50 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
“ขวัญ” ต่างจากสิ่งที่เรียกว่า “วิญญาณ” ตามค�ำสอนทางศาสนาจากอินเดียมากทีเดียว
เพราะเมื่อคนตายวิญญาณก็ดับหายไป หรือจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏก็แล้วแต่ความเช่ือของแตล่ ะ
ศาสนา แตข่ วญั ไมห่ ายไปพรอ้ มเจา้ ของทต่ี าย ในทางตรงขา้ ม ขวญั ของผตู้ ายยงั มอี ยแู่ ลว้ พยายามหา
หนทางกลบั เหยา้ เรอื นเดมิ ของตน ไมว่ า่ เหยา้ เรอื นเดมิ จะอยทู่ สี่ ว่ นไหนของโลก
ขวญั มีหน่วยเดียว แต่ฝงั กระจายอยู่ทกุ สว่ นของร่างกายต้งั แตแ่ รกเกดิ มาเป็นตัวตน และมี
ความส�ำคัญเทา่ ๆ กันหมด รวมถึงส�ำคญั เทา่ กบั รา่ งกายดว้ ย เพราะร่างกายต้องมขี วัญ ถา้ ไมม่ ขี วญั
กไ็ มม่ ชี วี ติ ฉะนน้ั รา่ งกายทมี่ ชี วี ติ ตอ้ งมขี วญั เชน่ ขวญั หวั ขวญั ตา ขวญั แขน ขวญั ขา ฯลฯ
ดงั นน้ั “ขวญั ” จงึ แตกตา่ งจาก “วญิ ญาณ” เปน็ อยา่ งมาก เพราะวญิ ญาณตามความเชอ่ื ทเ่ี รารบั
เอามาจากอินเดยี นั้น เรามีอยเู่ พยี งคนละดวงเท่านนั้ ผิดจากขวญั ทเี่ รามกี นั อยู่
พิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญ มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น เรียกขวัญ สู่ขวัญ
ทำ� ขวัญ เปน็ ต้น ถอื เปน็ พธิ กี รรมทแี่ สดงความผูกพนั ในระบบความสัมพันธแ์ บบเครอื ญาติ ระหว่าง
บคุ คลกับครอบครวั และระหว่างบคุ คลกบั ชมุ ชน
พิธีท�ำขวัญนาค ซึ่งเป็นพิธีเปลี่ยนผ่านจาก “ผี” ไปเป็น “พุทธ” จึงไม่ใช่พิธีในส่วนของ
ศาสนาพทุ ธ แตเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ศาสนาผี เกย่ี วกบั เรอื่ งนนี้ กั วชิ าการนอกเครอ่ื งแบบและนกั มานษุ ยวทิ ยา
อยา่ ง สจุ ติ ต์ และปรานี วงษเ์ ทศ ไดอ้ ธบิ ายเอาไวว้ า่ “พธิ ที ำ� ขวญั นาคกค็ อื พธิ ใี หค้ วามสำ� คญั แกผ่ เู้ ปน็ แม”่
เพราะในวนั รงุ่ ขน้ึ เมอ่ื นาคเขา้ โบสถแ์ ลว้ แมก่ จ็ ะหมดหนา้ ทแ่ี ละความสำ� คญั กจ็ ะโอนไปอยทู่ ผี่ เู้ ปน็ พอ่
(ปรานี วงษ์เทศ, 2548: 128)
พธิ ที ำ� ขวญั นาค แตด่ ั้งเดมิ มหี มอขวัญเปน็ ผหู้ ญงิ
(ทมี่ า: https://www.youtube.com/watch?v=FWYAYJm2fho)
ดังจะเห็นได้จาก ค�ำท�ำขวัญนาค ซ่ึงของโบราณมักจะมีความพรรณนาถึง ความทุกข์ยาก
ในการตั้งครรภข์ องผเู้ ปน็ แม่โดยละเอียด เริ่มตง้ั แตก่ ารแพ้ทอ้ งเรื่อยมาจนกระทง่ั ถึงการคลอด
พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 51
และตลอดทั้งพิธีท�ำขวัญ จะมีดนตรีปี่พาทย์บรรเลงประกอบ ซึ่งโดยปกติแล้วการบรรเลง
เพลงเรอื่ ง หรอื เพลงชดุ ใดๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั พธิ กี รรมศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ จะตอ้ งบรรเลงเพลงสาธกุ าร เปน็ เพลงแรก
เพอ่ื นมสั การพระรตั นตรยั เปน็ สริ มิ งคล แตใ่ นพธิ ที ำ� ขวญั นาคนน้ั แปลกไปจากพธิ อี นื่ เพราะจะบรรเลง
“เพลงนางนาค” เปน็ เพลงแรก เพอื่ แสดงความออ่ นนอ้ ม และวงิ วอนรอ้ งขอความมนั่ คง หรอื ความอดุ ม
สมบรู ณจ์ าก “นาค” หรอื “เจา้ แม”่ ผเู้ ปน็ ใหญใ่ นแผน่ ดนิ และแผน่ นำ�้ ใหแ้ กผ่ รู้ บั ทำ� ขวญั (ปรานี วงษเ์ ทศ,
2548: 128-130)
ประเพณบี วชนาค นอกจากเปน็ พธิ กี รรมเปลย่ี นผา่ นจากเพศฆราวาส ไปสเู่ พศบรรพชติ
แลว้ ยงั เปน็ พธิ กี รรมเปลย่ี นผา่ นจาก “คนพนื้ เมอื ง” ทยี่ งั ไมถ่ กู นบั เปน็ มนษุ ย์ และอยใู่ นฐานะของ
“คนเปลอื ย” หรอื “นาค” ไปเปน็ “มนษุ ย”์ ผมู้ อี ารยะ เพราะไมไ่ ดเ้ ปลอื ยเปลา่ แตไ่ ดค้ รอง “อาภรณ์
แหง่ ความเปน็ อารยะ” อยา่ งผา้ เหลอื งของสงฆ์
ในขณะเดยี วกบั ทไ่ี ดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ รอ่ งรอยการเปลยี่ นผา่ นจากศาสนาพน้ื เมอื งของ
“แม่” ไปสศู่ าสนาสากลท่ีเขา้ มาใหมข่ อง “พอ่ ” ด้วยพร้อมๆ กนั นัน้ เอง
“เมืองทา่ ” กับผปู้ กครองท่ีเปน็ ผู้หญิง
เช่นเดียวกับที่ “ผู้ชาย” ตา่ งครอบครองอำ� นาจทัง้ ในปรมิ ณฑลทางความเช่อื และทางโลก
ไปพร้อมกัน ในสังคมต่างๆ ของอุษาคเนย์ที่รับวัฒนธรรมศาสนาพุทธ หรือพราหมณ์-ฮินด ู
เขา้ มาแลว้ ในยคุ ด้งั เดมิ ของอุษาคเนยน์ นั้ “ผู้หญงิ ” กไ็ ม่เพยี งแต่จะครอบครองอ�ำนาจในปรมิ ณฑล
ของความเชอ่ื เทา่ นนั้ เพราะยังมรี ่องรอยของการครอบครองอำ� นาจในปริมณฑลทางโลกดว้ ยเช่นกนั
สังคมในกลุ่มชาวออสโตรนีเซียน (Austronesian) ซึ่งหมายรวมถึงพวกที่อยู่ในหมู่เกาะ
โพลนี เี ซยี มาดากสั การ์ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และอนิ โดนเี ซยี มแี นวโนม้ ทปี่ ระชากรกลมุ่ ใหญส่ ดุ จะยอมใหผ้ หู้ ญงิ
ซึ่งเกดิ ในตระกูลสงู ศักดเิ์ ปน็ “ผู้ปกครอง” ได้ ในชว่ งเวลาที่ เซอร์ เจมส์ บรคู (James Brooke, พ.ศ.
2346-2411) หรือท่ีชาวไทยในสมัยก่อนเรียกว่า เย สัปบุรุษนักผจญภัยชาวอังกฤษ และรายา
ผวิ ขาวคนแรกแหง่ รฐั ซาราวกั ไปเยอื น โวโจ (Wojo)รฐั เพอื่ นบา้ นของบกู สิ (Bugis) ในเกาะสลุ าเวสี
เขาพบวา่ ผนู้ ำ� ทป่ี กครองรฐั ทย่ี ง่ิ ใหญแ่ หง่ น้ี 4 ใน 6 คนเปน็ ผหู้ ญงิ (อา้ งใน ปรานี วงษเ์ ทศ, 2549: 349)
ข้อมูลของบรูคชวนให้นกึ ถึง ชว่ งศตวรรษท่ผี ู้หญงิ ได้เป็นผปู้ กครองรัฐปตั ตานี ตดิ ต่อกนั ถงึ
สร่ี ชั สมยั ในชว่ งระหวา่ ง พ.ศ. 2127-2231 (คอื รายาฮเิ จา, รายาบรี ,ู รายาองุ งู และรายากนุ งิ ) นย่ี งั
ไม่นับพระราชินี 2 พระองค์ที่ครองราชยต์ ิดกันระหวา่ งปี พ.ศ. 1948-1977 ของรฐั ปาไซ (Pasai) และ
ผู้ปกครองผู้หญิงที่ปกครองในช่วงสั้นๆ พระองค์อื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐที่เป็นศูนย์กลาง
ทางการคา้ ท้งั ส้ิน (ดใู น Reid, 1988: 629-645)
ลกั ษณะเชน่ นช้ี วนใหน้ กึ ถงึ นทิ านการกำ� เนดิ รฐั ฝหู นาน เพราะแมจ้ ะเปน็ เพยี งนทิ าน ซำ�้ ยงั เปน็
นทิ านทไี่ ปดดั แปลงมาจากนทิ านในอนิ เดยี อกี ทอดหนง่ึ แตห่ ากจะกลา่ วใหถ้ งึ ทสี่ ดุ แลว้ “นางหลิวเย่”
หรอื “นางนาค” กค็ อื “ผปู้ กครอง” ของเมอื งทา่ ไมต่ า่ งไปจากบรรดา “รายา” ผหู้ ญงิ ในประวตั ศิ าสตร์
เหลา่ น้ี
ปรานี วงษเ์ ทศ จงึ ไดต้ ง้ั ขอ้ สงั เกตเอาไวว้ า่ “...รฐั ทร่ี บั อทิ ธพิ ลของอนิ เดยี หรอื จนี เชน่
ในเวยี ดนาม)...โดยเฉพาะในราชสำ� นกั ของรฐั บนผนื แผน่ ดนิ ใหญ่ ผปู้ กครองทเ่ี ปน็ ผหู้ ญงิ จะพบ
นอ้ ยมาก ประเทศสยามไมเ่ คยมผี หู้ ญงิ เปน็ ผปู้ กครองเลย สว่ นในเวยี ดนามและพมา่ กไ็ มค่ อ่ ย
52 พลังผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
มเี ชน่ กนั 4 ในสงั คมอสิ ลามในอษุ าคเนย์ รปู แบบของการเปน็ กษัตรยิ ท์ ี่ต้องเปน็ เพศชายแบบ
อสิ ลาม ดเู หมอื นจะมอี ทิ ธพิ ลครอบงำ� อยจู่ นถงึ ประมาณ ปี พ.ศ. 2200 ทำ� ใหม้ ผี ปู้ กครองผหู้ ญงิ
เพียงไม่กี่คนหลังจากน้ัน...” (ปรานี วงษ์เทศ, 2549: 349-350)
ผผี หู้ ญงิ ผีบรรพบรุ ษุ ในยคุ บรรพกาล?
ในโลกของกลุ่มคนท่ีพูดภาษาตระกูลมลายู มีค�ำว่า “ฮันตู” ซึ่งตรงกับมโนภาพของ “ผี”
ในกลุ่มคนท่ีพูดภาษาตระกูลไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรท่ีฮันตูจะสามารถให้คุณ ให้โทษแก่มนุษย์
หรอื ใครตอ่ ใครก็ไดอ้ ย่างไม่จำ� เป็นต้องปราณี ไม่ต่างไปจากผี
ค�ำว่า “ฮนั ตู” (hantu) ยังเป็นปฏิพากย์ (คือ ตรงกันข้าม) กับคำ� วา่ “ตูฮนั ” (tuhan) ซ่ึง
หมายถึง “เจา้ ” หรอื “พระเจ้า” ในภาษามลายู โดยจากคำ� หลงั นจ้ี ะกลายเปน็ ค�ำว่า “ตวน” (tuan)
ที่แปลวา่ “เจ้า” “เจ้าของ” หรอื “เจ้านาย” อีกทอด5 (กณั หา แสงรายา, 2558: 130-131)
น่กี ็เป็นอีกหนง่ึ ตวั อยา่ งของความสัมพันธร์ ะหว่าง “ผ”ี ในศาสนาดัง้ เดิม กบั “พระเจา้ ” ใน
ศาสนาใหม่ และ “เจา้ ” ซึง่ แม้จะไม่ใชส่ ิง่ ศักดิ์สิทธ์ิอยา่ ง ผี หรอื พระเจ้า แต่ก็ให้คุณ ให้โทษแกไ่ พร่
ทาสได้ไม่ต่างไปจากกันแน่
และกเ็ ปน็ คำ� วา่ “ตวน” เดยี วกนั นเ้ี องทเี่ คยทำ� ใหป้ ราชญ์ และนกั อา่ นจารกึ คนสำ� คญั ชาวฝรงั่ เศส
อยา่ ง ยอรช์ เซเดส์ (Goerge Cœdès) เคยอธบิ ายวา่ กษตั รยิ พ์ ระองคส์ ำ� คญั พระองคห์ นงึ่ ของจกั รวรรดิ
ขอมโบราณคือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ท่ีเมืองพระนครระหว่าง พ.ศ. 1554-1593)
ผสู้ รา้ งปราสาทพระวหิ าร วา่ เปน็ เจา้ ชายจากเมอื งตามพรลงิ ค์ (นครศรธี รรมราช) โดยมเี หตผุ ลประกอบ
ข้อหนึ่ง ก็คือสร้อยพระนามก่อนเสด็จข้ึนครองราชย์ของพระองค์ บนศิลาจารึกจากสมโบร์ ริมฝั่ง
แมน่ ำ้� โขงประเทศกมั พชู า ทม่ี คี ำ� วา่ “กำ� ตวน” ปรากฏอยดู่ ว้ ย โดยคำ� วา่ “ตวน” ใน “กำ� ตวน” นน้ั หมายถงึ
“เจา้ ” ในภาษามลายนู ี่เอง (ดูคำ� อธิบายเพ่ิมเติมใน Lawrence Palmer Briggs, 1999: 159)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมมากข้ึนในเวลาต่อมา เซเดส์จึงได้เปลี่ยน
ความคดิ เห็นเสยี ใหม่เป็นว่า “กำ� ตวน” ในจารกึ ของพระเจา้ สุริยวรมันที่ 1 น้ัน คงไม่ใชค่ �ำเดยี วกบั ว่า
“ตวน” ในภาษามลายู แตน่ า่ จะมคี วามหมายวา่ “สบื เชอื้ สายมาทางสตร”ี (อา้ งใน ม.จ. สภุ ทั รดศิ ดศิ กลุ ,
2535: 186) อยา่ งไรกต็ ามพระองคไ์ ม่ไดป้ ระสูติ และเจรญิ พระชันษาขึ้นภายในเมอื งพระนครแน่ แต่
เสด็จมาจากที่อน่ื
4เวียดนามเคยมวี รี สตรพี นี่ อ้ งตระกลู ตรงึ (Trung Sisters) เปน็ ผนู้ ำ� ในการปฏวิ ตั ริ าชสำ� นกั ฮน่ั ของจนี ตงั้ แตเ่ มอ่ื
พ.ศ. 586 อันเป็นชว่ งเวลาเก่าแก่ ก่อนท่ีศาสนาจากอินเดยี จะเข้ามามีบทบาทตอ่ ภูมภิ าคนอ้ี ย่างชัดเจน เชน่ เดียวกบั
พระนางชินสอบู (พ.ศ. 1996-2015) ผู้ข้ึนปกครองเมืองท่าส�ำคัญ ในบริเวณอ่าวเบงกอล ท่ีเกิดใหม่ในยุคนั้น
อย่าง พะโค ในเขตประเทศพม่าปัจจุบันน้ี (ท่ีมีเร่ืองราวเกี่ยวกับการรับศาสนาพุทธเข้าไปในอาณาจักร ในรัชสมัย
ของพระนาง และความเจรญิ งอกงามของศาสนาพทุ ธในยคุ ตอ่ จากนนั้ ซงึ่ มผี ปู้ กครองเปน็ ผชู้ ายปรากฏอยใู่ นพงศาวดาร
อย่างนา่ สนใจ)
ในขณะที่สยาม ไม่เคยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า มีผู้หญิงเป็นผู้ปกครองเลย (ถ้าไม่นับ
พระนางจามเทวี ซง่ึ ตามตำ� นานวา่ เปน็ เจา้ หญงิ เมอื งละโว้ คอื ขอม ทขี่ น้ึ ไปปกครองเมอื งหรภิ ญุ ชยั คอื ลำ� พนู ทเ่ี ชอื่ วา่ เปน็
มอญ ดงั นนั้ พระนางจงึ ไมน่ า่ จะตรสั อะไรเปน็ ภาษาไทยแน)่ ซงึ่ สมั พนั ธก์ บั จกั รวาลวทิ ยาในโองการแช่งน้�ำพระพัทธ์
ทไ่ี ม่ปรากฏช่ือส่งิ ศักด์สิ ทิ ธิ์ทีเ่ ป็นผ้หู ญิงเลย
5นอกจากนี้ยังมีค�ำอธิบายว่าจาก “ตูฮัน” จะกลายเป็นค�ำว่า “ท่าน” หรือ “แถน” ในภาษาไทย (กัณหา
แสงรายา, 2558: 131)
พลังผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 53
นอกจากนแี้ ลว้ ยงั มจี ารกึ อกี หลกั จากวดั ธปิ ในประเทศกมั พชู า ทอี่ า้ งวา่ พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี 1
ทรงมีสิทธิธรรมในการข้ึนครองราชย์ที่เมืองพระนคร จากการเก่ียวดองทางมเหสีของพระองค์ คือ
พระนางวรี ลกั ษมี ซงึ่ จากพระนามของเจา้ หญงิ องคน์ ี้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระนางอาจจะเปน็ “พระมเหส”ี
หรอื “พระราชธดิ า” ของพระมหากษตั รยิ พ์ ระองคก์ อ่ นหนา้ พระองคค์ อื พระเจา้ ชยั วรี วรมนั (ครองราชย์
ท่เี มอื งพระนครระหวา่ ง พ.ศ. 1545-1554)
และถา้ หากเปน็ เชน่ นนั้ จรงิ เซเดสไ์ ดเ้ สนอตอ่ ไปวา่ นเี่ ปน็ หลกั ฐานของตวั อยา่ งการขนึ้ ครองราชย์
ดว้ ยการเสกสมรสกบั พระมเหสี หรอื พระราชธดิ าของพระเจา้ แผน่ ดนิ องคก์ อ่ นหนา้ วา่ เปน็ สง่ิ ทชี่ อบธรรม
ดว้ ยกฎหมาย (อา้ งใน ม.จ. สภุ ทั รดศิ ดศิ กลุ , 2535: 186-187) โดยเฉพาะเมอื่ พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ที่ 1 ไม่ได้
ทรงเป็นรัชทายาท และไม่ได้ทรงมีถ่ินฐานด้ังเดิมอยู่ในเมืองพระนคร อันเป็นราชธานีของพวกขอม
โบราณด้วย
ดงั นนั้ ไมว่ า่ พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ที่ 1 จะทรงมสี ทิ ธธิ รรมในการครองราชยม์ าจากการเปน็
ก�ำตวน คือสืบเช้ือสายมาทางสตรี หรือมีด้วยการเสกสมรสกับพระมเหสีหรือพระราชธิดา
ของพระเจ้าชัยวีรวรมัน ที่ครองราชย์มาก่อนหน้าพระองค์ก็ดี สิทธิธรรมของพระองค์ก็ได้
มาจากอ�ำนาจบารมี ที่สบื สายมาจากความเก่ยี วดองกับ “ผหู้ ญิง” ทง้ั สน้ิ
“นางนาค” กับอำ� นาจของผหู้ ญงิ ในราชส�ำนกั ขอม
อนั ทจี่ รงิ แลว้ มที งั้ รอ่ งรอยและหลกั ฐานของสทิ ธธิ รรมของอำ� นาจในการปกครอง หรอื การสบื
ราชบลั ลงั ก์ แตด่ งั้ เดมิ ของอารยธรรมขอมวา่ สมั พนั ธอ์ ยกู่ บั “ผหู้ ญงิ ” มาเนน่ิ นานแลว้ อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ
นทิ านตน้ กำ� เนดิ รฐั ฝหู นาน ตน้ กระแสธารอารยธรรมขอม ในบนั ทกึ ของคงั ไถ และจยู งิ ทวี่ า่ นางหลวิ เย่
หรอื นางนาค กเ็ ปน็ รอ่ งรอยสำ� คญั ถงึ การมรี ฐั ทมี่ ี “ผหู้ ญงิ ” เปน็ ผปู้ กครองมาแตด่ ง้ั เดมิ ของพวกขอม
แตเ่ รอื่ งของนางหลวิ เยก่ ไ็ มใ่ ชร่ อ่ งรอยหลกั ฐานเดยี วทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ ผปู้ กครองซง่ึ เปน็ ผชู้ าย
เดินทางมาจากท่ีอื่น นิทานอีกเรื่องหน่ึงท่ีถูกรวบรวมไว้ใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา คือเร่ือง
“พระทอง-นางนาค” กแ็ สดงให้เห็นโครงเรือ่ งในแบบเดยี วกนั
ราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู าเลา่ ไวว้ า่ แตเ่ ดมิ “พระทอง” เปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ อาทติ ยวงศ์
ต่อมาท�ำผิดจึงโดนเนรเทศลงมายังทิศใต้ จนถึง นครโคกหมัน (หมายถึงโคกต้นหมัน เขมรเรียก
โคกทะโลก) ใกล้เขตแดนของอาณาจักรจามปา วันหน่ึงขณะท่ีพระทองประทับอยู่โคกหมันน้ันเอง
ก็พบกับ “นางนาค” ทาวดีกุมารี ซึ่งเป็นธิดาพญานาค แล้วจึงมีจิตปฏิพัทธ์กัน สุดท้ายท้ังคู ่
ได้เสกสมรส โดยพญานาคพ่อตาได้แสดงอิทธิฤทธ์ิสูบน้�ำท่ีรอบโคกหมันนั้นจนหมดสิ้น แล้ว
สร้างเนรมติ เมือง “กัมพูชาธิบดี” ใหพ้ ระทอง กับนางนาคไดป้ กครอง (พันตรหี ลวงเรืองเดชอนันต์,
2550: 9-16)
นิทานเรื่องน้ีแสดงให้เห็นถึงโครงเรื่องที่ไม่ต่างไปจากเร่ืองของโกณฑิณยะ (หรือที่เอกสาร
จนี ออกเสยี งวา่ ฮวนเตยี น) ซง่ึ เดนิ ทางมาจากทอ่ี น่ื กอ่ นทจี่ ะมาเสกสมรสกบั ผปู้ กครองพน้ื เมอื ง ทเ่ี ปน็
“ผู้หญิง” คือ “นางหลิวเย่” ซ่ึงในกรณีของนิทานเร่ืองพระทอง-นางนาค ก็แสดงแทนด้วย
ภาพสญั ลกั ษณค์ อื ธดิ าพญานาคหรอื “นางนาค” นนั่ เอง และควรจะสงั เกตดว้ ยวา่ จารกึ ของอาณาจกั ร
จามปาเรียก “นางหลิวเย”่ ว่า “โสมา” และเปน็ “นางนาค”ไมต่ า่ งกันอกี ตา่ งหาก
54 พลังผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
พระทอง-นางนาค ในการแสดงละครแบบประเพณนี ิยมของชาวกมั พูชา
(ทีม่ า: https://pjcoggan.com/tag/ancestral-voices/)
เรื่อง “พระทอง-นางนาค” มีมากหลายส�ำนวน แตกต่างกันไปในรายละเอียดแต่ท้ังหมด
ก็มโี ครงเรอื่ งตรงกนั ดังทเ่ี ลา่ เอาไวข้ ้างต้น ลกั ษณะอย่างนนี้ อกจากจะชวนให้นกึ ถงึ กรณีของ พระเจา้
สุริยวรมันที่ 1 แล้ว ยังสัมพันธ์กันกับหลักฐานจากจารึกของขอม สมัยก่อนจะใหญ่โตจนกลายเป็น
จกั รวรรดิ ทช่ี อ่ื ของพวกนางมกั จะมคี ำ� ขนึ้ ตน้ ทแ่ี สดงสถานภาพของชนชนั้ สงู ไมว่ า่ จะเปน็ สเตง (sten),
เตง (ten) หรอื หยงั (hyan) ซงึ่ ผชู้ ายทไี่ ดส้ มรสกบั ผหู้ ญงิ เหลา่ นี้ ลว้ นแตไ่ ดอ้ วยยศเปน็ ขา้ ราชบรพิ าร
ช้นั สงู (Jacobsen, 2008: 31)
และหากกลา่ วใหถ้ งึ ทสี่ ดุ แลว้ นกั วชิ าการบางทา่ นถงึ ขนาดอธบิ ายวา่ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 2
ซง่ึ ถอื กนั วา่ เปน็ ผรู้ วบรวมเมอื งเลก็ เมอื งนอ้ ยของกมั พชู า ทแี่ ยกออกเปน็ สองกลมุ่ ใหญ่ คอื เจนละบก
(สว่ นใหญอ่ ยใู่ นแอง่ ทร่ี าบสงู โคราช ประเทศไทย) และเจนละนำ�้ (บา้ นเมอื งบรเิ วณโดยรอบตนเลสาป
เขมร) เขา้ ดว้ ยกนั ไดน้ น้ั กเ็ ปน็ เพราะการเสกสมรสกบั หญงิ ผสู้ งู ศกั ดเ์ิ หลา่ น้ี ไมใ่ ชก่ ารรณรงคใ์ นสงคราม
เพยี งอยา่ งเดียว (Jacobsen, 2008: 28-33)
แน่นอนว่า เครือข่ายความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจเหล่าน้ีคือเรื่องของการสืบสายบรรพบุรุษ
ซึ่งโดยนยั ยะหน่งึ กค็ อื “ผทู้ ่ีตายไปแล้ว และสามารถใหค้ ุณให้โทษได้” ซึ่งก็คือ “ผดี ”ี น่ันเอง ดังน้นั
ถึงแม้ว่าในภาษาอ่ืนๆ จะไม่มีค�ำปฏิพากย์อย่าง “ฮันตู” กับ “ตูฮัน” และ ตวน” ในภาษามลาย ู
พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 55
แต่ “ผ”ี , “เทพเจา้ ” และ “เจา้ ” (หรอื “เจา้ นาย”) กส็ มั พนั ธก์ นั อยอู่ ยา่ งซบั ซอ้ นไมต่ า่ งกนั นกั เราจงึ อาจ
ศึกษาโครงสร้างอ�ำนาจของผี ผ่านทางโครงสรา้ งอำ� นาจของชนช้นั น�ำ หรือระบบกษตั ริย์ ทฉ่ี าบหนา้
ไวด้ ว้ ยความเช่อื ในศาสนาใหม่ของผชู้ าย ทมี่ าจากภายนอกอีกด้วย
ในกรณขี องเขมร เครอื ขา่ ยอำ� นาจของชนชน้ั นำ� มรี อ่ งรอยของการสบื สายกนั ผา่ นทาง
ผหู้ ญงิ ซงึ่ มนี าคเปน็ สญั ลกั ษณส์ ำ� คญั ดงั นนั้ นอกจากที่ “นาค” จะเปน็ สญั ลกั ษณข์ อง “คนพน้ื เมอื ง”
และ “ศาสนาผ”ี แล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แทนอำ� นาจของ “ผู้หญิง” อกี ดว้ ย
ค�ำตาม: เม่ือ “ผี” กลายสถานภาพเปน็ “เทพี”
นกั วชิ าการชาวกมั พชู า คนสำ� คญั ในปจั จบุ นั อยา่ ง องั ชเู ลยี น (Ang Choulean) ไดเ้ สนอวา่
นทิ านเรอ่ื ง “พระทอง-นางนาค” มเี คา้ ความมาจากสมยั ทพ่ี ระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 สรา้ งเมอื งพระนครธม
ทม่ี ปี ราสาทบายนเปน็ ศนู ยก์ ลาง แถมยงั มกี ารสลกั เรอ่ื งราวของ พระทอง-นางนาค ลงไปบนแผน่ หนิ
ทรี่ ะเบยี ง ปราสาทบายนแหง่ น้ี (Choulean, 2007: 364-377) ไมต่ า่ งไปจากภาพสลกั เทพเจา้ และ
ปกรณัมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เร่ืองราวในพุทธประวัติ และพระโพธิสัตว์ หรือพระพุทธเจ้าของ
พทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน
พระทองสรู้ บกบั พญานาค (?) ตามขอ้ สันนษิ ฐานของ อัง ชูเลียน ภาพสลักทป่ี ราสาทบายน
(ท่มี า: Ang Choulean, 2007: fig. 6)
56 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
ถา้ ข้อสันนษิ ฐานของ องั ชูเลยี น ไมผ่ ิดพลาด ก็ถอื ได้ว่าเปน็ การยกเอา นทิ านการก่อกำ� เนดิ
บ้านเมืองของชนชาวอุษาคเนย์เร่ืองนี้ข้ึนมามีศักดิ์ มีศรีเท่าเทียมกันกับปกรณ์ในศาสนาพราหมณ์
ฮนิ ดู และพทุ ธศาสนา ซงึ่ เป็นศาสนาของผูช้ ายเลยทเี ดียว
นา่ สนใจด้วยว่า ในบรรดาส่ิงศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิทวั่ ทง้ั ปริมณฑลอ�ำนาจของพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ 7 ที่ได้
ถกู อญั เชญิ มาสถติ ยไ์ ว้ ณ ปราสาทแหง่ นี้ มรี ายพระนามของสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ เ่ี ปน็ “เพศหญงิ ” รวมอยดู่ ว้ ย
ในปริมาณมากถึงเกอื บ 20 องค์ ในจ�ำนวนสิ่งศักด์สิ ทิ ธ์ิ หน่งึ ร้อยกว่าองค์ ที่ปรากฏพระนามอยู่ใน
ปราสาทแห่งน้ัน (ดใู น Maxwell, 2007: 129-131)
เมอ่ื ไลเ่ รยี งดรู ายพระนามของสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธเิ์ พศหญงิ ทถี่ กู อญั เชญิ มาเหลา่ นี้ บางสว่ นเปน็ ชอ่ื เทพี
ในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู บางสว่ นเปน็ ชอ่ื เทพปี ระจำ� ทอ้ งถนิ่ แนน่ อนวา่ ยอ่ มเปน็ ชอ่ื ของ “เจา้ ทเี่ จา้ ทาง”
เพศหญงิ ทถ่ี กู จบั บวชเขา้ เปน็ พราหมณ์ (หรอื แมก้ ระทง่ั เจา้ ทเ่ี จา้ ทางเพศหญงิ ทถ่ี กู จบั หลอมรวมเขา้ กบั
รปู เทพีในศาสนาพราหมณม์ ันเสยี ด้อื ๆ)
ลกั ษณะเชน่ นไ้ี มไ่ ดม้ เี ฉพาะในอารยธรรมขอมเทา่ นนั้ ผผี หู้ ญงิ ในวฒั นธรรม ของกลมุ่ คนทพ่ี ดู
ภาษาตระกลู มลายู ทางภาคกลางของเกาะชวา ประเทศอนิ โดนเี ซยี บางสว่ นกถ็ กู ผนวกรวมเข้าเป็น
พระแมท่ รุ คา ในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู และกลายเปน็ เทพที รุ คาผปู้ กปกั รกั ษาศาสนาอสิ ลาม เมอื่ ศาสนา
อสิ ลามแพรห่ ลายเข้ามาในอษุ าคเนยภ์ าคหมู่เกาะอกี ดว้ ย (ดูใน Headley, 2004)
บางครง้ั “ผผี หู้ ญงิ ” จงึ ไมไ่ ดถ้ กู กดสถานภาพใหต้ ำ่� ลงไปเสยี หมด เพราะมที ถี่ กู ผนวกรวมเข้า
ในศาสนาของผชู้ ายทเี่ ขา้ มาใหม่ บางครงั้ อาจจะในฐานะชายาของเทพเจา้ ผมู้ าใหมน่ น้ั หรอื แมก้ ระทง่ั
เปน็ สงิ่ ศักด์ิสทิ ธิเ์ อกเทศ แตถ่ ูกเคลอ่ื นยา้ ยเขา้ มาอยูใ่ นจักรวาลใหมก่ ไ็ ดด้ ว้ ย
สงิ่ ทใ่ี ครหลายคนเคารพบชู าดว้ ยหมายใจวา่ เปน็ เทพ หรอื สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธโ์ิ ดยเฉพาะเทพี
ในศาสนาสากลทงั้ หลาย ทจี่ รงิ แลว้ จงึ อาจจะไมใ่ ชส่ งิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธด์ิ งั้ เดมิ ในศาสนาจากภายนอกนน้ั
แต่เป็น “ผ”ี ในศาสนาด้ังเดิมของอษุ าคเนย์ ผใี นศาสนาทีม่ ี “ผ้หู ญงิ ” เปน็ ใหญ่
พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 57
เอกสารอา้ งองิ
กณั หา แสงรายา. ผใี นโลกมลาย-ู ชวา, ภาษาและหนงั สอื ฉบบั ผอี าเซยี น: วถิ คี วามเชอื่ แหง่ อษุ าคเนย.์
ปีท่ี 46, หน้า 126-164, 2558.
จิตร ภมู ศิ กั ดิ์. ความเป็นมาของค�ำสยาม, ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสงั คมของชอื่ ชนชาติ,
พมิ พ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์ดวงกมลจ�ำกัด, 2524.
_____. โองการแชง่ นำ้� และขอ้ คดิ ใหมใ่ นประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ลมุ่ นำ้� เจา้ พระยา. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์
ฟา้ เดียวกนั , 2547.
ฉลาดชาย รมิตานนท์ แล ะคณะ. พม่า: อดีตและปัจจุบัน. เชียงใหม่: โครงการต�ำรามหาวิทยาลัย
สำ� นกั หอสมดุ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ 2526.
ชาญชยั คงเพยี รธรรม. โขมฺ จแขมร:์ ความเชอื่ เรอื่ งผขี องชาวกมั พชู า, ภาษาและหนงั สอื ฉบบั ผอี าเซยี น:
วิถคี วามเชือ่ แห่งอุษาคเนย.์ ปีที่ 46, หน้า 50-67, 2558.
ปรานี วงษ์เทศ. ประเพณี 12 เดือน ในประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรม เพื่อความอยู่รอดของคน,
สุจติ ต์ วงษ์เทศ (บรรณาธกิ าร). กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2548.
_____. เพศสภาวะในสวุ รรณภูมิ (อษุ าคเนย)์ . กรุงเทพฯ: ศลิ ปวฒั นธรรม, 2549.
พันตรีหลวงเรืองเดชอนั นต์ (ทองดี ธนะรัชต์), แปลจากภาษาเขมร ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา,
พมิ พค์ รัง้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ: สำ� นักพิมพ์ศรีปญั ญา, 2550.
ลลติ า หาญวงษ.์ นัต กับภาพสะท้อนวัฒนธรรมพทุ ธ-ผีแบบพม่า, ภาษาและหนงั สอื ฉบับผอี าเซียน:
วิถคี วามเชอ่ื แห่งอุษาคเนย์. ปีท่ี 46, หนา้ 111-125, 2558.
ศิริพจน์ เหลา่ มานะเจริญ. พระคเณศ ครชู า้ งพราหมณส์ ยาม, ศิลปวัฒนธรรม. ปีท่ี 29 ฉบบั ที่ 12,
หน้า 34-39, 2551.
สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. นาคมาจากไหน?, พิมพค์ รง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ: โพสต์บุ๊ค, 2554.
สภุ ทั รดศิ ดศิ กลุ , ม.จ., ทรงแปลและเรยี บเรยี ง. ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี อาคเนยถ์ งึ พ.ศ. 2000. กรงุ เทพฯ:
สมาคมประวตั ศิ าสตร์ในพระราชปู ถมั ภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี,
2535.
เสฐียรโกเศศ, นามแฝง. สารคดีและประเพณีน่ารู้เก่ียวกับ เมืองสวรรค์และผีสางเทวดา. พระนคร:
แพร่พิทยา, 2503.
Choulean, Ang. In the Beginning was the Bayon, in Bayon: New Perspective. Bangkok:
River Books, 2007, p. 364-377.
Reid, Anthony. Female Roles in Pre-Colonial Southeast Asia, Modern Asian Studies.
22 (3), pp. 629-645, 1988.
Briggs, Lawrence Palmer. The Ancient Khmer Empire, Reprited. Bangkok: White
Lotus Press, 1999.
Sharrock, Peter D. The mystery of the faces, in Bayon: New Perspective. Bangkok:
River Books, 2007, p. 230-281.
58 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
Headley, Stephen C. Durga’s Mosque: Cosmology, Conversion and Community in
Central Javanese Islam. Singapore: ISEAS Publications, 2004.
Hudak, Thomas John. William J. Gedney’s Comparative Tai Source Book. Honolulu:
University of Hawai’i Press, 2008.
Jacobsen, Trudy. Lost Goddess: The Denial of Female Power in Cambodian History.
Malaysia: NIAS Press, 2008.
Maxwell, TS. The short inscriptions of the Bayon and contemporary temples, in Bayon:
New Perspective. Bangkok: River Books, 2007, p. 122-135.
Roveda, Vittorio. Khmer Mythology: Secrets of Angkor. Bangkok: River Books, 1997.
“ผ้หู ญิง” จากหลักฐานทางโบราณคดี
รองศาสตราจารย์ ดร.รศั มี ชทู รงเดช
ภาควชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร
บทนำ�
ปจั จบุ นั การคน้ พบแหลง่ โบราณคดแี ละหลกั ฐานทางโบราณคดใี นยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละ
ประวัติศาสตร์ ท�ำให้ทราบร่องรอยความเป็นมาของคนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่ยุคก่อน
ประวตั ศิ าสตร์ จนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ (800,000 ปมี าแลว้ -ปจั จบุ นั ) และเพม่ิ พนู ความรใู้ หมเ่ กยี่ วกบั
สงั คม และวฒั นธรรมของคนแตล่ ะยคุ สมยั เชน่ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยกู่ ารตงั้ ถนิ่ ฐานบา้ นเรอื น เทคโนโลยี
เคร่ืองมือเครื่องใช้ เศรษฐกิจการด�ำรงชีพ การแลกเปล่ียนและค้าขาย ความเช่ือด้ังเดิมและศาสนา
ความขัดแยง้ และสงคราม สงั คมและอาชีพ เป็นตน้
อยา่ งไรกด็ ี เรอ่ื งราวของผหู้ ญงิ ในโบราณคดไี ดร้ บั การศกึ ษาในแงข่ องคตคิ วามเชอื่ ทางศาสนา
หรือเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานทางโบราณคดีประเภทอื่นๆ เช่นในหลุมฝังศพ จึงไม่ได้มีการศึกษา
เฉพาะประเดน็ จนกระทงั่ เมอื่ ประมาณทศวรรษทผ่ี า่ นมา ประเดน็ เรอื่ งของผหู้ ญงิ เรม่ิ ไดร้ บั ความสนใจ
จากนักโบราณคดไี ทย โดยเฉพาะการศกึ ษาสภาพสงั คมในอดตี
สำ� หรบั บทความนี้ นำ� เสนอความรเู้ กย่ี วกบั ผหู้ ญงิ จากหลกั ฐานทางโบราณคดี ดงั น้ี ก) พนื้ ฐาน
ความเข้าใจเก่ียวกับโบราณคดี ข) การศึกษาเพศภาวะในงานโบราณคดี ซึ่งเป็นสาขาหน่ึงของวิชา
โบราณคดที เ่ี นน้ การศกึ ษาเรอื่ งของเพศหญงิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเพศหญงิ -ชาย/เพศทางเลอื กในอดตี
และ ค) มอง “ผหู้ ญงิ ” ผ่านหลกั ฐานทางโบราณคดี โดยมตี วั อย่างจากประเทศไทยและต่างประเทศ
เพอื่ เปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ลกั ษณะรว่ มทางพฤตกิ รรมคลา้ ยคลงึ กนั ทเี่ ปน็ สากลของมนษุ ยชาต ิ ไดเ้ หน็ ตวั ตน
เรอื่ งราว บทบาท และหนา้ ทขี่ องผหู้ ญงิ ในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละยคุ ประวตั ศิ าสตรต์ อนตน้ สมยั ทวารวด ี
อันจะช่วยท�ำให้มองเห็นการเปล่ียนแปลงในบทบาทและหน้าท่ีสมัยปัจจุบันว่ามีความเหมือนหรือ
แตกต่างกันอย่างไร
โบราณคดี (Archaeology)
โบราณคดเี ปน็ สาขาวชิ าทว่ี า่ ดว้ ยการศกึ ษาเรอื่ งราวของสงั คมและวฒั นธรรมของคนในอดตี
จากส่ิงของท่ีคนท�ำข้ึนท่ีเรียกว่าโบราณวัตถุ (artifact) โดยการน�ำวัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาต ิ
มาดดั แปลงใหม้ รี ปู รา่ งและเกดิ ประโยชนใ์ ชง้ านในการดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั เชน่ การนำ� หนิ กรวดแมน่ ำ้�
60 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
มากะเทาะใหม้ คี มใชง้ า่ ย หรอื การนำ� ดนิ มาปน้ั และเผาเปน็ ภาชนะ หรอื การนำ� เหลก็ มาผา่ นกระบวนการ
ถลงุ และผลติ เครอ่ื งมอื เครอื่ งใช้ เปน็ ตน้ ถา้ เปน็ สงิ่ กอ่ นสรา้ งหรอื อาคาร เรยี กวา่ โบราณสถาน (ancient
monument) และนเิ วศวตั ถุ (ecofact) เชน่ กระดกู คนและสตั ว์ เมลด็ พชื หรอื สง่ิ แวดลอ้ มรอบๆ เชน่
ภมู ิประเทศลักษณะต่างๆ นกั โบราณคดนี ำ� ผลการวิเคราะหจ์ ากโบราณวัตถุ โบราณสถาน นิเวศวตั ถุ
และส่ิงแวดล้อมมาตคี วามเกีย่ วกบั วฒั นธรรมของคนในอดตี (รัศมี ชูทรงเดช, 2539: 73-88).
งานโบราณคดมี เี ปา้ หมายสำ� คญั คอื ก) ศกึ ษาและจดั ลำ� ดบั อายสุ มยั วา่ เกดิ อะไรขน้ึ พรอ้ มกบั
เรยี งลำ� ดบั เหตกุ ารณก์ อ่ น-หลงั ข) สบื สรา้ งเรอ่ื งราวของสงั คมและวฒั นธรรมในอดตี วา่ คนมวี ถิ ชี วี ติ
อยกู่ นั อยา่ งไรในแตล่ ะชว่ งเวลา และ ค) อธบิ ายวา่ ปจั จยั อะไรเปน็ สงิ่ ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม
และวัฒนธรรม
วิชาโบราณคดีแบ่งเป็นสาขาย่อยหลายสาขาตามความสนใจของนักโบราณคดี ตัวอย่าง
เชน่ การจดั ประเภทตามหลกั ฐานเอกสารเชน่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ และกอ่ นประวตั ศิ าสตร ์
หรอื แบง่ ตามสมยั เชน่ โบราณคดสี มยั ทวารวด ี โบราณคดสี มยั สโุ ขทยั หรอื แบง่ ตามประเดน็ ความสนใจ
เฉพาะเช่นโบราณคดีเพศภาวะ (Gender in Archaeology) โบราณคดีสัญลักษณ์ (symbolic
archaeology) หรอื แบง่ ตามพน้ื ทข่ี องอารยธรรม เชน่ โบราณคดอี ยี ปิ ต์ โบราณคดกี รกี -โรมนั โบราณคดี
อารยธรรมลุ่มแม่น้�ำสนิ ธุ เป็นตน้
โบราณคดีเพศภาวะ (Gender in Archaeology)
แนวคดิ โบราณคดเี พศภาวะ (หรอื เพศสถานะ เพศสภาพ) พฒั นามาจากกระแสการเรยี กรอ้ ง
สทิ ธสิ ตรี ความเทา่ เทยี มกนั ระหวา่ งเพศในชว่ งสท่ี ศวรรษทผี่ า่ นมา งานในชว่ งแรกเนน้ แนวคดิ แบบสตรี
นิยม เน้นการศกึ ษาบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงจากการตคี วามหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งแตเ่ ดิม
แทบจะไมไ่ ดร้ บั ความสนใจจากนกั โบราณคดมี ากอ่ นและมอี คตขิ องการศกึ ษาทเ่ี นน้ การตคี วามบทบาท
ของเพศชายเปน็ หลกั ตอ่ มาแนวคดิ นเ้ี ปลย่ี นไปตามกระแสการเปลย่ี นแปลงทางสงั คม ทใ่ี หค้ วามสนใจ
ขอบเขตทกี่ วา้ งกวา่ เพศชาย-หญงิ หากรวมถงึ เพศทสี่ ามหรอื เพศทางเลอื ก การศกึ ษาเนน้ ทำ� ความเขา้ ใจ
พลวตั บทบาทความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจของหญงิ -ชาย/เพศทางเลอื กในอดตี การแบง่ หนา้ ทก่ี ารงาน
เพศภาวะในโครงสรา้ งทางสงั คม สขุ ภาพ สถานภาพของผหู้ ญงิ ในสงั คมระดบั ตา่ งๆ สญั ลกั ษณข์ องเพศ
ฯลฯ ปจั จบุ นั นกั โบราณคดสี นใจศกึ ษาประเดน็ ทห่ี ลากหลายของเพศภาวะ ทำ� ใหเ้ กดิ ความรแู้ ละเนอ้ื หา
ทางประวตั ศิ าสตร์เกย่ี วกับผหู้ ญงิ ท่เี พม่ิ ขึน้ กว่าเดมิ (สว่าง เลิศฤทธ์ิ, 2544-2545: 100-113)
วิธกี ารศึกษา
ผู้หญิงในงานโบราณคดี พจิ ารณาจากหลักฐานทางตรงทบ่ี ง่ บอกความเปน็ เพศหญงิ ไดแ้ ก่
โครงกระดกู โบราณวตั ถรุ ูปผ้หู ญงิ จารกึ และเอกสารทางประวัตศิ าสตร์ และหลกั ฐานทางอ้อมท่เี ป็น
ข้อมูลทางโบราณคดที พ่ี บรว่ มกบั โครงกระดกู ซึง่ เป็นวตั ถทุ างวัฒนธรรมทีเ่ ป็นตวั แทนของเพศ ชว่ ย
นักโบราณคดีตคี วามเกีย่ วกับบทบาท สถานภาพ และกจิ กรรมในแต่ละยุคสมัย
ส�ำหรับการตีความ นักโบราณคดีใช้การศึกษาเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม เพ่ือให้เห็นถึง
ความคล้ายคลึงและความแตกต่างของหลักฐานทางโบราณคดีและลักษณะทางวัฒนธรรม
ท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั ผ้หู ญิงในมติ ิตา่ งๆ อันจะทำ� ให้เกดิ ความเข้าใจถึงสถานภาพและการเปลีย่ นแปลงของ
บทบาท หนา้ ที่ สถานภาพของผู้หญิงในยคุ ปจั จุบนั
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 61
ในที่น้ีผู้เขียนเลือกน�ำเสนอข้อมูลเฉพาะส่วนที่เป็นโบราณวัตถุและโครงกระดูกคน
โดยเลอื กตวั อยา่ งจากแหลง่ โบราณคดที ส่ี ำ� คญั ของประเทศไทยและตา่ งประเทศ สำ� หรบั ประเทศไทย
เลือกยุคสมัยโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์สมัยทวารวดี เน่ืองจากเป็น
ชดุ ขอ้ มลู ทไี่ มค่ อ่ ยแพรห่ ลายสำ� หรบั คนทวั่ ไป เพอื่ ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจภาพรวมของผหู้ ญงิ ในเชงิ เปรยี บเทยี บ
ให้เห็นความเหมือน/ความตา่ งท่ีเกิดจากปัจจยั ของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
มอง “ผหู้ ญงิ ” ผา่ นหลกั ฐานทางโบราณคดี
หลักฐานทางโบราณคดีเป็นข้อมูลจับต้องได้ เป็นส่ิงที่ยืนยันว่าความมีตัวตนและเร่ืองราว
ของผหู้ ญงิ ในอดตี ผา่ นโครงกระดกู และวตั ถทุ างวฒั นธรรม แบง่ ออกเปน็ หลกั ฐานทางตรง และทางออ้ ม
ดังน้ี
หลักฐานทางตรง
ผู้หญิงคนแรกของมนุษยชาติ
หลักฐานของผู้หญิงคนแรกเป็นโครงกระดูกของสายพันธุ์บรรพบุรุษของคนหรือโฮมินิดส์
(Early hominid) ทเ่ี ปน็ ตวั แทนของผหู้ ญงิ ทมี่ อี ายเุ กา่ แกท่ ส่ี ดุ จดั เปน็ สปชี สี ห์ นง่ึ ของโฮมนิ ดิ สใ์ นจนี สั
ออสตราโลพเิ ทคสั อะฟาเรนซสิ (Australopithecus africanus) กำ� หนดอายดุ ว้ ยวธิ ที างวทิ ยาประมาณ
3.2 ลา้ นปมี าแลว้ พบที่แหลง่ โบราณคดีฮาดาร์ (Hadar) ในบริเวณตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศ
เอธิโอเปีย ได้รับการตั้งช่ือว่า “ลูซี่” ลักษณะทางกายภาพ มีความสูงประมาณ 120 เซนติเมตร
เดนิ สองขา แตกตา่ งจากลงิ หรอื ลงิ ไรห้ าง สมองมขี นาดเลก็ ความจสุ มองประมาณ 375-500 ซซี ี และ
มีอายุเมื่อตายประมาณ 20 ปี สภาพของกระดกู พบกระจายบนพนื้ ผวิ เปน็ เศษกระดกู ทแี่ ตกหกั และไม่
พบรว่ มกบั โบราณวตั ถใุ ดๆ โครงกระดกู นี้ถือว่าเปน็ หลักฐานสำ� คญั ท่ีท�ำให้ทราบเกีย่ วกบั ลกั ษณะทาง
กายภาพบรรพบรุ ษุ ของมนษุ ยชาติที่ยังคลา้ ยคลึงกับลงิ มหี าง (Johanson & Wong, 2010)
ผหู้ ญงิ ร่นุ แรกเรม่ิ บนดินแดนประเทศไทย
หลกั ฐานของผูห้ ญิงร่นุ แรกที่จดั วา่ เป็นมนุษย์สมัยใหม่ (Homo sapiens sapiens) มาจาก
การขดุ คน้ ทแี่ หล่งโบราณคดถี ำ้� หมอเขยี ว จงั หวัดกระบี่ จำ� นวน 1 โครง และแหลง่ โบราณคดีเพิงผา
ถำ�้ ลอด อ�ำเภอปางมะผ้า จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จำ� นวน 1 โครง โครงกระดูกทั้ง 2 โครงฝังในทา่ งอตัว
ซึ่งเป็นลักษณะท่ีพบทั่วไปในวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและเอเชียตะวันออก
เฉยี งใต้ ชว่ งเวลาระหวา่ ง 40,000-10,000 ปมี าแลว้ (รศั มี ชทู รงเดช, 2550; สรุ นิ ทร์ ภขู่ จร, 2537) การ
ตั้งใจฝังศพพร้อมกับของเซ่น แสดงถึงลักษณะสังคมที่มีความผูกพันของคนในกลุ่ม จึงมีการท�ำ
พธิ กี รรมปลงศพใหก้ บั คนในครอบครวั หรอื เครอื ญาติ คนรนุ่ แรกมลี กั ษณะทางกายภาพทแ่ี ตกตา่ งจาก
คนไทยปจั จุบันและตายเม่ืออายไุ มม่ ากนกั เมือ่ เทยี บกับเกณฑค์ ่าเฉลย่ี อายตุ อนตายของคนปัจจุบัน
แหล่งโบราณคดีถำ้� หมอเขยี ว พบโครงกระดกู เพศหญิง มอี ายทุ ก่ี �ำหนดจากค่าคารบ์ อน 14
ประมาณ 25,000 ปีมาแล้ว อายุตอนตายอยู่ระหว่าง 35-40 ปี เป็นกลุ่มคนมองโกลอย์รนุ่ แรกๆ
ท่ีลักษณะของหัวกะโหลกมีความดั้งเดิม กรามใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากคนปัจจุบัน ถูกฝังในท่างอตัว
มกี อ้ นหนิ ทบั บนหวั กะโหลก กระดกู แขนขวางอพบั และมอื ขวาวางอยบู่ นหนา้ อก มกี อ้ นหนิ ขนาดใหญ่
วางทับอยู่บนแขนขวา นอกจากน้ีมีการโรยดินเทศสีแดงบนโครงกระดูก มีของเซ่นที่ฝังร่วมได้แก่
เครอ่ื งมอื สะเกด็ หนิ รปู รา่ งคลา้ ยหวั ธน ู เครอื่ งมอื หนิ กะเทาะ กระดกู สตั วแ์ ละหอยนำ้� จดื พบรอ่ งรอยโรค
62 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ไดแ้ กโ่ รคเยอ่ื หมุ้ ฟนั อกั เสบ โรคเสอื่ มสภาพของกระดกู และกระดกู งอกบรเิ วณกระดกู สนั หลงั ซงึ่ เปน็
ลักษณะทีเ่ กดิ จากการยกของหนักหรือท�ำงานหนักเป็นเวลานาน (ประพิศ ชศู ิริ, 2543: 52)
ผหู้ ญงิ จากแหลง่ โบราณคดเี พงิ ผาถำ้� ลอด มอี ายทุ ก่ี ำ� หนดจากคา่ คารบ์ อน 14 ประมาณ 13,640
ปมี าแลว้ สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ โครงกระดกู ผใู้ หญ่ อายทุ ต่ี ายอยใู่ นชว่ ง 25-35 ป ี ลกั ษณะของโครงกระดกู
ถกู ฝงั ใกลก้ บั เพงิ ผาในทา่ งอตวั มขี องอทุ ศิ ทพี่ บรว่ มไดแ้ ก่ กระดกู สตั ว์ เครอื่ งมอื สะเกด็ หนิ และมหี นิ
กรวดแมน่ ำ�้ ทใ่ี ชเ้ ปน็ คอ้ นหนิ วางอยบู่ นแขนขวา มลี กั ษณะทคี่ ลา้ ยกบั โครงกระดกู ที่ถ�้ำหมอเขียว ซึ่งเป็น
กลมุ่ คนมองโกลอยร์ นุ่ แรกๆ ทลี่ กั ษณะขากรรไกรใหญ่ ความบกึ บนึ และแขง็ แรงกวา่ คนปจั จบุ นั มสี ว่ น
สงู ประมาณ 152 เซนตเิ มตร พบรอยโรคปรทิ นั ต ์ นกั มานษุ ยวทิ ยาไดข้ ้นึ รปู หัวกะโหลกจ�ำลอง (นัท
ธมน ภู่รพี ฒั นพงศ์, 2550) และขน้ึ รูปใบหน้าแบบสองมติ ิ (Hayes, 2559: 275-294) จากน้นั ประติ
มากรวชั ระ ประยูรค�ำ ข้นึ รูปหนา้ จากหัวกะโหลกจำ� ลองและภาพสองมติ ิ
โครงกระดกู ผู้หญงิ ทีพ่ บจากเพิงผาถำ้� ลอด
(ท่มี า: โครงการโบราณคดบี นพ้นื ที่สงู ในอ�ำเภอปางมะผ้า จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน
ได้รบั ทุนสนับสนุนการวิจยั จากสกว. วาดโดยพพิ ัฒน์ กระแจะจันทร์)
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 63
ภาพสองมิติของผู้หญิงจากแหล่งโบราณคดเี พงิ ผาถ้�ำลอด โดย ดร. ซซู าน เฮยส์
(ทม่ี า: โครงการปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ ่อนประวัตศิ าสตร์กับส่งิ แวดล้อมบนพ้นื ทสี่ งู
ในอ�ำเภอปางมะผา้ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน ไดร้ บั ทนุ สนับสนนุ การวจิ ัยจากสกว.)
ภาพสามมิติของผู้หญิงจากเพิงผาถ้�ำลอด อายุ
13,000 ปี มาแล้ว ขนึ้ รูปหน้าโดยประติมากร วัชระ
ประยรู ค�ำ
(ที่มา: โครงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก่อน
ประวัติศาสตร์กับส่ิงแวดล้อมบนพ้ืนท่ีสูงในอ�ำเภอ
ปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับทุนสนับสนุน
การวิจัยจากสกว.)
64 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ความสัมพันธ์แม่-ลูก
ความสมั พนั ธข์ องแมแ่ ละลกู เปน็ เรอ่ื งสากล ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ ผหู้ ญงิ มหี นา้ ทส่ี ำ� คญั ในการเลย้ี ง
และดูแลลูกตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตัวอย่างที่ชัดเจนจากการเจอโครงกระดูกผู้หญิงและเด็ก
อยู่ในหลุมเดียวกันบ่งช้ีว่าการเสียชีวิตของแม่และเด็กหลังการคลอดมีจ�ำนวนมาก แสดงถึงภาวะ
สขุ อนามัยในอดีตทไี่ มส่ ะอาดและปลอดภยั ทำ� ใหเ้ สย่ี งต่อภาวการณ์ตดิ เชือ้ ไดง้ า่ ย และสง่ ผลตอ่ อตั รา
การเสยี ชวี ติ ของแมแ่ ละทารก/เดก็ สงู กวา่ ปจั จบุ นั ลกั ษณะความผกู พนั ของแมแ่ ละลกู เชน่ นเี้ ปน็ ธรรมชาติ
ของสังคมมนุษย์ พบท้งั ในประเทศไทยและตา่ งประเทศ
ในต่างประเทศ เช่น แหลง่ โบราณคดบี รเิ วณไทซุง (Taichung) ประเทศไตห้ วนั พบหลมุ ศพ
ของโครงกระดกู ผูห้ ญิงและเดก็ รว่ มกับโบราณวตั ถอุ ื่นๆ ในสสุ านมีอายปุ ระมาณ 4,800 ปีมาแล้ว จดั
อยู่สมัยหินใหม่ (Neolithic period) ซึ่งเป็นครั้งแรกท่ีพบโครงกระดูกมนุษย์มีอายุเก่าท่ีสุด
ในตอนกลางของประเทศไต้หวัน นักโบราณคดีตีความว่าแม่อุ้มทารกในอ้อมแขน การวางตัวของ
โครงกระดกู ถกู จดั ไวเ้ สมอื นกบั แมม่ องลงมาทลี่ กู ลกั ษณะของโครงกระดกู ดงั กลา่ วไมเ่ คยพบทใี่ ดมากอ่ น
ส่วนใหญ่จะพบโครงกระดูกเด็กใกล้กับโครงกระดูกผู้ใหญ่ (http://news.nationalgeographic.
com/2016/05/160506-stone-age-mothers-day-fossils-taiwan/)
โครงกระดกู ของแมแ่ ละเดก็ พบในประเทศไตห้ วนั
(ทม่ี า: http://www.taipeitimes.com/News/front/
achives/2016/04/28/ 2003644992
เขา้ ถงึ เมอ่ื วนั ท่ี 18 กรกฏาคม 2559)
สำ� หรบั หลกั ฐานในประเทศไทย มตี วั อยา่ งจากแหลง่ โบราณคดยี คุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ สมยั หนิ ใหม่
ทแ่ี หลง่ โบราณคดโี คกพนมดี อำ� เภอพนสั นคิ ม จงั หวดั ชลบรุ ี อายปุ ระมาณ 3,500-4,000 ปมี าแลว้ พบ
โครงกระดูกของผู้หญิง ฝังร่วมกับทารกหรือเด็กเล็ก พร้อมกับมีของอุทิศ เช่นภาชนะดินเผา
ขวานหินขดั กระดกู สตั ว์ ฯลฯ (Higham &Bannanurag, 1990) และแหลง่ โบราณคดสี มยั โลหะ อายุ
ประมาณ 1,500-3,000 ปมี าแลว้ ทบ่ี า้ นโนนอโุ ลก จังหวัดนครราชสีมา มกั พบโครงกระดกู ผู้หญงิ และเดก็
ฝงั รว่ มกนั กบั ของอทุ ศิ เชน่ โครงกระดกู หมายเลข 34 และ 35 (รัชนี ทศรัตน์ ชาลส์ ไอแอม และอำ� พนั
กิจงาม, 2552) นักโบราณคดีสนั นิษฐานว่าเปน็ โครงกระดูกของแมแ่ ละลกู มอี ตั ราการเสียชวี ติ ของ
เดก็ จากแหลง่ โบราณคดีทง้ั สองมีสงู
พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 65
สุขภาพของผหู้ ญิง
หลกั ฐานทบี่ ง่ บอกสขุ ภาพของผหู้ ญงิ สว่ นใหญม่ าจากหลมุ ฝงั ศพในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ทพ่ี บ
จำ� นวนมากในประเทศไทย ในทน่ี ผี้ เู้ ขยี นยกตวั อยา่ งจากแหลง่ โบราณคดเี นนิ อโุ ลก จงั หวดั นครราชสมี า
อยใู่ นสมยั สำ� รดิ และเหลก็ อายปุ ระมาณ 1,500-3,000 ปมี าแลว้ เปน็ สงั คมทตี่ ง้ั บา้ นเรอื นเปน็ หลกั แหลง่
มีการทำ� เกษตรกรรมและเลี้ยงสตั ว์แลว้ พบโครงกระดูกคนจำ� นวน 120 โครง และมีผลการวิเคราะห์
โครงกระดกู อยา่ งละเอยี ด พบวา่ มปี ระชากรมที เ่ี ปน็ ผหู้ ญงิ ทงั้ หมด 21 คน ผชู้ าย 27 คน เดก็ และทารก
จ�ำนวน 53 คน และไม่สามารถระบุเพศไดอ้ ีก 19 คน ส�ำหรับผ้หู ญงิ มอี ายอุ ยูใ่ นวัยหน่มุ สาว จำ� นวน
7 คน กลางคน จำ� นวน 6 คน สงู อายุจำ� นวน 7 คน และไม่สามารถระบอุ ายไุ ด้ 1 คน ทำ� ให้ทราบว่า
ผู้หญิงที่แหล่งโบราณคดีโนนอุโลกมีค่าอายุยืนยาวประมาณ 40 หรือ >40 ปี ซึ่งถือว่าตายในอาย ุ
ทน่ี อ้ ยกวา่ คนไทยปจั จบุ นั ทมี่ คี า่ อายเุ ฉลยี่ เมอ่ื ตายยนื ยาวขนึ้ ถงึ ประมาณ 80 ปี สำ� หรบั สว่ นสงู ผหู้ ญงิ
ทน่ี ม่ี สี ว่ นสงู ระหวา่ ง 151.5 เซนตเิ มตรและ 161.6 เซนตเิ มตร มคี า่ เฉลยี่ ความสงู อยทู่ ี่ 154.6 เซนตเิ มตร
ซงึ่ มขี นาดความสงู ใกลเ้ คยี งกบั คนไทยปจั จบุ นั สว่ นโรคภยั ไขเ้ จบ็ มตี วั อยา่ งของโรควณั โรคในโครง
กระดกู หมายเลข 36 เปน็ ผหู้ ญงิ สาว มลี กั ษณะผดิ ปกตขิ องโครงกระดกู สนั หลงั ซง่ึ อาจจะเปน็ ฝที เี่ กิด
จากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ทั่วไปหรืออาจเก่ียวข้องกับการต้ังครรภ์ หรือโรคท่ีพบท่ัวไป
ทเ่ี กย่ี วกบั โรคฟนั ผุ และโรคในชอ่ งปาก ไดแ้ กฟ่ นั ผุ ฟนั ตดิ เชอื้ ฟนั หลอ เหงอื กรน่ และฟนั สกึ อยา่ งมาก
แสดงใหเ้ ห็นว่ากินอาหารท่มี ีลักษณะเปน็ เสน้ ใย ทำ� ให้ฟนั สกึ กรอ่ น (แนนซี เทเลส ชาน ฮาลโคลว
และแคเธอริน โดเมทท์ 2552: 63-80)
หลักฐานทางอ้อม
หลกั ฐานทางออ้ มทบ่ี ง่ บอกเรอื่ งราวของผหู้ ญงิ ในอดตี เชน่ โบราณวตั ถทุ พี่ บรว่ มกบั โครงกระดกู
ในหลุมฝังศพ ซึ่งเป็นสงิ่ ของตวั แทนของเพศ ภาพเขียนสีผนังถ้�ำ ประติมากรรม
บทบาท
ก. สญั ลกั ษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
การปรากฏรูปประติมากรรมของผู้หญิงในฐานะของสัญลักษณ์ที่เก่ียวข้องกับพิธีกรรม
สว่ นใหญพ่ บในตา่ งประเทศตง้ั แต่ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร ์ สมัยหินเก่าตอนตน้ (Upper Paleolithic)
ในยุโรป เมื่อประมาณ 35,000-25,000 ปีมาแล้ว ปรากฏหลักฐานของงานศิลปะ ทั้งรูปวาดและ
ประตมิ ากรรมขนาดเลก็ ทำ� จากกระดกู งานชา้ ง เขากวาง และไม้ ทที่ ำ� โดยมนษุ ยส์ มยั ใหม่ ประตมิ ากรรม
รูปผู้หญิงท่ีส�ำคัญท่ีเรียกว่า “วีนัส” รูปทรงถูกแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงที่มีหน้าขาและสะโพกใหญ ่
นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่าเป็นรูปคล้ายกับผู้หญิงท้อง ขณะที่บางคนสันนิษฐานว่าเป็น
สัญลกั ษณ์ของแมพ่ ระธรณี (mother earth) การเจรญิ พันธุ์ของผ้หู ญิงเปน็ สัญลักษณ์ของความอดุ ม
สมบูรณ์ (Price & Feinman, 1993: 126-127) ส�ำหรับตุ๊กตาที่พบในประเทศไทยเร่ิมปรากฏ
ในยคุ กอ่ นประวตั ิศาสตรส์ ว่ นใหญ่ทำ� จากดินเผา ไม่พบตกุ๊ ตารปู ผหู้ ญิง และมักเปน็ รูปสัตว์
ข. แม่
สำ� หรบั หลกั ฐานในประเทศไทย ภาพตวั แทนของแมท่ ชี่ ดั เจน มตี วั อยา่ งจากแหลง่ โบราณคดี
ยุคประวตั ศิ าสตร์สมยั ทวารวดี เชน่ แหล่งโบราณคดหี อเอก จงั หวัดนครปฐม พบประติมากรรมสตรี
อมุ้ เดก็ ทารก ลกั ษณะคลา้ ยกบั ใหน้ มทารก ซงึ่ อาจจะเปน็ ของเลน่ ในอดตี ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความนยิ ม
66 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ทำ� ตกุ๊ ตาทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั กจิ กรรมในสงั คม (สฤษดพิ์ งศ์ ขนุ ทรง, 2557) นอกจากนย้ี งั พบประตมิ ากรรม
รปู กลมุ่ บคุ คล พบจากแหลง่ โบราณคดจี นั เสน จงั หวดั นครสวรรค์ เปน็ รปู ผหู้ ญงิ และเดก็ 3 คน อยใู่ น
ลกั ษณะทเี่ อามอื โอบเดก็ ทก่ี ำ� ลงั ดดู นมจากอกซา้ ยและขวา และมเี ดก็ อกี คนชะโงกหนา้ อยบู่ นไหลข่ วา
หรอื รปู แมแ่ ละเดก็ หลงั คอ่ ม มขี อ้ สนั นษิ ฐานวา่ ประตมิ ากรรมรปู ดงั กลา่ ว อาจใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรม
เพอ่ื ความปลอดภยั ของทารก ซงึ่ สรา้ งเปน็ รปู ตวั แทนสำ� หรบั การสะเดาะเคราะห์ (อนสุ รณ์ คณุ ประกจิ ,
2529: 132)
ผหู้ ญิงในความเชอ่ื และศาสนา
ก. ชาดกในพุทธศาสนา
สมัยทวารดี อายุระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 13-14 มีหลักฐานของผู้หญิงที่ปรากฏในชาดก
เปน็ จำ� นวนมาก ไมส่ ามารถจะนำ� มาเสนอไดท้ งั้ หมด ขอยกบางตวั อยา่ งเชน่ ประตมิ ากรรมนนู ตำ�่ ประดบั
เจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม เป็นภาพเล่าเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนา เร่ือง “สูรูปะชาดก”
ซงึ่ เปน็ วรรณกรรมสนั สกฤตเรอ่ื ง “อวทานศตกะ” ทกี่ ลา่ วถงึ พระมหากษตั รยิ ท์ ป่ี ระทานพระราชโอรส
ให้แก่ยักษ์ที่เป็นพระอินทร์แปลงกายมา องค์ประกอบของรูปภาพมภี าพเปน็ ลกั ษณะของชนชนั้ สงู
ทมี่ คี นรบั ใชห้ ญงิ ยนื อยขู่ า้ งเจา้ นายผหู้ ญงิ คนรบั ใชช้ ายนง่ั ขา้ งลา่ ง สว่ นเจา้ นายผชู้ ายทก่ี ำ� ลงั อมุ้ เดก็ สง่ ให ้
แกย่ กั ษ์ (กรมศลิ ปากร 2552: 4-75) ลกั ษณะทางกายภาพของคนในภาพแสดงความเปน็ คนทอ้ งถน่ิ คอื
หน้ากลมแบน ตาโต จมูกใหญแ่ ละปลายแบน ปากหนา ผมเหยยี ดตรง งานประตมิ ากรรมน้ี นา่ จะเปน็
งานฝมี อื ของชา่ งหลวงมากกวา่ ชา่ งชาวบา้ น (ศักดิช์ ัย สายสิงห,์ 2543: 80-114)
ข.เทพี
ประตมิ ากรรมรูปเทพแี กะสลักบนหนิ เปน็ รูปผหู้ ญิงยนื อยู่บนศีรษะควาย สนั นิษฐานวา่ เปน็
รปู เทพมี หษิ าสรุ มรรทนิ ี สมยั ทวารวดี อายรุ ะหวา่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 12-13 พบจากโบราณสถานหมายเลข
22/8 ในเมืองโบราณศรีมโหสถ อ�ำเภอโคกปบี จงั หวัดปราจีนบุรี (กรมศิลปากร, 2535) การบชู า
พระแมห่ รือแมพ่ ระธรณี ผูใ้ ห้ก�ำเนดิ สรรพสิ่งทง้ั ปวงในโลก เป็นความเชอื่ พ้นื เมืองดงั้ เดมิ ของอนิ เดีย
และถกู กลืนเข้าไปเปน็ ส่วนหนง่ึ ของศาสนาฮินดู ท้ังลัทธิไวษณพนิกายและไศวนิกาย ทีเ่ นน้ การบูชา
เทพี การพบหลกั ฐานของประตมิ ากรรมรปู เทพมี หษิ าสรุ มรรทนิ ี เปน็ หลกั ฐานของการตดิ ตอ่ กบั อนิ เดยี
และรบั อทิ ธิพลของศาสนาฮนิ ดทู เ่ี มอื งโบราณศรมี โหสถ (ผาสขุ อนิ ทราวธุ , 2524: 25-27) และสะทอ้ น
การยกยอ่ งบชู าผหู้ ญงิ
ค. ความเชอ่ื
หลกั ฐานทแี่ สดงถงึ ความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ในสมยั ทวารวดเี กยี่ วกบั การสะเดาะเคราะห์ มกั พบจาก
แหลง่ โบราณคดใี นภาคกลางของประเทศไทย มกั เปน็ ประตมิ ากรรมขนาดเลก็ และประตมิ ากรรมบน
แผน่ ดนิ เผาเปน็ รปู สตรแี ละเดก็ สว่ นประตมิ ากรรมขนาดเลก็ รปู สตรยี นื มกั มศี รี ษะหายไป หรอื พบเฉพาะ
สว่ นศีรษะ สนั นษิ ฐานว่าอาจจะทำ� ข้ึนเพ่ือวัตถปุ ระสงค์ส�ำหรบั การสะเดาะเคราะห์ (ผาสกุ อนิ ทราวธุ ,
2542: 172) นอกจากนย้ี งั พบประตมิ ากรรมรปู แมแ่ ละเดก็ หญงิ ทม่ี สี ว่ นหลงั นูนโค้ง สันนิษฐานว่า
เดก็ อาจจะพกิ าร การสรา้ งนา่ จะจงใจทำ� เปน็ รปู ทรงคลา้ ยกบั เดก็ ทมี่ ลี กั ษณะไมส่ มประกอบ ความเชอ่ื น้ี
คลา้ ยกบั การทำ� ตกุ๊ ตาเสยี กบาลเพอ่ื แกเ้ คลด็ ใหห้ รอื ปอ้ งกนั ภยั อนั ตรายใหก้ บั เดก็ (อนสุ รณ์ คณุ ประกจิ ,
2529: 92-93)
พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 67
สถานภาพ
ก. ชนชนั้ สูง
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี อ�ำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี อายุ
ประมาณ 4,000-3,500 ปมี าแลว้ เปน็ ตวั อยา่ งของความแตกตา่ งของสถานภาพในสงั คม นกั โบราณคดี
ขุดค้นพบโครงกระดูกของผูห้ ญิงหมายเลข 15 พรอ้ มลกู ปดั จำ� นวนแสนกวา่ เม็ด รว่ มกบั โบราณวตั ถุ
ประเภทอ่ืนๆ สนั นิษฐานวา่ เป็นบุคคลที่มีความสำ� คญั ในสังคม และเสนอว่าผู้หญิงเป็นช่างปั้นหม้อ
นา่ จะมีบทบาททางเศรษฐกิจท่ีส�ำคญั ภายในชุมชน (Higham and Bannanurag, 1990)
ยคุ ประวตั ศิ าสตร์ สมยั ทวารวด ี มกี ารทำ� ประตมิ ากรรมประดบั ศาสนสถาน และประตมิ ากรรม
ขนาดเล็ก สะท้อนวิถีชีวิตของสังคมบุคคลชั้นสูง เช่นชนช้ันกษัตริย์ โดยพิจารณาจากการตกแต่ง
รา่ งกายและเครอ่ื งประดบั บคุ คลธรรมดา แตง่ กายดว้ ยเสอ้ื ผา้ ทเี่ รยี บงา่ ย ไมม่ กี ารเกลา้ ผม หรอื ตกแตง่
ด้วยเครือ่ งประดบั หลายช้นิ
ปนู ปน้ั และประตมิ ากรรมนนู ตำ่� จากเมอื งอทู่ อง อำ� เภออทู่ อง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี เปน็ ตวั อยา่ ง
ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ สถานภาพทางสงั คมของสตรใี นวฒั นธรรมทวารดี ทมี่ กี ารแตง่ กายและใชเ้ ครอื่ งประดบั
ทคี่ ลา้ ยกบั วฒั นธรรมอนิ เดยี คอื ไวผ้ มยาวเปน็ มวยทรี่ วบมนุ่ และถกั เปยี เลก็ ๆ แล้วมุ่นขึ้นเป็นมวย
พร้อมตกแต่งประดบั ด้วยศริ าภรณ ์ ใส่ตา่ งหรู ูปหว่ งท�ำจากโลหะขนาดใหญท่ ม่ี นี ำ�้ หนกั มากจนหยู าน
สวมสรอ้ ยคอหอ้ ย และสวมกำ� ไลแขน สว่ นเสอ้ื ผา้ นงุ่ ซน่ิ ทบจบี ดา้ นหนา้ ผา้ ยาวกรอมเทา้ มผี า้ คลมุ อก
และผา้ พาดเฉยี งไหลแ่ ละบา่ (กรมศลิ ปากร, 2545: 66) รปู แบบของ ประตมิ ากรรมนนู ตำ่� สอดคลอ้ งกบั
ประตมิ ากรรมขนาดเลก็ ทเี่ ปน็ รปู บคุ คลเชน่ กนั และแผน่ ดนิ เผาสลักนูนสูงของสตรีท่ีตกแต่งร่างกาย
แบบเดียวกัน แต่มักมีองค์ประกอบของภาพสัตว์และบุรุษร่วมด้วย พบทั่วไปในแหล่งโบราณคดี
ในภาคกลางของประเทศไทย เชน่ แหลง่ โบราณคดอี ทู่ อง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี แหลง่ โบราณคดนี ครปฐม
จังหวัดนครปฐม แหลง่ โบราณคดซี ับจ�ำปา จงั หวดั ลพบุรี แหล่งโบราณคดจี นั เสน จงั หวัดนครสวรรค์
จึงอาจกล่าวได้ว่าเปน็ รูปแบบความนยิ มของยุคสมยั น้ี (อนสุ รณ์ คณุ ประกิจ, 2529: 39-75)
ส�ำหรับการท�ำประติมากรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะประติมากรรมขนาดเล็ก แสดงให้เห็นถึง
ความเช่ือ ความนิยมและความต้องการของคนในสังคมทวารวดี เพราะมีการผลิตเป็นจ�ำนวนมาก
นักโบราณคดีสนั นษิ ฐานว่าอาจจะเป็นของเล่น หรือเป็นสิง่ ของทใี่ ชใ้ นการกลั ปนาอุทิศสำ� หรับบคุ คล
และถวายแก่ศาสนา การกัลปนาท่ีเก่ียวข้องกับบุคคลอาจจะเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ
ไปแล้ว ส่วนการกัลปนาที่เก่ียวข้องกับความเชื่อทางศาสนาน้ันปรากฏในจารึกที่มีประเพณีนี้ เช่น
จารึกภาษามอญบนเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14
ทกี่ ลา่ วถงึ การถวายขา้ ทาส โค พรอ้ มรถและผา้ ใหก้ บั วดั ทางพทุ ธศาสนา (อนสุ รณ์ คณุ ประกจิ , 2529:
87-119)
อาชีพ
ก. ชา่ งป้นั หม้อ
หลกั ฐานทางตรงทเ่ี กย่ี วกบั ชา่ งปน้ั หมอ้ ผหู้ ญงิ ในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ อายปุ ระมาณ 3,500-
4,000 ปมี าแลว้ จากแหลง่ โบราณคดโี คกพนมดี อำ� เภอพนสั นคิ ม จงั หวดั ชลบรุ ี ทพ่ี บโครงกระดูก
ผู้หญิงรว่ มกบั ของอทุ ิศประเภทหนิ ดุ ซ่ึงเคร่อื งมอื ทีใ่ ชข้ ้ึนรูปภาชนะโดยดนุ จากภายในแลว้ คอ่ ยๆ ตี
จนได้รูปทรงตามต้องการ และก้อนดินดิบท่ีใช้ในการปั้นหม้อ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าผู้หญิง
68 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
มอี าชพี เปน็ ชา่ งปน้ั หมอ้ และเปน็ สนิ คา้ ของชมุ ชนทไี่ ปแลกเปลยี่ นกบั ชมุ ชนอน่ื ๆ ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ มบี ทบาท
สำ� คญั ในชมุ ชน ทงั้ นพี้ จิ ารณาเปรยี บเทยี บจากปรมิ าณของอทุ ศิ ภายในหลมุ ฝงั ศพของผหู้ ญงิ กบั ผชู้ าย
เช่น โครงกระดูกเพศหญงิ หมายเลข 15 พบโบราณวัตถุท่ีเป็นของอุทศิ มากทสี่ ุด เช่นอปุ กรณส์ �ำหรับ
ผลติ ภาชนะดนิ เผา (หนิ ดุ แทง่ ดนิ เผา หนิ ขดั ภาชนะดนิ เผา กระดกู สตั ว)์ ลกู ปดั หอยจำ� นวนแสนกวา่ เมด็
ก�ำไลหอยมอื เสอื (Higham and Bannanurag, 1990)
ข. ชา่ งทอผา้
สำ� หรบั หลกั ฐานของการทอผา้ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ผหู้ ญงิ ไดแ้ กแ่ วดนิ เผา และไมก้ ่ี อปุ กรณส์ ำ� หรบั
ทอผ้า พบทัง้ ในแหล่งโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมยั หินใหม-่ โลหะ อายปุ ระมาณ 1,500-
4,000 ปีมาแล้ว ซ่ึงมักพบร่วมกับโครงกระดูกและโบราณวัตถุประเภทอื่นๆ และยุคประวัติศาสตร์
สมยั ทวารดี แวดนิ เผาเปน็ ลกั ษณะเปน็ วงกลม เจาะรตู รงกลางไวส้ ำ� หรบั สอดไมเ้ ปน็ แกน เพอ่ื ดงึ เสน้ ใยพชื
ทด่ี งึ เปน็ เสน้ แลว้ ฟนั บนไม้ เหมอื นกบั หลอดดา้ ย จากนน้ั จงึ นำ� เสน้ ใยไปใชท้ อเปน็ ผา้ ผนื ตอ่ ไป หลกั ฐาน
ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคนโบราณมีการนุ่งห่มร่างกายและมีภูมิปัญญาในการทอผ้ามานานแล้ว
นักโบราณคดสี นั นิษฐานวา่ ผหู้ ญงิ เป็นผ้ทู ที่ อผา้
แวดนิ เผาสมยั หนิ ใหม่ เชน่ พบทแี่ หลง่ โบราณคดบี า้ นเกา่ จงั หวดั กาญจนบรุ ี (Sorensen &
Hatting, 1967) สมัยโลหะ เช่น พบที่แหลง่ โบราณคดบี า้ นดอนตาเพชร จังหวดั สพุ รรณบรุ ี (ชนิ อยดู่ ,ี
ไม้แบนและไม้กลมท�ำจากไม้สัก พบจากแหล่งโบราณคดีถ�้ำผีแมนโลงลงรัก เปรียบเทียบกับอุปกรณ์ทอผ้า
ของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ปกาเกอะญอท่ีเมอื งแพม อำ� เภอปางมะผา้ จังหวดั แม่ฮ่องสอน
(ทม่ี า: โครงการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรก์ บั สงิ่ แวดลอ้ มบนพน้ื ทส่ี งู ในอำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั
แมฮ่ อ่ งสอน ไดร้ บั ทนุ สนับสนุนการวจิ ัยจากสกว.)
พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 69
2529) แหลง่ โบราณคดเี นนิ อโุ ลก จงั หวดั นครราชสมี า พบทง้ั แวดนิ เผาและรอยประทบั ของผา้ ทอตดิ อยู่
บนเครอื่ งมอื เหลก็ (แนนซี เทเลส ชาน ฮาลโคลว และแคเธอรนิ โดเมทท,์ 2552)
อปุ กรณส์ ำ� หรบั ทอผา้ มลี กั ษณะเปน็ ไมแ้ บนและแทง่ ไมก้ ลมยาวพรอ้ มกบั ผา้ พบภายในโลงไม้
ซึ่งเป็นโลงศพท�ำจากไม้สัก หรืออยู่ใกล้กับช้ินส่วนโครงกระดูกคนจากแหล่งโบราณคดีถ้�ำผีแมน
โลงลงรกั อำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน จดั อยยู่ คุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรต์ อนปลายถงึ ยคุ ประวตั ศิ าสตร์
สมัยทวารวดีตอนต้น มีอายุประมาณ 1,636-1,960 ปีมาแล้ว หรือพ.ศ. 583-พ.ศ.1083 (รัศม ี
ชูทรงเดช, 2559: 311) ผา้ ทพ่ี บร่วมเป็นใยของปา่ นกัญชงมีรปู แบบการทอขดั ธรรมดา สว่ นไม้แบน
และกลมท�ำจากไม้สักทั้งหมด การศึกษาเปรียบเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอจากหมู่บ้าน
เมืองแพม อำ� เภอปางมะผ้า จงั หวดั แมฮ่ ่องสอนพบวา่ ไมม้ ลี กั ษณะเหมอื นกนั ใชส้ ำ� หรบั การทอผา้ และ
ผทู้ อสว่ นใหญเ่ ปน็ ผหู้ ญงิ ทำ� ใหส้ นั นษิ ฐานวา่ ไม้ทง้ั สองแบบนา่ จะเป็นอุปกรณท์ อผ้า เมือ่ เจา้ ของตาย
ทน่ี า่ จะเปน็ ผหู้ ญงิ อปุ กรณท์ อผา้ ถกู ฝงั รว่ มกบั ผตู้ ายไปดว้ ยเพอื่ ใชใ้ นโลกหนา้ (วอกญั ญา ณ หนองคาย,
2559: 381-396; ชนม์ชนก สมั ฤทธ์ิ, 2559: 432-433)
ค. ช่างฟ้อน
สำ� หรบั หลกั ฐานของการรา่ ยรำ� โดยผหู้ ญงิ ทอ่ี าจเกย่ี วเนอ่ื งกบั พธิ กี รรม ในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
อายุประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว มีตวั อย่างท่เี ป็นภาพเขียนสีผนงั ถ้�ำ เปน็ รูปผู้หญงิ และผชู้ ายตกแต่ง
ร่างกายที่ต้นแขนและศีรษะ เป็นพุ่มคล้ายกิ่งไม้ จากแหล่งโบราณคดีถ�้ำตาด้วง ถ�้ำผาแดง จังหวัด
กาญจนบุรี และถ�้ำเขาปลาร้า จังหวัดอุทัยธานี ลักษณะท่าทางคล้ายกับการเต้นร�ำ โดยเฉพาะที่
ถำ้� ผาแดงมเี ครอ่ื งดนตรปี ระกอบการรา่ ยรำ� ดว้ ย อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ หลกั ฐานของการรา่ ยรำ� ทเ่ี กา่ ทสี่ ดุ
เป็นการฟอ้ นร�ำเพียงคร้งั คราว ในบรเิ วณเพิงผาทเ่ี ขามาพกั อาศยั ชั่วคราว ไม่ไดเ้ ป็นอาชพี ชา่ งฟ้อน
เหมือนกับยุคประวัติศาสตร์ หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการฟ้อนร�ำเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม
ทม่ี กี ารสบื ทอดต่อมาจนถงึ ปจั จบุ ัน (Shoocongdej, 2001: 187-206)
ประตมิ ากรรมปนู ปน้ั รปู ผหู้ ญงิ ฟอ้ นรำ� สมยั ทวารวดี อายรุ ะหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ 13-14 จาก
เจดยี ห์ มายเลข 39 แหลง่ โบราณคดคี เู มอื ง ตำ� บลคบู วั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ราชบรุ ี ซง่ึ ถกู สรา้ งเปน็ พทุ ธ
บชู า ในรปู ภาพของการฟอ้ นรำ� ทป่ี ระดบั ตกแตง่ ศาสนสถาน นางรำ� ไวผ้ มทรงสงู ใสต่ มุ้ หขู นาดใหญ่ ทำ� ทา่
รา่ ยรำ� รปู แบบทา่ รำ� คลา้ ยกบั ทา่ เยอื้ งกรายในคมั ภรี น์ าฏยศาสตรข์ องอนิ เดยี (วชิ ตุ า วธุ าทติ ย,์ 2552:
259) ซึ่งสะท้อนว่าผู้หญิงมีอาชีพเป็นช่างฟ้อน เป็นส่วนหน่ึงของพิธีกรรมและงานมหรสพ
ในสงั คมสมยั ทวารด ี
ง. นกั ดนตรี
ประติมากรรมนักดนตรีสตรี สมัยทวารวดี อายุระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 13-14 จากเจดีย์
หมายเลข 10 แหล่งโบราณคดีคูบวั เป็นประตมิ ากรรมนูนต่�ำแสดงภาพนกั ดนตรสี ตรีจำ� นวน 5 คนไว้
ผมยาวเกล้ามวย ใส่ต่างหู มีผ้าขนาดเล็กพาดบ่าและนุ่งผ้าถุง ก�ำลังบรรเลงดนตรีของไทย
สมยั โบราณทเี่ รยี กวา่ “วงขบั ไมบ้ รรเลงพณิ ” เครอื่ งดนตรที ใ่ี ชป้ ระกอบดว้ ย กรบั พณิ หา้ สาย ฉงิ่ และ
พณิ นำ�้ เตา้ รวมทง้ั นกั รอ้ ง (กรมศลิ ปากร, 2552: 176-77) ประตมิ ากรรมนท้ี ำ� ใหท้ ราบถงึ การแสดงหรอื
มหรสพที่เป็นส่วนหน่ึงของพิธีกรรมทางศาสนาและอาจจะเป็นส่ิงที่สร้างความบันเทิงให้กับ
คนในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งสันนิษฐานว่าชนชน้ั สงู ไดแ้ กก่ ษตั รยิ แ์ ละเชอื้ พระวงศเ์ ป็นผู้อุปถัมภ์และ
ส่งเสรมิ งานดา้ นนี้ (วชิ ุตา วุธาทิตย,์ 2552: 297)
70 พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
ประตมิ ากรรมนูนตำ�่ รปู นกั ดนตรีสตรี
ที่มา: เอ้อื เฟอื้ จาก ผศ. ดร. สฤษด์พิ งศ์ ขนุ ทรง
สรปุ
ผหู้ ญงิ ทปี่ รากฏในหลกั ฐานทางโบราณคดที งั้ ในรปู แบบของโครงกระดกู เพศหญงิ และโบราณ
วตั ถสุ ถานทเ่ี ปน็ ประตมิ ากรรมรปู ผหู้ ญงิ หรอื สงิ่ ของทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ผหู้ ญงิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผหู้ ญงิ ไดร้ บั
การยกยอ่ งและมคี วามสำ� คญั ในสงั คมยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ และยคุ ประวตั ศิ าสตรต์ อนตน้ ในประเทศไทย
ทงั้ นส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ บทบาทของผหู้ ญงิ ในสงั คมในฐานะของแม่ และอาชพี เฉพาะทางทแ่ี บง่ หนา้ ทก่ี นั
ภายในสงั คม เชน่ ชา่ งปน้ั หมอ้ ชา่ งทอผา้ สบื เนอ่ื งตงั้ แตย่ คุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรม์ าจนถงึ สมยั ปจั จบุ นั
หลกั ฐานจากการฝงั ศพพบวา่ ผหู้ ญงิ ในสงั คมยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรม์ คี วามเทา่ เทยี มกบั ผชู้ าย บางกรณี
เช่นแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี อ�ำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าผู้หญิง
มสี ถานภาพทสี่ งู ในสงั คม ผหู้ ญงิ มคี า่ อายเุ ฉลย่ี ตอนตายประมาณไมเ่ กนิ หา้ สบิ ปี จำ� นวนประชากรนอ้ ย
กิจกรรมท่ที �ำไมค่ ่อยมีความหลากหลายและเฉพาะทางมากเท่ากับยคุ ประวัติศาสตร์
เมอื่ มกี ารรบั พทุ ธศาสนาจากอนิ เดยี ผหู้ ญงิ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของคตคิ วามเชอ่ื และสว่ นประกอบของ
พธิ กี รรมทางสงั คมและศาสนาในฐานะของเทพี ชา่ งฟอ้ น นกั ดนตรี หรอื ปรากฏอยใู่ นชาดกเรอื่ งตา่ งๆ
บทบาทและสถานภาพของผหู้ ญงิ มคี วามแตกตา่ งและหลากหลายตามชนชนั้ สถานภาพทางสงั คม และ
เศรษฐกจิ
คำ� ขอบคณุ
ผเู้ ขยี นขอขอบคณุ กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) ทส่ี นบั สนนุ โครงการวจิ ยั เรอ่ื งโบราณคดบี นพนื้ ทสี่ งู ในอำ� เภอ
ปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะท่ีหนึ่ง-สอง และโครงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์และ
สง่ิ แวดล้อมบนพื้นทีส่ ูงในอำ� เภอปางมะผ้า จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน ขอบคุณ ผศ.พพิ ัฒน์ กระแจะจนั ทร์ ทช่ี กั ชวนมาเขยี น
บทความเก่ียวกับเรื่องผู้หญิงในงานโบราณคดี เพ่ือเผยแพร่ความรู้แก่เยาวชนที่เป็นมิติที่แตกต่างไปจากความรู้เดิม
ขอบคณุ ผศ. ดร. สฤษด์พิ งศ์ ขนุ ทรงท่ีเออื้ ภาพถ่ายและข้อมลู ที่เปน็ ประโยชน์ ท้ายสดุ ขอขอบคุณคณะวิจัยท่ีร่วมกัน
สบื คน้ ความเป็นมาของผูค้ นในอดตี เพือ่ ปะติดปะต่อภาพจิก๊ ซอว์ของประวตั ิศาสตร์ประเทศไทย
พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 71
บรรณานุกรม
กรมศลิ ปากร. ประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดเี มอื งศรมี โหสถ. กรงุ เทพฯ: กองโบราณคดี กรมศลิ ปากร,
2535.
กรมศลิ ปากร. โบราณคดีเมอื งอู่ทอง. นนทบุร:ี สหมิตรพรน้ิ ติ้ง, 2545.
กรมศลิ ปากร. ศลิ ปะทวารวด:ี ตน้ กำ� เนดิ พทุ ธศลิ ปใ์ นประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ แอนด ์
พับลิชชิง่ , 2552.
ชนม์ชนก สัมฤทธิ์. เพศสภาพจากแหล่งโบราณคดีถ้�ำผีแมนโลงลงรัก. ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
มนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มบนพน้ื ทส่ี งู ในอำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน.
หนา้ 417-439, (2550). เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเร่ืองปฏสิ มั พันธ์ระหว่าง
มนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรก์ บั สง่ิ แวดลอ้ ม บนพน้ื ทสี่ งู ในอำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน,
27-28 กุมภาพันธ์ 2559.
นทั ธมน ภู่รพี ัฒน์พงศ.์ รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์โครงการโบราณคดีบนพน้ื ที่สูงในอำ� เภอปางมะผา้
จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน (เลม่ ท่ี 3: ดา้ นมานษุ ยวทิ ยากายภาพ-โครงกระดกู คน), เสนอต่อส�ำนกั งาน
กองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.), 2550.
ประพศิ ชศู ริ .ิ ผลการวเิ คราะหเ์ รอื่ งโรคในสมยั โบราณจากโครงกระดกู มนษุ ยถ์ ำ้� หมอเขยี วและถำ้� ซาไก.
ในรายงานข้ันสรุปการขุดค้นที่ถ�้ำหมอเขียว จังหวัดกระบ่ี และถ้�ำซาไก จังหวัดตรังและ
การศึกษาชาตพิ นั ธวุ์ ิทยาทางโบราณคดี ชนกลุ่มนอ้ ยเผา่ ซาไก จงั หวดั ตรัง. โครงการวจิ ัย
วัฒนธรรมโหบินเนียนในประเทศไทย เล่มที่ 2 ประจ�ำปี 2537. พิมพ์ครง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ:
ศนู ยม์ านษุ ยวิทยาสิรนิ ธร, 2543.
ผาสุข อินทราวุธ. รูปเคารพในศาสนาฮนิ ดู. นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, 2522.
ผาสขุ อนิ ทราวธุ . ทวารวด:ี การศกึ ษาเชงิ วเิ คราะหจ์ ากหลกั ฐานทางโบราณคด.ี กรงุ เทพฯ: อกั ษรสมยั ,
2542.
รชั นี ทศรตั น์ ชารล์ ส์ ไฮแอม และอำ� พนั กจิ งาม. (บรรณาธกิ าร). การขดุ คน้ ทเี่ นนิ อโุ ลกและโนนเมอื งเกา่ .
กรงุ เทพฯ: สมาพันธ์.
รศั มี ชทู รงเดช. รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณโ์ ครงการโบราณคดบี นพ้ืนที่สูงในอำ� เภอปางมะผ้า จังหวดั
แมฮ่ อ่ งสอน (เลม่ ท่ี 2: ดา้ นโบราณคด)ี , เสนอตอ่ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.),
2550.
รัศมี ชูทรงเดช. สังคมและวัฒนธรรมโลงไม้ท่ีถ้�ำผีแมนโลงลงรัก. ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ก่อนประวตั ิศาสตรก์ บั สง่ิ แวดล้อมบนพ้ืนทส่ี งู ในอำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน. หนา้
297-322, (2559). เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
มนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มบนพน้ื ทส่ี งู ในอำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน,
27-28 กมุ ภาพนั ธ์ 2559.
วอกัญญา ณ หนองคาย. ฟั่น ทอ: หัตถกรรมประจ�ำชีวิต. ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ก่อนประวัติศาสตร์กับสิ่งแวดล้อมบนพ้ืนท่ีสูงในอ�ำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน.
หน้า 373-398. (2559). เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเรื่องปฏิสัมพันธ ์
ระหว่างมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กับสิ่งแวดล้อมบนพ้ืนท่ีสูงในอ�ำเภอปางมะผ้า จังหวัด
แมฮ่ ่องสอน, 27-28 กมุ ภาพนั ธ์ 2559.
72 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
วชิ ุตา วธุ าทิตย.์ การวเิ คราะหภ์ าพนาฏดรุ ิยางคศลิ ปใ์ นงานพทุ ธศิลปะในประเทศไทย. วิทยานพิ นธ ์
หลักสตู รศลิ ปศาสตรดุษฏบี ณั ฑติ สาขาวชิ าโบราณคดีสมยั ประวตั ิศาสตร์ บณั ฑติ วิทยาลัย
มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, 2552.
ศักด์ิชยั สายสงิ ห.์ ทวารวดี: ศิลปกรรมยคุ แรกเรมิ่ ในดินแดนประเทศไทย. เอกสารคำ� สอนรายวิชา
317403 ศิลปะในประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี 6-14.กรุงเทพฯ: ภาควิชา
ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ปะ บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.
สฤษดพ์ิ งศ์ ขนุ ทรง. โบราณคดเี มอื งนครปฐม: การศกึ ษาอดตี ของศนู ยก์ ลางแหง่ ทวารวด.ี กรงุ เทพฯ:
เปเปอรเ์ มท, 2557.
สว่าง เลิศฤทธิ์. เพศสถานะกับโบราณคดี. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร 21-22 (3) : 100-113,
(2544-2545).
สุรินทร์ ภู่ขจร. รายงานขั้นสรปุ การขดุ คน้ ท่ีถ้ำ� หมอเขียว จังหวดั กระบ่แี ละถ้ำ� ซาไก จังหวดั ตรงั และ
การศึกษาชาติพนั ธ์วุ ิทยาทางโบราณคดี ชนกลุ่มนอ้ ยเผ่าซาไก จงั หวัดตรงั . โครงการวจิ ัย
วฒั นธรรมโหบนิ เนียนในประเทศไทย เล่มท่ี 2 ประจ�ำปี 2537. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2. กรุงเทพฯ:
ศูนย์มานุษยวทิ ยาสริ นิ ธร, 2543.
อนุสรณ์ คุณประกิจ. การศึกษาคติและรูปแบบประติมากรรมดินเผาขนาดเล็กสมัยทวารวดีที่พบ
ในบรเิ วณภาคกลางของประเทศไทย. วิทยานพิ นธ์หลักสตู รศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา
วชิ าโบราณคดีสมยั ประวัติศาสตร์ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร, 2529.
Hayes, S. Estimating a Face from the Thai Late Pleistocene: Collaboration and 2D
Facial Approximation. ในการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรก์ บั สงิ่ แวดลอ้ ม
บนพื้นที่สูงในอ�ำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. หน้า 275-295, (2559). เอกสาร
ประกอบการประชุมทางวิชาการเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กับ
สง่ิ แวดล้อมบนพืน้ ท่สี ูงในอำ� เภอปางมะผ้า จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน, 27-28 กมุ ภาพนั ธ์ 2559.
Higham, C.W.F. and Bannanurag, R. The Excavation of Khok Phanom Di: a
Prehistoric Site in Central Thailand. London: Society of Antiquities of
London, 1990.
Johanson, D. and Wong, K. Lucy’s Legacy: The Quest for Human Origins.
New York: Harmony Books, 2009.
Shoocongdej, R. Gender roles depicted in rock art: a case from western Thailand.
In Pursuit of Gender: Worldwide Archaeological Approaches, edited by
Nelson, M. & M. Rosen-Ayalon. Walnut Creek: Altamira Press, 2001.
http://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2016/04/28/2003644992 เข้าถึงเมื่อ
วนั ท่ี 18 กรกฎาคม 2559
http://news.nationalgeographic.com/2016/05/160506-stone-age-mothers-day-fossils-
taiwan/ เข้าถงึ เม่ือวนั ที่ 18 กรกฎาคม 2559
แมท่ ่ี “มองไม่เห็น” แต่ชีเ้ ป็นช้ีตาย:
ชีวิตความเปน็ อย่ขู อง “แม่ซ้อื ” กบั วิธคี ดิ ของคนไทย
ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู 1
สาขาวชิ าภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
“แม่ซอ้ื ” เป็นความเชอ่ื เก่าแก่ความเช่อื หนง่ึ ในสังคมไทย เช่อื กนั ว่าเป็นวญิ ญาณท่ีคอยดแู ล
ปกปอ้ งทารก รวมทงั้ กลนั่ แกลง้ ทารก บางครงั้ อาจบนั ดาลใหเ้ ปน็ โรคและถงึ แกช่ วี ติ ไดด้ ว้ ย เรอ่ื ง “แมซ่ อื้ ”
นม้ี ปี รากฏในพระคมั ภรี ป์ ฐมจนิ ดา ซง่ึ เปน็ ตำ� ราแพทยแ์ ผนไทยเกา่ แก่ ซงึ่ พระคมั ภรี ป์ ฐมจนิ ดาถอื กนั
ว่าเป็นประธานแห่งพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์หรือคัมภีร์แพทย์ท้ังปวง เน้ือหาเน้นกล่าวถึงโรคสตรีและ
ทารก
ใน พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานฉบบั พทุ ธศกั ราช 2542 ใหค้ วามหมายไวว้ า่ “แมซ่ อื้ ”
คือ เทวดาหรือผีท่ีเช่ือกันว่าเป็นผู้ดูแลรักษาทารก,แม่วี ก็เรียก (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546: 876)
ส่วนพระยาอนุมานราชธน ได้ให้ความหมายเก่ียวกับแม่ซื้อไว้ว่า “แม่ซื้อ” คือ ผีที่คอยมารังควาน
ประจ�ำตวั เด็กท่เี พิ่งเกดิ มา (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 79)
จากข้างต้นอาจสรุปได้ว่า “แม่ซ้ือ” หมายถึง ผีหรือเทวดาผู้หญิงที่เช่ือว่าเป็นแม่คนเก่า
ในโลกวญิ ญาณทค่ี อยตามมาดแู ลปกปกั รกั ษาเดก็ และในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน็ ผทู้ ท่ี ำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ การเจบ็
ปว่ ยดว้ ยอาการต่างๆด้วย
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเร่ืองแม่ซ้ือได้สะท้อนให้เห็นถึงกุศโลบายท่ีน่าสนใจของวิธี
“บริหารความเสยี่ ง” (risk management) ในการดูแลทารกในระยะหัวเลยี้ ว หรอื สมาชิกใหมข่ อง
สงั คมใหม้ ชี วี ติ “รอด” และเตบิ โตแขง็ แรงไดต้ อ่ ไป บทความนมี้ งุ่ นำ� เสนอขอ้ มลู เกย่ี วกบั แมซ่ อื้ ตลอดจน
บทบาทหนา้ ท่ขี องแม่ซือ้ ท่ีมีตอ่ สงั คมไทยในฐานะเปน็ ผลผลติ ทางวัฒนธรรม
ชีวประวัตขิ องแมซ่ ้ือ
ประวัติของความเช่ือเรื่องแม่ซื้อน้ีสันนิษฐานว่ามีมาต้ังแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา1 เนื่องจากม ี
ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี ป์ ฐมจนิ ดา คมั ภรี แ์ พทยส์ ำ� หรบั สตรแี ละเดก็ ซง่ึ เปน็ คมั ภรี ส์ มยั อยธุ ยาตกทอดมาถงึ
ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ตอ่ มาในสมยั รชั กาลท่ี 3 ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ารกึ ตำ� ราและคตเิ รอ่ื ง
แมซ่ อื้ นไี้ ว้ ณ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ทศี่ าลาแมซ่ อ้ื ครน้ั ในสมยั รชั กาลท่ี 5 ทรงพระกรณุ าให้
1อยา่ งไรกต็ าม ยงั ไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั ในกฎหมายตราสามดวง กลา่ วถงึ ศกั ดนิ าของแพทย์ แตไ่ มร่ ะบคุ วาม
เกย่ี วขอ้ งกบั ตำ� ราตา่ งๆ ขณะทตี่ ำ� ราโอสถพระนารายณ์ อา้ งถงึ คมั ภรี ม์ หาโชตริ ตั และคมั ภรี โ์ รคนทิ าน (ดเู พมิ่ เตมิ ใน
“ประวตั กิ ารแพทยแ์ ผนไทย” เรือ่ งที่ 8 การแพทย์แผนไทย สารานกุ รมไทยสำ� หรบั เยาวชนฯ เลม่ ท่ี 33)
74 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
รวบรวมคมั ภรี แ์ พทยต์ า่ งๆ และจดั พมิ พช์ อื่ “ตำ� ราแพทยศาสตรส์ งเคราะห”์ ซงึ่ มคี มั ภรี ป์ ถมจนิ ดา หรอื
ปฐมจนิ ดา ทกี่ ลา่ วถงึ แมซ่ อ้ื รวมอยดู่ ว้ ย
ด้านประวัติของตัวแม่ซ้ือเองนั้น ไม่มีต�ำนานกล่าวไว้แจ้งชัดว่ามีบิดามารดาเป็นใคร หรือ
มกี ำ� เนดิ มาอยา่ งไรกต็ ามพบวา่ ในสำ� นวนทอ้ งถน่ิ ภาคใตก้ ลา่ ววา่ “แมซ่ อื้ ” เปน็ เทพธดิ าทพ่ี ระอศิ วร
ส่งลงมา (สุวิทย์ ทองศรีเกตุ, 2523: 77) ขณะท่ีในสังคมอีสานเช่ือว่าแม่ซ้ือคือแม่ของทารกใน
ชาตภิ พกอ่ น (มงกฎุ แกน่ เดยี ว, 2542: 3458)
ท่ีมาของชือ่ “แม่ซือ้ ” และความหลากหลายของช่ือแมซ่ ้ือในท้องถ่นิ ตา่ งๆ
สาเหตุของการเรียกว่า “แม่ซื้อ” สันนิษฐานว่ามาจากการขอซอื้ เดก็ ด้วยเงนิ จ�ำนวน 33 เบย้ี
ในจารกึ วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลารามทก่ี ล่าวไวว้ า่ “เราสขู่ อซอื้ ไว้ ใหเ้ ปน็ เบ้ยี สามสบิ สาม คา่ ตวั ตาม
สนิ ไถ่ ” ในความหมายของ “แมซ่ อื้ ” ท่ี คำ� วา่ “ซอื้ ” ทม่ี คี วามหมายวา่ ซอื้ ขายนนั้ พระยาอนมุ านราชธน
กลา่ วไว้ว่า “ซือ้ ขายหรอื ว่าซอ้ื จะไม่ใชเ่ ป็นคำ� เดียวกับความหมายทีว่ า่ ซอ้ื ขายแต่เรือ่ งที่ท�ำก็มกี ารซ้อื
ขายกันอยู่ จะนกึ ใหแ้ ปลเปน็ อยา่ งอนื่ ก็ขัดข้อง” (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 83)
อนี่ง ความเชื่อเรื่อง “แม่ซ้ือ” พบว่าปรากฏอยู่ในทุกภาคของไทยไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ
กลาง อสี าน และใต้ ท้งั สี่ภาคนจี้ ะมคี วามเชื่อท่ีเกย่ี วกบั “แมซ่ อ้ื ” เหมือนกันคือเชื่อว่าเด็กจะมสี งิ่ ที่
คอยดูแลคุ้มครองหรอื มสี ่งิ ทค่ี อยรังควานเด็กใหเ้ ดก็ เกิดอาการเจบ็ ป่วย แตม่ ชี ื่อเรียกทแี่ ตกตา่ งกัน
ออกไป ภาคใต้เรียกว่าแม่ซ้ือเช่นเดียวกับภาคกลาง ขณะที่ภาคกลางบางท้องถิ่นเรียกแม่วี ซ่ึงมี
ความหมายวา่ พัด สนั นิษฐานวา่ คงเชือ่ วา่ แม่ซ้ือคงมากบั ลม
ภาคเหนอื ในความเชอ่ื ของชาวลา้ นนา จะเรยี กแมซ่ อื้ วา่ “แมเ่ กดิ ” ซงึ่ แมเ่ กดิ ใน พจนานกุ รม
ล้านนา–ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง ได้ให้ความหมายไว้เหมือนกับค�ำว่าแม่ซ้ือในพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถานฉบับพุธศักราช 2542ว่า “แม่เกิด” หมายถึงเทวดา หรือผีประจ�ำตัวทารก
(อดุ ม รงุ่ เรืองศรี, 2533: 976) สว่ นชาวอสี านนัน้ นอกจากจะเรยี กว่า “แมซ่ ้ือ” แลว้ ยังเรยี กแมซ่ ื้อวา่
“แมเ่ กา่ แมห่ ลัง” (บุญเกดิ พมิ พ์วรเมธากุล, 2544: 78) หรอื ในสังคมเขมร-ส่วย จะเรียกแมซ่ ือ้ ว่า
“เปรยี ย มนายเดิม” ซ่ึงมคี วามหมายว่า ผพี รายแม่คนเก่าก่อน (มงกฎุ แกน่ เดียว, 2542: 3458)
จากท้ังส่ีภาคนั้นจะเห็นว่ามีความเช่ือเก่ียวกับเร่ืองของ“แม่ซ้ือ” ท่ีเหมือนกันถึงแม้ว่าจะม ี
ชื่อเรียกหรือบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่สรุปได้ว่าความเช่ือเรื่อง “แม่ซ้ือ” เป็น
ความเชื่อทป่ี รากฏอยใู่ นสังคมไทยทุกภาค
รปู รา่ งหนา้ ตาและญาติพนี่ อ้ งของแม่ซือ้
แมว้ า่ แมซ่ อื้ จะเปน็ “แมท่ ม่ี องไมเ่ หน็ ” ดงั ทใี่ นวฒั นธรรมไทยมคี วามเชอื่ วา่ เวลาเดก็ นอนยม้ิ
กับอากาศ เชื่อว่ามีแม่ซ้ือมาเล่นด้วย บางครั้งเด็กนอนอยู่คนเดียวก็หัวเราะ หรือว่าเวลาเด็กหกล้ม
ก็เชื่อว่าเด็กจะมีแม่ซ้ือคอยรับเอาไว้ (ทอง เมฆพัสตร และ หมอหลวง, 2515: 84) นอกจากน ี้
ยังเชื่อวา่ การท่เี ด็กเกิดอาการเจ็บปว่ ยตา่ งๆ นั้น เพราะแม่ซอ้ื เปน็ ผูก้ ระท�ำ เชน่ ในคัมภรี ์ปฐมจนิ ดา
ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ โรคร้ายทเ่ี กิดแกท่ ารกคอื ตานทราง ซึ่งเกดิ จากน�้ำนมของแม่ และ “แม่ซ้อื ” เป็นเหตุ
“ ...จะกลา่ วถึงกมุ ารกุมารที ง้ั หลาย อันเกดิ โรครา้ ยตา่ งๆคือตาลทราง คอื นำ้� นมแหง่ แม่แลแมซ่ ้อื ...”
(คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, 2542: 226) เปน็ ต้น ปรากฏการณ์เหล่าน้ี
ล้วนไม่ได้ปรากฏ “รปู ” ของแมซ่ ้อื อยา่ งไรก็ดคี นไทยไดม้ ีความคิดสรา้ งสรรค์และจินตนาการรูปร่าง
ลักษณะของแมซ่ อื้ ไว้อย่างละเอียดประณตี
พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 75
“แมซ่ อื้ ” ในความเชื่อภาคกลาง ได้ มกี ารบรรยายลกั ษณะของแมซ่ ือ้ ประจำ� ในแตล่ ะวนั ดังน้ี
แมซ่ ื้อวันประจำ� อาทิตย ์ หวั และหนา้ เปน็ ราชสหี ส์ ีแดงชาด ซ้ายถือธนู ขวาถอื พดั
แม่ซื้อประจ�ำวันจันทร ์ หวั และหนา้ เปน็ มา้ สีขาวขวาถือดาบ ซา้ ยถอื พดั
แม่ซื้อประจ�ำวันองั คาร หัวและหนา้ เป็นควายเผือก ขวาถอื ดาบ ซ้ายถือพัด
แมซ่ ื้อประจ�ำวนั พุธ หวั และหนา้ เปน็ ช้างสแี ดงแสด ขาวถือดาบซา้ ยถอื พดั
แม่ซ้อื ประจ�ำวนั พฤหัสบด ี หวั และหนา้ เป็นกวางสีเหลืองออ่ น ขวาถือหอก ซ้ายถอื พดั
แม่ซ้อื ประจ�ำวันศุกร์ หวั และหน้าเป็นเป็นโคสีเหลือง ซา้ ยถือธนู ขาวถือพดั
แม่ซื้อประจ�ำวันเสาร์ หัวและหน้าเป็นเสือสีด�ำ ขวาถือตรีศูลด้ามยาว ซ้ายถือพัด
(เสฐียรโกเศศ, 2531: 83-84)
กระนน้ั กด็ ี ภาพจติ รกรรมทศี่ าลาแมซ่ อ้ื ทว่ี ดั พระเชตพุ น มรี ายละเอยี ดของสกี าย แตกต่างไป
จากตำ� ราขา้ งต้นบ้าง แต่นับวา่ เปน็ จติ รกรรมภาพแม่ซ้ือทีเ่ ปน็ ท่ีรบั รู้และเกา่ แกม่ ากทสี่ ุดแห่งหนึง่
ทั้งนแี้ มซ่ ื้อประจ�ำวนั จะมหี น้าตาเป็นรปู สตั ว์ตา่ งๆ ซ่ึงในแตล่ ะวันมลี กั ษณะรปู หน้าทต่ี า่ งกัน
ออกไปหนา้ ทเ่ี ปน็ รปู สตั วเ์ ปน็ สตั วส์ งั เกตไดว้ า่ ตรงกบั พาหนะของเทพประจำ� วนั ตา่ งๆ เทพประจำ� วนั
ไดแ้ ก่ พระอาทิตย์ พระจนั ทร์ พระองั คาร พระพุทธ พระพฤหสั บดี พระศุกร์ และพระเสาร์
พระจนั ทร ์ ในตำ� นานกลา่ ววา่ พระอศิ วรสรา้ งพระจนั ทร์ จากนางฟา้ 15 นางโดยรา่ ยพระเวท
จนนางฟ้า 15 นางละเอยี ด ห่อด้วยผา้ สขี าวนวล แล้วประพรมดว้ ยนำ�้ อมฤตแลว้ กเ็ กดิ เปน็ เทพบตุ ร
ช่ือพระจันทร์ผิวกายสีขาวนวล วิมานสีมุกดา มีม้าเป็นพาหะนะ (พลูหลวง, 2530: 17) ซ่ึงตรงกับ
แมซ่ ้อื ประจำ� วนั จนั ทรท์ ่ีมีหวั และหนา้ เปน็ มา้ สีขาว
พระองั คาร ในตำ� นานกลา่ ววา่ พระองั คารเปน็ เทวดาองคเ์ ดยี วกบั พระขนั ธกมุ ารรปู เปน็ คน
มรี า่ งกายเปน็ สแี ดงมแี กะเปน็ พาหนะ (ประจกั ษ์ ประภาพทิ ยาคาร, 2529: 162) จากคมั ภรี เ์ ฉลมิ ไตรภพ
ซง่ึ เปน็ ตำ� ราทกี่ ลา่ วถงึ พระอศิ วร ไดร้ า่ ยเวท โดยเอาสตั วต์ า่ งๆมาหลอมหลอ่ เปน็ เทวดาพระเคราะห ์
แตล่ ะองค์ อยา่ งกรณี พระองั คาร ทรงเอากระบอื 8 ตวั รา่ ยเวทใหป้ น่ แลว้ หอ่ ดว้ ยผา้ สแี ดงแลว้ เกดิ เปน็
พระองั คารมคี วายเปน็ พาหนะ (พลหู ลวง, 2530: 24) ซง่ึ ตรงกบั แมซ่ อ้ื ประจำ� วนั องั คาร ทมี่ หี วั และ
หนา้ เปน็ ควายเผอื ก
พระพุธ ในต�ำนานกล่าว่า พระพุธมีกายเป็นสีเขียวถือขอช้างและนั่งอยู่บนคอช้างซึ่งเป็น
พาหนะ (พลูหลวง, 2530: 30) ซ่งึ ตรงกบั แมซ่ ้อื ประจ�ำวนั พธุ ที่มีหวั และหนา้ เปน็ ช้างสีแดงแสด
พระพฤหัสบดี ในต�ำนานกล่าวว่า พระพฤหัสบดีมีรูปร่างเป็นเทพฤๅษี มีร่างกายเป็น
สีแก้วไพฑูรย์ มีพาหนะเปน็ กวางสีทอง ถอื กระดานชนวน (ประจกั ษ์ ประภาพิทยาคาร, 2529: 280)
ซง่ึ ตรงกับแม่ซือ้ ประจ�ำวันพฤหัสบดที ่มี ีหัวและหนา้ เป็นกวางสีเหลอื งออ่ น
พระศกุ ร์ ในตำ� นานกลา่ ววา่ พระอศิ วรนำ� ววั 21 ตวั เอามารา่ ยพระเวทจนปน่ ละเอยี ด จากนน้ั
ก็พรมด้วยน้�ำอมฤตกลายเป็นพระศุกร์มีพระโคอุศุภราชเป็นพาหนะแล้วมอบให้เป็นผู้รักษาเขาสุเมรุ
ทางทศิ อุดรซึ่งตรงกบั แม่ซอ้ื ประจ�ำวนั ศุกร์ทมี่ หี วั และหนา้ เปน็ เปน็ โคสเี หลือง
พระเสาร์ ในต�ำนานกล่าวว่า พระเสาร์มีรูปร่างเป็นมนุษย์มีกายเป็นสีด�ำมือมีอาวุธเป็นศูล
และธนู ขาพิการ บนศรี ษะทำ� เปน็ รศั มี 7 แฉก มเี สอื เป็นพาหนะ (ประจกั ษ์ ประภาพทิ ยาคาร, 2529:
146) ซึ่งกบั แมซ่ อ้ื ประจ�ำวนั เสารท์ ่มี ีหวั และหนา้ เป็นเสอื สีดำ�
76 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
(ซ้าย) แม่ซอ้ื ประจ�ำวันอาทิตย์ชอื่ “วิจติ รมาวรรณ” มีหัวเป็นสงิ ห ์ มผี วิ กายสีแดง
(กลาง) แม่ซอ้ื ประจ�ำวนั จันทรช์ ่ือ “วรรณนงคราญ”มีหวั เป็นมา้ มผี วิ สขี าวนวล
(ขวา) แมซ่ ื้อประจ�ำวนั องั คารชือ่ “ยักษบ์ รสิ ุทธ”์ิ มหี วั เป็นมหงิ สา (ควาย) ผวิ กายสชี มพู
(ซา้ ย) แมซ่ ื้อประจำ� วนั พธุ ช่อื ”สามลทัศ” มหี ัวเปน็ ช้าง ผวิ กายสีเขยี ว
(กลางซ้าย) แมซ่ ้อื ประจ�ำวนั พฤหัสบดี มีชือ่ วา่ “กาโลทกุ ข์” มีหวั เปน็ กวาง มผี ิวกายสีเหลืองอ่อน
(กลางขวา) แม่ซื้อประจ�ำวนั ศกุ รม์ ชี ่อื ว่า “ยักษน์ งเยาว์” มหี ัวเปน็ โค ผวิ กายสฟี ้าออ่ น
(ขวา) แมซ่ อ้ื ประจ�ำวันเสารช์ อื่ วา่ “เอกาไลย”์ มหี วั เป็นเสอื ผวิ กายสดี �ำ
พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 77
พระอาทติ ย์ ในตำ� นานกล่าววา่ พระอาทิตย์มรี ปู เป็นสแี ดง ขี่รถเทยี มมา้ 7 ตัว หรือบางท ี
ก็ว่าตัวเดียวมี 7 หัว บ้างก็ว่าทรงเกวียนทองเทียมด้วยม้าสินธพ 1 พันตัว พระอาทิตย์มีพาหนะ
เปน็ มา้ (ประจักษ์ ประภาพิทยาคาร, 2529: 157) ซง่ึ ตรงกบั แม่ซอ้ื ประจำ� วนั อาทติ ย์ท่มี ีหัวและหนา้
เปน็ ราชสหี ์สีแดงชาด
จากข้างต้นอาจเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่ารูปร่างหน้าตาของแม่ซ้ือประจ�ำวันต่างๆ อาจมีที่มา
จากสตั วท์ เี่ ปน็ พาหนะของเทพประจำ� วนั
หนา้ จากนรี้ ปู รา่ งหนา้ ตา “แมซ่ อื้ ” ประจำ� วนั ตา่ งๆ จะเหน็ วา่ มหี นา้ เปน็ สตั วท์ มี่ รี ปู หนา้ แตกตา่ ง
กันออกไปและส่ิงที่ถือติดตัวมาด้วยนั้นข้างหน่ึงจะเป็นพัดส่วนอีกข้างหนึ่งจะเป็นอาวุธเชื่อว่า อาวุธ
และพดั นน้ั นา่ จะเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนพฤตกิ รรมของ “แมซ่ อื้ ” พดั เปน็ สงิ่ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความสบายเนอ่ื งจาก
เวลาพดั นน้ั จะเกดิ ลมเยน็ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ การทแี่ มซ่ อ้ื ถอื พดั นา่ จะเปน็ สญั ลกั ษณข์ องพฤตกิ รรมในดา้ นดี
ของแมซ่ อ้ื ทคี่ อยปกปกั รกั ษาและดแู ลเดก็ ปรนนบิ ตั พิ ดั วี ซง่ึ ชอื่ เรยี กอกี ชอื่ หนง่ึ ของ “แมซ่ อื้ ” คอื “แมว่ ”ี
สว่ นอาวธุ ทถี่ อื มาดว้ ยนน้ั อาจมองไดว้ า่ เปน็ พฤตกิ รรมในดา้ นรา้ ยของ “แมซ่ อื้ ” อาวธุ นน้ั ใช้
ในการตอ่ สู้ หรอื ทำ� รา้ ย ซง่ึ เปน็ สงิ่ ท่ี “แมซ่ อ้ื ” ใชใ้ นการลงโทษทมิ่ แทงใหเ้ ดก็ เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยตา่ งๆ
ภาพของแมซ่ อื้ พบวา่ มกี ารวาดลกั ษณะของแมซ่ อ้ื ตามคำ� กลา่ วบรรยายลกั ษณะของ “แมซ่ อ้ื ”
ข้างต้นในหลายรูปแบบ พบการวาดรูปของแม่ซ้ือไว้ที่ศาลาแม่ซื้อที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ซ่ึงภาพของแม่ซ้ือมีการถ่ายทอดออกมาในลักษณะที่ต่างกันออกไป สาเหตุท่ีมีความต่างอาจเนื่อง
มาจากความรบั รใู้ นเรอื่ งของ “แมซ่ อื้ ” ทต่ี า่ งกนั ของผวู้ าดทำ� ใหเ้ กดิ จนิ ตนาการทมี่ คี วามหลากหลาย
อยา่ งไรกต็ าม คนไทยภาคกลางเชอื่ วา่ “แมซ่ อ้ื ” มอี ยู่ 7 ตน หรอื อาจเรยี กวา่ “แมว่ ”ี โดย
แมซ่ อื้ ทงั้ 7 จะแบง่ ออกเปน็ แมซ่ อ้ื ประจำ� วนั เกดิ โดยมชี อื่ ของแมซ่ อ้ื ประจำ� ทงั้ 7 วนั ดงั นี้ แมซ่ อ้ื ประจำ�
วนั อาทติ ยช์ อื่ นางวจิ ติ ราวรรณ แมซ่ อื้ ประจำ� วนั จนั ทรช์ อื่ นาง (มณั )ฑนานงคราญ แมซ่ อื้ ประจำ� วนั องั คาร
ชอ่ื นางยกั ษบ์ รสิ ทุ ธ์ิ แมซ่ อื้ ประจำ� วนั พธุ ชอื่ นางสมทุ ชาต แมซ่ อ้ื ประจำ� วนั พฤหสั บดี ชอ่ื นางโลกวคั ถกุ
แม่ซื้อประจ�ำวันศุกร์ช่ือนางยักษ์นงเยาว์ แม่ซื้อประจ�ำวันเสาร์ชื่อนางเอกขมาลัย (เสฐียรโกเศศ,
2531: 78) และในบางท้องถ่ินยงั ปรากฏอีกว่าแม่ซอื้ นัน้ ก็มี 28 ตนดว้ ย “...แม่ซือ้ บรรดาเทีย่ วมาสถิต
ทัง้ ยสี่ ิบแปดตนคดิ กระทำ� โทษ...” (เสฐียรโกเศศ, 2531: 83-84)
ในความเชอ่ื ของชาวลา้ นนามี “แมซ่ อ้ื ” มากกวา่ ภาคกลาง เพราะจากเอกสารคมั ภรี ใ์ บลาน
เรอ่ื ง พธิ กี รรมตา่ งๆ ฉบบั วดั พระสงิ ห์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ ไดก้ ลา่ วถงึ แมเ่ กดิ วา่ มที ง้ั หมด
10 ตน ทง้ั 10 ตนนจ้ี ะเปน็ แมซ่ อื้ ประจำ� วนั เดอื น ปี ของเดก็ เชน่ แมซ่ อ้ื ตนที่ 1 เปน็ แมซ่ อ้ื ประจำ� เดก็
ทเ่ี กดิ วนั ท่ี 1 เดอื นท่ี 1 หรอื ปที ่ี 1 และจะไลไ่ ปตามวนั เดอื น ปี แมซ่ อื้ ทงั้ 10 ตนมชี อ่ื เรยี กดงั ตอ่ ไปน้ี
ตนที่ 1 ชอื่ นางเมนกะ ตนที่ 2 ชอ่ื นางสนุ นั ทะ ตนที่ 3 ชอ่ื นางบตุ ระ ตนที่ 4 ชอื่ นางผดะตดั
ตนท่ี 5 นางภะมสั สะ ตนท่ี 6 ชอื่ นางอคั คนสิ สะ ตนท่ี 7 ชอื่ นางกลิ าดเลาดี ตนท8ี่ ชอ่ื นางตมิ ลากะ
ตนท่ี 9 ชอื่ นางนมะธนา ตนที่ 10 ชอ่ื นางเรณะปนั นงั โดยตวั อยา่ งในคมั ภรี ใ์ บลานมดี งั นี้ (ธญั ญา
วจั นะภมู ,ิ 2551)
...ถา้ ลกู ออ่ นเกดิ มาไดว้ นั 1 เดอื น 1 ปี 1 กด็ ี แมเ่ กดิ ชอ่ื วา่ เมนกะ ...
...ลูกอ่อนเกิดมาได้ 2 วัน 2 คืน 2 เดือน 2 ปีนั้น แม่เกิดผู้ช่ือว่า สุนันทะ... (ธัญญา
วจั นะภมู ,ิ 2551)
78 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ภาคใตเ้ ชอื่ วา่ “แมซ่ อ้ื ” เปน็ เทพธดิ าทพ่ี ระอศิ วรสง่ ลงมา (สวุ ทิ ย์ ทองศรเี กต,ุ 2523: 77) และ
ยงั เชอื่ วา่ “แมซ่ อ้ื ” เปน็ สงิ่ ทเ่ี รน้ ลบั ไมม่ ตี วั ตนแตจ่ ะมฐี านะเปน็ เทวดาหรอื ภตู ผกี ไ็ มป่ รากฏชดั ทำ� หนา้ ท่ี
เปน็ พเ่ี ลย้ี งเดก็ ตงั้ แต่ แรกเกดิ จนสบิ สองขวบ (อดุ ม หนทู อง., 2542: 3401) สว่ นจำ� นวน “แมซ่ อื้ ”
จะมนี อ้ ยกวา่ ภาคกลางและภาคเหนอื เนอ่ื งจากภาคใตพ้ บวา่ มี “แมซ่ อ้ื ” ทง้ั หมด 4 ตน โดยสตี่ นจะมี
ชอื่ เรยี กแตกตา่ งกนั ออกไปดงั น้ี
...แม่ซอ้ื ทงั้ ส่ี ภตู ทิ งั้ สี่ พลั ลกิ าสนทรี คนธรรพคนธรรพ์ เจบ็ หวั ตวั รอ้ น... (ฉตั รชยั ศกุ ระกาญจน,์
บรรณาธกิ าร, 2523: 76)
...แมซ่ อื้ ทงั ส่ี พลั กิ าเทวี สนทรแี จม่ จนั ทร์ พลั ลกิ าบวั โบสถ์ คนธรรพคนธรรพ.์ .. (ปราณี ขวญั แกว้ ,
2518: 102)
...แมซ่ อื้ แปลงสถาน สอี่ งคน์ งครวญ ตามเดอื นตามวนั จงึ่ ชอ่ื พลั ลกิ ะ สนทรยี ค์ นธรรพ์ พสสิ ะ
หนงึ่ นน้ั เปน็ อนั ดบั มา... (สวุ ทิ ย์ ทองศรเี กต,ุ 2532: 78)
...แมซ่ อื้ สค่ี น ชอ่ื เสยี งชอบกล ทง้ั หญงิ ทงั้ ชาย เพด็ ทลู เพด็ พลา่ น เพด็ ทนเพด็ ทาน
อาจารยก์ ดหมาย... (อดุ ม หนทู อง,2542 : 3410)
จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ พบวา่ มชี อ่ื เรยี ก “แมซ่ อ้ื ” ตา่ งกนั ออกไป เรยี กวา่ พลั ลกิ า สนทรี คนธรรพ
คนธรรพ์ บา้ งกเ็ รยี ก ชอื่ พลั ลกิ ะ สนทรยี ์ คนธรรพ์ พสสิ ะ หรอื เรยี กวา่ เพดทลู เพด็ พลา่ น เพด็ ทน
เพด็ ทาน และบางแหง่ วา่ ชอื่ ผดุ ผดั พดั ผล (อดุ ม หนทู อง, 2542: 3401) ถงึ แมว้ า่ จะมชี อ่ื เรยี กทต่ี า่ ง
กนั ออกไปแตท่ ง้ั สตี่ นนกี้ ค็ อื “แมซ่ อ้ื ” ในความเชอ่ื ของคนในภาคใต้
ในภาคอสี านจากการศกึ ษาพบวา่ ยงั ไมม่ กี ารระบชุ ดั เจนวา่ “แมซ่ อื้ ” มกี ต่ี นหรอื มชี อื่ เรยี กใน
แตล่ ะตนนนั้ วา่ อยา่ งไร แตช่ าวอสี านกม็ ชี อ่ื เรยี ก “แมซ่ อื้ ” ทแ่ี ตกตา่ งกนั คอื แมเ่ กา่ แมห่ ลงั ดงั ทก่ี ลา่ ว
ไ ปแลว้ ขา้ งตน้
อุปนสิ ยั ของแมซ่ ้อื
แมซ่ อื้ ในความคดิ ของคนไทยถอื เปน็ ผหู้ ญงิ ทม่ี ี 2 บคุ ลกิ มกั สำ� แดงทง้ั คณุ และโทษ เมอื่ พจิ ารณา
ผา่ นความเช่ือและพธิ กี รรมทเ่ี ก่ียวข้องกบั แม่ซ้อื สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 บุคลิกดงั นค้ี อื
“แม่ใจดี” : บคุ ลกิ สำ� แดงคุณ
“คณุ ” จากการใหก้ �ำเนิดบตุ ร
หนา้ ทขี่ องผเู้ ปน็ แมต่ วั จรงิ หนา้ ทห่ี นง่ึ ทม่ี คี วามสำ� คญั มากคอื การใหก้ ำ� เนดิ บตุ ร การให้
ก�ำเนิดไดแ้ สดงถึง การเป็นแม่ ความเป็นแมข่ องแม่ซื้อ ได้เริ่มตน้ จากการทเ่ี ป็นผใู้ ห้กำ� เนดิ
ในสมยั โบราณเชอื่ ในเรอื่ งของผผี ปู้ น้ั โดยเชอื่ วา่ กอ่ นทจ่ี ะเกดิ ลกู ขนึ้ ในครรภข์ องแมน่ นั้
จะมีผีเป็นผู้ปั้น “ผีจะสร้างคนน้ันมันเอาดินมาปั้นเป็นรูปข้ึนดังที่ได้กล่าวไว้ในบทสอนอ่านแม่กด
ในมูลบทบรรพกิจว่า พวกผีที่ปั้นลูก ติดจมูกลูกตาพลัน” (เสฐียรโกเศศ, 2531: 81) ดังปรากฏ
ในวรรณคดีเร่ืองขนุ ช้างขนุ แผน ความวา่
บทนจี้ ะยกไว้เสยี ก่อน จะกลา่ วกลอนถึงก�ำเนิดคนท้งั หลาย
เมื่อแรกเขา้ สู่ครรภบ์ รรยาย ว่าอา้ ยผแี สนร้ายบนปลายไม้
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 79
กลางคนื ป้ันรูปหัวเราะขิก แล้วหยิบหยิกปบี บ้ีมเิ อาส่�ำได้
ปัน้ แลว้ ปั้นเลา่ เฝ้าริกไป เอาน่ันนี่บ้ใี สใ่ หค้ รบครัน
คนื หนง่ึ ผปี ั้นอยูป่ ลายไม้ ยงั มีสตั วอ์ ยใู่ นนรกนนั่
ทนทุกขเ์ วทนาสากรรจ์ ครนั้ สิ้นกรรมท�ำนั้นกพ็ น้ ทกุ ข์
จุติจากเพศเปรตอสุรกาย วุ่นวายว่ิงมาหาความสขุ
จะไปสวรรค์มิทนั จะพน้ ทุกข ์ ผีปนั้ มนั จงึ ซกุ เขา้ ในครรภ์ ฯ
หากพิจารณาแล้วอาจกล่าวได้ว่า”แม่ซ้ือ” คือผีที่เป็นผู้ปั้นลูกขึ้นมาแล้วน�ำไปใส่ใน
ครรภ์ของแม่ตัวจริง ถือว่าการปั้นลูกน้ันมีความหมายว่าเป็นการให้ก�ำเนิด เพราะฉะน้ัน หน้าท่ี
ของ””แมซ่ อื้ ” ก็แสดงใหเ้ ห็นว่าเป็นผูใ้ ห้ก�ำเนดิ บุตร ดังเช่นหนา้ ท่ีของแมต่ ัวจริง
“คุณ” จากความหวงแหนบตุ ร
การท่ีเด็ก เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆเชื่อว่าแม่ซ้ือเป็นผู้กระท�ำ จึงได้เกิดวิธีต่างๆ เพ่ือ
ท่จี ะท�ำให้แม่ซอื้ ไม่มายุ่งไมม่ ารบกวนเดก็ เชน่ ค�ำกล่าวในพธิ ีกรรมทเ่ี ก่ยี วกับแมซ่ อื้ ที่จะกลา่ วว่าไม่
ใหแ้ มซ่ ือ้ มาท�ำร้ายเด็ก
....ขอให้ถอยไข้ได้แรง แมซ่ ื้อทัง้ ส่ี อย่าหยิกอยา่ หยอก อย่าหลอกอยา่ หลอน ใหเ้ ด็ก
ตกเนอ้ื ตน่ื ใจ... (ปราณี ขวัญแกว้ , 2519: 101)
.....อยา่ สหู้ ยกิ สหู้ ยอก อยา่ สพั ยอกเปน็ พาล อยา่ อยเู่ ยา้ กมุ ารทเี่ กดิ มา จะไดว้ ฒั นาจำ� เรญิ
(เสฐียรโกเศศ, 2531: 78)
... เชญิ เถิดเจ้านอน นอนใหส้ บายเอย
แม่ซ้อื ทัง้ หลาย อยา่ ได้หลอกหลอน
แมซ่ อ้ื ของเจา้ ขวัญเจา้ เขา้ นอน
อยา่ ได้หลอกหลอน ขวญั เจา้ นอนสบาย... (ประทมุ ชมุ เพง็ พนั ธ,์ 2544: 64)
จากตัวอย่างท่ียกมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า “แม่ซื้อ” พยายามท�ำให้เด็กเกิดอาการ
ตกใจสาเหตุที่ท�ำนั้นเนื่องมาจากการที่ “แม่ซื้อ” เป็นผู้ให้ก�ำเนิดแล้ว และเชื่อว่าลูกน้ันเป็นลูก
ของตนเอง เมื่อเห็นว่าลูกนั้นมีแม่ใหม่แล้วน่ันคือแม่ตัวจริง ก็ท�ำให้เกิดอาการหวงแหนลูก ด้วย
ความหวงแหนนน้ั จึงไมต่ ้องการที่จะให้ลกู ของตนกลายไปเปน็ ลกู ของคนอน่ื จงึ พยายามหาวิธตี า่ งๆ
เพื่อท่ีจะเอาชีวิตของลูกเพ่ือท่ีจะให้ลูกกลับไปอยู่ที่เมืองผีกับตนพระยาอนุมานราชธนกล่าวว่า
“ก็คนเราเกิดมามีผีผู้สร้างหรือปั้นแล้วธุระอะไรของเทวดาหรือผีจึงมาคอยสร้างคนเพราะผีต้องการ
เอาคนไป” (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 81)
“คณุ ” จากการดแู ลและเลย้ี งดบู ตุ ร
หนา้ ทหี่ นงึ่ ของแมห่ ลงั จากการคลอดบตุ รออกมาแลว้ นน่ั คอื คอยดแู ลเอาใจใส่ “แมซ่ อื้ ”
ก็เช่นกัน “แม่ซื้อ” ได้แสดงพฤติกรรมของแม่ในการดูแลและเลี้ยงดูบุตรผ่านความเชื่อและ
พธิ กี รรมตา่ งๆ ดงั ต่อไปนี้
80 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ในบทกลา่ วเชิญแมซ่ อ้ื ซึ่งใชใ้ นพธิ ี จะเห็นไดว้ ่ามกี ารกล่าวถงึ แม่ซือ้ ว่า “แม่เลย้ี งรกั ษา
แกช่ นทารกลกู ” แสดงใหเ้ หน็ ว่าแม่ซ้อื คือผทู้ คี่ อยมาเลย้ี งดแู ละดแู ลบตุ ร
...องั เชญิ แมซ่ อื้ ทงั้ สี่ พลั ลกิ าเทวี สนทรยี แ์ จม่ จนั ทร์ พลั ลกิ าบวั โบสถ์ คนธรรพ์ คนธรรพ
ท้ังสี่แจ่มจันทร์ แม่เล้ียงรักษา แก่ชนทารก ลูกอ่อนอันตก ให้ละเมอไขว่คว้า... (ปราณี ขวัญแก้ว,
2519: 102)
นอกจากนใ้ี นโองการแมซ่ อ้ื ทจ่ี ารกึ ทวี่ ดั พระเชตพุ นฯ กลา่ ววา่ “แมซ่ อ้ื ” เปน็ ผเู้ ลย้ี งดบู ตุ ร
...รักษาเมตตา จิตให้ตง้ั ใจอุทิศ ซง่ึ ท่านได้อุตส่าหเ์ ลีย้ งด.ู .. (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 78)
ยงั มบี ททใ่ี ชใ้ นพธิ กี ารนำ� เดก็ ลงเปลหรอื ในบางพน้ื ทเี่ รยี กวา่ การวาดแมซ่ อื้ ในบทกลอ่ มลกู ทใี่ ชใ้ น
พธิ นี ไ้ี ดใ้ ห้ “แมซ่ อื้ ” มาชว่ ย ดแู ล อาบนำ้� ปอ้ นขา้ ว ไกวเปลกลอ่ มใหน้ อน ซง่ึ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ สง่ิ ทเี่ ชอื่ กนั
วา่ แมซ่ อ้ื จะปฏบิ ตั ิ แสดงใหเ้ หน็ พฤตกิ รรมของ “แมซ่ อ้ื ” วา่ เปน็ ผทู้ เ่ี ลย้ี งดบู ตุ ร
...นอนเถิดเจา้ นอน นอนหลบั ให้ดี
แมซ่ ือ้ ทัง้ ส่ี มาช่วยพทิ กั ษ์และรักษา
อาบนำ้� และปอ้ นข้าว (ได)้ มารกั ษาเจา้ ทกุ เวลา
นอนหลับแมจ่ ะเว นอนเปลแม่จะชา้
นอนในเปลผ้า แมจ่ ะชา้ ให้นอนหลบั เห้อ.....
...อาบน�ำ้ (แม่เอ้ย-แม)่ และป้อนข้าว แมม่ ารกั ษาทุกเวลา
เอวันขวญั เจา้ ยงั ออ่ นอ่อน นอนเปลแม่จะชา้
นอนในเปลผ้า แม(่ จะ)ชา้ ใหห้ ลบั เหอ้ ... (ประทมุ ชมุ เพง็ พนั ธ,์
2544: 63-64)
บทออ้ นวอนแมซ่ อ้ื ซง่ึ อยใู่ นพธิ เี ชญิ แมซ่ อ้ื ของภาคใต้ แสดงใหเ้ หน็ การใหแ้ มซ่ อ้ื มาชว่ ย
ในการเลย้ี งดูคอื ป้อนข้าว อาบน�้ำ และชว่ ยมาดูแลรักษาบตุ ร
...หยอกเลน่ เย็นเชา้ เหมอื นแม่เกดิ เกล้า อย่าใหเ้ กนิ กัน
แต่พอสบาย หายความโศกสนั ต์ อย่าไดต้ ีรัน แนน่ นอ้ ยพะงา
อาบนำ�้ ป้อนขา้ แมเ่ จ้ารักษา อยูท่ กุ เวลา
ไม่อาทรร้อนกายา พทิ กั ษ์รกั ษา อยสู่ ขุ สำ� ราญ (สวุ ทิ ย์ ทองศรเี กศ, 2523: 80)
จากทกี่ ลา่ วมาแสดงใหเ้ หน็ วา่ “แมซ่ อ้ื ” คอื ผทู้ ดี่ แู ลเลย้ี งดเู ดก็ ไมว่ า่ จะเปน็ อาบนำ้� ปอ้ นขา้ ว
ไกวเปล กล่อมลูก ซึ่งหนา้ ทีเ่ หล่าน้ีเป็นพฤตกิ รรมทผ่ี ้เู ปน็ แมต่ วั จรงิ ปฏิบตั ิ
“แม่ใจรา้ ย” : บุคลกิ ส�ำแดงโทษ
ภาพลกั ษณข์ อง “แมซ่ อื้ ” ทปี่ รากฏมไิ ดม้ แี ตเ่ พยี งดา้ นดดี า้ นเดยี วจากขา้ งตน้ ไดน้ ำ� เสนอ
“แม่ซ้ือ” ในภาพท่ีดีที่คอยดูแลเล้ียงดูบุตรแต่แม่ซ้ือยังเป็นผู้ที่รังแกให้เด็กร้องให้หรือเกิดโรคภัย
ไข้เจบ็ เน่ืองมาจาก “แมซ่ อื้ ” โกรธและแมซ่ อ้ื ละทงิ้ ลูกไม่มาซึ่ง พฤติกรรมของแม่ซื้อทีป่ รากฏให้เหน็
มดี ังต่อไปน้ี
พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 81
“แมซ่ อื้ ” ทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยในสว่ นตา่ งๆไมว่ า่ จะเปน็ ทอ้ งอดื อาเจยี น รอ้ งไห้
เลอื ดซดี เปน็ กำ� เดา เปน็ ซาง ฯลฯซง่ึ อาการตา่ งๆ เหลา่ นเี้ นอื่ งมาจาก”แมซ่ อ้ื ” โกรธจงึ ไดล้ งโทษเดก็
ดังน้ี
...แมซ่ อ้ื บางพรรณอยใู่ นไสม้ กั รอ้ งใหค้ ราง แมซ่ อ้ื ลางบางขวางอยใู่ นดอื ทำ� ใหอ้ ดื ลงทอ้ ง
ให้สะอนื้ รอ้ งด้ินรน แมซ่ ื้อลางบางอย่ใู นเศยี ร ทำ� ให้อาเจียนเสียงแห้งแหบ แมซ่ อ้ื ลางบางแอบอย่ใู น
เนือ้ นอนสะดงุ้ เพือ่ รอ้ งหวาดหวดี ผวิ เลอื ดซดี กำ� เดา แมซ่ อื้ ลางบางอย่ใู นกระหมอ่ ม มักใหผ้ อมร้อง
ใหม้ ิหยุด เป็นซางผุดให้ตาแขง็ .....ขออยา่ พโิ รธอดโทษา... (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 77)
“แมซ่ ้อื ” ยังละเลย ไมส่ นใจ ทิง้ ลกู ไว้แล้วไปเท่ยี วเลน่ อยู่ท่ีอื่น ไมม่ าคอยดแู ล อกี ทงั้ มี
อาการโกรธเคอื งจึงทำ� ให้เด็กมอี าการ นอนไม่หลบั ร้องไห้ ปากแหง้ คอขมไมก่ ินนม
...แมไ่ ปแห่งใด ไม่อยรู่ ักษา คณุ ท่านเลีย้ งมา หนักฟ้าหนกั ดิน หรอื แมข่ ึงโกรธ แมต่ ัด
ประโยชน์ เร่เทีย่ วหากนิ หรอื เร่เซเลน่ เทีย่ วในไพรสินธุ์ แม่นำ้� มชุ ลินทร์ ท่ีล่มุ ท่ีดอน หรือแม่เคอื งใจ
นางเมอื งอาลัย เร่ซกุ เรซ่ อ่ น ไม่อยู่รักษา ทารกลกู อ่อนใหไ้ ขเ้ ยน็ ร้อนอาวรณ์ต่างๆ ใหเ้ กลือกใหซ้ อน
ไมใ่ หห้ ลบั ใหน้ อน แตร่ อ้ งครวญคราง ปากแหง้ คอขม กนิ นมแมว่ าง อา้ ปากรอ้ งคราง... (ปราณี ขวญั แกว้ ,
2519: 102)
“แม่ซอ้ื ” ไม่พอใจ จงึ กลายร่างเป็นสัตวร์ ้ายรูปร่างต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นสิงห์ แร้ง เหรา
และอีกหลายตัว เพ่ือใหเ้ ด็กเกดิ อาการสะดงุ้ ร้องตกใจ เม่ือเหน็ ”แม่ซอื้ ” ในภาพท่นี ่ากลัว
...หรอื แมเ่ คอื งใจนางเมอื งอาลยั กลบั กลายรปู า เปน็ หวั สงิ หส์ ตั ว์ เปน็ หวั แรง้ กา เปน็ หวั
เหรา กมุ ภากมุ ภีร์ ลางนางเล่าหนา หวั เป็นพยัคฆา หัวยกั ขนิ .ี .. (ปราณี ขวัญแกว้ , 2519: 102)
“แมเ่ กดิ ” หรอื วา่ แมซ่ อ้ื ทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยเชน่ เดยี วกนั เชน่ แมเ่ กดิ ทช่ี อ่ื เมน
กะ ทำ� ใหเ้ ด็กไมอ่ ยากกินข้าวกินนม แมเ่ กิดทช่ี ือ่ สุนนั ทะท�ำให้เดก็ กัดลิ้น กดั นว้ิ และร้องไหเ้ หมือนกับ
วา่ อยากกนิ ขา้ วกินนม แม่เกดิ ทช่ี ือ่ บตุ ระ ท�ำให้เดก็ เกดิ การเจบ็ ไข้ หน้าตาบวมพอง ไมพ่ ดู ไม่จาไม่
กนิ อาหาร เปน็ ตน้
...ถา้ ลกู ออ่ นเกดิ มาไดว้ นั 1 เดอื น 1 ปี 1 กด็ ี แมเ่ กดิ ชอ่ื วา่ เมนกะ มากระทำ� ใหเ้ จบ็ ไขไ้ ด้
ปว่ ย ไมอ่ ยากกนิ ขา้ ว กนิ นม ใหเ้ อา ลกู ออ่ นเกดิ มาได้ 2 วนั 2 คนื 2 เดอื น 2 ปนี นั้ แมเ่ กดิ ผชู้ อื่ วา่
สนุ นั ทะ มากระทำ� รา้ ยจนเกดิ อาการขบเขย้ี วเคย้ี วลน้ิ กดั นวิ้ มอื รอ้ งไหท้ ง้ั กลางวนั เมอ่ื คนื รอ้ งอยเู่ หมอื น
หวิ ขา้ วอยากนำ�้ ลกู ออ่ นเกดิ มาได้ 3 วนั 3 คนื 3 เดอื น 3 ปนี นั้ แมเ่ กดิ ผชู้ อ่ื วา่ บตุ ระ มากระทำ� รา้ ยให้
เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย หนา้ ตาบวมพอง ยามนอน ยอ่ มหลบั ตาอยู่ ไมพ่ ดู จา ไมข่ ยบั มอื ขยบั เทา้ ไมก่ นิ อาหาร...
(ธญั ญา วจั นะภมู ,ิ 2555)
“แม่ซื้อ” เมื่อโกรธเคืองก็จะท�ำให้ลูกเกิดอาการเจ็บป่วย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง
ขา้ งตน้ แสดงใหแ้ มซ่ อื้ ในอกี มมุ หนงึ่ ซง่ึ ไมใ่ ชแ่ มท่ จ่ี ะทำ� หนา้ ทด่ี แู ลลกู ดว้ ยความทะนถุ นอม แตก่ ลบั เปน็
แมท่ ี่มีอารมณโ์ มโหรา้ ยโกรธเคอื งและไม่ใส่ใจดูแลลกู
82 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
หน้าทก่ี ารงานและการติดตอ่ กบั แม่ซอ้ื
แม่ซ้ือไม่มสี ำ�นักงานประจำ�และถนิ่ อาศยั ชดั เจน แต่มักจะอยู่ใกล้กับเด็กๆ เชอื่ กันวา่ แมซ่ อื้
จะอยกู่ ับเราเฉพาะช่วงวัยเดก็ เทา่ น้ัน ฉะนน้ั เมื่อโกนจุกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ จะหมดระยะเวลาทำ�งานของ
แมซ่ ้ือ กระนน้ั ก็ดีในบางทอ้ งถ่ิน เม่อื จะมีพิธีแตง่ งานจะมีการเชญิ แม่ซื้อประจำ�ตวั มารับเครือ่ งสังเวย
และบอกกล่าวดว้ ย
การทแ่ี มซ่ อ้ื เปน็ แมท่ มี่ องไมเ่ หน็ แตก่ ลบั ใหค้ ณุ ใหโ้ ทษ หรอื ชเ้ี ปน็ ชตี้ ายใหแ้ กเ่ ดก็ ๆ จงึ ทำ� ใหต้ ้อง
มีการติดต่อสื่อสารกับแม่ซื้อตลอดเวลา เพราะความเช่ือว่า “แม่ซ้ือ” มาคอยรังควานหรือเช่ือว่า
เปน็ ผคู้ มุ้ ครองจงึ เกดิ พธิ กี รรมเพอื่ ตดิ ตอ่ ขอรอ้ งออ้ นวอนใหแ้ มซ่ อื้ ไมม่ ารงั ควาน อกี ทงั้ ยงั เปน็ การให้
“แมซ่ อ้ื ” มาชว่ ยดแู ลรกั ษา พธิ กี รรมทเ่ี กย่ี วกบั “แมซ่ อื้ ” มเี พอ่ื จดุ มงุ่ หมายสองประการคอื “เชญิ ใหม้ า”
เพื่อตดิ ตอ่ ให้ “แม่ซอ้ื ” มาช่วยดูแลรกั ษาเดก็ อกี ประการคือ “ไลใ่ หไ้ ป” เป็นการสังเวยหรือเซน่ ไหว้
“แม่ซ้ือ” เพื่อไม่ให้ “แม่ซื้อ” มารังควานตัวเด็กซ่ึงจะท�ำให้เด็กเกิดโรคภัยต่างๆ โดยพิธีกรรม
ทเ่ี ก่ยี วกับ “แมซ่ ้อื ” จะปรากฏอยู่ทงั้ ส่ภี าคดังจะกล่าวในต่อไปนี้
พิธีกรรมทเ่ี ก่ียวกบั แมซ่ ือ้ ในภาคกลาง
ในภาคกลางพบโองการที่ใช้ในการติดต่อหรือเชิญแม่ซื้อเรียกว่า “โองการสารเดช”
(จลุ ทรรศน์ พยาฆรานนท์, 2542: 1312) หรือ “โองการสารเดชวิธนี ้อย” เป็นโองการสำ� หรับอญั เชิญ
แม่ซ้อื ทงั้ 7 วนั ซ่งึ ปรากฏในจารึกวดั พระเชตพุ นฯ ใช้ในพิธปี ดั พิษแมซ่ ้ือ หมอขวญั จะเปน็ ผทู้ ำ� พิธี
เม่ือทารกคลอดได้ 3 วัน เพื่อไม่ให้แม่ซ้ือมารบกวนทารกจนเจ็บป่วย โดยมีการจัดเครื่องบัตรพลี
พรอ้ มดว้ ยอาหารเครอื่ งเซน่ และรปู ปน้ั แทนตวั ทารก “จดั ทำ� ตามตำ� ราทวกิ ะทธิ ในคมั ภรี ก์ ณุ ฑเ์ พลงิ ”
เพอ่ื แลกเปลยี่ นทารกกบั แมซ่ ื้อ สันนิษฐานวา่ เปน็ พธิ ขี องพราหมณไ์ ศวนิกายที่นิยมประกอบพธิ บี ชู า
ไฟ (สุกญั ญา สุจฉายา, 2554)
พธิ กี รรมทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั “แมซ่ อ้ื ” ในภาคกลาง จะมพี ธิ ที เ่ี ปน็ ไปเพอ่ื ไมใ่ หแ้ มซ่ อ้ื มาใหโ้ ทษรา้ ย
แก่เด็กคือจะเป็นพิธีเซ่นไหว้ “แม่ซ้ือ” คือ พิธีขว้างข้าวแม่ซ้ือ (อนุมานราชธน, 2507: 26) พิธีน้ี
จะมชี อื่ เรียกทแี่ ตกต่างกนั ออกไปเช่นเรียกว่า พธิ ที ้ิงข้าวแม่ซือ้ (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 75) หรือ พธิ ี
การโยนขา้ วแมซ่ อื้ (ทอง เมฆพัสตร และหมอหลวง, 2515: 86) โดยพิธนี ้จี ะเป็นการปน้ั ข้าวโดยให้
เอาขา้ วสกุ ปากหมอ้ มาปน้ั เปน็ สปี่ น้ั ใหไ้ ดส้ สี่ ี คอื สขี าว สเี หลอื ง (คลกุ ขมน้ิ ) สแี ดง (คลกุ ปนู แดง) และ
สีด�ำคลุก (ดินหม้อ) เอาข้าวส่ีปั้นวางลงในฝาละมีหรือในชามกระทงแล้วหยิบขึ้นทีละก้อนวนท ี่
ตัวเดก็ 3 ครั้ง แลว้ กลา่ วคำ� ฟาดเคราะหว์ ่า
...แมซ่ อ้ื เมอื งลา่ ง แมซ่ อื้ เมอื งบน แมซ่ อื้ เดนิ หน แมซ่ อื้ ใตท้ นี่ อน มารบั เอากอ้ นขา้ วของ
ลกู ไป โรคภัยไขเ้ จบ็ ไปให้หมด วู้... (เสฐยี รโกเศศ, 2531: 75)
หรอื อาจจะกลา่ วออกมาดงั ๆวา่ “ฟาดเคราะหไ์ ป” แลว้ ตามดว้ ยคาถาขบั ผผี หู้ ญงิ มใี จความวา่
...แม่นางแมซ่ ้ือ ลกู เจา้ เป็นลกู เราแลว้ อย่ามาหยกิ อยา่ มาขว่ น อยา่ มารบกวนใหร้ า้ ย
อยา่ มากวนใหไ้ ด้ทกุ ข์ได้ไข้ เราเล้ียงดูไว้ให้อยเู่ ป็นสุขสนุกสบาย ..อยกู่ บั เราไปจนแก่เฒ่า ถอื ไมเ้ ท้า
ยอดทองกระบองยอดเพชร... (ทอง, เมฆพสั ตร และหมอหลวง, 2515: 86)
หลังจากกล่าวค�ำฟาดเคราะห์แล้วก็น�ำก้อนข้าว สีขาวสีเหลือง และสีแดงขว้างข้ามหลังคา
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 83
และข้าวสีด�ำขว้างไปท่ีใต้ถุนบ้านการขว้างลงใต้ถุนเห็นจะขว้างให้แม่ซ้ือใต้ที่นอน ส่วน 3 ก้อนแรก
เห็นจะขวา้ งใหแ้ มซ่ อื้ เมืองบน แมซ่ ื้อเมืองลา่ ง แมซ่ ้อื เดนิ หน (อนมุ านราชธน, 2507: 26)
พิธีร่อนกระด้ง พิธีน้ีจะท�ำเม่ือตัดสายรกและช�ำระร่างกายเด็กท่ีเพ่ิงคลอด แล้วน�ำเด็กใส่
ลงไปบนเบาะและผา้ ในกระดง้ ถา้ เป็นลกู ผ้ชู ายก็มักจะเอาสมุดดนิ สอใส่ลงไปในกระด้ง ถา้ เปน็ ผหู้ ญงิ
กจ็ ะใหเ้ อาเขม็ กบั ดา้ ยใสไ่ ว้ หลงั จากนนั้ กย็ กกระดง้ ทร่ี องบตุ รขน้ึ รอ่ นพรอ้ มกลา่ ววา่ “สามวันลูกผสี ีว่ นั
ลกู คน ลกู ของใครๆ มารบั เอาไปเน้อ” แลว้ ท้ิงกระด้งลงกับพื้นเรือนเบาๆ พอให้บุตรที่นอนในกระดง้
ตกใจสะดงุ้ รอ้ งข้นึ หลังจากนน้ั หมอจะยกกระดง้ รองบุตรข้นึ รอ่ น แลว้ ทงิ้ ลงออกวาจาดงั กลา่ วมา 3 ครงั้
บางทญี าตบิ า้ งบดิ าบ้าง ญาติผใู้ หญท่ ่ีมอี ายบุ า้ ง ออกวาจาว่า “ลูกของข้าเอง” หมอส่งกระด้งให้รอง
ทารกนนั้ ใหท้ ่านผู้รบั วางลงข้างมารดา (ลทั ธิธรรมเนียมตา่ งๆ ภาค1-6: 2504)
พิธีการติดสินบนแม่ซื้อ ถือว่าเป็นพิธีที่ใช้ในการเซ่นสังเวยแม่ซ้ือวิธีหน่ึง จะท�ำเมื่อเด็ก
เกิดอาการไม่สบาย โดยพิธีการติดสินบนแม่ซื้อจะมีการบูชาแม่ซื้อด้วยการท�ำบัตรพล2ี น�ำไปไว้ที่
เหนือหลุมฝังรกของเด็กแล้วบูชาด้วยคาถาพระองคุลีมาน นอกจากนี้อาจจะมีบางคนเอาดินสอพอง
มาปั้นเป็นรูปเด็กท่ีอยู่ในอ้อมแขนแม่ เอาใส่ในบัตรพลีด้วยคาถาที่ใช้ขับจะแตกต่างกันออกไป
แต่ละอาจารย์ คาถานัน้ จะตอ้ งขับถึง 7 บท ใหค้ รบตาม “แมซ่ ้ือ” ท้งั 7 วนั (ทอง, เมฆพัสตร และ
หมอหลวง, 2515: 91) พธิ นี จ้ี ะเป็นพิธที ีท่ �ำหลังจากการร่อนกระด้งแล้ว
พธิ ีกรรมท่เี กย่ี วกับแม่ซอ้ื ในภาคใต้
พธิ ีกรรมของภาคใตท้ เ่ี กี่ยวกับ “แมซ่ ื้อ” คือ พธิ ีเชิญแมซ่ อ้ื อาจจะเรยี กวา่ ทำ� แมซ่ อ้ื หรอื
เสยี แมซ่ อ้ื กไ็ ด้ (อดุ ม หนทู อง, 2542: 3401) พธิ เี ชญิ แมซ่ อื้ นจ้ี ะทำ� ในวนั เกดิ ของเดก็ เครอ่ื งประกอบพธิ ี
จะใชแ้ ผงแมซ่ อ้ื ทำ� ดว้ ยไมไ้ ผข่ ดั เปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มปดู ว้ ยใบตอง ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยแผงนใ้ี ชส้ ำ� หรบั ใสก่ ระทง
ใสอ่ าหารคาวหวานปนๆ3 กนั แยกเป็น 4 กอง แต่ละกองปกั เทียนไว้ เลม่ หนึ่ง ปั้นแป้งดิบเป็นตกุ๊ ตา
4 ตัว วางตรงกลางแผงใหห้ วั ต่อหวั เทา้ ต่อเทา้ โยงสายสิญจนจ์ ากแผงแมซ่ ือ้ ไปยังตวั เด็ก มีการเชญิ
ให้แมซ่ ือ้ มารับเคร่ืองเซ่น เมอื่ เชญิ แม่ซือ้ แลว้ กจ็ ะมีการ ตัดผม ตัดเลบ็ ตัดชายผา้ นงุ่ ของเด็ก ใสล่ งใน
กองขา้ วประจำ� ทศิ ทงั้ 4 กอง (สมปราชญ์ อมั มะพนั ธ,์ุ 2548: 93) แลว้ ทำ� พธิ ฟี าดเคราะหโ์ ดยการหยบิ
ขา้ วสารจากแผงลบู ทต่ี วั เดก็ แลว้ โปรยลงในแผงแมซ่ อ้ื และรนิ นำ้� ลงแผงแมซ่ อ้ื (อดุ ม หนทู อง, 2542:
3402) แลว้ กลา่ วตอ่ ไปวา่ “แม่ซือ้ ทั้งสกี่ ินแลว้ ลา้ งปากล้างมือ พาเพทพาภัยไป เคราะหร์ า้ ยพาไป”
หลงั จากน้นั กน็ ำ� แผงแมซ่ ้ือไปทิ้งในทศิ ทีเ่ ปน็ มงคลในวันน้นั (ปราณี ขวญั แก้ว, 2519: 103)
พิธีน�ำเด็กลงเปล บางท้องถิ่นจะเรียก วาดแม่ซื้อ คือการบอกกล่าวแม่ซื้อให้ทราบและ
เชญิ มาช่วยค้มุ ครองเดก็ โดยจะว่าคาถาเชิญแมซ่ อ้ื และรอ้ งเพลงกล่อมเดก็ พรอ้ มไกวเปล โดยจะร้อง
สามคร้ัง เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี (ประทมุ เพ็งพนั ธุ์, 2544: 64)
2บตั ร แปลวา่ ใบ หมายถงึ ใบไม้ คอื ใบตองเยบ็ กระทง พลี คอื พ(ะ) ลิ แปลวา่ เซน่ (พระยาอนมุ านราชธน, 2507:
21) ภายในบัตรพลีจะประกอบด้วยกุ้งพล่าปลาย�ำ ข้าวน�้ำ และสุรา วางเรียงรายไว้ทั้ง 4 กระทง ซ้อนไว้
ในกระทงกาบกลว้ ยใหญ่ พร้อมทั้งดอกไม้ธูปเทียน (ทอง,เมฆพสั ตร และหมอหลวง, 2515: 91)
3อาหารคาวหวานทใี่ ชป้ ระกอบในพธิ ขี องคาวไดแ้ ก่ ขา้ ว แกง กงุ้ ปลา เนอื้ ดบิ ไขเ่ ปด็ หรอื ไขไ่ กย่ ำ� เหลา้ แปง้ ดบิ
ของหวานไดแ้ ก่ ขนมตม้ ขาว ขนมต้มแดง ขนมถวั่ ขนมงา กล้วย อ้อย ข้าวเหนียว (ปราณี ขวัญแกว้ , 2519: 101)
84 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
พิธกี รรมท่ีเกยี่ วกบั แมซ่ ้ือในภาคอสี าน
พธิ กี รรมในภาคอสี านกจ็ ะมพี ธิ ที มี่ คี วามคลา้ ยกบั ภาคกลางคอื มี พธิ รี อ่ นกระดง้ แตจ่ ะเรียกว่า
พิธีฮ่อนกระด้ง พิธีนี้จะท�ำเพ่ือบอกผีพรายยายผีป่า เริ่มโดยอุ้มเด็กลงนอนด้านหลังของกระด้งซึ่งมี
ความยดื หยนุ่ ดแี ลว้ หมอตำ� แยนำ� กระดง้ ไปทปี่ ระตเู รอื น ยกกระดง้ ขน้ึ รอ่ นเบาๆ 3 ครงั้ พรอ้ มกบั พดู วา่
“กหู กุ กูหุก กูกกกู กู แม่นลูกสูมาเอาสาม่ือนี้ กายมอื้ น้ี เมือหนา้ ลูกก”ู วา่ ดังน้ี 3 ครงั้ บางทีอาจจะ
กล่าวว่า “ฝงู นกเค้ามารอ้ งฮกุ กู ฮุกกู แม่นลูกสูมาเอาไปเสยี มื้อนีว้ ันนี้ พน้ มือ้ นเ้ี มือหน้าแม่นลกู กู”
ญาติของเด็กทารกผู้หนึ่งจะขานรับค�ำบอกผีว่า “ลูกข้อย เอามา” (ทัศนีย์ บัวระพา, 2542: 16)
นอกจากน้ี ยงั มคี ำ� กลา่ วทค่ี ลา้ ยกบั ภาคกลางคือ “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลกู ใครมารบั เอาไปเดอ้ ”
และจะขานรบั วา่ “ลกู ขา้ นอ้ ยเอง” หลงั จากนน้ั รบั เอากระดง้ ไปวางเสยี ทอ่ี นื่ หรอื บางทก่ี ใ็ หห้ มอตำ� แย
สง่ กระดง้ เดก็ ใหผ้ รู้ บั รบั ไป แลว้ กจ็ ะใหเ้ งนิ แก่หมอตำ� แย (จ.เปรียญ, 2526: 13)
อีกพิธีกรรมหนึ่งซ่ึงเป็นความเช่ือของชาวอีสานในสังคมเขมร-ส่วย จะเช่ือว่า “เปรียย
มนายเดมิ ” หรอื ผพี รายตวั นคี้ อยรงั ควานทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ โรคตา่ งๆ จงึ มวี ธิ กี ารรกั ษาคอื แบง่ ลกู ผลี กู คน
พิธีกรรมนีพ้ อ่ แม่หรอื ญาตจิ ะไปเชญิ เจา้ พธิ ีที่ร้มู นต์มาทำ� พิธใี ห้ การทีจ่ ะไปเชิญใหม้ าท�ำพธิ ี จะตอ้ งมี
ของไปเชิญเจ้าพิธี หรือเรียกว่าเครื่องผูกครูด้วย เครื่องผูกครูมีดังน้ีบายศรีปากชาม สุรา ข้าวสาร
หมากสง เงนิ เทยี นไข และจะใชเ้ คร่อื งประกอบพธิ ีตา่ งๆ 4
เม่ือเตรยี มของกจ็ ุดธปู เรียก “เปรยี ย มนายเดมิ ” มากนิ ข้าวปลาทบี่ ัตรพลใี ห้ แลว้ กล่าวว่า
“เม่ือก่อนเด็กทารกช่ือน้ีเป็นลูกท่าน แต่เด๋ียวนี้เป็นลูกของเรา เพราะเป็นคนเชน่ เดยี วกนั สว่ นทา่ น
เปน็ ผปี ศิ าจกร็ บั เอาลกู ของทา่ นไป นนั่ คอื ลกู ของทา่ น (ชไ้ี ปทต่ี กุ๊ ตากลว้ ย) และนีก่ ็ข้าวของท่าน จงไป
เลย้ี งดลู กู นเี้ ถดิ เรามาแบง่ กนั แลว้ ไมต่ อ้ งมาสงสยั หว่ งใยเดก็ ทารกนอ้ี กี พวกเราจะสง่ ทา่ นไป” วา่ แลว้
กร็ า่ ยมนต์เป่า
สวดมนตบ์ ทอตั ถิ อมิ สั มงิ กาเย ฯลฯ 1 จบเปา่ จากเทา้ ขน้ึ หวั สวดมนตบ์ ทสกั กตั วา ฯลฯ 1 จบ
เป่าขวางล�ำตัว เสกมนต์ภาษาเขมร จบแล้วเป่าจากหัวสู่เท้า ส่ิงที่ใช้เค้ียวและเป่าคือหัวไพล
เปลอื กตน้ นอ้ ยหนา่ หวั ผกั เปราะ เอามาเคยี้ วเปา่ ถา้ เดก็ มอี าการรนุ แรง ใหว้ า่ คาถาซำ�้ อกี จะถอื วา่ ตดั
“มนายเดมิ ” เรยี บร้อย (มงกฎุ แก่นเดยี ว, 2542: 3458-3459)
พิธีกรรมท่ีเกย่ี วกบั แม่ซอื้ ในภาคเหนือ
ในภาคเหนอื นั้นจะมี พิธกี ารส่งเกดิ เนื่องจากเชือ่ วา่ พอ่ เกดิ แม่เกดิ จะมาน�ำเอาตัวลกู คืนไป
จึงได้มีการท�ำพธิ ขี นึ้ โดยพิธีนี้จะมีอาจารยใ์ นหมบู่ ้านเป็นผทู้ ำ� พิธี จะมกี ารตกแต่งเครือ่ งสง่ มีการท�ำ
สะตวง(กระทงกาบกล้วยรูปจัตุรัส) ส่ิงของท่ีเอาใส่ในกระทงก็จะมีพวก บุหร่ี หมาก เมี่ยง ผ้าขาว
ผา้ แดง ฯลฯ แล้วอาจารยป์ ระจำ� พิธี กจ็ ะมากล่าวโองการเชิญพ่อเกิดแม่เกดิ มารับเอาสง่ิ ของน้นั ๆ ไป
และมกี ารผกู ขอ้ มอื เดก็ สว่ นกระทงนนั้ ใหท้ ำ� รา้ นสงู แคค่ อไวท้ ปี่ ระตบู า้ น (สงวน โชตริ ตั น,์ 2512: 208)
4เครอื่ งประกอบพธิ ดี งั นี้ ตน้ กลว้ ยความสงู เทา่ เดก็ แกะเปน็ หนา้ ตกุ๊ ตา เอาเสอ้ื ผา้ ใสใ่ หแ้ ทนเดก็ ทารก สมมตวิ า่ เปน็
เดก็ ทารก ใช้ “เป” (กระทง) สามเหลยี่ ม (เอากาบกลว้ ยมาวดั กบั ศอกของเดก็ ทารก 3 ศอก หกั เปน็ กระทงสามเหลย่ี ม)
เอาแปง้ ผสมนำ�้ ปน้ั เปน็ ตกุ๊ ตาสขี าวดำ� อยา่ งละตวั ใสใ่ นกระทง เอาอาหารใสอ่ ยา่ งละนดิ บายปลงึ (ขา้ วขวญั 1 ชุด) ด้าย
ผกู ข้อมอื 9 เสน้ ดา้ ยผูกคอแมแ่ ละเดก็ 2 เสน้ สลาเธือร (หมากธรรม) 1 คู่ (ตดั ด้นกลว้ ยสัน้ ๆ ประมาณ 1 นว้ิ เอา
ใบขนนุ ปัก 3 ใบ และใช้ไผเ่ ลก็ ๆ ปกั ตรงกลางหยวกกล้วยผ่ายอดไผ่เอาหมากซีกบางๆ หนบี ไว้ มธี ูป 1 ดอก บางทม่ี ี
เทยี น) ผา้ ขาว 1 ผนื กวา้ ง 1 คบื ยาว 1 คบื กรวย 5 เทยี น 5 กระเชอทะลุ ครกทะลุ เสอื่ ขาดๆ หมอนขาดๆ ของอ่นื ๆ
ทีเ่ กา่ ๆ ซึง่ เปรียบเหมือนสงิ่ ทแ่ี ยกกันอยู่ (มงกฎุ แกน่ เดยี ว, 2458: 3458)
พลังผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 85
พิธกี รรมทเี่ กดิ จากความเชื่อในเร่ืองของ “แม่ซือ้ ” ไดป้ รากฏอยใู่ นสังคมไทย มที งั้ พิธกี รรม
ท่ีมีความคล้ายคลึงกันแต่จะมีรายละเอียดในตัวพิธีที่ต่างกันออกไปบ้าง จะเห็นว่าพิธีกรรมท่ีมี
ความคลา้ ยคลงึ กนั เชน่ การรอ่ นกระดง้ ทจ่ี ะพบทง้ั ในภาคกลางและภาคอสี านและพธิ ขี องชาวเขมร-สว่ ย
คอื “เปรยี ย มนายเดมิ ” เปน็ พธิ กี รรมท่ที ำ� ข้นึ เพอ่ื แบง่ ลูกผลี ูกคนแสดงใหเ้ หน็ วา่ เด็กจะไมใ่ ชล่ กู ของ
“แมซ่ อื้ ” แตจ่ ะกลายมาเปน็ ลกู ของแมต่ วั จรงิ เพอ่ื ไมใ่ ห้ “แมซ่ อ้ื ” มารงั ควานเดก็ หรอื การเซน่ “แมซ่ อื้ ”
จะพบว่ามใี นทุกภาค เชน่ การท้งิ ขา้ วแม่ซ้ือของภาคกลาง การท�ำแม่ซ้ือของภาคใต้ การสง่ แม่เกดิ
ของภาคเหนอื หรอื พธิ กี ารแบง่ ลกู ผลี กู คนของชาวเขมร-สว่ ยในภาคอสี าน แตท่ งั้ นที้ งั้ นนั้ พธิ กี รรมตา่ งๆ
เกดิ ขนึ้ เพอื่ จดุ ประสงคห์ ลกั รว่ มกนั คอื การปอ้ งกนั ไมใ่ หแ้ มซ่ อื้ มาทำ� รา้ ยเดก็ หรอื การขอความชว่ ยเหลอื
ใหแ้ ม่ซื้อคอยมาคมุ้ ครองป้องกันอันตรายทีจ่ ะเกิดข้ึนกบั เดก็
“แม่ซื้อ” กับบทบาทและวธิ คี ดิ ของคนไทย
พธิ กี รรมมหี นา้ ทแ่ี ละบทบาทตอ่ สงั คม ทงั้ น้ี “พธิ กี รรมของชนเผา่ ตา่ งๆ มกั จะมบี ทบาทหนา้ ที่
หลายอยา่ ง บทบาทบางอยา่ งไมไ่ ดแ้ สดงออกมาตรงๆ แต่แอบแฝงอยู”่ (สกุ ญั ญา สจุ ฉายา, 2548: 3)
วิลเล่ียม อาร์ บาสคอมได้สรปุ บทบาทส�ำคญั ของคติชนไว้ 4 บทบาทคือ ใหค้ วามเพลิดเพลิน ยืนยนั
ความสำ� คญั ของพธิ กี รรม ใหก้ ารศกึ ษาเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการกลอ่ มเกลาและขดั เกลาสงั คม และ
รกั ษาปทสั ถานของสงั คม (สกุ ญั ญา สจุ ฉายา, 2548: 5-6) มาลิเนาสก้ี (Bronislaw Malinowski)
ได้เสนอแนวคิดในทฤษฏีบทบาทหน้าท่ีนิยมไว้ว่า วัฒนธรรมสว่ นตา่ งๆ ในสงั คมมหี นา้ ทตี่ อบสนอง
ความต้องการของมนุษย์ทั้งทางด้านปัจจัยพื้นฐาน ด้านความมั่นคงของสังคมและความมั่นคง
ทางดา้ นจติ ใจ (ศริ าพร ณ ถลาง, 2548: 317) จากแนวความคดิ และทฤษฎดี งั กลา่ ว ผศู้ กึ ษาไดน้ ำ� มา
เปน็ แนวในการวิเคราะห์บทบาทหน้าท่ีของความเช่ือและพิธีกรรมท่ีเกี่ยวกับแม่ซื้อท่ีมีต่อสังคมไทย
ซ่ึงสามารถจำ� แนกบทบาทและหนา้ ทข่ี องพธิ ที เ่ี กย่ี วกบั แมซ่ อื้ ได้ 2 ประการคอื แมซ่ อ้ื กบั การตอบสนอง
ความตอ้ งการของแมต่ วั จรงิ และบทบาทของแมซ่ อื้ กบั การเปน็ อบุ ายในการใหก้ ารศกึ ษากมุ ารเวชศาสตร์
การตอบสนองความตอ้ งการของแมต่ วั จริง
พธิ กี รรมทเ่ี กยี่ วกบั “แมซ่ อ้ื ” พธิ ตี า่ งๆ นน้ั มบี ทบาทและหนา้ ทที่ สี่ ำ� คญั ในการตอบสนอง
ความตอ้ งการทางดา้ นจติ ใจ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ พธิ กี รรมนเ้ี ปน็ ไปเพอื่ สรา้ งความผอ่ นคลายความรสู้ กึ
กังวลท่ีมีอยูใ่ ห้คลายลงไป เช่น ในพิธีท�ำแมซ่ ื้อ เม่ือทำ� พิธเี สรจ็ แล้วกลา่ ววา่ “...แม่ซอื้ ทั้งส่ี กินแลว้
บว้ นปากลา้ งมอื พาเพทพาภยั ไป เคราะหด์ เี อาไว้ เคราะหร์ า้ ยพาไป...” (ปราณี ขวญั แกว้ , 2519: 103)
จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื ทำ� พธิ เี สรจ็ แลว้ เชอื่ วา่ เคราะหร์ า้ ยไดห้ มดไปแลว้ เหลอื แตเ่ คราะหด์ ี ทำ� ใหแ้ มค่ ลายกงั วล
ในความปลอดภยั ของลูก
เดก็ ทเี่ กดิ ใหมท่ ำ� ใหท้ ง้ั ผทู้ เ่ี ปน็ แมแ่ ละญาตพิ นี่ อ้ งลว้ นแลว้ แตม่ คี วามกงั วลใจวา่ เดก็ จะมอี าการ
เจบ็ ป่วยตา่ งๆ ท้งั น้เี นอ่ื งจากมคี วามเช่ือวา่ อาการเจ็บป่วยต่างๆ มี “แมซ่ อ้ื ” เป็นผ้กู ระทำ� พิธกี รรม
ต่างๆ ท่ีทำ� ข้นึ มา เพอ่ื ไมใ่ หแ้ มซ่ ้อื มาทำ� อนั ตรายเดก็ หรอื เพ่อื ให้ “แมซ่ ้ือ” คอยมาดแู ลรกั ษา เมอื่ ท�ำ
พิธีกรรมต่างๆ เสร็จส้ินแล้ว ก็เชื่อว่าเด็กจะปลอดภัยซ่ึงนอกจากการท�ำพิธีน้ีจะเป็นการคลาย
ความรู้สึกกังวลในความปลอดภัยของเด็กท่ีเพิ่งเกิดใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อม่ันให้กับ
ผ้เู ป็นแม่ว่าเดก็ จะสามารถมีชีวิตรอดอยไู่ ด้
86 พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ในการท�ำพิธีกรรมเก่ียวกับแม่ซ้ือนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ท�ำให้ผู้เป็นแม่สบายใจเพียงฝ่ายเดียว
แตญ่ าติพี่นอ้ งคนอ่นื ๆ ก็มีความคาดหวังที่จะใหเ้ ดก็ ท่ีเกิดใหมน่ ั้นรอดปลอดภยั เช่นเดยี วกัน สงั เกต
ได้จากจากพิธีการร่อนกระด้งของภาคกลาง “บางทีญาติบ้าง บิดาบ้าง ญาติผู้ใหญ่ ที่มีอายุบ้าง
ออกวาจาว่า “ลูกของข้าเอง” หมอส่งกระด้งให้รองทารกนั้น ให้ท่านผู้รับวางลงข้างมารดา”
(ลทั ธิธรรมเนียมต่างๆ ภาค 1-6, 2504: 67) เพราะฉะนนั้ การทำ� พธิ กี อ็ าจจะมบี คุ คลภายในครอบครวั
ซ่ึงนอกจากผู้เป็นแม่แล้วมาร่วมอยู่ในพิธีน้ีด้วย บุคคลในครอบครัวต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับ
การกำ� เนดิ ทารกและรว่ มในพธิ กี รรมทส่ี ำ� คญั ซงึ่ เปน็ พิธีกรรมให้ทารกนั้นมีชีวิตรอดดังน้ัน จึงกล่าว
ได้ว่าบทบาทและหน้าท่ีของพิธีกรรมเก่ียวกับแม่ซื้อ ท�ำให้คนในครอบครัวเกิดความรู้สึกเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีเด็กแรกเกิดเป็นศูนย์กลางความรักความผูกพันที่ส�ำคัญ ความรู้สึกที่
เกดิ ข้ึนนั้นยังเป็นการก่อใหเ้ กดิ ความสมั พันธท์ ดี่ ขี องคนในครอบครัว
การเปน็ อุบายในการศึกษากุมารเวชศาสตร์
กุมารเวชศาสตร์ เป็นท้ังวิทยาศาสตร์และศิลปะเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกัน
การเจ็บป่วย การให้การวินิจฉัยและรักษาโรค ตลอดจนการฟื้นสมรรถภาพ เพื่อให้เด็กได้พัฒนา
ทงั้ รา่ งกายและจติ ใจอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพทางพนั ธกุ รรม (genetic potential)เพอ่ื ใหเ้ ปน็ บคุ คลทส่ี มบรู ณ์
ด้วยพลานามัยและสามารถด�ำรงชีวิตเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีความรับผิดชอบต่อตนเองต่อครอบครัวและต่อ
ประเทศชาติในอนาคต (จนั ทรนวิ ทั ธ์ เกษมสนั ต์ และ บญุ ชอบ พงษ์พานิช, 2522: 16)
กุมารเวชของไทยคล้ายกับของชาติอื่นที่พัวพันกับผีปีศาจมีการปัดเป่าป้องกันผีร้ายต่างๆ
ไมใ่ หม้ ารบกวนทำ� อนั ตรายตอ่ ทารกและมารดา คนไทยโบราณเชอื่ วา่ การเจบ็ ปว่ ยหรอื การทเี่ ดก็ ตาย
เป็นการกระท�ำของ “แม่ซื้อ” ซ่ึงเป็นผีมารังควานหลอกหลอนหรือมาเอาตัวเด็กไป (จันทรนิวัทธ์
เกษมสนั ต์ และ บุญชอบ พงษ์พานชิ , 2522: 2)
อาการเจ็บป่วยต่างๆ ของเด็กและมารดาสามารถรักษาได้ด้วยการรักษาแบบแผนโบราณ
จะเหน็ ไดจ้ ากจารกึ ทวี่ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ทไี่ ดม้ กี ารบนั ทกึ โองการแมซ่ อื้ ไวท้ ศี่ าลาแมซ่ อื้ กุมาร
เวชโบราณ เพ่อื บอกว่าแม่ซื้อคือใคร และบอกว่าสาเหตุของโรคทเี่ กดิ กับเด็กในสว่ นตา่ งๆ เกิดจาก
แม่ซ้ือ นอกจากนยี้ งั มกี ารจารกึ เรอื่ งเกย่ี วกบั การรกั ษาอาการเจบ็ ปว่ ยของเดก็ ดว้ ยการรกั ษาแบบแผน
โบราณไว้ เช่น
...อนั วา่ กมุ ารกมุ ารผี ไู้ ดคลอดจากครรภม์ ารดาวนั อาทติ ย์ กำ� เนดิ ทรางเพลงิ เปน็ เจา้ เรอื น
ทรางกรายเปน็ ทรางจร หละชอ่ื อไุ ทยกาลละอองชอื่ เปลวไฟฟา้ ลมชอื่ ประวาตคณุ จรประจำ�
ทรางเพลงิ วนั อาทติ ย์ ในอาการทรางเพลงิ นนั้ กระทำ� ใหป้ ากกมุ ารเปน็ สา่ เขมา่ ขน้ึ ดว้ ยโทษ
เสมหะโลหติ ตระคนกนั ใหบ้ งั เกดิ จงึ ใหก้ นิ ขา้ ว กนิ นมมไิ ด้ เพราะเสมหะโลหติ กลา้ เปน็ กำ� ลงั
มักให้เสมหะเน่าตกเป็นมูกเป็นเลือดออกมาแล เป็นพยาธิต่างๆ ถ้าจะแก้เอาว่านกีบแรด,
วา่ นร่อนทอง, เนระพสู ี, เทยี นดำ� , เทยี นแดง ชะเอมทงั้ 2 ใบมะกลำ่� เครอื ยาทง้ั น้ี เอาเสมอภาค
ตม้ 3 เอา 1 กนิ แกพ้ ษิ ใหต้ วั รอ้ นแลทรางเพลิงก็ดี ท�ำเม็ดก็ได้ ละลายสุรากิน แก้ตกมูก
ตกเลอื ด แก้ทรางเพลิงแลทรางทัง้ ปวงหายยานด้ี นี ักแลฯ...
นอกจากนใ้ี นคมั ภรี ป์ ฐมจนิ ดา5 ทเี่ ชอื่ วา่ โรครา้ ยทเ่ี กดิ แกท่ ารกคอื ตานทราง ซง่ึ เกดิ จากนำ้� นมของ
แม่ และ “แมซ่ ื้อ” เป็นเหต ุ “...จะกล่าวถงึ กุมารกมุ ารที ง้ั หลาย อันเกดิ โรครา้ ยต่างๆคือ ตาลทราง
พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 87
คอื นำ�้ นมแหง่ แมแ่ ลแมซ่ อื้ ...” แลว้ ไดก้ ลา่ วถงึ วธิ กี ารแกโ้ รคน้ี โดยพชื สมนุ ไพรตา่ งๆ ทส่ี ามารถปอ้ งกนั
อันตรายได้ “ให้ประกอบยาน้ีท่านให้เอารากถ่ัวแปป บดด้วยน้�ำมันดิบบ�ำบัดโทษทั้งหลาย
มีต้นว่า..ขนานหน่ึงให้เอาใบเพรา รากผักแว่น ยา 2 ส่ิงนี้บดท�ำลูกสะเดาผูกข้อมือข้อเท้ากันกุมาร
ปกั ษดี นี ักแล” (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, 2542: 226)
จะเหน็ ไดว้ า่ การใหค้ วามรใู้ นเรอื่ งของกมุ ารเวชของคนโบราณจะมคี วามเชอื่ ของเรอ่ื ง “แมซ่ อ้ื ”
เขา้ มาเกย่ี วขอ้ งซึ่งอาจกลา่ วไดว้ า่ ความเชือ่ เร่อื ง “แม่ซือ้ ” เป็นอุบายหนง่ึ ของคนโบราณท่ตี อ้ งการ
ให้คนเข้ามาศึกษาในเร่ืองของกุมารเวช เนื่องจากอาการเจ็บป่วยท่ีเกิดขึ้นนอกจากจะรักษาด้วย
พธิ กี รรมตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วกบั “แมซ่ อื้ ” แลว้ กย็ งั มกี ารรกั ษาโดยใชย้ าแผนโบราณควบคกู่ นั ไป สง่ิ ทปี่ รากฏ
นอกจากจะแสดงถงึ ความคดิ ในดา้ นความเชอ่ื และพธิ กี รรมแลว้ ยงั สอื่ ใหเ้ หน็ ถงึ ความรทู้ างการแพทย์
ของคนรุ่นกอ่ นอีกด้วย
บทส่งท้าย
ปัจจุบันความเชื่อเร่ืองแม่ซื้อยังคงด�ำรงอยู่ในสังคมไทยมาอย่างต่อเน่ือง ท้ังยังอยู่ในรูป
พธิ ีกรรม และเครือ่ งรางของขลงั ตลอดจนงานสร้างสรรค์ศลิ ปกรรม เชน่ ระบำ� แมซ่ อื้ เปน็ ตน้ แสดง
ให้เหน็ ถงึ จินตนาการของคนไทยทม่ี ตี ่อแม่ซ้อื ไดเ้ ปน็ อย่างดี
“แม่ซ้ือ” ถึงแม้ว่าจะเป็นความเชื่อท่ีไม่มีตัวตนให้เห็น แต่ภาพลักษณ์ที่แสดงออกผ่าน
ความเช่ือและพิธกี รรมต่างๆน้นั “แมซ่ อ้ื ” ไดแ้ สดงออกถึง “ความเป็นแม”่ ต้งั แต่การเป็นผู้ใหก้ �ำเนดิ
การทเ่ี ปน็ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ กอ่ ใหเ้ กดิ ความรกั ความผกู พนั กบั ลกู ดว้ ยความรกั ทม่ี ตี อ่ ลกู จงึ ทำ� ใหแ้ มห่ วงแหน
ลกู เนื่องจากมีความร้สู ึกถงึ ความเป็นเจา้ ของและหน้าท่ขี องแม่ท่สี ำ� คญั คอื การดแู ลและเลย้ี งดูลกู
ชดุ การแสดงระบ�ำแมซ่ ือ้
(ท่มี า: http://www.oknation.net/blog/kasemakung)
5 “ปฐมจินดา” เป็นต�ำราท่ีเกี่ยวกับโรคเด็ก ท่ีเก่าแก่ที่สุดของไทยคือ แต่งโดยพระมหาเถรต�ำแย หนังสือน ้ี
ถือว่าเป็นต�ำราของหมอต�ำแย ว่าด้วยการตั้งครรภ์ การคลอด การอยู่ไฟ และการบริบาลทารกแรกเกิด รวมทั้ง
วธิ กี ารตา่ งๆ เพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หเ้ ดก็ ทารกพกิ ารแตก่ ำ� เนดิ (จนั ทรนวิ ทั ธ์ เกษมสนั ต์ และบญุ ชอบ พงษพ์ านชิ , บรรณาธกิ าร,
2522: 2)
88 พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
พระผงบารมีแม่ซ้อื หลวงปูล่ ะมยั ฐติ มโน ยนั ตแ์ ม่ซื้อ
(ทมี่ า: http://www.web-pra.com/ (ทมี่ า: http://img-189.uamulet.com/uauctions/
Auction/Show/3668896)
AU313/2014/5/16/U1121870241621.jpg)
เนื่องด้วยพฤติกรรมของแม่ที่แสดงออกไม่ใช่เพียงแค่ฮอร์โมนหรือความรู้สึกภายในที่เป็น
กระบวนการท�ำให้เกิดความรักและความผูกพันเท่านั้นท่ีเป็นตัวก�ำหนด การเรียนรู้ทางสังคม
การเลยี นแบบทางวฒั นธรรม และความพรอ้ มทางร่างกาย (มณีรตั น์ ภาคธูป, 2526: 24) ก็เป็นสิ่งที่
ก�ำหนดพฤตกิ รรมของแม่ด้วย และปจั จัยอ่ืนเหลา่ น้ี อาจจะทำ� ใหแ้ มเ่ กดิ พฤติกรรมท่ีต่างออกไปจาก
พฤตกิ รรมของแมท่ คี่ วรจะเปน็ เพราะฉะนั้นภาพลักษณท์ ด่ี ีของ “แม่ซ้ือ” จงึ เปน็ เสมอื นภาพตัวแทน
ของแม่ทีด่ ี ภาพลกั ษณต์ า่ งๆ เหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเชอื่ มโยงระหวา่ งความคดิ และความตอ้ งการ
ของมนษุ ย์ เนอื่ งจากพฤตกิ รรมตา่ งๆทส่ี ะทอ้ นออกมาเปน็ พฤตกิ รรมทด่ี ขี องแมท่ พ่ี งึ ปฏบิ ตั เิ ปน็ หนา้ ท่ี
ทแ่ี ม่ต้องรบั ผิดชอบ และด้วยความตอ้ งการทจี่ ะใหค้ นรบั รูพ้ ฤตกิ รรมของแมใ่ นแบบท่คี วรจะเป็น
สว่ นภาพลกั ษณข์ อง “แมซ่ อื้ ” ทเ่ี ปน็ ไปในทางดา้ นรา้ ย ไมว่ า่ จะเปน็ อาการโกรธแลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ
การลงโทษเดก็ ดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ หรอื การละเลยไมใ่ สใ่ จลกู กเ็ ปน็ อกี ภาพลกั ษณห์ นง่ึ ของ “แมซ่ อื้ ” ทส่ี ะทอ้ น
ใหเ้ ห็นพฤตกิ รรมอีกด้านหนงึ่ ของแมต่ วั จรงิ ความโกรธและการลงโทษของ “แม่ซ้อื ” อาจมองเทียบ
ได้กับพฤติกรรมของแม่ตัวจริงที่เม่ือลูกกระท�ำผิด แล้วท�ำให้แม่โกรธจงึ ไดม้ กี ารลงโทษดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ
เชน่ เดยี วกนั ในการลงโทษลกู “แมซ่ อ้ื ” ลงโทษดว้ ยความตอ้ งการเอาชวี ติ ลกู กลบั ไปอยกู่ บั ตน เนอื่ งจาก
ความหวงแหนซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักที่แม่มีต่อลูก เชน่ เดยี วกบั แมต่ วั จรงิ ซงึ่ ในการลงโทษลกู นน้ั
ทำ� ไปเพยี งเพราะความหวงั ดี เนอ่ื งจากการลงโทษนน้ั เปน็ หนทางหนง่ึ ทส่ี อนใหล้ กู เรยี นรใู้ นสง่ิ ทถี่ กู ตอ้ ง
ดงั ในสภุ าษติ ไทยทก่ี ลา่ ววา่ “รกั ววั ใหผ้ กู รกั ลกู ใหต้ ”ี เพราะฉะนนั้ การลงโทษของแมต่ วั จรงิ นน้ั กเ็ นอื่ ง
มาจากความรกั ท่มี ตี ่อลูกเชน่ เดียวกัน
ภาพของพฤตกิ รรมหนง่ึ ที่ “แมซ่ อื้ ” แสดงออกคอื การละทง้ิ ไมใ่ สใ่ จลกู ทแี่ มซ่ อ้ื ไดแ้ สดงออก
ได้สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของแม่ตัวจริงในการเลี้ยงดูลูก ซึ่งข้อบกพร่องน้ีเปน็ สงิ่ ทไ่ี มอ่ ยาก
ใหเ้ กดิ ขนึ้ จะเหน็ ไดว้ า่ จากในพธิ กี รรมเมอ่ื “แมซ่ อื้ ” ละทงิ้ ลกู กจ็ ะมกี ารเรยี กให้ “แมซ่ อ้ื ” กลบั มาดแู ลลกู
ส่งิ นั้นสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความตอ้ งการที่จะใหแ้ ม่มีพฤติกรรมท่ดี ีคอื คอยใส่ใจดูแลไม่ทอดทิง้ ลกู
ภาพลกั ษณต์ ่างๆ ของ “แม่ซอื้ ” ที่ปรากฏเสมือนเป็นภาพตวั แทนของแม่ตัวจรงิ ซึ่ง
สะท้อนให้เห็นท้ังด้านดีและด้านร้ายของแม่ในเวลาเดียวกัน สิ่งต่างๆเหล่าน้ันแสดงให้เห็น
ถงึ ความเชื่อมโยงระหวา่ งความต้องการของมนุษย์ท่สี ะทอ้ นผา่ นความเชอื่ และพิธีกรรม
พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 89
บรรณานกุ รม
กาญจนา นาคสกุล. (2548). พจนานุกรมไทย-เขมร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ ์
มหาวทิ ยาลยั .
คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะอ�ำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. (2542). ต�ำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงรัชกาลท่ี 5 เล่มท่ี 1.
กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พร้ินติง้ แอนดพ์ ับลิชชงิ่ จำ� กัด
จ.เปรียญ. (2526). ประเพณมี งคลไทยอสี าน. กรุงเทพฯ: อ�ำนวยสาสนก์ ารพิมพ์
จลุ ทรรศน์ พยาฆรานนท.์ (2542). “แมซ่ อ้ื ” สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง เลม่ 11. กรุงเทพฯ:
มลู นิธิสารานกุ รมวัฒนธรรม ไทยธนาคารไทยพาณชิ ย์.
จันทรนิวัทธ์ เกษมสันต์ และ บุญชอบ พงษ์พานิช (บรรณาธิการ). (2522). กุมารเวชศาสตร์.
กรุงเทพฯ: โครงการตำ� ราศิรริ าช คณะแพทยศาสตรศ์ ิริราชพยาบาล
ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ (บรรณาธิการ). (2523). ชีวิตไทยปักษ์ใต้ชุดที่ 4. นครศรีธรรมราช:
กรุงสยามการพิมพ.์
ทอง, เมฆพสั ตร และหมอหลวง. (2515). ประเพณโี บราณ ไทยและพธิ ี 12 เดอื น พธิ มี งคลตา่ งๆ.
กรุงเทพฯ: พิทยาคาร.
ทัศนีย์ บัวระพา. (2542). รายงานวิจัยเรื่อง ประเพณี พิธีกรรมในการเลี้ยงดูเด็กของชาวอีสาน.
มหาสารคาม: สถาบนั วิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอสี าน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
บญุ เกดิ พมิ พว์ รเมธากลุ . (2544). ประเพณอี สี านและเกรด็ โบราณคดอี สี าน. ขอนแกน่ : หจก.โรงพมิ พ ์
คลงั นานาวิทยา พร้ินติ้ง.
ประจักษ์ ประภาพิทยาคาร. (2529). เทวดานกุ รม ในวรรณคด.ี กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์
ประทุม เพ็งพนั ธ์ุ. (2544). วิถชี ีวิตชาวใต.้ กรงุ เทพฯ: องคก์ ารค้าคุรสุ ภา
ปราณี ขวัญแก้ว. (2519). วรรณคดีชาวบ้านจาก “บุดด�ำ”ต�ำบลร่อนพิบูลย์. กรุงเทพฯ: หน่วย
ศกึ ษานเิ ทศก์การศึกษา กรมการฝกึ หดั ครู
พลูหลวง(นามแฝง). (2530). เทวโลก. กรงุ เทพฯ: เมอื งโบราณ
มงกุฎ แก่นเดียว. (2542). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรม
วฒั นธรรมไทยธนาคารไทยพาณิชย์
มณีรัตน์ ภาคธูป. (2526). การรับรู้บทบาทการเป็นมารดา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,
ภาควชิ าพยาบาลศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
รววิ รรณ พงษเ์ ทพ. (2533). ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปจั จยั คดั สรรคก์ บั ความผกู พนั ระหวา่ งมารดาและทารก
ในครรภ์ ของหญิงต้ังครรภ์ ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบณั ฑิต, ภาควชิ าพยาบาลศาสตร์ บณั ฑติ วทิ ยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ราชบัณฑติ ยสถาน .(2546). พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบคุ ส ์
พับลเิ คชัน่
ลทั ธธิ รรมเนียมตา่ งๆ ภาค 1-6. (2504). กรุงเทพฯ: องคก์ ารคา้ ครุ ุสภา
90 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
วารีทิพย์ อินทวิพันธุ์. (2544). ภาพลักษณ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จ�ำกัด (มหาชน) ในเขต
กรุงเทพมหานคร ในมุมมองของผู้ใช้บริการที่มีภูมิล�ำเนาในกรุงเทพมหานคร, รายงาน
โครงการวารสารศาสตร์มหาบัณฑิต, ภาควิชาบริหารส่ือสารมวลชน คณะวารสารศาสตร ์
และสือ่ สารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์
ศิราพร ณ ถลาง. (2548). ทฤษฎีคติชนวิทยา: วิธีวิทยาในการวิเคราะห์ต�ำนาน-นิทานพื้นบ้าน.
กรงุ เทพฯ:โครงการเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
สงวน โชติรตั น.์ (2512). ประเพณีไทยภาคเหนอื . คร้งั ที่ 2. พระนคร: โอเดยี นสโตร์
สมปราชญ์ อัมมะพันธ.ุ์ (2548). ประเพณีท้องถิ่นภาคใต.้ กรงุ เทพ: โอเดียนโสตร์
สุกัญญา สุจฉายา (บรรณาธิการ). (2548). พิธีกรรม ต�ำนาน นิทานเพลง:บทบาทของคติชน
กบั สงั คมไทย. กรงุ เทพ: โครงการเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ ์
มหาวิทยาลัย
สกุ ญั ญา สจุ ฉายา. (2554). “โองการสารเดชวธิ นี อ้ ย” สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง (ฉบับ
เพ่ิมเตมิ ) เล่ม 3. กรุงเทพฯ: มูลนธิ ิสารานกุ รมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณชิ ย์
สุวิทย์ ทองศรีเกตุ. (2523). พิธีกรรมต่างๆในนครศรีธรรมราชท่ีได้รับอิทธิพลจากศาสนา
พราหมณ.์ นครศรีธรรมราช: วิทยาลัยครูนครศรธี รรมราช
เสรี วงษ์มณฑา. (2541). ภาพพจนน์ นั้ ส�ำคัญไฉน. กรงุ เทพฯ: บริษทั ธรี ะฟลิ ม์ และไซเทกซ์ จ�ำกัด
เสฐียรโกเศศ. (2531). ประเพณีเกย่ี วกบั ชีวติ การเกดิ . กรงุ เทพฯ: แม่ค�ำผาง
อนุมานราชธน, พระยา. (2507). บนั ทกึ ความรู้เร่อื งตา่ งๆ. วารสารศิลปากร, 8 (3)
อุดม รุง่ เรอื งศร.ี (2533). พจนานุกรมลา้ นนา-ไทย ฉบบั แม่ฟา้ หลวง. กรุงเทพฯ: อมรินทร์
อดุ ม หนทู อง.(2542). สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคใต.้ กรงุ เทพฯ: มลู นธิ สิ ารานกุ รมวฒั นธรรมไทย
ธนาคารไทยพาณชิ ย.์
“แม”่ คือ แม่ การแสดงบทบาท
ผูห้ ญิงท่เี หนือสถานภาพผหู้ ญิงในสงั คมลาว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วศิน ปญั ญาวธุ ตระกลู
ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
“แม”่ ในการรับรู้ของสงั คมลาว เป็นบทบาททเี่ กดิ ขนึ้ จากการเปล่ียนแปลงสถานภาพของ
ผหู้ ญิง ผา่ นการมีลกู ซง่ึ แตกตา่ งจากสถานภาพของผู้หญงิ ทเ่ี ปน็ เพียงลูกหรอื เมีย ค�ำว่า “แม่” หรือ
“ผหู้ ญงิ ในฐานะแม”่ ถูกก�ำหนดความหมายบทบาทและหน้าทใี่ นฐานะผใู้ ห้ก�ำเนิด หรือคำ� ที่ลูกเรยี ก
ผใู้ หก้ ำ� เนดิ ตน ดงั นนั้ บทบาทความเปน็ แมใ่ นฐานะผใู้ หก้ ำ� เนดิ จงึ ปรากฏในตำ� นานและความเชอ่ื หลกั
ในสังคมลาวที่เก่ียวข้องกับภูตผีและวิญญาณ เช่น ต�ำนานที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นก�ำเนิดเมืองลาว
ระบุวา่
“แมย่ า่ งา่ ม หรอื ยา่ เยอ” เปน็ บรรพสตรขี องปวงชนชาวลาวเผา่ ตา่ งๆ ทไ่ี ดเ้ สยี สละชวี ติ
พร้อมกับปู่เยอตัดต้นเถาวัลย์ที่ปกคลุมจนท�ำให้ฟ้าและดินติดกัน เพราะตามการเล่าขานว่ากันว่า
ตน้ เถาวลั ยท์ ป่ี กคลมุ นนั้ ทำ� ใหม้ องไมเ่ หน็ แสงแดด เมอื่ ตดั ตน้ เถาวลั ยท์ ง้ิ แลว้ มนษุ ยจ์ งึ ไดพ้ บกบั แสงแดด
อีกครั้ง ปู่เยอและย่าเยอจึงถูกต้นไม้ล้มทับตายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้รับการยกย่องให้เป็น
“เทวดาหลวง” ผปู้ กปักรักษาอาณาจกั ร (มะยุรี เหงา้ สวี ทั น์, 1983: 2 )
ปเู่ ยอยา่ เยอ ผบี รรพชนของคนลาว
(ทีม่ า: http://www.sujitwongthes.com/wp-content/uploads/2015/01/pooyer-yayer.jpg)
92 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ต�ำนานท่ีเกี่ยวกับการสร้างเมืองลาวได้อ้างถึงการเสียสละของมนุษย์ซ่ึงตายแล้วจะกลาย
เปน็ ผีปกปักรักษาเมอื ง หรือทีร่ ้จู กั กันว่า “ผเี มือง” (City spirits) โดยใหค้ วามสำ� คญั กับผู้หญิงที่ได้
เสียสละชีวิตในการสร้างเมือง โดยผู้หญิงดังกล่าวต้องมีคุณลักษณะพิเศษคือเป็น “แม่” ดังปรากฏ
ในตำ� นานการสรา้ งเมอื งเวียงจนั ทน ์ ความวา่
“มีผู้หญิงผู้หน่ึงช่ือว่า “สาวสี” ตามค�ำบอกเล่าเชื่อกันมาของชาวเวียงจันทน์ในเวลาท่ี
เจ้าไชยเชษฐาธิราชสถาปนานครหลวงเวียงจันทน์ขึ้นเป็นเมืองหลวงแทนเมืองหลวงพระบาง ในปี
ค.ศ. 1564 ในขณะท่ีจัดต้ังเสาหลักเมืองนี้ ได้สาวสีซ่ึงเป็นหญิงตั้งครรภ์ได้หลายเดือนเสียสละชีวิต
ของตนเองโดยยอมลงไปในหลุมดังกล่าว เพ่ือฝังตนเองไปพร้อมกับเสาหลักเมือง ต้ังแต่น้ันมาได้มี
การสร้างวัด ณ ที่น้ันและน�ำเอาชื่อสาวสีมาต้ังเป็นชื่อวัดว่า “วัดสีเมือง” ชาวเวียงจันทน์ได้เรียก
สาวสีว่า “ย่าแม่สีเมือง” ทุกปีก่อนจะมีบุญนมัสการท่ีพระธาตุหลวงจะต้องมีการจัดพิธีกรรมท�ำบุญ
อยู่ที่วัดสีเมืองก่อน ในปัจจุบันความศรัทธาต่อสาวสีในฐานะแม่ ยังแพร่กระจายไปยังชาวลาวท่ีต้ัง
ถ่ินฐานอยู่ในประเทศที่สามได้ขอให้พ่อแม่ของตนที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว ไปขอให้ย่าแม่สีเมือง
ชว่ ยแกไ้ ขปัญหาที่เกยี่ วขอ้ งกับการตั้งถ่นิ ฐานใหมข่ องตนเอง (มะยุรี เหงา้ สีวทั น์, 1993: 4-5)
วดั สเี มือง เวียงจนั ทน์ ประเทศลาว
(ทม่ี า: http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=aerides&group=62)
ค�ำว่า “แม่” ในสังคมลาวได้มีบทบาทที่ได้รับการยกย่องมากกว่าสถานะความเป็น
ผ้หู ญงิ ในบทบาทอื่นๆ ท้งั ในแงก่ ารให้ก�ำเนดิ การตัง้ ครอบครวั การเสยี สละ ส่งผลให้บทบาทของแม่
พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 93
เปน็ สถานภาพใหมข่ องผหู้ ญงิ ทไ่ี ดร้ บั การเคารพบชู ายกยอ่ ง นกั วชิ าการจำ� นวนมากอธบิ ายการเสยี สละ
ในฐานะผใู้ หก้ ำ� เนดิ เหลา่ นี้ วา่ เปน็ การเสยี สละของผทู้ เี่ ปน็ แม่ ซงึ่ เปน็ บทบาททผ่ี หู้ ญงิ จะมสี ถานะใหม่
ท่ีเรียกวา่ “แม่” ไดร้ บั การยกย่องจากสังคม
สถานะของคำ� วา่ “แม”่ ไดเ้ ปลย่ี นแปลงจากยคุ หนงึ่ สยู่ คุ หนงึ่ กบั การเปลยี่ นแปลงสถานะ และ
บทบาทของผหู้ ญงิ ในสงั คมลาว ซง่ึ เกดิ ขน้ึ จากการผลติ ชดุ ความรู้ กฎเกณฑ์ และขอ้ ปฏบิ ตั ทิ างสงั คม
ทถ่ี กู สร้างข้นึ ตามยคุ สมยั และเกย่ี วข้องกับการใช้อำ� นาจและการนยิ ามความหมายของคำ� ว่า “แม่”
ในแตล่ ะยคุ “แม”่ โดยในบทความนจี้ ะมองการเปลย่ี นแปลงของ “แม”่ ผา่ นเอกสารทางประวตั ศิ าสตร์
และวรรณกรรมลาวในสองระยะ คอื 1. แม:่ สถานะของผหู้ ญงิ ทอ่ี ยใู่ นโลกของรฐั จารตี ลาว 2. แม:่ สถานะ
ของผหู้ ญงิ ในยคุ ปฏวิ ตั แิ ละเปลยี่ นแปลงเพอ่ื สงั คมนิยม
1. แม:่ สถานะของผู้หญงิ ทอ่ี ยใู่ นโลกของรัฐจารตี ลาว
ทา่ มกลางความเชอ่ื และการใหบ้ ทบาทของแมเ่ ปน็ สถานะของผหู้ ญงิ ทส่ี งู กวา่ บทบาทการเปน็ เมยี
และลูก บทบาทดังกล่าวผูกพันกับภาระหน้าท่ี ทั้งในแง่ความเชื่อด้ังเดิมในฐานะผใู้ หก้ ำ� เนดิ และ
ผเู้ สยี สละใหแ้ กค่ รอบครวั และชมุ ชน กบั ความเชอ่ื ใหมท่ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนาที่ปรากฏในพระ
ไตรปิฎกว่า “แม่ พึงปฏิบัติต่อลูกด้วยฐานะ 5 คือ 1.ห้ามปรามการกระท�ำท่ีชั่วร้าย 2.ให้ตั้งอยู่
ในความดี 3.ใหศ้ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา 4.หาคคู่ รองทเี่ หมาะสมให้ 5.มอบทรพั ยส์ มบตั ใิ หใ้ นโอกาสอนั สมควร
(ทัศนีย์ ฉ่ำ� พิรุณ, 2554: 28)
ดงั นน้ั สง่ ผลใหง้ านเขยี นทเ่ี กยี่ วกบั แมใ่ นสงั คมรฐั จารตี ลาว เชน่ นทิ าน บทความ พงศาวดาร
และกฎหมายลาว ได้สะท้อนบทบาทของแม่ในฐานะผู้ให้ก�ำเนิด ผู้อบรมเลี้ยงดู ผู้ให้อาชีพ ผู้ให้
ศิลปวทิ ยา ผูใ้ ห้ทรพั ยส์ นิ และกำ� หนดวิถีชีวิตของลกู ดังปรากฏในงานต่างๆ
บทบาทของแม่ในฐานะผู้ให้ก�ำเนิดผูกพันกับการเปลี่ยนสถานภาพของผู้หญิง เช่น
คำ� พสี วุ นั นะมกุ ขา ซง่ึ เปน็ กฎหมายโบราณลาว โดยกฎหมายดงั กลา่ วจะยกเรอ่ื งราวตา่ งๆ มาเลา่ เป็น
ลักษณะนิทานเพอ่ื เป็นแนวทางในการตัดสนิ ความและแกป้ ัญหาต่างๆ ในสังคม ได้ปรากฏเรอ่ื งราว
สถานะของผหู้ ญงิ ทเ่ี ปลยี่ นไปถา้ มลี กู หรอื ดำ� รงสถานะแม่ ดงั เชน่ เรอ่ื ง นางคำ� ราง โดยนางคำ� รางเปน็
ผหู้ ญงิ งามเมอื งยนิ ดใี หผ้ ชู้ ายและเจา้ เมอื งหลายคนมเี พศสมั พนั ธด์ ว้ ย โดยการใชเ้ งนิ แลก เมอ่ื นางไดพ้ บ
กบั พระยาเวชะมาทดิ นางเหน็ ความฉลาดทมี่ ากกวา่ เจา้ เมอื งคนอนื่ จงึ คดิ อยากไดพ้ ระยาเวชะมาทดิ
เปน็ สามขี องนาง โดยพยายามใหพ้ ระยาเวชะมาทดิ อยกู่ บั นางไดห้ กเดอื นจงึ ทอ้ ง เมอ่ื พระยาเวชะมาทดิ
ทราบเรอ่ื งจงึ ใหแ้ หวนมคี า่ ควรเมอื งแกน่ าง โดยสงั่ วา่ ถา้ ลกู เปน็ ผหู้ ญงิ ใหข้ ายแหวนเลย้ี งดลู กู หากเปน็
ผชู้ ายใหพ้ าไปหาตน เรอ่ื งดงั กลา่ วสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ นางคำ� รางสามารถเปลย่ี นสถานะจากผหู้ ญงิ ทวั่ ไป
หรือหญิงงามเมืองเป็น “แม่” เม่ือมีบทบาทเป็นผู้ให้ก�ำเนิดทายาทของกษัตริย์ ซึ่งสอดคล้องกับ
งานเขียนอ่ืนๆ ท่ีให้ความส�ำคัญกับผู้หญิงในฐานะแม่ ดังเช่น บันทึกของ Levy ได้บันทึกไว้ในป ี
ค.ศ. 1956 ความว่า “มเหสีไม่มีสิทธ์ิบริหารประเทศ แต่ในความเป็นจริงในฐานะท่ีเป็นเมียเจ้าชีวิต
และเป็นแม่ของมกฎุ ราชกมุ าร คอื เจา้ ชวี ติ ในอนาคตผู้หญิงจะสามารถเข้าร่วมพธิ ตี า่ งๆ ในราชวงั ”
กลา่ วไดว้ า่ สถานภาพของผหู้ ญงิ ในความเปน็ เมยี มคี า่ เพม่ิ มากขนึ้ เมอื่ มบี ทบาทความเปน็ แม ่
ในฐานะผใู้ หก้ ำ� เนดิ ทายาท การกำ� เนดิ ทายาทอาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ มายาคตทิ สี่ งั คมไดส้ รา้ งความคาดหวงั
ผ่านการสื่อความหมายด้วยคติความเช่ือทางวัฒนธรรมท่ีถูกสร้างข้ึน จนดูเหมือนจะกลายเป็น
การรับรู้เสมือนเป็นธรรมชาติ เป็นกระบวนการท�ำให้เช่ือและปรากฏต่อหน้าอย่างเป็นปกติและ
94 พลังผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ธรรมชาตจิ นเราคุน้ เคยกบั ความเชอื่ ดังกล่าว จนไมท่ ันสังเกตวา่ เปน็ สิง่ ประกอบสรา้ งทางวัฒนธรรม
ท�ำใหเ้ กดิ ความเช่อื ว่าเปน็ เรือ่ งจริง และสามัญสำ� นึกวา่ ค�ำว่า “แม”่ มบี ทบาทเปน็ ผู้ใหก้ �ำเนดิ
บทบาทของแมใ่ นฐานะผคู้ อยอบรมสง่ั สอน เกยี่ วกบั วิถีชีวิตครอบครัวต่อลูก ตลอดจนเป็น
ผสู้ อน และควบคมุ พฤตกิ รรมใหเ้ ปน็ ไปตามแบบอยา่ งทสี่ งั คมตอ้ งการ แมใ่ นรฐั จารตี ทอี่ ยใู่ นกรอบของ
ป ร ะ เ พ ณี ล า ว จึ ง มี บ ท บ า ท ส� ำ คั ญ อ ย ่ า ง ย่ิ ง ต ่ อ ก า ร เ ป ็ น ค รู ท่ี ค อ ย อ บ ร ม สั่ ง ส อ น เ ลี้ ย ง ดู ลู ก
ใหป้ ระพฤตแิ ละปฏบิ ตั ติ นตามรปู แบบและแนวทางของสงั คมในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว ดงั ปรากฏในงานเขยี น
ของดวงไซ หลวงพะสใี นเร่ือง “มนุษยธรรมอยไู่ ส” ปี ค.ศ. 1957 โดย “แม่” คอยเปน็ ผสู้ ่งั สอนลูกสาว
ให้อยู่ในวาทกรรมในเร่ืองพรหมจรรย์ท่ีเป็นฮีตคองประเพณีลาว ดังความว่า “แม่ได้สั่งสอนนาง
อยเู่ รอื่ ยวา่ ...ฮตี คองประเพณลี าว หญิงลาวใดรักษาได้พรหมจรรย์ของหัวใจแล้วมอบให้คนท่ีแต่งดอง
เปน็ สามเี ปน็ คนแรก หญงิ คนนนั้ จะถอื ไดว้ า่ ...เปน็ หญงิ สาวทป่ี ระเสรฐิ และบรสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ ง ทส่ี ำ� คญั สามี
จะรกั และไวเ้ นอ้ื เชอ่ื ใจ อยรู่ ว่ มกนั จนแกเ่ ฒา่ ถอื ไมเ้ ทา้ ยอดทองกระบองยอดเพชร” (ดวงไซ หลวงพะส,ี
2003: 26-27) ตลอดจนบนั ทึกของชาวต่างชาติท่ีเข้ามาในลาว ในปี ค.ศ. 1956 ไดก้ ลา่ วว่า
“ผู้หญิงลาวเกือบทุกคนเมื่อเติบใหญ่จะเข้าใจและรู้จัก
วิธีทอผ้า เม่ือยังเป็นเด็กผู้หญิงจะรู้สึกอบอุ่นกับผ้าทอที่แม่ได้
เอาใสก่ ระดง้ ใหน้ อน ตอ่ มาหญงิ สาวจะเรมิ่ เขา้ ใจภาษาทอผา้ สาว
ไหมของแม่ และมองดูแมท่ อผ้า เม่ืออายุได้ 8-10 ปี เด็กหญิง
จะเรียนกับแม่ในทุกขั้นตอนนับต้ังแต่การเลี้ยงหม่อนเลี้ยงไหม
จนถึงขั้นย้อมและการก้าวเข้าไปถึงการรู้จักการทอ เมื่อมี
ครอบครัวแล้วเวลาส่วนมากได้อุทิศให้งานบ้านแต่ก็ต้อง
แบง่ เวลาเพอื่ ทอผา้ ตามอยา่ งแม่ (มะยรุ ี เหงา้ สวี ทั น,์ 1993: 50)
ดังน้ัน อาจเห็นได้ว่า สถานะของผู้หญิงแตกต่างกัน
ในการท�ำหน้าที่แม่ แม้ว่าจะเป็นเมียเหมือนกันแต่บทบาท
การเป็นแม่ในการอบรมเล้ียงดูลูกถือได้ว่าเป็นหน้าท่ีส�ำคัญ
จะเหน็ ไดว้ า่ ความเชอื่ ในบทบาทแม่ ผทู้ ต่ี อ้ งเลยี้ งดอู บรมสงั่ สอน
ลูกเป็นบทบาทที่อยู่ในความทรงจ�ำ และความคาดหวังของ
สงั คมจากมายาคตขิ องความเปน็ แมท่ เี่ ปน็ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ จนกลาย
ดวงไซ หลวงพะส ี
นกั เขียนอาเซยี นทไ่ี ดร้ ับซไี รต์ ปี 2555 เป็นการก�ำหนดบทบาทแม่ผู้เล้ียงดู ตลอดจนสร้างบทบาทแม่
(ที่มา : http://seawrite.com/wp-content/ ใหก้ ลายเปน็ สญั ชาตญาณความเปน็ แม่ ทำ� หนา้ ทป่ี กปอ้ งเลย้ี งลกู
uploads/2012/08/Laos_BlackWhite.jpg) จนกลายเปน็ คา่ นยิ มทย่ี ดึ ตดิ วา่ เปน็ สามญั สำ� นกึ ของความเปน็ แม่
ไม่ใช่ส่ิงท่ีสังคมสร้างขึ้นจนสามัญส�ำนึกดังกล่าวได้กลายเป็นค่านิยมและบรรทัดฐานท้ังด้าน
เคร่ืองก�ำกับพฤติกรรม และตลอดจนเป็นเคร่ืองตัดสินพฤติกรรมและการกระท�ำของผู้หญิงท่ีมี
สถานภาพเปน็ เมยี วา่ ดหี รอื ไมด่ ผี า่ นการตดั สนิ การแสดงบทบาทการเปน็ แม่ แมใ่ นสถานะของผหู้ ญงิ
ท่ีอยู่ในรัฐจารีตจึงมีความหมายโดดเด่นและแตกต่างจากเมีย ส่งผลให้สถานภาพของผู้หญิงในช่วง
เวลาดังกล่าวผูกพัน ยอมรับมายาคติและคุณค่าทางสังคมของชายเป็นใหญ่ผ่านค�ำว่า “แม่” ว่ามี
สถานภาพทส่ี ูงกวา่ ผู้หญิงทวั่ ไป
พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 95
2. แม:่ สถานะของผ้หู ญิงในยคุ ปฏิวตั ิและเปล่ียนแปลงเพ่ือสังคมนิยม
การน�ำเสนอเร่ืองราวเกี่ยวกับบุคคล และสังคมต่างๆ ที่ปรากฏในสังคมลาวในยุคสมัยแห่ง
การปฎิวัติและการเปลี่ยนแปลงเพ่ือสังคมนิยมล้วนแล้วแต่ปรากฏในบริบทท่ีเกี่ยวโยงอยู่กับสังคม
เศรษฐกจิ และการเมอื ง ทเ่ี กยี่ วกบั พรรคประชาชนปฏวิ ตั ลิ าวและรฐั บาลลาวเปน็ สว่ นสำ� คญั บทบาทของ
“แม”่ ในยคุ สงั คมนยิ มจงึ เปน็ การนำ� เสนอภาพ “แม”่ ทส่ี อดคลอ้ งไปกบั บรบิ ททางสงั คม ทง้ั จากการสรา้ ง
ผหู้ ญงิ เพอื่ ยคุ สงั คมนยิ ม และกำ� หนดบทบาทและหนา้ ทผ่ี หู้ ญงิ เพอื่ ประเทศชาติ โดยการเปลย่ี นแปลง
ดงั กลา่ วเปน็ เปา้ หมายสำ� คญั ของรฐั บาลลาวในขณะนน้ั เพอ่ื ผลกั ดนั ใหผ้ หู้ ญงิ มกี ารศกึ ษาและรว่ มกนั
พัฒนาประเทศ ดังปรากฏให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับผู้หญิงลาวให้เป็นส่วนหน่ึงของ
พรรคและรัฐ โดยผลักดันองค์กรผู้หญิง ที่เรียกกันว่า “สหพันธ์แม่หญิงลาว” ให้มีฐานะเทียบเท่า
กระทรวง รว่ มกบั การกระตนุ้ เตอื นใหผ้ หู้ ญงิ ลาวเหน็ ความสำ� คญั ของตนในการพฒั นาตนเองและพฒั นา
ประเทศ โดยเป็นจุดมุ่งหมายส�ำคัญของสหพันธ์แม่หญิงลาว ดังค�ำกล่าวท่ีว่า “ประเทศท่ีมีระดับ
การพัฒนาสูงซ่ึงอ้างอิงโดยตัวเลขรายได้ต่อหัวต่อคนสูงน้ัน ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศท่ีแม่หญิง
ได้มีบทบาทหลายในสังคม โดยแสดงออกท่ีแม่หญิงได้รับการศึกษาเข้าร่วมทุกการบริหาร
เวียกงานของประเทศมีอัตราส่วนสูง ตรงกันข้ามประเทศใดที่แม่หญิงมีส่วนร่วมน้อยในกิจกรรม
ของสังคม ประเทศเหล่าน้ันมักจะพบกับอุปสรรคในการพัฒนาสร้างประเทศของตน” (สหพันธ์
แม่หญิงลาว, 1999: 6-7)
ดงั นน้ั ภาพ “แม”่ ในประวตั ศิ าสตรข์ องผนู้ ำ� ประเทศเชน่ ชวี ประวตั ขิ องทา่ นนางทองวนิ พมวหิ าน
เร่ือง ชวี ิตและเวยี กงาน ของ ดวงไซ หลวงพะสี ในฐานะและหนา้ ที่ของภรรยาประธานประเทศทำ� ให้
นางทองวนิ ตอ้ งสรา้ งความเปน็ แมแ่ ละเมยี ทดี่ ตี ามขนบประเพณดี ง้ั เดมิ แตเ่ พอ่ื ลทั ธแิ ละขบวนการปฏวิ ตั ิ
ทำ� ใหน้ างทองวนิ ตอ้ งทงิ้ ลกู เพอ่ื ไปเรยี นทฤษฎที างการเมอื งทปี่ ระเทศเวยี ดนาม ทำ� ใหน้ างตอ้ งสญู เสยี
ลูกชายไป แต่นางก็มไิ ด้ตอ่ วา่ สามีในฐานะทีต่ อ้ งดูแลลกู แทนนางในชว่ งทไ่ี ปเรยี นทป่ี ระเทศเวยี ดนาม
ตวั อยา่ งของ “แม”่ ตามแบบอยา่ งของนางทองวนิ ไดร้ บั การยอมรบั จากพรรคและประชาชนทว่ั ไปถงึ
การปฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ตอ้ งตามอดุ มคติ ในยคุ การปฎวิ ตั แิ ละเปลยี่ นแปลงประเทศ โดยมงุ่ เนน้ การสญู เสยี ลกู
เพื่อพรรคประชาชนปฏิวัติและรัฐบาลลาวเป็นเรื่องท่ีเน้นย้�ำให้เห็นความส�ำคัญของเหตุการณ์ปฏิวัติ
แม่ในฐานะผู้ท่ีต้องดูแลและเลี้ยงดูจึงเป็นการสร้างวาทกรรมของแม่ที่ต่างไปจาก “แม่” ในยุคจารีต
ทต่ี อ้ งเลย้ี งดลู กู และดแู ลสามี นอกจากนใี้ นการเขยี นถงึ ชวี ประวตั ขิ องนางทองวนิ ยงั เนน้ ยำ้� ในการเปน็
แม่หญิงลาวของนางทองวนิ อกี วา่ “จะขอเปน็ แมห่ ญงิ ทด่ี ี เปน็ แมท่ ด่ี ี และเปน็ เมยี ทด่ี ที สี่ ดุ ของสาม”ี
(ดวงไซ หลวงพะส,ี 1991: 73)
จากชวี ประวตั ขิ องนางทองวนิ จงึ เปน็ การสะทอ้ น
ถึงแนวคิดของอุดมการณ์ของสังคมนิยมและได้รับ
การสนับสนุนเน้นย�้ำจากพรรคและรัฐบาลอีกครั้ง
ในการสร้างวาทกรรมที่สอดรับไปกับขนบธรรมเนียม
ประเพณีด้ังเดิมในภารกิจการสร้างสังคมลาวใหม่
ตามแบบอยา่ งสังคมนิยมในแนวทางการปฎิวัติ
นางทองวนิ พมวหิ าน (กลาง) ภรรยานายไกสอน พมวิหาน
นายกรฐั มนตรคี นแรกของสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
(ท่มี า: http://www.ounon19.com/promoted3.htm)
96 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
“แม่” ในบริบทของการสร้างสังคมใหม่เป็นการน�ำเสนอบทบาทแม่เป็นบทบาทท่ีมีภาระ
หนา้ ทท่ี ช่ี ดั เจน โดยบทบาทของแมถ่ กู ปรบั ปรงุ คณุ คา่ ใหมแ่ ละถกู นำ� เสนอเปน็ หนา้ ทส่ี ำ� คญั ของผหู้ ญงิ
สหพันธ์แม่หญิงลาวได้ก�ำหนดบทบาทของผู้หญิง โดยอ้างถึงคุณสมบัติด้านศีลธรรมประวัติศาสตร์
และภารกิจของผู้หญิงท่ีผ่านมาท่ีอุทิศตนในการสร้างประวัติศาสตร์อนั สวา่ งไสวของชาตโิ ดยผหู้ ญงิ
มสี ว่ นรว่ มในการปฏวิ ตั ซิ ง่ึ พวั พนั อยกู่ บั การรกั ชาต,ิ การเสยี สละเพอ่ื ระบอบใหม่ “สงั คมนยิ ม” และซอื่ สตั ย์
ต่อแนวทางและการนำ� ของพรรค ทงั้ สามัคคีกบั ผหู้ ญงิ ชนเผ่าเพอ่ื มสี ว่ นรว่ มปกปักรกั ษาและก่อสรา้ ง
ประเทศชาติ ซงึ่ ไมใ่ ชห่ นา้ ทผ่ี หู้ ญงิ แตเ่ ดมิ ทที่ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ แตเ่ พยี ง “เครอ่ื งจกั รในการผลติ ลกู และเครอ่ื งเลน่
ของผชู้ าย” ผหู้ ญงิ เปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณผ์ หู้ นงึ่ ดงั นนั้ เปน็ ครงั้ แรกในประวตั ศิ าสตรล์ าว ทค่ี ำ� วา่ เสมอภาค
ไม่ได้เป็นเพียงแค่ค�ำพูด ผู้หญิงได้รับสิทธิ์เหมือนผู้ชายและได้ถูกรับรู้ว่ามีความรับผิดชอบเหมือน
ผู้ชาย ผู้หญิงเปน็ พลเมอื ง เปน็ ทหาร เปน็ นกั รบ อาจารย์ แพทย์ หมอ หรอื ศลิ ปนิ ไดท้ ง้ั สนิ้ (สหพนั ธ์
แมห่ ญงิ ลาว, 1999: 8) บทบาทดังกลา่ วได้สะท้อนออกมาในงานเขยี น วรรณกรรมของนกั เขียนลาว
ซึ่งอยู่ภายใต้บริบทของสังคมใหม่ ได้เล่าถึงบทบาทของผู้หญิงในมุมมองใหม่ เช่น งานเขียนของ
บนุ ทะนอง ชมไชผน ในปี ค.ศ. 1983 ในเรอ่ื งแอกผวั ไดก้ ลา่ วถงึ บทบาทของผหู้ ญงิ ซงึ่ เปน็ นางเอกของ
เรอ่ื งวา่ เปน็ ไดท้ งั้ เมยี และแม่ แตไ่ มเ่ ปน็ ทาสของสามี พรอ้ มทง้ั ออกมาประกอบอาชพี อื่นๆ มากกว่า
การท�ำงานบ้าน ซ่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงสถานะใหม่ของผู้หญิงท่ีออกมาท�ำงานนอกบ้านเพื่อสร้าง
ความเทา่ เทียมทางเศรษฐกจิ ดังความวา่
“...ในฐานะที่เกิดมาเป็นแม่หญิงผู้หนึ่ง นางไม่ได้ต้องการเรียกร้องต้องการอะไรมากมาย
นางต้องการความรัก ความเสมอภาค การนับถือซ่ึงกนั และกัน การชว่ ยเหลือซง่ึ กันและกัน การชว่ ย
ผลักดันในหน้าที่การงาน เท่าน้ันก็เพียงพอแล้ว มันไม่ใช่การเรียกร้องที่มากเกินไป ตรงกันข้าม
มนั เปน็ ความมงุ่ หวงั และสงิ่ จำ� เปน็ ขน้ั ตำ่� ทส่ี ดุ แลว้ ...ในตวั แมห่ ญงิ ผหู้ นง่ึ ควรมลี กั ษณะของความเปน็ เมยี
และความเปน็ แม่ แตส่ ง่ิ ทบ่ี ส่ มควรนน้ั คอื ความเปน็ ขา้ ทาสนน้ั เอง...” (บนุ ทะนอง ชมไชผน, 1983: 61-68)
ภายใต้แนวความคิดดังกล่าวที่เร่ิมก�ำหนดบทบาทของผู้หญิงให้มีความเสมอภาคโดย
การออกมาท�ำงานนอกบ้านเพื่อปลดแอกตัวออกจากระบบชายเป็นใหญ่ โดยมุ่งเน้นการประกอบ
อาชีพอ่ืนๆ มากกว่าการท�ำงานในครอบครัวซ่ึงต้องตกอยู่ในการพ่ึงพาหาเล้ียงของผู้ชาย ส่งผลให ้
ในการสร้างอุดมการณ์สังคมใหม่ของผู้หญิงผ่านการด�ำเนินงานของสหพันธ์แม่หญิงลาวได้กำ� หนด
เปา้ หมายในการปรับปรุงคณุ ค่าใหมข่ องผ้หู ญงิ อันเป็นคณุ ลกั ษณะของผหู้ ญงิ ลาวในวนั ท่ี 21 มนี าคม
ค.ศ. 1984 เปน็ คำ� ขวญั สำ� คญั วา่ “ผหู้ ญงิ 3 ดี 2 หนา้ ท”ี่ ประกอบดว้ ย 1. การเปน็ “พลเมอื งทดี่ ”ี หมาย
ถงึ ผหู้ ญงิ ไดส้ อ่ งแสงถงึ การปฏบิ ตั ติ นไปตามวฒั นธรรมอนั ดงี ามของประเทศชาต ิ 2. การเปน็ “เมยี ที่
ด”ี หมายถงึ ตอ้ งมคี วามซอื่ สตั ยต์ อ่ ผวั เมียและผวั ตอ้ งเป็นผทู้ ม่ี ีความเสมอภาคและปราศจากการผดิ
เถียงกัน เมียต้องดูแลบ้านเรือน เย็บปักหรือทักทอและรักษาให้เรือนสะอาดตามหลักการ
สามสะอาด และส่วนสุดท้ายคือ “แม่ที่ดี” หมายถึงแม่ต้องเป็นผู้สั่งสอนลูกและเรียกร้องให้ผู้หญิง
ต้องรู้ก�ำกับและรู้จักจิตศาสตร์ของลูกให้ลูกกลายเป็นพลเมืองที่ดีต่อไปตามแนวทางของการสร้าง
สงั คมนยิ มโดยไดด้ ำ� เนนิ การประกาศแนวความคดิ ดงั กลา่ วตง้ั แต่ ปี ค.ศ. 1984 พรอ้ มทงั้ ไดด้ ำ� เนนิ
การประชาสัมพันธ์ปลุกระดมค�ำขวัญดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี จนถึงปี ค.ศ. 1988
ดงั ปรากฏในคำ� บอกเลา่ ของนางคำ� แพน บบุ ผา ประธานสหพนั ธแ์ มห่ ญงิ ลาวไดก้ ลา่ ววา่ ในหลายสว่ น
เห็นว่าค�ำขวัญดังกล่าวเป็นการอบรมผู้หญิง โดยมีผู้หญิงรับรองในการปฏิบัติตามหน้าที่ต่างๆ
พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 97
โดยหน้าท่ีแม่ท่ีดีได้รับการรับรองจากผู้หญิงลาวในปี ค.ศ. 1988 ในจ�ำนวนถึง 79,504 คน
(มะยรุ ี เหง้าสีวัทน,์ 1993: 50)
บทบาทของคำ� วา่ “แม”่ ปรากฏอยใู่ นนโยบายของพรรคประชาชนปฏวิ ตั ลิ าวและรฐั บาลลาว
โดยไดก้ ำ� หนดหนา้ ทแ่ี มเ่ ปน็ ผสู้ รา้ งอดุ มการณข์ องครอบครวั และเปน็ ผสู้ รา้ งสงั คมใหมภ่ ายใตแ้ นวทาง
ของรัฐ โดยก�ำกับหน้าท่ีของค�ำว่า “แม่” คือผู้ส่ังสอนลูกให้ลูกกลายเป็นพลเมืองท่ีดีตามแนวทาง
ของรัฐ แม่จึงมีบทบาทส�ำคัญในการสร้างครอบครัวภายใต้อุดมการณ์ใหม่ และเป็นส่วนส�ำคัญ
ในการสร้างสังคมนิยม ก็คือ การเรียนรู้อุดมการณ์ของรัฐภายใต้แนวความคิดเร่ืองครอบครัวใหม ่
บทบาทของแมใ่ นอดุ มการณ์เรอื่ งครอบครัวใหม่ เร่ิมปรากฏเด่นชัดภายหลังปี ค.ศ. 1986 เม่ือรัฐบาล
ลาวได้ประกาศนโยบายจนิ ตนาการใหม่ โดยมุ่งเน้นการเปลยี่ นแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจท่เี ขา้ มา
มีส่วนส�ำคัญในการสร้างและพัฒนาประเทศตามแบบอย่างของรัฐบาลลาว โดยผลักดันให้ผู้หญิง
เขา้ มามสี ่วนในการประกอบอาชีพตา่ งๆ เพ่ือสร้างรายได้ให้แกร่ ฐั
ยคุ จนิ ตนาการใหม่ ในสงั คมลาวตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1986 ไดเ้ ผยใหเ้ หน็ ความสำ� คญั ของอดุ มการณ์
ครอบครัวและบทบาทของแม่แบบใหม่ในครอบครัวโดยผ่านนโยบาย 3 ดี 2 หน้าท่ีคือ พลเมืองดี
พฒั นาดี และสร้างครอบครวั วฒั นธรรมดี โดยการสร้างครอบครัววัฒนธรรมดี หมายถึง ครอบครวั
มคี วามผาสกุ มคี วามเสมอภาค ชวี ติ การเปน็ อยทู่ ด่ี ี พรอ้ มเพรยี งกนั ศกึ ษาอมรบลกู เตา้ ใหเ้ ปน็ ผสู้ บื ทอด
ทดี่ ขี องครอบครวั และประเทศชาติ (สหพนั แมห่ ญงิ ลาว, 2001: 33) การศึกษาอบรมเล้ียงดูลูกให้ดี
ที่เกี่ยวพันอยู่กับสถานะของผู้หญิงในบทบาทของ “แม่” ซ่ึงเป็นหน้าที่หลักของการสร้างครอบครัว
ที่ดี โดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้เสนอภาพของค�ำว่าแม่ในหลากหลายมิติ ซ่ึงสัมพันธ์กับแนวคิด
เร่ืองของการปลดปล่อยผู้หญิงออกจากครอบครัวมาท�ำงานนอกบ้าน เพราะการท�ำงานนอกบ้าน
จะเป็นชอ่ งทางสำ� คัญที่จะปลดปลอ่ ยใหผ้ ู้หญงิ ออกจากระบบชายเปน็ ใหญท่ ี่ถูกกดข่ี โดยมีการเสนอ
อาชพี ใหมๆ่ ของผู้หญงิ เชน่ ครผู สู้ อนหนงั สอื คอื “แมค่ นทสี่ อง” โดยมกี ารยกยอ่ งอาชพี ครูทำ� หนา้ ที่
ในการสง่ั สอนเดก็ และเยาวชนเสมอื นแมผ่ อู้ บรมเลยี้ งดลู กู และอาชพี ครจู ะนำ� มาซง่ึ การพฒั นาพลเมอื ง
ของรัฐที่ดี ตามหน้าท่ีแม่ที่ดีในนโยบายผู้หญิง 3 ดี 2 หน้าท่ี ซ่ึงในช่วงปี ค.ศ. 1992 มีรายงาน
การวจิ ยั วา่ อาชพี ครเู ปน็ อาชพี ทเ่ี รม่ิ ไมไ่ ดร้ บั ความนยิ ม โดยมอี ตั ราการเปน็ ครปู ระถมของผหู้ ญงิ ลดลง
ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1988 เป็นต้นมา จึงมีการเร่งให้เห็นความส�ำคัญของอาชีพครูเหมือนเป็นแม่ท่ีอบรม
คนของรัฐ หรือการเสนอภาพของการเป็นหมอของผู้หญิงพบว่ามีการเสนอค�ำขวัญท่ีเก่ียวกับแม่ว่า
“แพทยผ์ ใู้ จดคี อื แม่ และแพทยค์ อื แมท่ ด่ี ”ี โดยมกี ารสนบั สนนุ ใหผ้ หู้ ญงิ เขา้ มาประกอบอาชพี ทางดา้ น
การแพทยม์ ากขนึ้ จากรายงานวจิ ยั ไดก้ ลา่ วถงึ อตั ราการเพมิ่ ของแพทยใ์ นปี ค.ศ. 1985 – 1995 ไดม้ ี
อตั ราการเพม่ิ ขนึ้ ของแพทยผ์ หู้ ญงิ ดงั นนั้ เปน็ การชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ บทบาทความทา้ ทายของผหู้ ญงิ ภายใต้
การเชอ่ื มตอ่ อุดมการณใ์ หม่กบั บทบาทของความเป็นแมท่ ี่มีมาแต่เดมิ
ค�ำว่าแม่ในการสร้างอุดมการณ์ในสังคมลาวไม่เพียงแต่สะท้อนบทบาทในฐานะผู้ให้ก�ำเนิด
อบรมเล้ียงดู แต่ยังสะท้านการอธิบายความหมายของแม่ที่มากขึ้น ในฐานะของครูผู้ให้ความรู ้
ทางดา้ นศลิ ปวทิ ยา เทยี บเทา่ ไดก้ บั ครผู สู้ ง่ั สอนเผยแพรอ่ ดุ มการณร์ ฐั หรอื แพทยผ์ ใู้ หก้ ารรกั ษาปกปอ้ ง
ดแู ล คำ� ว่า “แม่” จึงถูกน�ำมาใช้เปรยี บเทียบเพ่อื สร้างความหมายใหม่ใหก้ ับอาชีพตา่ งๆ พร้อมทง้ั
ตอกยำ้� บทบาทและสถานภาพของคำ� วา่ แมแ่ บบเดมิ ใหม้ คี ณุ คา่ และมลู คา่ มากกวา่ แมท่ เ่ี ปน็ เพยี งผใู้ ห้
ก�ำเนิดหรือผ้อู บรมเลย้ี งและค�ำว่าแม่ทแี่ ตเ่ ดิมเคยผกู พันอยู่กับการเป็นเมยี ในแบบยุคจารตี
98 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
การเปลยี่ นแปลงความหมายของคำ� วา่ แมใ่ นระบบสงั คมนยิ ม และอดุ มการณข์ องครอบครวั ใหม่
บทบาทของแม่ไม่ได้ผูกพันกับบทบาทความเป็นเมียแบบสังคมจารีตเดิม ท่ีเป็นระบบหลายเมีย
ในสังคมลาวที่ให้คุณค่าเมียที่ดีและไม่ดี ผ่านการเป็นแม่ท่ีดีท่ีท�ำหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้กับสามีเพียง
อยา่ งเดยี ว ในขณะทบ่ี ทบาทของแมย่ คุ ใหมท่ แี่ ตกตา่ งไปจากยคุ จารตี ไดส้ รา้ งบทบาทของแมท่ ผี่ กู พนั
กบั อดุ มการณข์ องชาติ ทำ� ตามแนวความคดิ ในการสรา้ งครอบครวั ทด่ี ี แมเ่ ปน็ ผทู้ มี่ ภี ารกจิ ในการอบรม
เลี้ยงดูลูกให้เป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์ของชาติและพลเมืองของรัฐ ดังปรากฏบทบาทของแม ่
ในวรรณกรรมมากมายท่ีถูกผลิตขนึ้ ในชว่ งหลงั ปี ค.ศ. 1986 เป็นตน้ มา เช่นในเรือ่ ง ทางสายเปลี่ยว
ในปี ค.ศ. 1995 ของบุนเสิน แสงมะนี ได้น�ำเสนอแม่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวแทนผู้เป็นสามีท่ีได้
เสยี ชวี ติ ไป แมต่ อ้ งเลยี้ งลกู ทงั้ 4 คน ซง่ึ เปน็ หนา้ ทที่ หี่ นกั หนว่ ง แมต่ อ้ งทำ� งานอยา่ งหนกั ดว้ ยการปลกู ผกั
ขายเพอื่ เกบ็ หอมรอมรบิ หาเลยี้ งครอบครวั ซงึ่ เปน็ งานทท่ี ำ� มาตง้ั แตส่ ามยี งั อยวู่ า่ “เมอื่ สน้ิ บญุ พอ่ เวยี ก
แม่ก็ย่ิงหนักหน่วงขึ้น แม่เฮ็ดทุกอย่างเพื่อให้ลูกๆได้เข้าโรงเรียนหมดทุกคน ถึงจะล�ำบากยากแค้น
ปานใดกต็ าม แมก่ เ็ ฮด็ เพอ่ื ลกู ๆ และครอบครวั แมเ่ ปน็ ทงั้ พอ่ และเปน็ ทงั้ แม”่ (บนุ เสนิ แสงมะน,ี 1995:
49)
“แม่” ในกระแสการสร้างสังคมนิยมจึงมีความผูกพันอยู่กับหน้าท่ีในการอบรมเล้ียงดูลูก
มากกวา่ การเปน็ เมยี ของสาม ี โดยแมจ่ ะมบี ทบาทเปน็ ทงั้ แมแ่ ละพอ่ ใหแ้ กล่ กู แมใ่ นบรบิ ททางสงั คมใหม่
ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านงานวรรณกรรมจึงเน้นให้ความส�ำคัญกับการสร้างอนาคตของลูกเพ่ือเป็นพลเมือง
ท่ีดีตามแนวทางของรัฐบาล แม้ว่าแม่จะต้องล�ำบากในการท�ำงาน เพ่ือหาเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียน
แต่แม่ก็ไม่เคยย่อท้อ ตลอดจนสะท้อนภาพอาชีพของแม่ซ่ึงท�ำงานอ่ืนๆ มากกว่าการเป็นแม่บ้าน
หรือท�ำงานในครอบครัวท่ีต้องผูกพันอยู่กับการหารายได้ของสามีแต่เพียงผู้เดียว แม่ในยุคใหม ่
จงึ มคี วามสามารถในการเลยี้ งดคู รอบครวั ได้ และความเข้มแข็งของแม่ในบริบททางสังคมใหม่ซ่ึงมี
ความเทา่ เทยี มกบั ผชู้ ายผา่ นการทำ� งานนอกบา้ น จงึ เปน็ ทปี่ รากฏใหเ้ หน็ ในงานวรรณกรรมเรอื่ งตา่ งๆ
ในช่วงยุคจินตนาการใหม่อย่างต่อเน่ือง เช่นในเร่ืองก่อนจะถึงวันนี้ของขันค�ำ ซึ่งเป็นนักเขียนหญิง
ทเ่ี ขยี นข้นึ ในปี ค.ศ. 1995 ไดเ้ ลา่ ถึงเรื่องราวของนางสมเพด็ เม่ือสามปี ว่ ยตาย นางสมเพ็ดเลย้ี งดลู กู
ท้ังเจด็ ตามลำ� พัง ความเป็นแม่และอยใู่ นฐานะผู้นำ� ครอบครัวท�ำให้นางตอ้ งขยนั อดทน และไม่แสดง
ความออ่ นแอออกมาใหล้ กู เหน็ วา่ “สมเพด็ ตอ้ งเปน็ ทง้ั พอ่ และแมใ่ นเวลาเดยี วกนั … ลกู ทกุ คนจะรอ้ งใหน้ ำ�
เมื่อเห็นน้�ำตาแม่ สมเพ็ดทนเห็นลูกร้องบ่ได้ ลูกจะเป็นเด็กอ่อนแอมีปมด้อย” (ขันค�ำ, 1995: 61)
นอกจากความเปน็ แมท่ ดี่ แี ลว้ สมเพด็ ยงั มอี าชพี ทไ่ี ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ มคี ณุ คา่ ตอ่ สงั คม นางเปน็ แมพ่ มิ พ์
ของชาติ ขนั ค�ำได้บรรยายคณุ สมบตั ิของนางทีไ่ ดร้ บั ความช่ืนชม รวมทั้งได้รับเกยี รติบัตรจากเมือง
ในฐานะแมด่ เี ดน่ อนั เปน็ การผลติ ซำ�้ คณุ สมบตั ขิ องแมท่ น่ี า่ ชนื่ ชมวา่ “สมเพด็ เปน็ คนดหุ มน่ั มจี ติ ใจเออื้ เฟอ้ื
เผอื่ แผ่ เปน็ คนออ่ นหวาน แตเ่ ดด็ เดย่ี วเข้มแข็ง สมเพ็ดได้รับการย้องยอและกล่าวเถิงในฐานะแม่ที่ดี
แม่หญิงท่ีเข็มแข็งอยู่บ่ได้ขาด... ถึงแม่นทองพันจากไป สมเพ็ดก็ยังปฏิบัติตนเองคือกับว่ายังมีผัว
อยรู่ ว่ มเรอื นตลอดเวลา และนางเองเปน็ ทงั้ พอ่ และแมข่ องลกู ไปพรอ้ มกนั นางไดป้ รกึ ษาหารอื แนะนำ�
สัง่ สอนเบง่ิ แยงลูกทุกคนดว้ ยความเอาใจใสอ่ ยบู่ ข่ าด” (ขนั คำ� , 1995: 63-64)
ในตอนจบผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่า สมเพ็ดประสบความส�ำเร็จในการเป็นท้ังพ่อและแม ่
ของลูก ทั้งน้ีอาจเนื่องจากนางเป็นคนมีความรู้ ดังน้ันนางจึงไม่ต้องการแสวงหาผู้ที่จะมาท�ำหน้าท่ี
แทนพอ่ ในครอบครวั นอกจากนส้ี มเพด็ ยงั ไดร้ บั การสรา้ งใหม้ ลี กั ษณะทเี่ ปน็ อดุ มคตอิ ยา่ งสมบรู ณด์ ว้ ย
พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 99
การให้มคี ุณสมบัติของผูห้ ญงิ ทเ่ี ป็นอดุ มคตแิ ละเป็นแม่ในอดุ มคติ รวมทงั้ การดำ� เนนิ วชิ าชพี ในอดุ มคติ
คอื อาชพี ครซู งึ่ เปน็ แมพ่ มิ พข์ องชาตทิ ท่ี ำ� หนา้ ทสี่ รา้ งพลเมอื งดขี องรฐั ตอ่ ไป และมบี ทบาทของแมใ่ นฐานะ
การเปน็ ผปู้ ระกอบอาชพี อน่ื ๆ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ชาตนิ อกเหนอื จากการทำ� งานบา้ นแตเ่ ดมิ เพอ่ื เลยี้ งดู
ลกู เชน่ นางสมเพด็ โดยไมม่ สี ามใี หม่ โดยสมเพด็ ใหเ้ หตผุ ลทไี่ มห่ าสามใี หมว่ า่ ไมอ่ ยากใหล้ กู มพี อ่ หลายคน
ลูกคงจะไม่มีความสุขและสามีทต่ี ายไปก็คงไม่ตอ้ งการให้ท�ำอย่างนนั้ ทางออกของสมเพ็ดจงึ ไม่ใช ่
การสรา้ งครอบครวั กบั ชายใหม่ แตเ่ ปน็ การทำ� ตวั เขม้ แขง้ เลย้ี งลกู ตามลำ� พงั อยา่ งดที ส่ี ดุ บทบาทของแม่
ผ่านตัวนางสมเพ็ดเป็นการช้ีน�ำคุณสมบัติท่ีพึงประสงค์ของผู้หญิงและคุณสมบัติที่ดีของแม่ ซึ่งเป็น
การสร้างบรรทัดฐานของผู้หญิงท่ีอยู่ในสถานะอย่างนางสมเพ็ดท่ีมีอาชีพท�ำงานนอกบ้านมีสิทธ ิ
และหน้าทเ่ี ทียบเทา่ ผชู้ าย ทำ� ใหด้ ูแลและเล้ยี งลูกให้ไดด้ ี โดยไมต่ ้องแตง่ งานใหม่ นอกจากนี้ตวั ของ
นางสมเพ็ดเองยังด�ำรงอยู่ในกรอบของขนบจารีตในแบบเดิมคือการที่ไม่คิดหาสามีใหม่ (อุมารินทร์
ตุลารักษ,์ 2550: 102) ซึง่ สอดคลอ้ งกับแนวปฏบิ ตั ิของสหพนั ธ์แม่หญิงลาวทน่ี ำ� เอาฮีตครองแตเ่ ดิม
มาเป็นแนวในการก�ำหนดหน้าท่ีของผู้หญิงหม้ายท่ีจะแต่งงานใหม่ได้หลังจากสามีตายไปแล้ว 3 ปี
และการมีสามีใหม่เป็นส่ิงที่ไม่เหมาะสมในสังคมลาว ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้
ย่อมประสบความส�ำเร็จในสิ่งที่ท�ำด้วยการจบเรื่องว่ายสี่ บิ ปตี อ่ มาลกู ของนางทกุ คนเปน็ คนดี มอี าชพี
ม่ันคง หาเลี้ยงตัวเองได้ อันถือว่าเป็นความส�ำเร็จของอุดมการณ์ครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่ง
ของอุดมการณช์ าติ เพราะความสำ� เรจ็ ในการสร้างคนที่มีคุณภาพย่อมส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ
ตามนโยบายสามดสี องหนา้ ทข่ี องรฐั
นอกจากนยี้ งั พบความเสยี สละในบทบาทของ “แม”่ เชน่ เรอ่ื ง “หลวงพะบางทรี่ กั ” ของดวงไซ
หลวงพะสี ซงึ่ เขยี นขน้ึ ในปี ค.ศ. 2000 โดยกลา่ วถงึ ทา้ วพอนสแี ละนางพสู ี ไดเ้ รยี นรแู้ ละท�ำความรูจ้ ักกนั
และกัน จนกระท่ังเปลี่ยนแปลงไปเป็นความรัก ท้ังท้าวพอนสีและนางพูสีมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
แมจ้ ะมีอปุ สรรคในเรอ่ื งอายุที่ตา่ งกนั นางพสู พี าท้าวพอนสไี ปพบแม่ของตน คอื นางมะนีจัน กไ็ ดพ้ บ
กบั ความจรงิ ทว่ี า่ นางมะนจี นั คอื แฟนเกา่ ทค่ี รงั้ หนง่ึ เคยคดิ จะแตง่ งานกนั ทา้ วพอนสแี ละนางมะนจี นั
รู้สึกผิดต่อกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายท้าวพอนสีรู้สึกผิดต่อนางมะนีจันที่ได้มารักชอบกับลูกสาวของนาง
ดงั ความวา่ “ถา้ รวู้ า่ …นางคอื ลกู สาวของเจา้ ขอ้ ยสาบานวา่ ...จะบข่ อขอ้ งเกยี่ วกบั นางเลย เพอื่ บอ่ ยาก
เขียนหน้าประวัติศาสตร์แห่งต�ำนานรักให้ซ้�ำรอยทั้งยากท้ังหัวแปลกประหลาดคือแนวน้ี (ดวงไซ
หลวงพะสี, 2000: 26) ส่วนนางมะนีจันรู้สึกผิดต่อท้าวพอนสีที่คร้ังหน่ึงได้ทรยศต่อความรักท่ี
ทา้ วพอนสีมใี ห้ แต่เมอ่ื พรหมลิขิตมาเปน็ เช่นนี้นางมะนจี นั จึงยอมรบั ในโชคชะตา “ขอ้ ยมีความยนิ ดี
ทเี่ จา้ เจา้ ...แทนทจี่ ะเปน็ คนรกั ชำ�้ พดั กบั มาเปน็ ลกู เขย นน้ั ถอื การทดแทนทขี่ อ้ ยไดเ้ ฮด็ ผดิ กฎมนเทยี นบาน
แห่งความรักท่ีมีต่อเจ้า” (ดวงไซ หลวงพะสี, 2000: 26) ในฐานะของนางมะนีจันซ่ึงอยู่ในบทบาท
ของแม่จึงต้องเสียสละให้แก่ลูกเสมอ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่และให้แสดงถึง
ความเป็น “แมท่ ด่ี ”ี ต่อลูก ความเสียสละของแม่จึงเกิดท้ังในบรบิ ทของความล�ำบากในการตดั สนิ ใจ
เรื่องความรัก โดยเรื่องท่ียกตัวอย่างมาน�ำเสนอล้วนแต่สร้างบรรทัดฐานของวาทกรรม “แม่ที่ดี”
ตามแนวทางการสร้างแม่หญงิ ลาวท้งั สิ้น
พร้อมกันน้ันมีการเสนอภาพแม่ในฐานะที่มีความรักต่อลูกแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันหรือไม่ได้
ท�ำหน้าที่แม่ ตามแบบแผนแม่ท่ีดี คือการเล้ียงดูลูก งานเขียนในยุคสังคมนิยมไม่ได้ให้ภาพแม่
เหมอื นเดมิ แตไ่ ดส้ ะทอ้ นถงึ ความรกั ความผกู พนั ในบทบาทความเปน็ แมท่ มี่ ตี อ่ ลกู แมไ้ มไ่ ดเ้ ลย้ี งดแู ต่