุ แรงต่อเด็ก
เพ่ือระบาย ความเครยี ด (รวมถงึ ความเชอ่ื เรอ่ื งรักววั ให้ผูก รกั ลกู ให้ตี ซ่ึงส่งเสรมิ การใช้ความรุนแรงต่อเด็ก)
➢ พฒั นาสื่อสำหรับส่งข้อความทมี่ ีความเหมาะสมกบั วฒั นธรรม และอายุของกลุ่มเป้าหมาย
เพอื่ เสริมสร้างพฤตกิ รรมที่เป็นเชิงบวกและไมส่ ่งเสริมพฤติกรรมเขงิ ลบ
➢ เผยแพรข่ อ้ ความผ่านสอ่ื ท่เี หมาะสมกบั บริบทพ้นื ทีซ่ ่งึ อาจรวมถึง ส่อื ออนไลน์ การสง่ ขอ้ ความ
ผ่านโทรศัพท์มือถอื ประชาสัมพนั ธ์ผา่ นสถานวี ทิ ยทุ ้องถิ่น เครอ่ื งกระจายเสยี ง ฯลฯ
➢ ทำงานร่วมกับชุมชนและผู้นำซึ่งรวมถึง ผู้นำชุมชน ผู้นำทางศาสนา ปราชญ์ชาวบ้านเพื่อ
สรา้ งความตระหนักและส่งเสริมพฤตกิ รรมเชงิ บวก
4.2 สถานศึกษากบั การจัดบรกิ ารทมี่ คี วามจำเปน็ ให้แก่เด็กและครอบครัว
4.2.1 การดูแลช่วยเหลือด้านความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกจิ กบั ครอบครวั จำนวนมากทางสถานศกึ ษาควรพจิ ารณาให้
ความช่วยเหลอื เปน็ เงินสดฉุกเฉิน หรือสิง่ ของจำเป็นแก่ครอบครัวทไ่ี ดร้ ับผลกระทบตอ่ ความเป็นอยู่ เพ่ือเสริม
ศกั ยภาพของครอบครวั ใหส้ ามารถดูแลคมุ้ ครองเดก็ ได้ รวมถงึ ป้องกนั การท้ิงเดก็ ทอี่ าจเกดิ ข้ึน
4.2.2 การดแู ลสภาวะทางจิตสังคมของเด็กนกั เรยี น เด็กมีปฏิกริ ยิ าตอบสนองต่อความเครียด
แตกต่างกนั ไป อาการทั่ว ๆ ไปประกอบดว้ ย นอนหลบั ยาก ปสั สาวะรดทีน่ อนปวดท้องหรือปวดหวั วิตกกังวล
เกบ็ ตวั ฉนุ เฉียว ติดผดู้ แู ลหรอื ไมก่ ลา้ อยคู่ นเดยี ว ทั้งนส้ี ถานศกึ ษา สามารถมบี ทบาทในการดูแลสภาวะทางจิต
สังคมของเด็ก โดยการนำเสนอขอ้ มูล และสื่อเพือ่ สะท้อนว่าสงิ่ ที่เกดิ ขึ้นเปน็ สง่ิ ปกติในสถานการณ์เชน่ นี้ และให้
ข้อเสนอแนะเพื่อให้เด็กได้เล่นและผ่อนคลายด้วยการทำกิจวัตรประจำวันตามเดิมให้ได้มากที่สุด (บรรเทา
ผลกระทบจากความไม่แนน่ อนต่าง ๆ ท่ีเด็กตอ้ งเผชญิ อยู่) โดยควรรณรงคใ์ ห้ความร้กู ับเด็กและชุมชนเกี่ยวกับ
การใช้สื่อออนไลน์อย่างเหมาะสม เนื่องจากมีข้อมูลจากประเทศอื่น ๆ ถึงการเพิ่มขึ้นของการล่อลวงเด็ก
ออนไลน์ในสภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เด็กต้องอยู่ในพืน้ ที่จำกัด และมักใช้เวลาจำนวนมากใน
การใช้ส่ือออนไลน์ โดยไม่ได้อยภู่ ายใต้การควบคมุ ดแู ลอย่างเหมาะสม
คมู่ ือระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรียนและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 20
นอกจากนี้ยังควรชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้เด็กทราบตามความ
เหมาะสม โดยอธบิ ายสถานการณ์ พรอ้ มยกตวั อยา่ งท่ีชัดเจนเก่ียวกับสิ่งท่ีเดก็ สามารถทำได้เพื่อปกป้องตัวเอง
และผู้อืน่ จากการตดิ เช้อื รวมท้งั บอกเลา่ สิ่งท่ีอาจเกิดขึน้ ตอ่ ไปใหเ้ ด็กร้สู ึกอุ่นใจ
สอื่ ทอี่ าจนำไปใช้ในการสื่อสารกับเด็ก
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 สำหรับเด็ก โดยเลือกใช้ภาษาและสื่อที่มีความเหมาะสมกับวัยและ
เพศของเด็ก โดยเลือกให้ข้อมูลที่ช่วยให้เด็กสามารถดูแลตัวเอง มากกว่าที่จะสร้างความวิตก เพื่อหลีกเลี่ยง
การสร้างความกงั วลทไี่ ม่จำเปน็ ให้กับเดก็
ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลจิตใจ/การลดความเครียดในช่วงโรคโควิด-19, การปรับตัวเมื่อต้องใช้
เวลาร่วมกบั ครอบครวั , การใชเ้ วลาวา่ งของวัยรนุ่ , วธิ ีการป้องกันตวั ในโลกออนไลน์, การขอความช่วยเหลือเม่ือ
รูส้ กึ ไมป่ ลอดภัย ตวั อยา่ งสือ่
คู่มือระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 21
4.2.3 การดูแลสภาวะทางจิตสังคมของผู้ดูแลเด็ก/ครอบครัว สถานศึกษามีบทบาทสำคัญใน
การดแู ลสภาวะทางจิตสังคมของเดก็ โดยสามารถสนบั สนุนสอ่ื และจดั ให้มีทรพั ยากรทส่ี ง่ เสริมการทำหน้าที่ใน
การเลย้ี งดูและขอ้ มูลทผ่ี ดู้ ูแลเด็กสามารถนำไปใช้ได้ รวมถึง
แนวทางที่ผู้ดูแลสามารถนำไปใช้ในการสื่อสารกับเด็กเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ตัวอย่างวิธีสื่อสาร
กับเดก็ นกั เรียน เกีย่ วกับโรคไวรัสโคโรน่า (โรคโควิด-19) สำหรบั เดก็ หลากหลายช่วงวัย ได้จาก
https://www.unicef.org/thailand/th/coronavirus/how-teachers-can-talk-children-about-
coronavirus-disease-covid- 19
➢ สื่อสำหรับพอ่ แมใ่ นการชว่ ยวยั รุ่นจดั การความเครียด
➢ การอบรมเลย้ี งดูในเชงิ บวก การสร้างวนิ ยั โดยไม่ใชค้ วามรนุ แรง ทกั ษะการจัดการความเครียด
นอกจากนผี้ ู้ดแู ลควรไดร้ ับการดูแลสภาวะทางจิตใจดว้ ย โดยเฉพาะกลุ่มท่ีมีความเส่ียงพเิ ศษ เช่น
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่แล้ว ผู้ที่มีความเครียดสูง เช่น อาจเกิดจากการตกงาน ครอบครัวที่มีคนพิการ
ครอบครัวที่มีปัญหาติดสุรา/ยาเสพตดิ หรือครอบครัวที่มีประวัตกิ ารใช้ความรุนแรงระหวา่ งสามี-ภรรยา โดย
สถานศึกษาควรมกี ารจัดสรร ทรพั ยากร เพอ่ื สนบั สนนุ ครอบครัว และลดความเครยี ดในสถานการณ์นี้ เชน่ การ
จัดให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตได้รับบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง การจัดให้มีบริการดูแลเด็กชั่วคราวท่ี
ปลอดภัยในกรณีที่ผู้ดูแลไม่สามารถดูแลเด็กได้เป็นการชั่วคราว หรือจัดสรรทรัพยากร เช่น เงิน หรือเครื่อง
อปุ โภคบรโิ ภคใหก้ ับครอบครัว หรอื จัดให้มีกลมุ่ ในการพูดคยุ เพอื่ ลด ภาวะความเครียด
เด็กในวัยอนบุ าลไม่ควรใช้เวลาในหอ้ งเรียนมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่เด็กที่อายุมากกวา่
นนั้ เวลา 8 ชวั่ โมง ถือวา่ เปน็ เวลาทพี่ อเหมาะในการเรียนรู้ในห้องเรียน ซ่งึ จากสถิติแล้วเด็กส่วนใหญใ่ ช้เวลาใน
หอ้ งเรียน 6.7 ชัว่ โมงต่อวนั ซ่ึงเดก็ ทอ่ี ายุแตกต่างกนั เวลาในการเรียนกจ็ ะต้องมคี วามแตกตา่ งกันไป
เมื่อถึงเวลาทบทวนสิ่งที่เรียนมาควรใช้เวลา 25 นาที แล้วพักเบรก เพราะในวัยเด็กระบบความ
ทรงจำของเขายงั สัน้ จึงต้องมีช่วงพกั เบรก เพอื่ ไมใ่ ห้เกดิ ความเครยี ดจนเกินไป
อายุ 3 – 5 ปี มชี ่วงความสนใจ 3 – 25 นาที
ในช่วงวัยนี้จะเห็นได้ว่า ความสนใจของเด็กนักเรียนต่อการเรียน/ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งจะ
ค่อนข้างน้อย และใช้เวลาเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ดังนั้นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ คือ การจัดกิจกรรมทีช่ ่วย
กระต้นุ ให้เด็กนักเรยี นเกดิ สมาธทิ ยี่ าวนานมากข้นึ เช่น การฟงั นิทาน หรือการทำศิลปะ เช่น การระบายสี หรอื
ฉกี ปะกระดาษ การเล่นเกม หรือต่อจิก๊ ซอว์ เปน็ ต้น
คูม่ ือระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 22
อายุ 6 – 7 ปี ช่วงความสนใจ 7 – 35 นาที
ในช่วงวัยนี้ถือเป็นช่วงวัยที่เด็กนักเรียนเริ่มมีสมาธิมากขึ้นแล้ว การเรียน/กิจกรรมควรเริ่มมีความ
ซับซ้อน และเริ่มใช้ระยะเวลาในแต่ละกิจกรรมได้นานขึ้น เช่น การเล่นบอร์ดเกมฝึกทักษะ การทำงานฝีมือ
หรือกิจกรรมท่เี ด็กนกั เรยี นมีความสนใจเฉพาะด้าน เชน่ เลน่ กีฬา เรียนดนตรี เป็นต้น
อายุ 8 – 12 ปี ชว่ งความสนใจ 9 – 60 นาที
ในช่วงวัยนี้ถือเป็นช่วงวัยที่เด็กนักเรียนมีสมาธิยาวนาน และสามารถเรียน/ทำกิจกรรมที่มีขั้นตอน
และใช้ระยะเวลาท่มี ากขึน้ ได้แลว้ สามารถเรียน/ทำงานทเ่ี ปน็ ขน้ั ตอน และการคิดวิเคราะห์
4.2.4 วิธีจดั การกับความเครียด
1. หาใครสกั คน โดยจะเป็นคนทีเ่ รารู้สกึ วา่ ไว้ใจได้ ซึง่ อาจจะเปน็ เพื่อน พ่อ แม่ พ่ี นอ้ ง
แฟน โดยระบายความรู้สกึ ให้เขาฟัง
2. ผ่อนคลายกล้ามเน้ือร่างกายเพ่ือให้เกดิ การผ่อนคลายจิตใจ เช่น การเกร็ง การคลาย
การออกกำลังกาย เชน่ เม่อื เครยี ดอยู่ใหแ้ ขมว่ ทอ้ ง แหงนหนา้ ขนึ้ ขมบิ กน้ หรอื การกำมือ ประมาณ 10 วินาที
สามารถใชเ้ ทคนคิ เหล่านีเ้ พือ่ คลายความเครียด ร้สู กึ ผ่อนคลายลงได้
3. ใหม้ องไปขา้ งหน้าเม่ือเครียดให้นึกถงึ ภาพในอนาคต รวมท้งั คิดถงึ ส่ิงที่ทำให้เราสบาย
ใจ ซึ่งเป็นการสร้างจินตนาการ เช่น สอบได้คะแนนไม่ดีให้คิดถึงวันที่เราเรียนจบ นึกถึงวันที่เราทำงานมี
เงินเดือนเลยี้ งตนเองได้
4. หาวธิ หี รอื กิจกรรมท่ชี อบ เพอื่ ผ่อนคลายความเครยี ดลง เช่น รอ้ งเพลง กนิ อาหาร
ปลกู ต้นไม้ เลน่ เกม เลน่ กบั สนุ ัข ไปเที่ยว เล่นกีฬา
4.2.5 การฟืน้ ฟบู รกิ ารปกติของสำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2
สถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้บริการบางอย่างในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาพจิ ิตร เขต 2 เพอื่ เป็นการบรรเทาความเดือดรอ้ นของเด็กและครอบครวั รวมถงึ เพอ่ื ดูแลคุม้ ครอง
ความปลอดภัยของเด็ก สถานศึกษาควรพิจารณาฟื้นฟูบริการปกติ สำหรับเด็กและครอบครัว เช่น โรงเรียน
และศูนย์เด็กเล็ก ที่จะสนับสนุนให้เด็กและครอบครัวสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามสภาวะปกติ โดยมี
มาตรการในการดแู ลควบคุมโรคโควดิ -19 ท่เี หมาะสม
ทั้งน้ี การดแู ลให้เด็กกลบั เขา้ สู่สถานศึกษา 23
สถานศกึ ษามีบทบาทสำคญั ที่ จะสนับสนนุ
ผู้ดูแลทไ่ี มม่ คี วามพรอ้ ม เช่น ไมม่ ีอปุ กรณ์ใน
การเรยี นรปู แบบใหม่ เชน่ คอมพิวเตอรท์ ี่
บ้าน หรอื อินเตอร์เนต็ เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ด็กและ
ครอบครวั สามารถกลับ เข้าส่สู ถานการณก์ าร
ใช้ชีวิตตามปกติได้ ซึง่ จะสง่ ผลดตี อ่ สภาพ
จิตใจของเดก็ ทง้ั นีอ้ งคก์ รปกครองส่วน
ท้องถ่นิ ควรทำหนา้ ที่ติดตามเด็กท่ไี ม่ได้กลับ
เขา้ ระบบการศึกษาหรือตอ้ งออกจากโรงเรยี น
กลางคัน อนั เป็นผลกระทบ จากสถานการณ์
โรคคู่มโอื ครวะดิ บ-บ1ก9ารดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียนและการจดั การเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19
นอกจากบริการทจ่ี ัดโดยสถานศกึ ษาแล้ว บทบาทท่สี ำคญั ของสถานศึกษา คอื การช่วยเหลือเด็ก
และครอบครวั ให้สามารถเขา้ ถงึ สวสั ดกิ ารตา่ ง ๆ ทง้ั ของรัฐ/เอกชน ดงั นัน้ จงึ ควรมีการรวบรวมขอ้ มลู สวัสดกิ าร
ท่จี ัดขน้ึ เพื่อช่วยเหลอื ผูไ้ ด้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควดิ -19 สำหรับประชาสมั พันธ์ และจัดให้มีจุดให้
ขอ้ มูลเพ่อื ชว่ ยใหไ้ ดร้ บั ทราบถึงบริการทีม่ อี ยเู่ พื่อชว่ ยในการเข้าถึงบรกิ ารด้วย
การจดั ใหม้ ีและประชาสมั พันธช์ อ่ งทางการแจง้ เหตุ
จัดใหม้ ีชอ่ งทางในการแจ้งเหตุ ท้ังช่องทางส่วนกลางและช่องทางการแจง้ เหตใุ นพน้ื ท่ี เช่น การกำหนด
เบอร์โทรศัพท์ท่ีจะใช้รบั แจ้งเหตขุ องสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 รวมถึงให้ความรู้
บคุ คลท่ีจะทำหนา้ ท่ีรับสาย ใหเ้ ข้าใจแนวทางการใหข้ ้อมูลและดำเนินการชว่ ยเหลือที่เปน็ มติ รกบั เดก็
➢ เกี่ยวกับโรคโรคโควิด-19: สายด่วน 1422 (กรมควบคุมโรคระบาด) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19
ประสานงานโรงพยาบาล และรบั แจง้ เหตุผ้มู ีความเส่ียง เข้าเกณฑ์ติดเชอื้ โรคโควิด-19
➢ เก่ียวกับการใช้ความรุนแรงตอ่ เดก็ : ศนู ยช์ ว่ ยเหลอื สงั คม 1300 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ศูนย์ ให้คำแนะนำปรึกษาปัญหาด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัวของบ้านพักเด็กและ
ครอบครัวในจงั หวัด และชอ่ งทางการแจง้ เหตุในพนื้ ที่อ่นื มกี ารประชาสมั พันธ์ช่องทางการเข้าถึงบริการให้กับ
ชมุ ชน ครอบครัว และตัวเดก็ เอง ดงั ต่อไปน้ี
1. ศูนยใ์ หค้ ำแนะนำปรึกษาปัญหาดา้ นเดก็ เยาวชน และครอบครัว ของกรมกจิ การเดก็
และเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ ประจำจงั หวัด
2. สายด่วน พม. 1300 บริการ 24 ช่วั โมง
3. ตอ้ งการความชว่ ยเหลือฉกุ เฉนิ โทร 1387 บริการ 24 ชัว่ โมงหรอื สามารถติดต่อข้อมลู ไดท้ ี่เว็บไซต์
น้ี https://childlinethailand.org/th/what-we-do/call-center/
4. กรมสุขภาพจิต 1323 ปรกึ ษาปญั หาสขุ ภาพจติ
คู่มอื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 24
การระบคุ น้ หาเดก็ และครอบครัวทีม่ คี วามเสี่ยง
การคัดกรองเด็กและครอบครัวกลุ่มเสี่ยง เป็นการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อระบุ
กล่มุ เปา้ หมายโดยหวั ใจสำคัญคอื การคน้ พบกลุม่ เสย่ี งแต่เนิ่น ๆ เพอื่ ให้ความชว่ ยเหลอื แก่ตวั เดก็ และครอบครัว
อันนำไปสู่การลดปัจจัยเสี่ยง และความเปราะบางผ่านการจัดบริการทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เพื่อสร้าง
ความเขม้ แข็งใหค้ รอบครวั ทำหน้าทดี่ แู ลเด็กไดอ้ ย่างเหมาะสม โดยอาจแบง่ ความรับผดิ ชอบในการคดั กรองตาม
พื้นท่ี (เพื่อไม่ให้มีเด็กตกหล่น) ซึ่งสามารถดำเนินการร่วมกับทีมอาสาโรคโควิด-19 ระดับหมู่บ้าน และระดับ
อำเภอ หรือเครือข่ายอาสาสมคั รอ่นื เพื่อให้เกดิ การบูรณาการทำงานในพน้ื ท่ี
นอกจากการคน้ หากลุ่มเสีย่ งโดยเครอื ขา่ ยอาสาสมัครแล้ว กลุ่มนักวิชาชีพในพื้นที่ เช่น บุคลากรทาง
การแพทย์ บุคลากรทางการศึกษา ตำรวจ ทมี่ กี ารพบปะกับเด็กในการปฏิบัตงิ านหน้าท่ีเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่
สำคัญในการค้นหากลุ่มเสี่ยง ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 (มาตรา 29 วรรค 2)
เมื่อเครือข่ายพบเห็นเด็กหรือครอบครัวที่มีความน่าเป็นห่วง ซึ่งรวมถึงกลุ่มเด็กและครอบครัวที่มีความ
เปราะบาง เช่น เด็กและครอบครวั ที่มปี ัญหาทางสุขภาพจิต ครอบครัวทต่ี ้องดูแลคน/เด็กพิการ ครอบครัวท่ีมี
การใช้สารเสพติด และครอบครัวทมี่ กี ารใช้ความรุนแรงระหว่างสามภี รรยา เครือขา่ ยสามารถนำแบบคัดกรอง
เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กตามมาตรฐานขั้นต่ำ (Child Maltreatment Surveillance Tool -CMST)
ดังตารางด้านล่าง ซึ่งใช้สำหรับระบุระดับความเสี่ยงของเด็กรายบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือตามปัจจัย
ความเสี่ยงที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 โดยผลจากการคัดกรองสามารถแบ่งเด็ก
ออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กรณีมคี วามเสยี่ งระดบั ต่ำ (สเี ขยี ว)
2. กรณีมคี วามเส่ียงระดับปานกลาง (สีเหลือง)
3. กรณมี ีความเสี่ยงระดับสูง (สแี ดง)
ผลจากแบบคดั กรอง ระดบั ความเส่ยี ง ความหมาย
กรณตี อบว่า “ใช่” มีความเสยี งระดบั ตำ่ ยงั ไมพ่ บขอ้ มลู ท่ีตอ้ งเฝ้าระวงั
นอ้ ยกวา่ 3 ขอ้ (สเี ขยี ว)
กรณตี อบว่า “ใช่” พบว่ามคี วามเสยี่ งที่
ตอ้ งตอบตั้งแต่ 3-4 ขอ้ มคี วามเสยี่ งระดบั ปานกลาง อาจสง่ ผลกระทบต่อเดก็
(สีเหลือง) เด็กมีความเสยี่ งทจ่ี ะไดร้ บั อนั ตราย
กรณตี อบว่า “ใช่” และตอ้ งอาศยั การประเมนิ เชิงลกึ จากทมี สหวิชาชพี
ตอ้ งตอบตงั้ แต่ 5 ขอ้ ข้นึ ไป มีความเสย่ี งระดับสูง เพอ่ื คน้ หาขอ้ เท็จจรงิ
(สแี ดง)
ค่มู ือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรยี นรใู้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 25
การประเมินเชงิ ลึกจากทมี สหวิชาชีพเพ่ือคน้ หา
ข้อเทจ็ จริง
เจ้าหนา้ ที่คมุ้ ครองเดก็ จะเปน็ ผรู้ วบรวมข้อมูลเดก็ และครอบครัวท่ีมีความเส่ียง โดยหากเครอื ข่ายมีการ
ค้นพบเด็กและ ครอบครัวกลุ่มเสี่ยง จะต้องแจ้งให้กับทางเจ้าหน้าท่ีคุ้มครองเดก็ รบั ทราบ เพื่อเป็นศูนยก์ ลาง
ในการติดตามความคืบหน้า ของสถานการณ์และการจัดบริการ (ผ่านการประสานเครือข่ายที่มีอยู่)
การดำเนินการช่วยเหลือเด็กนั้น สามารถเรียง ตามลำดับความเร่งด่วน จากเด็กกลุ่มที่มีความเสี่ยงระดับสูง
(สีแดง) สู่เด็กที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง (สีเหลือง) และ เด็กที่มีความเสี่ยงระดับต่ำ (สีเขียว) เพื่อให้
เครอื ขา่ ยสามารถดำเนินการคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะตอ้ งมกี ารทำความเข้าใจเก่ยี วกับรายละเอียด
ของ “แบบคัดกรองเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กตามมาตรฐานขั้นต่ำ” รวมถึง “การเก็บรักษาความลับ”
แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกัน และคุม้ ครองเดก็ สำหรับองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ในสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคโควิด-19 ตามแบบฟอรม์ ด้านลา่ ง
คู่มือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรียนร้ใู นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 26
แบบคดั กรองเพอ่ื สนบั สนนุ การเล้ยี งดูเดก็ ตามมาตรฐานขนั้ ตำ่ รวมถึง การเกบ็ รักษาความลับ
คู่มอื ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรยี นรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 27
ค่มู ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 28
ค่มู ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นและการจดั การเรยี นร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 29
5. การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวกลุม่ เสี่ยง
5.1 การช่วยเหลอื ตามระดบั ความเส่ยี ง
5.1.1 กรณีมีความเสี่ยงระดับตำ่ (สเี ขียว)
การทำงานกับกลมุ่ เด็กและครอบครัวทีม่ รี ะดบั
ความเสี่ยงต่ำน้ัน เน้นการทำงานเชิงปอ้ งกันซึ่งรวมถึงการสง่ เสริม
คา่ นิยมและพฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสมในการดูแลค้มุ ครองเด็ก (หวั ขอ้ 4.1)
สำหรับสถานการณ์โรคโควิด-19 การทำงานเชิงป้องกันโดยที่โรงเรียนประสาน สำนักงาน
เขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2 และการมอี าสาสมคั รเพอ่ื ดแู ลความปลอดภยั ของพืน้ ทีส่ ่วนกลาง
ในชมุ ชน เพอ่ื ลดความเส่ยี งและดแู ลเร่อื งการรักษาระยะห่างระหว่างบคุ คล และสุขอนามัยของเด็ก อาจรวมถึง
มกี ารเยีย่ มบ้านนักเรียนดว้ ย
5.1.2 กรณีมีความเส่ยี งระดบั ปานกลาง (สเี หลือง)
เด็กและครอบครัวที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง จะต้องได้รับการดูแลเป็นลักษณะของ
รายกรณี โดยโรงเรียนประสาน สพป.พิจิตร เขต 2 ซึ่งเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กจะต้องมีการหารือกับเครือข่าย
(เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการรกั ษาความลับของข้อมูล) เพื่อแบ่งหน้าที่ในการรวบรวมข้อเท็จจริงเชิงลกึ
เพ่มิ เตมิ ทงั้ ในดา้ นความปลอดภยั และประเด็นปัญหา เพือ่ นำมาใชใ้ นการประเมินและวางแผนจัดบรกิ ารสำหรับ
เด็กแต่ละคนต่อไป โดยจะต้องรวบรวมทรัพยากรที่มีอยู่ รวมถึงทรัพยากรของตัวเด็กและครอบครัวและ
ทรพั ยากรของพื้นท่ีรวมถงึ ประสานงานหน่วยงานเครือข่ายทงั้ ในระดบั ตำบล อำเภอ และจงั หวดั เพ่ือสามารถ
เขา้ ถงึ บรกิ ารทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อเดก็ และครอบครัว
ขั้นตอนที่สำคัญคือการดูแลเรือ่ งความปลอดภัยของเด็ก หากประเมินแล้วเห็นว่าเด็กอยู่ใน
อนั ตรายควรประสานงานกบั นักวชิ าชพี ระดับจงั หวดั เช่น บา้ นพกั เดก็ และครอบครัว เพ่ือเข้ามารว่ มดแู ลให้เกิด
ความปลอดภัยกบั ตวั เดก็
5.1.3 กรณีมคี วามเสย่ี งระดับสูง (สีแดง)
กรณีที่เด็กได้รับการประเมินว่ามีความเส่ยี งระดบั สูงน้นั ต้องดำเนินการช่วยเหลือรายกรณี
โดยทันที โรงเรยี นผ่านการหารอื ร่วมกบั สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2 ทมี สหวิชาชีพ
ท้ังภายในและภายนอกพื้นทรี่ วมถงึ นกั สังคมสงเคราะห์ เจ้าหนา้ ท่ีบ้านพักเด็กและครอบครวั เจา้ หน้าที่ศูนย์พึ่ง
ได้ ตามแนวปฏิบัติการคัดกรองและช่วยเหลือเด็ก กรณีเด็กที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ (สีแดง) เพ่ือ
ร่วมพิจารณาให้ความเห็นเพอื่ ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุดกบั เด็ก
ในกรณีเด็กถูกทารุณกรรม หรือมีความไม่ปลอดภยั ต้องมีการพิจารณาเพื่อส่งต่อการดูแล
เดก็ ใหก้ ับหน่วยงานท่มี ีความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน เชน่ บ้านพักเด็กและครอบครวั โดยเร็ว
ครอบครัวทีม่ ีสมาชิกถูกกักตัว หรือติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงกรณีเด็กทีถ่ ูกกักตัวหรือติดเช้ือ และ
กรณีที่ผู้ดูแลถูกกักตัวหรือติดเชื้อ ซึ่งส่งผลให้เด็กไม่มีผู้ดูแลในกรณีที่สงสัยหรือมีการวินิจฉัยว่าเด็ก หรือ
ครอบครัวติดโรคโควิด-19 ต้องมีการดำเนินการตามข้ันตอนต่อไปน้ี
➢ ทำการตรวจหาโรคโควดิ -19 ตามระเบยี บการคัดกรองของกระทรวงสาธารณสขุ
➢ แยกตัวเด็กที่มีอาการ โดยให้เด็กและสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมบ้านใส่
หนา้ กากอนามัย
➢ กรณีที่ผลการตรวจหาเชื้อเป็นบวก ให้แจ้งตัวเด็กและผู้ปกครอง และหน่วยงาน
สาธารณสุขในพ้นื ทรี่ ับทราบ โดยทนั ที
คมู่ ือระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรยี นและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 30
➢ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้รับการดูแลในสถานพยาบาล
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัจจัย เสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว ทั้งนี้ต้องมีการประเมินทางการแพทย์โดยทีมแพทย์
เกี่ยวกับความรนุ แรงของโรค และความเปน็ ไปได้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่สถานพยาบาล หากไม่สามารถ
เคล่ือนยา้ ยไดใ้ ห้จดั ห้อง แยก และการดแู ลทีเ่ หมาะสมให้กับผู้ป่วย
➢ โรงเรียน ควรจัดทำทะเบียนสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อใน
ชุมชน
➢ ทำงานร่วมกับผู้มาชุมชน รวมถึงผู้นำศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อลดการตีตราหรือ
รงั เกยี จต่อกล่มุ เดก็ /ครอบครวั ท่ีเป็นกลุ่มเส่ยี งหรอื ติดเช้อื (ได้รบั การรกั ษาจนหายแลว้ ) หรอื เด็กที่ถูกส่งมาจาก
ครอบครัวที่ติดเชื้อเพ่ือให้เดก็ และครอบครัวสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในชุมชนโดยไม่ถกู ตีตรา หรือถูกทำให้
แปลกแยก หรอื ถกู กลัน่ แกลง้ จากความรังเกยี จ
กรณีที่เด็กถกู กักตัวหรอื ติดเช้ือ โรงเรียนตอ้ งมีการดแู ลให้เด็กสามารถติดต่อกับผู้ดแู ลได้อย่างน้อยวัน
ละ 1 ครัง้ โดยอาจเปน็ การติดตอ่ ออนไลน์ หรือส่อื อืน่ ๆ ทม่ี คี วามเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบทางจติ ใจต่อเด็ก
ในกรณที ่คี รอบครัวมีเดก็ หลายคน และทง้ั เด็กที่ถูกกกั ตวั /ติดเช้ือ และไมถ่ ูกกักตัว/ไมต่ ิดเชื้อ ต้องมีการจัดการ
ใหเ้ ด็กทงั้ สองกลุม่ ได้รบั การดแู ลเล้ียงดูท่ีเหมาะสม
กรณีที่ผู้ดูแลถูกกักตัวหรือติดเชื้อหรือเสียชีวิต โรงเรียนต้องมีการเข้าไปช่วยเหลือดูแลว่าเด็กใน
ครอบครัวมีผู้ที่สามารถทำหน้าทีเ่ ลีย้ งดทู ดแทนได้หรือไม่ หากไม่มีจะตอ้ งดำเนินการตามแนวทางการจัดการ
เล้ยี งดูทดแทนสำหรับเดก็ (หวั ขอ้ 5.2)
กรณีเด็กที่ผู้ปกครองได้รับผลกระทบและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเหมาะสม รวมถึงกรณีที่มี
การใช้ความรุนแรงต่อเด็ก โรงเรียนใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดูแลช่วยเหลือโดยประสานการเข้าถึง
บริการของนักวิชาชีพ ทั้งที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น รพ.สต. และหน่วยงาน ภายนอก ซึ่งรวมถึง บ้านพักเด็กและ
ครอบครัว พัฒนาสงั คมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด โรงพยาบาล ตำรวจ เพอื่ ทำการประเมินและให้การ
ช่วยเหลือเป็นรายกรณีตามแนวปฏิบัติการคัดกรองและช่วยเหลือเด็กกรณีเด็กที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็น
พิเศษ และตามแนวทางใน “คมู่ อื ปฏบิ ตั ิงานและขอ้ ตกลงร่วมกนั ในการคุ้มครองและชว่ ยเหลอื เดก็ ในภาวะเสยี่ ง
และเป็นผูเ้ สยี หายจากการละเมดิ ละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชนแ์ ละใชค้ วามรุนแรง”
5.2 การจัดการเล้ยี งดูทดแทนสำหรบั เดก็
โรงเรียนดำเนินการประสาน กรณีที่ผู้ดแู ลปัจจบุ ันของเด็กไมส่ ามารถให้การเลี้ยงดูเด็กได้อันอาจ
เป็นผลของการเจ็บป่วย ถูกกักตัว ติดเชื้อ เสียชีวิต หรือมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงต่อเด็กจะนำไปสู่ความ
จำเป็นในการจัดหาการเลี้ยงดูทดแทนให้กับเด็กทั้งในลักษณะชั่วคราว (กรณีผู้ดูแลต้องเข้ารับการ
รักษาพยาบาล หรือถูกกกั ตัว หรืออยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรม) หรือระยะยาว (กรณีที่ผู้ดูแลเสียชีวติ
หรือไม่มีศักยภาพที่จะดูแลเด็กต่อไปได้อีก) โดยการจัดการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก ควรเป็นไปตามแนว
ปฏบิ ัติในการเลีย้ งดูทดแทนสำหรับเด็กแห่งสหประชาชาติ คอื เน้นการดแู ลบนฐานครอบครัว และป้องกนั ไม่ให้
เด็กต้องเข้าสสู่ ถานดแู ลเดก็ โดยไมจ่ ำเปน็
คูม่ อื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียนและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโรคโควิด-19 31
ทางเลือกในการพิจารณาควรเริ่มจากเครือญาติท่ี
เดก็ มคี วามสนิทสนมและอยใู่ นชมุ ชนเดิม เพื่อไมใ่ ห้เดก็ ต้องมีการ
ปรบั ตัวมากนัก แต่หากญาติไมม่ คี วามพรอ้ มอาจตอ้ งพจิ ารณา
ทางเลอื กอ่ืน ซ่ึงรวมถงึ ญาตทิ อี่ ยใู่ นพื้นท่อี ื่น หรือครอบครัวอน่ื
ทอ่ี าจไม่ใช่ญาตทิ มี่ คี วามพร้อมในการรบั เด็กไปเลยี้ งดู ทั้งนี้
ควรมกี ารทำงานร่วมกบั บา้ นพักเด็กและครอบครัวเพอื่ เตรียม
ความพร้อมของญาติ หรอื ครอบครวั ทจี่ ะรับเดก็ ไปดูแลเพ่อื ลด image: Freepik.com
ปญั หาอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านผ้ดู ูแลของตวั เด็กการส่งเด็ก
เข้าสู่สถานสงเคราะห์ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายในการเลี้ยงดเู ด็ก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กใน
ระยะยาวได้
ทั้งนี้ควรมีการจัดทำทะเบียนข้อมูลครอบครัวของตัวเด็กที่ส่งเข้าไปรับการเลี้ยงดูทดแทน
(ที่มีระบบการเกบ็ รกั ษา ความลับ) เพอ่ื ใชใ้ นการตดิ ตาม/ ส่งเดก็ คืนครอบครัวต่อไป
5.3 การตดิ ตามดูแลกลุ่มเดก็ และครอบครัวทีม่ ีความเปราะบาง image: Freepik.com
โรงเรยี นดำเนนิ การประสานเจา้ หน้าทค่ี มุ้ ครองเด็ก
มหี นา้ ที่ในการตดิ ตามความคืบหนา้ ของการดำเนินการหรือ
ให้บริการแกเ่ ดก็ และครอบครวั โดยอาจดำเนนิ การเอง
หรือผ่านการประสานเครอื ขา่ ยทมี่ อี ยรู่ วมถึงการจดั ประชุม
รว่ มกับทมี สหวิชาชีพ เพอื่ ติดตามความก้าวหนา้ และวิเคราะห์
ผลการดำเนนิ งานทีเ่ กิดขึน้ ซ่ึงอาจนำไปสู่การปรบั แผน
หรอื ปรบั เปล่ยี นผู้ให้บริการ เพ่อื ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตอ่ เดก็
ทั้งนคี้ วรมกี ารติดตามผลการช่วยเหลอื เป็นระยะจนกวา่ เดก็ และครอบครัวสามารถกลบั ไปดำเนิน
ชีวิตได้ตามปกติ เช่น ในกรณีที่เด็กหรือครอบครัว ต้องถูกกักตัวหรือติดเชื้อต้องติดตามจนการรักษาเสร็จสน้ิ
รวมถึงเดก็ และครอบครวั สามารถกลับคนื สู่ชุมชนไปใช้ชวี ิตตามปกติ โดยไม่ถูกตีตราหรอื รงั เกียจจากชุมชนใน
กรณขี องเด็กทีถ่ กู ใชค้ วามรุนแรงนัน้ การตดิ ตามจะตอ้ งทำอย่างต่อเนือ่ งจนแนใ่ จว่าเดก็ จะไม่ถูกใชค้ วามรุนแรง
อกี ซงึ่ รวมถงึ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมของผู้ดูแลปัจจุบนั หรือการหาครอบครวั ทดแทนท่ีเหมาะสมสำหรับเด็ก
ถูกกกั ตัวหรอื ตดิ เช้อื ตอ้ งติดตามจนการรกั ษาเสร็จสนิ้ รวมถงึ เด็กและครอบครัวสามารถกลับคืนสู่ชุมชนไปใช้
ชวี ติ ตามปกติโดยไมถ่ กู ตตี รา หรอื รงั เกียจจากชุมชนในกรณีของเดก็ ที่ถูกใช้ความรุนแรงนั้น การตดิ ตามจะต้อง
ทำอย่างต่อเนื่องจนแน่ใจว่าเด็กจะไม่ถูกใช้ความรุนแรงอีก ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ดู แล
ปจั จบุ นั หรือการหาครอบครัวทดแทนทเ่ี หมาะสมสำหรับเดก็
นอกจากนีม้ าตรการกักตัวในบ้านทที่ ำให้ครอบครัวถกู จำกัดอยู่ในพน้ื ทรี่ ว่ มกันเปน็ ระยะเวลานาน
สง่ ผลต่อความเครียด ซง่ึ นำไปส่กู ารทะเลาะเบาะแว้ง และการใชค้ วามรนุ แรงภายในครอบครัวและความรุนแรง
ตอ่ เดก็ ได้ด้วย
คมู่ ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี นและการจัดการเรียนร้ใู นสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควิด-19 32
เดก็ ทถ่ี ูกกระทำความรุนแรงในระหวา่ งสถานการณ์โรคโควดิ -19
บางกรณีของการใช้ความรุนแรงต่อเด็กโดยบุคคลในครอบครัวอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่
อดตี แตเ่ ดก็ ยังได้รบั การดูแลคุม้ ครองจากครูในโรงเรยี น หรือผู้ดแู ลในศูนย์เดก็ เล็ก ทำให้สถานการณ์ไม่มีความ
เลวรา้ ย แตก่ ารแพร่ระบาดของโรคโควดิ -19 ทท่ี ำใหส้ ถานศึกษาและศูนยเ์ ด็กเล็กตอ้ งปิดตัวลงช่ัวคราวน้นั ส่งผล
ใหไ้ มม่ ีกลไกภายนอกเข้ามารว่ มปกป้องคมุ้ ครองเด็ก และมาตรการกกั ตวั ในบา้ นที่ทำให้เดก็ ถูกจำกัดอยู่ในพ้ืนท่ี
รว่ มกับผู้กระทำเปน็ ระยะเวลานาน อาจทำใหส้ ถานการณค์ วามรุนแรงท่เี กดิ ขึ้นกบั เด็กน้นั เลวร้ายมากยิง่ ขน้ึ
รปู แบบของความรุนแรงทเี่ กิดขึ้นกับเดก็ รวมถงึ กรณที ี่ต้องเป็นพยานรเู้ ห็นการใช้ความรุนแรงระหว่าง
ผู้ใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบด้านจิตใจต่อเด็ก การใช้ความรุนแรงกับตวั เด็กท้ังความรุนแรงทางกาย (รวมถึง
การลงโทษอย่างรุนแรง) ความรนุ แรงทางจิตใจ (เชน่ การดา่ ทอหรอื วา่ กลา่ วเสยี ดสีด้วยอารมณ์ หรอื การกีดกัน
จากการเข้าร่วมกิจกรรมกับสมาชิกอื่นในครอบครัว) การล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อต้องอยู่บ้าน
เนื่องจากไมไ่ ด้ไปสถานศึกษา และผู้ปกครองต้องไปทำงานมีหลายกรณีท่ีพบว่าบุคคลใกล้ตัวอาจเป็นผู้ก่อเหตุ
ความรุนแรงแกเ่ ด็กได้อยา่ งคาดไม่ถงึ หรือคนไม่สงสัย
ในอดตี ทผ่ี ่านมา พบว่าอตั ราการใช้ความรนุ แรงและแสวงประโยชน์ตอ่ เด็กมักเพ่ิมสูงขึ้นในช่วงท่ีมีโรค
ระบาดและต้องมีการกักตัวอยู่บ้าน ยกตัวอย่างเช่น จำนวนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง แรงงานเด็ก เด็กที่ถูกกระทำ
รุนแรงทางเพศ รวมถึงการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้พุ่งขึ้นสูงกว่าปกติในช่วงที่มีการปิดโรงเรียนตอนที่เชื้อไวรัส
อีโบล่ากำลังแพรร่ ะบาดในทวปี แอฟรกิ าตะวนั ตกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2557-2559
นอกจากนี้ในสถานการณ์ของโรคระบาดอาจมีความรุนแรงในรูปแบบของการตีตรา เบียดขับคนบาง
กลุ่ม เนอ่ื งจากความรังเกียจและกงั วลในการตดิ โรค ซงึ่ ส่งผลใหค้ นกลุ่มเหลา่ นนั้ มีความยากลำบากในการอาศัย
ร่วมกบั ชุมชน และอาจเกิดเป็นข้อจำกัดในการเขา้ ถงึ บริการที่มีความจำเป็นได้
image: Freepik.com
ค่มู ือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนและการจัดการเรยี นรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 33
แนวปฏิบตั ิการจดั การเรียนการสอนและการวดั ผลประเมินผล
ดำเนินการจดั การเรียนการสอน ใน 5 รปู แบบ ไดแ้ ก่
1. On Site คือ เรียนทโ่ี รงเรียนปกติ แต่มีมาตรการปอ้ งกนั การแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา
(Covid-19) ตามแนวทางท่ี ศบค. กำหนด
2. On Air คอื การเรียนท่ีบา้ นผ่าน DLTV สามารถดูไดท้ ัง้ รายการท่อี อกตามตาราง และรายการที่ดู
ย้อนหลงั
3. Online คอื การเรียนผา่ นอินเทอร์เน็ต ใหค้ รูเปน็ ผจู้ ดั การเรียนการสอนโดยใช้แอปตา่ ง ๆ
4. On Demand เปน็ การใช้งานผ่านแอปพลเิ คช่ันตา่ งๆ ทค่ี รูกับนักเรียนใช้ร่วมกัน ผา่ นช่องทาง
- www.dltv.ac.th
- Application
- YouTube (DLTV Channel)
5. On Hand คอื จัดใบงานให้กบั นักเรียน สำหรบั นักเรียนท่ไี ม่มีความพร้อมดา้ นอุปกรณ์การรบั ชม
โดยการนำหนงั สอื แบบฝกึ หดั ใบงานไปเรียนรูท้ บี่ า้ นภายใต้ความชว่ ยเหลือของผปู้ กครองและครู
หลกั การพิจารณาเลือกรูปแบบการจัดการเรยี นรู้
1. ความปลอดภัยตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสขุ
2. นักเรยี นทกุ คนไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้
3. ความเหมาะสมกบั ความรูใ้ นเนือ้ หาวชิ า และความสนใจของนักเรียนและครู
4. ความสามารถของนักเรียนเหมาะสมกบั วัยวฒุ ิภาวะของนักเรยี น
5. สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรแู้ ละผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง
6. เหมาะสมกับวัน เวลา และสถานทีท่ ่ีใช้สอน
7. เหมาะสมกับวสั ดุ-อุปกรณ์ และสภาพแวดลอ้ ม
รปู แบบการจัดการเรียนรู้
1. การจัดการเรียนการสอนแบบปกติ คอื การจัดการเรียนในช้ันเรยี น On Site
2. การจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
การจดั การเรียนการสอนแบบปกติ
การเรยี นในช้นั เรยี น (On-Site) สำหรบั สถานศึกษาท่มี ีผลการประเมินตนเอง ตามแบบประเมนิ ตนเอง
สำหรับสถานศึกษาในการเตรียมความพร้อมก่อนเปดิ ภาคเรียนเพื่อเฝ้าระวังและป้องกัน การแพร่ระบาดของ
โรคโควิด-19 ในระดับ “สีเขียว” หรือ “สีเหลือง” สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติในชั้นเรียนได้ ทั้งนี้
จะต้องปฏิบัติตามมาตรการ 6 ข้อปฏิบัติ ในสถานศึกษา ได้แก่ 1) วัดไข้ 2) ใส่หน้ากาก 3) ล้างมือ
4) เวน้ ระยะหา่ ง 5) ทำความสะอาด 6) ลดการแออดั
คู่มอื ระบบการดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี นและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 34
แนวปฏิบตั ิดา้ นอนามยั ส่งิ แวดล้อม
สถานศึกษาเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก ทั้งนักเรียน ครู ผู้ปกครอง ผู้มาติดต่อและ
ผู้ประกอบการร้านค้า กรณที ี่นกั เรยี นตอ้ งทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากข้ึน เกิดความ
เสีย่ งตอ่ การแพรก่ ระจายของเชื้อโรคได้ง่าย จงึ มแี นวทางปฏิบัตกิ ารจัดอาคารสถานท่ี ห้องเรยี น หอ้ งเรียนรวม
เช่น ห้องคอมพวิ เตอร์ หอ้ งดนตรีดงั นี้
1) จัดโต๊ะ เกา้ อ้ี หรือที่นัง่ ให้มีการเว้นระยะหา่ งระหว่างบคุ คลอย่างน้อย 2 เมตร ควรคำนงึ ถึงสภาพ
บริบทและขนาดพื้นที่ และจัดทำสัญลักษณ์แสดงจุดตำแหน่งชัดเจน กรณีห้องเรียนไม่เพียงพอในการจัดเวน้
ระยะห่างระหว่างบคุ คลควรจดั ใหม้ กี ารสลบั วันเรยี นแตล่ ะช้นั เรยี น การแบง่ จำนวนนกั เรียน หรอื การใชพ้ ้นื ท่ีใช้
สอยบริเวณสถานศึกษาตามความเหมาะสม ทั้งนี้อาจพิจารณาวิธีปฏิบัติอ่ืนตามบริบทความเหมาะสมโดยยึด
หลัก Social distancing
2) จัดให้มีการเหล่ือมเวลาเรยี น การเรียนกลุม่ ย่อย หรือวิธปี ฏิบัติที่เหมาะสมตามบริบทสถานการณ์
และเนน้ ให้นักเรียนสวมหนา้ กากผ้าหรอื หน้าการอนามัยขณะเรียนตลอดเวลา
3) จัดให้มีระบายอากาศที่ดี ให้อากาศถ่ายเท เช่น เปิดประตู หน้าต่าง กรณีใช้เครื่องปรับอากาศ
กำหนดเวลาเปดิ – ปดิ เครื่องปรบั อากาศ ควรเปดิ ประตู หนา้ ตา่ งใหร้ ะบายอากาศ และทำความสะอาดอย่าง
สม่ำเสมอ
4) จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ให้ทำความสะอาดมือสำหรับนักเรียนและครูใช้ประจำทุกห้องเรียนอย่าง
เพยี งพอ
5) ให้มีการทำความสะอาดโต๊ะ เกา้ อี้ อุปกรณ์ และจดุ สัมผัสเสีย่ ง เช่น ลูกบิดประตู เครื่องเล่น ของใช้
ร่วมกัน อย่างน้อยวนั ละ 2 ครั้ง เช้าก่อนเรยี นและพักเที่ยง หรือกรณีมีการย้ายห้องเรียนต้องทำความสะอาด
โตะ๊ เกา้ อ้ี ก่อนและหลงั ใชง้ านทกุ ครั้ง
การจดั การเรยี นการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
การจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) หมายถึง การจัดการเรียนรู้ ที่ใช้
รูปแบบการเรียนรู้หลากหลาย โดยการเรยี นรทู้ ี่เกิดข้ึนในห้องเรียน ผสมผสานกับ การเรยี นรู้นอกห้องเรียนที่
ครูและนักเรียนไม่ได้เผชิญหน้ากัน หรือการใช้แหล่งเรียนรู้ ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย หรือการใช้รูปแบบการ
เรยี นการสอนทห่ี ลากหลาย โดยมเี ป้าหมายอยู่ท่ีการเรยี นรู้ของนกั เรียนเปน็ สำคัญ ซึง่ โรงเรียนสามารถเลือก
รปู แบบการจดั การเรียนการสอนได้ตามตัวอย่าง ดังน้ี
คู่มอื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 35
1. การสลบั ชั้นมาเรียนของนกั เรยี น แบบสลับวนั เรยี น
2. การสลับชนั้ มาเรยี นของนกั เรียน แบบสลบั วันคู่ วันคี่
คมู่ อื ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรียนและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 36
3. การสลบั ชนั้ มาเรยี นของนักเรียน แบบสลบั วันมาเรยี น 5 วนั หยดุ 9 วนั
4. การสลับชว่ งเวลามาเรยี นของนกั เรียน แบบเรียนทกุ วัน
5. การสลบั กลุ่มนักเรียน แบบแบง่ นกั เรียนในหอ้ งเรียนเปน็ 2 กลุ่ม
คู่มือระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 37
6. รปู แบบอ่ืน ๆ
โรงเรยี นสามารถออกแบบวธิ ีการจดั การเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน
โดยจำเป็นตอ้ งคำนึงถึงความปลอดภยั ของนักเรยี นในการป้องกนั การติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ซงึ่ รูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนดังกล่าว ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ
คณะกรรมการตดิ ตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนเิ ทศการศึกษา (ก.ต.ป.น.) รวมถึงตอ้ งได้รับความเห็นชอบ
จากคณะกรรมการการศึกษาธกิ ารจังหวัด (กศจ.) และศูนยป์ ฏบิ ัตกิ ารควบคุมโรจงั หวัด (ศปก.จ.) ตามลำดบั
บทบาทในการเรยี นของนักเรยี น
On-Site On-Air, Online
On-Air, Online
บทบาทในการสอนของครู
On-Site
คู่มอื ระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี นและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 38
แนวทางการจดั การเรยี นการสอนเพอื่ ให้บรรลตุ ามมาตรฐาน
และตัวชว้ี ดั ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
1. วิเคราะห์ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลางทีต่ อ้ งรูแ้ ละควรรู้
2. ออกแบบการจดั การเรยี นการสอน โดยคำนึงถงึ
1) ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางที่ตอ้ งรู้
ครผู ู้สอนให้ความสำคญั ในการจัดการเรียนรู้ เพ่อื ให้ม่นั ใจว่าผเู้ รียนเกดิ การเรียนรตู้ ามแกน่ สาระการเรยี นรู้
บรรลตุ ามตัวชีว้ ดั ของหลกั สูตร
2) ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลางท่ีควรรู้
ครผู ู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนไดห้ ลากหลาย เช่น
- การจัดการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ
- การใหน้ ักเรยี นศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง
- การมอบหมายใบงาน โดยคำนึงถึง ธรรมชาตขิ องการเรียนรู้ตามวยั ความพร้อมทางรา่ งกาย อารมณ์
สังคม และสตปิ ัญญา เป็นตน้
3. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
ใช้การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ทห่ี ลากหลายและยืดหยนุ่ ในกรณจี ดั การเรยี นการสอนทบ่ี า้ น
ผูป้ กครองควรมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผลการเรียนรู้
คมู่ อื ระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี นและการจดั การเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 39
แนวทางการจดั การเรยี นการสอนสำหรับเดก็ ท่ีมีความต้องการพเิ ศษ
ประเภทของเดก็ ทม่ี คี วามต้องการพิเศษ สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ได้กลา่ วถงึ
ลักษณะของเด็กที่มคี วามต้องการพเิ ศษ หรอื ผิดปกตทิ างรา่ งกาย สตปิ ัญญา และทางจติ ใจ แบ่งออกเปน็
ประเภทต่าง ๆ 9 ประเภทคือ
1. เดก็ ทม่ี ีความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา
2. เดก็ ท่ีมีความบกพร่องทางการไดย้ นิ
3. เดก็ ทม่ี ีความบกพร่องทางการเห็น
4. เดก็ ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กทีม่ ีความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา
6. เดก็ ทมี่ ีปญั หาทางพฤตกิ รรมและอารมณ์
7. เด็กท่มี ีปญั หาทางการเรียนรู้
8. เดก็ พกิ ารซ้อน
9. เดก็ ออทิสตกิ
1. บุคคลที่มคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา
บุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา หมายถึง บุคคลท่ีมีพฒั นาการล่าชา้ กวา่ คนปกตทิ ว่ั ไปทางดา้ น
รา่ งกาย อารมณ์ สังคม ภาษา เม่ือวัดสตปิ ัญญาโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแล้วมีสติปญั ญาตำ่ กว่าบุคคลปกติ
และความสามารถในการปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมตำ่ กว่าเกณฑ์ปกตอิ ย่างนอ้ ย 2 ทักษะ หรอื มากกว่า เชน่ ทักษะ
การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตในบ้าน การควบคุมตนเอง สุขอนามัย และความปลอดภัย
การเรยี นวิชาการเพ่ือชีวติ ประจำวนั การใช้เวลาวา่ ง การทำงาน ทกั ษะทางสงั คม และทักษะในการใช้สาธารณ
สมบตั ิ เป็นต้น ซ่งึ ลกั ษณะความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาจะแสดงอาการแบง่ ออกเปน็ 4 ระดับ คอื
1. บกพร่องระดบั เลก็ นอ้ ย - ระดับเชาวนป์ ญั ญา (IQ) ประมาณ 55-70
2. บกพรอ่ งระดบั ปานกลาง - ระดับเชาวป์ ัญญา (IQ) ประมาณ 40-55
3. บกพรอ่ งระดบั รนุ แรง - ระดบั เชาว์ระดับรุนแรงมาก (IQ) ประมาณ 25-40
4. บกพร่องระดบั รุนแรงมาก - ระดบั เชาวป์ ัญญา (IQ) ประมาณ 20-25
2. บคุ คลทม่ี ีความบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน
บคุ คลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการได้ยนิ หมายถงึ บุคคลที่สูญเสยี การไดย้ ินต้งั แต่ระดับน้อยไปถึง ระดบั
รุนแรง จนไม่สามารถฟังเสยี งได้เหมือนคนปกตซิ ่ึงอาจจะเป็นหูตงึ หรือหหู นวกกไ็ ด้ แบง่ เปน็ 2 ประเภท
2.1 คนหหู นวก หมายถงึ บุคคลที่สญู เสียการไดย้ ินมากจนไม่สามารถรับขอ้ มลู ผ่านทางการไดย้ ินไมว่ ่า
จะใช้หรอื ไม่ใชเ้ ครอื่ งช่วยฟงั กต็ าม โดยท่วั ไปหาตรวจการได้ยนิ จะสญู เสยี การไดย้ นิ ปะมาณ 90 เดซิเบลขนึ้ ไป
ไมส่ ามารถได้ยินเสยี งพดู ดัง ๆ อาจรับรู้เสยี งบางเสยี งได้จากการสน่ั สะเทอื น ไมส่ ามารถใช้การได้ยินได้เป็น
ประโยชนเ์ ต็มประสทิ ธิภาพ คนหูหนวกอาจสญู เสียการไดย้ ินมา ต้ังแต่กำเนดิ หรอื สูญเสียการไดย้ นิ ภายหลงั
2.2 คนหตู งึ หมายถงึ บุคคลทม่ี ีการได้ยินเหลืออยูบ่ า้ งสามารถได้ยินได้ ไม่ว่าจะใช้เครอื่ งชว่ ยฟงั หรอื ไม่
กต็ าม หากตรวจการไดย้ ินจะพบวา่ มกี ารสญู เสียการได้ยนิ น้อยกว่า 90 เดซิเบล ระดับการได้ยนิ อาจแบง่ เปน็
กลมุ่ ยอ่ ยดังน้ี
- ตงึ เลก็ น้อย (26-40 เดซเิ บล) - ตงึ ปานกลาง (41-55 เดซิเบล)
- ตงึ มาก (56-70 เดซิเบล) - ตึงรนุ แรง (71-90 เดซเิ บล)
คู่มือระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี นและการจัดการเรียนรใู้ นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 40
3. บคุ คลท่มี ีความบกพรอ่ งทางการเหน็
บคุ คลท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเห็น หมายถึง บุคคลที่สญู เสยี การเห็นจนไมส่ ามารถรับการศึกษาได้
โดยการเห็นหรือใช้สายตาได้ตามปกติ แต่สามารถศึกษาเล่าเรยี นไดโ้ ดยวธิ ีการต่างไปจากคนท่ีมองเหน็ ปกติแบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภทคือ
3.1 คนตาบอด หมายถงึ บคุ คลท่ีสญู เสียการเห็นมากจนไม่สามารถอา่ นหนังสอื ธรรมดาไดต้ อ้ งสอน
ให้อา่ นและเขยี นอกั ษเบรลล์ หรือใช้วิธีการฟงั แถบบนั ทึกเสียง หรือเครอื งบนั ทกึ เสียต่าง ๆ และมคี วามสามารถ
ในการเหน็ ของตาขา้ งที่ดี หลกั จากได้รับการแกไ้ ขแลว้ อยรู่ ะหวา่ ง 20 สว่ น 200 ฟตุ มลี านสายตาแคบกว่า
30 องศา
3.2 คนตาบอดบางสว่ น หรือคนท่มี กี ารเห็นเลอื นราง หมายถงึ บุคคลทมี่ ีสญู เสียการเหน็ แตย่ งั
สามารถอา่ นอกั ษรตวั พมิ พ์ท่ีมีขนาดใหญไ่ ด้ โดยต้องใช้แวน่ ขยายหรอื อุปกรณ์พิเศษบางอยา่ งท่ีทำใหค้ วาม
ชัดเจนของการเหน็ ใน ข้างทีด่ ี เม่ือแกไ้ ขแล้วอยู่ในระดับ 20 ส่วน 60 ฟุต ถงึ 20 ส่วน 200 ฟตุ มลี านสายตา
แคบกวา่ 30 องศา
4. บคุ คลทีม่ ีความบกพรอ่ งทางรา่ งกายและสขุ ภาพ
บุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางร่างกายและสุขภาพ หมายถึง บคุ คลทมี่ ีความผิดปกติ บกพรอ่ งหรอื สูญเสยี
อวัยวะ ส่วนใดสวนหนงึ่ ร่างกายทำใหไ้ มส่ ามารถเคลื่อนไหวไดด้ หี รือมีอาการเกร็ง คอื อาการตึงตวั ของกล้ามเนอ้ื
สว่ นใด สว่ นหนึ่งหรือหลายสว่ น ควบคุมการทรงตัวได้ยากหรอื ไมไ่ ด้เลย มกี ารเคลื่อนไหวของแขนขาไม่สัมพนั ธ์
กันมีอาการสั่น เดนิ เซหรอื อาจเป็นบคุ คลท่ีบกพรอ่ งเนอ่ื งจากสุขภาพหรืออุบตั เิ หตุ อาการชัดโรคเรอื้ รัง โรคติดต่อ
เป็นตน้ ประเภทความบกพร่องทางรา่ งกายหรอื สุขภาพ อาจแบ่งได้ดงั น้ี
4.1 บกพรอ่ งทางระบบประสาท เช่น บุคคลสมองพิการ (Cerabarl Palsy) ไมใ่ ชบ่ คุ คลปญั ญาออ่ น
แต่หมายถงึ สมองสว่ นที่ใช้ควบคุมกล้ามเน้อื ส่วนใดสว่ นหนึ่งบกพรอ่ งหรอื สูญเสยี ทำให้มีปัญหาในการเคลื่อนไหว
ซ่ึงแตล่ ะคนมีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกัน เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเน้ือเคลอื่ นไหวชา้ ทรงตวั ไดไ้ ม่ดี ซงึ่ เต่
ละคนทมี ากนอ้ ยแตกต่างกันความบกพร่อง จะเกดิ ขน้ึ ตง้ั แต่แรกเกิดถงึ อายุ ประมาณ 7 ปี ลักษณะทเ่ี ห็นได้
ชดั เจนของบุคคลสมองพกิ าร ไดแ้ ก่
- กล้ามเน้ือหดตัว เกร็ง (Spactic) เป็นลักษณะความผดิ ปกติของการควบคุมการเคล่อื นไหว
เคล่ือนไหวช้ามอี าการเกร็ง ซงึ่ เราจะพบบุคคลที่มีอาการในกลมุ่ น้มี ากท่ีสุด
- กลา้ มเนอ้ื ควบคุมการเคลอ่ื นไหวได้ยาก (Athetiod) มลี กั ษณะขนขาไม่สัมพนั ธกนั หนั ไปตาม
ทิศทางตา่ ง ๆ
- กล้ามเน้ือตงึ ตวั (Ataxia) มอี าการสน่ั เดนิ เซ ควบคมุ การทรงตัวได้ไม่ดี ซึง่ เราจะพบบคุ คล
ท่ีมอี าการในกลุม่ น้ีน้อยทีส่ ุด
- แบบผสม มีลักษณะร่วมตัง้ แต่ 2 ชนิด เชน่ มีอาการเกร็งรว่ มกับการเคลื่อนไหวของแขน
ไม่สมั พนั ธก์ นั หนั ไปคนทิศหรือมีการเกรง็ ควบคมุ การทรงตัวไมไ่ ด้มกี ารสน่ั เดนิ เซ เป็นตน้
4.2 บกพรอ่ งทางระบบกลา้ มเนื้อและกระดกู เช่น กล้ามเนื้อเปลยี่ น ไขขอ้ อกั เสบ เป็นต้น
4.3 ไมส่ มประกอบมาแตก่ ำเนิด เช่น น้ำครง่ั ในสมอง แขน ขาด้วยหรอื กุด แขน ขามีขนาดใหญ่ เล็ก
ผดิ ปกติ เปน็ ตน้
4.4 สภาพความบกพรอ่ งทางร่างกายและสขุ ภาพอ่ืน ๆ ได้แก่ บกพรอ่ งากอุบัติเหตไุ ฟไหม้ แขน
ขาขาด โรคตดิ ตอ่ เช่น โปลโอ การไดร้ ับอันตรายจากการคลอด หรือบกพร่อง เนือ่ งจากสุขภาพ เช่น โรคหืด
โรคหัวใจ โรคปอด โรคเอดส์ เป็นตน้
คูม่ ือระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจดั การเรียนรใู้ นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 41
5. บคุ คลท่มี คี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา
บคุ คลท่ีมีความบกพร่องทางการพดู และภาษา หมายถึง บุคคลทมี่ ีความบกพร่องในเรอ่ื งการออกเสียงพดู
เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจงั หวะการพูดผดิ ปกติ หรอื คนทีม่ คี วามบกพรอ่ งในเร่ืองการเขา้ ใจ และ
การใชภ้ าษาพูด การเขยี นตลอดจนระบบสญั ลกั ษณ์อื่นท่ใี ช้ในการตดิ ตอ่ สือ่ สาร ซึง่ อาจเกยี่ วกับรปู แบบภาษา
เนือ้ หาของภาษา และหนา้ ท่ีของภาษา
6. บุคคลท่ีมคี วามบกพร่องทางพฤตกิ รรมและอารมณ์
บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจาก
บุคคลท่ัวไป และพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ตอ่ สง่ิ ต่าง ๆ และปัญหาทางพฤติกรรมนั้น
เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นที่ยอมรับกันทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งขาดสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น มี
พฤตกิ รรมท่ไี มเ่ หมาะสม มีความคบั ขอ้ งใจ มกี ารเกบ็ กดทางอารมณโ์ ดยแสดงออกทางร่างกาย ลักษณะของเดก็
ที่มีปัญหาทางพฤตกิ รรมและอารมณ์
- ก้าวร้าว กอ่ กวน เด็กทีม่ ปี ัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ มักแสดงออกในทางก้าวรา้ ว กอ่ กวนความ
สงบของผู้อื่น พฤติกรรมที่แสดงออกอาจรวมไปถึงความโหดร้าย ทารุณสัตว์ ชกต่อย ทำร้ายตัวเองและผู้อืน่
หวีดร้อง กระทืบเท้า ไม่เชื่อฟังครูและพ่อแม่ พฤติกรรมเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่าง
ถกู ตอ้ ง
- การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หมายถึง ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยปราศจากจุดหมาย
นอกจากน้ยี งั มีความสนใจสน้ั สนใจในบทเรยี นไดไ้ มน่ าน ขาดสมาธิในการเรียน
- การปรับตัวทางสังคมเด็กที่มีปัญหาทางพฤตกิ รรมและอารมณ์ จะมีการปรับตัวทางสังคมไม่ถูกต้อง
ฝา่ ฝืนกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นที่ยอมรบั ทางสงั คม เช่น แก๊งอนั ธพาล การทำลายสาธารณสมบัติ ลกั ขโมย หนโี รงเรียน
การประทุษรา้ ยทางเพศ พฤตกิ รรมเหลา่ น้มี ักจะเกิดกับเด็กวยั ร่นุ เป็นสว่ นใหญ่
- ความวิตกกังวลและปมด้อย เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณอ์ าจไม่กล้าพูดกล้าแสดงออก
ในช้นั เรยี น มีอาการประหมา่ ขาดความเชอ่ื ม่ันในตนเอง พฤติกรรมดังกล่าวต้องเป็นพฤตกิ รรมทค่ี ่อนขา้ งรนุ แรง
และเกดิ ขึ้นสมำ่ เสมอเทา่ นน้ั จึงจัดวา่ เปน็ เด็กท่ีมีปญั หา
- การหนีสังคมหรือการปลีกตัวออกจากสังคมเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนอย่างหน่ึง เช่น การที่เด็กไม่
คอ่ ยพดู ไม่เลน่ กบั เพื่อน ไมร่ ่วมกิจกรรมข้ีอาย ชอบอยูค่ นเดยี ว บางคนเจา้ อารมณ์ บางคนแสดงออกทางสังคม
ไม่เหมาะสม
- ความผดิ ปกตทิ างการเรยี น เด็กที่มปี ัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์จะมีผลการเรียนต่ำ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในด้านการอ่าน การสะกดคำ การคำนวณ การตัดสินว่าเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม
นนั้ ควรพิจารณาความรุนแรงและความสำ่ เสมอควบคไู่ ปด้วย การตดั สนิ ควรใชเ้ กณฑเ์ ป็นหลกั ในการพจิ ารณา
7. บุคคลท่มี ปี ญั หาทางการเรยี นรู้
บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หมายถึง บุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางการรับรู้หรือทางการเรยี นรู้ทีม่ ี
ความผิดปกติอยา่ งเดียวหรอื หลายอย่างทำให้เกดิ ปญั หาทางการฟัง การอา่ น การพดู การเขยี น การสะกด การ
คำนวณ การใช้เหตุผล การรวบรวมความคิด ซ่ึงความผิดปกตนิ ี้ไม่ใชเ่ กิดจากภาวะบกพร่องทางการเห็นการได้
ยนิ ทางรา่ งกาย ทางสตปิ ญั ญา ทางอารมณแ์ ตเ่ ปน็ ภาวะทางสมองทม่ี คี วามผิดปกติทำใหก้ ารแปลภาพ การแปล
เสียงหรือการรับรู้ แปรปรวนไปจากเดิมเด็กบางคนมองเห็นหนังสือกลับหลัง เด็กบางคนไม่สามารถแปล
ความหมายหรอื เข้าใจจากการไดย้ ิน เดก็ บางคนไมเ่ ข้าใจตัวเลขและความหมายตวั เลข
คูม่ ือระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดโรคโควดิ -19 42
8. บคุ คลพิการซ้อน
บุคคลพิการซ้อน (Mutiple Handicapped) หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องหรือความพิการ
มากกว่าหนึง่ ประเภทในบุคคลเดียวกนั อาจแบ่งตามลักษณะไดต้ ามความพิการท่เี หน็ ชัดเจน เช่น
8.1 บกพร่องทางการเห็นร่วมกับบกพร่องอื่น ๆ เช่น การได้ยิน สมาธิสั้น สติปัญญา ร่างกาย
การเรยี นรู้ เปน็ ต้น
8.2 บกพร่องทางร่างกายร่วมกับบกพร่องอืน่ ๆ เช่น การได้ยิน การเห็น การเรียนรู้ ออทิสติก สมาธิ
ส้นั สติปญั ญา เป็นตน้
8.3 บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับบกพร่องอื่น ๆ เช่น สติปัญญา การเห็น ร่างกาย การเรียนรู้สมาธิ
สัน้ เป็นต้น
8.4 บกพร่องทางสตปิ ญั ญากบั บกพร่องอื่น ๆ เช่น ร่างกาย ออทสิ ติก สมาธสิ นั้ เป็นต้น ลกั ษณะความ
พิการซ้อนมีมากมายหลายประเภท โดยอาจจับคู่ๆ ดังกล่าวข้างต้น หลายคนมีลักษณะความพิการซ้อน
มากกว่า 2 อย่าง และมีความต้องการพิการเศษแตกต่างกันต้องได้รับการช่วยเหลือตามความต้องการ เพื่อ
พฒั นาให้เตม็ ตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล
9. บุคคลออทิสตกิ
บุคคลออทิสติก หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องพัฒนาการด้านสังคม ภาษา และการสื่อ
ความหมาย พฤติกรรม อารมณ์ และจินตนาการ ซ่งึ สาเหตุเนือ่ งมาจากการทำงานในหนา้ เที่บางส่วนของสมอง
ท่ีผดิ ปกตไิ ป และความผิดปกตนิ นั้ พบไดก้ อ่ นวยั 30 เดอื น ลักษณะของเด็กออทสิ ตกิ มดี ังนี้
9.1 มีความบกพร่องทางปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม เช่น ไมม่ องสบตาบุคคลอนื่ ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า
กิรยิ าหรอื ท่าทางเลน่ กับเพ่ือนไม่เป็น ไมส่ นใจท่ีจะทำงานรว่ มกับใครไม่เขา้ ใจพฤติกรรมของบุคคลอนื่
9.2 มีความบกพรอ่ งด้านการส่อื สาร ทัง้ การใช้ภาษาพูด ความเข้าใจในภาษา การแสดงกริ ยิ า การส่ือ
ความหมาย ซึ่งมีความบกพร่องหลายระดับ ตั้งแต่ไม่สามารถพูดสื่อความหมายได้เลย หรือคนพูดได้ แต่ไม่
สามารถสนทนาโตต้ อบกับผู้อืน่ ได้อย่างเข้าใจ บางคนพดู แบบเสียงสะท้อนหรือพดู เลียนแบบทวนคำพูด บางคน
จะพดู ซ้ำในเร่ืองทต่ี นเองสนใจ มีการใช้สรรพนามสลับท่ี ระดับเสียงพดู อาจมคี วามผดิ ปกติ บางคนพดู โทนเสียง
เดยี ว บางคนพูดไมม่ คี วามหมาย
9.3 มีความบกพรอ่ งด้านพฤติกรรมและอารมณ์ บางคนมีพฤตกิ รรมซำ้ ๆ ผิดปกติ เชน่ เลน่ โบกมือไป
มา หรอื หมนุ ตวั ไปรอบ ๆ เดนิ เขย่งเทา้ ปลาย ท่าทางเดินงมุ่ ง่าม ยดึ ตดิ โดยไมย่ อมรบั การเปล่ยี นแปลงใด ๆ การ
แสดออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสมกับวัยบางคนร้องไห้หรือหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล บางคนมีอารมณ์ก้าวร้าว
รนุ แรงเมอื่ มีการเปล่ยี นแปลงสิง่ แวดลอ้ ม เปน็ ต้น
9.4 มคี วามบกพร่องด้านการรับรู้และประสาทสมั ผัส การใชป้ ระสาทสัมผัสท้งั หา้ คือ การรับรู้ทางการ
เห็นการตอบสนองตอ่ การฟงั การสมั ผสั การรับกลน่ิ และรส มีความแตกต่างกนั ในแตล่ ะบคุ คล บางคนชอบมอง
แสง บางคนตอบสนองตอ่ เสยี งผิดปกติ รับเสียงบางเสียงไมไ่ ด้ ดา้ นรับสัมผัสกลน่ิ และรส บางคนตอบสนองช้า
หรือไว หรอื แปลกว่าปกติ เช่น ชอบดมของเลน่ เป็นต้น
9.5 มีความบกพร่องดา้ นการใชอ้ วยั วะต่าง ๆ อยา่ งประสานสมั พันธก์ ัน การใชส้ ว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย
รวมถึงการประสานสัมพันธ์ของกลไกกล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็กมีความบกพร่องบางคนเคลื่อนไหวงุม่ ง่าม
ผิดปกตไิ มค่ ล่องแคล่ว ทา่ ทางเดนิ หรือว่ิงแปลก การใชก้ ลา้ มเนอ้ื มัดเล็กในการหยบิ จบั ไท่ประสานกัน
ค่มู ือระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรยี นและการจัดการเรยี นร้ใู นสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 43
9.6 มีความบกพร่องดา้ นจินตนาการ ไม่สามารถแยกเรื่องจริงเรอ่ื งสมมุติ หรือประยุกตว์ ธิ กี ารจาก
เหตุการณ์หน่ึงไปยงั อีกเหตุการหนงึ่ ได้ เขา้ ใจสิง่ ที่เปน็ นามธรรมไดย้ าก เล่นบทบาทสมมตุ ไิ มเ่ ป็น จดั ระบบ
ความคิด ลำดับความคิด ลำดับความสำคญั กอ่ นหลัง คิดจินตนาการจากภาษาไดย้ าก ทำให้เกดิ อปุ สรรค
9.7 มคี วามบกพรอ่ งด้านสมาธมิ ีความสนใจสนั้ ไม่อย่นู ่งิ
แนวทางการจัดการเรียนประเภทของเด็กที่มีความตอ้ งการพิเศษทีพ่ บในโรงเรยี น ไดแ้ ก่
1. เดก็ ท่มี คี วามบกพร่องทางสตปิ ัญญา
2. เดก็ ที่มปี ญั หาทางการเรยี นรู้
3. เดก็ ออทิสตกิ
4. เด็กสมาธิสน้ั
1. เด็กบกพร่องทางสตปิ ญั ญา
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มักมีปัญหาเกอื บทุกด้านในชวี ิตประจำวัน และปัญหาการเรยี น
เนื่องจากเด็กมีข้อจำกัดหรือเพดานในการเรียนรู้ ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เท่ากับเพื่อนในวัยเดียวกัน
เป็นภาวะที่สมองหยุดพัฒนาหรือพัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความบกพร่องของทักษะด้านต่าง ๆ ใน
ระยะพัฒนาการ และส่งผลกระทบตอ่ ระดับเชาวนป์ ญั ญาทกุ ๆ ด้าน
ลักษณะอาการ ความบกพร่องทางสติปัญญา ตามเกณฑ์การวินิจฉัย DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์
อเมรกิ ัน คือ มีระดบั เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานอย่างชัดเจน รว่ มกบั มีความความบกพร่องในทักษะ
การปรับตวั โดยมีอาการให้เห็นตัง้ แต่ชว่ งวยั เดก็ หรือวัยร่นุ ส่งผลให้เกิดข้อจำกดั ในชวี ติ ประจำวันหลายดา้ น ทั้ง
ทบี่ ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน และชมุ ชน โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี
- ทักษะทางเชาวน์ปัญญา (intellectual functioning) เช่น การใช้เหตุผล การแก้ไขปัญหา การ
วางแผน การคิดเชิงนามธรรม การตดั สนิ ใจ การเรียนรูท้ างวชิ าการ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซง่ึ ยืนยัน
โดยการประเมินอาการทางคลินิก และการทดสอบเชาวนป์ ญั ญา การทดสอบเชาวน์ปัญญา หรือที่เรียกว่าการ
วัดไอควิ ควรทำโดยแบบทดสอบมาตรฐานจึงจะเช่อื ถือได้ เกณฑเ์ ฉล่ยี อยทู่ ่ี 90-109 ถ้าไดต้ ัง้ แต่ 70-89 เรยี กวา่
กลุ่มเรยี นรูช้ า้ แต่ถ้าได้ต่ำกว่า 70 จะเข้าเกณฑข์ องความบกพรอ่ งทางสติปัญญา
- ทักษะการปรบั ตัว (adaptive functioning) เป็นปัจจัยบง่ ช้ถี งึ ความสามารถในการดำรงชวี ติ
ประจำวนั มี 3 ด้าน ดงั น้ี
• ด้านความคดิ รวบยอด (conceptual domain) หมายถึง ทักษะการใช้ภาษา การอา่ น การเขยี น
การคำนวณ การใช้เหตุผล และความจำ
• ด้านสงั คม (social domain) หมายถงึ การเข้าใจผู้อื่น การตดั สินใจในสถานการณท์ างสังคมต่าง ๆ
การสือ่ สารระหวา่ งบคุ คล และสัมพันธภาพ
• ด้านทกั ษะในการดำรงชวี ติ และการทำงาน (practical domain) หมายถึงการดแู ลตนเองเรอื่ งตา่ ง ๆ
เช่น สขุ อนามัยสว่ นตัว ความรับผิดชอบในการเรียนและทำงาน และการจดั การดา้ นการเงนิ ของตนเอง
ค่มู ือระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี นและการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 44
ระดับความรนุ แรง ความบกพร่องทางสติปญั ญามีระดบั ความรุนแรงแบ่งออกเปน็ 4 ระดบั ตามระดับ
เชาวนป์ ญั ญา และระดบั ความสามารถท่วี ัดได้
- ระดับน้อย (Mild Mental Retardation) มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 50-69 อาจไม่แสดงอาการ
ล่าช้าจนกระทัง่ วัยเขา้ เรียน (แต่ถ้าสังเกตอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าเด็กเหล่านี้มีความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์
อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เจนต้ังแตว่ ัยอนบุ าล) มักไมม่ อี าการแสดงทางร่างกาย ทางบุคลิกภาพ หรอื ทางพฤตกิ รรมใดโดย
เฉพาะที่บ่งบอกถึงความบกพร่องทางสตปิ ญั ญา ยกเว้นกลุ่มอาการทม่ี ลี ักษณะพิเศษทางรปู ร่างหนา้ ตา ปรากฏ
ให้เห็น กจ็ ะทำให้สามารถวนิ ิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเกิด หรือในวัยทารกเดก็ ในกลุ่มนสี้ ามารถพฒั นาทักษะด้านสังคม
และการสื่อความหมายได้เหมือนเด็กทั่วไป แต่มักมีความบกพร่องด้านประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหว
สามารถเรียนรู้ได้ (educable) ทักษะทางวิชาการมักเป็นปัญหาสำคัญที่พบในวัยเรียน แต่ก็สามารถเรียนจน
จบชั้นประถมปลายได้ สามารถฝึกทักษะด้านสังคมและอาชีพ พอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เป็นแรงงานที่ไม่ตอ้ งใช้
ทักษะฝีมอื หรือกง่ึ ใช้ฝีมือ แต่อาจต้องการคำแนะนำ และการช่วยเหลือบ้างเม่อื ประสบความเครียด
- ระดับปานกลาง (Moderate Mental Retardation) มีระดับไอควิ อยู่ในช่วง 35-49 ในช่วงขวบ
ปีแรก มักจะมพี ฒั นาการด้านการเคลอ่ื นไหวปกติ แตพ่ ัฒนาการดา้ นภาษาและด้านการพูดจะลา่ ช้า ซึ่งจะเห็น
ได้ชัดเจนในช่วงวัยเตาะแตะ การศึกษาหลังจากระดับชั้นประถมต้น มักไม่ค่อยพัฒนา สามารถฝึกอบรมได้
(trainable) ในทักษะการช่วยเหลือ ดูแลตนเอง เรียนรู้ที่จะเดินทางได้ด้วยตนเองในสถานที่ที่คุ้นเคย
และฝกึ อาชพี ไดบ้ ้าง สามารถทำงานท่ไี ม่ตอ้ งใช้ทักษะฝีมือ แต่ควรอยู่ภายใตก้ ารกำกบั ดแู ลอยา่ งใกลช้ ิด
- ระดับรุนแรง (Severe Mental Retardation) มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 20-34 มักจะพบทักษะ
ทางการเคลื่อนไหวล่าช้าอย่างชัดเจน ด้านภาษาพัฒนาเล็กน้อย ทักษะการสื่อความหมายมีเพียงเล็กน้อย
หรือไมม่ พี อจะฝึกฝนทกั ษะการดแู ลตนเองเบอื้ งต้นได้บ้างแตน่ อ้ ย ดำรงชีวติ อย่ใู นสังคมภายใต้การควบคุมดูแล
อยา่ งเตม็ ท่ี การทำงานต้องการโปรแกรมในชมุ ชน หรอื การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ท่ีพเิ ศษเปน็ การเฉพาะ
- ระดับรุนแรงมาก (Profound Mental Retardation) มีระดบั ไอควิ ต่ำกวา่ 20 มพี ฒั นาการล่าช้า
อย่างชดั เจนในทุก ๆ ดา้ น มกั มีพฒั นาการดา้ นการเคล่ือนไหว และฝกึ การช่วยเหลือตนเองได้บ้าง มีขดี จำกดั ใน
การเขา้ ใจและการใชภ้ าษาอย่างมาก ต้องการความชว่ ยเหลือ ดแู ลอยา่ งใกล้ชดิ ตลอดเวลา
การจัดการศึกษาสำหรบั เด็กทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา (ID)
- ระดับกอ่ นวยั เรียน เน้นความพรอ้ มของเดก็ ท้งั ในดา้ นความคิด ความจำ รา่ งกาย อารมณ์ และสังคม
ของเด็ก ความพร้อมของเดก็ เป็นพนื้ ฐานสำคัญในการเรียนในระดับประถมศึกษา การพฒั นาทกั ษะของเด็กใน
ระดับนี้ควรเน้นทักษะที่จะจำเป็นที่จะช่วยให้เด็กมีความพร้อมในการเรียน เช่น การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
กล้ามเนื้อมดั ใหญ่ การฝกึ ให้นักเรยี น มคี วามสนใจในบทเรียนนานขน้ึ การฝึกความคิดความจำ ฝกึ ภาษา ฝกึ พูด
เปน็ ต้น
- ระดับประถมศึกษา เน้นเกี่ยวกับการอ่าน คณิตศาสตร์ ภาษา ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์และสังคม
ศึกษานั้นมีความสำคัญรองลงไปในหลักสูตร แตกต่างไปจากหลักสูตรสำหรับเด็กปกติ ตลอดจนเอกสารการ
เรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจและความสามารถของเดก็ สว่ นเน้ือหาวิชาดนตรแี ละศิลปะควรจัดให้
เหมาะสมกบั เดก็
- ระดับมัธยมศกึ ษา เนน้ ความตอ้ งการและความสามารถของเด็กเป็นสำคัญ หากเดก็ มีความสามารถ
ในการเรยี น เด็กควร ได้รบั การสง่ เสรมิ ใหเ้ รียนวิชาท่ีเหมาะสม หากเด็กไมม่ คี วามพร้อม ควรให้เด็กเรยี นในด้าน
อาชีพ และฝึกทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เพื่อเตรียมเด็กให้สามารถดำรงชีพในสังคมได้ ควรฝึกให้เด็กมี
ทกั ษะในด้านต่อไปน้ี คือ ทกั ษะดา้ นการงานและอาชพี การครองเรือน นนั ทนาการ การดแู ลสุขภาพ การดำรง
ชีพในชุมชน ครูจึงจำเปน็ ตอ้ งใชห้ ลกั การสอนพเิ ศษกว่าเดก็ ปกติ
คูม่ ือระบบการดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี นและการจดั การเรียนร้ใู นสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดโรคโควดิ -19 45