200 พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีเร่ืองราวเก่ียวกับผู้หญิงที่ปรากฏในคัมภีร์ในด้านไม่ดีอยู่หลาย
คมั ภีรด์ ้วยกนั พทุ ธศาสนิกชนบางคนเมอื่ ไดอ้ ่านพระไตรปฎิ กในเล่มที่ 27 หรอื 28 จะมเี ร่ืองราว
เกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ทไี่ มด่ อี ยหู่ ลายเรอ่ื ง ตวั อยา่ งเชน่ คำ� กลา่ ววา่ “หญงิ ทงั้ หลายยวั่ ยวนใหล้ มุ่ หลงมมี ายามาก
ทำ� พรหมจรรยใ์ หก้ ำ� เรบิ ยอ่ มทำ� ใหล้ ม่ จมเสยี หาย ชายรแู้ จง้ ชดั แลว้ พงึ เวน้ เสยี ใหห้ า่ งไกล” (ข.ุ ชา (ไทย)
28/349/154)
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 และ 28 น้ี เป็นเลม่ ท่พี ระเถระผู้สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั รวบรวม
จัดหมวดหมู่ไว้ โดยจัดหมวดหมู่ท้ังสองเล่มนี้ให้เป็นเร่ืองเก่ียวกับชาดกท้ังหมด เมื่อกล่าวถึงชาดก
ชาวพุทธส่วนใหญจ่ ะนึกถงึ นทิ านชาดก ดังนนั้ เรื่องเกีย่ วกับผูห้ ญิงในชาดกเหลา่ นี้ จึงเปน็ ลักษณะ
เรอ่ื งเลา่ หรอื เปน็ นทิ านประกอบการสอนของพระพทุ ธเจา้ หลายคนอาจตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ นทิ านเหลา่ น้ี
ไมน่ า่ ทจ่ี ะเปน็ เรอื่ งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนจรงิ แตผ่ เู้ ขยี นเหน็ วา่ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงยกนทิ านเหลา่ น ี้
มาประกอบการสอนคนในยุคนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเร่ืองที่มีอยู่ในสมัยนั้นและเป็นท่ีเข้าใจง่าย
แกย่ คุ สมยั ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ อาจมเี รอื่ งเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ทดี่ เู หมอื นเปน็ ลกั ษณะตำ� หนิ ดหู มนิ่ ประกอบอยดู่ ว้ ย
ในความเปน็ จรงิ แลว้ ในชาดกเหลา่ นนั้ ยงั มเี รอื่ งอนื่ ๆ อกี มาก และรวมถงึ เรอ่ื งเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ในดา้ นดี
กม็ อี ยดู่ ว้ ย เชน่ ในสลุ สาชาดก มขี อ้ ความทกี่ ลา่ วถงึ ผหู้ ญงิ วา่ มปี ญั ญา มคี วามสามารถ ทดั เทยี มผชู้ าย
วา่ “ใช่วา่ ชายจะเปน็ บัณฑิตในที่ทุกสถานกห็ าไม่ แมห้ ญงิ มีปัญญาเหน็ ประจักษ์ในเร่อื งน้นั ๆ กเ็ ปน็
บัณฑิตได้ ใช่ว่าชายจะเป็นบัณฑิตในที่ทุกสถานก็หาไม่ แม้หญิงมีปัญญาคิดเน้ือความได้ฉับพลัน
กเ็ ป็นบัณฑติ ได”้ (ขุ.ชา. (ไทย) 27/22-23/288)
จากเร่ืองเก่ียวกับชาดกดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาข้างตน้ นี้ ผเู้ ขยี นเคยได้เขยี นสรุปไว้ในหนังสอื สตรี
ในพระพุทธศาสนา ว่าเป็นเพราะเหตุปจั จยั 5 ประการ (มนตร ี สริ ะโรจนานันท,์ 2557: 20) ไดแ้ ก่
1) เป็นการสอนเฉพาะคนหรือเฉพาะกรณี ในชาดกท่ีมีเร่ืองเก่ียวกับผู้หญิงที่ไม่ดีปรากฏอยู่นั้น
พระพทุ ธเจา้ มงุ่ สอนพระภกิ ษบุ วชใหมใ่ หค้ ลายจากความกำ� หนดั ยนิ ดใี นเพศตรงขา้ ม ซง่ึ ปญั หาใหญข่ อง
พระภกิ ษุที่บวชใหม่ ซึง่ ยังเป็นหนุม่ ส่วนมากและเกือบท้งั หมดคอื มีคนรักอยแู่ ลว้ กอ่ นบวช เมอ่ื บวช
มาแล้วจึงยังไม่สามารถท่ีจะตัดใจจากคนท่ีตนรักเพ่ือมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มท่ี ฉะน้ัน
พระพทุ ธเจา้ จงึ ตอ้ งพยายามหากศุ โลบายในการสอนและชาดกเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ กเ็ ปน็ วธิ กี ารอยา่ งหนง่ึ
ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงใช้ และชาดกเรอื่ งนนั้ ๆ กเ็ ปน็ การสอนเฉพาะกรณี มไิ ดห้ มายถงึ ใชป้ ระกอบการสอน
ในทุกกรณี
2) ผู้ฟงั สว่ นใหญเ่ ปน็ พระภกิ ษุ ขอ้ ทส่ี องกต็ อ่ เนอ่ื งจากขอ้ แรก เรอื่ งเลา่ ในชาดกนนั้ พระพทุ ธเจา้
ใชเ้ ปน็ กศุ โลบายเพอื่ สอนพระภกิ ษเุ ปน็ หลกั หลายเรอ่ื งในชาดกทง้ั ทเี่ กยี่ วกบั ผหู้ ญงิ เมอื่ พระพทุ ธเจา้
ประสงค์จะตรสั สอนพระภกิ ษุ พระองคจ์ ึงใช้ทั้งคำ� ส่ังสอน ทั้งปฏบิ ตั ใิ ห้ดู และสอนด้วยเรอื่ งเลา่ หรือ
สภาพแวดลอ้ มรอบขา้ ง เพอื่ ใหพ้ ระภกิ ษสุ าวกของพระองคม์ คี วามตงั้ ใจปฏบิ ตั ติ ามธรรมวนิ ยั มกี ำ� ลงั ใจ และ
ไม่เบื่อหน่ายในการประพฤติพรหมจรรย์
3) ให้คุณค่าแก่ความเป็นบรรพชิต (พระภิกษุ) ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นเรื่องต่อเน่ืองจาก
สองขอ้ แรก เมอื่ บคุ คลใดตดั สนิ ใจออกบวชเปน็ พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนาแลว้ จะตอ้ งมภี าระหนา้ ท่ี
ทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามทง้ั ขอ้ หา้ มมใิ หก้ ระทำ� (คอื พระวนิ ยั ) และหลกั ปฏบิ ตั ทิ คี่ วรปฏบิ ตั ติ าม (คอื พระธรรม)
ซง่ึ หลกั การทงั้ สองอยา่ งนี้ จะมเี รอ่ื งทม่ี าขดั ขวางหรอื อาจทำ� ใหพ้ ระภกิ ษปุ ฏบิ ตั ไิ ดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี คอื ผหู้ ญงิ
ซ่ึงเป็นเพศตรงข้าม ดังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงได้แนะน�ำพร่�ำสอนให้พระภิกษุเรียนรู้และสังวรระวัง
พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 201
อยู่เสมอ เม่ือพระพุทธศาสนาให้คุณค่าแก่ความเป็นบรรพชิต ผู้ท่ีออกบวชมาจึงต้องปฏิบัติตนและ
สำ� รวมใจใหส้ มกบั ความเปน็ บรรพชติ โดยเฉพาะตอ้ งงดเวน้ เรอ่ื งตา่ งๆ อนั เปน็ อปุ สรรคตอ่ พรหมจรรย์
4) เพ่ือเป้าหมาย คือ ความหลุดพ้นจากกิเลส การสอนพระภิกษุของพระพุทธเจ้านั้น
มีเป้าหมายหลัก คือ เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส การหลุดพ้นจากกิเลสนี้เป็นการทวนกระแส
ความต้องการของชวี ิต ทมี่ ักอยากได้ อยากมีในเรอ่ื งท่ีสขุ สะดวก สบาย ตามกิเลส เพ่ือให้บรรลุถึง
เปา้ หมายพน้ จากกเิ ลสนี้ พระพทุ ธเจา้ จงึ พยายามสอนพระภกิ ษใุ หป้ ฏบิ ตั ติ าม เรอื่ งใดทจี่ ะมาเปน็ อปุ สรรค
ขดั ขวางพระองคจ์ ะหากศุ โลบายวธิ มี าชว่ ยสอนเพอื่ ใหพ้ ระภกิ ษปุ ฏบิ ตั ติ ามไดอ้ ยา่ งเตม็ ใจ และเปา้ หมาย
เพ่ือการหลุดพ้นน้ี เป็นเรื่องที่ยาก หากภิกษุยังไม่สามารถตัดใจให้ห่างจากเพศตรงข้ามได้ ดังน้ัน
ในชาดกหลายเรอ่ื ง พระพุทธเจา้ จงึ สอนเรื่องผูห้ ญิงทไี่ ม่ดเี พ่ือใหพ้ ระภกิ ษุตดั ใจได้
5) ปัจจัยจากวัฒนธรรมและสังคมในยุคน้ัน สังคมอินเดียในสมัยพุทธกาลเป็นสังคม
แห่งชนชั้นและวรรณะ เพราะมีประวัติความเป็นมาของเช้ือชาติท่ีต่างกัน โดยแยกเป็นชนพื้นเมือง
กบั ชนเผา่ อารยนั ทเี่ ขา้ มายดึ ครอง จากนนั้ มา ชาวอารยนั ไดก้ ำ� หนดวรรณะ 4 ขน้ึ เพอ่ื กดี กนั ชนพน้ื เมอื ง
มิให้มีบทบาทและอ�ำนาจเสมอพวกตน รวมถึงได้กีดกันผู้หญิงออกไปจากบทบาทหลักของสังคม
โดยเฉพาะเร่ืองศาสนา ซ่ึงเป็นเรื่องพิธีกรรม จิตวิญญาณและส่ิงเหนือธรรมชาติ ปัจจัยส�ำคัญ
อีกประการหนึ่งที่ท�ำให้ผู้หญิงในยุคนี้ตกต่�ำลง คือ ผู้หญิงในยุคน้ันมิได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา
และต้องแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย ปัจจัยจากวัฒนธรรมและสังคมเหล่าน้ี ท�ำให้พระพุทธเจ้า
เมอ่ื จะกลา่ วถงึ เรอื่ งผหู้ ญงิ จำ� เปน็ ทพี่ ระองคต์ อ้ งกลา่ วถงึ ตามบรบิ ทสงั คมทผ่ี หู้ ญงิ เหลา่ นน้ั ปรากฏอยู่
จึงมีปรากฏเร่อื งผหู้ ญิงที่ไม่ดีขึน้ ในคมั ภรี ข์ องพระพทุ ธศาสนาด้วย
ผหู้ ญิงในสมัยพทุ ธกาล
การศึกษาเรื่องผู้หญิงในพระพุทธศาสนาให้เข้าใจชัด ควรที่จะศึกษาเรื่องราวจากผู้หญิงใน
สมัยพุทธกาล (จากคัมภีร์) อันจะท�ำให้เข้าใจถึงสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงได้ดีขึ้น จาก
การศกึ ษาขอ้ มลู จากคมั ภรี ใ์ นทางพระพทุ ธศาสนาเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาในฐานะพทุ ธบรษิ ทั
ก่ึงหน่ึงน้ัน ในสมยั พุทธกาล จะกล่าวถึงผูห้ ญงิ ใน 2 สถานะ คือ ในฐานะอบุ าสกิ า (ผู้หญิงชาวบ้าน
ท่ีไม่ได้ออกบวช) แต่ค�ำที่ใช้เรียกผู้หญิงฆราวาส (ผู้ครองเรือน)ว่า อุบาสิกาน้ี จะหมายถึงผู้หญิง
ทมี่ ลี กั ษณะตา่ งไปจากฆราวาสทวั่ ไปในดา้ นพระพทุ ธศาสนา คอื จะมคี วามใกลช้ ดิ พระศาสนามากกวา่
การปฏบิ ตั ติ วั ทบ่ี ง่ บอกถงึ ความเปน็ ผนู้ บั ถอื พระรตั นตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆเ์ ปน็ สรณะ
ทพี่ งึ่ การถวายทาน รกั ษาศลี พรอ้ มทง้ั ฟงั ธรรมในระดบั ทมี่ ากกวา่ ผหู้ ญงิ ชาวบา้ นทวั่ ไป อกี สถานะหนง่ึ
ของผหู้ ญงิ ในสมยั พทุ ธกาล คอื ผู้หญิงในฐานะนักบวชท่ีเรยี กวา่ ภกิ ษณุ ี
ผู้หญงิ ในฐานะอบุ าสกิ า
อบุ าสกิ า คอื ผหู้ ญงิ ผทู้ นี่ บั ถอื พระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ เปน็ สรณะ เปน็ ผมู้ คี วามใกลช้ ดิ
พระศาสนามากกว่าผู้หญิงท่ัวไป มีหน้าที่และแนวปฏิบัติตามพระด�ำรัสท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
1) เปน็ ผมู้ ีศรทั ธา 2) เป็นผู้มีศลี 3) เปน็ ผู้ไมถ่ อื มงคลต่ืนขา่ ว เช่ือกรรม ไมเ่ ช่อื มงคล 4) ไม่แสวงหา
ผู้รับทกั ษิณานอกศาสนาน้ี 5) ทำ� อปุ การะในศาสนาน้ีก่อน (องฺ.ปญฺจก. (ไทย) 22/175/293) ลกั ษณะ
ทงั้ 5 ประการนี้ อาจไม่ใช่ขอ้ ความที่พระพทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ อบุ าสิกาโดยตรง แตเ่ ป็นพระด�ำรัสท่ตี รัสถงึ
ลักษณะของอุบาสก
202 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ผู้เขียนเห็นว่า ท้ังอุบาสกและอุบาสิกา มีลักษณะและหน้าท่ีในการท�ำนุบ�ำรุงพระศาสนา
ไมต่ า่ งกนั พระดำ� รสั นจ้ี งึ ใชไ้ ดท้ ง้ั อบุ าสก (ชาย) และอบุ าสกิ า (หญงิ ) จากพระดำ� รสั ขา้ งตน้ นน้ั ทำ� ให้
เข้าใจได้ว่า อุบาสิกามีลักษณะและหน้าที่เป็นอย่างไร เบ้ืองต้น อุบาสิกาน้ันจะต้องเป็นผู้มีศรัทธา
เชอื่ มน่ั และนบั ถอื พระรตั นตรยั ไมเ่ ชอ่ื เรอ่ื งแปลกประหลาดวา่ เปน็ เรอื่ งอภนิ หิ าร ถา้ จะเทยี บกบั ในยคุ นี้
อาจหมายถึงไม่เช่อื ตนื่ ขา่ วไปกับสัตวแ์ ปลกประหลาด เช่น งูสที อง ปลาสีทอง แลว้ กราบไหวข้ อเลข
กันไป อุบาสิกาต้องเป็นผู้มีศีลอย่างน้อย คือ ศีล 5 หรือศีล 8 ส�ำหรับอุบาสิกาที่ต้องการปฏิบัติ
อย่างเคร่งครัด และประการสุดท้าย อุบาสิกาจะต้องท�ำนุบ�ำรุงพระศาสนา ท�ำบุญถวายทานแก ่
พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาเป็นหลกั
นอกจากหนา้ ทข่ี องอบุ าสกิ าดงั กลา่ วแลว้ อบุ าสกิ าควรไปฟงั ธรรม รวมถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรมดว้ ย
ลกั ษณะทเ่ี ดน่ ประการหนงึ่ ของผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาในสมยั พทุ ธกาล คอื ผหู้ ญงิ หลายคนไดศ้ กึ ษา
ธรรม ปฏิบัติธรรมและไดร้ ับผลของการปฏบิ ัติ อันไดแ้ ก่ บรรลธุ รรม การไดร้ บั สทิ ธแิ ละโอกาสต่างๆ
ของผู้หญิงในฐานะอุบาสิกานั้น แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาเปิดโอกาสให้แก่ผู้หญิงได้ศึกษา
และปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ หากผู้หญิงคนใดมีความตั้งใจมีความมุ่งม่ัน เธอย่อมมีสิทธิท่ีจะได้ปฏิบัติ
ตามคำ� ส่ังสอนและบรรลธุ รรมไดอ้ ยา่ งไมม่ ีขอ้ จ�ำกัด หลกั ฐานสำ� คัญอยา่ งหน่ึงท่เี ปน็ เคร่อื งยืนยันวา่
พระพทุ ธศาสนาใหค้ วามส�ำคญั แกผ่ ้หู ญิงในฐานะอบุ าสกิ า คือ มอี บุ าสิกาท่ีได้รบั ยกยอ่ งว่าเปน็ ผเู้ ลศิ
กว่าอุบาสกิ าคนอนื่ (เปน็ เอตทคั คะ) ดงั ปรากฏในพระไตรปฎิ กเลม่ ที่ 20 ว่าอบุ าสกิ าทไี่ ด้รบั ยกยอ่ ง
วา่ เป็นเอตทคั คะมจี ำ� นวน 10 คน คอื
1. สชุ าดา ธดิ าของเสนานกี ฎุ มุ พเี ลศิ กวา่ อุบาสิกาสาวกิ าท้งั หลาย ผูถ้ ึงสรณะกอ่ น
2. วิสาขา มคิ ารมาตา เลศิ กวา่ อุบาสกิ าสาวกิ าท้ังหลาย ผ้ยู ินดยี ิง่ ในการถวายทาน
3. ขุชชุตตรา เลศิ กวา่ อบุ าสิกาสาวิกาท้งั หลาย ผู้เป็นพหูสูต
4. สามาวดี เลิศกวา่ อบุ าสิกาสาวกิ าท้งั หลาย ผู้มีปกติอยู่ดว้ ยเมตตา
5. อตุ ตรา นนั ทมาตา เลศิ กว่าอุบาสกิ าสาวกิ าท้ังหลาย ผ้ยู ินดใี นฌาน
6. สปุ ปวาสา โกลยิ ธิดา เลิศกวา่ อุบาสกิ าสาวิกาทัง้ หลาย ผู้ถวายรสอันประณตี
7. สปุ ปยิ า อุบาสิกา เลิศกว่าอบุ าสิกาสาวกิ าทัง้ หลาย ผบู้ �ำรุงภกิ ษอุ าพาธ
8. กาตยิ าน ี เลิศกว่าอบุ าสิกาสาวกิ าท้งั หลาย ผ้เู ลอื่ มใสอย่างแนน่ แฟน้
9. นกุลมาตา คหปตานี เลิศกวา่ อุบาสิกาสาวิกาทั้งหลาย ผู้กล่าวถ้อยค�ำ
ทท่ี �ำใหเ้ กดิ ความคนุ้ เคย
10. กาลี อบุ าสิกาชาวเมืองกุรรฆระ เลิศกว่าอบุ าสิกาสาวิกาทัง้ หลาย ผเู้ ล่ือมใส
เพราะได้ยินไดฟ้ งั ตามๆ กนั มา
(อง.ฺ เอกก. (ไทย) 20/258-267/32-33)
ส�ำหรับอุบาสิกาท่ีได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะเหล่านี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างอุบาสิกาท่ีม ี
ชอื่ เสยี งเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั มาก คอื นางวสิ าขา ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผทู้ ม่ี ชี อ่ื เสยี งและโดดเดน่ ในดา้ นการถวายทาน
มากกวา่ คนอน่ื และพทุ ธศาสนกิ ชนมกั จะไดย้ นิ ไดฟ้ งั เรอื่ งราวเกย่ี วกบั นางวสิ าขาอยเู่ สมอ การถวายทาน
ครง้ั ทส่ี ำ� คญั ของนางกค็ อื การสรา้ งวดั ชอ่ื วา่ บพุ พารามถวายไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา ดว้ ยการสละทรพั ย์
จ�ำนวน 9 โกฏิ
พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 203
ภาพพทุ ธประวตั ินางสามาวดี เอตทัคคะ นางวสิ าขากำ� ลงั ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระพทุ ธเจา้
ดา้ นเมตตา (ท่มี า: http://www.kunkroo.com/
(ทม่ี า: http://board.palungjit.org/) catalog.php?idp=110)
นอกจากนี้ นางวิสาขาได้ทูลขอพร 8 ประการเพื่อขอให้พระพุทธเจ้าเปิดโอกาสให้เป็น
ผถู้ วายผา้ และทานตา่ งๆ รวมแลว้ ได้ 8 อยา่ ง คอื ผา้ วสั สกิ สาฎก (ผา้ อาบนำ้� ฝน) อาคนั ตกุ ภตั (อาหาร
สำ� หรบั ภกิ ษทุ ม่ี าขอพกั อาศยั ) คมกิ ภตั (อาหารสำ� หรบั ภกิ ษทุ เี่ ตรยี มจะเดนิ ทางไป) คลิ านภตั (อาหาร
สำ� หรับภกิ ษุไข)้ คิลานปุ ัฏฐากภตั (อาหารส�ำหรบั ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลภิกษุไข)้ คิลานเภสัช (ยาส�ำหรบั
ภิกษุไข้) ธุวยาคู (ข้าวต้มท่ีถวายเป็นประจ�ำ) แก่พระสงฆ์ และถวายผ้าอาบน้�ำแก่ภิกษุณีสงฆ์
จนตลอดชวี ติ (วิ.มหา.(ไทย) 5/350/221)
อบุ าสกิ าเปน็ ผหู้ ญงิ ผใู้ กลช้ ดิ พระศาสนาแมไ้ มไ่ ดบ้ วชเปน็ ภกิ ษณุ ี กส็ ามารถทจ่ี ะปฏบิ ตั ธิ รรมได้
ในอดีตมีผู้หญิงที่ได้ปฏิบัติธรรมในฐานะอุบาสิกาเป็นตัวอย่างไว้มากมาย และตัวอย่างของผู้หญิง
ในด้านน้ีสามารถค้นหาได้จากอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องไว้ในต�ำแหน่งเอตทัคคะทางด้าน
ที่เกย่ี วเน่ืองกบั การปฏิบตั ิธรรม คอื นางสามาวดี เปน็ ผูเ้ ลศิ กวา่ อบุ าสกิ าทง้ั หลายในดา้ นเปน็ ผมู้ ปี รกติ
อยู่ด้วยเมตตาและนางอุตตรา นันทมาตาเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในด้านเป็นผู้ยินด ี
ในฌาน (องฺ.เอกก.(ไทย)20/261-262/32) และอุบาสิกาอีกคนทสี่ ามารถปฏบิ ตั ธิ รรมและไดบ้ รรลถุ งึ
ข้ันอนาคามี คือ นางนันทมาตา ชาวเมืองเวฬุกัณฏกี (องฺ.สตฺตก.(ไทย) 23/53/92-96)
อบุ าสกิ าคนนี้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แม้ไม่ได้ออกบวชแต่วิถีชีวิตมีความเคร่งครัดระดับเดียวกับ
นกั บวช การปฏบิ ตั ธิ รรมของนางปรากฏชดั ในหลายๆ กรณี เชน่ ในขณะทลี่ กู ชายของตนถกู พระราชา
ตดั สนิ ประหารชวี ติ นางกม็ ไิ ดร้ สู้ กึ โกรธเคอื งแตอ่ ยา่ งใด ตง้ั แตไ่ ดแ้ ตง่ งานมากไ็ ดท้ ำ� หนา้ ทขี่ องภรรยา
อย่างดีไม่เคยคิดนอกใจ นางสามารถเข้าฌานได้อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน
และนางไดส้ �ำเรจ็ เปน็ พระอนาคามีทั้งๆ ทย่ี งั เป็นฆราวาสอยู่
204 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ตัวอย่างของอุบาสิกาที่ยกมาน้ี พอเป็นแนวทางให้ผู้สนใจได้ทราบถึงสถานะและบทบาท
ของผู้หญิงในสมัยพุทธกาลว่า ผู้หญิงเหล่านี้ได้ปฏิบัติตนตามความเหมาะสมแก่ฐานะและได้แสดง
ความสามารถของตนในทางศาสนาดว้ ยการปฏบิ ตั ธิ รรมและบรรลธุ รรมใหเ้ ปน็ ทป่ี ระจกั ษไ์ ด้ แมไ้ มไ่ ด้
ออกบวชเปน็ ภกิ ษุณกี ต็ าม
ผ้หู ญิงในฐานะภิกษุณี
ภิกษุณี คือ ผู้หญิงท่ีออกบวชเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
กบั ภกิ ษุ การบวชเปน็ ภกิ ษณุ ใี นคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนามรี ายละเอยี ดและขนั้ ตอนตา่ งๆ อยา่ งชดั เจนวา่
ผู้ท่ีจะบวชเป็นภิกษุณีจะต้องบวชจากสงฆ์ 2 ฝ่าย (ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์และฝ่ายภิกษุสงฆ์) และ
กระบวนการบวชนั้นเสร็จสมบูรณ์ในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก่อน หลังจากน้ันจึงจะไปท�ำสังฆกรรมซ้�ำ
ในฝา่ ยภกิ ษสุ งฆอ์ กี ครงั้ หนง่ึ จะเหน็ วา่ ขนั้ ตอนทส่ี ำ� คญั นนั้ อยใู่ นฝา่ ยภกิ ษณุ สี งฆ์ สว่ นในฝา่ ยภกิ ษสุ งฆ์
เปน็ เพียงการรับรองเทา่ น้ัน
ภกิ ษณุ ที ี่วัดทรงธรรมกลั ยาณี
(ที่มา: http://www.aljazeera.com/indepth/inpictures/2013/06/20136295128230163.html)
ในการอุปสมบทเป็นภิกษุณีน้ัน สมัยท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ในช่วงแรก
ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษบุ วชผหู้ ญงิ ใหเ้ ปน็ ภกิ ษณุ แี ตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี วดว้ ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา (ว.ิ จ.ู (ไทย)
7/404/321) ต่อมาเม่ือมีภิกษุณีสงฆ์และมีภิกษุณีผู้มีความรู้ความสามารถท่ีจะเป็นปวัตตินีได ้
(บวชมา 12 พรรษาขึ้นไป และได้รับการแต่งต้งั จากภิกษุณสี งฆแ์ ลว้ ) พระพุทธองค์จงึ ทรงอนญุ าตให้
มีการบวชเป็นภิกษุณีจากสงฆ์ 2 ฝ่าย โดยขอบวชในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก่อน และการอุปสมบท
ในภิกษุณีสงฆ์น้ันมีรูปแบบที่ชัดเจนว่าเป็นสังฆกรรมโดยพิจารณาจากค�ำสวดญัติจตุตถกรรมวาจา
เม่ือท�ำพิธีอุปสมบทในฝ่ายภิกษุณีเสร็จแล้ว ภิกษุณีจึงน�ำผู้ที่จะบวชไปขออุปสมบทจากภิกษุสงฆ์
พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 205
อกี คร้ังหน่งึ และพระภกิ ษุสงฆ์ก็จะสวดญตั ตจิ ตุตถกรรมวาจาคลา้ ยกนั น้อี ีกครั้งหนง่ึ ผูเ้ ขียนขอสรปุ
ขั้นตอนลำ� ดบั การบวชเปน็ ภิกษุณี ดงั นี้
ก. คณุ สมบัติของผูท้ ่จี ะบวชให้ (ปวัตตนิ ี)
ตอ้ งมภี กิ ษณุ เี ปน็ ผปู้ วตั ตนิ ี (อปุ ชั ฌาย)์ ทถี่ กู ตอ้ ง คอื มพี รรษา 12 ขนึ้ ไป และไดร้ บั แตง่ ตงั้ จาก
ภกิ ษณุ ีสงฆ์แลว้ ปวัตตินีแต่ละรูปบวชนางสิกขมานาใหเ้ ปน็ ภิกษณุ ไี ด้ 2 ปตี อ่ 1 รปู เท่านน้ั
ข. คุณสมบัติของผหู้ ญงิ ท่ีจะบวช
ผู้หญิงท่ีจะบวชจะต้องมีอายุต้ังแต่ 12 ปีข้ึนไป(กรณีที่เคยมีสามีแล้ว คนอินเดียในสมัยนั้น
มปี ระเพณีการแต่งงานตงั้ แตอ่ ายยุ ังนอ้ ย ผู้หญงิ บางคนอาจแตง่ งานต้งั แตอ่ ายุ 10 ปี) และตอ้ งได้รบั
อนุญาตจากบิดา มารดา หรือจากสามีก่อน หากไม่เคยแต่งงานมาก่อนจะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
(ว.ิ ปร.ิ (ไทย) 8/238/304-306)
ค. ข้นั ตอนและวธิ กี ารบวช
1) ในกรณีที่ผู้จะบวชมอี ายตุ ำ่� กว่า 20 ปี (กรณที ไ่ี ม่เคยแต่งงานมากอ่ น) ตอ้ งขอบวชเปน็
สามเณรถี อื ศีล 10 ปกี ่อน จากนัน้ เมอื่ มีอายุครบ 18 ปี ตอ้ งขอมตติ ่อภกิ ษณุ สี งฆเ์ พอื่ เปน็ สกิ ขมานา
(คล้ายสามเณร)ี แตถ่ ือศีลเพียง 6 ข้อ (ศีล 6 ข้อแรกในศีล 10 ของสามเณร)ี โดยไมล่ ่วงละเมิดตลอด
เวลา 2 ปี ถ้าล่วงละเมิดขอ้ ใดข้อหน่ึงต้องตัง้ ต้นสมาทานใหม่อกี 2 ปี (วิ.ภกิ ฺขุนี. (ไทย) 3/1077-
1080/296-298.)
- เม่อื ครบ 2 ปี และภิกษณุ ีสงฆใ์ ห้การรบั รองแล้ว จงึ ทำ� พธิ อี ุปสมบทเปน็ ภิกษุณใี นภกิ ษณุ ี
สงฆก์ ่อน แลว้ ภิกษณุ สี งฆน์ ำ� ไปขออุปสมบทในภิกษุสงฆอ์ กี คร้งั หนงึ่
2) ในกรณที ผี่ ้หู ญิงที่จะบวชมีอายคุ รบ 20 ปี หรอื เคยแตง่ งานแล้วมีอายุ 12 ปี เป็นต้นไป
ตอ้ งบรรพชาและรบั สมมตเิ ป็นสิกขมานาในภิกษณุ สี งฆ์กอ่ น เมือ่ สมาทานสิกขาบท 6 ข้อได้บรบิ ูรณ์
ตลอด 2 ปี และภิกษณุ สี งฆไ์ ด้ใหก้ ารรับรองแล้ว จงึ ทำ� พิธอี ปุ สมบทเป็นภิกษุณใี นภกิ ษณุ ีสงฆ์ และ
ภิกษุสงฆต์ ามลำ� ดบั
ผหู้ ญงิ ในอนิ เดยี สมยั นนั้ แมจ้ ะไดบ้ วชเปน็ ภกิ ษณุ แี ลว้ ยงั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามวนิ ยั จำ� นวนทม่ี ากกวา่
ภิกษุ คือภิกษุณีต้องถอื ศลี จ�ำนวน 311 ขอ้ และต้องปฏิบตั ติ ามครุธรรม 8 อย่างเคร่งครัด พระภกิ ษณุ ี
ยงั ตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารดแู ลของพระภกิ ษเุ พอื่ ความปลอดภยั และสะดวกในการศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั เพราะ
ยคุ สมยั และบรบิ ททางสงั คมของอนิ เดยี ทย่ี ดึ มน่ั อยา่ งแนน่ หนา ทำ� ใหท้ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงอนญุ าตให้
พระภกิ ษกุ บั พระภกิ ษณุ ไี หวก้ นั ตามลำ� ดบั พรรษา ทรงกำ� หนดใหภ้ กิ ษณุ แี มจ้ ะบวชมานานแลว้ จะตอ้ ง
ไหวภ้ กิ ษเุ สมอหรอื หา้ มไมใ่ หพ้ ระภกิ ษณุ สี อนธรรมแกพ่ ระภกิ ษุ แตใ่ หพ้ ระภกิ ษเุ ทา่ นน้ั สอนพระภกิ ษณุ ี
ได้ (มนตรี สบื ดว้ ง, 2550 : 101-127) ข้อห้ามและข้อกำ� หนดตา่ งๆ เหลา่ น้ี สะท้อนให้เหน็ ถงึ บริบท
ของสังคมในยุคน้ัน ท่ีผู้หญิงถูกกดข่ีจากสังคมของพราหมณ์เป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่า ผู้หญิง
ในยุคน้ันและก่อนหน้าน้ัน ถูกกีดกันไม่ให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน จึงท�ำให้พวกเธอไม่มีความรู้
ในเรอ่ื งตา่ งๆ ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ ทำ� ใหม้ คี ำ� สอนบางอยา่ งในพระพทุ ธศาสนาตอ้ งอนโุ ลมตามสงั คมทเี่ ชอ่ื ถอื
กันอย่างนน้ั
ถึงแม้ภิกษุณีจะอยู่ในสถานะภาพท่ีไม่เสมอทัดเทียมภิกษุ แต่ภิกษุณีในสมัยน้ันได้พิสูจน์
ตนเองให้เป็นประจักษ์ว่า สามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ รวมถึงสามารถเผยแผ่สั่งสอนธรรม
แกป่ ระชาชนไดไ้ มต่ า่ งจากภกิ ษ ุ หลกั ฐานทเ่ี ปน็ เครอ่ื งยนื ยนั ในเรอ่ื งน้ี คอื ขอ้ มลู จากคมั ภรี ท์ พ่ี ระพทุ ธเจา้
206 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ตรัสยกย่องภิกษุณีว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีรูปอื่นในด้านต่างๆ คือ เป็นเอตทัคคะ มีจ�ำนวน 13 รูป
ได้แก่
1) พระมหาปชาบดีโคตมภี ิกษุณี เลศิ กวา่ ภกิ ษุณที ้งั หลาย ในดา้ นผูร้ รู้ าตรนี าน
2) พระเขมาภิกษณุ ี เลศิ กวา่ ภกิ ษณุ ีท้งั หลาย ในดา้ นผมู้ ีปญั ญามาก
3) พระอบุ ลวัณณาภิกษุณี เลิศกว่าภิกษุณีทง้ั หลาย ในดา้ นผู้มฤี ทธ์ิ
4) พระปฏาจาราภิกษุณี เลิศกวา่ ภิกษุณีท้ังหลาย ในด้านผ้ทู รงวินัย
5) พระธัมมทนิ นาภิกษุณี เลิศกว่าภกิ ษุณที ้งั หลาย ในด้านผเู้ ปน็ ธรรมกถกึ
6) พระนนั ทาภกิ ษุณี เลิศกวา่ ภกิ ษณุ ีทั้งหลาย ในดา้ นผูย้ ินดใี นฌาน
7) พระโสณาภกิ ษุณี เลศิ กว่าภกิ ษุณที งั้ หลาย ในดา้ นผู้ปรารภความเพียร
8) พระสกลุ าภิกษุณี เลศิ กว่าภิกษณุ ที ั้งหลาย ในด้านผูม้ ีจักษุทิพย์
9) พระภัททากณุ ฑลเกสาภิกษุณี เลศิ กวา่ ภกิ ษุณี ในดา้ นผูต้ รัสรู้ได้เรว็ พลนั
10) พระภทั ทากปลิ านีภิกษณุ ี เลศิ กว่าภิกษณุ ที ง้ั หลาย ในด้านผรู้ ะลกึ ชาตกิ อ่ นๆ ได้
11) พระภทั ทากจั จานาภกิ ษณุ ี เลศิ กวา่ ภกิ ษณุ ที ง้ั หลาย ในดา้ นผไู้ ดบ้ รรลอุ ภญิ ญาใหญ่
12) พระกีสาโคตมีภิกษุณี เลิศกว่าภิกษุณที ้งั หลาย ในดา้ นผทู้ รงจวี รเศรา้ หมอง
13) พระสคิ าลมาตาภกิ ษณุ ี เลศิ กวา่ ภกิ ษณุ ที ง้ั หลาย ในดา้ นผพู้ น้ จากกเิ ลสไดด้ ว้ ยศรทั ธา
(องฺ.เอกก.(ไทย) 20/235-247/30-31)
พระภกิ ษณุ ที งั้ 13 รปู ทไ่ี ดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เปน็ เลศิ กวา่ ภกิ ษณุ รี ปู อน่ื ๆ นถี้ อื ไดว้ า่ เปน็ ตวั อยา่ งของ
ภกิ ษณุ แี ละแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงยอมรบั ศกั ยภาพของผหู้ ญงิ ทดั เทยี มกบั ผชู้ ายทเ่ี ปน็
ภกิ ษ ุ เมอื่ ไดอ้ อกบวชเปน็ ภกิ ษณุ แี ลว้ กไ็ ดร้ บั การยอมรบั ในดา้ นตา่ งๆ ตวั อยา่ งเชน่ พระธรรมทนิ นาเถรี
ทส่ี ามารถปฏบิ ตั ธิ รรมจนไดบ้ รรลแุ ลว้ และสามารถเผยแผแ่ กค่ นทวั่ ไปได้ รวมถงึ ไดส้ อนธรรมทลี่ กึ ซงึ้
แกอ่ ดตี สามขี องตนดว้ ย พระธรรมทนิ นาเถรไี ดต้ อบปญั หาแกน่ ายวสิ าขะ(อดตี สาม)ี ทถี่ ามเรอ่ื งตา่ งๆ
ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั สกั กายทฐิ ิ คอื อะไร เกดิ ขน้ึ อยา่ งไร ควรจะดบั อยา่ งไร ถามเรอ่ื งอปุ าทานกบั
อปุ าทานขนั ธ์ 5 เรอื่ งอรยิ มรรคมอี งค์ 8 กบั ไตรสกิ ขา พระธรรมทนิ นาเถรนี เี้ องทเ่ี ปน็ ผอู้ ธบิ ายและสรปุ
อรยิ มรรคนล้ี งในไตรสกิ ขาจนเปน็ แบบอยา่ งใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนรนุ่ หลงั ในยคุ ปจั จบุ นั นใ้ี ชเ้ ปน็ แนวทาง
นอกจากนย้ี ังมีเรอ่ื งสมาธแิ ละสงั ขาร เร่ืองการเข้าและออกจากสญั ญาเวทยติ นโิ รธ และเร่อื งเวทนา 3
ทั้งหมดนีม้ ีปรากฎในจูฬเวทัลลสูตร (ม.ม.ู (ไทย) 12/460-467/500–508)
ผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาในสมยั พทุ ธกาลไดร้ บั โอกาสในการศกึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ อยา่ งดี
และพวกเธอกไ็ ดพ้ สิ จู นใ์ หเ้ หน็ วา่ สามารถทจ่ี ะปฏบิ ตั หิ นา้ ทแี่ ละบทบาทในดา้ นศาสนาได้ เหน็ ไดจ้ าก
มผี หู้ ญงิ ทเ่ี ปน็ อบุ าสกิ าและภกิ ษณุ ไี ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ เอตทคั คะเปน็ จำ� นวนมาก หลายๆ เรอ่ื ง
เก่ียวกับผู้หญิงที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยืนยันว่า ผู้หญิงมีสถานะและ
บทบาทในพระพทุ ธศาสนาในระดบั ทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ผชู้ าย แมจ้ ะไมเ่ สมอภาคกนั ในทกุ ดา้ น แตใ่ นดา้ นท่ี
ส�ำคัญตามภาระหน้าท่ีของพุทธศาสนิกชนในแต่ละบทบาท ผู้หญิงได้รับโอกาสท่ีจะศึกษาพระธรรม
ปฏบิ ตั ธิ รรม และไดร้ บั ผลของการปฏบิ ตั ธิ รรมในระดบั ชน้ั ตา่ งๆ ไดไ้ มต่ า่ งจากผชู้ าย ผหู้ ญงิ ทงั้ ในฐานะ
อุบาสิกาและภิกษุณี ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทและความสามารถของตนให้เป็นท่ีประจักษ์ได้เป็น
อยา่ งดี
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 207
ผู้หญงิ ในพระพุทธศาสนาในสงั คมไทย
อบุ าสกิ าในสังคมไทย
อบุ าสกิ าชาวไทยยงั มบี ทบาทในทางพระพทุ ธศาสนาไมต่ า่ งไปจากอบุ าสกิ าในอดตี ทง้ั บทบาท
ในดา้ นการใหค้ วามอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนา บทบาทในดา้ นการศกึ ษาพระธรรมคำ� สอน บทบาท
ในดา้ นการปฏบิ ตั ธิ รรมทงั้ สมถะและวปิ สั สนา พรอ้ มทงั้ บทบาทในการเผยแผพ่ ระธรรมคำ� สอนและเปน็
ผู้สอนการปฏิบตั สิ มถะและวปิ ัสสนาด้วย สำ� หรบั บทบาทในด้านการอปุ ถัมภ์พระศาสนาน้ี อุบาสกิ า
ชาวไทยปจั จบุ นั ยงั คงปฏบิ ตั อิ ยา่ งสมำ�่ เสมอมไิ ดข้ าด วดั และพระภกิ ษสุ ามเณรในประเทศไทยไดร้ บั
ความอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ จากอบุ าสกิ าเปน็ อยา่ งมากจนสามารถทจี่ ะกลา่ วไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย
ไดร้ บั ความอปุ ถัมภจ์ ากผหู้ ญิงเปน็ หลักกว็ ่าได ้ มใิ ช่เพยี งเปน็ ผูใ้ ห้ความอปุ ถมั ภถ์ วายทานและถวาย
สิง่ อ�ำนวยความสะดวกในการปฏบิ ัติหนา้ ทขี่ องพระภิกษสุ ามเณรเท่าน้ัน
นอกจากนี้ อุบาสิกาในยุคปัจจุบันน้ี ยังคงขวนขวายศึกษาพระธรรมค�ำสอนกันเป็นอย่างดี
ตวั อยา่ งของการศกึ ษาธรรมวนิ ยั อยา่ งเปน็ ทางการทมี่ กี ารจดั การศกึ ษาและการจดั สอบ ทเี่ รยี กวา่ สอบ
ธรรมศกึ ษา ซงึ่ ทางคณะสงฆไ์ ทยไดจ้ ดั ไวใ้ หส้ ำ� หรบั อบุ าสกและอบุ าสกิ า ฆราวาสทวั่ ไปสามารถเขา้ มา
ศกึ ษาและสอบวัดผลได้น้นั ในปีการศึกษา 2558 เฉพาะจงั หวัดปทมุ ธานี จงั หวดั เดียว ผู้ฆราวาส
สอบผา่ นนกั ธรรมศกึ ษาชนั้ เอก จำ� นวน 1,182 คน (www.gongtham.net) เทา่ ทผ่ี เู้ ขยี นประเมนิ ครา่ วๆ
ได้ว่า ในจำ� นวนผู้สอบผ่านเหล่าน้ัน มากกว่า 80 % เป็นผูห้ ญิง ตวั อยา่ งนเี้ ป็นเพียงหน่งึ ตัวอยา่ งของ
การศกึ ษาทคี่ ณะสงฆไ์ ทยเปดิ โอกาสใหผ้ หู้ ญงิ สามารถเขา้ ศกึ ษาได ้ ยงั ไมน่ บั รวมการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิ
ธรรมแผนกบาลี ที่คณะสงฆ์ก็เปิดโอกาสให้ผู้หญิงและฆราวาสทั่วไปเข้าศึกษาได้เช่นเดียวกันกับ
พระภิกษุสามเณร
ผู้หญิงไทยในปัจจุบัน ยังสามารถที่จะเข้าไปศึกษาหลักธรรมค�ำสอนในพระพุทธศาสนา
ผา่ นองคก์ รและหนว่ ยงานทง้ั ของคณะสงฆเ์ องและของเอกชนทจี่ ดั ขนึ้ อกี เปน็ จำ� นวนมาก ไมว่ า่ จะเปน็
การศกึ ษาทจ่ี ดั เปน็ หลกั สตู ร ไดแ้ ก่ การศกึ ษาอภธิ รรม ตามสำ� นกั และวดั ตา่ งๆ ทเี่ ปดิ สอนอยา่ งเปน็ ระบบ
การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั สงฆท์ งั้ 2 แหง่ คอื มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ท่ีผู้หญิงหรืออุบาสิกาสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้
เชน่ เดยี วกันกบั พระภิกษแุ ละสามเณร หรอื การศกึ ษาทไ่ี มไ่ ด้กำ� หนดเปน็ หลักสูตร เช่น การศกึ ษา
พระธรรมและปฏิบัตธิ รรม ตามวดั และส�ำนักต่างๆ อกี เปน็ จำ� นวนมาก
การศกึ ษาธรรมและการปฏบิ ตั ธิ รรมทส่ี ำ� คญั คอื การศกึ ษาดา้ นสมถะและวปิ สั สนา ซงึ่ ถอื เปน็
การศกึ ษาทสี่ ำ� คญั เพราะพระพทุ ธศาสนาจะดำ� รงอยไู่ มไ่ ดน้ าน ถา้ หากพทุ ธบรษิ ทั ไมข่ วนขวายศกึ ษา
และปฏิบตั สิ มถะวิปสั สนา ฉะน้นั การศกึ ษาและปฏบิ ตั ิธรรมในแบบสมถะและวิปสั สนาน้ี จึงเปน็
การศึกษาภาคปฏิบัติจริง มิใช่ศึกษาเพียงทฤษฎี ในเร่ืองการปฏิบัติธรรมนี้ ผู้หญิงไทยก็เข้ารับ
การฝึกอบรมเพื่อปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากันเป็นจ�ำนวนมาก อุบาสิกาหลายคนได้พัฒนาตนเอง
ในด้านการปฏิบัติธรรมจนสามารถที่จะเป็นครูสอนสมาธิให้แก่คนอ่ืนๆ ได้ และครูสอนสมาธิที่เป็น
ผู้หญิงก็ไดร้ บั การยอมรับจากสังคมไทยเป็นอย่างดี
ในปจั จบุ นั น้ี มผี หู้ ญงิ ในฐานะอบุ าสกิ าเปน็ ผมู้ คี วามรคู้ วามสามารถในดา้ นนเี้ ปน็ จำ� นวนมาก
เชน่ คณุ แมส่ ริ ิ กรนิ ชยั เปน็ ผสู้ อนกรรมฐานเปน็ ยอมรบั ทง้ั ของพระภกิ ษสุ ามเณรและประชาชนทว่ั ไป
ต่างสนใจมาปฏิบตั ิธรรมด้วยเปน็ จำ� นวนมาก คุณแม่สริ ิ กรนิ ชัย ได้เปดิ สอนสมาธใิ นหนว่ ยงานและ
208 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
องคก์ รตา่ งๆ หลายแหง่ องคก์ รทไี่ ดน้ ำ� หลกั สตู รการสอนของคณุ แมส่ ริ ิ มาเปดิ สอนเปน็ ประจำ� ไดแ้ ก่
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในการสอนการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนา ณ ท่ีนี้ ใช้ชอ่ื ว่า หลักสตู รพัฒนา
จิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข โดย คุณแม่สิริ กรินชัย มีคณะวิทยากรประจ�ำศูนย์จ�ำนวน 41 คน
(ผ้หู ญงิ 37 คน ผ้ชู าย 4 คน) วิทยากรเหล่านม้ี ากกวา่ 90 % เปน็ ผ้หู ญงิ จ�ำนวนวิทยากรทเี่ ป็น
ผู้หญิงเหล่านี้สะท้อนถึงผู้หญิงในฐานะอุบาสิกาเป็นผู้สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม และสามารถ
ทจี่ ะสอนธรรมได้เปน็ อย่างดี (ยุวพทุ ธกิ สมาคมแหง่ ประเทศไทย, 2559)
ภาพการสอนวปิ สั สนา ณ ยุวพทุ ธิกสมาคม (ทีม่ า: ณัชดวง วัชรสารทรัพย)์
เร่ืองการยอมรับผู้หญิงแม้จะไม่ใช่นักบวชให้เป็นผู้สอนสมาธิวิปัสสนาน้ัน มีบทความ
ทางวิชาการทีก่ ลา่ วถงึ เร่อื งนี้ เชน่ บทความเรอ่ื ง Women Meditation Teachers in Thailand ของ
จอห์น แวน เอสเตอรคิ (John Van Esterik อา้ งใน ปราณ ี วงษเ์ ทศ, 2549 : 184 ) ได้ชใี้ หเ้ หน็
แนวโน้มของบทบาทผู้หญิงกับพุทธศาสนาในกรุงเทพมหานคร จ�ำนวนหนึ่งท่ีมีชื่อเสียงได้รับ
การยอมรบั เรอื่ งการสง่ั สอนอบรมการปฏบิ ตั ธิ รรมไมเ่ พยี งในหมชู่ าวบา้ นทง้ั ชายและหญงิ เทา่ นนั้ แตย่ งั
รวมถึงพระภิกษุสงฆ์จ�ำนวนหนึ่งอีกด้วย ซ่ึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและบทบาททาง
พระพทุ ธศาสนาของผหู้ ญงิ อยา่ งสำ� คญั ผหู้ ญงิ เหลา่ นมี้ ไิ ดม้ องตนเองวา่ เปน็ เพยี งผหู้ ญงิ ธรรมดา แตเ่ ปน็
บุคคลที่อยู่เหนือความแตกต่างของความเป็นหญิงหรือชายท่ีสามารถแสวงหาความหลุดพ้นตามวิถี
ของพระพุทธศาสนาได้
นอกจากนี้ ปราณี วงษเ์ ทศ ยงั ได้อ้างถึงงานวจิ ัยของ เพนนี แวน เอสเตอรคิ ท่ีไดศ้ ึกษาวิจยั
ภาคสนามกับหญงิ ชาวบ้าน 3 คน ถงึ วถิ ีชีวิตและการปฏบิ ัติธรรมของผู้หญิงชาวบ้านทั้ง 3 คนน้ัน ซง่ึ
อาศัยอย่ใู นหมู่บ้านจระเข้สามพนั อ.อ่ทู อง จ.สุพรรณบุรี จากการศกึ ษาวิจัยพบว่า พระพุทธศาสนา
ไม่ได้ลดคุณค่าของความเป็นผู้หญิงลง ชาวบ้านทั้งชายและหญิงไม่ต่างกันมากในเร่ืองการท�ำบุญ
พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 209
ตา่ งกส็ ามารถเป็นกรรมการวัดชว่ ยเหลอื กิจกรรมในวดั ได้ ความตา่ งของชายและหญงิ ย่งิ ลดนอ้ ยลง
เม่ือแก่ตัวลงและละเว้นจากกิจกรรมทางเพศต่างๆ การสละโลก คือ อุดมคติของพระพุทธศาสนา
ชวี ติ ของหญงิ ทง้ั 3 คนไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ความเชอื่ นไ้ี มไ่ ดม้ คี วามหมายวา่ ผหู้ ญงิ ดอ้ ยกวา่ ผชู้ าย แตก่ ลบั
ช่วยส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถสนับสนุนสถาบันที่มีความเช่ือดังกล่าวพร้อมกับการมีชีวิตตามธุรกิจ
ของตนเองได้ (ปราณ ี วงษ์เทศ, 2549 : 186-202 )
แมช่ ีไทย
ในปจั จบุ นั น้ี แมผ้ หู้ ญงิ ไทยจะไมม่ สี ถานภาพทางศาสนาทเี่ ปน็ นกั บวช คอื ภกิ ษณุ ี เหมอื นใน
สมัยพุทธกาลก็ตาม ถงึ กระนน้ั ผหู้ ญิงไทยไดร้ บั สถานภาพคล้ายนกั บวชในอดีต คือ ความเปน็ แม่ชี
คำ� ว่า ชี หรือ แมช่ ี น้ี มคี วามเปน็ มาอย่างไร ยังหาคำ� ตอบที่เป็นทต่ี กลงตรงกนั ไม่ได้ ไดแ้ ต่เพียง
อธบิ ายความนา่ จะเปน็ ในคมั ภรี เ์ กา่ ของไทยเลม่ หนงึ่ ชอื่ พทุ ธสาสนสวุ ณั ณภมู ปิ กรณ ราชบรุ วี ตั ถกุ ถา
ตำ� นานเมอื งขนุ ไทย เปน็ บนั ทกึ ตำ� นานเมอื งราชบรุ แี ละประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในเมอื งไทย เรยี บเรยี ง
โดย พระราชกวี (อำ�่ ธมมฺ ทตโฺ ต) วดั โสมนสั วหิ าร ในตำ� นานเลม่ นี้ กลา่ วถงึ เรอ่ื งกำ� เนดิ แมช่ เี อาไวว้ า่
ในคราวท่ีพระโสณะและพระอตุ ตระได้เดินทางมาจากอินเดีย เพอื่ เผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดน
สวุ รรณภูมิน้ี เม่อื ประมาณ พ.ศ. 236 คราวนั้น ไดม้ คี นท้องถน่ิ แถบน้ี ศรทั ธาเลอ่ื มใสตอ่ พระเถระ
ทงั้ สองและคณะเปน็ อย่างมากถงึ กบั ขอบวชกนั เป็นจ�ำนวนมากทงั้ ชายและหญิง ผู้ชายสามารถบวช
เป็นภกิ ษไุ ด้ เพราะมพี ระอปุ ัชฌายแ์ ละคณะสงฆม์ าพรอ้ ม แตผ่ ้หู ญิงไมส่ ามารถบวชเป็นภกิ ษณุ ีได ้
เพราะไมม่ ปี วตั ตนิ แี ละคณะภกิ ษณุ สี งฆม์ าดว้ ย จงึ ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ชาวสวุ รรณภมู เิ หลา่ นน้ั ไดเ้ พยี งนงุ่ ขาว
หม่ ขาว และไดเ้ ป็นตน้ ก�ำเนดิ ของแม่ชีไทยมาตงั้ แตน่ ้ัน ดงั ขอ้ ความทว่ี ่า
“โลกกนลวา้ สวุ ัณณภมู ิ พบโสณตุ ตร (พระโสณ พระอุตตร พระฌานยี พระภรู ยิ
พระมูนยี ) ผไู้ ปถึงเมอื งชา้ งค่อม เรอื เดนิ ทางถึงเมอื งทอง เมือ่ เดือนอ้าย ขึน้ 14 ค่�ำ ปพี ุทธกาลลุล่วง
(แล้ว) 235 ปไี ทยฉลู เชิญทา่ นอยูว่ ดั ปุณณาราม ดำ� รงอรยิ สงฆพ์ ร้อมกัน เช้าเทสน พรหมชาลสตู ต
คนลมุ ัคผลถงึ สรณ บวชชายเปน็ ภิกขพุ นั คน หญงิ ชรี อ้ ยคน”
(พระราชกวี (อำ่� ธมฺมทตฺโต), 2535 : 439)
คำ� อธบิ ายคำ� วา่ “ช”ี อกี แหลง่ หนงึ่ ของไทยทนี่ า่ จะเกา่ แกม่ าก คอื คำ� อธบิ ายใน วารสารวชริ ญาณ
วเิ ศษ เลม่ 7 อธบิ าย คำ� วา่ “ช”ี ไวว้ า่ เปน็ นกั บวช เชน่ เดยี วกบั พระภกิ ษสุ ามเณร ดงั ขอ้ ความทว่ี า่
“แลผซู้ งึ่ เรยี กวา่ ชี กค็ อื ประสงคห์ มายเอาหมพู่ ระสงฆท์ ง้ั ปวง ซง่ึ เปนผเู้ วน้ จากการบาป
แลกามคุณท้งั 5 บางทมี กั ใชเ้ รียกจำ� เภาะชนดิ สตั รีท่ีถือบวชคือใช้นุ่งขาว ดังทเี่ รียกวา่ นางชแี ลยายชี
ซ่งึ เปนผเู้ ท่ียวอยู่ตามวัดโดยชุกชมุ ในบญั ญัติคำ� พดู ว่า ชี เชน่ น้ี กห็ มายเอาคณุ วิเศษของผู้ถอื บวช
ได้ประพฤตแิ ลว้ มศี ีลหา้ เปนต้น จ่งึ ต้องเรียกวา่ นางชี แลยายช”ี
(วชริ ญาณวิเศษ 7/28, 2335: 308)
คำ� อธบิ ายเรอื่ งแมช่ จี ากทงั้ สองแหลง่ ขอ้ มลู น้ี พอทจี่ ะทำ� ใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ ชี หรอื แมช่ ี นน้ั มสี ถานะ
เปน็ นักบวชอยา่ งหน่งึ ในสังคมไทย ทค่ี ณะสงฆไ์ ทยอนโุ ลมใหผ้ ้หู ญงิ ถอื ปฏบิ ัตริ ปู แบบน้ี เพ่ือทดแทน
ภิกษุณี ลักษณะของแม่ชีนี้ มีรูปแบบและวิถีชีวิตซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบและวิถีชีวิตของอุบาสิกา
ในสมัยพุทธกาลท่ีมีความเคร่งครัดเหมือนนักบวชด้วยการนุ่งขาวห่มขาวและประพฤติพรหมจรรย์
ดังปรากฎขอ้ ความในพระไตรปฎิ กท่ีว่า
210 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
“บัดนี้ มีอุบาสิกาสาวิกา ผู้เป็นคฤหัสถ์ นุ่งขาวห่มขาว ประพฤติพรหมจรรย์
ของเราเป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับการ แนะน�ำ แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ อาจกล่าว
พระสทั ธรรมไดโ้ ดยชอบ อาจแสดงธรรมใหม้ ปี าฏหิ ารยิ ์ ปราบปรบั วาททเี่ กดิ ขนึ้ ใหเ้ รยี บรอ้ ยโดยชอบ
ธรรมได้ บดั น้ี มอี บุ าสกิ าสาวกิ า ผเู้ ปน็ คฤหสั ถ์ นงุ่ ขาวหม่ ขาว บรโิ ภคกาม ของเรา เปน็ ผเู้ ฉยี บแหลม...
ปราบปรับวาททเ่ี กิดขึ้นใหเ้ รยี บร้อยโดยชอบธรรมได”้
(ที.ปา.(ไทย) 11/175/136)
พทุ ธพจนน์ แี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ในคมั ภรี ม์ เี รอื่ งราวเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ทน่ี งุ่ ขาวหม่ ขาว อนั บง่ บอกถงึ
ความเปน็ ผมู้ งุ่ มน่ั ในการปฏบิ ตั ติ ามคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ และสำ� หรบั อบุ าสกิ าทนี่ งุ่ ขาวหม่ ขาวนนั้
ยงั สามารถจำ� แนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1) อบุ าสกิ าทนี่ งุ่ ขาวหม่ ขาว พรอ้ มประพฤตพิ รหมจรรย์ (งดเวน้ การอยรู่ ว่ มกบั คคู่ รองของตน)
2) อุบาสกิ าทนี่ งุ่ ขาวหม่ ขาว แตม่ ไิ ดป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ (ไมง่ ดเวน้ การอยกู่ บั คคู่ รองของตน)
อุบาสิกาที่นุ่งขาวห่มขาวและประพฤติพรหมจรรย์น้ันอาจเป็นต้นแบบให้แก่ผู้ด�ำริคร้ังแรก
ทจี่ ะกำ� หนดรปู แบบการแตง่ กายใหแ้ กผ่ หู้ ญงิ เพอื่ เปน็ นกั บวชและพฒั นาเปน็ แมช่ ขี น้ึ มา เพราะแมช่ นี น้ั
มีลกั ษณะคลา้ ยอุบาสิกาแตน่ ุ่งขาวหม่ ขาวและประพฤตพิ รหมจรรย์ ไมม่ ีค่คู รอง
อน่งึ ถงึ แม้ว่า แม่ชีไทยจะมีความเป็นมาอย่างยาวนาน แตเ่ มือ่ พิจารณาถงึ สถานภาพทาง
กฎหมายอยา่ งจริงจัง กลบั พบว่า แม่ชมี ีสถานะท่ีไม่ชัดเจน บางกระทรวงระบสุ ถานะวา่ เปน็ นักบวช
เชน่ เดยี วกบั พระภกิ ษสุ ามเณรถกู หา้ มยงุ่ เกยี่ วกบั กจิ กรรมทางการเมอื ง แตบ่ างกระทรวงระบสุ ถานะวา่
ไมใ่ ช่นกั นวช ไม่มสี ทิ ธิและสวัสดิการที่พงึ จะได้รับเชน่ เดยี วกบั พระภิกษุสามเณร
โดยสรุปแลว้ แม่ชไี ทยไม่มสี ถานะทางกฎหมายว่าเปน็ นักบวช แตว่ ิถชี ีวติ และแนวปฏิบัติ
น้ันเท่ากับเป็นนักบวช ดังนั้น การปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา สถานะทางกฎหมายอาจ
ไมส่ �ำคัญเทา่ กับสถานะทางการปฏบิ ตั ิตน
การทแี่ มช่ ไี มม่ สี ถานภาพเปน็ นกั บวชนนั้ ถา้ พจิ ารณาอกี ดา้ นหนงึ่ อาจเปน็ ขอ้ ดที แี่ มช่ ไี มต่ อ้ ง
อยใู่ นกรอบของคณะสงฆไ์ ทยและไมต่ อ้ งอยใู่ นกรอบของพระวนิ ยั มากนกั ไมต่ อ้ งสงั กดั วดั ใดวดั หนงึ่
ก็ได้ ถา้ มคี วามสามารถทีจ่ ะอยไู่ ด้ดว้ ยตัวเอง มีความคล่องตัวมากกวา่ พระภิกษทุ เี่ ปน็ นักบวช แมช่ ี
สามารถสรา้ งสถานทหี่ รอื สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมของตนเองได้ สามารถแสดงบทบาทไดอ้ ยา่ งทตี่ นตอ้ งการ
หากไมข่ ดั กบั กฎหมายบา้ นเมอื งและไมข่ ดั กบั พระธรรมวนิ ยั ของคณะสงฆไ์ ทย เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ แมช่ ไี ทย
จงึ พฒั นาตนเองในดา้ นตา่ งๆ กนั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ปจั จบุ นั น้ี แมช่ สี ามารถศกึ ษาปรยิ ตั ธิ รรมทง้ั แผนกธรรม
และแผนกบาลีได้เช่นเดียวกันพระภิกษุสามเณร โดยเฉพาะการศึกษาภาษาบาลี มีแม่ชีส�ำเร็จ
การศกึ ษาช้ันสงู สุด คอื บาลีศึกษา 9 (บ.ศ.9) โดยประมาณ 20 คน จบการศึกษาอภิธรรมบณั ฑติ ไม่
นอ้ ยกว่า 200 คน นอกจากน้ี แมช่ ยี ังสามารถเข้าศึกษาในระดบั อดุ มศึกษาในมหาวทิ ยาลัยตา่ งๆ ทั้ง
ของคณะสงฆท์ ง้ั สองแหง่ และมหาวทิ ยาลยั ของรัฐและเอกชนอื่นๆ อกี เป็นจำ� นวนมาก เพราะแม่ชีไม่
ถกู กำ� หนดใหต้ อ้ งแสดงตนวา่ เปน็ นกั บวช บางคนจงึ สามารถไปสมคั รเขา้ เรยี นตอ่ ในมหาวทิ ยาลยั เปดิ
ได้
ดงั นน้ั แมช่ ไี ทยสามารถทจ่ี ะพฒั นาตนเองไดใ้ นหลายชอ่ งทาง สามารถศกึ ษาไดท้ ง้ั พระธรรม
วินัย หลักปฏิบัติสมาธิภาวนา และศึกษาศาสตร์ต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม เม่ือมีช่องทาง
พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 211
เช่นน้ี ผู้ที่สละบ้านเรือนมาอยู่ส�ำนักหรือวัดในสถานะแม่ชี จึงควรที่จะพัฒนาตนเองให้มีความรู ้
ความสามารถ เพ่ือประโยชน์แก่ตนเองและเพือ่ เผยแผ่ อบรม สัง่ สอน ผ้อู ่นื ตอ่ ไปได้
เมอื่ แมช่ ี มคี วามรู้ ความสามารถแลว้ ตอ่ ไปหากคดิ จะไปชว่ ยเหลอื สงั คม ยอ่ มกระทำ� ไดง้ า่ ย
และการแสดงบทบาทของตนออกไปให้เป็นประจักษ์แก่สังคมน้ัน ย่อมจะก่อให้เกิดคุณค่าแก่ตนเอง
และการยอมรบั ของผู้คนในสงั คมได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้ คณะแม่ชกี ลุ่มต่างๆ ไดพ้ ยายามออกไป
ช่วยเหลอื สงั คมกนั มากขนึ้ โดยปรากฎโครงการตา่ งๆ ทคี่ ณะแม่ชีทำ� อยู่ ดงั นี้
1) โครงการสง่ เสริมการศึกษา
2) โครงการอบรมแม่ชี
3) โครงการอบรมคา่ ยจริยธรรม
4) โครงการอบรมเยาวชน “คา่ ยพัฒนาคณุ ภาพชีวิต” ต้านภยั ยาเสพติด
5) โครงการอบรมเยาวชน “คา่ ยพฒั นาผ้นู ำ� เยาวชนในสถานศึกษา”
6) โครงการอบรม “ครอบครวั สุขสนั ต”์
7) โครงการอบรมเยาวชน “คา่ ยพุทธบตุ ร” (บวชภาคฤดูรอ้ น)
8) โครงการผู้สูงอายุ
9) โครงการพฒั นาอาชพี สู่ชมุ ชน (อาชีพเสริมรายไดใ้ นครอบครวั )
10) โครงการจัดกิจกรรมและนิทรรศการ ณ มณฑลพิธที อ้ งสนามหลวง
11) โครงการสงเคราะห์แม่ชี
(สุขสันต์ จนั ทะโชโต, 2547 : 64)
โครงการของแมช่ เี หลา่ นี้ เปน็ โครงการทจี่ ดั โดยแมช่ ที อ่ี ยใู่ นสงั กดั ของสถาบนั แมช่ ไี ทย อาจไมใ่ ช่
ท้ังหมด แต่แสดงให้เห็นว่า แม่ชีมิได้นิ่งดูดายอยู่ภายในวัดหรือส�ำนักของตนเท่านั้น แม่ชีที่ออกไป
ช่วยเหลือสังคมนัน้ ยอ่ มไดผ้ า่ นการฝึกฝนตนเองมาระดับหนึ่งแล้ว และเม่ือได้ออกสู่สงั คมภายนอก
ทกุ ขณะทท่ี ำ� งานเพอื่ สงั คมนี้ ยอ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ ละฝกึ ตนอยเู่ สมอ การฝกึ ตนนำ� ไปสกู่ ารพฒั นา
ตนและเกดิ การยอมรับในบทบาทของแม่ชีมากข้นึ เร่ือยๆ
แม่ชศี นั สนีย ์ เสถยี รสุต
ผกู้ อ่ ต้งั ส�ำนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมเสถียรธรรมสถาน
(ทม่ี า: https://th.wikipedia.org/wiki/
ศนั สนยี _์ เสถยี รสตุ )
212 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
นอกจากแม่ชีที่อยู่ในสังกัดของสถาบันแม่ชีไทยแล้ว ยังมีแม่ชีท่ีไม่ได้เข้าสังกัดของสถาบัน
แม่ชีไทย ซึ่งสามารถก่อต้ังส�ำนักปฏิบัติธรรมเป็นของตนเองอีกเป็นจ�ำนวนมาก และแม่ชีเหล่าน ้ี
ก็มีบทบาทในด้านต่างๆ เช่นเดียวกันกับแม่ชีในสถาบันแม่ชีไทย ท้ังบทบาทในด้านการสอนสมาธิ
ภาวนา และการท�ำกจิ กรรมเพื่อสงั คมส�ำหรับผหู้ ญิง ตัวอยา่ งท่ีเห็นได้ชดั และเป็นทีย่ อมรบั ในสังคม
คอื แมช่ ศี นั สนยี ์ เสถยี รสตุ ผกู้ อ่ ตงั้ สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมเสถยี รธรรมสถาน เปน็ แมช่ คี นหนง่ึ ทมี่ บี ทบาท
ในเชงิ พฒั นาสงั คมโดยเฉพาะแกผ่ หู้ ญงิ และเดก็ เปน็ อยา่ งมาก สำ� นกั แหง่ นม้ี โี ครงการตา่ งๆ เพอ่ื สงั คม
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งทกุ เดอื น ทกุ สปั ดาห์ โครงการหลกั เชน่ โครงการศลิ ปะการพฒั นาชวี ติ ดว้ ยอานาปานสติ
ภาวนา เปน็ การฝกึ อบรมจติ ใจใหเ้ กดิ ความเปน็ อสิ ระ ดว้ ยการใครค่ รวญธรรมเพอ่ื ความเขา้ ใจในชวี ติ
โครงการนจี้ ดั ขน้ึ ทกุ วนั ศกุ ร์ เสาร์ อาทติ ย์ 3 วนั โครงการจติ ประภสั สรตงั้ แตน่ อนในครรภ์ เปน็ โครงการ
ทเี่ ตรยี มความพรอ้ มใหแ้ กค่ ณุ แมท่ ตี่ ง้ั ครรภอ์ ยไู่ ดม้ จี ติ ใจทสี่ งบ เบกิ บาน เพอ่ื เตรยี มความพรอ้ มใหแ้ กล่ กู
ที่จะคลอดออกมา (เสถียรธรรมสถาน, 2559)
บทสรุป
เรอ่ื งผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนา เปน็ เรอื่ งทม่ี คี นใหค้ วามสนใจมากขนึ้ เรอื่ ยๆ โดยเฉพาะผหู้ ญงิ
กบั การปฏิบตั ิธรรมและเป็นผสู้ อนสมถะและวิปสั สนา ถงึ แมว้ ่าในบางครง้ั พทุ ธศาสนิกชนทีเ่ ปิดอา่ น
พระไตรปิฎกจะพบข้อความที่ดูเหมือนจะไม่ให้เกียรติผู้หญิง แต่ข้อความเหล่าน้ันไม่ควรประเมินว่า
เปน็ ตวั แทนของพระพทุ ธศาสนาทมี่ ลี กั ษณะดหู มน่ิ ผหู้ ญงิ เพราะเมอื่ ไดพ้ จิ ารณาขอ้ ความในเรอ่ื งอน่ื ๆ
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผหู้ ญงิ กลบั มขี อ้ ความทต่ี า่ งออกไป ผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาเมอ่ื อดตี ในฐานะอบุ าสกิ า
และภิกษุณี ได้รับโอกาสให้เข้ามาศึกษาพระธรรมค�ำสอนและปฏิบัติตามค�ำสอนได้อย่างเต็มท ่ี
พร้อมกันนี้ ผู้หญิงในท้ังสองสถานะน้ันได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนาตนท้ังในเร่ือง
การปฏบิ ัตธิ รรม การได้บรรลธุ รรมและการมีส่วนร่วมในการเผยแผพ่ ระธรรมคำ� สอนเรือ่ ยมา
แม้ในปัจจุบันน้ี ผู้หญิงไทยจะไม่ได้รับอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณี เน่ืองด้วยปัจจัย
ขอ้ จ�ำกดั ทางด้านการสบื สายตามหลักการของพระพุทธศาสนาเถรวาท แตผ่ ้หู ญิงไทยมไิ ด้
ลดถอยบทบาทในดา้ นพระพทุ ธศาสนาลงแตป่ ระการใด เมอื่ มชี อ่ งทางใหผ้ หู้ ญงิ ไทยสามารถ
เข้ามาศกึ ษาและปฏิบัติธรรม เหล่าผูห้ ญงิ ไทยท้งั ในฐานะอุบาสิกาและแมช่ ี ได้แสดงใหเ้ ห็น
ถึงความสามารถในทางพระศาสนาจนเป็นที่ยอมรับของคนท่ัวไป ปัจจุบันน้ี มีผู้หญิง
ทั้งในฐานะอุบาสิกาและแม่ชีเป็นผู้สอนธรรมในฐานะครูสมาธิหรือวิปัสสนาจารย์อยู่เป็น
จ�ำนวนมากและจะเพมิ่ ขึ้นเรอื่ ยๆ เพราะผ้หู ญงิ ไทยสนใจในการปฏบิ ัตธิ รรมกันมากข้ึน
พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 213
บรรณานกุ รม
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2539.
ปราณ ี วงษ์เทศ. เพศภาวะในสวุ รรณภูมิ (อษุ าคเนย์). กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มตชิ น, 2549.
พระราชกวี (อ่�ำ ธมฺมทตฺโต). พุทธสาสนสุวัณณภูมิปรณ ราชบุรีวัตถุกถา ต�ำนานเมืองขุนไทย,
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 6. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2535.
มนตร ี สริ ะโรจนานนั ท์ (สบื ดว้ ง). สตรใี นพระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร,์ 2557.
มนตร ี สืบด้วง. “ครธุ รรม 8 : ปญั หาสทิ ธสิ ตรีในพระพทุ ธศาสนา,” วารสารบัณฑติ ศกึ ษาปริทรรศน.์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ปที ่ี 3 ฉบับท่ี 2 (เมษายน – มถิ นุ ายน 2550),
2550.
สขุ สนั ต ์ จนั ทะโชโต. การศกึ ษาเชงิ วเิ คราะหร์ า่ งพระราชบญั ญตั คิ ณะแมช่ ไี ทย : กรณศี กึ ษาการพฒั นา
องคก์ ารและการพฒั นาสถานภาพแมช่ ไี ทยในมติ ขิ องพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. วทิ ยานพิ นธ์
พทุ ธศาสตรดุษฎีบณั ฑติ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัย มหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2549.
ส�ำนกั งานแมก่ องธรรมสนามหลวง. Available at: www.gongtham.net (เขา้ ถึงข้อมลู เม่อื วันที่ 1
กรกฎาคม 2559)
เสถยี รธรรมสถาน. Available at: www.sdsweb.org (เข้าถงึ ข้อมูลเมื่อวันท่ี 1 กรกฎาคม 2559)
ยวุ พทุ ธกิ สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์. Available at: http://web.ybatnet.org/
th/home/ (เข้าถงึ ขอ้ มลู เม่อื วันท่ี 1 กรกฎาคม 2559)
วชิรญาณวิเศษ. Available at: www.stks.or.th/siamrarebooks (เข้าถึงข้อมูลเม่ือวันท่ี 1
กรกฎาคม 2559)
214 พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
“มิราบาอ”ี และ “มหาเทวี วรมา”
กวสี ตรภี ารตะผูช้ นะใจผองชน
อาจารย์กติ ตพิ งศ์ บุญเกดิ
สาขาวชิ าภาษาเอเชียใต้ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
บทน�ำ
เร่ืองของบทบาท สถานะ และสิทธิสตรีในสังคมอินเดียที่ติดอยู่ในห้วงความคิดค�ำนึงของ
คนไทยมาเสมอมักมีแต่ประเด็นในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพการณ์ได้ปรากฏ
เช่นนั้นจรงิ ท้ังชุดความรเู้ ดมิ ทเ่ี รามีตลอดจนข่าวสารที่เผยแพรอ่ อกมาอย่างต่อเน่อื งในปจั จบุ นั ท�ำให้
คนไทยมองเห็นภาพด้านลบน้ันชดั เจนกว่าดา้ นอ่นื
ด้วยเหตุน้ี เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างกว้างขวางต่อสังคมวัฒนธรรมอินเดียซึ่งเต็มไปด้วย
ความหลากหลายและสลบั ซบั ซอ้ น ผเู้ ขยี นจงึ ประสงคใ์ หบ้ ทความฉบบั นเี้ ปน็ โอกาสทจ่ี ะนำ� เสนอขอ้ มลู
อกี ดา้ นหนง่ึ ซงึ่ อาจถอื ไดว้ า่ เปน็ เรอ่ื งทไี่ มค่ อ่ ยแพรห่ ลายในวงวชิ าการไทยเทา่ ใดนกั กลา่ วคอื ในขณะที่
สตรีอินเดียถูกสังคมซ่ึงถือบุรุษเป็นใหญ่กดและเก็บเธอไว้อย่างเข้มงวดนานาประการด้วย
ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ค่านยิ มทสี่ ังคมสรา้ งขึน้ กไ็ ดป้ รากฏแรงตา้ นทานสะทอ้ นกลับออกมาโดย
สตรบี างคนผไู้ มย่ อมจำ� นนตอ่ โชคชะตา ไมย่ อมใหช้ วี ติ ดำ� เนนิ ไปตามทสี่ งั คมกำ� หนด แรงตา้ นทานดงั
กล่าวจะเสนอในบทความน้ีผ่านประวัติชีวิตและผลงานของสตรีชาวอินเดียสองคนได้แก่ “มีราบาอี”
และ “มหาเทวี วรมา” กวีสตรผี ยู้ นื เดน่ อยทู่ ่ามกลางบรุ ษุ ทั้งหลายในโลกวรรณกรรมฮินดี ผ้กู ลา้ หาญ
ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อกระแสหลักในสังคมท่ียึดถือธรรมเนียมประเพณีโบราณบางประการอันไม่เคารพ
ต่อเกยี รติศักดิ์ศรีของสตร ี แม้วา่ มีราบาอี และมหาเทวี วรมาจะอยกู่ นั คนละยุคสมยั ทง้ั คเู่ กิดห่างกัน
ถงึ 400 ปี โดยมีราบาอมี ชี วี ติ อยใู่ นครง่ึ แรกของศตวรรษที่ 16 ในขณะท่มี หาเทวี วรมา เกดิ ในต้น
ศตวรรษท่ี 20 แต่แล้วชื่อเสียงของกวีท้ังสองก็ยังคงเป็นอมตะอยู่คู่กันในสังคมอินเดียปัจจุบันท้ังใน
วงการวรรณกรรมและวงวชิ าการสตรศี กึ ษา เปน็ ขวญั ใจตลอดกาลทนี่ กั เคลอ่ื นไหวดา้ นสตรนี ยิ มชาวอนิ เดยี
ต้องน�ำมากลา่ วอ้างถึง
สภาพความเป็นไปของสังคมในช่วงเวลาที่กวีท้ังสองด�ำเนินชีวิตอยู่นั้นเป็นอย่างไร สิ่งน้ัน
ปรากฏผลกระทบตอ่ ชวี ติ ของกวอี ยา่ งไร และทง้ั คไู่ ดแ้ สดงบทบาทตอบสนองตอ่ ผลกระทบนน้ั อยา่ งไร
ประเด็นเหล่านค้ี อื สาระส�ำคัญที่จะเสนอในบทความ
พลงั ผู้หญิง แม ่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 215
ซา้ ย : ภาพสลกั หนิ ออ่ นรปู มรี าบาอ ี บนผนงั โบสถเ์ ทพมณเฑยี ร สมาคมฮนิ ดสู มาช กรงุ เทพฯ (ทม่ี า: กติ ตพิ งศ ์ บญุ เกดิ )
ขวา : หน่งึ ในภาพถ่ายทีม่ อี ยเู่ พยี งไม่กี่ภาพของ มหาเทว ี วรมา (ทีม่ า www.bharatmatamandir.in)
มรี าบาอีคอื ใคร
มรี าบาอ1ี เปน็ “สนั ตกว”ี หรอื กวนี กั บญุ แหง่ ไวษณพนกิ าย “สายกฤษณะภกั ต”ิ ผมู้ ชี อื่ เสยี งมาก
ในยคุ ทเี่ รยี กวา่ “ภกั ตกิ าล” ตามการแบง่ ยคุ สมยั ทางวรรณกรรมฮนิ ด ี ผลงานกวนี พิ นธข์ องเธอไดร้ บั
ความนยิ มแพรห่ ลายไปทวั่ ภมู ภิ าคโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในทางตอนเหนอื ของอนิ เดยี ประวตั ชิ วี ติ ของเธอ
จึงไปปรากฏในลักษณะของต�านานมุขปาฐะจ�านวนมากท่ีบอกเล่าสืบต่อกันมา ในบรรดาส�านัก
นิกายย่อยทั้งหลายในสายกฤษณะภักติ ซึ่งเน้นนับถือพระกฤษณะเป็นศูนย์กลางของความศรัทธา
หรือบูชาเป็นเทพเจ้าประธาน แม้แต่ในยุคหลังมีราบาอีลงมา กวีจ�านวนไม่น้อยก็ยังกล่าวอ้างอิง
ถงึ เธอในงานวรรณกรรมของตนในลักษณะช่ืนชมสรรเสรญิ ประวัติทีแ่ ทจ้ ริงของมีราบาอนี ้นั คน้ คว้า
ไดย้ าก เพราะมเี รอื่ งราวเสรมิ ต่อในลักษณะตา� นานบอกเลา่ ปะปนอยู่อย่างมากมาย ยกตัวอยา่ งเช่น
เร่ืองปีเกิดของมีราบาอี เท่าท่ีผ่านมานักวิชาการได้เสนอปีเกิดของเธอเอาไว้แตกต่างกันหลายชุด
ข้อมูลซึ่งอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1403-1516 แต่อย่างไรก็ตามจากเอกสารของ Sahitya Akademi หรือ
สถาบนั หนงั สอื แหง่ ชาตขิ องประเทศอนิ เดยี ไดเ้ สนอขอ้ สนั นษิ ฐานลา่ สดุ จากการศกึ ษาของนกั วชิ าการ
และได้เผยแพร่ออกมาในหนังสอื ภาษาฮนิ ดชี ่ือ हिन््दी सनाहितय कना इततिनास (Hindi sahitya ka itihas
ประวัติวรรณกรรมฮินดี) ทา� ใหส้ ามารถสรุปประวัติของมีราบาอีท่ีนา่ เช่อื ถอื ได้มากท่สี ดุ ดงั นี ้ (ดรู าย
ละเอยี ดใน विजयेन्द्र स्नातक, 2015: 116-117)
มรี าบาอ ี กา� เนิดในป ี ค.ศ. 1504 เปน็ ธดิ าของ ราวรตั นสิงห์ แห่งราชวงศร์ าฐอระ สายสกุล
เมรตยิ า ปจั จบุ นั นวิ าสสถานเดมิ ของเธอตงั้ อยใู่ นหมบู่ า้ นกรุ ก ี เมอื งเมรตา รฐั ราชสถาน มารดาของเธอ
เสียชีวิตตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ และบิดาก็วุ่นวายอยู่กับการสู้รบ ราวดูดา ปู่ของมีราบาอีผู้เป็น
ตน้ สายสกลุ เมรตยิ าจงึ รบั เธอมาเลยี้ งในวงั เมอื งเมรตา ราวดดู า นอกจากเปน็ นกั รบทเ่ี กง่ กลา้ สามารถ
แล้วยังเป็น “ไวษณวภักตะ” หรือสาวกผู้ศรัทธาต่อไวษณพนิกายผู้เย่ียมยอด ในวังเมืองเมรติยา
1ในภาษาไทยบา้ งสะกดวา่ มรี าไบ และ มรี าพาอ ี ตลอดทง้ั บทความนผ้ี เู้ ขยี นสะกดวา่ มรี าบาอ ี เพราะถา่ ยอกั ษร
ตามเสียงจากต้นฉบบั ในภาษาฮินดวี า่ मीरनाबनाई อนึง่ ในอนิ เดียนิยมขานช่ือกวสี ตรผี นู้ ส้ี นั้ ๆ วา่ มรี า
216 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
จงึ มนี กั บวช-นกั บญุ กลมุ่ แลว้ กลมุ่ เลา่ เดนิ ทางเขา้ มาเสมอ ความสนใจในเรอ่ื งปรชั ญาศาสนา ความศรทั ธา
ตอ่ พระเจา้ ในสายไวษณพนกิ ายจึงไดค้ ่อยๆ ปรากฏข้นึ ในใจของมรี าบาอี ประกอบกบั ในวนั เวลานน้ั
บ้านเมืองก�ำลังวุ่นวายอยู่กับการสู้รบป้องกันข้าศึกอยู่ ระบบการศึกษาแม้แต่ในราชส�ำนักเอง
จึงไมอ่ าจด�ำเนินไปได้ด้วยดี เนือ้ หาในบทเพลงท่พี รรณนาถงึ ทัศนะทางปรัชญาและความศรทั ธาต่อ
พระเจา้ ทบ่ี รรดานกั บวช-นกั บญุ เหลา่ นนั้ เผยแผส่ สู่ งั คมดว้ ยการขบั รอ้ ง จงึ เปน็ เสมอื นตำ� ราเรยี นหลกั
ของมรี าบาอไี ปโดยปรยิ าย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ ของเธอตงั้ แตใ่ นวยั เยาว์ ซงึ่ ทงั้ หมดนอ้ี าจรว่ มเปน็
ปจั จยั สนับสนนุ ใหม้ รี าบาอีไดน้ ิพนธแ์ ละขบั รอ้ งบทกวีสรรเสริญพระกฤษณะในเวลาต่อมา
มีราบาอี ถูกจัดให้เข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าชายโภชราช ราชบุตรองค์ใหญ่ของราณาสางคา
แหง่ ราชวงศเ์ มวาระ เมืองจติ ตอระในปี ค.ศ. 1516 ขณะนนั้ เธออายุเพียง 12 ปเี ทา่ นน้ั การแต่งงาน
แบบคลุมถุงชน และการจดั ให้ลูกหลานแต่งงานตง้ั แตใ่ นวยั เดก็ ถือเป็นธรรมเนยี มประเพณปี กติของ
สังคมสมัยนั้น แม้มีราบาอีจะไม่เต็มใจแต่งงานแต่ก็ไม่สามารถทัดทานความประสงค์ของผู้ใหญ่ได ้
แตแ่ ล้วในอกี 7 ปีต่อมา เจา้ ชายโภชราชก็ส้ิน สังคมราชสถานในสมยั โบราณถอื ธรรมเนียมปฏบิ ัติ
วา่ หากสามีตาย ภรรยาจะตอ้ งเข้าพิธสี ตคี อื ถกู เผาให้ตายตามสามีไปด้วย ทวา่ มรี าบาอีกลับปฏเิ สธ
ไมย่ อมรบั พธิ ีสตีโดยแสดงเหตุผลว่า ตนมิได้เข้าพธิ วี ิวาห์กบั โภชราชโดยเต็มใจ เธอมผี ู้ท่ีสมคั รใจรกั
อยกู่ อ่ นแล้วตง้ั แต่ในวยั เดก็ ผูน้ ัน้ ก็คอื “พระกฤษณะ” พระองคเ์ ปน็ อมตะ ไมม่ ีชรา ไมม่ ีความตาย
มีราบาอีถือว่าพระกฤษณะเป็นเจ้าบ่าวของตนก่อนท่ีจะถูกจับให้แต่งงานกับโภชราช และในเม่ือ
คนรกั ของเธอยังไม่ตายย่อมถอื วา่ เธอเปน็ หม้ายมิได้
ภาพวาดแสดงพธิ สี ตใี นอนิ เดยี สตแี ปลวา่ ภรรรยาผซู้ อ่ื สตั ย์ การจบชวี ติ ตนเองดว้ ยการตายในกองไฟเมอื่ สามเี สยี ชวี ติ
จงึ เปน็ พธิ ที ีแ่ สดงความซอ่ื สตั ย์ตอ่ สามีอยา่ งสูงสุด ภาพนี้วาดโดย Thomas Rowlandson เมือ่ ค.ศ.1815
(ทีม่ า: http://www.victorianweb.org/history/empire/india/images/suttee1c.jpg)
พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 217
ดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ วา่ ประวตั ชิ วี ติ ของมรี าบาอมี คี วามคลมุ เครอื เนอ่ื งจากขาดหลกั ฐานทาง
ประวตั ศิ าสตรท์ แี่ นน่ อน แตป่ รากฏหลกั ฐานประเภทตำ� นานบอกเลา่ เปน็ จำ� นวนมาก ซง่ึ แตล่ ะตำ� นาน
แม้จะให้รายละเอยี ดเรือ่ งราวแตกต่างกนั บ้าง แต่ทกุ ต�ำนานเหล่านน้ั ลว้ นเล่าเหตุการณ์ภายหลังจาก
สามีเสียชีวิตไปในทางเดียวกันกล่าวคือ มีราบาอีไม่เป็นท่ีต้องการของฝ่ายครอบครัวสามีอีกต่อไป
ญาติๆ ฝ่ายสามถี ือว่าเธอเปน็ หญิงหมา้ ย เป็นสงิ่ อัปมงคลในบ้านจงึ พยายามหาวิธีกำ� จัดเธอ ทัง้ ดว้ ย
ยาพษิ และงพู ษิ แตม่ รี าบาอกี ลบั รอดมาไดอ้ ยา่ งปาฏหิ ารยิ ์ ดงั ปรากฏในบทกวขี องเธอซงึ่ จะนำ� ตวั อยา่ ง
มาแสดงตอ่ ไปขา้ งหนา้ บดิ าของเธอกเ็ สยี ชวี ติ แลว้ ในสงคราม การจะกลบั ไปอาศยั บา้ นเดมิ ณ นวิ าสสถาน
บ้านเกิดก็ท�ำไม่ได้เพราะขัดกับธรรมเนียมประเพณีของสังคมในสมัยน้ันท่ีถือว่า สตรีเมื่อแต่งงาน
ออกเรอื นไปแลว้ กก็ ลายเปน็ สมบตั ขิ องครอบครวั ฝา่ ยสามไี ป แตแ่ ลว้ ตอ่ มาไมน่ าน มรี าบาอกี ห็ ลบหนี
ออกมาจากครอบครัวสามไี ดส้ �ำเร็จ
หลังจากน้ันจึงได้ออกเดินทางรอนแรมไปยังเทวาลัย สถานท่ีแสวงบุญในเมืองศักด์ิสิทธ ิ์
หลายแหง่ เพ่อื ขบั ร้องเพลงสรรเสรญิ พระกฤษณะร่วมกับเหลา่ นักบวชสาธุ และกวนี ักบุญกลุ่มต่างๆ
ในท่ีสุดก็เดินทางถึงเมืองวฤนดาวัน ศูนย์กลางของนิกายกฤษณะภักติซึ่งต้ังอยู่ริมฝั่งแม่น�้ำยมุนา
ในรฐั อตุ ตรประเทศทางตอนเหนอื ของอนิ เดยี เธออาศยั อยทู่ น่ี นั่ ระยะเวลาหนง่ึ แลว้ จงึ เดนิ ทางตอ่ ไปยงั
เมอื งทวารกา ศนู ยก์ ลางสำ� คญั ของการบชู าพระกฤษณะทสี่ ำ� คญั อกี เมอื งหนงึ่ บนฝง่ั ทะเลดา้ นตะวนั ตก
ในรฐั คชุ ราต และอาศยั อยทู่ นี่ นั่ จนสนิ้ อายใุ นปใี ดปหี นง่ึ ระหวา่ ง ค.ศ. 1558-1563 ( विजयेन्द्र स्नातक, 2015:
116) นกั วชิ าการบางคนกอ็ า้ งวา่ มหี ลกั ฐานทนี่ า่ เชอ่ื ถอื ระบวุ า่ มรี าบาอเี สยี ชวี ติ ในปี ค.ศ. 1547 (नन्द
,चतरु ्दवे ी 2006 : 19) อยา่ งไรกต็ าม ตำ� นานบอกเลา่ ทเ่ี ชอ่ื กนั แพรห่ ลายไดเ้ ลา่ ไวใ้ นเชงิ ปาฏหิ ารยิ ว์ า่ มีรา
บาอี ขับร้องเพลงสรรเสริญอยูเ่ บือ้ งหน้าเทวรปู พระกฤษณะ ณ เทวาลัยรณโฉระ เมอื งทวารกา แลว้
กลนื หายเข้าไปในเทวรูปนนั้ เอง
ความรกั ของมีราบาอกี ับพระกฤษณะ : กระแสนิยมวรรณกรรมกฤษณะภักติ
การที่มีราบาอีเช่ือว่าตนมีพระกฤษณะเป็นคู่รักอยู่แล้วนั้น มิใช่เป็นเร่ืองความเพ้อฝันของ
เดก็ สาวทหี่ ลงรกั ชายในฝนั แตเ่ ปน็ การแสดงออกซงึ่ ลกั ษณะประการหนงึ่ ของภกั ตโิ ยคะ หรอื แนวทาง
ปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหบ้ รรลโุ มกษะหรอื ความหลดุ พน้ โดยการกลบั ไปหลอมรวมกบั พระเจา้ ตามพน้ื ฐานปรชั ญา
ฮินดูท่ีเชื่อเร่ืองอาตมันกลับคืนสู่ปรมาตมัน แนวทางภักติโยคะเน้นเร่ืองความรักภักดีอย่างซื่อตรง
จากใจของศาสนิกต่อพระเจ้าที่ตนศรัทธาในรูปอวตารรูปใดรูปหน่ึง ซึ่งแสดงออกได้ในหลายวิธีเช่น
ดว้ ยการรอ้ งเพลงสรรเสรญิ คณุ การเตน้ รำ� การขบั บทกวรี ำ� พนั ความรสู้ กึ ในใจตนทม่ี ตี อ่ พระเจา้ เปน็ ตน้
ถอื ว่าภักติโยคะเป็นวิธปี ฏบิ ตั เิ พอื่ ความหลดุ พ้นทงี่ ่ายท่ีสุด
ภกั ตโิ ยคะไดร้ บั การสง่ เสรมิ ความสำ� คญั อยา่ งมากโดยขบวนการภกั ติ ขบวนการปฏริ ปู ศาสนา
คร้ังส�ำคัญในสังคมฮินดู ซ่ึงแรกเริ่มทีเดียวได้ก่อตัวข้ึนในอินเดียภาคใต้ในราวศตวรรษท่ี 7-8 แล้ว
แนวคดิ ดงั กลา่ วกค็ อ่ ยๆ เผยแพรม่ าสอู่ นิ เดยี ภาคเหนอื ตลอดจนทวั่ ทง้ั อนทุ วปี อนิ เดยี ตง้ั แตศ่ ตวรรษท่ี
11 เปน็ ตน้ มา จนกระทงั่ ไปปรากฏอทิ ธพิ ลในวรรณกรรมฮนิ ดแี ลว้ เกดิ เปน็ กระแสนยิ มทางวรรณกรรม
ทส่ี �ำคัญแห่งยุคในระหว่างศตวรรษที่ 14-17 หรือเรยี กวา่ ยคุ ภักติกาล กระแสนยิ มทางวรรณกรรมท่ี
เกิดขึ้นในยุคนี้สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีกหลายสายซ่ึงจะไม่ขอกล่าวถึงในที่น้ีเพราะมิใช่ประเด็น
สำ� คญั ทจี่ ะนำ� เสนอ อยา่ งไรกต็ าม วรรณกรรมสายกฤษณะภกั ตกิ ไ็ ดร้ งุ่ เรอื งขนึ้ มาในยคุ ดงั กลา่ วนเ้ี อง
218 พลังผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ
(ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Krishna#/media/
File:Krishna_Holding_Mount_Govardhan_-_Crop.jpg)
วรรณกรรมสายกฤษณะภกั ตเิ นน้ การนพิ นธ์
บทกวสี รรเสรญิ เกยี รตคิ ณุ ของพระกฤษณะ พรรณนา
ความรกั ความศรทั ธา ความรสู้ กึ ในใจทก่ี วมี ตี อ่ พระองค์
บรรยายความนา่ รกั และความซกุ ซนของพระกฤษณะ
ในวัยเด็กตลอดจนเรื่องราวความรักระหว่าง
พระกฤษณะกับนางราธา และบรรดานางโคปี หรือ
สาวเลย้ี งววั ทงั้ หลายแหง่ หมบู่ า้ นวฤนดาวนั เปน็ ตน้
โดยทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนฐานแนวคิดความเชื่อที่ว่า
พระกฤษณะคอื องคอ์ วตารทสี่ มบรู ณ์ของพระวิษณ ุ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระกฤษณะนั่นเองคือ
พระผเู้ ป็นเจ้า
หากพิจารณาว่า มีราบาอี อยู่ท่ามกลาง
กระแสวรรณกรรมกฤษณะภักติ โดยเป็นกวีสตรี
เพียงผู้เดียวโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกวีบุรุษท้ังหลาย
ที่ต่างก็พรรณนาบทกวีแห่งความรักความศรัทธา
ของตนทมี่ ีต่อพระกฤษณะเชน่ กัน กจ็ ะทำ� ให้เข้าใจ
ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ความรกั ของมรี าบาอตี อ่ พระกฤษณะ มใิ ชเ่ รอื่ งเพอ้ ฝนั ของหญงิ สาว และความรกั นน้ั
เปน็ ยง่ิ กวา่ โวหารทางวรรณกรรม เพราะบทกวขี องมรี าบาอลี ว้ นเปน็ การแสดงออกของตวั ตน ความคดิ
ความศรทั ธาในจติ ใจ และความรสู้ กึ ของเธอเองโดยเฉพาะ และมเี ปา้ หมายสงู สดุ คอื การกลบั ไปหลอมรวม
กบั พระผเู้ ปน็ เจา้
กวีนพิ นธ์ของมีราบาอี
กวีนิพนธ์ของมีราบาอีมีลักษณะของคีติกาวยะ คือบทกวีที่ใช้ขับร้องเป็นท่วงท�ำนอง เธอมี
ช่ือเสียงในเร่ืองการใช้ภาษาเรียบง่าย สื่อความหมายอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา เน้นแสดงอารมณ ์
ความรสู้ กึ ความรกั และความอาลยั อาวรณท์ มี่ ตี อ่ พระกฤษณะ หากพจิ ารณาดว้ ยทฤษฎที างวรรณคดี
กจ็ ะพบวา่ บทกวขี องมรี าบาอเี นน้ ศฤงคารรส คอื เรอ่ื งความรกั และความงาม และศานตรส คอื ความสงบสขุ
ในจิตใจ นักวชิ าการกล่าววา่ มีราบาอีใชอ้ ลังการน้อยมาก “ไม่มปี ระโยชน์อะไรท่จี ะมวั ศึกษาการใช้
อลังการในบทกวีของมีราบาอี” (नन्द ,चतुर्वेदी 2006: 30) ความเรียบง่ายต่างหากคือวรรณศิลป์
ในบทกวขี องเธอ “วรรณศลิ ปข์ องมรี าบาอถี งึ ความเปน็ ทสี่ ดุ ของศลิ ปะนน่ั คอื ความไรศ้ ลิ ปะ” (नन्द ,चतरु ्देव ी
2006: 25) เธอมไิ ดร้ ับการศึกษาหรอื ฝึกฝนทางการนิพนธ์บทกวี และทางดนตรีมาอยา่ งพิเศษอะไร
แก่นแท้ในผลงานกวีนิพนธ์ของเธอคือความศรัทธา ความรักภักดีจากใจตนเองที่มุ่งถวายตรงแด ่
พระกฤษณะ โดยมิพักต้องสมมุติตนเป็นนางราธา หรือเป็นสาวโคปีเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านวฤนดาวัน
ผหู้ ลงใหลพระกฤษณะ ดงั ทป่ี รากฏความนยิ มในผลงานของกวคี นอนื่ ๆ เลย จะแสดงตวั อยา่ งกวนี พิ นธ์
บางบทของมีราบาอี โดยแปลสรุปความเป็นภาษาไทยดังตอ่ ไปนี้
พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 219
“เพอื่ นเอย...ความรกั ตอ่ โคปาละ (หมายถงึ พระกฤษณะ) ฉนั มอี ยแู่ ลว้ ในใจ อยา่ ใหฉ้ นั
ตอ้ งวิวาห์ ไฉนต้องผกู กับดัก” (नन्द ,चतरु ्ेवदी 2006 : 9)
“จะแตง่ งานทำ� ไมกบั เจ้าบา่ วทเี่ กดิ แล้วกต็ อ้ งตายไป โคปาละ (หมายถึงพระกฤษณะ)
คือเจ้าบา่ วของฉันผ้ไู ม่มีเกิดไม่มตี าย” (नन्द ,चतुर्ेवदी 2006 : 9)
“ข้าพเจ้ามีเพียงพระคิรธรโคปาละ (หมายถึงพระกฤษณะ) ไม่มีผู้ใดอ่ืนอีก พระผู้มี
มงกุฎขนนกยงู ผู้นน้ั คือนาย (หรือสามี) ของข้าพเจ้า “ (के न्द्रीय हिन्दी संस्थान,2006: 75)
บทกวีตัวอย่างข้างต้นทั้ง 3 บทแสดงความหมายว่า มีราบาอียืนยันว่าตนมีคนรักอยู่แล้ว
คอื พระกฤษณะ จงึ ไม่ต้องการแต่งงานกบั ชายท่ัวไปทีม่ เี กดิ แลว้ ตอ้ งมีตาย พระกฤษณะผ้เู ป็นอมตะ
คอื เจา้ บ่าวของเธอ คือนายหรอื สามีของเธอ ไมม่ ีผใู้ ดอ่ืนอีก และมีราบาอกี ็ไดพ้ รรณนาความงดงาม
ความมีเสน่หข์ องพระกฤษณะไวใ้ นบทกวีบทหนึ่งว่า
“พระนนั ทลาล (หมายถงึ พระกฤษณะ) ผงู้ ดงามมเี สนห่ ส์ ถติ อยใู่ นดวงตาของฉนั เสมอ
ผู้มีขลุ่ยด่ังน้�ำอมฤตบนริมฝีปาก มีมาลัยดอกไม้ประดับบนอก เสียงกระด่ิงในก�ำไลข้อมือและท่ีเอว
แสนไพเราะ พระโคปาละ (หมายถงึ พระกฤษณะ) พระผเู้ ปน็ เจา้ ของมีราบาอี ผปู้ ระทานความสุขแก่
เหล่าผูศ้ รทั ธา” (के न्द्रीय हिन्दी ,ससं ्थान 2006: 73)
ภาพสลกั หนิ พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะทีห่ นา้ บนั ปราสาทหินพมิ าย นครราชสีมา
(ท่ีมา: http://sedthapong.blogspot.co.uk/2013/09/4.html)
หลงั จากสามเี สยี ชวี ติ แลว้ ทางครอบครวั ฝา่ ยสามไี ดพ้ ยายามหาวธิ กี ำ� จดั มรี าบาอี ทงั้ ใหต้ าย
ดว้ ยงพู ษิ และยาพษิ แตเ่ ธอกไ็ มก่ ลวั และโชคดที ร่ี อดปลอดภยั มาไดท้ กุ ครงั้ ดงั ทเี่ ธอไดพ้ รรณนาเอาไว้
ในบทกวีบางบทว่า
220 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
“พระราชาสง่ งมู าใหถ้ งึ มอื มรี าหวั เราะแลว้ รบั สวมศอ งกู ลบั กลายเปน็ สรอ้ ยคอประดบั ”
(नन्द ,चतरु ्ेवदी 2006: 13) และอกี แห่งหน่งึ กลา่ ววา่
“เมื่อเปิดตะกร้าออกดูงูก็กลายเป็นสาลิคราม2 พ่ีน้องนักบุญพากันไชโยกึกก้อง
ร้องสรรเสริญพระฆนศยาม (หมายถึงพระกฤษณะ)” (नन्द ,चतुर्ेवदी 2006: 13)
บทกวีอีกบทหนึ่งของมีราบาอีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้แต่ศิลปินอินเดียในปัจจุบัน
ก็น�ำมาร้องเผยแพร่จนท�ำให้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น คือบทที่กวีพรรณนาความสุขที่ตนได้รับ
พระกรุณาจากพระเจา้ เสมือนไดร้ บั ทรพั ย์สมบตั อิ ันหาคา่ มิได้ มเี นอ้ื ความดงั น้ี
“ข้าฯ ได้รับแล้วซ่งึ ทรัพย์สนิ ของพระเจ้า
เปน็ สิง่ อนั หาคา่ มไิ ดท้ ่คี รูผ้ปู ระเสรฐิ ประทานให้ พระองค์กรณุ ารบั ขา้ ฯ ไวแ้ ลว้
จงึ ได้กองสมบตั ขิ องทุกภพชาติ ท่ีทง้ั หมดน้นั เคยหายไปในโลก
ทรัพยน์ ีไ้ มอ่ าจสน้ิ ไป โจรมอิ าจปล้นไป แตก่ ลบั พอกพูนขนึ้ ทกุ วนั
ครผู ปู้ ระเสริฐพายเรือแห่งสจั จะพาข้ามแลว้ ซงึ่ สาครภพชาติ
มรี า ปลาบปลื้มใจจึงร้องเพลงสรรเสริญพระคิรธรนาคร (หมายถึงพระกฤษณะ)
(नन्द ,चतरु ्वेदी 2006: 49)
กวสี ตรผี ชู้ นะใจผองชน
มีราบาอี “กวีสตรีผู้ยืนอยู่ล�ำพังเดียวดายโดยที่เบื้องหน้าของเธอมีทั้งครอบครัวตลอด
จนสังคมศักดินาในยุคกลางท่ีถือบุรุษเป็นใหญ่ขวางหน้าอยู่” ( ,के .एम.मालती 2010 : 21) แม้เธอ
ตอ้ งกลายเปน็ หมา้ ยตงั้ แตอ่ ายุ 19 และธรรมเนยี มประเพณที เ่ี ชอ่ื สบื ๆ กนั มาในยคุ นน้ั ถอื วา่ หญงิ หมา้ ย
คือสิ่งอัปมงคลในบ้าน การที่สตรีสูงศักด์ิในยุคกลางผู้หน่ึงปฏิเสธไม่ยอมเข้าพิธีสตี ที่ภรรยาจะต้อง
ตายไปในกองไฟพร้อมกับร่างของสามีผู้ล่วงลับหรือไม่ยอมมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ในบริเวณ
ที่กักเอาไว้ภายในก�ำแพงล้อมสี่ด้าน มีราบาอีเลือกท่ีจะหนีออกมาหาอิสรภาพนอกกรอบก�ำแพง
เธอรอนแรมไปยังสถานที่แสวงบุญในเมืองต่างๆ สมาคมกับเหล่าบรรดานักบวชสันตกวี อุทิศชีวิต
และจิตวญิ ญาณท่เี หลอื ของตนไปในการนพิ นธแ์ ละขบั รอ้ ง “ภกั ติภชัน” หรือบทกวีสรรเสรญิ พระเจ้า
โดยมีพระกฤษณะเปน็ เทพประธานทีเ่ ธอเลอื กบชู า
ท้ังหมดนี้ไม่ใช่ของง่ายท่ีจะเกิดข้ึนได้เลยส�ำหรับสตรีผู้หน่ึงท่ามกลางสภาพสังคมยุคน้ัน
นักสตรีนิยมชาวอินเดียจึงถือว่า มีราบาอีเป็นนักปฏิวัติสังคมผู้ไม่ธรรมดา ความกล้าหาญของเธอ
ที่ไมย่ อมตกเป็นทาส ไม่ยอมพ่ายแพ้ กลา้ ท�ำลายกรอบท่ลี ้อมครอบชวี ติ เอาไว้ ถอื ว่าน่คี ือหมดุ หมาย
ส�ำคัญในประวัตศิ าสตรส์ ตรีนยิ มในอนิ เดีย นอกจากบทกวที ี่มีความไพเราะงดงามและมีความหมาย
ลกึ ซง้ึ แลว้ ชวี ติ ของมรี าบาอเี องทถ่ี อื วา่ เปน็ แบบอยา่ งของการตอ่ สเู้ พอ่ื ศกั ดศ์ิ รขี องสตรแี หง่ ยคุ ดว้ ยเหตนุ ี้
เธอจึงชนะใจผองชน ช่ือเสียงและผลงานบทกวีของมีราบาอีจึงได้รับการเผยแพร่และสืบทอดมา
จนถงึ ปจั จบุ ัน
2สาลิคราม คือฟอสซิลของสัตว์ดึกด�ำบรรพ์มีรูปร่างคล้ายเปลือกหอยทาก ชาวไวษณพนิกายนับถือเป็นวัตถุ
มงคลใช้บูชาพระวิษณุ
พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 221
มหาเทวี วรมา : หรือเธอคอื มีราบาอีกลับมาเกดิ ใหม่
มรี าบาอีแห่งยุคใหม่ คอื สมญานามทีม่ หาเทวี วรมาไดร้ บั สำ� หรับโลกวรรณกรรมฮินดซี ึง่ มี
จำ� นวนกวแี ละนกั เขยี นสตรอี ยนู่ อ้ ยมากหากเทยี บกบั ฝา่ ยบรุ ษุ มหาเทวี วรมา นบั วา่ เปน็ ผทู้ โี่ ดดเดน่
ทีส่ ดุ ไม่เพียงแคใ่ นศตวรรษที่ 20 ทเ่ี ธอมีชีวิตอยู่เทา่ น้ัน แตต่ ลอดทง้ั ประวัติศาสตรว์ รรณกรรมฮินดี
เลยกว็ า่ ได้ เธอยงั เป็นสตรีคนเดียวในกวกี ลมุ่ จตุสดมภ์ หรือกวีผยู้ ่งิ ใหญท่ ั้งส3่ี แห่งวรรณกรรมสาย
“ฉายาวาท” หรือวรรณกรรมชวนฝัน ซ่ึงเป็นกระแสนิยมทางวรรณกรรมท่ีรุ่งเรืองอยู่ในอินเดีย
ราว ค.ศ. 1920-1940 อย่างไรก็ตาม สมญานาม “มีราบาอีแห่งยุคใหม่” หาใช่ว่าได้มาเพราะ
ความมีช่ือเสียงท่ีโด่งดังสูสีพอๆ กับมีราบาอี หรือว่าต้องประสบชะตาชีวิตคล้ายคลึงกับมีราบาอีไม่
แตเ่ พราะลลี าการประพนั ธบ์ ทกวขี องเธอทงั้ สองมลี กั ษณะทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั หลายประการ เชน่ เนน้ การแสดง
อารมณค์ วามรสู้ กึ ออ่ นไหว ความอาลยั อาวรณใ์ นความรกั การรอคอย และการพลดั พรากจากคนรกั 4
การใช้ถ้อยคำ� ออ่ นหวาน สละสลวย และมลี ักษณะเป็นท่วงทำ� นองเพลง เปน็ ตน้ ความคลา้ ยคลงึ กัน
ในระหวา่ งกวีท้ังสองท่ีสำ� คัญอีกประการหนึ่งกค็ ือ ความเปน็ นักสตรีนิยม มรี าบาอีใชช้ ีวติ ของเธอเอง
เป็นแบบอย่างของการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออ�ำนาจสังคมท่ีถือบุรุษเป็นใหญ่ตามธรรมเนียมประเพณี
โบราณ สว่ นมหาเทวี วรมา ใชง้ านวรรณกรรมรอ้ ยแกว้ ประเภทบทความ ถา่ ยทอดความรแู้ ละความคดิ
ของตนออกเผยแพร่เพ่ือเป็นแรงบันดาลใจให้สังคมฉุกคิดทบทวนเร่ืองสิทธิและฐานะของสตรี ดังจะ
กลา่ วในรายละเอียดต่อไปข้างหนา้
มหาเทวี วรมา มีชีวติ อยูใ่ นศตวรรษท่ีแล้วซ่ึงจดั เป็นยคุ ใหม่ตามการแบ่งยคุ ของวรรณกรรม
ฮินดี5 แม้จะมิใช่อดีตอันไกลโพ้นประกอบกับความเป็นบุคคลท่ีมีช่ือเสียง ชีวประวัติของเธอจึงมิใช่
ส่ิงที่ค้นคว้าได้ยากนัก แม้กระน้ันก็ตามชีวิตส่วนตัวของเธอก็ไม่ค่อยมีข้อมูลให้ค้นคว้าได้เท่าไร
ชวี ประวตั ขิ อง มหาเทวี วรมา กล่าวโดยสงั เขปได้ดังน้ี (ดูรายละเอียดใน विजयेन्द्र ,स्नातक 2015: 262-
263; जगदीश ,गपु ्त 2013: 160-163 )
มหาเทวี วรมา เกิดปี ค.ศ.1907 ในเมืองฟัรรุขบาด รฐั อตุ ตรประเทศ เป็นบุตรสาวคนโตของ
โควนิ ท์ ประสาท วรมา และนางเฮมา รานี มนี อ้ งชาย 2 คน และนอ้ งสาว 1 คน บดิ าเปน็ นกั กฎหมาย
มารดาเป็นแม่บ้าน
นามสกุล “วรมา” จดั อยูใ่ นกลุ่ม “กายัสถะ” ซง่ึ เป็นสาขาหนึ่งของวรรณะกษัตรยิ ์ จึงถอื ได้
ว่าครอบครัวของเธออยใู่ นระดับชนชนั้ กลางที่มีฐานะคอ่ นขา้ งดี พออายไุ ด้ 5 ขวบต้องยา้ ยตามบิดา
ที่ไปท�ำงานในเมืองอินดอระ รัฐมัธยประเทศ เธอจึงเรียนหนังสือและเติบโตอยู่ที่น่ันท่ามกลาง
บรรยากาศในบ้านท่ีมีมารดาเป็นผู้เคร่งครัดศาสนา มีความรู้ทั้งทางด้านภาษาสันสกฤตและฮินดี
มารดามักอ่านคัมภีร์รามายณะให้เธอฟังเป็นประจ�ำ มีครูทั้งท่ีนับถือศาสนาฮินดูและอิสลามเข้ามา
สอนพิเศษในบ้าน เธอได้เรียนทั้งการวาดภาพและวิชาดนตรีด้วย ครอบครัวจัดให้เธอแต่งงาน
3ได้แก่ ชัยศงั กระ ประสาท, สูรยกานต์ ตริปาฐี นิราลา, สมุ ติ รานันทนั ปันต์ และมหาเทวี วรมา
4ในขณะทศี่ นู ยก์ ลางความรกั ของมรี าบาอคี อื พระกฤษณะ แตม่ หาเทวี วรมากลา่ วถงึ “คนรกั ผลู้ กึ ลบั ” กวไี มร่ ะบุ
ชดั เจนวา่ กำ� ลงั กลา่ วถงึ ใคร บทกวขี องมหาเทวมี ลี กั ษณะเปน็ ปรชั ญานามธรรมซงึ่ เปน็ ลกั ษณะพน้ื ฐานของวรรณกรรม
สายฉายาวาท
5ยุคใหม่ในวรรณกรรมฮินดีเร่ิมนับที่กลางศตวรรษที่ 19 โดยถือเอาการสิ้นสุดอ�ำนาจของราชวงศ์โมกุลและ
การเข้าปกครองเบด็ เสร็จอย่างเปน็ ทางการของรฐั บาลองั กฤษในฐานะเจา้ อาณานิคมในอินเดยี
222 พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ในปี ค.ศ. 1916 ซ่งึ เธอยังเปน็ เพยี งเดก็ หญิงอายุ 9 ขวบเท่าน้นั ฝ่ายเจ้าบ่าวมีอายุ 14 แต่อยา่ งไร
ก็ตาม การแต่งงานในวัยเด็กท่ีครอบครัวสองฝ่ายตกลงกันน้ัน มิได้หมายความว่าต้องมาใช้ชีวิต
ร่วมกันแบบสามีภรรยาในทันที เด็กท้ังสองยังต้องกลับไปเรียนหนังสือหรือใช้ชีวิตตามปกติ
ท่ีบ้านบิดามารดาก่อน เม่ือถึงวัยอันสมควรจึงจะอนุญาตให้อยู่ร่วมกันได้ หลังจากแต่งงานแล้ว
สวรปู นารายณั วรมา สามขี องเธอกก็ ลบั ไปเรยี นหนงั สอื ตอ่ ในเมอื งลขั เนา มหาเทวี วรมา ตอ้ งแตง่ งาน
ตามความตอ้ งการของครอบครวั เทา่ นน้ั ในใจมิไดป้ รารถนาชีวิตแบบผูค้ รองเรอื นอย่างปกติ เธอจึง
ดำ� รงชวี ติ เสมือนนกั บวชและไม่มีลกู นบั ว่ามหาเทวี วรมา โชคดีท่ีสามีของเธอเขา้ ใจ ท้ังสองจึงเปน็
สามภี รรยากนั โดยทางนติ นิ ยั แตโ่ ดยพฤตนิ ยั เปน็ กลั ยาณมติ รทดี่ ตี อ่ กนั สวรปู นารายณั วรมา ไมย่ อม
เลิกราแลว้ ไปแตง่ งานใหม่ แมว้ ่ามหาเทวี วรมาจะเป็นผเู้ อย่ ปากอนญุ าตเองกต็ าม เขาเสยี ชวี ติ ในปี
ค.ศ. 1966
ในปี ค.ศ.1919 มหาเทวี วรมายา้ ยไปเรยี นในเมอื งอลิ าฮาบาด รัฐอุตตรประเทศ เธอเรยี น
หนงั สอื เกง่ จงึ สอบไดท้ หี่ นงึ่ และไดร้ บั ทนุ การศกึ ษาของรฐั บาล ในทสี่ ดุ กส็ ำ� เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี
ในปี ค.ศ. 1929 เธอสนใจพุทธศาสนาถึงกับคิดจะออกบวชเป็นภิกษุณี แต่ต่อมากลับเปลี่ยนใจ
เพราะไม่ชอบใจในความประพฤติส่วนตัวบางอย่างของนักบวชทเี่ ธอพบ
มหาตมะคานธี ผ้นู �ำในการกู้เอกราชของอนิ เดยี
(ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Mahatma_Gandhi)
ในบรรยากาศทสี่ ังคมอินเดยี กำ� ลงั ตอ่ สูเ้ รียกร้องเอกราช มหาเทวี วรมา ไดร้ ับอิทธพิ ลทาง
ความคิดจากมหาตมะคานธีในเร่ืองการพัฒนาสังคมเพ่ือปฏิรูปประเทศ เธอจึงสนใจด้านการศึกษา
ของเดก็ ๆ ในชนบท จงึ รเิ รมิ่ อาสาสอนหนงั สอื ตามหมบู่ า้ นตา่ งๆ รอบเมอื งอลิ าฮาบาด และในปี ค.ศ.1932
เธอส�ำเร็จปริญญาโทสาขาวิชาภาษาสันสกฤตจากมหาวิทยาลัยประยาค6 และได้เข้าเป็นประธาน
คณาจารย์ในวิทยาลัยสตรีแห่งเมืองประยาค7 ในปีเดียวกัน และอีก 28 ปีต่อมาเธอก็ได้รับเลือก
ใหเ้ ป็นอธิการบดีของวิทยาลยั ดังกล่าวในปี ค.ศ. 1960
มหาเทวี วรมา เรมิ่ งานทางดา้ นวรรณกรรมอยา่ งจรงิ จงั ในกองบรรณาธกิ ารนติ ยสารรายเดอื น
“จานท์” (ดวงจนั ทร)์ ตง้ั แต่ปี ค.ศ. 1932 แตไ่ ดเ้ ริม่ แตง่ บทกวแี ลว้ ส่งไปพมิ พใ์ นนิตยสารหลายฉบบั
6ประยาค คือชอ่ื เดมิ ของเมอื งอลิ าฮาบาด ในรัฐอตุ ตรประเทศ
7 प्रयाग महिला विद्यापीठ Prayag Mahila Vidyapeeth
พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 223
ก่อนหน้านนั้ จนกระท่งั หนังสอื รวมบทกวชี อื่ “นรี ชา” (ดอกบวั ) ของเธอไดร้ ับรางวลั จากงานชมุ นมุ
วรรณกรรมในปี ค.ศ. 1933 นบั แตน่ นั้ มา นอกจากจะไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานวรรณกรรมทง้ั รอ้ ยแกว้ และ
ร้อยกรองเป็นจ�ำนวนมากแล้ว มหาเทวี วรมายังได้อุทิศตนท�ำงานด้านวรรณกรรมเพื่อรับใช้สังคม
ตลอดมา อาทเิ ชน่ การกอ่ ตง้ั สภานกั เขยี น การจดั งานชมุ นมุ นกั เขยี นทวั่ ประเทศ รเิ รม่ิ จดั งานเฉลมิ ฉลอง
เพือ่ ระลกึ ถึงกวีและนักเขียนคนส�ำคัญผลู้ ่วงลับ สง่ ผลให้ มหาเทวี วรมา ไดร้ ับปริญญาดุษฏบี ณั ฑติ
กติ ตมิ ศกั ดทิ์ างดา้ นวรรณกรรมจากมหาวทิ ยาลยั ทมี่ ชี อ่ื เสยี งหลายแหง่ ในอนิ เดยี ในปี ค.ศ. 1956 เธอ
ไดร้ บั รางวลั ปัทมภูษัณในสาขาวรรณกรรมและการศกึ ษา รางวลั นถ้ี อื เป็นรางวลั อนั ทรงเกยี รติอันดับ
ที่ 3 ทรี่ ัฐบาลอินเดียจะมอบให้แกพ่ ลเมอื งผอู้ ุทศิ ตนสรา้ งคุณูปการใหแ้ ก่ประเทศชาตดิ ้านต่างๆ ใน
ปี ค.ศ. 1982 มหาเทวี วรมาได้รับเลือกเป็นสมาชิกเกียรติยศของสถาบันหนังสือแห่งชาติ
(Sahitya Akademi) และในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้รับรางวัลชญานปีฐ ซ่ึงถือเป็นรางวัลเกียรติยศ
สงู สดุ ทรี่ ฐั บาลอนิ เดียมอบใหแ้ กน่ กั เขยี นปีละหนงึ่ รางวัล มหาเทวี วรมา เสียชวี ิตเสียก่อน เม่ือวนั ที่
11 กนั ยาน 1987 ในเมืองอิลาฮาบาด สิรอิ ายุ 80 ปี เธอจงึ ไมไ่ ด้เข้ารับรางวัลปทั มวิภูษัณ รางวลั อัน
ทรงเกยี รตยิ ศย่ิงอนั ดับ 2 ทรี่ ฐั บาลอินเดียมอบให้แก่พลเมืองผสู้ ร้างคุณงามความดี แตย่ ังถือว่ามหา
เทวี วรมาเป็นเจา้ ของรางวัลดงั กล่าวประจำ� ปี ค.ศ. 1988
สังคมและวงวรรณกรรมอนิ เดียในยคุ ของมหาเทวี วรมา
เมื่อมาถึงยคุ ของ มหาเทวี วรมา แนน่ อนว่าโลกวรรณกรรมอนิ เดียในศตวรรษที่ 20 มิได ้
มีเพียงบทกวีนิพนธ์ท่ีแสดงออกซ่ึงความรักความศรัทธาต่อพระเจ้า พรรณนาความงดงามของนาง
ในวรรณคดผี เู้ ลอโฉม สรรเสรญิ วรี กรรมหรอื ยอพระเกยี รตกิ ษตั รยิ ์ ดว้ ยวรรณกรรมประเภทรอ้ ยกรอง
อีกต่อไปแล้ว แต่วรรณกรรมประเภทร้อยแก้วรูปแบบใหม่ๆ ซ่ึงมีหลายแนวคิดและวิธีการน�ำเสนอ
ได้พัฒนาและรุ่งเรืองข้ึนนับต้ังแต่ท่ีประวัติศาสตร์อินเดียก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ต้ังแต่กลางศตวรรษที่ 19
เป็นต้นมา เพราะได้รับอิทธิพลจากอังกฤษและชาติตะวันตกอ่ืนๆ ที่ค่อยๆ แผ่อิทธิพลทางการค้า
การปกครองและทางสงั คมวฒั นธรรมเขา้ มาในอนิ เดยี ดว้ ยเหตนุ ้ี แนวคดิ รปู แบบวถิ ชี วี ติ และสภาพสงั คม
ท่ีเปล่ียนแปลงไปย่อมท�ำให้วิธีแสดงออกและเผยแพร่ความคิดของนักเขียนในอินเดียยุคใหม่
เปล่ียนแปลงตามไปด้วย วรรณกรรมร้อยแก้วอนั มบี ทละคร นยิ าย เรอ่ื งสัน้ บทความ เปน็ ตน้ จึงได้
รับความนิยมในสังคมและเจริญรุ่งเรืองข้ึนพร้อมๆ กันไปกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพิมพ์
เกดิ สำ� นักพิมพ์ นติ ยสาร และหนงั สือพิมพม์ ากมายอีกด้วย
กวีในยุคใหม่ไม่มีเป็นเฉพาะกวีเท่าน้ัน แต่ยังเป็นนักเขียนบทละคร นักเขียนเรื่องสั้น
นักหนังสือพิมพ์ คู่กันไปกับการแต่งบทกวี ขณะท่ีนักเขียนบางคนก็อาจเขียนงานประเภทร้อยแก้ว
อยา่ งเดยี วเพราะไมถ่ นดั การนิพนธ์บทกวี โดยทวั่ ไปแล้วกวแี ละนกั เขยี นมกั มผี ลงานโดดเดน่ ดา้ นใด
ดา้ นหนึ่งเท่านัน้ แต่สำ� หรับ มหาเทวี วรมาแลว้ เธอไดร้ บั เกยี รตทิ ง้ั สองด้าน กลา่ วคือ เธอเปน็ กวสี ตรี
ผูเ้ ยีย่ มยอดและเป็นนักเขียนบทความผูม้ ปี ญั ญาลุม่ ลกึ มีทัศนะท่เี ฉยี บคม แนวคดิ ทางดา้ นสตรนี ยิ ม
มไิ ดป้ รากฏในผลงานกวนี พิ นธข์ องเธออยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทน่ี า่ ศกึ ษาเทา่ ใดนกั เพราะเธอใชว้ รรณกรรม
ร้อยแก้วประเภทบทความต่างหาก ท่ีถ่ายทอดความคิด ทัศนะและให้ความรู้ กระตุ้นแรงบันดาลใจ
เพ่ือให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม อันเป็นสิ่งจ�ำเป็นในช่วงเวลาน้ันท่ีอินเดียก�ำลังอยู่ในยุค
หวั เลยี้ วหวั ตอ่ ก�ำลงั มงุ่ ไปส่กู ารได้รบั เอกราชจากองั กฤษ
224 พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
หากพจิ าณาในมิตขิ องเวลาก็จะพบว่า ตลอดชว่ งชีวิต 80 ปีของ มหาเทวี วรมา นนั้ ชีวติ คร่งึ
แรกอยใู่ นระยะทอ่ี นิ เดยี กำ� ลงั ตนื่ ตวั กบั กระบวนการตอ่ สเู้ รยี กรอ้ งเอกราช จนกระทงั่ องั กฤษยอมปลด
ปลอ่ ยอนิ เดียให้เป็นอสิ ระในปี ค.ศ. 1947 และชวี ติ อีกครึง่ หลงั ของ มหาเทวี วรมา อยู่ในช่วงท่สี งั คม
อนิ เดยี ตอ้ งเผชญิ กบั ความทา้ ทายใหมๆ่ หลงั จากไดร้ บั อำ� นาจปกครองตนเองแลว้ อยา่ งสมบรู ณ ์ เรอื่ ง
สถานะ บทบาทและสิทธิสตรีจึงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมท่ีปัญญาชนหลายฝ่ายเร่ิมตระหนัก
แล้วว่า อินเดียจะพัฒนาให้ก้าวหน้าไปไม่ได้หากปัญหาเรื่องสิทธิสตรีไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไข
แมว้ า่ ในยคุ นค้ี วามเชอ่ื งมงายในธรรมเนยี มประเพณที ล่ี า้ หลงั อยา่ งเชน่ พธิ สี ต ี หรอื การบชู ายญั มนษุ ย์
จะท�ำไม่ได้อีกเพราะอังกฤษได้ออกกฎหมายห้ามแล้วก็ตาม8 และอิทธิพลจากแนวคิดและค่านิยม
แบบสังคมตะวันตกก็ท�ำให้สภาพสังคมเปล่ียนแปลงไป สตรีบางส่วนเร่ิมได้รับโอกาสท่ีดีขึ้น ได้รับ
การศึกษา มีอิสรภาพมากขึ้น สามารถออกไปท�ำงานนอกบ้านได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย
เท่าน้ัน แก่นปัญหาที่แท้จริงๆ ยังไม่ได้รับพินิจพิจารณาและเยียวยาแก้ไข สตรีส่วนใหญ่ในสังคม
ยงั ไมม่ อี ิสรภาพท่แี ท้จริง ไม่มคี วามสำ� คญั ไม่มตี ัวตนทั้งในบา้ นของตวั เองและในสังคม “แมอ้ นิ เดีย
ไดร้ บั อสิ รภาพแลว้ แตส่ ตรอี นิ เดยี ยงั เปน็ ทาสในสงั คมอย”ู่ (जगदीश ,गपु ्त 2013 : 89) มหาเทวี วรมา
นักปฏิรูปและนักรับใช้สังคมตามแนวทางของมหาตมะคานธี ได้ตระหนักถึงสภาพการณ์ของปัญหา
และตน้ เหตขุ องปญั หาเหลา่ นน้ั จงึ แสดงบทบาทดว้ ยการเปน็ นกั คดิ นกั เขยี นแนวสตรนี ยิ มผา่ นผลงาน
วรรณกรรมรอ้ ยแกว้ ประเภทบทความออกมาหลายเรอ่ื ง ผลงานทโ่ี ดดเดน่ ทสี่ ดุ สำ� หรบั เรอื่ งปญั หาสทิ ธิ
สตรีนั้นปรากฏอยู่ในหนังสือรวมบทความแนวสตรีนิยม 18 เร่ืองชื่อ “ข้อท้ังหลายของสายสร้อย”9
ตีพิมพเ์ ผยแพรใ่ นปีค.ศ.1942 มสี าระส�ำคัญอันนา่ ศกึ ษาดังน้ี
แนวคิดสตรีนยิ มของ มหาเทวี วรมา
ท่ามกลางกระแสต่ืนตัวของขบวนการเรียกร้องเอกราชที่ก�ำลังเคลื่อนไหวอยู่ทั่วไปในสังคม
อนิ เดยี สมยั นนั้ มหาเทวี วรมาเสนอความคดิ เชงิ เปรยี บเทยี บวา่ สตรนี น่ั เองคอื สญั ลกั ษณข์ องประเทศ
ในเมอ่ื ชาวอนิ เดยี เรยี กประเทศของตนวา่ “ภารตะมาตา” หรอื “แมอ่ นิ เดยี ” ดงั นนั้ การจะปลดปลอ่ ย
ใหแ้ มอ่ นิ เดียได้รบั อิสรภาพตอ้ งปลดปล่อยสตรีอนิ เดยี ใหไ้ ดม้ สี ทิ ธิเสรภี าพดว้ ย
มหาเทวี วรมา มองเห็นวา่ สถานะของสตรีในสังคมอนิ เดียมคี วามย้อนแย้งกนั อยู่ในตัวเอง
“สตรีเป็นทั้งพระเทวีประธานในเทวาลัยศักด์ิสิทธ์ิ และเป็นผู้ท่ีถูกจองจ�ำไว้ในมุมสกปรกของบ้าน
ตวั เองด้วย” (อ้างองิ ใน राजेन्द्र सिघं वी. महादेवी वर्ाम की दृष्टि में भारतीय नारी : ออนไลน์ ) เธอเสนอว่า
สังคมจะเป็นหน่ึงเดียวกันและก้าวหน้าไปได้ก็ต่อเม่ือมีความเข้าใจธรรมชาติของสองฝ่าย “บุรุษคือ
ความเทยี่ งธรรม สตรคี อื ความกรณุ า บรุ ษุ คอื ความโกรธแคน้ สตรคี อื การใหอ้ ภยั บรุ ษุ คอื การรกั ษา
หน้าทอ่ี ย่างยง่ิ ยวด สตรีคอื ความเห็นอกเหน็ ใจ บุรษุ คอื พละก�ำลงั สตรคี อื แรงบนั ดาลใจ” (อา้ งอิงใน
: ออนไลน์ ) राजेन्द्र सिघं वी. महादेवी वर्ाम की दृष्टि मंे भारतीय नारी
ด้วยเช่ือว่าเม่ือมีความเข้าใจในธรรมชาติของสตรีแล้วความเคารพ และส�ำนึกให้เกียรติสตรี
กจ็ ะตามมา มหาเทวี วรมา จึงพยายามกระตกุ เตือนสังคมใหม้ องเหน็ และตระหนักถงึ ความสามารถ
ของสตรี ไมม่ งี านใดทส่ี ตรที ำ� ไมไ่ ดไ้ มว่ า่ เรอื่ งการศกึ ษา กฎหมาย วทิ ยาศาสตร์ การรบั ใชส้ งั คม หมอ
8แมม้ กี ฎหมายห้ามแต่ก็ยังแอบท�ำกันอย่บู า้ งตามชนบทต่าง ๆ
9ตน้ ฉบบั ในภาษาฮนิ ดชี ื่อ शखंृ ला की कड़ियाँ shrinkhala ki kariyan
พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 225
ช่างฝีมือ หรือนักเขียน เธอกล่าวว่า “ทุกวันน้ีบุรุษยังไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของสตรีและไม่อาจ
จนิ ตนาการถงึ ได้ ในความคดิ ของพวกเขาจะมอี ะไรมากไปกว่ามองเหน็ ผูห้ ญงิ เปน็ แคเ่ มียของใครคน
หนง่ึ เท่านนั้ ” (อา้ งอิงใน ,के .एम.मालती 2010 : 62)
มหาเทวี วรมาเสนอตอ่ ไปวา่ อสิ รภาพทแ่ี ทจ้ รงิ ของสตรคี อื การทำ� ใหส้ ตรไี ดม้ ตี วั ตนในสงั คม
ให้มีคุณค่าภายในตัวตน อย่างไรก็ตามเธอเข้าใจดีว่าการให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีมิได้แปลว่า
ต้องท�ำลายธรรมเนียมประเพณีในเรื่องเก่ียวกับครอบครัว และการแต่งงาน แต่ควรท�ำความเข้าใจ
ใหถ้ กู ต้องต่อเรอ่ื งเหล่านั้นว่า การแตง่ งานคอื บุรษุ สตรมี ีสถานะเทา่ เทยี มกนั เพราะในทีส่ ดุ แลว้ สตรี
กเ็ ป็นคนคนหน่ึง เป็นผ้มู ีสทิ ธอิ นั ชอบธรรมทางสงั คม เศรษฐกิจ การปกครอง สามารถท�ำงานนอก
บา้ นได ้ มสี ทิ ธอิ ำ� นาจพเิ ศษบางประการได ้ และมคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั สวสั ดกิ ารตา่ ง ๆ เชน่ เดยี วกนั
มหาเทวี วรมา แสดงทศั นะเพม่ิ เตมิ ในเรอื่ งความเทา่ เทยี มกนั ของบรุ ษุ สตรวี า่ “ขนบธรรมเนยี ม
โบราณไดฝ้ งั อยเู่ ปน็ สำ� นกึ ในใจของสตรมี าเสมอวา่ บรุ ษุ มคี วามคดิ มคี วามเฉลยี วฉลาด และพละกำ� ลงั
มากกว่าตน ขณะท่ีอีกด้านหนึ่งก็มักคิดกันว่าจิตใจของสตรีมีปกติโน้มเอียงไปในความอ่อนไหว
ไม่มน่ั คง จุดตรงกลางระหว่างความคดิ ทั้งสองดา้ นกค็ อื ต้องพิจารณาว่าความสามารถอนั มหัศจรรย์
อย่างน้ันก็มีในตัวสตรีด้วย บุรุษและสตรีเสมอภาคกัน... สตรีต้องเท่าเทียมกันกับบุรุษก่อน จึงจะ
จดั ระเบยี บใหแ้ กช่ วี ติ และสรา้ งความพรอ้ มใหแ้ กก่ ารทำ� งานของตนได้ ความเปน็ แมห่ รอื ความเปน็ เมยี
ไม่อาจขัดขวางวิถีแห่งการค้นหาลักษณะพิเศษในตนเอง และไม่อาจซุกซ่อนชีวิตของเธอไว้ภายใน
ขอบเขตที่จำ� กัดในบ้าน”(อ้างอิงใน ,के .एम.मालती 2010 : 62)
มหาเทวี วรมา ไมใ่ ชน่ กั ประทว้ งหวั รนุ แรง เธอเชอ่ื ในสนั ตวิ ธิ ี การประนปี ระนอม ความสภุ าพ
แกไ้ ขปัญหาท้งั หลายของอนิ เดียด้วยแนวทางสรา้ งสรรค์ ไม่สนับสนนุ การใช้กำ� ลงั ความรนุ แรง หรือ
ความกา้ วรา้ วใดๆ เชอื่ ในการสรา้ งสรรคส์ งิ่ ใหมบ่ นพนื้ ฐานของอดตี เธอกลา่ ววา่ “การเคารพบชู าอดตี
ไมใ่ ชส่ ง่ิ เลวรา้ ย การตง้ั วางสง่ิ ใหมไ่ วบ้ นฐานอนั มนั่ คงของอดตี นน้ั นบั วา่ เปน็ เรอ่ื งสริ มิ งคล” (อา้ งองิ ใน
,के .एम.मालती 2010 : 60) และเธอได้แสดงทัศนะเพิม่ เตมิ อกี แห่งหนึ่งวา่
กฎเกณฑแ์ ละอดุ มคตใิ ดๆ ไมไ่ ดถ้ กู สรา้ งขน้ึ สำ� หรบั ทกุ ยคุ สมยั และทกุ สถานการณ์ และใชว่ า่
มนั อาจเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลาไดเ้ ทา่ นน้ั แตม่ นั จำ� เปน็ ตอ้ งเปลย่ี นแปลงตา่ งหากละ่ เราสามารถ
ดำ� เนนิ ชวี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ยการสรา้ งสรรคใ์ หมใ่ นปจั จบุ นั ใหช้ วี ติ ของตนเขม้ แขง็ ขน้ึ บนฐานของอดดี โดยไม่
ต้องท�ำลายอดีตทิง้ หาไม่แลว้ ความกา้ วหนา้ ใดๆ จะเกดิ ขน้ึ มิได้ (อา้ งอิงใน के .एम.मालती,2010 : 63)
จงึ เหน็ ไดว้ า่ มหาเทวี วรมา มคี วามเขา้ ใจวธิ แี กไ้ ขปญั หาสงั คมในทางสรา้ งสรรค์ เธอเชอ่ื อดตี
มไี วใ้ หเ้ รยี นรเู้ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจความเปน็ มาของปจั จบุ นั การเขา้ ใจปญั หาและหาหนทางแกไ้ ขคอื สาระสำ� คญั
ของชีวิต
มหาเทวี วรมา เชอ่ื วา่ สถานะของสตรใี นวฒั นธรรมโบราณเคยมคี วามสำ� คญั และสงู สง่ เพราะสตรี
มพี ลงั เรน้ ลบั บางอยา่ ง ในวฒั นธรรมโบราณนนั้ สตรไี ดร้ บั เกยี รตมิ ใิ ชด่ ว้ ยรปู กายของตนเทา่ นนั้ แตด่ ว้ ย
จิตวญิ ญาณอนั ประเสริฐของตนต่างหาก สตรีอินเดียในวรรณคดีโบราณล้วนเปน็ ผรู้ ว่ มสขุ ร่วมทกุ ข์
กับสามี ไมไ่ ด้เป็นเพียงผูท้ ่คี อยติดตามสามไี ปแบบเงาตามตวั เทา่ นน้ั มหาเทวี วรมา อธบิ ายวา่
เงากบั คชู่ วี ติ นนั้ แตกตา่ งกนั เธอกลา่ ววา่ “หนา้ ทข่ี องเงาทม่ี ตี อ่ ตวั เองโดยพน้ื ฐานแลว้ กเ็ พยี งแคส่ ะทอ้ น
ตวั เองเท่าน้นั แตว่ ่าค่ชู ีวติ คือผู้ทค่ี อยเตมิ ทกุ ๆ ส่งิ ทบี่ กพร่องใหเ้ ตม็ ท�ำใหช้ ีวิตของพวกเขาสมบรู ณ์
ใหม้ ากทสี่ ดุ เท่าท่จี ะมากได้” (อ้างองิ ใน के .एम.मालती,2010 : 60) อยา่ งไรกต็ าม มหาเทวยี ังได้ยก
226 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
ตวั อยา่ งดา้ นลบจากวรรณคดโี บราณอนั แสดงถงึ ความไมย่ ตุ ธิ รรมดว้ ย และถอื เปน็ คำ� สาปสำ� หรบั สตรี
อินเดียเช่น ในเร่ืองรามายณะ นางสีดาผู้ซื่อสัตย์ต่อสามี แต่ต้องเข้าไปน่ังในกองไฟเพื่อพิสูจน์
ความซอื่ สัตย์ของตนเอง และกลายเปน็ ผถู้ ูกสามที ้ิงในท้ายทสี่ ดุ
อย่างไรก็ตาม มหาเทวี วรมา ก็ย�้ำว่าเพื่อให้สตรีได้มีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริงน้ันมิได้
หมายความวา่ ตอ้ งมฐี านะเหนอื กวา่ บรุ ษุ เธอไดแ้ สดงทศั นะไวว้ า่ สตรคี วรมสี ถานะของตน ไดเ้ ปน็ ตวั
ของตวั เอง สงั คมตอ้ งทำ� ใหเ้ ธอสามารถมองเหน็ ความมตี วั ตนของตนได ้ “พวกเราไมต่ อ้ งการชนะใคร
ไมต่ อ้ งการแพใ้ คร ไมต่ อ้ งการเปน็ ใหญเ่ หนอื ใคร ไมต่ อ้ งการมอี ำ� นาจเหนอื ใครและไมต่ อ้ งการขน้ึ อยู่
กบั ใคร ตอ้ งการเพยี งการมสี ถานะของตน ใหไ้ ดเ้ ปน็ ตวั ของตวั เอง... เปน็ สว่ นหนงึ่ ทมี่ คี ณุ คา่ ตอ่ สงั คม”
(อ้างองิ ใน ,के .एम.मालती 2010 : 61)
อาจพจิ ารณาไดว้ า่ มหาเทวี วรมา มองภาพรวมของสงั คม พจิ ารณาปญั หาตามความเปน็ จรงิ
ปราศจากอคติเลือกข้าง เธอจึงไม่โทษความผิดว่ามาจากฝ่ายบุรุษเท่าน้ัน สตรีเองก็มีหน้าท่ีต้อง
รบั ผดิ ชอบตอ่ ปญั หาเหลา่ นขี้ องตนเทา่ ๆ กนั กบั บรุ ษุ ดว้ ย สำ� หรบั ฝา่ ยสตรดี ว้ ยกนั แลว้ มหาเทวี วรมา
จึงพยายามเรียกร้องและปลุกจิตส�ำนึกให้สตรีตื่นขึ้นมารักษาสิทธิของตนโดยไม่ต้องเกรงกลัวส่ิงใด
สตรไี ม่ได้เปน็ แคว่ ัตถดุ ังทสี่ ังคมท่ัวไปทถ่ี ือบุรษุ เปน็ ใหญ่มักเข้าใจกนั มาเสมอ สตรีคือผู้รูจ้ กั แยกแยะ
มีสติปัญญาและมีความสามารถ มีพลังทางใจและจิตวิญญาณที่ไม่อาจมองข้ามได้ อย่างไรก็ตาม
ประเด็นส�ำคัญท่ีจะปลุกจิตส�ำนึกให้แก่สตรีได้นั้นก็คือสตรีต้องมีความรู้ ต้องได้รับการศึกษา
เร่ืองการให้การศึกษาแก่สตรีน้ัน มหาเทวี วรมา ไม่เพียงแต่ผลักดันส่งเสริมอย่างแข็งขันเท่านั้น
เธอได้ลงมือท�ำด้วยตนเองอยา่ งเป็นรูปธรรมดว้ ย เธอกลา่ วถงึ เร่อื งนไ้ี ว้วา่
“เม่ือไรท่ีเร่ิมพูดกันเรื่องการจัดการศึกษาให้สตรีได้มีโอกาสเป็นผู้มีความรู้ คนส่วนใหญ่
ก็ว่ิงร่ีไปเป็นผู้น�ำในเรื่องน้ัน แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดยากว่าในความพยายามเหล่าน้ันมีก่ีส่วนกันแน ่
ทเี่ ปน็ เรอื่ งความตอ้ งการเกยี รตยิ ศหนา้ ตาของตนเอง และมกี สี่ ว่ นทเี่ ปน็ ความเหน็ อกเหน็ ใจสตรจี รงิ ๆ
“ (อา้ งอิงใน ,के .एम.मालती 2010 : 62) อีกแหง่ หนึ่งกล่าววา่ “เบ้อื งต้น บิดามารดาเองกไ็ ม่ต้องการ
สิ้นเปลืองไปกับเร่ืองการศึกษาของลูกสาว หรือถ้าจะท�ำก็เพื่อเพิ่มราคาในตลาดแห่งการแต่งงาน
เทา่ นั้น มิไดเ้ ป็นไปเพือ่ ความกา้ วหนา้ ของลกู สาวอยา่ งแท้จรงิ ” (อา้ งองิ ใน राजेन्द्र सिघं वी. महादेवी वर्मा
की दृष्टि में भारतीय नारी : ออนไลน์) มหาเทวี วรมา พยายามเผยแพรค่ วามคดิ นีม้ าตลอดว่า แทนที่
จะมวั แสดงความเห็นอกเหน็ ใจหรือสงสารสตรผี ูด้ อ้ ยโอกาส ควรใหโ้ อกาสแกพ่ วกเขาจรงิ ๆ จะดกี ว่า
ในท้ายท่ีสุดมหาเทวี วรมา ยังเรียกร้องให้สังคมเข้าใจสถานะของสตรีในปัจจุบันด้วยว่า
“สภาพสังคมในวันน้ีไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สตรีไม่ใช่เคร่ืองประดับเรือนที่ต้องการมีชีวิตลมหายใจ
เทา่ นนั้ แตส่ ตรกี ำ� ลงั ทา้ ทายบรุ ษุ ในทกุ ๆ ดา้ นใหล้ องทดสอบพลงั อำ� นาจของพวกเธอ ซงึ่ เธอเขา้ ใจวา่ การ
ผา่ นการทดสอบคอื ความสำ� เรจ็ อยา่ งสงู ของชวี ติ ... อนั ทจ่ี รงิ สตรมี ใิ ชเ่ ปน็ เพยี งแคน่ างงามหรอื ภรรยา
ในบ้าน เธอเป็นพลเมืองส�ำคัญของประเทศ เป็นส่วนพิเศษส่วนหนึ่งในสังคม ฉะนั้นหน้าที่ของเธอ
จงึ มมี ากมาย ซ่ึงในการรักษาหนา้ ทีน่ น้ั กอ็ าจมีความยากล�ำบากสำ� หรบั เธอบา้ งในบางโอกาส ท�ำให้
เธอสบั สนท�ำตัวไมถ่ กู บ้างในบางท”ี (อา้ งองิ ใน राजेन्द्र सिघं वी. महादेवी वर्ाम की दृष्टि में भारतीय नारी :
ออนไลน์)
พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 227
ย้อนพิจารณา เปรียบเทยี บบทบาทของกวสี ตรีทั้งสอง
ทงั้ หมดที่ไดแ้ สดงเนื้อหามานอ้ี าจพจิ ารณาไดว้ า่ มหาเทวี วรมา โชคดกี วา่ มีราบาอี เปน็
หลายเท่า ที่เธอเกิดมาช้ากว่าห่างกันถึง 400 ปี สภาพสังคมวัฒนธรรมจึงแตกต่างกันไปแล้ว
ขนบธรรมเนยี มเก่าๆ เริม่ คล่คี ลายไปบ้าง อย่างเห็นไดช้ ัดทีส่ ดุ กค็ ือ มหาเทวี วรมาไม่ตอ้ งถกู บังคับ
ให้เข้ากองไฟตายตามสามเี ม่อื ต้องกลายเปน็ หญิงหมา้ ย เธอมีอิสรภาพ สามารถเลอื กใช้ชีวติ ในแบบ
ที่ปรารถนาเองได้ มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงๆ จนส�ำเร็จปริญญาโท ซ่ึงทางครอบครัวของเธอก็
สนับสนุนดว้ ย เธอได้ท�ำงานอย่างมีเกียรติในสงั คม มโี อกาสไดส้ ร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรม และ
กอ่ คณุ งามความดีเปน็ ท่ีประจกั ษ ์ จนไดร้ บั รางวัลเกยี รติยศระดบั ชาติมากมายหลายรางวัล
แต่หากพิจารณาดูอีกด้านหน่ึงก็อาจมองได้ว่า สถานะของสตรีท่ัวไปในสังคมในยุคของ
มีราบาอีและมหาเทวี วรมา น้ัน อาจไม่ได้แตกต่างกันมากนักก็ได้ ท่ีแท้แล้วความไม่เท่าเทียมกัน
ยังมีอยู่แต่แสดงออกในลักษณาการแตกต่างกันต่างหาก เพราะอย่างไรก็ตามเธอทั้งสองยังคง
ต้องแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตามท่ีบิดามารดาจัดการให้ และจากข้อเขียนในบทความของ
มหาเทวี วรมา ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานะสตรีในสังคมอินเดียยุคนั้นยังคงมีปัญหาอยู่อีกนานา
ประการ อย่าว่าแต่ยุคสมัยของมหาเทวี วรมาในศตวรรษที่แล้วเลย แม้แต่ในทุกวันน้ี ในประเทศ
ทเ่ี คารพบชู าเทวสตรี ประเทศทเ่ี คยมนี ายกรฐั มนตรี ประธานาธบิ ดี หวั หนา้ พรรคการเมอื งเปน็ ผหู้ ญงิ
มาแล้ว แต่ข่าวสารท่ีเผยแพร่ออกมาก็ยังปรากฏให้เห็นว่า สตรีอินเดียยังไม่ได้รับความเป็นธรรม
ยังมีสถานะต่�ำต้อยกว่าบุรุษ การเกิดเป็นสตรีเท่ากับมีค�ำสาปติดตัวมาแต่ก�ำเนิด การท�ำแท้งทารก
เพศหญิงในครรภ์ การไม่สนับสนุนให้ลูกสาวได้รับการศึกษาขั้นสูง การแอบจัดงานแต่งให้ลูกสาว
เข้าพิธีวิวาห์ต้ังแต่ยังเป็นเด็กหญิงซ่ึงจริงๆ ท�ำไม่ได้เพราะมีกฎหมายห้าม เป็นต้น จึงยังปรากฏ
เป็นข่าวใหเ้ ห็นอย่เู ร่อื ยมา
ผู้เขียนมองว่าที่เป็นอย่างน้ันก็เพราะ “ส�ำนึก” คือตัวต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงมันยังอยู่
ส�ำนึกซึ่งได้ฝังรากแน่นเหนียวอยู่ในความคิด ความเชื่อ ในจิตใจของผู้คน ส�ำนึกที่แฝงตัวอยู่ใน
ขนบธรรมเนยี มประเพณีบางอย่างทลี่ า้ หลังทถี่ อื สบื ๆ กันมาในสังคม เม่อื มนั ได้กลายเปน็ เร่อื งปกติ
ธรรมดาไปเสียแล้ว ใครกันที่จะมองเหน็ วา่ มนั เปน็ ปญั หา
บทสรปุ
มีราบาอี ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันเข้าแลก กล้าขัดขืนไม่ยอมรับชะตากรรม
อยตุ ธิ รรมทถี่ กู ยดั เยยี ดให้ เรอื่ งราวของเธอจงึ ไดก้ ลายเปน็ อดุ มคตทิ สี่ งั คมยกยอ่ งสรรเสรญิ
สว่ นมหาเทวี วรมานนั้ ใชง้ านเขยี นของตนเผยแพรค่ วามรคู้ วามคดิ ปลกุ จติ สำ� นกึ และกระตนุ้
เตือนสังคมให้พิจารณาถึงปัญหาและลงมือปฏิบัติแก้ไขด้วยความเข้าใจและใช้วิธีการท่ี
สรา้ งสรรค์ ชวี ติ และผลงานของกวสี ตรภี ารตะทง้ั สองจงึ ชนะใจและอยใู่ นใจผองชนตลอดมา
อยา่ งไรก็ตาม เรอ่ื งราวของมรี าบาอี และมหาเทวี วรมาทไี่ ด้น�ำเสนอมาในบทความฉบบั น้ี
เป็นแคเ่ พียงตวั อยา่ งเล็กนอ้ ยของแรงต้านสะท้อนกลบั จากสตรใี นสงั คมอินเดยี เท่าน้นั ยงั มนี ักตอ่ สู้
เพอ่ื สิทธิสตรี และนักสตรนี ิยมชาวอนิ เดียอกี จ�ำนวนมากท่ีสงั คมไทยควรศกึ ษาเรยี นรู้ ทั้งน้ีเพอ่ื จะได้
มคี วามเขา้ ใจในเชงิ กวา้ งและเชงิ ลกึ ตอ่ สงั คมวฒั นธรรมอนิ เดยี และอาจจะนำ� มาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ กรณี
ศึกษาเปรียบเทยี บส�ำหรับการศกึ ษาวิเคราะห์และแกไ้ ขปัญหาของสตรีในสงั คมไทยกไ็ ด้
228 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
บรรณานกุ รม
หนังสอื ภาษาฮนิ ดี
, 2010के .एम.मालती. स्त्री विमर्श : भारतीय परिप्रेक्ष्य. दिल्ली : वाणी प्रकाशन
, 2001के न्द्रीय हिन्दी संस्थान. हिन्दी काव्य संग्रह. आगरा : के न्द्रीय हिन्दी ससं ्थान
, 2013जगदीश गपु ्त. महादेवी वर्.ाम दिल्ली : साहित्य अकादेमी
, 2006नन्द चतरु ्वेदी. मीराँ संचयन. दिल्ली : वाणी प्रकाशन
, 2015विजयेन्द्र स्नातक. हिन्दी साहित्य का इतिहास. दिल्ली : साहित्य अकादमी
เอกสารออนไลน์
राजेन्द्र सिघं वी. महादेवी वर्मा की दृष्टि मंे भारतीय नारी.
สบื ค้นจาก: http://www.drrajendrasinghvi.blogspot.com (สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 27 มถิ นุ ายน 2559)
เทพสตรีจีนในสังคมไทย: วา่ ดว้ ย
เรื่องชือ่ ของเจ้าแม่มาจู่
รองศาสตราจารย์ ดร.สรุ สทิ ธ์ิ อมรวณิชศักดิ์
สาขาวชิ าภาษาจนี ภาควิชาภาษาไทยและภาษาวฒั นธรรมตะวันออก
คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
คนไทยรจู้ กั และบชู าเจา้ แมม่ าจมู่ านานแลว้ แตเ่ รยี กกนั ในนามเจา้ แมส่ วรรค์ หรอื เจา้ แมท่ บั ทมิ
ดังสามารถพบเห็นศาลเจ้าได้หลายจังหวัดท่ีเป็นชุมชนของชาวจีนโดยเฉพาะชุมชนใกล้กับทะเล
หรือแม่น้�ำ แต่ท่ีน่าสนใจก็คือเจ้าแม่ของจีนน้ีเมื่อเข้ามาสู่สังคมไทยแล้วได้ค่อยๆ มีการปรับเปลี่ยน
จนกลายเปน็ เจา้ แมไ่ ทย ซงึ่ บางทเ่ี รยี กวา่ เจา้ แมป่ ระดู่ เปน็ ตน้ บทความนจ้ี ะเปน็ การอธบิ ายความเชอื่
ในการบชู าเทพเจา้ ของจนี และความเช่อื เกี่ยวกับเจ้าแมม่ าจู่ ท่ีส�ำคัญคือกระบวนการแปลงเจ้าแมจ่ ีน
ไปเปน็ เจ้าแม่ไทย
ศาลเจา้ แม่จุ๊ยบว๋ ยเนย้ี (เจา้ แมท่ ับทิม) ทต่ี �ำบลทา่ ฉลอม จงั หวัดสมทุ รสาคร
(ทมี่ า: http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/2015/10/DSC_2636.jpg)
230 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ความรูท้ ่ัวไปเก่ียวกับเทพเจ้าและสิ่งศกั ดิส์ ทิ ธิ์ของจีน
ชาวจีนมีความเช่ือเรื่องการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าทั้งหลายมาเป็นเวลาช้านานแล้ว และ
ความเช่ือนีย้ ังคงดำ� รงอยตู่ ราบจนถึงปัจจุบนั โดยมีจดุ ประสงคม์ ่งุ หวังใหเ้ กิดความสมั ฤทธ์ผิ ลในส่ิงท่ี
มุ่งมาดปรารถนา อยรู่ อดปลอดภัยและเปน็ กำ� ลงั ใจในการดำ� เนนิ ชวี ิตประจ�ำวัน
ชาวจีนมีความเช่ือในเรื่องเทพเจ้า อ�ำนาจเหนือธรรมชาติและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิด้วยกัน 3 ระดับ
กลา่ วคือ
1. ความเชอ่ื ในเรอื่ งอำ� นาจศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องสงิ่ ตา่ งๆ ในธรรมชาติ เชน่ สตั ว์ ตน้ ไม้ ภเู ขา แมน่ ำ�้ ฯลฯ
โดยชาวจนี เชอื่ วา่ สรรพสง่ิ มจี ติ วญิ ญาณสถติ ยอ์ ยู่ ดงั นน้ั จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ การจนิ ตนาการเรอื่ งการมอี ยขู่ อง
เทพเจ้าในธรรมชาติ เช่น สรุ ิยเทพ จันทรเทพ เทพเจา้ แห่งขนุ เขา เทพเจา้ สายฟ้า เทพเจ้าแห่งลม
เทพมา้ เทพววั ตา่ งๆ มากมาย ปจั จบุ นั เทพเจา้ เหลา่ นไ้ี ดร้ บั การบชู านอ้ ยลง เวน้ เสยี แตผ่ ปู้ ระกอบอาชพี
ทตี่ อ้ งเกยี่ วขอ้ งกับธรรมชาตเิ หลา่ นน้ั
2. ความเชื่อในเร่ืองจิตวิญญาณและชีวิตหลังความตายของมนุษย์ ซ่ึงมีพัฒนาการมาจาก
ความเชื่อในเรื่องอ�ำนาจศักด์ิสิทธ์ิที่แฝงอยู่ในสรรพส่ิงต่างๆ ในธรรมชาติ ซ่ึงมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของธรรมชาตเิ ชน่ กนั กลา่ วคอื เมอื่ มนษุ ยไ์ ดส้ นิ้ ลมหายใจลง จติ วญิ ญาณยงั คงเวยี นวา่ ย รอการชดใช้
หนสี้ นิ เวรกรรม และรอการไปเกดิ ในภพภมู ใิ หม่ ผทู้ ก่ี ระทำ� กรรมดไี วม้ ากกไ็ ดร้ บั การสรรเสรญิ เคารพ
ยกย่องฐานะเป็นเทพเจ้า ส่วนคนที่กระท�ำกรรมช่ัวไว้เยอะก็จะกลายเป็นภูตผีปีศาจ โดยชาวจีน
ได้ยดึ ถือความเช่อื นีม้ าแต่คร้งั โบราณกาล จะเหน็ ได้จากแนวความคิดการบูชาบรรพบรุ ษุ ทส่ี ืบต่อมา
นานนบั พนั ๆ ปี
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่ได้ท�ำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ เม่ือส้ินชีพไปแล้วก็ได้รับ
การสรรเสรญิ บูชาให้เป็นเทพเจ้าเชน่ กัน ซงึ่ แรกเริม่ อาจจะเปน็ เทพเจา้ ประจำ� กลุ่มแซ่หรือกลมุ่ อาชพี
การงาน แต่ต่อมาได้เป็นท่ียอมรับกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อได้รับการยอมรับจาก
ทางราชส�ำนักแลว้ ก็จะกลายเปน็ เทพเจ้าของชาวจีนทุกหมเู่ หลา่ อาทิ กวนอู (关公)ขงจ๊ือ (孔子)
เปน็ ต้น
3. ความเช่ือในเร่ืองหลักธรรมค�ำสอนของศาสดาท่ีเป็นสากล ซึ่งชาวจีนในอดีตจะเล่ือมใส
ในศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน นบั ถอื พระพทุ ธเจา้ และพระโพธสิ ตั วห์ ลายพระองค์ เชน่ พระอวโลกเิ ตศวร
โพธสิ ัตว์ พระกษิติครรภโพธสิ ตั ว์ เปน็ ต้น นอกจากความศรัทธาในพุทธศาสนาแลว้ ชาวจีนยังนบั ถือ
เทพในลทั ธเิ ตา๋ อกี ดว้ ย ซงึ่ เทพเจา้ จนี สว่ นใหญก่ เ็ กดิ ขนึ้ มาจากลทั ธนิ ี้ โดยมมี หาเทพหยวนสอื่ เทยี นจนุ
(元始天尊 หลิงเป่าเทียนจุน(灵宝天尊) และเต้าเต๋อเทียนจุน(道德天尊) เป็นใหญ่ท่ีสุดในลัทธ ิ
ความเช่อื ดังกล่าว (สฺว่ี ล่ฮี ุ่ย และ โหว หลินหลิน, 2546: 18) และยังมีเทพเจา้ อีกหลายองค์ทผ่ี ศู้ รทั ธา
ในลัทธิดังกลา่ ว รวมถงึ ประชาชนให้ความเคารพนับถืออยา่ งสงู อาทิ เงก็ เซียงฮอ่ งเต้ (玉皇上帝)
เจา้ แมซ่ หี วงั หมู่ (西王母) หรอื เทพมารดรแหง่ ตะวนั ตก เทพเจา้ เสวยี่ นอตู่ า้ ต้ี (玄武大帝) หรอื ทคี่ นไทย
รจู้ กั ในนามเจา้ พอ่ เสอื โปย๊ เซยี น (八仙) หรอื แปดเซยี น ไฉซ่ งิ เอยี้ (财神爷) หรอื เทพเจา้ แหง่ โชคลาภ
เทพเจา้ ไทซ่ ุ่ย (太岁) หรอื ที่คนไทยรจู้ กั ในนามไท้สว่ ย เทพเจ้านาจา (哪吒) เป็นตน้
ความเช่ือทงั้ 3 ระดบั ทกี่ ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ ถือเปน็ ความเชอื่ ที่ชาวจนี ฮั่นหรือชาวจีนท่นี บั ถือ
ในความเช่ือดังกล่าวทั่วทุกภาคส่วนของประเทศจีนต่างรับรู้และเคารพศรัทธาเป็นอย่างสูง หาก
พจิ ารณาจะพบวา่ ความเชอ่ื ในเรอื่ งเทพเจา้ อำ� นาจเหนอื ธรรมชาตแิ ละสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ชี่ าวจนี เคารพนบั ถอื
พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 231
ทงั้ 3 ระดบั นี้ เปน็ การรวมเอาความเชอ่ื ทง้ั ของศาสนาพทุ ธ ลทั ธเิ ตา๋ และขงจอ๊ื เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ซง่ึ ศาสนา
และลทั ธคิ วามเชอ่ื ดงั กลา่ วเปน็ เสมอื นตน้ ธารแหง่ ความเชอ่ื ประเพณแี ละวฒั นธรรมของชาวจนี
ชาวจนี ยงั ไดจ้ ดั แบง่ แยกเพศสภาพใหก้ บั องคเ์ ทพเจา้ ทต่ี นเองนบั ถอื ดว้ ยระบบความคดิ หรอื
วธิ กี ารดังตอ่ ไปน้ี
1. แบ่งตามระบบความคิดหยินหยาง (阴阳) ของเต๋า ซง่ึ เป็นระบบแนวคิดความเชอ่ื ทีม่ ่งุ ให้
มนษุ ยเ์ คารพในกฎแหง่ ธรรมชาติ อนั เปน็ รากฐานความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ของปรชั ญาเตา๋ ในยคุ แรกเรมิ่ ทตี่ อ่ มา
ได้พัฒนากลายเป็นลัทธคิ วามเช่ือ หากแตส่ ญั ลักษณห์ ยนิ หยางก็ยังคงถูกใชเ้ ปน็ สัญลักษณข์ องลัทธิ
ดงั กลา่ วต่อมา
สญั ลกั ษณห์ ยนิ หยางแสดงถงึ คพู่ ลงั ขว้ั อำ� นาจของสองสง่ิ อนั หมายถงึ ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ สงิ่ ของ
คตู่ รงกันข้าม เปน็ กฎระเบยี บของเอกภพ นำ� มาซ่ึงความสมดลุ ของจักรวาล เชน่ ขาว-ด�ำ ชาย-หญิง
ฟา้ -ดนิ พระอาทิตย์-พระจนั ทร์ กลางวัน-กลางคนื เป็นตน้ ซ่งึ พลังหยินจะหมายถงึ เพศหญงิ ดิน
พระจันทร์ สว่ นพลังหยางจะหมายถงึ เพศชาย ฟา้ พระอาทิตย์ ดังน้ันเจา้ แมห่ รอื เทพสตรจี ีนไดถ้ กู
พัฒนาข้ึนมาจากกรอบความคิดของพลังหยินน่ันเอง เทพเจ้าเหล่าน้ีได้แก่ จันทราเทวี (ไท่อิน
เหนียงเหนียง ,太阴娘娘 ไท่อินซิงจวนิ 太阴星君) แม่ธรณี (ตี้หมู่ 地母) เป็นต้น สว่ นเจ้าพอ่ หรือ
เทพบุรษุ กถ็ กู พฒั นาข้นึ จากกรอบความคิดของพลงั หยาง เชน่ สรุ ิยเทพ (ไท่หยังกง 太阳公, ไท่หยัง
ซงิ จวิน 太阳星君) เทพแห่งฟ้า (เทียนกง 天公) เปน็ ต้น
เทพเจา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในระบบหยนิ หยางถอื วา่ เปน็ คตคิ วามเชอื่ ในเรอื่ งการบชู าธรรมชาตอิ ยา่ งหนง่ึ
ของชาวจนี ทแี่ สดงออกถงึ การเคารพกฎแหง่ จกั รวาลและการเกรงกลวั ในธรรมชาติ ซงึ่ เทพเจา้ เหลา่ น้ี
ถอื เปน็ เทพเจา้ ทไ่ี ดร้ บั การบชู าในกลมุ่ แรกๆ และมกั ปรากฏตำ� นานเรอื่ งเลา่ อยใู่ นตำ� นานเทพปกรณมั
ของจีน
2. แบ่งตามหน้าที่ท่ีผศู้ รทั ธามุ่งหวัง เช่น ทัศนคติเก่ยี วกบั การมีบตุ รนัน้ ถอื เปน็ ภาระหน้าท่ี
ท่ีส�ำคญั ของสตรจี นี การต้ังครรภ์ การบำ� รุงครรภ์ จนกระท่ังการคลอดบตุ รเปน็ เร่ืองทส่ี ำ� คัญยิง่ ของ
สตรีจีนในอดีต ทั้งนี้เพราะสังคมจีนมองว่าหญิงใดไม่สามารถให้ก�ำเนิดบุตร โดยเฉพาะบุตรชายได้
หญิงผู้น้ันถือว่าไม่ได้ท�ำหน้าที่ภรรยาและลูกสะใภ้ท่ีสมบูรณ์ สามีมีสิทธิ์ท่ีจะแต่งหญิงอ่ืนเข้าบ้านได้
เพื่อหวังให้หญิงท่ีแต่งเข้ามาใหม่นั้นให้ก�ำเนิดบุตรชายเพ่ือสืบสายโลหิตแห่งวงศ์สกุล ทั้งนี้สตร ี
ที่ไม่สามารถให้กำ� เนดิ บุตรไดน้ ั้นอาจจะถกู ขับไลอ่ อกจากบ้าน และเมือ่ สิน้ บุญไป ดวงวญิ ญาณกจ็ ะ
เป็นสัมภเวสี ผีเรร่ อ่ น ไม่มที ายาทอทุ ิศสว่ นกศุ ลไปให้ ด้วยเหตุนีเ้ องการไม่มีบุตรจงึ เป็นภาวะกดดัน
อย่างหน่ึงของสตรีจีนในอดีต ดังนั้นชาวจีนจึงได้เกิดความเชื่อในเรื่องเจ้าแม่ประทานบุตร (จู้เซิง
เหนียงเหนียง 注生娘娘) ข้นึ เพ่อื ให้สตรไี ด้คลายความทุกขแ์ ละสมหวงั ในเรอ่ื งดงั กล่าว ซึง่ เทพเจ้า
ท่ีดูแลหรือให้พรด้านนี้จึงควรมีเพศสภาพเช่นเดียวกันกับผู้ร้องขอ ประหนึ่งจะได้เข้าใจหัวอกสตร ี
ดว้ ยกัน เชน่ เดียวกันกับการมีความรู้ สติปญั ญาอนั ชาญฉลาด กระท่ังสามารถสอบเข้ารับราชการได้
ถอื เปน็ ความหวงั อนั สงู สดุ ของชายจนี ในอดตี เพราะการสอบเขา้ รบั ราชการไดส้ ำ� เรจ็ นำ� มาซงึ่ เกยี รตภิ มู ิ
ใหแ้ กว่ งศต์ ระกลู มากดว้ ยลาภยศ มผี คู้ นเคารพยกยอ่ งทว่ั ดว้ ยเหตนุ เ้ี องจงึ ไดเ้ กดิ เทพเจา้ ทปี่ ระทานพร
ด้านความรแู้ ละปัญญาหลายองค์ เช่น เหวินชางตจี้ วนิ (文昌帝君) ขงจ๊ือ ขยุ ซิง (魁星) เป็นต้น
ซึ่งเทพเจ้าเหล่านี้ลว้ นเปน็ เพศชายทัง้ สิ้น
ดงั นนั้ พอสรปุ ไดว้ า่ การแบง่ เพศสภาพใหก้ บั เทพเจา้ ในประเดน็ ภาระหนา้ ทที่ ผ่ี ศู้ รทั ธากำ� หนด
ขึ้นนั้น เป็นไปเพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้ร้องขอ ซ่ึงเพศสภาพของเทพเจ้ากลุ่มน้ีก็อิงตาม
232 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ผู้ร้องขอเป็นส�ำคัญ การปรากฏขึ้นของเทพเจ้าเหล่านี้ก็เพื่อก่อให้เกิดความหวังและก�ำลังใจ เป็น
การลดทอนภาวะแรงกดดนั ตามภาระหนา้ ทีท่ ่ีสงั คมกำ� หนดหรอื คาดหวังนน่ั เอง
3. อิงตามต�ำนานเร่ืองเล่าหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ ซึ่งการเกิดข้ึนของคติความเช่ือ
ในเรอ่ื งเทพเจ้าจนี ส่วนใหญม่ ักมีตำ� นานเรื่องเล่าหรือวรรณกรรมลายลักษณ์ ทไ่ี ดก้ ล่าวถงึ บคุ คลทงั้ ที่
มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์หรือเป็นบุคคลที่ถูกจินตนาการข้ึนมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม
ต่างๆ ตามแบบแผนคติจีน กล่าวคือ บุคคลเหล่าน้ีต้องมีคุณสมบัติท่ีเพียบพร้อมและถูกต้องตาม
แนวคิดขงจ๊ือ เช่น ซ่ือสัตย์รักชาติ กตัญญูรู้คุณ เมตตากรุณา เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติกรรม
ทีส่ ังคมคาดหวงั ถูกต้องและอยูใ่ นกรอบจารีตประเพณอี ันดงี ามของจนี นน่ั เอง
บุคคลที่มีการกล่าวอ้างถึงความสามารถ มีความรู้ความช�ำนาญในศาสตร์ต่างๆ รวมถึง
การแสดงออกถงึ การรบั ใชส้ งั คม ฯลฯ บคุ คลเหลา่ นส้ี ว่ นหนงึ่ ถกู ยกยอ่ งใหเ้ ปน็ เทพเจา้ ในคตคิ วามเชอื่
ของชาวจีน จากการเอกสารทางประวัติศาสตร์จีน มีบุคคลที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติดังกล่าว
หลายคน เชน่ กวนอู เปาบนุ้ จน้ิ (包公) หานอวี้ ์ (韩愈) งกั ฮยุ (岳飞) เสยี่ นฝเู หรนิ (冼夫人) เปน็ ตน้
ส่วนหน่ึงได้มาจากเกร็ดเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์หรือต�ำนานเทพปกรณัม ซ่ึงบุคคลในต�ำนานหรือ
เกร็ดเรื่องเล่าเหล่าน้ี ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นบุคคลท่ีมีตัวจริงในประวัติศาสตร์ และเร่ืองท่ีถูกเล่าขาน
หรอื ผกู เปน็ ตำ� นานนน้ั อาจจะเปน็ เรอ่ื งจรงิ หรอื เทจ็ กไ็ ด้ บางครงั้ อาจมที งั้ เรอื่ งจรงิ และเทจ็ ปะปนกนั ไป
เพอ่ื เสริมอรรถรสกม็ ี เช่น ตำ� นานของเจา้ แมส่ ขุ า เปน็ ตน้
อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องท่ีถูกแต่งข้ึนเพื่อความบันเทิง แต่ต่อมาบุคคลในวรรณกรรมดังกล่าว
ไดร้ บั การบชู าในฐานะเทพเจา้ เชน่ หงอคง (孙悟空) นาจา เปน็ ตน้ ซง่ึ เพศสภาพของเทพเจา้ กลมุ่ น้ี
ส่วนใหญ่ยังคงอิงอยู่กับต�ำนานเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา ยกเว้นก็แต่พระอวโลกิเตศวร ซึ่งเมื่อตอน
พทุ ธศาสนาเผยแพรเ่ ขา้ ในยคุ แรกๆ ของจนี รปู เคารพของพระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั วย์ งั เปน็ เพศชาย
กล่าวคือยังมีหนวด แต่ต่อมาได้ถูกท�ำให้กลายเป็นสตรีเพศ ซึ่งเช่ือได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์
เหนอื ใต้แลว้ (南北朝, ค.ศ.420-589) (英豪, 1998:6) และส้ินสุดในสมยั ราชวงศห์ มิงที่มกี ารนำ� เรอ่ื ง
ราวตา่ งๆ ทถ่ี กู เลา่ ขานในสงั คมจนี มาเรยี งรอ้ ยเปน็ วรรณกรรมจนี เรอื่ ง “เจา้ แมก่ วนอมิ แหง่ ทะเลจนี ใต”้
(南海观音全传) บตุ รสาวคนเลก็ ของเมยี่ วจวง (妙庄王) กษตั ยิ แ์ หง่ รฐั ซงิ หลนิ (兴林国) พระนามเดมิ
เมย่ี วซนั่ (妙善) ทงั้ นเี้ หตทุ ท่ี ำ� ใหเ้ พศสภาพของพระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั วจ์ ากบรุ ษุ เพศกลายมาเปน็
สตรเี พศกค็ อื ชาวจนี ต่างเช่อื กันว่าเมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธสิ ัตวเ์ ปล่ียนสภาพกลายเปน็ สตรจี ะเพิม่
ความเมตตาคุณและกรุณาคุณมากกว่าเพศชาย การเปล่ียนแปลงเพศสภาพของเทพเจ้าและส่ิง
ศักดิ์สิทธิ์ในจีนไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยคร้ัง ทั้งนี้เพราะมีต�ำนานความเช่ือที่เล่าขานสืบต่อกันมา
เวน้ เสยี แตจ่ งใจปรบั เปลยี่ นเพอื่ เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงคต์ ามทต่ี นเองตอ้ งการ อเชน่ พระอวโลกเิ ตศวร
โพธสิ ัตว์ เป็นตน้
ความเชอื่ เกย่ี วกบั เทพเจา้ และสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธใ์ิ นคตคิ วามเชอื่ ของชาวจนี เปน็ เสมอื นภาพจำ� ลอง
ระบบการปกครองสงั คมจนี สว่ นหนง่ึ กลา่ วคอื มอี งคเ์ งก็ เซยี งฮอ่ งเตเ้ ปน็ ใหญบ่ นสรวงสวรรค์ ปกครอง
เหลา่ ทวยเทพทง้ั หมด และมเี จา้ แมห่ วงั หมู่ (王母娘娘) เปน็ สตรเี ทพผเู้ ปน็ ใหญใ่ นฝา่ ยหญงิ นอกจากนน้ั
แล้วยงั ไดแ้ บง่ หน้าท่ีความรับผดิ ชอบตา่ งๆ ของเทพเจ้าตามความตอ้ งการของเหล่ามวลมนุษย์ เช่น
เจ้าพ่อหลักเมืองเป็นผู้ดูแลและปกปักรักษาพื้นท่ีระดับเมือง ส่วนการดูแลปกปักรักษาผู้คนภายใน
ท่พี ักอาศัยก็มเี ทพ “เจ้าที”่ ระดบั ครัวเรอื น หรือตี่จู่เอยี๊ ะ (地主爷) เปน็ ผ้ดู แู ล หากปว่ ยไม่สบายก็
พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 233
สามารถกราบไหวข้ อพรจากเทพเจา้ เสนิ หนง (神农) ซง่ึ เปน็ เทพเจา้ ทดี่ แู ลดา้ นยา หรอื ไมก่ ก็ ราบไหว้
ขอพรจากเทพเจ้าหวั ถวั (华佗) ซึ่งเชย่ี วชาญในการแพทยก์ ็ได้ นักเดินเรอื หรอื ผูท้ ี่หากนิ ทางน้ำ� กจ็ ะ
บูชาเจา้ แมม่ าจู่ (妈祖) สว่ นผู้ประกอบอาชพี ทำ� สุรากก็ ราบไหว้เทพแห่งสรุ า ส่วนผปู้ ระกอบกจิ การ
คา้ ขายทั่วไปก็บชู าเทพเจา้ แห่งโชคลาภ
ดงั นน้ั จึงกลา่ วไดว้ า่ ชาวจีนมีความเช่อื เรอื่ งเทพเจา้ อย่างสุดหวั ใจ ซึ่งไมว่ ่าสถานท่ใี ดๆ หรอื
จะทำ� การใดๆ ตา่ งลว้ นมเี ทพเจา้ ทด่ี แู ลดา้ นนนั้ ๆ คอ่ ยใหค้ วามชว่ ยเหลอื หรอื อปุ ถมั ภแ์ ดผ่ ศู้ รทั ธาทา่ น
ด้วยความจรงิ ใจ
เจ้าแม่ทับทิมท่ีศาลเจา้ แมจ่ ุย๊ บว๋ ยเนี้ย ต�ำบลท่าฉลอม จงั หวดั สมุทรสาคร
(ทม่ี า: http://pantip.com/topic/31052115)
ตำ� นานและความเชื่อของเจา้ แม่มาจู่
เจา้ แมห่ รือเทพสตรีอย่คู ู่กับสังคมจีนมาชา้ นาน และถือเปน็ สว่ นหนึ่งของระบบความคดิ และ
คตคิ วามเชอื่ ของชาวจนี อกี ดว้ ย เมอ่ื ชาวจนี ออกจากมาตภุ มู ไิ ปตงั้ หลกั ปกั ฐานในดนิ แดนอน่ื ๆ กย็ งั คง
นำ� เอาความเชอื่ ดงั กลา่ วตดิ ตวั ไปด้วย และเมอื่ ตง้ั หลักปักฐานรวมตัวเปน็ ชมุ ชนไดแ้ ลว้ กม็ กั จะสรา้ ง
ศาลเจ้าและรูปเคารพของเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมตามระบบความเชื่อที่ตน
เคยยึดถือมาแต่คร้ังอาศัยบนแผ่นดินเกิดหรือเพ่ือกราบไหว้เพ่ือบูชาขอพรในเทศกาลต่างๆ ตาม
ประเพณแี ละธรรมเนยี มปฏิบัติ ซงึ่ ความเชื่อเกยี่ วกบั เทพสตรจี นี ก็ไดเ้ ข้ามาไทยพรอ้ มกับการอพยพ
ของชาวจนี
ชาวจีนที่อพยพเข้ามาในไทยสมัยอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นส่วนใหญ่มาจาก
ทางตอนใต้ของจีน ซง่ึ จำ� แนกชาวจีนอพยพจากกลมุ่ วัฒนธรรมทางภาษาและภมู ิลำ� เนาได้ดังนี้
กลุ่มจีนแต้จิว๋ มาจากตะวนั ออกเฉยี งเหนือของมณฑลกวางตุ้ง
กลุ่มจนี ฮกเก้ยี น มาจากตอนใตข้ องมณฑลฮกเก้ียน
234 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
กล่มุ จนี ไหหลำ� มาจากตะวนั ออกเฉียงเหนือของเกาะไหหลำ� มณฑลไหหลำ�
กลุ่มจีนกวางตงุ้ มาจากตอนกลางของมณฑลกวางตุ้ง
กลุ่มจนี แคะ มาจากตอนเหนือของมณฑลกวางตุ้ง
(สภุ างค์ จันทวานิชและคณะ, 2534:1)
ซ่งึ ชาวจีนท้งั 5 กล่มุ ที่มีวฒั นธรรมทางภาษาแตกต่างกันเหล่าน้ถี ือเป็นบรรพชนของชาวจนี
ในสังคมไทยในยุคแรกๆ และยังมีบทบาททั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม ซ่ึง
วัฒนธรรมความเช่ือในเร่ืองเทพเจ้าก็เป็นส่วนส�ำคัญอย่างหน่ึงที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาวจีน
ทั้ง 5 วัฒนธรรมทางภาษาทกี่ ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ ท่ยี งั คงอยู่กไ็ ดร้ บั การสืบสานมาจนถึงสมยั ปัจจบุ ัน
ชาวจนี ในสงั คมไทยมกี ารบชู าเทพสตรจี นี อยหู่ ลายองค์ หากแตท่ ไี่ ดร้ บั การบชู าอยา่ งแพรห่ ลาย
เปน็ พเิ ศษ กค็ อื “มาจ”ู่ ทป่ี รากฏพระนามมากมาย อาทิ เทยี นเฟย (天妃) เทยี นโฮว่ (天后) เทยี นโฮว่
เซิง่ หมู่ (天后圣母) หรอื ทีค่ นไทยรจู้ ักในนามเจา้ แมส่ วรรค์ เจา้ แมท่ บั ทมิ เปน็ ต้น ตำ� นานเรอ่ื งเล่า
เกย่ี วกบั เจา้ แมม่ ดี งั ตอ่ ไปนี้ (ตว้ น ลเ่ี ซงิ และบญุ ยง่ิ ไรส่ ขุ สริ ,ิ 2543:20-22 ; สวฺ ี่ ลฮ่ี ยุ่ และโหว หลนิ หลนิ ,
2546:125 ; 林进源, 2005: 294-297; 马书田, 1996:201-202)
เจา้ แม่เป็นบุตรสาวคนเล็กในครอบครัวตระกูลหลิน (แซ่ลมิ้ ) บิดาช่ือหลินย่วน (林愿)
เปน็ ผูต้ รวจราชการแผ่นดินจงั หวัดซิงฮว่า เมืองผเู่ ถียง (ปจั จบุ นั คือเมืองผู่เถยี ง ในมณฑลฮกเกีย้ น
福建莆田) สมยั ราชวงศ์ซ่ง สว่ นมารดาเปน็ คนในตระกลู หวงั
บิดาและมารดาของท่านน้ันเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ เคร่งในพระพุทธศาสนามาก
นับถือเจ้าแม่กวนอิม วันหน่ึงทั้งสองได้สวดอ้อนวอนขอพรจากพระโพธิสัตว์กวนอิมให้พระองค์
ทรงช่วยประทานบุตรให้ จากนั้นจึงเกิดนิมิตอัศจรรย์ข้ึนเม่ือย่างเข้าเดือน 6 บิดาท่านได้ฝันว่า
พระโพธสิ ตั วก์ วนอมิ ไดป้ ระทานยาวเิ ศษใหก้ บั ภรรยา และในเวลาตอ่ มาภรรยาทา่ นกต็ ง้ั ครรภ์ กอ่ นที่
จะคลอดไดเ้ กดิ ปาฏหิ ารยิ ม์ แี สงสวา่ งสอ่ งเขา้ มาในบา้ น มกี ลนิ่ หอมฟงุ้ กระจายไปทว่ั เมอื งนานนบั เดอื น
และเมื่อวันท่ี 23 เดือน 3 ตามจันทรคติ ซ่ึงเป็นวันเกิดของท่าน แผ่นดินกลายเป็นสีม่วงระเร่ือ
ทว่ั ชาวบ้านตา่ งพดู เปน็ เสยี งเดยี วกนั ว่า จะมผี ู้มีบุญลงมาจตุ ใิ นโลกมนษุ ย์
เม่ือทา่ นคลอดออกมาน้นั เป็นเดก็ น่ารกั ผิวพรรณสวยงาม ผดิ จากเดก็ ทว่ั ไป อายไุ ด้
1 เดอื น ไมร่ อ้ งไห้ ไมก่ วนบดิ า มารดา บิดาท่านจงึ ตง้ั ชอ่ื วา่ มว่ั (默) ที่แปลวา่ เงยี บขรึม เม่อื เจา้ แม่
อายไุ ด้ 5 ขวบ สามารถทอ่ งบทสวดพระโพธสิ ตั วก์ วนอมิ เมอ่ื อายไุ ด้ 8 ขวบ เขา้ เรยี นหนงั สอื เจา้ แม่
กส็ ามารถอา่ นเขยี นไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ และจดจำ� ในสงิ่ ทค่ี รสู อนไดห้ มด จนกระทงั่ เมอื่ อายไุ ด้ 11 ขวบ
สามารถรา่ ยร�ำ เพือ่ บูชาเทพเจ้า และเม่ืออายุได้ 13 ขวบ ไดพ้ บกบั เทวดาองคห์ นึ่งซ่งึ เปน็ ผูถ้ า่ ยทอด
วชิ ากระแสจติ และความรเู้ รอ่ื งราวตา่ งๆ ของสวรรค์ใหเ้ จ้าแมไ่ ด้รบั รู้ เมอื่ โตเป็นสาว สามารถล่วงรู้
ถงึ ความเปน็ ไปในอนาคต และสามารถถอดดวงจิตเพ่ือช่วยเหลอื ลกู เรือประมง ขณะเกดิ มรสุม ท้งั ยัง
สามารถรักษาโรคร้ายให้หายอย่างน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะสวรรค์ได้มอบของวิเศษให้กับ
เจ้าแมน่ ่นั เอง ชาวบ้านจึงเรยี กขานว่าเปน็ เทพธดิ าหรอื ธดิ ามงั กร
กลา่ วกนั วา่ วนั หนงึ่ บดิ าและพชี่ ายทง้ั 4 คนของทา่ นแยกนงั่ เรอื ไปคนละลำ� เพอ่ื ทำ� ธรุ ะ
ที่เมืองฝูโจว มีเพียงท่านและมารดาอยู่เฝ้าบ้าน พอกลางดึก เจ้าแม่ก�ำลังทอผ้าได้เกิดสังหรณ์ใจ
ขน้ึ มาวา่ บดิ าและพช่ี ายของทา่ นจะไดร้ บั อนั ตราย เจา้ แมจ่ งึ ไดน้ ง่ั หลบั ตา ขณะนน้ั มอื ทงั้ สองกำ� กระสวย
พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 235
จนแนน่ เท้ากเ็ หยียบกท่ี อผ้าไว้ไมใ่ ห้เคลอ่ื นไหว ขณะน้นั มารดาของท่านเข้ามาเหน็ เข้ากต็ กใจจงึ ได้
รอ้ งเรยี กเสยี งดงั ๆ เจา้ แมเ่ มอ่ื ไดย้ นิ เสยี งของมารดาทา่ นรอ้ งเรยี กกส็ ะดงุ้ ตนื่ เมอื่ เจา้ แมต่ น่ื ขน้ึ มากพ็ ดู
กบั มารดาว่า แยแ่ ล้ว บดิ าและพี่ชายของตนไดร้ ับอนั ตรายจากลมพายุ มารดาตกใจจนหน้าเปลยี่ นสี
เจา้ แมจ่ ึงบอกกับมารดาว่า มอื และเท้าทัง้ สองก�ำลังลากเรอื ไว้ 4 ล�ำ และปากยงั คาบเรืออีก 1 ล�ำ ซึ่ง
กำ� ลังสูก้ ับพายุรา้ ย แตท่ า่ นแมม่ าปลุกเสยี กอ่ นจึงทำ� ใหเ้ รือที่ใชป้ ากคาบไวถ้ ูกพัดจนจม พ่ีชายคนโต
แย่แล้ว จากนั้นท่านก็ร้องไห้เสียใจ เมื่อวันที่บิดาและพ่ีชายกลับถึงบ้านก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น
วา่ ขณะทล่ี มพายกุ �ำลงั พัดแรง ได้เหน็ สตรผี ู้หน่ึงชว่ ยจูงเรอื ใหเ้ ขา้ ฝ่งั เมอ่ื ทุกคนได้ฟงั กร็ ้วู ่า สตรผี ู้นน้ั
กค็ ือเจา้ แมท่ ่กี ำ� ลังถอดดวงจิตไปช่วยประคองเรือไวไ้ ม่ใหล้ ม่ และน�ำเรอื เข้าฝั่งน่ันเอง
จนกระทงั่ เมอ่ื อายไุ ด้ 27 ปี ขณะทท่ี า่ นกำ� ลงั ชว่ ยเหลอื ชาวประมงทก่ี ำ� ลงั ถกู พายไุ ตฝ้ นุ่
พดั กระหนำ่� ลอยลำ� อยกู่ ลางทะเล แตเ่ นอื่ งจากคลนื่ สงู ลมแรง รา่ งของทา่ นไดถ้ กู พายพุ ดั หายไป หาก
แตช่ าวบา้ นเชอ่ื กนั วา่ ทา่ นไดเ้ สดจ็ กลบั สสู่ วรรคท์ พิ ยว์ มิ าน ไดร้ บั พระบญั ชาแตง่ ตงั้ เปน็ เทพเจา้ ไปแลว้
จากต�ำนานข้างต้นจึงท�ำให้เทพสตรีองค์นี้ได้รับการบูชาอย่างสูง โดยเฉพาะกับผู้ที่หากิน
กับทะเลหรือแม่น�้ำ ทั้งน้ีเพราะผู้ศรัทธาเช่ือว่าเจ้าแม่มาจู่จะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น
ปลอดภยั และหากพจิ ารณาถงึ แหลง่ กำ� เนดิ ของตำ� นานความเชอ่ื ของเทพสตรอี งคน์ จี้ ะพบวา่ อยบู่ รเิ วณ
มณฑลฮกเกย้ี นตอนใตห้ รอื ภาษาจนี กลางเรยี กวา่ “หมนิ่ หนาน” ซงึ่ เปน็ ฐานทม่ี น่ั ของกลมุ่ วฒั นธรรม
จีนฮกเกย้ี น หากแต่อาณาบริเวณของพื้นทีห่ มิน่ หนานกอ็ ยตู่ ิดกบั มณฑลกวางตุ้ง อนั เป็นทีอ่ ย่อู าศยั
และรากเหงา้ ของวฒั นธรรมจีนกวางตุ้ง แคะ และแตจ้ ๋ิว นอกจากนน้ั แลว้ ในอดีตเกาะไหหลำ� กย็ ังถือ
เป็นสว่ นหนงึ่ ของมณฑลกวางตงุ้ อกี ด้วย ดังนั้นจึงเช่ือได้วา่ ในอดีตตอ้ งมีการเดนิ ทางไปมาหาสู่กนั
ระหว่างผู้คนท้งั 5 กลมุ่ วัฒนธรรมทางภาษาเหลา่ นี้ จงึ ท�ำให้เทพสตรอี งค์นี้ได้รบั การบูชาจากผูค้ น
ทุกกลุ่มวัฒนธรรมทางภาษาทง้ั 5 ไดแ้ ก่ แคะ กวางตงุ้ แต้จว๋ิ ไหหลำ� และฮกเกี้ยน นอกจากนั้นแลว้
การด�ำรงชีพของผู้คน 4 ใน 5 กลุ่มวัฒนธรรมทางภาษามีพื้นที่ติดกับทะเล ประชาชนส่วนใหญ ่
กห็ ากินกบั น้ำ� ช�ำนาญการเดนิ เรอื เว้นแต่ชาวจนี แคะที่หากนิ กบั ป่าเขาเปน็ หลกั และเมอื่ ชาวจีนต้อง
เดินทางมายงั สยามประเทศ ไมว่ ่าจะดว้ ยการตดิ ต่อค้าขาย หนีภยั ธรรมชาตแิ ละภยั สงคราม รวมถึง
การแสวงหาถน่ิ ทอี่ ยใู่ หมใ่ นการดำ� รงชพี หรอื วตั ถปุ ระสงคใ์ ดๆ กต็ าม ซง่ึ ชาวจนี เหลา่ นกี้ ต็ อ้ งโดยสาร
เรือเป็นหลักในการเดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิ จึงท�ำให้เชื่อได้ว่า กลุ่มคนเหล่าน้ีต่างรับรู้
กติ ติศพั ทแ์ หง่ เจ้าแมอ่ งค์นีเ้ ปน็ แนแ่ ท้
เอกสารโบราณของจีนไดก้ ลา่ วถึง การเดินทางมายงั ดนิ แดนต่างๆ ของคณะทตู จนี จากราช
ส�ำนักหมิงคนส�ำคัญนามว่า เจ้ิงเหอ (郑和ค.ศ.1371-1433) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “ซ�ำปอกง”
(三宝公) กเ็ คยไดร้ บั การชว่ ยเหลอื จากเจา้ แมอ่ งคน์ ้ี กลา่ วคอื เมอ่ื ครงั้ กอ่ นออกเดนิ ทางสมทุ รยาตรา
คร้งั ที่ 7 ในสมัยจกั รพรรดเิ ซวียนจง ปรี ชั ศกเซวียนเตอ๋ ท่ี 6 (ค.ศ.1431) เจิง้ เหอได้สร้างแผ่นป้ายจารกึ
สดดุ อี งคเ์ จ้าแมเ่ ทียนเฟย ซงึ่ แปลว่า พระสนมแหง่ ท้องนภา ทท่ี ่านเมตตาชว่ ยใหก้ ารเดนิ ทางเป็นไป
อยา่ งราบรน่ื ปลอดภัย ดังนน้ั เจง้ิ เหอในฐานะผู้บญั ชาการกองเรอื จงึ ได้เป็นผ้นู ำ� ในการสักการะขอพร
ต่อเจ้าแม่เทียนเฟยที่ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาก่อนออกมุ่งหน้าสู่ทะเลตะวันตกอีกด้วย
(ปรวิ ฒั น์ จันทร, 2546:96-98) ดังจะเห็นไดว้ ่า สตรเี ทพองคน์ ้ไี ดร้ บั การนบั ถอื บชู าจากชาวเรอื และผู้
ทอ่ี าศัยเรอื เปน็ ยานพาหนะในการเดินทาง เพื่อการโดยสารหรือเชื่อมติดต่อกบั สงั คมภายนอก
เทพสตรอี งคน์ ไ้ี ดร้ บั การบชู าจากทง้ั ประชาชนและจากทางราชสำ� นกั กลา่ วคอื ตง้ั แตม่ เี รอ่ื งเลา่
เก่ียวกับต�ำนานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เจ้าแม่แล้ว ราชส�ำนักจีนก็ให้ความส�ำคัญกับเทพสตรีองค์น้ีมา
236 พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
โดยตลอด โดยราชสำ� นกั ซง่ ไดส้ ถาปนาเทพสตรอี งคน์ ขี้ น้ึ เปน็ ครงั้ แรกในสมยั จกั รพรรดซิ ง่ เกาจง ปรี ชั ศก
เซา่ ซิงท่ี 26 (ค.ศ.1156) และส้ินสดุ ในสมัยจักรพรรดิชิงหม่จู ง ปีรชั ศกถงจอ้ื ท่ี 11 (ค.ศ. 1872) ตลอด
ระยะเวลา 716 ปี แผ่นดินจนี ผลดั เปล่ียนกวา่ 4 ราชวงศ์ ประกอบดว้ ย ซง่ หยวน หมงิ และชงิ ซง่ึ ใน
แต่ละราชวงศ์ก็ได้สถาปนาเทพสตรีองค์น้ี ค�ำนวณรวมแล้วไม่ต�่ำกว่า 30 คร้ัง (魏叔贞,
1994: 13-21) การทเี่ จา้ แมไ่ ดร้ ับการสถาปนาจากราชส�ำนกั ในทกุ ยคุ สมัยและจ�ำนวนมากครั้งนั้น ไม่
ว่าผู้ปกครองนั้นจะมาจากกลุ่มชนใดๆ ก็ตาม เช่น ราชวงศ์หยวนคือชาวมองโกล ราชวงศ์ชิง
คือชาวแมนจู ส่วนราชวงศ์ซ่งและหมิงคือชาวจีนฮ่ัน แต่ผู้ปกครองทุกราชวงศ์ต่างก็ศรัทธายิ่งต่อ
เทพเจ้าองค์นี้ ซึ่งได้สะท้อนถึงสตรีเทพองค์นี้อยู่ในต�ำแหน่งที่มีความส�ำคัญของระบบคิดและวิถีจีน
มาโดยตลอด
ชอ่ื พระนามทจี่ กั รพรรดจิ นี ไดส้ ถาปนาใหก้ บั เจา้ แมน่ น้ั สว่ นใหญอ่ งิ อยกู่ บั ยศบรรดาศกั ดขิ์ อง
สตรีจีนในยุคโบราณ ซึ่งล�ำดับชั้นของแต่ละยุคสมัยก็ใช้แตกต่างกันไป แรกเร่ิมเจ้าแม่มาจู่ได้รับ
การสถาปนาในสมยั ราชวงศซ์ ง่ ตำ� แหนง่ “ฝเู หรนิ ” (夫人) อาจแปลความไดว้ า่ “ทา่ นผหู้ ญงิ ” ตอ่ มา
ได้เลอ่ื นชั้นเปน็ “เฟย” (妃) อาจแปลความได้วา่ “พระสนม” ส่วนในราชวงศ์หยวนได้สถาปนาใน
ต�ำแหน่ง “เทยี นเฟย” (天妃) ซ่งึ แปลความว่า “พระสนมแห่งทอ้ งนภา” ในราชสำ� นกั หมิงกย็ ังใชค้ ง
ใชต้ ำ� แหนง่ ดงั กลา่ ว เมอื่ ถงึ ราชวงศช์ งิ สมยั จกั รพรรดชิ งิ เซง่ิ จู่ ปรี ชั ศกคงั ซที ่ี 19 (ค.ศ.1680) ไดส้ ถาปนา
ตำ� แหน่ง “เทียนซัง่ เสิ่นหม”ู่ (天上圣母) ซง่ึ ค�ำว่า “เทียนซ่ัง” แปลว่าบนสวรรค์ “เสิน่ หมู่” แปลวา่
พระมารดา เม่ือรวมกันแล้วก็คือ พระมารดาแห่งสวรรค์ และต่อมาในปีรัชศกคังซีท่ี 23
(ค.ศ. 1684) ได้เลอ่ื นชั้นเป็น “เทยี นโฮว่ ” (天后) โดยแปลความไดว้ ่า “พระนางเจ้าแห่งสวรรค์”
ล�ำดับขั้นต่างๆ ที่ได้รับการสถาปนานี้ได้บ่งบอกถึงต�ำแหน่งยศที่สูงศักด์ิข้ึน และมีความส�ำคัญยิ่ง
ต่อการเรียกขานเจ้าแม่ในเวลาต่อมา เป็นเหตุให้อักษรจีนอยู่หน้าศาสนสถานที่มีองค์เจ้าแม่เป็น
เทพประธาน สามารถเขยี นศาลเจา้ ไดห้ ลายอยา่ ง อาทิ “เทยี นเฟยเมยี่ ว” (天妃庙) หรอื ศาลพระสนม
แหง่ ทอ้ งนภา “เทยี นซง่ั เสน่ิ หมเู่ มยี่ ว” (天上圣母庙) หรอื ศาลพระมารดาแหง่ สวรรค์ “เทยี นโฮว่ กง”
(天后宫) หรือตำ� หนักพระนางเจ้าแหง่ สวรรค์ เป็นต้น
พระนามของเจ้าแมม่ าจู่ในสังคมไทย
1. พระนามแบบจีน
พระนามแบบจนี ของเจา้ แมม่ ดี ว้ ยกนั หลายอยา่ ง
ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ และเมอื่ คตคิ วามเชอ่ื แหง่ องคเ์ จา้ แม่
ไดเ้ ดนิ ทางมาพรอ้ มกบั กลมุ่ ผศู้ รทั ธามาประดษิ ฐานใน
สงั คมไทยอยา่ งมน่ั คงแลว้ นน้ั พระนามแหง่ องคเ์ จา้ แม่
ท่ีปรากฏอยู่ภายในศาสนสถานต่างๆ ของชาวจีนใน
ไทยสว่ นใหญจ่ ะจารกึ และเรยี กขานทา่ นวา่ “เทยี นโฮว่
เส่ินหมู่” พระนามนี้น่าจะเป็นการประสมค�ำระหว่าง
ต�ำแหนง่ “เทยี นโฮ่ว” กับ “เทยี นซง่ั เส่ินหมู่” เขา้ ไว้
ด้วยกัน หากแต่ความหมายยังคงเหมือนกับค�ำว่า
“เทยี นโฮว่ ” ทมี่ คี วามหมายวา่ พระนางเจา้ แหง่ สวรรค์
ซงึ่ เปน็ ยศตำ� แหนง่ สงู สดุ ของเจา้ แมท่ ไ่ี ดร้ บั การสถาปนา
รปู เคารพของเจา้ แมม่ าจู่ ภายในศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ วดั เลยี บ
พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 237
จากจักรพรรดิจีน พระนามดังกล่าวก็ใช้กันอย่างแพร่หลายในศาสนสถานท้ังในประเทศจีน ไต้หวัน
ฮอ่ งกง มาเกา๊ รวมถงึ ประเทศตา่ งๆ ในอษุ าคเนย์ ซง่ึ ศาสนสถานทใี่ ชช้ อ่ื ดงั กลา่ วโดยสว่ นมากจะเปน็
ศาลเจา้ ทสี่ รา้ งขนึ้ หลงั จากปี ค.ศ. 1684 กลา่ วคอื หลงั จากทไี่ ดร้ บั การสถาปนาในยศตำ� แหนง่ ดงั กลา่ ว
แล้ว ความน่าสนใจอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ม่าจ้อโป๋ บนถนนบริรักษ์บ�ำรุง อ�ำเภอเมืองพังงา ซ่ึงเป็นศาสน
สถานท่ีบูชาเทพสตรีองค์น้ีในฐานะเทพประธาน ร่วมกับเจ้าพ่อกวนอู เทพ “เจ้าท่ี” และ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆ อีกมากมายตามคติความเช่ือของชาวจีน หากแต่ศาลเจ้าดังกล่าวยังคงเรียก
เทพสตรีองค์น้ีว่า “เทียนซั่งเส่ินหมู่” ดังปรากฏอักษรจีนดังกล่าวอยู่บนแผ่นป้ายไม้ท่ีประดับอยู ่
ด้านหน้าของศาลเจ้า และท่ีบนเก๋งจีนท่ีใช้ประดิษฐานรูปเคารพแห่งองค์เจ้าแม่ รวมถึงแผ่นป้ายไม ้
ท่ีตั้งไว้หน้ารูปเคารพ การท่ีศาลเจ้าดังกล่าวไม่ได้ปรับเปล่ียนชื่อเป็น “เทียนโฮ่วเส่ินหมู่” ทั้งน้ี
อาจจะเปน็ การยดึ ตามแบบเรยี กเดมิ ทที่ า่ นไดร้ บั การสถาปนาจากจกั รพรรดคิ งั ซใี นปที ่ี 19 (ค.ศ. 1680)
หากแต่ก็อาจจะใช้สะท้อนถึงความเก่าแก่ของศาสนสถานดังกล่าวก็เป็นได้ เนื่องจากศาลเจ้าแห่งน้ี
อยู่ไม่ไกลจากคลองพังงาท่ีสามารถเช่ือมลงทะเลฝั่งอันดามันได้ จึงอาจจะเป็นชุมชนเก่าของชาวจีน
ฮกเก้ียนทอ่ี พยพมาตงั้ ถิน่ ฐานในบริเวณดงั กลา่ ว และมีการสร้างศาลเจา้ แห่งนขี้ ึ้นชว่ งปี ค.ศ. 1680-
1684 กอ่ นไดร้ บั สถาปนาจากจกั รพรรดคิ งั ซใี นครง้ั ที่ 2 ซงึ่ ตอ่ มากลมุ่ ผศู้ รทั ธากย็ งั ใชพ้ ระนามดงั กลา่ ว
สบื ตอ่ กนั มาจนถึงปัจจุบนั ซึ่งศาสนสถานจนี ในไทยที่ใช้พระนาม “เทยี นซ่งั เสิ่นหม”ู่ มีอยู่ไมม่ ากนกั
ศาลเจา้ แมม่ ่าจอ้ โป๋ บนถนนบริรักษบ์ �ำรุง อ�ำเภอเมืองพังงา
(ทมี่ า: https://www.facebook.com/ศาลเจา้ แมม่ า่ จอ้ โป๋-จังหวดั พังงา-325803097465929/
นอกจากนน้ั แลว้ ความสำ� คญั ของศาลเจา้ ดงั กลา่ วคอื เปน็ ศาลเจา้ ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานกระถางธปู
จากพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 6 ตรงกลางมพี ระปรมาภไิ ธยยอ่ จปร. ดา้ นบน
พระปรมาภิไธยยอ่ จปร. มีจารกึ อักษรจีน 4 ตัวคือ “ฮูห่ ว่ัวต้าสิง” (护我大行) “ฮ”ู่ แปลวา่ คุ้มครอง
“หวว่ั ” แปลวา่ ขา้ พเจา้ “ตา้ สงิ ” ในทนี่ น้ี า่ จะหมายถงึ พระมหากษตั รยิ ท์ พ่ี ง่ึ เสดจ็ สวรรคต ซง่ึ หมายถึง
238 พลังผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี 5 นน่ั เอง ดังน้ันคำ� วา่ “ฮู่หวว่ั ต้าสิง” จงึ แปล
ความไดว้ า่ โปรดค้มุ ครองพระราชบดิ าของข้าพเจ้า ซึง่ เป็นค�ำวงิ วอนขอสิ่งศกั ด์สิ ิทธ์ิใหช้ ่วยคมุ้ ครอง
ดวงพระวิญญาณของล้นเกล้าฯ รัชกาลท่ี 5 เสด็จสู่สรวงสวรรค์แดนทิพย์วิมาน และยังมีจารึก
อกั ษรจีนอกี 2 แถว แถวดา้ นขวาจารึกวา่ “หวงเสียนเลอ่ ตันน่าเกาเฉิงอ้ไี ป่เอ้อรส์ อื จว่ิ เหนยี นกู่ตนั้ ”
(皇暹叻丹那高成壹百贰拾玖年榖旦) ซ่ึง “หวง” หมายถึง พระมหากษัตริย์ “เสียน” หมายถึง
สยาม “เล่อตันน่าเกาเฉิง” หมายถึง รัตนโกสินทร์ “อ้ีไป่เอ้อร์สือจิ่วเหนียน” หมายถึง ปีท่ี 129
“กู่ตั้น” หมายถึง วันมงคล เมื่อรวมแล้วจะได้ความว่า วันมงคลในปีรัตนโกสินทร์ศก 129 แห่ง
พระมหากษัตริย์สยาม ส่วนอักษรจีนแถวซ้ายจารึกว่า “ต้ีล่ิวไต้อ้ีว์เจิง” (第六代御赠) อักษรจีน
“ต้ีล่ิวไต้” หมายถึง ล�ำดับท่ี 6 ส่วนอักษร “อ้ีว์เจิง” แปลว่า พระราชทาน ดังน้ันอักษรแถวซ้าย
จึงมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ล�ำดับที่ 6 ทรงพระราชทาน เมื่อรวมความของอักษรจีนทั้ง
2 แถว จะได้ความหมายว่า วันมงคลในปีรัตนโกสินทร์ศก 129 พระมหากษัตริย์ในล�ำดับท่ี 6
แห่งสยามทรงพระราชทาน เพื่อเป็นการอุทิศถวายแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ท้ังน้ียังมีศาลเจ้าแม่มาจู่ท่ีได้รับพระราชทานธูปจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี 6 เช่น ศาลเจา้ มาโจ๊ว ถนนราชด�ำเนิน อำ� เภอเมืองนครศรีธรรมราช ศาลเจ้าแม่
ทับทิม (สะพานเหลือง) ซอยจฬุ าฯ 7 แขวงวงั ใหม่ เขตปทุมวนั กรุงเทพฯ เปน็ ต้น จากการได้รับ
พระราชทานกระถางธูปจากล้นเกล้าฯ รัชกาลท่ี 6 จึงท�ำให้เชื่อได้ว่า เทพสตรีจีนองค์น้ีไม่เพียง
แตไ่ ดร้ บั ความเคารพและศรทั ธายง่ิ ทง้ั จากชาวจนี ในสงั คมไทย และยงั ไดร้ บั การยกยอ่ งจากราชสำ� นกั
สยามอกี ด้วย
ท้ังน้ีการเรียกขานในพระนาม “เทียนซ่ังเส่ินหมู่” อาจจะไม่นิยมน�ำมาต้ังเป็นช่ือของ
ศาสนสถานแห่งองค์เจ้าแม่ก็ได้ แต่นิยมน�ำมาท�ำเพียงป้ายชื่อท่ีประดับไว้อยู่หน้ารูปเคารพแห่ง
องคเ์ ทพเจา้ เพอื่ ใหผ้ ศู้ รทั ธาไดร้ บั รแู้ ละเรยี กขานพระนามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เชน่ ท่ี ศาลเจา้ ซมั สา้ นเทยี่ น
เฮวกึ๋ง ถนนกระบี่ ต�ำบลตลาดใหญ่ อ�ำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นอกจากน้ันแล้ว ศาลเจ้าแม่มาจู่
ในไตห้ วันกน็ ยิ มเรยี กขานในพระนาม “เทยี นซ่ังเสนิ่ หมู่” เช่นกัน
ศาลเจ้าที่บูชาเทพสตรีองค์นี้ในสังคมไทย นอกจากจะมีพระนามที่ได้รับการสถาปนาจาก
จกั รดพิ รรดจิ นี แลว้ แตช่ าวบา้ นทว่ั ไปมกั เรยี กทา่ นวา่ “มาจ”ู่ ซง่ึ แปลความไดว้ า่ แมย่ า่ การออกเสยี ง
“มาจู่” เป็นการออกเสียงแบบภาษาจีนกลาง ส่วน “มาโจ๊ว” หรือ “ม่าจ้อ” เป็นการออกเสียง
ตามภาษาจนี ถน่ิ ตา่ งๆ เชน่ “มาโจว๊ ” เป็นส�ำเนียงจนี แต้จ๋วิ สว่ น “ม่าจอ้ ” เป็นสำ� เนียงจนี ฮกเก้ยี น
เป็นต้น ศาสนสถานจีนในประเทศไทยท่ีมีการน�ำค�ำว่า “มาจู่” จารึกไว้ภายในศาลเจ้ามีอยู่ไม่มาก
อาทิ ศาลเจ้าปนุ้ เถ้ากงมา่ ตลาดเจด็ เสมียน ตำ� บลเจด็ เสมยี น อำ� เภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ท่ีปา้ ย
หนา้ ศาลเจา้ เขยี นวา่ “เปน่ิ โถวมาจเู่ มยี่ ว” (本头妈祖庙) คำ� วา่ “เปน่ิ โถว” หมายถงึ เทพเจา้ ปนุ เถา้ กง
สว่ นค�ำว่า “มาจู่” หมายถึงเทพสตรอี งคน์ ้ี และ “เมี่ยว” หมายถึง ศาลเจา้ ดังน้นั ศาลดงั กลา่ วคอื
ทส่ี ถิตแห่งเทพเจา้ ปนุ เถา้ กงและเจา้ แม่มาจู่ นน่ั เอง ซึ่งภายในศาลเจ้าดังกลา่ ว ประดษิ ฐานรปู เคารพ
องค์เจา้ แม่มาจอู่ ยูต่ รงกลาง ส่วนดา้ นซา้ ยคอื องคเ์ ทพเจา้ ปุนเถ้ากง สว่ นด้านขวามือคือ องค์เทพเจ้า
ปนุ เถา้ มา่ ในสว่ นของศาลเจา้ ซมั สา้ นเทย่ี นเฮวกง๋ึ ในจงั หวดั ภเู กต็ ซง่ึ เปน็ ศาลเจา้ ของชาวจนี ฮกเกยี้ น
ป้ายอักษรจีนหน้าศาลเจ้าแห่งน้ีใช้ค�ำว่า “เทียนโฮ่วกง” แต่ความน่าสนใจอยู่ท่ีป้ายอักษรไทยของ
ศาลเจ้าดังกล่าวใช้คำ� ว่า ศาลเจ้าแมย่ า่ นาง ซึ่งคำ� ว่า “แม่ยา่ นาง” ก็คอื ชอื่ “มาจู่” ท่ีถูกแปลเปน็ ไทย
พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 239
นั่นเอง เนื่องจากพระนามของเทพสตรีองค์นี้ยังสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า “มาจู่เหนียงเหนียง”
(妈祖娘娘) คำ� นี้สามารถแยกให้ความหมายดังน้ี “มา” แปลวา่ แม่ “จู่” แปลว่า บรรพชน ถา้ ตอ่ ทา้ ย
ดว้ ยคำ� วา่ บดิ าหรอื มารดา จะหมายถงึ ปหู่ รอื ยา่ สว่ นคำ� วา่ “เหนยี งเหนยี ง” แปลวา่ นางหรอื พระนาง
ดังนน้ั คำ� วา่ “มาจู่” จงึ หมายถึง “แม่ย่า” หรือ “แมย่ า่ นาง” ก็ได้
ชาวจนี เชอ่ื วา่ เทพสตรอี งคน์ เ้ี ปน็ เทพเจา้ แหง่ การเดนิ เรอื และการประมง ดงั นน้ั กอ่ นทช่ี าวเรอื
จะออกเดินทางจะต้องไปสักการะขอพรจากองค์เจ้าแม่มาจู่ทุกคร้ังไป และด้วยความเกรงกลัว
ต่อการเดินทางทางน้�ำ ซง่ึ อนั ตรายมีอย่รู อบด้าน ไม่วา่ จะเรื่องฟา้ ฝน คล่ืนลม และโจรสลดั ต่างท�ำให้
ชาวเรอื หวาดผวาท้ังสนิ้ ดว้ ยเหตุนี้เองชาวเรือจงึ ไดจ้ ัดทำ� ป้ายพระนามหรอื รูปเคารพแหง่ องคเ์ จ้าแม่
มาประดิษฐานไว้อยู่บนเรือ เพื่อใช้เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ และกราบไหว้บูชาตลอดการเดินทาง
ขออำ� นาจบารมที า่ นคมุ้ ครองใหป้ ลอดภยั (李乔, 1999: 391-395) ความเชอื่ ดงั กลา่ วและชอื่ เรยี กแหง่
เทพสตรีท่ีติดปากชาวบ้านว่า “มาจู่” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “แม่ย่านาง” นั้นมีความคล้ายกับ
ความเชื่อในเร่ืองแม่ย่านางเรือของไทยอย่างมาก ชาวจีนมีบูชาสตรีเทพองค์น้ีต้ังแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง
หรือตั้งแต่สมัยสุโขทัยของไทย การเดินทางมาไทยของชาวจีนก็คงมีตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา
เช่นกัน แต่ที่มีหลักฐานปรากฏเด่นชัดมากที่สุดและเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อในเร่ืองเจ้าแม่มาจู ่
ก็คือ การเดินทางมาเยือนแผ่นดินสยามของกองเรือมหาสมบัติภายใต้การน�ำของขันทีเจิ้งเหอ
ในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งเจิ้งเหอเองก็มีความเชื่อในเร่ืองดังกล่าวอย่างมาก ดังน้ันความเชื่อในเร่ือง
แมย่ า่ นางของไทยอาจเปน็ ไปไดว้ า่ มกี ารรบั ทอดคตคิ วามเชอื่ มาจากจนี กเ็ ปน็ ได้ และทสี่ ำ� คญั ศาลเจา้
ที่บูชาเทพสตรีองค์น้ีมักสร้างอยู่ริมน�้ำแทบท้ังส้ิน โดยเฉพาะศาลเจ้าที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป ไม่ว่า
จะในไทยหรือประเทศอ่ืนๆ จึงเช่ือได้ว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่ชาวเรือให้ความเคารพนับถืออย่างสูง
ปจั จบุ นั ยงั พบเหน็ ศาลเจา้ มาจใู่ นตลาดสดทส่ี รา้ งขนึ้ ใหม่ ทง้ั นเ้ี พราะเชอ่ื กนั วา่ เทพสตรอี งคน์ ส้ี ามารถ
บันดาลใหก้ ารค้าขายเจรญิ รุ่งเรืองอีกด้วย (พรพรรณ จนั ทโรนานนท์, 2546: 43)
หลักฐานการบูชาเทพสตรีองค์นี้ของชาวเรือในไทยปรากฏอย่างช้าต้ังแต่สมัยกรุงธนบุร ี
กลา่ วคอื ในนิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีนหรอื นิราศกวางตงุ้ ซึ่งประพนั ธ์ขนึ้ ราวปี พ.ศ. 2324
ความตอนหนงึ่ กลา่ ววา่ “เยน็ เชา้ ไหวเ้ จา้ ดว้ ยมา้ ฬอ่ พระหมาจอฟงั องึ คนงึ เนอ่ื ง” (กรมศลิ ปากร, 2532:
374) ซ่ึงพระหมาจอในที่นี้ก็คือเทพธิดามาจู่หรือเจ้าแม่มาจู่น่ันเอง การเดินทางไปจีน
ครั้งนั้นประกอบด้วยเรือท้ังสิ้น 11 ล�ำ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเรือทุกล�ำได้ท�ำการบูชาเจ้าแม่มาจู่บนเรือ
หรือไม่ แต่เรือของพระยามหานุภาพได้ท�ำการบูชาเทพสตรีองค์นี้อย่างสม่�ำเสมอ จากข้อความ
ในนิราศน้ียังท�ำให้ทราบว่าชาวเรือของไทยได้มีการบูชาเจ้าแม่มาจู่บนเรือมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
ซ่ึงการบูชาเจ้าแม่มาจู่บนเรืออาจจะมีการต้ังข้อสงสัยว่า การเดินเรือไปจีนครั้งนั้นอาจใช้ลูกเรือจีน
เป็นหลัก ซ่ึงมีความช�ำนาญเรื่องเส้นทางการเดินเรือจากไทยไปจีนและจากจีนกลับมายังไทย ซึ่ง
การบูชาเทพสตรีองค์น้ีก็เป็นเรื่องเฉพาะของลูกเรือชาวจีน แต่ท้ังนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการบูชา
ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ประจ�ำเรือท่ีแล่นอยู่ในท้องน�้ำของไทยได้มีการบูชาเจ้าแม่มาจู่มานานแล้ว และคนไทย
ก็เห็นการบูชาเจ้าแม่มาจู่ของชาวจีนมานานแล้วด้วยเช่นกัน ซ่ึงไม่ว่าเรือนั้นจะเป็นเรือของคนไทย
หรอื ของคนจนี กต็ าม พระนามแหง่ “หมาจอ” ทปี่ รากฏในนริ าศนเี้ ปน็ เครอ่ื งยนื ยนั วา่ ชอื่ ของเทพสตรี
จีนองค์นี้เป็นท่ีรู้จักของคนไทย นอกจากนั้นแล้วยังต้องไม่ลืมว่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั การทำ� การคา้ ขายกบั ชาวจนี ถอื เปน็ รายไดส้ ำ� คญั
240 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
ของท้องพระคลัง ย่อมแสดงถงึ ความถีข่ องการเดนิ เรือจากไทยไปจนี และจากจีนมาไทย ซง่ึ การบูชา
สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธบิ์ นเรอื ถอื เปน็ สงิ่ ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจในการเดนิ ทาง การบชู าเพอ่ื เปน็ ขวญั กำ� ลงั ใจถอื วา่
เป็นส่งิ จ�ำเปน็
ตำ� นานความเชอื่ เกย่ี วกบั แมย่ า่ นางของไทย ทป่ี รากฏในเรอื่ งนารายณส์ บิ ปาง (ฉบบั คณุ หญงิ
เลื่อนฤทธิ์ ท่ีตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2466) ก็ได้กล่าวถึงเทพสตรีองค์หนึ่งท่ีได้ช่วยเหลือลูกเรือประมง
ชาวจนี ทถ่ี กู กงุ้ ใชอ้ าวธุ ตดิ ตวั เจาะทอ้ งเรอื สำ� เภาใหจ้ ม เมอื่ คนไหนวา่ ยนำ�้ ไมเ่ ปน็ กถ็ กู กงุ้ กนิ เปน็ อาหาร
เดอื นรอ้ นมากจนตอ้ งขอความชว่ ยเหลือจาก “เจ้าหมาจ่อ” (เสถียรโกเศศและนาคะประทีป, 2481:
1-8) ซงึ่ ค�ำวา่ “เจ้าหมาจ่อ” นีก้ ็คอื เจ้าแมม่ าจ่นู ่ันเอง ตำ� นานแมย่ ่าของไทยกเ็ ป็นอกี หลกั ฐานยนื ยนั
ถึงความศรัทธาของเจ้าแม่มาจู่ของชาวจีน จนกระท่ังความเช่ือดังกล่าวได้แพร่หลายและส่งอิทธิพล
สูส่ ังคมไทย จนกระท่งั ได้กลายเป็นแม่ยา่ นางของไทย
ชาวจีนในไทยยงั เรียกเทพสตรอี งค์นวี้ า่ “กหู ม”ู่ (姑母) หรือออกเสยี งภาษาจีนท้องถ่ินว่า
“โกบ๊อ” ซึ่งค�ำน้ีมีความหมายว่า คุณป้า ได้ด้วย เช่นท่ีศาลเจ้าโกบ๊อ ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน
แขวงดาวคะนอง เขตธนบรุ ี กรุงเทพฯ ซง่ึ อักษรจีนหนา้ ศาลเจ้าเขยี นอกั ษรจีนวา่ “เทยี นโฮ่วเซิ่งหมู่”
แตช่ าวจีนทอ่ี าศยั ในบรเิ วณดังกลา่ วกลบั เรียกศาลเจา้ แห่งนวี้ า่ ศาลเจ้าโกบ๊อ ซ่ึงตอ่ มาคำ� ว่า “โกบ๊อ”
ท่มี คี วามหมายว่า คุณปา้ ไดก้ ลายมาเป็นชอ่ื ของชมุ ชนแห่งนี้ ซ่ึงกค็ ือ ชุมชนโกบอ๊ นั่นเอง ความเชื่อ
ท่ีเรียกสตรีเทพองค์น้ีว่า “กูหมู่” หรือคุณป้านั้น น่าจะมาจากการนับถือเจ้าแม่ตามสายวงศ์ตระกูล
กล่าวคือ ลูกหลานแซ่ล้ิมหรือหลิน (林氏) จะนับถือท่านในฐานะญาติผู้ใหญ่น่ันเอง หรือบางแห่ง
ยงั อาจจะเรยี กท่านวา่ “อามา่ ” (阿嬤) ทแ่ี ปลวา่ คณุ ยา่ หรือคณุ ยายได้ด้วย เชน่ ทศ่ี าลเจา้ แม่ทบั ทิม
ถนนเจรญิ กรงุ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรงุ เทพฯ ศาลเจา้ อามา่ ตำ� บลแมก่ ลอง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั
สมุทรสาคร เปน็ ตน้ และบางแห่งยังสามารถเรียกท่านว่า “อามา้ ” (阿妈) ทแี่ ปลว่า คณุ แม่ เชน่ ท่ี
ศาลเจ้าอามา้ ต�ำบลแหลมใหญ่ อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดสมุทรสงคราม เปน็ ต้น
นอกจากพระนามข้างต้นแล้ว ยังพบว่าชาวจีนในสังคมไทยยังเรียกเทพเจ้าองค์นี้ ในอีก
หลายช่ือ เชน่ ท่ศี าลเจ้าแม่เขาสามมขุ ตำ� บลแสนสุข อำ� เภอเมอื งชลบุรี จังหวัดชลบุรี ไดเ้ ขยี นอักษร
จนี ตรงประตทู างเข้า “เทียนโฮ่วเสนิ่ หม”ู่ แต่ยนั ต์ (ฮ)ู้ และเหรียญบชู าบางรุ่น รวมถงึ การเรียกขาน
ของผศู้ รทั ธาชาวจนี ทว่ั ไปจะเรยี กวา่ “ไหต่ งมา” (东海妈) ซง่ึ แปลความวา่ เจา้ แมแ่ หง่ ทะเลตะวนั ออก
การเรยี กขานเจ้าแมอ่ งคน์ ว้ี ่า “ไหต่ งมา” คงสบื เนื่องมาจากตำ� นานของเทพสตรีองค์น้ที อี่ ยทู่ างทะเล
ตะวนั ออกของจีน นอกจากนั้นแลว้ ชาวจีนยงั เชือ่ ว่าทิศตะวันออกเปน็ ทิศมงคลอกี ดว้ ย จึงอาจจะเปน็
ท่ีมาของการเรียกขานพระนางว่า เจ้าแม่แหง่ ทะเลตะวนั ออก ก็เปน็ ได้
พระนามภาษาจีนของสตรีเทพองค์น้ีที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยยังมีอยู่อีกมาก ข้างต้น
เปน็ เพยี งส่วนหนงึ่ ท่ที ำ� ใหเ้ ช่ือไดว้ า่ ชาวจนี ในสังคมให้ความเคารพนบั ถอื เทพสตรีองค์นเี้ ป็นอย่างสงู
2.พระนามแบบไทย
เมื่อกลุ่มผู้ศรัทธาได้ขยายวงกว้างมากข้ึน คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีชาวไทยจ�ำนวนไม่น้อยที่ให้
ความเคารพและศรัทธาต่อเทพสตรีองค์นี้ การเรียกขานพระนามของเทพสตรีองค์นี้ในภาษาจีน
ไม่ว่าจะเป็นส�ำเนียงจากภาษาจีนถิ่นใดๆ ก็ตามล้วนเป็นเรื่องยากส�ำหรับคนไทยทั้งส้ิน เน่ืองด้วย
ความไม่คุ้นชนิ ในภาษาดังกลา่ ว นอกจากนนั้ แลว้ การเรียกแบบจนี อาจทำ� ให้เกดิ ความรู้สกึ ห่างเหิน
ระหว่างเทพเจ้ากับผู้ศรัทธาท่ีเป็นคนไทย และอาจเกิดการสับสนได้ด้วย ท้ังนี้เพราะช่ือเรียก
พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 241
ของเทพเจ้าองค์นี้มีความหลากหลายนั่นเอง จึงเป็นเหตุผลส�ำคัญท่ีท�ำให้มีการต้ังพระนามหรือ
การเรยี กขานในพระนามใหมท่ ่ีเป็นภาษาไทยทท่ี ุกคนในสงั คมเข้าใจ
จากการส�ำรวจเบ้ืองต้นพบว่า พระนามของเจ้าแม่มาจู่ท่ีเป็นภาษาไทยที่พบมากสุดคือ
เจา้ แมท่ บั ทมิ ศาสนสถานจนี ทม่ี กี ารบชู าเจา้ แมม่ าจกู่ ระจายอยหู่ ลายจงั หวดั ของไทย เชน่ ศาลเจา้ แม่
ทบั ทมิ (พาหรุ ดั ) ถนนจกั รเพชร แขวงบรู พาภริ มย์ เขตพระนคร กรงุ เทพฯ, ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ (สะพาน
เหลอื ง) ซอย จฬุ าฯ 7 แขวงวังใหม่ เขตปทมุ วนั กรงุ เทพฯ, ศาลเจา้ แม่ทบั ทิม ตลาดเก้าหอ้ ง อำ� เภอ
บางปลาม้า จงั หวัดสุพรรณบุรี, ศาลเจ้าแมท่ บั ทมิ อำ� เภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด, ศาลเจา้ แมท่ ับทิม
ตำ� บลหนา้ เมือง อำ� เภอเมือง จงั หวัดปราจีนบรุ ี เปน็ ต้น
ความเป็นมาของชื่อพระนามของเจ้าแม่มาจู่ท่ีเป็นภาษาไทยว่า “เจ้าแม่ทับทิม” มีประวัติ
ความเปน็ มาอยา่ งไร ปจั จบุ นั อาจจะยงั ไมม่ ขี อ้ สรปุ ทแ่ี นช่ ดั ได้ แตพ่ ระนามนไี้ มใ่ ชพ่ ระนามเฉพาะของ
เจา้ แมม่ าจเู่ พยี งองคเ์ ดยี ว กลา่ วคอื ยงั มเี ทพสตรจี นี องคอ์ นื่ ทใี่ ชพ้ ระนามวา่ เจา้ แมท่ บั ทมิ รว่ มอยดู่ ว้ ย
จากการสำ� รวจพบวา่ การใช้พระนามร่วมวา่ เจา้ แม่ทบั ทมิ มากที่สุดกค็ อื เทพเจา้ ”สยุ่ เวย่ เซงิ่ เหนียง”
(水尾圣娘) ซึ่งแปลความได้ว่า เจ้าแม่ปลายน�้ำ เจ้าแม่ท้ายน้�ำหรือเจ้าแม่ชายน�้ำ ชาวจีนไหหล�ำ
เรียกเจ้าแม่องค์น้ีว่า “ตุ้ยบ่วยเต่งเหน่ียง” เทพสตรีองค์น้ีเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของชาวจีน
กลุ่มวัฒนธรรมไหหล�ำ ซ่ึงศาสนสถานใดที่มีการบูชาเทพสตรีองค์น้ีย่อมอุปมาได้ว่าศาสนสถาน
ดงั กลา่ วไดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากชาวจนี ไหหลำ� ดว้ ยเหตนุ เ้ี องศาสนสถานบางแหง่ จงึ เรยี กเจา้ แมอ่ งคน์ ว้ี า่
เจ้าแม่ทับทิม (ไหหล�ำ) ท้ังนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างการบูชาเจ้าแม่มาจู่ในฐานะเจ้าแม่
ทับทิมกับองค์เจ้าแม่สุ่ยเว่ยเซ่ิงเหนียง และยังสามารถท�ำให้ทราบด้วยว่าศาสนสถานดังกล่าวเป็น
ของกลุ่มวฒั นธรรมทางภาษาใดได้ด้วย
ตำ� นานของเจา้ แมท่ บั ทมิ (ไหหลำ� ) มอี ยวู่ า่ (ตว้ น ลเี่ ซงิ และบญุ ยง่ิ ไรส่ ขุ สริ ,ิ 2543: 22-23;
แผน่ ปา้ ยประวัตเิ จา้ แม่ภายในศาลเจา้ แมท่ ับทิมเชียงใหม)่
ในสมยั โบราณ มีชาวประมงคนหน่งึ แซพ่ าน (潘) อาศัยอย่ชู านเมืองอำ� เภอเหวนิ ฉาง
(文昌)บนเกาะไหหลำ� ไดอ้ อกไปจบั ปลาโดยทอดแหอยหู่ ลายครง้ั กไ็ มไ่ ดป้ ลาแมแ้ ตต่ วั เดยี ว ขณะกำ� ลงั
ส้ินหวังเขาพบว่าในแหของเขาเหมือนมีปลาตัวใหญ่ติดข้ึนมา แต่เม่ือดึงแหข้ึนจากน�้ำเขาพบเพียง
ขอนไม้ท่อนหนึ่งเท่าน้ัน เขาจึงน�ำขอนไม้น้ันท้ิงลงน้�ำไป และลองทอดแหใหม่ แต่ก็ได้ขอนไม้ท่อน
เดิมข้ึนมาอีก เขาก็ทิ้งลงน้�ำเช่นเคย แต่เมื่อทอดแหลงไปก็ได้ขอนไม้น้ันขึ้นมาอีก ชาวประมงรู้สึก
ประหลาดใจอย่างย่ิง เขาจึงไหว้และอธิษฐานในใจว่า ถ้าขอนไม้น้ีศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ได้ปลามากๆ
และจะน�ำขอนไม้นี้ไปแกะสลักเป็นรูปเทพเจ้าเพ่ือกราบไหว้บูชา เมื่อสิ้นค�ำอธิษฐานลง ไม่ว่าลงแห
ท่ีใดก็ได้ปลาเต็มแหทุกครั้งไป สรุปเขาได้ปลาเต็มล�ำเรือกลับบ้าน ดังนั้นจึงน�ำขอนไม้ดังกล่าว
ไปแกะสลกั เป็นรูปเทพเจ้าและสรา้ งศาลเจา้ ไว้ที่ชานเมืองดา้ นตะวันออกของอำ� เภอเหวินฉาง
ความเชอื่ แหง่ เทพสตรสี ยุ่ เวย่ เซง่ิ เหนยี งหรอื เจา้ แมท่ บั ทมิ (ไหหลำ� ) มาพรอ้ มกบั การอพยพ
ของชาวจนี ไหหลำ� มายงั ไทย เทพสตรอี งคน์ คี้ วามคลา้ ยกบั เจา้ แมม่ าจู่ กลา่ วคอื เปน็ เทพสตรที ช่ี าวจนี
ไหหล�ำเชื่อว่าคือเทพธิดาแห่งท้องทะเลท่ีคุ้มครองผู้เดินทางทางเรือเช่นกัน แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน
นอกจากนนั้ แลว้ กลมุ่ วฒั นธรรมไหหลำ� กย็ งั มคี วามศรทั ธาในองคเ์ จา้ แมม่ าจอู่ กี ดว้ ย ดงั นน้ั ศาสนสถาน
ของกลุ่มชาวจีนไหหลำ� จ�ำนวนมากก็ไดบ้ ชู าเจ้าแม่มาจ่พู ร้อมกบั เจา้ แม่ส่ยุ เวย่ เซง่ิ เหนียง เช่นท่ี ศาล
เจา้ แมท่ บั ทมิ บางจาก แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรงุ เทพฯ, ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ ดำ� เนนิ สะดวก ตำ� บล
242 พลังผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
ดำ� เนนิ สะดวก อำ� เภอดำ� เนนิ สะดวก จงั หวดั ราชบรุ ,ี ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ อทุ ยั ธานี ตำ� บลอทุ ยั ธานี อำ� เภอ
เมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี, ศาลเจ้าแม่ทับทิมพิษณุโลก ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมืองพิษณุโลก
จังหวัดพิษณุโลก, ศาลเจ้าแม่ทับทิมล�ำปาง ต�ำบลสวนดอก อ�ำเภอเมืองล�ำปาง จังหวัดล�ำปาง,
ศาลเจา้ ไหหลำ� ระนอง ต�ำบลบางนอน อำ� เภอเมืองระนอง จังหวดั ระนอง เป็นตน้ ดังน้นั จงึ อาจเกิด
การสบั สนกเ็ ปน็ ได้
คำ� ว่า “ทบั ทิม” ในบรบิ ทสังคมไทยมีดว้ ยกนั หลายความหมาย เช่น ผลทับทมิ พลอยทบั ทมิ
เปน็ ต้น ซึ่งความหมายของการมีช่อื เรียกว่า “ทับทิม” น้ันกเ็ พราะมลี กั ษณะเป็นสแี ดงทบั ทมิ นัน่ เอง
ดงั นน้ั การทสี่ งั คมไทยเรยี กขานพระนามของเจา้ แมม่ าจแู่ ละเจา้ แมส่ ยุ่ เวย่ เซง่ิ เหนยี งในแบบภาษาไทย
วา่ เจา้ แมท่ บั ทมิ กค็ งเนอ่ื งดว้ ยรปู เคารพของเจา้ แมท่ ง้ั 2 องค์ มสี ผี วิ หรอื เครอื่ งทรงทาดว้ ยสแี ดงทบั ทมิ
นนั่ เอง เชน่ ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ ลำ� ปาง เปน็ ตน้ ซงึ่ การเรยี กขานชอ่ื พระนามแบบไทยของเจา้ แมใ่ นลกั ษณะ
ดงั กลา่ วถอื เปน็ การเรยี กขานตามลกั ษณะกายภาพของรปู เคารพ โดยดจู ากสขี องรปู เคารพเปน็ สำ� คญั
ความนา่ สนใจอยทู่ ตี่ ำ� นานเรอื่ งเลา่ เกยี่ วกบั คตคิ วามเชอ่ื ของการสรา้ งรปู เคารพเจา้ แมท่ บั ทมิ
(ไหหล�ำ) ด้วยสีแดงน้ัน เป็นการสร้างตามท่ีเจ้าแม่ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นในฝัน (จ�ำนงศรี รัตนิน
(หาญเจนลักษณ์), 2541: 81-82) จนเปน็ ท่ีเลา่ ขานและสืบทอดตอ่ ๆ กนั มา ดว้ ยเหตนุ เ้ี องจึงท�ำให้
เครอื่ งทรงและเครือ่ งประดบั ต่างๆ แห่งองค์เจ้าแมท่ ับทิม (ไหหล�ำ) หรือเจา้ แม่สุ่ยเวย่ เซง่ิ เหนียงน้ัน
จักต้องเป็นสีแดง นอกจากนั้นแล้วในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวจีนไหหล�ำยังมีพิธีกรรมความเช่ือ
ในเรื่องการเปลี่ยนเครื่องทรงให้กับองค์เจ้าแม่และสิ่งศักด์ิสิทธ์ิท่ีประดิษฐานอยู่ในศาสนสถานของ
กลมุ่ วฒั นธรรมจนี ไหหลำ� อกี ดว้ ย ซงึ่ พธิ กี รรมดงั กลา่ วของกลมุ่ ชาวจนี วฒั นธรรมไหหลำ� ไมใ่ ชแ่ คเ่ พยี ง
เปลย่ี นชุดเสอ้ื ผา้ ท่ีนำ� มาสวมทับให้กบั องค์รูปเคารพเทา่ นั้น แต่เป็นการลอกสีทีท่ าอยบู่ นองค์เทวรปู
ออกให้หมด จึงค่อยทาทับด้วยสีใหม่ จากนั้นจึงได้หาฤกษ์มงคลในการประกอบพิธีเบิกเนตรและ
ลยุ ไฟขึ้น เพอ่ื แสดงถึงดวงจติ แห่งองคเ์ จ้าแมแ่ ละสงิ่ ศกั ดิส์ ิทธไิ์ ดก้ ลบั สรู่ ปู เคารพเรยี บร้อยแล้ว ซง่ึ ใน
แต่ละศาสนสถานไม่จ�ำเป็นต้องประกอบพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทุกปี และการเปล่ียนเครื่องทรงขึ้นอยู่
กับความพร้อมของศาสนสถานน้ันๆ เป็นส�ำคัญ ตัวอย่างเช่น ศาลเจ้าแม่ทับทิม จังหวัดอุทัยธานี
เดิมทีจัดงานพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงเจ้าแม่ทับทิมทุกๆ 12 ปี และก�ำลังพิจารณาจะให้มีการเปล่ียน
เคร่ืองทรงทุกปี แต่ยังไม่ได้ตกลงแน่นอน (ชิตพงษ์ เลาหวิโรจน์, 2542: 1594) ด้วยเหตุเพราะ
การด�ำรงอยู่ซึ่งวัฒนธรรมการเปล่ียนเคร่ืองให้กับเทพเจ้าของกลุ่มชาวจีนไหหล�ำ และยังมีต�ำนาน
ความเชื่อเกี่ยวกับสีของเคร่ืองแต่งกายและเครื่องประดับต่างๆ แห่งองค์เจ้าแม่สุ่ยเว่ยเซิ่งเหนียง
จึงท�ำให้เช่ือได้ว่าการเรียกช่ือพระนามว่า เจ้าแม่ทับทิม น่าจะมาจากสีแดงทับทิมของรูปเคารพ
แห่งองค์เจ้าแม่สุ่ยเว่ยเซิ่งเหนียงเป็นส�ำคัญ แต่ก็มาได้กลายมาเป็นชื่อเรียกกลางของเทพสตรีจีนท้ัง
2 องค์ กลา่ วคอื เจ้าแมม่ าจู่และเจา้ แมส่ ุ่ยเว่ยเซ่งิ เหนียง
พระนามเจ้าแม่สวรรค์เป็นอีกช่ือเรียกหน่ึงของเจ้าแม่มาจู่ ซึ่งที่มาของพระนามนี้เกิดขึ้น
จากการแปลความคำ� วา่ “เทยี นซง่ั เส่ินหม่”ู หรือ “เทยี นโฮว่ เส่นิ หมู่” ซงึ่ เป็นนามพระยศในภาษาจีน
ของเทพสตรีองคน์ ้ีน่นั เอง การแปลพระนามของเจ้าแม่มาจ่ทู ม่ี าจากยศตำ� แหน่งนั้นยังพบในตำ� นาน
แมย่ า่ นางของไทย เรอื่ งนารายณส์ บิ ปาง ฉบบั คณุ หญงิ เลอ่ื นฤทธเ์ิ ชน่ กนั ดงั ทก่ี ลา่ วไวว้ า่ พระผเู้ ปน็ เจา้
ต้ังให้เจ้าหมาจ่อเป็น “เจ้ายอดสวรรค์” (เสถียรโกเศศและนาคะประทีป, 2481: 3) อน่ึงต�ำนาน
พูดถงึ พระผ้เู ป็นเจา้ กค็ ือพระอศิ วรเป็นการสถาปนายศให้กบั เจ้าแม่มาจู่ แตใ่ นทางประวัติศาสตร์จนี
พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 243
เกย่ี วกบั การสถาปนายศใหก้ บั องคเ์ จา้ แมน่ น้ั เปน็ เรอ่ื งของมนษุ ยโ์ ลก กลา่ วคอื ผปู้ กครองจนี ในแตล่ ะ
ยคุ สมยั ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั เทพสตรอี งคน์ เ้ี ปน็ อยา่ งสงู จนกระทง่ั นำ� มาซง่ึ การสถาปนายศศกั ดต์ิ า่ งๆ
รวมทั้งสิ้น 30 ครั้ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และค�ำว่า “เจ้ายอดสวรรค์” ก็น่ามีท่ีมาจากค�ำว่า
“เทยี นซงั่ เสนิ่ หม”ู่ โดยคำ� วา่ “เทยี น” หมายถงึ สวรรค์ สว่ นคำ� วา่ “ซงั่ ” แปลวา่ บน ซง่ึ อาจจะตคี วาม
เปน็ สูงหรือยอดก็ได้
ตำ� นานเรอ่ื งแมย่ า่ นางยงั ทำ� ใหร้ บั รใู้ นประเดน็ การผกู โยงหรอื สรา้ งตำ� นานเกยี่ วกบั เรอ่ื งเจา้ แม่
ของจีนให้เข้ากับบริบทสังคมไทยอีกด้วย แต่เน่ืองด้วยกาลเวลาและการเล่าขานท่ีมีการปรับเปล่ียน
ไป จนกระทงั่ ทำ� ใหผ้ คู้ นในยคุ หลงั หลงลมื ไปวา่ ความเชอ่ื ในเรอื่ งแมย่ า่ นางของคนไทยในอดตี สว่ นหนง่ึ
ได้รับมาจากความเชื่อของเทพสตรีจีน นามว่า “มาจู่” ปัจจุบันความเชื่อเรื่องแม่ย่านางได้ขยาย
วงกว้างสู่พาหนะต่างๆ อีกมากมาย เช่น แม่ย่านางรถ แม่ย่านางเครื่องบิน เป็นต้น พิธีกรรม
ความเชอื่ และรปู เคารพกลายเป็นไทยอยา่ งสน้ิ เชงิ (อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู , 2559: 166-229)
ศาลเจ้าแมอ่ ากาศ ตำ� บลบางยร่ี งค์ อำ� เภอบางคนที จังหวดั สมุทรสงคราม เรยี กเจา้ แม่มาจู่
วา่ เจา้ แม่อากาศ เช่อื ว่าชอื่ นก้ี ็คงมาจากคำ� ว่า “เทียนซ่ังเสน่ิ หมู่” หรอื “เทยี นโฮว่ เสน่ิ หมู่” เช่นกนั
นา่ จะเปน็ การตคี วามของคำ� วา่ “เทยี น” ทห่ี มายถงึ ฟา้ จนกลายมาเปน็ คำ� วา่ อากาศ กไ็ ด้ นอกจากนน้ั
แล้วยังพบพระนามอ่ืนๆ อีกมากมาย เช่นในจังหวัดราชบุรีและนครปฐม ที่ศาลเจ้าแม่มาจู่ได้เขียน
ปา้ ยชอ่ื ภาษาไทยวา่ “เจา้ แมเ่ บกิ ไพร” เชน่ ศาลเจา้ แมเ่ บกิ ไพร ตำ� บลเบกิ ไพร อำ� เภอบา้ นโปง่ จงั หวดั
ราชบุร,ี ศาลเจา้ แมเ่ บกิ ไพร ต�ำบลนครชัยศรี อำ� เภอนครชยั ศรี จงั หวัดนครปฐม เปน็ ต้น ศาลเจา้ แม่
เบกิ ไพร ในตำ� บลเบกิ ไพร จงั หวดั ราชบรุ ี อาจจะเปน็ การตง้ั ชอ่ื ของเจา้ แมต่ ามชอ่ื ของชมุ ชน ดงั ตวั อยา่ ง
เช่นการต้ังชื่อของศาลเจ้าแม่มาจู่ท่ีอยู่ในอ�ำเภอเมืองบ้านโป่งว่า เจ้าแม่บ้านโป่ง เป็นต้น เน่ืองด้วย
ความศกั ดสิ์ ทิ ธข์ิ องเจา้ แมเ่ บกิ ไพรจงึ ทำ� ใหก้ ลมุ่ ผศู้ รทั ธาไดข้ ยายวงกวา้ งมากขนึ้ และกลายเปน็ ชอ่ื เรยี ก
ของเจา้ แม่มาจทู่ ี่แพร่หลายมากในพ้นื ทท่ี ี่ติดกับจงั หวัดราชบรุ ี
ราชบรุ เี ปน็ เมอื งทา่ คา้ ขายสำ� คญั ทงั้ นอี้ ยบู่ นเสน้ ทางนำ้� จดุ ผา่ นไปมาระหวา่ งลมุ่ นำ้� เจา้ พระยา
ลมุ่ นำ�้ ทา่ จนี และลมุ่ นำ้� แมก่ ลอง ซงึ่ พนื้ ทดี่ งั กลา่ วมชี าวจนี เขา้ มาตงั้ รกรากอาศยั มานานแลว้ เชอ่ื กนั วา่
มมี าตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยาหรอื อยา่ งชา้ กต็ ง้ั แตส่ มยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ พน้ื ทบี่ รเิ วณฝง่ั ตะวนั ตกของ
แม่น�้ำแม่กลองมีศาลเจ้าเบิกไพรเป็นศูนย์กลาง ต่อมาเส้นทางคมนาคมทางรถไฟมีความส�ำคัญมาก
ยงิ่ ขน้ึ ชาวจนี จากฝง่ั บา้ นเบกิ ไพรจงึ ไดอ้ พยพยา้ ยถนิ่ มาตงั้ แหลง่ ทำ� กนิ ใหมท่ ต่ี ลาดบา้ นโปง่ เมอื่ ตง้ั เปน็
ชุมชนไดแ้ ล้วกร็ ่วมใจกันสร้างศาลเจา้ ขน้ึ ในตลาด บรเิ วณรมิ ฝั่งแม่น้ำ� แม่กลอง แตด่ ว้ ยความศรทั ธา
ในองคเ์ จา้ แมเ่ บกิ ไพรจงึ อนั เชญิ มาสถติ ยงั ศาลเจา้ แหง่ นี้ แตเ่ มอ่ื ถงึ เทศกาลสำ� คญั ๆ ชาวบา้ นโปง่ กย็ งั
เดินทางไปกราบไหว้เจ้าแม่ที่บ้านเบิกไพรอยู่เสมอๆ (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, 2554: 42-50)
ดังนั้นความเชื่อของชาวจีนยังผูกพันกับเจ้าแม่เบิกไพรซ่ึงถือว่าเป็นศูนย์กลางของความเช่ือของ
ชาวจนี ทอ่ี าศยั ในยา่ นนี้ และเมอ่ื เมอื งไดข้ ยายไปยงั พน้ื ทร่ี อบๆ ชาวจนี ไดน้ ำ� ความเชอ่ื ของเจา้ แมเ่ บกิ ไพร
ไปดว้ ยและได้สร้างศาลเจ้าข้นึ ในพ้ืนที่ทต่ี นเองเขา้ ไปอาศยั อยใู่ หมก่ เ็ ป็นได้ แต่อกี ส่วนหนึง่ อาจจะยัง
หมายถงึ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธด์ิ งั้ เดมิ ทอ่ี ยคู่ ชู่ มุ ชนดงั กลา่ วมาชา้ นานแลว้ ทงั้ นพ้ี บวา่ รปู เคารพของเจา้ แมเ่ บกิ ไพร
ภายในศาลเจ้าแม่เบกิ ไพร ตำ� บลวังขนาย อ�ำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบรุ ี ทย่ี ังใช้เจวด็ เปน็ ตัวแทน
ขององคเ์ จา้ แม่ ทม่ี ลี วดลายแบบไทยประเพณงี ดงามยงิ่ เมอื่ พจิ ารณาถงึ ความเกา่ แกข่ องศาสนสถาน
แห่งน้ี พบเพยี งปา้ ยชอ่ื ทที่ ำ� ขนึ้ ในปี พ.ศ. 2514 เขยี นอกั ษรจนี วา่ “กวั ไพม่ ามาเมย่ี ว” (郭派妈妈庙)
244 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
คำ� วา่ “กัวไพ่” คงมาจากคำ� วา่ เบกิ ไพร สว่ นคำ� ว่า “มามา” แปลได้ว่า แม่ และค�ำวา่ “เม่ยี ว” กค็ ือ
ศาลเจา้ เมอ่ื รวมกนั แลว้ จะไดค้ วามวา่ ศาลเจา้ แมเ่ บกิ ไพร นน่ั เอง แมว้ า่ แผน่ ปา้ ยหนา้ ศาสนสถานแหง่ น ี้
จะบอกวา่ สรา้ งขน้ึ ในปี พ.ศ. 2514 หากแตพ่ จิ ารณาจากกระถางธปู ศลิ า แทน่ บชู าไมจ้ ารกึ อกั ษรภาษา
จนี และฟันปลาฉนาก จงึ น่าท�ำให้เช่อื ได้ว่าศาลเจ้านีม้ ีมานานแลว้ อาจเป็นไปได้วา่ ชื่อเจา้ แมเ่ บกิ ไพร
อาจจะยังหมายรวมถึงช่ือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ีมีมาแต่โบราณตามคติความเชื่อของคนไทยก็ได้เช่นกัน
หรือไม่กก็ ่อนที่ศาลเจา้ แมเ่ บกิ ไพร ตำ� บลเบิกไพร อ�ำเภอบ้านโป่ง จังหวดั ราชบุรี ท่จี ะกลายมาเป็น
จีน กล่าวคือ ก่อนท่ีชาวจีนจะออกทุนในการบูรณะศาสนสถาน รูปเคารพของเจ้าแม่องค์นี้เคยเป็น
เจวด็ มากอ่ นกไ็ ด้ เชน่ เดยี วกนั กบั ศาลเจา้ แมเ่ บกิ ไพร ตำ� บลวงั ขนาย อำ� เภอทา่ มว่ ง จงั หวดั กาญจนบรุ ี
ดังภาพตัวอยา่ ง
รูปเคารพของเจ้าแมเ่ บกิ ไพรในแบบไทย
อนงึ่ การกลายสภาพของศาสนสถานทเ่ี คยเปน็ แบบไทยใหก้ ลายเปน็ จนี มตี วั อยา่ งใหเ้ หน็ อยู่
ทว่ั ไป เชน่ ศาลเจา้ พอ่ องครกั ษ์ ตำ� บลสนั ทรายมนู อำ� เภอองครกั ษ์ จงั หวดั นครนายก, ศาลเจา้ พอ่ ทพั ตำ� บล
ส�ำโรงเหนอื อำ� เภอเมอื งสมทุ รปราการ จงั หวดั สมุทรปราการ, ศาลเจ้าแม่พลบั พลงึ แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรงุ เทพฯ, ศาลเจ้าแมห่ นิ เขา ต�ำบลอา่ งศิลา อ�ำเภอบางละมงุ จังหวัดชลบุรี เปน็ ต้น
ความนา่ สนใจอยทู่ กี่ ารเรยี กขานชอื่ เจา้ แมม่ าจแู่ บบไทยคอื นำ� ชอ่ื ของชมุ ชนมาตง้ั เปน็ ตวั แทน
ชอ่ื ของสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ยอ่ มหมายความวา่ เจา้ แมอ่ งคน์ ค้ี อื ศนู ยร์ วมใจของชมุ ชนหรอื เทพเจา้ ทเ่ี ปน็ ประดจุ
ขวญั ของชุมชนดงั กลา่ ว
นามว่า เจ้าแม่เขาสามมุข ก็เป็นอีกชื่อเรียกหน่ึงท่ีใช้เรียกองค์เจ้าแม่มาจู่ ซึ่งเป็นชื่อเรียก
ทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากตำ� นานประจำ� ถนิ่ พน้ื ทบี่ รเิ วณเนนิ เขาขนาดเลก็ ตำ� บลอา่ งศลิ ากบั พน้ื ทบี่ รเิ วณ
หาดบางแสน ต�ำบลแสนสุข อ�ำเภอเมอื งชลบุรี จังหวัดชลบรุ ี มีตำ� นานเล่าว่า
พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 245
ครงั้ หน่งึ ท่ีบา้ นอา่ งหนิ (ตำ� บลอ่างศิลา อำ� เภอเมอื งชลบุรี จังหวัดชลบุร)ี เปน็ ทีอ่ าศยั
ของครอบครวั ยายกบั หลานคหู่ นงึ่ หลานสาวมชี อื่ วา่ “มกุ ” หรอื “สาวมกุ ” มกุ เปน็ เดก็ กำ� พรา้ เดมิ อยู่
ทบี่ ้านบางปลาสร้อย (ตัวเมืองจังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อพ่อแม่ตาย ยายจึงน�ำมุกมาเล้ียงจนโต
เปน็ สาว มกุ มกั มานงั่ เลน่ ทเ่ี ชงิ เขาเตย้ี ๆ ทอ่ี า่ งศลิ าเปน็ ประจำ� วนั หนง่ึ พบวา่ วตวั หนงึ่ ขาดลอยมาตกอยู่
ภายหลังเจ้าของว่าว คือ นายแสน ลูกชายของก�ำนันประจ�ำต�ำบลนี้ ว่ิงตามว่าวมาจึงท�ำให้มาพบ
กับมุก ท้ังสองจงึ ได้พบกันและแสนได้มอบว่าวตวั นน้ั ให้แก่มกุ เปน็ สง่ิ แทนตวั ภายหลังทง้ั สองได้นดั
พบกันอีกหลายครั้งจนเกิดเป็นความรัก กระทั่งทั้งสองได้ให้สัตย์สาบานที่หน้าเชิงเขาน้ีว่าจะรักกัน
ชั่วนริ ันดร์ หากผิดค�ำสาบานจะกระโดดหนา้ ผาแห่งน้ตี ายตามกนั
ตอ่ มาเมอื่ พอ่ ของแสนทราบเรอ่ื งจงึ ไมพ่ อใจมาก กดี กนั ไมใ่ หท้ งั้ สองพบกนั และไดต้ กลง
ให้แสนแต่งงานกับลูกสาวคนท�ำโป๊ะท่ีได้สู่ขอไว้ ภายหลังเม่ือมุกทราบเร่ืองและเห็นว่าเป็นเรื่องจริง
จึงวิ่งไปที่หน้าผาเพ่ือกระโดดหน้าผาตายตามค�ำสัตย์สาบาน เมื่อแสนเห็นดังน้ันจึงวิ่งตามไปและ
กระโดดหนา้ ผาตายตามคำ� สตั ยส์ าบานเชน่ กนั สว่ นกำ� นนั ภายหลงั รสู้ กึ สำ� นกึ ผดิ จงึ นำ� เครอื่ งถว้ ยชาม
ตา่ งๆ มาไว้ในถ�ำ้ บรเิ วณเชงิ เขา เพือ่ เป็นที่ระลึกถงึ ความรกั
ตอ่ มาชาวบา้ นจงึ เรยี กภเู ขาทม่ี กุ กระโดดหนา้ ผาตายวา่ “เขาสาวมกุ ” เพอ่ื ระลกึ ถงึ มกุ
ผูม้ ่ันคงต่อความรกั ภายหลังจงึ เพยี้ นเป็น “สามมกุ ” ในทีส่ ุด และบริเวณถำ้� นน้ั เชื่อวา่ เปน็ ถ้ำ� ลับแล
มีเครื่องถ้วยชามตา่ งๆ ท่ีก�ำนนั บิดาของแสนน�ำมาไว้ เมอ่ื ชาวบา้ นมงี านบญุ สามารถหยบิ ยมื ไปใชไ้ ด้
ซึ่งภายหลังถ�้ำน้ีได้ปิดปากถ�้ำไปแล้วเมื่อคราวก่อสร้างถนน สมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
สว่ นหาดทพี่ บศพหญงิ ชายทง้ั สองหลงั จากกระโดดหนา้ ผาตายนนั้ ชาวบา้ นเรยี กกนั วา่ “หาดบางแสน”
เพอ่ื ระลกึ ถึงนายแสน
ต�ำนานเจ้าแม่เขาสามมุก เป็นต�ำนานท่ีแพร่หลายอยู่ทั้งในจังหวัดชลบุรี และบริเวณ
ชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย เชือ่ กันวา่ เปน็ สิ่งศกั ดส์ิ ทิ ธ์สิ �ำคัญของชาวประมงและผเู้ ดินทาง
ทางทะเลในภาคตะวนั ออกมานบั แตส่ มยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ดงั ปรากฏหลกั ฐานในนริ าศเมอื งแกลง
ทแี่ ต่งเมอื่ ราว พ.ศ. 2349 ของสุนทรภู่ ทีก่ ลา่ วถึงเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ ไว้ดว้ ย และเม่ือถึงเทศกาลส�ำคัญ
ตา่ งๆ อาทิ ตรษุ จนี สารทจนี ชาวบา้ นทน่ี บั ถอื กจ็ ะนำ� เครอ่ื งเซน่ ไหวแ้ ละวา่ ว มาเปน็ เครอื่ งบชู ากราบไหว้
ท่ีศาลเจ้าแม่เขาสามมุกด้วย นอกจากน้ีก่อนที่ชาวประมงจะออกเดินเรือชาวบ้านจะน�ำประทัดมาจุด
บชู าเพอ่ื ขอใหช้ ว่ ยในการท�ำมาหากินและแคลว้ คลาดจากลมพายุ
ปจั จุบัน ตำ� นานเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ ดำ� รงอยู่อยา่ งเข้มแขง็ เนอ่ื งจากมีศาลสำ� หรบั เป็นท่ี
สักการะบชู า ศาลเจ้าแม่เขาสามมุกนนั้ ปจั จบุ ันแบง่ ออกเปน็ 2 ศาลคือ ศาลเจ้าแมเ่ ขาสามมกุ (ไทย)
และ ศาลเจา้ แมเ่ ขาสามมกุ (จนี ) ทง้ั นศ้ี าลไทยเปน็ ศาลเกา่ แกท่ ใ่ี ชต้ ำ� นานประจำ� ถนิ่ ทเี่ ลา่ เรอื่ งความรกั
ของสาวมกุ กบั นายแสนในการเผยแพรป่ ระวตั เิ จา้ แมเ่ ขาสามมกุ สว่ นศาลจนี เปน็ ศาลเกา่ แกข่ องชมุ ชน
คนจีนทีใ่ ชเ้ ร่ือง “เจา้ แม่ทับทมิ ” ในการเผยแพร่ประวัตเิ จา้ แม่เขาสามมุก เนือ่ งจากชาวจนี ที่อา่ งศิลา
ไดอ้ ญั เชญิ กระถางธปู ไฮตงั มา่ ตดิ เรอื มาจากเมอื งจนี เมอ่ื มาตง้ั รกรากใหมท่ ชี่ ลบรุ ี จงึ ไดต้ ง้ั ศาลไฮตงั มา่
ข้างศาลเจ้าแม่เขาสามมุกเดิม และใช้ช่ือศาลว่า ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก (จีน) มาจนถึงทุกวันนี้
(http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/folk-literature/252-folk/458--m-s, เข้าถึง
เมื่อวันที่ 25 มถิ ุนายน 2559)
246 พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ต�ำนานข้างต้นชี้ชัดว่า พื้นท่ีจังหวัดชลบุรีมีต�ำนานเร่ืองเล่าเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว
คู่หนึง่ นามวา่ สาวมขุ และหน่มุ แสน ท่ีกระโดดหนา้ ผาตายตามกนั ด้วยความรักอันบริสุทธิน์ ี้ จงึ ท�ำให้
สาวมขุ ได้รบั การบูชาในฐานะสง่ิ ศักดส์ิ ิทธ์ิ ท่ชี อ่ื วา่ เจ้าแม่เขาสามมขุ โดยศาลของเจา้ แมเ่ ขาสามมุข
ตั้งอยู่ ณ สถานที่ท่ีเชื่อกันว่าเป็นสถานท่ีท่ีบุคคลทั้งสองได้กระโดดลงทะเลเพ่ือแสดงถึงความรัก
ทม่ี ใี หแ้ กก่ นั และกนั ภเู ขาลกู นนั้ กค็ อื เขาสามมขุ ในปจั จบุ นั สว่ นตอนทา้ ยไดม้ กี ารอธบิ ายความแตกตา่ ง
ระหว่างศาสนสถานท่ีบูชาเจ้าแม่เขาสามมุขท้ังแบบไทยและจีนนั้น ท�ำให้ทราบถึงคติความเช่ือท ่ี
แตกต่างกันระหว่างต�ำนานเจ้าแม่เขาสามมุขของไทยและของจีน ไม่ได้ถูกทับซ้อนด้วยต�ำนาน
ในเร่ืองเดียวกัน อันเกิดมาจากความรักของหนุ่มสาวคู่หน่ึงนามว่า สาวมุขและหนุ่มแสน ซ่ึงเจ้าแม่
เขาสามมขุ ในประดษิ ฐานอยใู่ นศาลจนี เปน็ เรอ่ื งการบชู าสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธน์ิ ามวา่ “มาจ”ู่ ดงั นน้ั การเรยี กขาน
เจ้าแม่มาจู่ในแบบไทยว่าเจ้าแม่เขาสามมุขนั้นไม่ได้อิงอยู่กับต�ำนานความรักของหนุ่มสาว แต่อิง
กับช่ือสถานท่ีต้ังของศาสนสถานดังกล่าวเป็นหลัก คล้ายกับการเรียกชื่อเจ้าแม่ในพื้นที่อ่ืนๆ เช่น
เจ้าแมเ่ บิกไพร เจา้ แมบ่ า้ นโปง่ เปน็ ตน้
ปัจจุบันผู้ท่ีศรัทธาเจ้าแม่มักจะน�ำสร้อยมุกมาถวาย ซึ่งเช่ือกันว่าเป็นเคร่ืองประดับที่เจ้าแม่
โปรดปราน ว่ากันว่าหากถวายสร้อยสีชมพูจะให้คุณทางด้านสวยงาม โชคลาภ สีทองความม่ังม ี
เงนิ ทองมน่ั คง สเี งนิ เสรมิ มงคง เงนิ ไหลมา สขี าวเปน็ การเสรมิ พลงั จติ ใหใ้ สสะอาด (กลุ ศริ ิ อรณุ ภาคย,์
2553: 85-86) ซึ่งความเชื่อดังกล่าวน่าจะเกิดจากการตีความจากสีของไข่มุก แต่การเร่ิมต้น
ของการบชู าสรอ้ ยมกุ นนั้ คงเปน็ ความเชอื่ เกยี่ วกบั เทพสตรกี บั เครอ่ื งบชู าทมี่ คี วามเหมาะสม กลา่ วคอื
สตรกี ับเครื่องประดับ ซ่งึ ไขม่ กุ ถือเปน็ เคร่ืองประดับที่สงู ค่า และไดม้ าจากทอ้ งทะเลอีกด้วย จึงค่คู วร
ท่ีจะน�ำมาบูชาเป็นเครื่องบูชาเทพสตรีองค์น้ี นอกจากน้ันแล้ว อาจเป็นเพราะพระนามหนึ่งของ
องค์เจ้าแม่ท่ีมชี ่อื ว่า เจา้ แม่เขาสามมุข จงึ เป็นท่ีนยิ มชมชอบและกลายมาเป็นความเชอ่ื ทวี่ ่าพระองค์
ทรงโปรดปรานไขม่ กุ เป็นพเิ ศษ
พระนามแบบไทยของเจ้าแม่มาจู่ท่ีปรากฏอยู่ในสังคมไทยยังมีอีกมาก พระนามเหล่าน ี้
ไดส้ ะทอ้ นถงึ บทบาทและความเชอื่ ทผี่ ศู้ รทั ธาใชเ้ รยี กขานทา่ นมานานนบั รอ้ ยปโี ดยไมไ่ ดเ้ ปลย่ี นแปลง
ซ่ึงชื่อภาษาไทยของแต่ละสถานที่ แต่ละชุมชนอาจจะเรียกขานไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความเข้าใจ
และข้อตกลงของกลุ่ม เช่น ศาลเจ้าแม่ประดู่ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ท่ีม ี
องค์เจ้าแม่มาจู่เป็นเทพประธานภายในศาล การท่ีศาสนสถานแห่งน้ีเรียกช่ือศาลเจ้าและองค์เจ้าแม่
วา่ “เจ้าแม่ประด”ู่ ก็เพราะเนือ่ งดว้ ยมีต�ำนานเกีย่ วกับรูปเคารพของเจ้าแมไ่ ด้ลอยนำ้� มา เมอื่ อัญเชญิ
ขึ้นจากน้ำ� แลว้ พบว่า รูปเคารพของเจ้าแม่ทำ� ข้ึนจากไมป้ ระดู่ ดังนัน้ จงึ เรียกเจ้าแมว่ ่า “เจ้าแมป่ ระด่”ู
แตป่ า้ ยอกั ษรจนี ทอ่ี ยหู่ นา้ ศาลเจา้ แหง่ นยี้ งั เรยี กทา่ นวา่ “ซนิ เปน่ิ โถวมา” (新本头妈) หรอื ปนุ เถา้ มา่
ใหม่ ซง่ึ เปน็ ชอื่ เรยี กอกี อยา่ งของเจา้ แมม่ าจทู่ ปี่ รากฏในสงั คมไทยเทา่ นน้ั ความนา่ สนใจอยทู่ กี่ ารบชู า
เทพสตรีองค์น้ีในฐานะปุนเถ้าม่า ก็เป็นอีกหน่ึงหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า เจ้าแม่มาจู่ได้รับการบูชา
ในฐานะขวัญของชุมชน คือศูนย์รวมใจของชุมชน ท้ังนี้เน่ืองจากคติความเชื่อของชาวจีนในไทย
ต่างยกย่องเทพเจ้าปุนเถ้ากงในฐานะขวัญแห่งชุมชม (เส่ียวจิว, 2554 :127) ดังนั้นพระนาม
“ปนุ เถา้ มา่ ” นย้ี อมแสดงถงึ ความเปน็ ขวญั แหง่ ชมุ ชนเชน่ กนั คำ� วา่ “ปนุ ” หรอื “เปน่ิ ” ในภาษาจนี กลาง
ท่มี คี วามหมายวา่ ด้ังเดิม ซึง่ กอ็ าจตีความได้วา่ “เปน่ิ ตี”้ (本地) หรอื “เปิ้นจิง้ ” (本境) ทีแ่ ปลความ
ได้วา่ สถานท่ีแห่งน้ี สว่ นคำ� วา่ “เถา้ ” หรือ “โถว” ในภาษาจนี กลาง ทม่ี คี วามหมายวา่ หัว ศรษี ะ
พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 247
ซึ่งก็อาจตีความได้ว่า “โถวมู่” (头目) ที่หมายความว่า ผ้นู ำ� สว่ นคำ� วา่ “มา่ ” หรือ “มา” ในภาษา
จนี กลาง ทม่ี คี วามหมายวา่ แม่ เปน็ คำ� ทใี่ ชแ้ บง่ แยกเพศสภาพของเทพเจา้ จนี ซงึ่ เมอ่ื รวมความหมาย
ของอักษรทั้ง 3 ตัว จะได้ว่า เจ้าแม่ผู้เป็นใหญ่ในพ้ืนที่แห่งน้ี ดังน้ันจึงเช่ือได้ว่า การคติความเชื่อ
ของการบูชาเจ้าแม่มาจู่ในสังคม ก็คือการบูชาท่านในฐานะขวัญของชุมชนน่ันเอง จากการส�ำรวจ
พบว่า ศาลเจ้าแม่ทบั ทิม ถนนทรงวาด บรเิ วณกอ่ นถึงวดั ปทุมคงคาราชวรวิหาร แขวงสัมพันธวงศ์
เขตสมั พันธวงศ์ กรงุ เทพฯ ศาลเจา้ ฮกเลีย่ นเกง็ (ศาลเจ้าแมท่ บั ทิม) ซอยเจริญพานชิ ย์ ถนนทรงวาด
แขวงสมั พนั ธวงศ์ เขตสมั พนั ธวงศ์ กรงุ เทพฯ ไดบ้ ชู าเจา้ แมม่ าจใู่ นฐานะปนุ เถา้ มา่ หรอื ขวญั ของชมุ ชน
สรุป
เทพสตรถี อื เปน็ สว่ นหนง่ึ ของระบบความคดิ และคตคิ วามเชอื่ ของชาวจนี ซง่ึ อยคู่ กู่ บั
สงั คมจนี มาชา้ นานแลว้ เมอ่ื ชาวจนี ไดอ้ พยพไปยงั ดนิ แดนตา่ งๆ กไ็ ดน้ ำ� ประเพณี วฒั นธรรม
รวมถึงคติความเช่ือต่างๆ ท่ีตนนับถือไปแพร่กระจายหรือส่งทอดให้กับผู้คนในดินแดน
นนั้ ดว้ ย อยา่ งเชน่ ความเชอ่ื เกยี่ วกบั เจา้ แมม่ าจทู่ แ่ี พรห่ ลายอยา่ งมากในประเทศไทย มกั พบเหน็
ศาสนสถานทบ่ี ชู าองคเ์ จา้ แมม่ าจตู่ งั้ อยทู่ ร่ี มิ นำ�้ หรอื รมิ ทะเลทง้ั ทางฝง่ั ทะเลไทยและอนั ดามนั
ด้วยต�ำนานแห่งความศักดิ์สิทธ์ิแห่งองค์เจ้าแม่จึงท�ำให้ชาวเรือเคารพบูชาท่านในฐานะ
เทพเจ้าแห่งการเดินเรือ ชาวจีนในอดีตต้ังรูปเคารพหรือแท่นบูชาท่านท่ีกระโดงเรือ เพ่ืออธิษฐาน
ขอพรให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย ต่อมาความเช่ือดังกล่าวได้ส่งอิทธิพลต่อคติความเชื่อของ
คนไทย โดยมีตำ� นานเร่ืองเลา่ เก่ียวกับเจา้ แม่มาจู่ในลกั ษณะทีเ่ ป็นแบบไทย ซึง่ เปน็ ตำ� นานทเี่ ลา่ ขาน
เกี่ยวกับแม่ย่านางเรือ เทพสตรีผู้ท่ีคอยช่วยเหลือดูแลเกี่ยวกับการเดินทางทางน�้ำ จึงเช่ือได้ว่า
คตคิ วามเชอ่ื ในเร่อื งแม่ยา่ นางเรอื ของไทยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากคตคิ วามเชื่อในองค์เจา้ แมม่ าจูข่ องจีน
ช่ือพระนามของเจ้าแม่มาจู่ท่ีปรากฏในสังคมไทยมีด้วยกันหลากหลาย ซ่ึงชื่อแบบจีนน้ัน
ส่วนใหญ่มาจากช่ือตามพระยศแห่งองค์เจ้าแม่ท่ีได้รับการสถาปนาจากจักรพรรดิจีนตลอด
หลายร้อยปีท่ีผ่านมา นอกจากน้ันแล้ว ส่วนหน่ึงเป็นการเรียกขานท่านในฐานะญาติผู้ใหญ่ได้ด้วย
ส่วนช่ือแบบไทยของเจ้าแม่น้ัน เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นการสับสนระหว่างการเรียกพระนามของเจ้าแม่
มาจแู่ ละเจา้ แม่สยุ่ เวย่ เซงิ่ เหนียง เพราะพบวา่ ทง้ั สององค์ตา่ งใชช้ ่อื ทีเ่ หมือนกนั นน่ั คือ เจ้าแม่ทบั ทิม
ซึ่งการเรียกขานเทพสตรีทั้งสองว่าเจ้าแม่ทับทิมคงมาจากสีแดงทับทิมของเคร่ืองแต่งกายและ
เคร่ืองประดบั ขององค์เจา้ แม่ ดงั ทีต่ �ำนานเก่ียวกบั เจา้ แม่ทับทมิ (ไหหลำ� ) มีการกลา่ วไว้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ช่ือพระนามขององค์เจ้าแม่มาจู่ยังสามารถใช้ชื่อของท้องถิ่นต่างๆ มาต้ังเป็นช่ือของ
เจา้ แมไ่ ดด้ ว้ ย ซง่ึ สะทอ้ นถงึ ความเชอ่ื ทผ่ี คู้ นบชู าทา่ นในฐานะเทพเจา้ ทเ่ี ปน็ ดงั ขวญั แหง่ ชมุ ชน
โดยเฉพาะชุมชนทีต่ ้ังอยรู่ ิมนำ้� ในสงั คมไทย
248 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
บรรณานกุ รม
กลุ ศริ ิ อรุณภาคย.์ ศาลเจา้ ศาลจนี ในกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : มิวเซยี มเพรส, 2553.
จำ� นงศรี รัตนิน (หาญเจนลักษณ์). ดจุ นาวากลางมหาสมุทร. กรงุ เทพฯ : นานมีบกุ ส์, 2541.
ชิตพงษ์ เลาหวโิ รจน.์ “จยุ๊ บว๊ ยเนยี้ : ศาลเจา้ ”. สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง. กรงุ เทพฯ :
มูลนิธสิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.
ตว้ น ล่ีเซงิ และบญุ ย่ิง ไรส่ ขุ สิร.ิ ความเป็นมาของวัดจนี และศาลเจา้ จนี ในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ :
คณะกรรมการศาสนาเพือ่ การพัฒนา, 2543.
ปรวิ ฒั น์ จันทร. เจ้ิงเหอ แม่ทัพขันที “ซำ� ปอกง”. กรุงเทพฯ : มติชน, 2546.
พรพรรณ จันทโรนานนท.์ วถิ ีจนี . กรงุ เทพฯ : ประพันธ์สาสน์ , 2546:43
ศลิ ปากร, กรม. วรรณกรรมสมยั ธนบรุ ี เลม่ 1. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร,์ 2532.
สวฺ ี่ ลฮี่ ยุ่ และ โหว หลนิ หลนิ , สรุ สทิ ธิ์ อมรวณชิ ศกั ด์ิ แปลและเรยี บเรยี ง, เทพมงคลของจนี . กรงุ เทพฯ:
เตา๋ ประยกุ ต์, 2546.
สภุ างค์ จนั ทวานชิ และคณะ. ชาวแตจ้ วิ๋ ในประเทศไทยและในภมู ลิ ำ� เนาเดมิ ทเ่ี ฉาซา่ น : สมยั ทห่ี นงึ่
ทา่ เรอื จางหลนิ (2310-2393). กรงุ เทพฯ : สถาบนั เอเชยี ศกึ ษา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ,
2534.
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ลมุ่ นำ้� แมก่ ลอง ความหลากหลายของผคู้ น ชมุ ชน
และวฒั นธรรม บา้ นโปง่ -บา้ นเจด็ เสมยี น. ราชบรุ ี : พพิ ิธภณั ฑพ์ ืน้ บ้านวดั มว่ ง, 2554.
เสถียรโกเศศและนาคะประทีป. แม่ยานาง วรรณคดีและราชาวดี. พิมพ์แจกในงานพระราชทาน
เพลิงศพ อ.ท.พระอุปกรศิลปศาสตร์ (เจริญ อากาศวรรธนะ) ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส
วนั ท่ี 6 พฤศจิกายน 2481.
เสย่ี วจวิ . ตวั ตนคน “แตจ้ ว๋ิ ”. กรุงเทพฯ : มตชิ น, 2554.
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล. “วัถตุมงคล เครื่องราง แม่ย่านาง และเลขทะเบียนสวย : ว่าด้วยคติชน
ของคนมรี ถ”. ทีทรรศภ์ าษา วรรณกรรม วฒั นธรรมและการส่ือสาร ครัง้ ที่ 1. นครปฐม :
คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล, 2559.
แผน่ ปา้ ยประวตั เิ จา้ แมภ่ ายในศาลเจา้ แมท่ ับทิมเชยี งใหม่ ส�ำรวจเมอื่ วันที่ 14 พฤษภาคม 2559
“ต�ำนานเจ้าแม่เขาสามมุก” http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/folk-literature/
252-folk/458--m-s, เข้าถงึ เมอื่ วันท่ี 25 มิถุนายน 2559
李乔:《行业神崇拜:中国民众造神运动研究》,北京:中国文联出版社,1999年。
林进源:《台湾民间信仰神明大图鉴》,台北:进源书局,2005年。
马书田:《中国道教诸神》,北京:团结出版社,1996年。
魏叔贞:《天上圣母》,台北:自立晚报社文化出版部,1994年。
英豪:《观音菩萨:中国第一佛》,北京:学苑出版社,1998年。
“แมแ่ ละเมีย”
บทบาทของผูห้ ญิงในสังคมจนี
อาจารย์ ดร.ศิรวิ รรณ วรชัยยุทธ
สาขาวิชาภาษาจีน ภาควิชาภาษาไทยและภาษาวัฒนธรรมตะวันออก
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถ้าหากมองสังคมจีนด้วยมุมมองจากคนภายนอก จะเห็นได้ว่าบทบาทของชายหญิงใน
สงั คมจนี นบั แตย่ คุ สงั คมศกั ดนิ าเปน็ ตน้ มา คอื การใหค้ วามสำ� คญั กบั ผชู้ ายมากกวา่ ผหู้ ญงิ (重男轻女
zhòngnánqīngnǚ จ้งหนันชิงหน่ีว์) ซ่ึงส่งผลให้บทบาทหรือสิทธิทางสังคมของผู้หญิงไม่เท่าเทียม
กับผู้ชาย สังคมได้ก�ำหนดให้ผู้หญิงมีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนความเจริญก้าวหน้าของผู้ชาย
อย่างไรก็ดี บทความนีจ้ ะน�ำเสนอแนวคดิ ทส่ี ่งผลต่อผูห้ ญงิ คอื “แม่และเมีย” ในสงั คมจีน พร้อมทัง้
น�ำเสนอขอ้ มูลของบทบาทผู้หญงิ ทส่ี ังคมรังเกยี จ โดนสังคมตีตราวา่ เปน็ ผหู้ ญงิ ทไี่ ม่ดี เพ่ือตอกย�้ำวา่
“ผูห้ ญิงที่ดี” หมายถึงการทำ� หน้าท่ีแม่และเมียทีด่ ตี ามแนวคดิ จารีตของสงั คมจีนมาแต่ยุคโบราณ
สงั คมจีน สงั คมครอบครัว: ชายหญิงแตกต่าง
สังคมชนบทของจีนเป็นสังคมท่ีสัมพันธภาพระหว่างผู้ชายผู้หญิงได้รับการก�ำหนดไว้แล้ว
ซงึ่ ทำ� ให้ภาวะทางอารมณ์ของพวกเขาจะไมเ่ บยี่ งเบน นัน่ คือหลกั ปฏิบตั ทิ ว่ี า่ “ระหว่างบุรษุ และสตรี
ย่อมมคี วามแตกตา่ ง” (男女有别 nánnǚyǒubéi หนันหนว่ี ์โหยว่ เป๋ีย) มนุษย์ไมจ่ �ำเป็นต้องคน้ หา
ความเหมอื นกนั ระหวา่ งผชู้ ายและผหู้ ญงิ ระหวา่ งพวกเขาจะตอ้ งมรี ะยะหา่ ง การมรี ะยะหา่ งนนั้ ปรากฏ
อยา่ งชดั เจนอยใู่ นบทบญั ญตั ทิ ว่ี า่ จะตอ้ งไมม่ คี วามสนทิ สนมภายใตส้ มั พนั ธภาพระหวา่ งบรุ ษุ และสตรี
การมีระยะห่างเช่นนี้ไม่ใช่เพียงในทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นทางจิตวิทยาด้วย แม้ว่าพวกเขา
จะมีการกระทำ� ทส่ี อดคลอ้ งพรอ้ มเพรยี งกนั แตผ่ ู้ชายและผู้หญงิ จะต้องด�ำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกจิ
และการสบื สกลุ โดยทำ� ตามหลกั ปฏบิ ตั ทิ ก่ี ำ� หนดไวอ้ ยา่ งเครง่ ครดั พวกเขาจะตอ้ งไมห่ วงั ทจ่ี ะบรรลถุ งึ
ความกลมกลนื อยา่ งลกึ ซง้ึ ทางอารมณ์และจติ ใจของอกี ฝา่ ยหน่ึง (เฟ่ยเซยี่ วทง เขยี น, พรชยั ตระกูล
วรานนท์ แปล, 2551:105-106)
สงั คมจนี ในอดตี ปกครองดว้ ยกลไกครอบครวั มากกวา่ การใชค้ วามเปน็ ปจั เจกชน แนวคดิ ของ
ครอบครัวจีนมี 2 ระดับ คือครอบครัวทั่วไป และครอบครัวระดับประเทศที่มีจักรพรรดิเป็นหัวหน้า
ของประเทศ ประชาชนนบั ถือและเช่อื ฟงั องคจ์ กั รพรรดเิ หมอื นกบั ท่สี มาชกิ เชื่อฟงั หวั หนา้ ครอบครัว
ความสัมพนั ธ์ของคนในครอบครัว พ่อแม่มีอ�ำนาจสิทธขิ าดเหนือลกู สงั คมจะเข้ามาช่วยจดั การกต็ อ่
เมอื่ พอ่ แมบ่ งั คบั ลกู มากจนเกนิ ไป พอ่ แมจ่ ะตอ้ งอบรมลกู ใหป้ ฏบิ ตั ติ วั ใหถ้ กู ตอ้ งตามทำ� นองคลองธรรม